บทที่ 79 Ultimate Bar
“ไม่หรอก” เสียงของธันอึกอักขึ้น ระยะที่ใกล้เกินไปทำให้เขาตั้งตัวไม่ค่อยถูกนัก ระดับแอลกอฮอล์ในเลือดทำให้เขาอาจจะลืมไปว่าเขาควรจะบอกให้เพื่อนใหม่คนนี้เขยิบใบหน้าออกไปเสียหน่อย
“จริงๆ ชื่ออะไรนะ กันใช่ไหม กันหล่อนะ ไม่ได้แกล้งชมหรอก” เฟี๊ยตพูดอย่างขึงขัง ราวกับกลัวว่าจะถูกว่าเข้าใจว่าโกหกอย่างนั้น มือของเฟี๊ยตยังคงบิดหน้าธันไปมาอย่างพิจารณา
“ธัน” เขาขัดขึ้น
“นั่นแหละ จมูกนี่โด่งดีแฮะ เป็นสันเชียวทำมาหรือเปล่าเนี่ย น่าอิจฉาจัง” เฟี๊ยตพูดพลางใช้นิ้วมือลูบไปตามจมูกที่ตั้งเป็นสันนั้นของธันอย่างถือวิสาสะ นิ้วมือนั่นบิดปลายจมูกไปมาอย่างเบามือ ราวกับว่าจะพยายามทดสอบข้อสันนิษฐานว่าในวัตถุที่ตนจับอยู่นี้มีสิ่งแปลกปลอมเจือปนมาหรือเปล่า
“เอ่อ ไม่ได้ทำครับ” ธันนั่งตัวเกร็งเมื่อเฟี๊ยตเอามือลูบไปตามใบหน้าขณะนั้น เขาทำตัวไม่ถูก ธันจึงได้แต่นั่งนิ่งๆ พลางเอ่ยคำตอบ ไปตามคำถามเท่านั้น
“ตาหละ ตาสองชั้นสวยมากเลย ตาคมเหมือนพระเอกหนังแขกเลย เดี๋ยวนี้เขาชอบเกาหลีกันไม่ใช่หรอ ทำไมแหวกแนวหละ” เฟี๊ยตไล่นิ้วมาที่ดวงตาคู่นั้นอย่างสนใจ ความเมาในเวลานี้ทำให้เฟี๊ยตลืมเรื่องความเหมาะสมไปจนหมดแล้ว เฟี๊ยตใช้นิ้วดึงหางตาให้หรี่ลงเหมือนเป็นตาชั้นเดียว เฟี๊ยตหัวเราะลั่นเมื่อเห็นหน้าของเพื่อนใหม่ประกอบขึ้นตาเรียวเป็นเส้นเหมือนหมาจิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์ในนิทาน
“เอ่อ ไม่รู้ครับ แม่ให้มาแบบนี้ ไม่ได้ตั้งใจครับ” ธันเอ่ยตอบ เขาเกร็งไปหมดอย่างทำตัวไม่ถูก ชายหนุ่มไม่ได้มีความโกรธที่ถูกยุ่มย่ามอวัยวะบนใบหน้าแม้แต่น้อย อาจจะเป็นเพราะตัวเขาเองในเวลานี้ที่สติสตังก็เริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไหร่ หรืออาจจะเป็นเพราะความเด็กที่มาพร้อมกับความเมาของคนตรงหน้าที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังเล่นกับหลานมือบอนตัวเล็กๆ คนหนึ่ง
“คิ้วนี่ก็เข้มดีนะ ชี้ขึ้นอีก โหวงเฮ้งเป็นคนเจ้าเล่ห์นะเนี่ย หน้าตาแอบขี้โกงนะ คิ้วจริงรึเปล่าเนี่ย ทำไมมันเข้มจัง” เฟี๊ยตขยับนิ้วมาที่คิ้วหนาเข้มคู่นั้น ก่อนจะเอานิ้วถูไปถูมาเพื่อพิสูจน์ข้อสงสัยอย่างตั้งใจ
