พิมพ์หน้านี้ - ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Dezair ที่ 08-06-2013 20:54:54

หัวข้อ: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Dezair ที่ 08-06-2013 20:54:54
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
.............................................
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 1)...อัพ 08/06
เริ่มหัวข้อโดย: Dezair ที่ 08-06-2013 20:55:57
ด้วยพันธะบรรณาการ
By: Dezair
.............................
พันธะ 1



   ตำหนักหลวงแห่งเกาะสมุทรานั้นตั้งอยู่บนผาที่ผินหน้าสู่มหาสมุทรกว้างสีน้ำเงินเข้ม ในเกาะเล็กๆแห่งนี้ พื้นที่ที่สูงที่สุดคือหน้าผาที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘ตำหนักราชินี’ ด้วยเพราะเป็นที่ประทับขององค์ราชินีผู้เป็นประมุขแห่งเกาะสมุทรามาหลายต่อหลายรุ่น



   ตัวตำหนักถูกก่อด้วยปูนทั้งหลัง ฉาบด้วยสีน้ำเงินและประดับด้วยเม็ดไข่มุกสีฟ้าที่หาได้ยากยิ่ง ทว่า…สำหรับเกาะที่ขึ้นชื่อเรื่องการส่งออกไข่มุกอย่างสมุทรานั้น ไม่มีไข่มุกสีใดหายากเกินความสามารถ และเพราะสมุทรามีสินค้าส่งออกเป็นไข่มุกเม็ดงามที่ลือชื่อไปทั่วทุกหัวเมือง ดังนั้นเกาะเล็กๆแห่งนี้จึงรุ่มรวยเสียจนมีงบหลวงมากเพียงพอที่จะสร้างความวิจิตรตระการตาด้วยการประดับประดาเม็ดไข่มุกตามที่ต่างๆ ตั้งแต่ประตูเมืองที่ท่าเรือหลักไปจนถึงกำแพงท้ายเมือง 



ความงดงามที่แสนอลังการนี้เอง ที่เรียกร้องให้นักเดินเรือจากทุกหัวเมืองบนแผ่นทวีปต่างแวะเวียนมาที่สมุทราจนที่นี่เก็บรายได้จากนักท่องเที่ยวแดนไกลได้เป็นกอบเป็นกำ



   “ปีนี้ มีนักท่องเที่ยวมากกว่าปีที่แล้วถึง 95,000 คนทีเดียวพระเจ้าค่ะ ดูเหมือนพวกเจ้าหน้าที่ที่ประตูผ่านเข้าเมืองจะเริ่มบ่นอุบว่าทำงานมือเป็นระวิง”



ในโถงกว้างกลางตำหนักหลวงที่ผินหน้าออกสู่ทะเลสีน้ำเงินเข้มนั้น มีการประชุมเป็นประจำทุกเช้าโดยขุนนางนายทหารระดับสูงต้องรายงานสถานการณ์สำคัญต่อหน้าพระพักตร์ราชินีวารีวาทผู้เป็นประมุขแห่งสมุทรา



   และเพราะการประชุมถือเป็นรัฐกิจอย่างหนึ่ง ในโถงกว้างจึงไม่ต่างจากห้องทรงงานของพระองค์ โต๊ะยาวถูกนำมาตั้งกลางห้องตั้งแต่องค์ราชินีวาทขึ้นครองราชย์ใหม่ๆ และนับจากนั้น ในทุกๆเช้า รอบโต๊ะจะประกอบด้วยขุนนางนายทหารทั้งหลายที่พร้อมใจกันนำเอกสารมารายงาน จนบัดนี้มันเต็มแน่นไปด้วยเอกสารมากมายเสียจนลืมไปแล้วว่าครั้งหนึ่งโต๊ะตัวนี้หน้าตาเป็นเช่นไร



   “ถ้าอย่างนั้นก็ประกาศรับสมัครเจ้าหน้าที่ประจำประตูผ่านเข้าเมืองเพิ่ม ถ้ามีคนมาสมัครมาก ก็จัดสอบเสีย” ราชินีวารีวาทผู้ประทับอยู่หัวโต๊ะตรัสอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันไปรับเอกสารจากนายทหารอีกคนที่นั่งอยู่ทางซ้ายมือ



   “เรื่องงบหลวงสำหรับตั้งกองเรือลาดตระเวนเพิ่มพระเจ้าค่ะ ทางกรมคลังอนุมัติมาแล้ว” องค์ราชินีทรงขยับฉลองพระเนตรบนพระพักตร์เล็กน้อยให้เข้าที่ ก่อนจะจับจ้องสายเนตรลงบนเอกสารสีเหลืองอ่อนที่มีรายละเอียดเกี่ยวกับงบประมาณ เพียงครู่หนึ่ง ก็ทรงประทับตราพระนามลงกับเอกสารฉบับนั้นเพื่อเป็นการ ‘อนุมัติขั้นสูงสุด’ แล้วจึงประทานคืนนายทหารคนเดิม



   “มีเรื่องอื่นอีกไหม” พระนางตรัสถามเสียงเรียบแล้วเงยพักตร์ทอดดวงเนตรสีน้ำตาลอ่อนไปยังนายทหารและขุนนางคนอื่นๆที่นั่งอยู่สองฝั่งโต๊ะ



   “เรื่องของบรรณาการที่จะต้องส่งให้อนันตราชพระเจ้าค่ะ” ขุนนางเฒ่าแห่งกรมวังทูล ทำเอาองค์ราชินีต้องเหลือบเนตรไปจับจ้องยังผู้พูด



   “…ปีนี้ครบกำหนดต้องส่งเครื่องบรรณาการแล้ว องค์ราชินีมีประสงค์ให้ส่งอะไรไปบรรณาการอนันตราชดีพระเจ้าค่ะ” ผู้เป็นประมุขสูงสุดแห่งเกาะสมุทราเอนพระปฤษฎางค์ลงพิงกับพระเก้าอี้ พักตร์งามสีน้ำผึ้งนั้นมีวี่แววตริตรอง สองเนตรจับจ้องหัตถ์เรียวที่ประดับด้วยธำมรงค์วูบวาบจากเพชรน้ำเอกและไข่มุกสีรุ้งอะร้าอร่าม



   “ส่งมุกไปก็แล้วกัน” พระองค์ตรัสเรียบๆ



   อนันตราชเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่อยู่ทางตอนเหนือของแผ่นทวีป และมีบุญคุณกับเกาะสมุทรามาแต่ไหนแต่ไร สมัยก่อนที่ทัพเรือของสมุทรายังเป็นเพียงนกหัดบิน ก็ได้อนันตราชส่งนายทหารชั้นผู้ใหญ่มาช่วยสอนสั่งและอบรมวิทยาการ พอครั้งมีสงคราม อนันตราชก็ส่งทัพเรือมาช่วยรบถึงที่ แม้พระองค์จะตระหนักดีว่าอนันตราชไม่ได้มองเกาะเล็กๆอย่างสมุทราเป็นมหามิตร หากแต่…พระองค์ก็ไม่ควรให้อนันตราชมองสมุทราว่าเป็นศัตรูเช่นกัน!



   “ส่งไข่มุกนะพระเจ้าค่ะ”



“เราหมายถึงหอยมุก”



ขุนนางเฒ่านึกฉงนเล็กน้อย หากแต่ก็คิดไปว่าองค์ราชินีคงมีพระประสงค์ให้ทางอนันตราชได้เม็ดมุกสดใหม่จึงมีรับสั่งให้ส่งหอยมุกตัวเป็นๆไป พอไปถึงต่อหน้าพระพักตร์กษัตริย์วิภูผู้เป็นประมุขแห่งอนันตราชก็ค่อยแกะเม็ดออกมาถวายตรงนั้น



“พระเจ้าค่ะ ส่งหอยมุก แล้ว…จะให้ส่งไปกี่พันหีบดีพระเจ้าค่ะ เอ?...ปีก่อนรู้สึกอาณาจักรกุลานจะส่งไข่มุกจากเมืองสุวชลไป 2000 หีบ ถ้าอย่างไร ของเราเอาสัก 5000 หีบเลยดีไหมพระเจ้าค่ะ” ขุนนางเฒ่าเตรียมจดรายการของบรรณาการเต็มที่ สายตาจับจ้ององค์ราชินีอย่างตั้งอกตั้งใจ



   “เอาตัวเดียวพอ”



ขุนนางนายทหารทั้งหลายชะงักกึก ก่อนจะหันขวับมององค์ราชินีด้วยความตกใจ



   “อะ…อะไร…อะไรนะพระเจ้าค่ะ เมื่อกี้ตรัสว่าอย่างไร”



   องค์ราชินีเหลือบเนตรขึ้นสบตาขุนนางชราแห่งกรมวังที่มีหน้าที่เตรียมของบรรณาการ ก่อนจะตรัสย้ำอีกครั้ง



   “เราบอกว่าให้ส่งไปตัวเดียว”



   “ตัวเดียว! ต…แต่! แต่นั่นอนันตราชนะพระเจ้าค่ะ!! อนันตราช…อนันตราช…” 



ถึงคราวพูดไม่ออกกันทั้งโต๊ะ เพราะอนันตราชที่ว่าเป็นอาณาจักรใหญ่ที่ขึ้นชื่อเรื่องกองทหารเป็นที่สุด ไม่มีอาณาจักรใดกล้าหยอกให้อนันตราชโมโห ไม่มีอาณาจักรใดกล้าหยามให้อนันตราชอับอาย เพราะนั่นหมายถึงกองทัพของอนันตราชจะบุกประชิดเมืองภายในเสี้ยวอึดใจ!!



   “อนันตราชแล้วอย่างไรล่ะ ก็บอกไปสิว่าปีที่ผ่านมา สมุทราขาดแคลนรายได้ งบหลวงมีไม่พอจะสรรหาของดีเลิศหรูมาถวาย” ดำรัสขององค์ราชินีช่างแตกต่างจากความเป็นจริงโดยสิ้นเชิง เพราะปีที่ผ่านมา สมุทราทำรายได้มหาศาลจากนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชมเมืองมากกว่าสองปีก่อนหน้ารวมกันเสียอีก!



   “ส่วนมุกที่จะส่งไป ก็ไม่ต้องไปหาที่ไหน เอาหอยมุกที่อยู่ในสระหลังตำหนักเราไปก็ได้ ตัวนั้นมันใหญ่และแก่มากแล้ว ปล่อยให้ตายในสมุทราก็รังแต่จะทำให้กรมวังเกิดปัญหาเพราะไม่รู้จะจัดการกับศพมันอย่างไรดี” และเป็นอีกครั้งที่โองการขององค์ราชินีทำเอาทั้งโต๊ะเงียบกริบ ด้วยเพราะอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก



   …นอกจากมีพระประสงค์ให้ส่งหอยมุกไปแค่ตัวเดียวแล้ว ยังให้ส่งตัวที่แก่จนใกล้ตายไปด้วยน่ะหรือ?!!...



   “ต…แต่…แต่หอยนั่น…มันอายุจะครบร้อยอยู่แล้วนะพระเจ้าค่ะ แล้ว…แล้วตลอดชั่วชีวิตของกระหม่อม กระหม่อมก็ไม่เคยเห็นมันคายไข่มุกเลยสักครั้ง เอ่อ…กระหม่อม…กระหม่อมเกรงว่า…เกรงว่าถ้าส่งไปให้อนันตราช…” ขุนนางเฒ่าผู้มีอายุได้หกสิบปียืนกรานด้วยเกียรติของขุนนางแห่งกรมวังว่าตั้งแต่เกิดในเกาะสมุทรา เขาก็ไม่เคยเห็นหอยมุกตัวเขื่องที่อยู่ในสระหลังตำหนักจะคายมุกเลยสักครั้ง! และถ้านับอายุของมันแล้ว ขุนนางเฒ่าเชื่อว่ามันแทบจะเป็น ‘พ่อ’ เขาได้ด้วยซ้ำ!



   …แล้วจะให้ส่งหอยมุกแก่งั่กที่คายไข่มุกไม่ได้ แถมไม่รู้จะตายวันตายพรุ่งไปเป็นของบรรณาการแก่อาณาจักรที่แสนยิ่งใหญ่อย่างอนันตราชน่ะหรือ?!...



   …หาเรื่องตายสิไม่ว่า!!!...



   “ไม่เห็นต้องเกรง ทำตามที่เราว่า ส่งหอยมุกตัวนั้นไปเป็นของบรรณาการแก่อนันตราช แล้วแนบสาสน์ไปด้วย ว่าเรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่อนันตราชช่วยดูแลสมุทราเสมอมา และเราหวังว่าเขาจะดูแลสมุทราเสมอไป” เมื่อพระองค์ย้ำโองการเป็นครั้งที่สองอย่างหนักแน่นว่าจะส่งหอยมุกแก่ๆไปเพียงตัวเดียว ขุนนางเฒ่าแห่งกรมวังก็ได้แต่ก้มหน้าน้อมรับงกๆด้วยไม่อาจเอื้อมถวายความคิดเห็นอะไรได้อีก



   งานนี้เห็นทีสมุทราคงจะเหลือเพียงชื่อ เมื่อใดที่หอยมุกตัวนั้นเดินทางไปถึงอนันตราช เมื่อนั้นไซร้สมุทราคงย่อยยับลงกลางทะเลเป็นแน่แท้



“อ้อ…ส่ง ‘สนธยา’ ไปกับขบวนบรรณาการด้วย ถ้าเขาถามว่าทำไมเขาต้องไป ก็จงบอกเขาว่าเราสั่งให้เขาไปทำอย่างไรก็ได้ ให้อนันตราชรับหอยมุกตัวนั้นเป็นของบรรณาการโดยไม่ยกทัพมาตีสมุทราของเรา”



“แล้วถ้า…ถ้าทำอย่างไรก็ไม่สำเร็จล่ะพระเจ้าค่ะ” ขุนนางคนหนึ่งถามเสียงกล้อมแกล้มด้วยเกรงภัยจากอนันตราชเสียยิ่งกว่ามรสุมลูกโตที่จะพัดขึ้นเกาะเสียอีก องค์ราชินีวารีวาทเหลือบเนตรไปจับจ้องก่อนจะตรัสเสียงเรียบหากแต่หนักแน่นและมั่นคงเป็นที่สุด



“ไม่มีทางไม่สำเร็จ เราเชื่อฝีมือ ‘ลูกชายของเรา’ เสมอ”


………………………………..


“อะไรนะ!! เสด็จแม่สั่งให้เราเอาหอยมุกในสระหลังวังไปเป็นของบรรณาการอนันตราช!! บ้าไปแล้ว!!!” 



ในขณะที่ผู้เป็นพระมารดานั้นมั่นอกมั่นใจเสียเหลือเกินว่า ‘โอรส’ ของพระองค์มีความสามารถในภารกิจครั้งนี้ หากแต่พอเรื่องบรรณาการประหลาดที่ดูอย่างไรก็หยามเกียรติอนันตราชมาถึงพระกรรณขององค์ชายสนธยาผู้เป็นพระโอรสองค์โตของราชินีวารีวาท เสียงโวยวายก็ดังลั่นตำหนักหลวงอย่างช่วยไม่ได้



“ทรงอย่าตรัสเช่นนั้น นั่นพระมารดาของพระองค์นะพระเจ้าค่ะ” 



องครักษ์หนุ่มร่างสูงโปร่งติด้วยน้ำเสียงราบเรียบเช่นเคย หากแต่องค์ชายสนธยาผู้ซึ่งกำลังตกตะลึงกับของบรรณาการไร้ราคายังไม่มีวี่แววว่าจะสนใจการติเตียนขององครักษ์ข้างกายเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้พระองค์กำลังทอดเนตรเห็นแต่ความพินาศที่จะเกิดขึ้นกับสมุทราในวันที่ขบวนบรรณาการไปถึงมืออนันตราช



…และอะไรก็ไม่เลวร้ายไปกว่า ในขบวนบรรณาการนั้น ต้องมีพระองค์เสด็จไปด้วย!!!... ตายแน่ๆ!! พระองค์นี่ล่ะศพแรกของสมุทรา!...



“องค์ราชินีทรงมีรับสั่งว่าให้องค์ชายเสด็จพร้อมขบวนบรรณาการ และทำอย่างไรก็ได้ให้อนันตราชยอมรับของบรรณาการโดยไม่บุกมาตีสมุทราพระเจ้าค่ะ” ขุนนางเฒ่าแห่งกรมวังผู้มีหน้าที่จัดเตรียมของบรรณาการเป็นคนมาทูลความตามที่มีโองการมา



“ไม่มีทาง!!!” องค์ชายหนุ่มผู้รับมรดกทั้งพระมังสาสีน้ำผึ้งและพระเนตรสีน้ำตาลอ่อนจากองค์ราชินีวาทตรัสเสียงดังลั่นห้องทรงงานของพระองค์เอง



“อะไรไม่มีทางหรือพระเจ้าค่ะ” ขุนนางเฒ่าถาม



“ก็ให้อนันตราชยอมรับหอยเป็นของบรรณาการน่ะสิ! ไม่มีทางหรอก!! ต่อให้น้ำลายเราเคลือบด้วยยาเสน่ห์ แต่ถ้าทางนั้นเห็นหอยแก่ๆนอนพะงาบๆอยู่ในหีบแค่ตัวเดียว พวกนั้นคงหน้าตั้งจัดกองทัพบุกมาถล่มสมุทราแทบไม่ทัน!” 



ขนงเรียวพาดเฉียงเหนือเนตรกลมโตขมวดเข้าหากันแน่นอย่างเคร่งเครียด สมุทราจะกลายเป็นเมืองร้างก็คราวนี้ เสด็จแม่นะเสด็จแม่! กรมคลังมีทรัพย์อื้อซ่า! แล้วเหตุใดมาตระหนี่ขี้เหนียวกับของบรรณาการด้วยเล่า?!!!



ขุนนางเฒ่าเหลือบตามององค์ชายหนุ่มที่ประทับอยู่บนโต๊ะทรงงาน อยากทูลเหลือเกินว่าตนก็เห็นด้วยว่าเรื่องนี้ไม่มีทางเป็นไปได้ ให้อนันตราชลดขนาดอาณาจักรลงยังจะง่ายเสียกว่าให้ทางนั้นรับหอยแก่ๆตัวเดียวเป็นของบรรณาการ



หากแต่…เขาไม่มีสิทธิ์พูด องค์ราชินีมีรับสั่งแล้ว และองค์ชายสนธยาก็ต้องรับโองการนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้



ดูเหมือนองค์ชายหนุ่มเองก็ตระหนักดีว่านี่คือโองการ…และในเมื่อขึ้นชื่อว่าเป็น ‘โองการ’ นั่นก็หมายความว่าเป็นรัฐกิจของบ้านเมือง เมื่อมารดาผู้เป็นประมุขแห่งสมุทราสั่งให้เขานำขบวนบรรณาการไปยังอนันตราช ไม่ว่าในหีบบรรณาการนั้นจะมีสิ่งใด เขาก็ต้องทำ



ร่างสูงโปร่งคลายท่อนกรที่กอดอุระออกราวกับตัดพระทัย ขนงที่ขมวดเหนือดวงเนตรกลมโตคลายปมลง ก่อนที่พระองค์จะถอนปัสสาสะออกมาเสียทีหนึ่ง



“เอาล่ะ…ช่างเถอะ โองการของเสด็จแม่ ต่อให้ไร้สาระมากกว่านี้ก็เป็นโองการของราชินีวารีวาทแห่งสมุทราอยู่ดี” องค์ชายหนุ่มผู้เป็นโอรสองค์โตของราชินีแห่งวารีวาทตัดพระทัยที่จะดื้อแพ่ง เพราะให้อย่างไร ‘โองการ’ ก็คือ ‘โองการ’ และพระองค์ก็ถูกเลี้ยงดูสอนสั่งมาให้รักในเลือดขัตติยะมากกว่าจะหนีหน้าที่ความรับผิดชอบที่ต้องสนองโองการเสียด้วย



“…ท่านไปเตรียมของบรรณาการเถอะ เรียบร้อยเมื่อไหร่ก็มาบอกกำหนดการแก่เรา เราจะได้รู้ตัวว่าต้องออกเดินทางวันไหนเวลาใด”



“รับด้วยเกล้า” ขุนนางเฒ่าน้อมกายรับ ก่อนจะถอยหลังออกจากห้องทรงงานไปอย่างรวดเร็ว บานประตูปิดลงแล้ว ทิ้งให้ภายในห้องทรงงานเหลือเพียงองค์ชายหนุ่มแห่งราชสำนักสมุทราและองครักษ์คู่พระทัย



“ชีวิน” องค์ชายสนธยาตรัสเรียก ขณะเสด็จกลับไปนั่งยังพระเก้าอี้หลังโต๊ะทรงงาน



“พระเจ้าค่ะ” องครักษ์หนุ่มผู้ติดสอยห้อยตามมาตั้งแต่องค์ชายสนธยายังเป็นเพียงองค์ชายน้อยน้อมกายรอรับคำสั่งอยู่ด้านข้าง



“นับจากนี้ไปสามวัน เจ้าไปบอกคุณท้าวที่ตำหนักสนมว่าให้พานางสนมมาหาเราที่ห้องทุกคืน คืนละ 30 คน” องค์ชายหนุ่มตรัส ก่อนจะถอนปัสสาสะอีกครั้ง



…การเสด็จออกจากสมุทราครั้งนี้ เป็นครั้งแรกที่พระองค์รู้ซึ้งถึงคำว่า ‘ไปแล้วไปลับ คงไม่ได้กลับมา’ ในเมื่อไปกับหอยมุกเพื่อนยากตัวเดียวที่มีฐานะเป็นของบรรณาการแก่อาณาจักรอนันตราชที่ขึ้นชื่อลือชาด้านกองทหาร ฝ่ายนั้นคงจะยอมให้พระองค์ลอยนวลหรอก ถ้าเห็นว่าของบรรณาการเป็นแค่หอยตัวเดียวที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากนอนพะงาบๆไปวันๆอย่างนั้น



“เราต้องลาเมียเราให้ครบ” 



ตรัสแล้วก็ถอนปัสสาสะอีกเฮือก ด้วยเพราะอาลัยอาวรณ์ทั้งชีวิตและสนมซ้ายขวา



“ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมเกรงว่าจะไม่ทัน คืนละ 30 คน แค่เพียง 3 คืนก็แค่ 90 คนเองนะพระเจ้าค่ะ องค์ชายมีพระสนมทั้งหมด 121 คนไม่ใช่หรือ เหลืออีกตั้ง 31 คน” ชีวินทูลด้วยใบหน้าเรียบเฉยตามนิสัย



องค์ชายเหลือบเนตรมองใบหน้าหล่อเหลาขององครักษ์หนุ่มคู่พระทัย ชีวินเป็นผู้ชายหน้าตาดี เป็นทหารที่ได้รับการยกย่องจากสตรีทั้งวังหลวงว่ารูปงาม นามเพราะ และคุณสมบัติครบถ้วน หากแต่เพราะมุ่งมั่นจริงจังกับหน้าที่การงานมากไปเสียหน่อย เลยไม่เผื่อแผ่เวลาไปให้หญิงสาวที่ไหนเลย



น่าเสียดาย…ยังไม่ทันได้ลิ้มรสชาติหอมหวานของการเกิดเป็นบุรุษเพศ ก็ต้องตามเสด็จพระองค์ไปตายในอนันตราชอีก ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ในเมื่อต้องตาย สนมทั้ง 121 คนก็คงเอาไปด้วยไม่ได้ พระองค์จะยกให้ชีวินกึ่งหนึ่งก็แล้วกัน…



“ที่เหลือเรายกให้เจ้า ชีวิน”



“อะไรนะพระเจ้าค่ะ” คนฟังเหมือนหูดับไปชั่วขณะ จนต้องทูลถามอีกครั้ง



“เราบอกว่าสนมอีก 31 คนที่เราลาไม่ทัน เรายกให้เจ้า” คนได้รับมหากรุณาธิคุณถึงกับชะงักกึก แล้วพลันนั้นใบหน้าขาวขององครักษ์หนุ่มก็ขึ้นสีทันควัน จนองค์ชายสนธยาผู้เจนจัดกับการจัดการ ‘สนม’ ต้องลุกขึ้นมาโอบไหล่องครักษ์หนุ่มอย่างปลอบประโลม



“ไม่เอาหน่าชีวิน ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาสมุทราอีกไหม บางทีอาจตายตั้งแต่กษัตริย์ของอนันตราชเปิดหีบบรรณาการแล้วเจอหอยนอนอืดอยู่ในนั้นก็เป็นได้ ตอนนี้ยังพอมีเวลา เจ้าก็จงใช้ให้คุ้มเสีย”



“กระหม่อมขอใช้เวลาที่พอจะมีไปกับสิ่งอื่นจะดีกว่าพระเจ้าค่ะ ขอไม่รับพระมหากรุณาในครั้งนี้ แล้วนี่พระองค์ประทับตราเอกสารที่กระหม่อมวางเอาไว้หรือยัง กระหม่อมจะนำไปส่งที่กรมกลาโหม” ว่าแล้วชีวินก็ทำเป็นวุ่นวายกับงานเอกสารบนโต๊ะทรงงานขององค์ชายหนุ่มเสียเต็มประดา ก่อนจะคว้าเอกสารที่มีตราประทับเรียบร้อยแล้วขึ้นมาถือ จากนั้นก็ค้อมกายลา แล้วออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว



องค์ชายสนธยาได้แต่ทอดพระเนตรตามบานประตูที่ปิดลง แล้วได้แต่สรวลเบาๆอย่างชอบใจ



…ชีวินเป็นนายทหารรูปงาม นามเพราะ คุณสมบัติครบถ้วน…



แน่นอน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ใครๆในวังหลวงก็รู้กันดี แต่สิ่งที่ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าพระองค์ก็คือ นายทหารที่รูปงามนามเพราะคุณสมบัติครบคนนี้ ‘ขี้อาย’ กว่าเด็กสาวแรกรุ่นอีกน่ะซี!


………………………………..


เพราะของบรรณาการที่สมุทราเตรียมจะนำส่งไปยังอนันตราชนั้นมีเพียงหอยมุกตัวเดียว ดังนั้นทางกรมวังจึงใช้เวลาตระเตรียมเพียงแค่ 3 วัน ขบวนบรรณาการที่ประกอบด้วยสัมภาระขององค์ชายสนธยาผู้เสด็จไปพร้อมกับหอยมุก และอ่างแก้วขนาดใหญ่สำหรับบรรจุหอยอายุใกล้ครบร้อยปีก็เตรียมท่ารออยู่ที่ประตูวังแล้ว



องค์ชายหนุ่มแห่งสมุทราทอดเนตรหอยมุกขนาดมหึมาที่นอนนิ่งอยู่ในอ่างแก้วที่ถูกเติมน้ำทะเลจนแทบล้นแล้วได้แต่ภาวนา



…ขออย่าให้มันตายกลางทางเลยเถิด…อย่างน้อยๆ ก็ให้ถึงมืออนันตราชเสียก่อนแล้วค่อยตาย ถึงแม้ว่าตอนนั้นพระองค์อาจจะไม่ได้อยู่ทอดพระเนตรมันแล้วก็ตามที



“ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม”



เสียงนุ่มดังมาจากเบื้องหลัง ทำเอาองค์ชายสนธยาต้องทรงหันกลับไปตามเสียง



ราชินีวารีวาทเสด็จมายังประตูวังที่มีขบวนเรียงแถวรอเคลื่อนย้าย อันประกอบไปด้วยวงดุริยางค์ที่จะเล่นเครื่องดนตรีนำขบวนไปส่งถึงท่าเรือหลัก และขบวนนายทหารอีกนับร้อยที่ตามไปส่ง หากแต่องค์สนธยากลับดำริว่าเหมือนขบวนส่งพระศพของพระองค์อย่างไรอย่างนั้น



“เสด็จแม่” องค์ชายหนุ่มน้อมกายต่ำถวายความเคารพพระมารดา



“องค์สน เตรียมตัวพร้อมแล้วใช่ไหม” ไม่ว่าเมื่อไรราชินีวารีวาทก็ยังใช้น้ำเสียงหวานกับโอรสธิดาเสมอ แม้จะเป็นผู้มีโองการส่งโอรสนามว่า ‘สนธยา’ ไปตายในแดนไกลก็เถอะ



“พร้อมยิ่งกว่าพร้อมอีกพระเจ้าค่ะ” องค์ชายสนธยาทูลตอบ ไม่มีวี่แววโกรธเคือง ไม่มีวี่แววน้อยพระทัย แม้ว่าเมื่อสิ้นสุดการเดินทางครั้งนี้ที่อนันตราช ชีวิตของพระองค์จะหาไม่ หากแต่…สิ่งหนึ่งที่พระองค์เชื่อเสมอก็คือพระมารดาของพระองค์มีโองการในสิ่งที่ ‘ดี’ ที่สุดเสมอ



…แม้ว่าดีที่สุดในครั้งนี้ จะเป็นการเลือกความตายให้องค์ชายสนธยาก็ตามที…



“เห็นว่าลาสนมนับร้อยภายในเวลาแค่สามวันหรือ” องค์ราชินีตรัสหยอก อย่างที่ทำเอาโอรสสรวลร่วน



“แหม ก็เกรงว่าจะไม่ได้กลับมาอีก ก็ต้องเอาให้คุ้มสิพระเจ้าค่ะ” ดวงเนตรสีน้ำตาลอ่อนของผู้เป็นมารดาอ่อนแสงลงเมื่อได้ยินเช่นนั้น แต่เรื่องนี้พระองค์ดำริมาดีแล้ว…สมุทราจำเป็นต้องส่ง ‘โอรส’ ออกไป มิเช่นนั้นจะเป็น ‘โอรส’ องค์นี้เองที่ต้องแดดิ้นที่สมุทรา



“แม้ไม่ได้กลับ แต่ขอให้จงจำเอาไว้ว่าเจ้าคือ ‘สนธยาแห่งสมุทรา’ วันหนึ่งในภายภาคหน้าอาจไม่มีตำแหน่งองค์ชายติดตัว แต่จงอย่าลืม เจ้ายังเป็นลูกของแม่เสมอ”



“กระหม่อมไม่มีวันลืม เสด็จแม่” เพราะ สมุทราคือเลือดเนื้อ สมุทราคือหัวใจ พระองค์เกิดที่นี่ แม้ต้องไปตายในดินแดนอื่น แต่พระองค์จะเป็น ‘สนธยาแห่งสมุทรา’ จนวันที่ลมหายใจสุดท้ายปลิดปลิว



“…เอ่อ…เสด็จแม่ ขอกอดหน่อยได้ไหม”


คำขอสุดท้ายของโอรสทำเอาองค์ราชินีผู้อยู่เหนือมวลชนแห่งสมุทราได้แต่นิ่งงัน ด้วยเพราะพระองค์ขึ้นครองบัลลังก์นับตั้งแต่ให้กำเนิดองค์ชายสนธยา และเพราะรัฐกิจที่แสนหนักหน่วง องค์ชายน้อยจึงเติบโตขึ้นมาด้วยมือของแม่นมมากกว่า ‘แม่แท้ๆ’ อย่างพระองค์เอง


สนธยาไม่เคยเรียกร้องสิ่งใด ไม่เคยร้องขอให้พระองค์หันกลับมาสนพระทัย สนธยาเกิดมาในฐานะโอรส เขารู้…ว่าสำหรับราชินีแห่งเกาะสมุทราแล้ว ประชาชนมาก่อนโอรสเสมอ



สองหัตถ์เรียวเล็กของผู้เป็นมารดาโอบกอดแผ่นหลังของโอรสองค์โตด้วยความรักสุดดวงใจ ความห่วงหาห่วงใยก่อให้เกิดหยาดน้ำใสเอ่อคลอเนตรสีน้ำตาลอ่อน ไออุ่นของอ้อมแขนที่กอดกระชับระหว่างมารดาและบุตรช่วยเติมเต็มความรู้สึกว้าเหว่ตลอดเวลาหลายปีที่ความเป็นแม่ลูกถูกขวางกั้นด้วยรัฐกิจของบ้านเมือง



…หากแต่เวลานี้ แม้จะเป็นช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต แต่อ้อมกอดของแม่เป็นของเขาแล้ว…



องค์ชายสนธยากล้ำกลืนความโหยหาลงในอก เสียงแตรนำขบวนดังขึ้นราวกับให้สัญญาณของการลาจาก อ้อมกอดที่แนบแน่นจึงจำต้องคลาย



“ได้เวลาแล้ว” ราชินีวารีวาทตรัส ดวงเนตรยังจับจ้องพักตร์ของโอรสราวกับจะจดจำทุกรายละเอียดเอาไว้ในห้วงคำนึง



“รักษาพระวรกายด้วย” เมื่อลูกทิ้งความห่วงหาเป็นครั้งสุดท้าย ทำเอาหญิงผู้เป็นแม่ต้องกลืนสะอื้นลงในคอ แล้วมอบรอยยิ้มจางที่แสนเศร้าให้บุตรชาย



“เจ้าก็เช่นกัน…โชคดี สนธยา” เป็นครั้งแรกที่องค์ชายหนุ่มได้ยินชื่อของตนที่ไร้ยศใดๆจากริมฝีปากของราชินีวารีวาท พระสุชลหยดลงบนปรางค์สีน้ำผึ้งอย่างห้ามไม่อยู่ ด้วยเพราะรู้ว่าชื่อที่ไร้ยศนี้เปรียบเสมือนของขวัญล้ำค่าชิ้นสุดท้าย องค์ราชินีลดตำแหน่งของพระองค์เองจากประมุขมาเป็นแม่…แม่ผู้ซึ่งเป็นคนธรรมดา กับเขา…ที่เป็นเพียงบุตรชาย



…ไม่มีตำแหน่งหัวโขนใดๆขวางกั้น…มีเพียงแค่ความสัมพันธ์แม่ลูกที่ถักทอร้อยเรียงพวกเขาเอาไว้ในห้วงแห่งความคิดถึง…



“ลาก่อน ท่านแม่”



ขบวนบรรณาการเคลื่อนออกจากตำหนักหลวงไปตามเส้นทางจากหน้าผาสู่ใจกลางเมือง และตรงไปยังท่าเรือหลักของเกาะสมุทรา ราชินีวารีวาทได้แต่ทอดพระเนตรตามขบวนนั้นจนกระทั่งหายลับไปจากสายพระเนตร และในตอนนั้น พระสุชลขององค์ราชินีที่ได้ชื่อว่าเข้มแข็งที่สุดในราชวงศ์ก็หยดลงต้องกับผิวดิน



…ไปแล้ว…ดวงหทัยของพระองค์ไปแล้ว…



…และพระองค์รู้ดี…ดวงหทัยดวงนี้จะไม่มีทางได้กลับมา…



……………………………..

หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 1)...อัพ 08/06
เริ่มหัวข้อโดย: Dezair ที่ 08-06-2013 20:57:11



อนันตราชเป็นอาณาจักรใหญ่ที่กินพื้นที่ตั้งแต่ทิวเขาทางตอนเหนือจนถึงน่านน้ำทางใต้ การเดินทางจากเกาะกลางทะเลอย่างสมุทรามายังอนันตราชนั้นไม่ยากเย็นเสียเท่าไร เพราะเป็นเส้นทางหลักของนักเดินเรือ ขบวนบรรณาการของสมุทรามาขึ้นที่ท่าเรือหลักของอาณาจักรอนันตราชภายในเวลาเพียงหนึ่งเดือน แล้วหลังจากนั้นก็เป็นการเดินทางด้วยเกวียนเทียมม้าจากท่าเรือเข้าไปยังใจกลางเมืองอันเป็นที่ตั้งของวังหลวงแห่งราชสำนักอนันตราช



องค์ชายสนธยาปล่อยชายผ้าม่านของเกวียนให้ทิ้งตัวลงตามเดิม แล้วขยับกายจัดท่านั่งของตนอย่างนึกอึดอัด



ขบวนบรรณาการเคลื่อนตัวเข้าสู่เขตวังหลวงแล้ว จากนี้…อายุขัยของพระองค์กำลังลดลงอย่างช้าๆ…และมันจะสิ้นสุดลงเมื่อกษัตริย์วิภูแห่งอนันตราชทรงเปิดหีบบรรณาการแล้วพบอ่างแก้วซึ่งบรรจุเจ้าหอยยักษ์นอนพะงาบอยู่ในนั้นเพียงลำพัง



“ทรงรู้สึกไม่สบายหรือพระเจ้าค่ะ”



ชีวินที่ร่วมเกวียนมาด้วยกันทูลถามอย่างนึกห่วงใยเมื่อเห็นองค์ชายหนุ่มที่ตนถวายความดูแลมาแต่ไหนแต่ไรเริ่มมีสีพักตร์ไม่สู้ดี ซ้ำยังเอาแต่ขยับกายไปมาเหมือนร้อนรนอย่างไรอย่างนั้น



“คนใกล้ตาย จะให้รู้สึกดีได้อย่างไรล่ะ”



“ไม่ตรัสเช่นนั้นสิพระเจ้าค่ะ ไม่เป็นมงคลเอาเสียเลย” แม้ชีวินจะรู้ดีว่าสถานการณ์เข้าข่ายให้ต้องมาสิ้นชีพในอนันตราช แต่ไม่ว่าอย่างไร ในฐานะองครักษ์ แม้เขาต้องตายที่นี่ แต่องค์ชายสนธยาต้องปลอดภัย



“จะให้พูดเรื่องมงคลอะไรอีก คนมันใกล้ตายก็เห็นๆกันอยู่”



แม้จะไม่ใช่คนมองโลกในแง่ร้าย แต่แค่ไพล่คิดไปถึงเจ้าสัตว์ไม่มีขาที่นอนมาตลอดทาง องค์ชายหนุ่มก็ทนมองโลกในแง่ดีต่อไปไม่ไหว



...เกิดมาเป็นถึงโอรสทั้งที ตอนจะตายดันมาตายเพราะหอย!...ให้มันได้อย่างนี้สิ!...



“หากจะตาย ก็ต้องเป็นคนอื่นที่ตาย ไม่ใช่พระองค์ กระหม่อมสัญญา” 



ชีวินถวายคำมั่นด้วยความเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวอย่างที่ทำเอาองค์ชายสนธยาได้แต่ถอนปัสสาสะกับความดื้อด้านนั้น แม้จะอยากเย้าว่าชีวินไม่มีทางห้ามมัจจุราชที่มาพร้อมกับหอยมุกแก่งั่กนั่นได้ แต่องค์เองก็ตระหนักดีว่าต่อให้เกิดอะไรขึ้น ชีวินจะปกป้องพระองค์สุดความสามารถ



“เฮ้อ…เจ้าเอาตำแหน่งพี่คุ้มกะลาหัวของเราไปเลยดีไหม” องค์ชายสนธยาตรัสอย่างอ่อนพระทัย หากแต่อีกฝ่ายก็ไวพอจะย้อนกลับด้วยวาจาราบเรียบเช่นเคย



“ไม่ดีพระเจ้าค่ะ กระหม่อมไม่มีเชื้อสายราชนิกูล เป็นพระเชษฐาของพระองค์ไม่ได้”



องค์ชายผู้ประสงค์จะยัดเยียดตำแหน่ง ‘พี่ชายคุ้มกะลาหัว’ ให้องครักษ์เต็มแก่กำลังจะเริ่มบทสนทนากระเซ้าเย้าแหย่อย่างที่ถนัดต่อไป ทว่าเกวียนที่โดยสารมากลับหยุดเสียก่อน บอกให้รู้ว่าเวลาแห่งความเป็นจริงงวดเข้ามาทุกขณะ



องค์ชายสนธยาเหลือบเนตรสบกับดวงตาขององครักษ์คู่พระทัย ความตายไม่ใช่สิ่งน่ากลัว ล้วนเกิดกับมนุษย์ทุกคน หากแต่…พอความตายกำลังวิ่งกวดเข้ามาหาทุกขณะจิตเช่นนี้แล้ว พระองค์ตรัสได้เลยว่าแทบบ้า!



“อย่าทรงกังวล พระองค์จะต้องไม่เป็นอะไร” ชีวินย้ำอย่างจริงจังอีกครั้ง ก่อนที่บานประตูของตู้โดยสารจะถูกเปิดออก และพาให้องค์ชายแห่งเกาะสมุทราได้เสด็จออกมาเผชิญกับวังหลวงของอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนแผ่นทวีป



…อาณาจักรอนันตราช!...


…………………………………….


และแล้ว…วังหลวงแห่งอาณาจักรอนันตราชก็ทำให้องค์ชายสนธยาแห่งเกาะสมุทราได้เรียนรู้ว่า…นอกจากความตายแล้ว…สิ่งที่น่ากลัวไม่น้อยไปกว่ากันก็คือความอับอาย!



“นั่นหรือ คือสิ่งที่เกาะสมุทราเรียกว่าของบรรณาการ” 



กษัตริย์วิภูเป็นบุรุษร่างกายสูงใหญ่กำยำดั่งชายชาติทหารสมกับที่ปกครองอาณาจักรที่ขึ้นชื่อลือชาด้านการรบ ดังนั้น เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรของบรรณาการแล้วตรัสด้วยสุรเสียงค่อนไปทางดูแคลน องค์ชายสนธยาผู้นำขบวนบรรณาการมาถวายก็ยิ่งรู้สึกว่าเจ้าหอยมุกตัวเดียวที่นอนอยู่ในอ่างแก้วนั้นมันช่างด้อยค่า ต้อยต่ำ และไร้ราคาเสียจริงๆ! และที่ทำให้องค์ชายหนุ่มจากสมุทรายิ่งรู้สึกว่าบรรณาการของตนนั้นไร้ค่าราวกับขยะมากขึ้นไปอีกก็ตรงที่พวกขุนนางนายทหารในราชสำนักอนันตราชถูกกษัตริย์วิภูเรียกให้เข้าเฝ้าเป็นการด่วน เพราะประมุขแห่งอนันตราชต้องการ ‘อวด’ ให้เหล่าเสนาทั้งหลายเห็นของบรรณาการที่งี่เง่าที่สุดในประวัติศาสตร์!



…หอยมุกหนึ่งตัวในอ่างแก้ว!!!...



“พระเจ้าค่ะ สิ่งนี้ที่สมุทราเรียกว่าของบรรณาการ” 



ในเมื่อไม่มีทางโต้แย้งให้เป็นอื่นได้ องค์ชายหนุ่มจากเกาะเล็กๆกลางมหาสมุทรจึงสมยอมตามน้ำ



กษัตริย์วิภูหรี่เนตรลงเล็กน้อยราวกับนึกรู้ว่าสมุทราคงเล่นแง่ดังที่พระองค์เคยได้สดับมาว่าราชินีวารีวาทผู้เป็นประมุขเหนือชาวเกาะแห่งนั้นเจ้าเล่ห์เพทุบายและเต็มไปด้วยแผนการอันแยบยล



…ไม่รู้ว่าคราวนี้องค์ราชินีผู้ถูกตราหน้าไปทั่วทุกหัวเมืองว่าเป็นแม่มดร้ายเจ้ามารยาดำริการใด ถึงได้ส่งหอยมุกเพียงตัวเดียวมาเป็นของบรรณาการ! หอยมุกเพียงหนึ่งตัว! กับสถานะที่เป็นถึงของบรรณาการแก่อาณาจักรอนันตราชที่แสนยิ่งใหญ่!...



“แล้วสิ่งนั้นที่สมุทราเรียกว่าของบรรณาการมันทำอะไรได้บ้างล่ะ” กษัตริย์วิภูตรัสถาม ทำเอาองค์ชายสนธยานิ่งไปเล็กน้อยด้วยเพราะในความเป็นจริงแล้ว เจ้าหอยมุกตัวนี้ทำอะไรไม่ได้สักอย่างนอกจากนอนอยู่ก้นอ่าง



“เอ่อ…มัน…มัน…” 



ตั้งแต่เกิดจน 20 ชันษา องค์ชายสนธยาก็ไม่เคยทอดเนตรเห็นมันทำอย่างอื่นเลย มันไม่เคยคายมุก มันไม่เคยขยับ สิ่งเดียวที่มันทำคือเผยอกาบบ้างเป็นบางครั้ง ซึ่งบางครั้งที่ว่านั่น…ก็นาน…จนแทบจำไม่ได้ว่าครั้งสุดท้ายคือเมื่อไหร่



“มันอะไร”



“เอ่อ…มัน…มัน…”



“มันอะไรก็ว่ามา หรือมันทำได้แต่เรื่องพิสดารจนเจ้าคิดว่าเราจะไม่เชื่อ ไม่เป็นไร พูดมาเถอะ เราเป็นคนเชื่อคนง่าย” กษัตริย์วิภูทรงเปิดทางเต็มที่ ด้วยเพราะอยากรู้ว่าสมุทราคิดจะทำสิ่งใด องค์สนธยาเหลือบเนตรขึ้นมองพักตร์เรียบเฉยของผู้เป็นประมุขแห่งอนันตราชแล้วก็ยิ่งรู้สึกว่าอากาศในโถงกว้างกลางวังหลวงแห่งนี้ช่างไม่น่าหายใจเอาเสียเลย



“ถ้าเจ้าไม่พูด เราจะถือหอยนั่นทำอะไรไม่ได้นอกจากนอนเฉยๆ และนั่นหมายความว่าสมุทราหยามเกียรติเราด้วยการส่งหอยไร้ค่ามาเป็นของบรรณาการ ทหาร!!” ท้ายประโยคกษัตริย์วิภูทรงกระชากเสียงดังลั่น นายทหารใหญ่น้อยที่อยู่ในโถงตั้งท่ารับคำสั่งโดยพร้อมเพรียงจนสนธยาอ้าปากค้าง และก่อนที่ประมุขแห่งอนันตราชจะมีรับสั่งใดๆ องค์ชายผู้นำขบวนบรรณาการจากสมุทราก็รีบร้องเสียงลั่น



“มันเป็นหอยคู่บ้านคู่เมืองพระเจ้าค่ะ!” 



คำแก้ต่างทำเอาทั้งโถงเงียบกริบในเสี้ยวอึดใจ แล้วก็กลายเป็นเสียงหัวเราะดังกระหึ่มทั้งจากขุนนางนายทหารและแม้แต่กษัตริย์วิภูที่ประทับอยู่บนบัลลังก์



“คือ…พระองค์ก็ทอดเนตรเห็นแล้วว่ามันตัวใหญ่ขนาดนี้ แปลกพิสดารใช่ไหมพระเจ้าค่ะ มันอยู่คู่สมุทรามานานนมตั้งแต่ก่อนกระหม่อมจะเกิดเสียอีก ดังนั้น…มันก็เลยเป็นหอยคู่บ้านคู่เมือง เป็นหอยที่สร้างอำนาจบารมีให้แก่ราชสำนัก เอ่อ…ที่สมุทราอยู่ดีกินดีได้อย่างทุกวันนี้ก็เพราะหอยคู่บ้านคู่เมืองนี้ล่ะพระเจ้าค่ะ”



 “แล้วสมุทราส่งหอยคู่บ้านคู่เมืองมาให้เราแบบนี้ สมุทราจะไม่แย่หรือไร”



   “ไม่แย่พระเจ้าค่ะ! คือ…เพื่อมิตรภาพของอนันตราชและสมุทราแล้ว การยกหอยคู่บ้านคู่เมืองเป็นของบรรณาการนั้นเล็กน้อยนัก ขอเพียงแค่อนันตราชมองสมุทราเป็นเกาะเล็กๆที่รักสงบ คอยจุนเจือบ้าง เกื้อหนุนบ้าง เท่านั้นก็พอ” พูดไปเหงื่อแทบไหลเป็นน้ำ ทั้งๆที่อากาศในอนันตราชนั้นเย็นกว่าที่สมุทรามากนัก แต่เพราะสายเนตรของกษัตริย์วิภูที่อยู่เบื้องหน้าและความเป็นความตายรอคอยอยู่เบื้องหลัง ยิ่งทำเอาเสียงหัวใจเต้นดังสะท้อนไปทั้งอกอย่างที่ทำเอาหวิดจะเป็นลมไปหลายที



   …รับๆไปเสียทีเถิด! รับๆหอยตัวนี้ไปเสียที!...



   “มิตรภาพ?...” 



กษัตริย์วิภูตรัสเสียงเนิบ ดวงเนตรจับจ้องใบหน้าขององค์ชายหนุ่มผู้มาจากเกาะทางใต้ องค์ชายผู้ได้ชื่อว่าเป็นโอรสพระองค์แรกของราชินีวารีวาท แม้เกาะสมุทราจะสืบบัลลังก์ด้วยตำแหน่งราชินี แต่อย่างไรเสีย องค์ชายก็ยังได้ชื่อว่าเป็นผู้สืบสันตติวงศ์ หากว่าไม่มีองค์หญิงองค์ใดเสด็จขึ้นครองบัลลังก์



   แล้วถ้าเช่นนั้น…เหตุใด ราชินีวารีวาทจึงกล้าส่งโอรสองค์โตออกจากเกาะมาพร้อมกับของบรรณาการไร้ราคาที่ชวนโมโหเช่นนี้?...



   …พระนางต้องมีแผนการอะไรสักอย่างเป็นแน่แท้…ทว่า แผนการอะไรล่ะ? กษัตริย์วิภูมองไม่ออก และเพราะเช่นนั้นจึงได้แต่ดำริว่าควรจะทำเช่นไรกับหอยมุกบรรณาการและองค์ชายผู้นำขบวนมาดี



   “เสด็จพ่อ”



เสียงทุ้มดังขึ้นมาจากแถวนายทหารทางฝั่งซ้ายของหัตถ์ ทำเอากษัตริย์วิภูต้องทอดเนตรลงมอง องค์รัชทายาทลำดับที่สองผู้เป็นโอรสจากสนมคนใดคนหนึ่งของพระองค์กำลังเงยหน้ามองผู้เป็นพระบิดาพร้อมด้วยรอยยิ้มบางที่มุมปากอย่างที่ติดนิสัยทำเป็นประจำ



   “ว่ามา องค์เตช” 



องค์ชายเตชินทร์ผู้ประสูติจากสนมที่กษัตริย์วิภูจำไม่ได้ด้วยซ้ำ หากแต่เพราะเป็นโอรสที่รอบรู้ทั้งการทหารและการปกครอง จึงขยับฐานะจากโอรสปลายแถวขึ้นมาเป็นรัชทายาทลำดับที่สองได้อย่างไม่ค้านสายตาขุนนางนายทหารคนใด



   “หากพระองค์ไม่ว่าอะไร ของขวัญวันคล้ายวันเกิดปีนี้ของกระหม่อม ขอเป็นหอยคู่บ้านคู่เมืองของสมุทราได้ไหมพระเจ้าค่ะ” องค์ชายหนุ่มผู้มีผิวขาวสะอาดทูลถามพร้อมรอยยิ้มเช่นเคย กษัตริย์วิภูเลิกขนงเล็กน้อย



   “เจ้าอยากได้หรือ”



   “พระเจ้าค่ะ” คำตอบรับขององค์ชายหนุ่มแห่งราชสำนักอนันตราชทำเอาคณะที่มาจากสมุทราแทบเนื้อเต้นกันไปหมด และที่ดูจะแสดงออกยิ่งกว่าใครก็เห็นจะเป็นองค์ชายสนธยาผู้ที่เมื่อครู่ยังเหงื่อหยดเป็นน้ำ หากแต่บัดนี้กลับแย้มยิ้มอย่างยินดี!



   กษัตริย์วิภูเหลือบเนตรไปยังหอยมุกในอ่างแก้วอีกครั้ง ก่อนที่จะหันกลับมาสบเนตรของโอรสที่ยังคงถวายรอยยิ้มให้พระองค์เฉกเช่นทุกที หากแต่ในดวงตาสีดำเข้มขององค์ชายเตชินทร์กลับมีแววระริกบางอย่างอย่างที่ทำเอาประมุขแห่งอนันตราชต้องยอมตามใจ



   “ก็ได้” พระองค์ตอบรับคำขอของโอรส ก่อนจะหันไปทางคณะจากสมุทราที่มีแววความสุขล้นปรี่



   “เราขอรับของบรรณาการจากสมุทรา เพื่อมาเป็นของขวัญให้แก่โอรสของเรา”



   “ด้วยความยินดียิ่ง ฝ่าบาท” 



องค์ชายสนธยาน้อมกายแทบจะติดพื้น พระองค์สูดหายใจเสียหลายฟืดอย่างยินดี อนันตราชยอมรับบรรณาการแล้ว นั่นก็หมายความว่าพระองค์จะได้เสด็จกลับสมุทรา และถ้าพระองค์ได้กลับสมุทรา นั่นก็หมายความว่าพระองค์จะได้ฉลองกับบรรดาสนมทั้ง 121 คน!



   “กระหม่อมมีเรื่องจะทูลขออีกเรื่องพระเจ้าค่ะ” 



เสียงทุ้มขององค์ชายเตชินทร์ดังขึ้นอีกครั้ง ทำเอาคนที่กำลังล่องลอยไปในจินตนาการว่าจะได้กลับไปกกสนมทั้งร้อยกว่าชีวิตต้องเหลือบตามอง



   “ที่ตำหนักของกระหม่อม ไม่มีบ่าวไพร่คนใดรู้วิธีเลี้ยงหอยมุก เพราะฉะนั้น…” องค์ชายหนุ่มผู้ขอรับหอยคู่บ้านคู่เมืองเป็นของขวัญวันคล้ายวันสมภพเหลือบเนตรกลับไปมองยังสนธยา ก่อนที่โอษฐ์หนาสีแดงสดบนพักตร์ขาวจะขยับรอยสรวลอย่างชอบอกชอบใจ



   “…กระหม่อมขอให้องค์ชายสนธยาอยู่ที่ตำหนักของกระหม่อมเพื่อเป็นคนเลี้ยงหอยพระเจ้าค่ะ”



   “เฮ้ย!!!” 



คนถูกขอให้ไปเลี้ยงหอยยังตำหนักขององค์ชายรัชทายาทลำดับที่สองแห่งราชสำนักอนันตราชถึงกับร้องลั่นด้วยความตกใจ หากแต่องค์ชายเตชินทร์ผู้ต้นคิดกลับไม่สนพระทัยต่อเสียงร้องนั้นแม้แต่น้อย พระองค์ยังคงแย้มสรวลจางๆ แล้วหันกลับไปทูลความกับกษัตริย์วิภูเป็นการเน้นย้ำปิดทางหนีทีไล่ขององค์ชายจากสมุทราทุกประตู



   “หากองค์ชายสนธยาไม่ยอมมาเป็นคนเลี้ยงหอย กระหม่อมก็ขอคืนของขวัญชิ้นนี้”



“ทำอย่างนั้นได้อย่างไรกัน?!! เป็นกษัตริย์ รัชทายาท เป็นราชนิกูล ตรัสแล้วคืนคำไม่ได้!” องค์ชายสนธยารีบขวาง ก่อนที่ทุกอย่างจะตาลปัตร เมื่อครู่นี้อุตส่าห์หายใจได้โล่งจมูกแล้วเชียว! เหตุใดถึงมากลายเป็นแบบนี้เล่า?!!!



“เราไม่ได้คืนคำ แต่เราแค่จะคืนของบรรณาการ” องค์ชายเตชินทร์หันมาแย้ง หากแต่พักตร์คมคายยังคงเจือด้วยความอ่อนโยนเพราะรอยยิ้มที่มุมโอษฐ์นั่น



“คืนบรรณาการก็ไม่ได้!!”



“คืนได้สิ” องค์ชายแห่งราชสำนักอนันตราชกล่าวเช่นนั้นก่อนจะหันไปทางกษัตริย์วิภูแล้วทูลอย่างแข็งขัน “ในอนันตราชไม่มีขุนนางคนใดรู้วิธีเลี้ยงหอยมุก ดังนั้น หากรับหอยมุกมา กระหม่อมเกรงว่าจะเป็นการเสียของ เพราะอย่างไรมันก็ต้องตายใน 3 วัน 7 วันเนื่องจากไม่มีใครเลี้ยงเป็นพระเจ้าค่ะ”



“จริงของเจ้า องค์เตช ถ้ารับมาแล้วตายใน 3 วัน 7 วันโดยที่ยังไม่ได้แสดงอภินิหาริย์การเป็นหอยคู่บ้านคู่เมืองล่ะก็ เสียเปล่าจริงๆนั่นล่ะ” แล้วก็กลายเป็นว่ากษัตริย์วิภูทรงเห็นพ้องตามที่โอรสทูลเสียด้วย สนธยาแทบล้มทั้งยืนเมื่อเรื่องราวพลิกกลับเสียจนไม่เห็นหนทางการได้กลับสมุทราอีก



“ถ้าอย่างนั้น…” ประมุขสูงสุดแห่งอนันตราชเอ่ยโอษฐ์ราวกับจะตัดสินพระทัย ทำเอาองค์ชายจากสมุทราถึงกับเบิกเนตรค้าง ก่อนจะรีบร้องเสียงลั่นโถง



“กระหม่อมจะเป็นคนเลี้ยงหอยเองพระเจ้าค่ะ!!!!”



คนทั้งโถงหันกลับมามององค์ชายสนธยาเป็นตาเดียว และนั่นรวมไปถึงสายเนตรขององค์ชายเตชินทร์ก็ทอดพระเนตรมาจับจ้องยังพักตร์สีน้ำผึ้งนั้นด้วย โอษฐ์หนาขยับแย้มสรวลกว้างกว่าครู่เล็กน้อย ก่อนจะหันไปค้อมกายแด่กษัตริย์วิภู แล้วจึงทูลเสียงดังฟังชัด



“ถ้าเช่นนั้น กระหม่อมก็ขอรับหอยมุกตัวนั้นและคนเลี้ยงนะพระเจ้าค่ะ”


ติดตามตอนต่อไป (เสาร์หน้า)

สวัสดีค่ะ
หายไปนานมากกกกกกก นับจากที่เรื่องจอมร้ายจบ  :mew1:
เรื่องแนวนี้ เป็นอีกแนวที่บัวชอบมากเลย แต่ก็เขียนยากมากๆเหมือนกัน ด้วยเพราะภาษาที่ค่อนไปทางราชาศัพท์ เลยทำให้เวลาอ่าน จะอ่านยากและไม่ค่อยลื่น บัวพยายามปรับให้สมดุล ถ้าใครมีอะไรแนะนำติชมก็บอกกันได้เลยนะคะ

ขอบคุณพื้นที่บอร์ด คนอ่าน คนเม้นท์ และทุกๆกำลังใจค่ะ

แล้วเจอกันเสาร์หน้าจ้า

หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 1)...อัพ 08/06
เริ่มหัวข้อโดย: MiU ที่ 08-06-2013 21:13:25
ที่จริงแล้วแอบหวังคนเลี้ยงตั้งแต่แรกแล้วมั้ง  :impress2:

ฮาตอนหอยคู่บ้านคู่เมือง 555 ฟังทีไร จักจี้ทุกที (ป่าวคิดลึกเลยน้า รีบแก้ตัว)  :katai2-1:

เป็นกำลังใจในการปั่นค่า อยากอ่านต่อเร็ว ๆ  :L2:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 1)...อัพ 08/06
เริ่มหัวข้อโดย: leknoey ที่ 08-06-2013 21:21:17
มาต้อนรับเรื่องใหม่   :pig2:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 1)...อัพ 08/06
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 08-06-2013 21:43:09
องค์เตกับองค์สน ใครจะลื่นกว่ากัน
เปิดเรื่องมาก็ฮากับหอยร้อยปีซะแล้ว
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 1)...อัพ 08/06
เริ่มหัวข้อโดย: NOoTuNE ที่ 08-06-2013 21:56:06
 :hao5: :hao5:

กรี๊ดเรื่องใหม่มาแล้ว



หอยหรือจะสู่ไข่  :hao7: :hao7:



สนุกมากเลยค่ะื ตอนแรกยังเดาไม่ออกว่าใครจะคู่ใครแต่ ตอนนี้พอเดาอออกแล้วค่ะ


รอตอนต่อไปไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 1)...อัพ 08/06
เริ่มหัวข้อโดย: kangkaw ที่ 08-06-2013 22:22:28
รีบเข้ามาจองที่หลังจากเห็นชื่อคนเขียน^^
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 1)...อัพ 08/06
เริ่มหัวข้อโดย: kuichai ที่ 08-06-2013 23:15:24
เห็นชื่อคนเขียนก็รีบกดเลยค่ะ

 สนุกมากค่ะ หอยคู่บ้านคู่เมือง

หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 1)...อัพ 08/06
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 09-06-2013 00:11:19
555 หอยคู่บ้านคู่เมือง คิดได้งัยเนี้ย
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 1)...อัพ 08/06
เริ่มหัวข้อโดย: sosi ที่ 09-06-2013 00:37:03
หอยคู่บ้านคู่เมือง คิดออกมาไ้ด้นะ :katai2-1:
องค์ชายเตชิน ก็เหมือนกันคิดยังไงให้องค์ชายจากเมืองอื่นมาอยู่ด้วย
ถึงจะให้แค่อยู่เลี้ยงดูหอยมุกก็ตามเถอะ

 :katai4:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 1)...อัพ 08/06
เริ่มหัวข้อโดย: พิรุณสีเงิน ที่ 09-06-2013 01:09:52
ที่ขอนี้เพราะเล็กหอยหรือว่าที่คนเลี้ยงหอยกันแน่คะ

แต่ฮาจริง ตอนที่บอกว่าเป็นหอยคู่บ้านคู่เมือง  :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 1)...อัพ 08/06
เริ่มหัวข้อโดย: michiko_love ที่ 09-06-2013 01:27:03
รอติดตามนะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 1)...อัพ 08/06
เริ่มหัวข้อโดย: NannY ที่ 09-06-2013 01:59:45
มาปาดเรื่องใหม่ของคุณบัวค่าาาา
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 1)...อัพ 08/06
เริ่มหัวข้อโดย: sam3sam ที่ 09-06-2013 03:33:13
ว้าว เรื่องใหม่ :mc4:
เห็นชื่อคุณบัวแล้วรีบจิ้มเข้ามาอ่านอย่างเร็วเลย

อั๊ยยะ หอยคู่บ้านคู่เมือง :laugh:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 1)...อัพ 08/06
เริ่มหัวข้อโดย: sine_saki ที่ 09-06-2013 05:50:07
ดูจากเนื้อเรื่องท่าจะฮา เพราะเจ้าหอยคู่บ้านคู่เมืองนี่แหละ 555
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 1)...อัพ 08/06
เริ่มหัวข้อโดย: Little_Devil ที่ 09-06-2013 05:57:19

เข้าใจคิดเนอะ หอยคู่บ้านคู่เมือง ก็สมกันอยู่นะ อยู่มาอายุเป็นร้อยปีขนาดนั้น ฮาาาา  :m20:

รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 1)...อัพ 08/06
เริ่มหัวข้อโดย: Takarajung_TK ที่ 09-06-2013 06:18:09
ชอบๆๆๆ เจ้าชายกลายเป็นคนเลี้ยงหอย
แล้วอย่างนี้ใครคู่ใครล่ะเนี่ย
รอๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 1)...อัพ 08/06
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 09-06-2013 08:17:35
เหตุ....ฮามาก!!!! หอมมุกร้อยปี กับคนเลี้ยงหอยดีกรีเจ้าชาย 55555+
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 1)...อัพ 08/06
เริ่มหัวข้อโดย: dolphins ที่ 09-06-2013 09:50:09
ขอบคุณสำหรับเรื่องใหม่ค่ะน้องบัว เริ่มเรื่องมาก็สนุกละ คนนึงเจ้าเล่ห์ อีกคนก็ลื่นเป็นปลาไหลกันเลยทีเดียว...
รอตอนต่อไปค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 1)...อัพ 08/06
เริ่มหัวข้อโดย: vanny ที่ 09-06-2013 10:31:36
 :mc4: :mc4: :mc4:

ตามมาต้อนรับเรื่องใหม่ด้วยคนค่ะ

แค่ตอนแรกก็เรียกเสียงฮาได้ถล่มทลายซะแล้ว จากเจ้าชายกลายเป็นคนเลี้ยงหอย

แถมยังเป็นหอยแก่ที่ไม่เคยมีใครเห็นทำอะไร นอกจากการอยู่นิ่งๆ ช่างสมกับเป็นหอยคู่บ้านคู่เมือง จริงๆ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 1)...อัพ 08/06
เริ่มหัวข้อโดย: Chichi Yuki ที่ 09-06-2013 13:30:02
มาต้อนรับเรื่องใหม่ค่ะ
เรื่องนี้ดูท่าจะสนุกน่าดูเลย
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 1)...อัพ 08/06
เริ่มหัวข้อโดย: SenzaAmore ที่ 09-06-2013 14:47:57
 :laugh: โอ้ยยยยยฮามากกกกกก 555555 :m20:

ตลกเวลาบรรยายว่า หอยแก่ที่นอนพะงาบๆ มันเห็นภาพมากๆอ้ะ555 :pandalaugh:

ฮามากกก ความจริงองค์ชายคงอยากได้คนเลี้ยงหอย มากว่าหอยคู่บ้านคู่เมืองละม้่างงงง :m12:

มาติดตามค่ะๆ อย่าลืมไปต่อเรื่องจอมร้ายน้าาา :กอด1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 1)...อัพ 08/06
เริ่มหัวข้อโดย: Gokusan ที่ 09-06-2013 16:23:33
เข้ามากรี๊ดเรื่องใหม่ก่อน...ยังไม่ได้อ่าน ^^"
หลังจากไปถอยของขวัญมาเก็บส่วนตัว...ซ้ำไปซ้ำมาอยู่นั่น
ไม่คิดว่าไม่กี่วันจะมีเรื่องใหม่มาให้ตาม...ดีใจและเต็มใจตามนะคะ ^^V

.....ขอเวลาอ่านเอาเรื่อง ค่ำจะมาเม้นท์ ^^.....

กรี๊ดกร๊าดองค์ชายสนธยา...กลายเป็นคนเลี้ยงหอยไปแล้ว
องครักษ์ล่ะ จะได้ทำหน้าที่อะไรกันต่อหนอ...อิอิ

ส่วนองค์ชายเตชินทร์...ต้องคิดอะไรอยู่สิน่า ไม่น่าไว้ใจ
คนเมืองใหญ่วางใจได้ไม่ได้ง่ายๆ นะนี่

สงสารสนมทั้งหลายร้อย...องค์ชายจะได้กลับเมื่อไหร่
แล้วกลับไปได้จะเหมือนเดิมมั้ยน้าาาา ท่าจะยาก ;p

รอดูวิธีเลี้ยงหอยๆๆๆ เอิ๊กๆ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 1)...อัพ 08/06
เริ่มหัวข้อโดย: fannan ที่ 09-06-2013 17:24:08
บรรณาการด้วยหอยมุกตัวเดียว


มันน้อยไปอ่ะดิองค์ชายเลยต้องกลายเป็นหนึ่งในเครื่องบรรณาการเลยอ่ะดิ



รออ่านตอนต่อไปค้าบบบบบบบบบบบบบบ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 1)...อัพ 08/06
เริ่มหัวข้อโดย: ❝CHŌN❞ ที่ 09-06-2013 17:30:37
อร๊ายยยยยยยยยย ชอบมาก ฮามาก

จริงๆแล้วอยากได้หอย หรือคนเลี้ยงก็ไม่รู้เนอะ

ปล.เรื่องนี้ต้องฮามากแน่ๆ แค่คิดก็สนุกแล้ววว
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 1)...อัพ 08/06
เริ่มหัวข้อโดย: FlOriN ที่ 09-06-2013 19:01:53
ชอบๆ คนดูแลหอย ><
จากนี้ต้องมีอะไรน่าสนใจมาก
รอติดตามต่อนะค้าาา
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 1)...อัพ 08/06
เริ่มหัวข้อโดย: pooinfinity ที่ 10-06-2013 18:42:03
เห็นชื่อน้องบัว เลยรีบวิ่งเข้ามาอ่าน คิดถึงงงงงงงงมาก

ว่าแต่องค์ชายสน จะฮาไปไหน มีได้รบรากันมันส์แน่ๆ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 1)...อัพ 08/06
เริ่มหัวข้อโดย: bpyt ที่ 10-06-2013 19:06:45
องค์เตชหวังคนเลี้ยงมากกว่าหอยมุกแน่ๆ
อยากเลี้ยงคนเลี้ยงหอยล่ะสิ 55

แต่องค์ชายสนธยาแรงอ่ะ มีสนมอะร๊ายย 121 คน สุดยอดมาก!!
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 1)...อัพ 08/06
เริ่มหัวข้อโดย: Lily teddy ที่ 15-06-2013 20:07:25
ด้วยพันธะบรรณาการ ของคุณdesair
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38199.0#msg2402800
 ตลกมาก แค่เปิดเรื่องก็ฮาละ :laugh:
ตามมาจากกระทู้นี้อะคะ ลองเข้ามาอ่านแล้วถึงปกติจะไม่อ่านเรื่องที่เป็น ภาษาเจ้า แต่เรื่องนี้อ่านแล้วไม่งง เข้าใจง่าย
อ่านแล้วฮาจริง น่าสนุกดี เลยขอมารอติดตามด้วยคนค๊า
ปล. ขอบคุณ คุณ Theomen  ด้วยนะคะสำหรับการแนะนำนิยายสนุก ๆ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 1)...อัพ 08/06
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 15-06-2013 20:48:01
เรื่องนี้ มัน ฮา มากกกกกกกก จากเจ้าชายกลายเป็นคนเลี้ยงหอยไปซะแล้ว 55555555555
หัวข้อ: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 2)...อัพ 15/06
เริ่มหัวข้อโดย: Dezair ที่ 15-06-2013 20:48:43
NOV: ด้วยพันธะบรรณาการ
By: Dezair
……………………..
พันธะ 2



ตำหนักขององค์ชายรัชทายาทลำดับที่สองแห่งอนันตราชนั้นค่อนข้างปลีกวิเวกจากตำหนักอื่นๆในเขตพระราชฐาน ยิ่งไปกว่านั้น ตัวตำหนักที่ถูกเรียกสั้นๆว่า ‘ตำหนักอิฐ’  ถูกก่อด้วยอิฐสีน้ำตาลอ่อนสมชื่อ บางส่วนฉาบด้วยปูนและทาด้วยสีเหลืองนวล ยิ่งทำให้ตัวตำหนักขนาดสามชั้นที่ไม่ใหญ่โตมโหฬารอวดความร่ำรวยมั่งมีเหมือนตำหนักอื่นๆดูน่าอยู่น่าอาศัยขึ้นเป็นกอง


“ที่นี่มีคนอยู่ไม่มาก นอกจากเราแล้ว ก็มีองครักษ์ของเราทั้งสองคน สมิต…” องค์ชายเตชินทร์ตรัสแนะนำองครักษ์หนุ่มร่างสูงใหญ่ไล่เลี่ยกับพระองค์ที่ยืนอยู่ด้านซ้าย สมิตเป็นบุรุษผิวขาวเหมือนชาวอนันตราชคนอื่นๆ และมีใบหน้าที่ติดไปทางขี้เล่นรักสนุกด้วยสายตาแพรวพราว เขายิ้มกว้างเมื่อยามโค้งกายคำนับองค์ชายสนธยา


“ส่วนนี่…อังกูร” ตรัสแล้วองค์ชายเตชินทร์ก็ทรงหันมาแนะนำองครักษ์หนุ่มอีกคนที่สูงใหญ่ไม่น้อยหน้าไปกว่ากัน หากแต่ ‘อังกูร’ นั้นมีผิวสีน้ำตาลเข้มซึ่งผิดแผกจากคนในอนันตราช อังกูรยิ้มน้อยๆแล้วน้อมกายถวายความเคารพเช่นเดียวกับเพื่อนร่วมสายทหารอย่างสมิต


“ทั้งสองคนนี้ พักอยู่ที่ห้องพักชั้นสามเฉพาะวันทำงาน ส่วนวันหยุดจะกลับไปนอนที่บ้าน แต่ถ้าหากองค์ชายสนธยามีอะไรเรียกใช้ก็บอกได้ พวกเขาจะอยู่คอยดูแลท่าน” องค์ชายเตชินทร์ตรัสอย่างมีน้ำพระทัยพร้อมด้วยรอยแย้มสรวลบางเบาบนพักตร์คมคาย ทำเอาองค์ชายหนุ่มผู้มาจากแดนไกลและต้องอาศัยอยู่ในตำหนักแห่งนี้เพื่อ ‘เลี้ยงหอย’ ชักจะพอเบาใจว่าคงจะพูดคุยกันรู้เรื่อง


“เรามีชีวินคอยดูแลอยู่แล้ว คงไม่รบกวนหรอก แต่อย่างไรก็ขอบใจมาก” แม้องค์ชายเตชินทร์ผู้เป็นเจ้าของตำหนักจะอนุญาตให้สนธยาพาชีวินมารับใช้ในตำหนักได้เพียงแค่คนเดียว แต่แค่คนเดียวก็เกินพอแล้วสำหรับองครักษ์อเนกประสงค์ที่ทำได้ทุกอย่างตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบ


ดังนั้นนอกจากเจ้าของตำหนักที่ดูน่าจะใจดีเจรจาง่ายแล้วสนธยายังมีองครักษ์ที่ร่วมเป็นร่วมตายมาคอยเกื้อหนุนแบบนี้ เห็นที…วี่แววว่าจะได้กลับสมุทราในไม่ช้าจะลอยมาใกล้แค่เอื้อม!


องค์ชายเตชินทร์ยิ้มบางรับ ก่อนจะหมุนกายเสด็จนำเข้าตำหนัก และเพียงแค่บานประตูเปิดออก เหล่านางรับใช้ในตำหนักก็ยืนเรียงแถวพร้อมกับย่อกายถวายบังคมอย่างรู้งาน


“ถวายบังคมเพคะองค์ชายเตชินทร์ องค์ชายสนธยา” หญิงร่างอวบผู้มีผิวขาวหยวกนางหนึ่งก้าวขึ้นมาเบื้องหน้า องค์ชายเตชินทร์จึงหันมาแนะนำ


“นี่คุณท้าวเอิบ เป็นหัวหน้านางกำนัลในตำหนักของเรา และเป็นเลขานุการคนสำคัญ” ท้ายประโยคนั้น ดูเหมือนพระองค์จะตรัสหยอกล้อเพราะนางหันมาค้อนถวายองค์ชายเตชินทร์เสียทีหนึ่ง


“หากองค์ชายสนธยามีอะไรขาดเหลือก็บอกคุณท้าวได้ คุณท้าวคือผู้ดูแลทุกอย่างในตำหนักนี้…อ่า เรียกท่านว่าองค์ชายสนธยาแล้วยาวพิกล ถ้าอย่างไรเราขอเรียกให้สั้นกว่านี้ได้ไหม อย่าง…ท่านสน…”


“ตามสบาย” สนธยาไม่ใช่คนเรื่องมากอยู่แล้ว ยิ่งชะตาชีวิตพลิกผันจนได้เข้ามาอยู่ในตำหนักขององค์ชายรัชทายาทลำดับที่ 2 ของอนันตราชทั้งๆที่ยังมีลมหายใจ แถมหอยมุกแก่งั่กก็กลายเป็นบรรณาการที่อนันตราชยอมรับ ทั้งชีวิตนี้ที่เหลืออยู่ก็คงไม่มีอะไรที่ ‘ไม่ได้’ อีกแล้วล่ะ!


“ถ้าอย่างนั้นท่านก็เรียกเราว่าเตชแล้วกัน สั้นดี”


“ก็ได้” บอกแล้วว่าเวลานี้ ไม่ว่าจะเรื่องอะไร สนธยาก็ยอมรับได้ทั้งนั้น


พอริมฝีปากบางของอาคันตุกะผู้มีหน้าที่ ‘เลี้ยงหอย’ ยอมตกปากรับคำว่าจะเรียกเจ้าของตำหนักว่า ‘ท่านเตช’ ก็ดูเหมือนรอยแย้มสรวลขององค์ชายเตชินทร์จะยิ่งระยิบระยับมากกว่าเมื่อครู่เสียอีก



“เราให้คนจัดห้องพักไว้ให้ท่านแล้ว อยู่ที่ชั้นสอง เชิญทางนี้” ว่าแล้วหัตถ์ใหญ่ก็ผายไปยังบันไดกว้างที่อยู่เบื้องหน้าให้องค์ชายสนธยาเสด็จออกเดิน โดยมีองค์ชายเตชินทร์คอยแนะนำสิ่งต่างๆในตำหนักให้รู้จักไม่ขาด


…สนธยาได้แต่ดำริหยอกเย้าในอกว่าอีกฝ่ายแนะนำไปเสียทุกเรื่อง ทำราวกับเขาจะมาอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิต…


หากแต่…สิ่งที่พระองค์ไม่รู้แม้แต่น้อยก็คือ…ดำริหยอกเย้านั้นตรงกับความจริงในใจของใครบางคนที่พยายามทุกวิถีทางให้พระองค์ประทับอยู่ที่นี่ไปจนกว่าลมหายใจสุดท้ายจะหมดลง!


……………………………..


“นั่นหรือเพคะ ‘ราชทูตหอย’ ที่อยู่ในสาสน์”


เสียงอ่อนหวานของคุณท้าวเอิบดังขึ้น เมื่อองค์ชายเตชินทร์ส่งอาคันตุกะเข้าห้องพักผ่อนไปแล้ว และนัดแนะว่าตอนเย็นจะมาตามลงไปรับประทานอาหารด้วยกัน


“เขาเป็นองค์ชายต่างหากคุณท้าว ในสาสน์นั่นก็เขียนมาเกินจริงไปหน่อย ราชทูตหอยอะไรกัน” องค์ชายเตชินทร์ตรัสด้วยน้ำเสียงรื่นเริงอย่างที่ทำเอาหญิงร่างอวบผู้รับใช้พระองค์มาตั้งเยาว์วัยได้แต่ส่ายศีรษะไปมา


“ก็เขาเป็นคนพาหอยจากสมุทรามาถึงอนันตราช ก็ต้องเรียกว่าราชทูตหอยสิเพคะ แล้วนี่เรื่องเป็นอย่างไรมาอย่างไร เหตุใดเขาถึงมาอยู่ที่นี่ในฐานะคนเลี้ยงหอย” คุณท้าวเอิบทูลถามด้วยความสงสัย ด้วยเพราะได้ยินข่าวมาจากตำหนักหลวงเรื่องที่องค์ชายสนธยาเสด็จมาพร้อมของบรรณาการอันได้แก่หอยมุก 1 ตัว แล้วพอผ่านไปเพียงครึ่งวัน ทั้งองค์ชายผู้นั้นและหอยมุกของบรรณาการก็ถูกย้ายมาอยู่ที่ตำหนักขององค์ชายเตชินทร์ของนางเสียนี่


“องค์เตช” เมื่อองค์ชายผู้เป็นเหนือหัวยังคงมีรอยสรวลอยู่บนพักตร์โดยไม่ยอมตอบคำถามของนาง คุณท้าวเอิบจึงต้องเรียกย้ำ


“โธ่คุณท้าว อังกูรกับสมิตยังไม่ถามอะไรเราเลย ท่านไม่ถามด้วยอีกคนไม่ได้หรือ”


“ก็ถ้าพระองค์ตรัสให้หม่อมฉันฟังแต่แรกเหมือนที่ตรัสให้อังกูรกับสมิตฟัง หม่อมฉันก็ไม่ถามหรอกเพคะ”


“อ้อ นี่เราลืมเล่าให้คุณท้าวฟังหรือ” พอองค์ชายหนุ่มชักจะเล่นแง่เหมือนเด็กๆ คุณท้าวเอิบก็เริ่มจ้องหนักขึ้นอย่างที่ทำเอาองค์ชายเตชินทร์สรวลร่วนเพราะรู้ว่าปิดบังไม่ได้อีกแล้ว


“คุณท้าวก็รู้…ว่าเราเคยไปเที่ยวที่สมุทรา”


“แล้วอย่างไรเพคะ”


“เราเคยเจอเขามาแล้ว และตั้งแต่นั้น…” องค์ชายหนุ่มเว้นระยะเล็กน้อย ช่วงเวลาสั้นๆที่พระองค์ประทับอยู่ในเกาะสมุทราในฐานะนักท่องเที่ยวไร้ยศถานั้น ยังอยู่ในความทรงจำเสมอ “…เขาก็อยู่ในใจเรามาจนถึงวันนี้”



“พระองค์ก็เลยออกอุบายให้เขามาเลี้ยงหอยที่นี่อย่างนั้นหรือเพคะ”


องค์ชายเตชินทร์เพียงแค่ยิ้มเป็นการตอบรับ คุณท้าวเอิบถอนหายใจน้อยๆ


“เล่นเป็นเด็ก” นางบ่นแล้วส่ายหน้าไปมาอย่างไม่เอาด้วย


“คุณท้าว เราแค่อยากให้เขาได้อยู่ใกล้ชิดกับเรา หากสุดท้ายเขาไม่พึงพอใจในตัวเราจริง เราจะส่งเขากลับ”


“สุดท้ายที่ว่าคือเมื่อไหร่เพคะ? เมื่อหอยตายอย่างนั้นหรือ?” องค์ชายเตชินทร์นิ่งงัน ด้วยเพราะไม่อาจให้คำมั่นได้ว่าเมื่อไรพระองค์จึงจะยอมให้อาคันตุกะผู้นั้นกลับออกไปจากตำหนักแห่งนี้


“องค์ชาย ทรงจะกักขังเขาไว้ที่นี่ตลอดไปไม่ได้นะเพคะ เขาเป็นองค์ชายแห่งสมุทรา อย่างน้อยๆ ถึงจะไม่ต้องขึ้นบัลลังก์ แต่ที่อนันตราชก็ไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนเขา ให้อย่างไรเขาก็ต้องกลับไปรับใช้มาตุภูมิ” คุณท้าวเอิบทูลเตือนสติอย่างหวังดี นางไม่ได้ตกอกตกใจเมื่อองค์ชายหนุ่มตรัสเรื่องที่ผูกใจเอาไว้กับองค์ชายจากดินแดนอื่น แต่ที่ตกใจคือองค์ชายที่แสนสุขุมนิ่งเย็นและเป็นผู้ใหญ่กลับกลายเป็นเด็กทำอะไรไม่คิดเพียงเพราะต้องการผูกมัดคนที่สนใจเอาไว้ใกล้ตัว


“เข้าใจแล้ว ถ้าหอยตาย เราจะส่งเขากลับ”


“ดีเพคะ” สิ้นคำคุณท้าว องค์ชายหนุ่มก็รีบหันไปทางองครักษ์นามว่าอังกูรทันที


“จัดทหารเวรยามคุ้มกันอ่างหอยมุกทั้งกลางวันกลางคืน และให้คนไปตามหมอที่กรมเกษตรมาตรวจดูอาการเบื้องต้น หากมันมีโรค ก็ให้หมอรักษา ถ้าหมอบอกว่ามันดูท่าอาการไม่ดี ก็จ้างหมอมาดูแลมันทุกวันและทั้งวัน แล้วเดี๋ยวเราจะลงไปดูการย้ายหอยที่ข้างตำหนักด้วย เจ้าไปเตรียมการเสีย” มีรับสั่งเรียบร้อย องค์ชายหนุ่มก็หันมามอบรอยยิ้มพิมพ์ใจให้แก่คุณท้าวเอิบอีกครั้ง


“กันไว้ดีกว่าแก้ จริงไหมคุณท้าว”


“เพคะ!!” ว่าแล้วคุณท้าวร่างอวบก็ได้แต่ค้อนปะหล่ำปะเหลือก ด้วยเพราะรับสั่งขององค์ชายนั้นดูท่าจะอยากให้หอยมุกมีชีวิตเป็นอมตะอย่างไรอย่างนั้น!

………………………………


“พระองค์รู้สึกไหมว่ามันแปลก”


ชีวินซึ่งเป็นองครักษ์เพียงคนเดียวที่ได้อยู่ที่อนันตราชต่อไปเพื่อถวายการรับใช้องค์ชายสนธยาทูล ขณะเดินสำรวจไปทั่วทั้งห้องที่ผู้เป็นเจ้าของตำหนักยกให้องค์ชายของตน


“รู้สึกสิ คนอะไรอยากได้หอยเป็นของขวัญวันเกิด” องค์ชายสนธยาตอบ แล้วเอนผึ่งลงนอนบนเตียงกว้างหนานุ่ม


ตำหนักนี้ถูกสร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก ประตูหน้าต่างทรงโค้ง เสาประดับสลักลวดลาย หลังคายอดแหลม ส่วนข้าวของเครื่องเรือนภายในก็ล้วนได้รับอิทธิพลจากตะวันตกมาเช่นกัน อย่างเช่นเตียงที่พระองค์กำลังประทับอยู่นี้ก็เป็นเตียงแบบสี่เสามีมุ้งโดยรอบ ผ้าห่มเนื้อหนาด้วยขนนุ่มทำเอาหัตถ์สีน้ำผึ้งลูบไล้มันอย่างเพลิดเพลิน


“เรื่องนั้นก็เรื่องนึงพระเจ้าค่ะ แต่อีกเรื่องคือ…ทำไมองค์ชายเตชินทร์จึงต้องการให้พระองค์อยู่ที่นี่”


“ใช่ ในฐานะคนเลี้ยงหอยเสียด้วย ฟังแล้วมีบารมีดีพิลึก”


คราแรกก็เป็นคนนำขบวนบรรณาการหอย ต่อมากลายมาเป็นคนเลี้ยงหอย องค์ชายหนุ่มนึกขันโชคชะตาชีวิตของตัวเองเสียจนได้แต่ยิ้ม


“เรื่องนี้ต้องมีลับลมคมในเป็นแน่ พระองค์อย่าทรงวางใจนะพระเจ้าค่ะ”


“เรารู้ แต่เรามีเจ้าอยู่ด้วยนี่ ไม่เห็นต้องกลัวอะไร” องค์ชายหนุ่มผู้มาจากต่างแดนยังคงมีพักตร์ไม่ทุกข์ไม่ร้อน เป็นฝ่ายชีวินเสียอีกที่ระแวดระวังเสียจนต้องตรวจดูทุกบานประตูหน้าต่างว่ามีกลอนอย่างดีหรือไม่ และเมื่อพบว่ากลอนทุกตัวใช้งานได้ดีไม่มีบกพร่องตรงไหน องครักษ์หนุ่มก็หันไปสำรวจตู้เสื้อผ้าและหีบเก็บของในห้องแทน


“ถึงกระหม่อมจะอยู่กับพระองค์ทุกเวลา แต่พระองค์ก็ต้องไม่ประมาทพระเจ้าค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับองค์ชายเตชินทร์” ชีวินไม่อยากทูลให้องค์ชายสนธยาตื่นตระหนกเลย ว่าเขาเห็นแววเนตรวิบวับดูประหลาดชอบกลยามที่องค์ชายผู้เป็นเจ้าของตำหนักแห่งนี้ทอดเนตรองค์ชายเหนือหัวของตน


“เขาก็ดูเป็นคนดี…”


“แต่ก็ไม่ควรไว้ใจพระเจ้าค่ะ” สนธยาโบกไม้โบกมือเป็นสัญญาณให้เลิกคิด แล้วกระถดกายลงจากเตียง


“เอาเถอะๆ เราจะไม่ไว้ใจใครยกเว้นเจ้าแล้วกันชีวิน แล้วนี่เจออะไรในตู้ในหีบบ้างล่ะ มีเงินสักเหรียญสองเหรียญตกค้างเป็นของขวัญต้อนรับเราบ้างไหม” ชีวินหันกลับมามองเมื่อองค์ชายหนุ่มเสด็จตรงมาหาตน เขาไม่ได้หยิบข้าวของที่อยู่ในหีบขึ้นมาให้องค์ชายสนธยาทอดพระเนตร เพราะรู้ดีว่าผู้เป็นนายนั้นชอบพิจารณาเองมากกว่า


“หือ? เสื้อผ้า” เมื่อยืดพระศอมาทอดพระเนตรแล้ว ก็ได้แต่ครางแผ่วอย่างสงสัย ชีวินหยิบเสื้อผ้าที่อยู่ในหีบขึ้นมาคลี่ออก


“ดูเหมือนจะขนาดพอดีกับพระองค์พระเจ้าค่ะ” เพราะทำงานรับใช้และอยู่กับองค์ชายสนธยาแทบจะตลอดเวลา เรื่องขนาดวรองค์จึงเป็นเรื่องที่ไม่เคยหลุดรอดสายตาของชีวินไปได้ ดังนั้นเมื่อเห็นขนาดเสื้อผ้าเนื้อหนานุ่มเหมาะกับอากาศเย็นตลอดทั้งปีของอนันตราชซึ่งบรรจุอยู่ในหีบ องครักษ์หนุ่มก็กล้าตัดสินว่าเสื้อผ้าพวกนี้ถูกตัดเย็บขึ้นมาเพื่อองค์ชายสนธยาแห่งสมุทรา


“จะว่าขนาดร่างกายของเราเป็นขนาดมาตรฐานของอนันตราชก็ไม่น่าใช่ เพราะคนที่นี่สูงใหญ่กว่า”


อนันตราชเป็นดินแดนนักรบ ทั้งชายและหญิงจึงสูงใหญ่ผิดกับคนที่สมุทรา ซึ่งเป็นอาณาจักรที่เน้นค้าขายมากกว่าออกศึก แม้องค์ชายสนธยาจะมีวรกายสูงสง่า หากแต่ขนาดกายก็ไม่กำยำเท่าพวกอนันตราช


“ทำอย่างกับรู้ว่าเราจะมาอยู่ที่นี่อย่างนั้นล่ะ” 


เพราะเสื้อผ้าในหีบนั้นมีจำนวนมาก องค์ชายสนธยาทรงหยิบเสื้อผ้าตัวหนึ่งขึ้นมาผึ่งก่อนจะโยนมันลงไปยังก้นหีบตามเดิม เมื่อพบว่ามันมีขนาดพอดีกับพระองค์อย่างที่ไม่ควรจะเป็น


…เสื้อผ้าในอนันตราชก็ต้องตัดเย็บโดยยึดมาตรฐานร่างกายของชาวอนันตราชเป็นหลักสิ! แต่ทำไมเสื้อผ้าในหีบนั้นถึงถูกตัดเย็บด้วยขนาดของพระองค์ที่มาจากสมุทราเล่า?!!...


“ท่าทางจะมีคนรู้ล่วงหน้าว่าพระองค์จะได้มาประทับที่นี่นะพระเจ้าค่ะ” 


ชีวินเก็บเสื้อผ้าลงหีบ แล้วปิดลงตามเดิม ขณะเดินตามองค์ชายสนธยาไปยังบานหน้าต่างสูงที่เผยให้เห็นสวนข้างตำหนัก ซึ่งเบื้องล่างนั้นมีนายทหารนับสิบนายกำลังทำงานอย่างแข็งขันในการย้ายอ่างแก้วของหอยมุกมาวาง โดยมีองค์ชายรัชทายาทลำดับที่สองแห่งอนันตราชทรงประทับอยู่ที่นั่นเพื่อคุมงานด้วยพระองค์เอง


“นั่นสิ…คนคนนั้นไม่ใช่แค่รู้ว่าเราจะต้องมาอนันตราช แต่เขารู้แม้กระทั่งว่าเราจะต้องมาอยู่ที่ตำหนักนี้”


…องค์ชายเตชินทร์!...


“เห็นทีแม้จะคนดี แต่ก็มีเรื่องหมกเม็ดเสียแล้ว” องค์ชายสนธยาเปรยเสียงเรียบ ดวงเนตรสีน้ำตาลอ่อนจับจ้องไปยังร่างสูงสง่าขององค์ชายหนุ่มแห่งราชสำนักอนันตราชด้วยความคืบแคลง หากแต่เพียงชั่วเสี้ยวอึดใจดวงเนตรนั้นก็เบือนหนีจากภาพขององค์ชายหนุ่มไปยังหอยมุกตัวใหญ่ในอ่างแก้วที่กำลังถูกนายทหารสี่นายยกขึ้นจากอ่างมาวางในตะแกรงที่มีไม้ตอกอยู่สี่ด้าน แล้วจึงยกตะแกรงนั้นลงในบ่อน้ำ


บ่อน้ำขนาดพอดีกับตะแกรง ทำให้หอยมุกตัวใหญ่ไม่สามารถไปไหนได้ไกลเกินกว่านั้นเพราะตะแกรงถูกดัดโค้งขึ้นมากั้นเป็นขอบ และสะดวกในการยกขึ้นมาชมทุกวันทุกเวลาด้วยการดึงไม้ทั้งสี่ด้านที่โผล่พ้นขอบบ่อ


ทั้งบ่อและตะแกรงถูกสร้างมาเพื่อหอยมุกจากสมุทรา และแน่นอนว่ามันไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาในวันนี้ วันที่ของบรรณาการเพิ่งเดินทางมาถึง แต่มันถูกสร้างมาก่อน ทุกอย่างมีการเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว


แต่จะเตรียมการล่วงหน้าได้อย่างไร ในเมื่อของบรรณาการเพิ่งถูกเปิดเผยว่าเป็นหอยมุกตัวใหญ่มหึมาก็เมื่อตอนที่กษัตริย์วิภูมีรับสั่งให้เปิดหีบบรรณาการออก ไม่มีใครที่อนันตราชรู้ ไม่มีใครในอนันตราชทราบ แต่ถ้าจะเตรียมการล่วงหน้า นั่นก็หมายความว่าคนที่อนันตราชต้องได้รับข่าวจากสมุทรา แล้วใครในสมุทราที่กล้าเปิดปากกับคนต่างแดนว่าของบรรณาการคืออะไร


…ใคร?...ใครในสมุทราที่กล้าทำเรื่องเช่นนี้?!...


…ถ้าไม่ใช่…

………………………


“เสด็จแม่…” เสียงอ่อนหวานของธิดาทำเอาองค์ราชินีวาทที่กำลังตรวจเอกสารราชการต้องเงยพักตร์ขึ้นมอง หัตถ์เรียวสีน้ำผึ้งวางเอกสารลงบนโต๊ะทรงงาน


“มีอะไรหรือ อรุณา”


องค์หญิงลำดับที่หนึ่งแห่งราชสำนักสมุทราย่อกายลงถวายบังคม ก่อนจะเสด็จเข้ามานั่งที่พระเก้าอี้ทางด้านข้างโต๊ะยาวกลางห้องโถงแห่งตำหนักหลวงที่มีเอกสารมากมายวางเอาไว้ ดวงเนตรสีน้ำตาลเข้มขององค์หญิงอรุณากวาดมองเอกสารเหล่านั้นด้วยเพราะรู้ว่าวันหนึ่งในไม่ช้า เอกสารทั้งหมดจะตกอยู่ภายใต้การดูแลของพระองค์เอง


“อรุณา…แม่ถามว่ามีอะไร” เมื่อถูกพระมารดาย้ำ องค์หญิงผู้มีสิทธิ์ในบัลลังก์ราชินีแห่งสมุทราก็เหลือบสายเนตรกลับมา


“ลูกเพิ่งทราบข่าวว่าเสด็จพี่สนธยาออกเดินทางไปพร้อมกับเครื่องบรรณาการให้อนันตราช แล้วเช่นนี้ งานทางด้านกองทัพเรือที่เสด็จพี่ดูแลอยู่ ใครจะสานต่อเล่าเพคะ” ราชินีวารีวาทถอนปัสสาสะน้อยๆ ด้วยเพราะรู้ดีว่าวาจาแว่วหวานของธิดานั้นแฝงนัยความหมายมาดสิ่งใดไว้


…บัลลังก์นี้สืบด้วยตำแหน่งราชินี อรุณาผู้เป็นธิดาองค์แรกของพระองค์จึงคาดหวังว่าจะได้ครอบครองมัน และเพราะบัลลังก์นี้ถูกอรุณาหมายตาเอาไว้ สนธยาที่แม้เป็นชายแต่เก่งกาจเข้าตาขุนนางนายทหารทั้งหลายจึงกลายเป็นหนามยอกอกองค์หญิงที่คิดเป็นใหญ่ และเพราะเป็นเช่นนั้น ราชินีวารีวาทจึงต้องส่งสนธยาออกไปจากที่นี่เสีย


…ไป…ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้ไปอีก


“ถ้าหากเสด็จแม่ไม่ว่าอะไร ให้ลูกดูแลแทนเสด็จพี่สนธยาก็ได้นะเพคะ” อรุณาเอ่ยวาจาฉอเลาะ


พระองค์เพิ่งทรงได้ข่าวเมื่อเช้าว่าผู้เป็นเชษฐาที่เปรียบเสมือนหอกข้างแคร่ต้องออกเดินทางไปพร้อมกับบรรณาการน่าขันอย่างหอยมุกหนึ่งตัว และก็คงไม่มีชีวิตรอดกลับมาอีกเพราะอนันตราชคงโมโหเสียจนสั่งบั่นคอคณะบรรณาการทั้งคณะ และถ้าสนธยาสิ้นลม…บัลลังก์นี้ก็จะไม่มีใครมาช่วงชิงไปจากนางได้อีก


“อรุณา” ราชินีวารีวาทตรัสเสียงเรียบ ก่อนจะเบือนเนตรมาสบ “…อย่าคิดว่าแม่ไม่รู้ว่าเจ้าต้องการสิ่งใด บัลลังก์นี้สืบด้วยตำแหน่งราชินีก็จริง และเจ้าก็เป็นองค์หญิงองค์ใหญ่แห่งราชสำนักก็ใช่ แม้วันนี้ ที่นี่จะไม่มีสนธยา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าแม่จะสละราชย์ให้เจ้า ตราบใดที่เจ้ายังเห็นแก่ประโยชน์ของตน บารมีของตน อำนาจของตน มากกว่าประชาชนสมุทรา” หัตถ์เรียวหยิบเอกสารจากบนโต๊ะขึ้นมาอีกครั้ง



   “เราจะไม่พูดเรื่องนี้กันอีก ทัพเรือที่สนธยาเคยดูแล แม่จะให้ท่านนายพลชลเทพดูแลแทน” เพราะทัพเรือคือกองทัพสำคัญแห่งสมุทรา การได้คุมทัพเรือคือตราอำนาจอันยิ่งใหญ่ที่ได้จากราชบัลลังก์ อรุณาเคยหวังว่าถ้าวันหนึ่งในราชสำนักไม่มีสนธยาผู้เป็นพี่ชาย เมื่อนั้นกองทัพเรือจะตกเป็นของตน ทว่า…บัดนี้มารดาทำให้ประจักษ์แล้ว ว่าต่อให้ไม่มีสนธยา อรุณาก็เป็นได้เพียงแค่ ‘ว่าที่ราชินี’ ตามตำแหน่งที่เป็นเพียงแค่ข่าวลือเท่านั้น!!


   “แล้วถ้าสิ้นท่านนายพล เสด็จแม่จะยกทัพเรือให้แก่ใครเพคะ?!! ทิวา ราตรี หรืออุษา!!”


   “อรุณา!!!” องค์ราชินีวาททรงตะคอกดังลั่นเมื่อผู้เป็นธิดาองค์โตพาลพาโลเอากับน้องชายและน้องสาวอีกสามคน


   “แม่จะยกให้ใครก็เป็นสิทธิ์ของแม่! และถ้าแม่จะ ‘ไม่ยก’ ให้เจ้าก็เป็นสิทธิ์ของแม่เช่นกัน! กลับไปได้แล้ว แม่ต้องทำงาน และถ้าเจ้ายังไม่เลิกนิสัยอิจฉาริษยา เจ้าอย่าคิดว่าแม่โหดร้ายกับเจ้า!!” ดวงเนตรของราชินีวารีวาทนั้นเฉียบขาดเพียงใด หากแต่ผู้เป็นธิดาที่หมายบัลลังก์กลับยิ่งโมโหดวงเนตรคู่นั้นมากยิ่งขึ้น


   …ดวงเนตรที่รู้เท่าทันทุกสิ่งทุกอย่างในใจของนาง! ดวงเนตรที่อ่านความต้องการของนางออกโดยที่นางไม่ต้องปริปาก! ดวงเนตรที่เหมือนดวงเนตรของสนธยาทุกประการ! นางเกลียดดวงเนตรคู่นี้!!!


   อรุณากำมือแน่นจนเล็บจิกลึกเข้าเนื้อ ก่อนจะหมุนกายเดินออกจากห้องโถงไปอย่างรวดเร็วด้วยแรงอารมณ์กรุ่นในทรวง ราชินีวารีวาททอดพระเนตรแผ่นหลังเล็กของธิดาสาวแล้วได้แต่เม้มโอษฐ์แน่น ก่อนจะพิงปฤษฎางค์ลงกับพนักอย่างอ่อนล้า


   …พระองค์ดูแลปวงประชาของสมุทราให้ร่มเย็นเป็นสุข แต่เหตุไฉน…พระองค์ถึงไม่อาจปกครองบุตรธิดาให้รักใคร่กลมเกลียวกันได้หนอ…


………………………………….
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 1)...อัพ 08/06
เริ่มหัวข้อโดย: Dezair ที่ 15-06-2013 20:57:23


มื้อค่ำมื้อแรกขององค์ชายสนธยาในแผ่นดินอนันตราชนั้นค่อนข้างเป็นที่น่าประทับใจทีเดียว เพราะอาหารคาวหวานพร้อมสรรพ อีกทั้งอาหารพื้นเมืองของอนันตราชนั้นถูกลิ้นบุรุษจากสมุทรามากเสียจนออกปากไม่หยุด แม้จะลุกจากโต๊ะอาหารค่ำและย้ายมานั่งจิบชาอุ่นๆที่ริมระเบียงห้องสมุดบนชั้นสองของตำหนักแทนแล้วก็ตาม


“อาหารอร่อยทุกอย่างเลย ท่านเตช ฝีมือคุณท้าวเอิบเยี่ยมยอดเสียจนเราอยากฝันถึง”


“เราเห็นท่านรับประทานได้เยอะ เราก็ดีใจ ท่านผอมเหลือเกิน ต้องรับประทานเนื้อสัตว์ให้มากขึ้นอีกหน่อย จะได้มีเนื้อมีหนัง”


ดวงเนตรสีดำสนิทจ้องใบหน้าสีน้ำผึ้งของผู้ที่นั่งจิบชาอยู่บนเก้าอี้บุนวมเนื้อนุ่มข้างกาย ทำเอาคนถูกจ้องสะท้านวูบหนาววาบไปทั้งร่างกับสายเนตรแปลกประหลาดที่อีกฝ่ายส่งมาให้ องค์ชายสนธยาขยับกายขึ้นนั่งตรง เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินจะได้กระโดดหนีสะดวก


 บัดนี้พระองค์ต้องช่วยเหลือตัวเอง เพราะชีวินถูกพาลงไปยังห้องเครื่องเพื่อรับประทานอาหารร่วมกับอังกูรและสมิตสององครักษ์ขององค์ชายเตชินทร์ ตอนแรกชีวินปฏิเสธทูลว่าไม่หิว แต่องค์ชายเตชินทร์ชักแม่น้ำทั้งแปดร้อยสายในอนันตราชมาเป่าหู ท้ายที่สุด สนธยาก็สั่งให้ชีวินลงไปจัดการมื้อค่ำเสียเมื่อองค์ชายเตชินทร์ตรัสเรื่องโรคภัยร้ายแรงที่อาจเกิดกับคนที่รับประทานไม่เป็นเวล่ำเวลา


…แล้วเป็นอย่างไรล่ะ! โรคภัยร้ายแรงที่อาจเกิดกับคนไม่รับประทานอาหารให้เป็นเวล่ำเวลา! สุดท้ายแล้วกลายเป็นพระองค์ต้องอยู่กับองค์ชายเตชินทร์เพียงสองคน และอีกฝ่ายก็ดันส่งสายตาไม่น่าไว้วางใจมาให้เสียวสันหลังเช่นนี้!


“พูดอย่างกับจะขุนเราให้อ้วนแล้วจับเชือดอย่างไรอย่างนั้น” สนธยาหยอกทำสีหน้าตลก หมายจะผ่อนคลายความรู้สึกเสียววูบในใจให้คลายลง


ดวงเนตรสีดำที่จับจ้องใบหน้าของสนธยานั้นมีแววไหววูบ หากแต่รอยยิ้มจางที่มุมปากช่วยดึงดูดให้สนธยาละสายตาจากการสบกับดวงตาคู่นั้นลงมองที่รอยยิ้มแทน


…เป็นบุรุษที่ยิ้มสวยจริงๆ มิน่า…องค์ชายรัชทายาทลำดับที่สองแห่งอนันตราชถึงได้ชอบยิ้มบ่อยๆ เพราะยิ้มทีไรเป็นดึงดูดให้คู่สนทนามองแต่รอยยิ้มแทนที่จะเห็นความแท้จริงทางสายตา ใช่! รอยยิ้มนี้หลอกคนอื่นเสียอยู่หมัด! แต่กับสนธยาที่ถนัดการจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคนอื่นจะหลงกลไม่ได้!!


   องค์ชายหนุ่มแห่งสมุทราพยายามเบือนสายเนตรกลับขึ้นไปสบดวงเนตรของอีกฝ่าย หากแต่ก็ถูกฉุดให้กลับลงมาจ้องมองรอยยิ้มบางเบาที่แสนงดงามนั่นอีก


   …อะไรกัน! รอยยิ้มลงยันต์อะไรไว้หรือไร! ทำไมละสายตาไม่ได้เสียที!!...


   “เราไม่เชือดท่านหรอก เชือดไปก็ไม่ได้อะไร” ริมฝีปากสีแดงสดที่มีรอยยิ้มจางประดับขยับเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มอ่อนโยน


   “เชือดไปต้มกินอย่างไรล่ะ ได้ยินว่าคนบนแผ่นทวีปบางกลุ่มกินเนื้อคนด้วยกันไม่ใช่หรือ” สนธยาตอบกลับ ทำเอาอีกฝ่ายหัวเราะเบาๆ


   “แต่เราเป็นคนใจดี ไม่กินเนื้อคนด้วยกัน”


   …แล้วถ้าอย่างนั้น…ทำไมจึงรั้งให้เขาอยู่ที่นี่ต่อไป… สนธยาได้แต่ครุ่นคิด ดวงเนตรตกลงจับจ้องชาร้อนที่อยู่ในแก้วของตนเองด้วยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร หากแต่จะถามตรงๆคนที่เป็นถึงองค์ชายรัชทายาทแห่งอนันตราชก็คงไม่ปริปากบอก


   “ท่าน…เอ่อ…ทำไมถึงอยากได้หอยมุกเป็นของขวัญวันเกิดล่ะ หรือว่าชอบสัตว์?” และในเมื่อถามตรงๆ อีกฝ่ายก็คงไม่ตอบ สนธยาจึงเบี่ยงประเด็นเข้าเรื่องหอยมุกแทน คนถูกถามเพียงยิ้มบาง


   “ก็ไม่เชิงว่าชอบ แต่ก็ไม่ได้เกลียด ท่านสนนำขบวนบรรณาการมาที่นี่เช่นนี้ แล้วครอบครัวของท่านไม่ว่ากระไรหรือ” องค์ชายเตชินทร์เปลี่ยนบทสนทนาให้กลายเป็นตนเองที่ตั้งคำถาม


   “ครอบครัว? จะว่าอะไรได้อย่างไร ในเมื่อเสด็จแม่เป็นคนส่งข้ามาเอง”


   “แล้ว…คนรักเล่า? ไม่คิดถึงหรือ”


   “คนรัก?....ถ้าท่านหมายถึงพวกนางสนมล่ะก็ ข้าล่ำลากับพวกนางแล้ว ถึงจะลาได้แค่ 90 คนจาก 121 คนก็เถอะ” คราวนี้กลายเป็นฝ่ายองค์ชายเจ้าของตำหนักที่นิ่งงันกับจำนวนตัวเลขของนางสนมที่รายล้อมรอบกายองค์ชายแห่งสมุทรา


   … 121!!!... ให้ตายเถิด! ขนาดเสด็จพี่ของพระองค์เป็นถึงองค์ชายรัชทายาทลำดับที่หนึ่งแห่งอนันตราชที่แสนยิ่งใหญ่ ยังมีนางสนมไม่ถึง 50 คนด้วยซ้ำ!!


   “แล้ว…นางสนมทั้งหมด มีใครที่ท่านรักท่านชอบเป็นพิเศษไหม” องค์ชายสนธยาเหลือบเนตรสีน้ำตาลขึ้นจับจ้องพักตร์ของคนถามที่ดูจะอยากรู้อยากเห็นเรื่องนี้เป็นพิเศษ   …หรือองค์ชายเตชินทร์ต้องการแนะนำสตรีนางในแห่งอนันตราชให้รู้จัก?...ถ้าอย่างนั้นก็ดีน่ะซี่! หากว่าอนันตราชและสมุทราเกี่ยวดองกันด้วยวิธีเช่นนี้ สมุทราก็ไม่จำเป็นต้องเกรงขามสิ่งใดอีก!...


   “ไม่มีหรอก ถ้ามีเราก็แต่งตั้งให้เป็นชายาไปแล้วสิ”


   “หมายความว่า ตอนนี้ท่านไม่มีคนรัก?” สนธยาพยักหน้ารับน้อยๆ และนั่นทำเอารอยยิ้มจางที่มุมปากของเตชินทร์ดูจะหยักลึกลงไปมากกว่าเดิม


   “ท่านล่ะ” ดวงเนตรสีดำราวกับท้องฟ้ายามราตรีนั้นส่อแววระยิบเมื่อถูกสนธยาถาม


   “คนที่รักมีแล้ว แต่คนรักยังไม่มี”


   “หมายความว่าเป็นรักข้างเดียวหรือ”


   “ใช่” เตชินทร์ตอบด้วยน้ำเสียงและสายตาที่จับจ้องไปยังร่างสูงโปร่งที่นั่งอยู่เคียงข้าง แววบางอย่างในดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นทำเอามือเรียวสีน้ำผึ้งสั่นไหวเสียจนชาร้อนในแก้วแทบกระฉอก


   “อ่า…นี่ก็ค่ำมากแล้ว เราว่า…เรากลับห้องดีกว่า พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าลงไปดูแลหอย” สนธยาประคองถ้วยชาลงวางบนโต๊ะเล็ก แล้วรีบลุกจากเก้าอี้บุนวมอย่างรวดเร็ว


   “ท่านเดินทางมาไกล คงเหน็ดเหนื่อยไม่ใช่น้อย คืนนี้ขอให้หลับให้สบาย ราตรีสวัสดิ์” ร่างสูงโปร่งขององค์ชายแห่งเกาะสมุทราค้อมคำนับลา ก่อนจะหมุนกายเดินกลับเข้าห้องสมุด ทว่าไม่ทันก้าวพ้นประตู เสียงทุ้มก็เรียกเอาไว้


   “ท่านสน” เจ้าของชื่อหันกลับไปมอง เตชินทร์ยังคงมีรอยยิ้มจางติดอยู่บนใบหน้า หากแต่ดวงเนตรสีดำนั้นจับจ้องสนธยาด้วยแววมั่นคงแน่วแน่


   “เรายังไม่ได้ตอบคำถามของท่าน เรื่องที่ว่าทำไมถึงอยากได้หอยมุกเป็นของขวัญวันเกิด” คราวนี้คนฟังหันกลับมามองตรงๆ ด้วยเพราะอยากรู้เสียเต็มประดา


   “อันที่จริงแล้ว เราไม่ได้อยากได้หอย แต่เราอยากได้คนเลี้ยงหอยต่างหาก”


ราวกับหูดับไปชั่วขณะ สนธยาไม่ได้ยินสิ่งใดอีกนอกจากเสียงทุ้มที่ดังลั่นอยู่ในหัวซ้ำๆว่า ‘อยากได้คนเลี้ยงหอย อยากได้คนเลี้ยงหอย อยากได้คนเลี้ยงหอย’


   …แล้วคนเลี้ยงหอยจะเป็นใครถ้าไม่ใช่เขา! องค์ชายเตชินทร์ปรารถนาในตัวเขาอย่างนั้นหรือ?!!!...


   ดวงเนตรสีน้ำตาลอ่อนเหลือบขึ้นสบกับดวงเนตรสีดำอย่างตื่นตระหนก


   “ท…ท่าน…ท่าน…ท่านล้อเล่นใช่ไหม” องค์ชายรัชทายาทแห่งอนันตราชหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะตอบ


   “ข้าล้อเล่น…” ราวกับยกภูเขาออกจากอก สนธยาถอนหายใจพรูผ่านทางริมฝีปาก ก่อนจะพยักหน้ารับรู้


   “แหม ท่านนี่เล่นเป็นเด็ก พูดเสียเราตกอกตกใจหมด เราขอตัวก่อนแล้วกัน วันนี้เหนื่อยมามากแล้ว” เตชินทร์ไม่ได้พูดอะไรอีก เขาผายมือน้อมส่งสนธยากลับเข้าไปในห้องสมุดแล้วออกไปยังโถงทางเดิน องค์ชายหนุ่มรอจนบานประตูห้องสมุดปิดสนิทดีแล้วจึงพึมพำเสียงเบากับพระองค์เองอย่างนึกสนุกที่ได้ปั่นหัวใครบางคนในวันนี้


   “ล้อเล่นเสียที่ไหนเล่า เป็นกษัตริย์ เป็นรัชทายาท เป็นราชนิกูล…ตรัสแล้วจะคืนคำได้อย่างไร”

………………………

“มีสนม 121 คน!!! จุ๊ๆๆ…ไม่เบา ไม่เบา” สมิตถึงกับร้องลั่นห้องทรงงาน เมื่อวันนี้ องค์ชายหนุ่มเจ้าของห้องทรงงานบนตำหนักที่ถูกเรียกว่าตำหนักขาวอันเป็นที่ทำการของขุนนางกรมวัง มีเรื่องราวข่าวสารที่ได้จากการสนทนาเมื่อคืนมาเล่าสู่กันฟัง


   “ใช่ แต่ยังไม่รักใครเป็นพิเศษ แล้วก็ยังไม่ได้แต่งตั้งใครเป็นชายาด้วย” องค์ชายเตชินทร์ตรัสอย่างนึกครึ้มในอก ด้วยเพราะนั่นหมายถึงหัวใจขององค์ชายหนุ่มแห่งสมุทรายังว่างเปล่าไร้เจ้าของ รอยสรวลที่ประดับอยู่บนพักตร์คมนั้น วันนี้ดูจะมีความสุขกว่าทุกวันที่ผ่านมา ทั้งอังกูรและสมิตที่ตามรับใช้ใกล้ชิดมายาวนานลงความเห็นเช่นนั้น


   …คงไม่พ้นเพราะเมื่อวาน นอกจากจะได้ร่วมมื้อค่ำกับ ‘ราชทูตหอย’ แล้ว ยังได้พบปะพูดคุยเป็นการส่วนตัวที่ระเบียงห้องสมุดอีกด้วย เรื่องนี้ความดีความชอบต้องยกให้สมิตและอังกูรที่เป็นตัวแปรลากชีวินองครักษ์ผู้แสนใกล้ชิดขององค์ชายสนธยาลงไปยังห้องเครื่อง เลยทำให้องค์ชายหนุ่มเจ้าของพระมังสาสีน้ำผึ้งนวลเนียนนั้นได้อยู่กับองค์ชายเตชินทร์เพียงลำพัง


   “แล้วท่านองครักษ์ชีวินล่ะพระเจ้าค่ะ คนนี้ติดตามมาแต่ไหนแต่ไรไม่ใช่หรือ” สมิตทูลถาม และนั่นทำเอาองค์ชายหนุ่มเพิ่งจะระลึกขึ้นได้ว่าพระองค์ลืมถามเรื่องนี้


   “จริงด้วย เราลืมถามเรื่องความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคน แต่…คงไม่น่าจะมีอะไร เพราะตอนเราหยอกเขาว่าเราต้องการเขาเป็นของขวัญวันเกิด ไม่ได้ต้องการหอยนั่น เขาดูตกใจมากทีเดียว”


   “พระองค์ตรัสแล้วหรือพระเจ้าค่ะ?!!!” เป็นสมิตอีกครั้งที่ทูลถามตาโต


   “เราแค่หยอกเขาเล่นหรอก เขาเองก็เชื่อเช่นนั้น”


   “พระองค์จะทำให้ไก่ตื่นหมดนะพระเจ้าค่ะ แล้วจะหาว่ากระหม่อมไม่เตือน” สมิตว่า


   “แล้วพวกเจ้าได้ข่าวอะไรมาจากชีวินบ้างล่ะ”


   “ไม่ได้อะไรเลยพระเจ้าค่ะ ชวนคุยก็ไม่คุย ชวนเล่นก็ไม่เล่น ตั้งหน้าตั้งกินอย่างเดียวจนกระหม่อมต้องแย่งจานข้าวมา” องครักษ์หนุ่มผิวขาวหยวกตอบแล้วทำหน้าเบ้เมื่อคิดไพล่ไปถึงเรื่องราวเมื่อวานที่ห้องเครื่อง ซึ่งเขาอุตส่าห์ยุแหย่รั้งเวลาขององครักษ์ร่างโปร่งจากสมุทรา แต่ฝ่ายนั้นกลับทำทุกอย่างอย่างรวดเร็วเพราะต้องการรีบกลับไปรับใช้องค์ชายสนธยา ท้ายที่สุดสมิตทนไม่ไหวเลยกระชากจานข้าวมาจากชีวิน และนั่นทำให้อาหารในจานกระฉอกหกเลอะทั้งกายเขาและอีกฝ่ายจนชีวินโมโหหงุดหงิดพลุ่นพลันออกจากห้องเครื่องไปอย่างรวดเร็ว


   “เจ้าแย่งจานข้าวองครักษ์ชีวิน?” ผู้เป็นนายย้อนถาม


   “พระเจ้าค่ะ พระองค์อย่าตรัสถามเรื่องนี้อีกเลย พูดแล้วโมโหจริงๆ คนอะไร” สมิตโบกไม้โบกมือไปมาเหมือนไม่อยากพูดเรื่องนี้อีก ทำเอาองค์ชายหนุ่มต้องหันไปทางอังกูรแทน อังกูรอายุมากกว่าสมิตและพระองค์ ดังนั้นในหลายๆครั้ง อังกูรที่พูดน้อยและเป็นผู้ใหญ่กว่า จึงช่วยกอบกู้สถานการณ์ได้ดีกว่า


   “เจ้าว่า…ข้ากับสมิตควรทำอย่างไรต่อไปดี”


   “องค์ชายสนธยาท่าทางจะเข้ากับสตรีได้ดี ดังนั้นกระหม่อมคิดว่าระหว่างพระองค์และองค์ชายสนธยา น่าจะมีสตรีสักคนมาคั่นกลาง คอยเป็นคนประสานในเรื่องต่างๆ ส่วนสมิต…ข้าว่าเจ้าควรจะไปขอโทษท่านชีวิน”


   “ไม่” สองเสียงตอบพร้อมกันในทันที


   “อังกูร เจ้าก็ได้ยินที่เราเล่า เขามีสนมตั้งร้อยกว่าคน มากกว่าเสด็จพี่เจษฎาเสียอีก แล้วจะให้เราหาผู้หญิงมาคั่นกลางระหว่างเรากับเขาอย่างนั้นหรือ มีหวังเขาได้สมรักกับสตรีนางนั้นแทนน่ะสิ”


   “จริงด้วย! แล้วยังจะให้ข้าไปขอโทษเจ้าคนเร่งรีบนั่นอีก ไม่เอาด้วยหรอก” สมิตย้อนบ้าง ใบหน้ายังบูดมู่ทู่เมื่อคิดถึงวีรกรรมเมื่อวานนี้


   “กระหม่อมหมายถึงให้พระองค์หาสตรีที่อายุมากหน่อยเพราะถ้าเป็นบุรุษ มันก็คงดูประดักประเดิด หากจะให้บุรุษผู้นั้นสืบความจากโอษฐ์ขององค์ชาย แต่ถ้าหากเป็นสตรีที่อายุมากอย่างคุณท้าวเอิบ ให้นางชวนพูดชวนคุย องค์ชายสนธยาก็คงไม่รู้สึกเก้อเขินเวลาสนทนา หากพระองค์ทรงอยากทราบเรื่องใด ก็ให้สตรีผู้นั้นเป็นคนคอยถามให้ องค์ชายสนธยาจะได้ไม่ระแคะระคายมากนัก” อังกูรถวายคำอธิบายกับองค์ชายหนุ่มเรียบร้อยก็หันมาทางเพื่อนร่วมสายทหารที่เป็นองครักษ์ในองค์ชายเตชินทร์มาด้วยกัน


   “ส่วนเจ้า สมิต…ที่ข้าให้เจ้าไปขอโทษ ไม่ใช่เพราะข้าคิดว่าเจ้าผิดแต่เพียงฝ่ายเดียว แต่เพราะเราเป็นเจ้าบ้าน เขามาอยู่ที่นี่ก็เหมือนนกพลัดถิ่น ถ้าเจ้าบ้านอย่างเรายังทะเลาะโกรธเคืองกับเขา หากเขามีเรื่องไม่สบายใจแล้วจะปรึกษาขอความช่วยเหลือจากใคร”


ดูเหมือนคนที่เคยกล่าวว่า ‘ไม่’ เมื่อครู่จะนิ่งงันไปด้วยกันเมื่อได้ฟังคำอธิบายของอังกูร


“เราเชื่อเจ้า อังกูร เอาล่ะ ให้คนไปตามคุณท้าวเอิบมาหาเราที่นี่ เดี่ยวนี้”


“รับด้วยเกล้า” อังกูรค้อมกายรับคำสั่ง ก่อนจะหมุนกายออกจากห้องไป สมิตที่ยืนนิ่งอยู่กับที่ เมื่อเห็นเพื่อนรักร่วมอาชีพถอยกายออกไปแล้ว ก็เลยค้อมกายลงบ้าง


   “อ้าว แล้วเจ้าจะไปไหน เราสั่งงานอังกูรคนเดียว”


   “กระหม่อมขอลาสักครู่พระเจ้าค่ะ” สมิตทูล ก่อนจะทำเสียงกระแอมกระไอในคอเหมือนรู้สึกเก้อเขินเล็กน้อย บุรุษหนุ่มผู้เป็นองครักษ์ในองค์ชายรัชทายาทแห่งอนันตราชใช้หลังมือถูปลายจมูกตัวเองไปมา


   “…เอ่อ…กระหม่อม…กระหม่อม…มีเรื่องต้องไปจัดการน่ะพระเจ้าค่ะ”


   องค์ชายเตชินทร์ที่รู้จักนิสัยใจคอสมิตดีถึงกับสรวลเบาๆ ด้วยเพราะรู้ว่าเรื่องที่ต้องไปจัดการขององครักษ์หนุ่มรายนี้คือเรื่องอะไร หากแต่นิสัยชอบแกล้งของพระองค์ก็มีเยอะไปเสียหน่อย เลยต้องอนุญาตอย่างมีเงื่อนไข


   “ถ้าธุระของเจ้าเกี่ยวข้องกับท่านชีวินแห่งสมุทราก็เชิญ แต่ถ้าไม่…ก็จงกลับไปนั่งทำงานที่โต๊ะเสีย” สมิตทำปากขมุบขมิบเมื่อถูกจับทางได้ หากแต่สุดท้ายชายหนุ่มร่างสูงกำยำก็หมุนกายเดินออกจากห้องตามอังกูรไปอีกคน



ติดตามตอนต่อไป (เสาร์หน้าค่ะ)

วันนี้ไมเกรนขึ้น ปวดหัวมากเลยอ่า T^T หากมีอะไรผิดพลาด ต้องขอโทษด้วยนะคะ
บัวพยายามปรับคำให้อ่านง่าย ถ้าหากใครมีข้อแนะนำอะไรก็ติชมกันได้เลยนะคะ บัวจะได้เอาไปปรับปรุงเพิ่มเติม

สำหรับบัวแล้ว เรื่องสไตล์นี้ (พวกที่ใช้ภาษาเจ้าๆข้าๆ และเป็นเรื่ององค์ชายองค์หญิงอะไรอย่างงี้) มันเขียนยากมากๆเลยค่ะ
และสำหรับเรื่องนี้ มันยากมากขึ้นไปอีก เพราะบัวมีคอนเซ็ปต์ว่ามันเป็นต้องเป็นเรื่องที่อ่านแล้ว "อมยิ้มขำ"
แต่เพราะสไตล์ของเรื่อง รูปแบบภาษา ก็เลยทำให้เขียนยากมากกกก เพราะเรามักจะชินกับเรื่องสไตล์องค์ชายองค์หญิงในแบบที่เป็นโรแมนติกดราม่า และค่อนข้างหนักหน่วง แถมถ่วงๆในใจอะไรอย่างงี้

แต่เรื่องนี้เปิดมาก็เลี้ยงหอยซะแล้ว...

ยังไงก็ฝากเรื่องนี้ด้วยนะคะ ^^

ขอบคุณคนอ่าน คนเม้นท์ และทุกกำลังใจนะคะ

เจอกันเสาร์หน้าจ้า
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 2)...อัพ 15/06
เริ่มหัวข้อโดย: Lily teddy ที่ 15-06-2013 21:46:22
เย้ อ่านตอน 1 จบ ตอน 2 ก็มาเลย แต่อีกทีต้องรอเสาร์หน้าแน่ะ  :ling1:
อ่านแล้วไม่งงเลย สนุกมาก อ่านไปยิ้ม ๆ เขิน ๆ แทนท่านสน ตอนหน้าท่านสนคงต้องทำหน้าที่คนเลี้ยงหอยแล้วสิ
จะเป็นยังไงน๊า กับหอยพะงาบ ๆ คู่บ้าน คู่เมืองเนี่ย  :m20:
แนวโรแมนติกก็ดีนะแต่ดราม่านี่สิ อย่าให้ถึงกับบ่อน้ำตาแตกน๊า  :bye2:
 :L2: เป็นกำลังใจให้ผู้เขียน มีสุขภาพแข็งแรงจ้า  :pig4:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 2)...อัพ 15/06
เริ่มหัวข้อโดย: SenzaAmore ที่ 15-06-2013 21:53:31
อร้างงงงง สมิต กะ ชีวิน ดูเหมือนจะกล้ามชนกล้าม55555
หรือจิ้นไปเองไม่รู้ :laugh:

5555องค์ชายเนี่ยเป็นห่วงกลัวหอยตายน่าดูเลยนะ กลัวคนเลี้ยงหอยไม่อยู่อ่ะดิ้ :m13:

คนแต่งหายไวๆ แล้วมาต่อเร็วๆน้าา :จุ๊บๆ:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 2)...อัพ 15/06
เริ่มหัวข้อโดย: rubymoona ที่ 15-06-2013 22:49:32
อั่ยยะ องค์เตชช่างเปิดเผย ใจมากท่าน อย่างนี้สิสมใจคนอ่านนัก
ท่านสน ไม่แคล้ว เสร็จองค์เตชทั้งกายและใจในไม่ช้านี้แน่
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 2)...อัพ 15/06
เริ่มหัวข้อโดย: FlOriN ที่ 15-06-2013 23:05:09
แอรัยยย มาต่อแล้ว
จะบอกว่าชอบมากเลยค่าา
มาสแตนบายรอทุกเสาร์
คนเขียนพักผ่อนเยอะๆนะคะ
 :L2:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 2)...อัพ 15/06
เริ่มหัวข้อโดย: sine_saki ที่ 15-06-2013 23:38:31
มีคู่ใหม่เกิดมาแล้วสินะ สมิตกะชีวิน ท่าจะพ่อแง่แม่งอนกว่าคู่หลักเสียแล้ว
ตลกตรงราชทูตหอยนี่แหละ อยากรู้จังว่าองค์เตชพบกับองค์สนจนเป็นรักแรกพบอย่างไร
รอเสาร์หน้าจ้า
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 2)...อัพ 15/06
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 15-06-2013 23:55:32
งานยากเลยนะเนี่ยท่านเตช ริจะจีบเพลย์บอยตัวพ่อ
สบายที่สุดคงเป็นหอยกิตติมศักดิ์ตัวนั้น
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 2)...อัพ 15/06
เริ่มหัวข้อโดย: jinjin283 ที่ 16-06-2013 02:46:07
เรื่องใหม่่อะ ขอลุ้นทั้งสองคู่เลยนะ คู่องครักด้วยะ น่าลุ้นๆ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 2)...อัพ 15/06
เริ่มหัวข้อโดย: sam3sam ที่ 16-06-2013 09:22:52
เจอท่านสนบอกมีนางสนม121คนถึงกับเหวอเลยหรอจ๊ะท่านเตช :laugh:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 2)...อัพ 15/06
เริ่มหัวข้อโดย: ๛ナーリバス๛ ที่ 16-06-2013 09:44:50


ฮา เรื่องหอย

องชายทรงโปรดคนเลี้ยงมากกว่าหอย

สงสัยว่า สมิตจะได้คู่กับชีวินไหม *-*
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 2)...อัพ 15/06
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 16-06-2013 10:10:26
 :mew1:คึคึ ๆๆๆๆ แบบว่า สมิตกับชีวินใช่ม้ายยยย

ไม่ได้กลับสมุทราทั้งคู่แน่ๆอะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 2)...อัพ 15/06
เริ่มหัวข้อโดย: shoky_9 ที่ 16-06-2013 11:27:06
555555555555
อ่านแล้วอมยิ้มขำตามจริงๆค่ะ  :mew4:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 2)...อัพ 15/06
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 16-06-2013 11:53:28
ต้อนรับเรื่องใหม่ด้วยค่ะคุณบัว ^^
ตอนแรกก็ฮาแล้ว หอยคู่บ้านคู่เมือง
มาตอนสองเจอราชทูตหอยเข้าไป เงิบเลยค่ะ 555

เขาเคยเจอกันตอนเด็ก อยากอ่านจังค่ะ แล้วท่านแม่
น่าจะรับรู้อะไรบางอย่างนะคะถึงส่งลูกชายไปพร้อม
หอยบรรณาการ!! (แม้จะกันออกจากน้องอิจฉาก็เถอะ)

รอเสาร์หน้า  ไงคุณบัวพักผ่อนเยอะๆนะคะไมเกรนจะได้หายค่ะ

... อีกนิด เรื่องนี้องค์ชายสนให้ความรู้สึกเหมือนเป็นจอมขวัญ
ในอีกภพเลยค่ะ ตอนแรกก็เจ้าชู้มากมายแต่ได้เป็นนายเอก ^^
ใช่ไหมคะ?
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 2)...อัพ 15/06
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 16-06-2013 12:46:58
ท่านสนธยาสนมเป็นร้อย โอ้วววววววววววววววววว
แล้วงี้ท่านเตชจะทำให้ท่านสนจิตใจสั่นได้บ้างไม๊เนี่ย อิอิ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 2)...อัพ 15/06
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 16-06-2013 13:08:34
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วทำให้อารมณ์ดีจริงๆ
ขอบคุณคนแต่งมากครับ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 2)...อัพ 15/06
เริ่มหัวข้อโดย: vanny ที่ 16-06-2013 13:18:09
 :laugh: :laugh: :laugh:

ท่านเตชดูแลรักษา หอย สุดชีวิตนะเจ้าคะ

ที่สมุทราท่านสนมีนางสนมรออยู่ 121 เชียวนะท่าน

ปล่อยให้กลับไปไม่ได้หรอก
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 2)...อัพ 15/06
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 16-06-2013 13:18:50
กรี๊ดดดดดด คุณบัวกลับมาแล้ว

พอเห็นชื่อปุ๊บ กดเข้ามาดูปั๊บเลย

ติดตามคนเลี้ยงหอย กะคนที่ชอบคนเลี้ยงหอย 555

ดูงง ๆ มั้ย
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 2)...อัพ 15/06
เริ่มหัวข้อโดย: bulldog17 ที่ 16-06-2013 14:38:34
เรื่องนี้น่ารักมว๊ากกกกก ><
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 2)...อัพ 15/06
เริ่มหัวข้อโดย: EverGreen™ ที่ 16-06-2013 21:43:08
   “ล้อเล่นเสียที่ไหนเล่า เป็นกษัตริย์ เป็นรัชทายาท เป็นราชนิกูล…ตรัสแล้วจะคืนคำได้อย่างไร”

เนอะองค์ชายยยยยยยย

 :katai5:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 2)...อัพ 15/06
เริ่มหัวข้อโดย: KhunToOk ที่ 17-06-2013 03:28:10
 :hao5: :hao5:

ใจจะขาด  รอวันเสาร์หน้า   :mew2:

ขอบคุณคนเขียนมากค่าาา
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 2)...อัพ 15/06
เริ่มหัวข้อโดย: Gokusan ที่ 17-06-2013 11:39:14
มันขำตามประสงค์นะคะ ขอบอกกกก ^^

องค์ชายสนและองครักษ์น่าจะได้อยู่อย่างปลอดภัย
แต่ทางใจคงไม่นะ หวาดระแวงเป็นพักๆ ฮ่าๆ

องค์ชายเจ้าบ้านกะองครักษ์ก็ช่วยกัน-ดูแล-เต็มที่
หาทางพิชิตใจให้ได้ก็แล้วกัน...บ้านเมืองนั้นดูมีอันตรายแล้ว

น้องหญิงรัชทายาทท่านแม่ช่างน่ากลัว
ทำไมเป็นคนแบบนี้หว่า...น่าสงสารท่านแม่อ่ะ
มีลูกจ้องจะอยากได้สมบัตินี่ก็ไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่ - -"

เอาใจช่วยหลายๆ คนต่อไป...คนแต่งด้วย สู้ๆ ^^V
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 2)...อัพ 15/06
เริ่มหัวข้อโดย: qq_oo ที่ 17-06-2013 12:56:29
รอๆๆๆๆจ้า
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 2)...อัพ 15/06
เริ่มหัวข้อโดย: Chichi Yuki ที่ 17-06-2013 17:35:48
อู้! มีสองคู่แล้วเรื่องนี้
ตอนแรกก็จิ้นองครักษ์เป็น 3P 555+
(ไม่ค่อยเลยนะเรา)
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 2)...อัพ 15/06
เริ่มหัวข้อโดย: bpyt ที่ 17-06-2013 18:39:12
ชิช๊ะ! ว่าแล้วเชียวว่าต้องอยากได้คนเลี้ยงหอยมากกว่า แผนสูงเชียวท่านเตช หึหึ
งานนี่ถ้าท่านเตชจะได้ชายาคงต้องหวังพึ่งท้าวเอิบอย่างแรงง!!
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 2)...อัพ 15/06
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 17-06-2013 19:21:03
เพิ่งเห็นเรื่องใหม่ของคุณบัวค่ะ
ติดตามตอนต่อไป
หัวข้อ: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 3)...อัพ 22/06
เริ่มหัวข้อโดย: Dezair ที่ 22-06-2013 21:21:01
NOV: ด้วยพันธะบรรณาการ
By: Dezair
……………………..
พันธะที่ 3


   คุณท้าวเอิบเป็นหญิงวัยปลายร่างอวบผิวขาว ใบหน้ากลมอูมนั้นมีแว่นกรอบบางประดับด้วยเพชรระยิบระยับอันเป็นของขวัญครบรอบอายุ 50 ปีที่องค์ชายเตชินทร์ประทาน นางใส่มันแทบจะตลอดเวลาจนกลายเป็นเอกลักษณ์ที่คนทั้งตำหนักอิฐและตำหนักขาวซึ่งถูกใช้เป็นที่ทำการของขุนนางกรมวังใต้การปกครองขององค์ชายเตชินทร์คุ้นตากันดี


   และวันนี้ คุณท้าวเอิบที่มักไม่ค่อยปรากฏกายที่ตำหนักขาวบ่อยนักก็ถูกเชิญมาเป็นการเร่งด่วน นางย่อกายลงถวายบังคมเมื่อเข้ามาในห้องทรงงานขององค์ชายรัชทายาทลำดับที่สองซึ่งควบตำแหน่งเจ้ากรมวังร่วมด้วย


   “คุณท้าว มาแล้วหรือ ขอเราตรวจเอกสารอีกครู่เดียว จะคุยด้วยสักหน่อย เชิญนั่งก่อน”


คุณท้าวเอิบเติบโตขึ้นในวังหลวงดังนั้นกิริยามารยาทจึงสง่างามแม้อายุอานามจะไม่น้อยแล้วก็ตาม นางย่อกายลงรับคำสั่ง ก่อนจะถอยไปนั่งที่ชุดเก้าอี้บุนวมมุมห้องทรงงาน


   ภายในห้องของผู้มีอำนาจสูงสุดของกรมวังนั้น แทบจะเรียกว่ารกเป็นรังหนู เพราะโต๊ะทรงงานขององค์ชายรัชทายาทเต็มไปด้วยเอกสารมากมาย ส่วนโต๊ะทำงานขององครักษ์อีกสองคนอย่างอังกูรและสมิตก็ไม่ต่างจากผู้เป็นนาย คุณท้าวเอิบเห็นแล้วขัดตา แต่เพราะตำหนักขาวแห่งนี้ไม่ได้อยู่ในอำนาจของนาง จึงจำต้องปล่อยผ่านแม้จะนึกเคืองอยู่ไม่น้อยที่องค์ชายเตชินทร์และบริวารไม่รักษาความสะอาดกันบ้างเสียเลย


   “คุณท้าวคงกำลังนึกขัดใจเราอยู่ เพราะโต๊ะเราสกปรกเหลือเกิน” เสียงทุ้มหยอกล้อดังมาจากองค์ชายหนุ่มผู้กำลังประทับตราอนุญาตเบิกจ่ายงบของกรม เมื่อเสร็จเรียบร้อยดีจึงหยิบติดมือมาส่งให้อังกูรที่กำลังนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะถัดไป แล้วจึงเสด็จตรงมาหาคุณท้าวเอิบที่นั่งรออยู่


   “หากองค์ชายมีรับสั่งให้หม่อมฉันมาทำความสะอาดให้ จะเป็นพระคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อมมากเลยเพคะ”


องค์ชายเตชินทร์สรวลร่วน แต่ไม่ยอมเอ่ยโอษฐ์อนุมัติ พระองค์ทรุดกายลงประทับที่พระเก้าอี้อีกตัวหนึ่ง แล้วจึงตรัสเข้าเรื่อง


   “เรามีเรื่องให้คุณท้าวช่วยเหลือ และแน่นอนว่ามันจะกินเวลาของคุณท้าวมากเสียจนคุณท้าวมาช่วยทำความสะอาดให้เราไม่ไหว”


   “แสดงว่าเรื่องใหญ่หรือเพคะ”


   “ใหญ่มาก”


   “ให้หม่อมฉันเดาได้ไหมเพคะ” องค์ชายเตชินทร์พยักพักตร์เล็กน้อยเป็นเชิงอนุญาต


   “เรื่องนี้เกี่ยวกับองค์ชายสนธยา”


   “คุณท้าวรู้ใจเราเสมอ สมแล้วที่เลี้ยงดูเรามาแต่เล็ก” ด้วยเพราะพระมารดาจากไปตั้งแต่พระองค์ยังเยาว์นัก ผู้ที่เลี้ยงดูและถึงขั้นถวายการลงโทษพระองค์ก็มีเพียงคุณท้าวเอิบซึ่งเคยรับใช้พระมารดาของพระองค์มาก่อน องค์ชายเตชินทร์จึงเกรงใจคุณท้าวมากพอๆกับที่คุณท้าวรู้เท่าทันนิสัยและความคิดขององค์ชายหนุ่มดี


   “คราวนี้เป็นเรื่องอะไรล่ะเพคะ”


อันที่จริงแล้ว คุณท้าวเอิบเองก็สงสัยไม่น้อยว่าองค์ชายผู้นั้นมีส่วนใดต้องตาต้องใจองค์ชายของนาง ไม่ใช่ว่าองค์ชายเตชินทร์ไม่มีสตรีนางในคนใดในวังหลวงเหลียวแลจนพระองค์ต้องหันไปสนพระทัยองค์ชายจากต่างแดน ตรงกันข้าม ทุกวันนี้นอกจากคุณท้าวเอิบจะมีหน้าที่คอยดูแลความเรียบร้อยในตำหนักอิฐแล้ว ในบางคราวยังต้องคอยจัดสรรเรื่องเวลาไม่ให้สตรีมาขอเข้าเฝ้าทับซ้อนกัน มิเช่นนั้นประเดี๋ยวจะเกิดเรื่องทะเลาะวิวาทในตำหนักดังที่เคยเกิดมาแล้วเมื่อครั้งอดีต


   “เราอยากให้คุณท้าวเป็นเพื่อนคุยขององค์ชายสนธยา”

   “เพื่อนคุย?”


