บทที่ 65 Answer
เฟี๊ยตทิ้งกายลงอย่างหมดแรง แค่ได้ฟังว่าจะต้องตายจริงๆ ใจของเขามันก็หวิวอย่างบอกไม่ถูก เขานั่งกอดเข่าพลางเอาหน้าซบลงกับหัวเข่าอย่างสิ้นหวัง ชายหนุ่มได้แต่ปล่อยความคิดให้ล่องลอยออกไปไกลอย่างช้าๆ บางที เขาก็ไม่อยากรับรู้อะไรสักพักหนึ่ง เฟี๊ยตปิดดวงตาคู่นั่นลงอย่างเหนื่อยอ่อน เขาได้ยินถึงเสียงทะเลาะกันเล็กๆ น้อยๆ จากเพื่อนร่วมทีมทั้งสองคนที่ดังขึ้นราวกับมาจากที่ที่ไกลแสนไกล และเพียงชั่วอึดใจเดียวเท่านั้น เภสัชกรหนุ่มก็ตกลงสู่ห้วงภวังค์อย่างไม่ทันรู้สึกตัว
‘ไบเบิ้ล เฟี๊ยตไม่อยากตาย ไบเบิ้ลพอจะมีเบาะแสอะไรอีกไหม ที่จะช่วยให้คิดคำตอบนี่ได้’ เสียงของเฟี๊ยตร้องดังขึ้นในใจ ดูเหมือนว่าตอนนี้ไบเบิ้ลคือสิ่งยึดเหนี่ยวเดียวของเขา เพราะว่าเพื่อนทั้งสองคนดูเหมือนจะถอดใจกันไปหมดแล้ว ทันทีที่เฟี๊ยตรู้สึกตัว คนแรกที่เฟี๊ยตเลือกจะปรึกษาจึงเป็นไบเบิ้ลที่จนถึงบัดนี้ เขาก็ยังไม่รู้เลยว่ามันเป็นเพียงวัตถุชิ้นหนึ่ง หรือว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความรู้สึกนึกคิดเช่นเดียวกันกับเขา
“อยากได้ข้อมูลด้านไหน นายท่าน” ไบเบิ้ลตอบเขากลับมาอย่างรวดเร็ว
“อะไรก็ได้ที่มีประโยชน์ ไบเบิ้ล อะไรก็ได้” เฟี๊ยตพูดออกมา โดยที่สายตาจับจ้องไปที่ช่องบนเพดานที่มีแสงสว่างลอดลงมานั่นอย่างเลื่อนลอย
“ขอเวลาสักครู่ นายท่าน”
“ไบเบิ้ลสงสัยมานานแล้วเรื่องวิธีการตอบคำถามของปริศนานี่ นายท่าน ไบเบิ้ลลองเจาะเข้าไปในระบบวิศวกรรมของวิหารนี่ แล้วก็พบว่าพื้นผนังรอบข้างเราที่เป็นรูปผู้คนในอิริยาบถต่างๆ นี่สามารถถูกกดให้ยุบตัวลงไปได้ ทั้งๆ ที่ผนังส่วนอื่นในวิหารนี่ไม่มีคุณสมบัติดังกล่าวเลย ไบเบิ้ลสันนิษฐานว่า จริงๆ แล้ววิธีการตอบคำถามนี่ ไม่ใช่การตอบโดยคำพูด แต่น่าจะเป็นการตอบโดยการกดสัมผัสมากกว่า” การ์ดคู่ใจของเขาสันนิษฐานออกมาอย่างน่าสนใจ
‘หืมม แล้วพอจะมีข้อมูลเรื่องลวดลายบนฝาผนังพวกนี้บ้างไหม’ เฟี๊ยตที่ขณะนี้ตื่นเต็มตาเป็นที่เรียบร้อยเริ่มถามต่ออย่างมีความหวัง
“ลวดลายบนฝาหนังนี่ถูกสร้างขึ้นเลียนแบบประติมากรรมฝาผนังจากวัดสุวรรณดาราราม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แต่ถูกดัดแปลงให้เข้ากับยุคสมัยโดยการแต่งเติมเรื่องราวในโลกปัจจุบันเข้าไป แต่ยังยึดถือใจความสำคัญไว้เช่นเดิม” ไบเบิ้ลตอบ
‘ใจความสำคัญ ใจความสำคัญเรื่องอะไรหรอไบเบิ้ล’ ความคิดของเฟี๊ยตแล่นไปอย่างรวดเร็ว
