บทที่ 100 The Duet
“ถ้าจะลงสมัครการแข่งขันชิงการ์ดสูงสุดประจำเดือนต้องทำอย่างไรบ้างครับ” เฟี๊ยตเอ่ยขึ้นที่บ้านหลังเล็กหลังหนึ่งที่ไบเบิ้ลบอกว่าเป็นจุดรับสมัครผู้เข้าร่วมแข่งขันในเดือนนี้ หลังจากที่เมื่อคืน เขาและธันอาศัยค้างคืนกลางป่าแห่งนั้นนั่นเอง
“ข้อกำหนดของเดือนนี้เป็นการแข่งขันคู่นะคะ คู่ต้องเป็นผู้เล่นด้วยค่ะ ไม่สามารถใช้คู่เป็นการ์ดหรือว่าตัวละครในเกมได้นะคะ” หญิงสาวคนเดียวในบ้านแห่งนั้นเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม การที่คนตรงหน้านี่รีบแจ้งกติกาออกมาแบบนี้ อาจจะเป็นเพราะมีคนเข้าใจผิดกติกาอยู่มากก็เป็นได้
“ผมมีคู่ครับ” เฟี๊ยตเอ่ยพลางเบี่ยงตัวให้เห็นธันที่ยืนรื้อสมุดการ์ดเพลินๆ อยู่เบื้องหลัง สาวน้อยคนนั้นกวาดตามองอย่างพินิจราวกับว่าดวงตาของเธอนั้นสามารถตรวจสอบได้ว่าคนตรงหน้าเป็นผู้เล่นจริงหรือเปล่า ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างยินดี
“กรอกใบสมัครได้เลยค่ะ กรอกทั้ง 2 คนเลยนะคะ ในที่สุดก็ครบเสียที” หญิงสาวคนนั้นยิ้มออกมาอย่างเปิดเผย พร้อมยื่นใบสมัครออกมาตรงหน้า 2 ใบ เมื่อธันได้ยินคำพูดดังกล่าวจึงเดินมาตรงหน้าเคานเตอร์เพื่อทำการกรอกใบสมัครนั่นด้วย
“ครบ?” เฟี๊ยตเอ่ยขึ้นอย่างเป็นคำถาม
“อ๋อ การแข่งขันมีกฎอยู่ว่าต้องมีผู้เข้าแข่งขันอย่างน้อย 8 คนหรือ 8 ทีมค่ะ ถึงจะเริ่มจัดการแข่งขันได้ แต่เดือนนี้มีเกิดปัญหาอย่างหนัก คือมีผู้เข้าร่วมน้อยมากจนไม่สามารถเปิดการแข่งขันได้ แต่พอคุณสองคนเข้ามาสมัครก็จะครบ 8 ทีมพอดีค่ะ ทางเราจะได้เริ่มจัดการแข่งขันพรุ่งนี้เลย” หญิงสาวนั้นตอบออกมาอย่างง่ายๆ
“พรุ่งนี้!” เสียงของเฟี๊ยตหลุดออกมาอย่างตกใจ เขาไม่คิดว่ามันจะรวดเร็วขนาดนี้ เขาคิดว่าจะมีเวลาซ้อมและวางแผนมากกว่านี้เสียอีก หากแต่ธันหันมาดูเขาเพียงนิดเดียว ก่อนจะกลับไปสนใจใบสมัครตรงหน้าต่อ ราวกับว่าเรื่องการแข่งที่ค่อนข้างกะทันหันนี้ ไม่ใช่เรื่องน่าตกใจแต่อย่างใด
“ทำยังไงดีธัน พรุ่งนี้จะแข่งแล้ว ยังไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย” เฟี๊ยตบ่นกับธันด้วยน้ำเสียงปนร้อนรนนิดๆ หลังจากจัดการลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวคนนั้นแจ้งกติกาให้ทราบคร่าวๆ คือ หนึ่งทีมจะประกอบด้วย 2 คน ต้องเอาชนะ 2 คนให้ได้ถึงจะชนะเกม โดยในแต่ละรอบ ผู้เล่นแต่ละคนใช้การ์ดตัวตนได้ 2 ใบ การ์ดเวทมนตร์ 1 ใบ และการ์ดพรสวรรค์ไม่จำกัดจำนวน
“วิธีการเดียวที่จะถือว่าชนะ คือ ต้องสังหารคู่ต่อสู้ให้ได้ทั้งสองคนค่ะ ผู้เล่นที่ตายในการประลองจะไม่ต้องไปเริ่มเกมใหม่ แต่จะถูกข้ามเวลาไปยังถึงตอนจบการแข่งขันเท่านั้นค่ะ” เสียงของหญิงสาวคนนั้นยังก้องกังวานไปมาในหัวเขาอย่างนั้น ที่ถึงขั้นต้องฆ่าต้องแกงกันจริงๆ เลยเหรอเนี่ย
