ด้วยพันธะบรรณาการ
By: Dezair
……………………..
บทที่ 12
สนธยานั่งนิ่งอยู่บนเตียงด้วยเพราะตื้อตันไปทั้งหัว เขาเคยได้รับคำชมจากเหล่านายทหารผู้เป็นครูบาอาจารย์ว่ามีไหวพริบ คล่องแคล่ว ว่องไว แต่…มาวันนี้…สนธยารู้แล้วว่าความฉลาดของเขายังน้อยนิดนักหากเทียบกับความเจ้าเล่ห์ของผู้เป็นมารดา
“อรุณา…ไม่ใช่น้องของกระหม่อมหรอกหรือ…” เขาตั้งคำถามเสียงแผ่วหวิว ความจริงที่ได้รับรู้วันนี้ ก่อความรู้สึกหนักอึ้งในหัวใจมากเหลือประมาณ แม้อรุณาจะไม่เคยมีความหวังดีต่อเขาเลย แต่เมื่อคิดถึงช่วงเวลาในวัยเยาว์ที่เคยนั่งรับประทานอาหารด้วยกัน หรือออกไปเที่ยวด้วยกันแล้ว สนธยาก็อดไม่ได้…
…อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียดาย…อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจ…
…มันจะดีกว่านี้ไหม หากว่าเขาไม่รู้ มันจะดีกว่านี้ไหม หากอรุณาไม่ละโมบโลภมากจนพาไปสู่จุดจบของนางในวันนี้…
“นางไม่ใช่น้องของเจ้า ไม่ใช่พี่ของทิวาและอุษา”
“แล้วเสด็จแม่รับเลี้ยงนางทำไม” สนธยาเงยหน้าถาม
หากคิดในทางกลับกันแล้ว ถ้าราชินีวารีวาทไม่รับเลี้ยงอรุณามาเป็นธิดาแต่แรก ไม่มอบฐานันดรให้นางเป็นองค์หญิงพระองค์แรกแห่งราชสำนักสมุทราให้แก่นาง นางคงเป็นเพียงสตรีธรรมดาสามัญชน และอาจมีความสุขกับวิถีชีวิตอันเรียบง่าย ไม่ทะเยอทะยาน ไม่ละโมบโลภมาก ไม่ปองร้ายใคร วันนี้…นางอาจจะยังมีลมหายใจ มีความสุข และมีความสงบไปจนถึงบั้นปลาย…
ราชินีวารีวาทนิ่งงันไปเล็กน้อยเมื่อโอรสเงยพักตร์ขึ้นสบเนตรกับพระองค์ ก่อนจะขยับโอษฐ์ตอบเสียงเรียบกลับไป
“เพราะแม่อยากให้นางมาเป็นคู่แข่งของเจ้า”
“เสด็จแม่!”
“สมุทรามีกฎมณเฑียรบาลในการสืบทอดบัลลังก์คือจะต้องมอบให้แก่ธิดาองค์โต แต่แม่อยากให้เจ้าเป็นราชาคนแรกของสมุทรา เจ้าก็รู้ ด้วยความสามารถของเจ้า ด้วยลักษณะนิสัยของเจ้า ถ้าเจ้าได้เป็นราชา ได้ปกครองสมุทรา สมุทราจะร่มเย็น…”
“แต่ราชสำนักจะลุกเป็นไฟ” สนธยาสวนอย่างแข็งกร้าว ดวงเนตรจับจ้องด้วยความเจ็บปวดเหลือแสนที่ต้องรับรู้เรื่องราวโหดร้ายของมารดาที่ชักจูงสตรีผู้หนึ่งเข้ามาเป็นหมาก