“พุทธประวัติ นายท่าน” ไบเบิ้ลตอบขึ้นตรงกับสิ่งที่ชายหนุ่มคิดไว้อยู่แล้วอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
‘แปลว่าคำตอบนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับพุทธประวัติอย่างนั้น ใช่หรือเปล่า’ เฟี๊ยตถามขึ้นอย่างยินดี เขาพอจะมีเค้ารางแห่งความหวังขึ้นมาอีกครั้ง
“ตามข้อสันนิษฐานของไบเบิ้ลนะ นายท่าน” เสียงนั่นดังขึ้นอย่างราบเรียบแต่มั่นคง
“อะไรเอ่ยเหมือนกับระฆังทั้ง 4 ที่ทำให้ผู้คนออกจากความไม่รู้” เฟี๊ยตเอ่ยพึมพำกับตนเองอยู่อย่างนั้น เขาแปลความหมายจากบทกวีดังกล่าวคร่าวๆ ได้ดังนี้ หลายสิ่งหลายอย่างผ่านเข้ามาในสมองเขา เขาเริ่มทบทวนกลับไปที่คำตอบต่างๆ ที่เขาเคยเอ่ยตอบไปหมดแล้วทั้งสิ้นนั้น ด้วยคิดว่า ความจริงแล้วเขาอาจจะเคยตอบคำตอบที่ถูกต้องไปแล้วก็ได้ เพียงแต่วิธีการตอบของเขาอาจจะผิดตามที่ไบเบิ้ลว่า จึงทำให้เขาหลุดออกไปจากที่แห่งนี้ไม่ได้สักที
คำตอบแรกที่เขาตอบไปคือการศึกษา เพราะเขาคิดว่าวิธีการขจัดความไม่รู้ คือการทำให้รู้ นั่นก็คือการเรียนรู้หรือการศึกษานั่นเอง หลังจากที่คำตอบนี้ผิด เขาก็คิดถึงปัญญา เพราะปัญญาก็เป็นสิ่งที่ทำให้ความไม่รู้หายไปได้ แต่คำตอบนี้ก็ยังคงเป็นคำตอบที่ผิดอยู่ดี
ปันเคยเอ่ยถามเขาถึงคำแปลของความหมายของคำว่าอัตตา ซึ่งเขาก็ตอบออกไปว่า มันหมายถึงความเป็นตัวตน ปันในขณะนั้นก็บ่นกับเขาว่าไม่เคยได้ยินศัพท์คำนี้มาก่อนเลย และนั่นทำให้เขาจับสังเกตได้ว่า คำดังกล่าวมักจะใช้ในทางพุทธศาสนาเท่านั้น เบาะแสดังกล่าวทำให้เขาคิดหนักว่าคำตอบที่เขาตามหาน่าจะเกี่ยวข้องกับศาสนาพุทธ และเมื่อพูดถึงการกำจัดความไม่รู้ ใจเขาก็คิดถึงการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดเป็นอย่างแรก นั่นหมายถึง อริยสัจ 4 ยิ่งคำตอบดังกล่าวไปพ้องตรงกับคำว่าทั้ง 4 ในบทกวีด้วยแล้ว เขายิ่งมั่นใจมากขึ้นไปอีก แต่สุดท้าย คำตอบเหล่านั้นก็เป็นคำตอบที่ผิดอยู่ดี
เมื่อไบเบิ้ลชี้เบาะแสให้เห็นถึงการตอบปัญหาอีกวิธีแล้ว ใจเขาก็หวนกลับไปคิดถึงคำตอบเหล่านั้นทันที การศึกษา ปัญญา และอริยสัจ 4 แต่ดูเหมือนคำตอบเหล่านั้นจะเป็นนามธรรมเสียมากกว่า จนเขาไม่รู้จะเชื่อมโยงเรื่องราวบนผนังกำแพงนี่ให้เข้ากับคำตอบได้อย่างไร
‘ไบเบิ้ลมีอะไรแนะนำไหม’ เขาเอ่ยถามเพื่อนคู่ใจอย่างต้องการความคิดเห็น
“ไบเบิ้ลลุ้นอยู่ตั้งนาน นึกว่านายท่านจะไม่ถามเสียแล้ว” เสียงนั่นตอบกลับมาราวกับว่าโล่งใจที่เขาถามออกมาจนได้