   “ใช่ เขาเป็นองค์ชายมาจากต่างแดน มาอยู่ที่อนันตราชแค่สองคนกับองครักษ์ที่ชื่อชีวิน พวกเขาเหมือนนกพลัดถิ่น เราในฐานะเจ้าบ้านเจ้าเมืองก็อยากเป็นที่พึ่งที่พิงให้เขา ก็เลยอยากให้คุณท้าวสนิทสนมกับเขาเอาไว้ เผื่อวันข้างหน้าเขามีปัญหาอะไรจะได้กล้ามาปรึกษาขอความช่วยเหลือจากคุณท้าวอย่างไรล่ะ คุณท้าวเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ เป็นเสาหลักของตำหนักอิฐ เราไม่เห็นใครมีคุณสมบัติเพียบพร้อมเท่าท่านแล้ว”


   “ยกยอกันจริงนะเพคะ”


เหตุและผลที่องค์ชายเตชินทร์ตรัสมานั้น คุณท้าวเอิบเห็นด้วยทุกประการ หากจะว่าไปแล้ว ทั้งองค์ชายสนธยาและองครักษ์ชีวินที่ต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนมาอาศัยในต่างถิ่นต่างแดนโดยที่ไม่รู้กำหนดกลับก็คงเป็นเรื่องทุกข์ใจไม่ใช่น้อย ครอบครัวก็ไม่มี คนรู้จักก็ไม่มี ไม่ต่างอะไรกับคนหัวเดียวกระเทียมลีบ


   “คุณท้าวช่วยเราหน่อยเถอะนะ ถ้าไม่เห็นแก่เรา ก็เห็นแก่ความสัมพันธ์ของอนันตราชและสมุทรา หากคนที่สมุทรารู้ว่าคนของอนันตราชไม่ดูดำดูดีองค์ชายสนธยาและองครักษ์ชีวิน พวกเขาคงหาว่าพวกเราใจไม้ไส้ระกำใจดำป่าเถื่อน”


   “เข้าใจแล้วเพคะ หม่อมฉันจะเป็นเจ้าบ้านที่ดี พระองค์อย่าได้กังวล”


   “ขอบคุณท่านมาก เรารู้ว่าคุณท้าวยึดหลักความถูกต้องเสมอ” องค์ชายเตชินทร์แย้มสรวลอย่างถูกอกถูกใจ ก่อนจะตรัสถามเรื่องความเป็นไปในตำหนักอิฐอีกเล็กน้อย แล้วจึงส่งคุณท้าวเอิบกลับ เมื่อพ้นร่างหญิงวัยปลายผู้นั้นแล้ว สมิตที่นั่งทำงานอยู่ในห้องและได้ยินทุกประโยคของพระองค์ก็ทูลหยอกเสียงดัง


   “เหมือนนกพลัดถิ่น ประโยคนี้คุ้นหูเหลือเกินพระเจ้าค่ะ” องค์ชายเตชินทร์เหลือบเนตรมอง


   “เราลอกอังกูรมา มีปัญหาหรือไร”


   “ไม่กล้ามีพระเจ้าค่ะ”


   …ก็ลองกล้ามี พระองค์จะสั่งงานเพิ่มให้สมิตไปตามดูแลท่านองครักษ์ชีวินเสียให้อกแตกตายไปข้างเลยคอยดู!...

   ………………………………………..


   ร่างสูงโปร่งเจ้าของเรือนกายสีน้ำผึ้งนวลนั่งจับเจ่าอยู่ข้างบ่อน้ำขนาดใหญ่ในสวนหลังตำหนัก ใต้บ่อนั้นมีหอยมุกตัวเขื่องนอนสงบนิ่ง ด้วยไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย หากแต่คนมีหน้าที่เลี้ยงหอยไม่ได้รู้สึกยี่หระอะไรเสียเท่าไหร่


   …ตอนนี้อะไรจะเป็นจะตายก็ช่างแล้ว แต่พระองค์ทรงเบื่อเป็นที่สุด…


   “ทำองค์ให้กระฉับกระเฉงดูเหมือนกำลังเลี้ยงหอยหน่อยสิพระเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวคนอื่นมาเห็นจะพูดเอาได้ว่าพระองค์อู้งาน” ชีวินที่ยังคอยตามติดถวายการดูแลทุกฝีก้าวก้มลงกระซิบ


   “ชีวิน เจ้าก็รู้ว่าหอยเป็นสัตว์ที่เลี้ยงตามมีตามเกิดเป็นที่สุด ถ้าเจ้าไม่อยากให้คนอื่นคิดว่าเราอู้งาน ก็คงต้องยกหอยขึ้นมาให้เรานั่งขัดกาบมันทั้งวี่ทั้งวันล่ะ!” องค์ชายสนธยาตรัสอย่างเหนื่อยหน่ายและแสนเบื่อ ตั้งแต่เช้ามานี้ พระองค์ต้องคอยมาทำทีเป็นดูแลหอย เดินวนบ่อไปทางซ้าย แล้วก็เดินกลับมาทางขวาด้วยเพราะไม่รู้ว่าหอยต้องดูแลอย่างไร!


   “ไม่ต้องถึงขนาดขัดกาบ แต่ก็ต้องไม่ใช่มานั่งริมบ่อแล้วโยนหินลงน้ำเล่นเช่นนี้ พวกทหารจะเอาไปพูดกันได้นะพระเจ้าค่ะ” ชีวินทูลอีกหน พลางเหลือบตามองนายทหารเวรยามนับสิบที่ยืนประจำการอยู่รายล้อมรอบบ่อหอยมุก


เขาเองก็ไม่ค่อยเข้าใจความคิดขององค์ชายเตชินทร์เสียเท่าไร รายนั้นความคิดความอ่านเกินกรอบไปไกลนับตั้งแต่อยากได้หอยเป็นของขวัญวันเกิด ไปจนถึงรับสั่งให้มีการจัดนายทหารเวรยามคุ้มกันบ่อหอยทั้งวันทั้งคืน ราวกับกลัวว่าจะมีใครมาขโมยหอยไปอย่างนั้น!


   “แต่เราเบื่อ ชีวิน เจ้าต้องเข้าใจว่าเราเบื่อ”


   “พระเจ้าค่ะ กระหม่อมเข้าใจ” ทว่าก่อนที่ชีวินจะได้ปลอบประโลมเหนือหัวผู้ที่กำลังเริ่มงอแงเป็นเด็กๆ เสียงนายทหารป่าวประกาศก็ดังขึ้น


   “องค์ชายเจษฎาเสด็จ!!”


   …องค์ชายเสด็จ?!...


   สองบุรุษจากสมุทราหันมองตามเสียงโดยพร้อมเพรียง ร่างสูงสง่าเดินพ้นมุมตำหนักตรงมาทางพวกเขา ทำเอาทั้งองค์ชายและองครักษ์ต้องหันมองหน้ากัน


   …องค์ชายเสด็จ? …


…แล้วเสด็จมาทำไมตรงนี้? ที่หลังตัวตำหนักที่นอกจากจะไม่มีอะไรให้ดูแล้วยังมีแค่บ่อหอยมุกอย่างเดียว!...


…หรือว่า…


…หรือว่าจะมาดูหอย?!...


   “องค์ชายแห่งอนันตราชนี่เพี้ยนบรรลัย ดูท่าจะชอบหอยกันทุกคน” สนธยาได้แต่บ่นพึมพำ ก่อนจะลุกจากขอบบ่อยืนตัวตรงเมื่อบุรุษร่างสูงสง่าในชุดคลุมเนื้อหนาสวมทับเครื่องแบบนายทหารสีเขียวเข้ม ใบหน้าคมคายคล้ายกับองค์
ชายเตชินทร์หากแต่ดูอาวุโสกว่า และที่สำคัญ…มีรอยสรวลแบบเดียวกันเปี้ยบ!


   “องค์ชายสนธยา” ผู้มาใหม่ทักทายพร้อมด้วยรอยยิ้มอย่างที่ทำเอาสนธยาต้องโค้งกายคำนับ


   “ไม่ต้องมากพิธีหรอก เราแค่แวะมาเยี่ยมเยียนอาคันตุกะจากสมุทรา” องค์ชายหนุ่มแห่งอนันตราชตรัสด้วยน้ำเสียงทุ้มอ่อนโยน ทว่าเมื่อเห็นความอิหลักอิเหลื่อบนสีหน้าของคู่สนทนา ก็ดูเหมือนพระองค์จะเพิ่งระลึกขึ้นได้ “จริงสิ ยังไม่ได้แนะนำตัวเองให้เจ้ารู้จัก เราคือองค์ชายเจษฎา รัชทายาทลำดับที่ 1 แห่งราชสำนักอนันตราช เราก็อยู่ในงานเมื่อวานที่โถงด้วย แต่เจ้าคงไม่ทันสังเกตกระมัง”


   …รัชทายาทลำดับที่ 1!!...


   สนธยานิ่งงันไปเล็กน้อย ก่อนจะค้อมกายคำนับอีกครั้ง

   
“ยินดีที่ได้รู้จักพระเจ้าค่ะ”


   “เราบอกแล้วว่าไม่ต้องมากพิธี เงยหน้าขึ้นเถิด” องค์ชายจากเกาะกลางทะเลเงยพักตร์ขึ้น “พอดีผ่านมาทางนี้ เลยแวะมาเยี่ยมเสียหน่อย ไปนั่งคุยตรงนั้นเถอะ” องค์ชายเจษฎาทรงผายหัตถ์ไปยังชุดเก้าอี้ที่อยู่ใต้ต้นไม้ ไม่ไกลจากบ่อน้ำ ก่อนจะออกเสด็จนำ สนธยาเหลือบตามองชีวินเล็กน้อย แต่ไม่ปริปากสิ่งใดก่อนจะก้าวตามไปนั่งที่ชุดเก้าอี้


   “อยู่ที่นี่เป็นอย่างไรบ้าง สบายดีไหม”


   “สบายดีพระเจ้าค่ะ” องค์ชายเจษฎาทอดพระเนตรพักตร์เรียวสีน้ำผึ้งของคู่สนทนาด้วยความประหลาดใจ เมื่อวานนี้ในโถงประชุม พระองค์ค่อนข้างตกใจทีเดียวเมื่อน้องชายอย่างเตชินทร์ออกปากร้องขอของขวัญวันเกิดเป็นหอยมุกตัวใหญ่ และเรียกร้องให้องค์ชายสนธยาจากสมุทรามาเป็นคนเลี้ยงหอยที่ตำหนัก วันนี้พระองค์ตั้งใจเสด็จมาที่นี่เพื่อมาไขข้อข้องใจว่าทำไม เตชินทร์ถึงต้องการเช่นนั้น


   …หรือจะสนใจองค์ชายสนธยาแห่งสมุทรา…


   องค์ชายเจษฎาพินิจพิเคราะห์ผู้ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม แล้วได้แต่โคลงเศียรน้อยๆ


   องค์ชายสนธยารูปงามก็จริง พักตร์เรียว ดวงเนตรกลมโต นาสิกรั้น และโอษฐ์บาง ผสานไปกับเรือนกายสีน้ำผึ้งที่แม้จะสูงโปร่งแต่ก็ดูสง่างามเหมาะสมกับตำแหน่งองค์ชาย ทว่า…ไม่ได้งามอย่างอิสตรี ไม่ได้มีวี่แววอรชรอ้อนแอ้นน่ารักน่ากอดเลยแม้แต่น้อย


   “พูดตามตรง เราค่อนข้างตกใจที่ได้ยินว่าน้องชายของเราอยากได้หอยเป็นของขวัญวันเกิด”


   “กระหม่อมก็ตกใจไม่แพ้พระองค์พระเจ้าค่ะ ไม่คิดมาก่อนว่าจะมีใครที่ไหนอยากได้หอยเป็นของขวัญ” สนธยารับคำง่ายๆ อย่างที่ทำเอาเจษฎาหัวเราะร่วน


   “ที่สมุทรา หอยคงเป็นของหาง่ายจนไม่น่าปรารถนาสินะ”


   “ต่อให้หายาก กระหม่อมก็คิดว่ามันไม่ได้เหมาะสมจะเป็นของขวัญวันเกิดเสียเท่าไหร่พระเจ้าค่ะ”


   “แต่เหมาะเอามาเป็นของบรรณาการอย่างนั้นหรือ” สนธยานิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะเฉไฉตอบ


   “ก็…ก็เพราะว่ามันเป็นหอยคู่บ้านคู่เมืองน่ะสิพระเจ้าค่ะ ถึงได้เหมาะเป็นของบรรณาการ” คราวนี้องค์ชายเจษฎาสรวลเสียงดัง ดูเหมือนพระองค์จะค้นพบแล้วว่าเหตุใด เตชินทร์ผู้เป็นน้องถึงได้อยากได้หอยเป็นของขวัญวันเกิด ไม่สิ…เตชินทร์ไม่ได้อยากได้หอย แต่อยากได้คนเลี้ยงหอยต่างหาก


   “เอาเถอะ ถึงน้องเราจะพิลึกพิลั่น แต่เขาก็ไม่ใช่คนไม่ดีหรอก เรายืนยัน” สนธยาขมวดคิ้วเล็กน้อย ด้วยเพราะไม่เข้าใจว่าเหตุใดองค์ชายรัชทายาทลำดับที่ 1 แห่งอนันตราชจึงต้องมายืนยันนั่งยันความเป็นคนดีหรือไม่ขององค์ชายเตชินทร์ด้วย


   “เราคงต้องขอตัวก่อน พอดีต้องไปที่อื่นต่อด้วย” องค์ชายเจษฎาทรงลุกจากพระเก้าอี้ ทำเอาสนธยาต้องลุกขึ้นน้อมส่ง


   “แล้วไว้ว่างๆจากการเลี้ยงหอย ก็ไปเที่ยวที่ตำหนักของเราบ้างนะ เราจะให้การต้อนรับอย่างดี” คนถูกชวนได้แต่ยิ้มบาง ทั้งที่ในใจนั้นไม่อยากข้องเกี่ยวกับพวกองค์ชายบ้าหอยมากเสียเท่าไหร่ ตั้งแต่พระองค์ยังเล็กก็ถูกสอนสั่งว่าพวกอนันตราชนั้นเป็นนักรบที่เก่งกาจ สมัยก่อน พระองค์เคยวาดฝันว่าอยากสร้างกองทัพของสมุทราให้เกรียงไกรอย่างอนันตราช หากแต่พอได้มา ‘สัมผัส’ องค์ชายของอนันตราชทั้งรัชทายาทลำดับที่ 1 และ 2 แล้ว องค์ชายสนธยาก็ดำริได้อย่างเดียวว่า ถ้าเก่งแล้วเพี้ยนแบบนี้ ขอโง่เง่าต่อไปจะดีกว่า!


   “หืม? มองหน้าเราทำไมรึ”


   “เปล่าพระเจ้าค่ะ” สนธยารีบทูล ด้วยเพราะในใจนั้นนินทาองค์ชายแห่งราชสำนักอนันตราชชนิดที่ถ้าให้พูดออกมาจากปาก ก็คงถูกสั่งบั่นคออย่างไม่ต้องสงสัย


   “ถ้าหากไม่มีอะไรแล้ว เราขอตัวก่อนแล้วกัน” ดูเอาเถอะ คิดจะมา ก็แวะมาปุบปับ คิดจะไปก็ไปเสียแบบนั้น…ถ้าองค์ชายแห่งราชสำนักนี้มาสู่ขอน้องสาวของพระองค์ล่ะก็ สนธยาจะไม่ยอมยกให้จริงๆ!


   องค์ชายเจษฎาเสด็จออกจากตำหนักอิฐของน้องชาย ทว่าพอพ้นการได้ยินขององค์ชายสนธยาแห่งสมุทรา พระองค์ก็มีรับสั่งเสียงเบาให้แก่องครักษ์ผู้ติดตามเบื้องหลัง


   “ส่งคนไปที่สมุทรา แล้วจงสืบว่าเหตุใดราชินีวารีวาทจึงกล้าส่งองค์ชายสนธยามากับขบวนบรรณาการ”

……………………………….   

พระอาทิตย์ดวงโตคล้อยต่ำบอกเวลาเย็นย่ำแล้ว องค์ชายรัชทายาทลำดับที่ 2 แห่งอนันตราชรีบเก็บปากกาขนนกเข้าที่ แล้วลุกจากพระเก้าอี้อย่างรวดเร็วเสียจนองครักษ์หนุ่มอีกสองที่นั่งทำงานมือเป็นระวิงอยู่บนโต๊ะใกล้เคียงต้องหันมอง

“จะเสด็จกลับแล้วหรือพระเจ้าค่ะ” สมิตทูลถาม ก่อนจะเหลือบตามองออกไปนอกหน้าต่างห้องทรงงานที่พระอาทิตย์ยังฉายแสงสาดส่องไปทั่วทุกหย่อมหญ้า


…ทั้งๆที่แต่ก่อน ถ้าไม่มืดจะไม่กลับด้วยซ้ำ แล้วนี่เกิดอะไรขึ้น…


“เราจะกลับไปทานมื้อเย็น”


“มื้อเย็น?!” เป็นสมิตที่ยังร้องด้วยความตกใจ ในขณะที่อังกูรเงยหน้าขึ้นมองเงียบๆ


“ใช่ ตอนนี้เราไม่ได้ตัวคนเดียวแล้ว เป็นเจ้าของตำหนักก็ต้องดูแลผู้มาอาศัย เกิดเรายังไม่กลับ แล้วคุณท้าวไม่ยอมตั้งโต๊ะเสียที องค์ชายสนธยาก็ไม่ต้องเสวยอะไรพอดี”


“อยากจะกลับไปทอดเนตรองค์ชายสนธยาก็ตรัสมาเถอะพระเจ้าค่ะ” สมิตทูลด้วยน้ำเสียงและสีหน้าล้อเลียน หากแต่องค์ชายเตชินทร์กลับทำสีพักตร์เคร่งขรึม ทั้งๆที่แท้จริงในใจนั้น ไม่ต่างจากที่สมิตหยอกเลยแม้แต่น้อย


“เราแค่อยากกลับไปดูว่าเขาอยู่กันอย่างไรบ้าง มีอะไรขาดเหลือตรงไหนไหม เราเป็นเจ้าบ้านเจ้าเมือง เป็นเจ้าของตำหนัก จะปล่อยปละละเลยได้อย่างไร เจ้าก็ด้วยเถอะสมิต เจ้าเองก็เป็นเจ้าบ้าน เราหวังว่าเจ้าจะคอยดูแล ‘ท่านชีวิน’ เป็นอย่างดี!”


 พอถูกย้อนศรมาเช่นนี้ สมิตผู้ปากมากก็เงียบสนิท องค์ชายเตชินทร์ขยับเครื่องแบบที่สวมอยู่ให้เข้าที่ อังกูรที่รู้งานก็ลุกจากโต๊ะทำงานคอยติดตามองค์ชายโดยพลัน ไม่เหมือนฝ่ายสมิตที่แม้จะรู้งานไม่ต่างจากเพื่อน แต่ก็ยังอ้อยอิ่งอ้อยสร้อยทำเป็นเก็บข้าวของบนโต๊ะไม่เรียบร้อยเสียที


“สมิต…เจ้าจะกลับหรือไม่ ถ้าไม่ เราจะได้ลงไปบอกพวกเวรยามว่ากะกลางคืนวันนี้ เจ้าจะเฝ้าตำหนักขาวแทน!” เพียงเท่านั้น สมิตก็รีบทิ้งงานทุกอย่างแล้วขยับห่างจากโต๊ะทำงานพร้อมกับทูลตอบเสียงลั่น


“กลับพระเจ้าค่ะ!!!” องค์ชายเตชินทร์ทำเสียงฮึมฮัมในลำคอเล็กน้อย ด้วยเพราะรู้ดีว่าองครักษ์หนุ่มนิสัยขี้เล่นอย่างสมิตนั้นมักจะชอบยั่วยุกวนโทโสพระองค์เรื่อย


“อังกูร วันนี้เราอยากสนทนากับองค์ชายสนธยาเป็นการส่วนตัวอีก เจ้ามีวิธีอื่นอีกไหม ถ้าใช้วิธีเก่า เรากลัวเขาจะจับได้” องค์ชายเตชินทร์เสด็จนำออกจากห้อง มีอังกูรเดินตามคอยถวายคำแนะนำอย่างใกล้ชิด สมิตมองตามเพื่อนรักและเหนือหัวผู้ที่ตนเคารพสูงสุดแล้วได้แต่ส่ายหน้าไปมา


“องค์เตชหนอองค์เตช พระอาทิตย์ยังไม่ทันตกดินก็จ้องแต่จะกลับตำหนักท่าเดียว เสียงานเสียการเพราะผู้ชายแท้ๆ”


แน่นอนว่าเสียงพึมพำนั้นได้ยินเข้าพระกรรณขององค์ชายรัชทายาทลำดับที่สองอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นจึงมีสุรเสียงดังลั่นอย่างที่ทำเอาสมิตสะดุ้งโหยง


“สมิต!!!”

…………………………………….
หัวข้อ: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 3)...อัพ 22/06
เริ่มหัวข้อโดย: Dezair ที่ 22-06-2013 21:23:27



กลิ่นหอมของน้ำแกงเนื้อข้นสีนวลตาด้วยมันฝรั่งบดละเอียดจนละลายเป็นเนื้อเดียวกับน้ำที่ถูกปรุงจนรสกลมกล่อมพร้อมด้วยเครื่องเทศน์หลากชนิดที่มีสรรพคุณให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย ทำเอาร่างสูงโปร่งต้องขยี้ปลายจมูกตัวเองไปมาอย่างนึกฉุน


“ดูท่าจะเป็นหวัดเสียแล้วนะเพคะ” ไม่ไกลนักคือคุณท้าวเอิบที่คอยดูแลใกล้ชิด นับตั้งแต่องค์ชายสนธยากลับเข้ามาในตำหนักหลังจากออกไปดูแลหอยมุกที่สวนด้านหลังตั้งแต่เช้าจนบ่าย โดยพกพาเอาอาการหายใจลำบากกลับเข้ามาหานางด้วย


“สงสัยเพราะเราตากลมนานไปหน่อย”


อากาศที่อนันตราชเย็นและแห้งกว่าที่สมุทรา อีกทั้งลมแต่ละครั้งที่พัดผ่านก็เหมือนจะหอบเอาไอเย็นก้อนใหญ่ๆมากรีดผิวให้สะท้าน คนคุ้นชินกับอากาศร้อนพอมาเจออากาศเย็นสบายเช่นนี้ทีแรกก็ชอบอยู่หรอก ออกไปนั่งเล่นตากลมที่ริมบ่อเสียค่อนวัน ก่อนจะพบว่าอากาศเย็นๆนั้นนำพาโรคภัยมาเยือนเสียด้วย


“ประเดี๋ยวมื้อเย็น หม่อมฉันจะทำข้าวต้มถวายดีไหมเพคะ จะได้คล่องคอหน่อย”


“ก็ได้”


“ถ้าเช่นนั้น พระองค์เสวยน้ำแกงถ้วยนี้ให้หมดเสียก่อน พระวรกายจะได้อบอุ่นขึ้น แล้วก็ห้ามออกไปเดินเตร่นอกตำหนักอีกนะเพคะ อยู่ในห้องนี้ หม่อมฉันจะให้คนไปเอาฟืนมาเติมที่ปล่องไฟให้ จะได้ไม่หนาว แล้ววันนี้ก็ต้องบรรทมแต่หัวค่ำนะเพคะ”


คุณท้าวเอิบถวายการดูแลองค์ชายเตชินทร์มาแต่อ้อนแต่ออก หากแต่พอองค์ชายหนุ่มขึ้นรับตำแหน่งรัชทายาทลำดับที่สอง ก็ดูเหมือนจะไม่ป่วยไม่ไข้ให้นางต้องจ้ำจี้จ้ำไชอีก มาวันนี้ที่มีอาคันตุกะมาเพิ่มที่ตำหนักอิฐ และป่วยไข้ต่อหน้านาง คุณท้าวเอิบจึงอดไม่ได้


องค์ชายสนธยาทอดเนตรสตรีวัยปลายร่างอวบด้วยแววเนตรชื่นชม จนทำเอาคนถูกมองนิ่งไปเล็กน้อย และเหมือนนางเพิ่งจะรู้ตัวว่ากำลังจ้ำจี้จ้ำไชกับองค์ชายหนุ่มจากต่างแดน


“เอ่อ…เอ่อ…หม่อมฉันขอประทานอภัยเพคะ เอ่อ…พอดี…”


“ท่านไม่เห็นต้องขออภัยเลยคุณท้าว ขอบคุณมากที่ห่วงใยเรา ท่านเหมือนแม่นมเราที่สมุทรา” คุณท้าวเอิบยิ้มบาง ในฐานะที่นางเองก็เป็น ‘ท่านนม’ ขององค์ชายเตชินทร์มาก่อน แม้จะไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไข แต่ก็เลี้ยงดูป้อนข้าวป้อนน้ำ ให้นมจากอก ก็ต้องรักต้องห่วงเยี่ยงลูกเป็นธรรมดา


“องค์ชายเสด็จออกจากสมุทราเช่นนี้ ท่านนมของพระองค์คงคิดถึงพระองค์แย่” องค์ชายสนธยาสรวลน้อยๆ


“เราสิคิดถึง ท่านนมของเราขึ้นสวรรค์ไปตั้งแต่เราอายุได้แค่ 10 ขวบ”


“ตายจริง” พอเห็นสีหน้าคุณท้าวท่าทางจะตกอกตกใจ องค์ชายหนุ่มจากเกาะแดนใต้จึงจับมือเหี่ยวย่นของนางเอาไว้


“เราไม่มีแม่นมแล้ว อีกทั้งมาอยู่ที่นี่ก็ไร้ญาติขาดมิตรมีแค่ชีวินที่เรารู้จัก เมื่อเราได้มาอยู่ที่ตำหนักนี้ เราก็หวังจะได้ผูกมิตรสนิทสนมกับคนในตำหนัก คุณท้าวเป็นผู้ใหญ่ เราอยากให้ท่านคิดเสียว่าเราเป็นเหมือนลูกเหมือนหลานคนหนึ่ง ถ้ามีอะไรที่เห็นว่าสิ่งที่เราทำนั้นไม่เหมาะสม โปรดตักเตือนเรา เรามาจากต่างถิ่น เราไม่รู้ว่าที่นี่และที่สมุทรามีอะไรที่เหมือนกัน หรือต่างกันบ้าง เพราะฉะนั้น ได้โปรดอย่านิ่งดูดาย หากเห็นว่าเราทำเรื่องไม่ดีไม่งาม” คุณท้าวเอิบยิ้มบางด้วยความชื่นชม องค์ชายสนธยานั้นทำตัวสมกับเป็นองค์ชายได้อย่างไม่มีที่ติ การอ่อนน้อมถ่อมตนไม่ได้เป็นการกดตัวเองให้ต่ำต้อย ตรงกันข้าม มันกลับช่วยเพิ่มพูนความสง่าราศีอย่างน่าดูชม


“ราชสำนักสมุทราโชคดีเหลือเกินที่มีองค์ชายอย่างพระองค์เป็นแบบอย่างให้แก่ประชาชน” คุณท้าวเอิบทูลด้วยสายตาเอ็นดู องค์ชายสนธยากำลังจะปฏิเสธว่าพระองค์ไม่ใช่แบบอย่างที่ดีอะไรถึงเพียงนั้น แต่คุณท้าวเอิบหันไปสนใจเสียงฝีเท้าที่ดังใกล้เข้ามาเสียก่อน เพียงชั่วอึดใจ พักตร์คมคายก็โผล่เข้ามาในห้อง


“กลับมาแล้วคุณท้าว”


“ถวายบังคมเพคะ ทำไมวันนี้กลับแต่หัววันนัก” คุณท้าวเอิบเข้าไปรับเสื้อคลุมขนสัตว์มาจากร่างสูงสง่า ในขณะที่ผู้เป็นเจ้าของเสื้อคลุมนั้นเหลือบเนตรไปสนพระทัยร่างโปร่งผิวน้ำผึ้งที่บัดนี้มีผ้าห่มคลุมทั้งตัวและกำลังนั่งซุกอยู่บนเก้าอี้บุนวม


“องค์ชายสนธยาทรงเป็นหวัดเพคะ” เมื่อเห็นสายเนตรข้องพระทัยกับสภาพที่ปกคลุมไปด้วยผ้าห่มเนื้อหนา คุณท้าวเอิบเลยต้องเป็นคนทูลเสียเอง


“เป็นหวัด?!” องค์ชายเตชินทร์กำลังจะขยับกายเข้าไปหา ทว่าคุณท้าวเอิบขยับกายอวบปิดทางเสียมิด


“ไม่ได้นะเพคะองค์เตช! องค์ชายสนธยากำลังเป็นหวัด พระองค์เข้าไปคลุกคลีไม่ได้เด็ดขาด”


“แต่เราแข็งแรงคุณท้าว”


“องค์ชายสนธยาก็ทรงแข็งแรงเป็นอย่างยิ่งเพคะ แต่ก็ประชวร เพราะฉะนั้นจะประมาทไม่ได้” ว่าแล้วคุณท้าวเอิบผู้เป็นใหญ่ที่สุดในตำหนักอิฐก็หันไปทางองครักษ์หนุ่มทั้งสองซึ่งยืนอยู่เบื้องหลังองค์ชายเตชินทร์ที่กำลังมีพระพักตร์ละห้อยเพราะถูกคุณท้าวขวางความสุขเสียอยู่หมัด


“อังกูร สมิต นำเสด็จองค์เตชไปที่ห้องเสวย”


“โธ่! คุณท้าว…เราเป็นเจ้าของตำหนัก จะให้ไปนั่งกินข้าวกินปลาลงได้อย่างไร หากองค์ชายสนธยากำลังประชวรเช่นนั้น” คุณท้าวร่างอวบจับจ้องพักตร์คมขององค์ชายหนุ่มผู้ออกตนว่าเป็นเจ้าของตำหนัก


“แล้วพระองค์ประสงค์จะทำสิ่งใดให้สมกับที่เป็นเจ้าของตำหนักล่ะเพคะ จะจัดยาให้องค์ชายสนธยาด้วยองค์เองอย่างนั้นหรือ หม่อมฉันจะได้ไม่ต้องให้คนไปตามหมอ” พอคุณท้าวเอิบว่ามาอย่างนั้นองค์ชายเตชินทร์ก็ได้แต่ปิดโอษฐ์เงียบ ด้วยเพราะไม่กล้าจัดยาทั้งที่ตนไม่มีความรู้ทางด้านการแพทย์แม้แต่น้อย ทว่า…ก็อดไม่ได้ที่จะกระอ้อมกระแอ้มหาทางได้เข้าใกล้คนป่วย


“แต่…ถ้าเราไม่ดูแล แล้วใครจะดูแล องค์ชายสนธยาเป็นแขกบ้านแขกเมือง มาประทับอยู่ที่ตำหนักอิฐของเรา เราก็ต้องดูแลทั้งยามสุขและทุกข์สิ”


“แลดูเหมือนกำลังสาบานตนในพิธีอภิเษกอย่างไรก็ไม่รู้นะพระเจ้าค่ะ” สมิตที่ยืนอยู่ใกล้อดปากไม่ไหวต้องทูลกระซิบ ทำเอาองค์ชายเตชินทร์ต้องเหลือบเนตรมาดุ สมิตจึงยอมขยับกายถอยห่างออกไปแต่ก็ยังอมยิ้มกระลิ้มกระเหรี่ยแบบที่ทำเอาผู้เป็นนายชักอยากลดขั้นจากองครักษ์บันดาลศักดิ์ลงไปเป็นนายทหารปลายแถวเสียเหลือเกิน!


“องค์เตชอย่าได้กังวลไป หม่อมฉันไม่มีทางยอมให้ใครในตำหนักอิฐล้มป่วยนานๆเป็นแน่ อีกทั้งท่านชีวินก็คงไม่ยอมให้องค์ชายสนธยาต้องทรงล้มหมอนนอนเสื่อเป็นเวลานานๆเช่นกัน พระองค์เสด็จไปเสวยเถอะเพคะ เสวยผิดเวลาจะประชวรไปอีกองค์” ถูกต้อนเสียจนมุมเช่นนี้ องค์ชายเตชินทร์จึงได้แต่ยอมล่าถอยจากไป หากแต่ไม่วายเหลือบเนตรไปทางคนป่วยที่ยังนั่งซุกองค์อยู่ในผ้านวมหนา


“หายไวๆล่ะ ท่านสน” องค์ชายสนธยานิ่งไปเล็กน้อย ด้วยเพราะกระแสเสียงที่อีกฝ่ายส่งมานั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความห่วงใยเป็นอย่างยิ่ง องค์ชายจากเกาะสมุทราได้แต่แย้มยิ้มบางเบาส่งกลับไป


“ขอบคุณ”


“แล้วเราจะแวะไปเยี่ยมที่ห้อง”


“องค์เตช” คุณท้าวเอิบปรามเสียงเข้ม ราวกับจะบอกเป็นความนัยว่าห้ามพระองค์เสด็จไปเตร็ดเตร่ที่ห้องบรรทมขององค์ชายสนธยาเป็นอันขาด ทว่าองค์ชายเตชินทร์แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินแล้วรีบเสด็จออกไปทันที คุณท้าวเอิบได้แต่มองตามแล้วถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนที่องค์ชายผู้เติบใหญ่ของนางกลับทำองค์ราวกับเด็กอย่างไรอย่างนั้น


“องค์ชายสนธยาอย่าทรงยอมให้องค์เตชเสด็จเข้าห้องนะเพคะ ประเดี๋ยวจะติดหวัดกันไปหมด” เพราะรู้ดีว่ากำชับกับองค์ชายเตชินทร์ไม่ได้แน่แล้ว คุณท้าวเอิบจึงหันมากำชับองค์ชายสนธยาแทน


“เราจะให้ชีวินเฝ้าประตูอย่างดี” สนธยาตอบพร้อมรอยยิ้มบาง คุณท้าวร่างอวบอ้าปากจะทูลว่าการเฝ้าประตูไม่ได้อะไร หากแต่เพราะรู้ว่าแม้จะให้ทหารเฝ้าหน้าต่างระเบียงทั้งหมด องค์ชายผู้นั้นก็คงจะปีนเข้าทางฝ้าเพดานเป็นแน่แท้ เมื่อคิดได้เช่นนั้น นางจึงได้แต่หุบปากเงียบ


…เห็นที…ถ้าไม่อยากให้องค์เตชเสด็จไปเยี่ยมไข้คนป่วย นางคงต้องไปนอนเฝ้าองค์ชายของนางที่ห้องบรรทมกระมัง!!...


……………………………………….


องค์ชายสนธยาเสด็จเข้าบรรทมไปแล้วเรียบร้อย หลังจากเช็ดพระวรกายด้วยผ้าเนื้อนุ่มชุบน้ำอุ่นบิดหมาด เปลี่ยนฉลองพระองค์เสียใหม่ และเสวยโอสถที่หมอหลวงทำถวาย ในขณะที่ชีวินผู้มีหน้าที่ถวายการอารักขาตลอดเวลายังเดินเตร่ไปมาในห้องบรรทมกว้างขวางเพื่อตรวจตรากลอนหน้าต่างทุกบาน ก่อนที่ตนจะออกจากหน้าที่ในยามค่อนคืนเพื่อไปพักผ่อน


ทว่า…ไม่ทันที่ชีวินจะตรวจกลอนหน้าต่างบานสุดท้ายเรียบร้อย เสียงกระซิบกระซาบจากนอกห้องก็ดังขึ้นให้บุรุษร่างสูงโปร่งผู้มาจากเกาะแดนใต้อย่างสมุทราต้องหันมองไปยังประตูบานกว้างเพียงหนึ่งเดียวของห้อง


ชีวินจ้องมองบานประตูอย่างไม่วางใจ แม้ที่ตำหนักอิฐแห่งนี้จะมีนายทหารเวรยามคอยอารักขาตลอดทั้งกลางวันกลางคืน แต่ขึ้นชื่อว่าต่างแดนแล้วก็คือต่างแดน ที่นี่ไม่ใช่สมุทรา หากมีอะไรเกิดขึ้น คงเรียกร้องหาความรับผิดชอบใดๆไม่ได้


เขาจ้องบานประตูอยู่ครู่หนึ่ง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นเบาๆ พร้อมกับเสียงทุ้มที่ลอดผ่านบานประตูเข้ามา


“ท่านสน…ท่านสน…เข้านอนหรือยัง…”


ชีวินเลิกคิ้วน้อยๆ เมื่อนึกรู้ว่าเจ้าของเสียงคือใคร ชายหนุ่มเดินตรงไปที่ประตู ก่อนจะเปิดมันออกแล้วค้อมกายคำนับบุรุษร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่เบื้องหน้า


“อ้าว! ท่านชีวิน…”


บุรุษผู้มาเยือนในยามวิกาลเช่นนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน ถ้าไม่ใช่องค์ชายเตชินทร์ผู้เป็นเจ้าของตำหนัก พักตร์คมนั้นมีร่องรอยของความเสียดายเล็กน้อยที่ผู้เปิดประตูคือองครักษ์แห่งสมุทรา


“องค์ชายเตชินทร์มีประสงค์สิ่งใดหรือพระเจ้าค่ะ” องค์ชายหนุ่มเหลือบเนตรเข้าไปในห้องที่มีเพียงแสงเทียนสลัว ร่างบนเตียงกว้างนั้นนอนนิ่งอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนา บอกให้รู้ว่าเจ้าของห้องเข้าสู่นิทราไปแล้ว


“องค์ชายสนธยาบรรทมแล้วหรือ” องค์ชายเตชินทร์มีรับสั่งเสียงเบาด้วยเพราะเกรงว่าเสียงของพระองค์จะดังเข้าไปรบกวนคนที่กำลังพักผ่อนเนื่องจากฤทธิ์หวัด


“พระเจ้าค่ะ” ชีวินตอบกลับเสียงเบาไม่ต่างกัน


“อย่างนั้นหรือ แล้วเขาเป็นอย่างไรบ้าง ดีขึ้นบ้างไหม” คนเป็นองครักษ์เหลือบตามององค์ชายหนุ่มเจ้าของคำถามด้วยแววตาเคลือบแคลง


…ไม่ใช่เชษฐาร่วมสายโลหิต ไม่ใช่ประชาชนร่วมแผ่นดิน…เหตุใดองค์ชายเตชินทร์จึงห่วงใยองค์ชายสนธยาเช่นนี้…


“องค์ชายสนธยาเสวยโอสถแล้วพระเจ้าค่ะ หมอหลวงบอกว่า 2-3 วันก็หายเป็นปกติ หากทรงพักผ่อนเพียงพอ” แม้จะสงสัยในองค์ชายเบื้องหน้า แต่ชีวินก็ทูลตอบอย่างมีมารยาท


“อย่างนั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นตั้งแต่พรุ่งนี้ไปจนกว่าจะหายดี ไม่ต้องให้เขาลงไปที่บ่อหอยมุกหรอก”


“รับด้วยเกล้า”


“แล้วพรุ่งนี้เราจะแวะมาดูอีกรอบ”


“องค์ชาย” ดูเหมือนองค์ชายเตชินทร์จะพึ่งรู้องค์ก็เมื่อตอนที่ชีวินเรียกด้วยน้ำเสียงเรียบ หากแต่ดวงตาสีน้ำตาลบนใบหน้าขาวนั้นจับจ้องพระองค์อย่างจริงจังและแน่วแน่ ชีวินไม่เข้าใจการกระทำขององค์ชายแห่งอนันตราช


เขาไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงเข้ามาป้วนเปี้ยนรอบกายองค์ชายของตน เขาไม่เข้าใจ…ไม่เข้าใจว่าเหตุใดองค์ชายสนธยาจึงต้องประทับอยู่ที่นี่ด้วยเหตุที่ว่า ‘เป็นคนเลี้ยงหอย’ ราชอาณาจักรอนันตราชต้องการคนเลี้ยงหอยมากถึงขั้นแต่งตั้งองค์ชายจากต่างแดนมาทำหน้าที่นี้เลยหรือ?...มองอย่างไรก็ไม่น่าเชื่อสักนิดว่าจะมีเจตนาดี


“แม้กระหม่อมจะมีเพียงแค่สองมือ แต่กระหม่อมจะไม่ยอมให้ใครหรืออะไรก็ตาม ทำร้ายองค์ชายสนธยา” ความมั่นคงที่ถ่ายทอดออกมาจากน้ำเสียงและแววตานั้น ทำเอาองค์ชายเตชินทร์ต้องแย้มสรวลบาง


“ของเจ้ามีสองมือใช่ไหม ของเราก็มีสองมือเช่นกัน” ว่าแล้วพระองค์ก็ยื่นหัตถ์ออกมาเบื้องหน้า ชีวินขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยเพราะไม่เข้าใจ หากแต่ไม่ต้องทูลถาม องค์ชายเตชินทร์ก็ตรัสเสริม “…เพราะฉะนั้น…ก็มีถึงสี่มือแล้ว”


“สี่มือ?...”


“ใช่” องค์ชายหนุ่มแห่งราชสำนักอนันตราชตรัสสั้นหากแต่แฝงด้วยความมั่นคงเต็มเปี่ยม


“…ไม่ได้มีแค่เจ้าที่อยากปกป้องเขา เราเอง ก็ต้องการปกป้องเขาเช่นกัน”


“พระองค์จะทรงปกป้ององค์ชายสนธยาทำไม พระองค์เป็นองค์ชายของอนันตราช องค์ชายสนธยาเป็นองค์ชายของสมุทรา ไม่มีส่วนใดเกี่ยวข้องกัน”


“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับอนันตราชหรือสมุทรา” องค์ชายเตชินทร์ตรัสพร้อมรอยยิ้มบาง


“…เรื่องนี้เกี่ยวกับเราที่ชื่อเตชินทร์ และเขา…ที่ชื่อสนธยา”


“พระองค์หมายความเช่นไร”


“เจ้าเป็นคนฉลาดชีวิน เราไม่ต้องตอบ เจ้าก็คาดเดาได้ องค์ชายของเจ้าต่างหาก ที่แม้จะให้เราแสดงออกสักร้อยครั้ง เขาก็เป็นคนเข้าใจยาก โดยเฉพาะ…เรื่องของตัวเขาเอง” องค์ชายเตชินทร์ตรัสแล้วแย้มยิ้มบางบนพักตร์ “แต่ไม่เป็นไร… เราเป็นชอบแสดงออกบ่อยๆ จะสักร้อยครั้ง พันครั้ง หมื่นครั้ง หรือให้เป็นล้านครั้ง ถ้าอีกฝ่ายคือสนธยา…เราก็ยินดี” องค์ชายแห่งอนันตราชตรัสสำทับด้วยน้ำเสียงอิ่มเอมในอก ก่อนจะหมุนวรกายเสด็จออกจากหน้าประตูนั้น


ยามนี้…คนรอบข้างเข้าใจความรู้สึกอันแสนแจ่มชัดของพระองค์หมดแล้ว จะเหลือก็เพียงองค์ชายสนธยา…แต่เอาเถอะ…สนธยาต้องการเวลา และเวลาเท่านั้น ที่จะช่วยให้ทุกอย่างคลี่คลาย เวลา…จะทำให้ทุกอย่างกลายเป็นความคุ้นเคย


และเมื่อถึงเวลา…พระองค์จะตรัสความในหทัยให้องค์ชายสนธยารับรู้ด้วยพระองค์เอง

……………………………….

ร่างบอบบางของสตรีสูงศักดิ์แห่งสมุทรากำลังเดินวนไปมาในห้องด้วยความอัดอั้นตันใจ


…เมื่อเช้า…องค์ราชินีวารีวาททรงเรียกประชุมขุนนางนายทหารทั้งหมดในโถง พร้อมด้วยโอรสและธิดาทั้งสี่ เพื่อประกาศแต่งตั้งท่านนายพลชลเทพขึ้นมารับตำแหน่งแม่ทัพคุมกองทัพเรือแทนโอรสองค์โตอย่างองค์ชายสนธยาที่จากไปยังแดนไกลเพื่อนำขบวนบรรณาการไปถวายยังอนันตราช…


…ใช่!! เสด็จแม่แต่งตั้งนายพลเฒ่าขึ้นมาคุมทัพเรือ!! แทนที่จะเป็นธิดาองค์โตผู้มีสิทธิ์สืบสันตติวงศ์อย่างองค์หญิงอรุณา!!!!...


เพล้ง!!!! เรียวแขนเล็กกวาดเครื่องประทินผิวบนโต๊ะลงพื้นจนแตกกระจายด้วยความโมโห ยิ่งดำริเรื่องราวที่เกิดขึ้น พระองค์ก็ยิ่งอาฆาตพยาบาท


…เพราะอะไร!! เพราะอะไรทำไมถึงไม่เป็นพระองค์!! ทำไมคนที่ได้คุมทัพเรือถึงไม่เป็นพระองค์!!!...


“อย่าทรงกริ้วไปเลยเพคะ ตาเฒ่านั่นไม่รู้จะมีอายุอยู่ได้ถึงปีไหม อีกไม่นานทัพเรือก็ต้องเป็นของพระองค์ ไม่สิ! ทั้งราชบัลลังก์ต่างหาก” เสียงของหญิงวัยปลายผู้ชุบเลี้ยงมาแต่อ้อนแต่ออกทำเอาองค์หญิงอรุณาต้องเหลือบเนตรขุ่นขลั่กกลับไป


“เจ้ายังคิดว่าข้าจะได้บัลลังก์อีกหรือ?!!! สนธยาพาขบวนบรรณาการสิ้นคิดไปถึงอนันตราช! แต่พวกนั้นกลับปล่อยให้ทั้งสนธยาและไอ้หอยบ้านั่นยังมีชีวิตอยู่!! น่าโมโหที่สุด!!” กำหัตถ์เล็กทุบปึง!ลงบนโต๊ะกระจก ดวงเนตรที่สะท้อนอยู่บนกระจกบานใหญ่นั้นบอกให้รู้ว่าองค์หญิงอรุณาอยู่ในภาวะแค้นอาฆาตเพียงใด


…คนที่ควรจะตายกลับไม่ตาย! คนที่ควรจะได้ครองอำนาจกลับไม่ได้ครองอำนาจ!! สวรรค์เล่นตลกอย่างนั้นหรือไร!! เหตุใดถึงปล่อยให้หอกข้างแคร่ที่ควรจะสิ้นชีพอย่างสนธยาถึงยังมีชีวิตอยู่!! แล้วเหตุใดทัพเรือของสมุทราถึงไม่ตกมาถึงอุ้งหัตถ์ของพระองค์เสียที!!!!...


“ในเมื่อพึ่งอนันตราชไม่ได้ ข้าก็ต้องพึ่งตัวเอง…” องค์หญิงแห่งราชสำนักสมุทราฉายแววมาดร้ายบนพักตร์งาม ยามดำริถึงผู้ร่วมสายโลหิตที่บัดนี้แม้จะจากสมุทราไปยังแดนไกล แต่ก็ราวกับยังประทับอยู่ที่นี่ เพราะทุกลมหายใจของเสด็จแม่ยังคงหวนคำนึงถึงองค์ชายสนธยาและไม่เผื่อแผ่ความเมตตามาที่องค์หญิงอรุณาผู้ที่ควรจะขึ้นครองบัลลังก์ต่อไป!!!


องค์หญิงอรุณาเหลียวพักตร์กลับไปยังคุณท้าวร่างผอมผู้มีใบหน้าแหลมยาวซึ่งถวายการเลี้ยงดูพระองค์มาตั้งแต่เยาว์จนเติบใหญ่


คุณท้าวสุภาผู้เคียงข้างพระองค์ทุกเวลา และการคงอยู่ของคุณท้าวจนถึงทุกวันนี้ก็เป็นกลายเป็นความเย่อหยิ่งจองหองให้แก่พระองค์เสมอมา เพราะคุณท้าวอีกคนที่เลี้ยงดูสนธยานั้นด่วนจากไปตั้งแต่สนธยายังเล็ก และเสด็จแม่ก็ยุ่งเกินกว่าจะหันมาดูแล สนธยาเติบโตขึ้นมากับความโดดเดี่ยว ไม่มีมารดาเลี้ยงคอยดูแล ไม่มีคนเอาใจใส่อย่างที่พระองค์มี


ทว่า…เวลานี้…เวลานี้สนธยาที่เติบโตมากพอจนความโดดเดี่ยวในวัยเยาว์กลายเป็นแค่เรื่องราวในอดีต และปัจจุบันกับภายภาคหน้า สนธยากำลังจะได้ในสิ่งที่อรุณาไม่มีวันเอื้อมถึง


…ราชบัลลังก์สมุทรา!!!!!!....


…ไม่มีวัน! บัลลังก์สมุทราต้องเป็นของพระองค์!! บัลลังก์สมุทราต้องเป็นองค์หญิงอรุณาผู้นี้! ไม่ใช่องค์ชาย!!!


“ส่งคนไปที่อนันตราช แล้วทำอย่างไรก็ได้ให้องค์ชายที่ชื่อสนธยาดับสิ้นไปจากแผ่นดิน!!!!!!”


ในเมื่อสวรรค์กลั่นแกล้งให้สนธยาอยู่ค้ำฟ้าค้ำแผ่นดินให้พระองค์หมองหทัย พระองค์ก็จะฝืนอำนาจสวรรค์แล้วฟาดฟันคนค้ำฟ้าค้ำแผ่นดินด้วยมือของพระองค์เอง!!! แม้คนผู้นั้นจะเป็นพี่ชายร่วมสายเลือดก็ตาม!!!


ติดตามตอนต่อไป (เสาร์หน้าค่ะ)

   ชอบองค์เตชชชชชชช…
   รู้สึกว่าเป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์จัง เจ้าเล่ห์นิดๆ ชอบยิ้มบ่อยๆ เวลาบัวพิมพ์เรื่องนี้ พอถึงฉากที่องค์เตชออกมา บัวมักจะรู้สึกเขินๆยังไงไม่รู้อ่ะ (เขินทำไม???) เพราะงั้น ถึงได้ให้สมิตเข้ามามีบทบาทอยู่เรื่อยๆ เพื่อไม่ให้บัวเขินองค์เตชมากเกินไปนั่นเองค่ะ ฮ่าฮ่า
   ส่วนองค์สน ปล่อยเขาเลี้ยงหอยไปสักพัก อิอิ
   
   ยังไงก็ฝากเรื่องนี้ด้วยนะคะ
   ขอบคุณคนอ่าน คนเม้นท์ คนติดตาม ทุกกำลังใจ และพื้นที่บอร์ดค่ะ
   เจอกันเสาร์หน้าจ้า
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 3)...อัพ 22/06
เริ่มหัวข้อโดย: SenzaAmore ที่ 22-06-2013 22:01:58
 :m20: ตลกอ่ะ กร้ากกก--ทำองค์ให้กระฉับกระเฉงดูเหมือนกำลังเลี้ยงหอยหน่อยสิพระเจ้าค่ะ--ไอ้ท่าทางที่เหมือนกำลัง"เลี้ยงหอย"นี่ทำยังไงอ่ะ555


ฮามาก มีการวิจารณ์ว่ากลัวคนขโมยหอย 555
แถมนายเอกยังจะพูด  “องค์ชายแห่งอนันตราชนี่เพี้ยนบรรลัย ดูท่าจะชอบหอยกันทุกคน”กลายเป็น 'องค์ชายบ้าหอย'5555  :laugh:

น้องสาวนายเอกน่ากลัวจังงง องค์เตชปกป้อง องค์สนน้าาาา  :hao6:

มาต่อเร็วๆน้าาา :mew1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 3)...อัพ 22/06
เริ่มหัวข้อโดย: sine_saki ที่ 22-06-2013 22:20:23
อุแหม่ ท่าจะเกิดศึกชิงบัลลังก์เสียแล้ว
ชอบฉากทีชีวินสนทนากับองค์เตชจัง ที่มีสี่มือที่อยากปกป้ององค์สน แล้วสารภาพอย่างตรงไปตรงมาว่าชอบองค์สน
แอร้ย อยากมีแบบนี้สักคนจัง
รอวันเสาร์หน้าค่ะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 3)...อัพ 22/06
เริ่มหัวข้อโดย: Lily teddy ที่ 22-06-2013 22:25:59
ช้อบ ชอบเรื่องนี้อ่านแล้วเพลินจนไม่อยากให้จบเลยอะ อีกทีต้องรอเสาร์หน้าแน่ะ  :ling3:
วันนี้ท่านเตชไม่มีโอกาสเข้าหาท่านสนเลยน่าสงสาร อุตสาห์คิดแผนสารพัด
แถมเปิดใจกับชีวินว่าจะปกป้องท่านสนด้วย   :-[ อ่านแล้วเขินอะ
น่าสงสารท่านสนกับหน้าที่คนเลี้ยงหอยที่นอนนิ่งในน้ำจะให้ออกท่ากระฉับกระเฉงยังไงล่ะเนี่ย  :m20:
เรื่องรักก็น่ารัก แต่เรื่องชิงอำนาจนี่ก็น่ากลัว องค์ชายเจษฏานี่ดีรึป่าวก็ไม่รู้
รอติดตามจ้า แค่เสาร์หน้าเองเนอะ  :เศร้า2:  เป็นกำลังใจให้ผู้เขียนจ้า  :mew1:  :pig4:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 3)...อัพ 22/06
เริ่มหัวข้อโดย: wnkth ที่ 22-06-2013 22:32:26
 :mew1: น่าติดตาม ตอนหน้าเอายาวๆเลยนะครับ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 3)...อัพ 22/06
เริ่มหัวข้อโดย: duck-ya ที่ 22-06-2013 22:45:52
สนุกมากๆ
ขนาดอยู่กันต่างเมืองยังไม่เว้นเลย
นั่นพี่น้องเธอน้าาาา
 :mew5:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 3)...อัพ 22/06
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 22-06-2013 23:17:34
ชอบองค์เตชเหมือนกันค่ะ คนอะไรรักจนล้นอกทั้งพูดทั้งแสดงออก แทบจะป่าวประกาศให้คนทั้งโลกรู้
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 3)...อัพ 22/06
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 22-06-2013 23:41:05
กรี๊ดดด
ทำไมเราเพิ่งเห็นเรื่องนี้ของคุณบัวว แอร๊ยย
ฮามากอะ ตลกที่สุด อ่านไปหัวเราะไป
องค์ชายบ้าหอย กร๊ากกกกก
รอตอนต่อไปนะคะ อุอิ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 3)...อัพ 22/06
เริ่มหัวข้อโดย: aorpp ที่ 23-06-2013 02:27:59
มาติดตามเรื่องใหม่ของน้องบัวค่ะ
ยัยอรุณาโหดแท้ๆ ทำได้แม้แต่พี่ชายของตัวเอง
หวังว่าองค์ชายเตชินทร์จะปกป้ององค์ชายสนธยาให้ปลอดภัยได้
+1 บวกๆคะแนนชื่นชมค่ะ   :กอด1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 3)...อัพ 22/06
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 23-06-2013 07:29:19
องค์ชายผู้เลี้ยงหอย :m20:
อ่านแล้วอมยิ้มขำจริงด้วยค่ะ องค์เตชก็มั่นคงดีจริงๆ ขอให้องค์สนรู้ตัวเร็วๆ :impress2:
อย่ามัวแต่เลี้ยงหอยจนเพลินล่ะ :jul3:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 3)...อัพ 22/06
เริ่มหัวข้อโดย: FlOriN ที่ 23-06-2013 11:19:04
อ่านไปยิ้มไป><
องค์สนน่ารักอ่า แอบฮาด้วยนะ อิอิ

องค์เตชอบอุ่นมาก ชอบบบ
แบบเป็นห่วงเป็นใยองค์สนสุดๆ

ส่วนอรุณา เธอร้ายมาก ภาวนาไม่ให้เกิดอะไรกะองค์สน
รอเสาร์หน้าค้าบบบ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 3)...อัพ 22/06
เริ่มหัวข้อโดย: justlove ที่ 23-06-2013 12:08:52
 :mew1: :katai2-1:    มาตอกบัตรอ่านเรื่องใหม่  ตามอ่านจากชื่อคนเขียนเรื่องจอมร้าย

เอาใจช่วยเจ้าชายคนเลี้ยงหอย จะปรับตัวปรับใจได้เร็วม๊าย จากเดิมมีสนมเป็นร้อย ต้องเปลี่ยนมาเป็นชายาแทน :mew4:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 3)...อัพ 22/06
เริ่มหัวข้อโดย: Ali$a฿eth ที่ 23-06-2013 15:12:31
มาขอติดตามใหม่อีกคนพิมเม้นไม่ถนัดเลยในมือถือ

เดี๋ยวไปแก้ในคอม

เอาเป็ดเอาบวกไปเป็นกำลังใจก่อนน๊า :mew1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 3)...อัพ 22/06
เริ่มหัวข้อโดย: lovelymoo ที่ 23-06-2013 17:28:33
สนธยา ฮามากกกกกกกก คิดได้ไงเนี่ยว่าบ้าหอยกัน 55555

แต่ท่านเตชเนี่ยน่ารักจังแหะ อยากรู้เรื่องว่าไปตกหลุมรักสนได้ยังไงจริงๆน้า   :z2:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 3)...อัพ 22/06
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 23-06-2013 18:19:25
เอิ่ม คุนน้องสาวของท่านสนนี่โรคจิตอ่อน แล้วใช่ป่ะ

แต่องค์เตชนี่มาดนิ่ง แต่กินขาดจร้า อ่านไป ยิ้มไป
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 3)...อัพ 22/06
เริ่มหัวข้อโดย: Gokusan ที่ 24-06-2013 13:29:36
เออนะ จะเอาอะไรกับองค์ชายที่มีสนมนับร้อย
ไม่เข้าใจหรอกน่า...ว่าเวลาโดนจีบเป็นยังไง ^^"
ได้แต่เอาใจช่วยให้องค์เตชแสดงออกจนอีกคนรับรู้ หุหุ

ทีนี้...เมื่อสารภาพความรู้สึก
องครักษ์ต่างเมืองคงรู้แล้วว่าต้องทำตัวอย่างไร ^^
คอยแอบช่วยองค์ชายเจ้าเมืองจะดีกว่าเนอะ

อยากบอกเจ้าหญิงรัชทายาทว่า...
ก็เพราะนิสัยแบบนี้ยังไงล่ะ ท่านแม่ถึงไม่ยกเมืองให้
จะให้อยากได้แค่ไหน เป็นรัชทายาทยังไง...เรื่องสมบัติมันเปลี่ยนกันได้
ต่อให้ไม่มีองค์ชายสนธยา...ถ้านิสัยยังเป็นแบบนี้อยู่ ยังไงท่านแม่ก็ตั้งคนอื่นขึ้นมาได้อีกอยู่ดี

เอาใจช่วยให้คนอาศัยต่างบ้านต่างเมืองอยู่ดีมีสุข
เพราะเจ้าบ้านแต่ละคนก็ดูสมัครใจจะให้อยู่ด้วยไปนานๆ นะ

ปล.แอบชอบองค์ชายผู้พี่...ดูเฉลียวใจในการมาเยือนกับของบรรณาการ ^^
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 3)...อัพ 22/06
เริ่มหัวข้อโดย: sam3sam ที่ 24-06-2013 18:13:31
ท่าทางคนโดนจีบจะรู้สึกตัวยากนะ
เอาใจช่วยองค์เตชจ้า :L2:
น้องท่านสนนี่ก็เกินจะรับไหวจริงๆ
แม้แต่พี่ชายตัวเองก็ยังคิดฆ่าแกงกันได้ลงคอ :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 3)...อัพ 22/06
เริ่มหัวข้อโดย: Fate ที่ 28-06-2013 19:19:00
ตามมาจากจอมร้ายค่ะ  :katai5:
เรื่องนี้มาเป็นแนวราชนิกูล ...แนวโปรด
แต่ไม่นึกว่าจะมาขำขนาดนี้ ฮ่าๆ
ขำไม่หาย...หอยคู่บ้าน คู่เมือง องค์สนช่างปราดเปรื่อง  o13

ส่วนองค์เตช แหม่ พระองค์ทรงรุกมากเลยนะเพคะ ทั้งตำหนัก ยกเว้น องค์สน คงไม่มีใครไม่รู้เหตุผลในการเลี้ยงหอยแล้วมังคะ
เป็นเรื่องที่องค์ชายรุกเร็วมากจริงๆ เร็วจนหม่อมฉันงง
นี่ขนาดทรงประกาศให้องครักษ์รู้เลย นับถือองค์เตช ทรงพระปรีชาจริงๆ ฮ่าๆ   :katai2-1:

รอตอนต่อไปอยู่นะคะ แหะๆ

หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 3)...อัพ 22/06
เริ่มหัวข้อโดย: Cacao ที่ 28-06-2013 21:31:23
องค์สนน่าร๊าก กริ๊บกริ้ว ก๊าวใจหม่อมชั้นเหลือเกินเพคะ แต่เจอแบบองค์เตชเข้าไป ไม่รักเห็นจะไม่ได้ หี่หี่
ชอบตอนองค์เตชสารภาพกับชีวินว่ากำลังมีใจให้กับองค์สนอยู่ คือแบบ โอ้ยยยยยยยย >/////<  ทรงพระน่ารักมาก
หม่อมฉันเขินพระองค์ ทู เดอะแมกซ์เพคะ บ่องตงเลย หอยสื่อรักจริงๆเลย อิอิ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 3)...อัพ 22/06
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 28-06-2013 23:02:36
โอย ฮาได้ใจค่ะคุณบัว ^^ ไอ้หอยคู่บ้านคู่เมืองนี่มันต้องอายุยืนหมื่นๆปีแน่นอน!
ส่วนองค์เจษก็สมแล้วกับตำแหน่งรัชทายาทอันดับหนึ่ง ที่จับได้ว่ามันจะมีเหตุผล
อะไรที่ทำให้องค์สนต้องตามมาเลี้ยงหอย!!

ส่วนองค์เตชก็ออกนอกหน้าไปนี๊ด ^^ แต่ก็ชอบค่ะ 555 น่ารักดี ^^
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 3)...อัพ 22/06
เริ่มหัวข้อโดย: kny ที่ 29-06-2013 15:36:36
 :hao6:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 3)...อัพ 22/06
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 29-06-2013 16:13:14
มานอนรออ

 :katai3:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 3)...อัพ 22/06
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 29-06-2013 16:38:00
องค์เตชช่างทำตัวได้น่ารักมากจะคอยปกป้ององค์ชายสนธยา
มีคนสั่งฆ่าท่านสน องค์เตชได้ออกโรงปกป้องแน่
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 3)...อัพ 22/06
เริ่มหัวข้อโดย: EverGreen™ ที่ 30-06-2013 00:24:27
องค์เตชน่ารัก

 :laugh:

องค์เตชสู้ๆ  :ped149:

พระน้องสาวทรงร้ายมากอะะะะ
ห้ามทำอะไรองค์สนนะ!!!  :katai4:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 3)...อัพ 22/06
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 30-06-2013 02:30:47
ทำไมเพิ่งเห็น  :-[ องสนน่ารักมาก ไร้เดียงสา ตลกตรงที่คิดว่าองค์ชายที่นี่เพี้ยน ชอบหอยอ่ะ  :hao6:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 3)...อัพ 22/06
เริ่มหัวข้อโดย: MinKKniM ที่ 30-06-2013 07:43:57
ชอบบบบบ ฮามากกกก องค์สนคนเลี้ยงหอยน่ารักเนอะองค์เตชเนอะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 3)...อัพ 22/06
เริ่มหัวข้อโดย: FlOriN ที่ 30-06-2013 22:07:06
มารอองค์สนกะองค์เตช ><
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 3)...อัพ 22/06
เริ่มหัวข้อโดย: Anyann ที่ 01-07-2013 15:17:03
องค์เตชน่ารัก ที่เปิดเผยความรู้สึกให้คนรอบข้างรู้เพราะจะให้เขามาเป็นพวกใช่มั๊ย 5555

เมื่อไหร่องค์สนจะรู้เรื่องสักทีน้า อยากเห็นองค์สนเขิน กิ้วววว
หัวข้อ: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 4)...อัพ 1/07
เริ่มหัวข้อโดย: Dezair ที่ 01-07-2013 20:44:47
NOV: ด้วยพันธะบรรณาการ
By: Dezair
……………………..
บทที่ 4

องค์ชายสนธยาทอดเนตรน้ำสีดำในถ้วยกระเบื้องเล็กๆซึ่งถูกส่งใส่หัตถ์นับตั้งแต่ตื่นบรรทม ก่อนที่พระองค์จะเหลือบเนตรขึ้นมองหญิงร่างอวบที่ยืนกำกับอยู่ข้างเตียง


“อีกกรึ้บเดียวเพคะ อีกกรึ้บเดียว”


…อีกกรึ้บเดียวจอดน่ะสิไม่ว่า…แค่เห็นสียาก็รู้แล้วว่าขมจนลืมตาไม่ขึ้น!!…


องค์ชายหนุ่มแห่งสมุทราได้แต่ก้มลงจับจ้องยาสีดำนั่นอีกครั้ง แม้จะนึกเกลียดโอสถรสขมเสียจนไม่อยากแตะต้อง แต่เพราะตอนนี้อยู่ต่างบ้านต่างเมือง จะทำองค์อ่อนแองอแงงี่เง่าไม่ดื่มยาเพียงเพราะเหตุผลว่า ‘ขม’ ก็ดูจะทุเรศไปหน่อย แค่ส่งบรรณาการเป็นหอยแก่งั่กมาตัวเดียวก็แทบจะกลายเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้อนันตราชอยู่แล้ว อย่าให้พระองค์ต้องสร้างประวัติศาสตร์อีกรอบด้วยการเป็นอาคันตุกะจากต่างแดนที่ดื้อด้านเรื่องกินยาเลย!


เมื่อคิดได้เช่นนั้น องค์ชายหนุ่มแห่งราชสำนักสมุทราก็ยกถ้วยกระเบื้องในมือขึ้นกระดกโอสถสีดำสนิทเข้าโอษฐ์อย่างรวดเร็ว รสขมแปร่งแผ่ซ่านไปทั้งลิ้น ก่อนจะผ่านลงสู่ลำคอและมันทำเอาร้อนวาบเสียจนแทบไม่อยากหายใจ


“องค์ชาย! ทรงพระปรีชาเหลือเกิน!! ขนาดองค์เตชยังต้องทรงยกจิบตั้งหลายรอบกว่าจะหมด แต่นี่พระองค์ทรงยกครั้งเดียวหมดเลย เยี่ยมมากเพคะ” คุณท้าวเอิบรับถ้วยกระเบื้องคืน ในขณะที่ริมฝีปากที่ถูกแต่งแต้มด้วยสีแดงอ่อนๆก็ขยับเอื้อนเอ่ยชมเชยองค์ชายหนุ่มไม่หยุด


“จิบหลายรอบ? หมายความว่ายานี่ ไม่ต้องดื่มทีเดียวหมดก็ได้เหรอ” สนธยาถาม


“เพคะ”


“อ้าว!!! แล้วเมื่อกี้บอกเราว่ากรึ้บเดียว!”


“แหม ก็นึกว่าพระองค์จะทรงเล่นแง่แบบองค์เตช แต่ที่ไหนได้ พระปรีชามากล้น!” คุณท้าวเอิบยังดูร่าเริงที่สามารถทำให้องค์ชายสนธยาทรงยกยาขึ้นกระดกเพียงรวดเดียวโดยไม่ต้องให้นางชักแม่น้ำมาหว่านล้อม แต่สำหรับคนที่ยกยาขึ้นกระดกรวดเดียวนี่สิ…รสขมยังติดลิ้นเสียจนไม่อยากจะพูดอะไรทั้งๆที่ในใจนึกขุ่นแทบตาย!


…กรึ้บเดียว! กรึ้บเดียว!! เชื่อไม่ได้!!!!...


“วันนี้ไม่มีไข้แล้ว พรุ่งนี้คงไม่ต้องเสวยโอสถอีก แต่เห็นหมอหลวงว่าจะจัดโอสถสำหรับบำรุงกำลังให้แทนนะเพคะ” คุณท้าวเอิบทูลอีกรอบ ก่อนจะหันไปสั่งกับนางกำนัลที่ยืนอยู่ด้านหลัง


 “ไปยกสำรับมาถวายองค์ชายสนธยาในห้องบรรทมไป”


“เราลงไปทานข้างล่างเองดีกว่า อยู่บนเตียงอย่างนี้อุดอู้เต็มแก่ อยากลุกอยากเดินบ้าง”


เพราะถูกขังอยู่ในห้องบรรทมด้วยเหตุที่ว่า ‘ป่วย’ เป็นเวลา 5 วันแล้ว วันนี้ที่มีเรี่ยวมีแรงกลับมาและไม่รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวเหมือนเก่า แม้จะยังหายใจลำบากแต่ก็ไม่มีน้ำมูกไหลเยิ้มอีกแล้ว สนธยาจึงหาลู่ทางได้ที่จะได้ออกไปสูดอากาศนอกห้องเสียบ้าง


คุณท้าวเอิบทอดมององค์ชายหนุ่มที่เอ่ยโอษฐ์ขอด้วยความอ่อนใจน้อยๆ หากแต่ดวงเนตรสีน้ำตาลอ่อนขององค์ชายหนุ่มแห่งราชสำนักสมุทรานั้นกลับทำให้ความอ่อนใจกลายเป็นความใจอ่อนได้ในเสี้ยวเวลา


“ก็ได้เพคะ แต่อย่าออกไปนอกตำหนักเชียว ข้างนอกลมยังแรง ประเดี๋ยวไข้จะกลับ”


“เรารู้แล้วว่าลมที่อนันตราชนั้นร้ายกาจ ไม่เอาตัวเข้าไปขวางทางลมอีกแล้ว” องค์ชายสนธยาตรัสอย่างร่าเริง ก่อนจะตวัดผ้าห่มที่คลุมองค์ออก แล้วก้าวลงจากเตียง คุณท้าวเอิบรีบหันไปสั่งนางกำนัลให้หยิบเสื้อคลุมขนสัตว์มาถวายเป็นการด่วน


“อยู่ในตำหนักก็ต้องทำองค์ให้อบอุ่นนะเพคะ” นางว่าอย่างนั้น ซึ่งองค์ชายสนธยาก็ไม่มีโต้แย้งแต่อย่างใด รับเสื้อคลุมมาสวมอย่างไม่มีดื้อรั้น


“เราขอล้างหน้าล้างตาหน่อย แล้วจะลงไปที่ห้องอาหารนะ คุณท้าวล่วงหน้าไปก่อนเถอะ”


หญิงร่างอวบย่อกายลงน้อมรับ ก่อนจะพาขบวนนางกำนัลออกจากห้องไป ทิ้งเอาไว้เพียงองค์ชายสนธยาและชีวินที่ยังยืนอยู่ในห้อง พอพ้นแผ่นหลังนางกำนัลทั้งหมดเท่านั้น องค์ชายหนุ่มแห่งสมุทราก็หันมาทางองครักษ์คู่ใจทันที


“ชีวิน เจ้าไปหาทางออกจากตำหนักให้เราที”


“ทรงจะเสด็จไปดูแลหอยหรือพระเจ้าค่ะ”


“หอย?! จริงสิ! เราป่วยจนลืมหอยไปเลย มันเป็นอย่างไรบ้างล่ะ” พอพูดถึงหอย ก็ดูเหมือนองค์ชายสนธยาจะตระหนักไปถึงเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ที่มาจากสมุทราด้วยกันอย่างหอยมุกตัวเขื่อง


“เห็นว่าองค์ชายเตชินทร์มีรับสั่งให้หมอหลวงจากกรมเกษตรที่เชี่ยวชาญด้านการรักษาสัตว์มาดูแลพระเจ้าค่ะ”


“ดี! จะได้ไม่ลำบากเราอีก”


“แต่ถึงจะมีคนอื่นมาดูแล พระองค์ก็ต้องเสด็จไปที่บ่อหอยบ้างนะพระเจ้าค่ะ มิเช่นนั้นพวกทหารเฝ้าบ่อจะพูดเอาได้ว่าพระองค์ไม่ดูแลเอาใจใส่หอย” องค์ชายสนธยาโบกหัตถ์ไปมาอย่างขอไปที


“รู้แล้วๆ แต่เอาไว้วันอื่นแล้วกัน วันนี้เราอยากไปเที่ยว”


“ทรงจะเสด็จไหนหรือพระเจ้าค่ะ” ชีวินถามอีกครั้ง แม้ใบหน้าขาวจะเรียบเฉย แต่ในดวงตาสีน้ำตาลเข้มนั้นบอกให้รู้ว่ามีแววห่วงใยองค์ชายเหนือหัวของตนเป็นที่สุด


“ไปเที่ยวฉลองหายป่วยน่ะสิ นี่วันที่เจ็ดแล้วนะ ที่เรายังไม่ได้แตะต้องสตรีที่ไหนเลยนับตั้งแต่ออกมาจากสมุทรา ยอมรับตามตรงว่าใช้มือตัวเองจนเบื่อ”


“องค์ชาย” ชีวินได้แต่ปรามด้วยน้ำเสียงระอาใจ องค์ชายสนธยานั้นมีดีหลายอย่าง แต่ที่มีไม่ดีก็ตรงที่พระองค์หมกมุ่นเรื่องสตรีมากเสียจนหากแก่ตัวไป คงถูกเรียกว่า ‘เฒ่าหัวงู’ เป็นแน่แท้ และแน่นอนว่าชีวินไม่อยากเห็นภายภาคหน้าขององค์ชายผู้เป็นดั่งชีวิตของตนต้องถูกครหาเช่นนั้น


“อ้าว! นั่นเจ้าจะไปไหน” องค์ชายสนธยาร้องถาม เมื่อเห็นชีวินหมุนกายหมายจะออกจากห้องโดยที่ยังไม่ยอมน้อมรับคำสั่งพระองค์


“ไปเตรียมฉลองพระองค์ชุดขาวและพานดอกไม้ให้องค์ชายทรงนำไปบูชาเทพเจ้า เนื่องในวโรกาสที่พระองค์หายประชวรเป็นปลิดทิ้ง”


“เราไม่ได้บอกว่าจะไปบูชาเทพเจ้าเสียหน่อย!!”


“ทรงไม่ได้ตรัส แต่กระหม่อมจะเตรียมให้พระเจ้าค่ะ” ชีวินพูดเสียงเรียบอย่างดื้อดึง แล้วหมุนกายออกจากห้องทันที ทำเอาองค์ชายสนธยาผู้ถูกขัดพระทัยได้แต่พ่นปัสสาสะออกมาด้วยความหงุดหงิดเป็นที่สุด


…ชีวินไม่ตามใจเช่นนี้ แล้วใครจะตามใจพระองค์เล่า?!!!...

………………………………


สนธยาเป็นคนติดเที่ยว…ตั้งแต่เกิดและเติบโตในสมุทรา พระองค์ก็ไม่เคยอยู่ติดวัง เพราะชอบลงไปเที่ยวเล่นในเมือง บางคราวก็ออกทะเลไปกับเรือพาณิชย์บ้าง เรือลาดตะเวรบ้าง แล้วแต่ว่าสะดวกอย่างไหนมากกว่า ดังนั้นเมื่อมาอยู่ที่อนันตราชและมีลมหายใจต่ออายุราวโชคช่วย พระองค์ก็นึกอยากออกไปโลดโผนนอกกำแพงวังบ้าง ติดที่ว่ามาอยู่ได้สองวันก็ดันป่วยไข้เสียนี่ กว่าจะฟื้นตัวดีก็ใช้เวลาไปอีก 5 วัน


นับรวมแล้วก็หนึ่งสัปดาห์พอดิบพอดีที่องค์ชายรักสนุกอย่างสนธยาไม่ได้ออกไปเที่ยวเตร่นอกรั้วนอกวังเลย!!


องค์ชายหนุ่มทอดเนตรออกไปยังนอกบานกระจกหน้าต่าง นอกตัวตำหนักเป็นสวนกว้างที่ถูกโอบล้อมอีกชั้นด้วยกำแพงสูงหนา


…นอกกำแพงออกไปคืออาณาเขตของวังหลวงแห่งอนันตราช และนอกวังหลวงของอนันตราชก็คือเมืองหลวงของอนันนตราช! เมืองหลวงที่ได้ชื่อว่าเจริญไม่เป็นสองรองใครในแผ่นดิน!!


…น่าเที่ยวเหลือเกิน! น่าเที่ยวจริงๆ!!!...


…แต่…พระองค์จะเสด็จออกไปได้อย่างไร ในเมื่อไม่มีคนนำทาง ชีวินที่เป็นองครักษ์คู่พระทัยก็แสดงท่าทีชัดเจนว่าต้องการให้พระองค์ไปบูชาเทพเจ้ามากกว่าจะยินยอมนำทางพาพระองค์เสด็จประพาส หากพระองค์จะออกไปเองก็ยากเกินกำลังเพราะไม่รู้ทาง และไม่มีโอกาสได้ออกไปสำรวจเส้นทาง ในเมื่อถูกคุณท้าวเอิบสั่งให้นางกำนัลทั้งหลายคอยติดตามไปทุกที่ ราวกับจะควบคุมให้อยู่แต่ในตำหนักอย่างไรอย่างนั้น!...


…แล้วจะทำยังไงดีล่ะทีนี้! จะทำยังไงถึงจะออกไปเที่ยวในเมืองได้!


ในขณะที่องค์ชายสนธยาแห่งราชสำนักสมุทรากำลังครุ่นคิดหาทางจะออกไปเตร่ในเมือง หากแต่ก็เต็มไปด้วยความสิ้นหวังเนื่องจากผู้ช่วยมือหนึ่งอย่างชีวินนั้นหมายจะพาพระองค์ไปบูชาเทพเจ้าอย่างเดียว ฝ่ายคุณท้าวเอิบที่กำลังควบคุมการจัดวางอาหารของเหล่านางกำนัลก็เหลือบเห็นอากัปกิริยาขององค์ชายหนุ่มที่แม้จะประทับอยู่ที่โต๊ะเสวย แต่สายเนตรกลับทอดเลยออกไปนอกหน้าต่าง พลันนั้น ความสงสารและเอ็นดูก็เกิดขึ้นในอกของนาง


…สงสาร…เพราะนางทูลห้ามไม่ให้ออก องค์ชายก็เลยทำได้เพียงแค่ทอดเนตรออกไปจากทางหน้าต่าง…


…เอ็นดู…เพราะพระองค์ช่างว่านอนสอนง่าย ทูลว่าไม่ให้ออก แม้จะอยากออกเพียงใดก็ยังทำเพียงแค่มองด้วยความอยากเท่านั้น…


คุณท้าวเอิบได้แต่อมยิ้มน้อยๆ ก่อนจะก้าวเข้าไปหาองค์ชายหนุ่มที่ประทับอยู่ที่โต๊ะเสวย


“ตักข้าวเลยไหมเพคะ”


“อืม” องค์ชายจากสมุทราผู้ที่กำลังจดจ่ออยู่กับการ ‘หนี’ ออกไปเที่ยวเตร่ในคืนนี้ได้แต่รับคำเสียงเอื่อย แต่การรับคำเสียงเอื่อยเฉื่อยนั้น ทำเอาคุณท้าวเอิบยิ่งสงสารมากกว่าเก่า จนตัดสินใจเอ่ยปากทูล


“องค์ชายคงอยากเสด็จออกไปนอกตำหนักสินะเพคะ” และคำถามนั้น ทำเอาคนวางแผนเที่ยวถึงกับชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเงยพักตร์ขึ้นส่งยิ้มบางเบาให้คนถาม


“แต่คุณท้าวไม่ให้เราออกไปนอกตำหนักไม่ใช่หรือ”


“หม่อมฉันหวังดีต่อพระองค์นะเพคะ”


“เราเข้าใจ คุณท้าว…เราก็เลยไม่ออกอย่างไรล่ะ”


…ไม่ออกเพราะออกไม่ได้…ลองว่าชีวินร่วมมือด้วย คืนนี้ได้ถึงไหนถึงกันไปแล้ว!...


คุณท้าวเอิบได้แต่ยิ้มบางอย่างชื่นชมด้วยหลงคิดว่าอีกฝ่ายเข้าอกเข้าใจความหวังดีของนาง และเพื่อตอบแทนความเข้าใจที่พระองค์มี นางก็จะช่วยให้พระองค์ได้สมปรารถนาเอง!

…………………………..


“อะไรนะคุณท้าว! องค์ชายสนธยาอยากเสด็จออกไปนอกตำหนักหรือ?! หมายความว่าตำหนักของเราไม่ดีหรือไร?!!”


หลังจากถวายความดูแลองค์ชายสนธยาจนจบมื้อเรียบร้อย คุณท้าวเอิบก็ดั้นด้นมาเข้าเฝ้าองค์ชายเตชินทร์ที่ตำหนักขาวของกรมวังทันที เพื่อทูลความที่นางรับรู้มา


…องค์ชายสนธยาทรงอยากเสด็จออกนอกตำหนัก…


ทว่า…เจ้าของตำหนักอย่างองค์ชายเตชินทร์นั้นกลับดำริไปคนละเรื่อง


“ไม่ได้หมายความเช่นนั้นเพคะ องค์ชายสนธยาเพียงแค่อยากเสด็จประพาสนอกตำหนักเท่านั้น”


“อ้อ…แล้วเขาบอกหรือเปล่าว่าอยากไปเที่ยวที่ไหน” พอรู้ว่าเป็นเพียงแค่อยากออกไปเที่ยว องค์ชายเตชินทร์ก็หายใจคล่องขึ้นกว่าเมื่อครู่เยอะ


“ทรงตรัสว่าอุดอู้ คงแค่อยากเสด็จประพาสนอกตำหนักเท่านั้นเพคะ”


“อืม…แล้วท่านว่าเราควรพาเขาเที่ยวที่ไหนดี”


“เที่ยวชมหอยดีไหมพระเจ้าค่ะ” สมิตที่นั่งทำงานอยู่ไม่ไกลทูลเสนออย่างหวังดี


…เพราะถ้าองค์ชายเตชินทร์เสด็จไปชมหอยมุกกับองค์ชายผู้มาจากสมุทรา ทั้งสองพระองค์คงมีเรื่องได้สนทนากันยาวนานเพราะหนึ่งเป็นผู้มาจากสมุทราที่เชี่ยวชาญเรื่องหอยทะเลเป็นอย่างดี ในขณะที่อีกหนึ่งนั้นคือองค์ชายจากอนันตราชที่ไม่ว่าองค์ชายของสมุทราจะตรัสอะไรมาก็คงตั้งใจฟังอย่างดีเยี่ยม


“สมิต เวลาเจ้าจีบคนที่เจ้าถูกใจ เจ้าใช้วิธีพาไปเที่ยวบ่อหอยอย่างนั้นหรือ?”


“เอ่อ…ไม่เคยหรอกพระเจ้าค่ะ”


“คราวหลังเจ้าก็ทำเสียก่อน! แล้วค่อยมาแนะนำเรา” สมิตได้แต่ก้มหน้างุด ด้วยเพราะชายมากรักอย่างเขาไม่เคยมีบ่อหอยเป็นตัวเลือกในสถานที่พาสตรีไปเกี้ยวพาราสีเลยสักครั้ง


“อังกูร เจ้าว่าเราควรพาเขาไปเที่ยวที่ไหนดี” องค์ชายเตชินทร์หันไปตรัสถามองครักษ์คู่พระทัยอีกคนที่มีคำแนะนำที่ยอดเยี่ยมและรับฟังได้มากกว่า


“องค์ชายสนธยามาจากสมุทรา และก็ไม่เคยเสด็จมาอนันตราชมาก่อน กระหม่อมคิดว่า องค์ชายสนธยาคงจะประสงค์อยากเสด็จดูบ้านเรือน ผู้คนของอนันตราช พาไปประพาสในเมืองก็น่าจะดีพระเจ้าค่ะ”


“จริงด้วยเพคะ องค์ชายสนธยาเคยตรัสกับหม่อมฉันว่าถ้ามีอะไรที่ไม่ถูกไม่ควรในสายตาของหม่อมฉัน ก็ให้สอนพระองค์ได้เลย หม่อมฉันคิดว่าองค์ชายสนธยาน่าจะชอบเรียนรู้และแสวงหาความรู้ใหม่ๆนะเพคะ เพราะฉะนั้น อะไรที่ตื่นตาตื่นใจ หรือเป็นของแปลกสำหรับสมุทราแล้วล่ะก็ องค์ชายสนธยาจะต้องชอบแน่ๆ” คุณท้าวเอิบเสริมอย่างเห็นด้วยกับคำแนะนำของอังกูร


“ถ้าอย่างนั้น วันนี้เราจะพาเขาเข้าไปเที่ยวในเมือง คุณท้าวทำมื้อค่ำเป็นพวกของเบาๆแล้วกัน เราจะพาเขาไปหาร้านอร่อยๆทานตอนเที่ยว”


องค์ชายเตชินทร์เอนกายลงพิงกับพนักเก้าอี้อย่างมีความสุขเมื่อดำริไปถึงเย็นวันนี้ที่พระองค์จะพาองค์ชายสนธยาไปเที่ยวชมเมืองหลวงของอนันตราชที่คงจะมีเรื่องราวมากมายให้พระองค์ได้ชี้ชวนให้องค์ชายผู้นั้นได้ตื่นตาตื่นใจ คำถามมากมายขององค์ชายสนธยาจะทำให้พระองค์ต้องหาคำตอบมาอธิบายได้ไม่หยุดหย่อน


…แต่…มันคือความสุข…


การได้พูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคนที่อยู่ในใจเสมอมานั้น เป็นเรื่องที่พระองค์ไม่คิดฝันว่าจะเกิดขึ้นจริง…


…และวันนี้…มันจะเป็นจริงแล้ว…


“กระหม่อมขอเสนอพระเจ้าค่ะ กระหม่อมได้ยินมาว่าองค์ชายสนธยาทรงมีสนมทั้งสิ้นร้อยกว่าคน พาองค์ชายสนธยาไปประพาสที่ตรอกท้ายเมืองหรือไม่ก็ตรอกสามที่ท่าเรือดีไหมพระเจ้าค่ะ! องค์ชายสนธยาจะได้มีสนมครบพัน!”


“สมิต!!!!! อยากย้ายไปเป็นทหารที่ท่าเรือแทนไหม?!!!”


“ไม่อยากพระเจ้าค่ะ”


“ถ้าอย่างนั้นก็เลิกพูด เจ้าทำลายฝันดีของเราเสียหมด!!”


“กระหม่อมแค่อยากให้พระองค์เสด็จกลับมาในโลกของความเป็นจริงต่างหาก…” ประโยคนี้สมิตได้แต่พูดงุบงิบ ด้วยเพราะรู้ว่าขืนพูดเสียงดัง คราวนี้คงถูกเด้งจากตำแหน่งองครักษ์รักษาพระองค์ไปเป็นทหารถือปืนยืนคุมท่าเรือเป็นแน่แท้

…………………………………
หัวข้อ: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 4)...อัพ 1/07
เริ่มหัวข้อโดย: Dezair ที่ 01-07-2013 20:45:19
เอาเข้าจริงแล้ว ชีวินก็ไม่ได้บังคับให้องค์ชายสนธยาต้องสวมฉลองพระองค์สีขาวล้วนเข้าไปบูชาเทพเจ้าเพื่อเป็นการขอบคุณที่ช่วยปัดเป่าโรคภัย หากแต่เรื่องที่องค์ชายสนธยามีพระประสงค์จะเสด็จไปเตร่นอกรั้วนอกวัง ชีวินก็ไม่ได้ทำตามแต่ประการใด และดูเหมือนเจ้าตัวเองก็รู้ว่าเมื่อตนเองไม่ยอมทำตามประสงค์แล้ว ก็ไม่ควรมาอยู่ขวางเนตรขวางกรรณให้คนอยากประพาสต้องหงุดหงิดงุ่นง่าน ดังนั้นเมื่อถวายอารักขาจนกระทั่งพระอาทิตย์หลุบลงใต้พื้นดินแล้ว องครักษ์หนุ่มก็น้อมส่งองค์ชายสนธยาที่ห้องบรรทม แล้วจึงก้าวขาออกจากห้องไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ


คนอยากเที่ยวเลยได้แต่หันรีหันขวาง ด้วยเพราะเวลานี้มาอาศัยในอนันตราช นอกจากชีวินที่คอยดูแลแล้ว ก็ไม่มีบ่าวไพร่คนอื่นใกล้มือให้เรียกใช้อีก


“นี่ถ้าหอยมันฟังภาษาคนรู้เรื่อง เราจะสั่งให้มันพาเราออกจากวังจริงๆ!!” สนธยาได้แต่บ่นกับตนเองขณะเหลือบตาลงมองไปยังสวนหลังวังที่มีบ่อน้ำ ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่าก้นบ่อต้องมีหอยนอนพะงาบไม่รู้วันรู้คืน


แล้วพอคิดถึงหอยที่วันๆเอาแต่นอนอยู่ก้นบ่อ ก็ทำเอาองค์ชายหนุ่มแห่งราชสำนักสมุทราย้อนมองดูตนเองที่ไม่ได้ต่างจากหอยตัวนั้นเสียเท่าไหร่ เจ้าหอยตัวนั้นไปไหนนอกจากบ่อไม่ได้ ก็เหมือนพระองค์ที่เสด็จไปไหนนอกตำหนักไม่ได้เช่นกัน


องค์ชายหนุ่มได้แต่ถอนปัสสาสะแล้วเหลือบเนตรขึ้นมองท้องฟ้ายามค่ำคืน พระจันทร์สีเหลืองนวลดวงโตสาดแสงไปทั่ว ลมเย็นพัดเป็นระลอกเข้ามาปะทะพักตร์สีน้ำผึ้งเพราะบานหน้าต่างที่เปิดออกกว้าง…กว้าง…เสียจนดวงหทัยของพระองค์แทบจะกระโจนออกไปแทนวรกายอยู่แล้ว


…ทนได้หรือ…ทนอึดอัดอยู่ในตำหนักนี้ต่อไปได้อีกหรือ…แสงสีนอกรั้ววังเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่เคยเห็น หนำซ้ำนี่ก็วันที่เจ็ดแล้วที่ไม่ได้ไปเปิดหูเปิดตาที่ไหนเลย…จะทนต่อไปได้อีกหรือ…คนอย่างองค์ชายสนธยาถูกกักขังหน่วงเหนี่ยวเอาไว้ที่ใดที่หนึ่งเกิน 3 วันได้อย่างไรกัน…


หัตถ์สีน้ำผึ้งค้ำลงบนบานหน้าต่าง ออกแรงเพียงนิดร่างก็เกือบจะยกขึ้นไปนั่งบนขอบหน้าต่างได้แล้ว ทว่า…


   “ท่านสน เราขอคุยด้วยสักครู่ได้ไหม”
 

เสียงร้องจากหน้าประตูทำเอาคนกำลังยกร่างหวือขึ้นบนขอบหน้าต่างหมายจะปีนออกจากห้องถึงกับรั้งร่างตัวเองลงมายืนกับพื้นแทบไม่ทัน บานประตูห้องถูกผลักให้เปิดออก พอดีกับที่หัตถ์สีน้ำผึ้งรีบดึงบานหน้าต่างปิดทันควันราวกับกลัวว่าถ้าเปิดเอาไว้จะถูกอีกฝ่ายจับได้ว่าเขาคิดจะหนีเที่ยว และเพราะรีบร้อนดึงหน้าต่างปิด บานพับจึงหนีบเข้าที่นิ้วเสียจนเจ้าของนิ้วยาวถึงกับร้องลั่น


   “โอ๊ยๆๆๆ!!!”


   “ท่านสน! เป็นอะไรไป!” คนแวะมาเยี่ยมเยียนยามค่ำไม่ใช่ใครที่ไหน นอกจากองค์ชายเตชินทร์เจ้าของตำหนัก และพอเห็นองค์ชายจากสมุทราร้องเสียงหลงเช่นนั้น เจ้าของตำหนักที่แสนใส่ใจอาคันตุกะก็รีบถลาเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว


   “หน้าต่างหนีบ” สนธยาตอบ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้สนใจคำตอบของเขา เพราะเจ้าตัวคว้ามือสองข้างไปดูด้วยตาของตัวเอง


   “แดงเชียว เจ็บมากไหม” หัตถ์หนาหยาบนั้นอบอุ่นพอๆกับน้ำเสียงที่แสนอ่อนโยนที่ถูกใช้ตั้งคำถาม สนธยานิ่งงันไปเล็กน้อยด้วยเพราะรู้สึกเก้อเขินที่มือของตัวเองถูกกอบกุมด้วยมือของอีกฝ่าย


   “เอ้อ ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก” สนธยาพยายามดึงมือตัวเองออกมา หากแต่พอออกแรงรั้งเพียงนิดเดียว มือของเตชินทร์ก็ยอมปล่อยแต่โดยดี ก่อนที่องค์ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของตำหนักจะเงยหน้าขึ้นยิ้มให้อย่างอ่อนโยน


   “ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว เพราะถ้าท่านเป็นอะไรขึ้นมา เราคงทำใจไม่ได้” วาจาที่แสนอ่อนโยนนั้นแฝงความจริงจังเสียจนคนฟังถึงกับวาบไปทั้งหัวใจด้วยเพราะรู้สึกเสียวสันหลังอย่างไรชอบกล


   ทว่า…องค์ชายจากสมุทราก็ยังอาศัยความตลกเข้าแก้สถานการณ์ชวนหวิว


   “แหม ท่านเตชช่างเป็นเจ้าบ้านที่น่านับถือเหลือเกิน รับผิดชอบแขกอย่างเราเสียขนาดนี้”



“เราไม่เคยรับผิดชอบแขกคนใด” คนฟังใจกระตุก ด้วยเพราะความหมายแฝงในประโยคนั้นราวกับจะบอกว่าเพราะเป็นแขกที่มีนามว่า ‘สนธยา’ เตชินทร์จึงรับผิดชอบถึงเพียงนี้! แล้วทำไมต้องเป็นสนธยาที่เตชินทร์รับผิดชอบเล่า?!!


…หรือว่า…หรือว่า…หรือว่าองค์ชายแห่งราชสำนักอนันตราชจะ…


“…เพราะที่ตำหนักอิฐไม่เคยมีแขกมาเยือน” เตชินทร์กล่าวต่อ ทำเอาคนกำลังคิดไกลที่เริ่มหน้าเสียเพราะหวั่นใจกับความนัยของประโยคเมื่อครู่ถึงกับชักสีหน้ากลับมาแทบไม่ทัน จากที่ตอนแรกนั้นตื่นตะลึงกับวาจาแฝงความหมายในเชิงเกี้ยวพาราสี มาบัดนี้ สนธยาเริ่มเคืองเพราะอีกฝ่ายกลับคำกันหน้าตาเฉย!


“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง” สนธยากล้าสาบานว่าไม่ได้เสียดายที่ตีความหมายของประโยคของอีกฝ่ายผิดพลาด แต่เพราะความเป็นบุรุษรูปงามคนหนึ่งของสมุทรา ที่มีสตรีงามล้อมหน้าล้อมหลังนับร้อย ก็ทำให้พอจะเชื่อมั่นว่า ‘มีดี’ พอจะทำให้คนรอบข้างพูดจาโอ้โลม แม้คนรอบข้างจะเป็นชายก็เถอะ


แต่…ชายที่ชื่อเตชินทร์ซึ่งขยันทำให้เสียวสันหลังบ่อยๆเพราะวาจาชวนให้คิดนี่…มันน่าสักทีเหลือเกิน!! พูดมาได้ว่าไม่เคยรับผิดชอบแขกคนใด แล้วยังมาเติมท้ายประโยคว่าเป็นเพราะไม่เคยมีใครมาเป็นแขก! โธ่เอ้ย!!! ทำเอาคิดเสียไกล!!!!


   “เอ่อ…แล้ว…เมื่อครู่นี้เห็นว่ามีเรื่องจะคุย มีอะไรหรือ” เพราะรู้สึกเสียหน้าลึกๆ สนธยาเลยถามไถ่ไปเรื่องอื่น


   “อ้อ เราเห็นว่าท่านหายป่วยแล้ว ก็เลย…จะมาชวนออกไปเที่ยวในเมืองด้วยกัน”


   “เที่ยว?!” บุรุษร่างสูงโปร่งแห่งราชสำนักสมุทราหูผึ่งหันกลับมาสบตาคนชวนทันที


   “ใช่ สนใจไหม”


   “สนซี!!! แต่…จะออกไปได้หรือ คุณท้าวเอิบสั่งห้ามไม่ให้เราออกจากตำหนัก” สนธยาถามเผื่อแผ่ไปถึงคุณท้าวเอิบ


   “เราขออนุญาตให้แล้ว”


   “จริงหรือ?!!!”


   “จริง ถ้าท่านสนยังไม่ง่วง และอยากออกไปเที่ยวกับเรา เราก็จะพาท่านไป”


   “ท่านเป็นเจ้าของบ้านที่ยอดเยี่ยมมากๆ ท่านเตช ถ้าอย่างนั้นอีกครู่นึงเจอกันข้างล่าง ขอเราเปลี่ยนชุดเสียหน่อย ข้างนอกอากาศเย็นใช่ไหม เราจะได้เอาเสื้อคลุมติดไปด้วย”


   “ให้เราเลือกให้ไหม” น้ำเสียงอ่อนโยนที่ดังมาจากเจ้าของตำหนัก ทำเอาสนธยานิ่งชะงัก หันขวับกลับไปมองแล้วจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่ายราวกับจะเป็นการถามย้ำว่าที่พูดเมื่อครู่นี้ตั้งใจจริงหรือเพียงแค่หยอกเล่น


   “เราล้อเล่นหรอก” ไหมล่ะ!! จะไม่เชื่อคำพูดขององค์ชายบ้าหอยนี่อีกแล้ว!


“…ท่านสนเลือกเสื้อผ้าหนาๆหน่อยแล้วกัน ข้างนอกลมยังแรง ประเดี๋ยวไข้จะกลับ เราจะลงไปรอข้างล่าง” เตชินทร์เห็นอาการลอบพ่นลมหายใจอย่างนึกขุ่นในใจของอีกฝ่ายก็ได้แต่กลั้นยิ้ม แล้วใช้น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยแนะนำ อันที่จริง จะลองยื่นมือเข้าไปช่วยเลือกเสื้อผ้าให้สนธยาก็ได้หรอก แต่คิดอีกที…แกล้งหยอกให้ใบหน้าสีน้ำผึ้งเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาแบบนี้ก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่าองค์ชายแห่งสมุทรานั้นช่างน่ารักน่าใคร่ยิ่งกว่าใคร


…แล้วพระองค์สัญญา…เมื่อวันหนึ่งที่เหมาะสมกับเวลา พระองค์จะไม่หยอกล้อให้องค์ชายสนธยานึกขุ่นนึกเคืองอีก แต่พระองค์…จะหยอกเอินให้องค์ชายสนธยาเก้อเขินเสียจนทำได้เพียงแต่ซุกพักตร์ลงกับอุระของพระองค์เท่านั้น…

………………………………..

   คณะออกเที่ยวในเมืองยามค่ำคืนนั้น ไม่มีใครคนอื่นนอกเสียจากองค์ชายเตชินทร์ผู้สถาปนาตัวเป็นคนนำเที่ยว และนักท่องเที่ยวที่แสนมีเกียรติอย่างองค์ชายสนธยา


   “แล้ว…เราจะไปกันสองคนเท่านั้นหรือ” สนธยาถาม เมื่อเห็นว่าพอก้าวพ้นประตูวังออกมาแล้ว ก็ยังมีเพียงตนและผู้เป็นเจ้าบ้านอย่างเตชินทร์เพียงสองคน ไม่มีอังกูร ไม่มีสมิต ส่วนชีวิน…สนธยาเลือกที่จะตัดหางปล่อยวัด เหตุเพราะอีกฝ่ายหมายจะให้พระองค์ไปบูชาเทพเจ้ามากกว่าจะออกมาเที่ยว!


   “ใช่”


   “ไม่มีท่านอังกูร หรือท่านสมิตก็ได้หรือ” ที่สมุทรานั้น แม้จะเป็นเพียงเกาะเล็กๆ แต่ยามที่พระองค์ต้องเสด็จออกนอกวัง ไม่ว่าจะลับเพียงใด ก็ต้องมีองครักษ์ติดตามไปด้วยหนึ่งคนเสมอ แต่ที่นี่…ที่อนันตราชที่แสนยิ่งใหญ่ องค์ชายรัชทายาทที่แม้จะเป็นลำดับที่ 2 แต่ก็สามารถเสด็จออกนอกวังยามวิกาลได้โดยลำพังอย่างนั้นหรือ?!


   “มีแค่เราสองคน หรือท่านสนไม่อยากไปกับเรา”


   “เปล่า! เอ่อ…เราแค่แปลกใจ”


   “อย่าแปลกใจเลย แล้วก็อย่าได้กังวล ที่อนันตราชปลอดภัย หรือต่อให้มีอันตรายเพียงใด เราก็ไม่มีทางปล่อยให้ใครทำอะไรท่าน” เตชินทร์กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนดังเช่นทุกที แสงจันทร์ที่สาดส่องไปทั่วทุกหย่อมหญ้ากอปรกับแสงจากโคมหน้าประตูวังนั้น ทำให้เห็นรอยยิ้มบางเบาบนใบหน้าขาวของอีกฝ่าย และเพราะเห็นรอยยิ้มนั้น สนธยาจึงต้องเบือนสายตาหลบวูบ แม้เสี้ยวใจหนึ่งจะร้องถามว่าหลบทำไม?! อีกประเดี๋ยว เจ้าองค์ชายบ้าหอยนั่นก็จะพูดจาฉีกหน้าไปอีกเรื่อง แต่…แต่ก็ยังไม่กล้าจ้องตรงๆอยู่ดี!!


   “ท่านสน หลบตาเราทำไม…มองหน้าเราหน่อยไม่ได้หรือ”


   “เราเปล่าหลบ…เราแค่…เราแค่มองซ้ายมองขวา ชีวินสอนไว้ว่าต้องเป็นคนช่างสังเกต” ใบหน้าสีน้ำผึ้งหันไปทางซ้ายที ทางขวาที หากแต่ตรงหน้าที่เป็นองค์ชายร่างสูงใหญ่แห่งอนันตราช สนธยากลับไม่ยอมมองตรงเสียอย่างนั้น สุดท้าย มือใหญ่จึงต้องประคองใบหน้านั้นไม่ให้หันไปทางใดอีก


   “เราบอกท่านแล้ว ว่าเราไม่มีทางปล่อยให้ใครทำอะไรท่าน เราจะปกป้องท่านด้วยมือของ…” ไม่เพียงแค่กระแสเสียงที่แสนอ่อนโยน แต่สายตาที่จับจ้องสบกับดวงตาของสนธยาก็ทำเอาคนถูกประคองหน้าชักจะร้อนผ่าว เสียจนไม่อาจปล่อยให้เตชินทร์กล่าวจนจบได้อีก


   “เอ่อ! เราอยากเที่ยวแล้ว! อย่าเสียเวลายืนคุยกันตรงนี้เลย! รีบเที่ยวเถอะ!!” สนธยารีบร้องหน้าตื่น ด้วยกลัวใจว่าหากปล่อยให้เตชินทร์พูดจนจบ จะเป็นฝ่ายตนเองที่คิดไกลเสียจนกู่ไม่กลับ! แล้วพอกู่ไม่กลับขึ้นมาจริงๆ ทีนี้จะกลายเป็นเสียท่าให้องค์ชายแห่งราชสำนักอนันตราชหักหน้าน่ะสิ!


   เตชินทร์มองท่าทางตื่นตระหนกของคนตรงหน้าแล้วได้แต่ยิ้มบาง สองมือที่ประคองใบหน้าเรียวสีน้ำผึ้งอยู่นั้นลูบผิวแก้มแผ่วเบาอย่างเอ็นดู ก่อนจะยอมปลดมือตนเองลงเพราะดวงตาสีน้ำตาลอ่อนนั้นเริ่มไหวระริกและตื่นตระหนก



   “เชิญทางนี้” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้ม แล้วจึงหมุนกายออกเดินนำ สนธยามองตามอย่างไม่วางใจ แต่อีกเสี้ยวของใจกลับขัดแย้งประหลาด แม้จะเพิ่งพบหน้ากันเพียงไม่กี่วัน แต่ความรู้สึกบางอย่างหยั่งรากลึกเสียจนไม่กล้าก้มลงมองเรื่องราวภายในหัวใจของตนเอง


…หัวใจ…ที่ไม่รู้ว่าบัดนี้เป็นอะไร จึงไว้ใจกับคนที่ไม่สมควรวางใจ…เตชินทร์เป็นองค์ชายจากราชสำนักอื่น พวกเขาไม่สมควรสนิทสนม ไม่ควรพบปะพูดคุยหยอกล้อ แม้สถานะ ‘คนเลี้ยงหอย’ จะค้ำคอให้สนธยาต้องอยู่ที่อนันตราชต่อไป แต่ก็ไม่จำเป็นที่เตชินทร์ต้องเข้ามาข้องแวะข้องเกี่ยว เยี่ยมไข้ หรือพาเที่ยว


‘…เพราะที่ตำหนักอิฐไม่เคยมีแขกมาเยือน’


หรือเพราะเตชินทร์ไม่เคยมีแขกมาเยี่ยมเยียน จึงทำตัวไม่ถูกว่าควรจะต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองอย่างไรให้อยู่ในความพอดี ถ้าเช่นนั้น ที่สนธยาไว้ใจกับคนไม่น่าวางใจอย่างเตชินทร์ก็คงเป็นเพราะไม่เคยไปเป็นแขกบ้านแขกเมืองของอาณาจักรใดกระมัง ทุกอย่างจึงได้อิหลักอิเหลื่อไปหมดแบบนี้


…เห็นที…เขาคงต้องเริ่มทำความคุ้นเคยกับการเป็น ‘แขก’ ให้มากกว่านี้ บางที อาจจะทำให้ความรู้สึกแปลกประหลาดในใจคลายลงก็เป็นได้

………………………………
   

   เมืองหลวงของอนันตราชนั้นสมกับเป็นเมืองที่ถูกกล่าวขานว่า ‘ควรจะมาสักครั้งในชีวิต’ จัตุรัสกลางเมืองพลุ่กพล่านไปด้วยผู้คนมากมาย ส่วนหนึ่งคือนักท่องเที่ยว อีกส่วนคือชาวเมือง และที่ขาดไม่ได้ คือเหล่าพ่อค้าแม่ค้าที่มาเปิดแผงขายของกันแน่นขนัดสองฝั่งของทางเดินเท้ากว้างขวางที่ถูกปูด้วยแผ่นหินไสจนเนื้อเรียบเป็นระนาบเดียวกัน


   “ที่นี่คือจัตุรัสกลางเมือง ทุกๆเจ็ดวัน จะมีข้าวของมาขาย แต่ถ้าเป็นวันอื่น ที่นี่คือที่พักผ่อนหย่อนใจ เป็นที่พบปะพูดคุย” ผู้นำเที่ยวกิตติมศักดิ์นามว่าเตชินทร์เอ่ยปากแนะนำ


   “ท่านเห็นบ่อน้ำพุที่กลางจัตุรัสนั่นไหม ตรงนั้นเป็นหนึ่งในสามตำนานรักของอนันตราชเชียวล่ะ”


   “ตำนานรัก?”


   คนเป็นเจ้าบ้านเจ้าเมืองพานำไปยังบ่อน้ำพุกลางจัตุรัส แม้ผู้คนจะพลุ่กพล่านไปเสียหน่อย แต่ก็เข้าไปใกล้บ่อน้ำได้อย่างไม่ยากไม่เย็น


   บ่อน้ำพุขนาดใหญ่เป็นทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส กลางบ่อคือรูปปั้นสิงโตคู่ ตัวหนึ่งยืนองอาจ อีกตัวนั่งสงบเคียงข้าง เจ้าสิงโตตัวที่ยืนเป็นสง่ากำลังอ้าปากคล้ายจะคำราม สนธยาชะเง้อคอมองเข้าไปในปากสิงโต หากเป็นที่สมุทราซึ่งนิยมชมชอบการพนันขันต่อนั้น ชาวเมืองค่อนเกาะจะต้องมาต่อแถวเพื่อโยนอะไรสักอย่างไปที่ปากสิงโต โดยมีเดิมพันว่ามันจะเข้าหรือไม่ หากแต่ที่นี่…ที่อนันตราช…ในปากสิงโตว่างเปล่าไร้ของแสลง



   “มองอะไรหรือ? ท่านสน” เมื่อเห็นว่าคนข้างกายกำลังสนอกสนใจสภาพภายในปากรูปปั้นสิงโตเสียจนไม่ได้สนใจจะรับฟังสิ่งใด


   “เอ่อ…ก็…นึกว่าคนที่นี่จะชอบเสี่ยงดวงโยนอะไรเข้าปากสิงโตน่ะ” คนฟังถึงกับหัวเราะร่วน เตชินทร์ตั้งใจพาอีกฝ่ายมาที่จตุรัสกลางเมืองเพื่อบอกเล่าเรื่องราวความรักอันเป็นตำนาน แต่ดูเหมือนสนธยาผู้มาจากเกาะแดนใต้จะสนใจเรื่องที่เห็นแล้วจับต้องได้มากกว่ามานั่งฟังเรื่องเก่าเรื่องแก่ที่ไม่รู้ว่าถูกใส่สีตีไข่มามากมายเพียงใดแล้ว


   “แล้วนั่น…นั่นขายอะไรน่ะ ทำไมคนรุมกันเพียบเลย” แล้วเจ้าตัวก็หันไปสนใจแผงแม่ค้าใกล้ๆที่กำลังมีลูกค้ารุมล้อม แทนที่จะสนใจรูปปั้นสิงโตเสียแล้ว เตชินทร์ได้แต่ส่ายศีรษะไปมาน้อยๆ ที่ดูเหมือนแผนการพาสนธยาเข้าสู่ห้วงอารมณ์ลึกซึ้งจะไปไม่ถึงฝั่ง


   “ท่าทางจะขายอาหาร เหมือนได้กลิ่นหอมๆ”


   “ถ้าอย่างนั้นก็เข้าไปดูกันเถอะ” รูปปั้นสิงโตคู่ถูกเมินแน่นอนแล้ว และเตชินทร์ก็อยากตามใจอาคันตุกะคนพิเศษมากกว่าจะเหนี่ยวรั้งให้สนธยาต้องมาฟังเรื่องพร่ำเพ้อ นั่นประไร...พอชวนเข้าไปดู เจ้าตัวก็ยิ้มกว้างลิงโลดเชียว แบบนี้ล่ะ…ถึงได้ไม่อยากขัดใจ


   มือหนาหยาบรั้งแขนสนธยาเบาๆให้เดินเข้าไปดูแผงขายของที่กำลังถูกรุมล้อม กลิ่นหอมหวานของขนมจากเตาถ่านบนแผงค้าลอยเข้าจมูกเมื่อยิ่งขยับเข้าไปใกล้มากขึ้น จนสนธยาต้องทำจมูกฟุดฟิดไปมา


   “หอมล่ะสิ”


   “อืม! ท่าทางจะน่าอร่อย” นอกจากจะสูดกลิ่นหอมเสียเพลินแล้ว เจ้าตัวยังชะเง้อคอข้ามไหล่ลูกค้าคนอื่นๆที่รุมล้อมเข้าไปยังแผง เห็นเป็นขนมสีเหลืองนวลรูปร่างแปลกตากำลังถูกแคะลงมาจากแป้นพิมพ์เหล็ก ในขณะที่สนธยากำลังมองแม่ค้าทำขนมเสียเพลิน ฝ่ายคนพาเที่ยวอย่างเตชินทร์ก็ขยับเข้าไปเจรจาซื้อขนมจากแม่ค้าสาวแล้วเรียบร้อย นางแย้มยิ้มรับคำ ก่อนจะห่อขนมสีเหลืองนวลด้วยกระดาษแล้วจึงส่งให้ในขณะที่ร่างสูงส่งเหรียญเงินเป็นการแลกเปลี่ยน


   “ลองชิมสิ” เขาว่าอย่างนั้น เมื่อจูงสนธยาพาออกมาจากแผงแล้วจึงยื่นขนมในมือไปตรงหน้า สนธยาบิขนมออกมาเล็กน้อย มันเป็นเนื้อแป้งนุ่มที่กำลังร้อนกรุ่นเพราะเพิ่งถูกแคะออกจากแป้นพิมพ์มาหมาดๆ สนธยาส่งมันเข้าปากอย่างรวดเร็วโดยไม่กลัวร้อน เพราะตอนนี้อากาศเย็นๆรอบกายทำให้เขาเริ่มโหยหาของร้อนๆมาให้ความอบอุ่น


   “เป็นอย่างไรบ้าง”


   “อร่อย” คนถูกถามตอบพร้อมรอยยิ้มอย่างที่ทำเอาเตชินทร์มองเพลินจนคนถูกมองชักจะเริ่มร้อนวูบเสียววาบ ทั้งๆที่อากาศรอบกายเย็นจัด


   “เอ่อ…คือ…เรา…เรา…”


   “เห็นท่านชอบ เราก็ดีใจ” นอกจากสายตาแฝงแววหวานอย่างน่าประหลาดแล้ว คำพูดคำจาของเตชินทร์ก็ชักจะทำให้สนธยาคิดมากเข้าไปทุกที ร่างสูงโปร่งพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อรักษาสติทั้งมวลให้อยู่กับตัวเอง


   …เตชินทร์เพียงแค่ทำหน้าที่เจ้าบ้านเท่านั้น ส่วนเขาก็เป็นแขกบ้านแขกเมือง…ฝ่ายนั้นมีนิสัยชอบหยอกล้อรักสนุก ไม่ได้คิดอกุศลมีจิตปฏิพัทธ์อะไรต่อกัน…ใช่ การกระทำของเตชินทร์ไม่ได้ต้องการสื่อความหมายใดมากไปกว่านี้…


   ท่าทางสูดลมหายใจเข้าออกราวกับเรียกสตินั้น ทำเอาเตชินทร์ได้แต่อมยิ้มบาง เขาไม่รู้ว่าสนธยากำลังทำอะไร แต่ดูเหมือนเจ้าตัวกำลังมุ่งมั่นมากทีเดียว


   “ไปดูที่อื่นต่อกันเถอะ แล้วประเดี๋ยวจะพาไปทานข้าวต้มเจ้าอร่อย รับรองว่าท่านต้องติดใจ” เขาเอ่ยชวน แล้วจับจูงแขนของอีกฝ่ายเดินฝ่าฝูงชนไปยังลานกว้างซึ่งไม่ไกลจากจตุรัสน้ำพุเสียเท่าไหร่

   
   ในลานกว้างที่มีแผงขายอาหารมากมาย ราวกับเป็นตลาดย่อมๆ ส่วนหนึ่งของลานถูกใช้จัดเป็นชุดโต๊ะเก้าอี้ซึ่งคนซื้อสามารถเลือกซื้ออาหารจากแผงค้ามานั่งรับประทานตรงโต๊ะใดก็ได้แล้วแต่อัธยาศัย


   “ที่นี่คือตลาดโต้รุ่ง ขายแต่อาหาร ตั้งแต่ดึกไปจนถึงรุ่งสาง”


   “แล้วมีคนซื้อหรือ?!” ตอนนี้เพิ่งจะหัวค่ำ ผู้คนก็ยังขวักไขว่กันหนาตาหรอก แต่ลองค่อนคืนไปแล้ว สนธยาก็คิดว่ามันน่าจะเปลี่ยวเหงาและวังเวงเพราะใครๆต่างก็ต้องกลับเข้าเรือนเพื่อพักผ่อนกันทั้งนั้น


   “ที่นี่ใกล้ท่าเรือ แล้วเรือก็เข้าตลอดทั้งกลางวันกลางคืน ยิ่งดึกๆยิ่งคึกคัก เพราะพวกลูกเรือที่มากับเรือเที่ยวกลางคืนจะมาเดินกันให้พรึบ”


   “อย่างนี้นี่เอง นี่ถ้าเราเอากลับไปทำที่สมุทราบ้าง ก็น่าจะดี ที่สมุทราก็มีเรือเข้าทั้งกลางวันกลางคืนเช่นกัน” สนธยาเปรยด้วยเพราะนึกชอบในเรื่องตลาดโต้รุ่งเช่นนี้ ทว่าคนฟังกลับนิ่งงัน


   “ท่าน…จะกลับสมุทราหรือ?”


   “กลับสิ ท่านนี่ถามประหลาด แล้วไหนร้านข้าวต้มเจ้าอร่อยที่ท่านว่าล่ะ เราเริ่มหิวแล้ว” สนธยามองซ้ายขวาหาร้านข้าวต้มเจ้าอร่อยอย่างที่อีกฝ่ายแนะนำเอาไว้ ทว่ากวาดตาได้แค่สองสามครั้ง แรงรั้งที่ต้นแขนก็ทำเอาต้องหันกลับมามอง


   “ท่านอยากกลับสมุทราหรือ” เตชินทร์ถาม ดวงตาคมที่มักจะทอดแววหวานกลับกลายเป็นแฝงรอยเศร้าเอาไว้เสียจนสนธยานิ่งไปเล็กน้อย ทว่าก็ยังทำเป็นยิ้มกว้างตอบกลับไป


   “ก็สมุทราเป็นบ้านของเรา…”


   “แล้วอนันตราชเป็นบ้านอีกหลังของท่านไม่ได้หรือ อนันตราชขาดเหลืออะไรที่ท่านต้องการบ้าง บอกเราได้ไหม เราจะได้ปรับปรุงให้ที่นี่มีเทียบเท่าที่สมุทรามี”


   “ท่านเตช…”


   “เราแค่อยากให้ท่านเปิดใจยอมรับอนันตราชบ้าง สมุทราอาจเป็นบ้านเกิด แต่ให้อนันตราชเป็นบ้านอีกหลังของท่านได้ไหม ไม่ต้องรักอนันตราชเท่ากับที่รักสมุทรา แต่…แค่คิดถึงอนันตราชบ้างก็เท่านั้น” สนธยานิ่งไป เขาอยากค้านสุดใจว่าจะให้คิดถึงอนันตราชทำไม ในเมื่อเขาไม่มีส่วนใดเกี่ยวข้องกับอนันตราชเลยแม้แต่นิดเดียว ทว่า…ไม่ทันจะได้พูดอะไร บุรุษผู้หนึ่งก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหาพวกเขาสองคน


   …สมิตนั่นเอง…


   “องค์ชาย! เกิดเรื่องใหญ่แล้วพระเจ้าค่ะ!!” สมิตรายงานเสียงเบาจนแทบกระซิบ ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้พระกรรณองค์ชายหนุ่มแห่งอนันตราชแล้วกระซิบทูลความ และเพียงรายงานสั้นๆจากปากของนายทหารคนสนิท ก็ทำเอาดวงเนตรขององค์ชายเตชินทร์ถึงกับเบิกโพลง ก่อนที่โอษฐ์หนาสีแดงสดจะเปล่งเสียงออกมาให้สนธยาที่ยืนเคียงข้างนิ่งงันไม่ต่างกัน


   “อะไรนะ! หอยป่วย!!”



ติดตามตอนต่อไป (จันทร์หน้าค่ะ)
ขอโทษที่ผิดนัดนะคะ :hao5:
เมื่อวันเสาร์ไปงานซ้อมรับปริญญาเพื่อนมา เหนื่อยสายตัวแทบขาด วันอาทิตย์ก็ติดธุระ แถมคอมก็เกเรมากมาย จะชัทดาวน์ตัวเองอย่างเดียว วันนี้มันไม่เกเรแล้ว เลยรีบวิ่งมาลงโดยไว

ขอบคุณคนอ่าน คนเม้นท์ คนติดตามและพื้นที่บอร์ดมากๆนะคะ วันนี้เหนื่อยมากเลยยยยย อาชีพพนักงานกินเดือนนี่มันปวดร้าวแสนสาหัสจริงๆ

แล้วเจอกันใหม่ วันจันทร์หน้านะคะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 3)...อัพ 22/06
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 01-07-2013 21:24:13
ท่านเตชขยันหยอดอย่างนี้ ท่านสนเริ่มร้อน ๆ หนาว ๆ แล้วสิ
โถ ๆ คุณหอยบรรดาศักดิ์ล้มป่วยซะแล้ว
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 4)...อัพ 1/07
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 01-07-2013 21:27:36
กรี๊ดดด หอยป่วยยยยยย
เอาแล้วไง
รีบหาหมอมารักษาหอยเร็วๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 4)...อัพ 1/07
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 01-07-2013 21:32:12
กร๊ากกกก
หอยป่วย
แล้วทีนี้จะทำยังไงเนี่ย
องค์เตรีบหาหมอมารักษาหอยเร็วๆ

 :hao7:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 4)...อัพ 1/07
เริ่มหัวข้อโดย: ❝CHŌN❞ ที่ 01-07-2013 22:56:18
เวรกรรม หอยป่วยซะได้
ขัดเวลาคนกำลังหวานๆ (รึเปล่า) ฮ่าๆๆๆ
ท่านสนรีบไปดูหอยเร็วเข้า
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 4)...อัพ 1/07
เริ่มหัวข้อโดย: bulldog17 ที่ 01-07-2013 23:14:36
หอยป่วย!?!

มันน่าจะเครียดนะ...แต่ทำไมฉันฮา ฮ่าาาาๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 4)...อัพ 1/07
เริ่มหัวข้อโดย: sine_saki ที่ 01-07-2013 23:16:30
กำลังซึ้งกับองค์เตชอยู่ดีๆ กลับขำพรืดกับประโยคจบว่า หอยป่วย แป่วเลย
ท่านหอยบรรณาการอย่าเพิ่งเป็นอะไรนะ ไม่งั้นองค์เตชได้ปลูกต้นแห้วเป็นงานอดิเรกแทนการเลี้ยงหอยเป็นแน่แท้
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 4)...อัพ 1/07
เริ่มหัวข้อโดย: bpyt ที่ 01-07-2013 23:38:05
งานงอกแล้วท่านสน หอยป่วยง่ะ ท่านเตชก็งานเข้า ถ้าหอยเป็นำรไป หมดข้ออ้างรั้งท่านสนเลยนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 4)...อัพ 1/07
เริ่มหัวข้อโดย: Lily teddy ที่ 01-07-2013 23:54:41
มาช้ายังดีกว่าไม่มาจ้า  :mew3:
ท่านเตซเริ่มรุกท่านสนให้หวั่น ๆ สับสน เขินอายบ้างแล้ว
ท่านเตซน๊ามัวแต่พาคนเลี้ยงหอยมาหวานกันนอกวังอะจิ
จากหอยพะงาบ พะงาบกลายเป็นหอยป่วยไปซะแล้ว
รอติดตามจ้าว่าจะมีวิธีปลุก บำรุงหอยป่วย ต่อไปยังไง  :pig4:


หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 4)...อัพ 1/07
เริ่มหัวข้อโดย: Ali$a฿eth ที่ 02-07-2013 00:14:59
เจอคำว่าหอยในประโยคที่ไร สะดุ้งทุกที 5555
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 4)...อัพ 1/07
เริ่มหัวข้อโดย: Heisei ที่ 02-07-2013 00:18:43
เพราะองค์เตชน่ะ เอาแต่หยอกเล่น องค์สนเลยสับสนไปหมดแล้วเนี่ย :m16: :m16:

ชอบประโยคตอนสุดท้ายมากๆเลยค่ะ
ชอบเรื่องนี้มากๆเลย  ทุกๆตอนจะมีประโยคซึ้งกินใจ ที่อ่านแล้วรู้สึกอบอุ่นหัวใจตลอด
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 4)...อัพ 1/07
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 02-07-2013 00:48:48
ท่าเตชนี่รับรางวัลนักหยอดแห่งปีไปเลย ท่านสนเริ่มสับสนสมชื่อแล้วเนี่ย

หมั่นคอยดูแล และรักษาหอยบรรณาการ //ฮัม
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 4)...อัพ 1/07
เริ่มหัวข้อโดย: jinjin283 ที่ 02-07-2013 01:11:18
ตอนนี้สวีทมากกเลยคะ ท่านเตชคงสุขใจมากมาย
แต่เล่นเเกล้งท่านสนบ่อยๆเนี่ยไม่ดีนะคะ
จะรอติดตามว่าน้องหอยป่วยเป็นอะไรนะ ^^
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 4)...อัพ 1/07
เริ่มหัวข้อโดย: MinKKniM ที่ 02-07-2013 02:16:56
หอยสื่อรักมาป่วยอะไรตอนเน้

ท่านเตชอย่ามัวแต่หยอด จีบอย่างจริงจังไปเลย มาแบบนี้ท่านสนสับสนไปหมดแล้ว
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 4)...อัพ 1/07
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 02-07-2013 06:25:38
หอยป่วยยยยย !!!!!!!

คนอ่านป่วยด้วย กำลังจะแอบหวานเจอ

หอยป่วยที เอ๋อเลย 555
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 4)...อัพ 1/07
เริ่มหัวข้อโดย: kongxinya ที่ 02-07-2013 09:14:34
ตามมาจากจอมร้ายค่ะ เพิ่งได้มาอ่านเรื่องนี้ของคุณบัวสนุกมากเลย
โดยเฉพาะตรง หอยป่วยนิ เรากำลังกินน้ำอยู่สำลักขึ้นจมูกเลยตอนนั้น 555
เป็นกำลังใจให้และรอตอนต่อไปค่ะ  :L2: :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 4)...อัพ 1/07
เริ่มหัวข้อโดย: kaokorn ที่ 02-07-2013 12:09:51
เห็นชื่อคุณบัว รีบเปิดเข้ามาอ่านด้วยความดีใจ
และก็ไม่ผิดหวัง ชอบงานเขียนคุณบัวมากๆ
ขอบคุณที่แต่งเรื่องสนุกๆให้อ่านนะฮะ
รอติดตามตอนต่อไป ว่าหอยคู่บ้านคู่เมืองจะเป็นเช่นไร 5555+
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 4)...อัพ 1/07
เริ่มหัวข้อโดย: SenzaAmore ที่ 02-07-2013 18:06:26
 o22 หอยป่วยยยยยย!!!!  สงสัยมากๆ รู้ได้ไงเนี่ยว่ามันป่วย เห็นมันก็นอนอืดทั้งวัน555

ตลกดีๆ มาต่อเร็วๆน้าาา :mew1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 4)...อัพ 1/07
เริ่มหัวข้อโดย: Fate ที่ 02-07-2013 19:29:00
ห๊ะ! หอยป่วย !
55555
แย่แล้วองค์เตช สงสัยหอยคงจะหนาว จนเป็นไข้  :katai3:

องค์สนทรงกล่อมตัวเอง ใจแข็ง ให้ตลอดนะเพคะ หึหึหึ
เดี๋ยวจะไม่ได้กลับสมุทรา  :hao6:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 4)...อัพ 1/07
เริ่มหัวข้อโดย: Rywzaki ที่ 02-07-2013 21:02:25
ฮือออออออออ เหมือนไม่ฮาแต่ก็ฮา ฮือออออออออออออ
ช่วยเราด้วย องค์ชายบ้าหอยยยยยย 555555555555
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 4)...อัพ 1/07
เริ่มหัวข้อโดย: sam3sam ที่ 02-07-2013 21:09:38
เป็นเรื่องละสิ หอยป่วยซะงั้น
แล้วไอ้เวลาหอยป่วยนี่อาการมันเป็นยังไงบ้าง :laugh:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 4)...อัพ 1/07
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 02-07-2013 21:55:50
อ่านตอนนี้แล้วฮาเป็นพักๆกับซึ้งๆเป็นช่วงๆกับหลินฮุ่ยเลยค่ะ 555

เกิดมาก็เพิ่งได้ยินว่าหอยป่วยก็ครั้งนี้ล่ะ รีบไปดูอาการกันเนาะ ^^

พักผ่อน นอนหลับนะคะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 4)...อัพ 1/07
เริ่มหัวข้อโดย: FlOriN ที่ 03-07-2013 08:01:26
งานเข้าแล้วว หอยป่วยย !!!
องค์เตชช่่างสุภาพอะไรเช่นนี้~
เดี่ยวองค์สนก็คงใจอ่อน อิอิ
รอติดตามตอนต่อไปค่าา
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 4)...อัพ 1/07
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 03-07-2013 08:50:24
ท่านเตชอุตส่าห์ทำคะแนนพาท่านสนไปเที่ยว
ดันแจ้งว่าหอยป่วย ต้องรีบรักษาให้หายนะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 4)...อัพ 1/07
เริ่มหัวข้อโดย: Gokusan ที่ 03-07-2013 09:12:01
อือหึ...อะไรนะ หอยป่วย!!
แล้วจะได้อยู่เมืองนี้ต่อมั้ยอ่ะ ยังไงดีๆ

องค์เตชท่าทางชื่นใจ...ได้เดท แม้อีกคนไม่ค่อยให้ความร่วมมือก็เถอะ
องค์สนเริ่มหวั่นไหวบ้างแล้ว...พูดแค่นี้ คิดไปนู่นนนน ไม่คิดจะรู้สึกรึ หุหุ

แอบขำคุณท้าว...กรึ้บเดียว กรึ้บเดียวเท่านั้น ^^"
อีกคนก็พอกัน...ท่านชีวินเตรียมไหว้เทพเจ้า
เกมดึงความสนใจองค์ชายไปที่สิ่งอื่น...จะได้ไม่หาเรื่องเที่ยว ^^

อ่อ...แอบเหงาตามองค์สนนะ ต่างบ้านแล้วยังไม่ได้ไปไหนๆ เลยยิ่งทำให้...คิดถึงบ้าน
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 4)...อัพ 1/07
เริ่มหัวข้อโดย: Zam_Zammy ที่ 03-07-2013 09:38:39
หะ หอยป่วย 5555
ชอบสมิตอ่ะ จองนะๆ  :laugh:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 4)...อัพ 1/07
เริ่มหัวข้อโดย: IIMisssoMII ที่ 03-07-2013 16:23:03
เพิ่งเห็นว่ามีเรื่องใหม่ ^ ^
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 4)...อัพ 1/07
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 03-07-2013 22:12:36
อยากบอกว่า พอเห็นนามปากกาปุ๊บ เลือกอ่านทันที เพราะเรารอ รอ ผลงานต่อจากน้องจอม พี่โต สมหวังสักที ชอบเนื้อเรื่อง แนวนี้ เราอ่านสองเรื่อง ในเล้า แนวหิมพาน ขอบใจจร้าา
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 4)...อัพ 1/07
เริ่มหัวข้อโดย: Anyann ที่ 03-07-2013 22:33:28
5555555 หอยป่วย!

โธ่เอ๊ย องค์ชายเตชทำหน้าตกใจซะเรานึกว่าใครเป็นอะไร ที่แท้ก็เจ้าหอยนี่เอง

ดูท่าชีวิตของสนธยาจะอยู่บนเส้นด้ายอีกแล้วสิ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 4)...อัพ 1/07
เริ่มหัวข้อโดย: kny ที่ 04-07-2013 00:37:55
 :katai5:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 4)...อัพ 1/07
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 04-07-2013 06:40:51
องค์ชายทั้งสองกำลังเดทกันเพลินๆ หอยก็มาป่วยซะได้ :m20:
แต่ว่าทราบได้ยังไงหรือคะว่าหอยป่วย ไหนบอกนอนพะงาบๆไม่รู้เรื่องราวมานานนม แค่คิดก็ขำจนปวดท้อง :laugh:
องค์สนกลับไปเป็นพยาบาลเฝ้าหอยเลย ไม่ได้เที่ยวต่อ หรือว่าจะได้กลับบ้านที่สมุทราเร็วขึ้นนา แต่องค์เตชไม่ยอมให้ไปหรอกค่ะ :z1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 4)...อัพ 1/07
เริ่มหัวข้อโดย: konnarak ที่ 04-07-2013 21:32:03
ตายยยยยยยยยยยยยยย     หอยมาป่วยอาไรตอนนี้  555++
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 4)...อัพ 1/07
เริ่มหัวข้อโดย: NUTSANAN ที่ 04-07-2013 21:48:40
เรื่องใหม่ เพิ่งจะได้เข้ามาอ่าน
น้องสาวสนแลร้ายกาจเว่อ เพลียกะนาง
ปล.เป็นกำลังใจให้คนแต่งนะจ้ะ
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 4)...อัพ 1/07
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 05-07-2013 03:05:47
เอาล่ะสิ หอยป่วย ท่านสนก็ดูแลรักษาไม่เป็นซะด้วย
หรือจะมีอะไรเกี่ยวกับราชินีเกิดขึ้นนะ
แล้วใครจะแอบมาลอบจัดการท่านสนเนี่ย หวังว่าท่านเตชจะดูแลท่านสนไว้ได้
แอบแปลกใจที่ทำไมท่านเตชมีเสื้อผ้าไซส์พอดีกับท่านสนไว้
หรือมีใครส่งข่าวมาก่อนนะ
หวังว่าราชินีจะสุขสบายดี

รออ่านต่อนะคะ

ป.ล.ขำมากตอนที่อ่านเจอว่าเป็นราชทูตหอย555
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 4)...อัพ 1/07
เริ่มหัวข้อโดย: sweetbasil ที่ 05-07-2013 21:19:57
หอยจะมาป่วยอะไรตอนนี้เนี่ย  :z6:

ชอบตอน ราชทูตหอย  :laugh:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 4)...อัพ 1/07
เริ่มหัวข้อโดย: Takarajung_TK ที่ 06-07-2013 11:01:54
หอยป่วย !!!
กำลังจะหวานหอยมาขัดฟินซะงั้น  :katai1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 4)...อัพ 1/07
เริ่มหัวข้อโดย: nigiri-sushi ที่ 06-07-2013 15:31:47
ขำหอย 5555555555555555+
หอยแก่ๆ
หอยร้อยปี
หอยคู่บ้านคู่เมือง
คนเลี้ยงหอย
โอย..ท้องแข็งแหล่ว
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 4)...อัพ 1/07
เริ่มหัวข้อโดย: mr_longza ที่ 06-07-2013 19:11:03
 :laugh:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 4)...อัพ 1/07
เริ่มหัวข้อโดย: nigiri-sushi ที่ 06-07-2013 21:00:16
กำลังซื้งๆอยู่ดีๆ ประโยคนี้เล่นเอาฮาก๊าก
"อะไรนะ หอยป่วย!"
ท้องแข็งแว้วววว 5555555
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 4)...อัพ 1/07
เริ่มหัวข้อโดย: @Lucifer_Prince@ ที่ 08-07-2013 19:59:52
อ่านจอมร้ายยังไม่จบคัฟพี่บัว  โดดมาอันนี้ก่อน  อิอิ  หอยป่วย" หอยแก่อันนั้นมันจะมีอะไรไม๊น้า  "
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 4)...อัพ 1/07
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 09-07-2013 09:09:40
ห๊ะ "หอยป่วย" โอ๊ยยยเครียยด!!
ใครทำคุนไสใส่หอยป่าวเนี่ย!!
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 4)...อัพ 1/07
เริ่มหัวข้อโดย: sukaz ที่ 09-07-2013 11:54:40
หอยยยยย ป่วยยย


 :mew4: :mew4: :mew4:
หัวข้อ: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 5)...อัพ 9/07
เริ่มหัวข้อโดย: Dezair ที่ 09-07-2013 20:47:01
NOV: ด้วยพันธะบรรณาการ
By: Dezair
……………………..
บทที่ 5
 
สตรีผู้มีอำนาจเหนือคนทั้งมวลแห่งเกาะสมุทราเอนพระวรกายพิงพนักอย่างอ่อนล้า นับตั้งแต่ส่งสนธยาออกจากเกาะ ก็ดูเหมือนพระองค์จะมีราชกิจมากกว่าเดิม เนื่องจากงานหลายอย่างที่เคยอยู่ในความดูแลของโอรสถูกยกให้แก่ข้าราชบริพาร หากแต่สุดท้ายแล้วก็ต้องผ่านสายเนตรของพระองค์อยู่ดี
 
                นอกจากราชกิจที่เพิ่มมากขึ้นจนแทบไม่มีเวลาพักผ่อนแล้ว แม้ว่าสนธยาจะออกจากเกาะไปแล้ว แต่เพราะเป็นลูก ราชินีวารีวาทจึงอดไม่ได้ที่จะรับรู้ข่าวสารความเป็นไปของบุตร
 
                “เขาเป็นอย่างไรบ้าง ท่านวรุฒ” หลังเส้นสิ้นการประชุมในตอนเช้า ขุนนางวัยชราสองคนต้องเข้าเฝ้าพระองค์เป็นการส่วนตัว รายที่หนึ่งคือท่านวรุฒ ขุนนางเฒ่าร่างผอมหากแต่ยังผึ่งผายมีสง่าราศี ผู้ซึ่งมีหูมีตาอยู่ในอาณาจักรต่างๆ รวมไปถึงในอนันตราชด้วย
 
                “เพิ่งหายประชวร แต่โดยรวมก็มีความสุขดี องค์ชายที่อนันตราชให้การดูแลเป็นอย่างดีพระเจ้าค่ะ” ราชินีวารีวาทได้แต่พยักพักตร์น้อยๆอย่างรับรู้ ก่อนจะหันมาที่ขุนนางเฒ่าอีกรายผู้มีนามว่าชลเทพ ซึ่งนับตั้งแต่สนธยานำขบวนบรรณาการไปยังอนันตราช ท่านชลเทพก็ขึ้นมาดูแลทัพเรือแทน
 
                “แล้วท่านล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง”
 
                “ก็…” ขุนนางเฒ่ารับใช้ราชสำนักมาตั้งแต่ยังเป็นหนุ่ม มาบัดนี้เคราและเส้นผมเป็นสีเงินยวงแล้ว เรื่องความสัตย์ซื่อก็ยังมั่นคงเต็มเปี่ยมชนิดที่พูดคำไหน คำนั้นล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น ทว่าวันนี้…ขุนนางเฒ่ากลับไม่กล้าเอ่ยปาก
 
                “ท่านว่ามาเถอะ เรามีสติพอจะแยกแยะว่าเรื่องใดถูกเรื่องใดผิด แม้เป็นลูก หากทำเรื่องผิดบาป เราก็ไม่อาจมองว่าเป็นเรื่องถูกต้องได้หรอก”
 
                “เมื่อวาน…มีคนร้ายบุกมาที่เรือนของกระหม่อม แต่เพราะพระกรุณาของพระองค์ที่ให้ลูกเมียของกระหม่อมย้ายไปอยู่ที่อื่นเสียก่อน พวกมันจึงไม่ได้ทำร้ายใครพระเจ้าค่ะ”
 
                “แล้วจับตัวคนร้ายได้ไหม”
 
                “ได้พระเจ้าค่ะ แต่พวกมันฆ่าตัวตายทันทีที่ถูกจับ”
 
                “ปิดปากตัวเองสินะ” ราชินีวารีวาทได้แต่ตรัสเสียงแผ่ว เพราะคนร้ายที่จับได้เลือกจะปิดปากตัวเองด้วยความตาย จึงไม่อาจสืบสาวได้ว่าใครจ้างวานมา ทว่า…ท่านขุนนางชลเทพเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ตงฉิน ซื่อสัตย์ ทว่าก็รักสงบและไม่เคยสร้างศัตรูที่ไหน ดังนั้น…ถ้าจะมีศัตรูสักคน ก็น่าจะเป็นคนที่ขวางหูขวางตาเมื่อท่านชลเทพก้าวขึ้นมารับตำแหน่งแม่ทัพกองเรือ
 
                ชลเทพเองก็พอจะรู้ว่าใครที่หมายหัวตน ที่สมุทราแม้จะเป็นเพียงเกาะเล็กๆ แต่กฎบ้านกฎเมืองเข้มงวด ผู้ใดในสมุทราริอ่านเป็นโจรขโมย มันผู้นั้นจะถูกตัดนิ้วมือทั้งสิบ และถูกขังให้อดตายอย่างเอน็จอนาจ ไม่มีใครในสมุทรากล้าตั้งตัวทำผิด อีกทั้งความอุดมสมบูรณ์ในเกาะแห่งนี้ก็มีมากพอที่จะทำให้ประชาชนทุกคนอยู่อย่างอิ่มหนำสำราญโดยไม่ต้องใช้วิธีประทุษร้ายใคร แต่…ถ้าจะมีใครสักคนหวังทำร้ายคนอื่น ใครคนนั้นคงคิดการใหญ่มากกว่าการชิงทรัพย์ธรรมดา
 
                “ยังไงก็ระวังตัวหน่อยแล้วกันท่านชลเทพ เราจะส่งทหารไปดูแลท่าน รวมถึงบุตรและภรรยาของท่านอีกจำนวนหนึ่ง อย่าได้เป็นห่วง”
 
                “ขอบพระทัยในพระกรุณา” ราชินีวารีวาททอดเนตรขุนนางเฒ่าผู้ถูกหมายหัวทำร้ายทั้งครอบครัวแล้วได้แต่หวนนึกถึงโอรสที่ถูกส่งออกไปจากเกาะสมุทรา
 
                …พระองค์รู้ มีเพียงคนเดียวที่บัดนี้โกรธเคืองอาฆาตท่านชลเทพ และคนผู้นั้นก็คาดหวังความตายให้คืบคลานไปยังโอรสของพระองค์ที่อยู่ในต่างแดนด้วยเช่นกัน…อนันตราชปลอดภัย พระองค์เชื่อเช่นนั้น หรือหากอันตราย แต่คนที่อนันตราชจะพร้อมปกป้องสนธยาด้วยทั้งหมดที่มี
 
                ราชินีวารีวาทเอื้อมหัตถ์ไปหยิบกระดาษสีเหลืองนวล ก่อนจะจรดปลายปากกาขนนกลงขีดเขียนอะไรบางอย่างแล้วจึงส่งให้ท่านวรุฒ
 
                “นำจดหมายนี้ส่งให้ถึงมือชีวิน อย่างด่วนและลับที่สุด”
 
                “รับด้วยเกล้า”
 
                …หากอนันตราชปลอดภัยกว่าที่สมุทรา สนธยาก็ไม่ควรจะได้กลับมาเป็นองค์ชายแห่งราชสำนักสมุทราอีกต่อไป!...
 