…หมากเพื่อให้พระองค์ได้ขึ้นเป็นองค์ราชันย์แห่งสมุทราอย่างนั้นหรือ…ราชสำนักอยู่ในอุ้งหัตถ์ของราชินีวารีวาทมาแต่ไหนแต่ไร เพียงแค่ต้องการให้โอรสอย่างพระองค์ขึ้นครองราชย์ต่อ ไม่เห็นมีความจำเป็นอะไรที่จะต้องใช้หมากอย่างอรุณาเลยสักนิด…
“ราชสำนักจะไม่ลุกเป็นไฟ เพราะแม่รู้ว่าเจ้าจะปกครองด้วยความเย็นช่ำดุจสายน้ำ”
“เสด็จแม่รู้จักกระหม่อมดีเหลือเกิน…” สนธยากล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบราวกับทบทวน
…หากราชินีวารีวาทคิดจะทำสิ่งใดในสมุทราแล้ว ไม่มีความจำเป็นเลยที่จะต้องใช้หมากใช้เบี้ย หนำซ้ำไม่ต้องใช้เวลาอย่างสิ้นเปลืองชุบเลี้ยงธิดาที่ไม่ใช่ลูกของตนให้เติบใหญ่เพียงพอเพื่อที่จะให้กลายมาเป็นคู่แข่งและผลักดันโอรสองค์โตให้ขึ้นเป็นองค์ราชันย์องค์แรกของสมุทรา…ราชินีวารีวาทผู้ยิ่งใหญ่ไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะต้องทำเช่นนั้น ในเมื่ออำนาจสูงสุดของสมุทราอยู่ในหัตถ์ของพระองค์…
สนธยาเหลือบเนตรขึ้นมองราชินีผู้เป็นมารดาด้วยสายเนตรเย็นเยือกราวกับท้องทะเลก่อนพายุใหญ่จะพัดกระหน่ำ
“…แต่เหตุใดพระองค์จึงไม่รู้ว่ากระหม่อมไม่เคยมองอรุณาเป็นคู่แข่งสักครั้ง พระองค์คือราชินีแห่งสมุทรา มองฟ้าก็รู้ดิน พระองค์รู้เหตุการณ์ล่วงหน้า พระองค์ทรงทำนายได้แม่นยำ พระองค์รู้แต่แรกว่าบัลลังก์นี้จะไม่มีวันมาถึงมือกระหม่อมใช่ไหมพระเจ้าค่ะ พระองค์ไม่ได้ทรงเลี้ยงอรุณามาเพื่อเป็นคู่แข่งของกระหม่อม…”
ราชินีวารีวาทสบเนตรของโอรส สนธยาเม้มโอษฐ์แน่นดวงเนตรจับจ้องสบเนตรสีเดียวกับพระองค์
“เสด็จแม่…ทรงเลี้ยงอรุณาเพื่อเป็นข้ออ้างในการส่งกระหม่อมมาอยู่ที่อนันตราชต่างหาก เสด็จแม่ทรงรู้ดีเรื่องที่เสด็จพ่อเคยขอสัญญาจากกษัตริย์วิภูเรื่องที่กษัตริย์แห่งอนันตราชจะช่วยเหลือสมุทราหากมีความจำเป็น พระองค์ทรงรู้ดีว่าถ้าหากกษัตริย์วิภูทรงทราบเรื่องที่พี่น้องในราชวงศ์สมุทราเกลียดชังกัน กษัตริย์วิภูจะยินยอมให้เชื้อพระวงศ์คนใดคนหนึ่งลี้ภัยมาอาศัยใบบุญของอนันตราช ดังนั้น…ของบรรณาการในครั้งนี้ ที่สมุทราถวายแก่อนันตราชไม่ใช่หอยมุกแก่ตัวนั้น!! แต่คือตัวกระหม่อมเอง!!! เป็นตัวกระหม่อมที่เสด็จแม่ตั้งพระทัยจะส่งออกมาจากสมุทรา!! และอรุณาคือคนที่ถูกเลี้ยงดูขึ้นมาเพื่อเป็นข้ออ้างในการส่งกระหม่อมออกมา!!!”
