บทที่ 99 Deal
“เฮ้ออ รอดมาจนได้” เฟี๊ยตบ่นพึมพำอย่างเหนื่อยอ่อน เขาทิ้งตัวลงบนพื้นหญ้านั่นอย่างหมดแรง บ่ายนี้เขามีแต่เรื่องชวนระทึกขวัญจนแทบจะไม่ได้หายใจหายคอ ตั้งแต่สู้กับครูของเขาในความฝัน เจรจาชิงตัวประกันกับไอ้หน้าโหด ประลองฝีมือกับไอ้เด็กกวนประสาท และก็ยังมาเจอกับแขกที่ไม่ได้รับเชิญจอมวางระเบิดนี่อีก เฟี๊ยตถอนหายใจออกมายาวเหยียด จนป่านนี้ พระอาทิตย์ก็ฉายแสงอัสดงใกล้ลงลับของฟ้าเสียแล้ว
“ได้ไงอะ งง” ธันเอ่ยแย้งมาอย่างไม่เข้าใจ เขาเริ่มรู้สึกว่าเพื่อนคนนี้ลึกลับซับซ้อนเกินกว่าเขาจะเข้าถึงเสียแล้ว ที่เขาสงสัยที่สุดคือการเคลื่อนที่ครั้งสุดท้ายของเจ้านกนั่นที่เข้าไม่เข้าใจเหตุผลเลย
“นกมันวิ่งมากินน้ำ พอดีปล่อยกับดักปลาตกเบ็ดไว้ กินปุ๊บฮุบปั๊บ อย่างที่เห็นนี่แหละ” เฟี๊ยตพูดอย่างคร่าวๆ ด้วยความเหน็ดเหนื่อยทำให้เขาไม่มีแรงพยายามจะอธิบายอะไรออกไปมาก
“ทำไมนกมันต้องกินน้ำ ไม่เข้าใจ อธิบายดิ อย่าอมภูมิ ตอบบบ” ธันที่เห็นว่าเฟี๊ยตดูเหมือนจะตัดบทง่ายๆ เสียอย่างนั้น รีบพยายามเซ้าซี้ด้วยความสงสัย
“เบลลาดอนน่ายับยั้งระบบพาราซิมพาเทติก” เฟี๊ยตกล่าวสั้นๆ พร้อมกับทิ้งตัวลงบนพื้นหญ้านุ่มอย่างหมดแรง เขาปล่อยตัวเองให้ซึมซับบรรยากาศรอบกายที่ดูเหมือนจะอยู่ในบ้านพักต่างอากาศสุดหรูนั่น ทุ่งหญ้า ต้นสน และภูเขาที่อยู่ลิบๆ ออกไปกำลังขับกล่อมให้เขาอารมณ์ดี
“ขอภาษาคน” ธันเถียงมาสั้นๆ ด้วยเช่นกัน เด็กหนุ่มทิ้งตัวลงกับพื้นหญ้าเช่นเดียวกับเขา ร่างโปร่งนั่นเอามือทั้งสองข้างมาหนุนที่หัว และหลับตาน้อยๆ อย่างผ่อนคลาย
“เบลลาดอนน่าเป็นยาพิษที่ฆ่าคนได้ก็จริง แต่ถ้าไม่ตาย อาการที่สำคัญคือปากแห้ง คอแห้งมาก ใจสั่น มึนงง และสับสน มันคงทำตามสันชาตญานของมันที่ต้องการจะให้พ้นความทรมานนั้นเสีย สัตว์คงจะมีความยับยั้งชั่งใจน้อยกว่า และไม่คิดว่าน้ำที่มีอยู่แหล่งเดียวนี่จะเป็นกับดัก”
เฟี๊ยตตอบอย่างคร่าวๆ โดยเลือกจะเว้นเรื่องราวทางวิชาการที่มากเกินไปออกเสีย เบลลาดอนน่าเป็นต้นไม้ที่มีอาการข้างเคียงเหมือนกับยาแก้แพ้ที่เอาไว้ลดน้ำมูกทั้งหลายทั้งแหล่ คนกินจะคอแห้งมากจนแทบจะเป็นผง แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือหัวใจที่สั่นและทำงานหนัก ความกดดันที่บีบคั้นนั่นจะผลักดันให้ทำอะไรโดยใช้ความคิดน้อยลงเป็นแน่แท้ คนเราหรือแม้กระทั่งสัตว์ก็ไม่เว้นทั้งสิ้นที่เวลาป่วยแล้วจะเหลือสติสัมปชัญญะในการคิดก่อนทำลดน้อยลง
“ทารุณกรรมสัตว์” ธันพูดอย่างกล่าวหามาอย่างสั้นๆ และคำพูดดังกล่าวก็ทำให้เฟี๊ยตถึงกับหัวเราะคิกออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ เฟี๊ยตยิ้มออกมาอย่างสบายๆ การอยู่ใกล้ธันทำให้เขาเหมือนได้ย้อนวัยอย่างไรบอกไม่ถูก ก่อนหน้านี้มีคนชอบบอกว่าเขาเหมือนท่อนไม้ ไม่ค่อยแสดงความรู้สึก ไม่ค่อยแสดงอารมณ์ แต่พอเจอกับธันทำให้เขาหลุดจากกรอบตัวเองที่เผลอขีดไว้อย่างไม่รู้ตัว เขายิ้ม เขาหัวเราะ เขาหงุดหงิด เขาอารมณ์เสีย จนบางที เขาก็ยังแปลกใจตัวเองว่าตนเป็นคนที่ปล่อยให้คนอื่นเห็นอารมณ์ที่แท้จริงของตัวเองมากถึงเพียงนี้เชียวหรอ