 ……………………………………………….
 
                ร่างสูงสง่าของผู้เป็นเจ้าของตำหนักอิฐวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในอาณาเขตของตำหนักก่อนจะตรงดิ่งไปยังด้านหลังอาคารขนาดสามชั้น อันเป็นสวนหย่อมที่เมื่อไม่กี่วันก่อน พระองค์มีรับส่งให้ขุดบ่อเพื่อรอรับ ‘ของขวัญ’ จากแดนไกล
 
                และบัดนี้…บ่อนั้นก็กลายเป็นที่อยู่ของ ‘หอย’ ตัวสำคัญ และพระองค์จะไม่ตื่นตระหนกเช่นนี้เลย หากสมิตไม่ไปทูลว่า ‘หอยป่วย’  ถ้าหอยสำคัญตัวนี้เกิดตายเพราะป่วย คราวนี้คนที่อยู่ในอนันตราชด้วยสถานะ ‘เลี้ยงหอย’ ก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่อีกต่อไป
 
                และถ้าคนผู้นั้นจากไป หทัยของพระองค์ก็จะแหลกสลายดับสิ้นเหมือนวิญญาณหอยตัวนั้นเช่นกัน!!
 
                …ไม่!!!...องค์ชายเตชินทร์ตะโกนก้องในหทัยของพระองค์เองว่ามันจะต้องไม่มีวันนั้น!! หอยตัวนั้นต้องมีอายุเป็นนิรันดร์! และองค์ชายสนธยาต้องประทับอยู่เคียงข้างพระองค์จนกว่าความชราจะพลัดพรากลมหายใจให้ปลิดปลิว!!!
 
                “องค์ชาย!” ทันทีที่ร่างสูงขององค์ชายเตชินทร์ปรากฏ ท่านหมอสุเวชแห่งกรมเกษตรก็ถลาเข้ามาคำนับด้วยใบหน้าซีดเผือด
 
                “สมิตบอกว่าหอยป่วยหรือ! ทำไมถึงป่วย?!” สุรเสียงเคร่งเครียดประหนึ่งถูกศัตรูรุกรานแผ่นดิน องค์ชายสนธยาที่เพิ่งเสด็จตามมาทัน สดับฟังสุรเสียงนั้นตวาดก้อง และความเงียบที่เข้าปกคลุมพื้นที่หลังตำหนักแล้วพระขนงก็ได้แต่ขมวดมุ่น
 
                องค์ชายแห่งสมุทราเหลือบเนตรไปยังกลุ่มคนที่มารายล้อมรอบบ่อหอย ซึ่งบัดนี้ตะแกรงถูกยกขึ้นจากบ่อ อวดโฉมหอยมุกขนาดใหญ่ยักษ์ที่นอนอยู่บนตะแกรงซึ่งอยู่เหนือบ่อ
 
                …มันดูเหมือนปกติทุกประการ…
 
                ชีวินผู้เป็นองครักษ์คู่ใจขององค์ชายแห่งสมุทราเห็นองค์ชายผู้เป็นเหนือหัวของตนกำลังมีวี่แววสงสัยบนพระพักตร์ก็ปราดเข้าไปยืนเคียงข้างอย่างรู้งาน
 
                “ชีวิน หอยป่วยจริงหรือ?”
 
                “ก็น่าจะจริงพระเจ้าค่ะ เพราะมันผิดปกติ”
 
                “แล้วมันป่วยเป็นโรคอะไร อันที่จริง…หอยมันป่วยได้กี่โรคล่ะ” แม้จะเป็นลูกทะเล เกิดและเติบโตมากับกุ้งหอยปูปลามากกว่า หมูไก่วัวควาย แต่องค์ชายสนธยาก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าหอยจะป่วยเป็นอะไรได้บ้าง
 
                “กระหม่อมก็ไม่ทราบพระเจ้าค่ะ แต่มันป่วยประหลาด” สิ้นคำของชีวิน ท่านหมอหลวงผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาสัตว์ก็หันไปสั่งให้ทหารยกตะแกรงกลับลงไปในบ่อ เพื่อให้หอยตัวนั้นจมลงไปใต้น้ำ และทันทีที่มันจม ฟองอากาศมากมายก็ผุดขึ้นมาราวกับน้ำเดือด
 
                “นั่นอะไรน่ะ” องค์ชายเตชินทร์ทรงร้องถาม ทันทีที่หอยจมน้ำ ฟองอากาศก็ปรากฏขึ้น มันผุดขึ้นเหนือน้ำ แล้วแตกออก แล้วผุดซ้ำ ผุดขึ้นมาไม่หยุด จนหมอหลวงต้องหันไปสั่งให้ทหารยกตะแกรงขึ้น พอหอยพ้นน้ำ ฟองอากาศเหล่านั้นก็ไม่ปรากฏอีก
 
                “มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่”
 
                “พวกเวรยามบอกว่า หลังจากเปลี่ยนกะรอบค่ำได้ครู่หนึ่งก็เกิดพระเจ้าค่ะ พวกทหารกังวล ท่านอังกูรจึงให้คนไปตามกระหม่อมมาตรวจ แต่…” ท่านหมอหลวงสุเวชทิ้งระยะการทูลความเล็กน้อย ด้วยใบหน้าที่ซีดลงเรื่อยๆ
 
                “แต่อะไร?!” เวลาปกตินั้น องค์ชายเตชินทร์ทรงเป็นองค์ชายที่ยิ้มแย้มแจ่มใสและน่าคบหา หากแต่เวลานี้…พระพักตร์ช่างบึ้งตึงและสุรเสียงก็สั้นห้วนอย่างเอาเรื่อง
 
                “เอ่อ…กระหม่อม…กระหม่อมตรวจแล้วก็ยังไม่ทราบอยู่ดีพระเจ้าค่ะ มันแปลก…แปลกมากเหลือเกิน”
 
                “หมายความว่าท่านไม่รู้อย่างนั้นหรือ?!!!” องค์ชายเตชินทร์ตรัสเสียงดังสนั่นด้วยความโมโห ทำเอาท่านหมอผู้แก่ชราค้อมกายต่ำอย่างหวาดหวั่น
 
                “กระหม่อม…เอ่อ…กระหม่อม…”

   “ท่านสุเวช! ท่านเป็นหมอหลวงประจำกรมเกษตร! เราเห็นม้าเห็นช้างล้มป่วย ท่านก็ยังช่วยได้ แล้วทำไมกับแค่หอยตัวเดียวถึงรักษาไม่ได้!!”

   “ก็…ก็…” ท่านสุเวชยิ่งหน้าซีดหนักกว่าเก่า ไม่กล้าทูลว่าทั้งม้าทั้งช้าง ตนเห็นมาตั้งแต่ยังเล็ก และฝึกปรือการรักษาพวกมันมาตั้งแต่ยังเป็นนักเรียนอยู่ในโรงเรียนแพทย์ประจำวังหลวง หากแต่… ‘หอย’… ตั้งแต่เรียนรักษาสัตว์มาจนอายุปูนนี้ ท่านสุเวชเคยรักษาไม่ถึง 10 ครั้งด้วยซ้ำ! แล้วโรคประหลาดประเภทปล่อยฟองอากาศไม่หยุด เขาก็ไม่เคยพบเคยเห็นเสียด้วย แล้วจะวินิจฉัยได้อย่างไรกัน!


   “ตอบมา! ท่านสุเวช!! ทำไมครั้งนี้ถึงรักษาไม่ได้!!!” ร่างชราของท่านสุเวชสั่นเทิ้มปานจะทรุดลงไปหมอบแทบพื้นในบัดนั้น ทว่า…เสียงหนึ่งกลับดังแทรก
 
                “เราว่าไม่ต้องรักษาหรอก หอยมันคงแค่ตด”
 
                คนทั้งคณะที่มามะรุมมะตุ้มกันอยู่ตรงบ่อหอยถึงกับหันขวับไปมองยังต้นเสียงแทบไม่ทัน องค์ชายสนธยาเหลือบเนตรสบตั้งแต่องค์ชายเตชินทร์ คุณท้าวเอิบ ท่านหมอหลวงสุเวช ท่านองครักษ์อังกูรและสมิต รวมไปถึงนายทหารเวรยามทั้งหลาย พวกนั้นมองกลับมาที่พระองค์พร้อมกับความเงียบกริบและเผยอปากค้าง
 
                “พวกท่านไม่เคยเห็นกันหรือ อย่างเวลาคนเราตดในน้ำ มันก็มีฟองอากาศผุดขึ้นมาอย่างนี้ล่ะ หอยมันก็คงแค่ตดล่ะมั้ง อย่าได้คิดมากนักเลย” พระองค์เองก็เป็นห่วงหอยตัวนั้นอยู่หรอก อย่างน้อยๆก็ทอดเนตรมาตั้งแต่พระองค์ยังเยาว์ มาบัดนี้พอเห็นมันคายฟองอากาศไม่หยุดก็ห่วงบ้าง แต่ก็พอเข้าใจว่าอายุอานามของมันที่ประเมินไม่ได้ ก็อาจทำให้ระบบในร่างกายของมันรวนเรบ้าง ซึ่งก็ต้องทำใจยอมรับกับความชราภาพเหล่านี้ไม่ใช่หรือ
 
                “ถ้ามันตดอย่างที่ท่านว่า แล้วทำไมมันถึงตดไม่หยุดล่ะ” องค์ชายเตชินทร์หันมาถามด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด ด้วยเพราะไม่อาจทำพระทัยเย้นยอมรับเหตุผลขององต์ชายสนธยาได้
 
                “ก็ตดเป็นชุด ท่านไม่เคยตดเป็นชุดหรือ ลองเสวยถั่วมากๆดูสิ” องค์ชายเตชินทร์ตั้งท่าจะแย้ง แต่คุณท้าวเอิบเข้ามาขวางเสียก่อน
 
                “เอาอย่างนี้ดีไหมเพคะ ลองปล่อยเอาไว้สักวัน หากพรุ่งนี้เช้า อาการของหอยยังไม่ดีขึ้น ยังมีฟองอากาศผุดทุกครั้งที่ปล่อยเขาเอาไว้ในน้ำ ก็ค่อยให้ท่านสุเวชจัดยาให้” องค์ชายหนุ่มแห่งราชสำนักอนันตราชเหลือบเนตรมายังคุณท้าวผู้เลี้ยงดูพระองค์มา รู้ดีว่าพระองค์จะใจร้อนวู่วามไม่ได้ เรื่องการรักษาต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหมอ ไม่ใช่พระองค์จะยื่นหัตถ์เข้าไปยุ่มย่าม
 
                …แต่…แต่ดู ‘คนในดวงใจ’ ของพระองค์นั่นสิ ทำไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่ห่วงใยอาการของเจ้าหอยตัวนั้นเอาเสียเลย ทั้งยังให้เหตุผลข้างๆคูๆที่ฟังอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้นเสียอีก
 
                …มีแต่พระองค์เท่านั้นที่ผูกมัดเอาไว้ด้วยหอยตัวนี้ แต่หอยตัวนี้ไม่ได้ผูกมัดใครคนนั้นเอาไว้ด้วยกันเลย หากมันตาย คนผู้นั้นจะได้กลับสมุทราอย่างที่ต้องการ อนันตราชไม่มีความหมาย เป็นได้แค่ที่พัก หากแต่ไม่ใช่ที่อาศัย
 
                “เอาอย่างนั้นก็ได้” สุรเสียงที่เคร่งเครียดมาตลอดพักใหญ่กลายเป็นเย็นเยียบ ดวงเนตรคมบนพักตร์ขาวเหลือบไปยังองค์ชายสนธยา ก่อนที่พระองค์จะหมุนพระวรกายเสด็จกลับเข้าไปในตำหนักโดยไม่แม้แต่จะตรัสอะไรอีก เป็นฝ่ายองค์ชายนธยาผู้ถูกมองวูบเดียวที่รู้สึกแปลกประหลาดกับสายเนตรนั้น จนต้องหันไปตรัสกับองครักษ์นามว่าชีวินที่ยืนอยู่ข้างกาย
 
                “นี่เราถูกงอนอยู่รึเปล่า” เพราะมีสนมในปกครองถึง 121 นาง จะไม่รู้เชียวหรือว่าการถูกงอนเป็นเช่นไร แต่ที่ต้องถามชีวินเพื่อความแน่ใจ เพราะครั้งนี้คนที่ทำท่าว่าเมินกลับเป็นชายอกสามศอกที่ร่างกายสูงใหญ่กว่าพระองค์เสียอีก
 
                ชีวินถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนจะทูลกลับอย่างไม่เกรงพระทัยคนฟัง
 
                “งอนตั้งแต่พระองค์ตรัสว่าหอยตดแล้วพระเจ้าค่ะ”
 
                 ว่าแล้วชีวินก็ถอนหายใจอีกเฮือก พลางเหลือบมองตามวรกายขององค์ชายเตชินทร์ที่หายลับเข้าไปในตำหนักพร้อมองครักษ์สองนาย ปล่อยให้คุณท้าวเอิบส่งแขกอย่างท่านหมอสุเวชเพียงลำพัง
 
                …คนหนึ่งก็พยายามยื้อเอาไว้ หากแต่อีกคนนี่สิ…
 
ชีวินเหลือบกลับมามององค์ชายผู้เป็นเหนือหัวของตนที่กำลังมองหอยยักษ์ตัวเขืองซึ่งถูกยกกลับลงไปใต้น้ำแล้ว และมันก็ยังคงปล่อยฟองอากาศต่อเนื่อง
 
                …อีกคน…ก็ไม่ได้สนใจจะเข้าใจการยื้อนั้นเลย…ขืนปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป เห็นที ‘สี่มือ’ ที่จะปกป้ององค์ชายสนธยาจะเหลือแค่ ‘สองมือ’ ของชีวินเท่านั้นกระมัง
 
 ………………………………………………
 
                สมิตบอกได้คำเดียวว่าวันนี้คือวัน ‘วินาศ’ ของแท้ เพราะตั้งแต่เช้าที่พระองค์ทรงยุ่งกับราชกิจเสียเต็มประดา พอตกเย็นได้เสด็จประพาสเป็นการส่วนพระองค์กับองค์ชายจากสมุทราก็ดูเหมือนพระอารมณ์จะเตลิดไกลราวกับเป็นหนุ่มน้อยในวัยแรกรัก แต่พอสมิตได้รับข่าวด่วนและนำข่าวด่วนข่าวร้ายไปทูลแจ้ง พระอารมณ์ขององค์ชายเตชินทร์ก็ดิ่งลึกลงสู่ความวิตกกังวล ก่อนจะกลายเป็นความโกรธเคืองเมื่อท่านหมอหลวงผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาสัตว์มากที่สุดในวังอย่างท่านสุเวชไม่อาจทูลได้ว่าหอยป่วยเป็นอะไร
 
                ทุกอย่างควรจะหยุดที่แค่พระอารมณ์โมโหขุ่นเคือง ทว่า…ผู้ที่อยู่เหนือความคาดหมายดันทำให้สถานการณ์พลิกตลบด้วยการออกความเห็นว่า
 
                ‘หอยตด’
 
                ตอนแรกสมิตทั้งอึ้งทั้งขำ แต่พอจะหัวเราะดันเหลือบเห็นสีพระพักตร์องค์ชายเตชินทร์ก็พอรู้ว่าการออกความเห็นว่า ‘หอยตด’ ขององค์ชายสนธยานั้น ดูท่าจะทำให้พระอารมณ์ของรัชทายาทลำดับที่สองแห่งอนันตราชกลายเป็นความน้อยใจขุ่นเคือง
 
                และความขุ่นความเคืองนั้นก็ดำเนินมาตั้งแต่เสด็จกลับจากบ่อหอยเข้ามาในห้องบรรทม และแสดงออกด้วยการทำเสียงดังปึงปังไปหมด หากไม่ใช่ว่าสมิตถวายการรับใช้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร เขาก็คงจะนึกหวั่นพระอารมณ์ร้อยอย่างในหนึ่งวันขององค์ชายเตชินทร์อยู่เหมือนกัน
 
                “พวกเจ้าไปพักผ่อนได้แล้ว เราจะเข้านอน” ว่าแล้ว องค์ชายหนุ่มก็ทรงโยนหนังสือในหัตถ์ที่ทรงหยิบมาพลิกอ่านได้ไม่ถึง 2 หน้าลงบนโต๊ะข้างเตียง ก่อนจะไถลร่างลงนอนโดยไม่สนใจผู้ใดอีก
 
                สมิตกับอังกูรจึงได้แต่น้อมกายลา แล้วจึงออกจากห้องไปอย่างเงียบเฉียบ และพอพ้นห้องบรรทมขององค์ชายเตชินทร์มาแล้ว สมิตก็ถึงกับถอนหายใจเสียงดังเฮือก
 
                “วันนี้สถานการณ์พลิกหลายรอบจริง ข้าล่ะเหนื่อย”
 
                “จริง” อังกูรเป็นคนพูดน้อย ส่วนใหญ่จึงมักจะแสดงความคิดเห็นไปในทางเห็นด้วยกับไม่เห็นด้วยเท่านั้น ส่วนการให้เหตุผล หรือการเสนอแนะเพิ่มเติมนั้นไม่ค่อยจะมี
 
                “แต่ที่พลิกที่สุดก็เห็นจะเป็นตอนหอยตดนี่ล่ะ เล่นเอาข้ากลั้นหัวเราะแทบแย่” อังกูรได้แต่พยักหน้ารับ เขาเองก็คิดไม่ถึงว่าองค์ชายสนธยาจะทรงเสนอความคิดเช่นนี้ออกมา ในตอนที่ทุกอย่างกำลังหน้าสิ่วหน้าขวาน และองค์ชายเตชินทร์กำลังโมโหเป็นที่สุด
 
                “อันที่จริงแล้ว องค์เตชก็ไม่น่าจะคิดเล็กคิดน้อยนักเลย องค์ชายสนธยาก็คงไม่อยากให้สถานการณ์ย่ำแย่ ถึงได้ตรัสเช่นนั้นออกมา”
 
                “องค์เตชทรงห่วงเรื่องหอยมาก เจ้าก็รู้ แต่พอองค์ชายสนธยามีรับสั่งราวกับมันเป็นเรื่องเล็กน้อย องค์เตชเลยน้อยพระทัย” อังกูรเสนอตามความคิดของตน ตอนที่พวกเขาก้าวมาหยุดที่หน้าห้องพักบนชั้นสามพอดี สมิตถอนหายใจอีกครั้ง แล้วส่ายศีรษะไปมา
 
                “เสียองค์เพราะผู้ชาย” สมิตว่าอย่างนั้น
 
                “ก็เห็นเป็นแค่กับองค์ชายสนธยา กับสตรีนางอื่นๆในวังไม่ยักเป็น”
 
                “น่าเสียดาย ข้าล่ะอยากเห็นโอรสขององค์เตช แต่ถ้าปักใจรักองค์ชายสนธยาเช่นนั้น ข้าก็อดน่ะซี่” อังกูรไม่ตอบ เขาได้แต่ยิ้ม ด้วยเพราะรู้ว่าความรักครั้งนี้ของผู้เป็นนาย ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ว่าองค์ชายสนธยาเป็นองค์ชายหรือองค์หญิง และไม่ได้หวังผลภายภาคหน้าว่าจะได้มีโอรสธิดาสืบต่อไปหรือไม่ หากแต่…องค์ชายเตชินทร์ต้องการคนที่ชื่อสนธยาเท่านั้น มิเช่นนั้นคงไม่ออกอาการมากถึงเพียงนี้
 
                สองเพื่อนรักผู้เป็นองครักษ์ในองค์ชายรัชทายาทแห่งอนันตราชหายลับเข้าไปในห้องพักส่วนตัวแล้ว ในขณะที่องครักษ์ขององค์ชายแห่งสมุทราที่หลบอยู่ข้างบันไดซึ่งได้ยินทุกประโยคที่พูดคุยนั้น ได้แต่ขมวดคิ้วมุ่น
 
                …โอรสธิดาหรือ?...
 
                เขาเองก็อยากเห็นโอรสธิดาขององค์ชายสนธยาเช่นกัน
 ……………………………………………………….
 
                ร่างอรชรเดินวนไปมารอบห้องอย่างนั่งไม่ติด พักตร์งามดั่งดรุณีแรกรุ่นส่ออารมณ์หงุดหงิดและโมโหร้าย ริมฝีปากแต่งแต้มด้วยสีชาดขบเม้มเข้าหากันอย่างอัดอั้น
 
                …นี่ก็หลายวันแล้ว! เมื่อไรพระองค์จะได้ยินข่าวดีจากอนันตราชเสียที!!...
 
                “องค์หญิงเพคะ พระทัยเย็นนะเพคะ ของอย่างนี้จะกระทำอุกอาจไม่ได้ อนันตราชเป็นอาณาจักรใหญ่ พลทหารพรั่งพร้อมซ้ำยังได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี อีกทั้งองค์ชายสนธยาก็เป็นถึงอาคันตุกะประจำตำหนักขององค์ชายรัชทายาทลำดับที่ 2 มันไม่ง่ายนะเพคะ”
 
                “แล้วจะให้ข้ารอถึงเมื่อไร!!”
 
                “จะทำการใหญ่ต้องใจเย็น หม่อมฉันเคยสอนแล้วนะเพคะ” คุณท้าวสุภาทูล มือเหี่ยวย่นแตะท่อนกรเล็กเรียวขององค์หญิงอรุณาอย่างปลอบประโลม
 
                “ราชบัลลังก์แห่งสมุทราต้องไม่พ้นฝ่าพระหัตถ์ของพระองค์ ได้โปรดเชื่อหม่อมฉันนะเพคะ” นางผู้รับใช้มาตั้งแต่พระองค์ยังเยาว์ใช้วาจาปลอบขวัญอย่างที่เคยได้ผลมาตลอด และครั้งนี้ก็เช่นกัน องค์หญิงอรุณาพยักพักตร์อย่างรับรู้ แม้พระขนงจะยังขมวดมุ่นก็ตาม
 
                “มีรับสั่งจากราชินีวารีวาทให้องค์หญิงอรุณาเสด็จเข้าเฝ้าเป็นการด่วนพระเจ้าค่ะ!!” เสียงตะโกนจากนอกห้องบรรทมส่วนพระองค์ ทำเอาคุณท้าวสุภาต้องรีบยุยง
 
                “นั่นประไร สงสัยองค์ราชินีจะมีดำริงานสำคัญให้พระองค์นะเพคะ ถึงได้เรียกให้เข้าเฝ้า” พอถูกเป่าพระกรรณเช่นนั้น องค์หญิงอรุณาผู้วาดหวังบัลลังก์แห่งสมุทราก็หวนไปถึงรับสั่งลับของพระองค์ที่มอบหมายให้นักฆ่าฝีมือดีบุกไปยังเรือนของขุนนางเฒ่าอย่างท่านชลเทพ แม้ครั้งนั้นจะไม่ได้ทำร้ายใครให้ได้รับบาดเจ็บ เพราะครอบครัวของท่านชลเทพไปเยี่ยมญาติที่เมืองอื่น แต่ก็คงทำให้เจ้าขุนนางเฒ่าขวัญหนีดีฟ่อและอาจรีบถวายคืนตำแหน่งแม่ทัพกองเรือแก่องค์ราชินีวารีวาทโดยเร็ว
 
                “คราวนี้ ตำแหน่งแม่ทัพกองเรือจะได้ตกถึงมือข้าเสียที!”
 
                …………………………………………………
 
แสงสีทองนอกหน้าต่างบานกระจกรำไรอยู่ที่ขอบฟ้าลิบๆ ทำเอาองค์ชายหนุ่มผู้พลัดถิ่นมาจากเกาะเล็กๆกลางทะเลต้องผุดลุกขึ้นนั่งบนแท่นบรรทมอย่างนึกหงุดหงิดงุ่นง่าน ดวงเนตรสีน้ำตาลอ่อนเหลือบไปบานกระจกที่แสงจากภายนอกบอกเวลาเช้าตรู่
 
                …เช้าแล้ว…แต่พระองค์บรรทมไม่หลับมาทั้งคืน…
 
                …ก็จะเรื่องอะไร ถ้าไม่ใช่เรื่องหอยตัวดีที่เมื่อวานดันป่วยประหลาดปล่อยฟองอากาศเสียจนโกลาหลกันไปทั้งวัง หนำซ้ำ พอพระองค์พยายามจะกู้สถานการณ์ไม่ให้ความดมโหขององค์ชายเตชินทร์ทำให้ท่านสุเวชเป็นลมไปเสียก่อน ก็ดันทำให้องค์ชายเตชินทร์เมินพระองค์เสียอย่างนั้น…
 
                …ก็ใครจะไปรู้ ว่าจะบ้าหอยห่วงหอยขนาดนี้!...
 
                องค์ชายหนุ่มเจ้าของพระมังสาสีน้ำผึ้งไถลกายลงจากแท่นบรรทมแล้วเสด็จไปยังข้างบานหน้าต่าง ซึ่งสามารทอดเนตรลงไปยังสวนด้านหลังตำหนักอันเป็นตำแหน่งของบ่อหอยมุกตัวเขื่องที่เมื่อวานสร้างเรื่องสร้างราวให้ท่านสุเวชจากกรมเกษตรเกือบหัวขาดเพราะป่วยเป็นโรคอะไรก็ไม่รู้ที่ท่านสุเวชไม่สามารถให้คำตอบได้
 
                ที่บ่อน้ำซึ่งเมื่อวานคือจุดเกิดเหตุ มาบัดนี้ผิวน้ำเรียบสนิท ไม่มีฟองอากาศผุดพรายเหมือนเมื่อวาน
 
                “วันนี้ไม่ยักมีฟองอากาศสักฟอง ดูท่ามันจะตดจริงๆ ไหมล่ะ! ทำกันเสียเป็นเรื่องใหญ่” สนธยาได้แต่พึมพำเสียงเบา ก่อนจะหมุนกายไปพลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดใหม่และล้างหน้าล้างตาเรียกความสดชื่นในยามเช้า ก่อนจะก้าวออกจากห้อง ที่หน้าห้องนั้นชีวินพร้อมรับใช้อยู่แล้ว องครักษ์ผิวขาวซึ่งไม่สมกับเกิดในสมุทราก้าวเท้าเดินตามองค์ชายหนุ่มที่เสด็จลงห้องเสวยชั้นล่างของตำหนัก
 
                “อรุณสวัสดิ์เพคะ องค์สน” คุณท้าวเอิบเองก็พร้อมรับใช้อยู่ในห้องเสวย นางกำลังควบคุมดูแลการจัดกระยาหารมื้อเช้าอยู่ที่โต๊ะ แต่ก็ยังหันมาทูลทักทายพร้อมรอยยิ้มแจ่มใสอย่างเช่นทุกเช้า
 
                “อรุณสวัสดิ์” องค์ชายสนธยาตรัสเช่นนั้น หากแต่ก็ต้องเลิกพระขนงเมื่อพบว่าที่โต๊ะเสวยกลางห้องมีเพียงแค่สำรับอาหารชุดเดียว
 
                “อ้าว...แล้ว…”
 
                “องค์เตชเสด็จออกไปที่บ่อหอยเมื่อครู่นี้เองเพคะ”เมื่อเห็นสายเนตรขององค์ชายหนุ่ม คุณท้าวเอิบก็พอจะคาดเดาได้ว่าองค์ชายสนธยาแห่งเกาะสมุทราดำริเรื่องใดอยู่
 
                “ไปดูหอยแต่เช้าเลยหรือ”
 
                “เพคะ องค์เตชทรงห่วงเรื่องหอยมาก” องค์ชายสนธยาได้แต่พยักพักตร์อย่างเห็นด้วย หากแต่ไม่ได้ตรัสสิ่งใดต่อก็เสด็จไปประทับที่โต๊ะเสวยแล้วเริ่มมื้อเช้าอย่างง่ายๆ หากแต่ชีวินที่ถวายการรับใช้มานานนมรู้ดีว่านี่เป็นมื้อที่องค์สนเสวยเร็วที่สุดในชีวิต
 
              ……………………………………………… 
หัวข้อ: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 5)...อัพ 9/07
เริ่มหัวข้อโดย: Dezair ที่ 09-07-2013 20:50:44
               

ผิวน้ำนิ่งเรียบ มีเพียงระลอกคลื่นน้อยๆยามลมพัดแผ่วเบา องค์ชายเตชินทร์ผู้เป็นเจ้าของตำหนักอิฐทอดเนตรนิ่งนานอยู่ข้างบ่อ โดยไม่มีนายทหารเวรยามคนใดกล้าเข้าไปรบกวน จนกระทั่งสมิตเหลืบไปเห็นร่างสูงโปร่งผู้มีมังสาสีน้ำผึ้งเสด็จตรงเข้ามาหา
 
                “อังกูร ราชทูตหอยที่ไม่ใคร่จะสนใจหอยมานั่นแล้ว” สมิตขยับเข้าไปกระซิบให้เพื่อนรักเหลือบตามองตาม
 
                องค์ชายสนธยากำลังเสด็จมายังบ่อหอย พร้อมด้วยองครักษ์คู่ใจนามว่าชีวินซึ่งสมิตไม่อยากจะเหลือบแลสายตาไปมองใบหน้านิ่งเรียบหยิ่งยโสนั่น หากแต่เพราะนายเหนือหัวของฝ่ายนั้นช่างแสนจะมีแนวคิดและฝีปากน่าสนใจเกินไป สมิตเลยอดไม่ได้ที่จะเผื่อแผ่ความสนใจไปยังชีวินด้วย…ก็เท่านั้น
 
                สมิตไม่ต้องเข้าไปทำหน้าที่ถวายข่าวว่าองค์ชายสนธยาเสด็จมายังบ่อหอยกับองค์ชายเตชินทร์ เพราะผู้เป็นเจ้าของตำหนักอิฐแห่งนี้ทรงได้ยินเสียงฝีบาทหนักๆของอาคันตุกะได้เป็นอย่างดี และสมิตเชื่อหมดใจว่าองค์ชายเตชินทร์ทรงจำเสียงบาทนี้ได้อย่างแม่นยำ
 
                “แหม รู้นะนั่นว่าองค์สนเสด็จมาแล้ว แต่ทำพระทัยแข็งไม่ยอมหันไปดู เพิ่งรู้ว่าองค์เตชทรงขี้งอนขนาดนี้” สมิตอดไม่ได้ที่จะปากมากนินทาผู้เป็นนายกับอังกูร
 
                “สมิต” หากแต่อีกฝ่ายไม่เล่นด้วย สมิตเลยได้แต่หุบปากเงียบ แล้วคอยเฝ้าสังเกตสถานการณ์ต่อไปว่าเมื่อองค์ชายสนธยาเสด็จเข้าไปใกล้แล้ว องค์ชายเตชินทร์จะทรงกระทำสิ่งใดต่อไป
 
                องค์ชายสนธยาเสด็จไปประทับเคียงข้างองค์ชายเตชินทร์ที่ข้างบ่อหอยแล้ว และสมิต อังกูรกับชีวินก็ยืนอารักขาใกล้มากพอที่จะได้ยินบทสนทนาที่เริ่มต้นด้วยฝีโอษฐ์ขององค์ชายที่มักมีดำริสร้างสรรค์อย่างหาไม่ได้ในแผ่นดินไหน
 
                “เราบอกแล้วว่ามันแค่ตด เห็นไหม วันนี้นิ่งเชียว”
 
                “ท่านดูไม่ห่วงมันเลยสักนิด” องค์ชายเตชินทร์ตรัสด้วยน้ำเสียงแหบพร่าเพราะสะท้อนในอุระ ที่เห็นอีกฝ่ายไม่ได้มีทีท่าเป็นกังวล ทั้งๆที่หากหอยตัวนี้ซึ่งเป็นของบรรณาการต้องดับดิ้นลงที่อนันตราช องค์ชายสนธยาก็ไม่มีความจำเป็นหรือเหตุผลใดอีกที่จะต้องอยู่ที่นี่ต่อไป และเมื่อถึงเวลานั้น…เวลาของพระองค์ที่จะได้ใกล้ชิดองค์ชายสนธยาก็จะสิ้นสุดลงด้วยเช่นกัน
 
                องค์ชายสนธยาจับกระแสเสียงที่แสนน้อยเนื้อต่ำใจจากประโยคเพียงแค่ประโยคเดียวของอีกฝ่าย อาจจะเพราะพระองค์มีสนมมากมาย สมัยที่ยังอยู่ในสมุทรา และพระองค์ก็ไม่เคยปล่อยให้สนมทั้งหลายแสดงอาการงอนให้ง้อนานๆเสียด้วย พอได้ยินน้ำเสียงน้อยใจอย่างนี้ พระองค์จะต้องรีบจูงใจกลับมาเสียก่อนจะงอนนานกว่านี้
 
                “หอยตัวนี้อยู่ในบ่อหลังตำหนักของเสด็จแม่ สมัยยังเล็ก เราต้องไปขอพรจากเสด็จแม่ในวันเกิด ทุกๆปีต้องเดินผ่านบ่อนี้ แม้มันจะอยู่ใต้บ่อ แต่ก็รับรู้ว่ามันอยู่ในนั้น พอโตขึ้นมา ทุกๆเช้าเราต้องไปประชุมกับคณะขุนนางนายทหารที่ตำหนักหลวง ถ้าเดินลัดผ่านทางตำหนักของเสด็จแม่ จะไปถึงได้เร็วกว่าเดินอ้อม เราก็เลยต้องเดินผ่านทุกวัน ในทุกๆปี ก่อนเข้าหน้าฝน จะมีการขัดกาบหอยให้สะอาดเอี่ยม พวกทหารจะยกมันขึ้นมาจากบ่อ และให้นางกำนัลขัดมันให้เอี่ยมอ่อง เราจะแวะไปดูมันทุกปี” องค์ชายสนธยาตรัสพลางแย้มสรวลบางเบายามดำริถึงเมื่อครั้งยังอยู่ในสมุทรา ก่อนจะหันมาทางองค์ชายเตชินทร์ที่ประทับอยู่เคียงข้าง
 
                “แน่นอน เราห่วงมัน แต่เราก็อยากให้ท่านเข้าใจว่ามันแก่มากแล้ว เราเกิดมาก็เห็นมันตัวใหญ่อย่างนี้ มันอยู่มานาน หากบัดนี้ร่างกายมันจะรวนเรไปบ้าง ก็ต้องทำใจยอมรับมันไม่ใช่หรือ การรั้งให้มันมีชีวิตอยู่ด้วยการแพทย์และการรักษา เรารู้ว่ามันเป็นเรื่องดี ใครๆก็อยากมีชีวิตยืนยาวกันทั้งนั้น แต่หากการรักษาสร้างความเจ็บปวดแสนสาหัสให้มัน เราก็อยากให้มัน ‘ไป’ อย่างสบายที่สุด”
 
                “แล้วถ้ามันจากไป…สมุทราจะ…” องค์ชายเตชินทร์กังวลเพียงเรื่องเดียว คือหากหอยตาย สมุทราก็อาจจะต้องเรียกองค์ชายสนธยากลับ เพราะไม่มีเหตุผลใดอีกให้ต้องอยู่ที่นี่ จริงอยู่ว่าที่สมุทราไม่ปลอดภัย พระองค์เองก็พอจะรับรู้ว่าเรื่องราวภายในราชสำนักสมุทราเป็นเช่นไร แต่…ก็มีอีกหลายอาณาจักรที่ปลอดภัยเพียงพอที่ราชินีวารีวาทจะทรงส่งโอรสนามว่าสนธยาไปหลบลี้หนีภัยร้าย
 
                “ไม่ต้องห่วง หากมันตาย สมุทราไม่ปฏิเสธความรับผิดชอบหรอก เราจะรีบให้เสด็จแม่ส่งของบรรณาการที่มีค่าไม่ด้อยไปกว่ากันมาให้อนันตราชทันที” หากแต่องค์ชายสนธยากลับดำริไปคนละเรื่อง และนั่นทำเอาคนฟังที่กำลังจะเริ่มหายงอน ชักจะนึกตึงขึ้นมาอีกรอบ สมิตมองเห็นความวินาศในอีกไม่กี่เสี้ยวเวลาข้างหน้าแล้วต้องรีบเสนอหน้าเข้ามาไกล่เกลี่ย
 
                “ขอประทานอภัยพระเจ้าค่ะ” หากแต่ไม่ใช่สมิตเพียงคนเดียว เพราะชีวินเองก็ยื่นมือเข้ามาช่วยกู้สถานการณ์ด้วยเช่นกัน จึงกลายเป็นทั้งสองพูดพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
 
                สมิตและชีวินหันมองหน้ากันทันที ก่อนที่ต่างฝ่ายต่างจะเบือนหน้าหนีไม่ยอมทูลอะไรทั้งคู่
 
                “มีอะไรหรือ” องค์ชายสนธยาหันมาตรัสถาม เมื่อสององครักษ์เงียบไปทั้งคู่
 
                “พระองค์เพิ่งหายประชวรเมื่อวาน วันนี้ออกมาตากลมแรงแต่เช้า เกรงว่าไข้จะกลับพระเจ้าค่ะ” ชีวินทูลนายของตนโดยไม่หันไปสนใจสมิตที่ยืนอยู่ไม่ไกลอีก กลายเป็นฝ่ายสมิตเสียเองที่ได้แต่นิ่งชะงัก เพราะประโยคที่ชีวินใช้แยกองค์ชายทั้งคู่ออกจากกันเป็นประโยคเดียวกับที่เขาคิดจะใช้เช่นกัน!
 
                “จริงด้วยสินะ ป่านนี้คุณท้าวเอิบคงค้อนเราให้ขวั่กที่เราออกมานอกตำหนักเช่นนี้” องค์ชายสนธยาตรัสอย่างนึกขึ้นได้ ก่อนจะหันมาทางองค์ชายเตชินทร์ที่พักตร์ยังนิ่งเฉย หากแต่ในสายเนตรนั้นมีแววเจ็บปวดลึกซึ้งอย่างที่คนเห็นได้แต่ขมวดขนงมุ่น
 
                “ท่านเตช…”
 
                “เชิญท่านสนกลับเข้าตำหนักเถอะ อย่างที่ชีวินว่า ข้างนอกลมแรง อาจจะทำให้ไข้กลับ” ท่าทียังคงดูมึนตึง และน้ำเสียงก็ไม่หวานหยดเช่นทุกคราว องค์ชายสนธยานิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะใช้มาตรการสุดท้ายอย่างที่เคยใช้กับสนมทั้งหลายได้ชะงัดเสมอ
 
                หัตถ์เรียวสีน้ำผึ้งยื่นออกไปแตะที่ท่อนกรของอีกฝ่ายเบาๆ แค่นั้นก็ทันตาเห็นแล้ว เพราะร่างสูงสง่าขององค์ชายรัชทายาทแห่งอนันตราชดูจะนิ่งชะงักไปในทันที อีกทั้งพักตร์ขาวก็ดูเหมือนความหมางเมินจะเจือจาง ในขณะที่สายเนตรที่เหลือบกลับมาสบกับดวงเนตรสีน้ำตาลอ่อนขององค์ชายสนธยาก็ดูจะอ่อนแสงลง
 
                “ท่านเตช ท่านเองก็ต้องห่วงสุขภาพด้วยเช่นกัน เห็นคุณท้าวเอิบบอกว่า ท่านออกมาดูมันตั้งแต่เช้าไม่ใช่หรือ แล้วนี่รับของเช้าบ้างรึยัง”
 
                “เรียบร้อยแล้ว” เพียงแค่ความห่วงใยที่ถ่ายทอดออกมาจากน้ำเสียงขององค์ชายจาสมุทรา องค์ชายรัชทายาทลำดับที่ 2 แห่งอนันตราชก็ดูจะพระทัยอ่อนยวบยาบอย่างไม่มีสาเหตุ
 
                “ท่านต้องออกไปทำงานที่กรมวังใช่ไหม”
 
                “ใช่ ที่ตำหนักขาว ไม่ไกลจากที่นี่มากนัก”
 
                “แล้วกลางวันล่ะ ทานที่ไหน กลับมาทานที่นี่ไหม เราจะรอ” พอประโยคสุดท้ายออกจากโอษฐ์บางขององค์ชายแห่งสมุทรา องค์ชายเตชินทร์ก็ราวกับถูกพาขึ้นสวรรค์ทั้งๆที่สองบาทยังเหยียบพื้น
 
                “เรา…จะรีบกลับมาทานมื้อเที่ยงกับท่าน”
 
                “อืม” ทิ้งท้ายการรับคำด้วยรอยยิ้มบางที่แสนงดงาม ก่อนที่องค์ชายสนธยาจะหมุนวรกายกลับเข้าไปในตำหนัก ทิ้งให้องค์ชายเตชินทร์ทอดพระเนตรตามด้วยสายเนตรที่แสนปิติยินดี อย่างที่สมิตอดไม่ได้ต้องหันไปพูดกับเพื่อนรักนามว่าอังกูรเสียงเบา
 
                “แค่ลมปากเพียงอย่างเดียวก็ทำเอาองค์เตชเปลี่ยนพระอารมณ์ได้ง่ายขนาดนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหลงองค์ชายสนธยามากเพียงใด อุ้ย!!” นินทาจบปุ๊บ สมิตก็หันมาเห็นองค์ชายเตชินทร์กำลังทอดเนตรมาทางเขาพอดี องครักษ์หนุ่มปากมากเลยรีบทำตัวเรียบร้อย หากแต่แทนที่องค์ชายเตชินทร์จะทรงเล่นงานเพราะฝีปากแสนประเสิรฐนั่น พระองค์กลับแย้มสรวลอย่างเป็นสุข…พระเนตรพระกรรณดับไปแล้ว ไม่ทันได้รับรู้เรื่องอื่นใดอีก นอกจากนัดมื้อกลางวันที่ให้ไว้กับองค์ชายสนธยา
 
                “ไปเถอะ วันนี้เราจะเข้ากรมเร็วหน่อย จะได้จัดการงานให้เรียบร้อยแล้วรีบกลับมาทานมื้อเที่ยงกับท่านสน”
 
                “ดูท่า วันนี้คุณท้าวเอิบต้องรีบตั้งโต๊ะมื้อกลางวันเสียแล้ว เพราะองค์เตชคงรีบกลับมาตั้งแต่สาย” สมิตยังไม่วายกระซิบกับหูเพื่อน
 
                “สมิต” สุรเสียงขององค์ชายเตชินทร์ทำเอาคนกำลังนินทาเจ้านายสะดุ้งเฮือก
 
                “พ…พระเจ้าค่ะ…”
 
                “เจ้าไปบอกคุณท้าวที ว่ามื้อเที่ยงวันนี้ของเราจะเริ่มตั้งแต่สายจนกระทั่งเย็น”
 
                “หา! มื้อเดียวจะเสวยถึงเย็นเลยหรือพระเจ้าค่ะ?!!”
 
                “ใช่ ตอนแรกเราตั้งใจจะทานถึงดึกเลยด้วยซ้ำ” องค์ชายเตชินทร์ด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยราวกับเป็นเรื่องปกติ ก่อนจะเสด็จออกจากตำหนักเพื่อรีบไปทรงงานให้เสร็จในตอนสาย แล้วจะรีบเสด็จกลับมาเริ่มมื้อเที่ยงกับองค์ชายสนธยา
 
                สมิตได้แต่มองตาม แล้วเกาะศีรษะแกรกพลางส่ายศีรษะไปมากับรับสั่งขององค์ชายเหนือหัว
 
                “ถ้าจะทำกันขนาดนี้ ผูกองค์สนติดไปทุกทีเลยไหมล่ะ หื้อ!”
 
 ……………………………………………………..
 
ในขณะที่ผู้เป็นอนุชาอย่างองค์ชายเตชินทร์กำลังทรงงานอย่างแสนสุนทรีย์ด้วยเพราะมีเป้าหมายเป็นมื้อกลางวันกับองค์ชายผู้เป็นแก้วตาดวงใจ องค์ชายเจษฎาผู้เป็นพระเชษฐาของโอรสธิดาทั้งมวลแห่งอนันตราชกำลังทรงงานอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ในห้องอักษร แม้นี่จะเป็นเวลาเช้าตรู่ที่ขุนนางนายทหารส่วนใหญ่ยังร่วมมื้อเช้าอยู่กับครอบครัวก็ตาม แต่เพราะรัฐกิจในฐานะ ‘องค์ชายรัชทายาทลำดับที่หนึ่ง’ ทำให้พระองค์ไม่อาจใช้ชีวิตเฉกเช่นบุรุษฉกรรจ์ทั้งหลายในอนันตราช
 
                …พระองค์มีบ้านเมืองต้องรับผิดชอบ มีราชบัลลังก์ต้องค้ำจุน…
 
                เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองครั้ง ทำเอาองค์ชายหนุ่มต้องเงยพักตร์จากงานเอกสารที่จำต้องสรุปให้เสร็จสิ้นภายในเช้านี้ เพื่อเข้าประชุมในยามบ่าย
 
                “เข้ามา”
 
                สิ้นเสียงอนุญาต นายทหารผู้หนึ่งก็เปิดประตูเข้ามา ก่อนจะรีบนำความมาทูล
 
                “มีอะไรหรือ อัศวา” องค์ชายหนุ่มตรัสถาม เพราะปกติแล้ว หากไม่ใช่เรื่องด่วน อัศวาผู้เป็นทหารองครักษ์คนสนิทของพระองค์จะไม่เข้าเฝ้ากะทันหันนอกเวลาราชการเช่นนี้
 
                “เรื่ององค์ชายจากสมุทราพระเจ้าค่ะ” อัศวาทูล เพียงเท่านั้น องค์ชายเจษฎาก็ทรงวางปากกาขนนกที่อยู่ในหัตถ์ลงบนแท่น แล้วจึงเอนวรกายพิงพระเก้าอี้ ราวกับรอคอยที่จะสดับทั้งที่เมื่อครู่ยังยุ่งเสียเต็มประดา อัศวาขยับเข้าไปใกล้เพื่อทูลเรื่องราวที่ได้ยินมาจากสายในสมุทรา
 
                “ดูเหมือนองค์หญิงองค์หนึ่งของสมุทราไม่ค่อยจะรักใคร่พี่ชายเสียเท่าไหร่”
 
                “หืม? แต่สมุทราสืบทอดบัลลังก์ด้วยตำแหน่งราชินีไม่ใช่หรือ” องค์ชายเจษฎาตรัสถาม เรื่องความรักใคร่ในหมู่พี่น้องผู้ถือเชื้อสายราชนิกูลนั้นหากไม่บ่มเพาะแต่เล็ก โตขึ้นมาก็คงนึกอยากจะประหัตประหารกันน่าดู แต่…องค์หญิงแห่งสมุทราจะกังวลไปไย ในเมื่อ ‘พี่ชาย’ ไม่มีสิทธิ์ครองตำแหน่งจ้าวบัลลังก์แห่งสมุทราอยู่แล้ว ในเมื่อที่สมุทรานับถือราชินีเป็นเจ้าเมือง
 
                “พระเจ้าค่ะ แต่เมื่อครั้งที่องค์ชายสนธยายังประทับอยู่ที่สมุทรา องค์ชายสนธยาได้รับตำแหน่งแม่ทัพกองเรือ ซึ่งเป็นกองทัพสำคัญที่สุดของสมุทรา”
 
                “อ้อ! เพราะอย่างนั้นองค์หญิงก็เลยหวั่นใจว่าอาจมีการเปลี่ยนกฎมณเฑียรบาลอย่างนั้นสินะ แล้วตอนนี้องค์ชายสนธยามาอยู่ที่อนันตราชแล้ว แล้วใครคุมทัพเรือแทนล่ะ”
 
                “ขุนนางเฒ่าคนหนึ่งในราชสำนักพระเจ้าค่ะ” องค์ชายเจษฎาเลิกพระขนงเล็กน้อย เมื่อได้สดับว่าตำแหน่งที่องค์หญิงแห่งสมุทราหมายปองไม่มาถึงมือนางเสียที นางคงไม่หยุดอยู่เฉยๆ และองค์ชายสนธยาที่แม้จะประทับอยู่ในอนันตราช แต่หากองค์หญิงผู้นั้นหมายมั่นจะบากบั่นทำลายเสี้ยนหนามขวางทางบัลลังก์ อนันตราชก็อาจกลายเป็นสุสานขององค์ชายสนยาได้เสมอ!
 
                “ที่ตำหนักอิฐ นอกจากทหารเวรยามคุ้มกันบ่อหอยแล้ว องค์เตชขอทหารเพิ่มบ้างรึเปล่า”
 
                “เพิ่มพระเจ้าค่ะ องค์ชายเตชินทร์มีรับสั่งกับฝ่ายทหารเมื่อเดือนก่อน”
 
                “เมื่อเดือนก่อนหรือ?” เป็นอีกครั้งที่องค์ชายเจษฎานึกแปลกพระทัย เมื่อผู้เป็นน้องชายขอทหารคุ้มกันตำหนักเพิ่มเมื่อเดือนก่อน ซึ่งนั่นหมายถึงก่อนที่ขบวนบรรณาการจากสมุทราจะมาถึง
 
                …หรือจะรู้ล่วงหน้าว่าขบวนบรรณาการของสมุทราคืออะไร ไม่สิ…นอกจากจะรู้ว่าขบวนบรรณาการคืออะไรแล้ว เตชินทร์ยังรู้กระทั่งว่าคนนำขบวนบรรณาการมาที่อนันตราชคือองค์ชายสนธยา
 
                “อัศวา เจ้าจงไปที่ตำหนักของเสด็จพ่อ แล้วเรียนท่านราชเลขาวิกรมว่าเราขอเข้าเฝ้าเป็นการด่วนทันทีที่เสด็จพ่อทรงประชุมรอบเช้าเสร็จ”
 
                “รับด้วยเกล้า จะให้กระหม่อมเรียนท่านวิกรมไหมพระเจ้าค่ะ ว่าเป็นเรื่องด่วนเรื่องอะไร”
 
                “เรื่ององค์ชายพลัดถิ่น”

ติดตามตอนต่อไป

กรุงเทพ ฝนตก รถติด และพนักงานกินเงินเดือนเพิ่งกลับถึงบ้านนนนนน (กรีดร้องงงงงง)
เมื่อตอนที่แล้ว เล่นเอาเงิบกันไปเลย เจอประโยคสุดท้ายว่าหอยป่วย อิอิ
บอกแล้วเรื่องนี้เน้นอมยิ้มขำๆ ดราม่าชิงบัลลังก์อะไรนั่นเป็นแค่น้ำจิ้มเท่านั้นล่ะ ฮ่าฮ่า

มีหลายเรื่องอยากเวิ่นเว้อพูดคุยกับทุกๆคน แต่สังขารไม่ไหวแล้ว
เจอกันตอนหน้า จะพยายามมาวันอังคารหน้าค่ะ T^T

ขอบคุณคนอ่าน คนเม้นท์ คนติดตาม และพื้นที่บอร์ดเช่นเคย
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 5)...อัพ 9/07
เริ่มหัวข้อโดย: SenzaAmore ที่ 09-07-2013 20:57:47
 ตลกอ่ะ อาการที่หอยปล่อยฟองฟ่อดๆนานๆ คือ อาการหอยตดเป็นชุดหรอเนี่ย5555555 :laugh:
แถมมีให้เทียบกะคนกินถั่วอีกแหนะ  :jul3:

แอบสงสารหมอสุเวช แหม่สัตวแพทย์ก็ใช่ว่าจะมีโอกาสรักษาหอยได้บ่อยๆนา555 :m20:

ในที่สุดก็รู้เหตุผลที่ราชินีส่งองค์สน มาอยู่ที่นี่สักที :katai2-1:

มาต่อเร็วๆน้าา :mew1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 5)...อัพ 9/07
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 09-07-2013 21:10:34
 โอย นั่งหัวเราะกั่กๆ หอยตด! ตดเป็นชุดด้วย!  เอ้า!
ดีที่แม่เดินเข้าไปอาบน้ำแล้ว ไม่งั้นคงได้ตอบคำถามหัวเราะอะไรน่ะ  :ling1:

คุณบัวคิดพล๊อตได้ล้ำลึกมากค่ะ
เชียงใหม่ช่วงนี้ฝนตกทุกวันเหมือนกัน ไงรักษาสุขภาพนะคะ

จะรอหัวเราะอีกในตอนหน้าค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 5)...อัพ 9/07
เริ่มหัวข้อโดย: kongxinya ที่ 09-07-2013 21:36:51
 :laugh: นึกว่าหอยมันเป็นอะไรที่แท้ก็หอยตดนี่เอง องค์สนปราชเปรื่องมากอะ
องค์เตชทั้งรักทั้งหลงองค์สนเลย ว่าแต่เมื่อไหร่องค์สนที่แสนจะปราชเปรื่องจะรู้นี่  :mew2:
แต่ยังดีที่องค์สนยังรู้ว่าองค์เตชงอน นี่ล่ะข้อดีของการมีสนมมาก่อน
องค์สนง้อได้น่ารักมาก ยังกะภรรยารอสามีกลับมากินข้าวพร้อมกันแน่ะ  :o8:
ส่วนองค์ชายเจษฏาคงไม่คิดร้ายกับองค์สนหรอกใช่มั๊ยยยย  :mew5:

รอตอนต่อไปค่ะ  :L2: :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 5)...อัพ 9/07
เริ่มหัวข้อโดย: jinjin283 ที่ 09-07-2013 21:48:02
><  องค์เตชคงอารมห์ดีน่าดูเลยนะคะ แค่ชวนทานข้าวนะเนี่ย แหม
หลงกันแบบนี้ถ้าองสนต้องกลับไปจริงจะเปนไงคะเนี่ย
ปล ตอนต่อไปมาไวๆนะคะ ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 5)...อัพ 9/07
เริ่มหัวข้อโดย: mur@s@ki ที่ 09-07-2013 21:49:08
หอยตด!!! โอยยยยยยยยยย เราขำเตียงสั่นเลย
แล้วเรื่องงอน ตัดพ้อฯลฯ นี่องค์สนเอาอยู่จริงๆ สมกับที่ผ่านสนามมา121คน OMG


 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 5)...อัพ 9/07
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 09-07-2013 22:04:44
ช่างเป็นหอยเซเลปเสียนี่กระไร ตดทีผู้คนปั่นป่วนไปหมด
ขำองค์เตชจะเหวยข้าวเที่ยงตั้งกะสายยันดึก ระวังท้องแตกนะเพคะ

นิดนึงค่ะคนเขียน ที่ใช้มังสาน่าจะเป็นฉวีเหมาะกว่าไหม
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 5)...อัพ 9/07
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 09-07-2013 22:21:07
โอ๊ยย
มันฮาตรงหอยตดนี่แหละ
แล้วเปรียบเทียบแบบ เห็นภาพพ
ฮ่าๆ
ขอบคุณคุณบัวที่มาต่อค่ะ

 :mew1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 5)...อัพ 9/07
เริ่มหัวข้อโดย: justlove ที่ 09-07-2013 22:23:25
 :katai2-1:  มาติดตามคนเลี้ยงหอย
                 อาจเลี้ยงหอยไม่เก่ง แต่เข้าใจอารมณ์เจ้าของหอยได้ดีมาก
                 เคยแต่มีสนมเป็นร้อย ตอนนี้ตัวเองจะโดนจับเป็นสนมแล้ว ยังไม่รู้ตัวอีก :mew1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 5)...อัพ 9/07
เริ่มหัวข้อโดย: ❝CHŌN❞ ที่ 09-07-2013 22:46:45
มันมีอะไรมากกว่าที่คิดสินะ หรือว่าแม่องค์สนกะองค์เตชจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่องค์สนมาที่อนันตราช

ต้องรอดูต่อไป แต่บอกเลย ฮามาก "หอยตด" เนี่ย ฮ่าๆๆ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 5)...อัพ 9/07
เริ่มหัวข้อโดย: greensoda ที่ 09-07-2013 22:57:29
เข้ามาเพราะชื่อคนแต่ง   :mew1:
แล้วก็ไม่ผิดหวังง  o13
องค์ชายเตชขี้งอนอ่ะ
องค์สนง้อได้น่ารักมากก  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 5)...อัพ 9/07
เริ่มหัวข้อโดย: beautjang ที่ 09-07-2013 23:00:37
ฮาสุดๆอ่ะ คุณบัว :hao6:

สนุกมว๊ากกก. ชอบเรื่องแนวนี้สุดๆ. พยายามเข้าน้าาาา รักษาสุขภาพด้วยค่าาา^^
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 5)...อัพ 9/07
เริ่มหัวข้อโดย: sam3sam ที่ 09-07-2013 23:09:25
ตอนที่เจอหอยป่วยเข้าไปก็แล้วเงิบไปทีนึงละ
มาตอนนี้เงิบหนักกว่าเดิมอีกจ้า
"หอยตด" ไม่ใช่ตดธรรมดานะ แต่เป็น "ตดรัว" :jul3:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 5)...อัพ 9/07
เริ่มหัวข้อโดย: mind223 ที่ 10-07-2013 00:06:29
ฮาแตก ตรง "หอยตด"  :m20: :m20: :m20: :m20:


 :m20: :m20: :m20: :m20: :m20:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 5)...อัพ 9/07
เริ่มหัวข้อโดย: MinKKniM ที่ 10-07-2013 01:08:18
แหม...ดีนะที่องค์สนมีสนมมาเป็นร้อย เลยรู้ทันทีว่าองค์เตชทรงงอนนนนนน ต้องขอบคุณประสบการณ์อันโชกโชนขององค์สน 555555

ที่สำคัญเพิ่งรู้ว่าหอยตดได้ด้วย 555555
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 5)...อัพ 9/07
เริ่มหัวข้อโดย: @Lucifer_Prince@ ที่ 10-07-2013 03:57:07
อื้ม  องค์เจษคิดจะทำอะไรนะ!!!!!!  องค์หญิงบ้านางจะฆ่าพี่เชียวหรือ~_~  เรื่องนี้มั่ยพูดมั่ยได้หอยตด  แล้วเรื่องงอน อะไรเนี่ยสมแล้วที่ผ่านสนมมาตั้ง121  เก่งเชียว>___<
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 5)...อัพ 9/07
เริ่มหัวข้อโดย: sweetbasil ที่ 10-07-2013 04:01:48
ตอนที่แล้วหอยป่วย

มาตอนนี้หอยตด ขำท้องแข็งเลย

องค์สน เปรียบอาการงอน องค์เตช เหมือนสนม

แต่นั้น ว่าที่ พระสวามืใจอนาคต นะเพค่ะ  :jul3:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 5)...อัพ 9/07
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 10-07-2013 10:47:11
ประทับใจ หอยตด 55555 องค์สนช่างคิดนะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 5)...อัพ 9/07
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 10-07-2013 12:03:49
อย่างนี้ท่านพี่ขององค์เตชก็จะช่วยท่านสนจากนังมารร้ายสินะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 5)...อัพ 9/07
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 10-07-2013 15:46:53
ทุกคนขำหอยตดหมดเลย

เราก็ขำ

องค์สนเลิกซึนก็จะรู้นะว่าองเตชติดยังไง :mew4:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 5)...อัพ 9/07
เริ่มหัวข้อโดย: bpyt ที่ 10-07-2013 17:14:53
องค์สนนี่มีประโยคเด็ดมาให้เงิบได้ทุกตอน คราวที่แล้วหอยป่วย ความนี้ 'หอยตด' คิดได้ไงฟระเนี่ย 55 ส่วนองค์เตชแย่แล้ววว หลงองค์สนขั้น advance นะเนี่ย
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 5)...อัพ 9/07
เริ่มหัวข้อโดย: EverGreen™ ที่ 10-07-2013 19:16:45
ฮืออออออออออออออออ

ขำอะะะะะะะะ

 :laugh:  :m20:

สงสารองค์เตชน้ออออ (คิดว่า)องค์สนไม่ได้ใส่พระทัยเลย

โถวววววว  :hao5:

แต่องค์เตชน่ารักอะ รีบทำให้องค์สนตกหลุมรักเร็วนะองค์ชายยยยย  :กอด1:

หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 5)...อัพ 9/07
เริ่มหัวข้อโดย: sine_saki ที่ 10-07-2013 20:12:10
เพิ่งรู้ ว่าหอยก็ตดเป็นชุดได้ ทั้งที่มันไม่ได้กินถั่ว กร๊ากเลยตู
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 5)...อัพ 9/07
เริ่มหัวข้อโดย: sukaz ที่ 10-07-2013 21:36:50
 :katai1: :katai1: :katai1:


 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 5)...อัพ 9/07
เริ่มหัวข้อโดย: jannie ที่ 10-07-2013 22:37:06
ท่านสนชิลซะจนท่านเตชงอนแล้วงอนอีก 555+
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 5)...อัพ 9/07
เริ่มหัวข้อโดย: Lily teddy ที่ 10-07-2013 23:17:26
องค์เตชงอนซะแร้ว ดีนะองค์สนมีประสบการณ์การง้อมาอย่างโชกโชน
พูดไม่กี่ประโยคองค์เตชก็ใจอ่อนซะล่ะ แต่กว่าองค์เตชจะสมหวังนี่คงอีกนานเลยอะ
แค่อย่าให้สมิต กะชีวินใจตรงกัน โชว์หวาน แซงหน้าไปก่อนน๊า
เอ่อ  แล้วตกลงหอยป่วย หรือหอยตดละเนี่ย  อยากรู้  :laugh:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 5)...อัพ 9/07
เริ่มหัวข้อโดย: ravi 279 ที่ 11-07-2013 09:44:36
แอบนั่งอ่านขณะทำงาน ทรมานมากเลยกับการกลั้นขำ
น่ารักจริงๆเลยองค์สน
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 5)...อัพ 9/07
เริ่มหัวข้อโดย: Ali$a฿eth ที่ 11-07-2013 10:59:31
หอยตด


ถ้าเป็นงท่านเชอิชั้นคงไม่เครียดแต่คงแบบ พูดไม่ได้ คายไม่ออก (ตรูชอบคนแบบนี้ไ้ดไงฟ่ะ)


ปล.เวลาอัพใส่หน้าลงไปด้วยก็ดีคะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 5)...อัพ 9/07
เริ่มหัวข้อโดย: shoky_9 ที่ 11-07-2013 11:27:01
หอยตด!?  :pigha2:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 5)...อัพ 9/07
เริ่มหัวข้อโดย: Gokusan ที่ 11-07-2013 21:00:49
อ่า...หอยป่วยกลายเป็น...หอยตด!!
ตดเป็นชุดด้วย...ก็หอยแก่ล่ะนะ ตามเหตุผลเจ้าของ ^^"

ก็น่าน้อยใจแทนองค์เตช...ใครๆ ก็เห็นใจ ใครๆ ก็รู้ว่าคิดอะไร
ชีวินจะช่วยให้ได้ใกล้กันมากขึ้นได้แค่ไหน...กลัวจะเหลือสองมือใช่มั้ย?? ชีวิน ^^"

แต่แค่โดนง้อด้วยยิ้มหวานๆ กับการรอกินข้าวเที่ยงพร้อม
ใจพองลอยไปไหนแล้ว...งานการจะได้ทำมั้ยคะ องค์เตชชชช

องค์ชายใหญ่รู้เรื่องแล้ว จะช่วยให้อยู่รอดปลอดภัยได้มากขึ้นมั้ยน้อ...ขอให้เข้าใจท่านแม่ทีเถอะ
สงสารก็แต่องค์ราชินี...มีบ้านเมืองต้องดูแล ลูกๆ ทั้งหลายเลยไม่ค่อยได้ดั่งใจ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 5)...อัพ 9/07
เริ่มหัวข้อโดย: ophena ที่ 13-07-2013 22:57:04
องค์เตชจะไปรู้ดีกว่าคนเลี้ยงหอยได้อย่างไรเพคะ ว่าหอยตดหรือไม่ตด 555
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 5)...อัพ 9/07
เริ่มหัวข้อโดย: Fate ที่ 15-07-2013 23:29:44
ขำทุกครั้งที่เห็นคำว่า 'หอยตด'
องค์สนก็พระคารมดีเหลือเกิน ฮ่าาาาาา คิดไปได้
เล่นเอาองค์เตชงอนเลย (แต่หายงอนเพียงปลายนิ้วสัมผัส)

รอตอนต่อไปโลดค่าาา
หัวข้อ: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 6)...อัพ 16/07 (หน้า 6 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: Dezair ที่ 16-07-2013 20:37:28
NOV: ด้วยพันธะบรรณาการ
By: Dezair
……………………..
พันธะที่ 6

วันนี้เป็นวันที่องค์ชายเตชินทร์ทรงงานเร็วที่สุดนับตั้งแต่ขึ้นมารับตำแหน่งเจ้ากรมวัง และรีบเสด็จออกจากตำหนักขาวในทันทีเพื่อที่จะได้ร่วมมื้อกลางวันกับองค์ชายสนธยา


ตอนที่พระองค์เสด็จเข้าไปในตำหนักนั้น องค์ชายสนธยากำลังสรวลร่าอยู่กับคุณท้าวเอิบและนางกำนัลหญิงอีก 2-3 คน ซึ่งนั่นทำเอาองค์ชายเตชินทร์ชักจะไม่ค่อยพอพระทัยเสียเท่าไรที่ทอดเนตร ‘คนรัก’ อยู่กับสตรีนางอื่นอย่างชื่นมื่น


“อ้าว! ท่านเตช กลับมาทำไมหรือ” และที่ทำให้พักตร์ขาวยิ่งซีดหนักกว่าเดิมก็เห็นจะเป็นเพราะประโยคทักทายขององค์ชายสนธยาที่ดูจะไม่ได้สนใจแยแสกันเสียเท่าไร…สู้อุตส่าห์เร่งงานกลับมาแทบตาย! ทักมาได้ว่ากลับมาทำไม?!...


“ก็…ก็…ก็เราหิวแล้ว”


 “หิว? หิวแล้วมาที่นี่ทำไม ทำไมไม่ไปห้องเสวย” สนธยาย้อนถามด้วยเพราะลืมเสียสนิทใจว่าเมื่อเช้าชวนอะไรเอาไว้ และคราวนี้พักตร์ขาวซีดขององค์ชายผู้เป็นเจ้าของตำหนักถึงกับขึงตึง โอษฐ์หนาสีแดงสดขบเม้มเข้าหากันอย่างน้อยเนื้อต่ำใจที่อีกฝ่ายลืมนัดเสียสนิท


…ทั้งๆที่อุตส่าห์รีบแทบตาย อยากจะกลับมาชิดใกล้ แต่…


ดูเหมือนคนลืมนัดจะเริ่มรำลึกได้ว่าเมื่อเช้าออกปากอะไรเอาไว้ พักตร์ซีดที่แสนเย็นชาของเตชินทร์บอกให้รู้ว่าเจ้าตัวเริ่ม ‘งอน’ และดูเหมือนสนธยาจะเรียนรู้แล้วว่าถ้าอีกฝ่ายงอน ก็ต้องเป็นเขาที่ต้อง ‘ง้อ’


…ต้องขอบคุณนางสนมทั้ง 121 ที่สมุทราที่ทำให้พระองค์มีแกร่งกล้าในศาสตร์แห่งการง้อถึงเพียงนี้


องค์ชายหนุ่มแห่งเกาะสมุทราก้าวเข้าไปหา แตะหัตถ์ลงกับท่อนกรแผ่วเบาเพื่อให้ร่างสูงหันกลับมามองตน พักตร์เนียนสีน้ำผึ้งแย้มยิ้มเบาบาง ในขณะที่ดวงเนตรสีน้ำตาลอ่อนนั้นวาวระริกน่าจับจ้อง


“คิดว่าเราลืมหรือ” อันที่จริงก็ลืมจริงๆนั่นล่ะ แต่ในเมื่ออยู่ในสถานะ ‘ฝ่ายง้อ’ สนธยาเลยทำเป็นว่าที่เมื่อครู่โพล่งออกไปนั้นเป็นเพราะ ‘แกล้งลืม’ เท่านั้น


“เราไม่ลืมหรอก นัดของท่านเตช…เราจะลืมได้อย่างไร” เพียงเท่านั้นก็เหมือนฟ้าสว่างไสวในบัดดล เมฆหมอกในใจของเตชินทร์หายวับราวกับมนตร์วิเศษมาปัดเป่า พักตร์ขาวคมนั้นมีรอยยิ้มกว้างทั้งๆที่เมื่อครู่ยังเรียบเฉยมึนตึงอยู่เลย



“เราดีใจ ที่ท่านให้ความสำคัญกับเราถึงเพียงนี้” ว่าแล้วดวงเนตรคมราวเหยี่ยวก็ทอดมองด้วยความรู้สึกลึกล้ำเหลือประมาณจนคนถูกมองชักจะเริ่มร้อนวูบวาบ


“อ…เอ่อ…ท…ท่านว่าหิว…เอ่อ…ถ้าอย่างนั้น…ก็…ก็ไปห้องเสวยกันเลยเถอะ” สนธยาพูดตะกุกตะกัก หากแต่พอจะก้าวเดิน กลับถูกรั้งแขนไว้ บุรุษแห่งสมุทราหันกลับมามอง ก่อนจะชะงักไปเมื่อพบว่าคนรั้งคือเจ้าของสายเนตรที่ทำให้เขารู้สึกเก้อเขิน


“เดินไปพร้อมกันได้ไหม” สนธยาอยากย้อนถามว่าจะเดินพร้อมกันทำไม ทว่าอีกฝ่ายกลับสำทับอีกครั้งด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน


“นะ…เดินไปด้วยกัน”


ถ้าต้องพูดเสียขนาดนี้ สนธยาก็จนใจจะคัดค้าน เมื่อถูกอีกฝ่ายออกแรงดึงเพียงเล็กน้อยจึงก้าวเดินตามอย่างงุนงง และเพราะความงุนงงนั้นเอง เป็นสาเหตุให้องค์ชายหนุ่มแห่งสมุทราไม่ทันรู้องค์แม้แต่น้อยว่าอีกฝ่ายไม่ยอมคลายหัตถ์ที่จับท่อนกรของพระองค์ รวมไปถึงยังจับจูงให้เสด็จไปจนกระทั่งถึงห้องเสวยด้วยซ้ำ


คนที่รู้เห็นทุกอย่างอย่างมีสติเป็นที่สุดก็คือคุณท้าวเอิบและชีวิน


“องค์ชายของคุณท้าวเป็นเช่นนี้บ่อยไหม” หญิงร่างอวบหันมามองอย่างสงสัย ชีวินจึงอธิบายเพิ่มเติม


“ก็ที่…อาศัยความเผอเรอขององค์ชายของข้า แล้วแตะนั่นแตะนี่น่ะสิ” คุณท้าวเอิบหัวเราะน้อย ก่อนจะส่ายหน้าไปมา


“ไม่รู้สิ แต่ตั้งแต่ข้าเลี้ยงพระองค์มา ข้าก็ไม่เคยเห็นพระองค์ทรงทำเช่นนี้กับใครมาก่อน”


“จะบอกว่าเป็นคนแรกอย่างนั้นหรือ”


“และอาจจะเป็นรักแรกด้วย” คุณท้าวเอิบเสริมพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ ก่อนจะหมุนกายตามเสด็จออกไป ทิ้งชีวินให้มองตามก่อนจะโคลงศีรษะไปมา

…รักแรก?…

‘รักแรก’ กับชายมากรักที่มีสนมในปกครองถึง 121 คนน่ะหรือ…หาเรื่องใส่ตัวกันเห็นๆ องค์ชายเตชินทร์ผู้น่าสงสาร

……………………………..

ห้องทรงงานของกษัตริย์วิภูนั้นค่อนข้างรกไปด้วยเอกสารและแผนที่มากมาย ม้วนกระดาษนับสิบยังวางกองอยู่บนโต๊ะยาวกลางห้องอันเป็นสถานที่จัดประชุมเมื่อเช้าระหว่างกษัตริย์ผู้กุมอำนาจสูงสุดแห่งอนันตราชและคณะขุนนางนายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่ทำงานใกล้ชิดพระองค์ที่สุด


“เสด็จพ่อ” เสียงเรียกดังขึ้นเบื้องหลัง ทำเอากษัตริย์วิภูแห่งอนันตราชผินวรกายหันมาทอดพระเนตรโอรสองค์โตที่มีฐานันดรเป็นถึงองค์ชายรัชทายาทลำดับที่ 1



“มีอะไรหรือ องค์เจษ เห็นวิกรมว่าเจ้ามีเรื่องอยากจะปรึกษาพ่อ” ท่านวิกรมเป็นราชเลขาคนสนิทที่คอยจัดตารางการเข้าเฝ้า และวันนี้ รายนามของผู้ขอเข้าเฝ้าเป็นการด่วนก็คือองค์ชายเจษฎานั่นเอง


“เรื่องอาคันตุกะแห่งตำหนักอิฐพระเจ้าค่ะ” ท่าทางขององค์ชายหนุ่มดูร้อนรน ทำเอากษัตริย์วิภูต้องเลิกพระขนงขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเสด็จกลับมาประทับที่พระเก้าอี้หลังโต๊ะทรงงานตัวใหญ่


“นั่งลงสิ แล้วว่ามา” ผู้เป็นโอรสน้อมกายลงรับคำอนุญาต ก่อนจะทรุดวรองค์ลงประทับที่พระเก้าอี้อีกตัว


“กระหม่อมได้ยินเรื่องไม่สู้ดีขององค์ชายสนธยามา เห็นว่ามีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับขนิษฐาที่สมุทรา เลยจำต้องหนีมาที่นี่ ฝ่ายขนิษฐาเองก็ใช่ย่อย รายนั้นไม่พอใจสนธยา และกระหม่อมเกรงว่าหากปล่อยให้เรื่องราวเป็นแบบนี้ต่อไป อนันตราชคงกลายเป็นสุสานให้องค์ชายสนธยา และเมื่อถึงเวลานั้น อนันตราชกับราชินีวารีวาทอาจผิดใจกันได้นะพระเจ้าค่ะ” อันที่จริงแล้ว อนันตราชยิ่งใหญ่เสียจนไม่ต้องใส่ใจเรื่องเล็กน้อยอย่างความโกรธเคืองของเกาะเล็กๆอย่างสมุทราก็ได้ แต่…อนันตราชที่มีศัตรูมากมาย ก็ไม่อยากสร้างศัตรูเพิ่มด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องเช่นนี้เหมือนกัน


“แล้วเรื่องนี้องค์เตชว่าอย่างไร”


   “กระหม่อมคิดว่าเขารู้เรื่องที่เกิดขึ้นในสมุทราพระเจ้าค่ะ และคงเป็นตัวตั้งตัวตีในการให้องค์ชายสนธยามาประทับที่ตำหนักอิฐ”


   “ตำหนักอิฐเป็นตำหนักขององค์เตช พ่อยกทุกอย่างที่อยู่ในตำหนักอิฐให้องค์เตชแล้ว จะให้พ่อยื่นมือเข้าไปวุ่นวายในตำหนักนั้นอีกก็เห็นจะไม่สมควรหรอก” องค์ชายเจษฎานิ่งไปเล็กน้อย ด้วยเพราะใจหนึ่งก็เห็นด้วยว่าไม่ควรเข้าไปยุ่งวุ่นวายในตำหนักขององค์ชายเตชินทร์ แต่เพราะตำหนักของผู้เป็นอนุชาอยู่ในอนันตราช หากมีอะไรเกิดขึ้นภายในอนันตราชแม้จะเป็นตำหนักขององค์ชายเตชินทร์ แต่เรื่องราวก็อาจบานปลายกลายเป็นเรื่องของอนันตราชด้วยเช่นกัน


   “องค์เจษ…พ่อรู้ว่าเจ้าเป็นห่วงอนันตราช แต่ถ้านี่คือการตัดสินใจขององค์เตช พ่อก็อยากให้เจ้าเคารพการตัดสินใจของน้องชายของเจ้า องค์เตชไม่ใช่คนไม่รู้ความ เจ้าวางใจให้องค์เตชทำงานใหญ่มาหลายครั้ง ครั้งนี้เมื่อเป็นเรื่องของเขาเอง พ่อก็อยากให้เจ้าวางใจเขาอีกครั้ง”


   แม้จะยังไม่อาจตัดใจว่าจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเรื่ององค์ชายจากเกาะสมุทรา แต่ก็ยังนึกห่วงหากเกิดอะไรขึ้นมาจริงๆ และดูเหมือนกษัตริย์วิภูจะเข้าพระทัยดีว่าบัดนี้โอรสของพระองค์ยังคงเป็นห่วงเรื่องใด


   “องค์เจษ ระหว่างน้องชายกับแผ่นดิน เจ้าเลือกอะไร”


   “เสด็จพ่อ!”


   “พ่อถาม เจ้าตอบ ว่าอย่างไร”


   “กระหม่อม…” องค์ชายเจษฎาไม่อาจตรัสสิ่งใดได้ ด้วยเพราะเลือดขัตติยะที่ไหลเวียนในวรกายนั้นถูกบ่มเพาะมาแต่เยาว์ว่าชีพนี้เพื่อแผ่นดินอนันตราช แต่ครั้นจะตอบว่าเลือก ‘แผ่นดิน’ พระองค์ก็ไม่อาจตรัสได้เต็มโอษฐ์ เพราะองค์ชายเตชินทร์ผู้เป็นอนุชานั้น แม้จะต่างมารดา แต่ก็ถูกสั่งถูกสอนให้รักใคร่อย่างพี่น้อง อีกทั้งองค์ชายเตชินทร์ก็ช่วยเหลือพระองค์มาโดยตลอด ไม่ว่าจะทำการสิ่งใด องค์ชายเจษฎาก็มีองค์ชายเตชินทร์คอยเป็นผู้ช่วยเหลือให้การสนับสนุนเสมอ


   “เลือกไม่ได้ใช่ไหม เจ้าก็เหมือนองค์เตช เขาก็เลือกไม่ได้ว่าระหว่างแผ่นดินและคนที่เขารัก เขาจะเลือกอะไร และในที่สุดเขาก็เลือกเอาคนรักเข้ามาอยู่ในแผ่นดินของตำหนักเขาเสีย อาจมีเรื่องขัดใจเจ้าที่เป็นพี่บ้าง แต่เขาก็พยายามอย่างยิ่งที่จะให้ทุกอย่างอยู่ร่วมกันได้”


   “เสด็จพ่อ…ทรงทราบหรือพระเจ้าค่ะ เรื่องที่องค์ชายสนธยาเป็น…”


   “เป็นคนรักขององค์เตชน่ะหรือ ดูไม่ยากนี่ เจ้าเคยเห็นน้องชายของเจ้าขอของขวัญวันเกิดไหมล่ะ” องค์ชายเจษฎาได้แต่โคลงเศียรไปมาด้วยเพราะผู้เป็นพระบิดาก็ทอดเนตรในสิ่งเดียวกับที่พระองค์เห็น


   “แต่ไม่รู้ว่าองค์เตชไปพบองค์ชายสนธยาตั้งแต่เมื่อไรนะพระเจ้าค่ะ หรือเห็นตอนนำของบรรณาการมาส่งแล้วเกิดรักแรกพบ แต่ก็ไม่น่าใช่ เพราะดูเหมือนองค์เตชจะเตรียมการต้อนรับองค์ชายสนธยาล่วงหน้าตั้งแต่เมื่อเดือนก่อน เห็นว่าองค์เตชขอทหารเวรยามเพิ่ม อีกทั้งยังมีคำสั่งให้ขุดบ่อหอยรอล่วงหน้าก่อนที่ของบรรณาการจะมาถึงเสียอีกนะพระเจ้าค่ะ” คราวนี้กลายเป็นองค์ชายเจษฎาตั้งคำถามอย่างสนอกสนใจกับความรักของผู้เป็นอนุชา กษัตริย์วิภูสรวลเบาๆ


   “เจ้าดูสนใจเรื่องของน้องเหลือเกิน”


   “โธ่ เสด็จพ่อ ไม่สนใจไหวหรือพระเจ้าค่ะ องค์เตชถือเป็นองค์ชายเนื้อหอมของราชสำนักเรา ตั้งแต่เพิ่งแตกเนื้อหนุ่มก็มีบุตรีลูกขุนนางนายทหาร สตรีนางในหลายคนมาทิ้งเสน่ห์เอาไว้ให้องค์เตชติดตามไปเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ แต่ก็ไม่เห็นองค์เตชจะสนใจไยดีเสน่ห์ของสตรีคนใด มารู้อีกทีก็ตอนที่องค์ชายสนธยาเสด็จมาอนันตราช ถึงได้รู้แจ้งเห็นจริงว่าที่องค์เตชไม่สนสตรีก็เพราะตกหลุมเสน่ห์ขององค์ชายจากต่างแดน”


   กษัตริย์วิภูทรงลูบพระหนุไปมาอย่างตรึกตรอง


   “พ่อเองก็ชักอยากรู้ว่าเสน่ห์ขององค์ชายสนธยาอยู่ที่ใดเหมือนกัน” ว่าแล้วพระองค์ก็เหลือบเนตรสบกับสายเนตรของผู้เป็นโอรส


   “เจ้าให้คนไปตามองค์ชายสนธยามาพบพ่อที”


   “ลูกอยู่ด้วยได้ไหมพระเจ้าค่ะ” องค์ชายเจษฎาตรัสอย่างนึกสนุก


   “ได้สิ มีแค่พ่อ เจ้าและองค์ชายสนธยา ห้ามมีองค์เตชเชียวล่ะ”

……………………………………….

   ห้องเสวยในตำหนักอิฐวันนี้กลายเป็นห้องที่ครึกครื้นที่สุดในตำหนัก เหล่านางกำนัลเดินเข้าเดินออกกันเป็นว่าเล่นเพื่อถวายการดูแลองค์ชายเตชินทร์และองค์ชายสนธยา ซึ่งคนหลังดูเหมือนจะไม่ค่อยอยากให้มาบริการเสียเท่าไร


   “เอ่อ…เราว่า…วันนี้มื้อกลางวันมันเยอะไปรึเปล่า” องค์ชายสนธยาผู้ไม่เคยใช้เวลาบนโต๊ะเสวยมากมายเท่านี้มาก่อนหันมาตรัสถามองค์ชายผู้เป็นเจ้าของตำหนัก


   “ก็ปกติออก หรือท่านเริ่มอิ่มแล้วหรือ” คำตอบจากอีกฝ่ายคือการพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว เตชินทร์ยิ้มน้อยๆ


   “แล้วจะรับของหวานเพิ่มไหม หรือจะเป็นผลไม้?”


   “เราไม่ไหวแล้วล่ะ ถ้าขืนกินเข้าไปอีกคงอาเจียนแน่”


   “แต่เราว่าท่านยังทานน้อยอยู่เลย แต่ไม่เป็นไร จากนี้จะกลับมาร่วมโต๊ะด้วยทุกมื้อ ถ้าเห็นท่านทานน้อย เราจะบังคับให้ท่านทานมากๆ” คนฟังคันปากยิบๆว่าถ้าขืนทานมากๆจนร่างกายอ้วนฉุ ตอนกลับไปสมุทราคงถูกเสด็จแม่สั่งรีดน้ำหนักในค่ายทหารเป็นแน่แท้ แต่…พูดออกไปไม่ได้หรอก องค์ชายสนธยาตรองดูแล้ว เรื่องหนึ่งที่ทำให้องค์ชายลำดับที่ 2 แห่งอนันตราชกลายเป็น ‘คนขี้งอน’ ก็คือการที่พระองค์พูดถึงสมุทรา หรือพูดในเชิงว่าจะกลับสมุทรา


   …ไม่รู้จะกลัวอะไรนักหนา ไม่ว่าอย่างไร วันหนึ่งในไม่ช้า พระองค์ก็ต้องเสด็จกลับสมุทราอยู่ดี…


   สององค์ชายไม่ทันได้ตรัสสิ่งใดกันต่อ เสียงฝีเท้าก็ดังมาจากนอกห้องเสวย ก่อนที่อังกูรจะโผล่หน้าเข้ามา


   “มีโองการจากกษัตริย์วิภูพระเจ้าค่ะ” องค์ชายเตชินทร์และองค์ชายสนธยาลุกจากเก้าอี้โดยพร้อมเพรียง อังกูรจึงหันไปทางท่านขุนนางเฒ่านามว่าวิกรมผู้ซึ่งเป็นราชเลขาในกษัตริย์วิภู


   “กษัตริย์วิภูมีรับสั่งให้องค์ชายเตชินทร์เสด็จไปตรวจงานที่คลังอาวุธแทนองค์ชายเจษฎาพระเจ้าค่ะ”



   “ตอนนี้เลยหรือ” คนถูกขัดความสุขในการได้อยู่กับผู้เป็นที่รักถึงกับตวัดสายเนตรกลับไปตรัสถามเสียงขุ่น ตรงข้ามกับเสียงทุ้มหวานยามอยู่กับองค์ชายสนธยา


   “พระเจ้าค่ะ พอดีองค์ชายเจษฎาติดภารกิจสำคัญพระเจ้าค่ะ” แม้จะหงุดหงิดเล็กน้อยที่อยู่ดีๆก็มีงานโยนมาให้พระองค์ แต่เพราะท่านวิกรมอ้างภารกิจขององค์ชายเจษฎาผู้เป็นเชษฐา องค์ชายเตชินทร์จึงไม่อาจปฏิเสธได้ลง


   “ขอเวลาอีกเดี๋ยว เราจะไป”


   “ไม่ได้พระเจ้าค่ะ เวลานี้พวกนายทหารที่คลังอาวุธรอรับเสด็จแล้ว หากไม่มีพระองค์เสด็จไปร่วม พวกทหารก็จะรอเก้อนะพระเจ้าค่ะ”


   “ก็ได้ๆ เราเข้าใจแล้ว เราจะไปเดี๋ยวนี้” พอถูกท่านวิกรมเร่งเร้ามากเข้า องค์ชายเตชินทร์จึงต้องยอมรับแต่โดยดี ก่อนจะทรงลุกจากเก้าอี้ แต่ไม่วายหันกลับมาก้มลงหาองค์ชายสนธยาที่ยังประทับอยู่ที่เก้าอี้อีกตัว


   “เราขอไปทำงานประเดี๋ยวเดียว แล้วจะรีบกลับ”

 
โอษฐ์สีแดงสดนั้นขยับชิดใกล้ปรางค์สีน้ำผึ้งราวกับผีเสื้อกระพือปีกหยอกล้อกลีบดอกไม้ ท่านวิกรมถึงกับอ้าปากค้างด้วยเพราะคาดไม่ถึงว่าจะได้เห็นภาพชิดใกล้ขององค์ชายเตชินทร์และองค์ชายต่างถิ่น ในขณะที่อังกูร สมิต และชีวินยืนนิ่งแม้จะคาดเดาได้ว่าองค์ชายเตชินทร์จะต้องเริ่มสร้างความสนิทสนมจากความชิดใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ยังไม่ชินเสียทีที่จะได้เห็นภาพพวกนี้คาตา คนที่เห็นจะมีสติมากที่สุดก็คงจะเป็นคุณท้าวเอิบที่รีบพาร่างอวบอั๋นของนางเข้าไปหาองค์ชายเตชินทร์แล้วยื่นเสื้อคลุมขนสัตว์ให้คนที่กำลังมุ่งมั่นทำความสนิทสนมกับองค์ชายจากสมุทราอย่างออกนอกหน้า


   “เสื้อคลุมเพคะ” เสียงนางไม่เบาแต่ก็ไม่ดัง หากแต่มันก็ดังมากพอที่จะทำให้องค์ชายหนุ่มเจ้าของตำหนักอิฐหันพักตร์กลับมามอง แล้วผละหน้าออกจากกลิ่นหอมยวนใจของปรางค์สีน้ำผึ้งที่น่าลิ้มลอง


   “ขอบคุณ คุณท้าว” ประโยคว่าขอบคุณ แต่ดวงเนตรนั้นดุเข้มหากแต่คุณท้าวเอิบหาได้ใส่ใจไม่ นางขยับกายออกเล็กน้อยเพื่อเป็นการเปิดทางให้พระองค์เสด็จไปร่วมงานตรวจคลังอาวุธ องค์ชายเตชินทร์เสด็จออกไปจากตำหนักพร้อมด้วยองครักษ์สองนายอย่างอังกูรและสมิตแล้ว แต่ท่านวิกรมยังยืนนิ่งอยู่กับที่


   “ท่านวิกรม มีกิจอื่นใดอีกหรือเปล่า” คุณท้าวเอิบผู้ปกครองตำหนักอิฐตั้งคำถาม เมื่อเห็นขุนนางชรายังไม่ไปไหน


   “นอกจากโองการรับสั่งองค์ชายเตชินทร์แล้ว กษัตริย์วิภูทรงมีรับสั่งถึงองค์ชายสนธยาด้วยพระเจ้าค่ะ” คราวนี้เจ้าของชื่อสนธยาและชีวินผู้เป็นองครักษ์หันมามองท่านวิกรมด้วยความสงสัย


    “รับสั่งถึงเราอย่างนั้นหรือ?”


   “พระเจ้าค่ะ กษัตริย์วิภูมีรับสั่งให้พระองค์เข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ตอนนี้พระเจ้าค่ะ”


   “เข้าเฝ้า?”


   “พระเจ้าค่ะ แต่อย่าได้กังวลไป เพราะนอกจากพระองค์และกษัตริย์วิภูแล้ว องค์ชายรัชทายาทลำดับที่ 1 ก็ประทับอยู่ด้วยพระเจ้าค่ะ” ท่านวิกรมเสริม หากแต่ไม่ได้ทำให้องค์ชายสนธยาวางพระทัยได้เลย ในเมื่อเข้าเฝ้าส่วนพระองค์นั้น นอกจากจะมีกษัตริย์วิภูผู้ยิ่งใหญ่แห่งอนันตราชแล้ว ยังมีองค์ชายเจษฎารัชทายาทลำดับที่ 1 ร่วมด้วย


   …ถูกรุมอย่างไม่ต้องสงสัย…


   “องค์ชายรัชทายาทลำดับที่ 1 นี่ใช่องค์ชายเจษฎารึเปล่า” สนธยาตั้งคำถาม เพราะชักคุ้นว่าองค์ชายรัชทายาทลำดับที่ 1 เคยเสด็จมายังตำหนักอิฐ และแน่นอน…บ้าหอยไม่ต่างจากองค์ชายเตชินทร์ รัชทายาทลำดับที่ 2


   “ใช่แล้วพระเจ้าค่ะ”


   “อ้าว แล้วเมื่อครู่เจ้าว่าองค์ชายเจษฎาติดภารกิจสำคัญ ให้องค์เตชเสด็จไปตรวจคลังอาวุธแทนไม่ใช่หรือ” สนธยาถามอีก คราวนี้ท่านวิกรมยิ้มเสียตาหรี่แทบมิด


   “ก็ติดภารกิจเข้าเฝ้ากษัตริย์วิภูพร้อมพระองค์อย่างไรล่ะพระเจ้าค่ะ เชิญเสด็จพระเจ้าค่ะ กษัตริย์วิภูทรงรอพระองค์อยู่ ให้ผู้หลักผู้ใหญ่รอนานไม่ดีหรอก” สนธยาเหลือบเนตรไปสบคุณท้าวเอิบ หากแต่ก็ถูกท่านวิกรมเร่งรัดให้ออกจากตำหนักจึงไม่อาจได้ถามหรือสั่งสิ่งใด พระองค์เสด็จออกจากตำหนักอิฐโดยมีชีวินตามเสด็จ หากแต่ก่อนที่ชีวินจะก้าวพ้นจากห้องเสวย ชายหนุ่มก็ตั้งคำถามกับคุณท้าวเอิบอย่างแผ่วเบา ขณะที่เดินผ่าน


   “งานนี้จะมีศึกชิงองค์ชายรึเปล่า คุณท้าว”


   แน่นอน…เป็นคำถามที่คุณท้าวเอิบไม่อาจตอบได้

………………………………..

   ในขณะที่องค์ชายสนธยาผู้เป็นโอรสองค์โตในราชินีวารีวาทแห่งเกาะสมุทรากำลังประสบชะตากรรมต้องเข้าเฝ้ากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในแผ่นดินอย่างกษัตริย์วิภูอย่างไม่รู้ว่าผลจะออกมาเป็นเช่นไร ฝ่ายขนิษฐาของพระองค์อย่างองค์หญิงอรุณาก็ถูกผู้เป็นมารดาเรียกให้เข้าเฝ้าเช่นกัน หากแต่องค์หญิงอรุณานั้นวาดฝันว่าเรื่องที่ถูกเรียกให้เข้าเฝ้าต้องเป็นเรื่องดีเป็นแน่แท้


   …ตาเฒ่าชลเทพถูกคนปองร้ายทั้งลูกทั้งเมีย ก็คงไม่กล้าขานรับตำแหน่งแม่ทัพกองเรือได้อีกหรอก และถ้ามันไม่รับตำแหน่งนี้ คนที่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้เป็นที่สุดก็คือพระองค์!...


   “ถวายบังคมเพคะ เสด็จแม่” กิริยาท่าทางนั้นแสนชดช้อย ราชินีวารีวาทได้แต่เหลือบเนตรขึ้นพินิจพิจารณา ก่อนจะพยักพักตร์เล็กน้อยให้ธิดาก้าวเข้ามาในห้องทรงงานที่เต็มไปด้วยเอกสารม้วนกระดาษจำนวนมาก


   “เสด็จแม่เรียกข้ามาพบ มีอะไรหรือเพคะ” ราชินีวารีวาทยังคงใช้ดวงเนตรสีน้ำตาลอ่อนจับจ้องพักตร์งามของธิดา พระองค์ไม่เข้าพระทัยเลย เหตุใด อรุณาจึงอยากมีอยากได้ อยากชิงดีชิงเด่นกับพี่น้องที่คลานตามกันมา หรือบัลลังก์นี้มันหอมหวานมากหรือไร อรุณาจึงอยากครอบครองมากถึงเพียงนี้ แล้วถ้าบัลลังก์นี้หอมหวาน เหตุใดโอรสธิดาองค์อื่นถึงไม่อยากได้อยากมีเล่า?


   “นั่งลงก่อน วันนี้คงมีเรื่องต้องคุยกันยาว” ราชินีวารีวาทตรัสด้วยน้ำเสียงเย็นเรียบเช่นเคย ก่อนจะหันไปรับเอกสารจากราชเลขามาทอดเนตร พระองค์ทรงงานไปเรื่อย สายเนตรตรวจทานเอกสารแต่ละม้วนอย่างพินิจพิเคราะห์ ก่อนจะประทับตราอนุมัติแล้วจึงรับกระดาษม้วนต่อไปมาคลี่ออกอ่าน ราชินีวารีวาททรงกระทำเช่นนั้นราวกับไม่รู้เหน็ดรู้เหนื่อย และราวกับไม่รู้ว่า…เวลานี้มีองค์หญิงอรุณาประทับอยู่ในห้องทรงงานด้วย


   เป็นฝ่ายธิดาเสียเองที่ชะเง้อศออย่างรอคอยและเริ่มหงุดหงิดเข้าไปทุกทีเมื่อพระมารดาไม่มีทีท่าจะหันมาสนพระทัยพระองค์ ทั้งๆที่เรียกให้เข้าเฝ้าแท้ๆ!


   “ถ้าราชกิจเยอะ หม่อมฉันกลับตำหนักก่อนดีไหมเพคะ” เมื่อเฝ้ารอคอยนานจนเกินจะทนแล้ว องค์หญิงอรุณาจึงทูลขึ้น ราชินีวารีวาทเหลือบเนตรขึ้นมอง


   “ไม่ต้อง”


   “แต่…”


   “อรุณา บัลลังก์นี้ไม่ใช่มีแค่อำนาจและบารมี แต่มันมีความรับผิดชอบมากมายที่คนครองบัลลังก์ต้องทำ แค่ข้าให้เจ้ารอ เจ้ายังทนไม่ได้ แล้วเจ้ายังคิดหวังจะครองบัลลังก์นี้อีกหรือ”


   “ไม่เห็นจะเกี่ยวกันเลยเพคะ!”


   “ทำไมจะไม่เกี่ยว เพราะเจ้ามองว่าบัลลังก์แห่งสมุทราจะนำพาความสุขสบายและอำนาจมากมายมาอยู่ในมือเจ้า แต่เจ้าไม่เคยเห็นอีกด้านของบัลลังก์เลย บัลลังก์นี้มีไว้เพื่อความร่มเย็นเป็นสุขของปวงประชาในสมุทรา บัลลังก์นี้มีไว้เพื่อขจัดทุกข์บำรุงสุขให้ปวงประชาในสมุทรา ถ้าเจ้าอยากได้บัลลังก์นี้ เจ้าก็ต้องพิสูจน์ให้ข้าเห็นว่าเจ้าคิดถึงสมุทรามากกว่าตัวเจ้าเอง เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะรอคอยเพื่อคนอื่น มากกว่าเฝ้าคาดหวังเพื่อตัวเอง” ราชินีวารีวาทหมายจะขัดเกลานิสัยใจคอขององค์หญิงองค์โตแห่งสมุทรา แต่ดูเหมือนพระองค์จะทรงกระทำเมื่อสายเกินไป บัดนี้องค์หญิงอรุณาแห่งสมุทรามิได้ใส่ใจเรื่องของผู้อื่นมากไปกว่าเรื่องของตัวเอง


   “เสด็จแม่ทรงไม่ได้คิดจะยกบัลลังก์นี้ให้ข้าอยู่แล้วต่างหาก! ถึงได้อ้างเสียทุกเรื่อง!!”


   “ก็เพราะเจ้าเป็นแบบนี้ แล้วยังจะให้ข้ายกบัลลังก์ให้เจ้าหรือ”


   “เสด็จแม่!!”


   “เจ้ากลับไปไตร่ตรองให้ดี ถ้าขัดเกลาจิตใจตัวเองให้คิดถึงสมุทราไม่ได้ ก็ไม่ต้องมาพูดเรื่องบัลลังก์กับข้า”


   “หมายความว่าเสด็จแม่จะยกบัลลังก์ให้คนอื่นหรือเพคะ!!”


   “ทั้งสนธยา ทิวา ราตรี และอุษาไม่ใช่คนอื่น ทุกคนคือลูกของข้า และพี่น้องของเจ้า” องค์หญิงอรุณากำหัตถ์แน่นด้วยความแค้นอาฆาตที่รายชื่อพี่น้องถูกพระมารดายกขึ้นมาเป็นตัวเลือกของทายาทที่จะขึ้นมาสืบสันตติวงศ์ แม้กฎมณเฑียรบาลจะยกย่องให้สตรีมีอำนาจครองบัลลังก์ แต่สนธยาที่เป็นชายและได้รับการยอมรับจากพวกขุนนางนายทหารในสมุทราก็อาจเป็นตัวแปรให้มีการเปลี่ยนแปลงกฎได้ทุกเมื่อ หรือถ้าไม่ใช่สนธยา ทั้งราตรีและอุษาที่เป็นธิดาของราชินีวารีวาทก็สามารถเป็นทายาทที่ถูกต้องตามประเพณีได้ทุกเวลาเช่นกัน!


   “ข้าไม่ยอม!!!”



   “เจ้าไม่มีสิทธิ์จะยอมหรือไม่ยอม อรุณา ใครจะได้นั่งบัลลังก์นี้เป็นคนต่อไปขึ้นอยู่กับข้า! ถ้าข้าเลือก ไม่ว่าคนผู้นั้นจะสืบสายเลือดของข้าหรือไม่ หรือเขาจะเป็นชายหรือหญิง ถ้าข้าตัดสินใจมอบบัลลังก์นี้ให้เขา เขาก็คือผู้นำสูงสุดของสมุทรา” องค์หญิงอรุณาผุดกายขึ้นจากพระเก้าอี้ด้วยความแค้นเคือง พักตร์สวยสง่าบิดเบี้ยวอย่างน่ากลัว ก่อนจะหมุนวรองค์ออกจากห้องทรงงานของผู้เป็นพระมารดาทันที หากแต่ไม่ทันก้าวพ้น เสียงของราชินีวารีวาทก็ดังอีกครั้งเป็นการเตือนสติธิดาองค์โตเป็นครั้งสุดท้าย


   “เจ้าเป็นลูกข้า เจ้ารู้ว่าข้าเป็นเช่นไร ข้าสามารถเลือกคนนอกสายเลือดขึ้นมาครองบัลลังก์ได้โดยไม่นึกเสียดาย และข้าก็สามารถทำให้เลือดเนื้อเชื้อไขของข้าถูกลงโทษสถานหนักได้เช่นกัน หากคนผู้นั้นทำผิดกฎบ้านกฎเมือง”


   “อย่าทรงขู่ข้า!” องค์หญิงอรุณาทูลเสียงแข็ง


   “ข้าไม่ได้ขู่เจ้า แต่ถ้าเจ้ายังเรียกตัวเองว่าเป็นสมุทรา เจ้าก็ต้องยอมรับในกฎของสมุทรา”


   ไม่มีการตอบรับอย่างใดอีก องค์หญิงอรุณาทิ้งไว้เพียงรอยเนตรเย็นเยียบอย่างอาฆาต ก่อนจะหมุนกายเสด็จออกจากตำหนักหลวงในทันที ราชินีวารีวาทได้แต่ทอดเนตรตามด้วยความร้าวราญ ก่อนจะถอนปัสสาสะอย่างเหนื่อยล้า


   “ไปตามทิวามาพบข้าที” พระองค์หันไปตรัสกับขุนนางราชเลขา แล้วจึงค่อยพิงวรกายลงกับพระเก้าอี้


   …สนธยา…ถ้าเจ้าอยู่ที่นี่ และรับรู้นิสัยใจคอน้องของเจ้าอย่างที่แม่รับรู้ในวันนี้ เจ้าจะทำเช่นไร…เจ้าจะใช้วิธีใดทำให้อรุณากลับมาเป็นเด็กหญิงตัวน้อยที่ชอบร้อยไข่มุกเล่นโดยไม่คิดการใหญ่ ทำร้ายทำลายผู้อื่น…เจ้าจะทำเช่นไรให้อรุณากลายเป็นเด็กหญิงที่ไม่มีความมักใหญ่ใฝ่สูงอย่างวันนี้ เจ้าจะทำอย่างไร บอกแม่ที สนธยา…


…แม่…คิดถึงเจ้าเหลือเกิน…

………………………………………..
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 5)...อัพ 9/07
เริ่มหัวข้อโดย: Dezair ที่ 16-07-2013 20:38:13
การ ‘เข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์’ นั้น ออกจะทำให้องค์ชายสนธยาแห่งสมุทราผู้ไม่ค่อยจะกลัวเกรงสิ่งใด นึกคร้ามขึ้นมาเหมือนกัน โดยเฉพาะคนที่พระองค์ต้องเข้าเฝ้านั้นเป็นถึงกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ได้ชื่อว่าเป็นนักรบผู้องอาจและบ้าระห่ำ


   “ถวายบังคมฝ่าบาท” องค์ชายหนุ่มแห่งสมุทราและองครักษ์นามชีวินที่ติดตามไปทุกหนทุกแห่งน้อมกายลงทำความเคารพโดยพร้อมเพรียงเมื่อย่างก้าวเข้ามาในห้องรับรองขนาดใหญ่ ฝาผนังประดับด้วยโคมทอง ยามเปลวเทียนไหววูบล้อกับเพชรนิลจิลดาที่ประทับอยู่บนโคมยิ่งทำให้ดูระยิบระยับ ไหนจะชุดเก้าอี้บุนวมที่ตัวเก้าอี้ทำจากไม้สักทองขัดลงเงา เบาะนุ่มที่ใช้บุพนักและที่นั่ง ไม่ต้องสัมผัสก็รู้ว่าถักทอด้วยผ้าไหมเนื้อดีงานประณีต


   …แค่ห้องรับรองห้องเดียวก็บ่งบอกแล้วว่าอนันตราชนั้นนอกจากจะยิ่งใหญ่เทียมฟ้า ยังร่ำรวยมหาศาล…


   “เชิญนั่ง” กษัตริย์วิภูเป็นกษัตริย์ร่างสูงใหญ่ผายหัตถ์ไปยังเก้าอี้อีกตัวที่ว่างอยู่ สนธยาก้าวไปนั่งอย่างไม่มีปากมีเสียง


   “นี่องค์ชายเจษฎา โอรสองค์โตของเรา” กษัตริย์วิภูตรัสอีกครั้งแล้วผายหัตถ์ไปยังบุรุษอีกหนึ่งคนที่ประทับอยู่บนเก้าอี้บุนวมอีกตัวด้านข้างพระองค์


   “เราเคยพบกันแล้วครั้งหนึ่ง จำได้ไหม”


   “จำได้พระเจ้าค่ะ” …องค์ชายราชสำนักนี้บ้าหอยกันทุกคน…สนธยาจำขึ้นใจทีเดียว


   เมื่อเห็นผู้ถูกเรียกให้มาเข้าเฝ้านั่งเงียบ ไม่เหมือนกับเมื่อครั้งที่ใช้ฝีโอษฐ์ ‘แถ’ จนอนันตราชยอมรับของบรรณาการไร้ค่า กษัตริย์วิภูก็พอจะตระหนักได้ว่าพระองค์ทำให้อีกฝ่ายกริ่นเกรงพอดู


   “นั่งเงียบเชียว ไม่ต้องกลัวไป เราไม่ได้จะเรียกเจ้ามาสอบปากคำหรอก แค่อยากจะถามไถ่ทุกข์สุขเท่านั้น  เป็นอย่างไรบ้าง มาอยู่อนันตราชหลายวันแล้ว สุขสบายดีไหม” เมื่อน้ำเสียงที่พระองค์ใช้เป็นไปในเชิงเป็นห่วงเป็นใย สนธยาก็พอจะหายใจคล่องขึ้นอีกหน่อย


   …แต่…ก็ยังวางใจไม่ได้อยู่ดี ในเมื่อจู่ๆ กษัตริย์วิภูก็เรียกให้เข้าเฝ้า หนำซ้ำยังดูเหมือนพยายามกันท่าเตชินทร์ไม่ให้มาร่วมเข้าเฝ้าด้วยอีก แน่ล่ะ…ถ้ารายนั้นอยู่ และเขาถูกเรียกให้เข้าเฝ้า เตชินทร์ต้องดื้อแพ่งติดตามมาด้วยเป็นแน่…แม้ฝ่ายนั้นจะเป็นองค์ชายแห่งอนันตราช แต่สนธยาก็ยังรู้สึกวางใจมากกว่า หากมีเตชินทร์มาด้วย ไม่ใช่มีเพียงพระองค์และองครักษ์อย่างชีวินมาเข้าเฝ้ากษัตริย์ผู้แสนยิ่งใหญ่และองค์ชายรัชทายาทแห่งอนันตราชเพียงลำพังเช่นนี้


   “ก็สุขสบายดีพระเจ้าค่ะ”


   “แล้ววันๆหนึ่ง องค์เตชให้เจ้าทำอะไรบ้างล่ะ จริงสิ! เจ้าไปอยู่ในตำหนักอิฐด้วยฐานะอะไรนะ”


   “เอ่อ…คนเลี้ยงหอยพระเจ้าค่ะ”


   “อ้อ แล้วจะเลี้ยงไปถึงเมื่อไร หรือหอยตายก็จะกลับสมุทรา”


   “เอ่อ…เรื่องนี้กระหม่อมก็ยังไม่ได้ตกลงกับองค์ชายเตชินทร์ เพราะเลี้ยงหอยได้แค่วันเดียว กระหม่อมก็ล้มป่วย นี่ก็เพิ่งหายพระเจ้าค่ะ”


   “แล้วเจ้าคิดจะตกลงกับองค์เตชว่าอย่างไรล่ะ ถ้าเกิดหอยตายขึ้นมากะทันหัน คิดจะกลับสมุทราไหม”


   “หากสมุทรามีที่ให้กลับก็จะกลับพระเจ้าค่ะ แต่ถ้าไม่มี กระหม่อมก็อยู่ที่ใดก็ได้ กระหม่อมไม่ใช่คนเรื่องมาก อีกอย่าง…คนเราต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลงนี่พระเจ้าค่ะ จะให้ยึดติดกับสิ่งนั้นสิ่งนี้ก็จะไขว่คว้าไม่สิ้นสุด เห็นทีก็ไม่ต้องมีความสุขกันพอดี”


   “หมายความว่าตำแหน่งองค์ชายแห่งสมุทราที่เจ้ามี หากวันหนึ่งมันไม่จำเป็นสำหรับเจ้าแล้ว เจ้าก็สละมันทิ้งได้โดยไม่เสียดายอย่างนั้นหรือ”


   “ของที่ไม่จำเป็น แต่ตอนทิ้งกลับนึกเสียดาย นั่นแสดงว่าคนผู้นั้นงกไม่เข้าเรื่องพระเจ้าค่ะ กระหม่อมเป็นคนงกอยู่บ้าง แต่ไม่ใช่คนงกไม่เข้าเรื่อง และก่อนที่กระหม่อมจะพาขบวนบรรณาการมาที่อนันตราช กระหม่อมทำความเข้าใจกับเสด็จแม่ของกระหม่อมแล้วว่าหากวันหนึ่งถึงคราวจำเป็น กระหม่อมจะเหลือเพียงความเป็น ‘สมุทรา’ เท่านั้น ไม่ใช่ความเป็น ‘องค์ชาย’…”


   “เสด็จแม่ของเจ้าสอนเจ้ามาดี”


   “ขอบพระทัย”


   “แต่เหตุใดจึงไม่สั่งสอนน้องของเจ้าด้วยล่ะ?” พอกษัตริย์วิภูตรัสถึงตรงนี้ สนธยาก็มีทีท่าแข็งขืนขึ้นมากะทันหัน ดวงเนตรสีน้ำตาลอ่อนเหลือบขึ้นสบอย่างแข็งกร้าวด้วยเพราะไม่ชอบให้คนภายนอกมายุ่งวุ่นวายกับเรื่องภายในราชสำนักสมุทรา


   “วันนี้ พระองค์ตรัสว่าจะเพียงแค่ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของกระหม่อมเท่านั้น เกรงว่าเรื่องของน้องสาวของกระหม่อมจะไม่เกี่ยวพระเจ้าค่ะ”


   “ไม่เกี่ยวได้หรือ เป็นพี่เป็นน้องกัน คนหนึ่งต้องหนีออกมาถึงนี่ เพราะอีกคนไม่ชอบหน้าและเกรงว่าจะมาแย่งบัลลังก์” ยิ่งกว่าถูกร่ายคำสาป สนธยานิ่งขึงไปในทันทีที่กษัตริย์วิภูตรัสถูกจุด เขาเองก็พอจะรู้ว่าอรุณาผู้เป็นน้องสาวคิดเช่นไรกับการที่เขาได้ตำแหน่งแม่ทัพกองเรือ แม้บัลลังก์ของสมุทราจะสืบทอดด้วยตำแหน่งราชินี แต่อรุณาคงเกรงว่าหากวันหนึ่งมีการเปลี่ยนแปลงกฎมณเฑียรบาล นางจะไม่เหลืออะไรอีก


   …สุดท้าย สนธยาจึงจำต้องออกมาจากสมุทราเสีย อย่างน้อยก็เพื่อให้ผู้เป็นน้องสาวได้เชื่อมั่นว่าจะไม่มีใครแย่งบัลลังก์ของนางไปได้ หากว่าราชินีวารีวาทหมายจะยกบัลลังก์ให้อรุณาจริง แต่…นอกจากเขาแล้วก็ยังมีน้องชายและน้องสาวอีก 3 คนนอกจากอรุณา แม้น้องๆเหล่านั้นจะยังเด็ก แต่วันหนึ่งก็จะเติบใหญ่พอที่อรุณาอาจมองว่าเป็นศัตรู เมื่อถึงเวลานั้น สนธยาได้แต่ภาวนาให้อรุณากลับเนื้อกลับตัวให้ได้ก่อนที่นางจะไม่ได้รับการให้อภัยอีก


   “องค์ชายสนธยา เจ้ารู้ใช่ไหมว่าในฐานะที่เจ้าเป็นองค์ชายแห่งสมุทรา เจ้าจะมาตายในดินแดนอื่นไม่ได้”


   “กระหม่อมทราบดีพระเจ้าค่ะ”


   “ถ้าเช่นนั้นก็จงระวังตัวเอาไว้ เพราะเวลาของเจ้าอาจหมดลงได้ทุกเมื่อ น้องของเจ้าจะไม่มีวันปล่อยให้เจ้าได้อยู่อย่างสุขสบาย”


   “ขอบพระทัยที่ทรงเตือน ถ้าพระองค์ไม่มีเรื่องอื่นใดอีกแล้ว กระหม่อมขอตัวพระเจ้าค่ะ”


   “ไปเถอะ” แม้พักตรืสีน้ำผึ้งจะเรียบเฉย แต่ในดวงเนตรนั้นส่อแววเจ็บปวดร้าวรานอย่างเห็นได้ชัด และกษัตริย์วิภูก็ทรงตระหนักดีว่าอีกฝ่ายกำลังอยู่ในอารมณ์เช่นไร ร่างสูงโปร่งก้าวออกจากห้องรับรองโดยมีชีวินตามประกบ พอคล้อยหลังสองบุรุษแห่งสมุทราแล้ว งอค์ชายเจษฎาก็หันมาทางพระบิดา


   “เสด็จพ่อทรงกำลังทำอะไรพระเจ้าค่ะ”


   “ทำหน้าที่พ่อที่ดีน่ะสิ” คนฟังไม่เข้าใจ และกษัตริย์วิภูก็ไม่ได้ต้องการให้ผู้เป็นโอรสเข้าใจในเวลานี้ เพราะเมื่อถึงเวลา…ทุกอย่างจะเข้ารูปเข้ารอยในเส้นทางของมันเอง

……………………………………

   ในขณะที่ผู้เป็นพ่อ กำลังทำหน้าที่พ่อที่ดี โอรสอีกองค์ของกษัตริย์วิภูก็กำลังทำหน้าที่ลูกที่ดีอย่างไม่มีที่ติด้วยการตั้งอกตั้งใจเข้าร่วมพิธีตรวจคลังอาวุธ ด้วยหมายจะได้กลับตำหนักโดยเร็ว


   “ดูรู้เลยพระเจ้าค่ะว่าอยากกลับไปพบพักตร์องค์สนเต็มแก่” สมิตกระซิบทูลหยอกล้อเมื่อเห็นองค์ชายเตชินทร์ตั้งพระทัยตรวจเอกสารเกี่ยวกับอาวุธคงคลังอย่างรวดเร็วและพิถีพิถัน


   “อันที่จริงแล้ว เราไม่อยากมาด้วยซ้ำ ไม่รู้เสด็จพี่ติดภารกิจอะไร งานตรวจคลังอาวุธสำคัญถึงเพียงนี้ยังหนีไปทำอย่างอื่นหน้าตาเฉย”


   “อาจจะเป็นเรื่องใหญ่มากก็ได้นะพระเจ้าค่ะ อย่างเรื่องที่องค์ชายเจษฎาทรงส่งคนเข้าไปในสมุทรา” องค์ชายเตชินทร์ได้แต่พยักพักตร์รับรู้อย่างเงียบๆ ด้วยเพราะสมิตนำข่าวมาทูลแจ้งกับพระองค์ตั้งแต่องค์ชายเจษฎาเสด็จมาที่ตำหนักอิฐแล้ว ว่าหลังจากนั้นเพียงค่อนวัน สายลับฝีมือดีในตำหนักขององค์ชายเจษฎาก็ถูกส่งออกจากท่าเรืออนันตราชโดยมีจุดหมายปลายทางที่สมุทรา


   “แล้วเรื่องที่เราให้เจ้าส่งคนไปบ้างล่ะ เป็นอย่างไร”


   “สถานการณ์ในนั้นไม่สู้ดีพระเจ้าค่ะ” สมิตทูลอย่างที่ทำเอาองค์ชายหนุ่มแห่งราชสำนักอนันตราชได้แต่นิ่งไปด้วยเพราะนึกสงสารสนธยาที่ต้องประสบเคราะห์กรรมถูกน้องร่วมบิดามารดาแค้นอาฆาตหมายมาด


   “เราห่วงสน…”


   “อุแหม่! เดี๋ยวนี้เรียกเขาสั้นๆราวกับสนิทชิดเชื้อเชียวนะพระเจ้าค่ะ” สมิตไม่วายหยอก  แต่องค์ชายเตชินทร์ทำเป็นไม่สนพระทัย


   “อังกูร ถ้าอย่างไรก็สั่งพวกทหารให้เฝ้าระวังสนเป็นพิเศษ ถ้ามีอะไรผิดปกติก็จัดการได้เลย หากมีอะไรบานปลายเราจะเป็นคนเช็ดล้างเอง”


   “อ๊ะหือ! เป็นห่วงเป็นใยเหลือเกินเชียว ถ้าพวกสตรีนางในมาได้ยินเข้า คงค้อนกันให้ควั่กนะพระเจ้าค่ะ”


   “สมิต ถ้าเจ้ายังไม่หยุดพูด เราจะให้เจ้าไปช่วยท่านชีวินถวายอารักขาสนธยา”


   “อุ๊ย! ถวายอารักขาองค์ชายสนธยายังพอว่า แต่ให้ไปช่วยเจ้าองครักษ์หน้าเครียดนั่น มีหวังกระหม่อมคงอกแตกตายตั้งแต่เริ่มพระเจ้าค่ะ”


   “สมิต!”


   “พระเจ้าค่ะ! ไม่พูดแล้วพระเจ้าค่ะ!” องค์ชายเตชินทร์ได้แต่ส่งสายเนตรปรามองครักษ์ผู้แสนพูดมาก หากแต่ก็รู้ว่าสมิตพูดมากเฉพาะเรื่องไม่เป็นเรื่องเท่านั้น ส่วนเรื่องที่เป็นเรื่อง กลับเก็บความลับเอาไว้จนแทบตัวตาย
   

“แล้วนี่เมื่อไรเสด็จพี่จะปฏิบัติภารกิจเสร็จสิ้นเสียที เราอยากกลับตำหนักจะแย่” องค์ชายหนุ่มได้แต่ชะเง้อศอทอดเนตรไปมา ตั้งพระทัยว่าหากเห็นแม้แต่เงาของผู้เป็นเชษฎาโผล่เข้ามาในคลังอาวุธแม้แต่นิดเดียว พระองค์จะรีบโยนงานทั้งหมดคืนแล้วเสด็จกลับตำหนักอิฐไปหาองค์ชายสนธยาโดยพลัน
 

………………………………


   ชีวินได้แต่มองบานประตูห้องบรรทมขององค์ชายผู้เป็นนายของตนด้วยความสงสารอาดูร นับตั้งแต่กลับจากเข้าเฝ้ากษัตริย์วิภูและถูกพระองค์ตรัสจี้พระทัยเรื่องขนิษฐา ก็ดูเหมือนองค์ชายสนธยาจะเก็บพระองค์เงียบอยู่ในห้อง ตั้งแต่บ่ายจนกระทั่งเย็น


   “ชีวิน องค์สนล่ะ” เสียงทุ้มดังขึ้นมาตามทางเดินโถง ทำเอาชีวินต้องหันมอง ก่อนจะน้อมกายทำความเคารพองค์ชายเตชินทร์ที่ดูเหมือนจะรีบร้อนกลับมา เพราะกระหืดกระหอบมาแต่ไกล


   “ประทับอยู่ในห้องบรรทมพระเจ้าค่ะ”


   “แล้วเหตุใดเจ้าจึงอยู่ตรงนี้” ปกติแล้วชีวินมักจะอยู่ใกล้ชิดองค์ชายสนธยาจนแทบจะเรียกว่าเป็นเงาตามตัว จะมีห่างกันบ้างก็เฉพาะช่วงที่ชีวินต้องไปพักผ่อน หากแต่เวลานี้เป็นเวลากลางวัน และไม่ใช่เวลาพักผ่อนของชีวิน เหตุใดเจ้าตัวถึงออกมายืนนอกห้อง


   ชีวินเงียบ ไม่ตอบสิ่งใดจนองค์ชายเตชินทร์ชักร้อนพระทัย


   “ชีวิน สนธยาเป็นอะไร”


   “กระหม่อมคิดว่าพระองค์ไม่ควรเสด็จเข้าไปเวลานี้พระเจ้าค่ะ รอให้องค์สนเสด็จออกจากห้องเองจะดีกว่า” ชีวินยังคงใช้น้ำเสียงเรียบ หากแต่บนใบหน้าขาวนั้นมีวี่แววห่วงใยไม่แพ้ไปกว่ากัน องค์ชายเตชินทร์ไม่ใช่คนดื้อแพ่ง แม้พระองค์จะนึกเป็นห่วงองค์ชายสนธยาเพียงใด หากแต่เมื่อชีวินซึ่งใกล้ชิดกับองค์ชายสนธยามากที่สุดยังทูลว่าให้ ‘รอคอย’ พระองค์ก็ทรงตระหนักดีว่าควรจะรอคอย


   “เขาไม่ได้เป็นอะไรมากใช่ไหม”


   “คิดว่าไม่พระเจ้าค่ะ”


   “ถ้ามีอะไรก็ไปตามเราได้ทันที สมิต…เจ้าอยู่เฝ้าองค์ชายสนธยาคอยผลัดเวรกับชีวิน” สมิตที่ปกติมักจะพูดมากและมีข้ออ้างสม่ำเสมอมาวันนี้เพียงแค่องค์ชายเตชินทร์มีรับสั่งเพียงครั้งเดียว สมิตก็ทำตามอย่างไม่มีข้อคัดแย้ง ร่างสูงสง่าขององครักษ์แห่งอนันตราชก้าวมายืนข้างชีวินในทันที และนั่นทำให้ชีวินรู้ตัวว่าพวกอนันตราชมีร่างกายสูงใหญ่สมกับเป็นนักรบนายทหารมากกว่าสมุทราเสียอีก


   “เราจะอยู่ที่ห้องรับรองข้างล่าง หากต้องการสิ่งใดก็ไปบอกแล้วกัน” องค์ชายเตชินทร์ตรัสเพียงเท่านั้น หากแต่สายเนตรที่ทอดไปยังบานประตูห้องบรรทมขององค์ชายนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความห่วงใยลึกซึ้ง ก่อนจะยอมหมุนกายเสด็จจากไปพร้อมอังกูร ชีวินน้อมกายส่งด้วยต้องการขอบพระทัยอย่างจริงใจที่พระองค์ทรงห่วงใยองค์ชายสนธยาของตนถึงเพียงนี้


   “เกิดอะไรขึ้นหรือ” เสียงทุ้มดังขึ้นข้างกาย ชีวินเงยหน้าขึ้นมองด้วยเพราะไม่เคยได้ยินสุ้มเสียงเช่นนี้จากชายที่ชื่อสมิตมาก่อน ชีวินสบตาอีกฝ่ายเงียบๆ ก่อนจะถอนหายใจแผ่วเบา


   “เรื่องภายใน” เพียงเท่านั้น สมิตก็ได้แต่พยักหน้ารับสั้นๆอย่างเข้าใจ เขาเองก็ให้คนไปสืบที่สมุทรามาเช่นกัน พอจะล่วงรู้มาบ้างว่า ‘เรื่องภายใน’ ของสมุทราอยู่ในสถานะใด


   องครักษ์ในองค์ชายแห่งอนันตราชวางมือลงบนบ่าของชีวินราวกับจะปลอบประโลม


   “ขอบคุณ” แม้จะเป็นคนปากหนักแต่ชีวินก็ถูกสอนสั่งมาว่าคนที่เข้มแข็งที่สุดคือคนที่กล้าพูดขอบคุณและขอโทษ เป็นฝ่ายสมิตเสียเองที่นิ่งไปเพราะไม่คิดว่าจะได้ยินคำว่าขอบคุณจากอีกฝ่าย

   …บางที มิตรภาพอาจงอกงามขึ้นกลางสมรภูมิก็เป็นได้…


   “เจ้า…ทานอะไรหรือยังล่ะ” พอพิศดูแล้ว อาจเป็นเพราะใบหน้ายโสโอหังของชีวินที่ทำให้เขาไม่ชอบหน้า แต่ถ้าหากลดทิฐิลง ภายใต้ใบหน้ายโสโอหังนี้อาจจะเป็นความเป็นมิตรและรอยยิ้มสดใสก็เป็นได้


   “ข้าไม่หิว” ให้มันได้อย่างนี้เถอะ อุตส่าห์หาทางผูกมิตรด้วยเรื่องอาหารแล้วแท้ๆ


   “ข้าถามว่าเจ้าทานอะไรหรือยัง ไม่ได้ถามว่าหิวหรือไม่” ชีวินเหลือบตามองอย่างไม่ค่อยจะพอใจเสียเท่าไหร่ที่อีกฝ่ายเจ้ามายุ่งวุ่นวายในเรื่องส่วนตัวอย่างเรื่องอาหารการกิน


   “เงียบแบบนี้แสดงว่ายัง ทหารตรงนั้นน่ะ…” สมิตตัดสินใจในชั่วเวลาเพียงอึดใจก่อนจะหันไปเรียกนายทหารที่ยืนยามอยู่ไม่ไกล นายทหารร่างใหญ่หนารีบวิ่งเข้ามารับคำสั่ง


   “ไปบอกคุณท้าวเอิบว่าจัดอาหารมาให้ท่านชีวินหนึ่งชุด แล้วเอาขึ้นมาที่นี่” นายทหารน้อมรับคำสั่งก่อนจะวิ่งจากไป สมิตจึงหันมาทางชีวินอีกครั้งแล้วดุเหมือนอีกฝ่ายเป็นเด็กๆที่ห่วงแต่เล่นจนลืมเวลาอาหาร


   “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงองค์ชายสนธยา แต่เมื่อถึงเวลาทานอาหารก็ต้องทาน เข้าใจไหม”


   ไม่มีคำตอบอื่นใดจากองครักษ์หนุ่มแห่งสมุทรา จนกระทั่งอาหารชุเหนึ่งถูกคุณท้าวเอิบยกขึ้นมาให้ที่หน้าห้องบรรทม ชีวินไม่ลืมที่จะขอบคุณหญิงร่างอวบ และแน่นอน คำขอบคุณนั้นเผื่อแผ่ไปถึงสมิตด้วยเช่นกัน


   …บางที…มิตรภาพดีๆก็อาจเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ย่ำแย่ได้เหมือนกัน…

…………………………..




   พระอาทิตย์ดวงโตคล้อยต่ำ จนหายลับไปกับพื้นดินปล่อยทิ้งให้ท้องฟ้าดำมืดเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่ง แล้วพระอาทิตย์ก็โผล่ขึ้นมาอีกครา ก่อนจะขยับขึ้นไปอยู่กลางศีรษะ แล้วจึงคล้อยต่ำหลุบหายไปตามยอดต้นไม้ก่อนจะจากลับลงสู่พื้นดิน หลายวันหมุนผ่าน หากแต่ประตูห้องบรรทมขององค์ชายสนธยากลับถูกเปิดเฉพาะแค่เวลาที่นางกำนัลยกกระยาหารเข้าไปถวายเท่านั้น ดูเหมือนองค์ชายผู้เป็นเจ้าของห้องจะยังคงประทับนิ่งอยู่ที่ข้างบานหน้าต่างกระจกไม่ขยับไหวไปที่ใด โชคยังดีอยู่บ้างที่อาหารหลายมื้อพร่องลงไปบอกให้รู้ว่าองค์ชายสนธยาเสวยน้ำและอาหารเป็นปกติ หากแต่ก็เสวยน้อยลงเสียจนองค์ชายเตชินทร์ชักนั่งไม่ติด


   “วันนี้ก็ทานน้อยอีกแล้วหรือ” พระองค์ทำได้แค่ประทับอยู่นอกบานประตูห้องขององค์ชายสนธยาเท่านั้น ชีวินทูลว่าเวลานี้ควรจะปล่อยองค์ชายสนธยาเอาไว้เพียงลำพัง หากแต่ก็หลายวันแล้วที่พระองค์ต้องอดใจเอาไว้ไม่ให้ใช้อำนาจความเป็นเจ้าของตำหนักยุ่มย่ามความเป็นส่วนตัวขององค์ชายสนธยา ทั้งๆที่พระองค์อยากรู้แทบตายว่าเพราะอะไรองค์ชายแห่งสมุทราจึงขังตัวเองเอาไว้ในห้องเช่นนั้น


   “แต่วันนี้ยังดีนะพระเจ้าค่ะ กระหม่อมเห็นองค์สนเสด็จมาประทับที่พระเก้าอี้มุมห้องแล้ว ช่วงแรกๆเห็นประทับแต่ข้างหน้าต่างอย่างเดียว” สมิตผู้ยืนยามเฝ้าหน้าประตูคอยผลัดเวรกับชีวินรายงานสิ่งที่ตัวเองสอดส่องเห็นมา และแน่นอนว่าเขาทูลองค์เตชินทร์ตั้งแต่วันแรกที่รู้จากชีวินแล้วว่าองค์ชายสนธยาไม่สบายพระทัยเกี่ยวกับ ‘เรื่องภายใน’


   “แต่เราก็ยังห่วง เจ้าคอยเฝ้าไว้ให้ดีแล้วกัน ถ้ามีอะไรผิดปกติก็รีบมาบอกเรา”


   “รับด้วยเกล้าพระเจ้าค่ะ” องค์ชายเตชินทร์ได้แต่ทิ้งสายเนตรเอาไว้ที่บานประตูอีกครั้ง ก่อนจะเสด็จกลับไปยังห้องทรงงานของพระองค์เพื่อตรวจเอกสารที่นำกลับมาจากกรม ปล่อยให้สมิตยืนแข็งขันอยู่ที่หน้าประตูห้อง โดยที่ไม่มีใครทันสงสัยแม้แต่น้อยว่าบัดนี้


   …องค์ชายสนธยาที่ประทับอยู่ในห้องอย่างเงียบเฉียบมาหลายวันนั้น กำลังโหนกายออกนอกหน้าต่างไปยังกิ่งไม้ใหญ่หนาของต้นไม้สูงตระหง่านที่อยู่ข้างตำหนัก ร่างสูงโปร่งกระโดดหายลับไปในความมืดของรัตติกาลที่แสนวังเวง…



   ทว่า…คล้อยหลังเพียงครู่เดียว เสียงบางอย่างกลับดังขึ้นในความสงบเงียบ

   ผลั๊วะ! ตุ๊บ!!


   “มีคนตกต้นไม้! มีคนตกต้นไม้!!” เสียงทหารเวรยามดังกระหึ่มท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิด ก่อนจะกลายเป็นความโกลาหลในชั่วอึดใจเมื่อพบว่าคนที่ลักลอบปีนต้นไม้ยามค่ำคืนเป็นใคร


   “ไปตามองค์เตชมาเร็วเข้า! องค์ชายสนธยาทรงตกต้นไม้!!!”


   แล้วหลังจากนั้น ก็มีแต่เสียงตะโกนดังลั่นของเหล่านายทหารและนางกำนัลส่งต่อๆกันไปทั้งตำหนัก เป็นอันรู้กันว่าบัดนี้ คนที่เก็บตัวอยู่ในห้องมาหลายวันแผลงฤทธิ์ด้วยการ ‘ตกต้นไม้’ ให้ดูเป็นขวัญตา!!



