อนันตราชเป็นอาณาจักรใหญ่ที่กินพื้นที่ตั้งแต่ทิวเขาทางตอนเหนือจนถึงน่านน้ำทางใต้ การเดินทางจากเกาะกลางทะเลอย่างสมุทรามายังอนันตราชนั้นไม่ยากเย็นเสียเท่าไร เพราะเป็นเส้นทางหลักของนักเดินเรือ ขบวนบรรณาการของสมุทรามาขึ้นที่ท่าเรือหลักของอาณาจักรอนันตราชภายในเวลาเพียงหนึ่งเดือน แล้วหลังจากนั้นก็เป็นการเดินทางด้วยเกวียนเทียมม้าจากท่าเรือเข้าไปยังใจกลางเมืองอันเป็นที่ตั้งของวังหลวงแห่งราชสำนักอนันตราช
องค์ชายสนธยาปล่อยชายผ้าม่านของเกวียนให้ทิ้งตัวลงตามเดิม แล้วขยับกายจัดท่านั่งของตนอย่างนึกอึดอัด
ขบวนบรรณาการเคลื่อนตัวเข้าสู่เขตวังหลวงแล้ว จากนี้…อายุขัยของพระองค์กำลังลดลงอย่างช้าๆ…และมันจะสิ้นสุดลงเมื่อกษัตริย์วิภูแห่งอนันตราชทรงเปิดหีบบรรณาการแล้วพบอ่างแก้วซึ่งบรรจุเจ้าหอยยักษ์นอนพะงาบอยู่ในนั้นเพียงลำพัง
“ทรงรู้สึกไม่สบายหรือพระเจ้าค่ะ”
ชีวินที่ร่วมเกวียนมาด้วยกันทูลถามอย่างนึกห่วงใยเมื่อเห็นองค์ชายหนุ่มที่ตนถวายความดูแลมาแต่ไหนแต่ไรเริ่มมีสีพักตร์ไม่สู้ดี ซ้ำยังเอาแต่ขยับกายไปมาเหมือนร้อนรนอย่างไรอย่างนั้น
“คนใกล้ตาย จะให้รู้สึกดีได้อย่างไรล่ะ”
“ไม่ตรัสเช่นนั้นสิพระเจ้าค่ะ ไม่เป็นมงคลเอาเสียเลย” แม้ชีวินจะรู้ดีว่าสถานการณ์เข้าข่ายให้ต้องมาสิ้นชีพในอนันตราช แต่ไม่ว่าอย่างไร ในฐานะองครักษ์ แม้เขาต้องตายที่นี่ แต่องค์ชายสนธยาต้องปลอดภัย
“จะให้พูดเรื่องมงคลอะไรอีก คนมันใกล้ตายก็เห็นๆกันอยู่”
แม้จะไม่ใช่คนมองโลกในแง่ร้าย แต่แค่ไพล่คิดไปถึงเจ้าสัตว์ไม่มีขาที่นอนมาตลอดทาง องค์ชายหนุ่มก็ทนมองโลกในแง่ดีต่อไปไม่ไหว
...เกิดมาเป็นถึงโอรสทั้งที ตอนจะตายดันมาตายเพราะหอย!...ให้มันได้อย่างนี้สิ!...
