บทที่ 72 Let’s Celebrate
“เกิดอะไรขึ้น!” เสียงที่คุ้นเคยเสียงหนึ่งดังขึ้นมาอย่างร้อนรนมาจากทางด้านหลังของพวกเขาทั้งสามคน เมื่อหันกลับไปก็พบว่าเสียงดังกล่าวดังมาจากลอซูที่กำลังนำลูกบ้านประมาณสี่ห้าคนวิ่งมาอย่างกระหืดกระหอบที่จุดเกิดเหตุที่พวกเขากำลังยืนอยู่นั่นเอง
“มอนสเตอร์ตัวหนึ่งพยายามจะทำร้ายพวกเราและลูกบ้านของท่าน เราพยายามจับเป็น แต่สุดท้ายมันก็เกิดระเบิดตัวเองตายไปเสียก่อน” ปันพูดพร้อมกับชี้ไปทางร่องรอยโคลนดำเปรอะเปื้อน ก่อนจะผายมือไปยังหยงที่กำลังนอนหมดสติอยู่ภายใต้การดูแลของเฟี๊ยตอยู่
เฟี๊ยตขณะนี้ปล่อยหน้าที่การเจรจาให้เป็นของปันไปโดยสิทธิ์ขาด เพราะในเวลานี้ ปันก็กลายเป็นวีรบุรุษของหมู่บ้านนี้ไปแล้ว การให้ปันเป็นคนกลางน่าจะเหมาะสมที่สุด เขาจึงเลือกที่จะรับหน้าที่ปฐมพยาบาลหญิงสาวผู้หมดสติเอง เขาค่อยๆ ใช้ยาดมเรียกสติของหยงคืนมา และเมื่อหญิงสาวพอรู้ตัวขึ้นมาบ้าง เฟี๊ยตก็ให้เธอกินยาที่ทำมาจากต้นเทียนชนิดหนึ่ง เพื่อกระตุ้นระบบประสาทให้กลับมาทำงานได้อีกครั้ง
“อิน!” ทันทีที่ฟื้นสติอีกครั้ง หญิงสาวนามว่าหยงโผเข้ากอดที่เฟี๊ยตอย่างหาที่พักพิงฉะนั้น เธอร้องไห้พลางพร่ำพรรณนาถึงชายที่ชื่อว่าอินอย่างน่าเวทนายิ่งนัก เฟี๊ยตจึงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการให้หญิงสาวชาวป่ายืมไหล่พักพิงในวันที่ใจเธอแทบจะขาดเช่นวันนี้
หลังจากเฟี๊ยตและเพื่อนได้ฟังเรื่องราวจากปากของหยงที่ถ่ายทอดปนกับน้ำเสียงสะอื้นนั่นแล้วนั้น เขาก็พอสรุปความได้คร่าวๆ ว่า หยงและอินเป็นแฟนกันตั้งแต่อยู่ในหมู่บ้านวาเลนไทน์ แต่ด้วยวิกฤตการณ์ขาดแคลนอาหารที่ทำให้ทั้งสองคนต้องระหกระเหินออกจากหมู่บ้านไป ระหว่างที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันนั้น อยู่ดีๆ อินก็เริ่มมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปจนรู้สึกได้ ชายหนุ่มดูมีท่าทางหวาดกลัว สับสน และเกรี้ยวกราดอยู่ในที จนวันหนึ่ง อินก็หนีเตลิดไปจากหยงอย่างไม่มีสาเหตุ หยงเฝ้ารักษาตัวรักษาใจภายใต้ภยันตรายของป่าลึก เพื่อรอคอยวันที่จะได้กลับมาพบเจอกับอินอีกครั้ง ในวันที่ระฆังวาเลนไทน์คืนชีพกลับมา