“ใจเย็นๆ เฟี๊ยต บริหารเวลาดีๆ ยังไงก็พอ เคยจับคู่กันสู้กับนกยูงนั่นมาแล้ว คงเข้าใจรูปแบบการสู้ของอีกคนอยู่พอสมควร ที่เหลือก็แค่มานั่งคุยกันเรื่องไพ่ กลยุทธ์ต่างๆ อาจจะลอกซ้อมอีกนิดหน่อย ทันอยู่แล้ว อย่าคิดมาก”
ธันพูดอย่างสบายๆ เฟี๊ยตหันไปมองหน้าธันอย่างประหลาดใจเล็กน้อย บางเวลาธันก็ดูจะเป็นเด็กขี้เล่นที่ไม่รู้จักโต ยียวนกวนประสาทเขาได้ตลอดเวลา แต่บางเวลาธันก็เป็นเหมือนเพื่อนคนหนึ่งที่รู้จักตัวเขาเป็นอย่างดี อย่างเช่นในเวลานี้ที่เขาตกอยู่ในภาวะประหม่าอย่างห้ามไม่ได้ หากแต่คนตรงหน้าก็ไม่แสดงท่าทีเล่นๆ หรือไร้สาระแต่อย่างใด หากแต่พูดปลอบใจเขาอย่างเรียบๆ และใจเย็นอย่างนั้น
‘จริงๆ แล้ว นายเป็นคนอย่างไรกันแน่หนอ ธัน คนที่ช่วยตัวเขาเอาไว้ในค่ำคืนนั้น คนที่เขาช่วยชีวิตเอาไว้เมื่อวานนี้ หรือคนที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขานี่ ใครกันแน่คือธันที่แท้จริง’ เฟี๊ยตรำพึงในใจอย่างสับสน ก่อนจะสะบัดหัวไล่ความฟุ้งซ่าน และรีบสาวเท้าเดินตามเพื่อนร่วมทีมไป เมื่อธันบอกว่าจะจัดโปรแกรมฝึกซ้อมสำหรับการต่อสู้แบบทีมคู่ ที่พวกเขากำลังจะต้องลงสนามจริงในวันพรุ่งนี้
“รู้จักจักระไหม” ธันเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ เฟี๊ยตปล่อยให้ธันเป็นอาจารย์ในด้านการต่อสู้ไป เขาต้องยอมรับจริงๆ ว่าเขาไม่ใช่สายบู๊เลย การเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ จากผู้ที่ดูจะเชี่ยวชาญทางด้านการรบราฆ่าฟันตรงหน้านี่ ดูจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
“บ้าง ครูปรุงยาคนก่อนเคยสอนมา แต่ไม่มาก ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับการปรุงยาเสียมากกว่า” เฟี๊ยตตอบ เภสัชกรหนุ่มเลือกที่จะข้ามเรื่องที่เขาฝึกควบคุมจิตด้วยตัวเองไปเสีย เขาไม่มั่นใจว่ามันเป็นวิธีที่ถูกต้องพอที่จะเอามาบอกเล่าหรือเปล่า
“เท่าที่ดูในการต่อสู้ก็ใช้ได้ดีนี่ แต่อาจจะยังรวมจิตได้ไม่นิ่งเท่าไหร่ ฝึกตอนนี้อาจจะไม่ทันแล้วสำหรับวันพรุ่งนี้ แต่ที่อยากจะให้ฝึกคือ ฝึกทายใจเพื่อนร่วมทีมโดยดูจากจักระที่ใช้ ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีหลักการตายตัว แต่ความคุ้นเคยในรูปแบบจักระจะพอบอกเราได้ว่า เพื่อนของเรากำลังจะทำอะไรต่อไป” ธันอธิบายให้เขาฟัง
“ใช้ไพ่ติดต่อกันโดยตรงไม่ง่ายกว่าหรอ” เฟี๊ยตแย้งขึ้นมาอย่างเห็นต่าง
“นั่นแปลว่าเราจะต้องเสียไพ่ตัวตนหรือไพ่เวทมนตร์ไปโดยใช่เหตุ การเดาใจนี่แหละ ถึงแม้ว่าจะยาก แต่ถ้าคุ้นเคยกันดีแล้ว มันจะกลายเป็นพื้นฐานของการต่อสู้เป็นทีมไปเลย” ธันเล่าให้ฟังอย่างเรียบๆ เด็กชายจอมยียวนกวนประสาทคนนั้นหายไปไหนแล้วนะ?