“หากจะตาย ก็ต้องเป็นคนอื่นที่ตาย ไม่ใช่พระองค์ กระหม่อมสัญญา”
ชีวินถวายคำมั่นด้วยความเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวอย่างที่ทำเอาองค์ชายสนธยาได้แต่ถอนปัสสาสะกับความดื้อด้านนั้น แม้จะอยากเย้าว่าชีวินไม่มีทางห้ามมัจจุราชที่มาพร้อมกับหอยมุกแก่งั่กนั่นได้ แต่องค์เองก็ตระหนักดีว่าต่อให้เกิดอะไรขึ้น ชีวินจะปกป้องพระองค์สุดความสามารถ
“เฮ้อ…เจ้าเอาตำแหน่งพี่คุ้มกะลาหัวของเราไปเลยดีไหม” องค์ชายสนธยาตรัสอย่างอ่อนพระทัย หากแต่อีกฝ่ายก็ไวพอจะย้อนกลับด้วยวาจาราบเรียบเช่นเคย
“ไม่ดีพระเจ้าค่ะ กระหม่อมไม่มีเชื้อสายราชนิกูล เป็นพระเชษฐาของพระองค์ไม่ได้”
องค์ชายผู้ประสงค์จะยัดเยียดตำแหน่ง ‘พี่ชายคุ้มกะลาหัว’ ให้องครักษ์เต็มแก่กำลังจะเริ่มบทสนทนากระเซ้าเย้าแหย่อย่างที่ถนัดต่อไป ทว่าเกวียนที่โดยสารมากลับหยุดเสียก่อน บอกให้รู้ว่าเวลาแห่งความเป็นจริงงวดเข้ามาทุกขณะ
องค์ชายสนธยาเหลือบเนตรสบกับดวงตาขององครักษ์คู่พระทัย ความตายไม่ใช่สิ่งน่ากลัว ล้วนเกิดกับมนุษย์ทุกคน หากแต่…พอความตายกำลังวิ่งกวดเข้ามาหาทุกขณะจิตเช่นนี้แล้ว พระองค์ตรัสได้เลยว่าแทบบ้า!
“อย่าทรงกังวล พระองค์จะต้องไม่เป็นอะไร” ชีวินย้ำอย่างจริงจังอีกครั้ง ก่อนที่บานประตูของตู้โดยสารจะถูกเปิดออก และพาให้องค์ชายแห่งเกาะสมุทราได้เสด็จออกมาเผชิญกับวังหลวงของอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนแผ่นทวีป
…อาณาจักรอนันตราช!...
…………………………………….
และแล้ว…วังหลวงแห่งอาณาจักรอนันตราชก็ทำให้องค์ชายสนธยาแห่งเกาะสมุทราได้เรียนรู้ว่า…นอกจากความตายแล้ว…สิ่งที่น่ากลัวไม่น้อยไปกว่ากันก็คือความอับอาย!
“นั่นหรือ คือสิ่งที่เกาะสมุทราเรียกว่าของบรรณาการ”
กษัตริย์วิภูเป็นบุรุษร่างกายสูงใหญ่กำยำดั่งชายชาติทหารสมกับที่ปกครองอาณาจักรที่ขึ้นชื่อลือชาด้านการรบ ดังนั้น เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรของบรรณาการแล้วตรัสด้วยสุรเสียงค่อนไปทางดูแคลน องค์ชายสนธยาผู้นำขบวนบรรณาการมาถวายก็ยิ่งรู้สึกว่าเจ้าหอยมุกตัวเดียวที่นอนอยู่ในอ่างแก้วนั้นมันช่างด้อยค่า ต้อยต่ำ และไร้ราคาเสียจริงๆ! และที่ทำให้องค์ชายหนุ่มจากสมุทรายิ่งรู้สึกว่าบรรณาการของตนนั้นไร้ค่าราวกับขยะมากขึ้นไปอีกก็ตรงที่พวกขุนนางนายทหารในราชสำนักอนันตราชถูกกษัตริย์วิภูเรียกให้เข้าเฝ้าเป็นการด่วน เพราะประมุขแห่งอนันตราชต้องการ ‘อวด’ ให้เหล่าเสนาทั้งหลายเห็นของบรรณาการที่งี่เง่าที่สุดในประวัติศาสตร์!
…หอยมุกหนึ่งตัวในอ่างแก้ว!!!...