ติดตามตอนต่อไป (อังคารที่ 30 จ้ะ)
   เนื่องจากว่าศุกร์นี้ ไปจนถึงวันจันทร์ บัวต้องไปเที่ยวแบบแฟมิลี่ๆ ก็เลยไม่มีเวลาพิมพ์แน่ๆเลย กลับมาก็ต้องแบกสังขารไปทำงาน ก็เลยต้องขอเลื่อนการลงตอนหน้าไปเป็นอีกสัปดาห์นึงนะคะ แล้วจะมาเฉลยว่าองค์สนคิดจะทำอะไร ฮ่าฮ่า
   ขอบคุณคนอ่าน คนเม้นท์ คนติดตาม และพื้นที่บอร์ดจ้า
   
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 6)...อัพ 16/07 (หน้า 6 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 16-07-2013 21:15:03
 เออ องค์สนเพคะ ตอนแรกนี่แถเรื่องลืมได้เนียนมาก
แต่ลงท้ายกลับมาตกต้นไม้เสียได้ เฮ้อ ^^

รอองค์เตชมาอุ้มกลับเข้าไปในตำหนักนะเพคะ 555

คุณบัวเที่ยวให้สนุกค่ะ  :mew3:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 6)...อัพ 16/07 (หน้า 6 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: bulldog17 ที่ 16-07-2013 21:59:07
ตกต้นไม้ ! ! ! !
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 6)...อัพ 16/07 (หน้า 6 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 16-07-2013 22:00:29
เป็นเรื่อง ท่านสนตกต้นไม้...
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 6)...อัพ 16/07 (หน้า 6 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: mur@s@ki ที่ 16-07-2013 22:06:57
องค์สนพิเรนทร์นักนะเจ้าคะ

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 6)...อัพ 16/07 (หน้า 6 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: @Lucifer_Prince@ ที่ 16-07-2013 22:27:35
องค์สนจะโหนหน้าต่างทำไมล่ะ  พะยะค่ะ  เป็นเรื่องเลย
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 6)...อัพ 16/07 (หน้า 6 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: kongxinya ที่ 16-07-2013 22:42:43
องค์สนจะปีนต้นไม้หนีเที่ยวหรือเพคะถึงได้ตกต้นไม้  :hao7:

เที่ยวให้สนุกนะคะ รอตอนต่อไปค่ะ  :L2: :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 6)...อัพ 16/07 (หน้า 6 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: jinjin283 ที่ 16-07-2013 22:46:43
องค์สนคนกะหนีเที่ยวใช่ไหมคะเนี่ย แต่พลาดจนเจ็บตัวแบบนี้องค์เตชคงเป็นห่วงแย่เลย
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 6)...อัพ 16/07 (หน้า 6 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 16-07-2013 22:50:04
อ๊ากกกก
องค์สนจะทำอะไรอะ
รอคุณบัวมาต่อนะคะ อิอิ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 6)...อัพ 16/07 (หน้า 6 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: SenzaAmore ที่ 16-07-2013 23:02:50
*องค์ชายราชสำนักนี้บ้าหอย*  :m20: องค์สนเกรียนมากกก 5555

สมิทกับชีวินนี่ยังไงๆอยู่น้าาา :hao6:

เที่ยวให้สนุก แล้วมาต่อไวๆน้าาา :กอด1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 6)...อัพ 16/07 (หน้า 6 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 16-07-2013 23:23:50
โถ พ่อคุณ คงคิดมากเรื่องน้อง :hao5:

รอองค์เตชปลอบใจเบาๆ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 6)...อัพ 16/07 (หน้า 6 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: sweetbasil ที่ 17-07-2013 02:52:12
 :jul3: องค์สน ตกต้นไม้

ชีวิน จัดการ สมิต ที่  :z1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 6)...อัพ 16/07 (หน้า 6 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 17-07-2013 09:01:46
ตายแล้ววววววววววว องค์ชายสน ตกต้นไม้!!!
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 6)...อัพ 16/07 (หน้า 6 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: EverGreen™ ที่ 17-07-2013 12:41:23
บรรยากาศกำลังตึงเครียด

มาขำพรูดตรง "มีคนตกต้นไม้"เนี่ยแหละะะะ

 :laugh:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 6)...อัพ 16/07 (หน้า 6 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: sukaz ที่ 17-07-2013 13:51:52
แหก!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!   :a5: :a5: :a5: :a5:

ตกต้นไม้ :mew5: :mew5: :mew5:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 6)...อัพ 16/07 (หน้า 6 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: Gokusan ที่ 17-07-2013 14:38:29
จะขำก็ขำ จะสงสารก็สงสาร
เพราะความอยากได้อยากมีของผู้หญิงคนนึง
ทำความเดือดเนื้อร้อนใจให้ทั้งคนในครอบครัว แผ่ไปถึงคนอื่นอีกเยอะ

ดูว่าทุกคนรอบตัวองค์สนจะรู้ความเคลื่อนไหว-เรื่องภายใน-
ก็ให้รู้ไปว่า-หลายมือ-ทางนี้ จะ-จัดการ-คนประสงค์ร้ายไม่ได้

แอบสงสารท่านแม่...เจ็บใจที่สอนลูกไม่ได้เนี่ยแหละ - -"
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 6)...อัพ 16/07 (หน้า 6 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: kaokorn ที่ 17-07-2013 16:01:53
เที่ยวให้สนุกนะฮะ
รอตอนหน้าว่าองค์สนแผลงฤทธิ์อะไร ^_^
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 6)...อัพ 16/07 (หน้า 6 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: ravi 279 ที่ 17-07-2013 16:42:32
องค์สนอดเที่ยวไปแล้ว  ไม่เป็นไรเดี๋ยวจะเที่ยวเผื่อนะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 6)...อัพ 16/07 (หน้า 6 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: greensoda ที่ 17-07-2013 17:01:34
องค์สนซนเกินไปละ
อย่างนี้ต้องโดนองค์เตชจัดการ  :hao6:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 6)...อัพ 16/07 (หน้า 6 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: Lily teddy ที่ 17-07-2013 19:41:07
เอ่อ ตอนบรรยายว่า "กระโดดหายลับไปในความมืดของรัตติกาลที่แสนวังเวง" ยังดูเท่ห์อยู่เลย
แล้วไหง่ดันตกจากต้นไม้มาได้ล่ะเนี่ย นี่องค์สนเศร้าถึงขนาดจะหนีกลับบ้านเลยเหรอเนี่ย
น่าสงสารองค์สนจัง แต่องค์เตชก็น่าสงสารเหมือนกันแทบไม่ได้อยู่กับองค์สนเลย
สมิตกะชีวินยังได้อยู่ด้วยกันเยอะกว่าอีก แล้วพ่อองค์เตชคิดจะทำอะไรน๊า
รอติดตามจ้า ถึงจะต้องรออีกหลายวันเลยอะ  :hao5:
ขอให้ผู้เขียนเที่ยวสนุก เดินทางปลอดภัยจ้า  :mew1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 6)...อัพ 16/07 (หน้า 6 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: NUTSANAN ที่ 17-07-2013 21:23:56
องค์สน เธอคิดจะทำอะไรกันแน่ อยากรู้มากมาย :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 6)...อัพ 16/07 (หน้า 6 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: vavacoco ที่ 17-07-2013 21:47:54
องค์สนต้องมีภารกิจสำคัญ และเร่งด่วนมากๆ ให้ไปจัดการใช่มั้ยคะ แบบสำคัญๆๆๆ ด่วนๆๆๆ เลยต้องรีบไปทางต้นไม้แน่ๆ โถ รีบร้อนจนพลาดตกเบย
นี่ถ้าไม่สำคัญสุดๆ องค์สนไม่ทำแบบนี้แน่ องค์สนไม่เกรียนซะหน่อย เนอะๆ ช่วยๆ แก้ตัวสุดๆ แถสุดริด อร้ายยย ปิดหน้า อายแทน 5555+++ :mew5:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 6)...อัพ 16/07 (หน้า 6 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: Fate ที่ 18-07-2013 00:41:15
คราวก่อนหอยตด
คราวนี้ตกต้นไม้
พ่อเจ้าประคุณ องค์สน
ภาพลักษณ์องค์ชายผู้สง่างามจะไม่เหลือแล้วเพคะ ฮ่าาาๆๆ
แอบกรี้ด สมิต ชีวิน เบาๆ พวกนายในโมเมนต์นี้ก็กริ้บกริ้วดีนะ ><

เที่ยวให้สนุกนะคะ จะรอตอนต่อไปอยู่ตรงนี้ ฮ่าาาา
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 6)...อัพ 16/07 (หน้า 6 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 18-07-2013 04:07:13
องค์สนจะหนีไปเที่ยวเล่นไหนเหรอ ตกต้นไม้เลย หมดท่ากันพอดี
คราวนี้โดนสั่งประกบแหงๆ
หนักใจเรื่องอรุณีจริงๆ เฮ้อ จะกลับใจได้มั้ย หรือต้องตายกันไปข้างนึง
สงสารพระราชินีวารีวาทอ่า

รออ่านต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 6)...อัพ 16/07 (หน้า 6 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: koikoi ที่ 18-07-2013 10:33:08
 :m20:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 6)...อัพ 16/07 (หน้า 6 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: sam3sam ที่ 18-07-2013 10:40:01
คิดจะทำอะไรกันแน่น้อองค์สน :a5:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 6)...อัพ 16/07 (หน้า 6 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: MinKKniM ที่ 19-07-2013 01:40:16
องค์เตชทรงขี้งอนนะ เผลอเป็นงอน ดีนะที่เป็นองค์สนผู้สยบสนม121คน เลยรู้ทางไม่งั้นองค์เตชได้งอนยาวแน่

องค์สนตกต้นไม้ เป็นลางว่าอีกไม่นานจะตกหลุมรักที่องค์เตชขุดไว้ชิป่ะ  :mew3:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 6)...อัพ 16/07 (หน้า 6 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: Ali$a฿eth ที่ 19-07-2013 09:06:17
มาซะยาวจนจุใจ ที่แท้จะหนีไปเที่ยวนี่เอง   :mew4: :mew4:

สนเป็นอะไรแจร๊ะอยากโหม่งโลก กรรม องค์เตชดูแลน้องแบบใกลชิดเลย

รักเสด็จพ่อ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 6)...อัพ 16/07 (หน้า 6 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 19-07-2013 12:26:50
ตกต้นไม้ได้ไงอะ

ที่มองหน้าต่างทุกวันเพราะอยากหนี

หรือแค่เหม่อนะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 6)...อัพ 16/07 (หน้า 6 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: AGALIGO ที่ 19-07-2013 14:02:25

สงสัยจะปีนไปดูหอยล่ะมั้ง 555

+ เป็ดจ้า
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 6)...อัพ 16/07 (หน้า 6 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: ophena ที่ 20-07-2013 11:08:08
โธ่ เล่นอะไรเนี่ยองค์สน
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 6)...อัพ 16/07 (หน้า 6 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 20-07-2013 14:43:08
อ่านไปขำไป 5555
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 6)...อัพ 16/07 (หน้า 6 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 21-07-2013 07:01:59
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 6)...อัพ 16/07 (หน้า 6 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: Shizuku ที่ 21-07-2013 10:21:14
องค์สนจะแอบหนีเที่ยวบ้างอ่ะสิ
โถ ตกต้นไม้
จะขำหรือสงสารดี
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 6)...อัพ 16/07 (หน้า 6 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 24-07-2013 12:19:03
ซน จนได้เรื่องนะองค์สน
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 6)...อัพ 16/07 (หน้า 6 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: WARA ที่ 30-07-2013 20:55:12
เข้ามารอองค์ชายหอยยยยย :mew1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 6)...อัพ 16/07 (หน้า 6 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: saruttaya ที่ 31-07-2013 15:59:34
มาได้ยางงงง เลยวันที่ 30 แล้วนะ TT
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 6)...อัพ 16/07 (หน้า 6 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: FlOriN ที่ 31-07-2013 17:04:31
คิดถึงองค์เตชกะองค์สน
รีบมาต่อนะค้าบบบ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 6)...อัพ 16/07 (หน้า 6 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: kongxinya ที่ 08-08-2013 12:19:43
แวะมารอคุณบัว
องค์สนตกสนไม้นานแล้ว คิดถึงค่ะ  :mew2:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 6)...อัพ 16/07 (หน้า 6 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: saruttaya ที่ 08-08-2013 12:33:57
ยังไม่มาอีกหรอ TT
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 6)...อัพ 16/07 (หน้า 6 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 08-08-2013 21:11:34
องค์สนเพคะ อย่าศึกษาเรื่องแรงโน้มถ่วงของโลกนานเกินไปนะเพคะ
พสกนิกรเป็นห่วงและคิดถึงมาก / องค์เตชก็รีบไปอุ้มองค์สนกลับเข้าวัง
เร็วๆหน่อยเพคะ เอ๊ะ หรือองค์สนน้ำหนักขึ้นจนอุ้มไม่ไหว 5555

คุณบัวขา คิดถึงแล้วค่ะ  :n1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 6)...อัพ 16/07 (หน้า 6 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 08-08-2013 23:58:31
คิดถึงคนเขียน หายไปไหนเอ่ย :mew3:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 6)...อัพ 16/07 (หน้า 6 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: brenda ที่ 16-08-2013 00:53:22
อ่าาาา องค์สน แสบนัก ^^
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 6)...อัพ 16/07 (หน้า 6 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: =นีรนาคา= ที่ 16-08-2013 19:55:27
กำลังดึงอารมณ์เครียดๆ อยู่ มาปล่อยก๊ากตอนสุดท้ายนี่แหละ ฮ่าาา
 :m20:

หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 6)...อัพ 16/07 (หน้า 6 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: Ali$a฿eth ที่ 16-08-2013 21:34:36
ตัวเองหายไป1เดือนแล้วน๊า นานกว่านี้เค้าจะมีประกาศจับ ด้วยความคิดถึง  :L2:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 6)...อัพ 16/07 (หน้า 6 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: SenzaAmore ที่ 16-08-2013 22:13:18
 :really2: ทำไมรู้สึกว่า องค์สนมีแต่ปัญหารุมล้อม ตั้งแต่ โดนส่งมาเป็นราชฑูตหอย แล้วก็ป่วย พอหายป่วยหอยก็ป่วยแทน
แต่พอรู้ว่าหอยไม่ป่วยหอยแค่ตด!!? ก็โดนลอบทำร้าย แถมยังตกต้นไม้อีก!!  o22

 :เฮ้อ: กลุ้มใจแทนองค์เตชจริงๆ จะดูแลองค์สนไหวไหมเนี่ย มีแต่เรื่องจริงๆ555

มาต่อเร็วๆน้าาา :mew1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 6)...อัพ 16/07 (หน้า 6 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: jinjin283 ที่ 16-08-2013 23:01:15
จะครบเดือนแล้วนะคะ คนเขียนหายไปไหนเอย กลับมาต่อไวๆน๊าา :mew1:
หัวข้อ: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 7)...อัพ 25/08 (หน้า 8 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: Dezair ที่ 25-08-2013 20:27:20
NOV: ด้วยพันธะบรรณาการ
By: Dezair
……………………..
พันธะที่ 7

   ประวัติศาสตร์หน้าใหม่แห่งอนันตราช


   …อาคันตุกะจากสมุทราผู้พาหอยมาเป็นของบรรณาการนึกแผลงตกต้นไม้ยามดึก!!...


   องค์ชายสนธยาอยากจะเอาพักตร์ซุกลงกับหมอน แล้วไม่พบหน้าพบตาใครอีกด้วยเพราะอับอายเหลือประมาณ ปีนต้นไม้เป็นตั้งแต่ยังตรัสไม่ชัด สมัยอยู่สมุทราก็ปีนบ่อยเสียจนถูกเสด็จแม่เรียกว่าลิง แล้วเหตุใดหนอ! เหตุใด!! เหตุใดพอมาปีนที่อนันตราชแล้วถึงตกต้นไม้ให้เจ็บตัวและเสียหน้าเช่นนี้!!


   “ท่านคิดจะทำอะไร ท่านสน เหตุใดจึงปีนขึ้นไปบนต้นไม้แบบนั้น!”


หลังจากรับการรักษาจากหมอหลวงซึ่งลงความเห็นว่า องค์ชายสนธยาแห่งสมุทรานั้นมีพระปรีชาสามารถในการ ‘ตกต้นไม้’ เป็นอย่างยิ่ง เพราะสามารถเอาพระองค์รอดจากการเจ็บหนักได้อย่างหวุดหวิด ที่พอจะต้องรักษาก็คือบาดแผลฟกช้ำดำเขียว และรอยขีดข่วนตามวรองค์เท่านั้น แต่องค์ชายสนธยาก็ยังถูกควบคุมเข้มงวดอยู่ในห้องบรรทม นายทหารนับสิบยืนอารักขาอยู่แทบทุกจุดในห้องราวกับเจ้าของตำหนักเกรงว่าองค์ชายหนุ่มจะหาเรื่องแผลงปีนต้นไม้เล่นอีก


   “ท่านสน ท่านรู้ไหมว่าเราเป็นห่วงท่านเพียงใด เหตุใดจึงปีนต้นไม้…” องค์ชายเตชินทร์ยังคงประทับอยู่เคียงข้างและเฝ้าแต่หาคำตอบว่าเหตุใด คนที่ขังตัวอยู่ในห้องเป็นเวลาหลายวันจึงนึกแผลงปีนต้นไม้ยามดึกยามดื่น นี่ดีหรอกที่ปีนแล้วตก ถ้าปีนแล้วไม่ตก แต่ถูกพวกทหารจับได้ เกิดพวกนั้นตัดสินใจพละการ ‘สอย’ คนปีนต้นไม้เพราะไม่เห็นว่าเป็นใคร มีหวังพระองค์คงได้เรียกทหารทั้งกองมาลงโทษเป็นแน่!!


   “ท่านสน ท่านบอกเรามาทีเถอะ ท่านขึ้นต้นไม้ไปทำไม” เมื่อยังคงไร้คำตอบจากคนเจ็บ น้ำเสียงขององค์ชายเตชินทร์จึงลดความเข้มลงแล้วเหลือเพียงความห่วงใยอาทรอย่างที่ทำเอาคนบนเตียงใจอ่อน สนธยาก็พอจะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นห่วงเขาเพียงใด หากแต่…บอกความจริงไม่ได้…



   “เราเห็นจันทร์สวยดี ก็เลย…ขึ้นไปชมจันทร์…”


   “ชมจันทร์?”


   “ใช่…จากต้นไม้ ชมจันทร์ได้ชัดที่สุด…” พักตร์คมคายขององค์ชายเตชินทร์มีแววเสียพระทัยอยู่วูบหนึ่ง หากแต่เพียงพริบตาเดียวมันก็หายไป องค์ชายหนุ่มทรงลุกจากพระเก้าอี้พลางถอนปัสสาสะเสียทีหนึ่ง


   “ท่านไม่เห็นใจความห่วงใยของเราเลย ที่พาตัวเองไปเสี่ยงอันตรายด้วยการขึ้นไปชมจันทร์เช่นนั้น…”


   “เราขอโทษ ท่านเตช เราไม่คิดว่าจะตกลงมา” สนธยารีบคว้าท่อนกรของอีกฝ่ายเอาไว้ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนนั้นเต็มไปด้วยความสำนึกผิดอย่างที่ทำเอาเตชินทร์ใจอ่อนวูบ


   “คราวหลังก็อย่าทำเช่นนั้นอีก แม้เราจะสอยจันทร์ลงมาให้ท่านชมไม่ได้ แต่เราก็จะพาท่านไปชมจันทร์ในที่ที่ปลอดภัยและจันทร์งามที่สุด” สนธยาได้แต่เงียบแล้วพยักหน้ารับเบาๆราวกับจะบอกว่าคราวหน้าคราวหลังจะไม่ปีนต้นไม้เพื่อชมจันทร์เช่นนั้นอีกแล้ว


   “ท่านพักผ่อนเสียเถอะ ท่านหมอบอกว่าท่านต้องพักผ่อนให้มากๆ เราขอตัวก่อน”


   “ท่านเตช…” สนธยาเรียกเอาไว้ ก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินออกจากห้อง เตชินทร์หันกลับมามอง


   “…ขอบคุณท่านมาก” เตชินทร์เพียงค้อมศีรษะรับคำนั้น ก่อนจะเสด็จออกจากห้องพร้อมองครักษ์คนสนิททั้งสอง ซึ่งพอพ้นประตูห้องบรรทมขององค์ชายแห่งสมุทราแล้ว องค์ชายเตชินทร์ก็หันมาทางสมิต


   “เจ้าให้ทหารออกจากห้ององค์ชายสนธยาให้หมด ให้เหลือเพียงเขากับชีวิน”


   “แล้วไม่ต้องถวายอารักขาหรือพระเจ้าค่ะ…”


   “ไม่ต้อง เราต้องการให้เขาอยู่กับชีวินตามลำพัง” องค์ชายเตชินทร์ตรัสเช่นนั้นด้วยพักตร์ที่แสนเจ็บปวดอย่างที่สมิตไม่เคยเห็นมาก่อนจนต้องทูลเรียกเอาไว้


   “องค์เตช…”


   “เขาโกหกเรา แต่เราเชื่อว่าเขาจะไม่โกหกชีวิน อย่างไรเสีย เขาก็ต้องบอกชีวินว่าเขาปีนต้นไม้ทำไม”


   “โกหก? ทรงทราบได้อย่างไรว่า…องค์ชายสนธยาทรงโกหก…” องค์ชายเตชินทร์หันมาทางคนถาม ดวงเนตรนั้นเจ็บลึกเกินประมาณ


   “สมิต…คืนนี้เป็นคืนเดือนมืด ไม่มีจันทร์ให้ชม…” สมิตนิ่งงัน ในคำตอบของผู้เป็นนายเหนือหัวนั้นเจือแววเจ็บปวดหยั่งลึกอย่างน่าสงสาร เขากลืนน้ำลายอึกใหญ่ ก่อนจะทูลถามอีกครั้ง


   “แล้วพระองค์แน่พระทัยได้อย่างไร ว่าถ้าเจ้าองครักษ์ชีวินนั่นรู้ความจริงจากโอษฐ์องค์ชายสนธยา แล้วจะยอมนำความจริงนั้นมาทูลพระองค์” สมิตตั้งคำถามอีก หากแต่ดูเหมือนเวลานี้ หทัยขององค์ชายเตชินทร์จะยังจมจ่อมกับความเศร้าที่ถูกคนในดวงใจโกหกเสียคำโต จึงได้แต่ตอบเสียงเรียบกลับไปก่อนจะหายลับเข้าไปในห้องบรรทม


   “เราเชื่อว่าแม้ชีวินจะไม่มาทูลเรา แต่เขาจะเป็นคนทำให้องค์ชายสนธยายอมพูดความจริงกับเราเอง”


   …………………………….

   ภายในห้องบรรทมขององค์ชายสนธยานั้น บัดนี้เหลือเพียงนายทหารคนสนิทที่ตามติดมาจากสมุทรา ส่วนทหารเวรยามคนอื่นๆที่เมื่อครู่ยังยืนประจำตามจุดต่างๆในห้อง ถูกเรียกออกไปหมดแล้ว องค์ชายหนุ่มจึงได้พิงกายกับหัวแท่นบรรทมอย่างสบายพระทัยที่ไม่มีใครมานั่งจับผิด


   “จะตรัสได้หรือยังพระเจ้าค่ะ ว่าเหตุใดจึงปีนต้นไม้”


หาก…แม้ไม่มีคนจับผิด แต่ชีวินผู้เป็นองครักษ์ก็ยังตามราวีจะรู้ให้ได้ องค์ชายสนธยาเหลือบเนตรไปยังองครักษ์หนุ่มร่างสูงโปร่งก่อนจะยอมออกโอษฐ์


   “ก็อย่างที่เราบอกองค์เตช เราขึ้นไปชมจันทร์”


   ชีวินไม่คัดไม่ค้าน หากแต่เขาวางขวดกระเบื้องเล็กๆลงบนโต๊ะข้างเตียงให้องค์ชายสนธยาเป็นผู้หันมาทอดพระเนตรเอง และทันทีที่พระองค์ทอดพระเนตรขวดกระเบื้องสีน้ำตาลอ่อนนั้นเพียงแค่วูบเดียว พักตร์สีน้ำผึ้งก็ดูเหมือนจะซีดเผือดในบัดดล


   “กระหม่อมพบขวดยานี้ที่ใต้ต้นไม้ต้นที่พระองค์ทรงปีน”


   ไม่มีคำตรัสอื่นใดจากองค์ชายสนธยา ชีวินจึงเอ่ยต่อ


   “ขวดยานี้เป็นขวดยาเฉพาะของราชสำนักสมุทรา พระองค์ทรงทราบหรือไม่ ว่ามันไปอยู่ใต้ต้นไม้ต้นที่พระองค์ทรงปีนได้อย่างไร”


   “จะไปรู้รึ?! เจ้าออกไปได้แล้วชีวิน ไม่ได้ยินท่านหมอพูดหรือว่าเราต้องพักผ่อนมากๆ” องค์ชายสนธยารีบเปลี่ยนเรื่อง เพราะรู้ดีว่าเวลานี้ชีวินไม่ได้ทำตัวเป็นองครักษ์ที่ดีอีกแล้ว


   “กระหม่อมจะปล่อยให้พระองค์พักผ่อน แต่พระองค์ต้องตรัสกับกระหม่อม ว่าเหตุใดยาพิษตำรับราชสำนักสมุทราจึงตกอยู่ที่ใต้ต้นไม้นั่น?!” ดวงเนตรกลมโตขององค์ชายสนธยาเบิกโพลงด้วยความตกใจ


   “เจ้าว่าอะไรนะ?!! ยาในขวดนั่นเป็นยาพิษอย่างนั้นหรือ?!!”


   “ใช่พระเจ้าค่ะ ยาในขวดนี้เป็นยาพิษ”


   “แต่…เมื่อวานตอนเราออกจากวังไปซื้อยานี่ คนขายบอกว่าเป็นยาบำรุงกำลัง เราก็เลยคิดจะเอาไปหยอดใส่บ่อหอย หอยมันจะได้แข็งแรง แล้ว…แล้วทำไม…”


   “นี่พระองค์แอบเสด็จออกนอกวังหรือพระเจ้าค่ะ?!!” ราวกับฟ้าผ่ากลางศีรษะของชีวินที่รู้ความจริงว่าเมื่อวานองค์ชายเหนือหัวของตนเล่นแผลงด้วยการเสด็จออกไปนอกวังโดยที่ไม่มีใครรู้ แม้แต่ตน! ให้มันได้อย่างนี้เถอะ! รู้ทั้งรู้ว่าองค์หญิงอรุณาจ้องจะทำร้าย เหตุใดจึงยังพาองค์ไปเสี่ยงในเมืองเพียงลำพังเช่นนั้น!!


   ดูเหมือนองค์ชายสนธยาจะเริ่มรู้องค์ว่าทรงพลาดตรัสความจริงไปเสียแล้ว จึงได้แต่หุบโอษฐ์เงียบ ในขณะที่ชีวินดูเหมือนจะกลายเป็นไฟได้ทุกขณะ


   “ทำไมทรงทำอะไรไม่นึกห่วงพระองค์เองบ้างเลย! รู้ไม่ใช่หรือว่าพระองค์เป็นเป้าหมายขององค์หญิงอรุณา! แล้วทำไมยังเสด็จออกไปเพียงลำพังเช่นนั้น?! แล้วอีกอย่างพระองค์เสด็จออกไปทำไมพระเจ้าค่ะ”


   “ก็…ก็…ก็เราเครียดเรื่องอรุณา เราก็เลย…ก็เลยอยากออกไปเปิดหูเปิดตาบ้าง…แล้วก็เลยไปได้ยาขวดนั้นมา…” พอคิดถึงขวดกระเบื้องอันเป็นหลักฐานคามือของชีวินแล้ว องค์ชายหนุ่มก็นึกขยาดที่จากยาบำรุงดันกลายเป็นยาพิษเสียได้ แต่ก็นับว่าเป็นโชคดีของหอยอายุยืนตัวนั้น เพราะหากพระองค์ไม่ตกต้นไม้เสียก่อน มันคงตาคาบ่อเพราะยาพิษที่พระองค์ถูกหลอกว่าเป็นยาบำรุง


   “แล้วพระองค์ไปได้ยาขวดนี้มาจากที่ใด แล้วเจ้าคนขายคนนั้นมันหน้าตาเป็นอย่างไร ไปพบเจอมันได้อย่างไร” ชีวินเริ่มซัก


   “เราซื้อมาจากผู้ชายคนหนึ่งที่ท่าเรือ เขามีแผงขายพวกยาสมุนไพรแปลกๆอยู่แถวนั้น”


   “แล้วหน้าตาเป็นอย่างไรพระเจ้าค่ะ”


   “เราจำไม่ได้หรอก ตอนนั้นมันมืด…ชีวิน…เจ้าว่า…คนที่ขายยานี่ให้เรา จะเป็นคนของ…” คำเดียวในใจของสนธยาตอนนี้คือ ‘อรุณา’ น้องสาวที่คลานตามกันมา หากแต่เมื่อเติบโตขึ้น นางกลับมองว่าเขาเป็นหอกข้างบัลลังก์ที่ควรจะเป็นของนาง


   “หรือพระองค์มีศัตรูอื่นอีกหรือพระเจ้าค่ะ”


   “อรุณาไม่ใช่ศัตรูของเรา”


   “องค์สน กระหม่อมรู้ว่าพระองค์ไม่อยากยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่การที่คนขายจะหยิบยาพิษมาขายแทนยาบำรุง ไม่อาจนับว่าเป็นเรื่องบังเอิญได้นะพระเจ้าค่ะ”


“แล้วถ้าคิดจะทำร้ายเราจริง เหตุใดต้องใช้ยาพิษพวกนี้ด้วยล่ะ ในเมื่อเราไปปรากฏต่อหน้าเขาเช่นนั้น” ไม่ใช่ว่าสนธยาดื้อแพ่งไม่ยอมรับความเกลียดชังของผู้เป็นน้องสาว แต่เพราะเขาอยากยื้อสายสัมพันธ์ของความเป็นพี่น้องให้ยาวนานที่สุด ทว่า…อาจเป็นฝ่ายอรุณาเองที่พยายามตัดขาดสายสัมพันธ์นี้ให้ไม่เหลือแม้แต่เศษซาก


   “ที่อนันตราชมีกฎหมายเข้มงวด มีการสุ่มตรวจอาวุธของคนเดินถนนแทบจะตลอดเวลา ไม่มีใครกล้าเสี่ยงพกพาอาวุธถ้าไม่ใช่พวกนายตรวจพระเจ้าค่ะ อีกอย่าง พวกนั้นคงคิดว่าพระองค์จะใช้ยาเอง คงไม่คิดว่า…เอ่อ…พระองค์จะใจบุญสุนทานประสงค์จะบำรุงหอย…”


   “ใจบุญสุนทานหรือ” พระองค์ได้แต่ทวนคำ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกอย่างเหนื่อยอ่อน “…โง่เขลาสิไม่ว่า…เราเกือบฆ่ามันด้วยซ้ำ…” หากพระองค์ไม่ทรงตกต้นไม้ ยาพิษนี้จะต้องไปอยู่ในบ่อหอยและมันจะต้องตายอย่างทรมาน ส่วนความผิดบาปจะเกาะกุมอยู่ในพระทัยของพระองค์ไปจนกว่าจะหมดลม


   “กระหม่อมจะให้คนสืบเรื่องคนขายยา พระองค์ทรงพักผ่อนเสียเถอะพระเจ้าค่ะ แผลจะได้สมานกันโดยไว” ชีวินคำนับอีกครั้ง หากแต่ไม่ทันจะเดินออกจากห้อง องค์ชายสนธยาก็ทรงเรียกเอาไว้


   “ชีวิน…” เจ้าของชื่อหันกลับมามอง “…เจ้าอย่าบอกองค์ชายเตชินทร์ได้ไหม”


   ชีวินนิ่งไป ราวกับตรึกตรองว่าควรจะบอกเรื่องที่ได้รับรู้มาจากองค์ชายสนธยาดีไหม จริงอยู่ว่าเรื่องคนปองร้ายองค์ชายสนธยาแม้เกิดขึ้นในแผ่นดินอนันตราชแต่ก็นับว่าเป็นเรื่องภายในของสมุทรา อย่างไรก็ตามเรื่องบาดหมางขององค์หญิงอรุณาที่มีต่อเชษฐาก็เป็นที่รับรู้ของราชสำนักอื่น แต่…ก็ไม่ควรป่าวประกาศย้ำชัดว่าความสัมพันธ์ของสองพี่น้องไม่สู้ดี อันจะทำให้สถานภาพของราชสำนักสั่นคลอน


   “ถึงไม่ทูล แต่กระหม่อมคิดว่าองค์ชายเตชินทร์คงสงสัย เพราะสาเหตุที่พระองค์ทรงปีนขึ้นไปชมจันทร์จนตกต้นไม้ไม่เป็นที่เชื่อถือพระเจ้าค่ะ”


   “ทำไมถึงไม่น่าเชื่อถือ เราดูเป็นคนโกหกไม่เก่งอย่างนั้นรึ?!” องค์ชายสนธยาทรงร้องถาม เริ่มรู้สึกเสียหน้าเล็กน้อยที่ถูกชีวินทูลว่าพระองค์ทรงไม่น่าเชื่อถือเช่นนั้น


   “กระหม่อมมิบังอาจกล่าวหาว่าพระองค์โกหกไม่เก่งพระเจ้าค่ะ แต่ขอบอกว่าพระองค์ ‘โกหกไม่เป็น’ จะดีกว่า”


   “หมายความว่าอย่างไร?!! เราอายุตั้งเท่านี้! จะโกหกไม่เป็นได้อย่างไรกัน!!” อย่างน้อยๆ พระองค์ก็มีสนมตั้ง 121 คน เรื่องโกหกบอกปัดสับรางพวกนางทีละสิบคนนั้นเป็นเรื่องปกติ จะมากล่าวหาว่าพระองค์โกหกไม่เป็นได้อย่างไรกัน


   ชีวินถอนหายใจเล็กน้อย เบือนสายตามองออกไปนอกหน้าต่างบานกว้าง บัดนี้ใกล้สว่างมากแล้ว หากแต่สำหรับคนช่างสังเกตสังกามีหรือจะไม่รู้ว่าค่ำคืนที่ผ่านมาเป็นคืนอะไร


   “ชีวิน! เจ้าอย่าเงียบซี่! บอกเรามา!”


   “เมื่อคืนเป็นคืนเดือนมืดพระเจ้าค่ะ”


   “อะไรนะ?!!”


   “คืนเดือนมืดพระเจ้าค่ะ หมายถึงคืนที่ไม่มีพระจันทร์ เพราะฉะนั้นที่พระองค์ตรัสกับองค์ชายเตชินทร์ว่าปีนต้นไม้เพื่อชมจันทร์นั้น จึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อถือเป็นที่สุด” องค์ชายสนธยาอ้าโอษฐ์ค้างด้วยความตกตะลึง


   …คืนเดือนมืด?!! เมื่อคืนเป็นคืนเดือนมืดอย่างนั้นหรือ?!!!


   “คราวหน้าคราวหลัง ก็ทอดเนตรท้องฟ้าก่อนนะพระเจ้าค่ะ” ชีวินทูลสำทับอีกครั้งก่อนจะหมุนกายเดินออกจากห้องไปทันที ทิ้งองค์ชายสนธยาเอาไว้กับความหน้าแตกยับเยินที่ยังไม่รู้ว่าจะกอบกู้ขึ้นมาได้อย่างไร

………………………………..


   องค์ชายเตชินทร์ทำองค์เป็นปกติอย่างที่สุด เพราะในเช้าตรู่วันรุ่งขึ้นก็เป็นผู้นำขบวนนางกำนัลเข้ามาในห้องบรรทมของคนตกต้นไม้พร้อมด้วยของเสวยยามเช้าที่มีคุณท้าวเอิบคอยดูแลเช่นเคย


   “ท่านลุกขึ้นมาชำระร่างกายเสียหน่อย ประเดี๋ยวหมอหลวงจะมาตรวจแล้ว” สนธยานอนไม่หลับทั้งคืน ด้วยเพราะไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไรที่ดันโกหกให้อีกฝ่ายจับได้แบบซึ่งหน้าเช่นนี้ แต่…ดูท่าเตชินทร์ก็ไม่เหมือนจะจับพิรุธได้เลย…หรือจะไม่รู้ว่าเมื่อคืนเป็นคืนเดือนมืด…


   …อย่างนี้ต้องลองถามดูเสียหน่อย…


   “ท่านพาเราเข้าไปที่ห้องน้ำได้ไหม เราเดินไม่ค่อยไหว” สนธยาทำเสียงอ่อนระโหยเหมือนเจ็บป่วยขนาดหนัก และแน่นอนว่ามันได้ผลเสมอกับร่างสูงใหญ่ตรงหน้าที่แทบจะอุ้มขึ้นซบอก หากไม่ใช่ว่าสนธยาเบี่ยงปลายเท้าลงมายืนที่พื้นได้เสียก่อน


   “เมื่อคืน หลังจากเราออกจากห้องไปแล้ว ได้ทายาแก้ฟกช้ำอีกรอบไหม”


   “ไม่ได้ทา” เพียงเท่านั้นพักตร์คมคายก็หันขวับมาราวกับจะดุ แต่ดูเหมือนสนธยาจะรู้อยู่แล้วจึงรีบแก้ต่างทันควัน


“…ก็เราทาไม่ไหว เมื่อคืนชีวินก็ต้องพักผ่อน ครั้นเราจะลุกขึ้นมาทาเอง เราก็…ทาไม่ถึง” แผลฟกช้ำส่วนใหญ่อยู่ที่ด้านหลัง ไม่ว่าจะตรงสะโพกหรือต้นขา อันที่จริง แผลดำๆเขียวๆพวกนั้น สนธยาไม่ได้ใส่ใจมากนักหรอก แต่เพราะอีกฝ่ายดูจะห่วงใยในรอยพวกนั้นเสียเหลือเกิน เขาก็ต้องใช้ให้เป็นประโยชน์


   “แล้วทำไมไม่เรียกเรา”


   “เราไม่อยากรบกวนท่านนี่” สนธยาเหลือบมองคนที่ประคองเขาอยู่พลางกลืนน้ำลายอึกใหญ่แล้วเอ่ย “…แล้วอีกอย่าง เมื่อคืนจันทร์สวย ท่านก็น่าจะ…” แววไหววูบในดวงเนตรของอีกฝ่ายบอกสนธยาในทันทีว่าเตชินทร์รู้ว่าเมื่อคืนไม่มีจันทร์ให้ชม และแน่นอน…เตชินทร์รู้ว่าเขาโกหกเรื่องที่ปีนต้นไม้เพราะอยากชมจันทร์


   “ท่านรู้ว่าเมื่อคืนเป็นคืนเดือนมืดใช่ไหม” สนธยาจี้ถามทันที


องค์ชายหนุ่มแห่งอนันตราชถอนปัสสาสะอย่างเหนื่อยอ่อน


   “เรารู้ว่าเมื่อคืนเป็นคืนเดือนมืด แต่เราไม่รู้ว่าท่านโกหกเราทำไม” น้ำเสียงนั้นส่อแววเสียใจและน้อยใจอย่างที่ทำเอาสนธยาต้องแตะมือลงกับท่อนแขนของอีกฝ่ายราวกับจะปลอบประโลม


   “เราไม่ได้อยากโกหกท่าน แต่…เราแค่ไม่กล้าบอกความจริง เรื่องที่เรา…เอ่อ…เราอยากบำรุงหอยตัวนั้น เราก็เลยปีนออกจากห้อง จะไปที่บ่อเพื่อหยดยาบำรุง”


   “แล้วทำไมท่านถึงไม่เดินออกไปดีๆ”


   “ก็…ก็ถ้าเราบอกว่าเราจะเดินออกไปที่บ่อหอยเพื่อหยดยาบำรุงหอย ท่านคิดว่าพวกทหารจะทำหน้าตาอย่างไร” นอกจากนั้น สนธยายังมีเหตุผลอีกหนึ่งข้อที่ไม่กล้าบอกกับอีกฝ่าย คือเขาไม่อยากให้พวกอนันตราชมองว่าหอยตัวนั้นร่างกายแข็งแรงเพราะยาบำรุง หอยนั่นมาจากสมุทรา ถ้าจะแข็งแรงก็ต้องแข็งแรงเพราะเป็นหอยจากสมุทราสิ! จะให้แข็งแรงเพราะยาบำรุงได้อย่างไรกัน!!


   ดวงเนตรของเตชินทร์ดูจะหวานล้ำและเอ็นดูเหตุผลของอีกฝ่ายเหลือเกิน เขายิ้มบาง ขณะช่วยปลดเสื้อผ้าให้สนธยาได้อาบน้ำชำระร่างกาย


   “ยังเจ็บแผลอยู่ไหม” ปลายนิ้วหยาบหากแต่ให้สัมผัสนุ่มนวลยามแตะลงบนแผลแตกบนต้นแขนเพราะไปเกี่ยวเอากับเศษไม้ยามที่พลัดหล่นจากต้น


   “นิดหน่อย เอ่อ…เราอาบเองได้ ท่านออกไปรอ…” ริมฝีปากพูดไม่ทันจบ ดวงเนตรคมของบุคคลตรงหน้าก็ทำเอาสนธยานิ่งไปเสียถนัด


   ความลึกซึ้งที่ปรากฏในดวงตาขององค์ชายแห่งอนันตราชนั้น สนธยาพยายามบอกตัวเองเสมอมาว่ามันไม่มีอะไรเกินเลย หากแต่…ดูเหมือนยิ่งทำเป็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้คิดอะไร ก็เหมือนเตชินทร์จะพยายามบอกความรู้สึกให้เขารับรู้มากขึ้นทุกที


   ไม่มีเสียงใดนอกเสียจากเสียงหัวใจที่เต้นดังยามสบตากับเตชินทร์ สนธยาผู้มีสนมมากมายเป็นร้อยคนไม่เคยมีช่วงเวลาเช่นนี้กับสนมคนใด หากแต่…กับชายตรงหน้าคนนี้ อะไรบางอย่างกลับทำให้หัวใจไม่สงบเอาเสียเลย


   “เราอยากให้ท่านรู้…เราเป็นห่วงท่าน…” จู่ๆเตชินทร์ก็เอ่ยปาก ปลายนิ้วยังลูบไล้รอบบาดแผลที่ยังสด มันยังเจ็บระบม ทว่านอกเหนือจากความเจ็บเหล่านั้นคือความรู้สึกหวามไหวประหลาดที่พุ่งเข้าสู่หัวใจ สัมผัสอ่อนโยนนั้นผสมผสานกับสายเนตรที่ล้นปรี่ไปด้วยความจริงใจ


   …ผู้ชายคนนี้พูดจริง…เขาห่วง…และนอกเหนือจากคำพูด สายตาคู่นี้บอกว่า…เขาหวง…


   ราวกับเป็นคำสาปและมนต์สะกด สนธยาได้แต่นิ่งงันยอมยืนนิ่งให้เตชินทร์ก้มลงมาใกล้ ใกล้มากเสียจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆที่เป่าลดริมฝีปากเขา และหลังจากนั้นเพียงเสี้ยวอึดใจ ความอุ่นร้อนและนิ่มนวลก็ประทับลงมาบนริมฝีปากของเขา


   องค์ชายหนุ่มแห่งสมุทราตกตะลึง หากแต่ดวงเนตรที่ควรเหลือกโตกลับเบิกค้างเพียงครู่เดียว ความอ่อนหวานที่อีกฝ่ายมอบให้ก็ทำให้ดวงเนตรสีน้ำตาลอ่อนยอมหรี่ลงแต่โดยดี แล้วยอมรับความอ่อนโยนจากองค์ชายแห่งอนันตราชด้วยหัวใจที่เต้นระรัว


   “อื้อ…อืม…” มีเพียงเสียงครางแผ่วเบาดังก้องในห้องน้ำกว้าง มือสีน้ำผึ้งจิกกำลาดไหล่ของเตชินทร์ด้วยความวาบหวาม ยามริมฝีปากประกบดูดดื่ม ปลายลิ้นร้อนแตะสัมผัสกันเพียงแผ่วหวาน หากแต่เพียงครู่เดียวเมื่อทำความคุ้นเคยกันแล้ว มันก็กอดรัดกันและกันราวกับโหยหา


   “อ๊ะ…อื้อ…” ฝ่ามือร้อนของเตชินทร์ลูบไล้แผ่นหลังของสนธยา หากแต่เมื่อมันแตะโดยจุดฟกช้ำจากการตกต้นไม้เมื่อคืน ก็ทำเอาเจ้าของร้านสะดุ้งวาบ หากแต่เพียงครู่เดียว เมื่อถูกปลอบประโลมด้วยริมฝีปากหวานจากอีกฝ่าย สนธยาก็ลืมเลือนความเจ็บปวดนั้นไป


   นานเนิ่นนาน กว่าที่เตชินทร์จะยอมปล่อยริมฝีปากออก แขนแข็งแรงข้างหนึ่งโอบร่างของสนธยาเข้าแนบชิด มืออีกข้างที่ว่างลูบไล้ริมฝีปากชื้นของคนในอ้อมแขนแผ่วเบา สายตาที่ทอดมองนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกหวานล้ำเต็มเปี่ยม


   “อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสีย เราจะออกไปรอข้างนอก” สนธยามองตามจนกระทั่งเตชินทร์หายลับออกจากห้องน้ำไปแล้ว บานประตูปิดลงเหลือเพียงเขาคนเดียว และทันทีที่เหลือเพียงลำพัง องค์ชายหนุ่มแห่งสมุทราก็ถึงกับทรุดองค์ลงกับพื้น ดวงเนตรเบิกโตเมื่อรำลึกได้ว่าเมื่อครู่ตนทำสิ่งใดลงไป


   …จูบ…


   …จูบกับองค์ชายเตชินทร์…


   …องค์ชายอย่างพระองค์จูบกับองค์ชายอย่างเตชินทร์…


   …เรื่องแบบนี้…ร้ายแรงยิ่งกว่ามาการที่พระองค์จะถูกปลงพระชนม์ในต่างแดนเสียอีก!!...

……………………….
หัวข้อ: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 7)...อัพ 25/08 (หน้า 8 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: Dezair ที่ 25-08-2013 20:28:25
มือเรียวตวัดฟาดลงบนใบหน้าของคุณท้าวสุภาอย่างแรง ทันทีที่นางถวายข่าวคราวล่าสุดจากอนันตราชให้องค์หญิงอรุณาได้สดับ และทันทีที่สดับ ความโมโหของพระองค์ก็พุ่งทะยานจนคุณท้าวชรากลายเป็นที่รองรับพระอารมณ์


   “โง่หรือบ้า!! ทำแบบนั้นมันจะตายได้อย่างไร?!!”


   “แต่ไม่มีวิธีใดดีไปกว่านี้แล้วนะเพคะ…”


“ก็เลยใช้วิธีโง่เง่าขายยาพิษให้มันงั้นรึ?!! แล้วเป็นอย่างไร ตอนนี้มันตายไหม?!!” คำถามนี้ ไม่ว่าใครก็รู้คำตอบ เพราะหากองค์ชายสนธยาดับสิ้นจริง องค์หญิงอรุณาคงพระอารมณ์ดีกว่านี้เป็นแน่


“หม่อมฉันไม่ใช่คนต้นคิดนะเพคะ แต่…เอ่อ…คนของเราคงไม่เห็นทางแล้ว จึงใช้วิธีนี้ อีกทั้งยามนี้ที่อนันตราชเข้มงวดมาก ตรวจอาวุธแทบจะตลอดเวลา เวรยามเต็มเมืองไปหมด โอกาสหายากเหลือเกิน” คุณท้าวหมอบคุดคู้อยู่แทบพระบาทขององค์หญิงอรุณาด้วยความหวั่นเกรง แม้พระองค์จะเป็นเพียงองค์หญิงรูปร่างอรชรอ้อนแอ้น หากแต่ก็สั่งประหัตประหารมาหลายคนแล้ว


“แต่มันก็อุตส่าห์ออกจากวังไปปรากฏให้เห็นกับตาแล้วไม่ใช่รึ?!!”


“นั่นเป็นเรื่องนอกเหนือความคาดหมายเพคะ องค์หญิง…ยามนี้ที่อนันตราชเข้มงวดมากนัก ทำการสิ่งใดก็ไม่สะดวก คงเป็นเพราะมีใครนำเรื่องไปทูลกษัตริย์แห่งอนันตราช…”


“ต้องเป็นเพราะเสด็จแม่แน่ๆ ที่ปากโป้งบอกพวกอนันตราชให้คุ้มกันสนธยา!” องค์หญิงผู้เป็นขนิษฐาไม่ได้นึกรักเชษฐาเลยแม้แต่น้อย ยามนี้ลมหายใจของสนธยาคือขวากหนามสำหรับพระองค์ ดังนั้นทางเดียวที่จะทำลายขวากหนามลงได้ก็คือทำให้สนธยาไม่มีลมหายใจอีกต่อไป!


   “แล้วคนของเราที่ส่งไป ตอนนี้มันเข้าไปในวังของอนันตราชได้รึยัง”


   “เข้าได้แล้วเพคะ แต่ยังเข้าไม่ถึงตำหนักอิฐขององค์ชายเตชินทร์…โอ๊ย!!” พระบาทเรียวเล็กเตะเข้าที่ชายโครงคุณท้าวอีกครั้งด้วยไม่พอใจในคำตอบ


   “ม…หม่อมฉันจะรีบกำชับให้พวกมันเข้าใกล้ตำหนักอิฐให้เร็วที่สุดเพคะ!!” องค์หญิงอรุณาเม้มโอษฐ์แน่นด้วยเพราะรู้ว่าการที่พระองค์ทำร้ายคุณท้าวนั้น ไม่อาจช่วยให้งานใหญ่ของพระองค์คืบหน้าไปมากกว่านี้ ในยามที่อนันตราชเพิ่มความปลอดภัยเป็นสองเท่า เพื่อคุ้มครององค์ชายพลัดถิ่นอย่างสนธยา


   “ส่งคนไปบอกพวกมันว่าไม่ต้องแล้ว” คุณท้าวสุภาเงยหน้าขึ้นมององค์หญิงอรุณา พักตร์งามนิ่งตึง หากแต่สายเนตรนั้นแฝงแววร้ายเสียจนนางยังสั่นเทิ้มไปทั้งตัว


   “ข้าจะเป็นคนเข้าไปเอง!”


   “ม…หมายความว่าพระองค์จะเสด็จอนันตราชหรือเพคะ”


   “ไม่ใช่แค่อนันตราช แต่ต้องได้เข้าไปถึงตำหนักอิฐ!!”

…………………………….

   ร่างสูงโปร่งขององครักษ์หนุ่มนามว่าชีวินก้าวเท้าเดินไปตามโถงทางเดินที่มุ่งสู่ห้องบรรทมขององค์ชายสนธยา แม้ความถี่ของฝีเท้าที่ก้าวจะเป็นจังหวะปกติอย่างชายชาติทหาร หากแต่สิ่งที่รับรู้มาจากสายข่าวของสมุทราที่แฝงกายเร้นอยู่ในอนันตราชก็ทำให้ดวงตาสีเข้มมีประกายกังวลอย่างเห็นได้ชัด


   … ‘คนขององค์อรุณาเข้ามาในอนันตราชมากขึ้นเรื่อยๆ’…ไม่ต้องถามจุดประสงค์ของคนเหล่านั้น ชีวินก็พอจะรู้ว่าคนขององค์หญิงแห่งสมุทรามาที่อนันตราชทำไม คงไม่ใช่มาเพื่อเยี่ยมเยียนองค์ชายสนธยาเป็นแน่แท้


   ฝ่ามือขาวผลักบานประตูเข้าไปในห้องบรรทมขององค์ชายผู้เป็นนายเหนือหัวด้วยเพราะหมายจะรายงานข่าวคราวให้องค์ชายพลัดถิ่นได้ระวังองค์มากกว่านี้ หากแต่บนแท่นบรรทมกลับว่างเปล่าไร้คนตกต้นไม้ที่ควรจะนอนนิ่งๆเพื่อให้อาการเคล็ดยอกหายสนิท ชีวินกวาดตามองซ้ายขวา ก่อนจะเห็นร่างไหวๆขององค์ชายสนธยาอยู่ที่ข้างตู้ไม้ใบใหญ่


   “องค์สน…” ชีวินขยับเข้าไปใกล้ และเมื่อเห็นว่าองค์ชายของตนกำลังทรงทำสิ่งใด ดวงตาของชีวินก็เบิกโต


   “…นั่นพระองค์ทรงเก็บเสื้อผ้าจะเสด็จไปไหนพระเจ้าค่ะ?!!” คนเป็นบ่าวรีบถลาเข้าไปหา


   “เราจะเดินทางผจญภัยไปดินแดนสุดขอบตะวันตก เราไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว เราจะไปผจญภัย เราจะไม่เลี้ยงหอย…เราจะไปจากอนันตราช…” สนธยาพึมพำซ้ำๆ ราวกับหาเหตุผลมารองรับการกระทำของตนแค่เพียงเท่านี้ ซึ่งเหตุผลเล็กน้อยประเภทจะออกไปผจญภัยนั้น แน่นอนว่าสำหรับชีวิน มันเป็นเหตุผลที่ใช้การไม่ได้


   องครักษ์หนุ่มยื้อท่อนกรขององค์ชายสนธยาเอาไว้ ให้คนกำลังเก็บข้าวของต้องเบือนเนตรมาสบ


   “เกิดอะไรขึ้นหรือพระเจ้าค่ะ องค์ชายเตชินทร์ทรงโกรธพระองค์หรือ” พอชีวินเอ่ยถึงชื่อต้องห้าม สนธยาก็นิ่งขึงราวกับถูกปีศาจสิงสู่


   “องค์สน…เป็นอะไรไปพระเจ้าค่ะ องค์สน…ตรัสกับกระหม่อม เกิดอะไรขึ้นกับพระองค์ องค์ชายเตชินทร์ทรงทำอะไร”


   “ม…ไม่ได้ทำ! ไม่ได้ทำ…”


   “องค์สน พระองค์ก็ทรงรู้ว่าโกหกกระหม่อมกี่ครั้ง กระหม่อมก็จับได้ทุกครั้ง ตรัสความจริงมาพระเจ้าค่ะ” ชีวินเป็นบ่าวก็จริง แต่เวลาที่ต้องการความจริงจากปากองค์ชายสนธยา เขาก็สามารถแปลงร่างเป็นผู้คุมความประพฤติได้อย่างไม่มีที่ติ


   สนธยากลืนน้ำลายอึกใหญ่ ทั้งตื่นตระหนก ทั้งไม่รู้จะเล่าความจริงอย่างไร ทั้งๆที่รู้แก่ใจว่าความจริงมีเพียงอย่างเดียว…หากแต่ แม้จะเป็นเพียงแค่อย่างเดียว มันกลับร้ายแรงยิ่งกว่าเรื่องใดๆทั้งสิ้น


   ชีวินไม่ได้ทูลย้ำให้องค์ชายตรัส เขาใช้เพียงสายตาจับจ้ององค์ชาย และเพียงแค่อึดใจต่อมา โอษฐ์บางก็ขยับเป็นคำสั้นๆหากแต่ได้ใจความเสียจนคนฟังถึงกับต้องเบิกตาค้าง


   “เราจูบกับองค์เตช”


   สรรพสิ่งรอบกายคล้ายกับหยุดเคลื่อนไหว ไม่มีเสียงลม ไม่มีเสียงทหารเดินตรวจตราเวรยาม ไม่มีเสียงนางสนมกำนัลที่คอยดูแลความสะอาดเรียบร้อยในตำหนัก ชีวินไม่ได้ยินเสียงใดๆอีก ยกเว้นแต่เสียงขององค์ชายสนธยาที่ดังก้องอยู่ในหูของเขาซ้ำไปซ้ำมา


   ‘เราจูบกับองค์เตช’


   …จูบกับองค์ชายเตชินทร์!!...องค์ชายสนธยาจูบกับองค์ชายเตชินทร์!!!...


   “ชีวิน เจ้าอย่าเงียบซี่ เจ้ารู้จักเรามาแต่เล็ก เจ้าก็รู้ว่าเราไม่เคยมีสนมเป็นชาย เราไม่เคยฝักใฝ่ชายใด แต่…เอ่อ…เราเองก็ไม่เข้าใจ ว่าทำไม…”


   “องค์สน องค์ชายเตชินทร์ไม่ใช่แค่เป็น ‘ชาย’ นะพระเจ้าค่ะ แต่องค์ชายเตชินทร์ทรงเป็นองค์ชายรัชทายาท”


   “เรารู้ ชีวิน เราก็เลยคิดว่า ตอนนี้เราควรจะไปจากอนันตราชเสีย” สนธยารู้ดีว่าขืนอยู่ที่นี่ต่อไป เรื่องจูบจะกลายเป็นความหวานล้ำในจิตใจ เพราะแค่จุมพิตเดียวก็ทำเอานิ่งตะลึงตะลานเสียเพียงนี้ หากปล่อยให้ความรู้สึกพิกลนั้นแทรกซึมเข้าไปเรื่อยๆ เขาคงไม่เป็นสนธยาคนเดิมอีก


ชีวินเม้มปากนิ่งขึง ใจหนึ่งเขาก็รู้ว่าองค์ชายสนธยาไม่ควรประทับอยู่ที่อนันตราชอีกต่อไป วันนี้จูบกับองค์ชายเตชินทร์ วันหน้าองค์ชายสนธยาอาจได้องค์ชายเตชินทร์เป็นสนมคนที่ 122 ก็เป็นได้ แต่…แต่ถ้าออกจากอนันตราช อายุขัยขององค์ชายสนธยาคงเหลือเพียงไม่กี่วันเท่านั้น เพราะอันตรายรอบด้านไปหมด


   …ระหว่างให้องค์ชายสนธยารับรัชทายาทราชสำนักอื่นมาเป็นสนม กับสนับสนุนให้พระองค์เสด็จออกจากอนันตราชแล้วไปเผชิญภยันตรายใดๆที่อาจเกิดได้ทุกเมื่อ…ไม่ว่าอย่างไร ชีวินก็ไม่อาจเลือกอย่างหลังได้ลง…


   “ชีวิน เจ้าอย่าเงียบสิ ช่วยเราคิดหน่อยว่าเราจะหนีไปทางใดดี ขึ้นเหนือไปทางภูเขาดีไหม กันดารใช่ย่อย ท่าทางน่าสนุก หรือไม่อย่างนั้นก็ออกทะเลไปเรื่อยๆ แต่มันก็ดูเรียบง่ายไปสักหน่อยนะ…”


   “กระหม่อมคิดว่าพระองค์ต้องเข้าเฝ้ากษัตริย์วิภูพระเจ้าค่ะ”


   “เข้าเฝ้า?! เข้าเฝ้าทำไม ทูลลารึ? ไม่ได้หรอก เราอยู่ที่นี่ในฐานะคนเลี้ยงหอย วันดีคืนดีจะไปทูลลาขอทิ้งหน้าที่เพราะเหตุผลที่อยากออกผจญภัยไปทั่วแผ่นทวีปได้อย่างไรกัน วิธีที่ดีที่สุดคือต้องหนีเท่านั้น”


   “กระหม่อมคิดว่าพระองค์ไม่ควรหนีพระเจ้าค่ะ แต่พระองค์ควรจะรับผิดชอบ”


   “รับผิดชอบ?! รับผิดชอบอะไร?!!” สนธยาเบิกเนตรกว้างด้วยความตกใจ หากแต่ชีวินยังมีสีหน้าเรียบเฉยมุ่งมั่นในความคิดของตน


   “พระองค์ต้องรับผิดชอบที่ไปจูบองค์ชายเตชินทร์น่ะสิพระเจ้าค่ะ”


   “อะไรนะ?!!!!!”


   “กระหม่อมจะติดต่อไปทางสมุทรา ทูลความจริงเรื่องที่พระองค์ผิดผีกับองค์ชายเตชินทร์เพื่อให้ราชินีวารีวาททรงทราบ แล้วจะได้เตรียมการหมั้นหมายต่อไป กระหม่อมขอตัว” ว่าแล้วชีวินก็หมุนกายเดินหายลับออกไปจากห้อง ทิ้งเอาไว้เพียงสนธยาที่ยืนอ้าปากค้างนิ่งสนิท


   …ผิดผี!! หมั้นหมาย!!...จากคนเลี้ยงหอยจะให้ไปหมั้นกับรัชทายาท!!


...โอ้ อาคันตุกะผู้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้แก่อนันตราชของแท้!!!...

…………………….   

   องค์ราชินีวารีวาททอดเนตรธิดาองค์โตผู้ถือตำแหน่งรัชทายาทแห่งบัลลังก์สมุทราด้วยสายเนตรเฉยเรียบ แม้องค์หญิงอรุณาผู้กระด้างกระเดื่องจะกำลังพร่ำพรรณาพร้อมน้ำตาด้วยความโศกเศร้าน่าเวทนาก็ตามที


   “เสด็จแม่เพคะ หม่อมฉันรู้แล้วว่าผิด ที่คิดร้ายต่อพี่น้องตัวเอง ที่รังเกียจพี่ชายร่วมสายเลือด ให้อภัยหม่อมฉันนะเพคะ หม่อมฉันรู้ตัวว่าทำตัวไม่ดีกับสนธยาเอาไว้มาก จากวันนี้ หม่อมฉันจะไม่อยู่ที่สมุทราอีก หม่อมฉันจะออกเดินทางไปต่างบ้านต่างเมือง อย่างน้อยการไปอยู่ต่างถิ่นที่ไม่มีพี่มีน้อง ก็คงทำให้รู้ซึ้งในรสชาติของความเหงาและว้าเหว่…เสด็จแม่ งานต่างๆที่หม่อมฉันดูแลอยู่ พระองค์จะประทานให้น้องๆของหม่อมฉันก็ได้นะเพคะ…”


   “นึกจะไปต่างบ้านต่างเมืองก็จะไปอย่างนั้นหรือ เจ้าเป็นองค์หญิง จะไปนอนต่างถิ่นทั้งๆที่ไม่มีเรื่องสำคัญได้อย่างไรกัน ไหนจะงานในความรับผิดชอบของเจ้าอีก มาตัดสินใจเอากะทันหันเช่นนี้ แล้วข้าจะยกงานของเจ้าให้คนอื่นทันได้อย่างไร อรุณา” องค์ราชินีวารีวาทยังคงมีน้ำเสียงราบเรียบ แม้จะไม่ได้เลี้ยงลูกทุกคนด้วยพระองค์เอง แต่พระองค์ก็พอจะทรงทราบว่าลูกแต่ละคนเป็นเช่นไร และหนึ่งในนิสัยของอรุณาที่พระองค์ทรงทราบก็คือ…นางใช้น้ำตาและความน่าสงสารตบตาคนได้ทุกเมื่อ…


   “เสด็จแม่ ได้โปรดเถอะเพคะ หม่อมฉันรู้ว่าตัวว่าเลวทรามเพียงใด ที่หวังเป็นใหญ่เหนือบัลลังก์ของสมุทรา บัลลังก์ที่ไม่ใช่ของเราแต่เป็นบัลลังก์ของประชาชน หม่อมฉันอยากไถ่บาปไถ่โทษ อยากให้เวลากับตัวเอง อยากสอนตัวเองว่าให้รักคนอื่น ให้คิดถึงคนอื่น หม่อมฉันอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองเพคะ” องค์หญิงอรุณาก้มพักตร์สะอื้นหนักอย่างที่ทำเอาผู้เป็นมารดาต้องถอนหายใจ แม้ลูกจะมีนิสัยร้ายกาจเพียงใด หากแต่ขึ้นชื่อว่าลูกก็คือลูก เมื่ออรุณาวอนขออยากออกไปจากสมุทรา พระองค์ก็ไม่รู้จะกีดกันไปทำไม หากแต่ไม่ทันที่พระองค์จะได้ทรงเอื้อนเอ่ยสิ่งใดขุนนางชราก็ปรากฏตัวขึ้นที่ประตูห้องเสียก่อนราวกับมีเรื่องด่วนเรื่องร้อน


   ราชินีวารีวาททรงรู้ดีว่าขุนนางผู้นี้จะปรากฏเมื่อมีเรื่องสำคัญในต่างแดนเท่านั้น และเรื่องสำคัญในต่างแดนเวลานี้ก็ไม่มีเรื่องใดสำคัญไปกว่าเรื่องของสนธยาพระโอรสของพระองค์อีกแล้ว สตรีผู้มีอำนาจเหนือบัลลังก์สมุทราพยักพักตร์เล็กน้อย ขุนนางร่างผายผอมก็ก้าวเข้าไปถวายบังคมพร้อมด้วยสาสน์ฉบับเล็กที่ถูกส่งมาเป็นการด่วน


   องค์หญิงอรุณาจับจ้องทีท่าของมารดาที่กำลังเปิดสาสน์ออกอ่านด้วยความสงสัยใคร่รู้ ท่านวรุฒมาพร้อมกับเรื่องของสนธยาเสมอ และถ้าไม่ใช่เรื่องด่วน ก็ไม่เคยต้องเข้าพบกะทันหันเช่นนี้


   …แสดงว่าต้องมีเรื่องเกิดขึ้นกับสนธยา…หรือมันจะถูกฆ่าตายแล้ว? ดีสิ!! ถ้าสนธยาตาย พระองค์ก็ไม่ต้องอ้อนวอนขอเสด็จออกจากสมุทราอีก!!...


   องค์ราชินีวารีวาทจับจ้องรายละเอียดบนสาสน์ฉบับเล็ก ซึ่งแน่นอนว่ามีเพียงพระองค์เท่านั้นที่ได้อ่าน อรุณาร้อนรุ่มไปทั้งใจด้วยความอยากรู้ และเฝ้าภาวนาให้ข่าวในสาสน์ฉบับนั้นเป็นข่าวดีสำหรับพระองค์


   “ท่านวรุฒ” องค์ราชินีวารีวาททรงเรียก ขุนนางผู้นำสาสน์มารีบค้อมกายรับโองการ องค์ราชินีปรายสายเนตรมาทางอรุณาเพียงวูบหนึ่ง หากแต่เพียงวูบเดียวก็อ่านสีหน้าสีตาของผู้เป็นธิดาได้แล้ว


   …ใบหน้าที่เปื้อนคราบน้ำตา หากแต่ในแววตานั้นยังมีแต่ความร้ายกาจและอาฆาตมาดร้ายต่อพี่น้อง…


   ผู้เป็นแม่ถอนหายใจด้วยความอ่อนล้า เวลาไม่อาจทำให้อรุณาเปลี่ยนแปลง เหมือนที่การที่สนธยาไปอยู่ต่างแดนก็ไม่อาจทำให้อรุณาลดความดื้อดึงเกลียดชังและหยิ่งผยองลงเลย…บางที นี่อาจเป็นโอกาสดีที่สุดที่พระองค์จะได้ช่วยโอรสและประชาชนของพระองค์เอง


   “เราจะไปอนันตราช” อรุณาเบิกตาโตด้วยความตกใจที่โองการของผู้เป็นมารดาคือปลายทางเดียวกับที่พระองค์จะเสด็จไป


   องค์ราชินีวารีวาทเหลือบเนตรมาทางธิดาอีกครั้ง


   “เจ้าก็ไปกับเราด้วย อรุณา”


   “ป…ไป…ไปอนันตราช…ไปทำไมหรือเพคะ” อรุณาครวญถามด้วยใจระทึก หรือจะไปเพื่อรับศพสนธยากัน?! ดีสิ!! พระองค์ยินดีอย่างยิ่งที่จะได้ไปเห็นร่างไร้วิญญาณของสนธยาด้วยเนตรของพระองค์เอง!!!


   “ไปขอหมั้นรัชทายาทแห่งอนันตราชมาเป็นสะใภ้ราชสำนักเรา”


   “อ…อะไรนะเพคะ?!!! รัชทายาทของอนันตราชจะมาเป็นสะใภ้ของสมุทรา?!!!”


   “สนธยาดันไปผิดผีองค์ชายรัชทายาทของอนันตราชเข้าน่ะสิ”


   องค์หญิงอรุณาเบิกเนตรกว้างด้วยความตกตะลึง นอกจากสนธยาจะไม่ตายอย่างที่หวังแล้ว ยังพาสะใภ้เข้าราชสำนักเพิ่มอีกอย่างนั้นหรือ?!!!!


ติดตามตอนต่อไป

ขอโทษที่หายไปนานนะคะ ภายในพุธหน้า จะเอาตอนพิเศษของ ‘ปวิน’ มาลงเป็นการไถ่โทษที่เรื่องนี้มาต่อช้า :hao3:

แล้วก็ขอบคุณคนอ่านทุกๆคนที่ยังคิดถึงกันด้วยนะคะ พาร์ทหน้าของพันธะหอยจะพยายามมาให้เร็วที่สุด เพราะตอนนี้คนเลี้ยงหอยเขาอัพเกรดสถานะแล้ววววว อิอิ

แล้วเจอกันพาร์ทหน้าค่ะ
ขอบคุณพื้นที่บอร์ดด้วยค่ะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 7...อัพ 25/08 (หน้า 8 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: Lily teddy ที่ 25-08-2013 20:45:47
กริ๊ด  :mc4: มาแล้วดีใจจังคะ แอบดูอยู่บ่อย ๆ ไม่มาซะที
รีบเข้ามาจิ้ม แล้วกลับไปอ่านก่อนน๊า  :oni1:
.................................
โถ องค์สนคนดี นึกว่าเสียใจหนีกลับบ้านที่แท้จะออกไปทำหน้าที่คนเลี้ยงหอยนี่เอง
แล้วตอนนี้องค์สนก็ได้รู้ใจองค์เตชซะที  แต่ถึงกะเคลิ้มจนเกิดผิดผีจนได้
ทำเอาองค์สนสติแตกจะหนีออกไปผจญภัยซะแล้ว ดีนะมีชีวินเป็นที่ปรึกษาที่ดีมาก
นอกจาก องค์สนจะได้อัพเกรดจากคนเลี้ยงหอยกลายป็นคู่หมั้นขององค์รัชทายาทแล้ว
องค์เตชจะรู้ไหมเนี่ยว่าตัวเองกำลังจะได้เป็นสนมคนที่ 122 ขององค์สนซะแล้ว
อ่านแล้วฮาไปกะความคิดขององค์สนจริง ๆ แต่เรื่องเครียด ๆ ระหว่างราชินีวารีวาท กะ องค์หญิงอรุณานี่สิ
แถมตอนนี้องค์หญิงอรุณาจะได้เข้ามาให้อนันตราชสมใจแล้วด้วย จะเกิดเรื่องอะไรไหมเนี่ย
รอติดตามทุกคู่ ทุกตอน และเป็นกำลังใจให้ผู้เขียนค๊า  :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 7...อัพ 25/08 (หน้า 8 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 25-08-2013 20:57:39
มันขำตรงที่จากคนเลี้ยงหอย กลายเป็นคู่หมั้นนี่แหละ :m20:
องค์สนเอ๊ย เสียผีให้องค์เตชซะแล้ว หนีไม่รอด :jul3:
เสด็จหัวใจวายหรือยังนะ อยู่ดีๆก็ได้ลูกสะใภ้เป็นองค์รัชทายาทเพิ่มมาอีกคน :laugh:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 7...อัพ 25/08 (หน้า 8 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 25-08-2013 21:06:00
กรี๊ดดดด
องค์สนเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าเพคะ!!!
ใครกันแน่ที่จะเป็นลูกสะใภ้ใครรรรรร

 :laugh:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 7...อัพ 25/08 (หน้า 8 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: koikoi ที่ 25-08-2013 21:14:25
 :katai2-1: :katai2-1:  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 7...อัพ 25/08 (หน้า 8 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: kongxinya ที่ 25-08-2013 21:22:08
คุณบัวมาต่อแล้วววววววววววว
คิดถึงมากกกกก กอดแน่นๆสักที :กอด1:

ชีวินทำดีมากกกกกก ต้องปูนบำเน็จรางวัลให้นะนี่อิอิ ความดีความชอบใหญ่หลวงยิ่งนักทำให้สมุทราได้ลูกสะใภ้  :laugh:
ว่าแต่แน่ใจนะคะว่าเป็นลูกสะใภ้ไม่ใช่ลูกเขย  :pigha2:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 7...อัพ 25/08 (หน้า 8 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: Heisei ที่ 25-08-2013 21:24:54
ฮามากจริงๆ 5555 :m20: :laugh: :jul3:

องค์เตชจะทำเยี่ยงไรล่ะทีนี้  กลายเป็นสะใภ้ให้องค์สนไปเสียได้
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 7...อัพ 25/08 (หน้า 8 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 25-08-2013 21:33:06
องค์สนผู้ใจบุญลงทุนปีนต้นไม้จะไปหยอดยาบำรุงให้หอย
น่ารักอ้ะ 5555
ว่าแต่องค์เตชจะรู้ตัวรึยังว่าต้องไปเป็นสนมเนี่ย ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 7...อัพ 25/08 (หน้า 8 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: kissazazel ที่ 25-08-2013 21:38:54
อ่าว ตั้งแต่อ่านมาเข้าใจผิดมาโดยตลอดว่า

องค์เตชจะได้เป็นพระสวามีขององค์สน

แต่พออ่านตอนนี้แล้ว สมุทราจะได้สะใภ้ซะงั้น

เอ่อ องค์สนคะ จะสู้แรงองค์เตชไหวหรือคะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 7...อัพ 25/08 (หน้า 8 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: SenzaAmore ที่ 25-08-2013 21:45:30
เจอดราม่าไปหลายประโยคพอเจอประโยคนี้""คงไม่คิดว่า…เอ่อ…พระองค์จะใจบุญสุนทานประสงค์จะบำรุงหอย…”"ถึงกับฮากร้ากก :laugh:

นี่มันนิยายหลุดโลกมาจริงๆ555 .จากคนเลี้ยงหอยจะให้ไปหมั้นกับรัชทายาท!! :m20:

แน่ใจหรอว่าสมุทราจะได้สะใภ้เพิ่มน่ะ :z1:

มาต่อเร็วๆน้าาา รีบไปนั่งรอเรื่องของน้องถ้วยฟูดีกว่า555 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 7...อัพ 25/08 (หน้า 8 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: beautjang ที่ 25-08-2013 21:47:46
กรี้ดดดดดดด. อย่างฮาอ่ะคุณบัว

ขำมันได้ทุกตอนจริงๆ ชอบมากๆเลย 5555

สรุปได้เป็นสะใภ้รึเขย มาตรอเร็วๆน้า สงสัยต้องมีไฟท์กันซักตั้ง :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 7...อัพ 25/08 (หน้า 8 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: jinjin283 ที่ 25-08-2013 21:53:07
ตอนนี้ยาวสะใจมากเลยคะ แต่แอบช็อกที่องค์สนจะได้เปลี่ยนสถานะใหม่
เราว่าแต่งพระสวามีจะถูกกว่าไหมคะ อิอิ
อรุณาร้ายกาจมากเลย ต้งหาคนมาจัดการด่วนๆนะคะ
>,< รักคนเขียน
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 7...อัพ 25/08 (หน้า 8 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: Gokusan ที่ 25-08-2013 22:02:29
เอ่อ...ท่าทางจะเข้าใจผิดไปใหญ่แล้ว
แม้จะได้อัพเกรดสถานะก็ตาม แต่มัน...
มันไม่ใช่อ่ะ มันไม่ช่ายยยย

องค์สนน้อ...โกหกก็ไม่เนียน
ประมาทคนอาฆาต แถมยังเคลิ้มกับริมฝีปากเขาอีก
ไหวมั้ยเนี่ย?? ตั้งแต่มาอยู่ต่างที่ก็พลาดไปเยอะเลย

ชีวินคิดเร็วทำเร็ว...จะแต่งสะใภ้เข้าได้แน่เหรอ
จะโดนแต่งออกล่ะไม่ว่า...แต่เข้าทางองค์เตชล่ะนะ ^^V
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 7...อัพ 25/08 (หน้า 8 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: korinasai ที่ 25-08-2013 22:21:54
ไม่ใช่แล้วๆ ต้องให้ฝั่งนั้นมาสู่ขอต่างหากกก
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 7...อัพ 25/08 (หน้า 8 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: JX ที่ 25-08-2013 22:40:40
โอย ขำดีแท้ บ้านเมืองขององค์เตชกะองค์สนเค้าเป็นเหมือนอินเดียหรือนี่ ให้สาวมาหมั้นหนุ่ม อิอิ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 7...อัพ 25/08 (หน้า 8 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: sine_saki ที่ 25-08-2013 22:50:58
คุณบัวมาแล้ว มาจุ๊บทีค่ะ
ตอนนี้ อยากกดไลท์ให้ชีวิน ที่ช่วยยกฐานะองค์สนขึ้นมา
คราวนี้ได้ฮาเงิบกันทั้งบัลลังก์
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 7...อัพ 25/08 (หน้า 8 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: saruttaya ที่ 25-08-2013 22:51:54
อ่านตอนอรุณาตอนแีกเครียดนะ

แต่พอมาถึงตอนเสด็จอแม่ฮาเลย 555

 :m20: :m20:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 7...อัพ 25/08 (หน้า 8 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 25-08-2013 23:01:10
อร๊ายยยยย จะได้เคียงคู่กันแว้ว แต่ตำแหน่งผิดไปหน่อยนะ สนงสนมไรเล้า  :hao7:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 7...อัพ 25/08 (หน้า 8 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 25-08-2013 23:14:02
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 7...อัพ 25/08 (หน้า 8 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: ชะรอยน้อย ที่ 25-08-2013 23:29:03
สนุกมากค่ะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 7...อัพ 25/08 (หน้า 8 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: mur@s@ki ที่ 25-08-2013 23:35:40
เดี๋ยวๆ เข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้วทั้งนายทั้งบ่าว
องค์เตชจูบโชว์อีกทีสิเพคะ จะได้รู้กันให้ทั่วว่าที่จริงแล้วตำแหน่งเขยหรือสะใภ้

 :กอด1:

หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 7...อัพ 25/08 (หน้า 8 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 26-08-2013 00:28:58
คนสมุทรานี่อย่างฮา แม้แต่ชีวินก็เป็นไปอีกคน
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 7...อัพ 25/08 (หน้า 8 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: sam3sam ที่ 26-08-2013 01:32:18
งานนี้ต้องยกความดีความชอบให้ชีวินนะเนี่ย o13
องค์ชายเตชินทร์เป็นสะใภ้ซะด้วย :jul3:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 7...อัพ 25/08 (หน้า 8 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: jannie ที่ 26-08-2013 01:33:28
ใครผิดผีใครกันแน่ และตำแหน่งที่ไปสู่ขอมันแม่งๆ นา อิอิ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 7...อัพ 25/08 (หน้า 8 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: EverGreen™ ที่ 26-08-2013 05:35:42
พรูดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

 :laugh:

แน่ใจนะว่าจะได้สะใภ้  :hao7:

ปล.รออ่านถ้วยฟูอย่างใจจดใจจ่อ  :o8:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 7...อัพ 25/08 (หน้า 8 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 26-08-2013 08:55:00
 :laugh: o18อ๊าาาา 555555555
องค์สนนะองค์สนผิดผีจนได้ 5555555 :hao6:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 7...อัพ 25/08 (หน้า 8 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: =นีรนาคา= ที่ 26-08-2013 10:31:40
ฮาาาาาาาา องค์สนมีเรื่องให้ฮาตลอดตลอด
ต้องขอบคุณชีวินใช่มั้ยเนี่ย  :m20:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 7...อัพ 25/08 (หน้า 8 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 26-08-2013 10:56:02
คือมันฮามากเลยอะ สรุปแล้วองค์เตชต้องตบรางวัลให้ชีวินเยอะๆๆ เลยเนี่ย 55555555 ผิดผี โอ๊ย หยุดหัวเราะไม่ได้อะ   :laugh:  :m20:  :jul3:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 7...อัพ 25/08 (หน้า 8 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: Ali$a฿eth ที่ 26-08-2013 11:48:02
ประเดี๋ยวใครจะเป็นสะใภ้กันแน่ 55555
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 7...อัพ 25/08 (หน้า 8 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 26-08-2013 12:44:35
ไปขอหมั้นท่านเตชมาเป็นลูกเขยดีกว่ามั้ง ให้ท่านสนเป็นสะใภ้ของอนันตราชเถิด
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 7...อัพ 25/08 (หน้า 8 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: kaokorn ที่ 26-08-2013 12:58:51
ดีใจกับองค์เตชด้วยฮะ ก้าวหน้าไปก้าวใหญ่เลยคราวนี้
รอตอนต่อไป และขอบคุณสำหรับเรื่องน่ารักๆนะฮะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 7...อัพ 25/08 (หน้า 8 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 26-08-2013 14:27:03
เอาล่ะ อัฟเกรดสถานะและ

คิดถึงที่สุดอ่าาา
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 7...อัพ 25/08 (หน้า 8 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: sukaz ที่ 26-08-2013 17:31:06
ใครจะไปเป็นสะใภ้ใครกันแน่จ๊ะ

 :mew3: :mew3: :mew3:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 7...อัพ 25/08 (หน้า 8 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: Takarajung_TK ที่ 26-08-2013 19:36:15
ก๊ากก ผิดผี!!!
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 7...อัพ 25/08 (หน้า 8 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 26-08-2013 19:38:05
คุณบัวมาแล้ว ฮูเร!   :mc4:
หวานนะคะตอนนี้ แต่อ่านมาถึง " ก็ทำเอาเจ้าของร้านสะดุ้งวาบ "
มีพิมพ์ผิดจนดิฉันต้องอ่านทวนว่ามันคือเจ้าของร่างมั้งคะ ^^
แต่องค์ราชินีอาจจะได้เขยแทนที่จะเป็นสะใภ้นะเพคะ  :mew3:

เป็นกำลังใจให้เสมอค่ะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 7...อัพ 25/08 (หน้า 8 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: justlove ที่ 26-08-2013 22:22:58
 :o8: :-[กรี๊ดดดดด เค้าผิดผีกันแล้ว อยากรู้จัง จะใช้อะไรเป็นของหมั้น :mew1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 7...อัพ 25/08 (หน้า 8 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: ลิงน้อยสุดเอ๋อ ที่ 30-08-2013 00:30:43
จากที่อ่านมาตอนต้น

จากเจ้าชาย มาเป็นคนเลี้ยงหอย ตอนนี้กลายเป็นเขยของอนันตราช

เราว่าองค์เตชคงไม่อยากเป็นสะใภ้หรอก จะเป็นเขยสมุทรา

แต่ที่ฮาที่สุดๆ หอยตด โอ๊ย องค์สนคิดได้ไงอ่ะ ช่างแถซะเหลือเกิน :hao7:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 7...อัพ 25/08 (หน้า 8 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: andaseen ที่ 30-08-2013 11:07:06
ใครจะเป็นสะใภ้กันแน่เนี่ย :m20: :jul3:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 7...อัพ 25/08 (หน้า 8 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: MinKKniM ที่ 30-08-2013 11:51:49
องค์เตชยังดีที่ได้เป็นสะใภ้ นึกว่าจะได้เป็นสนมคนที่122ขององค์สนซะแล้ว  โถ่ๆๆๆองค์เตชผู้น่าสงสาร :pandalaugh:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 7...อัพ 25/08 (หน้า 8 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: @Lucifer_Prince@ ที่ 30-08-2013 20:26:01
ย๊ากก  ชอบจังเลยๆภรรเมียกดสารมี  ให้องค์เตชเป็นสะใภ้  น่าหัวเราะมาก  ความโกหกที่ไม่เนียนขององค์สนก็นะ  นำพามาแต่ความวุ่นวายของตัวเอง  นี่นางอรุณามันใช่ลูกราชินีมั๊ยเนี่ยทำไมมันถึงต่างกับพี่น้องคนอื่นจริงๆ  อาฆาตมาดร้าย  รอตอนต่อไปคัฟพี่บัว  ขอบคุณคัฟ^^
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 7...อัพ 25/08 (หน้า 8 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: Fate ที่ 03-09-2013 21:50:13
ไม่ใช่สะใภ้เพคะ ราชินี
ราชบุตรเขย ต่างหาก :katai2-1:

ส่วนชีวินนะคะ เซนต์เอ็งบอดรึไง โธ่! ไม่ช่วยกันชงเลย ฮ่าาาา

ดีใจมากที่เห็นเรื่องนี้อัพ นั่งรอหอย เอ้ย องค์สนกับองค์เตช อยู่นานเลยค่ะ
รอตอนต่อไปนะคะ :z2:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 7...อัพ 25/08 (หน้า 8 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: DoubleBass ที่ 13-09-2013 22:31:24
เป็นการ อัพเกรดสถานะที่ฮามาก "ผิดผี" ชีวินก็ทำไปได้ ฮ่าๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 7...อัพ 25/08 (หน้า 8 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 14-09-2013 19:56:01
มาตามอ่านด้วยคน แต่ไอตอนล้าสุดนี้มันชัั่งพิศดารยิ่ง5555
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 7...อัพ 25/08 (หน้า 8 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 17-09-2013 19:31:32
องค์เตชต้องเป็นสะใภ้แล้วล่ะ 5555555
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 7...อัพ 25/08 (หน้า 8 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: kongxinya ที่ 19-09-2013 12:16:02
 :mew1:
แวะมาส่งความคิดถึงค่ะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 7...อัพ 25/08 (หน้า 8 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: EverGreen™ ที่ 19-09-2013 22:45:37
ดูแลหอยกันไปถึงไหนแล้วน้าาาา
คิดถึงองค์ชายแล้วววว

 :hao4:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 8...อัพ 22/09 (หน้า 9 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: Dezair ที่ 22-09-2013 19:59:09
   NOV: ด้วยพันธะบรรณาการ
By: Dezair
……………………..
พันธะที่ 8



   ช่วงนี้ชีวินประหลาดเหลือเกิน องค์ชายเตชินทร์เฝ้าแต่หาคำตอบกับพระองค์เองว่าเพราะเหตุใด พักนี้ชีวินจึงหวงองค์ชายสนธยาราวกับสุนัขเฝ้านาย หนำซ้ำยังตามติดเสียจนไม่ปล่อยให้คลาดสายตา  ยามพักผ่อนก็ขนข้าวของเข้าไปนอนเฝ้าถึงในห้องบรรทม ยามใดที่พระองค์สนทนากับองค์ชายสนธยา ชีวินก็มักจะหาเรื่องมาขัดขวางเสียทุกครั้ง โดยให้เหตุผลที่ไม่สมเหตุสมผลว่า



   ‘ยังไม่ถึงเวลา’



   …ไม่ถึงเวลาอะไร?!! แค่จะคุย จะพบหน้าสนธยา พระองค์ต้องรอให้ถึงเวลาด้วยรึ?!!



   “กระหม่อมเคยทูลแล้วว่าเจ้าองครักษ์หน้าหงิกนั่นมันไม่น่าพิสมัย” แม้สองบุรุษแห่งสมุทราจะอยู่ที่อนันตราชมาพักใหญ่แล้ว แต่สมิตก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะญาติดีกับชีวินเสียที



   “เราไม่ได้คิดจะพิสมัยชีวิน เพียงแต่เราแค่สงสัยว่าเพราะเหตุใดพักนี้เขาถึงกันท่าเรานัก เจ้าไปหาคำตอบมาทีซิ”



   “โอ๊ย! จะมีคำตอบอะไรล่ะพระเจ้าค่ะ เจ้าองครักษ์นั่นก็คงสติไม่สมประกอบอย่างเคยนั่นล่ะ กระหม่อมย้ำแล้วนะพระเจ้าค่ะว่าเจ้าชีวินอะไรนั่นมันประสาท” องค์ชายเตชินทร์ได้แต่ส่ายพักตร์ไปมา เพราะสมิตยืนยันซ้ำๆในเหตุผลที่พระองค์ไม่มีทางนำมาใช้เป็นเหตุผล



   …ถ้าองครักษ์มือหนึ่งของสมุทรา ‘ประสาท’ อย่างที่สมิตว่า ก็คงไม่มีใครในสมุทราสติสมประกอบกันแล้วล่ะ…



   “เจ้าคิดว่าอย่างไร อังกูร” ว่าแล้วก็หันไปตรัสถามกับองครักษ์อีกหนึ่งที่ให้เหตุผลสมเหตุสมผลมากกว่า



   “บางที อาจจะเกี่ยวกับการเสด็จของราชินีวารีวาทก็ได้นะพระเจ้าค่ะ”


การเสด็จเยือนขององค์ราชินีวารีวาทนั้นเป็นข่าวเอิกเกริกของอนันตราชไม่แพ้ข่าวใด รวมถึงเป็นที่รับรู้และจับตามองกันตั้งแต่ประชาชนทั้งหลายไปจนถึงรัชทายาทและเชื้อพระวงศ์ของสองราชสำนัก เพราะนานมากแล้วที่ราชินีวารีวาทไม่ได้เสด็จมาเยือนอนันตราช หากแต่ครั้งนี้…คงเพราะมีเหตุผลสำคัญ ถึงได้ยอมทิ้งบัลลังก์สมุทราดั้นด้นมาถึงนี่ หนำซ้ำกษัตริย์วิภูก็มีโองการกำชับเป็นนักหนาว่าให้เตรียมการต้อนรับเป็นอย่างดี รวมทั้ง…มีรับสั่งให้องค์ชายเตชินทร์เตรียมตัว



   …เตรียมตัวเพื่ออะไร?!... องค์ชายเตชินทร์ทรงตั้งคำถาม และแน่นอนว่าไม่มีใครให้คำตอบได้…



   “แล้วเจ้าคิดว่าองค์ชายสนธยาทรงทราบเหตุผลที่ราชินีวารีวาทเสด็จหรือไม่” องค์ชายเตชินทร์ยังคงไว้วางพระทัยคำปรึกษาของอังกูรแต่เพียงผู้เดียว แม้ในห้องทรงงานจะมีสมิตอยู่ด้วยก็ตาม



   “คิดว่าน่าจะทรงทราบพระเจ้าค่ะ”



   “ถ้าเช่นนั้น เราต้องหาทางเข้าไปใกล้ชิดองค์ชายสนธยาให้ได้มากที่สุด เพื่อถามข่าวเรื่องนี้กับเขา เอาล่ะ! สมิต…หน้าที่ของเจ้าในวันนี้คือ…พาท่านองครักษ์ชีวินไปร่วมมื้อเย็นที่เรือนของเจ้า”



   “อะไรนะพระเจ้าค่ะ!!”



   “เราบอกว่าให้เจ้าพาท่านชีวินไปรับประทานอาหารที่เรือนของเจ้าในเย็นวันนี้เพื่อเป็นการเปิดทางให้เราเข้าใกล้องค์ชายสนธยามากที่สุด”



   “ไม่มีทางพระเจ้าค่ะ!” 



แม้จะถวายสัตย์ปฏิญาณมาตั้งแต่เข้ารับราชการทหารว่าจะรับใช้โองการขององค์ชายรัชทายาทเตชินทร์จนชีพหาไม่ แต่เมื่อถึงคราวนี้ สมิตก็มุ่งมั่นปฏิเสธอย่างเด็ดขาด



…เรื่องอะไรจะให้เจ้าองครักษ์หน้าหงิกนั่นไปเหยียบถึงเรือน! ไม่มีวันเสียหรอก!!!...



   “ถ้าอย่างนั้นก็เลือกเอา ถ้าเจ้าพาชีวินไปรับประทานมือค่ำที่เรือนในวันนี้ วันพรุ่ง เจ้าจะได้เป็นองครักษ์ของเราต่อไป แต่ถ้าไม่พาชีวินไปวันนี้…วันพรุ่ง เจ้าก็เตรียมตัวย้ายไปสังกัดกองทหารรักษาประตูวังได้เลย”



สมิตอ้าปากค้างกับวาจาขององค์ชายเตชินทร์ที่ตัดรอนกันเสียจนพูดไม่ออก อันตัวเขาเองก็ไม่เท่าไหร่หรอก จะให้เป็นองครักษ์หรือนายทหารเวรยามก็ถือว่าชีวิตนี้ได้เป็นทหารรับใช้ราชสำนักอนันตราชเช่นเดียวกัน แต่…



   “คิดให้ดีๆล่ะสมิต ตัวเจ้าเองคงไม่อินังขังขอบกับตำแหน่งอะไรเสียเท่าไหร่ แต่ท่านผู้หญิงกาญจน์มารดาของเจ้าคงจะบ่นเสียเช้า สาย บ่าย เย็น หากเจ้าลงไปดูแลประตูวังแทนดูแลเรา” องค์ชายเตชินทร์ทรงเป็นเจ้านายของสมิตมานาน ดังนั้นเรื่องในครอบครัวของสมิตอันได้แก่คุณหญิงกาญจน์ผู้แสนหน้าใหญ่ที่ชอบจ้ำจี้จ้ำไชบุตรชายจึงเป็นเรื่องรับรู้โดยทั่วไป



   องค์ชายหนุ่มเหลือบเนตรสบกับดวงตาของสมิตก่อนจะตรัสอย่างใจกว้าง



   “ว่าอย่างไรล่ะ เจ้าเลือกจะเป็นองครักษ์ของเราต่อไป หรือจะไปเป็นนายทหารประตูวัง”



   “นี่พระองค์ประทานตัวเลือกให้กระหม่อมแล้วใช่ไหมพระเจ้าค่ะ” สมิตย้อนถาม น้ำเสียงหงุดหงิดไม่ใช่น้อย เพราะไม่ว่าองค์ชายเตชินทร์จะตรัสตัวเลือกให้อีกสักกี่ร้อยกี่พัน ตัวที่สมิตสามารถเลือกได้ก็มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น



   “ก็เจ้าไม่ชอบให้เราบังคับไม่ใช่รึ”



   …ก็ไม่ต่างจากบังคับหรอก… สมิตได้แต่บ่นอุบอิบ หากแต่เมื่อถูกองค์ชายทรงจับจ้องเร่งเร้า สมิตก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกอย่างหมดหนทาง



   “แล้วกระหม่อมจะทำอย่างไรให้เจ้าองครักษ์ชีวินยอมไปรับประทานอาหารที่เรือนกระหม่อมล่ะพระเจ้าค่ะ เรียนเชิญดีๆรายนั้นคงจะยอมเดินตามก้นแบบไม่มีหือไม่มีอือ…” แม้จะยอมเลือกแล้ว แต่สมิตก็ไม่วายประชดประชันองครักษ์หัวแข็งแห่งสมุทราจนได้



   “ก็ถ้าไม่ยอมไปแต่โดยดี ก็ฉุดไปเสียก็สิ้นเรื่อง ไม่เห็นต้องให้เราแนะนำเลย” เพียงเท่านั้น ก็เหมือนคนฟังจะได้ปัญญาขึ้นมาทันที เจ้าตัวทุบกำปั้นลงกับฝ่ามือ คิดหาวิธีกลั่นแกล้งคนที่ตนเกลียดขี้หน้าขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว



   “ถ้าเช่นนั้น กระหม่อมขอไปเตรียมการฉุดก่อนนะพระเจ้าค่ะ! รับรองว่าคราวนี้เจ้าองครักษ์ชีวินนั่นจะไม่ทำหน้าตาหยิ่งยโสใส่กระหม่อมอีกเลย!” ว่าแล้วสมิตก็รีบเผ่นแผล็วออกจากห้องทรงงานขององค์ชายเตชินทร์ อย่างที่ทำเอาผู้เป็นเจ้าของห้องต้องหันมาทางองครักษ์ที่บัดนี้เหลือเพียงคนเดียว



   “อังกูร เพื่อนของเจ้ารู้หรือไม่ ว่ากฎบ้านกฎเมืองของอาณาจักรเรา หากใครฉุดกระชากใครไปข่มขื่นน้ำจิตน้ำใจ มันผู้นั้นไซร้ต้องรับผิดชอบเขาไปจนตาย”




   ไม่มีคำตอบอื่นใดจากอังกูร ด้วยเพราะรู้นิสัยเพื่อนรักนามว่าสมิตดี รายนั้นปัญญาเกิดก็จริง แต่ในการเกิดปัญญาแต่ละครั้ง ก็มักจะมีความผิดพลาดเป็นหางเลขตามมาด้วยเสมอ

……………………………..


   จะด้วยเพราะบุญพาวาสนาส่งหรือเพราะสมิตมุ่งมั่น ‘ฉุด’ ชีวินให้พ้นทาง ก็ไม่อาจทราบ ท้ายที่สุดในยามบ่ายวันนั้นองค์ชายเตชินทร์ก็ได้เสด็จมาประทับที่หน้าบานประตูห้องบรรทมขององค์ชายสนธยา อันเป็นปราการกบดานขององค์ชายหนุ่มจากเกาะสมุทรานับตั้งแต่เมื่อครั้งที่พระองค์มอบจุมพิตแสนหวานให้เป็นของปลอบประโลมที่ตกต้นไม้



   …และเมื่อคิดถึงริมฝีปากสีแดงระเรื่อที่แสนหวานนั้นแล้ว ในอุระขององค์ชายเตชินทร์ก็ร้อนวูบวาบราวกับเป็นหนุ่มแรกรุ่นที่เพิ่งได้เรียนรู้สัมผัสนี้เป็นครั้งแรก ทั้งที่พระองค์ก็มีนางสนมกำนัลไม่น้อย หนำซ้ำอีกฝ่ายก็มีนางสนมถึงร้อยกว่าคน



   …แต่เหตุใดหนอ…เหตุใดยังหวานล้ำน่าสัมผัสอยู่ร่ำไป…



   “ชีวิน…ชีวินอยู่ข้างนอกรึเปล่า…เข้ามาหาเราหน่อย” เสียงตะโกนจากภายในห้องบรรทมขององค์ชายสนธยาทำเอาผู้ประทับอยู่ที่หน้าประตูถึงกับใจเต้นระส่ำ เพียงแค่ได้ยินเสียง เพียงแค่จินตนาการถึงใบหน้าเยาว์วัยสีน้ำผึ้ง พระองค์ก็อยากจะผลุนผันเข้าไปพบเสียบัดนี้



   “เจ้าเฝ้าอยู่ตรงนี้ เราจะเข้าไปเพียงลำพัง หากคุณท้าวเอิบมาตามลงไปรับประทานอาหาร เจ้าจงบอกนางว่า เราให้ยกขึ้นมาที่นี่ แต่ไม่ต้องเข้าไปจัดในห้อง หากหิว เราและองค์ชายสนธยาจะออกมาเอง”



   “รับด้วยเกล้า” อังกูรรับโองการโดยไม่แม้แต่จะทูลถามถึงเหตุผล หากเป็นสมิต องค์ชายเตชินทร์คงเสียเวลาอีกพักใหญ่ในการต่อล้อต่อเถียงกับฝีปากขององครักษ์รายนั้น



   …ดีเลย ‘ฉุด’ ท่านชีวินไปเช่นนี้ พระองค์จะได้เอามายกเป็นข้ออ้างให้สมิตต้องรับผิดชอบชีวินเสีย แล้วเจ้านั่นจะได้ไม่มายุ่มย่ามเรื่องพระองค์อีก…



   องค์ชายเตชินทร์ทรงดันบานประตูเล็กน้อยก่อนจะแทรกกายผ่านเข้าไปอย่างไม่เร่งร้อน ด้วยเพราะพระองค์มีเวลาอีกมากมายเหลือเกินในค่ำคืนนี้


………………………………….



   “ชีวิน…เราคิดว่าคืนนี้จะปีน…อ่า…ท่านเตช…” คำพูดแทบจะไหลกลับลงไปในคอตามเดิม เมื่อสนธยาเห็นว่าผู้ที่เข้ามาในห้องตามคำเรียกของตนนั้นไม่ใช่ชีวินนายทหารคนสนิท หากแต่เป็นองค์ชายเตชินทร์ ผู้เป็นเจ้าของตำหนัก



   “คืนนี้จะปีนไปที่ใดอีก ชมจันทร์หรือ” เตชินทร์ย้อนถามพร้อมรอยยิ้มบางเบาที่มุมปาก สายเนตรจับจ้องร่างสูงโปร่งผิวน้ำผึ้งเบื้องหน้าด้วยความคิดถึงแสนสาหัส อยากก้าวเข้าไปคว้าร่างตรงหน้ามากอดฝังเข้าไปในอกหรอก หากแต่ต้องไพล่มือเอาเบื้องหลังเพื่อยับยั้งช่างใจ เกรงว่าสนธยาจะหวั่นกลัวไปเสียก่อน



   “เอ่อ…ชีวินล่ะ ท่านเตช”



   “ท่านชีวิน…ไป…พักน่ะ”



   “พัก?!”



   “ใช่ ช่วงนี้ดูเหมือนท่านชีวินจะตามดูแลท่านสนเสียจนไม่เป็นอันได้พักผ่อนเลย เราก็เลยจัดแจงให้ท่านชีวินไปพักเสีย ส่วนการดูแลท่านสน จะกลายเป็นหน้าที่ของเราแทน”



   “เอ้ย! ไม่ดีกระมัง”



   “ดีซี่! เราเป็นเจ้าบ้าน เราก็ต้องดูแลท่านอยู่แล้ว เอาล่ะ…ไหนว่ามาซิ เมื่อครู่นี้ที่บอกว่าจะปีนน่ะ จะปีนไปเล่นซุกซนที่ใด” เตชินทร์ขยับเข้าใกล้ที่ละน้อยโดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว และสนธยาที่ถูกจี้จุดถามเรื่อง ‘ปีน’ ซึ่งหลุดปากโพลงออกไปเมื่อครู่นี้ ก็เอาแต่ครุ่นคิดหาข้ออ้างเสียจนไม่ทันระวังว่าอีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้เพียงใด



   “ว่าอย่างไร เมื่อครู่นี้หมายจะปีนออกจากห้องไปที่ใดหรือ”



   “เอ่อ…ปีนไป…ไป…ไปดูหอย! ใช่! เราตั้งใจจะปีนไปดูแลหอย พักนี้ไม่ได้ดูแลมันมากเท่าที่ควรเลย…”



   “อ้อ…ห่วงหอยหรือ” เตชินทร์ย้อนถามพลางอมยิ้ม บัดนี้เขาขยับเข้าใกล้อีกฝ่ายเสียจนเพียงแค่เอื้อมมือออกไป ก็สามารถคว้าร่างโปร่งเข้ามาซุกอยู่ในอ้อมแขนได้แล้วด้วยซ้ำ



   “ก็…ก็…”



   “ท่านห่วงหอย เราไม่ว่าหรอก แล้วห่วง ‘เจ้าของหอย’ บ้างไหม” พอคำถามประโยคถัดมาดังขึ้น ก็ทำเอาคนกำลังหาข้ออ้างมากมายถึงกับเงยหน้าตาเหลือกโพลงด้วยความตกใจ หากแต่ยามนั้น เตชินทร์ก็ขยับเข้ามายืนใกล้เสียจนแทบชิดอยู่แล้ว



   ฝ่ามืออุ่นร้อนแตะแผ่วเบาลงบนแก้มสีน้ำผึ้งของสนธยา แล้วเชยมันขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้ดวงเนตรสีอ่อนได้มองสบเข้าไปในดวงเนตรของเตชินทร์



   กระแสหวามไหวดูเหมือนจะไหล่บ่าถ่ายทอดมาจากเนตรสีเข้มของอีกฝ่ายแล้วพุ่งตรงลงสู่กลางใจของสนธยา



…เป็นเช่นนี้อีกแล้วหัวใจของเขาเต้นไม่เป็นส่ำเพราะชายที่ชื่อเตชินทร์อีกแล้ว…



   พักตร์ขาวของเตชินทร์ก้มลงมาใกล้แก้มนวลนั้น ก่อนจะฝังจมูกลงกับเนื้อนุ่ม ริมฝีปากร้อนจัดของเตชินทร์จูบซับเนื้อแก้มเบาๆ ทว่ารสสัมผัสกลับเด่นชัดในความรู้สึกของสนธยาเสียจนดวงเนตรเหลือกโพลงด้วยความตกใจ



   “ท่านสน…” พักตร์คมขยับออกห่างเล็กน้อยแล้วกระซิบเรียกชื่อร่างโปร่งเบาๆ หากแต่นั่นดูเหมือนจะเป็นการฉุดสติของสนธยาให้วกกลับเข้ามาจนเจ้าตัวผลักร่างสูงหนาของเตชินทร์ออกห่างสุดแรง ก่อนจะตามด้วยการยกฝ่าเท้าขึ้นถีบท้องของอีกฝ่ายเสียจนเตชินทร์เสียหลักล้มลงกับพื้น



   “ท่านสน!!” คราวนี้เตชินทร์ตกใจ เงยหน้ามองเจ้าของฝ่าเท้าเมื่อครู่ด้วยคาดไม่ถึง เมื่อครู่ยังยืนนิ่งให้ชิมลิ้มผิวแก้มด้วยซ้ำ! แล้วเหตุใดอยู่ดีๆก็มาถีบกันเสียแบบนี้ล่ะ!!



   “ท่าน…ท่านทำเช่นนี้ไม่ได้!” 



สนธยาตั้งใจมาแล้ว ว่าจะไม่มีวันหลงใหลไปกับรสสัมผัสของเตชินทร์อีก แค่จุมพิตคราวก่อนเพียงครั้งเดียว ยังทำให้ชีวินเป็นเดือดเป็นร้อนต้องส่งสาสน์ไปทูลราชินีวารีวาทแห่งสมุทราเพื่อให้สมุทรารับผิดชอบการ ‘ผิดผี’ ที่เกิดขึ้น และแน่นอน สนธยาหาทางหนีทีไล่เอาไว้แล้ว เขาจะยอมแต่งงานเพื่อรับผิดชอบการผิดผีคราวนั้น แต่จะยืนยันว่ามันเป็นการผิดผีเพียงครั้งเดียวที่ไม่ได้เกิดจากความรู้สึกส่วนลึก หากแต่บรรยากาศและความระเริงของวัยหนุ่มพาไป ดังนั้น…เขาจะรับเตชินทร์เป็นหนึ่งในเหล่าสนมนับร้อยชีวิต หากแต่จะไม่ยกฐานะขึ้นมาเป็นชายาเอกเป็นอันขาด! เป็นไงเป็นกัน!! จะต้องมีปัญหากับอนันตราชก็ยินยอม!!!



   “เรารับผิดชอบท่านแล้ว! และเราจะไม่ยอมรับผิดชอบท่านมากไปกว่านี้อีก!!” สนธยากล่าวเสียงดังลั่นด้วยความอัดอั้น ด้วยเพราะไม่เคยสนใจฝักใฝ่ในเพศเดียวกันมาก่อน และการที่ต้องรับเตชินทร์ซึ่งเป็นชายเหมือนกันเข้ามาเป็นสนมก็ดูจะเป็นความอดกลั้นอันมากเกินจะรับ



   “รับ…รับผิดชอบ? รับผิดชอบอะไร?” เตชินทร์ครวญถามอย่างไม่เข้าใจหากแต่อีกฝ่ายกลับหมุนกายเดินจากอย่างรวดเร็ว จนคนที่ยังนั่งอยู่กับพื้นต้องรีบลุกขึ้นมาคว้าแขนกระชากเข้ามาพูดคุยกันเสียก่อน



   “โอ๊ย! ปล่อยเรา!!” สองหัตถ์หนาใหญ่ของเตชินทร์บีบกระชับต้นแขนของสนธยาเสียแน่นเพราะต้องการไต่ถามให้รู้เรื่อง หากแต่ใบหน้าสีน้ำผึ้งของอีกฝ่ายกลับมีแต่ความหงุดหงิดและไม่พออกพอใจเสียจนเตชินทร์ชักจะใจเสีย



   “ท่าน…บอกเราได้ไหม ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ท่านพูดเรื่องรับผิดชอบเรา…เรื่องนั้นหมายความเช่นไร” 



ดวงเนตรของสนธยาเบือนออกไปด้านข้างด้วยไม่อยากมองพักตร์ของเตชินทร์มากไปกว่านี้…พักตร์นี้…เจ้าของพักตร์นี้ คือคนที่จะเข้ามาเป็นสนมหมายเลข 122 ของตน…ไม่อยากได้! ไม่อยากได้ชายชาตรีร่างกายสูงใหญ่อย่างกับยักษ์ปักหลั่นมาเป็นสนม!!!...



   “ก็หมายถึงความรับผิดชอบในฐานะที่เราเป็นชายอย่างไรล่ะ! ท่านอย่าทำเป็นไขสือไม่รู้เรื่องรู้ราวเลย! ที่บังคับให้เรามาเป็นคนเลี้ยงหอยก็เพื่อโอกาสนี้ไม่ใช่รึ!! เป็นรัชทายาทดีๆไม่ชอบ ริจะมาเป็นสนม!!” ประโยคสุดท้ายนั้นทำเอาเตชินทร์นิ่งงันเสียจนอ่อนแรง และเป็นการเปิดโอกาสให้สนธยาหลุดจากการเกาะกุมอย่างง่ายดาย



   “ท่าน…ท่านหมายความว่า…”



   “โอ๊ย!! ถามซ้ำถามซากเสียจริง!! ถ้าอยากรู้มากกว่านี้ก็ไปทูลถามเสด็จพ่อของท่านไป้!!!” สนธยาตวาดเสียงดังลั่น ก่อนจะหมุนกายเดินออกจากห้องอย่างรวดเร็ว ในขณะที่เตชินทร์กลับยืนนิ่งด้วยเพราะยังไม่อาจตีความคำพูดของสนธยาในแนวทางอื่นได้อีก



   …เป็นรัชทายาทดีๆไม่ชอบ ริจะมาเป็นสนม…



   ไม่มีความหมายอื่นใด นอกจากด่าว่าเตชินทร์ผู้เป็นรัชทายาทแห่งอนันตราชพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้เป็นสนม…แล้วถ้าเช่นนั้น หมายความว่าเป็นสนมของใครล่ะ?!! สนมของสนธยาอย่างนั้นหรือ?!!



   “อังกูร! อังกูร!!!” เตชินทร์ร้องเรียกเสียงลั่น และเพียงแค่เสี้ยวอึดใจ อังกูรก็เปิดประตูเขามารับโองการด้วยกายน้อมต่ำ



   “เราจะเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ! ส่งคนไปทูลเดี๋ยวนี้!”



   “รับด้วยเกล้าพระเจ้าค่ะ!”



   ถ้าเรื่องที่สนธยาจะรับพระองค์เป็นสนมคือเรื่องจริง ดังนั้นที่ราชินีวารีวาทเสด็จมาที่นี่อย่างกะทันหันก็คงเป็นเพราะเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน!! และนั่นหมายความว่ากษัตริย์วิภูก็ต้องทรงทราบ มิน่าเล่า!! ถึงมีรับสั่งให้พระองค์เตรียมพร้อม! จะให้เตรียมพร้อมไปเป็นสนมของสนธยานี่เอง!!!



…พระองค์ต้องหาทางหยุดยั้งเรื่องทั้งหมดให้ได้เสียก่อน ก่อนที่จะต้องกลายเป็นสนมคนที่ 122 ในโอวาทของสนธยา ซึ่งดูแล้วเจ้าตัวคงจะมีสนมลำดับต่อๆไปอย่างไม่หยุดยั้ง และพระองค์จะต้องถูกลืมเลือนเข้าในสักวัน!



…รัชทายาทไม่ได้ริอยากจะเป็นสนม หากแต่ดำริการใหญ่ประสงค์จะให้คนมีสนมนับร้อยกลายมาเป็นชายาของตนต่างหาก!!!...


………………………………

   “ยังไม่ตื่นอีกรึ?” 



สมิตที่ยืนรออยู่ริมเฉลียงทางเดินเอ่ยปากถามนางรับใช้ในเรือนที่เพิ่งออกจากห้องพักผ่อนทางปีกซ้ายของเรือนไม้ชั้นเดียว ตัวเรือนสร้างจากไม้ทั้งหลัง วางเสาฝังดินโผล่เป็นตอขึ้นมารับน้ำหนักเรือนที่ยกจากพื้นสูงประมาณหน้าแข้งชายฉกรรจ์ มีบันไดขึ้นเรือน 3-4 ขั้น เพียงสี่จุดคือด้านหน้าเรือน ด้านหลังสำหรับตรงไปยังโรงครัว และด้านซ้ายขวาที่มีสวนไม้ดอกโอบล้อมซึ่งล้วนเป็นฝีมือการดูแลของคุณหญิงกาญจน์ผู้เป็นมารดาของสมิตนั่นเอง



   “ยังเจ้าค่ะ นายท่าน”



   “ไปปลุกได้แล้ว ถ้าปลุกไม่ตื่นก็ให้พวกบ่าวชายมาดึงให้ตกเตียง” นางรับใช้เบิกตาโตอย่างตกใจกับคำสั่งของผู้เป็นนาย แต่สมิตถลึงตาใส่ให้นางไปจัดแจงตามที่สั่ง พร้อมกับสำทับเสียงเข้ม



“ข้าบอกให้ไปปลุก! แล้วถ้าเขาตื่นแล้วก็พาไปที่ห้องรับประทานอาหารด้วยล่ะ ข้าหิวแล้ว!” เสียงกำชับดุดันของผู้เป็นนายทำเอาหญิงวัยปลายผู้รับใช้เรือนนี้มีนับสิบปีรีบกุลีกุจอกลับเข้าห้องด้วยหวังว่าการปลุกของนางจะสามารถทำให้คนบนเตียงลืมตาตื่นโดยที่ไม่ต้องพึ่งพวกบ่าวฉกรรจ์ทั้งหลาย



   “ยาที่ใช้ก็ไม่ได้แรงมากมายอะไร ทำเป็นตื่นยากตื่นเย็น” สมิตได้แต่บ่น ก่อนจะหมุนตัวไปยังห้องรับประทานอาหารที่อยู่ส่วนหน้าของเรือน



   ในห้องรับประทานอาหารนั้น มีโต๊ะไม้กลมลงมุกขนาดสี่ที่นั่งวางเด่น บนโต๊ะเพียบพร้อมไปด้วยข้าวปลาอาหารหลากหลายชนิด ในขณะที่ผู้ร่วมโต๊ะวันนี้มีเพียงแค่สอง…ไม่สิ…ต้องนับแขกอันทรงเกียรติที่ถูกสมิตวางยาจนหลับแล้วอุ้มมาขังไว้ที่เรือนตั้งแต่หัววัน



   “ท่านแม่ ทำไมถึงได้เยอะแยะเช่นนี้”



   “อ้าว! ก็เจ้ามีแขกไม่ใช่รึ!” ผู้เป็นมารดาอย่างคุณหญิงกาญจน์นั้นค่อนข้างหน้าใหญ่ สิ่งใดที่เป็นการแสดงบารมีและความมีอันจะกินได้แล้ว นางจะทำอย่างไม่รีรอ ดังนั้นเมื่อวันนี้บุตรชาย ‘อุ้ม’ องครักษ์ในองค์ชายสนธยากลับมาที่เรือน นางก็หวังจะผูกมิตรสร้างไมตรีด้วยอาหารนานาชนิด ไม่แน่…บางที นางอาจจะได้รับเชิญให้ไปเที่ยวที่สมุทราโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย!! ท่านผู้หญิงกาญจน์หน้าใหญ่เพื่อผลประโยชน์ภายภาคหน้าเสมอ!!



   “แขกอะไรกันล่ะท่านแม่! ตื่นมาจะอาละวาดรึเปล่าก็ไม่รู้”



   “เขาจะอาละวาดทำไม เจ้าไปทำเรื่องไม่ดีไว้รึ”



   “เขาไม่ชอบขี้หน้าข้า”



   “อ้าว! แล้วไปอุ้มเขามาทำไม!” คุณหญิงกาญจน์ร้องถามหน้าตาดูตกใจที่อยู่ดีๆบุตรชายก็ไปอุ้มคนอื่นเข้าเรือนเสียอย่างนั้น



   “ก็…” สมิตไม่ทันได้พูด สายตาก็เหลือบไปเห็นร่างสูงโปร่งผิวขาวผู้เป็นองครักษ์ขององค์ชายสนธยาเดินตรงมายังห้องรับประทานอาหารโดยมีนางรับใช้คอยประคอง หน้าตายับย่นดูไม่ได้ อาจจะเพราะถูกปลุกจากเตียงหรือไม่ก็เพราะฤทธิ์ยายังตกค้าง



   “ขออนุญาตเจ้าค่ะ” นางรับใช้ที่พยุงชีวินกล่าวอย่างนอบน้อมเมื่อมายืนอยู่หน้าห้องรับประทานอาหาร คุณหญิงกาญจน์พยักหน้าเล็กน้อยเป็นการอนุญาต นางจึงพาชีวินเข้ามานั่งที่เก้าอี้ ใบหน้าขาวยังคงบูดบึ้ง หัวคิ้วขมวดเข้าหากันแน่น และมือขึ้นหนึ่งถูกยกขึ้นกุมขมับราวกับปวดศีรษะเสียเต็มประดา มาถึงตอนนี้ สมิตชักเริ่มรู้สึกว่าตนเองอาจจะ ‘วางยา’ หนักมือไปเสียหน่อย



   “เป็นอย่างไรบ้าง” ชีวินเงยหน้าขึ้นมองคนตั้งคำถามกับเขา ดวงตายังคงหรี่เล็กเพราะอาการปวดศีรษะทำให้ลืมตาไม่สะดวก แต่ก็พอจะรู้ว่าคนตรงหน้าคือใคร



   “เจ้าทำอย่างนี้ทำไม” น้ำเสียงนั้นอ่อนระโหยและเหนื่อยอ่อน อาการปวดศีรษะรุมเร้าเสียจนแทบไม่มีแรง สมิตกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เริ่มรู้สึกผิดมากขึ้นทุกทีเมื่อเห็นอีกฝ่ายได้รับผลข้างเคียงจากการกระทำของตนถึงเพียงนี้ เขาทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ข้างๆ



   “ก็…ก็…ก็ข้าอยากให้เจ้ามาชิมอาหารฝีมือท่านแม่ของข้า ท่านแม่…นี่ชีวิน องครักษ์ขององค์ชายสนธยา ชีวิน…นี่ท่านแม่ของข้า คุณหญิงกาญจน์” ชีวินหันมองตามการแนะนำของสมิตช้าๆ เขาเพียงแค่ค้อมศีรษะเล็กน้อยอย่างเชื่องช้าด้วยเพราะอาการปวดศีรษะ คุณหญิงกาญจน์ได้แต่ยิ้มประหลาดเมื่อคำพูดคำจาของสมิตนั้นช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย



   …อุ้มเขามา เพราะอยากให้เขามาทานอาหารฝีมือของนางอย่างนั้นหรือ?!! …



   “ข้าต้องกลับ” ชีวินเอ่ยเสียงเบาอย่างอ่อนล้า ทว่าไม่ทันได้ลุก สมิตก็กดไหล่อีกฝ่ายให้นั่งต่อ



   “จะกลับได้อย่างไ รกัน ป่วยเสียขนาดนี้”



   “ข้าไม่ได้ป่วย” ดวงตาหรี่เล็กนั้นจับจ้องใบหน้าของสมิตราวกับจะคาดโทษว่าที่เขาต้องเป็นเช่นนี้ก็เพราะสมิตทั้งนั้น!!



   “เอาเถอะ ข้าไม่เถียงกับเจ้า เพราะนี่คือเวลาอาหารของเรือนข้า” ว่าแล้วสมิตก็หันไปสั่งให้นางรับใช้ตักข้าวที่หุงจนสุกร้อนลงบนจานกระเบื้องตรงหน้าพวกเขาทั้งสามคน นอกจากนั้นสมิตยังบังคับชีวินต่อด้วยการจับมือแล้วยัดช้อนที่ทำจากไม้เหลาจนเป็นรูปเข้าไปในมือของอีกฝ่ายอีกต่างหาก



   “นี่เป็นอาหารพื้นเมืองของทางตอนเหนือของอนันตราช แม่ของข้าท่านเป็นคนทางเหนือ เจ้าคงไม่เคยลอง”



หนำซ้ำ สมิตยังริอ่านตักอาหารบนโต๊ะมาใส่จานของชีวินด้วยเสียอีกถือเป็นการบังคับให้อีกฝ่ายลงมือรับประทานเสีย



   “ข้าปวดหัว” เป็นการบอกกลายๆว่าชีวินไม่อยากรับประทานสิ่งใดทั้งนั้น สมิตหันมองคนพูด ความรู้สึกผิดพุ่งวาบในใจ ยามที่เขาวางยาลงในอาหารกลางวันของชีวินเมื่อตอนเที่ยงนั้น ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไร เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นทหารหาญ น่าจะทนทายาด หากแต่แท้จริงแล้ว ความจริงข้อหนึ่งที่เขานึกไม่ถึงคือแม้เป็นทหาร แต่ก็อาจแพ้ยาพิษบางกลุ่มได้เช่นกัน และนั่นหมายความว่าผลข้างเคียงที่ตกค้างจะออกฤทธิ์มากกว่าที่ควรออก



   “ถ้าอย่างนั้นรับเป็นน้ำต้มร้อนๆดีไหม แม่จะให้คนตักมาให้” คุณหญิงกาญจน์มองเห็นความเอื้ออาทรของบุตรชายก็ตีความไปว่าชีวินอาจเป็นเพื่อนรักเพื่อนใคร่ที่พวกทหารสมัยนี้นิยมสร้างความสนิทสนมและห่วงใยกันเช่นนี้



   “ไม่เป็นไรขอรับ ข้าจะกลับแล้ว” ชีวินตัดบทด้วยวาจาอ่อนระโหย และเพียงแค่ลุกขึ้น สิ่งที่สมิตคาดเอาไว้ก็เกิด เมื่อเจ้าตัวเซแทบจะล้มลงในทันที จนเขาต้องรีบลุกขึ้นคว้าร่างเอาไว้



   “ดื้อด้าน! เกือบล้มหน้าคะมำไปแล้วเห็นไหม?!! นั่งลงเดี๋ยวนี้แล้วทานอาหารให้เสร็จ! อย่าให้ข้าต้องใช้กำลังบังคับยัดข้าวเข้าปากเจ้า!” ชีวินได้แต่ตวัดสายตามองด้วยความขุ่นเคือง เขาอยากบอกว่าที่เกือบล้มหน้าคะมำไม่ได้เป็นเพราะเขา แต่เป็นเพราะไอ้คนอุตริที่ริวางยาเขาต่างหาก!



   ชีวินดื้อด้านมากพอสมกับที่ถูกอีกฝ่ายต่อว่า เพราะแม้บนโต๊ะรับประทานอาหารจะมีคุณหญิงกาญจน์ร่วมด้วย แต่เจ้าตัวก็ทำแข็งข้อไม่ยอมตักอาหารสักอย่างเข้าปาก



   “แม่ของข้าคือคุณหญิงกาญจน์ เป็นลูกพี่ลูกน้องของราชินี ที่มาสมรสกับบิดาของข้าซึ่งเป็นนายพลประจำชายแดน…เจ้าคิดว่าเกียรติของแม่ของข้ามีมากพอที่เจ้าจะร่วมโต๊ะด้วยไหม” สมิตต้องใช้วาจาขู่ และแน่นอนว่าชีวินตวัดสายตามองอย่างเอาเรื่อง ก่อนจะเหลือบตาไปมองคุณหญิงกาญจน์ที่นั่งร่วมโต๊ะด้วย ก่อนจะยอมหยิบช้อนขึ้นมาตักอาหารเข้าปาก


   สมิตกระหยิ่มยิ้มย่อง ทว่าเสี้ยวอึดใจต่อมาก็ต้องร้องเสียงหลง


“โอ๊ย!!!” รอยยิ้มทั้งหมดหยุดแต่เพียงเท่านั้นเมื่อความเจ็บวูบกระแทกลงบนเท้าของเขาแล้วลามขึ้นมาถึงศีรษะเพราะนอกจากจะถูกเท้าใครบางคนกระแทกเหยียบเท้าเขาแล้ว ไอ้เท้าหนักๆนั่นยังกดบี้เสียจนหมายจะทำให้กระดูกเท้าเขาแตกละเอียด



   “เจ้านี่มัน!!!...” เจ้าของเรือนได้แต่ขุ่นเคือง หากแต่สิ่งที่ได้ตอบกลับมาคือวาจาเบาหวิวหากแต่ฝังแน่นไปด้วยความแค้นเคือง



   “นี่ยังไม่เท่ากับที่เจ้าวางยาข้า! จำเอาไว้!!” อย่าเล่นกับคนที่ชื่อชีวิน!!!

…………………………………


   เหล่าผู้ขอเข้าเฝ้ากษัตริย์วิภูในวันนี้ล้วนได้เข้าเฝ้ากันทั้งหมดแล้ว และต่างถวายรายงานและเหตุปัจจัยที่ขอเข้าเฝ้ากันถ้วนหน้า กษัตริย์วิภูทรงวินิจฉัยเรื่องต่างๆแล้ว และมีโองการในแต่ละเรื่องแตกต่างกันไป ก่อนจะมีรับสั่งให้เลิกการประชุม


   “วันนี้เราไม่รับงานนอกงานในแล้วนะ เราจะไปหาองค์เจษเสียหน่อย” กษัตริย์หนุ่มใหญ่ผู้เป็นประมุขแห่งอนันตราชหันมาตรัสกับราชเลขาที่คอยจดบันทึกรายละเอียดต่างๆตั้งแต่การประชุมในรอบเช้า และการเข้าเฝ้าเป็นการพิเศษในยามสาย ซึ่งลุล่วงมาถึงเกือบเย็นย่ำเช่นนี้



   “เห็นทีจะไม่ได้กระหม่อม เมื่อครู่นี้ท่านอังกูร องค์รักษ์รักษาพระองค์ในองค์ชายเตชินทร์นำความมาว่าองค์ชายเตชินทร์มีพระประสงค์เข้าเฝ้าพระองค์เป็นการด่วนพระเจ้าค่ะ”



   “องค์เตชรึ?” กษัตริย์วิภูได้แต่นิ่งไปเล็กน้อยด้วยเพราะพักหลังมานี้ เรื่องที่โอรสผู้เป็นรัชทายาทลำดับที่ 2 ขอเข้าเฝ้าพระองค์ล้วนเป็นเรื่องของสมุทราทั้งสิ้น และคราวนี้…ก็คงไม่พ้นเรื่องที่ราชินีวารีวาทแห่งสมุทราจะเสร็จมาอนันตราช…



   “เราคนเดียวคงเอาองค์เตชไม่อยู่ ถ้าอย่างไร เจ้าไปตามองค์เจษมาด้วยแล้วกัน สองแรงแข็งขัน องค์เตชคงยอมฟังแต่โดยดี”



   “รับด้วยเกล้า”
……………….


หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 8...อัพ 22/09 (หน้า 9 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: Dezair ที่ 22-09-2013 19:59:24
   ทันทีที่ได้รับอนุญาตให้เข้าเฝ้า องค์ชายเตชินทร์ก็รีบเสด็จมายังตำหนักหลวงของพระบิดาโดยพลัน พระองค์พบกับพระเชษฐาอย่างองค์ชายเจษฎาที่หน้าตำหนัก หากแต่ทักทายเพียงเล็กน้อยก็รีบแจ้นเข้าตำหนักเพราะมีเรื่องร้อนใจใหญ่หลวงเกินกว่าจะรีรอได้



   “เสด็จพ่อ ถวายบังคมพระเจ้าค่ะ!” องค์ชายเตชินทร์น้อมกายทำความเคารพด้วยใบหน้าเคร่งเครียด อย่างที่ทำเอากษัตริย์วิภูต้องยกหัตถ์เป็นการปรามสิ่งที่โอรสต้องการจะทูล



   “ข้ารู้ว่าเจ้าจะพูดสิ่งใด องค์เตช แต่รอสักครู่ได้ไหม ข้าขอดื่มน้ำสักหน่อย” กษัตริย์วิภูต่อรอง ด้วยเพราะต้องการรอให้โอรสองค์โตมาถึงเสียก่อน และเพียงครู่เดียว องค์ชายเจษฎาก็ก้าวเข้ามาในห้อง



   “ถวายบังคมพระเจ้าค่ะ” กษัตริย์วิภูทรงมีทีท่านิ่งเฉยราวกับการที่โอรสทั้งสองเข้าเฝ้าพร้อมกันนั้นเป็นเรื่องที่พระองค์ตั้งพระทัยเอาไว้แล้ว ในขณะที่องค์ชายเตชินทร์กลับมีพระพักตร์งุนงงด้วยเพราะไม่เข้าใจว่าพระเชษฐาจะมาร่วมเข้าเฝ้าไปทำไม



   “เอาล่ะ มาพร้อมกันแล้ว มีอะไรจะเล่าก็เล่ามา องค์เตช”



   “เอ่อ…พระเจ้าค่ะ” แม้จะอดตะขิดตะขวงไม่ได้ ที่มีพี่ชายมาร่วมวงด้วย แต่เพราะสนิทสนมกับองค์ชายเจษฎาเป็นอย่างดี องค์ชายเตชินทร์จึงไม่คิดว่าจะสมควรปิดบังแต่อย่างใด



   “คือ…กระหม่อมมีเรื่องอยากทูลถาม ที่ราชินีวารีวาทเสด็จมาถึงนี่ เป็นเพราะเรื่องหมั้นหมายใช่หรือไม่พระเจ้าค่ะ” กษัตริย์วิภูนิ่งไปอึดใจ ก่อนจะพยักพักตร์รับ เพียงเท่านั้น ดวงเนตรขององค์ชายเตชินทร์ก็ดูเหมือนจะเบิกโตเป็นสองเท่า



   “หมั้นหมายใครพระเจ้าค่ะ?!”



   “เจ้า”



   “กระหม่อม?! กระหม่อมกับใครพระเจ้าค่ะ?! กับองค์ชายสนธยาอย่างนั้นหรือ”



   “ใช่” คราวนี้องค์ชายเตชินทร์นิ่งงันด้วยความตกใจ หากแต่เสี้ยวลึกในใจนั้นกลับอิ่มเอมไปด้วยความยินดี ทว่าเหตุการณ์ที่เพิ่งถูกองค์ชายสนธยาต่อว่าต่อขานเสียยกใหญ่ย้อนกลับเข้ามาในความคิด ทำเอาพักตร์ขาวซีดเผือดไปในบัดดล



   “แล้ว…แล้ว…แล้วใครไปเป็นสะใภ้ใครหรือพระเจ้าค่ะ” คำถามตะกุกตะกักขององค์ชายเตชินทร์นั้น ส่งผลให้คนต้องตอบคำถามอย่างกษัตริย์วิภูและองค์ชายเจษฎาต้องสบเนตรกันอย่างเงียบๆ ด้วยเพราะเรื่องนี้ ราชินีวารีวาทยืนยันหนักแน่นว่าฝ่ายองค์ชายเตชินทร์ ‘เพลี่ยงพล้ำถูกจูบ’ ดังนั้นก็ต้องให้ฝ่ายสมุทรารับผิดชอบด้วยการรับองค์ชายเตชินทร์เข้าเป็นสะใภ้! 



อันที่จริง ตอนแรกกษัตริย์วิภูก็ค้านหัวชนฝา ให้อย่างไรก็ไม่ยอมให้โอรสของตนไปเป็นสะใภ้ราชสำนักอื่น ทว่าเมื่อเรียกทั้งชีวิน อังกูร และสมิตมาเข้าเฝ้าและไต่ถามถึงเรื่องราวภายในตำหนักอิฐขององค์ชายเตชินทร์ กษัตริย์วิภูก็ได้แต่ยอมรับความจริงว่าโอรสของพระองค์หมายมั่นในความรักขององค์ชายสนธยาเสียเหลือเกิน! แล้วถ้าเช่นนั้น จะกีดขวางกันไปทำไม หากให้แต่งไปเป็นสะใภ้ขององค์ชายสนธยา โอรสของพระองค์คงมีความสุขทุกวันคืน!



   “เสด็จพ่อจะให้กระหม่อมไปเป็นสะใภ้ของสมุทราไม่ได้นะพระเจ้าค่ะ!” เมื่อความเงียบคือคำตอบที่องค์ชายเตชินทร์เดาทางได้ พระองค์ก็รีบร้องขอความเป็นธรรมอย่างตื่นตระหนก



   “แต่เจ้ารักองค์ชายสนธยาไม่ใช่หรือ ข้าไม่อยากขัดขวางความรู้สึกของเจ้า”



และเหนือสิ่งอื่นใด คือเหตุผลที่ราชินีวารีวาทยกมาอ้าง ว่าหากได้องค์ชายเตชินทร์ไปเป็นสะใภ้ให้แก่ราชสำนัก องค์ชายสนธยาจะสามารถกลับไปที่สมุทราได้โดยมีนายทหารฝีมือดีจากอนันตราชติดตามไปด้วย แม้สมุทราจะเป็นเพียงเกาะเล็กๆที่ดูเหมือนจะต้องเดินอยู่ในเงาของอนันตราช หากแต่เรื่องครั้งเก่าก่อนที่สมุทราเคยมีบุญคุณกับอนันตราช ก็ทำให้กษัตริย์วิภู ‘ยอม’ สมทุราแทบทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องคราวนี้…มิเช่นนั้นคงไม่รับองค์ชายสนธยาที่มาพร้อมบรรณาการหอยหนึ่งตัวให้เข้ามาพำนักในวังหลวงของอนันตราชตั้งแต่แรกหรอก



   “แต่องค์ชายสนธยามีสนมเป็นร้อยคน ให้กระหม่อมแต่งเข้าไปเป็นเมียเขา ก็ต้องไปเป็นเมียคนที่ 122 นะพระเจ้าค่ะ! กระหม่อมไม่มีวันยอมให้เกิดเรื่องเช่นนั้นแน่”



   “แต่เจ้าเป็นฝ่าย…เอ่อ…เพลี่ยงพล้ำให้แก่องค์ชายสนธยาไม่ใช่รึ ตามธรรมเนียมแล้ว ก็ต้องแต่งไปเป็นเมียเขาทั้งนั้น”



   “เพลี่ยงพล้ำ?!! กระหม่อมไปเพลี่ยงพล้ำให้แก่องค์ชายสนธยาตอนไหน?!!” คราวนี้กษัตริย์วิภูและองค์ชายเจษฎาเหลือบเนตรสบกันอย่างประหลาดใจ ที่ดูเหมือนองค์ชายเตชินทร์จะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเสียเลย



   “ก็…ชีวิน องครักษ์ขององค์ชายสนธยา ยืนยันกับเสด็จพ่อว่าองค์ชายสนธยาตรัสว่าเขาจูบเจ้า”



   “เขาจูบข้า?!! ไม่จริง เสด็จพี่!! ข้าต่างหากที่จูบเขา!! เขาควรจะแต่งมาเป็นเมียข้า เข้ามาเป็นสะใภ้อนันตราช! เพราะเขาต่างหากที่เป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำให้แก่ข้า!” องค์ชายเตชินทร์ทูลเสียงลั่น คราวนี้ทั้งกษัตริย์วิภูและองค์ชายเจษฎาถึงกับนิ่งชะงักด้วยเพราะเรื่องราวของสองฝั่งนั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง ไม่มีใครยอมรับว่าเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำให้แก่ใคร



“…เสด็จพ่อตรองดูเถิดพระเจ้าค่ะ ที่สมุทรามีภัยร้ายใหญ่หลวงหมายจะปลงพระชนม์องค์ชายสนธยาทุกเวลา พระองค์จะให้องค์ชายรับข้าเป็นเมียแล้วเสด็จกลับไปอยู่ที่สมุทราอย่างนั้นหรือ? กลับไปก็เท่ากับตายทั้งนั้น สู้ให้แต่งเข้าอนันตราช แล้วอยู่ที่นี่จะไม่ดีกว่าหรือพระเจ้าค่ะ ที่อนันตราชพรั่งพร้อมไปด้วยนายทหารฝีมือดี ซ้ำยังมีแต่คนของเรา องค์ชายสนธยาจะปลอดภัยกว่า” องค์ชายเตชินทร์ทูลผู้เป็นบิดาอย่างรีบร้อนด้วยเพราะเกรงว่าหากปล่อยให้ทั้งบิดาและพี่ชายตัดสินสิ่งใดลงไป พระองค์ต้องรับผลของสิ่งนั้นไปชั่วชีวิต



   …แล้วจะให้รับ ‘การเป็นเมีย’ องค์ชายสนธยาอย่างนั้นน่ะหรือ?! มีหวังได้กลายเป็นสนมที่ไม่ถูกเหลียวแลทั้งชีวิตแน่!!...



   “อย่างที่องค์เตชว่ามาก็เห็นจะจริงนะพระเจ้าค่ะเสด็จพ่อ ส่งองค์ชายสนธยากลับไปสมุทรา ก็เท่ากับส่งไปตาย”



   “ใช่พระเจ้าค่ะ!” เมื่อเห็นว่าผู้เป็นพี่เริ่มคล้อยตาม องค์ชายเตชินทร์จึงต้องสนับสนุนเพิ่มเติม



   “เสด็จพ่อ อย่าให้กระหม่อมแต่งไปเป็นสนมเขาเลย สู้ให้เขาแต่งมาเป็นเมียกระหม่อมจะดีกว่า สมัยก่อน พ่อของเขาที่เป็นคนของสมุทราก็ยังเคยช่วยค้ำจุนราชสำนักอนันตราช แล้วพอมาถึงคราวนี้ ให้อนันตราชเป็นที่พักพิงแก่เขาไม่ได้หรือ” องค์ชายเตชินทร์แทบจะวอนขอ



   “องค์เตช ถ้าข้าไม่ให้เขาพักพิง ป่านนี้เขาก็ไม่ได้เป็นคนพาหอยบรรณาการมาที่นี่หรอก…เอาล่ะ ในเมื่ออนันตราชเป็นที่พักพิงให้แก่เขาแล้ว ก็ต้องเป็นที่พักพิงให้ถึงที่สุด” กษัตริย์วิภูทรงเงียบไปอึดใจราวกับหวนคิดถึงเรื่องราวเก่าก่อนที่ครั้งหนึ่งชายชาวสมุทราผู้หนึ่งเคยช่วยเหลือพระองค์และราชบัลลังก์นี้ แม้ยามนี้ชายผู้นั้นจะไม่มีลมหายใจอยู่แล้ว แต่สัญญาที่พระองค์รับเอาไว้ก็ยังคงยึดมั่น



   …สมุทราไม่ใช่ส่วนหนึ่งของอนันตราช แต่อนันตราชต้องดูแลสมุทรา…



   “…องค์เจษ เจ้าไปเรียกท่านเลขาฯวิกรมมาพบข้าที ข้าต้องแก้ไขหัวข้อที่จะคุยกับราชินีวารีวาทเสียใหม่”



   “รับด้วยเกล้า” องค์ชายเจษฎาเสด็จออกจากห้องไปแล้ว เหลือเพียงองค์ชายเตชินทร์ที่ยังคงจ้องพระพักตร์ของผู้เป็นบิดา



   “จากที่ต้องเรียกของหมั้นจากสมุทรา กลายเป็นต้องหาของมาหมั้นโอรสของเขาแทน เจ้าคิดว่าเอาอะไรไปหมั้นเขาดีล่ะ”



   องค์ชายเตชินทร์แย้มสรวลกว้าง ก่อนจะผายมือออกกว้างอย่างยินดี



   “ทุกอย่าง และทั้งหมดที่กระหม่อมมี”



   คนเป็นบิดาได้สดับคำพูดชวนคลื่นไส้นั้นแล้วก็ได้แต่โบกหัตถ์ไปมา



   “ไปหมั้นโอรสองค์โตของเพื่อนรักของข้า เจ้าให้แค่ทุกอย่างที่เจ้ามีไม่ได้หรอก ต้องให้ทุกอย่างที่อนันตราชให้ได้ต่างหาก”

ติดตามตอนต่อไป (ขอสองอาทิตย์นะคะ)
ฝนตก ป่วย และเบลอ T-T
ขอบคุณคนอ่าน คนเม้นท์ คนติดตาม และพื้นที่บอร์ดค่ะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 7...อัพ 25/08 (หน้า 8 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 22-09-2013 20:15:16
กีสส
คุณบัวมาต่อแล้ว
แล้วอย่างนี้องค์สนจะยอมหรือคะ 55555

ป.ล.หายไวๆนะคะคุณบัว
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 8...อัพ 22/09 (หน้า 9 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: Heisei ที่ 22-09-2013 20:26:50
 :man1: :man1: :man1:กอดคนเขียน องค์เตช และองค์สนค่ะ

น่ารักดีที่องค์เตชเต้นเร่าๆไม่ใช่เพราะไม่อยากเป็นสนม แต่เป็นเพราะเป็นสนมแล้วจะไม่ถูกเหลียวแลต่างหาก!!