“ขอดูไพ่ที่ใช้บ่อยๆ หน่อย” เฟี๊ยตเอ่ยขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยกับธัน ในขณะที่ตนเองหยิบไพ่ของตนที่ใช้บ่อยๆ ออกมาถือในมืออยู่แล้ว
“จะได้จัดการซ้อมทายใจการใช้ไพ่ได้ถูก อีกอย่างจะได้วางแผนกลยุทธ์ในการต่อสู้ด้วย” เฟี๊ยตเอ่ยขึ้นบ้าง เขาตั้งใจจะวางแผนการต่อสู้ล่วงหน้าไว้ทั้งหมด อย่างน้อย ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เก่งกาจอะไรมากมายนัก แต่ตั้งแต่ต่อสู้มา เขาก็ไม่เคยหลุดแผนการสักครั้งเดียว
“ไพ่ที่ใช้บ่อยที่สุดก็น่าจะเป็น the sword of Hydra ไพ่นี้เป็นไพ่พรสวรรค์ที่ได้มาตั้งแต่เริ่มเกม ปรกติมันจะเป็นดาบขนาดยักษ์อย่างที่เคยเห็นแหละ แต่สามารถเปลี่ยนไปเป็นดาบคู่ก็ได้ แต่ความยาวมันจะสั้นเหลือประมาณข้างละเมตรเดียว ไม่รู้ว่ามันจะเปลี่ยนไปเป็นแบบอีกได้หรือเปล่า เพราะยังไม่รู้วิธีเหมือนกัน ว่างๆ ว่าจะลองไปปรึกษาร้านขายอาวุธดู” ธันหยิบไพ่สีทองที่เฟี๊ยตเคยเห็นจนชินตาออกมาให้เขาดูอย่างง่ายๆ พร้อมกับอธิบายอย่างไม่มีอะไรปิดบังทั้งสิ้น เฟี๊ยตหรี่ตามองชื่อของไพ่ใบนั้นอย่างพิจารณา
“ได้ มันต้องเปลี่ยนสภาพได้อีกแน่ๆ” เฟี๊ยตเปรยออกมาอย่างมั่นใจ
“หืมม” ธันหันมามองหน้าเขาอย่างสนใจ
“ไฮดราเป็นชื่อของปีศาจในเทพนิยายชนิดหนึ่ง มันมี 6 หัวด้วยกัน อีกอย่าง ไฮดราก็เป็นชื่อสัตว์ขนาดเล็กชนิดหนึ่งอีกด้วย ซึ่งมันก็มี 6 หนวด คำว่าไฮดราจึงคล้ายจะเป็นคำพูดแสดงถึงเลข 6 ไปโดยปริยาย ถ้าให้เดานะ มันต้องกลายสภาพได้ 6 แบบแน่ๆ แต่วิธีจะทำให้ได้นั้น เป็นอย่างไรก็ไม่รู้เหมือนกันนะ” เฟี๊ยตเอ่ยออกมาตามความรู้สึกตัวเอง เขาค่อนข้างมั่นใจในสมมติฐานที่ว่าพอสมควรเลยทีเดียว
“interesting!” ธันพึมพำออกมาด้วยแววตาเป็นประกาย เด็กหนุ่มอุทานแสดงความสนใจออกมา แต่ก็ไม่ได้กล่าวคำใดเพิ่มเติมขึ้นมาอีก
“แล้วไพ่นักสร้างเมืองนี่ใช้ทำอะไรได้บ้าง อธิบายหน่อย เผื่อจะเอามาประยุกต์กับไพ่อื่นๆ ได้” เฟี๊ยตเอ่ยต่ออย่างต้องการทำเวลา เวลาสำหรับการเตรียมการในศึกนี้น้อยเหลือเกิน
“ไพ่นักสร้างเมืองเป็นไพ่พรสวรรค์ที่ใช้สร้างสิ่งก่อสร้างอะไรก็ได้ขึ้นมาในการต่อสู้ ข้อเสียของมันคือ มันต้องใช้จิตในการควบคุมสูงมาก มากจนแทบจะใช้การ์ดอื่นไม่ได้เลย ต้องรีบปิดเกมให้เร็วที่สุด ไม่งั้นจะไม่เหลือจิตไปใช้ในตอนท้ายๆ เกมเลย ซึ่งถ้าปล่อยให้เลยเถิดจนถึงขั้นนั้น ก็เรียกได้ว่าปิดประตูชนะได้เลย” ธันอธิบาย