“พระเจ้าค่ะ สิ่งนี้ที่สมุทราเรียกว่าของบรรณาการ”
ในเมื่อไม่มีทางโต้แย้งให้เป็นอื่นได้ องค์ชายหนุ่มจากเกาะเล็กๆกลางมหาสมุทรจึงสมยอมตามน้ำ
กษัตริย์วิภูหรี่เนตรลงเล็กน้อยราวกับนึกรู้ว่าสมุทราคงเล่นแง่ดังที่พระองค์เคยได้สดับมาว่าราชินีวารีวาทผู้เป็นประมุขเหนือชาวเกาะแห่งนั้นเจ้าเล่ห์เพทุบายและเต็มไปด้วยแผนการอันแยบยล
…ไม่รู้ว่าคราวนี้องค์ราชินีผู้ถูกตราหน้าไปทั่วทุกหัวเมืองว่าเป็นแม่มดร้ายเจ้ามารยาดำริการใด ถึงได้ส่งหอยมุกเพียงตัวเดียวมาเป็นของบรรณาการ! หอยมุกเพียงหนึ่งตัว! กับสถานะที่เป็นถึงของบรรณาการแก่อาณาจักรอนันตราชที่แสนยิ่งใหญ่!...
“แล้วสิ่งนั้นที่สมุทราเรียกว่าของบรรณาการมันทำอะไรได้บ้างล่ะ” กษัตริย์วิภูตรัสถาม ทำเอาองค์ชายสนธยานิ่งไปเล็กน้อยด้วยเพราะในความเป็นจริงแล้ว เจ้าหอยมุกตัวนี้ทำอะไรไม่ได้สักอย่างนอกจากนอนอยู่ก้นอ่าง
“เอ่อ…มัน…มัน…”
ตั้งแต่เกิดจน 20 ชันษา องค์ชายสนธยาก็ไม่เคยทอดเนตรเห็นมันทำอย่างอื่นเลย มันไม่เคยคายมุก มันไม่เคยขยับ สิ่งเดียวที่มันทำคือเผยอกาบบ้างเป็นบางครั้ง ซึ่งบางครั้งที่ว่านั่น…ก็นาน…จนแทบจำไม่ได้ว่าครั้งสุดท้ายคือเมื่อไหร่
“มันอะไร”
“เอ่อ…มัน…มัน…”
“มันอะไรก็ว่ามา หรือมันทำได้แต่เรื่องพิสดารจนเจ้าคิดว่าเราจะไม่เชื่อ ไม่เป็นไร พูดมาเถอะ เราเป็นคนเชื่อคนง่าย” กษัตริย์วิภูทรงเปิดทางเต็มที่ ด้วยเพราะอยากรู้ว่าสมุทราคิดจะทำสิ่งใด องค์สนธยาเหลือบเนตรขึ้นมองพักตร์เรียบเฉยของผู้เป็นประมุขแห่งอนันตราชแล้วก็ยิ่งรู้สึกว่าอากาศในโถงกว้างกลางวังหลวงแห่งนี้ช่างไม่น่าหายใจเอาเสียเลย
“ถ้าเจ้าไม่พูด เราจะถือหอยนั่นทำอะไรไม่ได้นอกจากนอนเฉยๆ และนั่นหมายความว่าสมุทราหยามเกียรติเราด้วยการส่งหอยไร้ค่ามาเป็นของบรรณาการ ทหาร!!” ท้ายประโยคกษัตริย์วิภูทรงกระชากเสียงดังลั่น นายทหารใหญ่น้อยที่อยู่ในโถงตั้งท่ารับคำสั่งโดยพร้อมเพรียงจนสนธยาอ้าปากค้าง และก่อนที่ประมุขแห่งอนันตราชจะมีรับสั่งใดๆ องค์ชายผู้นำขบวนบรรณาการจากสมุทราก็รีบร้องเสียงลั่น
“มันเป็นหอยคู่บ้านคู่เมืองพระเจ้าค่ะ!”