และหยงทำนายไว้ไม่ผิดเลย หญิงสาวพบกับชายหนุ่มที่ตัวเองเฝ้ารอมาตลอดเวลาตอนทางแยกตรงทางเข้าหมู่บ้านนั่นเอง เมื่อหยงเข้าไปทักอินด้วยความดีใจจนถึงที่สุดนั้น เธอกลับถูกสะบัดจนล้มไปกองที่พื้นอย่างรุนแรง แถมอินยังมีท่าทีจะเข้ามาทำร้ายเธอซ้ำอีกด้วย นั่นก็เป็นต้นเหตุของเสียงร้องของความช่วยเหลือที่นำพาพวกเขามาที่นี่ และเรื่องราวก็มาปะติดปะต่อจนถึงปัจจุบันที่พวกเขาประสบกับตาตัวเองนั่นเอง
“การ์ดอะไรถึงจะเปลี่ยนคนให้กลายเป็นอมนุษย์ได้นะ” เสียงของเฟี๊ยตเปรยขึ้นอย่างชวนครุ่นคิด หากแต่ไม่มีผู้ใดให้คำตอบเขาออกมาได้เลย ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมทีม หรือแม้กระทั่งชาวบ้านในหมู่บ้านลึกลับแห่งนั้น หากแต่ก็มีเสียงหนึ่งที่ไม่เคยทำให้เขาผิดหวังดังขึ้นมาอย่างคุ้นเคย
“อมนุษย์ที่ท่านพบไม่ได้เป็นผลพวงมาจากการ์ดใดๆ นายท่าน เพราะถ้าหากเป็นผลจากไพ่แล้ว เมื่อท่านเอาชนะ ท่านจะต้องได้รับไพ่ด้วยเสมอ ดูเหมือนนี่จะเป็นข้อบกพร่องที่ยังไม่ทราบสาเหตุของเกมมากกว่า การตายในลักษณะนี้น่าจะเกิดมาจากการไม่สภาพรักษาสภาพของตัวละครไว้ได้ ซึ่งนั่นเป็นหน้าที่ของเกมมาสเตอร์ที่จะต้องหาสาเหตุและแก้ไขต่อไป ถ้านายท่านยังอยู่ในหมู่บ้านนี้ต่ออีกสักพัก ท่านอาจจะได้พบกับเกมมาสเตอร์ที่อาจจะแวะมาตรวจสอบเหตุการณ์ผิดปรกติที่นี่ก็ได้” เสียงของไบเบิ้ลดังขึ้นมาที่ข้างหูเขา
‘ขอบคุณ ไบเบิ้ล’
“ปล่อยให้เป็นหน้าที่พวกเราในการสืบหาความจริงต่อไปเถิด บัดนี้ ขอเชิญพวกท่านเข้าร่วมงานเฉลิมฉลองของพวกเราชาววาเลนไทน์ดีกว่า งานรื่นเริงตามฉบับบ้านป่าได้ถูกจัดไว้ต้อนรับพวกท่านทุกคนแล้ว” ลอซูเอ่ยขึ้นพลางผายมือไปทางลานกว้างใกล้ๆ กับระฆังศักดิ์สิทธิ์ของหมู่บ้านที่บัดนี้ เฟี๊ยตเริ่มจะเห็นแสงไฟสุกสว่างขึ้นหยอกล้อกับบรรยากาศอึมครึมของยามเย็นเสียแล้ว นี่เขาไปร่วมงานปาร์ตี้ครั้งสุดท้าย เมื่อไหร่กันนะ