“แล้วไอ้ที่ขว้างดาบจะตัดหัวมันนี่เรียกว่าเอ็นดูใช่ปะ ไอ้กาก ฮ่าฮ่า” เฟี๊ยตโต้ออกมาอย่างติดตลก เจ้าเด็กนี่ทำให้เขากลายเป็นคนช่างต่อปากต่อคำอย่างไม่รู้ตัว
“อย่างน้อยมันก็จะตายอย่างสงบน่า ชึ้บเดียวจบ ไม่ใช่ต้องมาทรมาทรกรรมแบบนี้ไง ฮ่าฮ่า” ธันเถียงอย่างเอาสีข้างถูไปเรื่อย
“หรา” เฟี๊ยตตอบสั้นๆ พร้อมทำหน้าเชื่อถือเสียเต็มประดา
“ใช่ดิ ว่าแต่เครื่องกรองน้ำที่หลุดออกมานี่ตั้งใจหรือว่าบังเอิญ” ธันหันตัวกลับมา พร้อมจ้องนัยน์ตาคู่นั้นไปในแววตาของเขาอย่างสำรวจ
“เจตนาดิ ความบังเอิญไม่เคยพาใครไปสู่ชัยชนะหรอก แถบนี้มีแหล่งน้ำน้อยมาก เรียกได้ว่ามีอยู่แหล่งเดียวด้วยซ้ำ และที่ที่ว่าก็ห่างออกไปมาก ถ้าเราไม่สร้างโอกาสขึ้นมาเสียเอง ก็เป็นการยากที่แผนการจะประสบความสำเร็จได้” เฟี๊ยตตอบออกมาโดยตรง
“แล้วทำไมตอนนั้นถึงโวยวายซะใหญ่โตว่าหยิบการ์ดออกมาผิด นี่เล่นใหญ่ตลอดเลยนะ” ธันพูดออกมา โดยที่ยังคงเผยยิ้มกว้างอยู่อย่างนั้น
“ไม่เคยได้ยินหรอที่เขาบอกกันว่า การจะหลอกศัตรูให้สำเร็จต้องเริ่มจากการหลอกพวกเดียวกันก่อน” เฟี๊ยตแย้งพร้อมกับยิ้มมุมปาก ราวกับว่าสะใจที่ได้หลอกคนตรงหน้านี่ไปด้วย
“เคย แต่ไม่คิดว่าคนนี่จะใจร้าย แม้แต่สัตว์หน้าขนก็ยังหลอกลวงมันได้ลงคอ!” ธันกระแทกเสียงมาราวกับว่าจงใจตำหนิ แต่ดวงหน้านั้นก็ยังคงรอยยิ้มสดใสไว้ไม่เปลี่ยน
“ไม่ว่าจะคน สัตว์ หรืออะไรก็ตามที่มีความรู้สึกบนโลกใบนี้ มันถูกโปรแกรมขึ้นมาจากความรู้สึกของมนุษย์ทั้งนั้น เพียงแต่คนสร้างเกมเขาจะกำหนดให้มันมีความเป็นคนมากแค่ไหนต่างหาก ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่สัตว์ก็ประมาทไม่ได้ ยิ่งเป็นไพ่สูงสุดด้วยแล้ว มันอาจจะฉลาดกว่าคนแท้ๆ ก็เป็นได้” เฟี๊ยตอธิบายออกมายาวเหยียด
“พอๆๆ เลิกเลกเชอร์ได้แล้ว ผมไม่ใช่ลูกศิษย์ในห้องเรียนรวมนะครับ ฮ่าฮ่า” ธันกล่าวพร้อมกับเสียงหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะยกมือขึ้นทำท่ายอมแพ้
“มาเล่นเกมถามตอบกัน” เฟี๊ยตเอ่ยขึ้นเรียบๆ ขณะที่ยังคงนอนยาวเหยียดอยู่บนพื้นหญ้าในยามพระอาทิตย์ใกล้ตกดินอย่างนั้น เขาไม่ได้หันไปมองคู่สนทนาแม้แต่นิดเดียว
“เล่นยังไง” ธันถามออกมาสั้นๆ ทั้งๆ ที่เขาก็ไม่ได้หันไปมองหน้าอีกฝ่ายด้วยเช่นกัน
“คนถามก็ถาม คนตอบก็ตอบ ง่ายแค่นี้เอง” เฟี๊ยตพูดอธิบายกติกานั่น
“ผลัดกันใช่ไหม” ธันถามกลับ
“นายเป็นใคร” เฟี๊ยตไม่ตอบรับ หากแต่ตัดสินใจถามกลับมาทันที