คำแก้ต่างทำเอาทั้งโถงเงียบกริบในเสี้ยวอึดใจ แล้วก็กลายเป็นเสียงหัวเราะดังกระหึ่มทั้งจากขุนนางนายทหารและแม้แต่กษัตริย์วิภูที่ประทับอยู่บนบัลลังก์
“คือ…พระองค์ก็ทอดเนตรเห็นแล้วว่ามันตัวใหญ่ขนาดนี้ แปลกพิสดารใช่ไหมพระเจ้าค่ะ มันอยู่คู่สมุทรามานานนมตั้งแต่ก่อนกระหม่อมจะเกิดเสียอีก ดังนั้น…มันก็เลยเป็นหอยคู่บ้านคู่เมือง เป็นหอยที่สร้างอำนาจบารมีให้แก่ราชสำนัก เอ่อ…ที่สมุทราอยู่ดีกินดีได้อย่างทุกวันนี้ก็เพราะหอยคู่บ้านคู่เมืองนี้ล่ะพระเจ้าค่ะ”
“แล้วสมุทราส่งหอยคู่บ้านคู่เมืองมาให้เราแบบนี้ สมุทราจะไม่แย่หรือไร”
“ไม่แย่พระเจ้าค่ะ! คือ…เพื่อมิตรภาพของอนันตราชและสมุทราแล้ว การยกหอยคู่บ้านคู่เมืองเป็นของบรรณาการนั้นเล็กน้อยนัก ขอเพียงแค่อนันตราชมองสมุทราเป็นเกาะเล็กๆที่รักสงบ คอยจุนเจือบ้าง เกื้อหนุนบ้าง เท่านั้นก็พอ” พูดไปเหงื่อแทบไหลเป็นน้ำ ทั้งๆที่อากาศในอนันตราชนั้นเย็นกว่าที่สมุทรามากนัก แต่เพราะสายเนตรของกษัตริย์วิภูที่อยู่เบื้องหน้าและความเป็นความตายรอคอยอยู่เบื้องหลัง ยิ่งทำเอาเสียงหัวใจเต้นดังสะท้อนไปทั้งอกอย่างที่ทำเอาหวิดจะเป็นลมไปหลายที
…รับๆไปเสียทีเถิด! รับๆหอยตัวนี้ไปเสียที!...
“มิตรภาพ?...”
กษัตริย์วิภูตรัสเสียงเนิบ ดวงเนตรจับจ้องใบหน้าขององค์ชายหนุ่มผู้มาจากเกาะทางใต้ องค์ชายผู้ได้ชื่อว่าเป็นโอรสพระองค์แรกของราชินีวารีวาท แม้เกาะสมุทราจะสืบบัลลังก์ด้วยตำแหน่งราชินี แต่อย่างไรเสีย องค์ชายก็ยังได้ชื่อว่าเป็นผู้สืบสันตติวงศ์ หากว่าไม่มีองค์หญิงองค์ใดเสด็จขึ้นครองบัลลังก์
แล้วถ้าเช่นนั้น…เหตุใด ราชินีวารีวาทจึงกล้าส่งโอรสองค์โตออกจากเกาะมาพร้อมกับของบรรณาการไร้ราคาที่ชวนโมโหเช่นนี้?...
…พระนางต้องมีแผนการอะไรสักอย่างเป็นแน่แท้…ทว่า แผนการอะไรล่ะ? กษัตริย์วิภูมองไม่ออก และเพราะเช่นนั้นจึงได้แต่ดำริว่าควรจะทำเช่นไรกับหอยมุกบรรณาการและองค์ชายผู้นำขบวนมาดี
“เสด็จพ่อ”
เสียงทุ้มดังขึ้นมาจากแถวนายทหารทางฝั่งซ้ายของหัตถ์ ทำเอากษัตริย์วิภูต้องทอดเนตรลงมอง องค์รัชทายาทลำดับที่สองผู้เป็นโอรสจากสนมคนใดคนหนึ่งของพระองค์กำลังเงยหน้ามองผู้เป็นพระบิดาพร้อมด้วยรอยยิ้มบางที่มุมปากอย่างที่ติดนิสัยทำเป็นประจำ
“ว่ามา องค์เตช”
องค์ชายเตชินทร์ผู้ประสูติจากสนมที่กษัตริย์วิภูจำไม่ได้ด้วยซ้ำ หากแต่เพราะเป็นโอรสที่รอบรู้ทั้งการทหารและการปกครอง จึงขยับฐานะจากโอรสปลายแถวขึ้นมาเป็นรัชทายาทลำดับที่สองได้อย่างไม่ค้านสายตาขุนนางนายทหารคนใด
“หากพระองค์ไม่ว่าอะไร ของขวัญวันคล้ายวันเกิดปีนี้ของกระหม่อม ขอเป็นหอยคู่บ้านคู่เมืองของสมุทราได้ไหมพระเจ้าค่ะ” องค์ชายหนุ่มผู้มีผิวขาวสะอาดทูลถามพร้อมรอยยิ้มเช่นเคย กษัตริย์วิภูเลิกขนงเล็กน้อย
“เจ้าอยากได้หรือ”
“พระเจ้าค่ะ” คำตอบรับขององค์ชายหนุ่มแห่งราชสำนักอนันตราชทำเอาคณะที่มาจากสมุทราแทบเนื้อเต้นกันไปหมด และที่ดูจะแสดงออกยิ่งกว่าใครก็เห็นจะเป็นองค์ชายสนธยาผู้ที่เมื่อครู่ยังเหงื่อหยดเป็นน้ำ หากแต่บัดนี้กลับแย้มยิ้มอย่างยินดี!