ดวงเนตรสีอ่อนของราชินีวารีวาทมีแวววูบไหวเพียงเสี้ยวอึดใจ โอษฐ์บางขยับเผยอเหมือนจะตรัสอะไรบางอย่าง แต่ก็หุบลงตามเดิมราวกับชั่งใจอยู่อีกครู่ แล้วจึงยอมเอ่ยออกมา
“มีขุนนางนายทหารหลายคนเคยบอกแม่ว่า เจ้าคือคนที่ฉลาดที่สุดในบรรดาพี่น้องทั้งหมด แม่เห็นทีต้องยอมรับโดยดุษณีก็วันนี้”
“เสด็จแม่ทรงทำเช่นนี้เพื่ออะไร เพื่อให้กระหม่อมไกลจากบัลลังก์สมุทราอย่างนั้นหรือ”
“…และเพื่อให้ใกล้บัลลังก์อนันตราช” ราชินีวารีวาทต่อความ ทำเอาสนธยาถึงกับเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ
“เจ้าก็รู้ องค์สน…สมุทราเป็นเกาะเล็กๆ ถึงแม้วันนี้จะร่ำรวยแต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะมั่นคงในภายภาคหน้า หากวันนี้เราผูกสัมพันธ์ต่ออนันตราชไว้ มีแต่จะได้กับได้ก็เท่านั้น”
“เสด็จแม่…” สนธยาได้แต่ครางด้วยคาดไม่ถึงกับเรื่องที่ได้ยิน
“องค์เตชมีใจปฏิพัทธ์ต่อเจ้า เรื่องนี้เจ้าก็รู้ จงใช้จิตใจของเขาให้เป็นประโยชน์ ชักจูงเขาด้วยสถานะคู่สมรส ทำให้อนันตราชสนับสนุนสมุทราทุกเรื่อง โดยเฉพาะด้านการทหาร”
“สมุทราก็มีทัพเรือ เหตุใดจึงต้องให้อนันตราชช่วยเหลือ…” สนธยาย้อนถาม
“พวกตะวันตกมองสมุทราเป็นทรัพย์กลางทะเล กองทัพเรือเพียงอย่างเดียวของเราอาจไม่เพียงพอสำหรับภายภาคหน้า ไม่เกินสิบปีหลังจากนี้ ถ้าเรายังมีแค่ทัพเรือ พวกนั้นจะล้อมเกาะเราเอาไว้ แล้วเมื่อถึงเวลานั้น จะไม่มีใครช่วยเหลือเราได้อีก”
“เสด็จแม่ถึงได้ส่งกระหม่อมมาอนันตราช ย้ำกับกระหม่อมนักหนาว่าแม้จะถอดยศองค์ชายแห่งสมุทราออกแล้ว แต่กระหม่อมก็ยังเป็นลูกหลานชาวสมุทราไปจนตาย เสด็จแม่ไม่ได้ตรัสเพื่อให้กระหม่อมระลึกถึงบ้านเกิดเมืองนอน แต่เรียกร้องให้กระหม่อมตอบแทนคุณแผ่นดินด้วยวิธีมากเล่ห์”
โอรสองค์โตที่ต้องมารับรู้ความจริงและแบกรับการเรียกร้องของมารดาได้แต่เบือนพักตร์ออกไปอีกทางอย่างเจ็บช้ำ ยามคิดถึงความรู้สึกจริงใจที่แสนมั่นคงของเตชินทร์ที่มอบให้เขาเสมอมา นับตั้งแต่เขาเหยียบแผ่นดินอนันตราช
…เตชินทร์ช่วยเหลือเขาอย่างเต็มใจ แต่เป็นมารดาของเขาเองที่ใช้ความรู้สึกของเตชินทร์เป็นเครื่องมือสร้างผลประโยชน์ให้แก่สมุทรา…
สนธยาหลับตาลงอย่างอ่อนล้าทั้งกายและใจ…ถ้าจะต้องรับรู้เรื่องพวกนี้ สู้ไม่รู้อะไรเลยยังจะดีเสียกว่า…ไม่น่าเลย ต่อว่าต่อขานว่าอรุณาละโมบโลภมาก หากแต่แท้จริงแล้ว คนที่โลภยิ่งกว่าอรุณาก็คือราชินีวารีวาท…