“เอ่อ มีคนทักเหมือนกันว่าคิ้วเข้ม” เขาแอบถอนหายใจอย่างโล่งใจอยู่ไม่น้อย ที่เด็กโข่งตรงหน้านี่เบนความสนใจไปจากดวงตาเขาเสียที ใจเขากลัวนิ้วซุกซนเหล่านั้นจะทิ่มเข้ามาในดวงตาเขาไม่น้อย
“สรุปให้นะ หน้าตาแบบนี้นี่มันออกไปทางแขกขาวชัดๆ รู้จักชีคเปล่า ชีคตามทะเลทรายอะ ที่ชอบจับเชลยสาวไปข่มขืนเพราะเข้าใจผิด ไม่รู้จักอีกละสิ ไม่ชอบอ่านนิยายสินะ ไม่เป็นไร แต่ยังไงก็หล่อสู้ตี๋อินเทรนด์แบบเฟี๊ยตไม่ได้หรอก สมัยนี้เขาต้องตาตี่ๆ เข้าใจไหม ยิ่งตาเล็กยิ่งหล่อ เข้าใจเปล่า” เฟี๊ยตพูดเองเออเองอย่างเสร็จสรรพ ก่อนจะเอานิ้วกลับมาชี้ดวงตาหรี่เล็กของตัวเองอย่างภาคภูมิใจ
“โอเคครับๆ หล่อครับหล่อ ฮ่าฮ่า” ธันถึงกลับหัวเราะลั่นออกมาอย่างอารมณ์ดี เมื่อคนตรงหน้าวิจารณ์หน้าตาของเขาเสร็จแล้ว ก็สรุปง่ายๆ อย่างเข้าข้างตัวเอง ตัวธันเองไม่รู้หรอกว่าแขกขาว หรือชีคสุดบ้ากามของเฟี๊ยตนั้นหมายถึงอะไร เขารู้สึกเพียงแต่ว่าเด็กน้อยตรงหน้าเขานี่ตลกชะมัด
“กินหมูรึเปล่า ซัน” เฟี๊ยตเอ่ยขึ้นอีกครั้ง หลังจากนั่งเงียบๆ ด้วยความมึนไปพักหนึ่ง หลังจากที่เอาชนะความเมาได้แล้ว เฟี๊ยตก็กลับมาสนใจเขาอีกครั้ง
“หือ หมู? ซัน?” ธันทวนความอย่างงงๆ
“ก็ซันนั่นแหละ กินหมูไหม เห็นปรกติคนแขกเขาไม่กินหมูกัน” เฟี๊ยตเอ่ยขึ้นอย่างขัดใจนิดๆ ที่คนตรงหน้าดูจะเข้าใจอะไรยากไปเสียหน่อย
“ธัน” ชายหนุ่มแย้ง
“นั่นแหละ กินหมูไหม” ดูเหมือนคนตรงหน้านี่จะไม่สนใจจะจำชื่อเขาเลยแม้แต่น้อย
“กิน ผมเป็นพุทธครับ ไม่ใช่อิสลาม” ธันตอบ พร้อมกับหัวเราะขึ้นในใจน้อยๆ เมื่อรู้สึกว่าตัวเองเหมือนถูกสัมภาษณ์งานเข้าไปทุกที ด้วยความเมาของเขาที่ก็มีอยู่ไม่น้อย หลายครั้งก็ทำให้เขาเล่นไปตามบทบาทที่เฟี๊ยตส่งมาให้อย่างถือสนุก
“จริงหรือเปล่า อย่าโกหกนะ เฟี๊ยตเกลียดคนโกหก” เฟี๊ยตพูดขึ้นอย่างกึ่งๆ จะจริงจัง ธันสังเกตเห็นแววตาวูบไหวชั่วขณะหนึ่งตรงประโยคสุดท้าย ก่อนที่มันจะเจือหายไปอย่างรวดเร็ว
“ไม่โกหกครับ กินหมูจริงๆ ครับ” ธันตอบไปตามเนื้อผ้า พลางรอดูปฏิกิริยาว่าเฟี๊ยตจะทำอะไรต่อไป
“ว่ากันว่าพวกแขกนี่จะมีกลิ่นเครื่องเทศแรงนะ” เฟี๊ยตพูดขึ้นพลางหรี่ตาอย่างจับผิด
“ไม่มีครับ ไม่ได้ชอบกินอาหารแนวนั้น” จากความเกร็งในช่วงแรกๆ กลายเป็นความตลกเสียแล้ว ธันปล่อยให้เพื่อนใหม่แปลกหน้าของเขาสัมภาษณ์ตนไปเรื่อยๆ อย่างนั้น