งานเฉลิมฉลองสไตล์บ้านป่าตามที่ลอซูได้โฆษณาไว้นั้นจัดขึ้นที่ลานว่างๆ แห่งหนึ่งที่อยู่ก่อนถึงระฆังวาเลนไทน์เพียงนิดเดียวเท่านั้น กองไฟขนาดใหญ่ลุกโชติช่วงท่ามกลางบรรยากาศแห่งป่าดงพงไพรที่บัดนี้ดูจะไม่วังเวงอีกแล้ว กวาดตาไปในขณะนี้ก็พบว่าลูกบ้านของลอซูที่เคยมีจำนวนไม่กี่สิบคนได้เพิ่มจำนวนไปไม่ต่ำกว่าครึ่งร้อยแล้ว หนุ่มสาวในวัยฉกรรจ์แปลกหน้าแปลกตาปรากฏอยู่เต็มไปหมด เหล้ายาปลาปิ้งถูกแจกจ่ายกันไปทั่วอย่างไม่ขาดสาย ผลหมากรากไม้รวมไปถึงเนื้อสัตว์ที่ถูกปรุงรสในแบบต่างๆ หมุนเวียนมาให้พวกเขาชิมอย่างต่อเนื่อง ลอซูแนะนำให้เขาลองเหล้าป่าที่ตาเฒ่าต้มเองกับมือครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เฟี๊ยตก็ปฏิเสธไปด้วยกลัวอันตรายจากแอลกอฮอล์ที่เป็นผลพลอยได้มาจากการผลิตแบบง่ายๆ นั่น เฟี๊ยตพยายามบอกให้แทนและปันเข้าใจว่าการต้มเหล้าเองนี้อาจจะทำให้มีแอลกอฮอล์บางชนิดถูกผลิตออกมาด้วย ซึ่งมันมีอันตรายต่อการมองเห็น แต่แทนซึ่งในเวลานั้นกินไปหลายแก้วแล้วก่อนที่เขาจะเตือนได้ทันก็ไม่แสดงอาการยี่หระแต่อย่างใด ด้วยบอกว่าชาวบ้านเหล่านี้ก็กินกันทุกคน ถ้ามีอันตรายอะไร ชาวบ้านก็น่าจะเป็นไปก่อนแล้ว เฟี๊ยตจึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลยไป เพราะเห็นว่าคงห้ามไม่ได้แน่นอน
ปันซึ่งเชื่อในคำเตือนของเขาอย่างเต็มเปี่ยมก็นั่งกินอาหารป่าอยู่ข้างๆ เขา โดยปฏิเสธเหล้าที่ชาวบ้านแวะเวียนกันมาให้ชิมอย่างไม่ขาดสายเช่นเดียวกับเขา แต่สุดท้าย ปันก็กระดกเหล้าเข้าปากไปในที่สุด เพราะว่าเจ้าเพื่อนซี้ที่ออกตัวเมาไปก่อนแล้วมาเซ้าซี้ให้ปันกินเป็นเพื่อนไม่หยุด จนปันเผลอกินเข้าไปแก้วหนึ่ง ซึ่งดีกรีที่สูงมากก็ทำให้แก้วต่อๆ ไปถูกยกเข้าปากไปอย่างไม่ยากเย็น เฟี๊ยตในเวลานี้ได้แต่หัวเราะในความบ้าของเพื่อนทั้งสองที่เริ่มออกอาการเมื่อกินน้ำเมาเข้าไปไม่หยุด แต่ถึงอย่างไร ชายหนุ่มก็ไม่คิดจะทดลองเหล้าฝีมือตาเฒ่าลอซูนั่นอยู่ดี เขาจึงทำหน้าที่เป็นหน่วยรักษาการณ์เตรียมตัวเก็บซากของเพื่อนทั้งสองที่น่าจะเมาจนไม่รู้เรื่องในอีกไม่ช้านี้เอง
“งานบ้านป่าคงสนุกไม่ถูกใจท่าน ท่านจึงปล่อยให้ตัวเองเงียบเหงาคนเดียวอยู่เช่นนี้ ไม่ออกไปร่าเริงเต้นรำเหมือนกันเพื่อนของท่านอีกสองคน” ลอซูที่เดินมาจากทางใดก็ไม่ทราบพูดกับเภสัชกรหนุ่ม ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ เขาที่นั่งห่างออกมาจากวงสังสรรค์นั่นเอง