“นักศึกษาปีหนึ่งโง่ๆ จนๆ คนหนึ่ง กำลังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยของรัฐแถบชานเมืองที่แดดร้อนมากพอจะเอาพลังงานแสงอาทิตย์ไปขับเคลื่อนเครื่องบินเจ็ทได้ ตอบแบบนี้พอใจไหม” ธันตอบออกมา หลังจากเงียบไปสักพักหนึ่ง เขากำลังเรียบเรียงอะไรบางอย่างอยู่ในสมองนั่น
“เรียนคณะอะไรเหรอ” เฟี๊ยตเอ่ยซัก
“สถาปัตยกรรมศาสตร์ครับคุณครู มีใครเคยบอกไหมครับว่าคุณเฟี๊ยตเหมือนคุณครูฝ่ายปกครองเลยครับ” เสียงนั่นเอ่ยเจื๊อยแจ้วอย่างกึ่งๆ ประชด
“พูดมากน่า ฮ่าฮ่า” เฟี๊ยตหัวเราะน้อยๆ
“ขอถามบ้างได้ไหม คำถามเดียวกัน” ธันเอ่ยมาบ้าง
“เภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยของรัฐแถบกลางเมืองที่แดดไม่ค่อยร้อน แต่รถติดเหมือนมีถนนเป็นลานจอดรถ ไม่ต้องถามว่าปีอะไร เพราะว่าเรียนจบแล้ว” เฟี๊ยตตอบออกมายืดยาว
“เล่นเกมนี้ทำไม” ธันเอ่ยถามขึ้นมาก่อนหลังจากเงียบกันไปพักหนึ่ง
“อยากเอาชนะ” เฟี๊ยตตอบออกมาจากเนื้อแท้ เงินรางวัลที่ใครต่อใครพูดถึงนั่นดูจะไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับเขาเท่าไหร่ เกียรติยศและความภาคภูมิใจต่างหากที่ผลักดันให้เขามาตกระกำลำบากอยู่ทุกวันนี้
“นายหละ” เฟี๊ยตเอ่ยถามกลับบ้าง
“อยากได้ของรางวัล” ธันตอบสั้นๆ เขารู้สึกได้ว่าน้ำเสียงนั่นเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ดูเหมือนเจ้าตัวก็สามารถกลบเกลื่อนมันได้อย่างรวดเร็ว
“งก” เฟี๊ยตเอ่ยมาสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงไม่จริงจัง
“คนเรามีเหตุผลในการใช้ชีวิตไม่เหมือนกันหรอก” ธันเอ่ยแย้ง ก่อนที่ต่างฝ่ายจะต่างจมอยู่ในความคิดของตนเอง
“คิดจะลงแข่งขันชิงการ์ดสูงสุดประจำเดือนของเมืองกุมภาพันธ์ไหม” เฟี๊ยตเอ่ยขึ้นอย่างไม่มีที่มาที่ไป
“อะไรนะ” ธันเอ่ยขึ้นอย่างไม่มั่นใจ เนื่องจากยังตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองอยู่
“คิดจะลงแข่งขันชิงการ์ดสูงสุดประจำเดือนของเมืองกุมภาพันธ์ไหม” เฟี๊ยตเอ่ยย้ำอีกครั้งอย่างช้าและชัดเจนทุกถ้อยคำ
“เคยได้ยินมาเหมือนกัน แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจ” ธันตอบตามตรง
“ลงแข่งด้วยกันไหม เดือนนี้หัวข้อการแข่งต้องลงแข่งขันเป็นคู่ ลองดูสักหน่อยก็คงไม่เสียหาย” เฟี๊ยตเอ่ยชวน
“ทำไมต้องเป็นธัน” ฟังไม่เหมือนจะเป็นคำถาม ดูคล้ายจะเป็นคำเปรยออกมามากกว่า
“โล่และหลุมพรางที่มีอยู่เข้มแข็งพอแล้ว ขาดแต่ดาบและปืนมาทำให้การรบสมบูรณ์” เฟี๊ยตตอบโดยใช้อุปมาโวหารอย่างนั้น
“ไม่เรียกว่าพี่นะ เรียกว่าเฟี๊ยตเฉยๆ ก็พอ” ธันตอบกลับมาอย่างไม่สอดคล้องกับประโยคก่อนหน้าเท่าไหร่ หากแต่ชายหนุ่มอีกคนก็เข้าใจดี
“ได้!” เภสัชกรหนุ่มตอบรับสั้นๆ
“OK Deal!”
จากผู้แต่ง : อย่าลืมอ่านเม้นต่อไปนะครับ จากใจคนแต่ง >///<