บทที่ 68 The Bell of Valentine
เมื่อชายชราผู้เป็นคนนำพาพวกเขามาถึงนี่ฟังจบ ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยก่อนจะหรี่ลงอย่างครุ่นคิดอีกครั้ง ลอซูเงียบไปอยู่เสี้ยวเวลาหนึ่ง ก่อนถอนลมหายใจยาวออกมาราวกับต้องการจะระบายความอัดอั้นที่ตื้อตันอยู่ภายในให้หมดสิ้นไป
“หมู่บ้านแห่งนี้เป็นหมู่บ้านศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกจัดสรรไว้โดยเทพเจ้าเบื้องบน วาเลนไทน์ถูกตัดขาดออกจากโลกภายนอก มีเพียงแต่ผู้ที่มีสายเลือดของวาเลนไทน์โดยแท้ที่จะสามารถรู้ทางเข้าออกของหมู่บ้านแห่งนี้ได้ พวกเราเป็นผู้ที่ถูกเลือกให้สละทิ้งซึ่งสังคมภายนอกทั้งปวง” ลอซูเอ่ยกล่าวขึ้นด้วยเสียงทุ้มๆ โดยไม่ได้ตอบรับถึงข้อสันนิษฐานของเภสัชกรหนุ่มที่กล่าวไปข้างต้นแต่อย่างใด
“แต่พวกเราก็มากันได้นี่นา” เสียงของแทนขัดขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ปันรีบสะกิดแทนให้หยุดพูดทันที
“นั่นเป็นเพราะท่านติดตามมากับชาวเผ่าวาเลนไทน์ หากพวกท่านย้อนกลับออกไปแล้วเดินทางกลับเข้ามาอีกครั้ง ถึงแม้ว่าท่านจะเดินทางด้วยเส้นทางที่เหมือนเดิมทุกประการ แต่ท่านก็จะไม่มีทางได้เหยียบเข้ามาในดินแดนแห่งนี้ได้เลย” ลอซูตอบเรียบๆ โดยไม่ได้แสดงอาการโกรธเคืองในคำขัดนั้นแต่อย่างใด
“เดิมทีหมู่บ้านวาเลนไทน์จะมีระฆังศักดิ์สิทธิ์ที่คอยนำพาพวกเรากลับมาสู่ดินแดนแห่งนี้ นั่นก็คือ ระฆังนี้จะก้องกังวานเสียงที่สามารถได้ยินแต่ผู้ที่มีสายเลือดวาเลนไทน์เท่านั้น และพวกเราที่อยู่ภายนอกหมู่บ้านที่ได้ยินเสียงนี้จะมองเห็นทางกลับสู่หมู่บ้านนี้อย่างถูกต้องได้เอง” ลอซูเอ่ยต่อเมื่อเห็นว่าฝ่ายของทีมมายาไม่เอ่ยสิ่งใดขึ้นอีก
“ระฆังที่อยู่บนลานตรงอีกฝั่งของหมู่บ้านหรือ ลอซู” เฟี๊ยตถามขึ้นอย่างสงสัย
“คมในฝักแท้ๆ ข้าเดาไม่ผิดเลยว่าท่านต้องเป็นบุคคลที่ฉลาดที่สุดในทีมนี้แน่ๆ ท่านเข้าใจไม่ผิดแม้แต่น้อย พ่อหนุ่มผิวขาว ระฆังศักดิ์สิทธิ์นั่นตั้งอยู่ตรงที่ท่านสงสัยอยู่ไม่มีผิดเพี้ยน ท่านเป็นคนที่มีความละเอียดลออซ่อนไว้ในท่าทีเมินเฉยของท่านได้อย่างแนบเนียน” ลอซูหันมาพูดกับเฟี๊ยตอย่างเจาะจง ก่อนจะคำนับศีรษะลงน้อยๆ ราวกับนับถือในสติปัญญาฉะนั้น
“เดิมทีหมู่บ้านแห่งนี้เป็นหมู่บ้านเล็กๆ อยู่กันไม่ถึงยี่สิบคนเท่านั้น แต่นับวันเวลาผ่านไป จำนวนลูกบ้านก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนกว่าจะรู้ตัวอีกครั้ง ทรัพยากรที่มีในหมู่บ้านก็ไม่เพียงพอเสียแล้ว พวกเราจะไม่จับสัตว์ป่าที่อยู่ที่เขตหมู่บ้านกินเด็ดขาด เพราะว่าพวกเขาเป็นผู้ถูกเลือกเหมือนพวกเราเช่นกัน การเกษตรกรรมจึงเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยเจือจุนปากท้องของคนในหมู่บ้านแห่งนี้ได้” ชายชราเอ่ยเล่าเรื่องต่อ