องค์สนนี่ก็ช่างใจร้าย  ลองสำรวจใจดูหน่อยเถอะ จะได้รู้ว่ามีใครมาจับจองอยู่แล้ว

ปล.ชอบวาจาหวานเลี่ยนขององค์เตชตอนสุดท้ายมาก 55555
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 8...อัพ 22/09 (หน้า 9 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: =นีรนาคา= ที่ 22-09-2013 20:49:24
องค์เตชนี่อาการหนักนะ ให้ได้ทุกอย่าง หวานเลี่ยนจริงๆ ฮ่าาาา
องค์สนจะว่ายังไงบ้างนะ

แอบชอบคู่องครักษ์ทั้งสอง สมิตกับชีวิน
ไม่มีใครยอมใคร
สมิตต้องรับผิดชอบชีวินด้วยนะ อย่าลืมๆ ตัวเองไปฉุดเค้ามาอ่ะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 8...อัพ 22/09 (หน้า 9 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: kongxinya ที่ 22-09-2013 20:57:18
องค์เตชน่ารักกกกก :impress2:
ดูสิองค์สนจะทำไงต่อ  :hao7:
ส่วนสมิตนี่ท่าทางจะต้องรับผิดชอบนะนี่ดูสิชีวินป่วยเลย :z1:

รอตอนต่อไป ขอให้หายไวๆนะคะคุณบัว  :L2: :กอด1: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 8...อัพ 22/09 (หน้า 9 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 22-09-2013 21:27:01
องค์เตชทุ่มสุดตัวเลยนะฮะงานนี้ แต่องค์สนท่าจะคิดหนัก :laugh:
อ่านไปขำไปตลอด :m20:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 8...อัพ 22/09 (หน้า 9 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: ❝CHŌN❞ ที่ 22-09-2013 21:52:41
กรี๊ดดดดดดดดด สมใจองค์เตชเลยสินะ
นี่ถ้าองค์สนรู้จะอาละวาดไหมเนี่ย ฮ่าๆ มาก ทั้งพ่อ ทั้งลูก
ปล.หายป่วยไวไวนะคะ คุณบัว
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 8...อัพ 22/09 (หน้า 9 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: sine_saki ที่ 22-09-2013 22:27:16
แอร้ย....คิดถึงคุณบัวมากเลย มาจุ๊บทีนึงซิ อิอิ
อุแหม ท่าทางองค์สนจะโดนพลิกคดีแล้ว
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 8...อัพ 22/09 (หน้า 9 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: koikoi ที่ 22-09-2013 22:29:35
มาแล้ว
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 8...อัพ 22/09 (หน้า 9 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: sweetbasil ที่ 22-09-2013 22:31:33
เป่ายิงฉุบกันสิ ว่าใครจะได้เป็นพระชายา :m20:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 8...อัพ 22/09 (หน้า 9 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: FlOriN ที่ 22-09-2013 22:35:59
เย้ๆ มาแล้วววว
สนุกทุกตอนที่อ่านจริงๆค่ะ ;))
ชอบชีวินกับสมิตจัง เถียงกันตลอดดด
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 8...อัพ 22/09 (หน้า 9 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 22-09-2013 22:57:48
55 ขำพระเอก เกือบได้สามีโดยประมาทซะแล้ว
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 8...อัพ 22/09 (หน้า 9 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 22-09-2013 23:17:00
ลุ้นต่อไปว่าใครจะได้เป็นสนมหรือใครจะได้เป็นชายา
ว่าคุณลูกทุ่มทุนแล้วคุณพ่อเทหมดหน้าตักให้เลย ใจป้ำมาก

ปล.น้องบัวพักผ่อนมาก ๆ หายไวไวนะคะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 8...อัพ 22/09 (หน้า 9 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: saruttaya ที่ 22-09-2013 23:21:42
แล้วองค์สนจะยอมรึนั่น :m20:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 8...อัพ 22/09 (หน้า 9 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 22-09-2013 23:26:59
ถูกใจสุดๆ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 8...อัพ 22/09 (หน้า 9 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: mur@s@ki ที่ 22-09-2013 23:44:49
ดีนะองค์เตชที่รู้ตัวทัน เกือบต้องกลายเป็นสนมที่องค์สนทอดทิ้ง(แน่ๆ)แล้วไหมล่ะ


 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 8...อัพ 22/09 (หน้า 9 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: IaminLove ที่ 23-09-2013 01:19:12
มั่นใจมาก ท่านสน ท่านยอมเค้าไปเถอะ :)

 :laugh:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 8...อัพ 22/09 (หน้า 9 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: NUTSANAN ที่ 23-09-2013 01:24:21
โถ องค์สนแลสับสนกะชีวิตนะคะ 55555
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 8...อัพ 22/09 (หน้า 9 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 23-09-2013 01:45:16
อ๊ากกกก!! สองอาทิตย์ก้อจะรอออ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 8...อัพ 22/09 (หน้า 9 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: SenzaAmore ที่ 23-09-2013 03:48:29
ฮาาาาาา ประโยคนี้มันR-18 มากกกกก   “อ้อ…ห่วงหอยหรือ”     
   “ท่านห่วงหอย เราไม่ว่าหรอก แล้วห่วง ‘เจ้าของหอย’ บ้างไหม” :jul3:

 องค์สนไม่รู้ตัวซะละ ว่าแหวกหญ้าให้งูตื่น555
ตอนแรกองค์เตชยังไม่รู้ว่าจะต้องไปเป็นสนม เลยไปทำรู้ตัวซะงั้น  :laugh:

ชอบคู่ชีวิน กับสมิต ตลกดี5555
สมิตไปฉุดเค้ามาอย่านี้ต้องรับผิดชอบ ชีวินด้วยน้าาา :m20:
ปล..อยากให้ชีวินโดนกดจริงๆ ไม่รู้ทำไม5555

มาต่อเร็วๆน้าาา :mew1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 8...อัพ 22/09 (หน้า 9 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: Little_Devil ที่ 23-09-2013 05:53:30
ก๊ากกกกกกก  :laugh: ไม่มีความเห็นอื่น ขอฮาอย่างเดียว  :m20:

คุณบัวหายป่วยไวๆ นะคะ  :L2:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 8...อัพ 22/09 (หน้า 9 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 23-09-2013 09:00:58
ขอบคุณที่มาต่อให้หายคิดถึงค่ะ  :L1:
พอกันทั้งองครักษ์และองค์เตช!
คงจะมีเรื่องยุ่งๆตามมาอีกกระบวน 555

คุณบัวรักษาสุขภาพค่ะ ขอให้หายไวๆนะคะ
เราๆเอาใจช่วยค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 8...อัพ 22/09 (หน้า 9 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 23-09-2013 11:13:12
เกือบแล้วววว. จะไปเป็นสนมเค้าแล้ว 555
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 8...อัพ 22/09 (หน้า 9 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 23-09-2013 12:10:25
องค์เตชไม่ยอมเป็นสนมท่านสน แต่อยากเป็นสามีอ่ะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 8...อัพ 22/09 (หน้า 9 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: jinjin283 ที่ 23-09-2013 14:34:34
องค์สนจะยอมหรือคะ อิอิ ชักสนุดแล้ว
ว่าแต่จะเตรียมอะไรไปหมั้นละคะเนี่ย ลุ้นๆ (แอบคิดว่าเอาหอยไปหมั้นองค์สนก็ดีนะ ฮ่าๆ )
จะรอตอนต่อไปนะคะ
ปล ขอให้หายป่วยไวๆนะคะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 8...อัพ 22/09 (หน้า 9 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: minminmin ที่ 23-09-2013 14:46:51
ลุ้นค่าาาาาาาาาาาาา :hao7:

รออยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 8...อัพ 22/09 (หน้า 9 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: kaokorn ที่ 23-09-2013 14:51:19
ขอบคุณฮะ
รักษาสุขภาพ และหายป่วยไวไวนะครับ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 8...อัพ 22/09 (หน้า 9 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: sam3sam ที่ 23-09-2013 15:31:16
แล้วฝ่ายโน้นเค้าจะยอมเปลี่ยนมั้ยล่ะองค์เตชินทร์ :laugh:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 8...อัพ 22/09 (หน้า 9 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: ลิงน้อยสุดเอ๋อ ที่ 23-09-2013 17:00:48
หลังจากไปกลับจากมาเที่ยว

แทบกรี๊ด เห็นคุณบัวมาอัพ 555+
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 8...อัพ 22/09 (หน้า 9 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: Ali$a฿eth ที่ 23-09-2013 17:17:56
รอดยากจริงๆนะองค์สน
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 8...อัพ 22/09 (หน้า 9 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: @Lucifer_Prince@ ที่ 23-09-2013 18:45:47
อยากตบสมิตจริงๆ  มันไปวางยาเค้านะดูสิ  ชีวินโกรธเลย  เอ้อว่าแต่องค์สนจะยอทั๊ยล่ะองค์เตช  พี่บัวหายป่วยไวไวนะคัฟ^^
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 8...อัพ 22/09 (หน้า 9 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: Anyann ที่ 23-09-2013 20:21:31
555555555555555555555

องค์ชายเตชทุ่มสุดตัวมากค่ะตอนนี้ จากรัชทายาทดูท่าไปเป็นท่านอัครทูตก็คงดีไม่น้อย ฝีปากเยี่ยมจริงๆ

คราวหน้าคงมีฤทธิ์ขององค์สนให้ดูสินะคะ เถอะน่าองค์สน มีสนมตั้ง 121 คนยังมีได้ มีองค์เตจชเป็นสามีแค่องค์เดียวทำไมจะไม่ได้ล่ะเนอะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 8...อัพ 22/09 (หน้า 9 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 23-09-2013 20:26:53
จะตั้งตารออ่านตอนต่อไปเลยคะ ชอบเนื้อเรื่องแบบนี้อะ น่ารักอะ :mew1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 8...อัพ 22/09 (หน้า 9 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: gupalz ที่ 23-09-2013 21:32:14
ฮาองค์เตชมาก 5555
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 8...อัพ 22/09 (หน้า 9 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: zaszaq ที่ 23-09-2013 22:56:22
 :m20: :m20: :m20:  สนุกมากค่ะ  :m20:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 8...อัพ 22/09 (หน้า 9 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 24-09-2013 00:22:02
ทุกอย่างที่เจ้ามีไม่พอ ต้องทุกอย่างที่อนันตราชมี
มันฟิน ตรงนี้
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 8...อัพ 22/09 (หน้า 9 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: sukaz ที่ 24-09-2013 19:44:11
ทั้งตัวและหัวใจ พี่ให้น้องหมดเลย

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 8...อัพ 22/09 (หน้า 9 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: Gokusan ที่ 24-09-2013 22:01:23
อั้ยย่ะ...ให้ทุกอย่างเท่าที่มีไม่ได้หรอก ต้องให้ทุกอย่างที่ให้ได้ต่างหาก
ประโยคนี้ท่านพ่อได้ใจมากค่ะ...ถ้ามีลูกจะรีบยกให้เลยเชียว อิอิ

ท่านเตชรีบมาแก้ทางได้ทัน...ไม่งั้นคงโดนเมินตลอดชีวิตจริงๆ
จะจัดการตำแหน่งกันต่อไปยังไงดีน้า...ท่านแม่จะยอมมั้ยน้ออออ
แต่ก็นะ...อะไรที่ทำให้ลูกปลอดภัยต่อไปได้ แม่ไม่น่ามีปัญหาหรอกเนอะ

ทางบ้านองครักษ์ท่าทางจะมัน(ส์)
ฉุดเขาไปแล้วต้องรับผิดชอบทั้งชีวิตนี่...คิดไม่ถึงแน่
ว่าแต่ชีวินจะยอมรึเปล่าหรอก...ฉลาดซะขนาดนั้น หุหุ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 8...อัพ 22/09 (หน้า 9 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 25-09-2013 00:37:03
ฮาตรงที่ต่างคนต่างไม่ยอมเป็นชายานี่แหละ
 :ling2:
แอร๊ว เค้าจะแต่งกันแว้ว  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 8...อัพ 22/09 (หน้า 9 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 26-09-2013 17:52:44
คิดถึงงงงงงงงงงงท่านสน องค์เตช แล้วอะ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 8...อัพ 22/09 (หน้า 9 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: raluf ที่ 27-09-2013 09:58:52
กรี๊ด เด็จพ่อจะยกเมืองให้สะใภ้เหรอค๊า ใจปล้ำมาก
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 8...อัพ 22/09 (หน้า 9 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: korinasai ที่ 28-09-2013 07:39:14
เกือบไปแล้วนะองค์เตช  o18
ดีนะ ที่ไหวตัวทัน
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 8...อัพ 22/09 (หน้า 9 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: Fate ที่ 28-09-2013 10:14:05
องค์เตชเกือบไปแล้วนะเพคะ ดีที่ไหวตัวทัน ไม่งั้นคดีพลิกแน่ๆ ฮ่าๆๆ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 8...อัพ 22/09 (หน้า 9 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 29-09-2013 18:13:30
เกือบได้เป็นสะใภ้แล้วนะองค์เตช 55555
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 8...อัพ 22/09 (หน้า 9 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: KMprince ที่ 29-09-2013 21:39:59
องค์สนเหมาะเป็นชายาแต่เพียงประการเดียวนะเพคะ
การันตีโดยอิฉันเองเจ้าค่ะ 55
เรื่องสนุก และฮามากๆ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 8...อัพ 22/09 (หน้า 9 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: moredee ที่ 02-10-2013 23:52:50
 :L2:สนุกค่ะอ่านจนทันแล้ว
จะรอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 8...อัพ 22/09 (หน้า 9 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: narunarutoboyz ที่ 04-10-2013 10:33:16
กี๊สสสสสสส เข้ามาอ่านอย่างทันท่วงที
ขำมาตั้งเเต่ "หอยบรรณาการ" "คนเลี้ยงหอย" "หอยป่วย" "หอยตด" "ห่วงหอย" และอีกนานาจะหอย น่ารักดีค่ะเรื่องนี้
ชอบสำนวนการเขียนของคุณบัวจังเลย อ่านเเล้วไม่สะดุดดีค่ะทั้งๆที่มีเเต่คำราชาศัพท์ล้วนๆ
เเต่มีสะดุดอยู่คำนึงตรง พันธะที่ 7 ค่ะ ตอนที่องค์สนเจ็บตัวเพราะตกต้นไม้
"รอยขีดข่วนตามวรองค์เท่านั้น" ต้องเป็น "รอยขีดข่วนตาม(พระวรกาย,วรกาย)เท่านั้น" ค่ะ

อิอิ เกือบไปแล้วเนอะ เกือบไปเป็นเมียเค้าเเล้วนะองค์เตช  :haun5:
ว่าเเต่ว่าคู่ของสมิต&ชีวิน เมื่อไหร่จะหวานซักทีน๊าาาาาาาาาา
เอาเป็นว่าขอรอตอนหน้าที่จากคนที่จะได้สนมเพิ่มกลับต้องไปเป็นชายาให้เค้าแทน  :laugh3:
ติดตามตอนต่อไปและขอเป็นกำลังใจอย่างสุดซึ้งค่ะ
 :กอด1: :L2:

ปล.ช่วงนี้เสมือนอากาศวิปริตแปรปรวนทันใด อย่าลืมรักษาสุขภาพนะคะ  :bye2:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 8...อัพ 22/09 (หน้า 9 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: Dezzerr ที่ 06-10-2013 20:15:39
อยากอ่านตอนต่อไปจะแย่แล้ววววว
สนุกมากๆ เลยค่ะ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 8...อัพ 22/09 (หน้า 9 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: Punnika ที่ 08-10-2013 00:49:39
เกือบไปแล้วนะคะท่านเตชเกือบได้เป็นหนึ่งในสนมขององค์สนแล้ว
รอตอนต่อไปนะคะ ความรักของคนเลี้ยงหอยกับเจ้าชาย :mew1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 8...อัพ 22/09 (หน้า 9 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: นารีรัตน์ ที่ 11-10-2013 00:56:40
 :m20: o22 :a5:
 :katai4:ไรท์มาอัพไวไวน้ารออ่านอยู่ค่า
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 8...อัพ 22/09 (หน้า 9 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: bobby_bear ที่ 11-10-2013 01:19:57
รอนานจนหอยจะตดอีกรอบแล้วววววว
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 8...อัพ 22/09 (หน้า 9 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: Lily teddy ที่ 13-10-2013 12:09:40
อิอิ เสด็จพ่อขององค์เตชนี่ทุ่มสุดตัวจริง ๆ บอกว่าให้ทุกอย่างที่อนันตราชให้ได้ เพื่อเป็นของหมั้นองค์สนซะด้วย
ท่าทางจะไม่ใช่น้อยนะเนี่ย แต่ถ้าองค์สนรู้คงอาละวาดน่าดู ดีไม่ดีอาจถึงขั้นปีนหนีออกหน้าต่างไปอีกก็ได้ 555
แค่ตอนนี้ก็ดูองค์สนจะโกรธองค์เตชมากอะ ถึงขั้นลงไม้ลงมือ ก็แหมองค์สนที่มั่นใจในความเป็นชายมีสนมเป็นร้อยขนาดนั้น
อยู่ดี ๆ จะให้ยอมรับตำแหน่งเมียขององค์เตชง่าย ๆ ได้ไง ท่าทางการเจรจาครั้งนี้จะยืดเยื้อแน่นอน
แต่ถ้าองค์สนยังไม่ยอมจริง ๆ สงสัยองค์เตชคงต้องฉุดองค์สน เหมือนที่แนะนำสมิตซะละมั่ง 555
จะได้รับผิดชอบองค์สนไปจนตายตามกฎบ้านกฎเมืองของอนันตราชไง เป็นกำลังใจให้องค์เตชจัดการองค์สนได้สำเร็จไว ๆ จ้า
แล้วคู่สมิตกะชีวินนี่ก็ช่างไม่ยอมกันจริง ๆ สมิตจะจับชีวินไหวไหมเนี่ย น่าเป็นห่วงสมิตนะ
รอติดตามและเป็นกำลังใจให้ผู้เขียนเหมือนเดิมจ้า  :pig4:  :L2:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 8...อัพ 22/09 (หน้า 9 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: anchi ที่ 18-10-2013 10:18:17
รอต่อไป   :katai3: :katai2-1: :katai5:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 8...อัพ 22/09 (หน้า 9 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 18-10-2013 13:41:17
รอนานจนหอยจะตดอีกรอบแล้วววววว

อ่านเมนท์นี้ของคุณbobby_bearแล้วขำก๊ากกก >_<
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 8...อัพ 22/09 (หน้า 9 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: pandorads ที่ 19-10-2013 23:18:09
เพิ่งเข้ามาอ่านและตอนนี้อยากอ่านต่อแล้วค่า >.<
หัวข้อ: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 9...อัพ 20/10 (หน้า 11 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Dezair ที่ 20-10-2013 19:58:31
พันธะ 9



   ขบวนเสด็จของราชินีวารีวาทแห่งสมุทรามาถึงอนันตราชด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่จะทำได้ ในวันรับเสด็จนั้น กษัตริย์วิภูและองค์ชายเจษฎาประทับคอยอยู่ที่หน้าตำหนักหลวงราวกับทำองค์เป็นเจ้าบ้านที่ดี ทว่าแท้จริงในใจ กษัตริย์วิภูทรงรู้ดีว่าการพบปะครั้งนี้ ทางฝ่ายองค์เองต้องการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงในการเจรจา ดังนั้น ‘เกียรติ’ ที่ควรจะให้กับอาคันตุกะจึงต้องมากเป็นพิเศษ



   “ถวายบังคมเพคะฝ่าบาท” ราชินีวารีวาททรงก้าวลงจากขบวนม้าที่ทรงประทับมาตั้งแต่ท่าเรือจนกระทั่งมาถึงวังหลวง ก่อนจะยอบกายลงต่ำ แม้ทรงจะมีฐานะเป็นถึง ‘มารดา’ แห่งสมุทรา แต่อีกฝ่ายก็เป็นกษัตริย์ผู้แสนยิ่งใหญ่ของอนันตราช



   เมื่อราชินีวารีวาทถวายความเคารพ ธิดาผู้ติดตามมาด้วยก็ยอบกายลงต่ำถวายความเคารพกษัตริย์วิภูเช่นกัน



   “นี่อรุณาเพคะ ธิดาองค์โตของหม่อมฉัน” ราชินีวารีวาทตรัสแนะนำ กษัตริย์วิภูทรงเพียงแค่พยักพักตร์เล็กน้อยเป็นเชิงรับรู้ หากแต่สายเนตรคมปลาบตวัดไปจับจ้องพักตร์งามล้ำขององค์หญิงรัชทายาทแห่งสมุทรา



   …งดงาม…แต่ก็แค่เปลือก หากเบื้องลึกของจิตใจหวังฟาดฟันพี่น้องก็ไม่ต่างอะไรกับอสูรร้าย…



   “เชิญข้างในเถอะ ยามนี้ทั้งองค์เตช โอรสของเรา และองค์ชายสนธยารออยู่ที่ห้องรับรองแล้ว” กษัตริย์วิภูทรงผายหัตถ์เล็กน้อยไปทางด้านหลังเป็นการเชื้อเชิญอาคันตุกะ ราชินีวารีวาทยอบกายลงอีกครั้งก่อนจะเสด็จไปตามพื้นพรมสีน้ำเงินครามปูลาดไปตามทาง กษัตริย์วิภูทรงเสด็จเคียงข้างเพื่อถามไถ่ทุกข์สุขในระหว่างการเดินทาง ในขณะที่องค์ชายเจษฎาก็เสด็จเคียงกับองค์หญิงอรุณาเช่นกัน



   “เพิ่งเคยมาอนันตราชเป็นครั้งแรกหรือ” องค์ชายหนุ่มรัชทายาทลำดับที่หนึ่งแห่งอนันตราชเริ่มบทสนทนา องค์หญิงอรุณาเพียงแย้มยิ้มเล็กน้อยก่อนจะตอบ



   “เพคะ เป็นเมืองที่เจริญอย่างที่ร่ำลือนะเพคะ บ้านช่องงดงาม ผู้คนล้วนยิ้มแย้มแจ่มใส”



   “คงเพราะอนันตราชไม่มีปัญหาใดๆกระมัง ไม่ว่าจะด้านเศรษฐกิจ สังคม หรือแม้แต่ราชสำนัก” ท้ายประโยคนั้น ดวงเนตรขององค์ชายหนุ่มเหลือบจ้องพักตร์งามขององค์หญิงอรุณาราวกับจะบอกความนัยว่าอนันตราชไม่มีปัญหาอื่นใด แต่สมุทราต่างหาก ที่กำลังจะสร้างปัญหาจนบานปลายมาถึงที่นี่



   องค์หญิงแห่งสมุทรานิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะเสยิ้มสรวลที่มุมโอษฐ์



   “จริงหรือเพคะ บางทีที่เห็นว่าปัญหาไม่มี อาจจะเป็นเพราะมันซ่อนอยู่ที่ใดที่หนึ่งก็ได้”



   “ถ้ามันซ่อนอยู่จริง เราจะลากไส้ลากหางมันออกมาเอง จะกลัวก็แต่ว่าต้นตอปัญหามันไปอยู่ที่อาณาจักรอื่นนี่สิ” องค์ชายหนุ่มตรัสเสียงเรียบ หากแต่กลั้วหัวเราะสำทับแล้วตรัสเสริม “…แต่ก็ไม่น่าจะมีเรื่องพรรค์นั้นหรอก ใครๆก็รู้ว่าอนันตราชเป็นอาณาจักรใหญ่ หากมันผู้ใดกล้าสร้างปัญหาให้อนันตราช ไม่ว่าตัวมันจะอยู่ที่ใดบนพื้นแผนดินนี้ หรือจะดำลงใต้ทะเลไปมุดหัวอยู่กับปะการัง อนันตราชก็จะไม่ปล่อยให้มันสุขสบายแน่นอน”



   ราวกับประกาศกร้าว ทว่าองค์หญิงอรุณาเพียงแค่ค้อมศีรษะราวกับจะรับรู้ หากแต่กำลังนึกเย้ยหยันอีกฝ่าย เมื่อสนธยากลับไปที่สมุทราพร้อมสะใภ้จากอนันตราช เมื่อนั้นเรื่องราวใดๆก็จะไม่มีถึงหูของกษัตริย์วิภูและคนที่อนันตราชอีก จะไม่มีปัญหาอื่นใดในอนันตราช แต่ในทางตรงกันข้าม ที่สมุทรา…ทั้งสนธยาและสะใภ้ผู้นั้นจะต้องหายสาบสูญไป…หายไปชั่วกาลปวสาร!!!...



…………………………………….



   ภายในห้องรับรองของตำหนักหลวงนั้น ราวกับคนสองคนที่นั่งเคียงกันถูกแบ่งแยกกันให้อยู่คนละโลก อันที่จริงแล้วทั้งองค์ชายเตชินทร์และองค์ชายสนธยาไม่พบหน้าไม่พูดคุยกันมาหลายวันแล้ว นับตั้งแต่ที่เกิดเรื่องทะเลาะกันในครั้งก่อน จนเป็นเหตุให้องค์ชายเตชินทร์ทรงทราบความจริงทั้งหมดของการเสด็จของราชินีวารีวาท



   …หากแต่…องค์ชายสนธยายังไม่รู้ ว่าเรื่องสะใภ้และเขยนั้นกลับตาลปัตรจากที่ตอนแรกที่ตกลงเอาไว้!...เจ้าตัวจึงยังนั่งเฉย และเชิดพักตร์อย่างถือดี เพราะคิดเอาว่าอย่างไรเสียเมื่อเสกสมรสไปแล้ว จะทิ้งๆขว้างๆ ‘ชายา’ นามว่าเตชินทร์ก็ไม่เห็นจะเป็นไร! เมียเป็นสมบัติของผัว ทันทีที่ผ่านพ้นพิธีสมรส ทรงจะทิ้งขว้างเมียอย่างเตชินทร์ให้ดู!!!...



   บานประตูห้องรับรองถูกเปิดออก เพียงเท่านั้น ทั้งองค์ชายเตชินทร์และองค์ชายสนธยาก็ลุกขึ้นถวายบังคมผู้เข้ามาใหม่โดยพร้อมเพรียง



   “เสด็จแม่” องค์ชายสนธยาครวญด้วยความคิดถึงเมื่อทอดเนตรพระพักตร์ของมารดา ก่อนจะถลาเข้าไปน้อมกายต่ำถวายความเคารพอีกครั้งด้วยความรัก



   “องค์สน…” แม้จะดีใจไม่แพ้โอรส แต่ด้วยเพราะเป็นใหญ่เหนือบัลลังก์สมุทรามาครึ่งค่อนชีวิต ราชินีวารีวาทจึงค่อนข้างสงบเสงี่ยมทั้งท่าทีและวาจา พระองค์เพียงแค่แตะหัตถ์แผ่วเบาลงบนไหล่ของโอรส



   “เสด็จแม่ ทรงสบายดีใช่ไหมพระเจ้าค่ะ”



   “สบายดี เจ้าเองก็เช่นกันใช่ไหม” แม้จะอยู่กันคนละแผ่นดิน แต่เรื่องราวของโอรสก็ยังผ่านหูผ่านตาพระองค์เสมอ เดิมทีราชินีวารีวาทเคยคิดว่าอาจจะไม่ได้พบหน้าโอรสอีกแล้ว



   “พระเจ้าค่ะ” พวกเขาสองแม่ลูกพูดคุยกันอีกครู่หนึ่ง สนธยาก็หันไปทักทายน้องสาวอย่างอรุณาด้วยวาจาสั้นๆ ก่อนจะแยกย้ายกันนั่ง โดยเก้าอี้บุนวมตัวยาวเป็นที่ประทับของกษัตริย์วิภูและราชินีวารีวาท ทางขวามือของกษัตริย์แห่งอนันตราชคือเก้าอี้บุนวมเดี่ยวสองตัวสำหรับองค์ชายเจษฎาและองค์ชายเตชินทร์ ในขณะที่ทางซ้ายมือของราชินีแห่งสมุทราคือเก้าอี้บุนวมเดี่ยวขององค์หญิงอรุณาและองค์ชายสนธยา



   “เอาล่ะ ในเมื่อมากันพร้อมแล้ว อีกทั้งหมายกำหนดการของราชินีวารีวาทก็จะประทับที่อนันตราชเพียงไม่กี่วันเท่านั้น เราก็จะใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ที่สุดด้วยการตกลงเรื่องงานมงคลเสียเลยแล้วกัน”



 ในฐานะที่เป็นเจ้าบ้านเจ้าเมือง กษัตริย์วิภูจึงเป็นผู้ตรัสนำ ราชินีวารีวาทกำลังจะตรัสเสนอเรื่องของหมั้นหมายที่เตรียมมาสำหรับสู่ขอองค์ชายเตชินทร์ไปเป็นสะใภ้ให้แก่สมุทรา ทว่า ผู้เป็นเจ้าเมืองอนันตราชกลับตรัสแทรกเสียก่อน



   “…แต่ก่อนอื่น เรามีเรื่องต้องชี้แจงสักหน่อย” กษัตริย์หนุ่มเหลือบเนตรไปสบสายเนตรของโอรสทั้งสอง แม้จะดูเป็นการกระทำที่เสียผู้ใหญ่ไปบ้าง



   “…ตามที่แจ้งไปตอนแรก เรื่องที่ทางสมุทราต้องรับผิดชอบอนันตราชนั้น เราเพิ่งมารู้เรื่องรู้ราวอันแท้จริงทั้งหมดในภายหลัง โอรสของท่านไม่ได้กระทำการใดที่เป็นความเสื่อมเสียให้ท่านต้องรับผิดชอบเลยแม้แต่น้อย ราชินีวารีวาท” ฝ่ายสมุทราถึงกับนิ่งชะงักไปกับคำตรัสของกษัตริย์วิภู หากแต่ในความเงียบนิ่งนั้น ต่างคนต่างมีสีหน้าแตกต่างกันไปอย่างสิ้นเชิง



   ราชินีวารีวาททรงขมวดพระขนงอย่างงุนงง ส่วนองค์หญิงอรุณามีสีพักตร์ตกตะลึงพรึงเพริดเพราะหากสมุทราไม่ต้องรับผิดชอบอนันตราชแล้ว งานมงคลก็คงต้องล้มเลิก และนั่นหมายความว่าสนธยาอาจจะไม่ต้องกลับไปสมุทราเพื่อให้พระองค์ลงมือได้ง่ายๆอีก ส่วน…องค์ชายสนธยาผู้ไม่ได้อยากเสกสมรสแต่ประการใดถึงกับเนตรเบิกโต และร้องถามด้วยความยินดี



   “จริงหรือพระเจ้าค่ะ! กระหม่อมไม่ต้องรับผิดชอบองค์ชายเตชินทร์แล้วใช่ไหม?!”



   “ใช่ ไม่ต้องรับผิดชอบองค์เตชแล้ว…” สนธยาเกือบจะลุกขึ้นร้องให้ลั่นด้วยความดีใจเสียแล้ว ทว่าประโยคถัดมาของกษัตริย์วิภูกลับทำเอาคนกำลังจะดีใจถึงกับชะงักกึก



   “…แต่องค์เตชจะเป็นคนรับผิดชอบท่านเอง องค์ชายสนธยา”



   “หมายความว่าอย่างไรเพคะ” ราชินีวารีวาทตรัสถามอย่างไม่เข้าพระทัยนัก กษัตริย์วิภูจึงทรงหันมาทางผู้ที่ประทับร่วมบนเก้าอี้บุนวมตัวยาวด้วยกัน



   “ก็หมายความว่าอนันตราชจะรับองค์ชายสนธยามาเป็นสะใภ้น่ะสิ เราต้องขอโทษด้วยที่ไม่ตรวจสอบเรื่องทุกอย่างให้กระจ่างเสียก่อน แต่บัดนี้เราสอบถามกับองค์เตชแล้ว องค์เตชยืนยันว่าในวันที่…เอ่อ…มีการผิดผีนั้น เป็นฝ่ายองค์เตชที่บังคับองค์ชายสนธยา” คราวนี้ทั้งสายเนตรของราชินีวารีวาทและกษัตริย์วิภูต่างเพ่งไปยังองค์ชายสนธยาเป็นจุดเดียว



   “เรื่องจริงเป็นเช่นไรกันแน่ องค์สน” นอกจากสาสน์ทูลจากชีวินแล้ว เมื่อพระองค์ทรงส่งสาสน์มาสอบถามกับโอรส องค์ชายสนธยาก็ยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าตนเป็นฝ่ายไป ‘ระราน’ องค์ชายเตชินทร์ก่อน ราชินีวารีวาทจึงได้ส่งสาสน์มาติดต่อขอขมาลาโทษกับกษัตริย์วิภู ซ้ำยังจัดขบวนมาถึงอนันตราชเพื่อหมั้นหมายสู่ขอตามแบบแผนประเพณี



   “เอ่อ…ก็…” พอถูกจับจ้องจากหลายฝ่าย องค์ชายหนุ่มแห่งสมุทราก็เกิดอาการตะกุกตกักพูดไม่ออกขึ้นมาทันที



   “องค์ชายสนธยาคงหลงลืมพระเจ้าค่ะ เพราะวันนั้นเป็นวันหลังจากที่องค์ชายสนธยาทรงเพิ่งตกต้นไม้มาหมาดๆ ความทรงจำคงยังไม่อยู่กับร่องกับรอยนัก เรื่องที่เกิดขึ้นจึงทรงจำผิดว่าเป็นตนเองที่กระทำการผิดผี ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้ว เป็นกระหม่อมเอง กระหม่อมต้องขอพระราชทานอภัยพระเจ้าค่ะ” เมื่อองค์ชายสนธยาไม่อาจตอบคำถามใดๆได้ องค์ชายเตชินทร์จึงเป็นฝ่ายเสนอตัวเสียเอง



   ราชินีวารีวาทสดับฟังอย่างเงียบๆ ก่อนจะเหลือบเนตรไปทางโอรสอีกครั้ง คราวนี้องค์ชายสนธยาหลบสายเนตรของพระองค์ราวกับเป็นการตอบคำถามว่าเรื่องทั้งหมดกลับตาลปัตรจริง



   “และเพราะเหตุนั้น ทางอนันตราชจะเป็นฝ่ายรับองค์ชายสนธยามาเป็นสะใภ้แทน แต่ท่านไม่ต้องเป็นห่วง อนันตราชจะไม่ทำให้สมุทราต้องขายหน้าแต่ประการใด” กษัตริย์วิภูสำทับด้วยสุรเสียงมั่นคง



   “แต่เสด็จพี่สนธยาเป็นโอรสองค์โตของสมุทรานะเพคะเสด็จแม่ ต่อให้อย่างไรเสียก็ขายขี้หน้าอยู่ดีที่ต้องไปเป็นสะใภ้ใคร!” เมื่อเห็นว่าเรื่องราวดูจะไม่ไปในทิศทางที่ต้องการ องค์หญิงอรุณาจึงต้องแทรกขึ้นกลางคัน สนธยาเหลือบมองน้องสาว ตัวเขาเองก็อยากผสมโรงเห็นด้วยกับอรุณาหรอก หากแต่รู้ดีว่าเหตุผลของเขาและอรุณานั้นแตกต่างกัน ตัวเขาอยากเป็นฝ่ายรับองค์ชายเตชินทร์มาเป็นชายา ดีกว่าที่ตัวเองต้องไปเป็นชายาใคร แต่อรุณานี่สิ…นางไม่เคยคิดดีกับเขามาแต่ไหนแต่ไร แต่ครั้งนี้กลับคิดถึงศักดิ์ศรีของเขาอย่างนั้นหรือ   



   …ดูจะไม่ใช่อรุณาที่เขารู้จักเอาเสียเลย…



   “อนันตราชไม่มีเกียรติพอจะรับองค์ชายจากสมุทรามาเป็นสะใภ้แห่งราชสำนักอย่างนั้นหรือ องค์หญิง” องค์ชายเจษฎาตรัสถาม



   “หม่อมฉันมิได้หมายความเช่นนั้นเพคะ แต่เสด็จพี่ของหม่อมฉันเป็นโอรสองค์โต เป็นแม่ทัพกองเรือที่เชี่ยวชาญ แต่วันหนึ่งกลับต้องทิ้งศักดิ์ศรีของทหารหาญแห่งสมุทราเพื่อมาเป็นชายาในองค์ชายเตชินทร์แห่งอนันตราช…หม่อมฉันคิดว่ามันไม่งาม”



   “การเป็นชายาของเราไม่ได้หมายความว่าเป็นชายาในตำหนักหรอก องค์หญิง แต่ชายาของเราคือคนที่เคียงข้างเรา เราเป็นเจ้ากรมวัง มีหน้าที่ภาระมากมาย และเราอยากได้ชายาที่กล้าแกร่งและมีความรู้ความสามารถ จริงอยู่ว่าเสด็จพี่ของท่านต้องทิ้งศักดิ์ศรีของทหารหาญเพื่อมาเสกสมรสกับเรา แต่สิ่งที่เสด็จพี่ของท่านจะได้มาแทนที่คือศักดิ์ศรีในฐานะบุรุษที่ยืนเคียงข้างองค์ชายแห่งอนันตราชอย่างเรา” ฟังดูดีทีเดียว หรืออย่างน้อยๆก็เป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ราชินีวารีวาทว่าเมื่อองค์ชายสนธยาถอดยศจากองค์ชายแห่งสมุทราแล้ว แม้จะตัวเปล่าไม่มียศถาใดๆนำหน้าอีก แต่ก็จะได้เป็นถึงชายาในรัชทายาทแห่งอนันตราช แม้รัชทายาทผู้นั้นจะไม่ใช่รัชทายาทลำดับที่ 1 ก็ตามที



   เมื่อเห็นสีพักตร์ของผู้เป็นมารดาเริ่มผ่อนคลาย ดูท่าจะยอมรับข้อตกลงนี้ องค์หญิงอรุณาจึงต้องหันมาทางผู้เป็นเชษฐาซึ่งร้อยวันพันปี ไม่เคยคิดอยากจะมองหน้าผู้เป็นพี่เลยแม้แต่น้อย หากแต่ครั้งนี้…พระองค์ต้องยื้อทุกวิถีทางให้สนธยาออกจากอนันตราช และทันทีที่ก้าวพ้นอาณาเขตของอนันตราช เมื่อนั้นวิญญาณของสนธยาต้องหลุดลอยออกจากร่าง!!



   “เสด็จพี่ การเป็นชายาไม่ใช่เรื่องง่ายนะเพคะ วันนี้พระองค์อาจได้เป็นชายาใหญ่ หากแต่วันหนึ่งที่สนมคนอื่นขององค์ชายเตชินทร์มีโอรสธิดาเล่า ท่านมีให้เขาไม่ได้ ก็ไม่ต่างอะไรกับหุ่นกระบอกที่เอาไว้ตั้งอวดในตำหนักหรอก”



   สนธยามองผู้เป็นขนิษฐา ก่อนจะเหลือบไปมองเตชินทร์อย่างไม่รู้ว่าจะวางใจทางใดดี ฝั่งอรุณานั้นไม่ได้คิดดีประสงค์ดีกับตนอยู่แล้ว แต่ฝ่ายเตชินทร์เล่า…วาจากับการกระทำของเตชินทร์บอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายหวังดีต่อตนเสมอ ทว่า…จะไม่ประสงค์ดีก็ตรงที่จะให้ไปเป็นชายานี่ล่ะ!!



   “องค์สน ว่าอย่างไร” ราชินีวารีวาทตรัสถามผู้เป็นโอรส เพราะครั้งนี้เรื่องราวตาลปัตรเสียจนพระองค์ควรจะถามความสมัครใจของสนธยาเสียก่อนจะตัดสินใจสิ่งใดลงไป



   …ไปเป็นชายา ก็เท่ากับถอดยศองค์ชายแห่งสมุทราออก และจะไม่มีวันได้รับยศเดิมคืนอีกแล้ว…



   “เอ่อ…กระหม่อม…เอ่อ…”



   “องค์ชายสนธยา เราอยากบอกให้ท่านรู้ว่าทางอนันตราชยินดีที่จะรับท่านเข้ามาในราชสำนัก เพียงแค่ท่านตัดสินใจเท่านั้น เพราะโอรสของเรามีความรู้สึกลึกซึ้งต่อท่านเพียงใดท่านก็น่าจะรู้ดี แต่หากท่านไม่ต้องการการรับผิดชอบนี้ ก็อย่าได้กังวลใจ อนันตราชจะยังเป็นมิตรของสมุทราต่อไป” กษัตริย์วิภูตรัสสำทับเมื่อเห็นองค์ชายแห่งสมุทราเงียบงันไร้คำตอบ



   สนธยาเหลือบมองเตชินทร์อีกครั้ง ความรู้สึกลึกซึ้งที่เตชินทร์มีไม่ใช่ดูไม่ออก หากแต่บางครั้งเขาก็ทำลืมเลือนไม่สนใจ แต่ถ้าต้องเลือกระหว่างน้องสาวผู้คลานตามกันมาซึ่งไม่เคยปรารถนาดี กับชายผู้ไม่เคยรู้จักสนิทสนมแต่คอยเคียงข้างไม่ห่าง…



   …เขาก็ควรเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ชีวิตจริงไหม…



   “เสด็จแม่” องค์ชายสนธยาหันไปทางผู้เป็นมารดา



   “หากลูกมิได้ถือยศองค์ชายแห่งสมุทราแล้ว แต่โปรดอย่าทรงลืมว่าลูกยังคงเป็นลูกของท่านเสมอ” ประโยคเรียบง่ายนั้นราวกับแจ้งจำนงการตัดสินใจขององค์ชายสนธยาที่ทำเอาอรุณาถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง ในขณะที่กษัตริย์วิภู องค์ชายเจษฎาและองค์ชายเตชินทร์ต่างมีท่าทีผ่อนคลายลง



   “องค์เจษ ไปตามท่านราชเลขาฯวิกรมมาพบที เราจะให้เขาหาฤกษ์และกำหนดวันรับขวัญสะใภ้คนใหม่แห่งอนันตราช”



   …………………………..
หัวข้อ: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 9...อัพ 20/10 (หน้า 11 จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: Dezair ที่ 20-10-2013 20:00:11
   ภายหลังการเจรจาที่สิ้นสุดในเวลาอันรวดเร็วนั้น ข่าวการรับองค์ชายจากสมุทรามาเป็นสะใภ้แก่ราชสำนักอนันตราชก็ดังไปทั่วทั้งวังหลวง และผู้ที่รีบมาเข้าเฝ้าองค์ชายสนธยาซึ่งเพิ่งกลับมาถึงตำหนักอิฐก็คือชีวิน



   “องค์ชาย! เกิดอะไรขึ้นพระเจ้าค่ะ ทำไม…” ชีวินก้าวพรวดเข้ามาในห้องบรรทมส่วนพระองค์ขององค์ชายสนธยาได้แล้วก็ตั้งคำถามอย่างสงสัยกับองค์ชายหนุ่มที่กำลังเปลี่ยนฉลองพระองค์เป็นชุดใหม่เพื่อเตรียมไปร่วมมื้อเย็นที่ตำหนักหลวงในค่ำวันนี้



   “จะเกิดอะไรล่ะ ก็ความแตกน่ะสิ” ทรงว่าอย่างนั้น ก่อนจะขยับฉลองพระองค์ให้เข้าที่แล้วจึงหันมาทอดเนตรชีวินที่มีสีหน้าเข้าใจ



   “ความแตก?”



   “ก็เรื่องที่จริงๆแล้วเราเป็นฝ่ายถูกเจ้าองค์ชายบ้าหอยนั่นจูบ ไม่ใช่เป็นเราที่ไปจูบเขาก่อนไงล่ะ”



   “อะไรนะพระเจ้าค่ะ! นี่พระองค์…เป็นฝ่ายถูกจูบหรอกหรือ?!!” เรื่องนี้แม้แต่ชีวินก็ไม่รู้ เพราะตอนนั้น องค์ชายสนธยาตรัสว่าพลาดพลั้งจูบองค์ชายเตชินทร์ ชีวินจึงเข้าใจไปว่าเป็นฝ่ายองค์ชายเหนือหัวของตนที่เผลอใจเอง หารู้ไม่ว่าแท้จริงแล้ว…คนปล่อยให้ความเผลอใจครอบงำก่อนคือองค์ชายเตชินทร์!
   

“เจ้าเลิกย้ำสักทีได้ไหมชีวิน! แค่นี้เราก็ไม่อยากจะจำอยู่แล้ว!”



   “แต่พระองค์ก็เลือกแล้วไม่ใช่หรือพระเจ้าค่ะ” ชีวินทวนถาม กระแสข่าวเรื่องงานเสกสมรสระหว่างองค์ชายรัชทายาทลำดับที่สองและองค์ชายสนธยาดังไปทั่วทั้งวังหลวงในเวลาอันรวดเร็วราวกับไฟไหม้ฟาง ยามนี้กรมวังแห่งอนันตราชคงทำงานกันฉุกละหุกเพราะต้องหาทั้งฤกษ์ยามทั้งเตรียมงาน ไหนจะของหมั้นหมายอีก



   “เราจำเป็นต้องเลือก เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ต้องให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งรับผิดชอบ ถ้าเราไม่แต่งเข้าอนันตราช เราก็ต้องกลับสมุทราและให้องค์เตชแต่งเข้าสมุทราแทน แล้ว…เจ้าก็รู้ ถ้าเราก้าวพ้นอนันตราชแค่นิดเดียว อรุณาคง…ไม่ปล่อยเราเอาไว้ ไหนจะองค์เตชอีก เราจะให้คนอื่นไปตายกับเราได้อย่างไรกัน สู้แต่งเข้าอนันตราชเสียก็สิ้นเรื่อง แล้วก็เลี้ยงหอยไปวันๆ อย่างน้อยก็ไม่มีใครต้องตาย”



   “องค์ชายเตชินทร์คงจะทรงปล่อยให้พระองค์เลี้ยงหอยไปวันๆหรอกพระเจ้าค่ะ กระหม่อมเคยทูลแล้วว่าองค์ชายเตชินทร์ทรงไม่ได้คิดกับพระองค์ธรรมดา” ชีวินทูลเตือนสติ ทำเอาองค์ชายสนธยานิ่งไปเล็กน้อย แต่ก็ยังพระทัยแข็งตรัสกลับไป



   “ใครไม่ยอมไม่สำคัญ สำคัญที่ว่าเราจะเลี้ยงหอยอย่างเดียว เราไม่รับหน้าที่อื่น”



   “แต่เสกสมรสไปเป็นชายานะพระเจ้าค่ะ”



   “เสกสมรสเสร็จ ทุกอย่างก็จบ เราจะเลี้ยงแต่หอยเท่านั้น!” ชีวินถอนหายใจอย่างอ่อนใจ ก่อนจะตัดสินใจทูลเตือนสติ



   “องค์ชาย ทรงทราบไหมว่าทำไมองค์ชายเตชินทร์จึงรับพระองค์เข้ามาอยู่ที่ตำหนักอิฐตั้งแต่แรก”



   “ก็เขาอยากได้หอย” อันที่จริงแล้ว องค์ชายสนธยาเองก็นึกตะขิดตะขวงเช่นกันว่าเหตุใด เจ้าของตำหนักจึงรับหอยไร้ค่านั่นเป็นของกำนัล ทว่า…อะไรบางอย่างทำให้พระองค์ไม่กล้าค้นหาความจริง ของสาเหตุทั้งหมดที่ทำให้พระองค์ต้องมาอยู่ที่ตำหนักนี้…



   …สาเหตุทั้งหมดที่แน่นอนว่า ‘หอย’ เป็นเพียงแค่ ‘นกต่อ’ เท่านั้น



   “องค์ชาย ทอดเนตรให้รอบด้านเถอะพระเจ้าค่ะ ไม่มีองค์ชายเมืองใดหรอกที่จะรับองค์ชายเมืองอื่นที่กำลังมีภยันตรายเข้ามาอยู่ในตำหนักตัวเอง หากองค์ชายเตชินทร์ทรงอยากได้หอยจริง มีหรืออนันตราชจะหาเองไม่ได้ สิ่งที่องค์ชายเตชินทร์ทรงต้องการจริงๆก็คือพระองค์ ส่วนเรื่องหอย…มันก็แค่สาสน์ที่ราชินีวารีวาททรงใช้เพื่อพาพระองค์ออกจากสมุทราเข้ามายังอนันตราช หอยตัวนั้นคือข้ออ้างที่ทำให้พระองค์ประทับอยู่ที่นี่…และบัดนี้ การเสกสมรสจะทำให้พระองค์ต้องประทับที่นี่ตลอดไป”



   “หมายความว่าเสด็จแม่รู้เห็นเป็นใจกับองค์เตชแต่ต้นสินะ” ชีวินเงียบ ในขณะที่องค์ชายสนธยาทอดเนตรองครักษ์ที่ติดตามดูแลพระองค์มาแต่เยาว์



   “และเจ้าเองก็รู้เช่นเห็นชาติเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน” ชีวินเพียงค้อมกายต่ำ หากแต่ไม่ทูลอะไร องค์ชายสนธยานึกขุ่นเคืองเล็กน้อย หากแต่ก็เข้าใจดีว่าชีวินจำเป็นต้องทำตามโองการราชินีวารีวาท



   “เสด็จแม่กับองค์เตชมีการตกลงกันแล้วล่วงหน้าตั้งแต่ก่อนที่เราจะมาที่นี่ โดยอ้างเรื่องของบรรณาการ และให้องค์เตชรับหอยเป็นของกำนัลเสีย เพื่อที่เราจะได้อยู่ที่นี่ต่อไปโดยที่ไม่ต้องกลับสมุทรา อย่างนั้นใช่ไหม”



   “เรื่องนี้กระหม่อมไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์พระเจ้าค่ะ”



   “แล้วเจ้าอยู่ในเหตุการณ์ใดบ้างล่ะ ไหนว่ามาซิ” ชีวินเงียบไปเล็กน้อย ก่อนจะยอมทูลตอบ



   “หลังจากพระองค์ประทับอยู่ในตำหนักอิฐแล้ว ราชินีวารีวาททรงมีสาสน์ถึงกระหม่อม รับสั่งให้กระหม่อมขอร้องกษัตริย์วิภูให้ช่วยดูแลปกป้องพระองค์จากภัยต่างๆที่กำลังมาถึงอนันตราช กษัตริย์วิภูทรงรับปากว่าจะให้พระองค์อยู่ที่อนันตราชไปตลอด แต่กระหม่อม…รู้ดีว่าพระองค์อยากเสด็จกลับสมุทรา กระหม่อมพยายามหาทาง ทั้งปลดพันธนาการเรื่องหอย ที่มันป่วยก็เพราะกระหม่อมวางยามัน เพราะคิดว่าถ้ามันตาย พระองค์จะได้เสด็จกลับ ส่วนที่สมุทรา กระหม่อมก็พยายามติดต่อกับนายทหารคนอื่นๆ แต่…ที่นั่นมีภัยร้ายใหญ่หลวงเหลือเกิน กระทั่งครอบครัวของท่านชลเทพที่ขึ้นมาเป็นแม่ทัพกองเรือก็ถูกหมายหัว หากพระองค์กลับไป ก็คงสิ้นชีพตั้งแต่ยังไม่ถึงเกาะ” ชีวินเว้นวรรคเล็กน้อย อันที่จริง เรื่องเสกสมรสขององค์ชายสนธยาและองค์ชายเตชินทร์ดูเหมือนจะเริ่มต้นจากเขา



“…แต่พอพระองค์มีรับสั่งกับกระหม่อมเรื่อง…เอ่อ…เรื่องจูบกับองค์ชายเตชินทร์  การที่พระองค์จะได้เสด็จกลับไปที่สมุทราเริ่มมีเค้าความเป็นไปได้ หนำซ้ำการที่พระองค์ต้องรับผิดชอบการผิดผีด้วยการเสกสมรสกับองค์ชายเตชินทร์ก็จะทำให้พระองค์เสด็จกลับสมุทราพร้อมด้วยนายทหารฝีมือดีที่อนันตราชต้องส่งตามไปคุ้มครององค์ชายเตชินทร์ กระหม่อมจึงรีบทูลเรื่องนี้แก่ราชินีวารีวาทพระเจ้าค่ะ” องค์ชายสนธยาสดับแล้วได้แต่นวดเศียรตัวเองอย่างเหนื่อยอ่อน



…ดูเหมือนใครๆก็อยากจะปกป้องเขาเสียจริง เรื่องราวเลยพันพัวกันยุ่งเหยิง ทั้งเสด็จแม่ ทั้งชีวิน พัวพันไปจนถึงเจ้าหอยยักษ์ของบรรณาการ ไหนจะราชสำนักอนันตราชอีก…และนี่ถึงขั้นจะปกป้องเขาด้วยการให้เสกสมรสกับองค์ชายต่างแดน…ศักดิ์ศรีไม่ต้องคิดถึง คนรอบข้างเขาต้องการแค่เขาปลอดภัยมีลมหายใจในวันต่อๆไปเท่านั้นเอง!!...



“ไม่ได้ห่วงใยหน้าตาชื่อเสียงเกียรติยศเราเลยสักนิดสินะ” องค์ชายสนธยาตรัสเสียงเบาอย่างเอือมระอา และเพียงเท่านั้น ชีวินก็ถึงกับต้องทรุดกายลงคุกเข่าก้มศีรษะต่ำ



“กระหม่อมขอเป็นฝ่ายรับผิดแต่เพียงผู้เดียวพระเจ้าค่ะ เรื่องเสกสมรสนั้นเริ่มต้นจากกระหม่อม หากพระองค์ไม่พอพระทัย ก็ทรงลงโทษกระหม่อมเถอะพระเจ้าค่ะ”



“ลงโทษให้เจ้าแต่งกับองค์เตชแทนเราแล้วกัน” องค์ชายหนุ่มตรัสอย่างขอไปที และแน่นอนว่าชีวินร้องตอบเสียงแข็งขัน



“เรื่องนั้นเห็นทีจะไม่ได้พระเจ้าค่ะ ไม่ว่าอย่างไร งานเสกสมรสก็ต้องถูกจัดขึ้นเพื่อพระองค์และองค์ชายเตชินทร์พระเจ้าค่ะ”



“คิดเอาไว้แล้วเชียว” ชีวินเงยหน้ามองผู้เป็นนายที่มีสีพักตร์เหมือนจะปลงตก องครักษ์หนุ่มลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก่อนจะมองพักตร์ขององค์ชายสนธยาด้วยความห่วงหาอาทร



“องค์สน กระหม่อมทำทุกอย่างเพราะเป็นห่วงพระองค์” องค์ชายสนธยายิ้มบางเบาที่มุมโอษฐ์ก่อนจะเอื้อมหัตถ์ไปลูบศีรษะขององครักษ์หนุ่มที่สูงกว่าพระองค์เล็กน้อย



…ชีวินเหมือนสุนัขตัวใหญ่ๆที่จงรักภักดีต่อผู้เป็นนาย นับตั้งแต่องค์ชายสนธยาเจออีกฝ่ายกลายเป็นเด็กเร่ร่อนอยู่ในตลาดของเกาะสมุทรา และรับมาเลี้ยงในตำหนัก ชีวินก็ตามติดเขาทุกฝีก้าว จากเด็กชายไม่มีหัวนอนปลายเท้า ไม่มีแม้กระทั่งชื่อ ถามอะไรก็ไม่ตอบ เคยเดินตามพระองค์ต้อยๆในวันเยาว์ มาบัดนี้ เด็กชายผู้นั้นเติบโตเป็นองครักษ์หนุ่มนามว่าชีวินที่ยังคงตามติดพระองค์ทุกฝีก้าวเช่นเคย แม้จะทำให้ชีวิตของพระองค์หันเหเข้าสู่การเสกสมรสกับองค์ชายต่างถิ่น แต่พระองค์ไม่เคยนึกโกรธเคืองชีวินเลยแม้แต่น้อย…



“เรารู้ ชีวิน เรารู้ว่าเจ้าห่วงเราเพียงใด” ชีวินเพียงก้มหน้าต่ำให้อีกฝ่ายลูบศีรษะของตนอยู่เช่นนั้น



“…แต่คราวหลังไม่ต้องห่วงเราจนทำให้เราต้องเสกสมรสกับใครอีกแล้วนะ” องค์ชายสนธยาหยอกอย่างอ่อนพระทัย หากแต่ชีวินกลับตอบกลับอย่างแข็งขัน



“พระองค์จะได้เสกสมรสแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้นพระเจ้าค่ะ กระหม่อมรับรอง” เพราะชีวินรู้ว่าองค์ชายเตชินทร์จะไม่มีวันยอมให้องค์ชายสนธยาได้เสกสมรสกับใครอื่นอีกเลย!!



……………………………..

   



   ราชินีวารีวาทมีหมายกำหนดการที่จะประทับอยู่ที่อนันตราชเพียง 5 วันเท่านั้น โดยตลอดทั้ง 5 วันจะประทับที่ตำหนักรับรองของวังหลวงพร้อมด้วยองค์หญิงอรุณา ซึ่งบัดนี้องค์หญิงโฉมงามแห่งสมุทรากำลังเสด็จไปมาอยู่ในตำหนักรับรองด้วยความร้อนรุ่มเต็มทรวง



   …บัดนี้ เสด็จแม่ทิ้งรัฐกิจแห่งสมุทราให้อยู่ในความรับผิดชอบของท่านนายพลชลเทพแม่ทัพกองเรือ และองค์ชายทิวา ผู้เป็นน้องชายของพระองค์ ในขณะที่หอกข้างแคร่อย่างองค์ชายสนธยาก็กำลังจะถอดยศจากองค์ชายแห่งสมุทรากลายเป็นชายาในองค์ชายรัชทายาทลำดับที่ 2 แห่งอนันตราช!! แล้วพระองค์เล่า?!! พระองค์ที่ควรจะได้สืบสันตติวงศ์บนบัลลังก์สมุทรากลับทำได้เพียงเดินไปเดินมาอยู่เช่นนี้ ด้วยไม่อาจเอื้อมสิ่งใดได้!



   …หวังให้สนธยาตายก็ไม่ตาย หวังให้บัลลังก์ตกถึงมือก็ไม่ตกลงมาเสียที! นี่มันอะไรกัน!!...



   “เป็นอะไรหรือ อรุณา ไยจึงเดินไปเดินมาเช่นนั้น มาอยู่ต่างถิ่นเมืองนอน เหตุใดจึงไม่สำรวมกิริยาเอาเสียเลย” เสียงของผู้เป็นมารดาทำเอาร่างอรชรนิ่งไปในทันที ก่อนที่จะหันมามองราชินีวารีวาทที่ประทับอยู่ที่หัวบันได



   “หม่อมฉัน…หม่อมฉันแค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยเพคะ”



   “หวังว่าเรื่องเรื่อยเปื่อยของเจ้าคงไม่ใช่เรื่องของสนธยาใช่ไหม” อาการนิ่งงันของผู้เป็นธิดาทำเอาราชินีวารีวาทต้องถอนปัสสาสะอย่างอ่อนพระทัย ก่อนจะเสด็จเข้ามาใกล้ธิดาองค์โตของพระองค์



   “อรุณา รู้ไหมทำไมแม่ถึงพาเจ้ามาที่นี่ด้วย”



   “ไม่ทราบเพคะ”



   “แม่อยากให้เจ้ามาเจอพี่ชายของเจ้า” องค์หญิงอรุณานิ่งขึงไปในทันทีที่ผู้เป็นมารดาตรัส



   …จะให้มาพบหน้าค่าตา ‘พี่ชาย’ ที่พระองค์เกลียดเข้าไส้อย่างนั้นหรือ?!!...



   ดูเหมือนราชินีวารีวาทจะทรงจับสังเกตธิดาได้เพียงชั่วอึดใจ พระองค์ทรงทราบดีว่าอรุณาไม่ได้รักใคร่พี่ชายอย่างที่น้องคนอื่นเป็น ซ้ำร้ายกว่านั้น คือนางคิดการใหญ่ถึงขนาดจะดับชีวิตผู้เป็นพี่เสียด้วย การจะฉุดจิตใจอันดำมืดของธิดาองค์ดตให้หลุดพ้นความแค้นอาฆาตเหล่านั้นก็ดูจะเป็นการสูญเวลาเปล่า หากแต่…อย่างน้อยขอแค่พระองค์ได้ลองทรงกระทำดูบ้าง ก็น่าจะทำให้พระองค์ยังคงยืนหยัดอยู่บนฐานะของการเป็น ‘แม่’ สำหรับลูกๆทั้ง 5 ของราชวงศ์สมุทรา



   “สนธยาเป็นโอรสองค์โต ตั้งแต่ยังเล็กก็เก่งกาจเฉลียวฉลาดและใฝ่รู้ ถึงจะซุกซนไปหน่อยก็เถอะ” พระองค์เริ่มตรัสกับธิดาที่สีพักตร์นั้นเต็มไปด้วยความรังเกียจกับบทสนทนาที่ผู้เป็นมารดาเล่า



   “…หากสนธยาไปเกิดในราชวงศ์อื่น ตำแหน่งรัชทายาทลำดับที่ 1 จะต้องตกเป็นของเขาแน่ ราชบัลลังก์คงแทบจะลอยลงมาเกยเท้าเขา แต่…เขาคงเลือกเกิดผิดที่ไปเสียหน่อยถึงได้มาเกิดในราชวงศ์ของแม่…ที่ผู้หญิงเท่านั้นจะได้ครองบัลลังก์” ท้ายประโยคนั้น สายเนตรของราชินีวารีวาททรงเหลือบมาทางผู้เป็นธิดา บัดนี้องค์หญิงอรุณาไม่เข้าพระทัยว่าผู้เป็นมารดาต้องการบอกเล่าสิ่งใด



   “พอสนธยาเติบใหญ่ เขาต่อเรือเก่ง รักทะเล ส่วนฝีมือดาบฝีมือธนูก็ใช่ย่อย เขาเป็นนายทหารที่ดี แต่รู้อะไรไหม…เขามีข้อแม้กับแม่ 1 อย่าง” องค์หญิงอรุณาขมวดขนง เรื่องที่สนธยามีข้อแม้กับราชินีวารีวาทนั้น พระองค์ไม่ทรงทราบมาก่อน สิ่งที่ทรงทราบ…คือสนธยาได้เป็นแม่ทัพกองเรือตั้งแต่อายุเพียง 16 ชันษา และสี่ปีหลังจากนั้นก็เป็นกระทั่งเจ้ากรมกองเรือเสียด้วยซ้ำ! ข้ามหน้าข้ามตาสิ้นดี! นี่น่ะหรือ? คนที่เสด็จแม่ตรัสว่าเขาเกิดผิดที่! หากผิดที่จริง! ก็ต้องไปเกิดเป็นลูกหลานพวกชาวบ้านท้ายเกาะที่วันๆแค่สาวอวนปลาลากอวนกุ้งก็หมดวันสิ! จะมาเกิดเป็นหอกข้างบัลลังก์ให้พระองค์ไม่ได้ตำแหน่งราชินีไปทำไม!!!



   “…องค์สนขอไม่เรียนทั้งดาบทั้งธนูอีกต่อไป แม้ท่านอาจารย์ที่แม่จะให้มาสอนเขาคือท่านนายพลชั้นผู้ใหญ่ที่เก่งกาจที่สุดในกองทัพก็ตามที เจ้ารู้ไหมว่าทำไม…”



   “คงเพราะเขาขี้เกียจกระมัง” อรุณาทูลตอบอย่างไม่อินังขังขอบ สำหรับพระองค์ที่ใฝ่เรียนด้วยการศึกษาจากตำราในห้องสมุดของตำหนักหลวงนั้น ความรู้ความสามารถไม่เท่ากับสนธยาที่มักจะกระเตงไปกับเรือชาวบ้านเรือนายทหารทุกวัน สำหรับพระองค์แล้ว สนธยาคือ ‘จอมขี้เกียจ’ ที่ไม่คู่ควรกับราชบัลลังก์สมุทรา!



   “ก็อาจจะจริง” ราชินีวารีวาททรงเห็นด้วยก่อนจะสรวลน้อยๆ “…แต่แม่รู้ว่าเขามีเหตุผลอีกข้อในใจ” พระองค์ตรัสต่อท้ายก่อนจะทรงจับจ้องพักตร์องค์หญิงอรุณาราวกับจะบอกเป็นนัยว่าคนที่เป็นต้นเหตุให้สนธยาไม่ยอมเรียนทั้งดาบและธนูคือองค์หญิงอรุณาผู้มีศักดิ์เป็นขนิษฐา



   “เหตุผลอะไรเพคะ” เมื่อถูกจับจ้องมากเข้า องค์หญิงอรุณาก็เริ่มพาลด้วยน้ำเสียง



   “เหตุผลของเขาคือเจ้า…เขารู้ว่าตามกฎมณเฑียรบาล เจ้าจะต้องได้ครองราชย์ แต่การครองราชย์ของเจ้าจะมีปัญหาถ้าหากเขาเก่งเกินไป มีความรู้มากเกินไป และถูกสนับสนุนมากเกินไป เจ้าก็รู้อรุณา สนธยาออกเรือไปกับพวกทหารตั้งแต่อายุยังไม่เต็มสิบ เขารู้จักนายทหารแทบทุกคนในกองทัพ ยิ่งในทัพเรือ เขาสนิทสนมแม้กระทั่งกับทหารกางใบเรือเสียด้วยซ้ำ เขามองออก ว่าหากเขาเก่งกว่านี้ คนในทัพเรือจะต้องสนับสนุนเขาให้ขึ้นครองราชย์แทนเจ้า ตัวแม่แม้จะเป็นราชินี แต่ไม่ได้ความว่ามีสิทธิ์เด็ดขาดทั้งปวง หากพวกทหารทั้งหลายจริงจังกับการเสนอชื่อสนธยา กฎมณเฑียรบาลที่มีอยู่ก็กลายเป็นกระดาษแผ่นเดียวที่ฉีกขาดได้ทุกเมื่อ”



   …หมายความว่าที่สนธยา ‘ขี้เกียจ’ เป็นเพราะต้องการหลีกทางและลดแรงปะทะที่จะเกิดขึ้นกับพระองค์อย่างนั้นหรือ…องค์หญิงอรุณาทรงเม้มโอษฐ์แน่นอย่างอัดอั้น ความแค้น ความรังเกียจ ความเกลียดชังที่บ่มเพาะในพระทัยมาตั้งแต่ยังเล็กนั้นแม้จะสั่นไหวอย่างน่าประหลาด แต่เพราะมันตกผลึกมานานจนจับตัวเป็นก้อนแข็งๆในดวงพระทัย แค่เพียงไม่กี่ประโยคของผู้เป็นพระมารดาจึงไม่อาจทำลายความรู้สึกเหล่านั้นได้



   …ไม่ว่าอย่างไร สนธยาก็คือมารขวางบัลลังก์ของพระองค์อยู่ดี!!...



   ราชินีวารีวาททรงจับจ้องพักตร์ของธิดา ทว่าสุดท้ายก็ต้องสิ้นหวังเมื่อพักตร์งามยังคงแข็งขืนราวกับไม่รับฟังความจริงข้อใดจากพระองค์ทั้งสิ้น…ทรงกระทำเมื่อสายไป ทรงทำให้อรุณารับรู้ช้าไปว่าพี่ชายของนางไม่ได้ตั้งใจเป็นหอกข้างแคร่อย่างเช่นทุกวันนี้…



   “สนธยาไม่เคยคิดจะแย่งใคร เขามีชีวิตในโลกของเขา ในมุมของเขา เขาพยายามแล้วที่จะไม่กล้ำกรายไปในโลกของเจ้า แต่เป็นเจ้าเองที่พยายามดึงเขาเข้าไปในวังวนความเกลียดชัง อรุณา…เจ้าคิดในดีเถอะ มีองค์ชายอาณาจักรไหนที่ยินยอมนำบรรณาการเป็นหอยตัวเดียวมาถวายอนันตราช เขามาทั้งๆที่เขารู้ว่าอาจจะจบชีวิตที่นี่ แต่เขาก็ยังมา ทางหนีทีไล่ของเขาเยอะแยะ เจ้าก็เห็นว่าพี่เจ้ากระโดกกระเดกอย่างกับอะไรดี แต่เขาก็รับผิดชอบหน้าที่จนเวลาสุดท้าย แล้วดูสิ…จากเคยเป็นองค์ชาย กลายเป็นต้องมาเป็นคนเลี้ยงหอยให้อนันตราช แล้วประเดี๋ยวก็จะกลายไปเป็นชายาในองค์ชายเตชินทร์ เจ้าดูชีวิตของพี่เจ้าเป็นตัวอย่างเถอะ ชีวิตคนเราไม่แน่นอน วันนี้เป็นอย่างนี้ พรุ่งนี้เป็นอีกอย่าง วันนี้เจ้าเป็นองค์หญิง วันหน้าเจ้าอาจจะเป็นราชินี แต่วันต่อไปเจ้าอาจถูกฆ่าตายบนบัลลังก์ก็ได้ เพราะฉะนั้น…ทำวันนี้ของเจ้าให้มีคนรัก ทำวันนี้ของเจ้าให้เป็นวันที่ดีของเจ้าและวันที่ดีของคนรอบข้าง อะไรที่ไม่เหนือบ่ากว่าแรงก็ปล่อยมันออกจากมือเจ้าบ้าง อยู่ให้มีคนรัก ไปให้มีคนคิดถึง ไม่ใช่อยู่อย่างเห็นแก่ตัว และไปอย่างที่มีแต่คนสาปแช่ง”



   สุดท้าย พระองค์ก็ตรัสได้เท่านี้ ราชินีวารีวาททรงไม่รู้ว่าโอวาทของพระองค์จะช่วยเยียวยาจิตใจของผู้เป็นธิดาได้สักเท่าไร แต่อย่างน้อยก็ยังได้ทำในสิ่งที่พระองค์ทรงไม่เคยได้ทำมาเลย นับตั้งแต่ให้กำเนิดบุตรธิดาทั้ง 5 คน



   …สำหรับอาณาจักรอื่น พระองค์คือราชินีมากเล่ห์และมารยา แต่สำหรับบุตรธิดาทั้ง 5 พระองค์กลับไม่สามารถใช้มารยาเหล่านั้นทำให้ทุกคนรักกันได้...ช่างน่าสมเพชเสียจริง



   “แม่จะแวะไปหาสนธยา เจ้าจะไปกับแม่ไหม”



   “หม่อมฉันอยากพักผ่อนเพคะ” องค์หญิงอรุณาทูลเสียงเรียบ หากแต่พักตร์ก้มต่ำไม่สบสายเนตรของผู้เป็นมารดา



   “ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจ เดินทางมาไกล เจ้าคงเหนื่อย ถ้าอย่างไรก็เจอกันอีกทีตอนมื้อค่ำเลยแล้วกัน” องค์หญิงอรุณาถวายบังคมลาเมื่อพระมารดาเสด็จออกจากตำหนักรับรองไปยังตำหนัก หากแต่เมื่อลับร่างของราชินีวาทแล้ว พระองค์ก็หมุนองค์เดินกลับเข้าตำหนักรับรองแล้วทรงเรียกหาคุณท้าวสุภาผู้รับใช้ทันที!





………………….





   “แหม้! ออกนอกหน้าไปไหม น้องพี่” องค์ชายเจษฎาผู้เป็นเชษฐาตรัสหยอกล้อเมื่อเสด็จเข้ามาในห้องเสวยในตำหนักหลวง ซึ่งในเย็นวันนี้จะถูกจัดเป็นห้องเสวยของสองราชสำนักอย่างสมุทราผู้เป็นอาคันตุกะและอนัตราชผู้เป็นเจ้าเมือง ซึ่งงานนี้จะปล่อยให้ห้องเครื่องของตำหนักจัดการแต่เพียงผู้เดียวไม่ได้ เนื่องจากเจ้ากรมวังอย่างองค์ชายเตชินทร์ไม่ทรงยินยอมจะอยู่เฉยๆ จึงเสด็จมาดูแลการเตรียมห้องด้วยพระองค์เอง



   “อย่างนี้เห็นทีราชินีวารีวาทคงทรงปลื้มพระทัย ว่าที่ลูกเขยถึงกับลงมาดูแลแม้กระทั่งการจัดห้องเสวยด้วยตัวเองเช่นนี้ แล้วนี่…องค์ชายสนธยาเล่า? นึกว่าจะช่วยกันกะหนุงกะหนิงเสียอีก”



   “เขากลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เสด็จพี่”



   “คงจะรูปงามน่าดูชม เสื้อผ้าอาภรณ์ของเขา เจ้าเตรียมไว้ให้หรือยังล่ะ” คราวนี้คนเป็นน้องมีสีหน้ากรุ้มกริ่มก่อนตอบ



“ข้าเตรียมให้เขาตั้งแต่แรก ตั้งแต่ก่อนเขาจะมา เตรียมทุกอย่างตั้งแต่เสื้อผ้าไปจนถึงห้องหับที่เขาอยู่ เตียงที่เขานอน อาหารที่เขาทาน ข้าเตรียมไว้ล่วงหน้าตั้งนานสองนาน”



“แสดงว่าถูกใจเขามานานแล้ว?” องค์ชายเจษฎาทรงตั้งคำถาม และคำตอบที่ได้ก็มีเพียงรอยยิ้มกริ่มของอนุชา ซึ่งคาดเดาได้ในคำตอบว่าผู้เป็นน้องของพระองค์ผูกใจเอาไว้กับองค์ชายต่างแดนมานานนม



   “เจ้าถูกใจเขาเพราะเขางามใช่หรือไม่”



   “ไม่ใช่หรอก…” พอคิดถึงการพบกันครั้งแรกแล้ว องค์ชายเตชินทร์ก็นึกครึ้มในอุระทุกครั้งไป จึงได้อมยิ้มกรุ้มกริ่มเสียจนผู้เป็นพี่นึกหมั่นไส้นัก



   “ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าเขาเก่ง”



   “เก่งหรือ? ขนาดปีนต้นไม้ยังตก ตอนแรกข้าคิดว่าข้าหลงเขาเพียงแค่อยากได้มาครอบครอง แต่ท่านเชื่อไหม วันที่ข้ารู้ว่าเขาตกต้นไม้ วันที่เขาไม่แยแสหอยตัวนั้นและตั้งท่าอยากจะกลับสมุทราเต็มแก่มันทำให้ข้ารู้ว่าข้าไม่ใช่แค่หลง แต่ข้าต้องการเขา อยากให้เขามาอยู่ข้างๆ ไม่ต้องพูดสิ่งใดก็ได้ จะนั่งหน้างิ้วหน้างอก็ได้ แต่ขอเพียงแค่ให้ข้าได้อยู่ใกล้ๆ ได้ทำอะไรให้เขาบ้าง แม้จะไม่อาจทำให้เขายิ้มได้อย่างที่คนอื่นทำ แต่ขอแค่เขาไม่เจ็บป่วย แค่เขาปลอดภัย ข้าก็พอใจแล้ว” คนฟังได้แต่มองหน้าน้องชาย ปกติแล้วองค์ชายเตชินทร์ไม่เคยเล่าเรื่องความรักความใคร่และความรู้สึกในหัวใจให้เขารับรู้มาก่อน แม้จะเป็นคนอ่อนโยนกับคนรอบข้าง แต่องค์ชายหนุ่มผู้เป็นรัชทายาทลำดับที่ 2 แห่งอนันตราชก็มักจะวางตัวอยู่เหินห่างกับความรักเสมอ



   ทว่า…ครั้งนี้…ครั้งนี้คนที่วางตัวเหินห่างกับความรัก ไม่สนใจแม้จะมีสตรีงามแห่งวังหลวงมาทอดสะพานอ้อยอิ่งให้ กลับออกปากเองว่าอยากได้ความสนใจจากองค์ชายอาณาจักใกล้เคียง ณ วันนี้ยังหลงขนาดหนักถึงเพียงนี้ หากวันที่ได้องค์ชายจากสมุทรามาเคียงกายมาถึงจริง พระองค์คงไม่ได้เห็นพักตร์น้องชายนอกตำหนักอิฐกระมังนี่!...



   “แล้วไปเจอกันที่ใด”



   “ที่สมุทรา ข้าหลงทาง ส่วนเขาก็แอบหนีออกจากวังมาเที่ยวพอดี เราบังเอิญเจอกัน เขาช่วยพาข้าไปส่งที่บ้านพัก และวันต่อมาก็อาสามาเป็นคนพาเที่ยว เขาพาข้าเที่ยวหลายวันเชียว แต่…เขาก็จำข้าไม่ได้”



   “จำไม่ได้? เจ้าเคยถามเขาแล้วหรือ?” อันที่จริง พวกอนันตราชและสมุทรานั้นไม่ได้หน้าตาเหมือนกันเลยสักนิด การที่คนของสมุทราเคยช่วยเหลือคนของอนันตราชถึงขั้นพาเที่ยวหลายวัน จะไม่มีความทรงจำติดอยู่ในหัวบ้างเลยหรือว่าคนที่ตัวเองพาเที่ยวนั้นมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร แล้วคนอย่างองค์ชายเตชินทร์แห่งอนันตราชก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ที่จะไม่น่าจดจำเสียหน่อย



   “ปีต่อมาข้ากลับไปอีกครั้ง ข้าพบเขา แต่…เขาไม่มีวี่แววว่าจะจำข้าได้เลย ซ้ำยังกำลังช่วยเหลือนักท่องเที่ยวคนอื่นพาเที่ยวเหมือนที่เคยทำกับข้า ข้าคิดว่าเพราะแบบนี้ เขาก็เลยลืมข้าง่ายดายเหลือเกิน” องค์ชายเจษฎาได้ฟังดังนั้นก็ได้แต่นึกสงสารน้องชายต่างมารดา เพราะดูเหมือนองค์ชายสนธยาแห่งสมุทราจะมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เสียจนไม่มีความรู้สึกเป็นพิเศษอันใดกับน้องชายของพระองค์เลย



   …แล้วจะทำเช่นไรดีทีนี้ หากเสกสมรสแล้ว เตชินทร์ยังคงวางตัวอยู่ในมุมอับ องค์ชายสนธยาจะทรงสนใจใยดีได้อย่างไรกัน…



   “องค์เตช แล้วเจ้าวางแผนเอาไว้บ้างรึยังว่าหลังเสกสมรสแล้ว จะทำการใดให้องค์ชายสนธยาหันมาสนใจเจ้า” คราวนี้องค์ชายเตชินทร์ได้แต่เงียบ ด้วยเพราะสิ่งที่พระองค์ดำริอยู่ตลอดเวลานับตั้งแต่องค์ชายสนธยาทรงตกต้นไม้เสียจนเจ็บเนื้อเจ็บตัวนั้น คือการที่พระองค์จะทำสิ่งใดให้อีกฝ่ายไม่เจ็บตัวและอยู่สบายอีกบ้าง ไม่ได้คาดหวังถึงความสนใจจากอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย



   “เงียบเช่นนี้แสดงว่าไม่ได้คิดล่ะสิ เจ้านี่หนา…อย่างนี้มีหวังได้อยู่ในซอกหลืบเขาไปจนตาย” พอถูกผู้เป็นพี่บ่นเช่นนี้ องค์ชายเตชินทร์ก็เริ่มตระหนักได้ว่าอาจจะไม่ได้รับการสนใจจริง หากยังเอาแต่คอยดูอย่างระมัดระวังเช่นนี้



   “เจ้าต้องลงมืออย่างจริงจังได้แล้ว จะได้เขามาเป็นชายาเลี้ยงหอยไปวันๆในตำหนัก หรืออยากได้เขามาเป็นชายาร่วมเตียงด้วย ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่ที่มือของเจ้าเท่านั้น” องค์ชายผู้น้องหันมองผู้ให้คำแนะนำด้วยสายเนตรที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง



   “แล้ว…แล้วข้าต้องเริ่มอย่างไรดี”

   

   “ก็เริ่มเสียแต่เย็นนี้ เจ้าต้องท่องเอาไว้ว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป องค์ชายสนธยาจะเป็นว่าที่คู่หมายของเจ้า คู่หมายขององค์ชายก็คือสมบัติขององค์ชาย ข้ารู้ว่ามันไม่ง่ายแต่เจ้าต้องทำให้ชายากลายเป็นลูกไก่ในกำมือ จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด ส่วนองค์หญิงอรุณา เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าจะช่วยเจ้าอีกแรง” สองพี่น้องแห่งราชสำนักสมุทราวางแผนหารือราวกับสมัยเด็กๆที่วางแผนกันเล่น

   

   …งานนี้ต้องเปลี่ยนคนที่จะมาเป็นชายาซึ่งดูท่าแล้วจะทำแค่ภารกิจเลี้ยงหอยไปวันๆ ให้กลายเป็นชายาเคียงบ่าเคียงไหล่ให้จงได้! เพราะเดิมพันนี้…องค์ชายรัชทายาทแห่งอนันตราชทรงวางหัวใจตัวเองเป็นเดิมพัน!!!





ติดตามตอนต่อไป



สองสัปดาห์ก็พิมพ์ไม่ทัน T^T ขอโทษมากๆนะคะ

พอพิมพ์อันนี้ได้นิดหน่อย ก็คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ แล้วพอไปพิมพ์อันอื่นก็ลืมพิมพ์อันนี้ต่อ =.=

กว่าจะเข็นออกมาได้ แทบตายจริงๆค่ะ T^T

เพราะงั้น…ภายในอาทิตย์หน้า จะเอาต้นเหตุที่ทำให้พิมพ์เรื่องนี้ไม่ทันมาลงแล้วกันนะคะ

ขอบคุณคนอาน คนเม้นท์ คนรคิดถึง และทุกกำลังใจนะคะ ขอบคุณพื้นที่บอร์ดด้วยค่ะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 9...อัพ 20/10 (หน้า 11 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 20-10-2013 20:35:16
โอ้
วางแผนกันเสีบดิบดีนะสองพี่น้อง 555
เราจะมารอดูผลของการวางแผนนี่ว่าจะออกมาเป็นยังไง
ขอบคุณคุณบัวที่แต่งมาลงด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 9...อัพ 20/10 (หน้า 11 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: @Lucifer_Prince@ ที่ 20-10-2013 20:38:03
จะแต่งงานกันแล้วเว้ย  ฮิฮิ  อรุณานี่ก็ไม่รู้จะชั่วอะไรนักหนาเนอะ  นางคงเป็นบัวเหล่าสุดท้ายแล้วมั๊ง  บัวใต้ตมนะ  ไม่ยอมรับฟังอะไรเลย  ฟังหูซ้ายออกหูขวา อคติเหลือเกินนะ ชอบองค์ราชินีกับประโยคที่บอกว่าเจ้าเล่ห์กันคนอื่นแต่กับลูกตัวเองใช้ไม่ได้  สงสารนางเนอะ  อ้อพี่บัวคัฟ  คำว่า'เสกสมรส'ในเรื่องนี่  ใช้ให้มันเพราะๆเฉยๆใช่มั๊ย  รอตอนต่อไปนะคัฟพีบัว ขอบคุณคัฟ^^
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 9...อัพ 20/10 (หน้า 11 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Kaame ที่ 20-10-2013 20:46:31
องค์เตชชช ทำให้องค์สนหลงไปเลย คึคึ
องค์เตชน่ารักเกิน  :-[ :-[
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 9...อัพ 20/10 (หน้า 11 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: kongxinya ที่ 20-10-2013 20:48:41
คิดถึงองค์สนกับเตชมากในที่สุดก็มา   :กอด1:

ขอให้แผนสำเร็จทีเถอะ สงสารองค์เตช องค์เตช สู้ๆ  :hao5:

รอตอนต่อไปค่ะ  :L2: :กอด1: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 9...อัพ 20/10 (หน้า 11 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: koikoi ที่ 20-10-2013 20:48:54
สู้ๆนะองค์เตช
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 9...อัพ 20/10 (หน้า 11 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: sine_saki ที่ 20-10-2013 20:57:35
โอ้ รอเรื่องนี้อยู่เลยจ้า
เมื่อไหร่องค์ชายทั้งสองจะอิ๊อ๊ะปาจิงโกะกันเสียทีนะ
รวบรัดตัดตอนเลยองค์เต
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 9...อัพ 20/10 (หน้า 11 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 20-10-2013 21:16:01
องค์เตชกับองค์เจษนี่เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ^^
อรุณาก็คงเกินกว่าจะเยียวยากับความอิจฉาที่มีต่อพี่ชาย เฮ้อ!

ตั้งหน้าตั้งตารอสาเหตุที่ทำให้คุณบัวพิมพ์เรื่องนี้ช้าค่า  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 9...อัพ 20/10 (หน้า 11 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: double9JH ที่ 20-10-2013 21:28:34
ทำให้ได้นะ องค์เตช

 o18 o18
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 9...อัพ 20/10 (หน้า 11 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: ❝CHŌN❞ ที่ 20-10-2013 21:47:48
สองศรีพี่น้อง เข้าขากันดีเชียว วางแผนเป็นฉากๆ
แล้วอย่างงี้องค์สนจะหนีไปไหนรอดหละเนี่ย
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 9...อัพ 20/10 (หน้า 11 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 20-10-2013 21:52:32
ชายาที่ตั้งท่าจะเลี้ยงหอยไปวันๆ ฮ่าอะ 555555
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 9...อัพ 20/10 (หน้า 11 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 20-10-2013 22:17:01
 :impress2:คุ้มค่าที่รอคอย
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 9...อัพ 20/10 (หน้า 11 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: jinjin283 ที่ 20-10-2013 22:21:17
>< คิดถึงองค์สนพอดีเลยคะ ฮ่าๆ
งานนี้ท่าทางองเตชจะเตรียมบุกแล้วอะ  สองพี่น้องช่วยกันวางแผนขนาดนี้
องค์สนเสร็จแน่ๆเลย
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 9...อัพ 20/10 (หน้า 11 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 20-10-2013 22:32:04
องค์เตชต้องหางานใหม่ให้ชายาทำนอกจากเลี้ยงหอยไปวัน ๆ
ไม่งั้นไม่ได้จุ๋งจิ๋งดุ๋งดิ๋งแน่ หรือจะหาข้ออ้างไปฮันนีมูนไกล ๆ

ส่วนหญิงอรุณาจิตใจชั่วร้ายเกินเยียวยา
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 9...อัพ 20/10 (หน้า 11 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Gokusan ที่ 20-10-2013 22:47:26
สารภาพตามตรงว่า...ยังเม้นท์ไม่ออก
มีหลายช่วงที่น้ำตาซึม...จากท่านแม่และองค์เตช
เป็นความรู้สึกรักของทั้งคู่ที่มีต่อคนเดียวกัน...องค์สน

เดี๋ยวอ่านเก็บอีกทีแล้วจะมาบอกต่อ... ^^
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 9...อัพ 20/10 (หน้า 11 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: followme ที่ 20-10-2013 23:04:04
เด๋วนี้ไม่ได้ตามนิยายของคุณ DeZair เลยค่ะ
เด๋วไปอ่านตอนแรกก่อนนะ เดวมาเม้น

------
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 9...อัพ 20/10 (หน้า 11 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 20-10-2013 23:05:40
 :katai2-1: มาแล้ว รอตั้งนานค่า
องค์เตชต้องรุกบ้างแล้วล่ะ องค์สนไม่เคยจะรู้อะไรเล้ย
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 9...อัพ 20/10 (หน้า 11 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: ลิงน้อยสุดเอ๋อ ที่ 21-10-2013 03:16:49
อ๊าย  คิดถึงองค์เตช กับ องค์สนที่สุด

สองพี่น้องวางแผนกัน  รอลุ้นว่าองค์สนจะเป็นชายาแบบไหน อิอิ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 9...อัพ 20/10 (หน้า 11 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: june55 ที่ 21-10-2013 04:03:58
กลับมาอัพบ่อยๆนะ สนุกมากเลย
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 9...อัพ 20/10 (หน้า 11 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: urmein ที่ 21-10-2013 09:12:26
พี่น้องคู่นี้น่ารักจัง ช่วยเหลือกันดีมาก 55555+
สู้ๆนะองค์เตช
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 9...อัพ 20/10 (หน้า 11 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 21-10-2013 09:29:10
องค์เตชต้องให้องค์เจษสอนวิธีเอาใจท่านสนด้วยหรือเปล่าเนี่ย
จะมีเมียแล้วนะ 5555
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 9...อัพ 20/10 (หน้า 11 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: วัวพันปี ที่ 21-10-2013 10:06:20
เชียร์เงียบๆข้างตำหนักอิฐ ให้องค์สน ชายตาดูองค์เตชสักที
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 9...อัพ 20/10 (หน้า 11 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: hibatsumoe ที่ 21-10-2013 10:39:44
รอลุ้นต่อไปด้วยคนนะคะ
ชายาไม่ได้มีหน้าที่เลี้ยงหอยอย่างเดียว
องค์เตชสู้ๆ ><
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 9...อัพ 20/10 (หน้า 11 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: =นีรนาคา= ที่ 21-10-2013 11:56:16
และแล้วก็ได้รู้สาเหตุที่ทำให้องค์เตชหลงรักองค์สน อิอิ
แต่แบบอ่านแล้วสงสารองค์ชายเตชอ่าาา

ต้องเอาองค์สนมาเป็นชายาทั้งทางนิตินัยและพฤตินัยให้ได้ องค์เตชสู้ๆ 
:mew1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 9...อัพ 20/10 (หน้า 11 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: ophena ที่ 21-10-2013 20:42:30
สู้ๆนะองค์เตช
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 9...อัพ 20/10 (หน้า 11 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: namminzz ที่ 21-10-2013 21:18:40
ชอบองค์สนจัง น่ารัก
รอตอนต่อไปค่า
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 9...อัพ 20/10 (หน้า 11 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: SenzaAmore ที่ 22-10-2013 07:36:21
 :hao5: องค์สนเป็นคนดี อรุณาน่าจะเข้าใจองค์สนเร็วๆน้าา

ชอบองค์เจษจริงๆ. อยากรู้ว่าแผนที่คิดออกมาจะเป็นยังไงน้าา :laugh:

มาต่อเร็วๆน้าา  :mew1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 9...อัพ 20/10 (หน้า 11 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: zaszaq ที่ 22-10-2013 22:05:15
 :hao7:   :hao7: รอ ร้อ รอ 

รออ่านแผนการเผด็จศึกของพี่น้องจ้า  :mew1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 9...อัพ 20/10 (หน้า 11 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: OneMoment ที่ 23-10-2013 00:37:04
เพิ่งเข้ามาอ่าน เจอหอยมุกก็ขำแล้ว ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆ ค่ะ จะติดตามต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 9...อัพ 20/10 (หน้า 11 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 25-10-2013 13:24:02
จะเปงยังไงต่อไปน้อออ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 9...อัพ 20/10 (หน้า 11 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: krit24 ที่ 26-10-2013 11:31:16
อรุณาเนี่ย เกินจะเยียวยาแล้วรึเปล่า เป็นพี่น้องกันแท้ๆ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 9...อัพ 20/10 (หน้า 11 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: sukaz ที่ 26-10-2013 19:01:14
อรุณา คงแก้ยากกกกก
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 9...อัพ 20/10 (หน้า 11 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: maxiyorka ที่ 27-10-2013 00:18:52
มาลงเพิ่มแล้ว ดีใจมากเลย
ติดเรื่องนี้งอมแงม ตลก สนุกมากเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 9...อัพ 20/10 (หน้า 11 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Anyann ที่ 27-10-2013 16:16:13
เอาใจช่วยองค์เตชค่ะ อิอิ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 9...อัพ 20/10 (หน้า 11 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: chompoonut139 ที่ 27-10-2013 17:01:18
ไม่ต้องรีบ ถือมีดจ่อข้างหลังอิอิ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 9...อัพ 20/10 (หน้า 11 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Lily teddy ที่ 27-10-2013 18:27:41
การเจรจาไม่ยืดเยื้ออย่างที่คิด คงเพราะองค์สนก็รู้แก่ใจอยู่แล้ว ว่าใครเป็นฝ่ายผิดผีกันแน่
แต่ตอนแรกหลงคิดว่าชีวินรู้เห็นกับองค์สน ที่แท้ชีวินก็เข้าใจผิดเหมือนกันเหรอเนี่ย
แล้วพึ่งรู้ชีวินนี่เองที่วางยาหอยคู่บ้านคู่เมือง จนหอยป่วย ดีที่หอยไม่เป็นอะไรแค่นอนพะงาบ ๆ อยู่เฉย ๆก็น่าสงสารพอแล้ว
แล้วองค์เตชนี่ต้องขอบคุณองค์หญิงอรุณาเลยนะเนี่ยที่ทำให้องค์สนเลือกจะเป็นสะใภ้ของอนันตราชง่าย ๆแบบนี้
ไม่รู้จนจบองค์หญิงอรุณาจะสำนึกได้บ้างรึเปล่า พอบอกว่าจิตใจสั่นไหวนิดนึงตอนราชินีบอกเรื่ององค์สน
ก็แอบหวังให้สำนึกได้เพราะยังไงก็เป็นพี่น้องกันนี่นะ แต่ตอนนี้ไม่รู้องค์หญิงเรียกคุณท้าวมาวางแผนอะไรอีกนี่สิ
แล้วองค์เตชจะเอาชนะใจองค์สนได้ไหมเนี่ย แอบหลงรักมาตั้งนานจนตอนนี้จะได้แต่งกันแล้วแต่ดูองค์สนจะไม่แคร์องค์เตชเลย
มีการจะแต่งมาเป็นชายาเพื่อเลี้ยงหอยอย่างเดียวด้วย น่าสงสารองค์เตชจังทั้งที่ตอนแรกก็ดูองค์สนจะมีใจด้วยแล้วแท้ ๆ
อย่างงี้ต้องรอว่าองค์เจษกะองค์เตชจะมีแผนอะไรให้องค์สนยอมเป็นชายาที่เคียงบ่าเคียงไหล่องค์เตชจริง ๆได้นะ
รอติดตามและเป็นกำลังใจให้ผู้เขียนต่อไปค๊า  :pig4:  :L2:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 9...อัพ 20/10 (หน้า 11 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: sam3sam ที่ 28-10-2013 02:59:53
คงดึงอรุณากลับมาไม่ได้แล้วล่ะ
มันหยั่งรากลึกฝังไปในความคิดแล้วจิตใจจนไม่มีใครเข้าถึงแล้ว :เฮ้อ:
รอดูว่าองค์เตชจะทำยังไงต่อไป :hao7:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 9...อัพ 20/10 (หน้า 11 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: BaZkon ที่ 30-10-2013 17:52:18
ชอบๆๆๆ หาเรื่องแนวนี้อยู่พอดี สนุกมากเลยค่ะ มาต่อไวๆนะคะจะรอนะคะ o13
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 9...อัพ 20/10 (หน้า 11 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 30-10-2013 19:51:57
 :call:  :call:  รอจ้ารอ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 9...อัพ 20/10 (หน้า 11 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: BaZkon ที่ 05-11-2013 22:07:43
มารอด้วยคนเค่อะ แบบว่าคิดถึง อยากอ่านต่อแว้วววว :hao7:
(ขอถามนะคะ มีโอกาสที่นายเอกจะมีลูกมั้ยคะ แบบว่าแอบหวังอ่ะค่ะ แหะแหะ) :o8:
หัวข้อ: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 10...อัพ 9/11 (หน้า 12 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Dezair ที่ 09-11-2013 12:15:17
บทที่ 10

   ‘อันดับแรก…เจ้าต้องเป็นฝ่ายรุกเขา แต่คนอย่างนี้จะรุกแบบอ้อมๆไม่ได้ เพราะเขาหูตาไว ประสาทรับรู้ดีเยี่ยม เขารู้ว่าเจ้าอ้อมมา เขาก็จะอ้อมหนีไป ถ้าเจ้าอยากให้เขาหนีไม่ถูก เจ้าต้องบุกทะลุอย่างตรงไปตรงมาเท่านั้น!!’

   คำสั่งสอนของผู้เป็นพี่นั้น องค์ชายเตชินทร์ทรงจำมาใช้อย่างละเอียด เริ่มด้วยมื้อเย็นในวันนั้นที่จะมีงานเลี้ยงต้อนรับราชินีวารีวาทและองค์หญิงอรุณาที่ตำหนักหลวง องค์ชายเตชินทร์ก็รีบเสด็จจากห้องเสวยตำหนักหลวงที่พระองค์ทรงดูแลทุกขั้นตอนในการจัดการด้วยตัวพระองค์เอง แล้วเสด็จกลับไปที่ตำหนักอิฐทันที

   “อ้าว…” 

ว่าที่ชายาของพระองค์กำลังเสด็จออกจากตำหนักพอดี และทันทีที่ฝ่ายนั้นเห็นเตชินทร์ ก็มีเพียงเสียงสั้นๆเสียงเดียวแสดงอาการแปลกใจ

   …ไม่มีความหวานแหววออเซาะออดอ้อนที่ได้พบหน้ากันเลยแม้แต่น้อย…แบบนี้ยิ่งทำให้เอาหัวใจขององค์ชายหนุ่มแห่งอนันตราชยิ่งนึกหึกเหิมกว่าเดิมว่าพระองค์จะต้องทำให้อีกฝ่ายขวนขวายและเรียกหาพระองค์ให้ได้มากกว่านี้!...

   “กำลังจะไปที่ตำหนักหลวงหรือ” เขาตั้งคำถามกับชายชาวสมุทราตรงหน้า   

   “ใช่”

   “ถ้าอย่างนั้นก็ไปพร้อมกัน”

   “ได้สิ” องค์ชายสนธยารับคำง่ายๆ ทำเอาคนชวนถึงกับใจเต้นระรัวด้วยความดีใจที่จะได้เดินไปตำหนักหลวงด้วยกันเพียงลำพัง ประเดี๋ยวเดินผ่านสวนดอกไม้ เตชินทร์ก็จะชี้ชวนให้ชมต้นไม้งามๆ หากเดินไปพบเมฆก้อนใดหน้าตาแปลกๆก็จะชี้ชวนให้ออกความคิดเห็นว่ามันหน้าตาเหมือนอะไร

   …แหม! แค่คิดก็หวานหยดเสียแล้ว!!...

   “องค์สน จะไปกันเลยไหม” ทว่า…ไม่ทันที่องค์ชายเตชินทร์จะได้มีความสุขกับจินตนาการของพระองค์มากไปกว่านั้น เสียงของสตรีนางหนึ่งก็ดังขึ้นเบื้องหลัง เจ้าของตำหนักอิฐหันขวับไปมองด้วยความตกใจที่ได้ยินเสียงของบุคคลที่สาม หากแต่เมื่อเห็นว่าเป็นใคร องค์ชายหนุ่มแห่งอนันตราชก็ทำได้เพียงค้อมกายทำความเคารพ

   “องค์ชายเตชินทร์…” ราชินีวารีวาทเองก็ทรงแปลกพระทัยเช่นกันที่พบเตชินทร์

   “เรากำลังจะไปพร้อมกับเสด็จแม่…เสด็จแม่ องค์ชายเตชินทร์จะไปตำหนักหลวงพร้อมพวกเรา เอ? เมื่อครู่นี้ท่านก็อยู่ดูแลงานที่ตำหนักหลวงไม่ใช่หรือ แล้วกลับมาทำไม” ท้ายประโยคนั้น สนธยาหันมาตั้งคำถามกับร่างสูงอย่างหน้าซื่อ

   “เอ่อ…ก็…ก็…” องค์ชายหนุ่มแห่งอนันตราชได้แต่ตะกุกตะกัก จะให้บอกได้อย่างไรว่า ‘มารับ’ แล้วไหนจะราชินีวารีวาทที่ประทับอยู่ด้วยนี่ก็อีก จากที่คิดเอาไว้ว่าจะชมนกชมไม้ไปตำหนักหลวงกันเพียงสองคน กลายเป็นมี ‘แม่’ มาเพิ่มอีกหนึ่ง

   สตรีสูงวัยแห่งสมุทราทรงอ่านสถานการณ์ออกเพียงเสี้ยวอึดใจ พระองค์สรวลน้อยๆ ก่อนจะทรงเสนอ

   “องค์ชายเตชินทร์คงจะเสด็จกลับมาเปลี่ยนฉลองพระองค์กระมัง ถ้าอย่างนั้น เรารออยู่ตรงนี้ดีไหม องค์สน ให้องค์ชายเตชินทร์ทรงเปลี่ยนฉลองพระองค์เสียก่อน แล้วค่อยไปตำหนักหลวงพร้อมกัน… ‘สามคน’ …”

   ดวงเนตรสีน้ำตาลอ่อนของมารดาและบุตรแห่งสมุทรามองสบกัน ก่อนที่ฝ่ายคนเป็นลูกจะยอมพยักหน้าตกลงที่จะ ‘รอ’ อยู่หน้าตำหนัก

   องค์ชายเตชินทร์ได้แต่รับฟังคำว่า ‘สามคน’ อย่างดุษฎี ด้วยเพราะไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจเสด็จไปพร้อมกับองค์ชายสนธยาเพียงลำพังแน่แล้ว พระองค์ได้แต่อ้อมแอ้มขอเวลาสักครู่ ก่อนจะหายลับเข้าไปในตำหนักสีเหลืองอ่อนที่ตั้งอยู่เบื้องหน้า และทันทีที่ร่างสูงสง่าลับสายตาไปแล้ว ผู้เป็นมารดาก็หันมาทางโอรสที่ประทับอยู่ข้างกาย

   “รู้ใช่ไหม ว่าเขามารับ”

   “รู้พระเจ้าค่ะ” ไม่รู้ก็เห็นจะโง่เกินทน ในเมื่อรู้เช่นเห็นชาติว่าเตชินทร์คิดอย่างไรกับตน

   “ถ้าแม่ไม่อยู่ตรงนี้ เจ้าจะไปกับเขาไหม”

“โธ่ เสด็จแม่…ลูกชอบสตรีเพศพระเจ้าค่ะ”

“แต่อีกหน่อยก็ต้องเสกสมรสไปกับองค์ชายเตชินทร์ ลูกควรเรียนรู้ที่จะไม่มีสตรีเพศใกล้มือ แต่สามารถขวยขวายบุรุษอย่างองค์ชายเตชินทร์ได้ทุกเวลาสิ ถึงจะถูก”

คนเป็นลูกฟังคำว่า ‘ขวนขวายบุรุษ’ แล้วขนลุกตั้งชันไปทั้งแนวสันหลัง ในขณะที่ผู้เป็นมารดาหัวเราะน้อยๆอย่างชอบใจ ชักนึกสนุกอยากรู้ว่าโอรสของพระองค์จะหลบลี้หนีหน้าไปจากองค์ชายเตชินทร์ไปได้อีกนานแค่ไหน ในเมื่ออีกไม่ช้าไม่นานจะต้องเปลี่ยนสถานะไปเป็น ‘ชายาในองค์ชายแห่งอนันตราช’

“องค์สน แม่รู้ว่าลูกเอาตัวรอดเก่งเพียงใด แต่…ไม่วันใดก็วันหนึ่ง การเอาตัวรอดจะไม่อาจทำได้อีกแล้ว หากเจ้าทิ้งหัวใจเอาไว้ที่ใครสักคน หากคิดจะเอาตัวรอดให้ได้ตลอดไปก็จงระมัดระวังหัวใจตัวเองให้ดี แต่ถ้าเมื่อไรที่หากคิดจะเอาตัวรอด แต่กลับห่วงใยคนข้างกายก่อนตัวเจ้าเอง ก็จงพึงระลึกเอาไว้เถอะ ว่าเมื่อนั้น…เจ้าทิ้งหัวใจของเจ้าเอาไว้ที่เขาเสียแล้ว”

“…และเมื่อใดที่เจ้าทิ้งหัวใจเอาไว้ที่ใคร…เมื่อนั้น ไม่ว่าเขาจะเป็นสตรีเพศหรือบุรุษเพศ หัวใจของเจ้าก็ไม่อาจดิ้นหนีไปจากคนผู้นั้นได้อีก” สนธยารู้ดีว่าราชินีวารีวาทกำลังเตือนพระองค์เรื่องใด แต่ก็ยังทำเป็นยิ้มสรวลตลกกลบเกลื่อน

“เสด็จแม่ทรงทำนายอนาคตแม่นราวกับทอดเนตรไม่ใช่หรือ ถ้าเช่นนั้นทรงทำนายกระหม่อมที ว่าจะเอาตัวรอด เอาใจรอดจากอนันตราชไปได้หรือเปล่า” ราชินีวารีวาททรงยิ้มบางเบาแล้วตบหัตถ์ลงกับไหล่ของสนธยา

“องค์สน…พวกเราเป็นชาวสมุทรา เราเป็นชาวทะเล เรามองฟ้า เราก็รู้ว่าอะไรจะเกิดบนผืนดิน ดังนั้น…ตั้งแต่วันที่เจ้าเกิด แม่รู้ แม่เห็น…เจ้าเกิดในสมุทราก็จริง แต่สุสานของเจ้าจะอยู่ในแผ่นดินอื่นที่ไม่ใช่สมุทรา คนอื่นที่ไม่ใช่พี่ใช่น้องจะรักเจ้าบูชาเจ้าเยี่ยงเป็นพี่น้อง แต่คนที่เป็นพี่น้องกับเจ้า จะเกลียดชังเจ้าเข้ากระดูกดำ” เมื่อตรัสถึงตรงนี้ พักตร์ของราชินีวารีวาทก็หมองหม่นลงอย่างน่าเวทนา

“…น่าเสียดาย แม่รู้ แม่เห็น แต่แม่ตัดไฟแต่ต้นลมไม่ได้ แม่แก้ไขเรื่องราวในภายภาคหน้าไม่ได้  ที่แม่ทำได้ คือส่งลูกขึ้นฝั่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ จะได้ไม่ต้องผจญกับพายุในทะเลอีกต่อไป” สนธยารู้ซึ้งถึงความห่วงใยของผู้เป็นมารดา แต่อย่างไรก็ตามเพราะอรุณาก็เป็นธิดาองค์หนึ่งของราชินีวารีวาท ไม่ว่าจะโอรสหรือธิดา ให้อย่างไรก็ตัดไม่ขาด

“ตอนนี้ เจ้าขึ้นฝั่งแล้ว แม่ก็ไม่มีอะไรต้องห่วงอีก”

“เสด็จแม่ตรัสราวกับว่า ฝั่งที่พระองค์ทรงส่งกระหม่อมขึ้นไปนั้นปลอดภัยอย่างไม่อาจมีที่ใดเปรียบ” สนธยาหยอกเย้า อย่างที่ทำเอาราชินีวารีวาทได้แต่สรวลเบาๆ

“เจ้าเชื่อแม่เถอะ ฝั่งที่เจ้าขึ้น เป็นฝั่งที่ปลอดภัยที่สุด ที่แห่งนี้จะโอบกอดเจ้าด้วยความรัก ปกป้องเจ้าด้วยความอ่อนโยน เมื่อไหร่ที่เจ้ารับรู้ถึงความรักความอ่อนโยนที่เขามี เจ้าจะรีบกลับมาอวดแม่แทบไม่ทัน”

สนธยาทำหน้าปุเลี่ยน เหตุใดก็ไม่รู้ พอได้ยินได้ฟังคำทำนายของผู้เป็นมารดาแล้ว สนธยาก็จินตนาการไปถึงร่างกายบึกบึนเปลือยเปล่าขององค์ชายเตชินทร์ แล้วพลันนั้นก็เหมือนหนังศีรษะจะขดแน่นเข้าหากันจนเส้นผมแทบลุกชัน!

“เอ้า! องค์ชายเตชินทร์เสด็จออกมาแล้ว” ราชินีวารีวาทหันไปทอดเนตรองค์ชายเจ้าของตำหนักอิฐที่เสด็จออกมาในฉลองพระองค์ชุดใหม่ก็ส่งรอยแย้มสรวลเล็กน้อยไปให้ ก่อนที่ทั้งสามพระองค์จะเสด็จออกจากตำหนักอิฐไปยังตำหนักหลวงเพื่อร่วมมื้อค่ำ แน่นอนว่าองค์ชายสนธยาเต็มใจเป็นอย่างยิ่งที่จะรั้งท้าย แล้วรอบมองบุรุษที่เสด็จเคียงข้างมารดาของตน

…อุตส่าห์หา ‘ฝั่ง’ ให้ไปพักพิงทั้งที เหตุใดจึงไม่หา ‘ฝั่ง’ ที่รูปงาม นามเพราะ เรือนกายอรชรอ้อนแอ้นและเป็นสตรีเพศหนอ เสด็จแม่ทรงเลือกมาได้ไม่ดูรสนิยมกระหม่อมเลย…

………………………….

งานเลี้ยงมื้อค่ำที่ตำหนักหลวงนั้นถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ในห้องเสวยกว้างขวางที่มีโต๊ะอาหารยาวสำหรับคณะของเจ้าเมืองและคณะของอาคันตุกะ มุมหนึ่งของห้องเสวยถูกใช้สำหรับวงดนตรีที่บรรเลงเพลงจากเครื่องดนตรีพื้นเมืองให้บทเพลงอ่อนหวานประกอบไปกับเสียงพูดคุยของเจ้าบ้านและอาคันตุกะ

“เป็นอย่างไรบ้าง ราชินีวารีวาท ห้องหับที่เตรียมเอาไว้ให้ พอจะอยู่สบายไหม เราไม่ได้ลงไปดูแลท่านด้วยตัวเอง หวังว่าจะไม่ถือสา พักนี้อนันตราชมีงานหลวงงานราษฎร์มาไม่ขาด ก็เลยยุ่งมากไปหน่อย” กษัตริย์วิภูตรัสถามอย่างห่วงใย พระองค์กับสวามีของราชินีวารีวาทซึ่งล่วงลับไปแล้วนั้น มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นจนถึงขั้นที่สวามีของราชินีวารีวาทเคยช่วยเหลือพระองค์กู้ราชบัลลังก์เสียด้วยซ้ำ

“สบายเพคะ ราวกับได้มาพักผ่อนเชียว” นอกจากตำหนักหรูหราที่ทางอนันตราชใช้เป็นสถานที่รับรองแล้ว ของเสวยบนโต๊ะก็ยังเป็นอาหารพื้นเมืองตำรับชาววังของอนันตราชที่ขึ้นชื่อลือชาด้วยเนื้อวัวชั้นดีย่างไฟจนสุก รับประทานคู่กับผักสดและข้าวสวยหุงร้อนหอมกรุ่น

“ไว้มีเวลาเมื่อไหร่ จะมาพักผ่อนอีกก็ได้ อีกหน่อยโอรสของท่านก็จะเป็นส่วนหนึ่งของอนันตราชแล้ว ก็ไม่ต่างอะไรกับที่สมุทราและอนันตราชจะรวมกันเป็นหนึ่งหรอก” กษัตริย์วิภูตรัส ทว่าสายเนตรกลับทอดเลยไปยังองค์หญิงอรุณาที่ประทับถัดจากราชินีวารีวาท องค์หญิงอรุณารับรู้ถึงสายเนตรของผู้เป็นใหญ่แห่งอนันตราช ทว่าพระองค์กลับทำเพียงสบสายเนตรตอบกลับไปอย่างนิ่งเฉย

…อนันตราชและสมุทราจะไม่มีวันรวมกันเป็นหนึ่ง…สมุทราจะต้องเป็นของพระองค์ และอนันตราชจะต้องไม่มีวันย่างกรายเข้ามายุ่มย่ามความเป็นไปของราชสำนักสมุทราเป็นอันขาด!!

“เรื่องฤกษ์สู่ขอและเสกสมรส เราให้ทางกรมวังดูแลอยู่ จะเร่งให้โดยเร็วที่สุด แต่จะไม่ช้าเกินกว่าฤดูหนาวปีหน้า หรือท่านต้องการให้เร็วกว่านั้นไหม”

ฤดูหนาวปีหน้า ก็คือนับจากนี้ไปอีกหนึ่งปี นั่นหมายความว่าสนธยาจะดำรงตำแหน่งองค์ชายแห่งสมุทราได้ไม่เกิน 1 ปี นับจากนี้ไป

…พอคิดว่าต้องสละตำแหน่งองค์ชายไปใช้ตำแหน่ง ‘ชายา’ แล้ว สนธยาก็นึกหวงตำแหน่งองค์ชายของตัวเองขึ้นมาเสียอย่างนั้น…

“ไม่! ม…ไม่ต้องรีบพระเจ้าค่ะ!!”

คนที่ต้องเป็นฝ่าย ‘เสกสมรส’ ร้องขึ้นมาเสียเอง ทำเอาทั้งโต๊ะต้องหันมองมาที่สนธยาเป็นตาเดียว และพอตกเป็นเป้าสายตาตั้งแต่กษัตริย์ รัชทายาท ราชินี จนถึงทหารอารักขาทั้งหลาย ก็ทำเอาสนธยาต้องกลืนน้ำลายอีกอึกใหญ่ แล้วอ้อมแอ้มอธิบาย

“คือ…เอ่อ…ช้าๆได้พร้าเล่มงามนะพระเจ้าค่ะ”

กษัตริย์วิภูสรวลน้อยๆ ดูก็รู้ว่าว่าที่ลูกสะใภ้ของพระองค์นั้น อยากเสกสมรสเสียจนเนื้อตัวสั่น ถึงขั้นเสนอให้จัดพิธีให้ช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้

“ช้าไปก็ไม่ดีหรอก องค์เตชก็อายุไม่น้อยแล้ว ปีนี้จะยี่สิบห้า พวกทหารรุ่นน้องยังตบแต่งมีเมียมีลูกเป็นสิบนำหน้าไปแล้ว แต่อย่าว่าถึงพวกทหารรุ่นน้องเลย กระทั่งเจ้าเองก็มีสนมนับร้อยใช่ไหมล่ะ” พอถูกย้อนถามเรื่องสนม สนธยาก็ได้แต่ก้มหน้าเงียบ

“แล้ว…จะทำอย่างไรเรื่องสนมล่ะ ทิ้งเอาไว้เป็นร้อยอย่างนี้หรือ ทั้งๆที่แต่งกับโอรสของเราแล้ว”

กษัตริย์วิภูทรงตั้งคำถามอย่างไม่จริงจังนัก เพราะทรงคิดว่าสนธยาคงไม่อุตริกลับไปหอบสนมนับร้อยที่สมุทรามาอยู่ที่ตำหนักอิฐในอนันตราชหรอก หรือถ้าคิดจะทำเช่นนั้นจริง เตชินทร์ที่เลือดอนันตราชเต็มตัวคงไม่มีวันยอมให้ผู้หญิงที่ไหนเข้ามายุ่มย่ามในตำหนักของตัวเองโดยเด็ดขาด

“ไม่ต้องห่วงเพคะ ก่อนที่องค์สนจะมาที่นี่ เขาได้ทำการลาสนมทั้งหมดเรียบร้อย ไม่มีความอาลัยอาวรณ์ใดๆเหลืออีกแล้วเพคะ” ราชินารีวาทรีบตรัส ด้วยเพราะเกรงว่าโอรสของตนจะกล้าได้กล้าเสียทูลขอสนมทั้งร้อยกว่าคนจากสมุทรามาอยู่ปรนนิบัติที่อนันตราช

“จากนี้ไป องค์สนจะเหลือเพียงองค์ชายเตชินทร์เท่านั้น…” สนธยาไม่ได้เป็นคนพูดประโยคนี้ หากแต่เป็นมารดาที่พกลมมาตรัสที่โต๊ะอาหารจนไม่เหลือความจริงเลยแม้แต่นิดเดียว

กษัตริย์วิภูสรวลเสียงดังอย่างชอบใจ สดับประโยคที่ราชินีแห่งสมุทราตรัสแล้วทอดเนตรพักตร์ขององค์ชายสนธยา ทว่ามันกลับขัดแย้งกันเสียจนน่าขัน จากนี้ไปคงจะเป็นภาระใหญ่หลวงของเตชินทร์ที่จะทำให้สนธยาไม่เหลือความอาลัยให้แก่สตรีนางใดอีก

“ฟังท่านว่ามาถึงเพียงนี้แล้ว เราก็ชักอยากจะเร่งงานมงคลให้เร็วขึ้นเสียแล้วสิ นี่ถ้าเป็นสตรี เราจะเร่งให้แต่งใบไม้ผลิปีหน้า แล้วมีลูกปีถัดไปเลย น่าเสียดายที่ท่านเป็นชาย อดเห็นลูกขององค์เตชก็ไม่เป็นไร เพราะเราเชื่อว่าเจ้ากับองค์เตชจะต้องมีเรื่องให้เราติดตามเป็นรายวันเชียวล่ะ!” สนธยาได้แต่หน้าเจื่อนพูดอะไรไม่ออกอีก

…ก็ถ้าจะอยากรู้อยากเห็นอยากตามข่าวกันเป็นรายวันเช่นนี้ ราชสำนักอนันตราชก็ควรถูกเรียกว่าเป็นราชสำนักบ้าสะใภ้ เพี้ยนบรรลัยพอๆกับตอนที่บ้าหอยนั่นล่ะ!

………………………………….

หลังการเสวยเสร็จสิ้น กษัตริย์วิภูและราชินีวารีวาทมีการเจรจากันเพียงลำพัง กษัตริย์วิภูจึงมีรับสั่งให้องค์ชายเตชินทร์พาองค์ชายสนธยากลับตำหนักอิฐไปก่อน ในขณะที่องค์หญิงอรุณามีขบวนนำโดยท้าวสุภาผู้รับใช้ใกล้ชิดนำเสด็จกลับตำหนักรับรองไปก่อนแล้ว

เมื่อเหลือกันเพียงแค่สองคน กับทางเดินที่ปูด้วยแผ่นหิน คบไฟให้ความสว่างเป็นช่วงกับความมืดสลัวในคืนที่พระจันทร์สาดส่อง นายทหารเวรยามยืนประจำจุดอยู่ไม่ไกลนัก แต่ก็พอจะเป็นส่วนตัวอย่างที่องค์ชายเตชินทร์ทรงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นถึงการมีตัวตนของพวกทหารเหล่านั้น แล้วให้ความสนใจคนข้างกายอย่างเต็มที่

“อาหารเมื่อครู่สู้ฝีมือคุณท้าวเอิบที่ตำหนักของพวกเราไม่ได้เลยสักนิด คิดเช่นนั้นไหม”

สนธยาหันมอง ดวงเนตรสีอ่อนจับจ้องใบหน้าของเตชินทร์นิ่งนาน เสียจนคนถูกจ้องเริ่มร้อนรน ริมฝีปากแห้งผาดเสียจนต้องเม้มเลียอย่างอึดอัด และเมื่อสนธยายิ่งเห็นอีกฝ่ายอึดอัด คราวนี้เจ้าตัวเลยยิ่งแผ่ซ่านความน่าขามเกรงออกมาไม่หยุดด้วยการยกสองมือขึ้นกอดอกยืดตัวตรงแล้วจ้องเขม็ง

“เอ่อ…ม…มีอะไรหรือ”

“ท่านไม่คิดจะบอกอะไรหน่อยหรือ สารภาพผิดสักนิดก็ยังดีว่าเรื่องทั้งหมดนี้เริ่มต้นขึ้นที่ไหน ที่ท่านหรือที่เสด็จแม่ของเรา”

“เอ่อ…เรื่องนั้น…” แค่ถูกคั้นเล็กน้อยด้วยน้ำเสียงเข้มข้นและสายตาจ้องจับผิดก็ทำเอาเตชินทร์รู้สึกเหมือนถูก ‘ภรรยา’ สอบสวนอย่างไรชอบกล

“ว่าอย่างไร จะแต่งงานวันนี้วันพรุ่งอยู่แล้ว เรื่องเท่านี้ก็ปิดบังหรือ?”

“แต่งพรุ่งนี้เลยก็ได้หรือ?!!” คนหูดีไม่รอฟังให้จบประโยคก็รีบร้องถามด้วยดวงตาพราวระยับ จนสนธยาอยากจะข่วนหน้าอีกฝ่ายเพื่อเป็นการเรียกสติดูสักที

“เราเปรียบเปรย!” ดวงตาวิบวับเมื่อครู่หมองลงทันควัน ทว่าสำหรับคนที่มีสนมนับร้อยอยู่ใต้ปกครอง มีหรือจะไม่รู้จักมารยามากเล่ห์เหล่านี้ สนธยาจึงทำเป็นไม่สนใจท่าทางหมองเศร้าที่จัดฉากขึ้นมานั่น

“…เอาล่ะ จะเล่าได้หรือยังว่าเรื่องมันเริ่มที่ตรงไหน”

“ตรงไหนก็ไม่รู้หรอก รู้แต่ว่ามันพอเหมาะพอดี ราวกับมีใครอยากให้เราได้คู่กัน” เตชินทร์ส่งสายตาหวานหยดมาให้ราวกับมันจะตกผลึกเป็นน้ำตาลอย่างไรอย่างนั้น สนธยาถอนหายใจเฮือก บอกแล้วว่ามีสนมเป็นร้อย ไอ้ท่าทางทอดสะพานหรือมารยาร้อยเล่มเกวียน ทำอะไรเขาไม่ได้หรอก

“เราจะพูดแค่ครั้งเดียว ท่านเตช…เรามีสนม 121 คน สนมทั้ง 121 คนของเราต่างมีกิริยาและวาจาฉอเลาะออดอ้อนไปคนละแบบ เราเรียนรู้มาทั้ง 121 แบบ แล้วท่านคิดว่า เราจะหลงคารมท่านไหม?” สนธยาถามตรง ตามด้วยสายตารู้เช่นเห็นชาติ ทว่าเตชินทร์กลับยิ้มกรุ่มกริ่ม

“ท่านมีสนมเป็นสตรีทั้งหมดใช่ไหม”

“แน่นอน!”

“ถ้าอย่างนั้น…ก็คงไม่ชินมารยาของบุรุษ” จบประโยค มือใหญ่ก็กวาดไปโอบเอวของอีกฝ่ายเข้ามาแนบกายทันควัน ทำเอาสนธยาสะดุ้งโหยง รีบยกสองมือดันอกอีกฝ่ายออกห่าง ทว่าร่างกายของเตชินทร์นั้นสูงใหญ่เกินไปที่สรีระของชาวสมุทราอย่างเขาจะจัดการได้ด้วยแรงของแขนที่แทบจะถูกรวบเข้าไปอยู่ในอ้อมอกหนาแกร่งนั่นแล้ว

“ท่านคิดจะทำอะไร”

“ไม่ได้คิด แค่อยาก…” สนธยาถอนหายใจอีกเฮือกด้วยความเหนื่อยระอา

…ทำไมหนอ…เรื่องมันไปเริ่มต้นที่ตรงไหน เหตุใดผู้ชายคนนี้ถึงได้ผูกใจเอาไว้กับเขานัก…

“อยากกอดเรางั้นรึ?” เตชินทร์ไม่ตอบ หากแต่เพียงแค่ยิ้ม และเพียงแค่ยิ้ม สนธยาก็ต้องเบือนสายตาทิ้งไปทางอื่น

…ไม่ว่าอย่างไรก็แพ้รอยยิ้มของรัชทายาทแห่งอนันตราช แบบนี้เห็นทีจะแย่ แค่อีกฝ่ายยิ้ม สนธยาก็แพ้ทางเขาเสียแล้ว…

เมื่อเห็นอีกฝ่ายเบือนหน้าหนีสายตาของเขา เตชินทร์จึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้สนธยารับรู้ความรู้สึกทั้งหมด

“เราอยากกอดท่าน อยากดูแลท่าน อยากทำให้ท่านสุขสบายทั้งใจทั้งกาย เมื่อใดที่ท่านทุกข์ เราก็อยากจะช่วยอีกแรง เมื่อใดที่ท่านสุข เราขอเพียงแค่ท่านยิ้มให้เราบ้าง” เขากล่าวแล้วได้แต่ยกมือเกาศีรษะแก้เก้อ เชษฏาแนะนำให้เขาพูดจาตรงไปตรงมาเพื่อเอาชนะคนเอาตัวรอดเก่ง ทว่า…เมื่อถึงเวลาที่ต้องทำจริงๆแล้ว แล้ว เขากลับรู้สึกหมดมาดอย่างไรชอบกล

สนธยาหันกลับมามองใบหน้าของอีกฝ่ายนิ่งนาน มันช่างน่าประหลาดที่เขารู้สึกซาบซึ้งไปกับคำพูดพวกนี้ มากกว่าจะรู้สึกขบขันน่าหัวเราะ

…ชีวิตของสนธยา แม้จะเกิดมาในฐานะองค์ชายแห่งสมุทรา มีแม่นมคอยอุ้มชู แต่นางก็จากไปตั้งแต่เขายังเล็ก และเขาก็ไม่เคยต้องการแม่นมคนใหม่อีกเลย เมื่อไม่มีแม่นมคนใหม่ สนธยาจึงเติบโตขึ้นมาเพียงลำพัง จริงอยู่ว่าเขาสนิทสนมกับพวกทหารทั้งหลาย แต่เมื่อกลับเข้าตำหนัก แม้จะมีสนมกำนัลรับใช้มากเพียงใด เขาก็เหลือเพียงตัวคนเดียว…

…บางที…การมีใครสักคนเอาไว้ค้ำจุนยามเหนื่อยล้า มีใครสักคนเอาไว้หัวเราะไปพร้อมๆกันกับความสุข อาจเป็น ‘โอกาส’ ของชีวิตก็ได้…

“ถ้าท่านพูดจาเช่นนี้ให้สนมทั้ง 121 คนของเราฟัง เราเชื่อว่าพวกนางจะต้องแปรพักตร์มาอยู่กับท่านกันหมดแน่”

“ถ้าพวกนางมาแล้ว แล้วท่านล่ะ ไม่อยากแปรพักตร์มาอยู่กับเราด้วยหรือ” เตชินทร์ได้ทีหยอดเล็กหยอดน้อยเสียจนสนธยาได้แต่ส่ายศีรษะไปมาอย่างเอือมระอา

“โธ่ สักนิดนึงก็ไม่คิดจะมาอยู่กับเราเลยหรือ” เมื่อเห็นอีกฝ่ายเอาแต่เงียบ เตชินทร์ก็ได้แต่บริพาธเสียงเบาอย่างอ่อนใจ

“เราหนาว เราอยากกลับตำหนักแล้ว” สนธยาอ้างไปเรื่อย ทว่าลมเย็นก็ช่างเป็นใจพัดหอบมาพอดี เตชินทร์จำยอมต้องปล่อยองค์ชายหนุ่มแห่งสมุทราออกจากอ้อมกอด ทว่าไม่ทันที่อีกฝ่ายจะเดินนำออกไป สนธยาก็หันกลับมากล่าวกับร่างสูงเป็นคำรบสุดท้าย

“ถ้าเราไม่คิดจะมาอยู่กับท่าน เราหนีออกจากตำหนักนานแล้ว”

ไม่มีคำพูดอื่นใด เตชินทร์ยิ้มกว้างราวกับความดีใจมาเต้นระบำอยู่เบื้องหน้า สนธยาหมุนกายเดินนำกลับตำหนัก ในขณะที่ร่างสูงใหญ่ที่ติดตามอยู่เบื้องหลังนั้นยิ้มเสียจนปากแทบจะกว้างไปถึงรูหูทั้งสองข้าง

…และนั้น…กลายเป็นเรื่องเล่าปากต่อปากของทหารในวังหลวง…เกี่ยวกับสถิติความกว้างของรอยสรวลขององค์ชายรัชทายาทลำดับที่ 2 ซึ่งกว้างที่สุดยามที่พระองค์มีองค์ชายสนธยาเคียงข้างนั่นเอง

…………………………..

แน่นอนว่าหลังเปิดเผยความในใจอย่างตรงไปตรงมา องค์ชายเตชินทร์ทรงรุกคืบว่าที่พระชายาอย่างหนักหน่วงยิ่งกว่าเก่า หลังจากพระองค์หายพักตร์ไปหนึ่งวันเต็มๆ เพื่อจัดแจงเรื่องงานเสกสมรสของพระองค์เอง องค์ชายเตชินทร์ก็ทรงมาเคาะเรียกองค์ชายสนธยาที่ห้องบรรทมแต่เช้า

และในเมื่อเป็นยามเช้าตรู่ที่พระอาทิตย์ยังไม่ทันโผล่พ้นขอบฟ้า คนที่มาเปิดประตูต้อนรับจึงไม่ใช่องค์ชายสนธยา แต่เป็นองครักษ์หนุ่มนามว่าชีวิน

“ถวายบังคมฝ่าบาท” ชีวินน้อมกายต่ำ เตชินทร์พยักหน้ารับรู้ ทว่าสายเนตรสอดส่องเข้าไปในห้อง ที่แท่นบรรทมไกลลิบนั้น ยังมีมุ้งตลบลงคลุมทั้งสี่ด้าน ผ้ามุ้งทำให้ร่างบนแท่นบรรทมเนื้อนุ่มนั้นเลือนลาง แต่ก็บอกให้รู้ชัดเจนว่าเจ้าของห้องยังคงพักผ่อนอยู่

“ปกติ องค์ชายสนธยาทรงตื่นบรรทมกี่โมง”

“ถ้าเป็นปกติยามประทับที่สมุทรา ก็มักจะทรงตื่นเมื่อแสงแรกจับขอบฟ้าพระเจ้าค่ะ แต่ที่นี่เป็นอนันตราช ซ้ำยังเข้าฤดูหนาว ทำให้สว่างช้า กระหม่อมเกรงว่า น่าจะอีกพักใหญ่ๆ” ชีวินทูล แต่เมื่อพบว่าสายเนตรขององค์ชายเตชินทร์ยังจับจ้องไปยังแท่นบรรทม เขาก็พอจะรู้ว่าเจ้าของตำหนักอิฐ ทรงประสงค์ให้องค์ชายสนธยาตื่นบรรทมเสียเดี๋ยวนี้

“ถ้าอย่างไร ให้กระหม่อมปลุกองค์ชายสนธยาดีไหมพระเจ้าค่ะ” ทว่าไม่ทันที่เตชินทร์จะได้ตอบอะไร ร่างที่นอนอยู่บนแท่นบรรทมก็ลุกพรวดขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ใช้ศีรษะชนผ้ามุ้งทั้งสี่ทิศรอบด้านราวกับคนเมา

“ชีวิน! นั่น…องค์ชายสนธยาทำอะไร” ชีวินหันกลับไปมอง เขาเลิกคิ้วเล็กน้อยที่เห็นองค์ชายเหนือหัวของตนล้มกายลงไปนอนแล้วยกสองขาชี้เพดานแทน องครักษ์หนุ่มแห่งสมุทราหันกลับมามองผู้เป็นเจ้าของตำหนัก แล้วเอ่ยสั้น

“เกรงว่า…องค์ชายสนธยาจะละเมอพระเจ้าค่ะ”

“ละเมอ!!” องค์ชายเตชินทร์ทรงครวญ เนตรสีเข้มยังจับจ้องภาพคนบนแท่นบรรทมที่ยกเท้าชี้เพดาน แล้วฉีกขาสองข้างออกจากกันก่อนจะหุบมันเข้าหากัน ทำเป็นจังหวะราวกับกำลังออกกำลังกายอย่างไรอย่างนั้น

“เรื่องนี้ พระองค์คงยังไม่ทรงทราบสินะพระเจ้าค่ะ องค์ชายสนธยาทรงเป็นโรคละเมออย่างร้ายกาจ วันดีคืนดีก็ลุกขึ้นมาซ้อมดาบก็มีพระเจ้าค่ะ” องค์ชายเตชินทร์ทรงเบิกเนตรเหลือกโตด้วยความตกพระทัย

“ซ้อมดาบเชียวหรือ?”

“พระเจ้าค่ะ” คนฟังกลืนน้ำลายอึกใหญ่ด้วยความเสียวสันหลังชอบกล ดูเหมือนจะมีหลายเรื่องขององค์ชายสนธยาที่พระองค์ยังทรงไม่รู้

“แล้ว…นอกจากละเมอแล้ว…เอ่อ…เขายังมี ‘อย่างอื่น’ อีกบ้างมั้ย” ชีวินทำท่านิ่งคิด ก่อนจะทูลตอบ

“ก็…บางทีถ้าทรงตื่นเช้ามากๆก็จะมีอาเจียนเลอะเทอะไปหมด หรือไม่ก็...ถ้าเสวยอะไรซ้ำๆเดิมๆบ่อยๆ พระองค์ก็จะทรงเกรี้ยวกราดทำลายข้าวของพระเจ้าค่ะ” องค์ชายเตชินทร์ทรงขมวดขนงแน่น เริ่มรู้สึกผิดปกติโดยเฉพาะประโยคสุดท้ายของชีวิน

…คนอยู่ง่าย กินง่ายอย่างสนธยาน่ะหรือ ที่ทานอะไรซ้ำๆแล้วจะเกรี้ยวกราด? ถ้าเช่นนั้น คุณท้าวเอิบก็น่าจะโดนตะเพิดนานแล้ว เพราะรายนั้นเมื่อรู้ว่าใครชอบทานอะไร ก็มักจะทำอย่างนั้นให้ทานซ้ำๆอย่างน้อยสามวันเป็นต้นไปทีเดียว…
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 9...อัพ 20/10 (หน้า 11 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Dezair ที่ 09-11-2013 12:15:48
องค์ชายเตชินทร์มองสบดวงตาของชีวิน ทว่ากลับมีแต่ความนิ่งเฉยอยู่ในดวงตาสมกับเป็นทหารหาญที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี แต่…พระองค์เองก็ถูกฝึกฝนอย่างชายชาติทหารเช่นกัน มีหรือจะไม่รู้ว่าในความว่างเปล่านิ่งสงบของคนเป็นทหารนั้น ภายใต้หน้ากากที่ไม่มีอะไรคือระบบประมวลผลและความรู้สึกนึกคิดชั้นยอด

…ใต้ทะเลมีคลื่นฉันใด ก็เหมือนใต้หน้ากากเรียบเฉยมีอุบายฉันนั้น…

“หมายความว่า ถ้าเราเข้าไปปลุกเขาตอนนี้ เขาจะลุกขึ้นมาอาเจียนใส่เราอย่างนั้นใช่ไหม” ชีวินอ้าปากจะรับคำ หากแต่เมื่อเห็นสีพระพักตร์ที่ดูเหมือนจะรู้เท่าทันทั้งหมดแล้ว ก็ได้แต่ตอบกลับไปอีกอย่าง

“ถ้าโชคร้าย ก็จะเป็นเช่นนั้นพระเจ้าค่ะ”

อันที่จริงแล้ว ตั้งแต่เขาถูกพาเข้ามาเลี้ยงในตำหนักที่สมุทรา จนกระทั่งกลายมาเป็นองครักษ์รักษาพระองค์ในองค์ชายสนธยา ชีวินไม่เคยเห็นองค์ชายเหนือหัวของตนนำสิ่งใดออกจากโอษฐ์เลยแม้แต่ครั้งเดียว พระองค์เป็นองค์ชายที่อยู่ง่าย กินง่าย ไม่มากเรื่อง ยามออกทะเลไปกับทหารทั้งกองทัพก็เสวยข้าวหม้อเดียวกับทหารชักใบเรืออย่างไม่เคยเจ้ายศเจ้าอย่าง ตอนจะบรรทม ก็บรรทมบนผืนแข็งได้อย่างไม่มีปากมีเสียง

“แหม นึกอยากโชคร้ายขึ้นมาทีเดียว” องค์ชายเตชินทร์ตรัสเช่นนั้น ก่อนจะเสด็จเข้าไปในห้องบรรทมของว่าที่พระชายา ทรงหยุดอยู่ใกล้แท่นบรรทม จากนั้นก็ตลบมุ้งขึ้นฝั่งหนึ่งแล้วทรุดองค์ลงประทับที่ข้างกายของคนที่ยังนอน ทว่าสายเนตรของพระองค์กลับทอดมายังชีวินที่ยืนอยู่ไม่ไกล

“เรามีอีกเรื่องที่จำเป็นต้องบอกท่าน ท่านชีวิน”

ตรัสด้วยเสียงอันดัง ราวกับจะตรัสให้รับรู้ทั้งชีวินและองค์ชายสนธยาที่บัดนี้พลิกกายตะแคงหันหลังให้พระองค์ไปแล้วเรียบร้อย

“อีกไม่นาน องค์ชายของท่านก็จะกลายมาเป็นชายาของเรา หากมีเวลาเป็นส่วนตัว รบกวนท่านช่วยเตือนเขาล่วงหน้าที ว่าเราชอบตื่นก่อนคนที่นอนข้างๆ และชอบจุมพิตเป็นของขวัญยามเช้าให้กับคนที่ยังไม่ตื่นเสมอ”

สิ้นประโยค ร่างที่นอนอยู่บนแท่นบรรทมก็ถึงกับลุกพรวดกลับมาจ้องหน้าคนพูดตาเหลือกโต

“อ้าว ตื่นแล้วรึ?” องค์ชายเตชินทร์ทำเป็นตั้งคำถาม ทั้งๆที่รู้แก่ใจว่าที่อีกฝ่ายตื่นพรวดขึ้นมาในทันทีทันใดเป็นเพราะคำพูดของตนเอง

“เอ่อ…ต…ตื่นแล้ว…” ตั้งใจจะทำให้อีกฝ่ายแขยง ที่ไหนได้ กลับถูกตลบหลังบุกประชิดตัวถึงเพียงนี้ สนธยาชักจะเริ่มโทษตัวเอง หากสมัยก่อนยอมให้พวกอาจารย์ทั้งหลายสอนวิชากลยุทธพิชิตข้าศึก ก็คงมีปัญญามากกว่านี้หลายเท่า!

“ตื่นแล้วก็ดีแล้ว เราจะมาชวนท่านไปตำหนักขาวที่เราทำงานอยู่ สนใจไหม”

“มีใครไปบ้าง เราพาเสด็จแม่ไปด้วยได้ไหม” สนธยาไม่วางใจที่จะไปกับอีกฝ่ายเพียงลำพัง เพราะหนึ่งคือองค์ชายเตชินทร์ออกโอษฐ์ชัดเจนว่ามี ‘มารยาบุรุษ’ ซึ่งสนธยายอมรับว่าไม่คุ้นชินกับมารยาที่ว่านั่น

“ท่านสน…ใจหนึ่งของเราก็อยากให้ราชินีวารีวาทเสด็จด้วยหรอก แต่อีกใจ…เราก็อยากไปกับท่านแค่สองคน ให้เวลาเราได้จีบท่านสักนิดได้ไหม ขอแค่วันนี้วันเดียวก็ได้ ที่ท่านจะมีเพียงเรา และเราจะมีเพียงท่าน แล้วไว้พรุ่งนี้ เราจะพาราชินีวารีวาทไปด้วย” วาจาตรงไปตรงมา ทว่าอ่อนโยนในความรู้สึกนั้น คือวิธีการที่องค์ชายหนุ่มปรึกษากับผู้เป็นเชษฐาอย่างองค์ชายเจษฎาแล้ว ว่าน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเข้าหาว่าที่ชายาซึ่งมักจะมีแผนการหมกเม็ดและพยายามปัดป้องความรู้สึกที่เตชินทร์พยายามส่งให้ตลอดมา

 “ได้ไหม ให้เวลาเราได้อยู่กับท่านสักนิด ขอแค่วันเดียวก็ยังดี”

สนธยามองคนที่พูด ไม่ว่าจะด้วยความใจอ่อน หรือเหตุผลที่ต้องการคบหาดูใจกันก่อนจะถึงวันเสกสมรส แต่สุดท้าย องค์ชายแห่งสมุทราก็ทรงพยักพักตร์ยอมตกลง

“ก็ได้” เตชินทร์ยิ้มพรายกับคำตอบนั้น ก่อนจะลุกจากเตียงราวกับจะเปิดทางให้สนธยาได้แต่งเนื้อแต่งตัว

“เราจะรอที่ห้องอาหาร” จบประโยค ใบหน้าขาวก็ก้มลงมอบจุมพิตแผ่วหวานลงกับแก้มสีน้ำผึ้งอย่างที่ทำเอาสนธยาถึงกับร้องลั่น

“เฮ้ย!!!”

เตชินทร์ถอนใบหน้าออกมา เขาอมยิ้มน้อยๆเมื่อพบว่าร่างโปร่งนิ่งชะงักตกตะลึงพรึงเพริดไปแล้ว ชีวินรีบขยับเข้ามาหานายเหนือหัวของตน ในขณะที่เตชินทร์ยอมถอยห่าง ทว่าก็ยังตบไหล่นายทหารองครักษ์อย่างปลอบประโลม

“ไม่ต้องกังวล อีกหน่อยเขาก็ต้องชิน”

… ‘ต้องชิน’ ประโยคนี้แทรกเข้าไปในการรับรู้ของสนธยาอีกครั้ง และครั้งนี้มันทำให้องค์ชายแห่งสมุทรานิ่งชะงักยิ่งกว่าเก่า เพราะคำว่า ‘ต้องชิน’ แปลความหมายได้ในทางเดียวว่าเตชินทร์จะทำเช่นนี้ต่อไป จนกระทั่งเขาต้องเป็นฝ่ายชินไปเอง!...