“สร้างอะไรได้บ้าง” เฟี๊ยตถามต่อ พร้อมกับหัวสมองที่แล่นไปอย่างรวดเร็ว ภาพการใช้ไพ่ของเขากับธันสร้างกลยุทธ์ใหม่ๆ ขึ้นมาวนเวียนไปในหัวเขาอย่างรวดเร็ว เภสัชกรหนุ่มคลี่ยิ้มออกมาอย่างนึกสนุก
ธันไม่ตอบคำถามดังกล่าว หากแต่เลือกจะย่อตัวลงไปนั่งกับพื้นบริเวณสวนหย่อมที่พวกเขาหารืออยู่นั่น พร้อมกับใช้ไม้ขนาดไม่สั้นไม่ยาวนักลากไปบนพื้นเป็นรูปทรงสิ่งก่อสร้างต่างๆ มากมาย เฟี๊ยตกวาดตามองอากัปกิริยาเหล่านั้นอย่างทึ่งๆ เพราะถึงแม้จะเป็นเพียงรูปวาดประกอบคำพูดเล่นๆ เท่านั้น หากแต่ลายเส้นที่ละเลงอยู่บนพื้นดินกรวดในเวลานี้ก็สวยงามจนเขาต้องยอมรับฝีมืออยู่ในใจ
‘ไม่น่าเชื่อว่าพวกนักเลงหัวไม้นี่จะเก่งวาดภาพระบายสีกับเขาด้วยแฮะ ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ’ แน่นอน เฟี๊ยตรำพึงอยู่เพียงในใจเท่านั้นเอง ไม่มีทางที่คำพูดชื่นชมเหล่านี้จะหลุดออกจากปากเขาให้คนตรงหน้าได้ยินได้เลย
ช่วงเวลาของปฏิบัติเริ่มขึ้นอย่างเข้มข้น หลังจากที่เฟี๊ยตอธิบายไพ่ของฝ่ายตนให้ธันรู้จักบ้าง เขาไล่ไปตั้งแต่ไบเบิ้ล โกเลมทราย และไพ่ยาพิษที่อาจารย์ทิ้งไว้ให้เขาเป็นของดูต่างหน้า จริงๆ เขาอยากจะอธิบายให้มากและละเอียดกว่านี้ แต่ธันก็ปัดโอกาสเหล่านั้นไปเสีย แล้วบอกแต่เพียงว่าเรื่องแผนการกลยุทธ์การรบให้ฝ่ายบุ๋นอย่างเขาเป็นคนจัดการแต่เพียงผู้เดียว
การฝึกเริ่มต้นที่การเรียกใช้การ์ดที่ชินมือของแต่ละฝ่ายออกมา แล้วให้เพื่อนร่วมทีมที่กำลังหลับตาอยู่นั้นจับถึงจิตสั่งการให้ออกให้ได้ว่าเพื่อนเรียกใช้การ์ดอะไร ในเกือบครึ่งชั่วโมงแรกนั้น เฟี๊ยตทายไพ่ไม่ถูกแม้แต่ใบเดียว ด้วยความที่ยังจับจุดของทักษะนี้ไม่ได้ แต่หลังจากผ่านไปสักพักหนึ่ง เขาก็พบว่าการตรวจสอบจักระมีลักษณะคล้ายกับการดมกลิ่นนั่นเอง คือมันต้องใช้ประสาทสัมผัสโดยตรง อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้เลย มันเหมือนความคุ้นเคยที่เวลาเราได้กลิ่นกุหลาบ ภาพดอกไม้นั้นก็จะลอยมาในหัวเอง ผ่านไปกว่าชั่วโมง เฟี๊ยตก็ทำสำเร็จจนได้ เพียงเขาจับจักระที่ธันเรียกใช้ ภาพการ์ดที่ธันเรียกใช้ก็ลอยขึ้นมาในความคิดเขาอย่างอัตโนมัติทันที