“แต่พืชพันธุ์ที่ให้โปรตีนได้มีอยู่จำกัด แถมพื้นที่ที่เหมาะสมกับการเพาะปลูกก็น้อย ทำให้ลูกบ้านวาเลนไทน์ขาดแคลนโปรตีนอย่างหนัก จนต้องจัดตั้งทีมลาดตระเวนออกไปล่าสัตว์เพื่อมาเป็นแหล่งโปรตีนให้กับพวกเรา เหตุการณ์ทุกอย่างเป็นไปในรูปแบบนั้น คือ ส่วนหนึ่งเพาะปลูกภายในหมู่บ้าน อีกส่วนหนึ่งออกไปล่าสัตว์จากภายนอก จนกระทั่งเรื่องราวที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นกับพวกเรา” เมื่อคำพูดของลอซูไล่มาจนถึงประโยคสุดท้าย สีหน้าของผู้ใหญ่บ้านคนนั้นก็มีท่าทีหม่นหมองลงอย่างรู้สึกได้
“เรื่องราวไม่คาดคิด?” เสียงของปันเอ่ยสูงขึ้นเป็นคำถาม
“ระฆังศักดิ์สิทธิ์ของวาเลนไทน์ค่อยๆ เคลื่อนไหวได้น้อยลงเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ไม่อาจส่งเสียงอีกเลย นั่นแปลว่า ผู้ที่ออกไปนอกหมู่บ้านจะไม่สามารถค้นพบทางกลับเข้ามาได้อีก เพราะไม่มีเสียงศักดิ์สิทธิ์นั่นคอยนำทาง ในตอนแรกพวกเราไม่ยอมให้ใครออกไปนอกหมู่บ้านอีก โดยตัดสินใจที่จะแบ่งอาหารที่มีจำกัดนี้ แต่น่าเสียดายที่มันไม่เพียงพอ” น้ำเสียงของผู้ใหญ่บ้านคนนั้นเศร้าลงเรื่อยๆ อย่างรู้สึกได้
“แต่ท่านก็ออกไปและพาพวกเรากลับเข้ามาจนได้” เสียงของเฟี๊ยตดังขึ้นอีกครั้ง
“วาเลนไทน์มีผงยาตำรับลับอยู่หยิบมือหนึ่งที่สามารถปรุงยาที่ทำให้ผู้กินระลึกถึงทางกลับบ้านได้ แม้ว่าจะไม่ได้ยินเสียงระฆังก็ตาม น่าเสียดายที่ปริมาณมันน้อยมากจนต้องเก็บไว้ใช้ในกรณีจำเป็นมากๆ เท่านั้น เช่น การพาตัวพวกท่านมาที่นี่ในวันนี้” ลอซูพูดพลางกวาดสายตาไปยังพวกเขาทั้งสามคน
“เราเข้าใจแล้ว ท่านลอซู โปรดอธิบายเรื่องราวของหมู่บ้านของท่านต่อ” เฟี๊ยตเอ่ยเมื่อเข้าใจเรื่องราวแล้ว
“หนุ่มสาวมากมายเสียสละตัวเองที่จะออกไปจากหมู่บ้านเพื่อไม่ให้เป็นภาระของคนอื่นในหมู่บ้าน พวกเขาเลือกที่จะออกไปเสี่ยงชีวิตอยู่ข้างนอก ดีกว่าจะต้องมาแย่งอาหารของลูกบ้านคนอื่นกิน วันแล้ววันเล่า ชายหนุ่มและหญิงสาวมากมายต้องเอ่ยลาพ่อแม่และลูกน้อยเพื่อออกไปใช้ชีวิตอยู่ภายนอก เพื่อรอคอยสักวันหนึ่งที่ระฆังศักดิ์สิทธิ์นั่นจะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง รอคอยวันที่จะได้กลับมาหมู่บ้านวาเลนไทน์ของพวกเรา”
“ท่านไม่คิดจะย้ายถิ่นฐานออกไปสู่โลกภายนอกบ้างหรือ ถ้าหากการยึดมั่นอยู่ที่ดินแดนแห่งนี้จะทำให้พวกท่านต้องลำบากขนาดนี้” แทนเอ่ยขึ้นเป็นครั้งแรกอย่างเห็นใจในชายชราที่อยู่เบื้องหน้า
“ชาววาเลนไทน์มีความเชื่ออย่างถึงที่สุดว่า หากผู้ใดได้กระทำความผิดใดๆ ขึ้นแล้ว ผู้นั้นต้องไปสารภาพบาปที่บ่อน้ำแห่งการให้อภัยที่อยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ด้วยตนเอง มิฉะนั้น เขาผู้นั้นจะต้องพบกับความตายที่เจ็บปวดจนถึงที่สุด ไม่มีใครรู้ว่าความเชื่อนี้เป็นความจริงมากแค่ไหน ตำนานนี้มีมาตั้งแต่ปู่ของข้าจำความได้ ถึงแม้ว่าจะไม่ชัดเจนเท่าใดนัก แต่ก็ไม่มีใครอยากท้าทายบัญชาจากเทพเจ้า ลูกบ้านทุกคนพิสูจน์เห็นชัดแล้วว่าตำนานเรื่องระฆังศักดิ์สิทธิ์กับทางเข้าหมู่บ้านเป็นเรื่องจริง การจะให้ปฏิเสธว่าตำนานเรื่องบ่อน้ำแห่งการให้อภัยกับความตายนั้นเป็นเรื่องมดเท็จนั้นเห็นทีจะยาก คำสาปที่ว่าบังคับให้พวกเราหนีไปจากหมู่บ้านแห่งนี้ไม่ได้เลย พวกเราต้องจำใจพลัดพรากกับครอบครัวที่รักเพื่อจะรักษาชีวิตรอดด้านปากท้องไว้เป็นอันดับแรก พวกเราต่างต้องรักษาชีวิตของตนไว้เป็นอย่างดี เพื่อรอวันที่จะได้หวนกลับคืนมาอยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาอีกครั้ง” ชายชราพูดประโยคสุดท้ายพร้อมกับทอดสายตาออกไปทางหน้าต่างที่เปิดออกเผยให้เห็นท้องฟ้าที่แสนดูวังเวงในค่ำคืนนี้
“ข้าผู้เป็นผู้นำของพวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย ได้แต่เฝ้ามองชายหนุ่มและหญิงสาวหอบข้าวของเพื่อออกไปต่อสู้กับโลกภายนอกทุกวันๆ ครอบครัวต้องแตกสาแหรกขาด ครอบครัวของข้าก็เช่นกัน ลูกชายของข้าเป็นหนึ่งในผู้เสียสละเหล่านั้น นี่ก็เป็นเวลาสามปีแล้วที่ข้าไม่เคยได้เห็นหน้าลูกชายอีกเลย มันเป็นความผิดของข้าแท้ๆ ข้าเป็นผู้ใหญ่บ้านที่ไม่อาจช่วยเหลือลูกบ้านได้สักคน” เฟี๊ยตสังเกตเห็นน้ำใสๆ คลออยู่ที่ดวงตาของชายชราผู้นั้นอย่างสุดจะกลั้น หากแต่มันก็ไม่ได้กลั่นออกให้เห็นชัดแต่อย่างใด ราวกับว่าลอซูกำลังใช้ความพยายามอย่างที่สุดที่จะสะกดความอ่อนแอนั่นไม่ให้ใครเห็น
“แล้วพวกเราจะช่วยเหลือหมู่บ้านของท่านได้อย่างไร ลอซู” ปันเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลราวกับตั้งใจจะปลอบประโลมความเศร้าหมองของคนตรงหน้าอยู่ในที
“พวกเราชาววาเลนไทน์ได้ยินตำนานของระฆังนี้มาเป็นอย่างดี พวกเราพยายามทุกวิถีทางที่จะลั่นมันให้ดังขึ้นอีกครั้ง แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครสามารถทำสำเร็จเลย จนพวกเราคิดว่ามันน่าจะเป็นปริศนามากกว่าที่จะเป็นตำนานที่บอกเล่าอย่างตรงไปตรงมา” ลอซูเอ่ยต่อ
“ท่านเลยพาพวกเรามาที่นี่?” เสียงของปันเอ่ยสูงขึ้นเป็นคำถาม
“พวกท่านพิชิตวิหารกุมภาพันธ์ที่พันธนาการไว้ด้วยปริศนาที่ลึกล้ำเกินกว่าจินตนาการของมนุษย์จะไปถึงได้ นั่นแปลว่า สติปัญญาของท่านจะคืนชีพให้ระฆังศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างแน่นอน” ชายชราพูดอย่างมั่นใจ
“ท่านช่วยเอ่ยตำนานให้พวกเราฟังหน่อยได้ไหม” เสียงของเฟี๊ยตเอ่ยขอกับลอซู
“ตามตำนานกล่าวไว้ว่า ยามใดที่ระฆังแห่งวาเลนไทน์เงียบสงัดลงไปด้วยความสิ้นหวังแล้ว ผู้ที่มีคุณสมบัติแห่งวาเลนไทน์ที่แท้จริงเท่านั้นที่จะสามารถสั่นสะเทือนระฆังศักดิ์สิทธิ์นั้นให้กลับมามีชีวิตอีกครั้งได้!”
จากผู้แต่ง : วันไหนแต่งไม่ทันจะมาเม้นบอกไว้นะครับว่างด ห้าห้า งานเยอะจุง แต่งไม่ค่อยจะทันเลย ห้าห้า