“ใช่ที่ไหน ลอซู งานนี้สนุกมาก แต่เราไม่ชอบของมึนเมาเท่าไหร่ เราจึงขอเฝ้าดูความสนุกสนานนี่ด้วยสายตาอย่างเงียบๆ ดีกว่า” เฟี๊ยตหันมายิ้มให้กับชายชราแห่งวาเลนไทน์ ก่อนจะหันกลับไปมองที่เปลวไฟใหญ่ที่ลุกโชนอยู่กลางชาวไพรเหล่านั้น
“ไหนๆ ท่านก็ว่างอยู่แล้ว ท่านน่าจะลองไปที่บ่อน้ำแห่งการให้อภัยดูนะ บรรยากาศที่นั่นสวยงามจับใจมากในยามกลางคืนเช่นนี้ หรือไม่ ท่านอาจจะลองสารภาพความผิดของท่านดู บางที มันอาจจะทำให้ท่านสบายใจขึ้นได้ บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์อยู่หลังจากระฆังแห่งวาเลนไทน์เข้าไป เดินผ่านทางเดินเล็กๆ ไป ชั่วไม่ถึง 5 นาทีก็พบแล้ว บ่อน้ำแห่งการให้อภัยมีมนต์ขลังที่น่าหลงใหล ข้ารับประกันได้เลย” ลอซูยิ้มให้เขาและลุกยืนขึ้น หลังจากพูดจบ ผู้ใหญ่บ้านแห่งวาเลนไทน์เดินกลับไปที่วงสังสรรค์อีกครั้งโดยไม่เปิดโอกาสให้เขาได้มีคำถามอะไรได้เลย
เฟี๊ยตก้าวเท้ายาวมาตามทางเดินแคบๆ นั่น โดยที่ตัวเขาเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าอะไรดลใจให้เขาบ้าจี้มาตามคำแนะนำของลอซูอย่างนี้ แต่คำว่ามนต์เสน่ห์น่าหลงใหลนั่นก็ทำให้เขาอยากจะเห็นด้วยตาตัวเองอยู่ไม่ใช่น้อย ท้องฟ้าในคืนนี้มืดสนิทจากแสงดาวทั้งสิ้น เพราะมีพระจันทร์ดวงเด่นที่สาดแสงกลบทุกแสงสว่างอื่นให้ดับด้อยไป เขาไม่จำเป็นต้องใช้ไฟฉายนำทางแม้แต่น้อย เพราะแสงสว่างของพระจันทร์ในคืนนี้เจิดจ้าไปหมดทุกแห่งหน เฟี๊ยตเรียกใช้การ์ดยุงรำคาญตั้งแต่เริ่มออกเดินทางไปตามคำบอกของลอซูนั่น เพื่อจะได้เตรียมตัวตั้งรับกับแขกไม่ได้รับเชิญเสียก่อน หากว่ามีใครต้องการจะมาเยี่ยมเยียนเขาในคืนนี้ แต่ก็ไร้ร่องรอยโดยสิ้นเชิง ฝูงยุงเหล่านั้นตรวจพบแต่สัตว์เล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่น่าจะมีอันตรายใดๆ ทั้งสิ้น สองเท้าจึงก้าวไปอย่างสบายใจในความปลอดภัยอยู่พอสมควร
บ่อน้ำแห่งการให้อภัยไม่ได้ด้อยไปกว่าคำบอกเล่าของลอซูเลย บ่อน้ำเล็กๆ ที่ล้อมรอบไปด้วยบรรยากาศของป่าใหญ่ดูลึกลับและน่าค้นหา น้ำในบ่อเล็กๆ นั่นสะท้อนแสงจันทร์ระยิบระยับราวกับจะทักทายผู้มาเยือนเช่นเขา เฟี๊ยตยืนนิ่งจ้องไปที่บ่อน้ำอย่างครุ่นคิดก่อนจะค่อยๆ เดินสำรวจไปโดยรอบ จนในที่สุด เขาก็เลือกหย่อนตัวลงที่ก้อนหินใหญ่ที่อยู่ติดกับบ่อน้ำนั่นเอง