……………………………

ตำหนักขาวอันเป็นสถานที่ทำงานขององค์ชายเตชินทร์เป็นอาคารก่อปูนแล้วทาทับด้วยสีขาวล้วนทั้งตำหนัก บานหน้าต่างและประตูทรงโค้ง มีเสาค้ำเบื้องหน้าอาคารที่มีระยะห่างพอดีกันทุกเสา สนธยาเงยหน้ามองอาคารตำหนักใหญ่โตเบื้องหน้าด้วยความตื่นตะลึงกับสถาปัตยกรรมและความโอ่อ่าหรูหรา

“งามไหม”

“งามมาก” สนธยาว่าอย่างนั้น แต่จับจ้องไม่วางตา

   “เราเป็นคนออกแบบเอง ตอนแรกตั้งใจจะให้เล็กกว่านี้สักหน่อย แต่เสด็จพ่อบอกว่ากรมวังมีงานมากมาย ก็เลยให้สร้างใหญ่อีกสักหน่อย เพื่อจะได้รองรับขุนนางนายทหาร”

   “ท่านออกแบบอาคารเป็นด้วยหรือ? สอนเราหน่อยสิ! เราเคยแต่ออกแบบเรือ ไม่เคยออกแบบพวกอาคารบ้านเรือนเลยสักครั้ง” ราวกับถูกชื่นชมด้วยคำพูดเยินยอนับล้าน แม้จะเป็นเพียงคำชื่นชมที่แฝงมาในการเรียกร้องขอให้สอน แต่เตชินทร์กลับยิ้มไม่หุบ

   “ได้สิ แต่ตอนนี้เข้าไปในตำหนักก่อนเถอะ จากห้องทำงานของเรา ชมพระอาทิตย์ขึ้นสวยเชียวล่ะ”

   “มิน่า คุณท้าวเอิบเคยบอกว่าท่านไม่ค่อยกลับตำหนักอิฐ คงเพราะค้างที่นี่เพื่อจะชมอาทิตย์ขึ้นสินะ” เตชินทร์หันกลับมามอง สายเนตรอ่อนหวานไม่ปิดบัง

   “แต่หลังจากนี้ เราจะกลับไปทุกๆที่ที่ท่านอยู่เพื่อชมพระอาทิตย์กับท่านทุกวัน”

   “เอ่อ…ถ้าอย่างนั้นก็รีบพาเราไปดูพระอาทิตย์ เราเริ่มอยากดูแล้ว” หรืออีกนัยหนึ่งคือไม่อยากยืนนิ่งอยู่ตรงนี้ให้อีกฝ่ายขยันหยอดหวานเล็กหวานน้อยไปอีกนาน

   เตชินทร์อมยิ้มน้อยๆ ก่อนจะแตะรอบเอวคนข้างกายให้ออกเดินเข้าไปในตำหนักขาว สนธยาแทบอยากจะบิดเอวตัวเองออกห่าง ทว่า…มือหนาใหญ่นั้นเหนียวหนึบและแข็งแรงที่ยังโอบกระชับแน่น พร้อมด้วยวาจาสำทับทีเล่นทีจริง

   “ไหนๆ วันนี้ท่านก็อนุญาตให้เราได้อยู่กับท่านแล้ว ก็ให้เราแตะนิดแตะหน่อยแล้วกันนะ”

   …ยังมีหน้ามาพูด ได้คืบจะเอาศอกจริงๆ!!...

……………………………..

   พระอาทิตย์ขึ้นที่ทางทิศตะวันออก ตำหนักขาวนั้นแม้จะหันหน้าสู่ทิศเหนือก็จริง แต่ห้องทรงงานขององค์ชานเตชินทร์มีหน้าต่างอยู่ทางตะวันออก ดังนั้น ในวันนี้ ที่มุมหน้าต่างบานกว้าง จึงมีโต๊ะเสวยเล็กๆ พร้อมด้วยคุณท้าวเอิบ หัวหน้านางรับใช้คนสำคัญในตำหนักอิฐมาคอยปรณนิบัติดูแลถึงที่ แต่…ทุกอย่างจะต้องเป็นการดูแลอย่างห่างๆเท่านั้น เนื่องจากองค์ชายเตชินทร์ต้องการให้ที่โต๊ะเสวยมีแค่พระองค์และองค์ชายสนธยาเพียงลำพัง

   แสงสีทองทอกระจ่างที่ขอบฟ้าไกล ขับไล่ความมืดมิดที่ปกคลุมมาทั้งคืน เกิดเป็นแสงเงาของภูเขา ต้นไม้ และทอแสงระยิบล้อกับผืนน้ำในแม่น้ำสายเล็กที่ไหลเอื่อยอยู่ไม่ไกลจากตำหนัก

   “สวยใช่ไหม”

   “สวย สวยคนละแบบกับที่สมุทรา” สนธยาเหลือบสายตากลับมามองคนข้างกาย

   “ที่สมุทราเป็นเช่นไร”

   “เป็นพระอาทิตย์ที่โผล่ขึ้นจากขอบมหาสมุทร ผิวน้ำทะเลเป็นระยิบเชียวล่ะ ยามถูกแสงพระอาทิตย์สาด”

   “เราอยากเห็น” สนธยาทำสีหน้าเจ้าเล่ห์

   “มิใช่เคยเห็นแล้วหรอกหรือ ได้ข่าวว่าเคยไปสมุทรา?” เตชินทร์หัวเราะน้อยๆ ก่อนจะยอมตอบ

   “เคยไป แต่ไม่เคยดูพระอาทิตย์ขึ้นที่สมุทรากับคนของสมุทรา”

   “แล้วไว้เราจะพาท่านไปก็แล้วกัน” ราวกับคำสัญญา สนธยาเอ่ยยามที่แสงทองสาดเข้ามาในห้อง กระตุ้นความสนใจให้พวกเขาหันกลับไปจับจ้องมันพร้อมกัน ภาพเบื้องหน้านั้นราวกับสวรรค์สร้าง แสงสีทองทอดไปทั้งผืนหญ้าผืนป่าและแม่น้ำที่ไหลผ่านเขตตำหนัก และหลังจากแสงนี้สาดส่องเพียงครู่เดียว ผู้คนในเขตตำหนักก็เริ่มเดินไปมาขวักไขว่ ทั้งขุนนางนายทหาร และนางกำนัลทั้งหลาย บ้างเดินพูดคุยอ้อล้อ บ้างเดินชมธรรมชาติยามเช้า หากแต่…มีบางคนที่วิ่ง

   “นั่นท่านสมิตใช่ไหม ดูรีบร้อนจริง” 

สนธยาชี้ร่างที่กำลังวิ่งกระเสือกกระสนมาทางตำหนักขาว เตชินทร์ขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความสงสัย ปกติสมิตไม่ใช่คนรีบร้อน ต่อให้ใกล้ถึงเวลานัดหมายเพียงใดก็ไม่เคยกระเสือกกระสนถึงเพียงนี้ เหตุใดหนอ…เหตุใด…

   และเพียงแค่อึดใจต่อมา ร่างที่วิ่งอยู่ข้างล่างเมื่อครู่ก็เปิดประตูพรวดเข้ามาในห้องทรงงานขององค์ชายเตชินทร์

   “แย่แล้วพระเจ้าค่ะ! องค์ชาย!!!” องค์ชายเตชินทร์ทรงลุกขึ้นอย่างว่องไว รอรับฟังเรื่องราวจากปากองครักษ์ ทว่าสมิตกลับหันไปทางองค์ชายสนธยาแทน

   “ราชินีวารีวาททรงถูกลอบวางยาพระเจ้าค่ะ!!!”



ติดตามตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 10...อัพ 9/11 (หน้า 12 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: greenapple ที่ 09-11-2013 12:43:49
 ตามมาจากจอมร้าย สนุกมาก แปะไว้ก่อนค่ะ :L1: :pig4: 
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 10...อัพ 9/11 (หน้า 12 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: mur@s@ki ที่ 09-11-2013 12:51:50
เอาล่ะสิ ไม่อยากจะคิดเลยว่าใครทำ
เลวร้ายเกินไปแล้ว

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 10...อัพ 9/11 (หน้า 12 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: SenzaAmore ที่ 09-11-2013 12:59:49
องค์สนนอนละเมอได้เจ๋งมาก องค์เตชสู้ๆน้าา5555

โอยยยย เรื่องจะเป็นยังไงต่อเนี่ย กำลังเข้มข้นเลย :hao7:
มาต่อเร็วๆน้าา :mew1:
ปล.หายปวดข้อมือเร็วๆน้าาา :mew1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 10...อัพ 9/11 (หน้า 12 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: kongxinya ที่ 09-11-2013 13:27:05

เอาใจช่วยองค์เตชจีบองค์สน  :3123:

อย่าบอกนะว่าอรุณาวางยาแม่ตัวเอง  :katai1:

 :L2: :กอด1: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 10...อัพ 9/11 (หน้า 12 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 09-11-2013 13:38:15
หา!!
ราชินีถูกวางยา แอร๊กกก
ฝีมือยัยพี่สาวตัวแสบหรือเปล่าเนี่ย
ไม่นะ อย่าเป้นอะไรไปเลยนะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 10...อัพ 9/11 (หน้า 12 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 09-11-2013 14:26:27
 :sad4: ทิ้งไว้ได้ค้่างคามากกค่าา คนเขียนขราา
อย่าหายไปนานน้า นี่มันอุกอาจมาก อาจจะกระทบต่อความสัมพันธ์หรือไม่ก็เป็นจุดเปลี่ยนให้แนบแน่นกว่าเดิม จะเป็นยังไงนี่
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 10...อัพ 9/11 (หน้า 12 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: ❝CHŌN❞ ที่ 09-11-2013 14:39:07
อะไรกันเนี่ย หวานกันอยู่ดีๆ มีเรื่องซะแล้วว
จัดการคนวางยา อย่าให้ลอยนวลเลยนะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 10...อัพ 9/11 (หน้า 12 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: becrazie ที่ 09-11-2013 15:10:05
อรุณา? ...ไม่ใช่นางใช่มั้ย :ling3:นั่นแม่เธอนะยะ!
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 10...อัพ 9/11 (หน้า 12 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 09-11-2013 15:18:29
 :a5: :a5:
ไม่น๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา
ขุ่นแม่ขาอย่าเป็นอะไรนะคะ รอดูขุ่นลูกแต่งงานก่อนนนนนนนนน  :sad4:
ใครมันบังอาจ!!!  :m31:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 10...อัพ 9/11 (หน้า 12 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: =นีรนาคา= ที่ 09-11-2013 15:29:50
เห้ยยยยยยยย เสด็จแม่!!!!
อย่าเป็นอะไรไปเลยนะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 10...อัพ 9/11 (หน้า 12 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Ali$a฿eth ที่ 09-11-2013 15:41:12
ไม่อยากวางใจเรื่องนี้เลย 5555
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 10...อัพ 9/11 (หน้า 12 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Dezzerr ที่ 09-11-2013 16:14:52
ยั้ยยยยย ไม่อยากจะคิดเลยว่าใคร  :ling1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 10...อัพ 9/11 (หน้า 12 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: @Lucifer_Prince@ ที่ 09-11-2013 16:23:22
รุกเข้าไปอีกนะองค์เตช  แล้วก็นะอุตส่าห์สบายๆมาตลอดทั้งตอน  แต่ใครมันบังอาจลอบวางยา  มันต้องเป็นคนที่นิสัยแย่ เหี้ยมโหดมากๆเลยล่ะ(แอบด่ามันเบาๆ)
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 10...อัพ 9/11 (หน้า 12 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 09-11-2013 16:36:52
ท่านสนแกล้งละเมอแต่องค์เตชรู้ทันล่ะสิ
ราชินีถูกลอบวางยาต้องเป็นนังอรุณาแน่เลย ยัยงูพิษ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 10...อัพ 9/11 (หน้า 12 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 09-11-2013 17:16:11
ใครวางยาองค์ราชินี หรือแผนให้รีบแต่งงาน 55555
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 10...อัพ 9/11 (หน้า 12 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: ลิงน้อยสุดเอ๋อ ที่ 09-11-2013 17:25:31
เฮ้ย

อรุณาชัวร์ ฟันธง

คงต้องการใส่ร้ายอนันตราช ใช่ไหม
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 10...อัพ 9/11 (หน้า 12 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 09-11-2013 19:07:26
องค์เตชรู้ทันไปหมดสมกับเป็นเนื้อคู่นะคะ ^^
ขอให้องค์ราชินีปลอดภัยค่ะ (อย่าให้เป็นอย่างที่คิดเลย บาปแย่)
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 10...อัพ 9/11 (หน้า 12 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Heisei ที่ 09-11-2013 19:52:44
จบลงด้วยข่าวร้ายซะงั้น
กำลังจะบอกเลยว่าตอนนี้หวานน้ำตาลขึ้นมากเลยค่ะ
มดกัดยุบยับแล้วค่ะองค์เตช 555
ชอบความหน้าด้านหน้าทน ตะลุยจีบขององค์เตชมาก  องค์สนใจอ่อนเร็วๆนะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 10...อัพ 9/11 (หน้า 12 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: ตัวเลข ที่ 09-11-2013 22:15:47
ท่านแม่องค์สนถูกวางยา ใครเป็นคนทำกันนะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 10...อัพ 9/11 (หน้า 12 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 09-11-2013 22:34:52
องค์สนก็เหมือนรู้ทันแต่ก็ยังคล้อยตามองค์เตช แหม่ กะลังจะหวานกันแท้ ๆ มีเหตุแทรกซะได้
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 10...อัพ 9/11 (หน้า 12 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: june55 ที่ 10-11-2013 00:55:17
มาทิ้งระเบิดให้อยากแล้วจากไป...
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 10...อัพ 9/11 (หน้า 12 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 10-11-2013 07:58:28
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 10...อัพ 9/11 (หน้า 12 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: sam3sam ที่ 10-11-2013 14:36:32
กำลังไปได้สวยดันมีเรื่องมาขัดซะงั้น
ถ้าอรุณาเป็นคนทำแสดงว่านางเกินจะเยียวยาแล้วจริงๆ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 10...อัพ 9/11 (หน้า 12 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 10-11-2013 15:47:46
เรื่องเริ่มยากอีกและ

ไม่อยากจะเดาเรืีองการวางยา เหอ เหอ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 10...อัพ 9/11 (หน้า 12 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 10-11-2013 15:53:58
ใครวางยาอย่าให้รู้นะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 10...อัพ 9/11 (หน้า 12 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: koikoi ที่ 10-11-2013 16:28:09
ใครทำ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 10...อัพ 9/11 (หน้า 12 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: namminzz ที่ 10-11-2013 18:46:16
มาแล้วววววว :กอด1:
ตอนนี้หวานเบาๆ แอร๊ย
ราชินีโดนวางยา อย่าบอกนะว่าอรุณา :katai1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 10...อัพ 9/11 (หน้า 12 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: hewlett ที่ 10-11-2013 20:31:38
องค์สนไม่รอดแน่ สองพี่น้องเขาร่วมหัวกันซะแล้ว
อรุณาร้ายเกิน หมดทางเยียวยาแล้วล่ะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 10...อัพ 9/11 (หน้า 12 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: bobby_bear ที่ 11-11-2013 02:01:22
ใครทำราชินี!!!
คงไม่คิดจะฆ่าใช่ไหมอรุณา
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 10...อัพ 9/11 (หน้า 12 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Lily teddy ที่ 11-11-2013 16:18:05
ตอนนี้น่ารักมาก ๆ องค์เตชรุกองค์สนเต็มที่ น่าจะเกินกว่าที่องค์เจษสอนมาอีกนะเนี่ย
ยิ่งตอนที่บอกว่า “จะกลับไปทุกๆที่ที่ท่านอยู่เพื่อชมพระอาทิตย์กับท่านทุกวัน”  ประโยคนี้แบบกริ๊ดเลยอะซึ้งมากกกก
หยอดเล็กหยอดน้อยแต่ล่ะที เขินเลยอะ ยังไงองค์สนต้องแอบหวั่นไหวบ้างอยู่แล้ว ไม่งั้นคงหนีออกจากตำหนักไปแล้วจริง ๆ แหละเนอะ
แล้วฮากะสองนายบ่าวอุตสาห์คิดแผนเรื่องละเมอ เพื่อแกล้งให้องค์เตชกลัวเหรอ เลยโดนองค์เตชแกล้งกลับซะเลย
แถมขโมยหอมไปหนึ่งทีด้วยอะ อยากให้แต่งกันไว ๆ จังองค์สนจะได้ชินซะที  555
แล้วนั่งยิ้มแก้มปริกับมุขจีบองค์สนขององค์เตชอยู่ดี ๆ ไหง่จบตอนด้วยเรื่องร้ายล่ะเนี่ย
ใครเป็นคนวางยาราชินีเนี่ย องค์หญิงอรุณาจะกล้าขนาดนั้นเลยเหรอ หรือจะได้ใส่ร้ายคนของทางอนันตราชด้วย
อย่างงี้องค์สนต้องรีบแต่งเพื่อเป็นคนของอนันตราชโดยเร็วนะ (เกี่ยวไหม)
ขอให้ราชินีอย่าเป็นอะไรมากเลยนะ  เพราะถึงจะส่งองค์สนจนถึงฝั่งที่ปลอดภัย
แต่การมีราชินีอยู่ยังไงองค์สนก็ต้องรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัยกว่าอยู่แล้ว
เพราะองค์สนยังไม่เปิดใจรับฝั่งที่ปลอดภัยที่ราชินีเลือกให้เลยนี่นะ 
รอติดตามและเป็นกำลังใจให้ผู้เขียนต่อไปจ้า  :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 10...อัพ 9/11 (หน้า 12 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: sukaz ที่ 11-11-2013 20:29:08
เชดเข้แล้วไง

 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 10...อัพ 9/11 (หน้า 12 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: kokoro ที่ 13-11-2013 16:48:25
องค์เตชก็ร้ายไม่เบาหรอก
นี่ถ้าจีบไปเรื่อยๆ องค์สนคงเปลืองตัวอีกเยอะล่ะค่ะ  :z1:

แล้วนั่นใครวางยาราชินี
หวังว่าคงไม่ใช่ลูกตัวเองนะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 10...อัพ 9/11 (หน้า 12 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 05-12-2013 15:41:35
แอบแวะมาดูอีกรอบ ยังไม่อัพ  :katai1: :katai1:
ราชินีนี่ฝีมือพี่สาวรึเปล่า ? หรือวางยาตัวเอง แบบที่คนฉลาดชอบทำ  :katai4:
หัวข้อ: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 11...อัพ 31/12 (หน้า 13 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Dezair ที่ 31-12-2013 11:11:59
ด้วยพันธะบรรณาการ
By: Dezair
……………………..
บทที่ 11



   สนธยาก้าวเดินตามสมิตไปอย่างรีบร้อน เขามีคำถามมากมายเกิดขึ้นในใจ แต่ไม่รู้จะเรียบเรียงคำใดออกมาก่อนดี จุดหมายปลายทางที่สมิตเดินนำมาคือตำหนักรับรองที่ใช้เป็นที่ประทับของราชินีวารีวาทและองค์หญิงอรุณาพร้อมคณะที่มาจากสมุทรา



ทว่า ไม่ทันที่สมิตจะก้าวนำเข้าไปภายใน อังกูรก็เดินออกมาทำให้ทุกคนต้องหยุดอยู่ตรงนั้น



   “องค์ชาย ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้พระองค์และสมิตเข้าเฝ้าโดยด่วนพระเจ้าค่ะ”



   “เข้าเฝ้า?! เดี๋ยวนี้หรือ? แล้วพระอาการของราชินีวารีวาทล่ะ?” องค์ชายเตชินทร์ตรัสถามอย่างสงสัย เพียงแค่เหลือบเนตรลงมองร่างโปร่งข้างกายที่มีสีหน้าไม่สู้ดีเพราะห่วงกังวลเรื่องราชินีวารีวาทแล้ว เขาก็อยากจะติดตามสนธยาไปดูพระอาการของราชินีแห่งสมุทรามากกว่า



   “กระหม่อมจะเป็นคนนำองค์ชายสนธยาเข้าเฝ้าเองพระเจ้าค่ะ เมื่อครู่นี้ก็ให้คนไปตามหมอหลวงแล้ว องค์ชายเตชินทร์รีบเสด็จไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทเถอะพระเจ้าค่ะ” อังกูรกล่าวสำทับอีกครั้ง องค์ชายหนุ่มจึงจำต้องยอมจากไป อังกูรยืนมองส่งเสด็จจนลับสายตาไปแล้ว จึงหันมาทางสนธยาที่ยืนอยู่ที่เดิม



   “เชิญทางนี้พระเจ้าค่ะ”



    ร่างสูงโปร่งขององค์ชายแห่งสมุทรารีบก้าวเดินตามอังกูรอย่างรีบเร่งเข้าไปในตำหนักรับรอง อังกูรเดินนำขึ้นไปชั้นบนซึ่งเป็นห้องบรรทมของราชินีวารีวาท ภายในห้องไม่มีใครอยู่ ทั้งเงียบและเย็นจนสนธยาต้องหันมองอังกูรที่กำลังขยับโคมไฟข้างประตู เพียงชั่วหายใจ พื้นเบื้องหน้าก็ลดหลั่นลงกลายเป็นบันไดนำสู่ห้องลับใต้ห้องบรรทม



   “เสด็จแม่ของเราอยู่ใต้นี้หรือ” สิ้นคำถามนั้น ร่างสูงใหญ่ของอังกูรก็ปราดเข้ามาประชิดพร้อมโปะผ้าบางอย่างลงกับจมูกขององค์ชายสนธยา ร่างโปร่งนิ่งชะงัก แม้จะกลั้นลมหายใจได้อย่างรวดเร็ว แต่ไอระเหยของยาที่ถูกหยดลงบนผ้าจนชุ่มก็ถูกสูดเข้าไปแล้ว ในชั่วพริบตา ร่างที่ขึงเกร็งของสนธยาก็กลายเป็นอ่อนปวกเปียกราวขี้ผึ้งถูกลนไฟ ไร้เรี่ยวแรงจะขืนตัว ไร้ความสามารถจะควบคุม มีเพียงแค่ดวงเนตรเท่านั้นที่กรอกไปมารับรู้ทุกเรื่องราว



   “ทรงอยู่เฉย แล้วทุกอย่างจะเรียบร้อยเอง” อังกูรกล่าวเพียงเท่านั้น ก่อนจะลากร่างของสนธยาลงสู่ห้องลับ และทันทีที่ลับร่างของเขา ประตูกลบนพื้นก็เลื่อนปิดราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น!



…………………………………..



   สนธยากรอกตามองไปรอบกาย ภายในห้องลับใต้ห้องบรรทมของราชินีวารีวาทนั้นค่อนข้างมืดสลัว มีเพียงคบไฟที่อยู่บนฝาผนังคอยให้แสงสีส้ม อากาศเย็นเยียบเพราะถูกก่อด้วยหินหนาแข็งแรง เขาถูกอังกูรลากไปตามทางโดยไม่อาจมีเรี่ยวแรงขัดขืน ในใจได้แต่ร้องถามว่าอังกูรทำเช่นนี้ทำไม?...



   “ลากมาอย่างกับศพ มันตายรึยังล่ะ” เสียงหวานทว่าเต็มไปด้วยความเหี้ยมโหดดังขึ้น สนธยาไม่ต้องเหลือบตามองก็พอจะรู้ว่าเป็นใคร



   “ยังไม่ตายนี่นะ ถ้าเช่นนั้นก็ทิ้งมันลงบนพื้นนั่นล่ะ เราจะให้มันได้ดูละครชั้นเยี่ยมแห่งราชสำนักสมุทรา” อรุณาโผล่หน้าเข้ามาดูใบหน้าของพี่ชายที่ทำได้เพียงแค่กรอกลูกตาไปมาเท่านั้น นางยิ้มแสยะอย่างชอบใจเมื่อเห็นอังกูรทิ้งร่างปวกเปียกลงกับพื้นหินเย็นเฉียบ



   สนธยาหนาวไปถึงไขสันหลัง แม้ร่างกายจะขยับเขยื้อนไม่ได้ แต่กลับรับรู้ความร้อนความหนาวได้อย่างดีเยี่ยม



   “เจ้าเห็นนี่ไหม เสด็จพี่ที่รัก…” อรุณาถามผู้เป็นพี่เสียงหวาน ก่อนจะขยับกายออกเล็กน้อยเพื่อให้สายตาของสนธยาได้เห็นร่างผอมบางของสตรีอีกคนที่นอนอยู่บนตั่งริมผนัง



   สนธยาแทบลืมหายใจ ใต้แสงสลัวสีส้มที่ส่องวูบวาบออกมาจากคบเพลิงที่ติดอยู่บนผนังคือร่างของราชินีวารีวาทนอนหลับตานิ่ง



   “เจ้าพูดไม่ได้ แต่เรารู้ว่าเจ้าจะถามอะไรเรา ‘เสด็จแม่เป็นอะไร’ ‘ใครทำเสด็จแม่’ ‘ทำไมเสด็จแม่ถึงมาอยู่ที่นี่’…หึ! ลูกดีเด่นไม่มีใครเกินเสียจริง!” อรุณากระชากศีรษะของราชินีวารีวาทขึ้นมา ราชินีผู้มีอำนาจสูงสุดของบัลลังก์สมุทราทำได้เพียงกรอกตาไปมาเช่นเดียวกับโอรส



   “เอาล่ะ! ทอดเนตรเสียเพคะเสด็จแม่ โอรสสุดที่รักของพระองค์ที่พระองค์เฝ้าฝันห่วงหาห่วงใยนักหนา อีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า มันจะเป็นคนส่งท่านไปอยู่บนฟ้า” อรุณาพูดแล้วยิ้มเหี้ยมเกรียม เมื่อมองใบหน้าไร้อารมณ์ใดๆของพี่ชาย ทว่าในดวงตาคู่นั้นที่นางทอดสบ นางรู้ดีว่าเขาตกใจเพียงใดกับคำพูดของนาง



   …แต่แล้วจะกลัวอะไรเล่า? นางตัดสินใจดีแล้ว ทุกอย่างต้องจบที่นี่ และต้องจบอย่างที่มีแต่นางเท่านั้นที่เป็นผู้ชนะ!!...



   “ไม่สิ…คนที่จะส่งเสด็จแม่ไปอยู่บนฟ้า ไม่ใช่โอรสยอดรักของพระองค์หรอก ตอนนี้มันนอนนิ่งเป็นผักแบบนี้ จะมีเรี่ยวมีแรงอะไรจับดาบจับมีด แต่เสด็จแม่ไม่ต้องห่วงไปนะเพคะ หม่อมฉันมีมือดีของอนันตราชคอยดูแลการส่งเสด็จสู่สวรรค์ในครั้งนี้” อรุณาทูลเสียงอ่อนเสียงหวานกับผู้เป็นมารดา ก่อนจะปรายตาไปทางอังกูรที่ยืนเงียบราวกับรอคำสั่ง สนธยากรอกตามองไปยังอังกูรอย่างไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด อังกูรจึงกลายเป็นรับใช้อรุณาเช่นนี้



   “เจ้าคงอยากรู้เรื่ององครักษ์ของอนันตราชสินะ ข้าจะบอกอะไรให้ ราชสำนักอนันตราชน่ะ ซื้อง่ายขายคล่องยิ่งกว่าปลายิ่งกว่ากุ้งเสียอีก อังกูรรับใช้ข้าตั้งแต่เจ้ามาที่นี่ แต่ไม่มีโอกาสเหมาะจัดการเจ้าเสียที แต่วันนี้ล่ะ ข้าจะให้โอกาสเขาได้จัดการเจ้าอย่างที่เขาเคยสัญญากับข้าเอาไว้” อรุณาเล่าด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่รีบร้อน ก่อนจะหยิบเอามีดพกขึ้นมาจากเอวของสนธยา



   “มีดเล่มนี้ คือมีดที่เสด็จแม่พระราชทานให้เจ้าในวันครบรอบอายุ 12 ปี ข้าเฝ้ามองมันมาตลอด หวังว่าวันใดวันหนึ่ง ข้าจะได้มันบ้าง แต่จนแล้วจนรอด จนกระทั่งบัดนี้…ข้าก็ยังไม่เคยได้มีดสักเล่มจากเสด็จแม่” สิ้นประโยค อรุณาก็ตวัดสายตาไปยังราชินีวารีวาทด้วยความแค้นอาฆาต



   “เหตุใดหรือเสด็จแม่? เหตุใดข้าจึงไม่เคยได้?! ทำไมถึงมีแต่สนธยาที่ได้ แต่ข้าไม่ได้?!!!”



   ราชินีวารีวาทยังคงมองธิดาองค์โตด้วยสายเนตรเรียบเย็น ไม่มีวี่แววขอโทษหรือเสียใจ ไม่มีวี่แววที่จะทำให้อรุณารู้สึกสงสารหรืออาดูร



   และนางก็ไม่คิดจะสงสารเสียด้วย!!



   ฝ่ามือเล็กตวัดฟาดลงบนซีกพักตร์ของราชินีวารีวาทอย่างแรงจนแม้แต่อังกูรที่ยืนมองยังต้องเหลือกตาด้วยความตกใจ



   “อย่ามองข้าเช่นนั้น!!! จะตายอยู่แล้วยังไม่คิดจะมีความเมตตาให้ข้าสักนิด! ยังคิดว่าข้าเป็นลูกเหมือนที่สนธยาเป็นอยู่ไหม!!!” อรุณาตวาดลั่นใส่ร่างอ่อนระโหยของมารดา ราชินีวารีวาทถูกคุณท้าวสุภาจับศีรษะให้เงยขึ้นสบเนตรกับอรุณาอีกครั้ง เลือดสีแดงไหลซึมที่มุมโอษฐ์ แต่ในดวงเนตรยังคงความเด็ดเดี่ยวเช่นเคย



   …ดวงเนตร…ที่อรุณาเกลียดนักหนาเพราะมันไม่เคยทอดมาที่พระองค์อย่างกรุณา!!!...



   …และพระองค์ก็จะไม่มอบความกรุณาให้กับเจ้าของดวงเนตรนี้เช่นกัน!!!!...



   “อังกูร!!! ฆ่าราชินีวารีวาทและสนธยาซะ!! แล้วจงเอามีดที่เจ้าใช้ยัดใส่มือสนธยา! ละครแห่งราชสำนักสมุทราจะจบลงที่สองแม่ลูกฆ่ากัน ส่วนข้า! จะได้เป็นสตรีเหนือบัลลังก์คนต่อไป!!!” อรุณากรีดเสียงหัวเราะอย่างสาแก่ใจ ยิ่งสบตากับดวงเนตรของราชินีวารีวาทและสนธยาแล้ว นางก็ยิ่งรับรู้ว่าชัยชนะครั้งนี้จะตกถึงมือนางอย่างแน่นอน



   สนธยาได้แต่จับจ้องผู้เป็นน้องด้วยความเจ็บช้ำและโกรธแค้น ไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดอรุณาจึงเป็นได้ถึงเพียงนี้ ฆ่าแม่ ฆ่าพี่ เพียงเพื่อหวังในราชบัลลังก์อย่างนั้นหรือ?!!!



   อังกูรเดินตรงเข้ามาบดบังสายเนตรที่สนธยาทอดมองผู้เป็นน้องสาว ก่อนที่ร่างสูงใหญ่จะลากร่างปวกเปียกของสนธยาขึ้นไปวางบนตั่งข้างวรกายราชินีวารีวาท แล้วจึงหันมากล่าวกับคุณท้าวสุภาที่ยังคบจับวรกายของราชินีแห่งสมุทราให้ตั้งตรง



   “เลือดจะสาดไปถึงท่าน จะนั่งอยู่ตรงนี้ หรือจะหลบไป” เขาตั้งคำถาม คุณท้าวนึกถึงเลือดสีแดงข้นเหลวและคาวแล้วได้แต่ทำหน้าแหยง ก่อนจะปล่อยร่างบอบบางของราชินีวารีวาทลงแล้วรีบเดินออกไปยืนเคียงข้างองค์หญิงอรุณา



   “ฆ่ามันสองคนซะ! อังกูร!!” เสียงของอรุณาสำทับอีกครั้ง อังกูรหันกลับไปมองเจ้าของเสียง ด้วยสายตาเย็นเยือก



   “รับด้วยเกล้า” สิ้นประโยคนั้น มีดในมือของอังกูรก็ถูกปาไปยังร่างบอบบางของอรุณา!


 มันตรงบาดเข้าที่ข้อมือขวาขององค์หญิงแห่งสมุทรา เลือดแดงข้นไหลโกรกลงกับพื้นพร้อมกับเสียงกรีดร้องขององค์หญิงผู้วาดหวังในบัลลังก์ คุณท้าวสุภายกสองมือปิดปากด้วยความตกใจแต่ความตกใจสำหรับนางนั้นมีช่วงเวลาสั้นราวหายใจ เมื่อมีดอีกเล่มถูกปาออกมาจากมืออังกูรตรงมาที่นางอย่างรวดเร็ว!!



   เสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความตกใจดังขึ้น ก่อนจะเงียบลงเมื่อมีดเล่มนั้นปักลงที่กลางอกของคุณท้าวสุภา หญิงร่างผอมแกร็นตาเหลือกทรุดลงคว่ำกับพื้น ขาดใจตายในทันที อังกูรหันกลับไปมองราชินีวารีวาท ก่อนจะค้อมศีรษะลง



   “ตามที่พระองค์มีรับสั่ง ฆ่าให้ตายหนึ่ง ทำให้มือใช้การไม่ได้อีกหนึ่งพระเจ้าค่ะ”



   “ดีมาก” เสียงที่ตอบกลับมานั้นทำเอาอรุณาเหลือกตาโพลงด้วยความตกใจ อังกูรขยับกายถอยออกเล็กน้อยเพื่อให้องค์หญิงแห่งสมุทราได้ทอดเนตรความเป็นจริง



   ราชินีวารีวาทประทับอยู่บนตั่งด้วยแรงของพระองค์เอง ซ้ำยังเป็นผู้ประคองสนธยาให้ทรงตัวได้อีกต่างหาก



   “นี่ท่าน!!!...” อรุณาได้แต่อ้าปากค้าง ครางแทบไม่เป็นประโยค



   “ตกใจอะไรอรุณา ถ้าอยากรู้เรื่องยาที่เจ้าให้ข้าลิ้มลองล่ะก็ ข้าจะบอกความจริงให้ข้อหนึ่ง ข้ารู้แผนการของเจ้าล่วงหน้า และมียาถอนพิษฝังอยู่ใต้ลิ้นของข้า ทันทีที่ข้าได้รับพิษ ข้าก็ได้รับการถอนพิษอย่างทันท่วงทีเหมือนกัน จะเสียก็แต่ ข้าไม่ได้ระวังให้องค์สน ไม่คิดว่าจะเจ้าจะจัดการทั้งข้าและองค์สนพร้อมกันเช่นนี้ จึงประมาทเลินเล่อไปหน่อย” ราชินีวารีวาทตรัสเสียงเรียบเฉย



   “ทหารที่อยู่ข้างนอก เข้ามาได้แล้ว” ว่าแล้ว ราชินีวารีวาทก็มีรับสั่งอีกครั้ง บานประตูที่อรุณาเชื่อว่ามันปิดสนิทจากด้านใน และถูกลงกลอนอย่างดีกลับถูกเปิดเข้ามาอย่างง่ายดาย



   “ท่านสน!...” คนที่นำเหล่าทหารทั้งหลายเข้ามาคือองค์ชายเตชินทร์ ทันทีที่เห็นองค์ชายผู้เป็นนาย อังกูรก็ค้อมกายต่ำทำความเคารพ เตชินทร์เพียงปรายสายเนตรไปยังองครักษ์หนุ่มอย่างคาดโทษ ก่อนจะรีบสาวเท้าก้าวไปหาร่างโปร่งที่ยังคงอ่อนแรง



   “พาองค์สนออกไปจากที่นี่ก่อนเถอะ เรามีเรื่องต้องตกลงกับอรุณาอีกสักหน่อย แพทย์หลวงทั้งหมดไม่ต้องดูแลอรุณา ไปทำการรักษาองค์สนเสีย” ในเมื่อตัดพ้อต่อว่าว่าราชินีวารีวาทไม่มีความปรานีอยู่ในพระทัย พระองค์ก็จะไร้ความปรานีให้ถึงที่สุดเช่นกัน



   ดวงเนตรสีน้ำตาลอ่อนสบดวงเนตรของผู้เป็นธิดา ในขณะที่องค์ชายสนธยาถูกพาออกจากห้องไปแล้ว ภายในจึงเหลือเพียงทหารองครักษ์ของสมุทราที่ติดตามมารับใช้ราชินีวารีวาท อรุณากวาดตามองจนทั่ว แล้วถึงได้เข้าใจก็ตอนนี้ที่เหล่าองครักษ์ที่ติดตามมาอนันตราชในครั้งนี้ ไม่มีคนใดมาจากตำหนักของพระองค์เลย!



   ทหารทุกคนมาจากตำหนักของราชินีวารีวาทและตำหนักขององค์ชายสนธยาที่สมุทรา!!!



   “เมื่อครู่เจ้ากล่าวหาเรา ว่าเราไม่เคยมีความเมตตาต่อเจ้าใช่ไหม อรุณา เราอยากจะแก้ความเข้าใจผิดของเจ้าเสียใหม่ เราไม่เคยไม่เมตตาลูกคนใด ลูกเราทุกคน เราเมตตาเท่ากัน”



   “โกหก!!!!” อรุณาตวาดลั่น หากแต่เมื่อราชินีวารีวาทขยับเข้าใกล้ พระองค์กลับถอยหลังห่าง มือข้างหนึ่งยังคงกุมมืออีกข้างที่เลือดแดงฉานไหลไม่หยุด



   “เราไม่ได้โกหก ดูสิ เราขยับเข้าใกล้เจ้าเพราะหวังจะมอบความเมตตาให้เจ้า เจ้าก็ยังถอยห่างจากเรา อรุณา เจ้าไม่คิดบ้างหรือว่าตัวเจ้าเองคาดหวังความเมตตาจากเราในรูปแบบที่เราให้ไม่เป็น เจ้าเรียกร้องจากเราอย่างโลภมาก เจ้าไม่เคยมองคนอื่น เจ้าสนใจแต่ตัวเจ้าเอง เจ้าไม่เคยโทษตัวเองเลยสักครั้ง”



   “แต่ความเมตตาที่ท่านให้ลูกคนอื่น! ข้าก็ไม่เคยได้!!! ท่านให้มีดสั้นกับสนธยา ข้าก็ไม่เคยได้!! ท่านให้พู่กันแก่ทิวา ข้าก็ไม่เคยได้!! ท่านให้สร้อยมุกกับอุษา ข้าก็ไม่เคยได้!!!”



   “แล้วที่เราให้ตราหยกสลักชื่อแก่เจ้า เราเคยให้ลูกคนอื่นหรือ”



   “เจ้ารู้ไหม ทำไมเราให้ดาบสั้นแก่สนธยา ให้พู่กันหางม้าแก่ทิวา ให้สร้อยมุกแก่อุษา และให้ตราหยกสลักชื่อแก่เจ้า” อรุณานิ่งเงียบ ราชินีวารีวาทได้แต่ส่ายเศียรไปมาอย่างเหนื่อยระอา



   “เจ้าไม่เคยรู้อะไรเลย ไม่เคยพยายามทำความเข้าใจและมองรอบกายตัวเจ้าเลย เราให้ดาบสั้นแก่สนธยา เพราะเขาเป็นทหาร และเราก็อยากให้เขาเป็นทหารรักษาบัลลังก์ เราให้พู่กันหางม้าแก่ทิวา เพราะทิวาชอบขีดชอบเขียน เราอยากให้เขาเป็นอาลักษณ์ข้างบัลลังก์ เราให้สร้อยมุกแก่อุษา เพราะอุษาเป็นธิดาคนเล็ก อีกไม่นานก็ต้องตบแต่งออกไปเป็นสะใภ้ราชสกุลอื่น ไข่มุกคือสิ่งล้ำค่าที่จะทำให้เขานึกถึงสมุทรา ส่วนเจ้า…เราให้ตราหยกสลักชื่อ เพราะหวังว่าวันหนึ่ง เจ้าจะได้ใช้ตรานั้นในการอนุมัติเอกสารบ้านเมือง…”



   …อนุมัติเอกสารบ้านเมือง?...หมายความว่าจะให้บ้านเมืองอยู่ใต้อาณัติของพระองค์อย่างนั้นหรือ?!!!



   อรุณาเนื้อเต้นด้วยความปิติ ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นสบดวงเนตรของราชินีวารีวาท ความปิติในใจก็มลายเหือดอย่างรวดเร็ว



   “น่าเสียดาย…ที่เจ้าไม่เข้าใจความหมายของสิ่งที่เจ้าได้รับเลย เอาแต่เฝ้าใฝ่ฝันถึงของของคนอื่น ไม่เคยดูว่าตัวเองได้อะไร คนแบบเจ้า ไม่ควรได้แตะแม้แต่ฐานของบัลลังก์ด้วยซ้ำ” ราชินีวารีวาทตรัสอย่างเยียบเย็น ก่อนจะเหลือบเนตรไปยังนายทหารผู้หนึ่งที่ห้อมล้อมอารักขาพระองค์ หากแต่อีกบทบาทหนึ่งคือเป็นนายแพทย์ในกองทหาร



   “เวลานี้ ทหารทั้งวังหลวงของอนันตราชคงแห่กันมะรุมมะตุ้มสนธยาที่เจ้าเกลียดนักเกลียดหนา ไม่มีใครมาดูแผลให้เจ้า แต่เราจะใจดีกับเจ้าสักครั้ง โดยท่านเวชา…” ราชินีตรัสอีกครั้ง ก่อนจะผายหัตถ์ไปยังแพทย์หนุ่มที่อยู่ในเครื่องแบบนายทหาร อรุณามองตาม แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆของบทสนทนา แต่นางก็รับรู้ความห่วงหาอาทรที่ผู้เป็นแม่มีให้



   ราชินีวารีวาทขยับองค์ถอยห่างออกมาให้แพทย์หนุ่มนามว่าเวชาได้ก้าวเข้าไปใกล้องค์หญิงอรุณาที่ประทับอยู่บนพื้น เลือดสีแดงฉานไหลเลอะเปรอะไปหมด หากทว่าเมื่อนายแพทย์แห่งราชสำนักสมุทราที่ติดตามมากับขบวนครั้งนี้เพียงแค่แตะลงบนหัตถ์เซีดขององค์หญิงอรุณา เสียงของราชินีวารีวาทก็ดังขึ้น



   “ไม่ว่าจะรักษาได้หรือไม่ได้ ก็ตัดทิ้งเสีย ท่านเวชา มือข้างนั้นของอรุณาก่อกรรมมามากแล้ว” เจ้าของมือที่ถูกวาจาสิทธิ์มีรับสั่งให้ตัดทิ้งถึงกับเบิกตาโพลง



   “เสด็จแม่!!!!” ดวงเนตรของราชินีวารีวาทไม่มีความเอื้ออาทรใดๆอยู่เลย มันเย็นยะเยือกยิ่งกว่าแผ่นหินที่ก่อเป็นห้องลับห้องนี้เสียอีก



   “เราต้องให้ความยุติธรรมกับทุกคน เจ้าทำเราก็แค่เนรคุณบุพการี หากเรื่องไม่แพร่งพราย ก็เป็นแค่เรื่องในครอบครัว แต่ที่เจ้าหวังครอบครองบัลลังก์ สังหารพี่น้อง ละโมบโลภมาก หากเจ้าได้บัลลังก์จริง เจ้าจะสร้างความอัปยศให้แก่สมุทราไม่รู้กี่ร้อยเท่า คนของสมุทราทั้งหมดจะเดือดร้อน และเราจะไม่มีทางลดโทษให้แก่ใครก็ตามที่ทำเรื่องเช่นนั้น! เวชา…ตัดมืออรุณาทิ้ง!!”



ราชินีวารีวาทตรัสเสียงเด็ดขาด ก่อนจะหมุนวรกายเสด็จออกจากห้องอย่างรวดเร็ว ทว่าเสียงกรีดร้องของธิดาองค์โตก็ยังตามมาให้พระองค์ได้ยิน ดวงเนตรสีอ่อนไหววูบด้วยความสงสาร แต่…พระองค์ไม่ได้มีแค่อรุณาคนเดียวที่ต้องสงสาร ทั้งสนธยา ทั้งราชบัลลังก์ ทั้งประชาชนชาวสมุทรา ทุกคนอยู่ใต้ความรับผิดชอบของพระองค์



   “กระทำเช่นนั้น จะไม่ทำให้องค์หญิงอรุณายิ่งอาฆาตมาดร้ายหรอกหรือ” สุรเสียงดังขึ้นใกล้ๆเมื่อราชินีวารีวาทเสด็จขึ้นจากบันไดห้องลับ



   สตรีผู้สูงศักดิ์แห่งสมุทราเพียงแค่สรวลน้อยๆที่มุมปาก



   “ต่อให้ไม่ทำเช่นนั้น เขาก็อาฆาตมาดร้ายอยู่แล้วเพคะ ตัดมือเขาวันนี้ อย่างน้อยก็เป็นการให้ความยุติธรรมกับสนธยาที่ถูกอรุณาหมายชีวิตมาตลอด แม้ว่ามัน…จะเป็นความยุติธรรมที่อำมหิตมากเหลือเกินก็ตาม” ราชินีวารีวาทหันมาตรัสกับกษัตริย์วิภูที่ได้แต่ถอนปัสสาสะอย่างเห็นพระทัย



   “ห้องลับข้างใต้คงจะเปรอะเลือดมากเสียหน่อย แต่สมุทราจะเก็บกวาดอย่างดีไม่ให้มีแม้แต่กลิ่นคาวเพคะ และทันทีที่อรุณาสามารถเดินทางได้ หม่อมฉันจะรีบกลับสมุทรา ส่วนสนธยา…คงต้องให้อยู่ในความดูแลของโอรสของท่านไปจนกว่าจะถึงพิธีเสกสมรส”



   “แม้องค์หญิงอรุณาจะไม่อาจครองบัลลังก์ได้แล้ว แต่องค์ชายสนธยาก็ยังไม่อาจกลับสมุทราได้หรือ” กษัตริย์วิภูตรัสถาม และนั่นทำเอาราชินีวารีวาทได้แต่หลับเนตรลงอย่างอ่อนล้า



   “ไม่ได้เพคะ…ให้อย่างไรเขาก็กลับไม่ได้…เขา…เหมาะสมกับบัลลังก์สมุทรามากเกินไปจนอาจจะเป็นภัยต่อชีวิตของเขาเอง หม่อมฉันเสียมือของธิดาไปคนหนึ่งแล้ว ไม่อาจทำใจยอมรับการสูญเสียชีวิตของลูกคนใดได้อีกแล้วเพคะ”



   กษัตริย์วิภูได้แต่พยักพักตร์รับรู้ บางครั้ง คนที่ขึ้นครองบัลลังก์อาจไม่ใช่คนที่เหมาะสมที่สุด อาจไม่ใช่คนที่ดีที่สุด แต่เป็นตัวเลือกที่ควรจะเลือกมากที่สุดสำหรับการปกครอง



   “ถ้าเช่นนั้นก็วางใจเถอะ อนันตราชจะรับเขาเอาไว้เอง” ราชินีวารีวาทย่อองค์ลงแทนคำขอบคุณที่มีแก่กษัตริย์แห่งอนันตราชที่ให้ที่พักพิงแก่โอรสของพระองค์



…………………………………   

>>หน้าต่อไปค่ะ>>
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 11...อัพ 31/12 (หน้า 13 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Dezair ที่ 31-12-2013 11:12:31
ร่างกายเมื่อยขบไปหมดทุกส่วนราวกับถูกจับยืดแขนยืดขา สนธยากรอกตามองไปมา รอบกายของตนคือแพทย์หลวงแห่งอนันตราชที่สลับสับเปลี่ยนกันมาดูแลอาการแทบทุกชั่วขณะหายใจ และหนึ่งคนที่ไม่ได้มีความรู้ด้านยาใดๆที่เสนอหน้ามาบ่อยๆก็คือเตชินทร์



   สนธยาอยากยิ้มขำที่เห็นรายนั้นขยันชะเง้อหน้าผ่านไหล่เหล่าแพทย์หลวงมาดูอาการของเขา หากแต่ชะเง้อครั้งใดเป็นต้องถูกคุณท้าวเอิบดุเสียทุกที แม้ร่างกายจะยังขยับไม่ได้ แต่หูของสนธยาได้ยินชัดทุกคำพูดของแม่นมร่างอวบที่แลดูจะห่วงใยเขาไม่ต่างจากเตชินทร์เสียเท่าไหร่



   “ทำไมถึงได้ซนเช่นนี้เพคะองค์เตช! หม่อมฉันทูลแล้วว่าให้ประทับตรงนี้ จะเตร่ไปเตร่มาสร้างความเกะกะให้ท่านหมอหลวงทำไม!”



   สนธยากะพริบตาผ่านไปห้าครั้ง เสียงของคุณท้าวเอิบก็ดังขึ้นอีก



   “เอ๊! องค์เตชนี่กระไร! หม่อมฉันทูลกี่รอบแล้วเพคะว่าอย่าไปขัดขวางการทำงานของท่านหมอหลวง”



   และพอสนธยากะพริบตาอีกสิบครั้ง เสียงของคุณท้าวเอิบก็ดังขึ้นมากกว่าเดิม



   “องค์เตช!! หม่อมฉันทูลว่าอย่าเสด็จไปใกล้เตียงอย่างไรล่ะเพคะ!! ไม่อยากให้องค์สนหายดีหรืออย่างไรถึงไปทรงวุ่นวายกับท่านหมอหลวง!!!”



   พอถูกดุและอ้างอิงมาถึงสนธยา เตชินทร์ก็ยอมหายไปจากสายตาของสนธยาแต่โดยดี ทว่าเมื่อร่างโปร่งที่นอนนิ่งขยับไปไหนไม่ได้อยู่บนเตียงถูกพลิกให้นอนตะแคงเพื่อให้แพทย์หลวงตรวจแผ่นหลัง เตชินทร์ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้มุมห้องก็กลับมาอยู่ในสายตาอีกครั้ง



   และครั้งนี้ ดวงตาของพวกเขาทั้งคู่สบกันนิ่งนาน



   …ทำไมหนอ…ทำไมเตชินทร์ถึงห่วงใยเขาถึงเพียงนี้ จะว่าเคยพบหน้าค่าตากันมาก่อน และตอนนี้กลายเป็นคู่หมายกันแล้ว แต่ก็ไม่เห็นว่าสนธยาคนนี้ที่กลายเป็นองค์ชายพลัดถิ่นจะมีดีมีเด่นตรงไหนให้ห่วงหาอาทรเลยสักนิด…



   “พยายามขยับโอษฐ์พระเจ้าค่ะ ถ้าทรงออกเสียงเป็นคำได้จะยิ่งดี” แพทย์หลวงที่คอยตรวจอาการทูล สนธยาจึงพยายามขยับริมฝีปาก ทว่ามันยากเย็นเหลือแสน เขาจับจ้องดวงเนตรสีดำสนิทของเตชินทร์ราวกับมันมีพลังบางอย่างที่ทำให้พระองค์เข้มแข็งและลุกขึ้นสู้



   สนธยาลองขยับและเปล่งเสียงอีกหน มีเสียงลมเบาๆออกมาจากปากเขา



   “ลองอีกนิดพระเจ้าค่ะ ตรัสให้เป็นคำพระเจ้าค่ะ” หมอหลวงหลายคนเงี่ยหูฟังเพื่อสังเกตอาการที่ดูเหมือนจะดีขึ้นกว่าที่คิด



   “…เ…ช…”



   “อีกนิดพระเจ้าค่ะ อีกนิด”



   “…เต…ช…” ราวกับห้องทั้งห้องเงียบเพื่อรอฟังคำพูดแรกหลังจากถูกพิษ และเพราะห้องนั้นเงียบจนเสียงแผ่วเบาของสนธยาก็ยังไปถึงหูของคนที่นั่งอยู่ไม่ไกล



   เตชินทร์ไม่อาจรออีกแล้ว เขารีบลุกขึ้นปราดเข้ามานั่งข้างเตียงทันที



   “ท่านสน เราอยู่นี่…”



   “ท…เ…ตช…”



   “เราอยู่ตรงนี้ และจะไม่ปล่อยท่านให้คลาดสายตาอีกแล้ว” หัตถ์ใหญ่หนาลูบศีรษะสนธยาด้วยความรักความอาทร หากทว่าสนธยาทำได้เพียงแค่ทอดมองใบหน้าของอีกฝ่าย ทั้งที่มีเรื่องมากมายอยากจะพูดแท้ๆ มีเรื่องมากมายอยากจะถาม แต่เวลานี้…แค่เรียกชื่ออีกฝ่ายยังยากเหลือทน…



   “อ…อังก…กูร…” สนธยาทำได้เพียงเรียกชื่อของคนที่เขาอยากรู้ความเป็นไป



   “เราสั่งจำคุกไปแล้ว” แม้เสียงจะไม่เหี้ยมโหด แต่สนธยาก็พอจะจับน้ำคำได้ว่าเตชินทร์โมโหองครักษ์ของตนอยู่ในที



   “ท…ทำไม…”



   “อังกูรไม่ทำตามคำสั่งเรา เรากำชับนักหนาว่าห้ามให้ท่านมีอันตราย แต่ก็ยังขัดขืน” แม้จะรู้ดีแก่ใจว่าที่อังกูรทำนั้น ก็เพื่อให้ทุกอย่างลุล่วงและสำเร็จเสร็จสิ้นโดยดี แต่พอเตชินทร์มองเห็นสนธยาได้แต่นอนนิ่งบนเตียงแล้วก็นึกเคืองนึกโกรธอังกูรไม่น้อย



   “ข…เขา…ท…ทำเ…พื่อเ..รา…” สนธยาเอ่ยอย่างยากลำบาก ดวงเนตรที่จับจ้องใบหน้าของเตชินทร์นั้นเต็มไปด้วยความอ้อนวอน



   “เรารู้ท่านสน เรารู้ว่าอังกูรพยายามที่จะให้ท่านเป็นอันตรายน้อยที่สุดแล้ว…แต่…” ทว่าเมื่อเขาสบตากับดวงตาของสนธยาที่มีแววเว้าวอนให้ยกโทษอังกูร เตชินทร์ก็ได้แต่ใจอ่อนถอนหายใจอย่างยินยอม



   “เอาเถอะ แล้วเราจะพิจารณาลดโทษให้อังกูร แต่ท่านต้องรีบหายดีโดยไว” สนธยายิ้มบางแทนคำตอบ ก่อนจะหลับตาลงอย่างอ่อนล้า ยาพิษช่างร้ายแรงนัก มันทำให้ร่างกายไร้ความสามารถในการขยับเขยื้อนและเหนื่อยล้าจนแทบทนไม่ไหว



   เตชินทร์มองคนที่กำลังหลับตาด้วยความสงสาร ก่อนจะก้มลงแนบริมฝีปากลงกับข้างขมับอย่างอ่อนโยนแล้วกระซิบแผ่ว



   “พักผ่อนเสียเถอะ วันนี้ท่านพบเจอเรื่องราวมากมายเหลือเกิน…” ราวกับนิทานขับกล่อมก่อนนอน องค์ชายหนุ่มแห่งอนันตราชแนบปรางค์อุ่นลงกับขมับของสนธยา แล้วขับขานทำนองในลำคอเกิดเป็นเสียงดังแผ่วที่กล่อมสนธยาลงสู่นิทราอย่างรวดเร็ว


…………………………………….




   เสียงประตูซี่เหล็กถูกเลื่อนเปิดดังขึ้น ทว่าไม่ได้ทำให้นักโทษหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่นั่งอยู่ในห้องให้ความสนใจจะหันไปมองเลยแม้แต่น้อย ร่างสูงโปร่งขององครักษ์ในองค์ชายสนธยาก้าวเดินเข้าไปภายใน ก่อนที่นายทหารคุมคุกหลวงจะเลื่อนประตูปิดดังเดิม



   “ข้าเป็นตัวแทนของราชสำนักสมุทรา มาที่นี่เพื่อสอบถามเรื่องทั้งหมด” ชีวินเอ่ยเสียงเรียบ อังกูรจึงยอมหันมอง เบื้องหลังขององครักษ์หนุ่มแห่งสมุทรานั้นคือนายทหารของสมุทราที่มาพร้อมกับกระดาษและปากกาขนนกสมกับที่บอกกล่าวไว้เมื่อครู่ว่าจะมาสอบถาม



   ส่วนทหารแห่งอนันตราชน่ะหรือ…นอกจากอังกูรที่อยู่ในคุกแล้ว นอกคุกก็มีแค่สมิตยืนกอดอกสายตาเพ่งมองตรงมาที่เพื่อนรักร่วมสายทหาร แม้จะยืนนิ่ง แต่สายตาที่ส่งผ่านนั้นบอกอังกูรได้เป็นอย่างดีว่าสมิตห่วงใยเพียงใด



   “มีอะไรก็ถามมา” อังกูรตอบเสียงเรียบ ราวกับไม่สนใจว่าสภาพรอบกายของตนในเวลานี้จะเป็นคุกหลวงที่แสนอับทึบและชื้นเย็น



   ชีวินทรุดกายลงนั่งบนตั่งฝั่งตรงกันข้าม พร้อมด้วยนายทหารที่มีทั้งกระดาษและปากกาขนนกพร้อมด้วยน้ำหมึก



   “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับบัลลังก์ของสมุทรา อยากให้ท่านทำความเข้าใจว่าหากแพร่งพรายไปถึงใครคนอื่น ท่านจะไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้อีก”



   “เข้าใจดี” อังกูรตอบเรียบตามนิสัย



   “องค์หญิงอรุณาติดต่อกับท่านอย่างไร และเมื่อไหร่”



   “มีนกตัวหนึ่งบินเข้ามาที่บ้านข้าทุกเช้า พร้อมกับสาสน์ผูกข้อเท้า ตั้งแต่ข้าตามเสด็จองค์ชายเตชินทร์ประพาสที่สมุทรา ข้าได้รู้จักกับองค์หญิงอรุณา และนับจากนั้นเรื่อยมา องค์หญิงก็ให้คนติดต่อข้ามาโดยตลอด”



   “ท่านรู้ถึงความปรารถนาขององค์หญิงอรุณาหรือไม่”



   “รู้”



   “องค์หญิงอรุณาทรงประทานสิ่งใดให้ท่านเป็นการตอบแทน”



   “ทอง และทรงสัญญาว่าถ้าได้ครองบัลลังก์สมุทรา จะให้ข้าขึ้นเป็นราชาเคียงข้างพระองค์” ชีวินนิ่งชะงักไปในทันที เขาสบตาอังกูรก็พอรับรู้ว่านอกจากทองแล้ว อาจมีบางอย่างที่องค์หญิงอรุณา ‘ลักลอบ’ ประทานให้อังกูรด้วยเช่นกัน



   “แล้ว…แล้ว…ใครเป็นคนจัดหายาพิษที่ใช้ในครั้งนี้”



   “ข้าไม่รู้ ข้าได้รับมาจากคุณท้าวสุภาอีกทีหนึ่ง”



   “แล้วกับราชินีวารีวาท เจ้าได้รับการติดต่อจากพระองค์ตั้งแต่เมื่อไหร่”



   “ก่อนที่องค์ชายสนธยาจะเสด็จมาที่อนันตราช ข้าถูกเรียกให้เข้าพบราชินีวารีวาทที่สมุทรา ข้าทูลพระองค์เรื่ององค์หญิงอรุณา นับแต่นั้น ราชินีวารีวาทก็มีรับสั่งให้ข้าคอยดูแลองค์ชายสนธยาอีกทอดหนึ่ง แต่ก็ไม่ให้ทิ้งเรื่องที่เป็นสายให้แก่องค์หญิงอรุณา”



   “เรื่องนี้องค์ชายเตชินทร์ทรงทราบหรือไม่”



   “ข้าตอบเฉพาะเรื่องของสมุทรา ไม่ตอบเรื่องของอนันตราช” อังกูรตอบเรียบ ชีวินพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ก่อนจะถามไปอีกเรื่อง



   “นอกจากองค์หญิงอรุณาแล้ว ท่านพอจะรู้เห็นเรื่องผู้สมคบกับพระองค์หรือไม่”



   “เท่าที่เห็น ก็มีแค่คุณท้าวสุภา ส่วนพวกที่เป็นทหารก็แค่ทหารรับจ้าง”



   “องค์หญิงอรุณาเคยแสดงอาการมาดร้ายต่อเชื้อพระวงศ์อื่นๆอีกหรือไม่”



   “ทุกพระองค์” เป็นอีกครั้งที่ชีวินได้แต่นิ่งเงียบ เขาหันกลับไปสบตานายทหารที่ทำหน้าที่จดบันทึกด้วยเพราะสองจิตสองใจไม่รู้จะจดดีหรือไม่



   …แต่…ต่อให้ไม่จด เรื่องนี้ก็พอจะคาดเดาได้อยู่หรอก…ไม่ว่าใครก็ตามที่ขวางการครองบัลลังก์ขององค์หญิงอรุณา คนผู้นั้นล้วนถูกกำจัดทั้งสิ้น…



   “หลังจากที่ท่านได้รับยาพิษที่ใช้ในครั้งนี้จากคุณท้าวสุภาแล้ว ท่านทำอย่างไรต่อ”



   “ข้าลอบส่งข้อความไปทูลราชินีวารีวาทเรื่องยาพิษและแผนการ พร้อมด้วยตัวอย่างพิษจำนวนหนึ่ง ตอนที่วางยาราชินีวารีวาทนั้น พระองค์ทรงเตรียมการเรื่องยาถอนพิษไว้แล้ว และหลังจากพาราชินีวารีวาทลงห้องลับแล้ว องค์หญิงอรุณามีรับสั่งให้ข้าไปบอกสมิต เพราะรู้ว่าสมิตจะต้องไปตามองค์ชายสนธยา จากนั้นก็ให้ข้าทำทีเป็นว่ามีรับสั่งด่วนจากกษัตริย์วิภูเพื่อดึงองค์ชายสนธยามาเพียงลำพัง แล้วจึงค่อยวางยาพาลงไปยังห้องลับ”



   “ภายในห้องลับ มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง”



   “องค์หญิงอรุณามีรับสั่งให้ข้าสังหารราชินีวารีวาท แล้วให้สังหารองค์ชายสนธยาต่อ จากนั้นจึงค่อยนำมีดใส่ในหัตถ์องค์ชาย เพื่อจัดฉากว่าเป็นการฆาตกรรมราชินีวารีวาทแล้วฆ่าตัวตายตาม”



   “แล้วท่านทำเช่นไรต่อไป”



   “ข้าสังหารคุณท้าวสุภาแทน และทำให้องค์หญิงอรุณาใช้ข้อหัตถ์ไม่ได้”



   ชีวินรับฟังอย่างสงบ แม้จะเป็นเรื่องของราชวงศ์สมุทรา ทว่ามันเป็นโศกนาฏกรรมในครอบครัวที่น่าสังเวชใจเหลือเกิน…พี่น้องฆ่ากัน ลูกฆ่าแม่ เพียงเพราะต้องการสิ่งที่แม่มีและกังวลว่าสิ่งนั้นจะตกถึงมือคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเอง…



   “ขอบคุณท่านมาก” ชีวินลุกขึ้นโค้งกายทำความเคารพทั้งที่ตนเองก็มีตำแหน่งเป็นองครักษ์เช่นเดียวกัน อังกูรเพียงแค่พยักหน้ารับ ด้วยรู้ดีว่าที่อีกฝ่ายทำความเคารพเขานั้น คือการเคารพที่เขาช่วยเหลือสมุทรา



   ชีวินและทหารจากสมุทราเดินออกจากห้องขังไปแล้ว สมิตก็รีบโผเข้ามาหาทันที



   “เดี๋ยวสิ!! พาอังกูรออกมาด้วย!!!”



   “เรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในความสามารถของข้า” ชีวินตอบเสียงเรียบ



   “หมายความว่ายังไงน่ะ!! อังกูรช่วยเหลือสมุทราไม่ใช่หรือ!!”



   “แต่คนที่สั่งขังท่านอังกูรไม่ใช่สมุทรา เพราะฉะนั้นสมุทราไม่มีอำนาจใดๆในสิ่งที่ท่านร้องขอ” องครักษ์แห่งสมุทรากล่าวเช่นนั้น ก่อนจะก้าวเดินออกจากคุกไป สมิตได้แต่อ้าปากค้าง ก่อนจะถลาไปที่ซี่เหล็กลูกกรง ซึ่งเบื้องหลังซี่กรงเหล่านั้นคืออังกูรเพื่อนรักของเขาเอง



   “เจ้าดูพวกสมุทราสิอังกูร!!! ทำคุณได้โทษชัดๆ!!!”



   “เขาพูดถูกของเขา สมุทราไม่ได้มีอำนาจใดๆในคุกของอนันตราช”



   “ถ้าเช่นนั้นก็ต้องขอจากอนันตราช!...แต่…แต่องค์เตชมีรับสั่งให้ขังเจ้า…” สมิตคิดไม่ตก หัวคิ้วขมวดเข้าหากันอย่างเคร่งเครียด ในขณะที่อังกูรกลับนั่งเงียบด้วยท่าทีผ่อนคลายราวกับไม่มีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจใดๆ



   “จริงสิ!! องค์ชายสนธยา!! ข้าจะไปทูลองค์ชายสนธยาให้ปล่อยเจ้า! รอหน่อยนะอังกูร!!!” สมิตรีบร้อนอย่างตื่นเต้น ด้วยเพราะเห็นแววว่าจะช่วยเหลือเพื่อนได้ แต่ก็ไม่วายต่อว่าต่อขานใครบางคนที่แม้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง แต่ก็ทำตัวได้น่าหมั่นไส้เหลือเกิน



   “ส่วนเจ้าชีวินนั่น! รอก่อนเถอะ!! ใช้งานเพื่อนข้าเสร็จแล้วถีบหัวส่งเช่นนี้ เดี๋ยวได้เห็นดีกัน!!”



………………………………….   
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 11...อัพ 31/12 (หน้า 13 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Dezair ที่ 31-12-2013 11:12:53
เพียงแค่วันรุ่งขึ้น สนธยาก็สามารถลุกขึ้นนั่งได้ แม้สองขาจะยังอ่อนแรงจนไม่อยากขยับก็ตามที เช้านี้ร่างโปร่งนั่งบนเตียง มีคุณท้าวเอิบจัดแจงยกโต๊ะเล็กขึ้นกางคร่อมตักสำหรับวางอาหารมื้อเช้าที่นางคัดสรรมาอย่างดี



   “วันนี้เป็นข้าวต้มร้อนๆนะเพคะ”



   “ขอบใจมาก คุณท้าว”



   “องค์เตชมีรับสั่งว่าจะรีบเสด็จมาทันทีที่งานเรียบร้อย เมื่อวานนี้ไม่ได้ทรงงานเป็นชิ้นเป็นอันเพราะมัวแต่ห่วงพระองค์นะเพคะ” คุณท้าวเอิบจัดการยกหางองค์ชายของตัวเองเรียบร้อย แต่การที่นางพูดถึงเรื่องเมื่อวาน ความทรงจำสุดท้ายก่อนที่จะเข้าสู่นิทราโดยมีเสียงเพลงขับกล่อมจากคอของใครบางคน



   …ใครบางคน…ที่เวลานี้กลับทำให้หัวใจของสนธยาชุ่มชื้นเหลือเกิน…



   “ราชินีวารีวาทเสด็จเพคะ” นางกำนัลรับใช้คนหนึ่งเดินเข้ามาทูลที่ข้างแท่นบรรทม และเพียงครู่เดียว ประตูห้องบรรทมของสนธยาก็ถูกเปิดออก สนธยาส่งยิ้มให้ผู้เป็นมารดาที่เสด็จตรงมาหาเพราะไม่อาจลุกขึ้นทำความเคารพได้อย่างทุกที



   “ขอพระราชทานอภัย กระหม่อมยังลุกเดินไม่สะดวก…” ราชินีวารีวาทเพียงแค่แตะไหล่โอรสอย่างแผ่วเบาและรอยสรวลบางที่มุมโอษฐ์



   “ไม่ต้องคิดมาก องค์สน แล้วนี่เป็นอย่างไรบ้าง ดีขึ้นบ้างไหม”



   “ดีขึ้นแล้วพระเจ้าค่ะ แต่แค่ยังใช้ขาไม่ได้เท่านั้น เห็นท่านหมอหลวงบอกว่า พรุ่งนี้น่าจะลุกขึ้นเดินได้แล้ว” ราชินีวารีวาทประทับลงบนพระเก้าอี้ที่นางรับใช้ยกมาถวายข้างเตียง ขณะที่ทอดเนตรพักตร์ซีดเซียวของโอรส ทว่าก็ยังดูดีกว่าเมื่อวานมากนัก



   “เสด็จแม่…แล้ว…อรุณา…” แม้จะเป็นน้องที่ไม่เคยมีความปรารถนาดีต่อเขา แต่สนธยาก็อดถามไถ่ถึงความเป็นไปไม่ได้ ด้วยเพราะก่อนที่จะถูกพาออกจากห้องลับนั้น อรุณาก็ถูกมีดบั่นเข้าที่ข้อมือจนเลือดไหลโกรก



   ราชินีวารีวาทนิ่งไปเล็กน้อย หากเอ่ยว่าอรุณาเพียงแค่บาดเจ็บ อาจจะยังสร้างความกังวลไม่สิ้นสุดให้แก่สนธยา


   “ขอเราอยู่เพียงลำพังกับโอรสของเรา” ราชินีแห่งสมุทราตรัส ก่อนจะเงียบลงเพื่อรอคอยให้นางกำนัลและนายทหารทั้งหลายออกจากห้องไป เมื่อภายในห้องเหลือเพียงพระองค์และสนธยาแล้ว ราชินีวารีวาทจึงเหลือบเนตรกลับมาสบเนตรโอรส


   “อรุณาสิ้นแล้ว”



   สนธยาชะงัก ดวงเนตรสีอ่อนส่อแววเศร้าและเสียดาย ต่อให้ไม่รักใคร่กันเสียเท่าไหร่ แต่สนธยาก็มองอรุณาเป็นน้องเสมอ



   “อย่างนั้นหรือพระเจ้าค่ะ” เขาได้แต่ถามเสียงเบาอย่างใจหาย ชีวิตของอรุณาไม่น่าจะสั้นถึงเพียงนี้เลย ถ้าไม่ใช่เพราะความละโมบโลภมากเหล่านั้น



   “แม่ให้ทหารส่งข่าวกลับไปที่สมุทราแล้ว เพื่อให้ทางนั้นประกาศเรื่องอรุณาสิ้นเพราะเจ็บป่วย และมีกำหนดไว้ทุกข์สามเดือน”



   “นาง…สิ้นอย่างสงบหรือไม่ เสด็จแม่” สนธยาถาม แม้ความหวังจะมีเพียงเล็กน้อยก็ตามที ภาพสุดท้ายที่เขาเห็นคือมือของอรุณาชุ่มไปด้วยเลือด ใบหน้านางขาวซีดและเหยเกอย่างเจ็บปวดทรมาน



   “ไม่สงบเท่าไหร่ แต่นางก็ไปแล้ว และจะไม่มีโอกาสทำการใดได้อีกต่อไป” โอรสได้แต่พยักหน้ารับรู้อย่างปลงตก สุดท้ายแล้วอรุณาก็จากไปโดยที่ไม่อาจครอบครองในสิ่งที่เอื้อมคว้ามาตลอด



   “แล้วเสด็จแม่จะเสด็จกลับเมื่อไหร่พระเจ้าค่ะ”



   “มะรืนนี้ แต่องค์สนไม่ต้องกลับไปหรอก อยู่ที่นี่รักษาตัวให้แข็งแรงเถอะ ไว้แม่จัดการเรื่องที่สมุทราเรียบร้อย จะให้คนแจ้งมา” สนธยาได้แต่นิ่งเงียบ พระองค์เป็นโอรสองค์โต แม้จะไม่มีสิทธิ์สืบสันตติวงศ์ แต่เมื่อสิ้นใครสักคนในราชวงศ์ พระองค์ก็ควรจะได้ช่วยแบ่งเบาภาระของเสด็จแม่ ทว่า…เพราะอีกไม่นานจะต้องสละฐานันดรทุกอย่างของสมุทรา หัตถ์ของสนธยาจึงไม่อาจทำสิ่งใดได้อีก



   …ไม่ต่างกับตายไปจากราชสำนักสมุทรา หากอรุณาตระหนักในข้อนี้ บางทีนางอาจจะไม่ลงมือ เพียงแค่รอคอยเวลาก็เท่านั้น…ทว่า…นางใจร้อนเกินไป นางละโมบโลภมากเกินไป อรุณาอดทนมานาน แต่…ในเมื่ออดทนมานาน เหตุใดจึงไม่อดทนต่อไปอีกสักนิดเล่า อีกไม่ช้า นางจะได้แทนที่เขา…ที่สมุทราจะไม่มีองค์ชายสนธยา จะมีก็แค่องค์หญิงอรุณาและขนิษฐากับอนุชาที่ยังไม่เต็มวัยดี…



   …อะไร…ทำให้นางรีบร้อนถึงเพียงนี้ ทันทีที่เหยียบอนันตราช นางกลับทำทุกทางเพื่อกำจัดเขา…



   สนธยานิ่งคิดตรึกตรองจมอยู่ในภวังค์จนลืมแขกที่มาเยี่ยมเยียน ราชินีวารีวาททอดเนตรโอรสที่ดูเหมือนจมจ่อมอยู่ในความคิด จึงออกโอษฐ์



   “ถ้าเช่นนั้น แม่ไม่รบกวนแล้ว พักผ่อนเสียเถอะ”



   “เสด็จแม่…” โอรสองค์โตทูลแทรก พร้อมกับเงยพักตร์ขึ้นสบเนตรสีอ่อนจางเฉกเช่นเดียวกับตน



   “…เสด็จแม่เคยมีดำริที่จะยกบัลลังก์สมุทราให้แก่อรุณาบ้างหรือไม่พระเจ้าค่ะ” ผู้ดำรงตำแหน่งราชินีแห่งสมุทรานิ่งไปเล็กน้อย สายเนตรไหววูบ ก่อนจะเบือนออกไปทางอื่น



   “อรุณาเป็นธิดาองค์โต ตามกฎมณเฑียรบาลแล้ว นางจะต้องได้ขึ้นครองราชย์ต่อจากแม่” ราชินีวารีวาทตรัสเสียงเรียบ ก่อนจะเหลือบเนตรกลับมาสบเนตรของโอรส



   “…แต่น่าเสียดาย…ที่นางไม่ใช่ธิดาแท้ๆของแม่”



   สนธยาชะงักจนแทบลืมหายใจ ดวงเนตรสีอ่อนจางเต็มไปด้วยความตกตะลึงพรึงเพริศที่ได้รู้เรื่องที่ไม่เคยรู้



   “…อรุณา…ไม่ใช่สายเลือดของราชสำนักสมุทรา องค์สน…นางไม่ใช่”



   …อรุณาไม่ใช่พี่น้องร่วมสายเลือด นางไม่ควรได้เป็นถึงองค์หญิงเสียด้วยซ้ำ และในเมื่อเป็นเช่นนั้น…นี่อาจเป็นวิธีเดียวที่จะตัดสัมพันธ์นางออกจากราชสำนักสมุทรา!!!...



   “และในเมื่อนางไม่ใช่…นางก็ไม่ควรได้นั่งบัลลังก์ของสมุทรา” ราชินีวารีวาทตรัสย้ำ ราวกับประกาศเจตนารมณ์แน่ชัดว่าอรุณาไม่เคยมีโอกาสที่จะได้ขึ้นครองราชย์เหนือแผ่นดินสมุทรา



   …บางที…ที่สนธยามาที่นี่ในฐานะผู้นำขบวนบรรณาการมาถวายอนันตราชอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการกระชากอรุณาเข้ามาสู่กงล้อโชคชะตาที่จะพัดพานางออกไปจากสมุทรา…และผู้หมุนกงล้อนั้นก็มีเพียงผู้เดียว…



   …ราชินีวารีวาท สตรีผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเจ้าเล่ห์เพทุบายที่สุดบนแผ่นดิน!!!!...



ติดตามตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 11...อัพ 31/12 (หน้า 13,14 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 31-12-2013 12:38:29
โอ้ มันช่างเป็นเรื่องที่ซับซ้อนจริงๆ
พี่บัวหายไปนานเลย
ดีใจที่มาต่อนะคะ อิอิ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 11...อัพ 31/12 (หน้า 13,14 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 31-12-2013 13:10:42
อึ้งกันไป ที่แท้อรุณาไม่ใช่ลูกนี่เอง
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 11...อัพ 31/12 (หน้า 13,14 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: jinjin283 ที่ 31-12-2013 13:13:17
ว้าว พอมองจากฝั่งองค์สน ก็น่าคิดนะเนี่ย
ใครชักใยอบู่เบื้องหลังกันแน่อ่า หรือจริงๆ คือราชินีอ่า ช็อกเล็กๆ
ปล สุขสันต์วันปีใหม่นะคะ ขอให้คุณ คนเชียนมีสุขภาพแข็งแรง ^^
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 11...อัพ 31/12 (หน้า 13,14 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 31-12-2013 13:44:56
วู้ฮู้! คุณบัวมาส่งท้ายปีเก่า!  อย่างยาวอีกต่างหาก ^^ ขอบคุณมากค่ะ
ขอไปอ่านก่อนเดี๋ยวกลับมาใหม่ค่ะ

..................................

อำนาจไม่เข้าใครออกใครจริงๆ แต่องค์ราชินีเหมือนจะยังมีแผนการในใจอีกสักอย่าง

สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้าค่ะคุณบัว  :mc4:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 11...อัพ 31/12 (หน้า 13,14 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: greenapple ที่ 31-12-2013 13:46:33
ไม่ใช่ลูกนี่เอง
ถึงว่าดูโหดผิดมนุษย์ :ling2:
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 11...อัพ 31/12 (หน้า 13,14 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 31-12-2013 13:51:27
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 11...อัพ 31/12 (หน้า 13,14 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Lily teddy ที่ 31-12-2013 15:02:03
เหมือนทุกอย่างจะคลี่คลาย แต่ดูแล้วน่าจะยังมีเบื้องหน้าเบื้องหลังอะไรซ่อนอยู่แน่ ๆ (ล่ะมั่ง)
ถึงจะโดนสั่งตัดมือแต่องค์หญิงอรุณาถึงกะตายไปแล้วจริงเหรอ  ถ้ายัง ทำไมราชินีต้องโกหกองค์สนด้วยล่ะ
ทั้งที่เรื่ององค์หญิงอรุณาไม่ใช่ลูกดูเป็นเรื่องใหญ่ที่ควรปิดบังต่อไปมากกว่าซะอีก เพราะยังไงองค์หญิงก็ตายไปแล้ว
และถ้าคิดว่าองค์หญิงไม่มีสิทธิ์ในราชบัณลังก์ตั้งแต่ต้น องค์ราชินีจะมอบตราหยกสลักชื่อให้องค์หญิงอรุณาเพื่อ ?
หรือถ้าองค์หญิงสำนึกได้และไม่มีนิสัยโหดเหี้ยมแบบนี้ องค์ราชินีจะยอมให้องค์หญิงที่ไม่ใช่ลูกได้ครองบัลลังก์เหรอ
ยิ่งดูองค์ราชินียิ่งน่ากลัวนิด ๆ นะ เพราะไม่รู้ยังมีอะไรที่องค์ราชินีปิดบังไว้อีกรึเปล่า ไม่เหมือนองค์เตชไม่มีอะไรปิดบังซับซ้อน
เป็นห่วงเป็นใยองค์สนออกหน้าออกตามาก ๆ แต่ได้ผลนะ ดูองค์สนประทับใจในความห่วงใยขององค์เตชมากเลย
แบบนี้องค์สนของเราต้องยอมใจอ่อนเข้าพิธีในเร็ววันแน่ สงสารก็แต่อังกูร  อุตสาห์เป็นสายสืบช่วยเหลือทั้งราชินีและองค์สนจนปลอดภัย
ยังต้องโดนองค์เตชสั่งขังคุกอีก จริง ๆ องค์เตชน่าจะขอบใจอังกูรมากกว่านะที่ช่วยปกป้ององค์สนและองค์ราชินีไว้ได้
ตอนแรกตกใจนึกว่าอังกูรเป็นคนทรยศจริง ๆ ซะอีกค่ะ  รอติดตาม และบวก บวกเป็นกำลังใจให้ผู้เขียนต่อไปจ้า  :pig4: :L2:
ปล. สวัสดีปีใหม่ค๊า ขอให้ผู้เขียนมีความสุขมาก ๆ สุขภาพแข็งแรง ไม่เจ็บไม่จน นะคะ   :กอด1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 11...อัพ 31/12 (หน้า 13,14 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: koikoi ที่ 31-12-2013 20:05:47
มีใจแล้วนิดนึงก็ยังดีตอนหน้าคงมีสวีทกันบ้างเนอะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 11...อัพ 31/12 (หน้า 13,14 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 31-12-2013 21:08:34
แต่ละคนแผนซ้อนแผน แล้วจะเชื่อใครได้ละเนี่ย
สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๗ จ้า
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 11...อัพ 31/12 (หน้า 13,14 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: mur@s@ki ที่ 31-12-2013 21:42:49
พี่อังอย่าตอบกั๊กนะคะ เจตนาดีอะไรยังไงก็พูดออกมาให้หมดเนอะ
เราเชื่อในตัวคุณนะ


 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 11...อัพ 31/12 (หน้า 13,14 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: kongxinya ที่ 31-12-2013 21:52:18
 :a5:  ช่างซับซ้อนยิ่งนัก องค์ราชินีช่างน่ากลัวยิ่งนัก

         ในที่สุดองค์สนก็เริ่มซึ้งในความรักความห่วงใยที่องค์เตชมีให้แล้ว  :impress2:
         
          รอตอนต่อไป และ happy new year ค่ะ  :L2: :กอด1: :pig4: :L2:

หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 11...อัพ 31/12 (หน้า 13,14 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Gokusan ที่ 31-12-2013 22:09:21
เฮ่ย!! เมื่อจบประโยคสุดท้าย
เรื่องมันซับซ้อนกว่าที่คิดแน่เหรอเนี่ย
อะไรมันจะเงื่อนงำเยอะแยะแท้...
แต่ก็ดีที่กำจัดคนโลภมากไปได้ล่ะนะ

ไหนๆ ก็กลับบ้านไม่ได้ แถมหวั่นไหวกับเสียงกล่อมนั่นอีก
อยู่ที่นี่มันไปนั่นแหละ องค์สน...ไม่มีเสียงกล่อมจะนอนไม่หลับเอานะเออ ^^
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 11...อัพ 31/12 (หน้า 13,14 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: =นีรนาคา= ที่ 01-01-2014 12:41:54
ห๊ะ!!! ทำไมเรื่องราวถึงซับซ้อนยิ่งนัก เรื่องไหนจริงไม่จริงนี่เลือกไม่ถูกเลย
ราชินีวารีวาทผู้เป็นอิสตรีที่เก่งจริงๆ

องค์สนจะเห็นใจองค์เตชบ้างมั้ยน้าาาา เฝ้าคอยห่วงใยขนาดนี้
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 11...อัพ 31/12 (หน้า 13,14 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Anyann ที่ 01-01-2014 19:11:43
ที่แท้ก็แผนขององค์ราชินีนี่เอง หญิงแกร่งเสียจริงค่ะ

ว่าแต่อรุณาตายแล้วจริงๆหรอ แต่เหมือนว่าราชินีบอกองค์สนเพื่อให้สบายใจเฉยๆมากกว่า

รอฉากสวีทของเจ้าชายทั้งสองค่ะ อิอิ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 11...อัพ 31/12 (หน้า 13,14 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: RenaBee ที่ 01-01-2014 19:42:33
ซับซ้อนยิ่งนัก!
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 11...อัพ 31/12 (หน้า 13,14 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: SenzaAmore ที่ 01-01-2014 20:46:33
 o22 องค์ราชินีโหด อรุณาว่าโหดแล้ว แต่ความจริงเป็นแค่หมากตัวนึง!!!

เรื่องนี้น่าลุ้นมากจะเป็นยังไงต่อ รอตอนต่อไปค่ะ +1 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 11...อัพ 31/12 (หน้า 13,14 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: namminzz ที่ 01-01-2014 21:45:27
ในที่สุดก็มาต่อออออออออ :katai2-1:
ที่แท้อรุณาไม่ใช่ลูกนี่เอง อื้อหือ ซับซ้อน
ตกลงราชินีอยู่เบื้องหลังทุกอย่างเลยเหรอเนี่ย
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 11...อัพ 31/12 (หน้า 13,14 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: ophena ที่ 01-01-2014 22:17:32
เป็นเรื่องที่สนุกมากเลยค่ะ  เราติดตามเรื่องนี้มาตั้งแต่รู้ว่าคุณบัวลง  เนื้อเรื่องเข้มข้นมากเลยค่ะ  หวังว่าจะมาต่อให้อีกเร็ว ๆ นะคะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 11...อัพ 31/12 (หน้า 13,14 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 01-01-2014 22:42:54
แอบกลัวว่าที่จริงแล้ว ราชินีคือคนที่อยู่เบื้องหลังทุกอย่าง  :ling3:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 11...อัพ 31/12 (หน้า 13,14 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 01-01-2014 22:46:10
สรุป เสด็จแม่ขององค์สน ล้ำลึก และมาแบบเหนือเมฆมาก

สวัวดีปีใหม่จ้าาาาาา
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 11...อัพ 31/12 (หน้า 13,14 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: ลิงน้อยสุดเอ๋อ ที่ 01-01-2014 22:59:20
O_O น่าตกใจ เรื่องราวซับซ้อนกว่าที่คิดแหะ

Happy New Year 2014 น่ะคะ คุณบัว
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 11...อัพ 31/12 (หน้า 13,14 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: paladin.kn ที่ 02-01-2014 02:06:50
ซับซ้อนซ่อนเงื่อนเหลือเกิน
มันจะคลี่คลายแล้วใช่มั้ย?
คู่พระนายเราจะได้มีเวลาสวีวี่วีกับเสียที
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 11...อัพ 31/12 (หน้า 13,14 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: bpyt ที่ 02-01-2014 10:46:21
เอ๊ะอะไรยังไง ไม่ใช่ลูกแท้ๆ แล้วเป็นลูกใคร ท่าทางราชินีจะเป็นบุคคลที่น่ากลัวที่สุดนะเนี่ย
องค์สนเริ่มหวั่นไหวแล้วใช่ม๊าาาา??
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 11...อัพ 31/12 (หน้า 13,14 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: sukaz ที่ 02-01-2014 12:12:09
โว้!!!!!!!!!!!!!!!!!!!~
พลิกล็อคหลายเรื่องเลยน๊า!!!!!!!~

 :a5: :a5: :a5: :a5: :a5:

สวัสดีปีใหม่ ขอให้ได้ ขอให้โดนจร้า
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 11...อัพ 31/12 (หน้า 13,14 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: bobby_bear ที่ 03-01-2014 07:53:39
โหหหหห

เอาจริงเลยตอนแรกนี่กะบราโวให้ราชินีเลยนะ
แบบว่าทำเพราะอรุณาไม่เหมาะสม ทำเพราะอรุณาเลว
แต่ตอนท้ายแอบคิดเหมือนองค์สนธ์ แล้วแบบนี้ก็แสดงว่าราชินีก็ไม่ได้แคร์อรุณาจริง ๆ ใช้โอกาสนี้กำจัดอรุณาซะ .... แล้วนี่รักองค์สนธ์จริงรึป่าวเนี่ยะ แต่ไม่เป็นไร องค์สนธ์มีองค์เตชแล้ว ไม่กลัวแล้ว

แอบขำฉากชะเง้อขององค์เตช
น่ารักอ่ะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 11...อัพ 31/12 (หน้า 13,14 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: kaokorn ที่ 03-01-2014 14:03:32
Happy New Year 2014
All the best to you!
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 11...อัพ 31/12 (หน้า 13,14 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 03-01-2014 14:11:54
แล้วอรุณาตายจริงๆเหรอ สุดท้ายนี่ราชินีกำความลับอะไรบ้างนะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 11...อัพ 31/12 (หน้า 13,14 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: MinKKniM ที่ 03-01-2014 15:36:06
ราชินีแดบัก!! เจอความเขี้ยวของราชินีเข้าไป อรุณาดูใสใสไปเลย

องค์เตชน่ารักอ่ะ รักและห่วงใยองค์สนขนาดนี้ องค์สนไม่ใจอ่อนบ้างให้มันรู้ไป
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 11...อัพ 31/12 (หน้า 13,14 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Jthida ที่ 03-01-2014 23:35:36
สรุปแล้วคนที่เจ้าเล่ห์ที่สุดคือเสด็จแม่ชัดๆเลยอ่ะ หวังว่าจะไม่มีมีตัวร้ายอีกแล้ว แล้วถ้าอรุณาไม่ใช่ลูกสาวคนแรกแท้ๆ แล้วใครเป็นอ่ะ ต่อจากสนธยาน่ะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 11...อัพ 31/12 (หน้า 13,14 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: gupalz ที่ 04-01-2014 00:27:27
ซับซ้อนจริงๆ แต่อรุณาตายง่ายไปหน่อย
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 11...อัพ 31/12 (หน้า 13,14 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 04-01-2014 01:49:24
โอ้วววยังไงคะ ไม่ใช่ลูกแท้ๆ แผนสลัดนางออกไป นางตายแล้ว หรือแค่บอกให้สบายใจ

แล้วยังไง


ยังเป็นบุคคลลึกลับเสมอเลยนะคะ เดาความคิดไม่ได้เลย เพราะตั้งแต่เริ่มเรื่องมา ก็แผนเธอตลอดด
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 11...อัพ 31/12 (หน้า 13,14 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: bangkeaw ที่ 05-01-2014 17:51:41
เนื้อเรื่องเข้มข้นซับซ้อนมาก อ่านแล้วลุ้นตลอด
แต่ก็แฝงอารมณ์ขันไว้ด้วย  o13
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 11...อัพ 31/12 (หน้า 13,14 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 24-01-2014 21:10:33
อรุณาโหดไม่ได้ครึ่งของราชินีเลยด้วยซ้ำ นับถือจริงๆ




ขอบคุณสำหรับตอนนี้ค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 11...อัพ 31/12 (หน้า 13,14 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 25-01-2014 09:25:48
จะทำการใหญ่ใจต้องเหี้ยมจริงๆ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 12...อัพ 16/2 (หน้า 15 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Dezair ที่ 16-02-2014 20:24:40
ด้วยพันธะบรรณาการ
By: Dezair
……………………..
บทที่ 12
   

   สนธยานั่งนิ่งอยู่บนเตียงด้วยเพราะตื้อตันไปทั้งหัว เขาเคยได้รับคำชมจากเหล่านายทหารผู้เป็นครูบาอาจารย์ว่ามีไหวพริบ คล่องแคล่ว ว่องไว แต่…มาวันนี้…สนธยารู้แล้วว่าความฉลาดของเขายังน้อยนิดนักหากเทียบกับความเจ้าเล่ห์ของผู้เป็นมารดา



   “อรุณา…ไม่ใช่น้องของกระหม่อมหรอกหรือ…” เขาตั้งคำถามเสียงแผ่วหวิว ความจริงที่ได้รับรู้วันนี้ ก่อความรู้สึกหนักอึ้งในหัวใจมากเหลือประมาณ แม้อรุณาจะไม่เคยมีความหวังดีต่อเขาเลย แต่เมื่อคิดถึงช่วงเวลาในวัยเยาว์ที่เคยนั่งรับประทานอาหารด้วยกัน หรือออกไปเที่ยวด้วยกันแล้ว สนธยาก็อดไม่ได้…



…อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียดาย…อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจ…



   …มันจะดีกว่านี้ไหม หากว่าเขาไม่รู้ มันจะดีกว่านี้ไหม หากอรุณาไม่ละโมบโลภมากจนพาไปสู่จุดจบของนางในวันนี้…



   “นางไม่ใช่น้องของเจ้า ไม่ใช่พี่ของทิวาและอุษา”



   “แล้วเสด็จแม่รับเลี้ยงนางทำไม” สนธยาเงยหน้าถาม



หากคิดในทางกลับกันแล้ว ถ้าราชินีวารีวาทไม่รับเลี้ยงอรุณามาเป็นธิดาแต่แรก ไม่มอบฐานันดรให้นางเป็นองค์หญิงพระองค์แรกแห่งราชสำนักสมุทราให้แก่นาง นางคงเป็นเพียงสตรีธรรมดาสามัญชน และอาจมีความสุขกับวิถีชีวิตอันเรียบง่าย ไม่ทะเยอทะยาน ไม่ละโมบโลภมาก ไม่ปองร้ายใคร วันนี้…นางอาจจะยังมีลมหายใจ มีความสุข และมีความสงบไปจนถึงบั้นปลาย…



   ราชินีวารีวาทนิ่งงันไปเล็กน้อยเมื่อโอรสเงยพักตร์ขึ้นสบเนตรกับพระองค์ ก่อนจะขยับโอษฐ์ตอบเสียงเรียบกลับไป



   “เพราะแม่อยากให้นางมาเป็นคู่แข่งของเจ้า”



   “เสด็จแม่!”



   “สมุทรามีกฎมณเฑียรบาลในการสืบทอดบัลลังก์คือจะต้องมอบให้แก่ธิดาองค์โต แต่แม่อยากให้เจ้าเป็นราชาคนแรกของสมุทรา เจ้าก็รู้ ด้วยความสามารถของเจ้า ด้วยลักษณะนิสัยของเจ้า ถ้าเจ้าได้เป็นราชา ได้ปกครองสมุทรา สมุทราจะร่มเย็น…”



   “แต่ราชสำนักจะลุกเป็นไฟ” สนธยาสวนอย่างแข็งกร้าว ดวงเนตรจับจ้องด้วยความเจ็บปวดเหลือแสนที่ต้องรับรู้เรื่องราวโหดร้ายของมารดาที่ชักจูงสตรีผู้หนึ่งเข้ามาเป็นหมาก



…หมากเพื่อให้พระองค์ได้ขึ้นเป็นองค์ราชันย์แห่งสมุทราอย่างนั้นหรือ…ราชสำนักอยู่ในอุ้งหัตถ์ของราชินีวารีวาทมาแต่ไหนแต่ไร เพียงแค่ต้องการให้โอรสอย่างพระองค์ขึ้นครองราชย์ต่อ ไม่เห็นมีความจำเป็นอะไรที่จะต้องใช้หมากอย่างอรุณาเลยสักนิด…



   “ราชสำนักจะไม่ลุกเป็นไฟ เพราะแม่รู้ว่าเจ้าจะปกครองด้วยความเย็นช่ำดุจสายน้ำ”



   “เสด็จแม่รู้จักกระหม่อมดีเหลือเกิน…” สนธยากล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบราวกับทบทวน



   …หากราชินีวารีวาทคิดจะทำสิ่งใดในสมุทราแล้ว ไม่มีความจำเป็นเลยที่จะต้องใช้หมากใช้เบี้ย หนำซ้ำไม่ต้องใช้เวลาอย่างสิ้นเปลืองชุบเลี้ยงธิดาที่ไม่ใช่ลูกของตนให้เติบใหญ่เพียงพอเพื่อที่จะให้กลายมาเป็นคู่แข่งและผลักดันโอรสองค์โตให้ขึ้นเป็นองค์ราชันย์องค์แรกของสมุทรา…ราชินีวารีวาทผู้ยิ่งใหญ่ไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะต้องทำเช่นนั้น ในเมื่ออำนาจสูงสุดของสมุทราอยู่ในหัตถ์ของพระองค์…


   สนธยาเหลือบเนตรขึ้นมองราชินีผู้เป็นมารดาด้วยสายเนตรเย็นเยือกราวกับท้องทะเลก่อนพายุใหญ่จะพัดกระหน่ำ



   “…แต่เหตุใดพระองค์จึงไม่รู้ว่ากระหม่อมไม่เคยมองอรุณาเป็นคู่แข่งสักครั้ง พระองค์คือราชินีแห่งสมุทรา มองฟ้าก็รู้ดิน พระองค์รู้เหตุการณ์ล่วงหน้า พระองค์ทรงทำนายได้แม่นยำ พระองค์รู้แต่แรกว่าบัลลังก์นี้จะไม่มีวันมาถึงมือกระหม่อมใช่ไหมพระเจ้าค่ะ พระองค์ไม่ได้ทรงเลี้ยงอรุณามาเพื่อเป็นคู่แข่งของกระหม่อม…”



   ราชินีวารีวาทสบเนตรของโอรส สนธยาเม้มโอษฐ์แน่นดวงเนตรจับจ้องสบเนตรสีเดียวกับพระองค์



   “เสด็จแม่…ทรงเลี้ยงอรุณาเพื่อเป็นข้ออ้างในการส่งกระหม่อมมาอยู่ที่อนันตราชต่างหาก เสด็จแม่ทรงรู้ดีเรื่องที่เสด็จพ่อเคยขอสัญญาจากกษัตริย์วิภูเรื่องที่กษัตริย์แห่งอนันตราชจะช่วยเหลือสมุทราหากมีความจำเป็น พระองค์ทรงรู้ดีว่าถ้าหากกษัตริย์วิภูทรงทราบเรื่องที่พี่น้องในราชวงศ์สมุทราเกลียดชังกัน กษัตริย์วิภูจะยินยอมให้เชื้อพระวงศ์คนใดคนหนึ่งลี้ภัยมาอาศัยใบบุญของอนันตราช ดังนั้น…ของบรรณาการในครั้งนี้ ที่สมุทราถวายแก่อนันตราชไม่ใช่หอยมุกแก่ตัวนั้น!! แต่คือตัวกระหม่อมเอง!!! เป็นตัวกระหม่อมที่เสด็จแม่ตั้งพระทัยจะส่งออกมาจากสมุทรา!! และอรุณาคือคนที่ถูกเลี้ยงดูขึ้นมาเพื่อเป็นข้ออ้างในการส่งกระหม่อมออกมา!!!”



   ดวงเนตรสีอ่อนของราชินีวารีวาทมีแวววูบไหวเพียงเสี้ยวอึดใจ โอษฐ์บางขยับเผยอเหมือนจะตรัสอะไรบางอย่าง แต่ก็หุบลงตามเดิมราวกับชั่งใจอยู่อีกครู่ แล้วจึงยอมเอ่ยออกมา



   “มีขุนนางนายทหารหลายคนเคยบอกแม่ว่า เจ้าคือคนที่ฉลาดที่สุดในบรรดาพี่น้องทั้งหมด แม่เห็นทีต้องยอมรับโดยดุษณีก็วันนี้”



   “เสด็จแม่ทรงทำเช่นนี้เพื่ออะไร เพื่อให้กระหม่อมไกลจากบัลลังก์สมุทราอย่างนั้นหรือ”



   “…และเพื่อให้ใกล้บัลลังก์อนันตราช” ราชินีวารีวาทต่อความ ทำเอาสนธยาถึงกับเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ



   “เจ้าก็รู้ องค์สน…สมุทราเป็นเกาะเล็กๆ ถึงแม้วันนี้จะร่ำรวยแต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะมั่นคงในภายภาคหน้า หากวันนี้เราผูกสัมพันธ์ต่ออนันตราชไว้ มีแต่จะได้กับได้ก็เท่านั้น”



   “เสด็จแม่…” สนธยาได้แต่ครางด้วยคาดไม่ถึงกับเรื่องที่ได้ยิน



   “องค์เตชมีใจปฏิพัทธ์ต่อเจ้า เรื่องนี้เจ้าก็รู้ จงใช้จิตใจของเขาให้เป็นประโยชน์ ชักจูงเขาด้วยสถานะคู่สมรส ทำให้อนันตราชสนับสนุนสมุทราทุกเรื่อง โดยเฉพาะด้านการทหาร”



   “สมุทราก็มีทัพเรือ เหตุใดจึงต้องให้อนันตราชช่วยเหลือ…” สนธยาย้อนถาม



   “พวกตะวันตกมองสมุทราเป็นทรัพย์กลางทะเล กองทัพเรือเพียงอย่างเดียวของเราอาจไม่เพียงพอสำหรับภายภาคหน้า ไม่เกินสิบปีหลังจากนี้ ถ้าเรายังมีแค่ทัพเรือ พวกนั้นจะล้อมเกาะเราเอาไว้ แล้วเมื่อถึงเวลานั้น จะไม่มีใครช่วยเหลือเราได้อีก”



   “เสด็จแม่ถึงได้ส่งกระหม่อมมาอนันตราช ย้ำกับกระหม่อมนักหนาว่าแม้จะถอดยศองค์ชายแห่งสมุทราออกแล้ว แต่กระหม่อมก็ยังเป็นลูกหลานชาวสมุทราไปจนตาย เสด็จแม่ไม่ได้ตรัสเพื่อให้กระหม่อมระลึกถึงบ้านเกิดเมืองนอน แต่เรียกร้องให้กระหม่อมตอบแทนคุณแผ่นดินด้วยวิธีมากเล่ห์”


โอรสองค์โตที่ต้องมารับรู้ความจริงและแบกรับการเรียกร้องของมารดาได้แต่เบือนพักตร์ออกไปอีกทางอย่างเจ็บช้ำ ยามคิดถึงความรู้สึกจริงใจที่แสนมั่นคงของเตชินทร์ที่มอบให้เขาเสมอมา นับตั้งแต่เขาเหยียบแผ่นดินอนันตราช



   …เตชินทร์ช่วยเหลือเขาอย่างเต็มใจ แต่เป็นมารดาของเขาเองที่ใช้ความรู้สึกของเตชินทร์เป็นเครื่องมือสร้างผลประโยชน์ให้แก่สมุทรา…



   สนธยาหลับตาลงอย่างอ่อนล้าทั้งกายและใจ…ถ้าจะต้องรับรู้เรื่องพวกนี้ สู้ไม่รู้อะไรเลยยังจะดีเสียกว่า…ไม่น่าเลย ต่อว่าต่อขานว่าอรุณาละโมบโลภมาก หากแต่แท้จริงแล้ว คนที่โลภยิ่งกว่าอรุณาก็คือราชินีวารีวาท…



   “แม่ไม่ได้เรียกร้องจากเจ้า องค์สน…แม่แค่…บอกในสิ่งที่เจ้าถาม เจ้าถามว่าแม่ส่งเจ้ามาที่นี่ทำไม แม่ก็บอกเจ้าแล้ว จากนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป นั่นก็ขึ้นอยู่กับเจ้า เจ้าจะทนอยู่เฉยยามมองออกมาจากตำหนักหลวงของอนันตราชที่แสนหรูหราตระการตาแล้วเห็นสมุทรา เห็นคนที่เจ้ารัก เห็นสิ่งที่เจ้ารักล่มจมลงต่อหน้าได้ไหมเล่า” ราชินีวารีวาทตรัสด้วยน้ำเสียงที่แสนเล่ห์ร้าย ดวงเนตรสีอ่อนส่อประกายชอบอกชอบใจเมื่อเห็นโอรสองค์โตนิ่งขึงไปทั้งร่าง



   “เอาเถอะ ในฐานะที่เจ้าเป็นลูกรักของแม่ แม่จะบอกแผนการของแม่ให้เจ้าฟังหนึ่งอย่าง หลังเสร็จสิ้นเรื่องอรุณาแล้ว แม่จะแต่งตั้งทิวาเป็นแม่ทัพกองเรือ ส่วนอุษา…แม่จะให้เรียนรู้เรื่องบ้านเมือง”



   “เสด็จแม่จะให้อุษาครองบัลลังก์หรือพระเจ้าค่ะ” สนธยาถาม ทว่าไม่มีคำตอบใดๆ ราชินีวารีวาทมีเพียงรอยสรวลเบาบางบนมุมโอษฐ์



   “แม่คิดว่าเจ้าควรจะพักผ่อนได้แล้ว” สตรีผู้กุมอำนาจสูงสุดในสมุทราตรัส ก่อนจะลุกขึ้น



   “เสด็จแม่ กระหม่อมขอทูลถามเป็นครั้งสุดท้าย”



   “…อรุณา…สิ้นแล้วจริงหรือ” สองสายเนตรทอดสบกัน ฝ่ายหนึ่งเต็มไปด้วยคำถามและต้องการคำตอบ ทว่าอีกสายเนตรหนึ่งกลับนิ่งเรียบราวกับท้องทะเลที่ไร้คลื่น ทว่าก่อนที่เจ้าของเนตรจะได้กล่าวอะไรนั้น เสียงจากนอกห้องก็ดังขึ้น



   “องค์ชายเตชินทร์เสด็จ!”



   ราชินีวารีวาทเลิกขนงเล็กน้อย ขณะที่ทอดเนตรสบกับเนตรของโอรส เรียวโอษฐ์อวบอิ่มขยับยกยิ้มบางเบาทว่าแลดูชอบใจ



   “เรื่องอรุณาไม่ใช่เรื่องของเจ้า เรื่องของเจ้าคือเรื่ององค์ชายเตชินทร์ ถึงเวลาที่เจ้าจะต้องตัดสินใจแล้ว ลูกรัก” ราชินีวารีวาทตรัสเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหมุนองค์เสด็จออกจากห้องพักผ่อน สนธยายังนั่งนิ่งอยู่ที่เตียง ได้ยินเสียงแว่วๆของผู้เป็นมารดากับเจ้าของตำหนักทักทายปราศรัยกันที่หน้าห้อง…เจ้าของตำหนัก...ที่จริงใจต่อเขาเสมอมา แต่…ตัวเขาเอง ที่มาตำหนักแห่งนี้เพราะมีความนัยแอบแฝง…



   …ตัดสินใจหรือ…ถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจ…จะทำเพื่อสมุทราแต่ไร้ซึ่งมนุษยธรรม หรือจะทำเพื่อมนุษยธรรมแต่ไร้ซึ่งความกตัญญู…



   บานประตูห้องถูกผลักเข้ามาแล้ว พักตร์ขาวขององค์ชายเตชินทร์โผล่เข้ามาพร้อมรอยสรวลกว้างขวาง



   …รอยสรวล…ที่จะกลายเป็นหอกแทงใจสนธยาตั้งแต่เวลานี้เป็นต้นไป!!!...


…………………………………..



   ไม่เกิน 3 วันคณะของราชสำนักสมุทราก็พร้อมเดินทางกลับ สนธยาพร้อมด้วยเตชินทร์ยืนน้อมส่งราชินีวารีวาทที่ท่าเรือหลักจนเรือลำใหญ่หายลับไปจากสายตา



   “แวะเที่ยวตลาดเสียหน่อยไหม” เตชินทร์เอ่ยชวน เมื่อหน้าที่ในการส่งอาคันตุกะเรียบร้อยแล้ว เขาสังเกตว่าหลายวันมานี้ สนธยาดูไม่ร่าเริงอย่างที่ควรจะเป็น ดูนิ่งขรึมและอัดอั้น เขาพยายามถาม ทว่าอีกฝ่ายก็บอกปัดว่าไม่มีอะไร เตชินทร์จึงต้องหาวิธีใหม่ด้วยการชักชวนเที่ยวเตร่ ด้วยหวังว่าความครึกครื้นของตลาดท่าเรือจะทำให้อีกฝ่ายคลายความรู้สึกย่ำแย่ในใจได้บ้าง



   “เราอยากกลับ” ทว่า…ดูเหมือนคำว่า ‘แวะเที่ยว’ จะไม่อาจทำให้สนธยาสนใจได้เลยแม้แต่น้อย ใบหน้าเรียวสีน้ำผึ้งยังคงนิ่งเรียบ ทว่าดวงเนตรสีอ่อนนั้นส่อแววฝังลึกอยู่ภายในอย่างแปลกประหลาด



   “ท่านสน…ท่านเป็นอะไร บอกเราได้ไหม” เตชินทร์ถาม มือแตะที่แขนของอีกฝ่ายราวกับจะรั้งไม่ให้เดินหนี ทว่าทุกการกระทำนั้นเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและห่วงใย



   สนธยาหันกลับมาสบตากับคนถาม ยิ่งเห็นความจริงใจฉายชัดอยู่บนใบหน้าของเตชินทร์ก็ยิ่งปวดลึกมากขึ้นทุกที



   …ไม่น่าเลย…ไม่น่ารู้เลยว่าถูกเสด็จแม่ส่งมาที่นี่ทำไม…



   “เรา…เราแค่…แค่อยากไปเยี่ยมท่านอังกูร…” สนธยาตอบไปอีกเรื่อง ด้วยเพราะรู้ดีว่านับตั้งแต่เตชินทร์สั่งขังอังกูร นอกจากสมิตแล้ว ก็ไม่มีใครได้ลงไปเยี่ยมเยียนอีก ทว่า…สนธยาก็พอจะรู้ความเป็นอยู่ของอังกูรจากปากชีวินที่คอยสืบข่าวมารายงาน



   เตชินทร์เงียบไปในทันที ซ้ำยังหันหน้าหนีเสียด้วย



   “ท่านเตช เราอยากไปเยี่ยมท่านอังกูร” สนธยาย้ำอีกครั้ง



   “ก็ได้ แต่ถ้าเราบอกให้กลับก็ต้องกลับพร้อมเรา ห้ามดื้อ ห้ามขอสิ่งใดจากเราในเรื่องที่เกี่ยวกับอังกูรอีก” เตชินทร์ยอมตกลง ทว่าก็ยังมีข้อแม้เงื่อนไขมากมายเสียจนคนฟังต้องเม้มปากแน่นอย่างอัดอั้น สนธยาเหลือบมองไปทางด้านหลังของเตชินทร์ เห็นสายตาของสมิตที่ส่งมาราวกับจะขอร้องให้เขาช่วยพูดเพื่ออังกูรมากกว่านี้ หรือแม้แต่ชีวินเอง สนธยาก็พอจะรู้ว่าทุกๆคืนรายนั้นมักจะแอบออกจากตำหนักแวะเวียนไปเยี่ยมเยียนอังกูรที่คุกหลวงอยู่เสมอ



   …ทุกคนอยากช่วยอังกูรทั้งนั้น รวมทั้งเขาเองก็ด้วย…



   “แต่เราถามได้ใช่ไหม ว่าท่านคิดจะทำอย่างไรเรื่องท่านอังกูร”



   “ขังเอาไว้อย่างนั้น” เตชินทร์ตอบเสียงเรียบ ดวงเนตรแข็งขืนจนสนธยาต้องแตะมือลงกับต้นแขนแข็งแรงของอีกฝ่ายราวกับจะขอร้อง



   “ท่านเตช…ท่านอังกูรมีบุญคุณกับเรามากมายนัก และเราเองก็…”



   “ถ้าท่านอยากไปเยี่ยมอังกูร เราจะพาไป แต่ขอร้องอย่าก้าวก่ายเราในเรื่องของอังกูร” เตชินทร์ตัดบทเสียจนสนธยาได้แต่อ่อนใจ เขาเหลือบมองสมิตอีกครั้ง รายนั้นเองก็มีท่าทีหมดหวังเช่นกัน



   “จะไปเยี่ยมอังกูรหรือไม่” เมื่อเห็นสนธยานิ่งเงียบ เตชินทร์จึงปรับเสียงให้อ่อนลงอีกหน่อยแล้วตั้งคำถามเหมือนจะง้องอน



   “ไป”



ร่างสูงผายมือไปทางรถเทียมม้าให้สนธยาออกเดิน ก่อนที่ขบวนเสด็จขององค์ชายเตชินทร์และว่าที่ชายาจะเคลื่อนตัวออกจากท่าเรืออนันตราชไป



……………………………………..



   คุกหลวงใต้ดินที่ใช้เป็นที่จองจำอังกูรนั้น ทั้งเงียบและอับทึบจนแทบไม่มีแสงลอดเข้ามา มันถูกก่อด้วยหินก้อนใหญ่วางเรียงซ้อนอยู่ใต้ดินในอาณาเขตของกรมวัง ทางเข้าเป็นทางลาดที่มีประตูเหล็กแน่นหนา ทว่า…ไม่มีทหารสักคน



   “ไม่มีทหารประจำคุกหรือ” สนธยาเอ่ยถามอย่างงุนงง



   “ไม่จำเป็นหรอก ต่อให้ต้องโทษประหาร อังกูรก็จะไม่มีวันหนีออกจากคุก” เตชินทร์ตอบเสียงเรียบ ก่อนจะเดินนำลงไปตามบันไดที่ทอดตัวสู่คุกใต้ดิน



   อากาศภายในคุกนั้นเย็นเยียบและเงียบกริบ ราวกับไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นใด แสงสลัวจากคบเพลิงในมือของเตชินทร์ให้ความสว่างสลัว พอๆกับที่คบเพลิงที่หน้าห้องขังห้องหนึ่งถูกจุดเอาไว้ ภายในห้องขังนั้น คือชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนตั่งราวกับกำลังดื่มด่ำกับตัวหนังสืออย่างไม่สนใจบรรยากาศอย่างไรอย่างนั้น ทว่าเมื่อเสียงฝีเท้าของคณะผู้มาเยี่ยมดังขึ้น ก็ทำเอาชายหนุ่มต้องเหลือบตาขึ้นจากหนังสือเล่มเล็กในมือ



   “องค์ชาย…” อังกูรครางเสียงแผ่วเมื่อเห็นว่าองค์ชายเตชินทร์ประทับอยู่อีกฝั่งของลูกกรงเหล็ก



   “เสด็จมาที่นี่ทำไมพระเจ้าค่ะ” เขาตั้งคำถามอย่างรวดเร็ว แต่ก็ต้องเงียบลงเมื่อเห็นองค์ชายสนธยาเสด็จมาด้วย



   “เราขอให้ท่านเตชพาเรามาเยี่ยมท่าน”



   “ขอบพระทัยในพระกรุณา แต่กระหม่อมสบายดีพระเจ้าค่ะ อีกอย่าง พระองค์เป็นองค์ชายแห่งสมุทรา มิควรเสด็จมาที่คุกของอนันตราชพระเจ้าค่ะ องค์เตช ทรงพาองค์ชายสนธยาเสด็จออกจากที่นี่เถอะพระเจ้าค่ะ”



   “เดี๋ยวสิ เราเข้าใจว่าเราไม่ควรลงมาที่นี่ แต่…เราเป็นห่วงท่าน ท่านมีบุญคุณต่อเรามากมาย จะให้เราทำเป็นนิ่งเฉยในขณะที่ท่านอยู่ในคุกได้อย่างไรกัน”



   “กระหม่อมไม่ได้เดือดร้อนสิ่งใดกับการอยู่ในนี้พระเจ้าค่ะ แต่ก็ขอขอบพระทัยที่พระองค์กรุณาห่วงใยกระหม่อม แต่กระหม่อมยืนยันคำเดิมว่ากระหม่อมไม่เป็นไร” สนธยาได้แต่มองใบหน้านิ่งเฉยของอังกูรแล้วเม้มปากแน่น เขาหันมาทางเตชินทร์หมายจะให้ร่างสูงช่วยเหลือ แต่องค์ชายหนุ่มแห่งอนันตราชกลับมีสีหน้าเรียบเฉยไม่ยี่หระ แม้ว่าคนที่ยืนอยู่หลังซี่กรงเหล็กจะเป็นองครักษ์ของตัวเองก็ตามที



   “ถ้าท่านว่าเช่นนั้น เราก็…ไม่มีอะไรจะพูดอีก” สนธยาได้แต่เอ่ยเสียงขื่น อังกูรช่วยเหลือเขาและสมุทรา แต่เมื่อถึงคราวที่อังกูรลำบาก เขากลับช่วยเหลืออะไรไม่ได้สักนิด ไม่สิ…เขาพยายามจะช่วยเหลือ แต่อีกฝ่ายไม่ยอมรับความช่วยเหลือของเขาต่างหาก!...



   “น้อมส่งเสด็จพระเจ้าค่ะ” ไหมล่ะ…มีการส่งเสด็จทั้งๆที่สนธยายังไม่ทันจะหมุนกายออกจากคุกเสียด้วยซ้ำ ร่างโปร่งมองอังกูรที่โค้งกายต่ำอยู่หลังลูกกรงด้วยความเสียใจและเจ็บใจ หากแต่ทำอะไรไม่ได้…เขาทำอะไรไม่ได้เลย…



   ‘เจ้าจะทนอยู่เฉยยามมองออกมาจากตำหนักหลวงของอนันตราชที่แสนหรูหราตระการตาแล้วเห็นสมุทรา เห็นคนที่เจ้ารัก เห็นสิ่งที่เจ้ารักล่มจมลงต่อหน้าได้ไหมเล่า’…



   วาจาอันร้ายกาจของราชินีวารีวาทราวกับตอกย้ำในทุกห้วงขณะจิต ว่าเขาได้ใช้ชีวิตอันสะดวกสบายซึ่งแลกมาด้วยความเดือดร้อนของคนรอบข้าง อังกูรต้องเป็นเช่นนี้ก็เพราะเขา อังกูรต้องถูกขังคุกก็เพราะช่วยเขา!!...



   “ท่านเตช เราอยากกลับแล้ว” สนธยาหันไปกล่าวกับร่างสูงข้างกาย



   …ในเมื่อการอยู่ตรงนี้ ไม่อาจทำสิ่งใดเพื่อช่วยไหลืออังกูรได้ สนธยาก็จะกลับไปรวบรวมสติเสียใหม่ เขาเชื่อว่าปัญญาที่มีไม่เป็นสองรองใคร หนำซ้ำเขายังถูกเสด็จแม่ส่งมาที่เพื่อให้ ‘ใกล้ชิดบัลลังก์อนันตราช’ ผู้ที่ใกล้ชิดบัลลังก์อันยิ่งใหญ่อย่างอนันตราช หากไม่สามารถไถ่ชีวิตใครได้ สนธยาก็ขอลาจากอาณาจักรนี้ไปเสียจะดีกว่าอยู่ให้ขายขี้หน้า!!



“เราจะพาท่านไปส่งที่ตำหนักอิฐ สมิต…เจ้าไปรอเราที่กรม เราส่งท่านสนแล้วจะกลับเข้ากรม” เตชินทร์กล่าวก่อนจะพาสนธยาพาออกจากคุกหลวง ทว่าก่อนที่ร่างโปร่งขององค์ชายแห่งสมุทราจะลับสายตาของอังกูร สนธยาก็หันกลับมามองชายหนุ่มเบื้องหลังกรงขังอีกครั้งด้วยสายเนตรแน่วแน่อย่างที่ทำเอาอังกูรนิ่งขึงไปทั้งร่าง



   …องค์ชายสนธยาต้องทำอะไรสักอย่างแน่ๆ!! และถ้าทรงทำเช่นนั้น องค์เตชก็ต้องคอยตามไปช่วยเหลือ และเรื่องทั้งหมดอาจไม่จบลงอย่างที่วางแผนเอาไว้!!...



   “สมิต” อังกูรร้องเรียกเพื่อนทันที เจ้าของชื่อที่กำลังจะตามเสด็จออกจากคุกรีบหันกลับมา



   “คืนนี้เจ้าต้องขังองค์สนไว้กับองค์เตชจนกว่าจะรุ่งสาง” คนฟังตาลุกโตด้วยความตกใจกับคำพูดของเพื่อน



   “เจ้าว่าอะไรนะ?!!”



   “ทำตามที่ข้าบอก ขังองค์สนกับองค์เตชไว้ด้วยกันจนกว่าฟ้าจะสาง!!!” อังกูรสำทับหนักแน่นอีกครั้ง ทำเอาสมิตได้แต่กลืนน้ำลายเอื้อก มองซี่กรงที่ขวางกลางระหว่างเขาและอังกูรแล้วเหมือนจะมองเห็นภายภาคหน้า



   …ดูเหมือนเขาเองก็คงจะได้ไปอยู่หลังลูกกรงนี้กับเพื่อนรักเสียแล้วสิ…



……………………………………….

หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 12...อัพ 16/2 (หน้า 15 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Dezair ที่ 16-02-2014 20:25:06
“สมิต”



   ไม่มีการตอบรับใดๆจากนายทหารหนุ่มที่ยืนหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล



   “สมิต!”



   ร่างสูงสง่ายังคงยืนเฉยอยู่ที่เดิม เอาแต่ก้มหน้าราวกับตกอยู่ในภวังค์ จนองค์ชายเตชินทร์ซึ่งทรงเรียกหาถึงสองครั้งต้องเงยพักตร์จากเอกสารในหัตถ์ขึ้นมาทอดเนตร



   “สมิต!!!”



   “พ…พระเจ้าค่ะ!!” พอทรงขึ้นเสียงเป็นครั้งที่สาม สมิตก็ถึงกับตาหูเหลือกรีบถลาเข้ามาที่โต๊ะทรงงานทันที



   “เป็นอะไรของเจ้า เราเรียกตั้งหลายครั้ง”



   “เอ่อ…เอ่อ…กระหม่อม…กระหม่อมคิด…คิดถึงเพื่อนพระเจ้าค่ะ”



   “คิดถึงเพื่อน?” เตชินทร์ทวนถามอย่างฉงน หากแต่เมื่อสมิตพยักหน้ายืนยันหนักแน่น พระองค์ก็ไม่ซักไซ้สิ่งใดอีก



   “คืนนี้เจ้าสั่งให้เวรยามรอบตำหนักอิฐรัดกุมมากกว่าเดิม เราสังหรณ์ใจว่าท่านสนอาจจะกลับเข้าไปหาอังกูร” สมิตชะงัก ไม่รู้จะน้อมรับโองการดีหรือไม่ ในเมื่ออังกูรบอกให้เขาขังองค์ชายเตชินทร์เอาไว้กับองค์สนธยา



   “เอ่อ…กระหม่อมคิดว่า…เอ่อ…ให้พาองค์ชายสนธยามาประทับที่กรมดีไหมพระเจ้าค่ะ ที่นี่ทหารเวรทั้งเยอะ ทั้งขวักไขว่”



   “เอาอย่างนั้นก็ดีเหมือนกัน เจ้าไปพาองค์ชายสนธยามาที่นี่”



   “ให้ประทับที่นี่เลยนะพระเจ้าค่ะ กระหม่อมจะให้คุณท้าวเอิบเตรียมข้าวของฉลองพระองค์มาถวายด้วย”



   “ก็ได้ เจ้าไปจัดการมาให้เรียบร้อย”



   “เอ่อ…ให้คุณท้าวเตรียมฉลองพระองค์ขององค์เตชมาด้วยเลยนะพระเจ้าค่ะ”



   “อือ” สมิตยิ้มพรายขึ้นมาทันที ก่อนจะค้อมกายรับโองการแล้วถลาออกจากห้องทรงงานบนตำหนักของกรมวัง องค์ชายเตชินทร์ทรงลุกจากโต๊ะทรงงานเสด็จไปยังหน้าต่างบานกว้าง สายเนตรทอดไกลไปยังทางลงคุกใต้ดินที่ไม่มีแม้แต่ทหารประจำการ



   เขาได้แต่หวัง…ว่าทุกอย่างที่ยอมเดินตามแผนการของราชินีวารีวาท จะส่งผลดีอย่างที่คาดเดาเอาไว้ แต่ถ้าไม่…เขาก็อาจจะเสียองครักษ์คู่ใจไปหนึ่งคน โดยที่ไม่อาจเรียกร้องสิ่งใดกลับมาได้อีกเลย…



………………………………



   สนธยาและชีวินถูกสมิตพามาที่ตำหนักของกรมวัง โดยมีคุณท้าวเอิบหอบนางกำนัลมาอีกหนึ่งชุดติดตามมาจากตำหนักอิฐ ทันทีที่มาถึงห้องทรงงานขององค์ชายเตชินทร์ คุณท้าวเอิบก็สั่งให้นางกำนัลทั้งหลายจัดโต๊ะเสวยในห้องทันที



   “รีบจัดโต๊ะแต่หัววันเชียว คุณท้าว” หญิงร่างอวบหันกลับมายิ้มหวานเอาใจองค์ชายสนธยาที่ตั้งคำถามกับนาง



   “หม่อมฉันมีงานที่ตำหนักอิฐอีกกระบุงโกยเพคะ ห้องหับทุกห้องต้องถูกทำความสะอาดทั้งหมดก่อนถึงพิธีเสกสมรสขององค์สนและองค์เตช รับรองเชียวว่าจะไม่ยอมให้มีร่องรอยสกปรกสักคราบ!” คุณท้าวเอิบยืนยันหนักแน่นอย่างที่ทำเอาสนธยาไม่อยากจะถามสิ่งใดอีก แม้จะยอมรับเรื่องพิธีเสกสมรส แต่พอได้ยินได้ฟังบ่อยเข้า ก็ชักนึกขยาดขึ้นมาตะหงิด



   “ประเดี๋ยวจะสั่งนางกำนัลเอาไว้ให้คอยรับใช้นะเพคะ” คุณท้าวเอิบสำทับอีกครั้งพร้อมรอยยิ้มพิมพ์ใจ ก่อนจะหันไปย่อกายบังคมลาองค์ชายเตชินทร์ แล้วจึงหมุนกายเดินออกจากห้องทรงงานออกไป พร้อมกับเหล่านางรับใช้และทหารที่ตามคุณท้าวเอิบออกไปเป็นพรวน จนภายในห้องเหลือเพียงสนธยาและเตชินทร์เพียงสองคน



   …แม้แต่ชีวินกับสมิตก็หายไปเช่นกัน…



   “แปลกจริง ปกติเวลาท่านทำงาน ท่านสมิตก็ไม่อยู่คอยรับใช้หรือ” สนธยาหันมาถามเมื่อบานประตูถูกปิดลง



   “ปกติมักจะอยู่ แต่วันนี้คงไม่ปกติกระมัง” เตชินทร์ตอบเสียงเรียบ ใบหน้านิ่งเฉยอย่างที่ทำเอาสนธยานึกรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังอารมณ์ไม่ปกติยิ่งกว่าการที่สมิตไม่อยู่รับใช้เสียอีก



   “ท่านเตช…เป็นอะไรไป หรือเห็นหน้าเราแล้วหงุดหงิด” ได้ผลชะงักยิ่งกว่าการง้องอนหวานๆเสียอีก เตชินทร์รีบหันกลับมามองคนถามทันที



   “ไม่ใช่” เตชินทร์แค่ทำตัวหมางเมินเพราะเห็นอีกฝ่ายถามถึงแต่คนอื่น ทั้งๆที่เขายืนอยู่ตรงหน้า ทว่าพอถูกร่างโปร่งย้อนถามอย่างมีมารยาแล้ว องค์ชายหนุ่มแห่งอนันตราชก็รีบปฏิเสธในทันที



   “เราเห็นหน้าท่านแล้วมีความสุขทุกครั้ง ไม่เคยสักครั้งที่จะนึกหงุดหงิด” เขากล่าวเสียงทุ้มอ่อนโยน พลางสอดมือเข้ารั้งเอวของอีกฝ่ายเข้ามากอดแนบกาย สนธยาต้องยกมือขวางระหว่างอกตนและอกของอีกฝ่ายเอาไว้ มิเช่นนั้นเห็นทีพวกเขาคงชิดใกล้เสียจนหายใจไม่ออก



   “ถึงแม้ว่าเราจะเป็นชายเหมือนท่านน่ะหรือ”



   “ความรู้สึกไม่ใช่เรื่องของเพศ”



   “แต่เราและท่านมาจากต่างราชสำนัก วันหนึ่งในไม่ช้ามันจะกลายเป็นปัญหา จะต้องมีคนนำเรื่องนี้มาเป็นประเด็น ท่านไม่กลัวหรือ” ดวงเนตรสีอ่อนจางสั่นระริกยามทอดสบกับดวงเนตรสีเข้มของเตชินทร์ ร่างสูงลูบแผ่นหลังของคนในอ้อมแขนแผ่วเบาราวกับจะปลอบประโลม



   “เรากลัวท่านไม่รู้สึกอะไรกับเรา มากกว่ากลัวจะมีปัญหาเพราะเรื่องที่เราสองคนมาจากสองราชสำนักเสียอีก” พอพูดถึงความรู้สึกแล้ว ก็ราวกับเป็นชนักปักหลัง



   …มาที่นี่เพื่อเข้าใกล้ราชสำนักอนันตราชเพื่อผลประโยชน์ของสมุทรา…แต่จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร ในเมื่อมันคือการหักหลังเตชินทร์อย่างร้ายกาจถึงเพียงนี้…



   “รู้สึกอะไรกับเราบ้างไหม ท่านสน” เตชินทร์ย้ำถามเสียงอ่อนระโหยราวกับจะขาดใจ ดวงเนตรส่อแววอ้อนวอน สนธยาเม้มริมฝีปากแน่น ใจหนึ่งอยากเอ่ยความรู้สึกที่แท้จริงให้รับรู้ ทว่าอีกใจ…กลับบอกว่าไม่ควร



   …ไม่ควร เพราะพวกเขามาจากราชสำนักที่ต่างกัน…ไม่ควร เพราะพวกเขาเป็นชายเฉกเช่นเดียวกัน…ไม่ควร เพราะพวกเขาอาจถูกกดดันด้วยผลประโยชน์มหาศาล…ไม่ควร พวกเขาไม่ควรอยู่ด้วยกันด้วยเหตุผลประการทั้งปวง…



   “หากท่านเป็นคนธรรมดา ทุกอย่างอาจราบลื่นกว่านี้” สนธยาทำได้เพียงพึมพำเสียงเบา และนั่นทำให้เตชินทร์ต้องเพิ่มแรงกอดรัดให้แนบแน่นยิ่งขึ้น เพราะเกรงอีกฝ่ายจะปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย



   “แต่ถ้าหากเราเป็นคนธรรมดา เรากับท่านอาจไม่ได้แม้แต่จะพบหน้ากันด้วยซ้ำ ไม่คิดหรือว่าที่ทั้งเราและท่านต่างเป็นองค์ชายจากสองราชสำนัก คือสาเหตุที่ทำให้ได้มาเจอกัน ได้รักกัน เพราะหากท่านเกิดร่วมราชสำนักเดียวกับเรา เราและท่านก็เป็นเพียงพี่น้องเท่านั้น ไม่อาจได้ครองคู่เฉกเช่นคู่ชีวิตหรอก”



   “และถ้าหากท่านเกิดเป็นหญิง องค์หญิงแห่งราชสำนักสมุทราต้องขึ้นครองราชย์ จะอภิเษกกับองค์ชายราชสำนักอื่นอย่างเราก็ไม่ได้อีก เราที่เป็นเพียงองค์ชายรัชทายาทลำดับที่สองไม่คู่ควรกับว่าที่ราชินีแน่” ช่างเป็นคำพูดที่เจียมเนื้อเจียมตัวเสียเหลือเกินจนสนธยาฟังแล้วยังใจอ่อน ฝ่ามือสีน้ำผึ้งที่วางอยู่บนอกหนาแกร่งของคนที่โอบแขนกอดรัดร่างเขานั้น ลูบเนื้อแน่นใต้ฝ่ามือไปมา



   “ท่านสน เราอยากให้ท่านรู้ ตั้งแต่แรกที่ท่านเหยียบอนันตราช เรารู้ว่าท่านมาที่นี่ทำไม เรารู้ว่าราชินีวารีวาทต้องการสิ่งใดจากอนันตราช การเป็นบ้านพี่เมืองน้องไม่ใช่สถานะที่เพียงพอต่อความมั่นคงของสมุทรา ไม่ใช่เพียงสมุทราหรอกที่ได้ยินข่าวเรื่องล่าอาณานิคมของพวกตะวันตก อนันตราชเองก็ได้ยินข่าวลือนี้หนาหูขึ้นทุกวัน แม้แต่พวกเรายังระแวง สมุทราจะไม่ระแวงเลยก็เห็นจะไม่ใช่ราชินีวารีวาท”



   “แล้วท่านก็ยังยอมอย่างนั้นหรือ” สนธยาถาม ดวงเนตรสีอ่อนเพ่งมองใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างคาดหวังอยากรู้ แม้ส่วนหนึ่งจะหวั่นในคำตอบมากก็ตามที



   “มีเหตุใดให้ไม่ยอมเล่า ราชินีวารีวาทมีปัญญาแยบยล การได้เป็นพันธมิตรถือว่าเป็นเรื่องดี หรือต่อให้หมดราชินีวารีวาท สมุทราก็เป็นเกาะที่ใกล้ชิดอนันตราชมากที่สุด อนันตราชไม่อาจปล่อยให้สมุทราตกอยู่ใต้กำมือใครได้” ที่ตั้งของสมุทรานั้น อยู่ใกล้กับท่าเรือหลักของอนันตราช หากพูดถึงประเด็นเรื่องความมั่นคงแล้ว อนันตราชคงระแวงไม่น้อย หากปล่อยให้สมุทราตกอยู่ในเงื้อมมือของฝ่ายที่ไม่ประสงค์ดีต่อตน



   “ที่สำคัญ การรับท่านเข้ามาในอนันตราชครั้งนี้ นอกจากจะทำให้อนันตราชมั่นคงด้วยแล้ว ยังทำให้เราได้อยู่ใกล้ท่านมากกว่าเดิม…” ไม่พูดเปล่า แต่เตชินทร์ยังรั้งกายของอีกฝ่ายให้เข้าใกล้แนบชิดเสียจนแทบจะใช้ลมหายใจเดียวกัน



   “เอ่อ…ใกล้ไปหน่อยไหม” ไอร้อนจากกายสูงหนาที่โอบรัดไม่เท่ากับสายตาที่ทอดมองมาอย่างลึกซึ้ง สนธยานึกสะท้านวาบไปทั้งกาย แม้ใจจะโอนอ่อนไปเกินครึ่ง แต่จะให้เคลิ้มตามเสียหมด ก็ดูจะเสียชื่อโอรสแห่งราชินีวารีวาท



   “ไม่ใกล้หรอก อีกหน่อยจะใกล้กว่านี้อีก…” สนธยาแทบไม่อยากจะจินตนาการว่า ‘อีกหน่อย’ ที่อีกฝ่ายว่าจะใกล้ชิดถึงเพียงไหน ทว่าร่างทั้งร่างก็เกร็งขึงด้วยความตื่นตระหนกไปเสียแล้ว จนเตชินทร์ต้องออกปากเพื่อให้คนในอ้อมแขนคลายกังวล


   “เรารอท่านมานาน ท่านสน…รอที่จะได้กอดท่าน รอที่จะได้อยู่ใกล้ๆท่าน เรารอ…แม้ไม่มีหวังก็ยังรอ หากแต่สุดท้ายฟ้าดินก็เป็นใจ ท่านอย่าใจร้ายใจดำกับเราเลย…” เตชินทร์ไม่พูดเปล่าแต่ก้มลงฝังหน้าลงกับลาดไหล่ของคนในอ้อมแขน สนธยาตัวขึงเกร็งอยู่ครู่หนึ่งด้วยความตกใจที่อีกฝ่ายชิดใกล้ถึงเพียงนี้ ทว่า…อาจจะเพราะประโยค ‘อย่าใจร้ายใจดำกับเราเลย…’ นั่นกระมัง จึงทำให้เขายอมยกสองแขนขึ้นโอบรัดแผ่นหลังกว้างของอีกฝ่ายแต่โดยดี


   … จะไม่ใจร้าย จะไม่ใจดำ จะยอมทำตามที่หัวใจอยากทำ…ต่อให้เป็นชายเช่นเดียวกัน ต่อให้มาจากราชสำนักที่ไม่เหมือนกัน หรือ…ต่อให้…เบื้องหลังของเขาจะถูกชักใยด้วยผลประโยชน์มากมาย แต่เมื่อเวลานี้…มีกันเพียงแค่สองคนแล้ว…สนธยาก็ไม่อาจทำใจปล่อยอีกฝ่ายให้หลุดลอยออกจากมือได้เช่นกัน…


   องค์ชายหนุ่มแห่งอนันตราชรับรู้ถึงแรงกอดรัดแล้วได้แต่ยิ้มบางกับตัวเอง หากแต่เมื่อเขาละสายตาจากลาดไหล่ของสนธยามองออกไปยังนอกหน้าต่างบานกว้างก็ทำเอาองค์ชายหนุ่มแห่งอนันตราชตัวแข็งทื่อเบิกตาโพลง



 เปลวเพลิง!!! เปลวเพลิงลุกโพลงไม่ไกลจากตำหนัก!!! เตชินทร์จับจ้องเปลวเพลิงสีแดงที่โหมกระหน่ำด้วยความตกตะลึง  จากตำแหน่งที่ไฟร้อนแผดเผาส่งควันมอดไหม้ขึ้นสู่ท้องฟ้ายามเย็นนั้น บอกได้เป็นอย่างดีว่าที่ตรงนั้น…ที่ตรงนั้นที่กำลังถูกเปลวเพลิงมอดไหม้ให้พังพินาศคือคุกใต้ดิน!!!



   …คุกใต้ดินกำลังถูกเพลิงไหม้เผาให้ย่อยยับ…คุกใต้ดินที่มีหนึ่งชีวิตถูกขังอยู่ในนั้น…



   …อังกูร!!!!...



   ครืด!!!



เตชินทร์เอื้อมแขนข้างหนึ่งไปรูดม่านปิดบานหน้าต่างอย่างรวดเร็ว ทั้งที่มืออีกข้างยังกอดรัดร่างของสนธยาไม่ปล่อย



   บุรุษร่างโปร่งหันมองตามเสียง ก่อนจะขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัย



   “ปิดม่านทำไมหรือ”



   “แดดร้อนน่ะ ท่านสนไปนั่งตรงนั้นเถอะ เราขอปิดม่านสักหน่อย” เตชินทร์กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนจะผลักสนธยาไปยังเก้าอี้ด้านในห้อง



   “แดดร้อน? ตอนเย็นเช่นนี้น่ะหรือ” สนธยาย้อนถามด้วยความสงสัย ตั้งแต่เขามาอยู่ที่อนันตราช เขาไม่เคยเจอกับคำว่า ‘อากาศร้อน’ เลยสักครั้ง อีกทั้งแสงอาทิตย์ของที่นี่ก็เบาบางมากกว่าที่สมุทรามากโขจนแทบไม่รู้สึกระคายผิวเลยสักน้อย


   “ใช่ ท่านไปนั่งเถอะ” เตชินทร์สำทับ แล้วรีบผละไปปิดม่านอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งหน้าต่างบานสุดท้าย องค์ชายหนุ่มแห่งอนันตราชหยุดนิ่งอยู่ตรงนั้นอึดใจ สายเนตรเพ่งมองออกไปนอกหน้าต่างราวกับเจ็บช้ำและโกรธแค้น ทว่าสองมือก็กระตุกม่านปิดเข้าหากันอย่างรวดเร็ว



   ภายในห้องมืดลงทันตาเห็น สนธยามองเจ้าของห้องอย่างสงสัย



   “ข้างนอกมีอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ” ท่าทางผิดสังเกตของเตชินทร์ทำให้เขาต้องเอ่ยปากถาม ทว่า...เตชินทร์ก็รีบตอบกลับอย่างรวดเร็วเช่นกัน



   “ไม่มีอะไร”



   “เกิดเรื่องดี หรือเรื่องไม่ดี” ดูเหมือนสนธยาจะไม่ฟังคำตอบของเตชินทร์เลยแม้แต่น้อย เจ้าตัวส่งคำถามต่อเนื่อง จนร่างสูงได้แต่นิ่งมองคนถามด้วยความเจ็บร้าวไปทั้งอก หากแต่เพียงชั่วอึดใจ ร่างสูงสง่าของเตชินทร์ก็ก้าวเข้าไปคว้าร่างของสนธยาเข้ามากอดแน่น



   “เราไม่รู้ ท่านสน…เราไม่รู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี…” ร่างสูงใหญ่สั่นสะท้านราวกับจะพังทลายจนสนธยาที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกได้แต่โอบกอดเอาไว้อย่างปลอบประโลม



   “ท่านเตช…”



   “ได้โปรดอยู่เคียงข้างเรา อย่าจากเราไป…” เสียงที่อ้อนวอนนั้นไม่หลงเหลือความเชื่อมั่นใดๆอีกแล้ว สนธยาทั้งแปลกใจทั้งสงสาร ได้แต่โอบกอดร่างอีกฝ่ายเอาไว้แน่นขึ้น



   “เราไม่ไปไหนหรอก เราจะอยู่ตรงนี้”



   “อย่าไปจากเรา…อย่าไปจากเรา…” เตชินทร์ได้แต่ครวญเสียงแผ่ว ภาพไฟลุกไหม้โหมกระหน่ำยังคงติดตา เขาไม่รู้ว่าอังกูรที่อยู่ในคุกนั้นจะมีสภาพเป็นเช่นไร



   …คุกที่ก่อด้วยหิน อับทึบ ไม่มีทางออก…กับไฟที่โหมรอบอยู่ภายนอก ส่งไอร้อนเข้าไปแผดเผาหลอมละลาย…



   …อังกูร!!...