“แม่ไม่ได้เรียกร้องจากเจ้า องค์สน…แม่แค่…บอกในสิ่งที่เจ้าถาม เจ้าถามว่าแม่ส่งเจ้ามาที่นี่ทำไม แม่ก็บอกเจ้าแล้ว จากนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป นั่นก็ขึ้นอยู่กับเจ้า เจ้าจะทนอยู่เฉยยามมองออกมาจากตำหนักหลวงของอนันตราชที่แสนหรูหราตระการตาแล้วเห็นสมุทรา เห็นคนที่เจ้ารัก เห็นสิ่งที่เจ้ารักล่มจมลงต่อหน้าได้ไหมเล่า” ราชินีวารีวาทตรัสด้วยน้ำเสียงที่แสนเล่ห์ร้าย ดวงเนตรสีอ่อนส่อประกายชอบอกชอบใจเมื่อเห็นโอรสองค์โตนิ่งขึงไปทั้งร่าง
“เอาเถอะ ในฐานะที่เจ้าเป็นลูกรักของแม่ แม่จะบอกแผนการของแม่ให้เจ้าฟังหนึ่งอย่าง หลังเสร็จสิ้นเรื่องอรุณาแล้ว แม่จะแต่งตั้งทิวาเป็นแม่ทัพกองเรือ ส่วนอุษา…แม่จะให้เรียนรู้เรื่องบ้านเมือง”
“เสด็จแม่จะให้อุษาครองบัลลังก์หรือพระเจ้าค่ะ” สนธยาถาม ทว่าไม่มีคำตอบใดๆ ราชินีวารีวาทมีเพียงรอยสรวลเบาบางบนมุมโอษฐ์
“แม่คิดว่าเจ้าควรจะพักผ่อนได้แล้ว” สตรีผู้กุมอำนาจสูงสุดในสมุทราตรัส ก่อนจะลุกขึ้น
“เสด็จแม่ กระหม่อมขอทูลถามเป็นครั้งสุดท้าย”
“…อรุณา…สิ้นแล้วจริงหรือ” สองสายเนตรทอดสบกัน ฝ่ายหนึ่งเต็มไปด้วยคำถามและต้องการคำตอบ ทว่าอีกสายเนตรหนึ่งกลับนิ่งเรียบราวกับท้องทะเลที่ไร้คลื่น ทว่าก่อนที่เจ้าของเนตรจะได้กล่าวอะไรนั้น เสียงจากนอกห้องก็ดังขึ้น
“องค์ชายเตชินทร์เสด็จ!”
ราชินีวารีวาทเลิกขนงเล็กน้อย ขณะที่ทอดเนตรสบกับเนตรของโอรส เรียวโอษฐ์อวบอิ่มขยับยกยิ้มบางเบาทว่าแลดูชอบใจ
“เรื่องอรุณาไม่ใช่เรื่องของเจ้า เรื่องของเจ้าคือเรื่ององค์ชายเตชินทร์ ถึงเวลาที่เจ้าจะต้องตัดสินใจแล้ว ลูกรัก” ราชินีวารีวาทตรัสเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหมุนองค์เสด็จออกจากห้องพักผ่อน สนธยายังนั่งนิ่งอยู่ที่เตียง ได้ยินเสียงแว่วๆของผู้เป็นมารดากับเจ้าของตำหนักทักทายปราศรัยกันที่หน้าห้อง…เจ้าของตำหนัก...ที่จริงใจต่อเขาเสมอมา แต่…ตัวเขาเอง ที่มาตำหนักแห่งนี้เพราะมีความนัยแอบแฝง…
…ตัดสินใจหรือ…ถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจ…จะทำเพื่อสมุทราแต่ไร้ซึ่งมนุษยธรรม หรือจะทำเพื่อมนุษยธรรมแต่ไร้ซึ่งความกตัญญู…
บานประตูห้องถูกผลักเข้ามาแล้ว พักตร์ขาวขององค์ชายเตชินทร์โผล่เข้ามาพร้อมรอยสรวลกว้างขวาง
…รอยสรวล…ที่จะกลายเป็นหอกแทงใจสนธยาตั้งแต่เวลานี้เป็นต้นไป!!!...
…………………………………..