กษัตริย์วิภูเหลือบเนตรไปยังหอยมุกในอ่างแก้วอีกครั้ง ก่อนที่จะหันกลับมาสบเนตรของโอรสที่ยังคงถวายรอยยิ้มให้พระองค์เฉกเช่นทุกที หากแต่ในดวงตาสีดำเข้มขององค์ชายเตชินทร์กลับมีแววระริกบางอย่างอย่างที่ทำเอาประมุขแห่งอนันตราชต้องยอมตามใจ
“ก็ได้” พระองค์ตอบรับคำขอของโอรส ก่อนจะหันไปทางคณะจากสมุทราที่มีแววความสุขล้นปรี่
“เราขอรับของบรรณาการจากสมุทรา เพื่อมาเป็นของขวัญให้แก่โอรสของเรา”
“ด้วยความยินดียิ่ง ฝ่าบาท”
องค์ชายสนธยาน้อมกายแทบจะติดพื้น พระองค์สูดหายใจเสียหลายฟืดอย่างยินดี อนันตราชยอมรับบรรณาการแล้ว นั่นก็หมายความว่าพระองค์จะได้เสด็จกลับสมุทรา และถ้าพระองค์ได้กลับสมุทรา นั่นก็หมายความว่าพระองค์จะได้ฉลองกับบรรดาสนมทั้ง 121 คน!
“กระหม่อมมีเรื่องจะทูลขออีกเรื่องพระเจ้าค่ะ”
เสียงทุ้มขององค์ชายเตชินทร์ดังขึ้นอีกครั้ง ทำเอาคนที่กำลังล่องลอยไปในจินตนาการว่าจะได้กลับไปกกสนมทั้งร้อยกว่าชีวิตต้องเหลือบตามอง
“ที่ตำหนักของกระหม่อม ไม่มีบ่าวไพร่คนใดรู้วิธีเลี้ยงหอยมุก เพราะฉะนั้น…” องค์ชายหนุ่มผู้ขอรับหอยคู่บ้านคู่เมืองเป็นของขวัญวันคล้ายวันสมภพเหลือบเนตรกลับไปมองยังสนธยา ก่อนที่โอษฐ์หนาสีแดงสดบนพักตร์ขาวจะขยับรอยสรวลอย่างชอบอกชอบใจ
“…กระหม่อมขอให้องค์ชายสนธยาอยู่ที่ตำหนักของกระหม่อมเพื่อเป็นคนเลี้ยงหอยพระเจ้าค่ะ”
“เฮ้ย!!!”
คนถูกขอให้ไปเลี้ยงหอยยังตำหนักขององค์ชายรัชทายาทลำดับที่สองแห่งราชสำนักอนันตราชถึงกับร้องลั่นด้วยความตกใจ หากแต่องค์ชายเตชินทร์ผู้ต้นคิดกลับไม่สนพระทัยต่อเสียงร้องนั้นแม้แต่น้อย พระองค์ยังคงแย้มสรวลจางๆ แล้วหันกลับไปทูลความกับกษัตริย์วิภูเป็นการเน้นย้ำปิดทางหนีทีไล่ขององค์ชายจากสมุทราทุกประตู
“หากองค์ชายสนธยาไม่ยอมมาเป็นคนเลี้ยงหอย กระหม่อมก็ขอคืนของขวัญชิ้นนี้”
“ทำอย่างนั้นได้อย่างไรกัน?!! เป็นกษัตริย์ รัชทายาท เป็นราชนิกูล ตรัสแล้วคืนคำไม่ได้!” องค์ชายสนธยารีบขวาง ก่อนที่ทุกอย่างจะตาลปัตร เมื่อครู่นี้อุตส่าห์หายใจได้โล่งจมูกแล้วเชียว! เหตุใดถึงมากลายเป็นแบบนี้เล่า?!!!