ติดตามตอนต่อไป
   เอ่อ…เดือนครี่งเนอะ…ไม่มีอะไรจะมอบให้ทุกคนนอกจากคำว่าขอโทษที่มาช้านะคะ T^T
   บัวพยายามเร่งมือมากที่สุดแล้ว แต่ด้วยอะไรหลายๆอย่าง มันก็เลยเลทมาถึงขนาดนี้
   ขอโทษมากๆนะคะ แล้วก็ขอบคุณสำหรับความคิดถึง ความห่วงใย ที่ยังคงมีให้เสมอมาค่ะ
   ขอบคุณพื้นที่บอร์ดด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 12...อัพ 16/2 (หน้า 15 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: gupalz ที่ 16-02-2014 20:39:27
อังกูรจะเป็นอะไรมั้ยน่ะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 12...อัพ 16/2 (หน้า 15 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: greenapple ที่ 16-02-2014 21:03:17
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 12...อัพ 16/2 (หน้า 15 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: วัวพันปี ที่ 16-02-2014 21:05:11
ซับซ้อนมาก :ling1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 12...อัพ 16/2 (หน้า 15 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 16-02-2014 21:08:37
ลึกลับซับซ้อนมากอะ เมื่อไหร่จะได้แต่งงานกันน้าาาา
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 12...อัพ 16/2 (หน้า 15 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: kongxinya ที่ 16-02-2014 21:14:59
ง่ะ  องค์ราชินีวารีวาทช่างเป็นผู้ที่น่ากลัวอย่างที่สุด  o22

หวังว่าอังกูรคงจะไม่เป็นอะไรไปนะ  :mew2:

รอตอนต่อไปค่ะ   :L2: :กอด1: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 12...อัพ 16/2 (หน้า 15 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 16-02-2014 21:32:40
อังกูรรร
หวังว่าจะไม่มีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นนะ
ไม่อยากให้เศร้าเลย
พระนายของเรากำลังจะไปกันได้ด้วยดีแล้วแท้ๆ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 12...อัพ 16/2 (หน้า 15 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: saruttaya ที่ 16-02-2014 21:32:54
อังกูรรร อย่าเป็นอะไรน้าา
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 12...อัพ 16/2 (หน้า 15 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: strawberryboys ที่ 16-02-2014 21:40:19
อ๊ายยยยย มาต่อแล้ว ดีใจจัง /มาต่อไวๆนะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 12...อัพ 16/2 (หน้า 15 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 16-02-2014 21:47:19
คนที่ไม่รู้อะไรเลยก็น่าสงสารนะ ชีวิตตัวเองจะเป็นไปในทิศทางไหนยังไม่รู้
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 12...อัพ 16/2 (หน้า 15 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: koikoi ที่ 16-02-2014 21:47:54
ไม่นะ :ling3:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 12...อัพ 16/2 (หน้า 15 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 16-02-2014 21:54:30
ทำไมเรื่องมันเป็นอย่างนี้ล่ะ อังกูรเป็นคนดีนะ  :m15:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 12...อัพ 16/2 (หน้า 15 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: maru ที่ 16-02-2014 21:58:03
อังกูรเป็นอะไรหรือเปล่า วารีวาทมีแผนอะไรกันแน่
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 12...อัพ 16/2 (หน้า 15 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: mur@s@ki ที่ 16-02-2014 21:58:47
สมิตน่าจะไปช่วยอังกูรออกมาได้
แต่ใครล่ะ ที่เป็นคนวางเพลิง


ขอกอดบ้างสิ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 12...อัพ 16/2 (หน้า 15 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 16-02-2014 22:13:46
ดีใจที่ได้อ่านต่อค่ะ นานแค่ไหนก็รอได้  :mc4:
เป็นแผนหรือเปล่านะ ไม่งั้นอังกูรคงไม่ขอให้สมิต
รั้งสองคนนั้นไว้ด้วยกันหรอก เนอะ!
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 12...อัพ 16/2 (หน้า 15 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Gokusan ที่ 16-02-2014 22:55:59
อ่า...ง่า...น้ำตาจะไหล
บีบเกินไป...สงสารท่านเตช

อึนๆ หวานๆ เปิดใจรับกันไป
แล้วมาลงท้ายตอนเยี่ยงนี้มัน...T^T

แผนที่วางไว้คืออะไร...เป็นยังไงต่อล่ะนี่ ซับซ้อนแท้...ราชินี
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 12...อัพ 16/2 (หน้า 15 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 16-02-2014 23:08:38
ง่าาาาาาาาา
ทำไมดราม่าเฉยเลย
ฮืออออ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 12...อัพ 16/2 (หน้า 15 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: korinasai ที่ 17-02-2014 00:04:47
รอตอนต่อไป  :katai5:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 12...อัพ 16/2 (หน้า 15 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: ลิงน้อยสุดเอ๋อ ที่ 17-02-2014 09:52:41
อังกูรโดนย่าง

จะเป็นไรไหมน้อ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 12...อัพ 16/2 (หน้า 15 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: =นีรนาคา= ที่ 17-02-2014 10:58:50
อังกูรจะเป็นไรมั้ยนะ อย่าให้อังกูรเป็นอะไรไปเลย
เรื่องมันซับซ้อนมากจริงๆ
 :z3:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 12...อัพ 16/2 (หน้า 15 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Noo_Patchy ที่ 17-02-2014 11:26:49
 :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: อังกูร อย่าเป็นไรไปนะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 12...อัพ 16/2 (หน้า 15 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: SenzaAmore ที่ 17-02-2014 11:42:28
อาจจะเป็นวิธีเดียวที่ทำให้อังกูลไม่โดนประหารก็ได้นะ แบบแกล้งทำเหมือนอังกูลตายไปแล้วแต่อาจจะมีคนมาช่วยไว้ลับๆ

เดาอ่ะนะ รอตอนต่อไปดีกว่า :mew1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 12...อัพ 16/2 (หน้า 15 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 17-02-2014 13:39:42
อังกูรต้องไม่เป็นอะไร ต้องเป็นแผนอีกแน่ๆ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 12...อัพ 16/2 (หน้า 15 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 17-02-2014 19:29:32
บางทีอาจจะเป็นแผนของราชินีอีกก็ได้ อรุณาคงงไม่น่าตตายละมั้ง
หรืทไม่อังกูรอาจจะเผาเองก็ได้อีก
ว่าแต่ราชินีนี่เหี้ยมกวืาที่เราคิดนะ  อ่านแล้วมันน :a5: :a5:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 12...อัพ 16/2 (หน้า 15 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 18-02-2014 09:48:05
ใครทำอีกเนี่ย  :เฮ้อ:

ต้องมีเรื่องแหงมๆ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 12...อัพ 16/2 (หน้า 15 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 18-02-2014 20:24:48
เอร้ย ไหม้ได้ไงใครวางเพลิง
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 12...อัพ 16/2 (หน้า 15 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: bobby_bear ที่ 19-02-2014 07:32:57
ง่ะ

ราชินีนี่เก่งนะ สมเป็นราชินี แต่ในฐานะแม่นี่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่
แต่แอบเข้าใจนะ บางทีต้องเสียเรื่องในครอบครัวเพื่อบ้านเมืองและคนอีกทั้งเมือง

เราว่าอังกูรเก่งพอที่จะเอาตัวรอดและมองเหตุการณ์ออก ต้องรอด เอาใจช่วย

รักกันแล้ว อิอิ เหลือแค่เปิดใจจริงจังสินะ

สู้ ๆ นะครับ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 12...อัพ 16/2 (หน้า 15 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: hewlett ที่ 19-02-2014 15:43:34
อรุณาวางเพลิงหรือเปล่า
หรือเป็นแผนของใครอีก
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 12...อัพ 16/2 (หน้า 15 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: june55 ที่ 19-02-2014 21:11:44
ดีใจจังมาต่อแล้ว นึกว่าตาฝาด มาต่อบ่อยๆนะ ^^
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 12...อัพ 16/2 (หน้า 15 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 19-02-2014 22:30:08
โอ้ยยย สู
ทั้งค้างและบีบหัวใจ และ ซับซ้อนยิ่งนัก
ท่านผู้แต่งมาช้าเรารอได้
แต่อย่าทิ้งเราไปนะ (เลียนเสียงองเตช)
รอคอยตอนต่อไปเจ้าค่ะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 12...อัพ 16/2 (หน้า 15 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 20-02-2014 13:15:47
อังกูรจะรอดไหม หรือราชินีจะวางแผนฆ่า
ซับซ้อนมากเลยนะตอนนี้
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 12...อัพ 16/2 (หน้า 15 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: saruttaya ที่ 20-02-2014 15:38:37
รู้สึกดราม่าแปลกๆแฮะ  :o12:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 12...อัพ 16/2 (หน้า 15 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: keinoo ที่ 20-02-2014 23:46:23
ไล่อ่านทันแร้ว  รอติดตามต่อปายคร่าา
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 12...อัพ 16/2 (หน้า 15 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: sukaz ที่ 20-02-2014 23:51:14
เวงแล้วมั๊ยล่ะนั้น

 :mew5: :mew5: :mew5:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 12...อัพ 16/2 (หน้า 15 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: ophena ที่ 22-02-2014 15:20:29
นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นเนี่ย  สงสารอังกูรจัง
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 12...อัพ 16/2 (หน้า 15 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: paladin.kn ที่ 24-02-2014 00:28:11
อ๊ายยยยยยยยยยยยยยย

ค้างอ่ะค้างงงงงงง

 :z3: :z3: :z3:

ตอนนี้แบบว่าหลงรักท่านเตชยิ่งกว่าเก่า

รู้ทุกอย่างแต่ก็ยังยอมม โอ้ยย พ่อพระเอกกกก

มาต่อไวๆนะค้าาา เรารออยู่ สู้ๆค่าาา
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 12...อัพ 16/2 (หน้า 15 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Lily teddy ที่ 24-02-2014 00:55:57
โห แผนการองค์ราชินีช่างสลับซับซ้อน และทุ่มเทปูเส้นทางมายาวนานจริง องค์สนกลายเป็นบรรณาการไปซะแล้ว
และทั้งองค์เตช ทั้งอังกูรนี่โดนองค์ราชินีหลอกใช้ด้วยไหมนะ แล้วเรื่องไฟไหม้เกี่ยวข้องกับองค์ราชินีรึเปล่า
หรือมีใครตั้งใจสร้างสถานการณ์ แล้วอังกูรจะเป็นยังไงบ้างนะ มีแต่ปริศนาอะ
รอติดตาม และบวก บวก เป็นกำลังใจให้ผู้เขียนมาต่อไว ๆ นะคะ  :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 12...อัพ 16/2 (หน้า 15 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: pachth ที่ 03-03-2014 19:52:07
อังกูร....
ไม่นะ
คนเขียนไม่ใจร้ายหลอกเน้อะๆๆ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 12...อัพ 16/2 (หน้า 15 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 17-05-2014 20:58:40
มามะๆๆๆๆ
 :z10:  :call: :z10:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 12...อัพ 16/2 (หน้า 15 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: ReiSei ที่ 03-06-2014 16:22:42
อ่านรวดเดียวจบเลย รู้สึกว่ายังมีแผนการบางอย่างอยู่ใช่มั้ยคะตามปากคำของอังกูร
อยากอ่านต่อง่าา  จะรอวันองค์สนหลงองค์เตชบ้าง  องค์เตชพร่ำเพ้ออยู่ฝั่งเดียวน่าสงสารออก  :-[
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 12...อัพ 16/2 (หน้า 15 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: PAiPEiPEi ที่ 21-06-2014 23:50:18
5555555 ทำไมเราขำประโยคนี้จัง

“ทำองค์ให้กระฉับกระเฉงดูเหมือนกำลังเลี้ยงหอยหน่อยสิพระเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวคนอื่นมาเห็นจะพูดเอาได้ว่าพระองค์อู้งาน”

คือเลี้ยงหอยต้องกระฉับกระเฉงแค่ไหนหรอคะ นึกไม่ออก ._____.? 555555555555555
หัวข้อ: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 13...อัพ 23/6 (หน้า 16 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Dezair ที่ 23-06-2014 21:45:50
NOV: ด้วยพันธะบรรณาการ
By: Dezair
……………………..
บทที่ 13


   ร่างผอมบางยืนจ้องมองกองไฟที่ลุกโหมจากหลังพุ่มไม้หนาทึบ ดวงเนตรจับจ้องอย่างสาแก่ใจ เรียวปากบางยกยิ้มเมื่อคิดถึงผู้ที่อยู่ในคุกคงจะมีสภาพไม่ต่างจากกองขี้เถ้าที่ถูกเผาไหม้เป็นจุล



   “พอได้หรือยังพระเจ้าค่ะ องค์หญิง” หากแต่เสียงจากด้านหลังทำเอา รอยยิ้มที่มุมปากนั้นแห้งเหือดอย่างรวดเร็ว



   อรุณาหันขวับกลับไปมองตามเสียงด้วยดวงตาอันเบิกโพลง



   “ชีวิน!”



   “พระเจ้าค่ะ พระองค์คงไม่คิดว่าที่สามารถวางเพลิงคุกในอาณาเขตตำหนักอนันตราชได้ จะเป็นเพราะทหารของอนันตราชหละหลวม หรือแม้แต่พระองค์เก่งกาจเกินไปหรอกนะพระเจ้าค่ะ” ชีวินเอ่ยเสียงเรียบเรื่อย ในขณะที่ไฟยังลุกโชนอยู่เหนือคุกโดยปราศจากทหารเวรยามคนใดเข้าไปดับ บริเวณรอบคุกใต้ดินนั้น ถูกวางทหารเอาไว้อย่างหละหลวมตามคำแนะนำของราชินีวารีวาทที่ทรงรู้พระทัยธิดาเป็นอย่างดี



   …ราชินีวารีวาททรงรู้ดีว่าองค์หญิงอรุณาจะไม่ยอมวางมือ…อรุณาหักหลังคนได้ทั้งอาณาจักร แต่ถ้ามีใครแม้แต่คนเดียวหักหลังอรุณา มันผู้นั้นจะไม่มีวันมีชีวิตที่เป็นปกติสุข หากอรุณายังมีชีวิตอยู่…



   “พระองค์ทรงทราบใช่ไหมพระเจ้าค่ะ หากถูกจับได้ในครั้งนี้ อนันตราชจะไม่ไว้ชีวิตของพระองค์” ชีวินตั้งคำถาม



   “ข้าไม่สน!!! ข้าต้องการแก้แค้นไอ้ทหารสารเลวนั่นที่มันลอบกัดข้า!! และเวลานี้มันก็กำลังทุรนทุรายอยู่ในคุกนั่น!! มันจะต้องตายอย่างทรมาน!!!”



   “พระองค์รักความอาฆาตพยาบาทมากกว่าชีวิตของพระองค์เสียอีกนะพระเจ้าค่ะ” น้ำเสียงของชีวินนั้นยังคงราบเรียบราวกับพูดคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ อรุณานิ่งชะงักไปกับวาจาของชีวินที่ราวกับประชดประชัน



   “ข้าจะรักอะไรก็เรื่องของข้า!! เจ้าไม่เกี่ยว อย่าแส่!!!”



   “เห็นจะไม่ได้พระเจ้าค่ะ เรื่องนี้กระหม่อมเกี่ยวโดยตรงตามโองการของราชินีวารีวาทและกษัตริย์วิภู…” องครักษ์ในองค์ชายสนธยาจับจ้องพักตร์งามขององค์หญิงอรุณาด้วยสายตานิ่งเย็นดุจสายน้ำ และเป็นฝ่ายคนถูกจับจ้องที่เริ่มถอยร่นด้วยการก้าวถอยหลังช้าๆ อย่างหวาดหวั่นเมื่อชีวินเริ่มก้าวเข้าหาช้าๆ



   “เสด็จแม่มีโองการอะไรกับเจ้า!”



   “โองการ…ให้กระหม่อมส่งพระองค์กลับสมุทรา…” ชีวินก้าวเข้าหาช้าๆ ดวงตายังจับจ้องใบหน้าขององค์หญิงอรุณา



   “ไม่ต้องส่งข้ากลับ! ข้าก็จะกลับเอง!! สมุทราเป็นของข้า!! บัลลังก์ของสมุทราเป็นของข้า!! ให้อย่างไรข้าก็จะกลับไปทวงคืน!!!”



   “เหลือหัตถ์เพียงข้างเดียว ก็ยังหมายมั่นปรารถนาสิ่งนั้นสิ่งนี้หรือพระเจ้าค่ะ” องครักษ์หนุ่มตั้งคำถามอีกครั้ง ฝ่าเท้าขององค์หญิงถอยหลังจนพ้นพุ่มไม้ที่บดบังอยู่แล้ว เบื้องหลังอันใกล้คือคุกใต้ดินที่ถูกไฟครอกแผ่ความร้อนพวยพุ่ง อรุณามองรอบกายอย่างตื่นตระหนก บัดนี้พระองค์ก้าวออกมายืนกลางแจ้ง แม้จะเป็นเวลาเย็นย่ำ แต่ก็พอมองเห็นว่าพระองค์ยืนอยู่ที่นี่



   …ทว่า…ไม่มีทหาร…ไม่มีฝ่ายอนันตราชสักคน! ทั้งๆที่อยู่ในเขตกรมวังของอนันตราช!!!...



   “กษัตริย์วิภูมีพระราชานุญาตให้สมุทราใช้พื้นที่ตรงนี้ของกรมวังเพื่อสะสางปัญหาให้เรียบร้อย โดยที่อนันตราชจะไม่เข้ามาวุ่นวาย พระองค์คงทอดเนตรแล้วว่าไม่มีทหารของอนันตราชเลยสักคน” อรุณาเบิกเนตรกว้างด้วยความตกตะลึงก่อนจะแผดเสียงดังลั่นด้วยความอาฆาต



   “พวกเจ้าหลอกข้า!!!!!” แล้วพลันองค์หญิงผู้ตกอยู่ในเพลิงแค้นก็นึกถึงทหารอีกหนึ่งคนของอนันตราชที่พระองค์เข้าใจว่าอยู่ในคุกใต้ดิน



   …ถ้ากษัตริย์วิภูมีรับสั่งว่าจะไม่เข้ามาวุ่นวาย แล้วอังกูรเล่า?! อังกูรยังอยู่ในคุกหรือไม่?!!!...



   “แล้วอังกูร?!! มันยังอยู่ในคุกไหม!! มันจะตายในคุกไหม?!!!!” พักตร์งามอัดแน่นไปด้วยความเคียดแค้น ชีวินไม่ตอบคำถามที่เต็มไปด้วยแรงอารมณ์ เขาทำเพียงแค่จ้องมององค์หญิงเบื้องหน้าด้วยดวงตาว่างเปล่า ยิ่งส่งผลให้อรุณารุ่มร้อนเพราะไฟโทสะที่สุมทรวง



   “ตอบข้าชีวิน!! อังกูรมันยังอยู่ในคุกรึเปล่า?!!!!” อรุณาตาลีตาเหลือก ถลาเข้าไปกระชากเสื้อของชีวินอย่างคาดคั้น



   “ทำไมพระองค์ไม่เสด็จเข้าไปทอดเนตรเองล่ะพระเจ้าค่ะ” ชีวินเสนอด้วยน้ำเสียงเย็นเรียบ ทำเอาคนฟังชะงัก เหลือกตาเบิกโตด้วยความตกใจ เมื่อชีวินเสนอให้พระองค์เข้าไปในกองไฟที่กำลังลุกโชน



   …เหมือนบอกให้ไปตาย!...ชีวินกล้าดีอย่างไร เอ่ยปากเช่นนี้!!!...



   “เจ้า!...ไหนว่าเสด็จแม่มีโองการให้ส่งข้ากลับ…”



   “พระเจ้าค่ะ…” ชีวินน้อมรับด้วยสายตาเย็นเยือก และไม่ทันที่อรุณาจะได้พูดสิ่งใด ความรู้สึกเจ็บแปลบก็พุ่งวาบขึ้นที่หน้าท้อง สตรีงามแห่งบัลลังก์สมุทราก้มพักตร์ลงสำรวจความเจ็บปวด ก่อนจะตกตะลึงพรึงเพริดเมื่อเห็นมือขาวของชีวินปักมีดลงกับท้องของพระองค์



   “เจ้า…” พระองค์ครวญ พลันนั้นความรู้สึกกลัวตายแจ่มชัดในมโนสำนึก



   “นี่คือโองการของราชินีวารีวาทพระเจ้าค่ะ…พระองค์จะรู้สึกเจ็บปวดเพียงครู่เดียวเท่านั้น เมื่อยาพิษออกฤทธิ์ พระองค์จะหมดลมหายใจอย่างสงบดังที่ราชินีวารีวาทกำชับกับกระหม่อมว่า…ให้นำดวงวิญญาณของพระองค์ออกจากร่างอย่างเจ็บปวดน้อยที่สุด และส่งร่างไร้วิญญาณของพระองค์กลับสู่สมุทรา…”



   สิ้นประโยคนั้น อรุณาก็ได้แต่กรีดร้องอย่างอาฆาตแค้น ร่างเล็กบอกบางที่เหลือมือเพียงข้างเดียวทรุดฮวบลงกับพื้นอย่างพ่ายแพ้ หากแต่มือที่เหลืออยู่เพียงแค่ข้างเดียวกลับกำแน่นด้วยแรงโทสะ



   “พวกเจ้า!!! ไอ้พวกสมุทรา!!! ไอ้พวกอนันตราช!!!!...” ริมฝีปากอิ่มด้านชาอย่างรวดเร็วและขยับไม่ได้ ได้แต่อ้าค้างอยู่เพียงเท่านั้น ทว่าสายเนตรที่จับจ้องมาที่ชีวินนั้น บอกได้เป็นอย่างดีว่าอรุณาแค้นเคืองทั้งอนันตราชและสมุทราเพียงใด



   ร่างผอมบางไหลลู่ลงนอนราบกับพื้นอย่างหมดฤทธิ์ต้าน ดวงตาเบิกค้าง มือยังกำแน่น ก่อนที่ลมหายใจสุดท้ายจะหมดลงในเวลาอันรวดเร็ว ชีวินมองร่างที่นอนอยู่ตรงหน้าด้วยความสังเวชใจ หากแต่ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการค้อมศีรษะหนึ่งครั้งเป็นการน้อมส่งเสด็จเป็นครั้งสุดท้าย



   “เรียบร้อยแล้วหรือ” เสียงทุ้มดังขึ้นเบื้องหลัง ทำเอาชีวินต้องหันมอง เขาเบิกตาเล็กน้อยอย่างยินดีที่เห็นอังกูร แม้อีกฝ่ายจะถูกพยุงด้วยแรงของสมิตก็ตาม



   “ข้านึกว่าท่านจะออกมาไม่ทันเสียแล้ว” ชีวินเอ่ยปากอย่างโล่งอก



   “ก็เกือบไปเหมือนกัน” ราวกับพนันด้วยชีวิต เพราะถ้าหากสมิตเข้าไปช่วยออกมาทางประตูลับไม่ทัน เขาอาจจะกลายเป็นเนื้ออบในคุกหินที่ถูกไฟเผา…ตายทั้งเป็น…ตายอย่างทุกข์ทรมาน…



   อังกูรมองร่างไร้ลมหายใจบนพื้นหญ้าแล้วได้แต่ถอนหายใจ



   …ความอาฆาตของอรุณานั้นหนักหนาสาหัสยิ่งนัก แต่นางก็ยังได้รับความกรุณาขั้นสูงสุดให้ดับสิ้นอย่างไม่ทุรนทุรายทางกาย…แต่…ทางใจของนาง…อาจจะกำลังถูกไฟเผาทั้งเป็น ทรมานไปชั่วกัปชั่วกัลป์ก็เป็นได้



   “แล้วจะเอาเช่นไรต่อ” อังกูรตั้งคำถามกับร่างไร้วิญญาณของสตรีผู้สูงศักดิ์ หากแต่ท้ายที่สุดกลับต้องหมดลมอย่างเดียวดายบนพื้นดินพื้นหญ้า



   …ไขว่คว้า ทะเยอทะยาน ละโลภโลบมาก…แต่สุดท้าย…แม้แต่จะกอบกำหญ้าสักกระจุกเล็กๆเอาติดตัวไปพร้อมกับวิญญาณยังทำไปไม่ได้…



   “ที่เหลือให้เป็นหน้าที่ของสมุทราเอง” ชีวินตอบเสียงเรียบหากแต่ก็ยังคงนอบน้อมต่ออังกูรเสมอ ทว่าสำหรับบางคนนั้น มองความนอบน้อมของชีวินไม่ออก



   “หึ! ใช้งานอนันตราชเสร็จก็โกยแน่บไปแต่เพียงลำพัง นิสัยดีน่ายกย่องจริง!” ชีวินเหลือบมองคนพูด หากแต่ไม่ตอบโต้สิ่งใดก่อนจะหันไปยังเบื้องหลังของตนซึ่งมีทหารของสมุทรายืนอยู่พร้อมกับหีบใบใหญ่ที่วางอยู่บนพื้น



   “เปิดหีบ” เขาสั่งสั้นๆ ทหารจึงเปิดฝาหีบขึ้น ภายในนั้นว่างเปล่า ไม่มีการปูด้วยพรมนุ่ม หรือประดับตกแต่งแต่อย่างใด ชีวินลดสายตาลงมองร่างที่แน่นนิ่งไม่ไหวติงขององค์หญิงอรุณา ก่อนจะถอนหายใจเสียทีหนึ่ง แล้วจึงก้มลงช้อนร่างผอมบางนั้นขึ้น เขาก้าวไปหยุดที่หน้าตัวเมียบ แล้วจึงวางร่างในอ้อมแขนลงลอย่างเบามือ



   …ไม่ต้องมีพิธีกรรม ไม่ต้องทำตามประเพณี…ทุกอย่างเงียบเชียบอย่างที่ถ้าวิญญาณขององค์หญิงอรุณากำลังทอดเนตรอยู่บัดนี้ คงจะกรีดร้องด้วยความเจ็บแค้นที่ร่างของพระองค์ถูกทำอย่างไร้เกียรติถึงเพียงนี้…



   “กระหม่อมมีเรื่องจะทูลเป็นครั้งสุดท้าย…” ชีวินเอ่ยเสียงเบาแผ่วกับร่างในหีบที่ดวงตายังคงถลึงโต มือยังจิกกำอย่างโกรธแค้นจนเขาทนไม่ไหวจำต้องยื่นมือไปจับมือที่กำจิกของสตรีผู้สูงศักดิ์แห่งสมุทรา แล้วปลดนิ้วออกจากการกอบกำทีละนิ้ว ทีละนิ้วอย่างช้าๆ



   “หากพระองค์ได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ขอให้ทรงจำเอาไว้ว่าเป็นเพราะองค์ชายสนธยา…” เขากล่าว ก่อนจะลุกขึ้นถอยห่างออกมาให้นายทหารปิดฝาหีบลง กลอนถูกสลักขังร่างผอมบางเอาไว้ในหีบ ก่อนที่ลูกกุญแจดอกใหญ่จะถูกส่งให้แก่ชีวิน เขาเก็บมันลงในเสื้อ ก่อนจะหันมาทางสมิตและอังกูรอีกครั้ง



   “ท่านอังกูรควรได้รับการพักผ่อน” เขาว่าเช่นนั้น เป็นเชิงเร่งให้สมิตพาอังกูรกลับเข้าตำหนักเสียที



   “แล้วเจ้าจะทำเช่นไรกับหีบนั่น” แต่สมิตกลับยังคงตั้งคำถามซ้ำซากจนคนถูกถามต้องถอนหายใจแผ่วที่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยอมจบข้อสงสัยเสียที



   “เจ้าควรบอกพวกข้า เพราะพวกข้าต้องเข้าเฝ้าองค์กษัตริย์ หากพระองค์ทรงถามเรื่องที่เกิดขึ้น ข้าจะได้อธิบายถูก” สมิตหว่านล้อมด้วยน้ำเสียงไม่หวานหูนัก



   “ข้าจะนำหีบใส่เรือส่งกลับไปสมุทรา”



   “แล้วจะพาองค์ชายสนธยากลับไปด้วยหรือไม่”



   “ข้าคิดว่าเรื่องนี้ ทางสมุทราตกลงกับทางอนันตราชเรียบร้อยแล้ว ก็ให้เป็นไปตามข้อตกลงนั้น”  ชีวินตอบ



   “หมายความว่าองค์ชายสนธยาไม่ต้องเสด็จกลับสมุทรา แล้วเจ้าล่ะ ต้องอยู่ที่นี่ด้วยไหม” สมิตถามทันควัน ทำเอาทั้งชีวินและอังกูรต้องเหลือบตากลับมามองอย่างประหลาดใจที่ในน้ำเสียงนั้น เต็มไปด้วยความอยากรู้มากกว่าจะสาปส่ง



   “เอ่อ…ข้า…ก็…ถามดู เผื่อจะได้เตรียมตัวเอาไว้ ว่าตำหนักอิฐจะมีทหารหน้าตายอย่างเจ้าเดินไปเดินมาสวนกับข้า” พอรู้สึกตัวว่าถูกจับจ้องสงสัยจากทั้งเพื่อนนายทหารและคนถูกเขาถาม สมิตก็รีบเอ่ยปากหาเหตุผลสนับสนุน แม้ว่ามันจะฟังดูแล้วไม่เข้าหูก็ตามที



   “ข้าเป็นองครักษ์ขององค์สน เพราะฉะนั้น ถ้าองค์สนอยู่ที่ไหน ข้าก็อยู่ที่นั่น” ชีวินตอบแต่เพียงเท่านั้น ก่อนจะหันไปพยักหน้าเป็นสัญญาณให้ทหารยกหีบตามตนที่เดินจากไป



   สมิตมองตามแผ่นหลังของอีกฝ่าย แม้เขาจะค่อนขอดว่าชีวินช่างเป็นทหารหน้าตายและไม่น่าคบหาก็เถออะ แต่พอได้ยินว่าอีกฝ่ายจะยังคงอยู่ที่นี่ ไม่ว่าจะด้วยฐานะอะไรก็ตาม…มันก็…ทำให้เขา…



   “ดีใจหรือ ที่ชีวินอยู่ต่อ” คำถามกระเซ้าราวกับอ่านใจออกดังมาจากเพื่อนรักที่เขายังคงพยุงเอาไว้ สมิตสะดุ้งน้อยๆ ก่อนจะเหลือบตามองคนถามอย่างตื่นๆ



   “ดีใจอะไร ข้าต้องเหนื่อยหาประโยคสวยๆไว้กัดเจ้านั่นอีกเยอะ!”



   “ก็ไม่ต้องไปกัดเขาสิ พูดอย่างที่อยากพูด เจ้าจะได้ไม่เหนื่อย” อังกูรสอนพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ



   “หรือว่า…ถ้าพูดอย่างที่อยากพูด เจ้าจะอาย…”



   “อายอะไรกัน! คนอย่างสมิต ไม่มีคำว่าอาย!! เจ้าดูแข็งแรงแล้ว ข้าไม่ต้องพยุงก็ได้กระมัง เดินกลับตำหนักเองแล้วกัน! แล้วอย่าลืมโผล่หน้าไปให้องค์เตชทอดเนตรด้วย ป่านนี้คงห่วงเจ้าพอดู!” สมิตปลดแขนเพื่อนออกจากไหล่ตัวเองแล้วหาเรื่องเดินหนีจากไปทันที อังกูรได้แต่มองตามหลังเพื่อน ก่อนจะเหลือบสายตามองกลับไปยังทางที่ชีวินเดินจากไปพร้อมกับหีบที่บรรจุร่างขององค์หญิงอรุณา



   ‘…หากพระองค์ได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ขอให้ทรงจำเอาไว้ว่าเป็นเพราะองค์ชายสนธยา…’



   หากได้กลับมามีชีวิตอีกครั้งอย่างนั้นหรือ?...



   อังกูรสังหรณ์ใจประหลาด ว่าวิญญาณขององค์หญิงอรุณาอาจจะไม่ได้ออกจากร่างโดยแท้จริง!!!

...............................



   ชีวินมองหีบที่ถูกวางลงในโถงของเรือด้วยสายตานิ่งสงบ เขาทำทุกอย่างตามที่ได้รับโองการมาแล้ว หากแต่…ท้ายที่สุด ก็เลือกที่จะให้ความสำคัญกับคำสั่งขององค์ชายสนธยาผู้เป็นนายของเขามากกว่าราชินีวารีวาทผู้กุมอำนาจสูงสุดของสมุทรา



   ‘เรารู้ว่าเสด็จแม่พระทัยแข็งเพียงใด เสด็จแม่จะต้องมีรับสั่งให้จัดการอรุณาขั้นเด็ดขาด แต่…ชีวิน…เราขอให้เจ้าทำตามคำพูดของเรา…จงไว้ชีวิตอรุณา…’



   ‘องค์สน! พระองค์ตรัสอะไรออกมา!!’



   ‘เรารู้ว่าอรุณานิสัยเช่นไร และเราก็ไม่ได้จิตใจงดงามเพียงพอที่จะให้อภัยใคร อรุณาทำกับเรา ทำกับเสด็จแม่ของเรา ราวกับไม่มีความผูกพันใดๆต่อกัน แต่…ที่อรุณาเป็นเช่นนี้ก็เพราะเสด็จแม่ เสด็จแม่พาอรุณาขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งนี้ ยัดเยียดความทะเยอทะยานใส่มืออรุณา กรอกหูให้อรุณาคาดหวังอย่างละโมบ เราอยากชดเชยในสิ่งที่เสด็จแม่ทำกับนาง เราอยากให้โอกาสนางอีกครั้ง’



   ‘แต่หากองค์หญิงอรุณายังมีชีวิต พระนางจะไม่ยอมให้พระองค์มีลมหายใจนะพระเจ้าค่ะ!’ สนธยาเงียบไปอึดใจ ก่อนจะตรัสอย่างแน่วแน่



   ‘เราจะให้โอกาสนางเป็นครั้งสุดท้าย ชีวิน…แค่ครั้งนี้…หากนางยังรักในความอาฆาตแค้น รักในความละโมบมากกว่าชีวิตของนาง เราจะยอมให้ใครก็ตามสังหารนางตามใจชอบ’



   ชีวินรู้ดีว่าการปล่อยให้อรุณามีชีวิตอยู่ ก็ไม่ต่างอะไรกับการปล่อยงูพิษที่บาดเจ็บและคลั่งแค้นให้หลุดมือ แต่…องค์ชายสนธยามีรับสั่งเช่นนั้น แล้วเขาจะกล้าขัดได้อย่างไรกัน



   “ทุกอย่างเรียบร้อยใช่ไหม ท่านชีวิน” เสียงสตรีผู้ยิ่งใหญ่แห่งสมุทราดังขึ้น ทำเอาชีวินต้องเหลือบตามองราชินีวารีวาทที่ประทับอยู่เบื้องหน้า เขาลดสายตากลับมาที่หีบซึ่งวางอยู่ข้างกายเขา ก่อนจะทูล



   “เรียบร้อยพระเจ้าค่ะ นี่คือกุญแจไขหีบ” เขายื่นกุญแจออกมาเบื้องหน้า นายทหารองครักษ์คนหนึ่งของราชินีวารีวาทก้าวออกมารับกุญแจไป ทว่าเสียงของราชินีผู้มากับเรือหลวงเพื่อมารับหีบศพของธิดากลับเอ่ยขัดเสียก่อน



   “ไม่ต้องไข เราเชื่อฝีมือชีวิน” ชีวินเพียงค้อมกายน้อยๆเป็นการรับความไว้วางใจนั้น



   “อันที่จริง เราไม่จำเป็นต้องมาถึงที่นี่ก็ได้ แต่เมื่อเช้านี้มีเรื่องต้องพูดคุยกับกษัตริย์วิภูเป็นการส่วนตัว เลยต้องกลับมาถึงนี่ แล้วก็เลยถือโอกาสรับอรุณากลับสมุทราด้วยเลย” เมื่อพูดถึงธิดาแล้ว ราชินีวารีวาทก็ปรายสายเนตรไปยังหีบไม้ขนาดย่อมนั่นอีกครั้ง



   “หวังว่าการที่เรามารับอรุณากลับด้วยตัวเอง คงไม่ทำให้ท่านชีวินอึดอัด”



   “ไม่มีเรื่องอันใดต้องอึดอัดกระหม่อม” ราชินีผู้สูงศักดิ์แย้มยิ้มเพียงเล็กน้อย



   “เราก็คิดเช่นนั้น ท่านรับโองการของเราด้วยดีเสมอมา เราขอบใจท่านมากที่ช่วยเหลือทั้งเรา ทั้งสนธยา และสมุทราด้วยดีมาตลอด”



   “นั่นเพราะสมุทราชุบเลี้ยงกระหม่อมมาพระเจ้าค่ะ บุญคุณต้องทดแทน”



   “ชีวิน มาใกล้ๆเรานี่…” ราชินีวารีวาทกวักหัตถ์เรียก พร้อมด้วยรอยแย้มสรวลเมตตา ชีวินขยับเข้าไปใกล้เพียงพอที่หัตถ์เล็กสีน้ำผึ้งของราชินีแห่งสมุทราจะวางลงบนหัวไหล่ของตนได้



   “สมุทราไม่ได้เลี้ยงดูเจ้า คนที่เลี้ยงดูเจ้าคือสนธยา เพราะฉะนั้น จงทดแทนบุญคุณกับสนธยา เรารู้ว่าเจ้าตระหนักในเรื่องนี้เสมอมา โองการของเราหากไม่ขัดกับคำสั่งของสนธยา เจ้าจะทำ แต่หากขัด เจ้าก็ต้องเลือกคนใดคนหนึ่ง เราไม่โกรธเจ้า ไม่คิดว่าเจ้าดูหมิ่นเรา เพราะการที่เจ้าเลือกสนธยา นั่นแสดงให้เห็นว่าการที่เราวางใจให้เจ้าอยู่เคียงข้างสนธยาคือการตัดสินใจที่ถูก” ชีวินได้แต่ก้มหน้านิ่ง ด้วยเพราะรู้ดีว่าคำสั่งที่องค์ชายสนธยามีต่อตนนั้น ราชินีวารีวาทคงล่วงรู้เข้าเสียแล้ว



   “ชีวิน จงรายงานสนธยาตามที่เจ้าทำ ส่วนเรื่องของอรุณาที่เหลือ เราจะขอรับไว้จัดการต่อเอง”



   “พระองค์…” ชีวินเงยหน้าสบเนตรสีน้ำตาลอ่อนของราชินีคนงามด้วยความเป็นกังวล ด้วยรู้กันดีว่าราชินีวารีวาทนั้นพระทัยแข็งเพียงใด หากพระองค์ตัดสินพระทัยแล้ว ให้อย่างไรก็ไม่มีวันเปลี่ยน



   “เราเป็นแม่ของสนธยา เราเองก็เมตตาคนอื่นไม่แพ้ที่สนธยาเมตตา และเราก็เป็นแม่ของอรุณา เราเมตตาคนอื่นได้ มีหรือเราจะเมตตาลูกตัวเองไม่ได้ กลับไปรายงานสนธยาตามที่เจ้าได้ทำตามคำสั่งเขาเถอะ” แม้จะไม่ได้เบาใจไปกับสิ่งที่ราชินีวารีวาทตรัส หากแต่ชีวินก็ไม่อาจขัดสิ่งใดได้ เขาทำได้เพียงค้อมกายบังคมลา ก่อนจะลุกขึ้นก้าวถอยออกมาจากห้องโถงบนเรือ



   ชายหนุ่มยืนมองจากท่า เมื่อเรือหลวงลำไม่ใหญ่นักของสมุทรากำลังแล่นออกสู่มหาสมุทรกว้างขวางเพื่อมุ่งสู่สมุทรา



   …และเขารู้ดี ครั้งนี้อรุณาจะไม่ได้กลับมาที่อนันตราชอีกเลย…



...................................................
หัวข้อ: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 13...อัพ 23/6 (หน้า 16 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Dezair ที่ 23-06-2014 21:46:29
ตอนที่สมิตเปิดประตูเข้าไปในห้องทรงงานขององค์ชายเตชินทร์นั้น องค์ชายผู้เป็นเจ้าของห้องทรงงานกำลังกลายร่างเป็น ‘บุรุษหนวดปลาหมึก’ คือรัดร่างองค์ชายสนธยาเอาไว้แน่นราวกับไม่คิดจะปล่อยอีกฝ่ายออก อันที่จริง สมิตก็เข้าใจอยู่หรอกว่าองค์ชายเตชินทร์กำลังอยู่ในภวังค์ของความหวั่นกลัว และขาดความเชื่อมั่น แต่การเรียกเอาความเชื่อมั่นกลับมาด้วยการกอดโลมแทะโลมเอากับว่าที่ชายานี่มันก็…



   “เอ่อ…ขออภัยฝ่าบาท…” สมิตเห็นว่าต่อให้ยืนรอจนเขามีลูก องค์ชายเตชินทร์ก็อาจจจะยังกอดอยู่เช่นนั้น หากเขาไม่เรียก



   และพอเรียก องค์ชายสนธยากลับมีปฏิริยาไวกว่า รายนั้นหันกลับมามองเขา และพอเห็นว่าเขายืนอยู่ที่หน้าประตู ในขณะที่ตัวเองยังอยู่ในอ้อมกอดขององค์ชายเตชินทร์ ร่างสูงโปร่งขององค์ชายแห่งสมุทราก็เกิดตัวอ่อนบิดพลิ้วหลุดออกมาจากอ้อมแขนของเตชินทร์อย่างรวดเร็ว



   “อ่า…ท่านสมิต…มีธุระด่วนกับท่านเตชหรือ ถ้าอย่างนั้น ตามสบาย เราขอตัวก่อน”



   “เดี๋ยวก่อน! ท่าน…” ไม่ทันเสียแล้ว กว่าเตชินทร์จะเอ่ยเรียก สนธยาก็เผ่นแผ่วออกไปจากห้องเรียบร้อย ดวงเนตรคมปลาบขององค์ชายหนุ่มหางอนันตราชจึงหันมาบยัง ‘มารหัวขน’ แทน



   “คงมีเรื่องด่วนมากสินะ ถึงได้ขัดเวลาของเรากับองค์สน”



   “กระหม่อมจะมารายงานความเป็นไปพระเจ้าค่ะ ตอนนี้อังกูรปลอดภัยแล้ว ส่วนคุกใต้ดินไหม้จนเกือบหมด กระหม่อมคิดว่าอาจจะต้องของบหลวงมาซ่อมแซม ซึ่งนั่นอาจจะทำให้ฝ่ายงบประมาณไม่ค่อยจะพอใจเสียเท่าไหร่”



   “แล้ว…องค์หญิงอรุณาล่ะ”



   “องครักษ์ขององค์ชายสนธยาเป็นคนจัดการพระเจ้าค่ะ ยกหีบออกไปที่ท่าเรือแล้วเรียบร้อย”



   “ทางสมุทราจะเป็นคนจัดการเองอย่างนั้นหรือ”



   “พระเจ้าค่ะ” องค์ชายเตชินทร์ทรงนิ่งไปเล็กน้อย พระองค์ไว้ใจราชินีวารีวาทในเรื่องนี้อยู่หรอก เพราะต่างก็เห็นฤทธิ์ขององค์หญิงอรุณาแล้วว่าอาฆาตพยาบาทเพียงใด ราชินีวารีวาทที่รักใคร่ห่วงใยในสวัสดิภาพขององค์ชายสนธยา คงจะไม่มีวันปล่อยอรุณาออกมาอีกเป็นครั้งที่สอง แต่พระองค์ก็ยังนึกห่วงใยคนรักอยู่ดี



   “จะอย่างไรก็แล้วแต่ จัดคนคุ้มกันองค์สนตามเดิมไปก่อน”



   “รับด้วยเกล้า” สมิตน้อมกายรับ หากแต่ก็ยังตาดีเห็นรอยสรวลที่มุมโอษฐ์



   “มีเรื่องอะไรถูกพระทัยหรือพระเจ้าค่ะ”



   “เมฆร้ายกำลังแผ้วพาน เราก็ต้องถูกใจเป็นธรรมดา” พอเห็นสีพระพักตร์แช่มชื้นประหนึ่งจะได้สมรสสมรักกับคนรักที่เฝ้ารอคอยมานาน สมิตก็นึกอยากจะแกล้งนายเหนือหัวของตนดูบ้าง



   “จริงด้วยสินะพระเจ้าค่ะ องค์หญิงอรุณาคงไม่อาจรังควาญใครได้อีกแล้ว และองค์ชายสนธยาก็จะปลอดภัยจากภยันตราย เอ?...อย่างนี้องค์ชายสนธยาก็ไม่มีเหตุผลอื่นใดที่จะต้องประทับอยู่ที่นี่แล้วสินะพระเจ้าค่ะ”



   องค์ชายเตชินทร์ทรงชะงักไปวูบหนึ่งก่อนจะรีบหันกลับไปถามสมิตอย่างรวดเร็วด้วยความตกตะลึง



   “คงถึงเวลาที่องค์ชายสนธยาต้องเสด็จกลับสมุทราเสียที เพราะตอนนี้ไม่มีเรื่องให้ต้องลี้ภัยแล้ว”



   “เขาจะกลับได้อย่างไร! เราเป็นคู่หมั้นคู่หมายของเขา!!!”



   “แค่คู่หมั้นคู่หมายเท่านั้นพระเจ้าค่ะ…ที่สมุทราน่ะ องค์ชายสนธยามีสนมเป็นร้อย ถ้าเทียบระหว่างคู่หมั้นเพียงหนึ่งคนกับสนมนับร้อย กระหม่อมว่างานนี้องค์ชายสนยาทรงเลือก ‘ปริมาณ’ นะพระเจ้าค่ะ” ราวกับหัวใจที่เข้มแข็งดุจหินผาถูกกสั่นคลอนด้วยลมพายุโหมกระหน่ำ พระพักตร์ขององค์ชายหนุ่มซีดเผือดอย่างที่สมิตได้แต่แอบยิ้มในใจ



   “เราต้องทูลเรื่องนี้กับเสด็จพ่อ...ไม่ว่าอย่างไร องค์สนก็ไปจากที่นี่ไม่ได้!” องค์ชายเตชินทร์ตั้งมั่นแน่วแน่ พระองค์จะไม่มีวันยอมให้ดวงใจอันเป็นที่รักหลุดลอยจากมือแน่นอน!!!


................................................

   “พบหีบไม้ที่คาดว่าน่าจะเป็นหีบเก็บพระวรกายขององค์หญิงอรุณาที่ชั้นเก็บของของเรือซึ่งจะออกไปยังอาณาจักรโกศลพระเจ้าค่ะ”



เสียงทูลของนายทหารหนุ่มแห่งอนันตราชรายงานทำเอาราชินีวารีวาทที่ประทับอยู่ในห้องโถงของเรือหลวงสมุทราทรงหลับเนตรลงครู่หนึ่งด้วยความใจหาย



   ...เจอหีบอย่างนั้นหรือ?...



   “ยกมาที่นี่” พระองค์ตรัส 



ราชินีวารีวาททรงคาดได้ว่าสนธยาสั่งการอะไรกับชีวิน สนธยารู้พระทัยของพระองค์ดีว่าจะไม่มีวันปล่อยให้อรุณามีชีวิตอีกต่อไป สนธยาต้องหาวิธีที่จะไม่ให้อรุณาอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ ดังนั้นตอนที่ชีวินนำหีบมาส่ง ในนั้นจึงเป็นหีบเปล่า และราชินีวารีวาทก็ทราบดีว่าชีวินไม่มีวันขัดคำสั่งของสนธยาแม้จะเป็นเรื่องร้ายแรงถึงขั้นลักลอบส่งร่างของอรุณาไปกับเรือลำอื่นก็ตาม



 เพราะอย่างนั้น...พระองค์จึงขอความอนุเคราะห์จากกษัตริย์วิภูให้ราชนาวีแห่งอนันตราชค้นเรือทุกลำที่ออกจากท่า



   ...และสุดท้ายก็พบ...



   ...หากแต่เมื่อพบ พระทัยของราชินีผู้มากเล่ห์แห่งสมุทรากลับแกว่งไกวด้วยความเวทนาอาดูร ไม่ว่าอย่างไร อรุณาก็คือลูกของพระองค์ เป็นธิดาที่พระองค์...ให้กำเนิด...



   หีบไม้ใบไม่ใหญ่นักถูกราชนาวีแห่งอนันตราชยกเข้ามาในห้องพักรับรองบนเรือหลวงแห่งสมุทราที่จอดลอยลำอยู่นอกปากอ่าวของอนันตราช



   “เปิดหีบ” สิ้นเสียงโองการของราชินีวารีวาท นายทหารก็งัดฝาหีบขึ้น และทันทีที่ฝาหีบถูกเปิดเพียงเล็กน้อย มันก็ถูกผลักให้เปิดกว้างอย่างรวดเร็วโดยคนที่อยู่ข้างใน



   “อรุณา” สภาพขององค์หญิงอรุณาผู้เคยงดงาม มาบัดนี้ดูทรุดโทรมไม่สมฐานะ ทั้งผมเผ้ารุงรัง ทั้งเสื้อผ้าขมุกขมอม แต่ที่ยังคงเหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยนคือดวงเนตรอาฆาตที่ทอดมองมาที่ราชินีวารีวาท



   “เจ้าดวงแข็งมาแต่ไหนแต่ไร นั่นดูเหมือนจะเป็นพรสวรรค์ของเจ้า” ราชินีวารีวาทตรัสด้วยน้ำเสียงราบเรียบ อรุณาลุกขึ้นจากหีบอย่างโซซัดโซเซ หากแต่ดวงตายังแข็งกร้าว มือข้างซ้ายที่ยังใช้การได้ดึงมีดสั้นด้ามเล็กออกจากปอกมีดที่เหน็บไว้ข้างเอว



   “ยังจำลูกคนนี้ได้อีกหรือ ข้านึกว่าในใจท่านมีแต่สนธยาเสียอีก” มือข้างซ้ายนั้นสั่นระริก หากแต่มันก็ยังจับมีดจ่อไปเบื้องหน้าที่เป็นองค์ราชินีแห่งสมุทรา เพียงเท่านั้นนายทหารองครักษ์ก็ขยับเข้าขวางกลางระหว่างสตรีทั้งสองทันที



   “พวกเจ้าออกไปให้หมด เราต้องการอยู่กับ...ลูกของเราแค่สองคน” อรุณายิ้มเหยียดกับคำว่าลูกที่ออกจากโอษฐ์ราชินีวารีวาท



   นายทหารองครักษ์พากันออกจากห้องไปแล้ว เหลือเพียงราชินีวารีวาทที่ยังคงประทับบนตั่ง และอรุณาที่ยืนอยู่กลางหีบ



   “ท่านคิดจะทำอะไร ถึงไล่พวกทหารออกไปหมด” อรุณาตั้งคำถามอย่างไม่ไว้ใจ ราชินีวารีวาททรงลุกจากตั่งแล้วเสด็จไปรอบห้องอย่างช้าๆ วนรอบกายธิดาที่ยืนอย่างกระปลกกระเปลี้ย



   “เราแค่อยากคุยกับเจ้า”



   “คุยกับข้า?!! คุยเรื่องอะไรเล่า?!! เรื่องที่ข้าไม่ใช่ลูกที่แท้จริงของท่านอย่างนั้นรึ?!!!” อรุณาตวาดอย่างโกรธเกรี้ยว นางเคยได้ยินคุณท้าวสุภาผู้เลี้ยงดูนางคุยกับนายทหารชั้นสูงทำนองว่าอรุณาไม่ใช่ธิดาตามสายโลหิตของราชินีวารีวาท และเพราะเป็นเช่นนั้น ราชินีวารีวาทจึงไม่มีโองการจะยกบัลลังก์สมุทราให้ตั้งแต่แรก



   “เจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร” ราชินีวารีวาทยังคงมีท่าทีสงบราวกับคุยเรื่องดินฟ้า



   “รู้ได้อย่างไรไม่สำคัญเท่ากับว่าข้าเป็นลูกใคร?!! ท่านรับข้ามาเลี้ยงดูทำไม?!!! ถ้าไม่คิดจะให้บัลลังก์กับข้าตั้งแต่แรก!!!” มีดในมือของอรุณาสั่นระริกด้วยความอาฆาตแค้น ประชาชนทั้งสมุทรารับรู้ว่านางเป็นธิดาองค์โตของราชสำนัก บัลลังก์ต้องเป็นของนาง แต่สิ่งที่นางแอบรู้มาก็คือนางไม่ใช่สายเลือดของราชินีวารีวาท ตำแหน่งแม่ทัพกองเรือจึงถูกยกให้สนธยาพี่ชายของนาง และบัลลังก์ก็จะไม่ตกถึงมือของนางเช่นกัน!!!



   “เราจะถือว่านี่เป็นวาระสุดท้ายที่เราสองคนจะได้คุยกัน เราจะเล่าความจริงให้เจ้าฟังข้อหนึ่ง...ลูกที่เกิดจากเรามีเพียงแค่สามคน” ราวกับสิ่งที่รู้มาตั้งแต่แรกถูกตอกย้ำให้เจ็บเข้าไปถึงขั้วหัวใจ



   “และข้าคือคนที่ไม่ใช่!!!! อย่างนั้นใช่มั้ย?!!! ข้าคือคนที่ไม่ได้เกิดจากท่าน!!! ท่านถึงได้ไม่ดูดำดูดีอะไรข้า!!! ทำไมล่ะ!! ในเมื่อรับข้ามาเป็นลูก แต่สุดท้ายท่านก็วนเวียนให้ความรักแต่กับคนที่เป็นสายเลือดของท่านอย่างนั้นหรือ?!! ไม่ยุติธรรมเลย!! ท่านมันชั่วที่สุด!!!” อรุณาตวาดอย่างบ้าคลั่ง ทั้งเจ็บลึก ทั้งแค้นอาฆาตแสนสาหัส แท้จริงแล้วนางแค่ต้องการความสนใจจากมารดา ต้องการความรักที่เท่าเทียมกับพี่น้องคนอื่น...แม้จะไม่ใช่ลูกที่แท้จริงก็ตาม...



   ราชินีวารีวาทเบือนพักตร์กลับมาสบเนตรกับธิดาที่ยืนอยู่กลางหีบ นัยน์ตาของอรุณาพร่างพรายไปด้วยน้ำตาที่กลั่นออกมาจากความคลั่งแค้นเต็มอก หากแต่สายเนตรของราชินีแห่งสมุทรายังคงว่างเปล่า



   ...ไม่มีความรู้สึกอันใดให้นางเลย...ไม่มีความเจ็บช้ำ ไม่มีความรู้สึกผิดต่อสิ่งที่อรุณาได้รับ...



   “ถ้าเจ้ามองให้ดี เจ้าจะรู้ว่าเราไม่เคยดูดำดูดีลูกคนใด ไม่ว่าจะเป็นลูกที่เกิดจากเรา หรือลูกที่เรารับมาเลี้ยง เรามีภารกิจมากมายที่จะต้องทำเพื่อสมุทรา ใครก็ตามที่ถูกเรียกว่าเป็นลูกของเรา แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นโอรสธิดาแห่งราชินี ก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้รับความสุขกายสบายใจกว่าลูกหลานของปุถุชนคนอื่น ในทางตรงกันข้ามเขาต้องรับรู้ความยากลำบากของการถูกคาดหวัง เขาต้องต่อสู้กับความทะเยอทะยานและกลิ่นหอมหวลของอำนาจวาสนา เขาต้องจัดการเรื่องพวกนี้ด้วยตัวเอง และถ้าจัดการไม่ได้ ก็สมควรถูกถอดออกจากตำแหน่งโอรสธิดาเสีย”



   “ไม่ใช่!!! ท่านคิดจะถอดข้าออกจากตำแหน่งว่าที่ราชินีตั้งแต่แรก!!! ท่านไม่เคยต้องการให้ข้าขึ้นครองบัลลังก์!! ไม่เคยคิดจะมอบตำแหน่งใดๆให้ข้า!! แล้วท่านรับข้ามาเลี้ยงทำไม!!! ท่านแต่งตั้งข้าเป็นธิดาองค์แรกทำไม!!! ท่านมันชั่วช้า ทำเรื่องระยำด้วยใบหน้าไม่ทุกข์ไม่ร้อนไม่เคยรู้สึกผิดเลยแม้แต่นิดเดียว!!! และข้าคนนี้จะตอบแทนความชั่วของท่านให้สาสม!!! ในเมื่อไม่รักข้า! ก็จงรู้เอาไว้ว่าท่านคือต้นเหตุที่ทำให้ข้าตาย!! ท่านจะต้องตายทั้งเป็น!! เพราะท่านคือต้นเหตุที่ทำให้ข้าเป็นเช่นนี้!!!!” 



สิ้นประโยคอาฆาต อรุณาก็ตวัดมีดบนมือซ้ายเข้าปักที่ท้องของตัวเองมิดด้าม ใบหน้างามเหยเกอย่างเจ็บปวดเมื่อมีดนั้นปักซ้ำลงกับแผลเดิมที่ชีวินทำเอาไว้ แต่ที่ทำให้เจ็บยิ่งกว่ากายคือดวงเนตรของราชินีวารีวาทที่เบิกโพลงด้วยความตกใจ



...ในที่สุด...ก็ได้เห็นเสียทีว่าเวลาเสด็จแม่ตกใจ เสียใจ ทรงมีพระพักตร์เช่นไร...



   ร่างผอมบางทรุดกายลงกลางหีบอย่างหมดเรี่ยวแรง ในขณะที่ราชินีวารีวาทรีบถลาเข้ามาช้อนร่างธิดาเอาไว้



   “อรุณา...เจ้าทำเช่นนี้ทำไม...”



   “บอกข้าสักนิดได้ไหม ท่านจะเสียใจรึเปล่า ที่ข้าตาย...” อรุณาถามด้วยน้ำเสียงแผ่วระโหยจับจ้องพักตร์ของราชินีวารีวาทอย่างรอคอยคำตอบ หัตถ์สีน้ำผึ้งของผู้เป็นมารดาลูบใบหน้าของธิดาอย่างรักใคร่ พักตร์งามที่เคยเรียบเฉยมาวันนี้แสดงออกซึ่งความเสียใจสุดซึ้ง



   “แม่เคยทำนายชีวิตของแม่เอง อรุณา...” สรรพนามเปลี่ยนเป็น ‘แม่’ แทนคำห่างเหินที่เคยใช้ตลอดมา



   “...แม่จะปกครองสมุทราให้ร่มเย็น แต่แม่จะทำให้เลือดเนื้อเชื้อไขคนหนึ่งของแม่ต้องแดดิ้นลงตรงหน้า...โดยที่แม่เป็นคนลงมือ!” สิ้นประโยค ราชินีวารีวาทก็ดึงมีดเล็กออกจากปลายแขนเสื้อแล้วตวัดปาดเข้าที่ลำคอของอรุณาอย่างรวดเร็ว เลือดสีแดงสดไหลโกรกพร้อมกับเสียงโลหะหล่นกระทบพื้นจากด้านหลังของราชินีวารีวาท



   “ท่าน...” อรุณาทำได้เพียงคราง ดวงตาเบิกโพลงกับสิ่งที่ได้รับรู้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนสิ้น



   ...ทำให้เลือดเนื้อเชื้อไขคนหนึ่งต้องแดดิ้นลงตรงหน้าอย่างนั้นหรือ...หมายความว่า...หมายความว่าเลือดเนื้อเชื้อไขที่ว่านั่น...คือ...นางอย่างนั้นหรือ...



   ราชินีวารีวาทเหลือบมองเบื้องหลังของพระองค์ แล้วได้แต่หลับเนตรลงอย่างเจ็บปวดเมื่อพบว่ามีมีดสั้นอีกเล่มหล่นอยู่ที่ด้านหลัง ในขณะที่มือของอรุณายังอยู่ในสภาพกำอะไรบางอย่าง



   “คิดเอาตัวเองเป็นเหยื่อล่อเพื่อฆ่าแม่อย่างนั้นหรือ...เจ้าเล่ห์ถึงเพียงนี้ กล้าบอกว่าไม่ใช่ลูกที่แท้จริงของแม่ได้อย่างไรกัน...” ราชินีวารีวาทได้แต่ครางเสียงแผ่วด้วยความเจ็บปวด เลือดสีแดงฉานยังคงไหลทะลักออกจากคอของอรุณาที่แน่นิ่งไปแล้ว ทว่าดวงตาของนางยังเบิกโพลงจนราชินีวารีวาทต้องเอื้อมหัตถ์ไปปิดเนตรให้ด้วยความสะเทือนใจ



   “สบายใจได้เสียทีนะอรุณา เจ้าไม่ใช่ลูกที่แม่ไม่ได้ให้กำเนิดหรอก...คนคนนั้นน่ะ...คือสนธยาต่างหาก”



   ราชินีวารีวาทได้แต่กระซิบข้างหูธิดาราวกับจะเป็นการสั่งลาเป็นครั้งสุดท้าย



   ครั้งสุดท้าย...ที่ไม่ว่าอย่างไร ความลับนี้ก็จะไม่มีวันแพร่งพราย...



ติดตามตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 13...อัพ 23/6 (หน้า 16 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: sine_saki ที่ 23-06-2014 22:22:18
หักมุมเลย...แล้วองค์สนคือลูกใครเล่านั่น
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 13...อัพ 23/6 (หน้า 16 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: ployyuki ที่ 23-06-2014 22:28:32
เอ่อ... เป็นตอนที่คลายปมหลายๆ อย่างสินะคะ
จบแบบอึ้งได้ที่จริงๆ ... RIP นะจ๊ะ อรุณา

ป.ล. ตอนนี้องค์สนเป็นตัวประกอบมาก ตอนหน้าขอบทเยอะๆ หน่อยนะคะ 55
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 13...อัพ 23/6 (หน้า 16 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 23-06-2014 22:35:09
ช๊อกหนักกว่าเดิม ..
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 13...อัพ 23/6 (หน้า 16 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 23-06-2014 22:39:26
โอว ไม่ได้มานาน เกือบลืมแน่ะค่ะ สนธยาไม่ใช่ลูกที่แท้หรือนี่ งั้นไม่ต้องรับบัลลังค์ แต่งเข้าที่นี่เลยจ้า  :hao3:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 13...อัพ 23/6 (หน้า 16 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: saruttaya ที่ 23-06-2014 22:53:22
องค์สนไม่ใช่ลูกแท้ๆ??? :katai1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 13...อัพ 23/6 (หน้า 16 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 23-06-2014 22:54:18
พอจะเดาได้ว่าองค์สนไม่ใช่ลูกแท้ๆ อยากอ่านฉากสวีทองค์สนกับองค์เตช
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 13...อัพ 23/6 (หน้า 16 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 23-06-2014 23:40:17
 :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 13...อัพ 23/6 (หน้า 16 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 24-06-2014 00:19:02
โหดพอกันทั้งแม่ทั้งลูกสาว
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 13...อัพ 23/6 (หน้า 16 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: sukaz ที่ 24-06-2014 07:01:37
พลิกล็อคกันน่าดู......ถล่มถลาย
พลิกล็อคกันมากมาย.......แบบเทกระเป๋า
 :ling1: :ling2: :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 13...อัพ 23/6 (หน้า 16 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Ali$a฿eth ที่ 24-06-2014 07:29:15
นั่นสิ....เหมือนกันขนาดนี้


น้ำตาปริ่มเบาๆ....อรุณา ที่ตลอดชีวิตโดนหลอกให้เต้นไปบนมือคนอื่นตลอดเวลา
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 13...อัพ 23/6 (หน้า 16 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 24-06-2014 08:48:41
พลิก ม้วน ตลบ เป็นเกลียวววววว แอบมึนเพราะไม่ได้อ่านนาน

ตั้งสติได้ อ่านแล้สก้อสงสารนางเหมือนกันนะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 13...อัพ 23/6 (หน้า 16 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: natalee22 ที่ 24-06-2014 09:06:56
ราชินีวารีวาทแผนซ้อนแผนซ้อนแผนหลายชั้นมากกกกกกกกกก ลึกล้ำๆ

สรุปเรื่องทั้งหมดราชินีวารีวาททำเพื่อกันองค์สนออกจากบัลลังก์สมุทราสินะ

ให้อรุณาอิจฉาและปองร้ายองค์สน องค์สนจะได้อยู่ที่สมุทราไม่ได้ ต้องลี้ภัยไปอยู่ที่อื่น

แถมได้ประโยชน์ 2 ต่อ เพราะได้อนันตราชเป็นพันธมิตรด้วย

ร้ายจริงๆ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 13...อัพ 23/6 (หน้า 16 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 24-06-2014 10:24:22
เหอๆ
สลับซับซ้อนกันเข้าไป

ขอบคุณคุณบัวที่มาต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 13...อัพ 23/6 (หน้า 16 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 24-06-2014 11:17:51
ทำไมกลายเป็นท่านสนล่ะ ที่ไม่ใช่ลูก สับสนมึนงงกับราชินีมากเลย
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 13...อัพ 23/6 (หน้า 16 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: ิbabobean ที่ 24-06-2014 12:23:38
ขอถวายน้ำตาหนึ่งจอกเลยค่ะ ฮรืออออออออออออออออ  :z3: :hao5: :katai1:
เจ้าชายหอยของพวกเรามาอัพแล้ว แต่กลับพบความจริงๆที่่องค์สนไม่ใช่...
เห็นแบบนี้แล้วรู้เลยว่าองค์ราชินีทรงเสียสละมากจริงๆ จะไม่สนหรอกนะคะว่าองค์สนจะเป็นลูกใคร
แต่ขอให้นายเอกของเรามีชีวิตที่ปราศจากคนปลองร้ายเสียทีเถิด
ขอบคุณที่มาอัพให้อ่านนะคะ คิดถึงมากๆเลย
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 13...อัพ 23/6 (หน้า 16 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Gaem ที่ 24-06-2014 19:13:42
ปมเยอะไป๊   o22 :a5:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 13...อัพ 23/6 (หน้า 16 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: kongxinya ที่ 24-06-2014 19:59:27
อัพแล้ววววววว ดีใจมากมายคิดถึงองค์สนองค์เตชมั๊กมากกก  :mew1:

ง่ะ ตอนนี้หักมุมเเบบตีโค้งไม่ทันเลยยย  :a5:
องค์สนลูกใครล่ะนี่  :ling1:

รอติดตามตอนต่อไปค่ะ   :L2: :กอด1: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 13...อัพ 23/6 (หน้า 16 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: jing_sng ที่ 25-06-2014 18:26:50
ถ้าคิดอย่างกษัตริย์ต้องทำแบบองค์ราชินีนี่แหละ
ผู้ปกครองตัองนึกถึงประเทศเป็นสำคัญ ความมั่นคง
ของประเทศและประชาชนต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง
ยอมรับว่าองค์ราชินีเหี้ยมมาก ปกติมีแต่ผู้ชายนะที่ทำแบบนี้ได้
ไม่คิดว่าคนเป็นแม่จะใจแข็งเพียงนี้ จำได้ว่าพระองค์เคยตรัสว่า
หากใครเหมาะสมกับตำแหน่ง ไม่สนว่าหญิงหรือชาย สายเลือดหรือไม่
พระองค์ก็จะทรงเลือกให้ครองบัลลังก์ ผู้กครองแบบนี้ดีสำหรับประชาชน
แต่จะร้ายสำหรับคนแย่งชิงอำนาจ
สงสารก็แต่องค์สน เป็นแค่หมากตัวหนึ่ง ที่สงสารน้องสาวกลับเป็นองค์เองต่างหาก
สรุป ดราม่าจบแค่นี้เหรอ ไม่หรอกมั้งปูเรื่องซะอลังการขนาดนี้ จบง่ายก็เสียโครงหมดสิ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 13...อัพ 23/6 (หน้า 16 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: SenzaAmore ที่ 25-06-2014 21:38:11
 :hao7: โหดฟุดๆ สรุปใครเป็นลูกแท้ๆ อรุณาหรอ?
แล้วองค์สนเป็นลูกของใคร???
ลุ้นๆรอตอนต่อไปค่ะ :mew1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 13...อัพ 23/6 (หน้า 16 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: koikoi ที่ 25-06-2014 21:38:39
เพราะความโลภถึงต้องมีจุดจบแบบนี้
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 13...อัพ 23/6 (หน้า 16 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: plengpit ที่ 25-06-2014 21:42:21
 :katai1: ไม่นะองค์สนน

คิดถึงเรื่องนี้จังงง หายไปตั้งนาน :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 13...อัพ 23/6 (หน้า 16 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: padthaiyen ที่ 25-06-2014 22:49:42
เพื่อความร่มเย็นต้องฆ่าลูกตัวเอง1 คนอืมเนอะ
แต่องค์สนไม่ใช่ลูกจริง
ก็น่าจะใช่เพราะเมืองนี้ผู้หญิงเป็นใหญ่นี่เนอะ :mew2:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 13...อัพ 23/6 (หน้า 16 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: whipcream ที่ 26-06-2014 01:26:54
สนุกมาก แม้ไม่มี ฉากNC ชมจากใจเลยค่ะ แอบกลัวราชินีวารีวาท นางแรงอ่ะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 13...อัพ 23/6 (หน้า 16 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: jannie ที่ 26-06-2014 01:51:10
หักมุมสุดๆ เลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 13...อัพ 23/6 (หน้า 16 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: punthipha ที่ 26-06-2014 07:07:31
องค์สนธยาไม่ใช่ลูก อรุณาเป็นลูก น่าสงสาร  :mew2: :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 13...อัพ 23/6 (หน้า 16 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: rule ที่ 28-06-2014 01:41:55
สนุกมากผูกเรื่องได้ดี ฝั่งแม่เจ้าเล่ห์แบบโคตรๆ ผลประโยชน์มาก่อนใช้ลูกเป็นเครื่องมือสุดๆ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 13...อัพ 23/6 (หน้า 16 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 28-06-2014 09:23:13
ที่ส่งองค์สนไปอีกเมืองก็เพราะอยากให้ไปไกลจากบัลลังค์สินะ
แต่ลูกที่แท้จริงยังตามไปอิจฉารังควานเลยพบกับจุดจบด้วยฝีมือแม่แท้ๆ
ซับซ้อนมากค่ะ ขอบคุณคุณบัวที่มาต่อให้หายคิดถึงค่ะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 13...อัพ 23/6 (หน้า 16 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 28-06-2014 11:39:57
ตายไปดีละ ชั่วๆแบบนี้ แผ่นดินจะได้สูงขึ้นหน่อย -.-"
หัวข้อ: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 14...อัพ 30/6 (หน้า 17 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Dezair ที่ 30-06-2014 19:58:10
...ด้วยพันธะบรรณาการ
By: Dezair
………………..   
บทที่ 14



   “องค์เตชขอเข้าเฝ้าพระเจ้าค่ะ” เสียงทูลของนายทหารเลขานุการคนสนิท ทำเอาองค์กษัตริย์แห่งอนันตราชทรงรู้สึกปวดพระเศียรเล็กน้อย



   ...ไม่ต้องพบหน้าโอรสก็พอจะเดาได้ว่าเรื่องที่เตชินทร์มาขอเข้าเฝ้า คือเรื่องใด...ดูเหมือนสมุทราจะหาเรื่องปวดเศียรมาให้พระองค์เยอะเสียเหลือเกิน หากว่าไม่ใช่เพราะเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ซึ่งเป็นบิดาแท้ๆขององค์ชายสนธยาเคยทำสัญญากับพระองค์เอาไว้ กษัตริย์วิภูทรงยืนยันว่าจะตัดหางปล่อยวัดสมุทราเอาจริงๆ!...



   “ให้เข้ามา”



   เพียงแค่อึดใจเดียว ผู้เข้าเฝ้าที่มาอย่างกะทันหันก็รีบถลาเข้ามาในห้องทรงงาน กษัตริย์วิภูทรงกำลังจดจ่อพระทัยอยู่กับเอกสารในหัตถ์แต่ก็รับรู้ถึงฝีเท้าที่ย่ำอย่างรวดเร็วเพราะความร้อนใจ



   “เสด็จพ่อ! ถวายบังคมพระเจ้าค่ะ”



   “เรื่องด่วนเหตุร้ายอันใด จึงมาพบพ่อกะทันหันเช่นนี้”



   “ด่วนมากที่เดียวพระเจ้าค่ะ! ตอนนี้องค์หญิงอรุณาอยู่ในพระหัตถ์ของราชินีวารีวาทแล้ว และนางคงไม่อาจออกมาทำร้ายใครได้อีก! แล้ว...แล้วบางที...บางทีสมุทราอาจจะอยากได้ตัวองค์ชายสนธยาคืน...” จริงอยู่ว่าองค์ชายสนธยาไม่มีสิทธิ์ในราชบัลลังก์ที่สืบทอดด้วยอิสตรี แต่สนธยาก็เป็นโอรสองค์โตที่เก่งกาจและมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะรับใช้ราชสำนัก



   “สมุทราจะขอคืนก็เป็นธรรมดา...”



   “ไม่ธรรมดานะพระเจ้าค่ะ!! องค์สนเป็นว่าที่คู่หมายของกระหม่อม! จะส่งคืนสมุทราได้อย่างไรกัน!! เสด็จพ่อ! พระราชทานวันมงคลให้กระหม่อมกับองค์สนโดยเร็วเถอะพระเจ้าค่ะ!” องค์ชายเตชินทร์ค้อมกายลงต่ำจนแทบติดพื้นด้วยไม่เห็นหนทางที่จะดึงรั้งองค์ชายสนธยาเอาไว้ที่อนันตราชได้อีก



   ...ไม่ว่าจะเรื่องภยันตรายจากอรุณา หรือเรื่องหอยบรรณาการ...ทุกอย่างกลายสภาพจากตรวนเหล็กเป็นสายลมที่ไร้ค่าไปเสียแล้วในเวลานี้ เมื่อเทียบกับราชสำนักสมุทราที่กำลังโคลงเคลงง่อนแง่นและต้องการใครสักคนกลับไปค้ำจุน...



   “ไม่ได้”



   “เสด็จพ่อ...” กษัตริย์วิภูทรงเหลือบเนตรสบกับเนตรของโอรสอย่างอ่อนพระทัย ก่อนจะตรัส



   “เมื่อครู่นี้...มีสาส์นจากราชินีวารีวาทว่าทันทีที่กลับถึงสมุทราจะมีการประกาศไว้อาลัยองค์หญิงอรุณา”



   ...การประกาศไว้ทุกข์ให้แก่อรุณา?!!...หมายความว่าองค์หญิงอรุณาสิ้นแล้วหรือ?!!...



   “...บางที หากหมดภัยแล้ว สมุทราก็คงอยากได้องค์ชายลำดับที่หนึ่งคืน ถึงเราจะเป็นอนันตราช ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะมีอำนาจบาตรใหญ่ริบองค์ชายของอีกฝ่ายเอาไว้ เจ้าเข้าใจที่พ่อพูดใช่ไหม”



 เตชินทร์นิ่งงันราวกับหัวใจหลุดลอย ดูเหมือนจะหมดหนทางที่จะรั้งสนธยาเสียแล้ว



“องค์เตช เจ้ารักเขามากหรือ”



   “รักมากกระหม่อม” เตชินทร์ยอมรับอย่างหมดอาลัย



   “ถ้าเช่นนั้นปล่อยเขาไปตามทางของเขาจะได้ไหม” โอรสเหลือบเนตรขึ้นสบกับเนตรของบิดา เนตรของกษัตริย์หนุ่มแน่นิ่งไม่แปรเปลี่ยน ราวกับจะตรัสว่าพระองค์มีสัญญาที่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เป็นสัญญาที่แม้คนที่ทำสัญญาด้วยจะจากไปแล้ว แต่กษัตริย์วิภูก็ยังทรงยึดมั่นในคำสัญญานั้นเรื่อยมา



   ...สมุทราไม่ใช่เมืองขึ้นของอนันตราช แต่อนันตราชต้องดูแลสมุทรา...



   ดังนั้น การส่งสนธยากลับไปรับใช้ราชสำนักสมุทราก็คือสิ่งที่ดีที่สุดในยามที่สมุทราเพิ่งเสียธิดาองค์โตผู้ที่ใครต่อใครต่างก็จับจ้องว่านางจะต้องขึ้นมาเป็นราชินีเหนือบัลลังก์สมุทราคนต่อไป



   “...รับด้วยเกล้า” เตชินทร์น้อมกายทูลเสียงแผ่วด้วยไม่อาจตัดสินใจทางอื่นใดได้อีกแล้ว นอกเสียจากยอมรับความจริงอย่างเจ็บปวด



   ...สนธยาต้องกลับ...และพวกเขา...อาจจะไม่มีวันได้พบกันอีก...



.............................



   องค์ชายสนธยาผู้เป็นหัวข้อสนทนาระหว่างกษัตริย์และองค์ชายแห่งอนันตราชทำได้เพียงเดินไปเดินมาอยู่ในห้องพักผ่อนส่วนตัวในตำหนักอิฐ บัดนี้ดึกมากแล้วแต่ชีวินยังไม่กลับมา เรื่องที่ไหว้วานให้ช่วยจัดการไม่รู้คืบหน้าไปทางใดบ้าง เขาได้แต่หวังว่าอรุณาจะยังคงมีชีวิตอยู่...



   เสียงเปิดประตูดังขึ้นเบาๆ ทำเอาองค์ชายหนุ่มแห่งสมุทรารีบหันไปมอง และทันทีที่พบว่าผู้มาใหม่คือองครักษ์ส่วนพระองค์ที่กำลังนึกถึง ก็ทำเอาสนธยารีบถลาเข้าไปหาในทันที



   “ชีวิน!!...เป็น...” ยังไม่ทันได้ถาม ชีวินก็ทรุดกายลงคุกเข่า หมอบกายต่ำขออภัยโทษ



   “องค์หญิงอรุณาสิ้นแล้วพระเจ้าค่ะ”



   “อะไรนะ...อรุณา...สิ้นแล้ว...” แม้อรุณาจะไม่ได้รักใคร่ใยดีพี่ชายอย่างสนธยาเสียเท่าไหร่ แต่ในฐานะที่ถูกพี่เรียกน้องมาตั้งแต่จำความได้ ก็ทำเอาสนธยานิ่งงันไปกับสิ่งที่ได้รับรู้



   “พระเจ้าค่ะ กระหม่อมทำตามประสงค์ของพระองค์ไม่สำเร็จ กระหม่อมส่งร่างขององค์หญิงอรุณาไปกับเรือสินค้าลำอื่น แต่...กษัตริย์วิภูทรงมีรับสั่งให้ราชนาวีอนันตราชค้นเรือทุกลำที่ออกจากท่า...”



   ไม่ต้องอธิบายเพิ่มเติมก็พอจะคาดเดาได้ว่าที่กษัตริย์วิภูทรงมีรับสั่งเช่นนั้นเป็นเพราะราชินีวารีวาทขอร้อง ท้ายที่สุด...อรุณาก็เหลือเพียงชื่อเท่านั้นหรือ...



   “นาง...ทรมานมากไหม”



   “กระหม่อมไม่ทราบพระเจ้าค่ะ สายบนเรือหลวงสมุทรารายงานว่าราชินีวารีวาททรงประทับอยู่ในห้องกับองค์หญิงอรุณาเพียงสองพระองค์ แล้วจากนั้นไม่นาน...ราชินีวารีวาทก็ทรงมีรับสั่งให้ทหารเข้าไปจัดการร่างขององค์หญิงอรุณา”  ชีวินไม่ได้เล่าต่อว่าราชินีวารีวาททรงพระทัยแข็งถึงขั้นมีรับสั่งให้ทหารแยกส่วนศีรษะและกายขององค์หญิงอรุณาออกจากกัน และทิ้งศีรษะลงในทะเลลึก ส่วนลำตัวนั้นใส่หีบนำกลับไปทำพิธีที่สมุทรา



   “องค์ชาย...กระหม่อมสมควรได้รับโทษ” ชีวินน้อมกายลงต่ำจนแทบติดพื้น



   “ไม่ใช่ความผิดของเจ้า เสด็จแม่รู้เท่าทันความคิดของเรา เอาเถอะ...อรุณาสิ้นแล้วก็เหมือนหมดทุกข์ เราจะได้กลับสมุทราได้เสียที...” พอถึงตรงนี้ สนธยาก็นิ่งชะงัก



   ...กลับสมุทราอย่างนั้นหรือ...จริงอยู่ว่าตอนแรกก็ไม่ได้อยากมาที่นี่ แต่พอมาถึงแล้ว...ใครบางคนที่นี่กลับเป็นที่พึ่งพิงราวกับเสาหลัก...



   ...ใครบางคนที่ขอร้องว่าอย่าจากไป ใครบางคน...ที่เขาเองก็เคยให้สัญญาว่าจะไม่ทิ้งไปไหน...



   ...องคายเตชินทร์...



   “องค์สน...” เสียงของชีวินปลุกสติให้องค์ชายแห่งสมุทราตื่นจากภวังค์ขึ้นมารับรู้ความจริง



   ...ความจริงที่พระองค์เป็นองค์ชายต่างเมือง ความจริงที่เวลานี้สมุทราสิ้นธิดาองค์โตที่ถูกกะเกณฑ์ว่าจะเป็นราชินีในอนาคต...ความจริง...ที่พระองค์ต้องรับผิดชอบหน้าที่ของการเป็นโอรสองค์โตที่ต้องกลับไปค้ำจุนบัลลังก์ก่อนที่ราชินีวารีวาทจะมีประสงค์พระราชทานบัลลังก์ให้แก่ธิดาลำดับต่อไป...ความจริง...ที่ถึงเวลาที่ต้องกลับสมุทราแล้ว...



   “เราจะกลับ...สมุทรา...”



   “แล้ว...องค์ชายเตชินทร์...” ไม่ว่าใครต่างก็รับรู้ถึงความรู้สึกมากมายที่องค์ชายหนุ่มเจ้าของตำหนักอิฐแสดงออกอย่างแจ่มแจ้ง และแน่นอนว่าเพราะความรู้สึกเช่นนั้น องค์ชายเตชินทร์แห่งอนันตราชไม่มีทางยินดีที่จะยอมรับการจากลาในครั้งนี้



   มีเพียงความเงียบเป็นคำตอบให้แก่คำถามของชีวิน องค์ชายสนธยาไม่คาดคิดมาก่อนว่าเวลานี้...หัวใจของพระองค์กลับหนักอึ้งยิ่งกว่าตอนที่จะจากสมุทรามาเสียอีก...



…………………………………



   โต๊ะเสวยเช้าวันนี้มีแต่ความเงียบ องค์ชายเตชินทร์และองค์ชายสนธยาประทับอยู่คนละฝั่งโต๊ะ และต่างไม่มีใครชักชวนอีกฝ่ายพูดคุยเลยแม้แต่น้อย เรื่องนี้ทุกคนในห้องเสวยต่างสังเกตเห็น ไม่ว่าจะเป็นอังกูร สมิต ชีวินหรือแม้แต่คุณท้าวเอิบ หากแต่ทุกคนก็ได้แต่ยืนเงียบเท่านั้นเอง



   “อิ่มแล้วหรือ...” จนกระทั่งเสียงของสนธยาดังขึ้นเมื่อเห็นฝ่ายตรงข้ามยกน้ำขึ้นจิบ



   “อืม...” เตชินทร์ตอบกลับไปเพียงเท่านั้น ทั้งๆที่ในความเป็นจริงเขาไม่รู้สึกถึงความหิวหรืออิ่มเลยแม้แต่น้อย ที่นั่งอยู่ตรงนี้ก็เพราะอยากใช้เวลาที่พอจะเหลืออยู่น้อยนิดกับคนที่รักที่สุดต่างหาก



   “เอ่อ...แล้ว...วันนี้มีงานเร่งด่วนอะไรไหม” สนธยาถาม หากแต่ดวงเนตรกลับมองแต่อาหารตรงหน้า ไม่ยอมสบสายเนตรของคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเลยแม้แต่นิดเดียว



   “ไม่มี” ยังคงเป็นคำตอบสั้นและเบาราวกับกระซิบ



   “ถ้า...ถ้าอย่างนั้น...ออกไปเดินเล่นกับเราได้ไหม เราไม่ได้ไปดูแลหอยนานแล้ว ไม่รู้ป่านนี้เป็นเช่นไรบ้าง” พอพูดถึงหอยแล้ว องค์ชายสนธยาก็นิ่งเงียบสะท้านในอก



...หอย...อย่างนั้นหรือ ของบรรณาการที่ครั้งแรกคือพันธะผูกพันพระองค์เอาไว้ที่นี่ หากแต่วันนี้ ไม่ว่ามันจะอยู่หรือตาย มันก็ไม่สามารถรั้งพระองค์เอาไว้ได้อีก ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องกลับ...สมุทราคือบ้าน สมุทราคือชีวิต พระองค์เป็นองค์ชายพระองค์แรกในราชสำนัก มีภาระมากมายที่ต้องจัดการ...แต่...อนันตราช...สำหรับอนันตราช พระองค์เป็นเพียงองค์ชายพลัดถิ่นที่มาขอพึ่งพาอาศัย...ไม่มีค่าเพียงพอให้ต้องอยู่ที่นี่



สนธยาลอบมองแผ่นหลังของเจ้าของตำหนักที่เดินนำออกจากห้องอาหารแล้วใจหาย



...อีกไม่นานแล้ว...อีกไม่นาน...แผ่นหลังของเตชินทร์จะปรากฎแค่ในความฝันของพระองค์เท่านั้น...ไม่มีวันเป็นจริง...



..........................



   ระหว่างคนทั้งคู่ยังมีแต่ความเงียบ บ่อหอยนั้นแม้ขนาดจะค่อนข้างกว้างขวางพอสมควรสำหรับหอยมุกตัวโต แต่เมื่อเดินวนได้หนึ่งรอบ ทั้งสนธยาและเตชินทร์ต่างก็พบว่าขนาดบ่อไม่ได้กว้างเพียงพอที่จะทำให้พวกเขาอยู่ข้างๆกันได้นานขึ้น หนำซ้ำพอวนกลับมาที่เดิมแล้ว ต่างก็ได้แต่หยุดอยู่กับที่ด้วยไม่รู้จะใช้วิธีใดในการรั้งอีกฝ่ายให้อยู่เคียงข้างกัน



   “เอ่อ...” แล้วพอตัดสินใจจะพูดอะไรสักอย่าง คนทั้งคู่ก็ดันเอ่ยปากขึ้นมาพร้อมกันเสียอีก สนธยาและเตชินทร์เหลือบมองกันอีกครั้ง และโดยที่ไม่ต้องพูดอะไร ต่างฝ่ายต่างก็ทรุดตัวนั่งลงบนพื้นหญ้าข้างบ่อนั่นเอง



   “ท่านรู้อะไรไหม ตอนเรายังเด็ก เราเคยอยากเกิดเป็นหอยด้วย” แล้วคนที่ทำลายความเงียบด้วยบทสนทนาเรียบง่ายก็คือสนธยา เตชินทร์หันมองร่างโปร่งผิวสีน้ำผึ้งทองด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะเบาๆเมื่ออีกฝ่ายตั้งหน้าตั้งตาเล่าต่ออย่างเอาจริงเอาจัง



   “เราต้องเดินผ่านบ่อหอยมุกตัวนี้ทุกวันเพื่อไปเรียนหนังสือกับพระอาจารย์ที่ตำหนักเสด็จแม่ แต่เราขี้เกียจมาก เราไม่ชอบการเรียนในห้อง เราเห็นหอยตัวนี้แล้วก็ได้แต่บ่นกับตัวเองว่าหากเกิดเป็นหอยก็คงจะดี อย่างน้อยก็ไม่ต้องอ่านหนังสือเป็นตั้งให้ปวดหัว ท่านล่ะ สมัยเด็กๆเคยอยากเกิดเป็นอย่างอื่นไหม”



   เตชินทร์หัวเราะน้อยๆ ก่อนจะเอนกายไปเบื้องหลังแล้วค้ำมือลงกับพื้นหญ้า ปล่อยตัวปล่อยใจตามสบายไปกับสายลมเย็นและกลิ่นพืนดินพื้นหญ้าที่ลอยอวล



   “เคยสิ เราอยากเกิดเป็นปลา”



   “ทำไมล่ะ? ไม่กลัวชาวประมงจับไปกินหรือ?!!”



   “ตอนนั้นไม่ได้คิดหรอก คิดแค่ว่าถ้าเป็นปลา ก็คง...ว่ายไปที่สมุทราได้โดยง่าย” ท้ายประโยคดวงเนตรคมขององค์ชายหนุ่มแห่งอนันตราชเหลือบสบกับเนตรของสนธยาอย่างมีความหมาย



   ...สมุทราที่เตชินทร์อยากไป ไม่ใช่เพราะอยากไปเหยียบเกาะเล็กๆ แต่อยากไปเพราะมีใครบางคนอยู่ที่นั่นต่างหาก...



   “เราเคยได้รับความช่วยเหลือจากเด็กคนหนึ่งในเกาะนั้น มารู้เอาทีหลังว่าเด็กคนนั้นไม่ใช่ลูกชาวบ้านธรรมดาแต่เป็นองค์ชายพระองค์โตของราชสำนักสมุทราที่แอบหนีทหารออกมาเที่ยว เราซาบซึ้งใจในน้ำใจของเขามาก ถึงแม้ว่าเขาจะมองว่าการช่วยเหลือเราเป็นเพียงแค่เรื่องน่าสนุกก็ตามที เราเก็บความประทับใจนั่นไว้ตลอด และหาเรื่องกลับไปเที่ยวที่สมุทราบ่อยครั้ง แทบทุกครั้งเราจะพบเด็กคนนั้น แต่ละปี แต่ละปี เขาเปลี่ยนแปลงไปทีละน้อย แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนไปเลยคือรอยยิ้มของเขา แต่เมื่อเราขึ้นมาช่วยงานเสด็จพ่อ เราก็ไม่อาจไปสมุทราได้อีก ทำได้เพียงส่งอังกูรไปตามสืบว่าบัดนี้องค์ชายคนนั้นเป็นเช่นไรบ้าง แล้ว...เราก็...ได้แต่ภาคภูมิใจในตัวเขา เพราะเขาเติบโตขึ้นมาเป็นเสาหลักให้แก่ราชสำนัก เป็นที่พึ่งให้แก่แผ่นดิน เป็นองค์ชายเต็มตัวที่เก่งกล้าสามารถและบ้าบิ่นขนาดที่ยอมแม้กระทั่งเป็นตัวแทนมากับขบวนบรรณาการที่มีหอยมุกเพียงตัวเดียว...” เตชินทร์หันมามองคนข้างกาย ก่อนจะกุมมือสีน้ำผึ้งนั้นเอาไว้ด้วยหัวใจที่ไหวโหวงด้วยความเศร้าระทม



   “ท่านสน เรารู้ดีว่าวันหนึ่งท่านต้องกลับไปค้ำจุนราชสำนักของท่าน พันธะระหว่างเราสองจะเลือนหายไปกับกาลเวลา แต่...เราอยากให้ท่านรับรู้เอาไว้...ว่าเราจะรอวันที่ท่านจะได้กลับมาอยู่เคียงข้างเราอีกครั้ง ไม่ว่าจะนานสักเพียงใด เราก็จะรอ...” คำพูดของเตชินทร์ราวกับมีดกรีดลงที่ขั้วหัวใจของสนธยา ร่างโปร่งได้แต่บีบมืออีกฝ่ายแน่นเป็นการบอกให้รับรู้ว่าเขาเองก็จะรอวันนั้นเช่นกัน



   ท่ามกลางความเงียบสงบของบริเวณบ่อน้ำนั้น ไม่มีใครพูดอะไรอีก เตชินทร์เพียงแค่โน้มกายโปร่งเข้ามาใกล้ สนธยาวางหน้าผากลงกับลาดไหล่แข็งราวกับใช้ไหล่นี้เป็นที่พึ่งพิงแม้เพียงแค่เวลาสักเสี้ยวเดียวก็ยังดี ฝ่ามือที่ยังจับกันนั้นบีบกระชับแน่น รู้ดีว่าวันหนึ่งต้องพัดพราก แต่วันหนึ่งในภายภาคหน้าต้องได้กลับมาพบกันอีก...สนธยาสัญญา



   ศีรษะของเตชินทร์เอนลงพิงกับศีรษะของสนธยา มันเป็นความรู้สึกอัดแน่นในอกที่ไม่ว่าอย่างไรก็พูดออกไปไม่ได้ บอกไม่ได้ว่ารักมากเพียงใด บอกไม่ได้ว่าห่วงหามากแค่ไหน...สิ่งเดียวที่พูดได้คือคำว่าจะรอ...



   ...จะรอวันที่เราได้เจอกัน...จะรอวันที่เราได้อยู่ด้วยกัน...จะรอ...



   ...วันที่เราได้รักกัน...



……………………………



   ภาพขององค์ชายทั้งสองที่ทำได้เพียงซบอิงกันอยู่ที่ริมบ่อนั้นอยู่ในสายตาขององครักษ์ทั้งสามอย่างอังกูร สมิต และชีวินที่ยืนอยู่ข้างตำหนักอิฐ พวกเขาต่างพากันเงียบ ด้วยไม่รู้ว่าต้องพูดสิ่งใด



   ...แค่เห็น แค่ใช้เพียงสายตามอง...ก็รู้แล้วว่าทั้งอง์ชายสนธยาและองค์ชายเตชินทร์ผูกพันกันเพียงใด...



   ชีวินมองภาพตรงหน้าก่อนจะเบือนสายตาหลบด้วยความรู้สึกที่แสนหนักอึ้งไปทั้งหัวใจ องค์ชายสนธยาคือผู้มีพระคุณสูงสุดของเขา และไม่ว่าเมื่อไหร่ที่เขารู้ว่าองค์สนกำลังตกทุกข์ได้ยาก สิ่งเดียวที่ชีวินจะทำคือการทำทุกอย่างที่จะทำให้พระองค์กลับมามีความสุขอีกครั้ง



   ...แต่ครั้งนี้...ครั้งนี้...เขามองไม่เห็นทาง...เขาจะทำเช่นกันดี ในเมื่อองค์สนจำต้องกลับเพื่อความมั่นคงของสมุทรา...



   “ชีวิน เจ้าจะปล่อยให้ทุกอย่างเป็นเช่นนี้หรือ” เสียงของสมิตดังขึ้นทำเอาองครักษ์หนุ่มร่างโปร่งเหลือบตามองคนถาม



   “แล้วจะให้ข้าทำเช่นไร” น้ำเสียงของชีวินยังคงเรียบเฉยราวกับไม่อินังขังขอบ ซึ่งนั่นทำเอาสมิตชักจะไม่พอใจกับท่าทีเฉยเมยแม้จะเห็นตำตาว่าทั้งองค์ชายสนธยาและองค์ชายเตชินทร์ต่างต้องการอยู่เคียงข้างกัน



   “ทำเช่นไร?!! ทำเช่นไรก็ได้ให้องค์ชายสนธยาทรงสามารถประทับที่นี่ต่อไปได้!!! เจ้าจะให้พระองค์เสด็จกลับทั้งๆที่ทรงไม่อยากกลับอย่างนั้นรึ?!!!”



   “การเสด็จกลับขององค์สนเป็นที่จำเป็นสำหรับสมุทรา” ชีวินยังคงตอบด้วยน้ำเสียงเรียบกริบราวกับไม่รู้สึกรู้สาประการใด หากแต่ในใจนั้น เขาก็ไม่ต่างจากสมิต ที่เป็นกังวลและห่วงใยต่อความรู้สึกขององค์ชายสนธยา เพียงแต่...เขาไม่ใช่คนหงุดหงิดงุ่นง่านแบบสมิต เขาแสดงออกแบบนั้นไม่เป็น ท่าทีที่คนรอบข้างเห็นจึงกลายเป็นชีวินที่ไม่มีชีวิตจิตใจ



   “แต่องค์ชายสนธยาก็จำเป็นสำหรับอนันตราชเช่นกัน!!” สมิตยังโวยวาย ด้วยเพราะความรู้สึกผิดเกาะกุมจิตใจเกินกว่าครึ่ง 



คนที่กระตุ้นองค์ชายเตชินทร์ให้ต้องรับรู้ความจริงเรื่องนี้ก็คือเขาเอง หากเขาไม่พูดเสียแต่แรก พระองค์ก็คงจะมีความสุขไปได้อีกหลายวันนับตั้งแต่วันที่องค์หญิงอรุณาสิ้น แต่นี่...เพราะเขาเอง...เพราะเขาที่เป็นคนทูลองค์ชายเตชินทร์เรื่องความเป็นไปได้ที่องค์ชายสนธยาต้องเสด็จกลับ คนที่ทำให้พระองค์ทุกข์จนถึงขั้นเหม่อลอยราวกับไร้ซึ่งความสุขใดๆก็คือเขาเอง!!



   “ถ้าให้องค์สนเลือกระหว่างสมุทราและอนันตราช ข้ายืนยันว่าองค์สนจะเลือกสมุทรา” ชีวินตอบด้วยท่าทีเฉยเมยเช่นเดิม   



   “แล้วถ้าหากองค์ชายสนธยาทรงทราบเรื่องชาติกำเนิดที่แท้จริงของตัวเองว่าไม่ได้มีแค่เลือดของสมุทราเท่านั้น องค์ชายสนธยาจะทรงเลือกสมุทราอย่างไม่บิดพลิ้วได้อยู่หรือ”



เสียงหนึ่งดังขึ้นเบื้องหลัง ทำเอาสามองครักษ์ต้องรีบหันไปมอง และต่างต้องรีบค้อมกายคำนับการเสด็จขององค์ชายรัชทายาทลำดับที่หนึ่งของอนันตราชโดยพร้อมเพรียง



   “ไม่ต้องมากพิธี เราแค่แอบแวะมาดูองค์เตชเท่านั้น เสด็จพ่อตรัสกับเราเรื่ององค์หญิงอรุณาแล้ว เราก็เลยเป็นห่วงองค์เตชนิดหน่อย” องค์ชายเจษฎาตรัสเช่นนั้นพลางเหลือบเนตรไปยังสองร่างที่ริมบ่อ องค์ชายสนธยายังคงวางหน้าผากลงบนลาดไหล่ขององค์ชายเตชินทร์ ในขณะที่องค์ชายเตชินทร์อิงซบศีรษะลงบนศีรษะขององค์ชายสนธยา



   ...ช่างเป็นภาพที่ดูเศร้าสร้อยเสียจนน่าสงสาร...



   “น่าเป็นห่วงกว่าที่คิดจริงๆด้วยสินะ” องค์ชายเจษฎาตรัสอย่างครุ่นคิด



   “เอ่อ...เรื่องที่พระองค์ตรัสเมื่อครู่...เรื่องชาติกำเนิดขององค์ชายสนธยาหมายความว่าอย่างไรหรือพระเจ้าค่ะ” สมิตทูลถามด้วยความสงสัย หากแต่องค์ชายหนุ่มกลับเหลือบเนตรกลับมายังชีวิน



   “เจ้าเคยสงสัยตัวเองไหมชีวิน ว่าเหตุใดเด็กผิวขาวอย่างเจ้าจึงถูกทอดทิ้งอยู่ที่ตลาดในสมุทรา”



   ชีวินได้แต่เงียบ แม้จะรู้ตัวดีว่าเขาไม่ใช่ชาวสมุทราโดยกำเนิด แต่เรื่องราวในวัยเยาว์ก็นานมากเสียจนเขาจำหน้าบิดามารดาไม่ได้แล้ว สิ่งเดียวที่จำได้คือการที่เขาถูกเก็บมาจากตลาดในสมุทราโดยองค์ชายสนธยา



   “เรื่องบางเรื่องก็ยุ่งยากและซับซ้อน บางเรื่องไม่จำเป็นต้องถูกเปิดเผย และบางเรื่อง...ก็ควรถูกใช้เป็นไพ่ตาย” องค์ชายเจษฎาทอดเนตรกลับไปยังสองร่างที่ริมบ่ออีกครั้ง



   ...หากคราวนี้ทุกอย่างสำเร็จ...พระองค์จะใช้งานองค์เตชให้หนักสมกับที่พระองค์ทิ้งไพ่ตายทีเดียวเชียว!!...



...................................
หัวข้อ: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 14...อัพ 30/6 (หน้า 17 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Dezair ที่ 30-06-2014 20:01:01
ไม่ถึงเจ็ดวันหลังจากนั้น ก็มีประกาศสำคัญจากสมุทราส่งไปยังอาณาจักรต่างๆเกี่ยวกับการสิ้นพระชนม์ขององค์หญิงอรุณา ใจความสำคัญของประกาศค่อนข้างสั่นคลอนความมั่นคงของราชสำนักสมุทราพอดูเพราะองค์หญิงพระองค์โตผู้เปรียบดังรัชทายาทสิ้นพระชนม์กะทันหันในขณะที่องค์หญิงพระองค์อื่นผู้มีสิทธิ์ในบัลลังก์กลับยังไม่เติบโตเพียงพอที่จะแบกรับรัฐกิจ ดังนั้นอนันตราชจึงต้องประกาศการเสด็จกลับขององค์ชายสนธยาในเวลาต่อมาโดยทันที



   ...และประกาศของอนันตราชนั้น...ออกโดยกรมวังซึ่งอยู่ใต้การปกครองขององค์ชายเตชินทร์...



   เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ ชีวินหันไปมองยังบานประตูนั้นก่อนจะเป็นคนเดินไปเปิด และร่างสูงใหญ่เบื้องหน้า ก็ทำเอาองครักษ์หนุ่มแห่งสมุทราต้องค้อมกายทำความเคารพ



   “องค์สนหลับหรือยัง” เพราะประกาศของอนันตราชฉบับนั้นเป็นเรื่องเร่งด่วน เตชินทร์จึงกลับถึงตำหนักดึกกว่าเคยและไม่ได้ร่วมมื้อเย็นกับสนธยาดังทุกที



   “ยังกระหม่อม” ชีวินขยับกายเล็กน้อยเปิดทางให้องค์ชายหนุ่มเสด็จเข้ามาภายใน องค์ชายสนธยากำลังอ่านหนังสืออยู่ที่ชุดเก้าอี้ข้างหน้าต่าง เมื่อเห็นผู้มาเยือนยามวิกาลก็รีบวางหนังสือลงข้างกายทันที



   “ท่านเตช กลับมาแล้วหรือ” เตชินทร์นิ่งชะงักด้วยความใจหายกับประโยคทักทาย อีกไม่นานแล้ว...ที่จะไม่อาจได้ยินประโยคเช่นนี้จากสนธยา



   “กลับมาแล้ว” เขาตอบกลับเสียงแผ่ว ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อรวบรวมความเข้มแข็งให้ข่มความรู้สึกทั้งหมดให้คงที่ แล้วกล่าวเสียงแผ่ว



   “...เรา...จะมาแจ้งท่านว่าเรื่องการเดินทางกลับของท่าน เป็นที่รับรู้โดยทั่วกันแล้ว ไม่ต้องห่วง”



   รอยยิ้มบนใบหน้าของสนธยาจืดจางลงเพียงน้อยเมื่อได้ยินความจริงจากปากของเตชินทร์



   ...เรื่องเดินทางกลับเป็นที่รับรู้โดยทั่วกันแล้ว...ดังนั้น...ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องกลับ จะบิดพลิ้วไม่ได้อีกแล้ว...



   “ขอบคุณท่านมาก”



   “แล้วกำหนดกลับคือเมื่อใด” ตามประกาศที่ออกโดยกรมวังนั้น บอกกล่าวให้ทราบโดยทั่วกันว่าองค์ชายสนธยาผู้มากับขบวนบรรณาการจากสมุทราเมื่อคราวก่อนจะกลับในไม่ช้านี้ ทว่ายังไม่ระบุวันแน่นอน



   “ก็...อีกสามวันหลังจากอนันตราชประกาศ เราคงกลับไปร่วมตอนเผาศพทันพอดี” เนื่องจากเกาะสมุทราเป็นเกาะเล็กๆ ดังนั้นจึงไม่มีที่ทางเพียงพอสำหรับการฝัง แม้แต่ในราชสำนักเองก็นิยมการเผาและนำเถ้าไปลอยในทะเลถือเป็นการสิ้นสุดชีวิตที่เกิดจากท้องทะเลและจบที่ท้องทะเล



   “สามวันข้างหน้าหรือ...” เพียงแค่สามวันเท่านั้น ที่จะได้อยู่ด้วยกัน...แค่สามวัน แล้วนับจากนั้น...คงต้องภาวนาขอให้เตชินทร์กลายเป็นปลา จึงจะสามารถไปสมุทราได้



   “ท่านเตช...” การนิ่งซึมของอีกฝ่าย ทำเอาสนธยาใจหายรีบยื่นมือไปจับมือหนาของร่างสูงเอาไว้แล้วส่งยิ้มให้อย่างร่าเริง



   “ตั้งแต่เรามาอนันตราช เราไม่เคยชิมน้ำจัณฑ์ของที่นี่เลย เขาว่ากันว่าน้ำจัณฑ์ของอนันตราชละมุนลิ้น ถ้าอย่างไร ท่านพาเราชิมหน่อยได้ไหม” เตชินทร์เห็นสีหน้าซีดเซียวหากแต่รอยยิ้มนั้นพยายามอย่างยิ่งที่จะทำให้ดูสดใส เขาก็พอจะเข้าใจว่าอีกฝ่ายก้รู้สึกไม่แตกต่างไปจากเขาเช่นกัน



   ...หากแต่เพราะพันธะ...หากแต่เพราะหน้าที่...พบกันเพื่อจากลา และเขาต้องทำทุกวิถีทางเพื่อที่หลังการจากลาคือการได้พบกันอีกครั้ง...



   “ได้สิ คืนนี้เลยดีไหม เราจะไปบอกคุณท้าวเอิบให้ช่วยเตรียมน้ำจัณฑ์และกับแกล้มให้” สนธยาเพียงยิ้มอย่างเห็นด้วย ผู้เป็นเจ้าของตำหนักจึงรีบกุลีกุจอออกจากห้องไป และทันทีที่พ้นร่างสูง รอยยิ้มบนใบหน้าสนธยาก็เลือนหาย



   “ชีวิน...” องค์ชายหนุ่มแห่งสมุทราตรัสเสียงอ่อน



   “...เจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ เรา...อยากอยู่กับท่านเตชเพียงลำพัง” ชีวินมองพักตร์เศร้าระทมของผู้เป็นนายเหนือหัวด้วยความสงสาร ดูเหมือนนี่จะเป็นโอกาสสุดท้ายสำหรับความรู้สึกเบื้องลึกขององค์ชายสนธยา หลังจากนี้ไปอีกสามวัน ความรู้สึกเหล่านี้จะกลายเป็นเพียงตะกอนในหัวใจที่ต้องรอเวลาให้ช่วยเจือจางเท่านั้น



   ...แต่กว่าเวลาจะเยียวยา...องค์ชายสนธยาคงไม่มีรอยสรวลบนพักตร์อีก...



   “รับด้วยเกล้า” ชีวินไม่อาจช่วยเหลือสิ่งใดได้แม้จะอยากช่วยเหลือเพียงใด เขาทำได้เพียงค้อมกายลาตามรับสั่ง แล้วเดินออกจากห้องมาด้วยหัวใจที่หนักอึ้งไม่แพ้กัน



   ...หวังเพียงอย่างเดียวคือไพ่ตายขององค์ชายเจษฎาจะมาทันเวลาก่อนที่องค์ชายสนธยาและองค์ชายเตชินทร์จะไม่มีวันได้เคียงคู่กันอีก...



   ...............................



   เตชินทร์กลับมาที่ห้องของสนธยาอีกครั้งพร้อมด้วยถาดที่คุณท้าวเอิบจัดแจงให้โดยมีน้ำจัณฑ์ขวดทรงกลมไม่ใหญ่นักและแก้วสำหรับน้ำจัณฑ์สองแก้ว พร้อมด้วยถั่วอบแห้งเป็นกับแกล้ม ตอนแรกคุณท้าวเอิบจะให้นางกำนัลยกถาดขึ้นมาให้ แต่เตชินทร์ขอเป็นคนยกเอง



   ผู้เป็นเจ้าของตำหนักเคาะประตู 2-3 ครั้งก่อนจะเปิดเข้าไปในห้องพักผ่อนของผู้มาอาศัย หากแต่...อีกแค่ 3 วัน...ห้องนี้จะว่างเปล่า...



   “มาแล้วหรือ โอ้! สีสันน่าอร่อยจริงด้วย” เสียงร่าเริงของสนธยาทำเอาเตชินทร์ต้องพยายามยิ้มให้ได้อีกครั้ง แม้หัวใจจะอ่อนล้าเพียงใดก็ตาม



   “รับรองว่าท่านจะติดใจ” เจ้าของตำหนักกล่าว ก่อนจะวางถาดลงบนโต๊ะหน้าชุดเก้าอี้ แล้วเปิดขวดน้ำจัณฑ์รินน้ำสีอำพันลงแก้วแล้วจึงส่งแก้วให้แก่สนธยา



   “หืม...กลิ่นก็หอมดีทีเดียว” องค์ชายจากสมุทรายกแก้วขึ้นดมกลิ่นหอมหวลนั้นก่อนจะจิบน้ำสีอำพันนั้นอย่างละเลียด แต่ก็ต้องข่มตาหลับแน่นเมื่อน้ำจัณฑ์ร้อนแรงไหลลงสู่ลำคอ



   “เป็นอย่างไร” เตชินทร์ถามด้วยแววเนตรระยิบเมื่อดูท่าทางคนตรงหน้าจะไม่ถูกปากกับน้ำจัณฑ์ของอนันตราช



   “เข้ม! ไหนใครต่อใครว่าละมุนลิ้นกัน!! โกหกเราชัดๆ!!”



   “อนันตราชเป็นเมืองหนาว น้ำจัณฑ์ก็ต้องรสเข้มเป็นธรรมดา” เตชินทร์ตอบกลั้วหัวเราะ



   “ท่านรู้ทั้งรู้ว่ารสเข้มเพียงใดก็ยังเออออไปกับเราว่าละมุนลิ้นให้ลองชิม! เราคาดโทษท่านเหมือนกัน!!” สนธยาโวยวายหากแต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่จริงจังเสียเท่าไหร่นัก เพราะยกแก้วขึ้นจิบอีกอึก แต่พอน้ำจัณฑ์ผ่านคอก็ทำตาปี๋อีกหน



   “ถ้าไม่ถูกปากก็ไม่ต้องดื่มแล้วก็ได้” เจ้าของขวดน้ำจัณฑ์ว่าอย่างนั้น เอื้อมมือจะรับแก้วคืนหากแต่ร่างโปร่งกลับยื้อมือหนี



   “ไม่ถูกปากแต่ไม่ใช่ไม่อร่อยสักหน่อย ท่านดื่มร่วมกับเราเลย เราไม่ดื่มคนเดียวหรอก” สนธยาว่าอย่างนั้นก่อนจะเป็นฝ่ายเอื้อมมือไปหยิบขวดน้ำจัณฑ์มารินให้แก่ร่างสูง เตชินทร์ได้แต่ยิ้มบางพลางยกแก้วขึ้นจิบ



   แล้วพอน้ำจัณฑ์เข้าปากไปได้สักหน่อย ก็ดูเหมือนมันจะทำหน้าที่ที่สนธยาต้องการได้อย่างดีเยี่ยม เขาเหลือบมององค์ชายหนุ่มแห่งอนันตราชที่นั่งอยู่ข้างกัน ความเป็นบุรุษในกายบอกสนธยาว่าหากเวลานี้เขาไม่ปริปากบอกทุกความรู้สึก เขาจะไม่มีโอกาสอีกต่อไปแล้ว



   “ท่านเตช...” เขาเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงแผ่ว เมื่อไหร่ไม่รู้ที่การอยู่ข้างกายเตชินทร์กลายเป็นความต้องการของเขา สนธยาไม่ปฏิเสธว่าเพราะเตชินทร์แสดงออกซึ่งความปรารถนาดีต่อเขาเสมอมา และเขาก็ต้องการความปรารถนาดีเช่นนี้สืบต่อไป



   ...แต่...อาจจะไม่ได้รับรู้ความปรารถดีนี้อีกแล้ว อาจจะห่างไกลเสียจนไม่อาจสัมผัสได้อีก...ดังนั้น...เวลานี้เท่านั้น...อย่างน้อยก็แค่เวลานี้...



   เตชินทร์หันกลับมามองตามเสียงเรียกนั้น พวกเขาทำได้เพียงสบตากันเงียบๆ ขณะที่ใบหน้าเลื่อนเข้าหากันช้าๆ แล้วริมฝีปากที่เจือด้วยรสน้ำจัณฑ์ก็แนบสัมผัสกันและกันอย่างเชื่องช้าราวกับต้องการจะรั้งเวลาทั้งหมดที่เหลืออยู่ให้ยาวนานออกไปมากที่สุด



   “อืม...” เสียงครางแผ่วเบานั้นเล็ดรอดออกมาจากริมฝีปากที่เบียดประกบเข้าหากัน แก้วน้ำจัณฑ์ในมือของสนธยาหล่นลงกับพื้นพรมใต้เก้าอี้นั่ง มือทั้งสองข้างเป็นอิสระเพียงพอที่จะไขว่คว้าแผ่นหลังกว้างของเตชินทร์ที่พลิกกายขึ้นคร่อมเบียดร่างเขาให้ฝังลงกับเบาะเก้าอี้นุ่ม



   รสสัมผัสที่ริมฝีปากนั้นแนบแน่นแต่อ้อยอิ่งเสียจนเกือบจะขาดใจ ฝ่ามือใหญ่ร้อนของเตชินทร์ลากไล้ไปมาบนช่วงเอวของร่างข้างใต้ก่อนจะผละริมฝีปากออกมาอย่างเชื่องช้า



   “ท่านสน...” เตชินทร์ถามเสียงกระซิบบนริมฝีปากฉ่ำ



   “...มอบใจของท่านให้แก่เราได้ไหม” สนธยาหลับตาลงอย่างยินยอม



   “เรามอบให้ท่านทั้งหมด...ทั้งใจ...และกายของเรา...”



...............................



   เตียงสี่เสากลางห้องพักผ่อนของสนธยาถูกตลบม่านบางพลิ้วลงทั้งหมดแล้ว มันพลางตาสองร่างที่กอดก่ายแนบชิดบนเตียงให้เหลือเพียงเงา เสียงครางแผ่วหวานดังลอดเป็นระยะสอดประสานไปกับเสียงแนบเนื้อที่เร่งเร้าขึ้นเรื่อยๆ



   ฤทธิ์มึนเมาของน้ำจัณฑ์ทำให้สนธยาลืมไปหมดแทบทุกสิ่ง เวลานี้เขารู้เพียงแค่ว่าการอยู่ใต้ร่างของเตชินทร์นั้นเป็นความเจ็บปวดที่แสนหวาน มันทรมานราวกับดำน้ำลึกโดยที่ไม่ได้โผล่ขึ้นมารับอากาศ ราวกับจะขาดใจ ทว่ายามที่ริมฝีปากของเตชินทร์ก้มลงแนบชิดกับริมฝีปากของเขาก็เหมือนมอบกำลังใจทั้งมวลให้ดิ้นรนดำดิ่งลงสู่ความหฤหรรย์ที่แสนทรมานนั่นต่อไป



   ฝ่ามือลูบไล้ร่างเปลือยเปล่าของกันและกันเพื่อทิ้งความรู้สึกทั้งมวลเอาไว้ให้ห่วงหายามต้องจากไกล ค่ำคืนนี้ท้ายที่สุดแล้วอาจกลายเป็นเพียงความทรงจำครั้งหนึ่ง...แต่ความทรงจำครั้งนี้จะมีความหมายไปตลอดชีวิต



   “ท่านเตช...” ท่ามกลางความพร่างพรายของดวงเนตรที่เอ่อล้นไปด้วยหยาดน้ำตาของความเต็มตื้นและเจ็บปวด สนธยารู้ดีว่าไม่อาจเอ่ยความรู้สึกของตัวเองได้ แต่...ถ้าเพียงแค่บอกมันด้วยสายตา เตชินทร์คงเข้าใจ



   ฝ่ามือใหญ่ของร่างสูงลูบไล้ใบหน้าสีน้ำผึ้งด้วยความรักใคร่



   “...ท่านจะอยู่ในความฝันของเรา...ตลอดไป” ช่างเป็นความเจ็บปวดที่อ่อนโยนราวกับผีเสื้อขยับปีก เตชินทร์มองลึกเข้าไปในดวงเนตรสีอ่อนนั้น ทั้งดีใจทั้งเสียใจปะปนกัน



   “เวลานี้เรายังมีท่านอยู่ในความจริง...อย่าพูดถึงเรื่องฝันเลย” น้ำเสียงทุ้มนั้นแสนเศร้าเสียจนคนฟังยังใจหาย หากเขารู้ใจเร็วกว่านี้ก็คงดี หากเขาสำนึกในความรู้สึกที่มีของตัวเองได้เร็วกว่านี้ ก็คงได้ใกล้ชิดกันได้นานกว่านี้



   “ถ้าเช่นนั้น...กอดเราเถอะ กอดเราจนกว่าจะถึงวันที่ท่านกลายเป็นเพียงฝัน...กอดเรา...จนกว่าในความจริงของเราจะไม่มีท่านอยู่อีกแล้ว” สนธยาพูดเสียงแผ่ว ดวงเนตรเอ่อคลอด้วยน้ำตา ทว่าเรียวปากยังยิ้มบาง เป็นภาพที่งดงามและสะเทือนใจ เตชินทร์คำรามในคออย่างอัดอั้น ทุรนทุรายกับหยาดน้ำใสที่เขาต้องพบเห็น



   หากแต่...สิ่งเดียวที่ทำได้ในเวลานี้คือปลอบโยนด้วยไออุ่นของเรือนกาย...มอบสัมผัสให้แก่กันอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้นราวกับจะบอกลา



   ...ครั้งแรก...และครั้งสุดท้าย...ก่อนจากกันไกล



   มุ้งบางรอบเตียงยังคงมีเงาของสองร่างที่อิงแอบแนบชิดกันไม่ห่าง ภาพเงาของร่างสองร่างที่ตะกองกอดกันและกันเอาไว้ สามวันสุดท้ายของการชิดใกล้ สามวันสุดท้ายก่อนที่หัวใจจะไม่อาจเผยความรู้สึกใดให้รับรู้ได้อีกแล้ว



   ...สามวันสุดท้ายของความจริง ก่อนที่อีกฝ่ายจะกลายเป็นเพียงความฝันนิรันดร...





ติดตามตอนต่อไป

ก่อนอื่น ขอขอบคุณทุกคนที่ยังติดตามเรื่องนี้นะคะ บัวจะพยามยามเขียนให้จบภายในสามเดือนนับจากนี้ เพราะว่ามีลิสต์ตอนพิเศษอีกหลายเรื่องจ่อคออยู่ อยากเขียนไปหมดทุกสิ่งอัน (โลภมากจริงๆ =.=)

จะพยายามปั่นมาลงให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้เลยค่ะ!

ยังไงก็ขอบคุณสำหรับการติดตาม การอ่าน การม้นท์ และพื้นที่บอร์ดจ้า
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 14...อัพ 30/6 (หน้า 17 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: kongxinya ที่ 30-06-2014 20:40:41
องค์สนต้องกลับสมุทราจริงๆหรือนี่  :monkeysad:

สงสารทั้งสองคนเลย หวังว่าไพ่ตายขององค์ชายเจษฎาจะช่วยทั้งสองคนได้นะ  :ling2:

แต่แอบกลัวองค์ราชินีวารีนาทโหดสุดๆเลย  :ling3:

รอตอนต่อไปคร่าาา  :L2: :กอด1: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 14...อัพ 30/6 (หน้า 17 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: greenapple ที่ 30-06-2014 20:52:37
จำเนื้อเรื่องไม่ได้ค่ะขอกลับไปทวนของเก่าก่อน :mew1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 14...อัพ 30/6 (หน้า 17 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 30-06-2014 20:53:45
อ่านตอนนี้แล้วบีบหัวใจเหลือเกิน
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 14...อัพ 30/6 (หน้า 17 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 30-06-2014 21:01:27
เปิดไพ่เถอะองค์เจษฐ์ สงสารท่านเตชกะท่านสน
งื้อออออ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 14...อัพ 30/6 (หน้า 17 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 30-06-2014 21:28:42
ลึกลับซับซ้อน  :z10:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 14...อัพ 30/6 (หน้า 17 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: SenzaAmore ที่ 30-06-2014 21:34:34
....จึกๆกันแล้ว แต่เป็นฉากที่ชวนเศร้ามากจริงๆ :o12:

ไพ่ตายคืออะไรน้าาาา หรือว่าชีวินเป็นองค์ชายของอนันตราช!!!(มั่วๆ55)

รอตอนต่อไปค่ะ :mew1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 14...อัพ 30/6 (หน้า 17 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 30-06-2014 21:40:59
เพราะรักจึงยอมทุกอย่าง ไม่เหลือมาดองค์ชายเลยนะองค์สน
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 14...อัพ 30/6 (หน้า 17 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: plengpit ที่ 30-06-2014 21:46:37
 :m15: เศร้าา
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 14...อัพ 30/6 (หน้า 17 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Dezzerr ที่ 30-06-2014 21:47:30
หวานปนเศร้า ฮือๆๆๆๆ
ชอบอ่านแบบนี้จัง รู้สึกประทับใจ
มันซาบซึ้ง ตราตรึง บอกไม่ถูก
แต่ชอบบบบบบบ
ยังไงก็ตามขอจบแฮปปี้นะคะ  :mew4:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 14...อัพ 30/6 (หน้า 17 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 30-06-2014 21:50:05
เป็นฉากรักที่เศร้าที่สุดแล้วมั้งนี่
ไพ่ตายขององค์ชายรัชทายาทคืออะไรกันแน่
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 14...อัพ 30/6 (หน้า 17 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Ali$a฿eth ที่ 30-06-2014 22:10:09
เปิดไพ่ !
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 14...อัพ 30/6 (หน้า 17 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: saruttaya ที่ 30-06-2014 22:43:01
  :sad4: :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 14...อัพ 30/6 (หน้า 17 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: MK ที่ 30-06-2014 23:33:33
เพิ่งได้อ่านค่ะ  แล้วก็ติดแล้วเรียบร้อย หลงรักท่านเตชเต็มกระบุง ฮรื้อออออ

ตอนล่าสุด น่าจะดีใจที่เค้าได้กันแต่ทำไมมันเศร้างี้ ฮรื้อออออ ไพ่ตายที่ว่าเอาออกมาใช้เถอะ

เรื่องนี้เดาอะไรไม่ได้เลย ผิดหมด   :เฮ้อ:   สนกลับไปแล้วจะปลอยภัยใช่ไหม? แม่คงไม่คิดจะทำอะไรหรอกใช่ไหม?

จะได้อยู่ด้วยกันเมื่อไหร่ ฮรื้อออออ  สงสารทั้งสองอ่ะ    :katai4:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 14...อัพ 30/6 (หน้า 17 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: maru ที่ 30-06-2014 23:54:42
รอไพ่ของเจษฎา
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 14...อัพ 30/6 (หน้า 17 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: IaminLove ที่ 01-07-2014 00:26:55
ช่วงนี้เซนซิทีฟกับเรื่องรักๆ
อ่านตอนนี้แล้วน้ำตาจะไหล
สงสารทั้งสองคน ที่กว่าอีกคนจะรู้ใจตัวเองก็เรียกได้ว่าสายไปแล้ว
แต่หวังว่าปาฏิหารย์จะมีจริง
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 14...อัพ 30/6 (หน้า 17 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: jaja-jj ที่ 01-07-2014 02:15:48
ไพ่ตายอยู่ไหนคะ. Need มากๆ ต้องการด่วนๆ

บทนี้เศร้ามาก หวานมาก. ชอบมากๆค่ะ #ซับน้ำตา
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 14...อัพ 30/6 (หน้า 17 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 01-07-2014 07:00:18
อ่านแล้วน้ำตาคลออ้ะ สงสารทั้งคู่เลย

รักกันแต่อยู่ด้วยกันไม่ได้ หวังว่าไพ่ตายจะมีผลนะ

รอนะค้าบบ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 14...อัพ 30/6 (หน้า 17 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 01-07-2014 08:54:02
ดราม่ามาก รักกันแต่ก็ต้องพรากจาก  :ling3:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 14...อัพ 30/6 (หน้า 17 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 01-07-2014 11:18:18
เหมือนจากกันแล้วจะไม่ได้เจอกันอีกเลยอ่ะ
หัวข้อ: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 15...อัพ 07/07 (หน้า 18 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Dezair ที่ 07-07-2014 19:36:18
NOV: ด้วยพันธะบรรณาการ
By: Dezair
……………………..

บทที่ 15



   เสียงหวูดของเรือหลวงสมุทราที่จอดเทียบท่าอยู่ที่อนันตราชดังเป็นคำรบที่สองบอกเวลาการเตรียมพร้อมรับเสด็จองค์ชายสนธยาที่จะเสด็จกลับสมุทราแล้ว วันนี้ที่ท่าเรือของอนันตราชค่อนข้างครึกครื้นกว่าเคย เพราะนอกจากประชาชนทั่วไปแล้ว กษัตริย์วิภู องค์ชายเจษฎาและองค์ชายเตชินทร์ยังเสด็จมาส่งองค์ชายสนธยาถึงท่าเรือแต่เช้าตรู่



   สมิตมององค์ชายเหนือหัวของตนประทับเคียงข้างองค์ชายสนธยาที่กำลังสนทนาอยู่กับองค์ชายเจษฏาและกษัตริย์วิภูด้วยความอัดอั้น เขามองซ้ายมองขวาก็เห็นแต่อังกูรเท่านั้นที่พอจะปรับทุกข์ด้วยได้



   “นี่อังกูร วันนั้นเจ้าก็ได้ยินใช่ไหมว่าองค์เจษตรัสว่าทรงมีไพ่ตาย แล้วไหนล่ะไพ่ตาย! นี่องค์ชายสนธยาจะเสด็จกลับสมุทราอยู่แล้ว ไม่เห็นไพ่ตายสักใบถูกองค์เจษทรงทิ้งออกมา!!!” สมิตเกือบจะวางใจอยู่แล้วตอนที่ได้ยินว่าองค์ชายเจษฎาทรงมีไพ่ตายไว้ช่วยเหลือองค์ชายเตชินทร์และองค์ชายสนธยาได้ครองคู่กัน



   แต่ดูเอาเถอะ!! ผ่านไปสามวันจนกระทั่งองค์ชายสนธยาจะเสด็จกลับอยู่รอมร่อสมิตก็ยังไม่เห็นไพ่ตายสักใบมารั้งองค์ชายสนธยาเอาไว้!!!
   “ข้าก็ไม่เห็นเช่นเจ้านั่นล่ะ” อังกูรตอบกลับด้วยความหนักใจไม่แพ้กัน แม้ตลอดสามวันที่ผ่านมาองค์ชายเตชินทร์จะประทับเคียงใกล้องค์ชายสนธยาไม่ห่างด้วยพักตร์ยิ้มแย้ม แต่...อังกูรรู้ดีว่าภายใต้พักตร์สรวลสดใสนั้นคือความเจ็บปวดพระทัยขั้นรุนแรง



   “โธ่เอ๊ย!!ไพ่ตายจะมาตอนไหนกัน?!! เจ้าว่าเจ้าชีวินนั่นจะรู้ไหม” สมิตถามเพื่อนรักอีกหน เหลือบมองไปที่องครักษ์ขององค์ชายสนธยาก็เห็นแต่ใบหน้านิ่งเฉยไม่ทุกข์ไม่ร้อนเช่นเคย!



   “ข้าคิดว่าไม่ องค์เจษทรงเก็บความลับเก่งมาแต่ไหนแต่ไร หากเรื่องไม่แพร่งพรายมาถึงหูเจ้ากับข้า ท่านชีวินก็ไม่น่าจะรู้”



   สมิตยิ่งงุ่นง่านมากกว่าเดิม ยิ่งเมื่อเห็นองค์ชายสนธยาน้อมกายบังคมลากษัตริย์วิภูและองค์ชายเจษฏาด้วยแล้ว เขาก็ยิ่งกังวล



   ...องค์สนจะเสด็จกลับแล้ว!! ทำอย่างไรดี!! ทำอย่างไรดีให้องค์สนประทับที่อนันตราช!!!...



   ทว่า...ท้ายที่สุดแล้วสมิตก็ทำได้เพียงแค่อ้าปากพะงาบๆเพราะไม่รู้จะทำสิ่งใดได้อีก แล้วมองดูองค์ชายสนธยาพร้อมด้วยนายทหารจากสมุทราก้าวขึ้นเรือหลวงที่เทียบท่ารออยู่ ในขณะที่องค์ชายเตชินทร์ประทับอยู่ที่ท่าแล้วทรงทำได้เพียงส่งรอยสรวลเบาบางไปให้ผู้ที่ประทับที่กาบเรือเท่านั้น



   เสียงหวูดของเรือดังขึ้นอีกครั้งเป็นสัญญา ก่อนที่เรือลำไม่ใหญ่นักจะเคลื่อนตัวออกสู่มหาสมุทรกว้าง เรือหลวงของสมุทราเคลื่อนตัวไกลออกจากท่าจนกลายเป็นลำเล็กลงทุกที ทุกที ก่อนจะหายลับสายตาไปในที่สุด



   “องค์เตช...” สมิตได้แต่ทูลเรียกเสียงแผ่ว ร่างสูงสง่าที่ประทับอยู่เบื้องหน้าตนนั้นยังคงผึ่งผายมองส่งจนลับสายเนตร



   “เสด็จกลับวังเถอะพระเจ้าค่ะ” ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะยืนอยู่ที่นี่อีกแล้ว องค์ชายสนธยาเสด็จกลับสมุทราไปแล้ว และคงอีกนาน...กว่าจะมีโอกาสได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง



   แต่...องค์ชายเตชินทร์ยังคงประทับนิ่งอยู่ที่เดิม เรือหลวงของสมุทราไม่ได้เพียงพรากคนที่พระองค์รักไปสุดสายเนตร แต่ยังพาหัวใจของพระองค์ไปด้วย



   “องค์เตช...” เสียงขององค์ชายเจษฎาดังขึ้น พร้อมกับหัตถ์ของเชษฎาที่วางลงบนอังสาขององค์ชายเตชินทร์



   “เจ้าควรจะกลับได้แล้ว ที่กรมวังมีงานอีกมากที่เจ้าต้องจัดการ”



   “กระหม่อมทราบ” องค์ชายเตชินทร์ยังคงเลื่อนลอยและเซื่องซึมจนผู้เป็นเชษฏาต้องถอนปัสสาสะเล็กน้อย



   “ถ้าเช่นนั้นก็กลับกรมวังเสีย เจ้าต้องรีบสะสางงานให้เรียบร้อย อย่าลืมว่าต้องไปร่วมงานของสมุทรา” ประโยคท้ายของผู้เป็นพี่ ทำเอาองค์ชายเตชินทร์ชะงักไปโดยพลัน



   “อะไรนะพระเจ้าค่ะ?! ร่วมงานของสมุทรา?...”



   “อ้าว! ก็งานศพอย่างไรล่ะ สมุทราเป็นพันธมิตรกับเรา ซ้ำยังมีน่านน้ำร่วมกัน เจ้าคงไม่คิดว่าเสด็จพ่อจะส่งขุนนางนายทหารไปร่วมงานสำคัญนั่นหรอกนะ ตอนแรกเราก็ตั้งใจจะไปร่วมเพียงลำพังหรอก แต่องค์หญิงอรุณาเป็นถึงว่าที่ราชินี ครั้นจะไปคนเดียวก็คงดูอย่างไรอยู่ เลยว่าจะให้องค์ชายรัชทายาทลำดับที่ 2 ไปด้วยกัน เจ้าคิดเห็นอย่างไร” ราวกับตะวันสาดแสงเข้ามาในหัวใจที่ดำมืด องค์ชายเตชินทร์แย้มสรวลกว้างด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่ง



   “เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งพระเจ้าค่ะ!! เรากับสมุทราเป็นมิตรและผูกพันกันมานานนม ทั้งงานนี้ยังเป็นงานใหญ่ จะเสด็จแค่รัชทายาทลำดับที่ 1 เพียงพระองค์เดียวคงไม่เหมาะกระหม่อม!! แล้วเสด็จพี่มีกำหนดเดินทางเมื่อไหร่หรือพระเจ้าค่ะ”



“ยังไม่แน่นอน คงต้องรอจัดการงานต่างๆให้เรียบร้อยก่อน เจ้าก็สะสางงานเอาไว้แต่เนิ่น เมื่อเราตัดสินใจแล้ว จะได้ออกเดินทางได้ทันที”



“รับด้วยเกล้าพระเจ้าค่ะ!! เช่นนั้นกระหม่อมจะรีบกลับไปสะสางงานโดยไว!! สมิต อังกูร กลับ!” ราวกับมีชีวิตใหม่อย่างไรอย่างนั้น จากเมื่อครู่ที่เป็นองค์ชายผู้เงียบงันกลายเป็นองค์ชายเตชินทร์คนเดิมแล้ว



   ร่างสูงก้าวอย่างรวดเร็วกลับไปที่ม้าเพื่อกลับวังโดยไว ในขณะที่สมิตรีบหันมาทูลองค์ชายเจษฏาอย่างยินดี



   “นี่คือไพ่ตายที่พระองค์เคยตรัสใช่ไหมพระเจ้าค่ะ!” องค์ชายเจษฏาสรวลเบาๆ ก่อนจะส่ายพระพักตร์ไปมา



   “ไพ่ตายก็คือไพ่ตาย...เปิดทีเดียวทุกอย่างอยู่ในมืออนันตราชทั้งหมดนั่นสิถึงจะเรียกว่าไพ่ตาย”



   งานนี้ต่อให้ฝ่ายตรงข้ามเป็นราชินีมากเล่ห์วารีวาทก็ไม่อาจยื้อยุดสิ่งใดจากอนันตราชได้แน่...แม้ว่าสิ่งนั้นจะเป็นองค์ชายพระองค์โตแห่งสมุทรานามว่าสนธยาก็ตาม!!!



……………………………



   สมุทรายังคงเป็นสมุทรา เกาะขนาดเล็กใจกลางมหาสมุทร เป็นท่าเรือ เป็นแหล่งค้าขาย เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ในแต่ล่ะปีต้อนรับชาวต่างแดนมากหน้าหลายตาให้แวะเวียนมาเยี่ยมชมความงดงามของภูมิทัศน์และวิถีชีวิตของผู้คนที่นี่



   สนธยาก้าวลงจากเรือตรงมายังสตรีสูงสุดแห่งสมุทราที่ประทับรออยู่ที่ท่าเรือแล้ว ก่อนจะค้อมกายถวายการคำนับด้วยความรักและห่วงหา



   “ถวายบังคมพระเจ้าค่ะ เสด็จแม่”



   “ยินดีที่ได้เห็นเจ้ากลับมา องค์สน” ราชินีวารีวาทยังคงมีรอยแย้มพระโอษฐ์น้อยๆบนพักตร์สีน้ำผึ้ง แม้จะฉลองพระองค์สีดำเพื่อไว้ทุกข์แก่ธิดาที่จากไป แต่อากัปกริยาก็ยังคงไว้ซึ่งบารมีเช่นเคย



   “พระองค์ไม่น่าทรงลำบากมารับกระหม่อมถึงทีนี่เลย น่าจะประทับรอที่วัง” อากาศร้อนจัดในยามกลางวันนั้นทำให้สนธยาค่อนข้างจะห่วงใยในสุขภาพของผู้เป็นมารดา ทว่าราชินีวารีวาทกลับเพียงแย้มโอษฐ์น้อยๆ



   “ก็แค่มาดูเท่านั้น ว่าลูกมาคนเดียว ไม่ได้พาใครมาด้วย” สนธยานิ่งงันไปกับวาจาของมารดา หากแต่ก็เสยิ้มแล้วปฏิเสธ



   “ลูกจะพาใครมาด้วยเล่า ยามไปก็ไปเพียงลำพัง ยามกลับก้ต้องกลับเพียงลำพัง จึงจะถูก” ราชินีวารีวาทจ้องเนตรของโอรส และเป็นฝ่ายโอรสพระองค์โตของพระองค์ที่เบือนเนตรหลบไปอีกทาง



   “แม่ก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น กลับวังกันเถอะ เดินทางมาเหนื่อยๆจะได้พักผ่อน” สตรีผู้กุมอำนาจสุงสุดแห่งสมุทราตรัสเช่นนั้น ก่อนจะหมุนวรองค์เสด็จนำ ทิ้งให้สนธยาเพียงมองตามด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดนอก



   ...เสด็จแม่ทรงหวังให้เขากลับมาเพียงลำพัง แต่เขา...กลับอยากกลับมาที่นี่พร้อมใครบางคนต่างหาก...



   ...ใครบางคนที่เขามอบใจให้ทั้งดวง...ใครบางคน...ที่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจกลายร่างเป็นปลาว่ายมาหาเขาถึงสมุทรา...ใครบางคน...ที่อาจต้องจากไกล...ตลอดกาล...



…………………………..   