ไม่เกิน 3 วันคณะของราชสำนักสมุทราก็พร้อมเดินทางกลับ สนธยาพร้อมด้วยเตชินทร์ยืนน้อมส่งราชินีวารีวาทที่ท่าเรือหลักจนเรือลำใหญ่หายลับไปจากสายตา
“แวะเที่ยวตลาดเสียหน่อยไหม” เตชินทร์เอ่ยชวน เมื่อหน้าที่ในการส่งอาคันตุกะเรียบร้อยแล้ว เขาสังเกตว่าหลายวันมานี้ สนธยาดูไม่ร่าเริงอย่างที่ควรจะเป็น ดูนิ่งขรึมและอัดอั้น เขาพยายามถาม ทว่าอีกฝ่ายก็บอกปัดว่าไม่มีอะไร เตชินทร์จึงต้องหาวิธีใหม่ด้วยการชักชวนเที่ยวเตร่ ด้วยหวังว่าความครึกครื้นของตลาดท่าเรือจะทำให้อีกฝ่ายคลายความรู้สึกย่ำแย่ในใจได้บ้าง
“เราอยากกลับ” ทว่า…ดูเหมือนคำว่า ‘แวะเที่ยว’ จะไม่อาจทำให้สนธยาสนใจได้เลยแม้แต่น้อย ใบหน้าเรียวสีน้ำผึ้งยังคงนิ่งเรียบ ทว่าดวงเนตรสีอ่อนนั้นส่อแววฝังลึกอยู่ภายในอย่างแปลกประหลาด
“ท่านสน…ท่านเป็นอะไร บอกเราได้ไหม” เตชินทร์ถาม มือแตะที่แขนของอีกฝ่ายราวกับจะรั้งไม่ให้เดินหนี ทว่าทุกการกระทำนั้นเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและห่วงใย
สนธยาหันกลับมาสบตากับคนถาม ยิ่งเห็นความจริงใจฉายชัดอยู่บนใบหน้าของเตชินทร์ก็ยิ่งปวดลึกมากขึ้นทุกที
…ไม่น่าเลย…ไม่น่ารู้เลยว่าถูกเสด็จแม่ส่งมาที่นี่ทำไม…
“เรา…เราแค่…แค่อยากไปเยี่ยมท่านอังกูร…” สนธยาตอบไปอีกเรื่อง ด้วยเพราะรู้ดีว่านับตั้งแต่เตชินทร์สั่งขังอังกูร นอกจากสมิตแล้ว ก็ไม่มีใครได้ลงไปเยี่ยมเยียนอีก ทว่า…สนธยาก็พอจะรู้ความเป็นอยู่ของอังกูรจากปากชีวินที่คอยสืบข่าวมารายงาน
เตชินทร์เงียบไปในทันที ซ้ำยังหันหน้าหนีเสียด้วย
“ท่านเตช เราอยากไปเยี่ยมท่านอังกูร” สนธยาย้ำอีกครั้ง
“ก็ได้ แต่ถ้าเราบอกให้กลับก็ต้องกลับพร้อมเรา ห้ามดื้อ ห้ามขอสิ่งใดจากเราในเรื่องที่เกี่ยวกับอังกูรอีก” เตชินทร์ยอมตกลง ทว่าก็ยังมีข้อแม้เงื่อนไขมากมายเสียจนคนฟังต้องเม้มปากแน่นอย่างอัดอั้น สนธยาเหลือบมองไปทางด้านหลังของเตชินทร์ เห็นสายตาของสมิตที่ส่งมาราวกับจะขอร้องให้เขาช่วยพูดเพื่ออังกูรมากกว่านี้ หรือแม้แต่ชีวินเอง สนธยาก็พอจะรู้ว่าทุกๆคืนรายนั้นมักจะแอบออกจากตำหนักแวะเวียนไปเยี่ยมเยียนอังกูรที่คุกหลวงอยู่เสมอ
…ทุกคนอยากช่วยอังกูรทั้งนั้น รวมทั้งเขาเองก็ด้วย…
“แต่เราถามได้ใช่ไหม ว่าท่านคิดจะทำอย่างไรเรื่องท่านอังกูร”
“ขังเอาไว้อย่างนั้น” เตชินทร์ตอบเสียงเรียบ ดวงเนตรแข็งขืนจนสนธยาต้องแตะมือลงกับต้นแขนแข็งแรงของอีกฝ่ายราวกับจะขอร้อง
“ท่านเตช…ท่านอังกูรมีบุญคุณกับเรามากมายนัก และเราเองก็…”
“ถ้าท่านอยากไปเยี่ยมอังกูร เราจะพาไป แต่ขอร้องอย่าก้าวก่ายเราในเรื่องของอังกูร” เตชินทร์ตัดบทเสียจนสนธยาได้แต่อ่อนใจ เขาเหลือบมองสมิตอีกครั้ง รายนั้นเองก็มีท่าทีหมดหวังเช่นกัน
“จะไปเยี่ยมอังกูรหรือไม่” เมื่อเห็นสนธยานิ่งเงียบ เตชินทร์จึงปรับเสียงให้อ่อนลงอีกหน่อยแล้วตั้งคำถามเหมือนจะง้องอน
“ไป”
ร่างสูงผายมือไปทางรถเทียมม้าให้สนธยาออกเดิน ก่อนที่ขบวนเสด็จขององค์ชายเตชินทร์และว่าที่ชายาจะเคลื่อนตัวออกจากท่าเรืออนันตราชไป
……………………………………..