“อย่าโกหก บอกว่าไม่ชอบคนโกหกไง” เสียงของเฟี๊ยตห้วนขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่พอใจ ชายหนุ่มแสดงอาการไม่พอใจทั้งที่ยังคงอาการเมาปนอยู่มาก
“ไม่ได้โกหกครับ ไม่ได้โกหกจริงๆ ฮ่าฮ่า” ธันยกแขนทั้งสองขึ้นอย่างยอมแพ้ เขาหลุดหัวเราะมาอย่างห้ามไม่ได้ เมื่อเห็นคนตรงหน้าที่พยายามจะจับผิดเขา ทั้งๆ ที่ตัวเองดูไม่มีสติหลงเหลืออยู่เลย
“อย่าให้จับได้นะว่าโกหก ไหนลองพิสูจน์ดูหน่อยซิ๊” เฟี๊ยตพูดขึ้นอย่างกังขา พร้อมทำท่าคาดโทษธันอย่างหมายมั่นปั้นมือ ผู้ที่ตกเป็นจำเลยด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องถึงกับยิ้มอย่างอารมณ์ดี แต่เขาก็ต้องหายใจไม่ทั่วท้องอีกครั้ง เมื่อการพิสูจน์ที่เฟี๊ยตหมายถึง คือ การเอาจมูกของเจ้าตัวมาไล่พิสูจน์กลิ่นไปตามร่างกายของเขาอย่างใกล้ชิด สันจมูกที่ไล่วนไปตามแผ่นอกหนาของเขาโดยมีระยะห่างไม่ถึงคืบนั้นทำเอาเขาพูดอะไรไม่ออกเลย
“ไม่มีกลิ่นจริงๆ แฮะ ทาโรลออนมาใช่ไหม อย่าให้รู้นะ” ใบหน้าของเฟี๊ยตยังคงไล่วนไปเรื่อยๆ อย่างจับผิด ธันในขณะนี้ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว เขาเกร็งไปหมดราวกับทำความผิดแล้วจะถูกจับได้อย่างนั้น แต่จริงๆ แล้วเขาไม่ได้ทำอะไรผิดแม้แต่น้อย และเรื่องที่ต้องสงสัยก็เรียกได้ว่าไกลจากคำว่ามีสาระไปไกลเหลือเกิน
“ไหน ไหน ไหน ตรงนี้มีกลิ่นมะ มะ มะ ไหม” เภสัชกรหนุ่มที่กำลังไล่จมูกไปตามซอกคอนั่นเอ่ยขึ้นอย่างตะกุกตะกัก ก่อนที่เสียงจะแผ่วหายไป เฟี๊ยตในเวลานี้หมดแล้วซึ่งสติสัมปชัญญะโดยสมบูรณ์ เขาทิ้งตัวลงในอ้อมอกของทันอย่างไม่ได้ตั้งใจ ชายหนุ่มหลับไปแล้วด้วยฤทธิ์ของสุรานั่น หลับไปโดยไม่ได้คิดเลยว่าได้ปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในอ้อมกอดของชายแปลกหน้าคนหนึ่ง
“ตัวใหญ่ยังกะยักษ์ แต่ทำตัวยังกะเป็นเด็กอนุบาลสอง ฮ่าฮ่าฮ่า” ธันหัวเราะเสียงดังจนคนในผับที่เหลืออยู่อย่างร่อยหรอในเวลากลางดึกเช่นนี้หันมามองกันอย่างสงสัย เขายิ้มอย่างไม่ถือสาเท่าไหร่นัก ธันเองก็เคยรับมือกับเพื่อนที่เมาจนหัวทิ่มแบบนี้มานักต่อนัก แค่คนเมาอีกคนไม่ได้คณามือเขาเท่าใดหรอก
“Huge RELEASE!”