แผนการรบของพวกเขาคืบหน้าต่อไปที่การวางแผนกลยุทธ์ พวกเขาต้องต่อสู้ทั้งหมด 3 ครั้งด้วยกัน จาก 8 เหลือ 4 จาก 4 เหลือ 2 และจาก 2 เหลือ 1 เฟี๊ยตตัดสินใจที่จะเปลี่ยนกลยุทธ์ในการสู้ทุกครั้งที่ลงสนาม ด้วยคิดว่าผู้เข้าแข่งขันมีจำนวนเพียงหยิบมือเดียว ทุกครั้งที่มีการแข่งขัน ต่างฝ่ายต่างก็คงเห็นฝีมือกันจนหมดสิ้น การจะใช้ลูกเล่นแบบเดิมเพื่อเอาชนะคู่ต่อสู้ใหม่ๆ นั้นเป็นไปแทบไม่ได้เลย
เฟี๊ยตหยิบการ์ดของตนและของธันออกมาวางคู่กันเพื่อเรียบเรียงกลยุทธ์ที่จะใช้ในแต่ละรอบให้ธันฟังช้าๆ เขาอธิบายตั้งแต่จังหวะการเรียกการ์ด การสนับสนุนเพื่อนร่วมทีม ไปจนถึงท่าทางที่จะต้องแสดงออกให้คู่ต่อสู้เห็น ธันได้แต่เบิกตากว้างมองเฟี๊ยตอย่างประหลาดใจระบบความคิดที่ซับซ้อนเกินบรรยายนั้น ตัวธันเองเคยเห็นผู้เข้าแข่งขันเกมนี้มาก็มาก แต่ไม่เคยมีใครที่เขารู้สึกว่าไม่น่าตั้งตนเป็นศัตรูเท่ากับคนตรงหน้านี้อีกแล้ว ไม่ใช่ที่พลังรบ เพราะเฟี๊ยตนั้นนับได้ว่าเป็นนักสู้เพียงระดับกลางเท่านั้น หากเอาชนะด้วยกำลังก็คงจะไม่ยากเท่าไหร่ แต่สิ่งที่สำคัญไปกว่านั้นคือกำลังสมองของคนตรงหน้านี้ต่างหาก ขอบเขตของระบบความคิดของจอมวางยาคนนี้ดูกว้างใหญ่และลึกล้ำเกินกว่าคนทั่วไปจะสัมผัสได้ เฟี๊ยตฉลาดมาก บางที อาจจะฉลาดมากกว่าที่ตัวเองจะรู้เสียด้วยซ้ำ!
“ลำดับต่อไปจะเป็นการแข่งขันประลองยุทธ์คู่เปิดสนามของเดือนนี้ ขอเชิญผู้เข้าแข่งขันบนเวทีได้เลยค่ะ” เสียงพิธีกรหญิงประกาศลั่นขึ้นในตอนสายๆ ของการแข่งขันในวันรุ่งขึ้น มือของเฟี๊ยตสั่นน้อยๆ ขาทั้งสองข้างพาตัวเขาขึ้นไปยืนเด่นเป็นสง่าคู่กับเพื่อนร่วมทีมอีกคนอยู่บนเวที การชิงชัยเพื่อการ์ดสูงสุดกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว!
จากผู้แต่ง : ตอนนี้อาจจะงงๆ แปร่งๆ ไปบ้างนะครับ ผู้แต่งกำลังเจอมรสุมชีวิตอย่างหนัก แต่ก็ไม่อย่างอู้มากไปกว่านี้ อิอิ อย่าติมากนะ อ่านแล้วเสียกำลังใจ ไว้ว่างๆ จะกลับมาเกลาใหม่ครับ
ปล. ครบร้อยตอนจนได้นะเรื่องนี้ เห้อ ให้ความรู้สึกเหมือนลูกกำลังจะเข้ามัธยม แบบว่าดูโตแล้ว แต่ก็ยังต้องส่งเสียกันต่อไป จบเรื่องเมื่อไหร่คงได้ความรู้สึกเหมือนลูกออกเรือนไปแต่งงาน ห้าห้า