คุกหลวงใต้ดินที่ใช้เป็นที่จองจำอังกูรนั้น ทั้งเงียบและอับทึบจนแทบไม่มีแสงลอดเข้ามา มันถูกก่อด้วยหินก้อนใหญ่วางเรียงซ้อนอยู่ใต้ดินในอาณาเขตของกรมวัง ทางเข้าเป็นทางลาดที่มีประตูเหล็กแน่นหนา ทว่า…ไม่มีทหารสักคน
“ไม่มีทหารประจำคุกหรือ” สนธยาเอ่ยถามอย่างงุนงง
“ไม่จำเป็นหรอก ต่อให้ต้องโทษประหาร อังกูรก็จะไม่มีวันหนีออกจากคุก” เตชินทร์ตอบเสียงเรียบ ก่อนจะเดินนำลงไปตามบันไดที่ทอดตัวสู่คุกใต้ดิน
อากาศภายในคุกนั้นเย็นเยียบและเงียบกริบ ราวกับไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นใด แสงสลัวจากคบเพลิงในมือของเตชินทร์ให้ความสว่างสลัว พอๆกับที่คบเพลิงที่หน้าห้องขังห้องหนึ่งถูกจุดเอาไว้ ภายในห้องขังนั้น คือชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนตั่งราวกับกำลังดื่มด่ำกับตัวหนังสืออย่างไม่สนใจบรรยากาศอย่างไรอย่างนั้น ทว่าเมื่อเสียงฝีเท้าของคณะผู้มาเยี่ยมดังขึ้น ก็ทำเอาชายหนุ่มต้องเหลือบตาขึ้นจากหนังสือเล่มเล็กในมือ
“องค์ชาย…” อังกูรครางเสียงแผ่วเมื่อเห็นว่าองค์ชายเตชินทร์ประทับอยู่อีกฝั่งของลูกกรงเหล็ก
“เสด็จมาที่นี่ทำไมพระเจ้าค่ะ” เขาตั้งคำถามอย่างรวดเร็ว แต่ก็ต้องเงียบลงเมื่อเห็นองค์ชายสนธยาเสด็จมาด้วย
“เราขอให้ท่านเตชพาเรามาเยี่ยมท่าน”
“ขอบพระทัยในพระกรุณา แต่กระหม่อมสบายดีพระเจ้าค่ะ อีกอย่าง พระองค์เป็นองค์ชายแห่งสมุทรา มิควรเสด็จมาที่คุกของอนันตราชพระเจ้าค่ะ องค์เตช ทรงพาองค์ชายสนธยาเสด็จออกจากที่นี่เถอะพระเจ้าค่ะ”
“เดี๋ยวสิ เราเข้าใจว่าเราไม่ควรลงมาที่นี่ แต่…เราเป็นห่วงท่าน ท่านมีบุญคุณต่อเรามากมาย จะให้เราทำเป็นนิ่งเฉยในขณะที่ท่านอยู่ในคุกได้อย่างไรกัน”
“กระหม่อมไม่ได้เดือดร้อนสิ่งใดกับการอยู่ในนี้พระเจ้าค่ะ แต่ก็ขอขอบพระทัยที่พระองค์กรุณาห่วงใยกระหม่อม แต่กระหม่อมยืนยันคำเดิมว่ากระหม่อมไม่เป็นไร” สนธยาได้แต่มองใบหน้านิ่งเฉยของอังกูรแล้วเม้มปากแน่น เขาหันมาทางเตชินทร์หมายจะให้ร่างสูงช่วยเหลือ แต่องค์ชายหนุ่มแห่งอนันตราชกลับมีสีหน้าเรียบเฉยไม่ยี่หระ แม้ว่าคนที่ยืนอยู่หลังซี่กรงเหล็กจะเป็นองครักษ์ของตัวเองก็ตามที
“ถ้าท่านว่าเช่นนั้น เราก็…ไม่มีอะไรจะพูดอีก” สนธยาได้แต่เอ่ยเสียงขื่น อังกูรช่วยเหลือเขาและสมุทรา แต่เมื่อถึงคราวที่อังกูรลำบาก เขากลับช่วยเหลืออะไรไม่ได้สักนิด ไม่สิ…เขาพยายามจะช่วยเหลือ แต่อีกฝ่ายไม่ยอมรับความช่วยเหลือของเขาต่างหาก!...