ธันเรียกใช้การ์ดเวทมนตร์ใบหนึ่ง ทันทีที่สิ้นเสียงคำสั่ง แขนข้างขวาของธันก็ขยายขนาดขึ้นเกือบสิบเท่าได้ ราวกับแขนเขาตอนนี้กลายเป็นแขนของยักษ์อย่างใดอย่างนั้น ชายหนุ่มใช้มือที่ใหญ่โตเทอะทะนั่นช้อนตัวเพื่อนใหม่ขึ้นมาอย่างสบายๆ ก่อนจะอุ้มเดินออกจากไปจากบาร์แห่งนั้น โดยมีจุดมุ่งหมายเป็นห้องในโรงแรมแห่งนั้น ตามที่ได้ค้นเจอกุญแจที่ใส่อยู่ในกระเป๋ากางเกงของเฟี๊ยตนั่นเอง
“เดี๋ยววว” เสียงของคนที่เมามายไม่ได้สตินั่นร้องขึ้นเบาๆ หลังจากที่ธันได้ค่อยๆ บรรจงวางตัวเขาลงบนเตียงนุ่มแห่งนั้น ชายเจ้าของแขนยักษ์ที่บัดนี้ค่อยๆ ฟีบลงด้วยหมดฤทธิ์ของการ์ดดังกล่าวแล้ว เลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ อย่างสงสัย เขานึกว่าคนตรงหน้านี้หลับไปแล้วเสียอีก ชายหนุ่มตัดสินใจไม่ลุกขึ้นจากเตียงนั่น และกระเถิบตัวเข้าไปใกล้ๆ เจ้าของเสียง เพื่อฟังความต้องการจากริมฝีปากบางคู่นั้น
“ทำไมกินเหล้าแล้วถึงง่วง รู้ไหม” เสียงจากคนที่ใกล้หมดสติคนนั้นพึมพำออกมาด้วยเสียงราวกับกระซิบ
“หืม ไม่รู้สิ” เขาที่ทรุดตัวนั่งอยู่ข้างๆ คนที่ดูเหมือนกำลังละเมออยู่นั้น ต้องกระเถิบตัวเข้าไปเพื่อฟังเสียงที่ดูจะเบาแสนเบานั่น เขาตอบคำถามอย่างงงๆ และไม่รู้ถึงเจตนาของคำถามนั้นเลย
“Alcohol acted as a allosteric regulator of GABA receptors coupling on chloride channels. Interact with binding sites, Alcohol enhanced association of GABA that caused influx of chloride. Because of augmentation of chloride depolarization of nervous system resulted in somnolance.” เสียงนั่นพึมพำออกมาด้วยภาษาอังกฤษที่สำเนียงชัดเปรี๊ยะ
“เป็นหมอหรอเนี่ย ไอ้น้อง ฮ่าฮ่า” ธันหลุดขำพรืดออกมาอย่างสุดจะกลั้น เขาเห็นคนเมามาตั้งหลายแบบแล้ว ยังไม่เคยเห็นคนเมาแล้วบ้าวิชาการมาก่อนเลย
“ไม่เป็นหมอ เป็นเภสัช ได้ยินไหม” สองมือนั่นกวาดสะเปะสะปะไปมา ราวกับพยายามจะหาคนที่พูดด้วยอยู่ตอนนี้ ตาคู่นั้นดูปรือขึ้นน้อยๆ อย่างพยายามลืมเปลือกตาขึ้น แต่สุดท้ายก็ปล่อยให้ปิดลงดังเดิม ฤทธิ์ของความมึนเมาอาจจะหนักไปในเวลานี้