“เราไม่ได้คืนคำ แต่เราแค่จะคืนของบรรณาการ” องค์ชายเตชินทร์หันมาแย้ง หากแต่พักตร์คมคายยังคงเจือด้วยความอ่อนโยนเพราะรอยยิ้มที่มุมโอษฐ์นั่น
“คืนบรรณาการก็ไม่ได้!!”
“คืนได้สิ” องค์ชายแห่งราชสำนักอนันตราชกล่าวเช่นนั้นก่อนจะหันไปทางกษัตริย์วิภูแล้วทูลอย่างแข็งขัน “ในอนันตราชไม่มีขุนนางคนใดรู้วิธีเลี้ยงหอยมุก ดังนั้น หากรับหอยมุกมา กระหม่อมเกรงว่าจะเป็นการเสียของ เพราะอย่างไรมันก็ต้องตายใน 3 วัน 7 วันเนื่องจากไม่มีใครเลี้ยงเป็นพระเจ้าค่ะ”
“จริงของเจ้า องค์เตช ถ้ารับมาแล้วตายใน 3 วัน 7 วันโดยที่ยังไม่ได้แสดงอภินิหาริย์การเป็นหอยคู่บ้านคู่เมืองล่ะก็ เสียเปล่าจริงๆนั่นล่ะ” แล้วก็กลายเป็นว่ากษัตริย์วิภูทรงเห็นพ้องตามที่โอรสทูลเสียด้วย สนธยาแทบล้มทั้งยืนเมื่อเรื่องราวพลิกกลับเสียจนไม่เห็นหนทางการได้กลับสมุทราอีก
“ถ้าอย่างนั้น…” ประมุขสูงสุดแห่งอนันตราชเอ่ยโอษฐ์ราวกับจะตัดสินพระทัย ทำเอาองค์ชายจากสมุทราถึงกับเบิกเนตรค้าง ก่อนจะรีบร้องเสียงลั่นโถง
“กระหม่อมจะเป็นคนเลี้ยงหอยเองพระเจ้าค่ะ!!!!”
คนทั้งโถงหันกลับมามององค์ชายสนธยาเป็นตาเดียว และนั่นรวมไปถึงสายเนตรขององค์ชายเตชินทร์ก็ทอดพระเนตรมาจับจ้องยังพักตร์สีน้ำผึ้งนั้นด้วย โอษฐ์หนาขยับแย้มสรวลกว้างกว่าครู่เล็กน้อย ก่อนจะหันไปค้อมกายแด่กษัตริย์วิภู แล้วจึงทูลเสียงดังฟังชัด
“ถ้าเช่นนั้น กระหม่อมก็ขอรับหอยมุกตัวนั้นและคนเลี้ยงนะพระเจ้าค่ะ”
ติดตามตอนต่อไป (เสาร์หน้า)
สวัสดีค่ะ
หายไปนานมากกกกกกก นับจากที่เรื่องจอมร้ายจบ
เรื่องแนวนี้ เป็นอีกแนวที่บัวชอบมากเลย แต่ก็เขียนยากมากๆเหมือนกัน ด้วยเพราะภาษาที่ค่อนไปทางราชาศัพท์ เลยทำให้เวลาอ่าน จะอ่านยากและไม่ค่อยลื่น บัวพยายามปรับให้สมดุล ถ้าใครมีอะไรแนะนำติชมก็บอกกันได้เลยนะคะ
ขอบคุณพื้นที่บอร์ด คนอ่าน คนเม้นท์ และทุกๆกำลังใจค่ะ
แล้วเจอกันเสาร์หน้าจ้า