“น้อมส่งเสด็จพระเจ้าค่ะ” ไหมล่ะ…มีการส่งเสด็จทั้งๆที่สนธยายังไม่ทันจะหมุนกายออกจากคุกเสียด้วยซ้ำ ร่างโปร่งมองอังกูรที่โค้งกายต่ำอยู่หลังลูกกรงด้วยความเสียใจและเจ็บใจ หากแต่ทำอะไรไม่ได้…เขาทำอะไรไม่ได้เลย…
‘เจ้าจะทนอยู่เฉยยามมองออกมาจากตำหนักหลวงของอนันตราชที่แสนหรูหราตระการตาแล้วเห็นสมุทรา เห็นคนที่เจ้ารัก เห็นสิ่งที่เจ้ารักล่มจมลงต่อหน้าได้ไหมเล่า’…
วาจาอันร้ายกาจของราชินีวารีวาทราวกับตอกย้ำในทุกห้วงขณะจิต ว่าเขาได้ใช้ชีวิตอันสะดวกสบายซึ่งแลกมาด้วยความเดือดร้อนของคนรอบข้าง อังกูรต้องเป็นเช่นนี้ก็เพราะเขา อังกูรต้องถูกขังคุกก็เพราะช่วยเขา!!...
“ท่านเตช เราอยากกลับแล้ว” สนธยาหันไปกล่าวกับร่างสูงข้างกาย
…ในเมื่อการอยู่ตรงนี้ ไม่อาจทำสิ่งใดเพื่อช่วยไหลืออังกูรได้ สนธยาก็จะกลับไปรวบรวมสติเสียใหม่ เขาเชื่อว่าปัญญาที่มีไม่เป็นสองรองใคร หนำซ้ำเขายังถูกเสด็จแม่ส่งมาที่เพื่อให้ ‘ใกล้ชิดบัลลังก์อนันตราช’ ผู้ที่ใกล้ชิดบัลลังก์อันยิ่งใหญ่อย่างอนันตราช หากไม่สามารถไถ่ชีวิตใครได้ สนธยาก็ขอลาจากอาณาจักรนี้ไปเสียจะดีกว่าอยู่ให้ขายขี้หน้า!!
“เราจะพาท่านไปส่งที่ตำหนักอิฐ สมิต…เจ้าไปรอเราที่กรม เราส่งท่านสนแล้วจะกลับเข้ากรม” เตชินทร์กล่าวก่อนจะพาสนธยาพาออกจากคุกหลวง ทว่าก่อนที่ร่างโปร่งขององค์ชายแห่งสมุทราจะลับสายตาของอังกูร สนธยาก็หันกลับมามองชายหนุ่มเบื้องหลังกรงขังอีกครั้งด้วยสายเนตรแน่วแน่อย่างที่ทำเอาอังกูรนิ่งขึงไปทั้งร่าง
…องค์ชายสนธยาต้องทำอะไรสักอย่างแน่ๆ!! และถ้าทรงทำเช่นนั้น องค์เตชก็ต้องคอยตามไปช่วยเหลือ และเรื่องทั้งหมดอาจไม่จบลงอย่างที่วางแผนเอาไว้!!...
“สมิต” อังกูรร้องเรียกเพื่อนทันที เจ้าของชื่อที่กำลังจะตามเสด็จออกจากคุกรีบหันกลับมา
“คืนนี้เจ้าต้องขังองค์สนไว้กับองค์เตชจนกว่าจะรุ่งสาง” คนฟังตาลุกโตด้วยความตกใจกับคำพูดของเพื่อน
“เจ้าว่าอะไรนะ?!!”
“ทำตามที่ข้าบอก ขังองค์สนกับองค์เตชไว้ด้วยกันจนกว่าฟ้าจะสาง!!!” อังกูรสำทับหนักแน่นอีกครั้ง ทำเอาสมิตได้แต่กลืนน้ำลายเอื้อก มองซี่กรงที่ขวางกลางระหว่างเขาและอังกูรแล้วเหมือนจะมองเห็นภายภาคหน้า
…ดูเหมือนเขาเองก็คงจะได้ไปอยู่หลังลูกกรงนี้กับเพื่อนรักเสียแล้วสิ…
……………………………………….