“งั้นผมขอบอกว่าคุณเภสัชพูดผิดแล้วว่าแอลกอฮอล์ทำให้ง่วงหนะ” เขาเอ่ยแย้งขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่จริงจัง
“ไม่จริง ห้ามเถียง ห้ามเถียงเภสัชเรื่องยารู้ไหม” น้ำเสียงนั่นดูจริงจังขึ้นมานิดหน่อย แต่ก็ยังฟังดูอ้อแอ้อยู่ดี
“เถียงได้ เพราะคุณเภสัชไม่เห็นหลับสักที เพราะฉะนั้น แปลว่าคุณเภสัชพูดผิด ถูกไหม” เขาเอ่ยตอบไปอย่างนุ่มนวล ราวกับกำลังจะส่งเด็กตัวน้อยๆ เข้านอนฉะนั้น
“จริง เพราะเภสัชกำลังจะ...” เสียงคำสุดท้ายเลือนหายไปพร้อมกับนิทรารมณ์ของเภสัชกรเอาแต่ใจคนนั้น ธันได้แต่ส่ายหัวอย่างตลกๆ ในพฤติกรรมที่ดูเหมือนจะไร้เดียงสาของเด็กตัวโตนั่น การได้คุยกับคนตรงหน้านี้ในวันนี้ ทำให้เขายิ้มได้มากกว่าที่เคย
‘หิวน้ำ’ ความคิดแรกของเฟี๊ยตแวบขึ้นมาทันทีหลังจากรู้สึกตัวขึ้นในเช้าวันรุ่งขึ้น อาการเมาค้างยังตามหลอกหลอนเขาอยู่ในตอนนี้
“Book!” เสียงแหบพร่าของเขาร้องสั่งพร้อมกับแตะมือไปที่นาฬิกาหรือเจ้าเกมคอนโทรเลอร์คู่ใจนั่นเอง
“Book!” เสียงของเขาเรียกซ้ำอีกครั้งอย่างหงุดหงิด เมื่อไม่มีสมุดปรากฏตัวขึ้นอย่างที่ควรจะเป็น
เฟี๊ยตลืมตาขึ้น ก่อนจะสะบัดหัวอย่างช้าๆ เพื่อเรียกสติกลับมาอีกครั้ง เขากวาดตามองไปรอบๆ ในเวลานี้ก่อนจะพบว่านี่ไม่ใช่โรงแรมสไตล์คันทรี่นั่นที่เขาจำได้รางๆ ว่าเขาเช็คอินเมื่อคืนนี้ แต่นี้มันเป็นคอนโดกลางใจเมืองกรุงเทพมหานครนั่นเอง
ชายหนุ่มจำได้ว่าเมื่อคืนเขาเมามาก และเกือบถูกอันธพาลกลุ่มหนึ่งรุมสกรัมเขา แต่มีชายปริศนาคนหนึ่งมาช่วยเขาไว้อย่างหวุดหวิด และหลังจากนั้น เขาก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย จากมโนสำนึกของเขา เขารู้สึกว่า เขายังไม่ได้เอ่ยขอบคุณชายผู้นั้นแม้แต่ครั้งเดียว เฟี๊ยตรู้สึกว่าเขาควรจะเอ่ยขอบคุณคนๆ นั้นในเช้าวันนี้ ซึ่งน่าจะเป็นช่วงที่สติสัมปชัญญะของเขาสมบูรณ์พร้อมที่สุด แต่ในตอนนี้ เขากลับตื่นขึ้นเสียแล้ว เฟี๊ยตสบถออกมาอย่างหัวเสีย เขาตื่นขึ้นมาในเวลาที่ไม่สมควรที่สุด กว่าที่เขาจะกลับเข้าเกมอีกครั้งคงกินเวลาร่วม 2 อาทิตย์ในเกม ถึงตอนนั้น เขาจะไปหาผู้มีพระคุณคนนี้ที่ไหน เขายังไม่รู้เลย!
จากผู้แต่ง : เสาร์หน้าจะไปสอบแล้วววว อาทิตย์หน้าอาจจะไม่ได้ลงทุกวันนะครับ ขอค๊องหน่อย ฮือออ