เขาในตอนนี้นั่งแหงนหน้ามองพระจันทร์เต็มดวงนั่นอย่างต้องการซึมซับความงามของธรรมชาตินั้น โดยมีก้อนหินขนาดยักษ์กั้นเขาเอาไว้จากบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์นั่น เฟี๊ยตรู้สึกว่าตัวเองไม่มีอะไรจะสารภาพผิดสักอย่างในตอนนี้ เขาจึงเลือกจะนั่งมองท้องฟ้าในคืนที่ฟ้าเป็นใจอย่างนี้มากกว่า
‘โอ๊ย!’ เฟี๊ยตสบถขึ้นในใจเมื่อรู้สึกได้ว่ามีแมลงอะไรสักอย่างมากัดที่บริเวณหลังมือของเขา ชายหนุ่มตื่นจากภวังค์หลังจากที่เผลอหลับไปนานเท่าไหร่ไม่ทราบ เมื่อกวาดตามองให้ชัด เขาก็พบว่าแมลงที่กัดเขาก็คือยุงรำคาญของเขานั่นเอง
‘มีอะไรกำลังมาที่นี่?’ เขาเอ่ยถามขึ้นในใจ
“Punnawutt!” เสียงของเฟี๊ยตเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา เมื่ออ่านตัวอักษรที่ยุงเหล่านั้นเรียงตัวขึ้นตอบเขาจบแล้ว แต่ด้วยเหตุผลใดไม่ทราบที่ทำให้เขาตัดสินใจไม่ออกไปทักเพื่อนในทีมในเวลานั้น เฟี๊ยตเลือกที่จะนั่งอยู่เงียบๆ หลังหินก้อนนั้นราวกับต้องมนต์สะกดบางอย่าง
“บ่อน้ำ นี่ใช่ไหมบ่อน้ำแห่งการให้อภัย ที่ที่คนเขามาสารภาพผิดกันใช่ไหม ดี งั้นฟังนะ ฟังผมสารภาพความผิดให้ดี ผมไม่รู้ว่าทำไมผมถึงสั่นระฆังนั่นได้ ผมไม่ใช่วีรบุรุษ ผมไม่ใช่คนเสียสละเพื่อความรัก แต่ผมเป็นคนเห็นแก่ตัวที่สุดต่างหาก” เสียงนั่นหยุดไปชั่วครู่หนึ่ง
“ผมผิดใช่ไหมที่ผมรักเขามากขนาดนี้ ผมผิดใช่ไหมที่ผมอยากเก็บเขาไว้คนเดียว ผมไม่อยากให้เขาได้เจอคนอื่น ผมกลัวว่าเขาจะปล่อยใจให้กับใครที่มาทีหลังผม ถึงแม้ว่าคนนั้นจะเป็นเพื่อนที่ดีมากแค่ไหนก็ตาม แต่ผมกลัวใจตัวเอง ผมกลัวความรู้สึกตัวเอง ผมผิดใช่ไหม ผมมันเป็นคนเห็นแก่ตัวใช่ไหม ผมแค่อยากให้เรามีแค่เราเพียงสองคนเหมือนเดิม ฮืออ ผมมันเป็นคนเห็นแก่ตัวที่สุด ฮืออ ผมเกลียดตัวเองที่สุดเลย” เสียงที่ดังมาจากผู้ที่มาใหม่นั่นก้องกังวานไปทั้งใจของคนที่ผู้พูดไม่รู้ว่าก่อนว่าได้นั่งอยู่หลังก้อนหินก้อนนั้นอยู่ก่อนแล้ว เฟี๊ยตเองตอบไม่ถูกเหมือนกันว่า ณ ขณะนั้นเขารู้สึกอย่างไร เสียงสะอื้นอันแสนจะน่าสงสารนั่นทำให้ความรู้สึกของเขาแห้งผากไปทั้งหัวใจ!
จากผู้แต่ง : วันนี้ทั้งวันได้สองตอน ไหวไหม แต่งยังไงก็ไม่เคยทัน 555