‘ทำไมหรอไบเบิ้ล มีอะไรสำคัญที่เรายังไม่รู้หรือเปล่า’ เฟี๊ยตถามต่ออย่างรัวเร็ว
“ไบเบิ้ลคิดว่านายท่านแปลความหมายตกไปบางช่วงนะนายท่าน บทกวีบอกว่าระฆังดังเตือนสติไม่ใช่หรอนายท่าน ไม่ใช่ดังจนทำให้ผู้คนออกจากความไม่รู้” ไบเบิ้ลเอ่ย
‘เอ๊ะ ต่างกันยังไงหรอไบเบิ้ล’ ผู้เป็นนายถามต่อมาอย่างฉงน
“ต่างสินายท่าน เตือนให้ออกจากความไม่รู้ กับทำให้ออกจากความไม่รู้ ต่างกันมากนะนายท่าน ตามบทกวีนี่ ระฆังทั้ง 4 ไม่ได้ทำให้หลุดพ้นจากอวิชชาได้ เพียงแต่ช่วยร้องเตือนให้ผู้คนมีสติเฉยๆ” ไบเบิ้ลอธิบาย
‘เดี๋ยวก่อนนะ ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่บอกเราตั้งแต่ต้น ปล่อยให้เราหลงงมอย่างไม่มีทิศทางมาตั้งหลายวันหลายคืนนะ ไบเบิ้ล’ เขาเอ่ยขึ้นอย่างตัดพ้อน้อยๆ
“นายท่านไม่เคยเรียบเรียงคำแปลที่นายท่านคิดแม้แต่ครั้งเดียว ไบเบิ้ลจึงไม่อาจรู้ได้ว่านายท่านกำลังสันนิษฐานสิ่งใดอยู่ แต่ถ้าหากนั่นเป็นความผิดของไบเบิ้ล ไบเบิ้ลขออภัย”
“ช่างมันเถอะ เราผิดเอง อย่าคิดมากเลย”
เฟี๊ยตลงขึ้นจากบริเวณที่เผลอนั่งฟุบหลับไปเมื่อกี้อย่างมุ่งมั่น พลางเดินสำรวจไปรอบๆ ห้องที่ไม่เล็กไม่ใหญ่นั้น สายตาของเขากวาดไปตามฝาผนังนั่นอย่างครุ่นคิด ทันทีที่เขาลุกขึ้นนั้น เพื่อนทั้งสองก็หันมาที่เขาอย่างสงสัย ก่อนจะลุกขึ้นมาสมทบที่เขา เฟี๊ยตเล่าเรื่องข้อสันนิษฐานของไบเบิ้ลให้ปันกับแทนฟัง ทั้งคู่ยิ้มขึ้นอย่างมีความหวังทันทีที่ฟังจบ พร้อมกับช่วยกันคาดเดาถึงคำตอบที่น่าจะเป็นไปได้ที่จะถูกแกะสลักไว้บนหินแกร่งเหล่านี้
“ขอเราทดสอบอะไรหน่อยนะ” เฟี๊ยตหันไปพูดกับเพื่อนทั้งสองที่พยายามช่วยกันคิดคำตอบออกมากกันให้มากที่สุด เพื่อนทั้งสองไม่พูดอะไรขึ้นอีก ปันและแทนหันมายิ้มกว้างให้กับเขาอย่างเชื่อใจ เฟี๊ยตมองรอยยิ้มเหล่านั้นอย่างรู้สึกดี เขาเล่าเรื่องที่เขาแปลความหมายบทกวีผิด จนเดาคำตอบกันไปผิดทางกันไปหมด แต่ก็ไม่มีคำตำหนิใดๆ หลุดออกมาจากปากของเพื่อนทั้งสองเลย ยิ่งนับวันความผูกพันระหว่างพวกเขาก็ก่อตัวขึ้นจนดูจะไกลเกินกว่าแค่เพื่อนในเกมจะมีมิตรภาพให้กันและกันได้ พวกเขารู้สึกราวกับว่ารู้จักกันมานานแสนนาน
เฟี๊ยตค่อยๆ เดินไปรอบห้องๆ เลียบไปตามกำแพงดังที่ได้หมายตาไว้ ก่อนจะกดลงไปที่บริเวณที่คาดเดาไว้ว่าจะเป็นคำตอบของคำถามที่ว่านี้ ทันทีที่มือของเขากดลงที่ภาพดังกล่าว มันก็ยุบตัวลงเข้าไปในพื้นผนังราวกับว่ามีกลไกรองรับอยู่ฉะนั้น
ภาพแรก ภาพของชายชราที่นั่งอยู่เดียวดายภายในคฤหาสน์ที่ยิ่งใหญ่ไปด้วยทรัพย์ศฤงคารอันมากมายจนนับไม่ถ้วน ภาพที่สอง ภาพของผู้ป่วยโรคระบาดที่เน่าเฟะไปด้วยแผลพุพองอันน่ารังเกียจ ภาพที่สาม ภาพของงานฌาปนกิจแด่ผู้ที่ล่วงลับที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศกเสียใจของผู้ที่ยังคงอยู่ และภาพสุดท้าย ภาพของสมณเพศผู้บำเพ็ญทุกขกิริยาที่ผ่ายผอมจนดูเหมือนหนังแห้งๆ ที่หุ้มกระดูกไว้อย่างใดอย่างนั้น
“ความแก่ ความเจ็บ ความตาย และสมณะ เทวทูตทั้ง 4 ตามหลักพระพุทธศาสนา เทวทูตที่มีหน้าที่ตักเตือนให้มนุษย์รู้จักถึงความไม่แน่นอนของชีวิต เพื่อที่จะได้เร่งเจริญสติภาวนาให้ได้หลุดพ้นจากความไม่รู้ หลุดพ้นจากสังสารวัฏแห่งการเวียนว่ายตายเกิด!”
เมื่อภาพสุดท้ายเลื่อนลงไปตามแรงกดของเขาสำเร็จ ปาฏิหาริย์ที่พวกเขารอคอยก็ปรากฏชัดขึ้นในดินแดนแห่งความสิ้นหวังแห่งนั้น หีบปริศนาลอยตัวสูงขึ้นกลางอากาศ ก่อนจะเปล่งประกายสีทองบริสุทธิ์ขึ้นเจิดจรัสไปทั่วห้องแคบๆ แห่งนั้น พวกเขาเดินตรงไปที่วัตถุนั่นพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย เฟี๊ยตกอดคอเพื่อนทั้งสองไว้ด้วยความยินดีจนถึงขีดสุด วันคืนที่แสนจะไร้ซึ่งความหวังที่ผ่านมา บัดนี้ มันได้จบลงแล้ว เขาไม่ต้องทนอยู่ในคุกแคบๆ นี่อีกต่อไป
หีบสีทองอร่ามนั่นค่อยๆ เผยอส่วนของฝาที่ปิดเอาไว้ ช่องแคบที่ค่อยๆ กว้างขึ้นนั้นเผยแสงสีทองอร่ามจากภายในที่บัดนี้ออกมาสาดส่องไปทั่วห้องลับของวิหารแห่งนั้น และเมื่อฝาของภาชนะนั่นเปิดกว้างออกจนสุด วัตถุที่ส่องประกายระยิบระยับชิ้นหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นมาในสายตาของพวกเขาทั้งสาม มันเป็นสร้อยคอเส้นหนึ่งที่เปล่งประกายแวววาวไปด้วยอัญมณีล้ำค่าที่ตรึงตาคนที่มองดูอยู่ได้อย่างชะงัดนัก เฟี๊ยตได้แต่บอกตัวเองว่า ตั้งแต่เกิดมาเขาก็เคยมีโอกาสได้พบเห็นเครื่องประดับล้ำค่ามาบ้างอยู่ไม่น้อย แต่นี่ถือได้ว่าเป็นชิ้นที่ตระการตาเขามากที่สุด งดงามที่สุด และมีค่าทางความรู้สึกของเขามากที่สุด เพราะมันต้องแลกมาด้วยกับความรู้สึกที่ไม่อาจประเมินค่าได้เลย
จากผู้แต่ง : หายไปสิบวัน เที่ยวต่างจังหวัด 3 วัน ประชุมนอกสถานที่ 3 วัน คอนเสิดอีก 1 วัน สังสรรค์กับเพื่อนอีก 3 วัน
กลับมาแล้วครับผมมมม คิดถึงกันบ้างไหมมม ผจญภัยกันต่อเลยครับบบบบ