   ภายในวังหลวงของสมุทราที่เคยประดับด้วยอัญมณีหลากหลายระยิบระยับไปทั่วทุกมุม บัดนี้ถูกริ้วธงสีดำที่ติดไว้ตามตำหนักต่างๆบดบังความระยิบระยับนั้นเสียสิ้น พระศพขององค์หญิงอรุณาถูกตั้งอยู่ที่ตำหนักหน้าของวังหลวง ซึ่งเป็นตำหนักที่ราชินีวารีวาทเสด็จประชุมทุกเช้า และนับตั้งแต่ตั้งพระศพขององค์หญิงอรุณาไว้ที่นั่น ราชินีวารีวาทก็แทบจะพำนักที่ตำหนักนั้นไปเสียแล้ว สนธยารับทราบเรื่องนี้จากขุนนางชั้นผู้ใหญ่ผู้หนึ่งในระหว่างเสด็จจากท่าเรือมายังวังหลวง



   ‘ราชินีทรงแทบจะประทับอยู่ในตำหนักหน้าทั้งวันทั้งคืน เอาแต่ทอดเนตรโลงพระศพขององค์หญิงอรุณา กระหม่อมทราบดีว่าการสูญเสียนำมาซึ่งความโศกเศร้า แต่เกรงว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป พระวรกายของราชินีจะแย่เอาพระเจ้าค่ะ’



   สนธยาเหลือบเนตรไปยังโลงศพสีขาวที่ประดับด้วยอัญมณีสีน้ำเงิน ดูเหมือนนี่จะเป็นเพียงสิ่งเดียวในวังหลวงที่มีประกายระยิบระยับโดยไม่ถูกริ้วผ้าสีดำบดบังเอาไว้ โลงศพถูกตั้งอยู่กลางห้อง รายล้อมด้วยดอกไม้นานาพันธ์ที่ให้กลิ่นหอมหวน ทว่า...ก็ชวนให้โศกเศร้าเสียจนสนธยาต้องถอนหายใจแผ่วเบา



   ...ยิ่งอรุณาคิดร้ายต่อเขาและเสด็จแม่มากเพียงใด ก็ยิ่งทำให้สนธยาเสียใจมากเท่านั้น ยิ่งได้มาเห็นจุดจบของผู้เป็นน้องสาวซึ่งเหลือเพียงร่างไร้วิญญาณก็ยิ่งทำให้สนธยาแทบหมดเรี่ยวหมดแรง...



   ความละโมบโลภมากและมักใหญ่ใฝ่สูงอย่างไร้สติและโง่เขลา ทำให้ชีวิตหนึ่งดับสูญได้เพียงนี้เชียวหรือ



   “นึกว่าเจ้าจะกลับตำหนักไปพักผ่อนก่อนเสียอีก” เสียงของสตรีผู้เป็นมารดาดังขึ้นเบื้องหลัง สนธยาไม่ได้หันกลับไปมอง สายเนตรยังคงจับจ้องที่โลงศพของผู้เป็นน้องอย่างเวทนา



   “กระหม่อมอยากมาพบอรุณา ก็เลย...มาที่นี่ก่อน เพราะเย็นนี้จะเผาศพของนางแล้วใช่ไหมกระหม่อม” เขาทูล ราชินีวารีวาทเสด็จเข้ามาประทับเคียงข้างผู้เป็นโอรส ก่อนจะตรัสเสียงแผ่ว



   “ใช่...เย็นนี้จะเผา” และเพราะเป็นวันเผา เรือที่พาองค์ชายสนธยากลับมาจากอนันตราชจึงต้องแล่นเร็วเป็นพิเศษ และคนที่คุมบังเหียนเรือในน่านน้ำอย่างชำนิชานาญก็ไม่มีใครมีฝีมือเกินไปกว่าองค์ชายสนธยา



   สนธยาบังคับเรือกลับมายังสมุทราอย่างเร่งด่วนเพื่อร่วมงานของน้องเป็นครั้งสุดท้าย เรื่องนี้ราชินีวารีวาททรงทราบดีว่าสนธยามีใจปรารถนาดีต่ออรุณาเพียงใด



   “ถ้าอรุณารับรู้ความปรารถนาดีของเจ้าบ้างแม้เพียงนิด นางอาจจะ...กลับใจทัน” สนธยาเพียงกระตุกยิ้มบางเบา



   “หรือบางที อาจจะเป็นเพราะความปรารถนาดีของกระหม่อมมีน้อยเกินไป นางเลยมองไม่เห็นก็เป็นได้” อย่างน้อยอรุณาก็เป็นน้อง แม้นางจะคิดร้ายถึงขั้นทำลายชีวิตเขา แต่สนธยาก็ตระหนักอยู่เสมอว่าอีกฝ่ายเป็นน้องที่คลานตามกันมา



   “ตอนอรุณาสิ้น...นางทรมานไหมกระหม่อม” ในฐานะที่เป็นพี่ สิ่งสุดท้ายที่อยากรู้เกี่ยวกับน้องผู้นี้คือจากไปอย่างสงบหรือไม่ หรืออย่างน้อยๆก็จากไปอย่างเจ็บปวดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น   



   “อรุณาน่าจะมีความสุขที่สุดในชีวิตด้วยซ้ำ” ราชินีวารีวาทยังจำสายเนตรที่อรุณามอบให้พระองค์ในห้วงลมหายใจสุดท้ายได้อย่างดี เมื่อนางได้ยินว่านางคือธิดาแท้ของพระองค์ ส่วนคนที่ไม่ใช่...คือสนธยา...



   “องค์สน...เจ้าเคยได้ยินเรื่องที่ว่าลูกของแม่คนหนึ่ง ไม่ใช่ลูกที่แท้จริงของแม่ไหม” สนธยานิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะตอบตามความจริง



   “เคยได้ยินกระหม่อม” เขาได้ยินเรื่องนี้ตั้งแต่จำความได้ เดิมทีมันเป็นเพียงข่าวลือโคมลอย หากแต่ในเวลาต่อมา มันก็ยิ่งหนาหูขึ้นทุกทีจนสนธยาคิดเอาว่าพี่น้องทั้งหมดของเขาก็ล้วนรับรู้เรื่องนี้เช่นกัน



   “แล้วเจ้าคิดเห็นเช่นไร”



   “แรกๆก็สงสัยตามธรรมชาติว่าใครคือคนที่ไม่ได้เกิดจากเสด็จแม่ แต่...พอเริ่มโต กระหม่อมก็มีเรื่องมากมายให้ต้องคิด ทั้งเรื่องเรียน ทั้งเรื่องเที่ยว เรื่องข่าวลือนี้ กระหม่อมจึงเลิกสนใจไปโดยปริยาย อีกทั้งกระหม่อมคิดว่าไม่ว่ากระหม่อมจะเป็นลูกของเสด็จแม่แท้จริงหรือไม่ หน้าที่ของกระหม่อมก็ไม่เปลี่ยน กระหม่อมต้องรับใช้ราชสำนัก รับใช้สมุทรา ถึงวันหนึ่งความจะเผยว่ากระหม่อมไม่ใช่ลูกที่แท้จริงของเสด็จแม่ และต้องถอดยศองค์ชาย ความปรารถนาในการรับใช้สมุทราก็ยังคงเหมือนเดิม” ยิ่งสดับความคิดความอ่านของผู้เป็นโอรสองค์โตแล้ว ราชินีวารีวาทก็ยิ่งสะท้อนพระทัยด้วยเพราะหากอรุณาคิดได้อย่างนี้สักครึ่งหนึ่ง นางจะไม่โหยหาตำแหน่งและฐานันดรที่สูงส่งเกินตัวจนต้องพบจุดจบเช่นนี้



   “เสด็จแม่ตรัสเรื่องนี้ขึ้นมาทำไมหรือกระหม่อม” สนธยาหันมาทูลถามด้วยความสงสัย ก่อนจะเหลือบเนตรไปยังโลงศพของผู้เป็นน้อง



   “หรือว่า...เรื่องหนึ่งที่ทำให้อรุณาพยายามทำลายกระหม่อมเพราะเกรงว่าตนเองจะไม่ใช่ลูกที่แท้จริงของเสด็จแม่ด้วย” มีเพียงความเงียบเป็นคำตอบ สนธยาหันมองมารดา และนั่นเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นหยาดอสุชลของราชินีวารีวาท



   “เสด็จแม่!...” เขาร้องด้วยความตกใจ หากแต่ราชินีวารีวาทกลับส่งรอยแย้มพระโอษฐ์บางเบากลับมา



   “บางที...คนที่โลภกว่าอรุณาก็คือแม่ คนที่เลวกว่าอรุณาก็คือแม่...แม่คือคนที่ทำให้ทุกอย่างเป็นเช่นนี้...” ราชินีวารีวาทตรัส ก่อนจะกะพริบเปลือกเนตรถี่ๆเพื่อไล่หยาดน้ำเหล่านั้นให้กลับลงสู่ก้นบึ้งของพระทัย พระองค์เป็นราชินีแห่งสมุทรา บัลลังก์ราชินีเปื้อนเลือดได้ แต่ไม่มีวันเปื้อนน้ำตาเป็นแน่



   “องค์สน เรื่องข่าวลือที่ว่าในจำนวนลูกทั้งหมดของแม่ มีลูกคนหนึ่งที่ไม่ได้เกิดจากแม่นั้นเป็นความจริง...” สนธยาขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ข่าวลือนี้เกิดมานานนม หากแต่...ทำไมเวลานี้ราชินีวารีวาทกลับตรัสกับเขา



   หัตถ์เล็กสีน้ำผึ้งทองจับลงที่แขนของสนธยาแล้วบีบกระชับ



   “และคนที่ไม่ได้เกิดจากแม่ ก็คือ...อรุณา” สนยานิ่งงัน เขาเหลือบเนตรกลับไปมองยังโลงศพของผู้เป็นน้องอีกครั้ง ในขณะที่หูได้ยินเสียงของมารดากำชับหนักแน่น



   “เจ้าที่เป็นโอรสองค์โตของแม่ เป็นบุตรแห่งราชสำนักสมุทราโดยเนื้อแท้ จงอย่าลืมในฐานันดรและหน้าที่ของตนเป็นอันขาด จำเอาไว้”



   สนธยาหันกลับมามองมารดาอีกครั้ง หากแต่สิ่งที่เขาเห็นคือสตรีเบื้องหน้าไม่ใช่เสด็จแม่ที่เขารู้จัก แต่เป็นราชินีวารีวาทผู้กอบกุมอำนาจสูงสุดแห่งสมุทรา!!!



…………………….
หัวข้อ: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 15...อัพ 7/07 (หน้า 18 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Dezair ที่ 07-07-2014 19:37:28
ชีวินเหลือบมองนายเหนือหัวซึ่งเพิ่งกลับเข้าตำหนักส่วนพระองค์ หลังจากทำหน้าที่รับแขกบ้านแขกเมืองจากต่างถิ่นที่มาร่วมงานไว้อาลัยองค์หญิงอรุณา นับตั้งแต่กลับมาจากอนันตราช หน้าที่หลักอีกอย่างขององคืชายพระองค์โตแห่งสมุทราอย่างสนธยาคือการเทียวไปเทียวมาระหว่างวังหลวงและท่าเรือเพื่อคอยรับการมาเยือนจากขุนนาง นายทหารชั้นสูง และเหล่าองค์ชายองค์หญิงที่เป็นตัวแทนอาณาจักรต่างๆเข้าร่วมงาน



เกือบเดือนแล้วที่กลับจากอนันตราช หากแต่สิ่งที่ชีวินเห็นจนแทบจะชินตาคือพักตร์ยุ่งเหยิงที่ดูราวกับองค์ชายหนุ่มแห่งสมุทรากำลังครุ่นคิดเรื่องบางเรื่องอยู่ตลอดเวลา



“ชีวิน บอกให้คนยกสำรับอาหารขึ้นไปให้เราที่ห้องสมุดที เราจะทานที่นั่น”



และเมื่อไรที่กลับจากรัฐกิจประจำวัน องค์ชายหนุ่มก็มักจะหมกมุ่นอยู่แต่ในห้องสมุดของตำหนัก ซึ่งเต็มไปด้วยหนังสือเก่าจำนวนมากทั้งที่พระองค์ไม่เคยคิดจะแตะต้องมาก่อน ด้วยเพราะมีคติชอบเรียนรู้จากประสบการณ์และทำการทดลองด้วยหัตถ์ขององค์เอง มากกว่าการอ่านหนังสือ



ขีวินเดินไปสั่งให้นางกำนัลจัดสำรับขึ้นไปยังห้องสมุดดังทุกวัน ก่อนจะรีบตามเสด็จขึ้นไป



“ช่วงนี้ทรงอ่านหนังสือทุกวันเลยนะพระเจ้าค่ะ”



เขาทูลเมื่อเปิดประตูเข้าไปในห้องทรงงานขององค์ชายหนุ่มและพบว่าผู้เป็นเจ้าของห้องกำลังคร่ำเคร่งอยู่กับหนังสือเล่มหนาเก่าคร่ำคราอีกแล้ว



องค์ชายสนธยาเหลือบเนตรมององครักษ์คู่พระทัยเล็กน้อยก่อนตรัส



“อย่าคิดว่าเราอกหักแล้วขยันล่ะ เราไม่ได้อกหักแต่แค่มีเรื่องสงสัยนิดหน่อยก็เท่านั้น จะถามใครก็คงไม่มีใครตอบ เลยต้องมาหาข้อมูลเอาจากบันทึกเก่าพวกนี้ แต่ดูเหมือน...คนจดบันทึกจะเอาแต่หลีกเลี่ยงความจริงอย่างไรไม่รู้”



“เรื่องสงสัย? สงสัยเรื่องใด กระหม่อมทูลถามได้ไหมพระเจ้าค่ะ” เพราะกิจวัตรที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ทำให้ชีวินอดสงสัยใคร่รู้ไม่ได้



องค์ชายหนุ่มถอนปัสสาสะเล็กน้อย ก่อนจะทรงวางหนังสือลงกับโต๊ะ



“สงสัยเสด็จแม่น่ะสิ...ข่าวลือเรื่องลูกหนึ่งคนของพระองค์ไม่ใช่ลูกที่แท้จริงน่ะมีมาตั้งแต่เรายังเด็ก แต่ทำไม...ทำไมอยู่ดีๆเสด็จแม่ก็ตรัสความจริงขึ้นมากับเรา บอกว่าเราเป็นลูกที่แท้จริง ส่วนคนที่ไม่ใช่คืออรุณา...เรารู้สึกว่าเสด็จแม่กำลังปิดบังเรา อาศัยว่าอรุณาตายไปแล้วย่อมพูดไม่ได้และไม่อาจรับรู้อะไรได้อีก ดังนั้น...หากจะโยนว่านางไม่ใช่ลูกที่แท้จริง เสด็จแม่ก็ย่อมทรงทำได้”



โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นราชินีผู้มากเล่ห์นามว่าวารีวาทแล้ว เล่ห์เหลี่ยมของพระองค์นั้นแพรวพราวเพียงใดพิสูจน์ได้จากที่พระองค์สามารถดำรงสมุทราให้อยู่รอดพ้นภัยร้ายมาหลายทศวรรษ



“พระองค์กำลังดำริว่า...คนที่ไม่ใช่ลูกที่แท้จริงของราชินีวารีวาทคือ...พระองค์เองหรือพระเจ้าค่ะ” ชีวินถามเสียงเบา เริ่มหวนคิดถึงสิ่งที่ได้ยินจากองค์ชายเจษฎาถึงชาติกำเนิดที่แท้จริงขององค์ชายสนธยา



...หากสิ่งที่องค์ชายเจษฎาตรัสเป็นเรื่องจริง ข้อสงสัยขององค์ชายสนธยาก็ยิ่งเข้าเค้า...



องค์ชายสนธยาเอนปฤษฎางค์ลงกับพนักพระเก้าอี้ด้วยพักตร์ครุ่นคิด



“เราคิดว่า...เสด็จแม่ใช้ฐานะองค์ชายของเราเพื่อทำกิจใดสักอย่าง ไม่อย่างนั้นจู่ๆจะตรัสขึ้นมาทำไมว่าเราเป็นลูกที่แท้จริง” ชีวินได้แต่เงียบด้วยเพราะเขาเองก็ไม่รู้เรื่องนี้แน่ชัด และความเงียบขององครักษ์ที่เติบโตมาด้วยกันก็ทำให้องค์ชายสนธยาต้องตรัสถาม



“ชีวิน...เจ้ารู้อะไรมาใช่ไหม” ชีวินเม้มปากแน่น ก่อนจะพ่นลมหายใจแรงแล้วเดินเข้ามาใกล้เพื่อเอ่ยปากทูลเสียงเบาตามที่ได้ยินมาจากองค์ชายเจษฎา



   ...ชาติกำเนิดที่แท้จริง...เลือดครึ่งหนึ่งไม่ใช่สมุทรา...และการที่ชีวินถูกทิ้งที่ตลาดในสมุทราเพื่อให้องค์ชายองค์โตแห่งสมุทราทรงเก็บไปเลี้ยงดู...



   ทั้งหมดนี้...คือสิ่งที่ไม่มีบันทึกเอาไว้ในหน้าประวัติศาตร์ของสมุทราแม้แต่นิดเดียว!!!



…………………………….



   การประชุมระหว่างราชินีวารีวาทและเหล่าขุนนางนายทหารชั้นสูงในเช้าวันนี้ สนธยาเข้าร่วมเป็นปกติดังทุกวัน นับตั้งแต่กลับมาที่สมุทรา แต่ที่จะไม่เหมือนวันที่ผ่านๆมาก็ตรงที่องค์ชายหนุ่มไม่มีสมาธิเลยแม้แต่น้อย



   “องค์สน...องค์สน...” เสียงเรียกทำให้สนธยาได้สติถึงกับสะดุ้ง



   “เป็นอะไรรึเปล่า วันนี้เจ้าดูเหม่อ” สนธยามองไปรอบกายก็พบว่าในห้องประชุมไม่มีขุนนางนายทหารคนใดเหลืออีกแล้ว นอกจากพระองค์ ราชินีวารีวาท และ...โลงศพขององค์หญิงอรุณาที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากโต๊ะประชุมเท่าไรนัก สนธยาอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปยังโลงซึ่งว่างเปล่า เนื่องจากมีพิธีเผาร่างไปเมื่อวานนี้อย่างเงียบเฉียบ และนำเถ้าอัฐิไปโปรยที่ทะเลในยามเช้าตรู่ของวันนี้ แต่ด้วยธรรมเนียมดั้งเดิมของการไว้ทุกข์ จึงต้องมีการตั้งโลงเปล่าของผู้วายชนม์เอาไว้หลังจากเผาเป็นเวลา 100 วันเพื่อไว้อาลัย ดังนั้นแม้วันนี้จะไม่มีร่างของอรุณาเหลืออยู่แล้ว แต่ทั่วทั้งวังหลวงก็ยังคงประดับด้วยริ้วผ้าสีดำทั้งสิ้น



   “เปล่าพระเจ้าค่ะ เมื่อคืนแค่นอนไม่ค่อยหลับเท่านั้น”



   “ถ้าอย่างนั้นก็กลับไปพักผ่อนเสีย เรือจากอนันตราชจะมาถึงเย็นนี้ เจ้าต้องออกไปรับ”



   “เรือจากอนันตราชหรือพระเจ้าค่ะ?!”



ราวกับเป็นยาชั้นดี สีพักตร์ขององค์ชายหนุ่มแห่งสมุทราดูมีชีวิตชีวาขึ้นในบัดดล ราชินีวารีวาททรงนิ่งไปเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทีกระตือรือร้นของโอรส ก่อนจะแย้มสรวลน้อยๆ พลางตรัส



   “ใช่ คณะจากอนันตราชจะมาร่วมงานไว้อาลัยในวันพรุ่งนี้ และจะมาถึงในเย็นวันนี้ ทางกรมวังจัดเตรียมตำหนักต้อนรับไว้แล้ว เจ้าก็แค่ไปรับที่ท่าเรือเช่นเคย” เหมือนที่สนธยาไปต้อนรับคณะเดินทางจากอาณาจักรต่างๆที่มาร่วมงานไว้อาลัย ทว่า...ครั้งนี้ ที่ได้รู้ว่าคณะเดินทางคณะนี้มาจากอนันตราช พระทัยขององค์ชายพระองค์โตของสมุทราก็เหมือนมีเลือดหล่อเลี้ยงให้อุ่นซ่านไปทั้งดวง



   “แล้ว...ใครเป็นผู้นำคณะหรือกระหม่อม” ราชินีวารีวาททอดพระเนตรท่าทางสงสัยใคร่รู้และติดไปทางมีความหวังของผู้เป็นโอรส ก่อนจะตรัสด้วยพักตร์เรียบเฉย และน้ำเสียงที่ติดจะเย็นลงเล็กน้อย



   “องค์ชายเจษฎา...และ...องค์ชายเตชินทร์...”



   ชื่อนั้นนำความดีใจมาให้สนธยาจนไม่ทันสังเกตสีพระพักตร์ที่เปลี่ยนเป็นนิ่งตึงของราชินีวารีวาทแม้แต่น้อย



   ...องค์ชายเตชินทร์...บุรุษแห่งอนันตราชที่จะมาพรากเสาหลักไปจากสมุทรา!!!...



   หัตถ์เล็กสีน้ำผึ้งของราชินีวารีวาทที่อยู่ใต้โต๊ะทรงงานกำชายกระโปรงอย่างหมายมาด



………………………….   



   ดูเหมือนนี่จะเป็นเพียงวันแรกนับตั้งแต่กลับมาสมุทราที่องค์ชายสนธยามีรอยแย้มสรวลเต็มพักตร์อย่างที่ชีวินคิดถึง องครักษ์หนุ่มรับทราบมาว่าเพราะวันนี้อาคันตุกะที่จะมาร่วมงานพระศพขององค์หญิงอรุณามาจากดินแดนใกล้เคียงอย่างอนันตราช นั่นจึงไม่น่าแปลกใจที่องค์ชายเหนือหัวของเขาจะมีความสุขเช่นนี้



   เรือหลวงขนาดย่อมจากอนันตราชเข้าเทียบท่าที่ท่าเรือหลักของสมุทราแล้ว บนท่าเรือมีขบวนรับเสด็จนำโดยองค์ชายสนธยาและเหล่านายทหารชั้นผู้ใหญ่ พร้อมด้วยหน่วยรักษาความปลอดภัยที่ทำเอาวันนี้ที่ท่าเรือดูหนาแน่นเป็นพิเศษ



   สะพานไม้ถูกวางทอดจากเรือหลวงลงมายังท่าเรือ แล้วกายสูงสง่าที่อยู่เบื้องหลังองค์ชายเจษฎาก็ทำเอาสนธยายิ้มเต็มหน้าด้วยความยินดี



   เสียงแตรดังสนั่นเป็นการต้อนรับการมาเยือนของรัชทายาทแห่งอนันตราช ก่อนที่พระองค์จะเสด็จลงมา องค์ชายสนธยาค้อมศีรษะทำความเคารพในฐานะเจ้าบ้าน



   “ขอบพระทัยที่พระองค์เสด็จมาถึงนี่”



   “เราต้องมาอยู่แล้ว สมุทราเป็นมิตรที่ดี เกิดเรื่องเศร้าขึ้นเช่นนี้ หากอนันตราชไม่มาร่วมแสดงความเสียใจคงเป็นเรื่องแปลกเต็มทน องค์ชายสนธยาทรงสบายดีใช่ไหม” องค์ชายเจษฎาตรัส และท้ายประโยคคือการตรัสถามความสุขสบายของคนตรงหน้า



   “สบายดีกระหม่อม” องค์ชายเจษฏาเพียงสรวลเบาๆ แล้วตรัส



   “ดีแล้วที่ท่านสบายดี เพราะขืนมีอีกคนที่ไม่สบายดี เราคงยิ่งอยู่ไม่สุขมากกว่านี้”



   “ไม่สบายดี?...พระองค์หมายถึง...” องค์ชายเจษฎาทรงแย้มสรวลน้อยๆ ก่อนจะเหลือบเนตรไปทางผู้เป็นอนุชาที่ยืนอยู่เบื้องหลังของพระองค์ สนธยาเหลือบเนตรไปยังเตชินทร์ แค่เพียงสายเนตรสบกัน ความรู้สึกในใจก็เพิ่มพูนเสียจนประเมินค่าไม่ได้



   องค์ชายเจษฎาทอดเนตรสายใยบางเบาระหว่างผู้เป็นอนุชาของพระองค์และองค์ชายแห่งสมุทราแล้วก็ได้แต่ดำริชื่นชมพระองค์เองว่าทรงทำถูกแล้วที่ตัดสินพระทัยเช่นนี้



   “เอ่อ...กระหม่อมจะนำเสด็จกลับวังหลวง เชิญทางนี้พระเจ้าค่ะ” เกือบครู่หนึ่ง กว่าที่สนธยาจะรู้สึกตัวและถอนสายเนตรออกจากเนตรคมกริบที่ยังคงแฝงความรักและห่วงหาอาทรขององคชายเตชินทร์ได้ ร่างโปร่งผิวน้ำผึ้งหมุนองค์ออกเสด็จนำไปยังเกวียนเทียมม้า เพื่อมุ่งสู่วังหลวงแห่งสมุทรา







   วังหลวงของสมุทรานั้นยังคงเหมือนเดิมทุกประการนับตั้งแต่องค์ชายเจษฎาเคยเสด็จมาที่นี่ หากจะมีแปลกตาไปบ้างก็ตรงริ้วผ้าสีดำที่ประดับอยู่ตามจุดต่างๆ จนทำให้วังหลวงที่เคยระยิบระยับด้วยอัญมณีสูงค่า เหลือเพียงความเศร้าระทม



   ราชินีวารีวาทประทับอยู่ที่โถงของตำหนักหน้า ซึ่งเป็นห้องบัลลังก์ของพระองค์ ห้องข้างเคียงคือห้องทรงงานที่พระองค์ใช้จัดประชุมในทุกเช้าและเป็นห้องที่ใช้วางโลงพระศพองค์หญิงอรุณาซึ่งแม้บัดนี้ร่างของพระองค์จะถูกเผาแล้ว แต่ก็ยังวางโลงเปล่าไว้สำหรับการเข้าไว้อาลัยตามธรรมเนียม



   “ถวายบังคมพระเจ้าค่ะ” องค์ชายเจษฎาและองค์ชายเตชินทร์พร้อมด้วยนายทหารจากอนันตราชค้อมกายทำความเคารพสตรีผู้ประทับอยู่บนบัลลังก์สูงสุดแห่งสมุทรา



   “เชิญตามสบาย องค์ชาย” องค์ชายเจษฎาเงยพักตร์ขึ้นแล้วยกพระราชสาส์นในหัตถ์ขึ้นเหนือเศียร



   “เสด็จพ่อทรงมีรับสั่งให้กระหม่อมนำสาส์นไว้อาลัยมาถวายพระเจ้าค่ะ แท้จริงแล้ว เสด็จพ่อมีดำริจะเสด็จมาด้วยตัวองค์เอง แต่เนื่องจากรัฐกิจมากมายนัก จึงมอบหมายให้กระหม่อมกับองค์เตชมาแทน แต่ทั้งอย่างนั้นก็มาไม่ทันวันเผา ทำได้แค่มาไว้อาลัยเท่านั้นเอง”



   “ไม่เป็นไรหรอก ธรรมเนียมงานศพของสมุทราก็ใช้เวลาจัดเพียงน้อยวัน ให้อย่างไรก็ไม่มีใครมาทัน” ราชินีวารีวาทตรัส แม้จะรู้แก่พระทัยว่าแม้ใช้เวลาจัดนานเพียงใด แต่คนที่จะมาร่วมงานศพของอรุณาก็คงมีคนเต็มใจมาเพียงไม่กี่คน ในเมื่อนางไม่เคยสร้างคุณงามความดีอะไรเอาไว้ให้คนรอบข้างนึกถึง คนที่มาร่วมจึงมาเพื่อเป็นเกียรติแก่ราชสำนักสมุทราก็เท่านั้นเอง



   “แต่อย่างไรก็ขอบพระทัยองค์ชายมาก ที่สละเวลามาร่วมงานไว้อาลัย” พระองค์ตรัสอีกครั้ง ก่อนจะหันไปมีรับสั่งให้ราชเลขาฯรับสาส์นจากองค์ชายเจษฎามาก่อนที่พระองค์จะทรงลุกจากบัลลังก์เสด็จลงมายังเบื้องหน้าองค์ชายหนุ่มอย่างไม่ถือองค์และเป็นมิตร



   “องค์สนจะเป็นคนนำเสด็จองค์ชายทั้งสองไปยังห้องไว้อาลัย จากนั้นจะพาไปยังตำหนักรับรอง ตอนค่ำค่อยเสวยมื้อค่ำร่วมกันที่ตำหนักนี้ ไม่ทราบว่าองค์ชายทั้งสองจะสะดวกหรือไม่” องค์ชายเจษฎาค้อมกายต่ำรับคำ



   “สะดวกเป็นอย่างยิ่งกระหม่อม ทางที่ดี กระหม่อมขอทูลแนะนำสักเล็กน้อยให้พระองค์ทรงอ่านสาส์นที่กระหม่อมแนบมากับสาส์นไว้อาลัยของเสด็จพ่อ บนโต๊ะเสวย...ทั้งกระหม่อมและพระองค์จะได้มีบทสนทนาร่วมกันที่ถูกคอ” แล้วองค์ชายเจษฎาก็ทรงส่งรอยแย้มสรวลน้อยๆถวายแด่ราชินีวารีวาทที่บัดนี้พักตร์เรียบตึงลงอย่างรวดเร็ว



   “สาส์นแนบ?...”



   “พระเจ้าค่ะ สาส์นแนบของกระหม่อมออกจะยาวไปสักหน่อย แต่ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าพระองค์จะทรงอ่านจนจบเพราะกระหม่อมเกรงว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว อาจจะถูกพระองค์ทรงลบเลือนมันทิ้งไป...แต่...ต่อให้ลบเรื่องทั้งหมดออกจากสมุทราได้ ก็ไม่อาจลบเรื่องที่อนันตราชได้ จริงไหมพระเจ้าค่ะ” องค์ชายเจษฎาตรัสอย่างพระอารมณ์ดี ก่อนจะหันไปทางองค์ชายสนธยาที่ยืนอยู่ไม่ไกล ทว่าบทสนทนาระหว่างพระองค์และราชินีวารีวาทเมื่อครู่นี้ก็เป็นไปอย่างเบาแผ่วเสียจนไม่มีใครได้ยินนอกจากทั้งสองพระองค์เอง



   “องค์สน เราพร้อมไปไว้อาลัยองค์หญิงอรุณาแล้ว” แล้วคณะของอนันตราชก็ถูกองค์ชายสนธยานำออกจากห้องโถง ทิ้งราชินีวารีวาทเอาไว้เบื้องหลัง



   สตรีผู้กุมอำนาจแห่งสมุทรารอจนกระทั่งนายทหารคนสุดท้ายขจองอนันตราชออกจากห้องโถงไปแล้ว จึงหันไปขอสาส์นจากอนันตราชเมื่อครู่จากท่านราชเลขาฯ



   ม้วนหนังสีน้ำตาลประทับด้วยตราประจำราชสำนักอนันตราชถูกคลี่ออก ภายในบรรจุกระดาษม้วนสองแผ่น แผ่นหนึ่งเพียงแค่ปรายเนตรผ่านๆก็รับรู้ว่าเป็นสาส์นแสดงความเสียพระทัยจากกษัตริย์วิภูต่อการจากไปขององค์หญิงอรุณา หากแต่อีกแผ่นที่ซ้อนอยู่เบื้องหลังนั้น เป็นสาส์นที่มีใจความยาวเหยียด และที่มุมขวาด้านบนสุดของกระดาษประทับด้วยตราประจำองค์ชายรัชทายาทลำดับที่หนึ่งนามว่าเจษฎา บรรทัดถัดมาเขียนหัวเรื่องที่เพียงแค่เห็นก็ทำเอาราชินีวารีวาทนิ่งงันไปทั้งร่าง



   ‘ทูลราชินีวารีวาทแห่งราขสำนักสมุทราว่าด้วยเรื่องชาติกำเนิดที่แท้จริงขององค์ชายลำดับที่ 1 แห่งสมุทรา’



   ...ต่อให้เรื่องทั้งหมดถูกลบออกจากสมุทราได้ แต่ก้ลบออกจากอนันตราชไม่ได้!!!...




ติดตามตอนต่อไป

   เดือน 7 แล้ววววว บัวมีปณิธานว่าเรื่องนี้ต้องจบภายในเดือนเก้า เพราะฉะนั้น จะขยันมาลงให้บ่อยๆที่สุดเท่าที่จะทำได้ค่ะ! ส่วนใครรอเซอร์ไพร์สที่เกริ่นไปแล้วว่าจะมาเดือนนี้ อดใจนิดนึง ใกล้ล่ะๆ

สำหรับใครที่กังวลเรื่องความดราม่า อย่ากังวลค่ะ คือตัวบัวเองไม่ค่อยชอบความดราม่า เพราะฉะนั้น เมื่อมันมาได้มันก็จะจากไปได้เช่นเดียวค่ะ ฮ่าฮ่า

ท้ายสุดนี้ ขอบคุณคนอ่าน คนเม้นท์ และบอร์ดเช่นเคยนะคะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 14...อัพ 30/6 (หน้า 17 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 07-07-2014 19:56:22
น่าจะเป็นเรื่องดีสำหรับองค์สนซินะ
ตั้งตารอ หุหุ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 15...อัพ 07/07 (หน้า 18 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 07-07-2014 20:12:48
มีเรื่องอะไร ซับซ้อนซ่อนเงื่อนอีกหว่า
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 15...อัพ 07/07 (หน้า 18 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 07-07-2014 20:17:49
โอ้โห องค์เจษฎานี่ ร้ายใช่เล่นนะเนี่ย
น่าติดตามสุดๆ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 15...อัพ 07/07 (หน้า 18 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: plengpit ที่ 07-07-2014 20:18:56
เจ้าเล่ห์จัง555
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 15...อัพ 07/07 (หน้า 18 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: sine_saki ที่ 07-07-2014 20:43:28
ไพ่ตายใกล้ถูกเปิดแล้ว
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 15...อัพ 07/07 (หน้า 18 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 07-07-2014 21:00:18
ตั้งตารอไพ่ตาย !!!
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 15...อัพ 07/07 (หน้า 18 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: kongxinya ที่ 07-07-2014 22:05:22
ซับซ้อนดีแท้ ตั้งหน้าตั้งตารอตอนต่อไป  :impress2:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 15...อัพ 07/07 (หน้า 18 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: SenzaAmore ที่ 07-07-2014 22:20:46
ลุ้นระทึกจริงจริ้งงง รอตอนต่อไปค่ะ :mew1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 15...อัพ 07/07 (หน้า 18 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 07-07-2014 22:25:04
ตัวร้ายจริง ๆ คงเป็นราชินีนี่แหละ เสี้ยมลูกตัวเองให้เกลียดและระแวงกันเอง
คงมีองค์เจษนี่แหละที่พอจะรับมือความร้ายกาจของราชินีได้
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 15...อัพ 07/07 (หน้า 18 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: saruttaya ที่ 07-07-2014 22:30:46
องค์เป็นลูกของใครกันแน่?

มีเลือดของอนันตราชเหรอ?
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 15...อัพ 07/07 (หน้า 18 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: maru ที่ 07-07-2014 22:32:52
เมื่อไรจะเฉลยสักทีนะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 15...อัพ 07/07 (หน้า 18 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 07-07-2014 23:25:02
เท่าที่ปะติดปะต่อ และดูจากสภาพทางกายภาพคร่าวๆ ก็พอมีเงื่อนงำนะครับ

- สนธยา ไม่น่าจะเป็นลูกของวารีวาทจริงๆ และเรื่องนี้ น่าจะเกี่ยวข้องโดยตรงกับสวามีของราชินีวารีวาท และกษัตริย์วิภูด้วย ถ้ามีบันทึกอยู่ในทั้งอนันตราชและสมุทรา แสดงว่าต้องเป็นเรื่องที่มีความสำคัญระดับราชวงศ์ และดูตามช่วงเวลา ไม่น่ามีใครที่จะเข้าข่ายน่าสงสัยไปมากกว่าสองคนนี้ ดีไม่ดีอาจจะเกี่ยวเนื่องถึงเรื่องอดีตที่ทำให้เกิดสัญญาระหว่างสองเมืองก็เป็นได้ นี่อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้วารีวาทตัดสินใจลบบันทึกทุกอย่างที่เกิดขึ้น

- ชีวิน ชีวินนี่ปมอาจจะแปลกๆ เพราะสีผิว เคสแรกที่ผมสันนิษฐานคือชีวินน่ะเป็นเด็กสัญชาติอนันตราช แต่หลักฐานสนับสนุนที่นอกจากการที่ชีวินมีสีผิวแบบเดียวกับชาวอนันตราช นอกนั้นก็ไม่มีเลย อีกเรื่องคือสภาพร่างกาย ถ้าชีวินเป็นชาวอนันตราชจริง โครงสร้างร่างกายน่าจะสูงใหญ่กว่านี้ แต่ถ้าเราคำนึงถึงประเด็นของอาหารและการเลี้ยงดูแบบชาวสมุทราที่อาจทำให้ชีวินไม่มีพัฒนาการทางกายภาพที่เหมือนชาวอนันตราช ก็ถือว่าข้อสันนิษฐานนี้ยังพอมีน้ำหนักอยู่

ส่วนเคสที่สอง ส่วนตัวผมว่ามันแฟนตาซีเกินไปนะ คือ ถ้าสมมุติว่าการเก็บชีวินมาจากตลาดเป็นเรื่องที่ถูกบอกเล่ามาโดยราชินีวารีวาท ก็มีความเป็นไปได้ว่ามันจะไม่ใช่ความจริง ทีนี้ประเด็นคือ แล้วชีวินมาจากไหน? ถ้าเราย้อนกลับไปที่ข้อสันนิษฐานเดิม ก็แสดงว่า เหตุการณ์ในช่วงของสนธยาที่เกี่ยวเนื่องกับกษัตริย์วิภูและสวามีของราชินีวารีวาท ชีวินอาจจะมีบทบาทอยู่ในนั้นร่วมก็เป็นได้ อาจจะเป็นพยานสำคัญที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วย แต่เนื่องจากยังเด็กไป จึงจำอะไรไม่ได้ และเพื่อป้องกันความเสี่ยงในอนาคต คนอย่างวารีวาทก็ไม่มีทางยอมให้ปัจจัยแบบนี้อยู่นอกเหนือการควบคุมหรอก ดังนั้นทางที่ดีที่สุดก็คือนำตัวมาอยู่ให้ใกล้หูใกล้ตาซะ

- องค์ชายเจษฎา น่าจะรู้ระแคะระคายอะไรบางอย่างมาจากกษัตริย์วิภู เลยตัดสินใจตามสืบ แต่ด้วยหน้าที่กษัตริย์ ท่านวิภูคงไม่สามารถบรรยายอะไรออกมาเยอะได้ เพราะเรื่องน่าจะเกี่ยวข้องโดยตรงกับเพื่อนสนิท ต่อให้ไปถาม บางทีก็อาจจะเขวเรื่องได้ พยานปากสำคัญตอนนี้น่าจะเป็น หนึ่ง มเหสีลำดับแรกสุดของอนันตราช เพราะอยู่มานาน น่าจะรู้เรื่องทั้งหมดดี ไม่ว่าจะลับแค่ไหน สอง คุณท้าวเอิบ เรื่องข่าวกรองนี่ต้องยกให้นางในเค้าครับ วงการข่าวกรองนี่ยังกับใยแมงมุม ต่อให้ไม่รู้เรื่องจริงที่เกิดขึ้น อย่างน้อยก็ต้องได้ยินข่าวลือมาบ้างละ อีกเรื่องคือ ถ้าเรื่องมันเกิดในอนันตราชจริง และเรื่องมันเกี่ยวข้องกับเด็ก คนที่กษัตริย์วิภูไว้ใจให้จัดการหรือเล่าให้ฟัง ก็น่าจะเป็นคุณท้าวเอิบในช่วงที่ยังสาว เพราะมีความชำนาญด้านนี้ และดูจากรูปการณ์แล้ว คุณท้าวเอิบน่าจะเป็นแม่นมคนสนิทที่กษัตริย์วิภูไว้ใจด้วย
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 15...อัพ 07/07 (หน้า 18 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 07-07-2014 23:47:08
 :fire:
เอาล่ะสิงานนี้
ใครจะอยู่ใครจะไป อิอิ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 15...อัพ 07/07 (หน้า 18 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: ลิงน้อยสุดเอ๋อ ที่ 07-07-2014 23:53:07
ลุ้นมากๆๆๆ

หวังว่าชีวินคงไม่ใช่ลูกชายที่แท้จริงหรอกน่ะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 15...อัพ 07/07 (หน้า 18 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Ali$a฿eth ที่ 08-07-2014 18:48:14
หลายปมมาก ผูกมาซะ คนอ่านตามแก้ไม่ถูกเลย และพอแก้ได้เงื่อนนึง จะมีเงื่อนอื่นซ่อนอยู่ด้วย แหม๋
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 15...อัพ 07/07 (หน้า 18 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Takarajung_TK ที่ 08-07-2014 19:18:25
ลุ้น! ตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 15...อัพ 07/07 (หน้า 18 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: KMprince ที่ 08-07-2014 20:34:07
อ่านถึงตอน 9 ค่ะ
องค์เตชกับองค์เจษ รวมมือกันให้ได้ผลนะคะ 55
ส่วนองค์สน ตัดสินใจถูกแล้วนะ อยู่กับคนที่รักเรา
ส่วนท่านหญิง จะกลับตัวกลับใจได้ไหม
สงสารก็แต่ราชินี คนเป็นแม่
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 15...อัพ 07/07 (หน้า 18 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: ReiiHarem ที่ 08-07-2014 21:59:11
ปม ปม ปม ปม
ถ้ามันซับซ้อนซ่อนเงื่อนขนาดนี้นะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 15...อัพ 07/07 (หน้า 18 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 08-07-2014 22:48:21
รอไพ่ตายอย่างลุ้นระทึก
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 15...อัพ 07/07 (หน้า 18 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: KoTo_Nat ที่ 09-07-2014 06:06:57
โอ น่าลุ้น

ตอนแรกกำลังหาอ่านเรื่องแนวแฟนตาซีในบอร์ดและบังเอิ๊ญบังเอิญ มาสะดุดคำว่า พันธะ
บวกกับจำนวนตอนที่โพสหัวข้อไว้เลยเข้ามา อือ ตอนแรกก็เรื่อยๆน่าาาา :ruready
แต่มาลุ้นตรงปมนายเอกนี่แหละ :hao3:
จะรอติดตามนะครับ ว่าพ่อแม่ที่แท้จริงคือใคร

(อันนี้คิดเองไปก่อน เดาๆเอา คืออาจเป็นพวกฝั่นตะวันตกหรือเปล่า เอ้แต่มันขัดกับไปเจอกันได้ไงเพราะไม่ถูกกัน แล้วพ่อนายเอกจะไปมีความสัมพันธ์กับใครละเออเดาเอง งง เอง 5555 หรือพ่อนายเอกจะมีความสัมพันธ์กับพี่น้องของฝั่งพระเอกหว่าา
เออชั่งมัน จะรอลุ้นเอาครับผม)

รีบ ๆ มาต่อ ตอนต่อไปนะครับจะรอ

:mew1:รักคนแต่งครับ :mew1:
 :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 15...อัพ 07/07 (หน้า 18 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 09-07-2014 07:12:55
 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 15...อัพ 07/07 (หน้า 18 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: kokoro ที่ 09-07-2014 07:22:53
ลุ้นๆไพ่ต่ายด้วยค่ะ
องค์เจษจะมีทีเด็ดอย่างไร
คราวนี้ท่านแม่จะยอมเปิดเผยอะไรอีกมั้ย
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 15...อัพ 07/07 (หน้า 18 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 09-07-2014 10:35:16
ยิ่งอ่านยิ่งเจอปม คือซับซ้อนมากค่ะ เครียด  :katai4:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 15...อัพ 07/07 (หน้า 18 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: jing_sng ที่ 09-07-2014 11:46:37
อ่าน 2 ตอนรวด องค์ราชินีโหดกว่าที่คิดมากมาย ตัดคอโยนลงทะเล แม่คุณสุดยอด
ผู้ที่จะมาต่อกรด้วยนี่ต้องแข็งแกร่งที่สุดนะถึงจะสู่สี
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 15...อัพ 07/07 (หน้า 18 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: kaokorn ที่ 09-07-2014 11:56:03
ขอบคุณคุณบัวเช่นกันฮะที่แต่งเรื่องสนุกๆ (และไม่ดราม่า)ให้อ่าน อิอิ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 15...อัพ 07/07 (หน้า 18 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 09-07-2014 18:44:37
กรี๊ด รอค่ะ ซับซ้อนซ่อนเงื่อนละเกิน
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 15...อัพ 07/07 (หน้า 18 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 13-07-2014 21:15:20
นี่เองที่เป็นไม้เด็ดขององค์เจษ
สมแล้วกับตำแหน่งรัชทายาทองค์ที่หนึ่ง!
ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 16...อัพ 15/07 (หน้า 19 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Dezair ที่ 15-07-2014 20:58:36
NOV: ด้วยพันธะบรรณาการ
By: Dezair
……………………..
บทที่ 16   



หลังจากไว้อาลัยโลงพระศพขององค์หญิงอรุณาเรียบร้อยแล้ว องค์ชายสนธยาก็เสด็จนำอาคันตุกะจากอนันตราชมายังตำหนักรับรองซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตำหนักหน้าเสียเท่าไหร่ อีกทั้งยังผินหน้าไปสู่ท้องทะเลสีน้ำเงินระยิบ ทิวทัศน์งดงามและเป็นธรรมชาติของเกาะสมุทรานั้น ไม่ว่าที่ใดก็ให้ความรู้สึกไม่เหมือนที่นี่



“ที่สมุทรายังสวยงามเหมือนเมื่อเกือบสิบปีก่อนที่เราติดตามเสด็จพ่อมาที่นี่” องค์ชายเจษฎาตรัสกับองค์ชายสนธยาพลางเบือนสายเนตรออกสู่ท้องทะเลที่อยู่เบื้องหน้าตำหนัก



“แต่ความเจริญคงเห็นจะไม่สู้อนันตราชกระหม่อม” สนธยาตอบกลับอย่างที่ทำเอาองค์ชายรัชทายาทลำดับที่ 1 แห่งอนันตราชสรวลน้อยๆ



“สมุทราก็เจริญในแบบสมุทรา อนันตราชก็เจริญในแบบอนันตราช เปรียบเทียบกันไม่ได้หรอก แต่จะว่าไปแล้ว ช่วงตลอดสิบปีที่ผ่านมานี้ สมุทราก็รุดหน้าและมั่นคงขึ้นอย่างที่อนันตราชได้แต่มองตาปริบๆ แม้จะเป็นเพียงเกาะเล็กๆ แต่ก็ประมาทไม่ได้ทีเดียว” องค์ชายเจษฏาตรัสแล้วจึงเหลือบเนตรมายังสนธยาที่น้อมกายรับคำชม



“...หรืออันที่จริง ต้องบอกว่าที่ประมาทไม่ได้คือราชินีวารีวาทผู้ทำให้สมุทราแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ปัญญาอันเฉียบแหลมและความเจ้าเล่ห์ของเสด็จแม่ของท่านเป็นที่เลื่องลือ การที่เรามาถึงที่นี่ก็หวั่นใจอยู่บ้างว่าอาจจะหลวมตัวเข้าไปเป็นหมากตัวหนึ่งของเสด็จแม่ของท่าน แต่...ทำอย่างไรได้ ขืนไม่ยอมเป็นหมาก คนของเราคงอกแตกตายในกรมวังกันพอดี” องค์ชายหนุ่มแห่งอนันตราชตรัสพลางเหลือบเนตรไปยังผู้ที่พระองค์ประเมินเอาไว้ว่าอาจ ‘อกแตกตายในกรมวัง’ ซึ่งยืนคล้อยหลังพระองค์ไปเล็กน้อย ก่อนจะเหลือบสายเนตรกลับมายังองค์ชายสนธยาที่ยังคงมีสีพักตร์งุนงง



“องค์ชายสนธยา ท่านเป็นเชษฐาองค์โตของราชสำนักสมุทรา เราคิดว่าท่านเข้าใจถึงหัวอกของความเป็นพี่อย่างดี และเราหวังว่าท่านจะให้อภัยแก่เราที่คิดทำทุกอย่างเพื่อให้น้องของเรามีความสุขเฉกเช่นเดียวกับที่ท่านปรารถนาดีต่อน้องทั้งหลายของท่าน”



สนธยบารู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล อันที่จริงก็น่าสงสัยตั้งแต่ที่อนันตราชส่งองค์ชายถึงสองพระองค์มายังสมุทราเพื่อไว้อาลัยอรุณาแล้ว หากจะว่ากันตามความเหมาะสมสำหรับเกาะเล็กๆอย่างสมุทรานั้น จะส่งองค์ชายองค์หญิงปลายแถวองค์ใดมาก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นองค์ชายรัชทายาทลำดับที่ 1 และ 2 ด้วยซ้ำ



“ท่านคงกำลังสงสัยในท่าทีของเรา แต่โปรดวางใจ องค์ชายสนธยา สิ่งที่เราทำ ล้วนได้ประโยชน์กันทุกฝ่าย ไม่มีใครน้อยหน้าใครแน่” องค์ชายเจษฎาตรัสพร้อมสรวลน้อยๆด้วยสายเนตรระยับราวกับท้องทะเลต้องแสงอาทิตย์



“เราจะขอพักผ่อนสักหน่อย ถ้าไม่เป็นการรบกวน องค์ชายสนธยาช่วยพาน้องของเราเยี่ยมชมเมืองสมุทราจะได้ไหม น้องของเราคงคิดถึงที่นี่น่าดูชม เพราะเห็นตื่นเต้นมาตั้งแต่ยังไม่ออกจากท่าที่อนันตราช” องค์ชายรัชทายาทลำดับที่ 1 ตรัสเช่นนั้น ก่อนจะเสด็จกลับเข้าตำหนักรับรอง สนธยาได้แต่มองตามด้วยความเป็นกังวล แม้อีกฝ่ายจะรับโอษฐ์อย่างทีเล่นทีจริงว่าทุกฝ่ายได้ประโยชน์ แต่...ถ้าหากสมุทราได้ประโยชน์น้อยกว่า เชื่อแน่ว่าราชินีวารีวาทไม่ทรงยอม...



“ท่านสน...” เสียงเรียกจากข้างกาย ทำเอาสนธยาต้องละสายเนตรกลับมาที่เจ้าของเสียง ลมทะเลหอบพัดผ่านระหว่างสองร่างแล้วโอบล้อมพวกเขาทั้งคู่เอาไว้ราวกับจะสร้างพื้นที่เล็กๆให้อยู่ในภวังค์ของกันและกัน



สนธยายิ้มน้อยๆ เมื่อดวงเนตรจับจ้องพักตร์ของอีกฝ่ายที่แม้จะห่างหายกันไปถึงเดือนกว่า แต่องค์ชายเตชินทร์แห่งอนันตราชก็ยังคงมีสายเนตรอบอุ่นและนุ่มนวลให้แก่เขาไม่แปรเปลี่ยน



“เมื่อครู่นี้ เสด็จพี่ของท่านตรัสว่าท่านอยากชมเมือง อยากเที่ยวที่ใดเล่า เราจะพาไป” แม้ร่างสูงโปร่งขององค์ชายแห่งสมุทราจะเคียงใกล้ถึงเพียงนี้ แต่เพราะบริเวณที่ประทับอยู่ในตอนนี้คือชะง่อนผาด้านหลังของตำหนักซึ่งมีนายทหารเวรยามรักษาการณ์โดยรอบเสียจนเตชินทร์ไม่อาจรุ่มร่ามได้อย่างใจ



“เรา...อยากไปที่ใดก็ได้ที่ได้อยู่กับท่านเพียงสองคน ท่านสน...” ไม่ต้องเอื้อนเอ่ยมากไปกว่านั้น สนธยาก็รู้ดีถึงความร่ำร้องที่อยู่ในใจของอีกฝ่ายและในใจของตน



...ที่ใดก็ได้ที่มีเพียงเราสอง...ที่ใดก็ได้ที่ไม่มีบุคคลอื่น...ที่ใดก็ได้...ที่หัวใจสองดวงจะได้เปิดเผยความรู้สึกลึกล้ำให้กันและกันได้รับรู้...



..........................................



โพล้เพล้จนตะวันลอยอ้อยอิ่งอยู่เหนือขอบทะเลเพียงเล็กน้อย ท้องฟ้าเบื้องบนเหลือเพียงสีส้มอมดำเมื่อยามรัตติกาลเริ่มมาเยือน ราชินีวารีวาทประทับอยู่ที่พระเก้าอี้หัวโต๊ะเสวยในห้องจัดเลี้ยงของตำหนักหน้า และชั่วอึดใจต่อมาอาคันตุกะจากอนันตราชก็ปรากฎกายขึ้นที่หน้าประตู



สตรีแห่งบัลลังก์สมุทราทรงลุกจากพระเก้าอี้แล้วค้อมเศียรเล็กน้อยเป็นการเชื้อเชิญองค์ชายรัชทายาทลำดับที่ 1 ให้ประทับลงที่พระเก้าอี้ด้านข้างของพระองค์



“ขอบพระทัย และต้องขอโทษด้วยที่เรามาเร็วกว่าเวลานัดหมาย ไม่คิดว่าพระองค์จะเสด็จมาก่อนแล้ว” องค์ชายเจษฎาตรัส หากแต่ปดไปเกินกว่าครึ่งเพราะพระองค์แน่พระทัยอยู่แล้วว่าราชินีวารีวาทจะต้องรีบเสด็จมาคอยที่ห้องเสวยเพื่อทำข้อตกลงก่อนที่มื้อเย็นจะเริ่ม เพราะหากรีรอ นั่นหมายถึงความลับที่ราชินีวารีวาทเก็บงำเอาไว้ อาจแพร่งพรายไปถึงโอรสผู้เป็นที่รักอย่างองค์ชายสนธยา



“ไม่เป็นไรหรอก...” ราชินีวารีวาทตรัส ก่อนจะเหลือบเนตรไปยังพักตร์ที่ยังคงมีรอยสรวลขององค์ชายเจษฎาด้วยความอึดอัด



“มองกระหม่อมเช่นนี้ เห็นทีราชินีแห่งสมุทราคงมีเรื่องอยากจะตรัสกับกระหม่อมกระมัง” องคชายผู้ถูกลอบสังเกตเอ่ยโอษฐ์อย่างทีเล่นทีจริง ราชินีวารีวาทนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะโบกหัตถ์เป็นสัญญาณให้เหล่าข้าราชบริพารในห้องเสวยออกไปให้หมด



และเมื่อทั้งห้องเหลือเพียงพระองค์และองค์ชายผู้เป็นอาคันตุกะแล้ว ผู้มีศักดิ์เป็นมารดาของประชาชนทั้งปวงในสมุทราก็ตรัสขึ้น



“เรื่องสาส์นแนบของท่าน ไม่ทราบว่าท่านได้ความเรื่องนี้มาจากที่ใด เสด็จพ่อของท่านหรือ” สุรเสียงนั้นเบาแผ่วจนแทบเป็นกระซิบ หากแต่ก็ยังแฝงไว้ซึ่งอำนาจของผู้นั่งบัลลังก์สมุทราเช่นเคย



“หามิได้ เสด็จพ่อของกระหม่อมไม่เคยนำเรื่องนี้มาแพร่งพรายให้ใครรู้ แต่ที่กระหม่อมรู้เพราะกระหม่อมสืบหาความเอาเอง  อันที่จริงแล้วก็ทราบเรื่องนี้มาได้สักระยะ นับตั้งแต่องค์หญิงอรุณาจ้องจะเล่นงานเชษฐาอย่างเอาเป็นเอาตาย คนอย่างองค์หญิงอรุณาที่โหยหาความรักนั้น ออกจะน่าประหลาดอยู่สักหน่อย ที่แค่ความทะเยอทะยานในอำนาจเพียงอย่างเดียวจะทำให้ตามจองล้างจองผลาญพี่น้องพ่อแม่เดียวกันได้ถึงเพียงนี้ เว้นเสียแต่...ไม่ใช่พี่น้องพ่อแม่เดียวกัน...” เนตรคมกริบขององค์ชายแห่งอนันตราชเหลือบกลับมาสบเนตรของราชินีวารีวาทอย่างรู้เท่าทัน หากแต่ทีท่าของผู้ครองบัลลังก์ยังคงนิ่งเฉย แม้สายเนตรจะไหวระริกเพียงเล็กน้อยก็ตามที



องค์ชายเจษฎาทรงรู้ดีว่าสิ่งที่พระองค์จะตรัสต่อไปนี้ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่ควรพูด เพราะใครก็ตามในสมุทราที่รู้เรื่องนี้ หากไม่ปิดปากเงียบก็ล้วนพบจุดจบอย่างน่าอนาถด้วยกันทั้งนั้น



...แต่...พระองค์ไม่ใช่ชาวสมุทรา หนำซ้ำ...เรื่องนี้คือไพ่ตายที่พระองค์จะใช้กอบกู้หัวใจของผู้เป็นน้องกลับคืนมา...หากอมพะนำเอาไว้ เกรงว่าจะไม่มีประโยชน์อันใดอีก...



“...เมื่อหลายสิบปีก่อน มีข่าวลือที่ว่าราชสำนักสมุทรามีฝาแฝดเป็นเด็กหญิง แต่เนื่องจากความไม่มั่นคงภายใน เด็กทั้งคู่ใช้ชื่อเดียวกัน ถูกเลี้ยงมาเพื่อเป็นตัวตายตัวแทนของกันและกัน แฝดผู้พี่เติบโตขึ้นและพบรักกับชายชาวต่างถิ่นที่เข้ามาทำมาหากินในสมุทรา สุดท้ายจึงตัดสินใจละทิ้งราชสำนักหนีออกจากสมุทรา ในขณะที่แฝดคนน้องเมื่อเหลือเพียงลำพังจึงขึ้นครองราชย์เป็นราชินี โชคชะตาที่ไม่น่าจะได้พบพานกันแล้ว กลับตาลปัตรเมื่อแฝดผู้พี่จากไปด้วยพิษภัยของสงครามที่เกิดขึ้นในอาณาจักรที่นางอพยพไปอาศัย กษัตริย์แห่งอาณาจักรนั้นซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของสามีของนางจึงขอร้องให้แฝดผู้น้องรับหลานมาเลี้ยงดู ราชินีแห่งสมุทราเกลียดชังผู้เป็นพี่ที่ทิ้งบ้านเกิดเมืองนอน หากแต่ทันทีที่รู้ว่าสามีของพี่คือสหายของกษัตริย์ นางจึงรับเลี้ยงดูโดยมีข้อแลกเปลี่ยนที่สามีของพี่จะต้องกลายเป็นสามีของนาง”



ราวกับภาพเหตุการณ์เมื่อครั้งอดีตมาปรากฏที่เบื้องหน้า ราชินีวารีวาทเบือนสายเนตรออกไปยังนอกบัญชรสูงที่เผยให้เห็นน้ำทะเลดำมืดของยามค่ำที่ทำให้ขอบทะเลและขอบฟ้ากลืนหายไปด้วยกัน



...มืด...เหมือนในดวงหทัยของพระองค์...



...มืด...ไม่ต่างอะไรกับจิตใจของอรุณาที่ทะเยอทะยานและละโมบโลภมาก...



...มืด...ราวไม่มีเส้นขอบใดๆขีดแบ่งใจของพระองค์และอรุณาออกจากกัน...



...เป็นแม่ลูกกัน...ไม่เหมือนกันสิแปลก...แต่ที่น่าแปลก...คือความมืดมิดนี้ไม่มีในหัวใจของ ‘วารีวาทอีกคน’…วารีวาทคนนั้นสดใส ร่าเริงและพร้อมจะซื่อสัตย์ต่อหัวใจตัวเองอย่างยิ่งยวด...



...ไม่เหมือนวารีวาทคนนี้...เจ้าเล่ห์ เลือดเย็นและอำมหิต...



“ราชินีผู้นั้นจงใจให้มีข่าวลือเรื่องโอรสหรือธิดาพระองค์หนึ่งไม่ใช่ลูกที่แท้จริง เพื่อให้มีข้ออ้างในการส่งองค์ชายที่มีศักดิ์เป็นแค่หลานออกไปยังอาณาจักรใหญ่เพื่อเจริญสัมพันธไมตรีและใช้อาณาจักรแห่งนั้นเป็นที่ค้ำจุนให้แก่สมุทรา แต่สิ่งที่ราชินีผู้นั้นไม่ทันระวังคือหัวใจของธิดาพระองค์หนึ่งที่หวาดระแวงและเป็นกังวลว่าตัวเองจะไม่ใช่ลูกโดยแท้” พูดถึงตรงนี้ องค์ชายเจษฎาก็หวนนึกถึงผู้จากไปแล้ว



“...เทวดาฟ้าดินก็ใจร้ายนัก...สรรค์สร้างนางออกมาให้คล้ายพ่อมากกว่าแม่ ในขณะที่คนเป็นเพียงหลาน...กลับคล้ายแม่มากกว่าตนเอง” อรุณานั้นไม่ได้มีผิวพรรณเป็นสีน้ำผึ้งทองและนัยน์ตาสีอ่อนแบบราชินีวารีวาทและองค์ชายสนธยา กลับกัน นางกลับกระเดียดไปบิดาเสียมากกว่า และนั่นคงเป็นเหตุจูงใจเหตุหนึ่งให้นางคิดเอาเองว่าคนที่ไม่คล้ายมารดาก็คือคนที่ไม่ใช่ลูกที่แท้จริง



องค์ชายเจษฎาถอนปัสสาสะอีกคำรบด้วยรู้สึกสงสารในโชคชะตาทั้งมวลที่อรุณาประสบ และเป็นการบีบคั้นให้นางก้าวสู่เส้นทางที่โหดร้าย



 “...องค์หญิงอรุณาหวั่นกลัวว่าบัลลังก์จะไม่ตกแก่ตน ยามยังเล็กก็คงเป็นแค่ความอิจฉาประสาเด็ก แต่เมื่อเติบใหญ่ ยามมองไปที่ผู้เป็นพี่ชายก็พบว่าเขามีทุกอย่าง ได้ทุกอย่างในสิ่งที่ตนไม่มี ยิ่งองค์ชายสนธยามีชีวินข้างกาย ก็คงเหมือนเป็นการขยายแผลให้ปริร้าวมากกว่าเดิม กระหม่อมเชื่อว่าองค์หญิงอรุณารู้ความจริงว่าการที่องค์ชายสนธยาเก็บเด็กต่างถิ่นที่หลงทางในสมุทรามาชุบเลี้ยงไม่ใช่แค่เหตุบังเอิญ ชีวินคือตัวแทนของความห่วงใยที่กษัตริย์แห่งอนันตราชมอบให้แก่บุตรของเพื่อนรัก ถูกส่งมาเพื่อเป็นทหารรับใช้องค์ชายสนธยาผู้เดียวเท่านั้น เป็นไมตรีของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ไม่ว่าอย่างไรอรุณาก็คงหาไม่ได้ ทุกอย่างขมวดปมแน่นว่าสนธยาคือคนที่ได้ทุกอย่างไม่ว่าจะด้วยตำแหน่งหน้าที่การงาน หรือไมตรีจากอาณาจักรใกล้เคียง และในไม่ช้า...บัลลังก์สมุทราก็อาจเป็นของสนธยาเช่นกัน”



“...องค์หญิงอรุณาจึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อริบลมหายใจของเชษฐา แต่การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นนั้นเป็นข้ออ้างชั้นเยี่ยมสำหรับพระองค์ใช่ไหม ในการส่งคนใดคนหนึ่งออกไปนอกสมุทราตามแผนการ และผู้นั้นก็คือองค์ชายผู้ที่มีศักดิ์เป็นเพียงแค่หลาน แต่...ดูเหมือนว่าการส่งองค์ชายสนธยาออกไปจะไม่อาจลดความอาฆาตพยาบาทขององค์หญิงอรุณาได้เลย เพราะสุดท้ายแล้วองค์ชายผู้นั้นก็ยังถูกจองล้างจองผลาญอยู่วันยันค่ำ ในที่สุด...ราชินีจึงตัดสินพระทัยทำลายหมากอย่าง ‘องค์หญิงอรุณา’ ที่หมดประโยชน์แล้วทิ้งเสีย เพราะอยู่ต่อไปก็รังแต่จะสร้างความเดือดร้อน ดีไม่ดี...เกิดองค์หญิงอรุณาฆ่าพี่ชายสำเร็จจริง เมื่อนั้นสมุทราจะไม่มีหลักประกันอันใดเอาไว้เกี่ยวพันกับอาณาจักรใหญ่อย่างอนันตราชได้อีก”



   องค์ชายเจษฎาจับจ้องพักตร์งามที่ยังคงเรียบตึงราวกับไม่มีอะไรมาสั่นคลอนหทัยที่แข็งแกร่งดุจหินผาของราชินีแห่งสมุทราได้ แม้แต่ความจริงอันโสมมก็ตามที



   “ที่กระหม่อมตรัสมานั้น เป็นความจริงหรือไม่...หรือเป็นแค่ข่าวลือ”



“เราทำทุกอย่างเพื่อสมุทรา” ราชินีวารีวาทตรัสด้วยน้ำเสียงเย็นเรียบ และพักตร์ที่ยังคงนิ่งเฉยประหนึ่งองค์ชายเจษฐาทูลเล่านิทานปรำปราของเด็กอย่างไรอย่างนั้น



“ทราบดีว่าท่านให้ความสำคัญกับสมุทราเพียงใด แต่อุโมงค์หินใต้น้ำของสมุทราก็สำคัญยิ่งสำหรับอนันตราชเช่นกัน” องค์ชายหนุ่มตรัส พลางขยับกายเข้าไปใกล้สตรีผู้สูงศักดิ์มากขึ้น



“ได้ยินมาว่าอาณาจักรโกศลส่งคนมาเจรจาเรื่องขอสัมปทานเช่าพื้นที่บริเวณโดยรอบอุโมงค์ใต้น้ำทางทิศเหนือของสมุทราใช่ไหม เราอยากให้ท่านปฏิเสธทางนั้น”



“แล้วสมุทราจะได้อะไร” คำถามตรงไปตรงมาของราชินีวารีวาททำเอาองค์ชายหนุ่มแย้มสรวลน้อยๆ ก่อนทูลตอบ



“อนันตราชจะรับองค์ชายสนธยามาเป็นชายาขององค์ชายเตชินทร์”



“นั่นคือสิ่งที่สมุทราจะได้อย่างนั้นหรือ?!! เราเรียกว่าเสียต่างหาก!! สมุทรากับโกศลกำลังทำข้อตกลงร่วมกันเรื่องอุโมงค์หินใต้น้ำ ค่าสัมปทานที่สมุทราจะได้ ความมั่นคงทางทหารที่โกศลจะให้ หากเราปฏิเสธ สมุทราจะพลาดรายรับและการทหารที่สำคัญ นอกจากนั้นแล้ว ยังจะให้สมุทราส่งองค์ชายออกไปเป็นสะใภ้ราชสำนักอื่นด้วยอย่างนั้นรึ?!!!” สตรีแห่งบัลลังก์สมุทราตรัสอย่างรวดเร็ว



“แต่องค์ชายสนธยาไม่ใช่องค์ชายที่แท้จริง ถึงแม้จะเป็นบุตรของพี่สาวของท่าน แต่พี่สาวของท่านก็สละฐานันดรนี้แล้ว องค์ชายสนธยาไม่ต่างอะไรกับคนธรรมดาคนหนึ่ง แล้วถ้าหาก...เรื่องนี้กลายเป็นที่โจษจันไปทั่ว จนรับรู้ไปถึงอาณาจักรทางใต้ที่ท่านกำลังหมายมาดจะส่งองค์ชายสนธยาไปสมรสกับองค์หญิงแห่งราชสำนักนั้นทราบเรื่องนี้เข้า อาณาจักรนั้นคงไม่พอใจเป็นแน่” ราชินีวารีวาททรงนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะตรัสถาม



“ท่านทราบเรื่องนี้ด้วยหรือ?”



“ทราบมาว่าเป็นข่าวลือเท่านั้น แต่เกรงจะเป็นจริง เลยต้องรีบมาเจรจากับพระองค์โดยไว กระหม่อมไม่อยากให้น้องของกระหม่อมเสียใจเรื่องพลัดพรากจากรัก” ราชินีวารีวาทสรวลน้อยๆ



“ดูท่าจะรักน้องมากเสียจริง ไม่ใช่พี่น้องแม่เดียวกันไม่ใช่หรือ”



“แม่เดียวกันหรือไม่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ที่สำคัญคือใจของกระหม่อมมองว่าเตชินทร์เป็นน้องเสมอ”



“เหมือนองค์สน...” ราชินีวารีวาทตรัสเสียงแผ่วเมื่อหวนคำนึงถึงความสัมพันธ์ของพี่น้องในราชสำนักของพระองค์ สนธยาเองก็มีความคิดเช่นนี้เหมือนกัน เรื่องใดไม่สำคัญเท่ากับความรู้สึกในใจ...ใช้ใจก่อนเหตุผล บางครั้งมันอาจให้ผลเลวร้าย แต่ในหลายครั้ง...มันก็สร้างความสุขใหกับเจ้าของหัวใจเช่นเดียวกัน...



“เพราะกระหม่อมเห็นว่าองค์ชายสนธยาทรงรู้สึกนึกคิดใกล้เคียงกับกระหม่อม คนเช่นนี้หากอยู่ข้างกายเตชินทร์ เตชินทร์จะเป็นน้องที่ดีของกระหม่อมไปตลอดกาล” องค์ชายเจษฎาตรัส ราชินีวารีวาทเหลือบเนตรสบ ก่อนจะยกมุมโอษฐ์สรวลน้อยๆ



“อันที่จริงแล้ว ท่านเองก็คงเกรงว่าองค์ชายเตชินทร์จะหวังในราชบัลลังก์เช่นกันสินะ”



“อำนาจนั้นเป็นความหอมหวลที่อันตราย ทำให้พี่น้องแตกหักกันมาหลายต่อหลายคน กระหม่อมไม่หวงบัลลังก์ หากเสด็จพ่อของกระหม่อมมีตัวเลือกที่ดีกว่ากระหม่อม แต่จนบัดนี้ ตัวเลือกที่ดีมากกว่ากระหม่อมนั้นไม่มี จะมีก็แต่ตัวเลือกที่ดีเทียบเท่ากระหม่อม ซึ่ง...มันเป็นความสุ่มเสี่ยงอย่างร้ายกาจ ถ้าหากกระหม่อมจะปล่อยให้ตัวเลือกนั้นยังคงสภาพการเป็นเป็นตัวเลือกที่ดีพอๆกับตัวกระหม่อมเอง เพราะมันอาจทำให้พวกคิดไม่ซื่อพยายามสร้างสถานการณ์ให้ทั้งกระหม่อมเอง และคนผู้นั้นฟาดฟันกันเพื่อบัลลังก์ก็เป็นได้”



“เพราะฉะนั้น...ถ้าหากตัวเลือกผู้นั้นมีชายาเป็นชายเสีย ความเพียบพร้อมสำหรับราชบัลลังก์ก็จะตกลงด้วยใช่ไหม” ราชินีวารีวาทตรัสถามอย่างรู้เท่าทัน องค์ชายเจษฎาสรวลเสียงดังก่อนจะน้อมกายเยินยอ



“ราชินีวารีวาทมีพระเนตรที่เฉียบแหลมเหลือเกิน”



“เอาเถอะ...เราจะปฏิเสธโกศลเรื่องอุโมงค์หิน”



“ขอบพระทัยในพระกรุณา” องค์ชายหนุ่มแห่งราชสำนักอนันตราชน้อมองค์ลงทำความเคารพอีกครั้ง



“...แต่ เรื่องที่สมุทราจะได้ ไม่ใช่เพียงแค่องค์ชายของสมุทราจะเข้าไปเป็นชายาของอนันตราชเท่านั้นหรอก เรามีข้อเสนออื่นสำหรับอนันตราชเช่นเดียวกัน”



สายเนตรของราชินีวารีวาทวาววับ และเมื่อนั้นองค์ชายเจษฎาก็พลันนึกถึงสิ่งที่เสด็จพ่อของพระองค์เคยตรัสย้ำเตือนก่อนที่พระองค์จะเสด็จมาที่สมุทรา



‘บางที...การที่เจ้าดิ้นรนจะไปสมุทราก็อยู่ในแผนหนึ่งของราชินีวารีวาท ราชินีผู้นั้นทำได้ทุกอย่างเพื่อสมุทรา ไม่เว้นแม้แต่การใช้สมุทราเป็นเหยื่อล่อเอง’



....................................



เตียงยวบลงเล็กน้อยเมื่อร่างสูงสง่าทรุดกายลงนั่งเบียดคนที่ยังนอนหอบหายใจระรัวอย่างเต็มอิ่ม ฝ่ามือหนาร้อนลูบไล้แผ่นหลังสีน้ำผึ้งทองที่โผล่พ้นผ้าแพรซึ่งห่มอย่างหมิ่นเหม่อย่างอ้อยอิ่งและหลงใหล



“ลุกไหวไหม” น้ำเสียงและสายเนตรขององค์ชายเตชินทร์ที่นั่งอยู่ข้างกายยังคงเจือแววอ่อนโยนเช่นเคย ก่อนจะตามมาด้วยโอษฐ์ร้อนที่แนบประทับลงบนแก้มของสนธยาด้วยความรักใคร่



“ใกล้ได้เวลาเสวยแล้ว หากท่านลุกไม่ไหว เราจะให้คนไปทูลราชินีวารีวาทและเสด็จพี่ของเรา...”



“ทูลว่ากระไร” คำถามของสนธยานั้นแลดูซื่อ หากแต่ดวงเนตรกลับระยิบระยับยิ่งนัก เตชินทร์สรวลน้อยๆอย่างเอ็นดูอีกฝ่าย ปลายนาสิกเคลียคลอแก้มนิ่มอย่างนุ่มนวล



“ทูลว่าท่านเหนื่อย อยากพักผ่อน...กับเรา” เพราะการพักผ่อนกับเตชินทร์ จึงเป็นเหตุให้พวกเขาสองคนคลุกกันอยู่ในห้องบนตำหนักของสนธยาเสียจนพลบค่ำ ภายในห้องที่มีใครอื่น แม้แต่ชีวิน อังกูร หรือสมิตก็ล้วนถูกสั่งให้คอยอยู่ภายนอกทั้งนั้น



“พักผ่อนกับท่านยิ่งทำให้เราเหนื่อยสิไม่ว่า” สนธยาบริวาทน้อยๆ หากแต่รอยแย้มยิ้มยังคงประดับบนพักตร์อย่างที่บอกให้รู้ว่าเจ้าตัวสุขสมเพียงใดกับการพบพานหลังจากกันถึงหนึงเดือน กายโปร่งพลิกตัวขึ้นนั่ง เตชินทร์จึงลุกจากเตียงเดินไปหยิบเสื้อคลุมเนื้อบางเบามาสวมให้ ทว่าก็ยังมีเสียงขัดใจดังมาจากสนธยา



“เราสวมเองได้หรอก”



“แต่เราอยากสวมให้ท่าน” เตชินทร์เอ่ย แล้วลดสายเนตรลงทอดสบกับดวงเตรสีน้ำตาลอ่อนของสนธยา ความรู้สึกลึกล้ำนั้น มาบัดนี้ถูกเปิดเผยเสียสิ้น ไม่ว่าจะด้วยเพราะความห่างไกลที่พวกเขาต้องพบเจอ หรือด้วยสถานะที่ไม่อาจได้เคียงข้าง ทำให้สนธยายอมรับในความรู้สึกเบื้องลึกทั้งของเขาและของตนเอง แต่...ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร วันนี้เตชินทร์ก็ได้เคียงใกล้ร่างนี้อย่างสมใจแล้ว



...แม้ภายภาคหน้า...จะไม่อาจแม้แต่จะพบหน้าอีกก็ตาม...



“ทำไมเศร้านัก หรือเมื่อครู่นี้ เราไม่ดีพอหรือ” เสียงของคนตรงหน้าดังขึ้น ทำเอาองค์ชายหนุ่มแห่งอนันตราชทรงตื่นจากภวังค์ โอษฐ์ขยับแย้มยิ้มเพียงเล็กน้อย ก่อนจะตอบ



“เราแค่...เสียดาย...ที่เรามีเวลาอยู่กับท่านน้อยเหลือเกิน...” สนธยานิ่งไปเช่นกันกับความจริงที่ต้องตระหนัก เพราะมัวแต่หลงดีใจอยู่กับการได้พบหน้า จนลืมกังวลถึงการจากลาที่ต้องมาถึงในไม่ช้า



...เตชินทร์เป็นองค์ชาย...องค์ชายรัชทายาท แม้ไม่ใช่ลำดับที่ 1 แต่ก็เป็นองค์ชาย ให้อย่างไรก็ต้องกลับอนันตราช...ส่วนพระองค์...ก็เป็นองค์ชายเช่นกัน แม้ไม่ใช่ผู้สืบสันตติวงศ์ แต่จนกว่าน้องสาวจะเติบโตเพียงพอที่จะครองบัลลังก์สมุทรา เขาก็ต้องอยู่ที่นี่...อยู่เพื่อเป็นเสาหลัก อยู่เพื่อแผ่นดินสมุทรา อยู่เพื่อ...ทำหน้าที่องค์ชายองค์โต...



“ท่าน...อยู่ที่นี่กี่วันหรือ”



“สองวัน” สนธยาสะท้อนไปทั้งอก มีเวลาอยู่ด้วยกันแค่สองวันเท่านั้น...สองวัน ก่อนที่ต่างฝ่ายต่างจะต้องแบกรับหน้าที่ของการเป็นองค์ชายโดยไม่อาจเผยหัวใจให้อีกฝ่ายได้รับรู้



องค์ชายหนุ่มแห่งสมุทราเม้มโอษฐ์เล็กน้อย ก่อนจะคลี่ยิ้มอย่างมีความสุขที่สุดเท่าที่จะทำได้



“มีเวลาตั้งสองวัน! ถ้าอย่างนั้น เราจะพาท่านเที่ยวทั้งเกาะสมุทรา รับรองว่าท่านจะได้เห็นสมุทราในมุมที่ไม่มีใครเคยเห็น ยกเว้นเรา!” เตชินทร์เห็นท่าทางสนุกสนานและเต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มของสนธยาก็พอจะเข้าใจว่าอีกฝ่ายทำเช่นนี้เพื่อไม่ให้เขากังวล บุรุษจากอนันตราชรั้งกายโปร่งเข้ามากอดแนบแน่นด้วยความรักและห่วงหา



...ใยได้พบแล้วจึงต้องพัดพราก เหตุใดจึงไม่อาจเคียงคู่อย่างคนอื่น...



“ท่านเตช...” สนธยาได้แต่ครางเสียงแผ่ว อ้อมกอดอบอุ่นนี้ราวกับจะแทนความรู้สึกทั้งหมดที่เตชินทรืมีให้ หัตถ์สีน้ำผึ้งยกขึ้นวางแนบกับแผ่นหลังกว้าง กอดรัดร่างสูงใหญ่เช่นกัน ก่อนจะวางพักตร์ลงกับลาดไหล่แข็งแล้วเอ่ยเสียงเบาให้ได้ยินกันเพียงแค่สองคน



“ถ้าวันหนึ่งที่สมุทรามั่นคงแล้ว...เราจะเป็นปลาว่ายไปหาท่านที่อนันตราชเอง...”



......................................
หัวข้อ: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 16...อัพ 15/07 (หน้า 19 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Dezair ที่ 15-07-2014 20:59:28
‘ข้อเสนอข้อที่หนึ่งของสมุทราก็คือ...สนธิสัญญาค้าขาย’



‘ข้อที่สอง...สนธิสัญญาทางการทหารทั้งเรื่องยุทโธปกรณ์และการร่วมรบ โดยอนันตราชจะร่วมรบกับสมุทราในทันที หากสมุทราถูกโจมตี’



‘ข้อที่สาม...องค์ชายสนธยาจะต้องมีตำแหน่งเป็นชายาเอกในองค์ชายเตชินทร์ไปจนกว่าจะหมดอายุขัย ไม่มีการลด การสละ หรือยกเลิกตำแหน่งไม่ว่าจะในกรณีใดๆ นอกจากนั้น หากสิ้นองค์ชายสนธยาแล้ว จักต้องมีการเสกสมรสระหว่างองค์ชายและองค์หญิงระหว่างสมุทราและอนันตราชภายในเวลา 1 ปี’



‘และข้อที่สี่...ขอให้ทางสมุทราเป็นคนบอกเรื่องนี้แก่องค์ชายสนธยาและองค์ชายเตชินทร์เอง’



ราชินีวารีวาทยังจำสีพักตร์งุนงงขององค์ชายเจษฎาได้เป็นอย่างดี องค์ชายรัชทายาทลำดับที่ 1 ที่สละเวลาในการบริหารรัฐกิจจำนวนมากของอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่เพื่อเสด็จมายังสมุทราโดยมีเหตุผลเพียงข้อเดียว



   ...มาขอองค์ชายไปเป็นชายาให้น้อง...



   หนำซ้ำเมื่อพระองค์ยื่นข้อเสนอที่มีแต่ได้กับได้ของสมุทราเพียงฝ่ายเดียวให้แก่องค์ชายผู้นั้น ก็ราวกับว่าองค์ชายเจษฎาทรงตัดสินพระทัยมาแล้วว่าถ้าไม่ถึงขั้นเสียดินแดนส่วนใดให้แก่สมุทรา พระองค์จะยินดียอมรับทุกข้อเสนอ ขอเพียงแค่...ทำให้องค์ชายเตชินทร์ได้ครองคู่กับคนที่รัก...



   “ช่างเป็นพี่ที่ดีเสียจริง อนันตราชเลี้ยงกันมาอย่างไรนะ...” ราชินีวารีวาททรุดองค์ลงประทับบนตั่งในสวนบนชะง่อนผา ที่เบื้องหน้าคือทะเลกว้างและดำมืดของรัตติกาล หากแต่พระองค์ยังไม่ถึงเวลาบรรทม เพราะมีเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่า



   “องค์ชายสนธยาเสด็จมาแล้วกระหม่อม” นายทหารผู้หนึ่งเดินเข้ามารายงาน ราชินีวารีวาทพนักพักตร์เล็กน้อยเป็นเชิงให้พาเข้ามา เพียงครู่หนึ่งองค์ชายหนุ่มแห่งสมุทราก็เดินเข้ามาในสวน



   “ขอโทษทีที่ให้คนตามเจ้ามาดึกๆดื่นๆ”



   “หามิได้ เสด็จแม่ทรงมีอะไรหรือ”



   “นั่งลงสิ” สนธยาทรุดกายลงนั่งบนตั่งอีกตัว ในขณะที่ราชินีวารีวาทยังคงทอดเนตรไปยังทะเลดำมืดราวกับมันดึงดูดพระทัยของพระองค์เอาไว้



   “เมื่อตอนมื้อค่ำ ดูเจ้าเศร้าสร้อย ไม่สบายรึเปล่า” มื้อเย็นเมื่อครู่นี้ เป็นการเลี้ยงต้อนรับอาคันตุกะอย่างองค์ชายทั้งสองพระองค์จากแผ่นดินใหญ่ แม้จะไม่มีงานเลี้ยงรื่นเริงเนื่องจากยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ แต่สมุทราก็จัดเตรียมอาหารคาวหวานให้แก่คณะผู้มาเยือนจนได้รับคำชมไม่ขาดปาก แต่...ทั้งที่เจ้าบ้านอย่างองค์ชายสนธยาจะยิ้มแย้มรับคำชมนั้นอย่างปลื้มปิติ สิ่งที่ราชินีวารีวาททอดเนตรคือสีพักตร์ที่ติดไปทางทุกข์ระทม



   “เปล่าพระเจ้าค่ะ”



   “ถ้าอย่างนั้นก็คงมีเรื่องในใจ...บอกได้ไหมว่าเรื่องอะไร” สนธยาเม้มโอษฐ์เล็กน้อยอย่างอัดอั้น หากแต่ก็ทูลปฏิเสธ



   “แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้นพระเจ้าค่ะ เสด็จแม่อย่าได้ใส่พระทัยเลย ว่าแต่...ที่ทรงเรียกกระหม่อมมาเข้าเฝ้า มีอะไรเป็นพิเศษหรือพระเจ้าค่ะ” สนธยาไม่อยากทูลว่าหัวใจของตนนั้นเบาหวิวเหลือเกินยามนึกถึงความจริงที่จะมีเวลาอยู่กับเตชินทร์เพียงแค่สองวัน แม้จะสัญญาแล้วว่าถ้าหากสมุทรามั่นคงเมื่อไร จะเป็นปลาว่ายไปหาอีกฝ่ายที่อนันตราช



   ...แต่...ก็ไม่รู้เมื่อไหร่ที่สมุทราจะมั่นคงเพียงพอให้ปล่อยวาง...หน้าที่ของการเป็นองค์ชายผูกมัดและรัดขาสองข้างให้ไม่อาจห่างไกลจากเกาะแห่งนี้...



   “เจ้าคิดว่าบัดนี้ สมุทราเป็นเช่นไร” สนธยานิ่งไปเล็กน้อย ด้วยไม่คิดว่ามารดาจะถามเรื่องนี้ เขานิ่งคิดตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะทูลตอบ



   “สมุทรา...แม้จะมั่งคั่งแต่ก็เป็นเพียงเกาะเล็กๆไม่ค่อยมีบารมีสักเท่าไหร่ หนำซ้ำอรุณาก็เพิ่งจากไป อันที่จริงแล้ว ถึงแม้เสด็จแม่จะยังไม่มีโองการแต่งตั้งอรุณาขึ้นเป็นรัชทายาท แต่ก็รู้โดยทั่วกันว่านางมีสิทธิ์เป็นลำดับที่ 1 ดังนั้น...เมื่อสิ้นนาง ก็เหมือนสิ้นทายาท กระหม่อมทราบดีว่าทั้งราตรีและอุษายังเล็กเกินกว่าที่จะเป็นรัชทายาท แต่ก็คิดว่าควรแต่งตั้งพระเจ้าค่ะ”



   “แต่งตั้งราตรีหรืออุษาแล้ว แล้วทิวาเล่า?”



   “ทิวา...เป็นผู้มีความรู้มากมายนัก รักใคร่การอ่านหนังสือ อีกไม่ช้า กระหม่อมคิดว่าในราชสำนักเราจะมีอาจารย์ที่เก่งกล้าและมีสติปัญญาเป็นเลิศพระเจ้าค่ะ”



   “แล้วเจ้าล่ะ เจ้าเป็นนายทหาร หากราตรีหรืออุษาขึ้นครองบัลลังก์ เจ้าจะถูกเพ่งเล็งเป็นอันดับแรกว่าอาจก่อการกบฎได้ทุกเมื่อ” สนธยาเงียบลงไปเล็กน้อย ก่อนจะทูลตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย



   “หากรูปการณ์ดูจะเป็นเช่นนั้น กระหม่อมก็จะขอสละฐานันดรจากราชสำนักสมุทราเสีย ไปอยู่อาศัยที่อื่น คงมีที่ไหนสักที่ให้กระหม่อมได้พักพิงและทำมาหากินพระเจ้าค่ะ”



   “ไม่อาลัยอาวรณ์ตำแหน่งองค์ชายเลยสักนิดหรือ” ราชินีวารีวาททรงหันมาตรัสถาม



   “หากหวงแล้วต้องทะเลาะเบาะแว้งกับพี่น้องอีกครั้ง กระหม่อมไม่หวงดีกว่าพระเจ้าค่ะ” สตรีผู้สูงศักดิ์ทอดเนตรพักตร์มีน้ำผึ้งที่มองอย่างไรก็ว่าคล้ายพระองค์ยิ่งนัก



   ...หากแต่...ความรู้สึกนึกคิดของสนธยากลับคล้าย... ‘วารีวาทอีกคน’ มากกว่าพระองค์...



   ... ‘วารีวาทอีกคน’ ที่หนีออกจากสมุทราเพราะไม่อยากผิดใจกับน้องเรื่องบัลลังก์ที่มีเพียงแห่งเดียว แต่ผู้สิทธิ์ขึ้นครองมีถึงสอง...



   ... ‘วารีวาทอีกคน’ ที่ทำอะไรตามอำเภอใจอย่างดื้อดึง หัวแข็ง แต่ก็รักในสายสัมพันธ์ของความเป็นพี่น้องมากที่สุด...



   ... ‘วารีวาทอีกคน’ ที่เป็นแม่แท้ๆของสนธยา...



   “ถ้าอย่างนั้น...ก็สละฐานันดรเสียตั้งแต่ตอนนี้เลยไหม” ราชินีวารีวาทตรัสถาม และนั่นทำเอาสนธยาอึ้งอีกคำรบ



   “ทรงหมายความว่าอย่างไร เสด็จแม่”



   “แม่จะหมั้นหมายเจ้ากับองค์หญิงจากอาณาจักรทางใต้ สละฐานันดรองค์ชายแห่งสมุทราแล้วไปเป็นกษัตริย์ในแผ่นดินอื่น เจ้าสนใจไหม”


.......................................




   “กระหม่อมทำเรื่องเช่นนั้นไม่ได้” หลังจากความเงียบอึดใจใหญ่ องค์ชายสนธยาก็น้อมเศียรต่ำขอลุแก่โทษที่ตนจะทูล



   “ทำไม?”



   “บัดนี้กระหม่อมผูกใจรักของกระหม่อมเอาไว้กับผู้อื่นแล้ว แม้ไม่อาจได้ครองคู่ แต่ก็ตั้งใจมั่นว่าจะไม่สมรสกับผู้ใดอีก หากเสด็จแม่ทรงห่วงใยเรื่องที่กระหม่อมจะไม่มีที่ไป หากราตรีและอุษาขึ้นครองบัลลังก์ กระหม่อมขอทูลให้เสด็จแม่สบายพระทัย มีที่ดินอีกมากมายในแผ่นทวีปให้กระหม่อมอาศัย หากยังทรงเป็นกังวลเรื่องก่อการกบฎ กระหม่อมจะไม่กลับมาที่สมุทราอีกก็ได้ แต่...อย่าทรงให้กระหม่อมต้องแต่งงานกับใครเลย”



   “การปฏิเสธที่จะทำสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับสมุทราคือการทรยศ องค์สน รู้ตัวไหม” สนธยาทรุดกายลงนั่งคุกเข่ากับพื้นอย่างเว้าวอน



   “เสด็จแม่ กระหม่อมมิอาจทรยศหัวใจตัวเองและหัวใจของคนที่กระหม่อมรักเช่นกัน กระหม่อมยินดีทำทุกอย่างเพื่อสมุทรา แต่ต้องมิใช่ทำโดยไม่เอาใจใส่คนที่กระหม่อมรัก”



   “แล้วถ้าหากคนที่เจ้ารัก เขายินดีให้เจ้าแต่งงานกับผู้อื่นล่ะ” เป็นคำถามที่ทำเอาสนธยาได้แต่นิ่งงัน ด้วยเพราะรู้ดีว่าแม้ชายผู้นั้นจะยินยอมให้เขาสมรสไปกับคนอื่น แต่...หัวใจชายผู้นั้นจะต้องเจ็บปวดแสนสาหัสและทุกข์ทรมานไปจนตาย...



   “หากคนที่กระหม่อมรักยินดี แต่กระหม่อมก็ไม่ยินดีที่จะทำให้เขาหน้าชื่นอกตรมพระเจ้าค่ะ”



   “เจ้าคิดว่าเขารักเจ้ามากหรือ เจ้าแต่งงานกับคนอื่นปีแรก สองปีแรก เขาอาจจะเสียใจก็จริง แต่เมื่อผ่านพ้นเป็นห้าปี สิบปี เขาก็คงต้องแต่งงานเช่นกัน เมื่อถึงเวลานั้น ต่างฝ่ายต่างก็ไม่เหลือเยื่อใยใดๆต่อกันอีกแล้ว”



   “กระหม่อมไม่ทราบว่าเขารักกระหม่อมมากไหม แต่ตัวกระหม่อมเอง...รักเขามาก...กระหม่อมไม่อยากให้เขาเจ็บปวดไม่ว่าจะแค่หนึ่งปี หรือสองปีหลังจากกระหม่อมแต่งงานก็ตาม” ราชินีวารีวาทปรายสายเนตรมายังพักตร์ทุกข์ระทมของผู้เป็นโอรส แม้ในใจจะรู้ดีว่าสนธยาไม่ใช่ลูกที่แท้จริง แต่...พระองค์ก็เห็นมาตั้งแต่เล็ก ตั้งแต่ยังเป็นเด็กตัวน้อยๆในผ้าห่อสีขาวสะอาดที่อยู่ในอ้อมแขนของผู้เป็นบิดาของสนธยา



   “สรุปแล้วเจ้าจะไม่ยอมแต่งกับคนที่แม่จัดหาให้ใช่ไหม” สนธยาน้อมกายลงเป็นระนาบกับพื้น



   “กระหม่อมสมควรได้รับโทษ แต่กระหม่อมไม่อาจฝืนใจได้พระเจ้าค่ะ”



   เด็ดเดี่ยว มั่นคง และเข้มแข็งในความต้องการของตนเอง...ลูกไม้ใต้ต้นของ ‘วารีวาทอีกคน’ อย่างที่วารีวาทคนนี้เป็นไม่ได้...



   ราชินีวารีวาททรงลุกขึ้นยืนอย่างที่ทำเอาสนธยาต้องเงยหน้ามองด้วยความเป็นกังวล



   “ในเมื่อเจ้ายอมรับโทษที่ไม่ทำเพื่อสมุทรา คนที่ทำให้เจ้าได้รับโทษก็สมควรได้รับโทษด้วยเช่นกัน”



   “เสด็จแม่!” สนธยารีบลุกขึ้นยืนโดยพลัน เขารู้ดีว่าราชินีวารีวาททรงรู้ว่าใครคือคนที่ทำให้เขาปฎิเสธงานเสกสมรสกับองค์หญิงต่างถิ่น แต่ทั้งอย่างนั้นราชินีวารีวาทก็ยังตรัสว่าจะลงโทษอย่างนั้นหรือ



   ...จะลงโทษได้อย่างไรกัน! ในเมื่อฝ่ายนั้นคือองค์ชายรัชทายาทลำดับที่ 2 แห่งอนันตราช!!!...



   “ตกใจอะไร” ราชินีวารีวาทยังคงมีพระพักตร์เรียบเฉย ในขณะที่สนธยานั้นกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างถึงที่สุด



   “เสด็จแม่ทรงลงโทษคนผู้นั้นไม่ได้นะพระเจ้าค่ะ”



   “ทำไม” ผู้เป็นโอรสได้แต่อ้าโอษฐ์ค้างด้วยเพราะทูลไม่ออก หากแต่ท้ายที่สุดก็ต้องยอมเอื้อนเอ่ยอย่างเจ็บปวดหัวใจด้วยเพราะรู้ดีว่าด้วยสถานะของต่างฝ่ายต่างเป็นเช่นนี้ โอกาสที่จะได้อยู่ด้วยกันมีน้อยจนแทบจะมองไม่เห็น



   “เพราะ...กระหม่อมรักเขา” ราชินีวารีวาททรงจ้องมองเข้าไปในดวงเนตรสีน้ำตาลอ่อนนั้นที่เต็มไปด้วยความรู้สึกหลสกหลาย ทั้งรักทั้งเศร้า ทุกข์ระทมแต่ก็เข็มแข็งและดื้อดึง



   “เจ้าไม่เหมาะกับการเป็นองค์ชายจริงๆ” สตรีแห่งบัลลังก์สมุทราตรัส



   “...และในเมื่อไม่เหมาะ แม่ก็จะขอตำแหน่งองค์ชายคืนและยกเจ้าให้เป็นสมบัติแก่คนที่เจ้ารักเสีย” สนธยานิ่งงันไปด้วยความตกใจระคนงุนงงกับสิ่งที่ผู้เป็นมารดาตรัสออกมา



   “เสด็จแม่หมายความว่า...”



   “เราจะให้อนันตราชมารับเจ้าไปเป็นชายาในองค์ชายเตชินทร์”



สิ้นประโยคนั้น องค์ชายหนุ่มแห่งอนันตราชก็ปรากฏกายขึ้นที่เบื้องหลังของราชินีวารีวาท สนธยาเลยสายเนตรไปยังบุรุษอันเป็นที่รักด้วยความยินดียิ่ง



   “ท่านเตช...” เตชินทร์ก้าวอย่างรวดเร็วมาคว้าร่างโปร่งไปกอดรัดด้วยความรักความปลื้มปิติ พระองค์ได้ยินทุกประโยคที่สนธยาทูลกับผู้เป็นมารดา และสิ่งที่ดีใจยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดคือพระองค์ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวกับการจากลาอีกแล้ว ในไม่ช้า...พวกเขาจะได้อยู่ด้วยกัน...



   “ขอบคุณท่านมาก ราชินีวารีวาทที่ทรงยอมยกองค์ชายสนธยาให้แก่น้องของเรา เราจะให้คนดำเนินการเรื่องสนธิสัญญาตามที่ตกลงกันไว้โดยเร็วที่สุด” องค์ชายเจษฎาเสด็จเข้ามาทูลกับราชินี เห็นผู้เป็นน้องยิ้มแย้มอย่างเป็นสุข พระองค์ก็ดีพระทัยและดำริเอาว่าทุกอย่างขับเคลื่อนไปในทางที่ดีทั้งสำหรับสมุทรา อนันตราช เตชินทร์ สนธยา หรือแม้แต่ตัวพระองค์เอง



   “ราชินีวารีวาท ทันทีที่เรากลับไปยังอนันตราช เราจะสั่งการให้คนเตรียมของเพื่อมาสู่ขอท่านสนโดยเร็วที่สุด” คำว่าโดยเร็วที่สุดของเตชินทร์ ทำเอาสนธยานึกถึงเรื่องที่ตนเป็นกังวลตลอดมาได้อีกเรื่อง จึงต้องหันมาทูลถามเจ้าแห่งบัลลังก์สมุทรา



   “เสด็จแม่...แล้ว...ถ้ากระหม่อมไม่อยู่ที่นี่ กระหม่อมเป็นห่วงว่าพวกต่างแดนจะมองความมั่นคงของสมุทราเป็นเพียงไม้เปราะที่ทำลายได้โดยง่าย...” หากสมุทราเสียองค์ชายองค์หญิงไปอีกคน ความคลอนแคลนของราชสำนักจะกลายเป็นข่าวลือที่ไปไวยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง



   “เราไม่ได้ให้เจ้าไปอยู่อนันตราชตอนนี้นี่”



   บรรยากาศแห่งความชื่นมื่นราวกับถูกกระชากลงต่ำด้วยมือที่มองไม่เห็น ทุกคนหันมองมาที่ราชินีวารีวาทเป็นตาเดียว หากแต่ราชินีผู้สูงศักดิ์แห่งสมุทรากลับมีท่าทีเฉยเมยแล้วตรัสต่อ



“จนกว่าจะมีโองการแต่งตั้งผู้สืบสันตติวงศ์ของบัลลังก์สมุทรา เจ้าจะยังคงอยู่ที่นี่ และเป็นองค์ชายผู้ค้ำจุนสมุทราต่อไป ส่วน...ใครจะแวะเวียนมาพบหน้าเจ้า หรือเจ้าจะไปพบหน้าใครที่ไหน นั่นก็สุดแล้วแต่ใจเจ้า แม่ไม่ว่าหรอก”



   “อะไรนะกระหม่อม!! จนกว่าจะมีโองการแต่งตั้งอย่างนั้นหรือ?! นั่นก็อีกหลายปีน่ะสิ!” องค์ชายเตชินทร์ร้องลั่นด้วยความตกใจ หากแต่ราชินีวารีวาทกลับแย้มโอษฐ์อย่างเจ้าเล่ห์เพทุบาย



   “ใช่...เราไม่ได้ตรัสเสียหน่อยว่าจะยกให้บัดนี้ แต่คนที่ตรัสว่าจะจัดการสนธิสัญญาไมตรีทั้งหมดอย่างเร่งด่วนก็คือ...องค์ชายเจษฎา”



   และเมื่อนั้น...องค์ชายรัชทายาทแห่งอนันตราชก็รู้องค์แล้วว่าเสียรู้ให้แก่ราชินีวารีวาทผู้มีสมญานามว่าราชินีผู้มากเล่ห์เข้าเสียแล้ว



   ...ราชินีผู้ทำทุกอย่างเพื่อสมุทรา...พระองค์ทำได้ทุกอย่างจริงๆ!!...


ติดตามตอนต่อไป

คิดว่าตอนหน้าน่าจะจบแล้วล่ะค่ะ ช่างเป็นการเดินทางที่ยาวนาน
หลังจากจบเรื่องนี้แล้ว เซอร์ไพรส์ตามสัญญาจะมาในอีกหนึ่งอาทิตย์หลังจากนั้นค่ะ

ขอบคุณสำหรับการติดตาม การอ่าน การเม้นท์ กำลังใจและพื้นที่บอร์ดเช่นเคยค่ะ
แล้วเจอกันพาร์ทหน้าจ้า






หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 15...อัพ 07/07 (หน้า 18 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 15-07-2014 21:20:04
องค์ราชินีร้ายที่สุด
ร้ายจริงๆนะ ร้ายน่ากลัวมาก
บรรยากาศสีม่วงเปลี่ยนไปโดยฉับพลัน 555+
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 16...อัพ 15/07 (หน้า 19 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: plengpit ที่ 15-07-2014 21:21:41
 :a5:  เสด็จแม่น่ากลัวยิ่งนักพะยะค่ะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 16...อัพ 15/07 (หน้า 19 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 15-07-2014 21:32:22
นับถือจิตใจของสนธยา เด็ดเดี่ยว มั่นคง จริงใจ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 16...อัพ 15/07 (หน้า 19 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Dezzerr ที่ 15-07-2014 22:00:15
โอยยย ราชินีเพคะ โปรดประทานองค์สนให้องค์เตชบัดนี้เลยเถิดเพคะ เขารักกันขนาดนี้แล้ววววว คนอ่านใจจะขาดแล้วเพคะ  :ling1:
ชอบการบรรยายแบบนี้จังค่ะ เวลาบรรยายความรัก ดูหวานซึ้ง กว่าปกติ อึ๊ยย ฟินนน
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 16...อัพ 15/07 (หน้า 19 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 15-07-2014 22:04:16
ราชินียังเจ้าเล่ห์เหมือนเดิม องค์เตชจะอกแตกตายมั้ยเนี่ย
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 16...อัพ 15/07 (หน้า 19 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: วัวพันปี ที่ 15-07-2014 22:05:43
แผนการอันแยบยล ขิงแก่ย่อมเผ็ด
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 16...อัพ 15/07 (หน้า 19 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Ali$a฿eth ที่ 15-07-2014 22:10:40
ถ้าให้จัดอันดับความร้ายยกให้คุณแม่จริงๆ ก็ขเ้าใจว่าคนแต่งย้ำว่านางเจ้าเลห์เพทุบายแต่แบบ นางก็แม่คน จะทำอะไร พออ่านมาเรื่อยๆ อื๊มมมม ชัดเจน
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 16...อัพ 15/07 (หน้า 19 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 15-07-2014 22:35:31
ร้ายกาจจริงๆ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 16...อัพ 15/07 (หน้า 19 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: saruttaya ที่ 15-07-2014 22:56:04
องค์ราชินีเจ้าเล่ห์สุดยอด
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 16...อัพ 15/07 (หน้า 19 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 15-07-2014 23:14:52
ตอนหน้าจะจบแล้วหรอ
ยังไม่อยากให้จบเลยย
แล้วหอยเป็นไงมั่ง ยังอยู่ดีมั๊ย 5555
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 16...อัพ 15/07 (หน้า 19 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: strawberryboys ที่ 15-07-2014 23:31:06
กรี๊สสๆๆๆ มาต่อเร็วๆนะคะ  :hao7:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 16...อัพ 15/07 (หน้า 19 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: padthaiyen ที่ 15-07-2014 23:34:02
ราชินีร้ายจริง ๆ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 16...อัพ 15/07 (หน้า 19 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: SenzaAmore ที่ 15-07-2014 23:46:56
 o13 เรื่องคลี่คลายแล้ว ดีจัง

ราชินีเคี่ยวจริง เอาผลประโยชน์ทุกด้านเลยแหะ

รอตอนต่อไปค่ะ :mew1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 16...อัพ 15/07 (หน้า 19 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 15-07-2014 23:59:17
ต้องเรียกราชินีวารีวาทว่ายัยแม่มดเจ้าเล่ห์ ร้ายจริง ๆ
องค์สนเหมาะจะเป็นชายาองค์เตชที่สุด
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 16...อัพ 15/07 (หน้า 19 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 16-07-2014 00:12:54
ราชินียังคงความเจ้าเล่ห์ที่สุด
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 16...อัพ 15/07 (หน้า 19 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: mkx91 ที่ 16-07-2014 00:44:18
พอได้มีเวลาอยู่ด้วยกันก็ใช่เสียคุ้มเลยนะคะท่านเตชท่านสน อิอิ ในที่สุดท่านสนก็ยอมสารภาพออกมาจนหมดเปลือกเลย หม่อมฉันฟินมากเพคะ เหนือสิ่งอื่นใดคือองค์ราชินีฉลาดและเล่ห์เหลี่ยมเยอะมาก หาช่องโหว่จากคำพูดมาเล่นงานเพื่อให้ได้สิ่งที่ตนต้องการจนได้ อดใจรอจนถึงวันที่ทั้งสองจะได้แต่งงานกันนะคะ อีกไม่นานแล้วใช่ไหม
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 16...อัพ 15/07 (หน้า 19 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 16-07-2014 04:23:37
เรียกได้ว่ากำลังฟินๆอยู่ แบบเห็นคำว่าแฮปปี้เอนดิ้งลอยมาอยู่ข้างหน้าละ
ราชินีพูดประโยคเดียว ทุกอย่างล้มครืน แบบนิ่งค้างกันทั้งห้อง
รออ่านตอนจบแบบแฮปปี้ๆอยู่นะคะ ฮิฮิ

ป.ล.องค์เจษนี่ก็มานิ่งๆลึกๆแล้วปล่อยตู้มเลย555 แต่ราชินีนี่สติดี ร้ายลึกกว่าสุดๆ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 16...อัพ 15/07 (หน้า 19 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: punthipha ที่ 16-07-2014 07:46:00
.ราชินีผู้ทำทุกอย่างเพื่อสมุทรา...พระองค์ทำได้ทุกอย่างจริงๆ!!...  :sad5: :sad5: :sad5: น่ากลัวมาก :o :o :o
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 16...อัพ 15/07 (หน้า 19 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: My_yunho ที่ 16-07-2014 08:23:37
ฟินมากอ่ะๆๆๆๆ น่าร๊ากกกกกด้วย
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 16...อัพ 15/07 (หน้า 19 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 16-07-2014 09:10:31
เอิ่มมมม คุณราชินี เจ้าเลห์สุด ๆ องค์เจษคงสู้ยากหน่อย

กระดูกคนละเบอร์เลย
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 16...อัพ 15/07 (หน้า 19 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 16-07-2014 10:45:48
โอ้โห ช่างเป็นราชินีที่ร้ายกาจจริงๆ 55555
แต่อย่างน่อยองค์สนกับองค์เตชก็จะได้รักกันจริงๆจังๆแล้วสินะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 16...อัพ 15/07 (หน้า 19 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 16-07-2014 13:03:06
ยัยราชินีวารีวาทนี่เจ้าเล่ห์จริงๆ เดี๋ยวให้ท่านสนตามท่านเตชไปอนันตราชสักปีสองปีแล้วค่อยกลับมาดีกว่า
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 16...อัพ 15/07 (หน้า 19 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 16-07-2014 13:53:41
ราชินี ช่างร้ายกาจจริง ๆ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 16...อัพ 15/07 (หน้า 19 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 16-07-2014 15:56:44
องค์เจษเสียรู้แล้ว55
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 16...อัพ 15/07 (หน้า 19 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: IaminLove ที่ 16-07-2014 22:01:15
ถึงราชินีจะโหดร้ายไปนิด แต่ตอนนี้ก็อบอุ่นมากค่ะ
ดีใจจริงๆ ที่ในที่สุดก็ได้อยู่ด้วยกัน ปริ่มอ่ะะะะะะะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 16...อัพ 15/07 (หน้า 19 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: =นีรนาคา= ที่ 17-07-2014 13:12:22
โอ๊ยยยยยย นางเก็บทุกเม็ดจริงๆ ราชินีวารีวาท  :z3:
แต่ดีนะที่นางยอมยกองค์สนให้
เฮ้อออ ทนอีกนิดนะองค์ชายทั้งสอง
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 16...อัพ 15/07 (หน้า 19 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: koikoi ที่ 17-07-2014 23:10:36
ร้ายกาจอยากรู้ว่าแม่รักลูกรึเปล่า
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 16...อัพ 15/07 (หน้า 19 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: YMP ที่ 19-07-2014 12:39:18
มาตอนตลาดใกล้วาย เลยได้อ่านรวดจนเกือบแฮปปี้เอนดิ้ง
เหม่ คู่รักยังพลัดพราก (แต่คนอ่านฮา  :hao3:)
ใครจะชีช้ำกว่ากันระหว่างองค์เตชกับองค์สน  :mew4:
ว่าแล้วก็นึกถึงดำรัสที่ว่า ราชินีวารีวาทมีโอรสและธิดาของพระองค์เอง 3 องค์
อีกคนที่แจ็คพอตคือใครล่ะนี่  :ruready
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 16...อัพ 15/07 (หน้า 19 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: ophena ที่ 20-07-2014 14:41:48
เจ้าเล่ห์ได้ใจจริงๆค่ะ  สงสารองค์เตชเลยเชียว
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 16...อัพ 15/07 (หน้า 19 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: jing_sng ที่ 20-07-2014 20:38:53
บอกตรงๆ ประทับใจการเป็นผู้นำสูงสุดขององค์รานีจริงๆ
คนนี้ทำทุกอย่างเพื่อแผ่นดินเกิด ไม่สนวิธีการสนแค่ผลลัพท์
ที่จะได้ แต่คนแบบนี้ต้องไม่รักใครเลยและต้องเหี้ยมจริงถึงจะเป็นได้
หัวข้อ: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Dezair ที่ 22-07-2014 19:37:12
NOV: ด้วยพันธะบรรณาการ
By: Dezair
……………………..
บทที่ 17

   เสียงกระดาษขยับเสียดสีดังแซ่กๆในตำหนักหลวงซึ่งถูกใช้เป็นที่ประชุมงานทุกเช้ายังคงดังต่อเนื่องไปอีกเล็กน้อยหลังจากราชินีวารีวาทตรัสเลิกประชุม ขุนนางนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของเกาะสมุทรากำลังจะลุกจากโต๊ะอย่างเชื่องช้า หากแต่...ใครบางคนกลับผุดลุกว่องไวเสียจนขุนนางทั้งหลายต้องมองเป็นตาเดียว



   “เสด็จแม่ ลูกขอตัวก่อน” องค์ชายสนธยายังคงเข้าประชุมเพื่อช่วยงานรัฐกิจเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง บางครั้งบางคราวก็มีทิวาเข้าร่วมด้วย อย่างเช่นครั้งนี้



   “เสด็จพี่จะรีบไปที่ใดหรือ” ทิวาเอ่ยถามผู้เป็นเชษฐาที่รีบร้อนเสียเต็มประดา ถึงขนาดที่ว่าแม้แต่ม้วนกระดาษงานทั้งหลายที่ปกติจะเป็นคนหอบไปเก็บที่ตำหนักเอง มาวันนี้ยังโยนให้ชีวินไปเก็บให้เสียอีก



   “ธุระด่วน ไปก่อนล่ะ” ว่าแล้วสนธยาก็น้อมกายบังคมลาผู้เป็นมารดาแล้วรีบผลุนผลันออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว ทิวาหันมามองชีวินที่ยังหอบกระดาษม้วนเป็นสองแขนด้วยความงุนงง จนผู้เป็นองครักษ์แต่วันนี้ไม่ได้ติดตามนายเหนือหัวไปด้วยต้องค้อมศีรษะเล็กน้อยแล้วทูลตามจริง



   “วันนี้องค์ชายเตชินทร์เสด็จมาสมุทราพระเจ้าค่ะ” สนธยาหาว่าชีวินอืดอาด หลังจากที่ชีวินติดตามไปรับเสด็จองค์ชายเตชินทร์ในครั้งที่ 2 และก็ถูกองค์ชายสนธยามีรับสั่งว่าไม่ต้องตามไปอีก โดยให้เหตุผลว่าที่ท่าเรือมีนายทหารจำนวนมากที่มาอารักขาอยู่แล้ว แต่ประเด็นหลักคือชีวินชักช้า องค์ชายสนธยาอยากเสด็จไปรออาคันตุกะก่อนที่เรือหลวงของอนันตราชจะเทียบท่า



   ...ดูจะเป็นเอามาก ชีวินอยากสัพยอกผู้เป็นนาย แต่ก็เกรงว่าองค์ชายสนธยาจะรู้องค์เสียก่อนว่าตื่นเต้นดีใจกับการมาเยือนขององค์ชายเตชินทร์มากกว่าผู้ใด...



   “อ้อ อย่างนี้นี่เอง” องค์ชายทิวาครางแผ่วเบาแล้วคลี่ยิ้มบาง ก่อนจะหันมาทางราชินีวารีวาทที่ยังประทับอยู่หัวโต๊ะทรงงาน



   “เสด็จพี่คงอยากจะพบองค์ชายเตชินทร์มากนะพระเจ้าค่ะ” ราชินีวารีวาทไม่ตรัสอะไร หากแต่ทรงเอนปฤษฎางค์พิงกับพนักพระเก้าอี้แล้วถอนปัสสาสะราวกับจะปล่อยวาง



   ...บางที นี่อาจจะถึงเวลาที่พระองค์ควรจะปล่อยให้สนธยาไปตามทางแล้วก็เป็นได้ ใจของสนธยาไม่ได้อยู่ที่นี่อีกแล้ว แม้ว่าจะรักสมุทราเท่าชีวิต แต่ใครอีกคนก็เป็นดั่งลมหายใจ...



   บางครา ราชินีวารีวาทก็นึกชังโชคชะตาที่ให้พระองค์ต้องเลี้ยงดูลูกของพี่สาวที่เคยทอดทิ้งสมุทราไป แล้วบัดนี้ ลูกผู้นั้น...ก็กำลังจะดำเนินรอยตามมารดาแท้...จะจากสมุทราไปอีกคน...



   ...ช่างเหมือนวารีวาทอีกคน ที่ทำให้วารีวาทคนนี้นึกอิจฉา ทั้งๆที่อุตส่าห์ทำให้สนธยาเข้าใจว่าเป็นลูกที่แท้จริงของตนแล้วไซร้ แต่สนธยาก็ยังไม่เหมือนพระองค์ ส่วนคนที่เหมือน...อรุณา...ก็เหมือนมากเกินไปจนพระองค์ไม่อาจฝากความหวังใดๆของสมุทราได้...



   ...ในเมื่อชะตาฟ้าลิขิตแล้ว ก็ควรทำให้เป็นไปตามที่ลิขิตเสียที พระองค์ไม่ควรขัดขวางอีก...



   “เจ้าจะกลับตำหนักเลยใช่ไหม ทิวา” ราชินีวารีวาทตรัสถามโอรสด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่บอกพระอารมณ์ใดๆ



   “พระเจ้าค่ะ เสด็จแม่ต้องการอะไรหรือ”



   “ตามราตรีกับอุษามาพบแม่ที” ด้วยรัฐกิจที่ต้องบริหารมากมาย น้อยครั้งนักที่ราชินีวารีวาทจะเรียกพบโอรสธิดาองค์ใดหากไม่มีกิจจำเป็น ทิวาเหลือบมองผู้เป็นมารดาเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ ก่อนจะทูลถาม



   “ให้กระหม่อมบอกน้องทั้งสองหรือไม่ว่าเป็นเรื่องใด” ราชินีวารีวาททรงนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะยอมตรัสเสียงเบา



   “เรื่องแต่งตั้งรัชทายาท”



ตรัสแล้วก็ทอดสายเนตรออกไปยังท้องทะเลสีน้ำเงินระยิบที่อยู่นอกพระบัญชร อีกฝั่งของทะเลนี้คืออาณาจักรใหญ่ที่ไม่มีใครทัดเทียม อาณาจักรใหญ่ที่เป็นแหล่งพึ่งพิงของสมุทรามาโดยตลอด อาณาจักรใหญ่...ที่จะมอบมิตรภาพให้แก่สมุทราตลอดไป



   ...และบางที...นี่อาจจะถึงเวลาแล้วที่อนันตราชจะได้ของตอบแทนจากสมุทราบ้าง...



..........................................



   ท่าเรือของสมุทรายังคงครึกครื้นและคราคร่ำไปด้วยคนท้องถิ่นชาวสมุทราและนักท่องเที่ยวชาวต่างแดนที่ขวักไขว่เต็มไปหมด มุมหนึ่งของท่าเรือนั้นถูกกั้นด้วยนายทหารอารักขาจำนวนมาก เมื่อเรือหลวงแห่งอนันตราชเข้าจอดเทียบท่า องค์ชายสนธยาประทับอยู่ที่ท่าเรือทอดเนตรไปยังสะพานเรือที่ทอดลงมาจากเรือหลวงเชื่อมกับท่าด้วยหัวใจเต้นระส่ำด้วยความยินดี



   แล้วร่างสูงสง่าก็ปรากฏขึ้น ร่างนั้นส่งรอยยิ้มสว่างไสวราวกับพระอาทิตย์มาให้ ก่อนที่จะรีบเร่งก้าวลงจากเรือมายังท่า มาหยุดอยู่เบื้องหน้าพระองค์ด้วยสายเนตรอ่อนหวานและรอยยิ้มอ่อนโยนดังทุกที



   “เรามาแล้ว ท่านสน”



   “ยินดีต้อนรับ ท่านเตช”





เป็นการทักทายเฉกเช่นทุกครั้งที่องค์ชายเตชินทร์เสด็จเยือนสมุทราตลอดเวลา 2 ปีที่ผ่านมา แม้จะเป็นเพียงการทักทายที่ไม่มีการแตะเนื้อต้องตัวประการใด แต่สายเนตรที่ทอดมองกันและกันนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกมากล้นของความคิดถึงและห่วงหา แม้เวลานี้จะทำได้เพียงมาพบหน้าเมื่อเสร็จงานแล้ว และต้องรีบเร่งกลับไปในวันที่ต้องทำงาน แต่...การจากเพื่อพบเจอ และการได้อยู่ด้วยกันเพียงหนึ่งวันหรือสองวันแล้วต้องจากกันอีกครั้ง ก็ทำให้ช่วงที่ได้พบหน้านั้นกลายเป็นความหวานหอมที่ถวิลหา



   ...แต่...มันคงจะดีกว่านี้ หากได้พบหน้ากันทุกวันทั้งเช้าและเย็น...



   สองร่างก้าวขึ้นเกวียนขนาดใหญ่ที่มุ่งสู่ตำหนักของสมุทรา ไม่มีคำพูดอื่นใด ไม่มีการเกี้ยวพาราสีราวกับคู่รัก หากแต่...ทันทีที่ทรุดกายลงนั่งเคียงข้างกัน หัตถ์ใหญ่ร้อนของเตชินทร์ก็กอบกุมเข้ากับหัตถ์สีน้ำผึ้งทองของสนธยาด้วยความรักความคิดถึง



   “จะได้มาพบท่านแต่ละครั้ง เราดีใจจนแทบบ้า อนันตราชกับสมุทราอยู่ใกล้กันแค่นี้ แต่เรากลับคิดว่ามันไกลมาก” นับสองปีแล้วที่องค์ชายเตชินทร์เสด็จมาเยือนสมุทราบ่อยเสียจนเกิดเป็นข่าวลือไปทั่วว่าอีกไม่ช้าไม่นานสมุทราและอนันตราชจะกลายเป็นทองแผ่นเดียวกัน



   ...ซึ่งข่าวลือนี้ องค์ชายเตชินทร์ภาวนาให้กลายเป็นความจริงในเร็ววัน พระองค์อยากเป็นทองแผ่นเดียวกับสมุทราใจจะขาดอยู่แล้ว...



   “เราก็เช่นกัน”



   “ท่านก็คิดถึงเราใช่ไหม” ยิ่งกว่าคำบอกรัก ยิ่งกว่าการพร่ำราพรรณถึงความรู้สึกเบื้องลึก เพราะแค่เอ่ยว่าคิดถึง เตชินทร์ก็ดีใจมากกว่าการที่ได้มาที่นี่เสียอีก



   “ก็ไม่ได้เจอกันหลายวันไม่ใช่หรือ” หากแต่เป็นฝ่ายสนธยาที่รังแต่จะทำเป็นเคร่งขรึม บอกไม่ได้หรอกว่ารีบร้อนออกจากตำหนักโดยไม่รั้งรอก็เพราะอยากมาเจอใครบางคน สนธยาเกรงว่าอีกฝ่ายจะดีใจเกินเหตุ ยิ่งเตชินทร์ดีใจก็ยิ่งแสดงออกทั้งสีพักตร์ทั้งสายเนตร แล้วเมื่อเป็นเช่นนั้น สนธยาเป็นต้องรู้สึกประหม่าทุกทีที่ถูกจับจ้องด้วยความอ่อนหวานอ่อนโยนถึงเพียงนั้น



   “แล้วถ้าได้เจอกันทุกวัน ท่านจะยังคิดถึงเราไหม” คำถามนั้นแสนจริงจัง สนธยาเหลือบเนตรสบกับเนตรที่แสนมั่นคงด้วยหัวใจสั่นเทิ้ม เหตุใดจะไม่รู้ว่าเตชินทร์หวังทุกวันว่าให้วันถัดไปคือวันที่เขาทั้งสองจะได้เคียงคู่ แต่...เกือบสองปีแล้ว ที่วันนั้นยังมาไม่ถึงเสียที ทว่าเตชินทร์ก็ยังคาดหวังอย่างไม่ลดละ



   “ความห่างไกล สร้างความคิดถึง หากเมื่อไรที่ได้อยู่ใกล้ ความคิดถึงคงจางหายกระมัง” สนธยาตอบแบ่งรับแบ่งสู้ ด้วยไม่กล้าคิดไปถึงวันที่จะได้อยู่ด้วยกัน แค่ทุกวันนี้มีโอกาสได้พบหน้า ได้พูดคุย ได้เคียงใกล้ก็นับว่ามากล้นแล้ว หนำซ้ำราชินีวารีวาทหรือแม้แต่กษัตริย์วิภูก็ทรงไม่ห้ามปรามด้วย



   “เราจะรอคอยวันที่ความคิดถึงจางหายอย่างใจจอใจจ่อ” เตชินทร์ย้ำหนักแน่นด้วยน้ำเสียงมั่นคง แล้วประทับจุมพิตลงกับหลังมือสีน้ำผึ้งทองด้วยความรักล้นใจ



......................................



   “เสด็จแม่...เมื่อครู่นี้ตรัสว่าอะไรนะเพคะ” องค์หญิงน้อยนามว่าอุษาทูลถามด้วยความตกตะลึง การถูกมารดาเรียกพบก็นับว่าประหลาดมากแล้วเนื่องจากราชินีวารีวาทมีกิจมากมาย แต่สิ่งที่ประหลาดยิ่งกว่าคือเรื่องที่เสด็จแม่ตรัสให้เลือก



   “แม่ถามว่าราตรีกับอุษา ใครอยากได้บัลลังก์นี้” ราชินีวารีวาทตรัสอีกครั้งแล้วแตะหัตถ์ลงกับบัลลังก์ที่พระองค์ยังคงประทับ



   สองพี่น้องราตรีและอุษาหันมองหน้ากันด้วยความมึนงง



   “แม่ถาม พวกเจ้าไม่ได้ยินหรือ?!”



   “ด...ได้ยินเพคะ...แต่ว่า...แต่ว่าเราสองคน...” อุษาตอบตะกุกตะกักด้วยความหวาดหวั่น ก่อนจะเหลือบมองผู้เป็นพี่ที่ยังคงเงียบ



   “ราตรี เจ้าจะปล่อยให้น้องพูดเพียงลำพังเช่นนั้นรึ?!” ราตรีค้อมกายคำนับผู้เป็นมารดาก่อนจะทูลด้วยน้ำเสียงที่ค่อนไปทางหนักใจ



   “เสด็จแม่ หม่อมฉันขอทูลตามตรงว่าหม่อมฉันกลัวเรื่องจะซ้ำรอยกับที่เกิดกับเสด็จพี่อรุณา หากว่าอุษาอยากได้บัลลังก์ หม่อมฉันจะถอยให้น้องเพคะ” อุษาหันมองผู้เป็นพี่ด้วยความตกตะลึง



   “ม...ไม่เอานะเสด็จพี่...เสด็จพี่เป็นพี่ของอุษา ต้องได้รับตำแหน่งสูงกว่าอุษาสิ” แล้วก็กลายเป็นการเกี่ยงกันที่จะไม่รับบัลลังก์ ราชินีวารีวาทมองธิดาทั้งสองเบื้องหน้า ก่อนจะถอนปัสสาสะแผ่วเบา



   ...ลูกคนหนึ่งนั้นอยากได้บัลลังก์นี้จนแดดิ้น ลูกอีกสองกลับเกี่ยงกันไปเกี่ยงกันมาเพราะไม่อยากได้...กลิ่นของอำนาจนั้น สำหรับบางคนช่างหอมหวาน แต่กับบางคนคงเหม็นเสียจนน่าอาเจียนสินะ...



   “พวกเจ้ารักสนธยาไหม” พระองค์ตรัสถาม และแทบจะในทันทีที่อุษารีบทูลตอบ



   “รักเพคะเสด็จแม่”



   “เจ้าล่ะ ราตรี รักสนธยาไหม”



   “เสด็จพี่สนธยาเป็นเชษฐาที่มีน้ำพระทัยงดงาม คิดถึงแต่สมุทราและคนรอบข้าง กล้าหาญ ชาญฉลาด และเป็นเชษฐาที่แวะเวียนมาถามไถ่สารทุกข์สุขดิบหม่อมฉันแทบทุกวัน ไม่มีเหตุผลใดที่จะไม่รักเสด็จพี่สนธยาเพคะ”



   “พวกเจ้ารู้ใช่ไหมว่าองค์ชายเตชินทร์แห่งอนันตราชรักใคร่สนธยาเพียงใด สนธยาเองก็รักองค์ชายเตชินทร์เช่นกัน แม่ทำสัญญาเอาไว้กับทางอนันตราชว่าเมื่อไรที่สมุทราเข้มแข็งและมีรัชทายาทแล้ว เมื่อนั้นจะยกสนธยาให้แก่องค์ชายเตชินทร์"



   “เสด็จแม่เลยจะทรงแต่งตั้งรัชทายาทอย่างนั้นหรือเพคะ” ราตรีทูลถาม



   “ใช่”



   “เสด็จแม่อยากให้เสด็จพี่สนธยาออกจากที่นี่หรือ ถ้าสมุทราไม่มีเสด็จพี่สนธยา...เราคง...” ราตรีไม่อยากคิดหากวันหนึ่งสมุทราขาดเสาหลักอย่างผู้เป็นพี่ไป สนธยาที่ทำทุกอย่างเพื่อสมุทรา สนธยาที่ทำทุกอย่างเพื่อราชสำนัก หากวันหนึ่งต้องไปอยู่ที่อื่น วันนั้นสมุทราก็คงเหมือนเรือนที่ไม่มีเสาค้ำ



   “ราตรี เสด็จพี่ของเจ้าทำเพื่อสมุทรามามากแล้ว เขาถึงเวลาที่จะได้สิ่งตอบแทนจากสมุทราบ้าง” ราตรีและอุษาหันมองหน้ากัน ด้วยรู้ดีว่าสิ่งที่เสด็จแม่ตรัสนั้นไม่ได้คลาดไปจากความจริงเลยแม้แต่น้อย สนธยาทำเพื่อสมุทรามามาก มากมายเกินกว่าจะนับ



   “แม่เรียกพวกเจ้ามา เพราะอยากถามความสมัครใจว่าใครที่อยากได้บัลลังก์นี้ แม่จะแต่งตั้งคนนั้นเป็นรัชทายาท และให้ศึกษาเรียนรู้งาน การเป็นทายาท เป็นว่าที่ราชินี ต้องเรียนรู้รัฐกิจ ต้องเรียนรู้ที่จะเด็ดขาดและเข้มแข็ง มีเรื่องราวเลวร้ายมากมายที่ต้องต่อสู้เพื่อคงไว้ซึ่งอำนาจเหนือบัลลังก์นี้ หากอ่อนแอ โลเล หรือไม่เท่าทันผู้อื่นแล้ว เมื่อนั้นอาจสิ้นแม้กระทั่งชีวิต...” ราชินีวารีวาทตรัสขณะทอดเนตรที่ธิดาทั้งสอง



   “ระหว่างเจ้าทั้งสองคน ใครจะรับตำแหน่งนี้” สองพี่น้องมองหน้ากันอีกครั้ง ราชินีวารีวาททรงรู้ดีว่าทั้งอุษาและราตรีนั้นเป็นพี่น้องที่สนิทสนมกว่าโอรสธิดาองค์ใดของพระองค์ ด้วยเพราะวัยไล่เลี่ยกันและไม่เคยถูกคาดหวังในตำแหน่งสูงส่งนอกเหนือไปจากตำแหน่งองค์หญิงปลายแถว ดังนั้นจึงไม่เคยต้องพานพบกับความกดดันเท่ากับสนธยาหรืออรุณา



   เป็นฝ่ายราตรีที่ยกหัตถ์ขึ้นยอมรับ เมื่อมองเห็นสีเนตรของผู้เป็นน้องที่เต็มไปด้วยความกังวลฉายชัด



   “หม่อมฉันเพคะ”



   “ดี เจ้ารับปากแม่แล้วนะราตรีว่าจะรับบัลลังก์นี้ แม่จะให้ทางกรมวังประกาศเรื่องนี้ออกไป แล้วตั้งแต่พรุ่งนี้เจ้าจะต้องเข้ามาประชุมทุกเช้าเพื่อเรียนรู้งาน แม่จะให้ทิวาคอยสอนงานเจ้าด้วย เจ้าต้องขยันและเรียนรู้งานให้ไว หากพวกขุนนางเฒ่าทั้งหลายยอมรับเจ้า บัลลังก์นี้ก็จะเป็นของเจ้าโดยสมบูรณ์ แต่หากเจ้าทำไม่ได้ แม่จะปลดเจ้าลงจากตำแหน่งรัชทายาท แล้วตั้งอุษาขึ้นมาแทน และหากทั้งเจ้าและอุษาทำไม่ได้ แม่จะเรียกสนธยากลับมาเป็นราชาองค์แรกของสมุทรา เจ้าคงจะรู้...ว่าถ้าเรียกสนธยากลับมา นั่นหมายความว่าสนธยาจะต้องเลิกกับองค์ชายเตชินทร์...”



   “รับด้วยเกล้าเพคะ” ราตรีค้อมเศียรรับโองการด้วยหัวใจอันหนักอึ้ง เมื่อภาระทั้งหมดตกลงมาที่ตนอย่างไม่ทันตั้งตัว แต่เมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะรับความยากลำบากทั้งหมดเอาไว้เอง หน้าที่ที่เหลือต่อจากนี้ก็มีเพื่อบ้านเมืองสมุทราเท่านั้น



องค์หญิงราตรีว่าที่ราชินีองค์ต่อไปแห่งสมุทราเงยพักตร์ขึ้นทอดเนตรมารดาอีกครั้ง



   “เสด็จแม่...หากเสด็จพี่สนธยาเสด็จไปอนันตราชแล้ว เมื่อนั้นเสด็จพี่จะมีความสุขใช่ไหมเพคะ” เป็นคำถามที่ราชินีวารีวาทถามองค์เองเสมอมา ว่าระหว่างให้สนธยาอยู่ที่สมุทรากับให้สนธยาไปอนันตราช ที่ใดหนอจะที่สนธยาจะมีความสุขมากกว่ากัน



   ...แต่...ไม่ว่าจะที่ใด หากที่นั่นมีองค์ชายเตชินทร์ให้เคียงข้าง ก็คงเป็นความสุขที่สนธยาเรียกหา...



   “แม่คิดเช่นนั้น” ราตรียิ้มน้อยๆอย่างเบาใจ อย่างน้อยหากความหนักอึ้งของภาระทั้งมวลตกมาที่พระองค์ สิ่งที่อยากทอดเนตรก็คือได้เห็นคนรอบข้างสุขสบาย



   ...โดยเฉพาะเสด็จพี่สนธยา...



   “เสด็จแม่ทรงไม่เคยคาดการณ์ผิดพลาด เพราะฉะนั้น เสด็จพี่จะต้องมีความสุขแน่ๆเพคะ” นั่นคือประโยคสุดท้ายก่อนที่ราตรีและอุษาจะน้อมลาออกจากห้องไป ราชินีวารีวาททอดเนตรตามแล้วถอนปัสสาสะแผ่วเบาราวกับยกภูเขาทั้งหมดออกไป



.....................................   



   ตำหนักรับรองขององค์ชายเตชินทร์แห่งอนันตราชนั้นคือตำหนักส่วนพระองค์ขององค์ชายสนธยา อันที่จริงเมื่อครั้งที่องค์ชายเตชินทร์เสด็จมาเสด็จไปช่วงแรกๆนั้น พระองค์ประทับที่ตำหนักรับรองอาคันตุกะ หากแต่เมื่อการมาเยือนเริ่มถี่ขึ้นเรื่อยๆ องค์ชายสนธยาจึงมีรับสั่งกับราชสำนักสมุทราด้วยองค์เองว่าให้องค์ชายเตชินทร์ประทับที่ตำหนักของพระองค์เสียเลย



   “อากาศที่สมุทราอุ่นสบายดีเหลือเกิน” องค์ชายหนุ่มแห่งอนันตราชตรัสอย่างสบายพระทัย ขณะกำลังประทับเอกเขนกอยู่บนพระเก้าอี้เอนริมระเบียงที่ผินหน้าสู่ทะเลกว้างสีน้ำเงินระยิบ พระอาทิตย์ส่องแสงแรงกล้าแม้จะเป็นยามบ่ายจัดแล้วก็ตามที



   “ที่อนันตราชหนาวมากหรือ” เจ้าของตำหนักเสด็จมาประทับบนพระเก้าอี้ใกล้กัน เตชินทร์หันกลับมามอง สายเนตรเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก



   “มาก โดยเฉพาะเมื่อท่านไม่อยู่ด้วย” คนฟังกลั้นยิ้มแทบไม่ทัน รู้ดีว่ากำลังถูกมอบความรักมากมายให้อย่างที่ไม่เคยได้รับจากใครมาก่อน แต่สนธยาก็เป็นบุรุษที่เติบโตขึ้นมาอย่างบุรุษเสียจนนึกขันมากกว่าจะรู้สึกซาบซึ้ง หากแต่ก็กลัวว่าหากหัวเราะออกมา อีกฝ่ายจะน้อยใจเอาได้ สนธยาจึงเปลี่ยนเรื่องคุย



   “เสด็จแม่ทรงติดภารกิจเล็กน้อย แต่มีรับสั่งว่าให้ท่านเข้าเฝ้าในตอนเสวยมื้อค่ำเลย” ตั้งแต่มาถึงเมื่อตอนเช้า เตชินทร์ยังไมได้เข้าเฝ้าราชินีวารีวาทเลย แม้จะมาเยี่ยมเยียนสมุทราบ่อยเสียจนจะจำหน้าทหารเฝ้าท่าเรือของที่นี่ได้แล้ว แต่เตชินทร์ถือว่าต้องเข้าตามตรอกออกตามประตู จะไปจะมาก็ต้องแจ้งให้ราชินีวารีวาททรงรับรู้ จะได้ไม่กล่าวหาว่าพระองค์มาลักกินขโมยกินในสมุทรา



   “เข้าเฝ้าตอนเสวยหรือ? แปลกจริง ปกติไม่เห็นเคยให้เข้าเฝ้าตอนนั้น” เตชินทร์ตั้งข้อสังเกต ทว่าเป็นฝ่ายสนธยาที่คาดการณ์เอาว่าคงไม่มีอะไร



   “คงเพราะเสด็จแม่งานยุ่งกระมัง” และเพราะรัฐกิจมากมายที่ราชินีวารีวาทต้องทรงรับผิดชอบ สนธยาจึงไม่กล้าเรียกร้องที่จะขอแยกตัวออกไปอยู่กับเตชินทร์ที่อนันตราช เขาไม่อาจละทิ้งหน้าที่ของการเป็นองค์ชายแห่งสมุทราและการเป็นโอรสในราชินีวารีวาทได้ลงคอ แม้จะต้องทนคิดถึงเตชินทร์ยามไม่พบหน้าไปบ้าง ต้องลำบากเตชินทร์ให้แวะเวียนมาเยี่ยมเยียนบ่อยๆบ้าง แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นมากไปกว่านี้



   “เป็นห่วงราชินีวารีวาทหรือ” เตชินทร์เห็นสีพักตร์ของคนรักก็พอจะเข้าใจความรู้สึก ที่สนธยายังต้องอยู่ที่นี่ไม่ใช่เพราะเขาไม่เร่งรัดให้ย้ายมาอยู่ด้วยกัน แต่เพราะเตชินทร์ไม่อยากทำให้สนธยาลำบากใจ



   “เสด็จแม่ทรงงานมากเหลือเกิน จนบางทีเราก็รู้สึกว่าตัวเองช่วยเสด็จแม่ไม่มากพอ”



   “หากท่านช่วยมากกว่านี้ เราคิดว่าท่านคงจมอยู่ในกองเอกสารแล้วกระมัง” องค์ชายหนุ่มแห่งอนันตราชหยอกเอินเรียกรอยยิ้มจากอีกฝ่ายได้ ก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเพราะไม่อยากให้สนธยาคิดมากไปกว่านี้



   “เข้าเฝ้าตอนเย็นใช่ไหม ถ้าเช่นนั้น ตอนนี้ก็ว่างน่ะซี”



   “อยากให้เราพาเที่ยวหรือ” คำถามของสนธยาทำเอาบุรุษร่างสูงเหลือบเนตรระยิบกลับมามอง



   “อยากให้ท่านอยู่กับเราตามลำพังต่างหาก” คนฟังหัวเราะน้อยๆ วาจาของเตชินทร์นั้น หากคนฟังเป็นสตรี ก็คงลุ่มหลงเตชินทร์มากทีเดียว



   “หัวเราะอะไรกัน เราพูดความจริง”



   “เรารู้ว่าท่านพูดจริง แต่ไม่นึกเคอะเขินบ้างหรือ”



   “ไม่เลยสักนิด เพราะกว่าเราจะมีโอกาสได้พูดเช่นนี้ มันยาวนานนับสิบปี วันนี้มีโอกาสได้พูดแล้ว เราไม่คิดจะเก็บเอาไว้ในใจหรอก” เตชินทร์ตอบและนั่นทำเอาเสียงหัวเราะของสนธยาจางหายโดยพลัน ความรู้สึกมากล้นที่อีกฝ่ายมอบให้อย่างยาวนานนั้น แม้จะเพิ่งมารับรู้เอาวันนี้ แต่สนธยาก็รู้สึกว่าตัวเองเอาเปรียบอีกฝ่ายมากเหลือเกิน เขาลุกจากเก้าอี้ของตนเอง ไปนั่งร่วมกับเก้าอี้เอนของอีกฝ่าย



   “ท่านโกรธเราบ้างไหม ที่เรารักท่านช้ากว่าที่ท่านรักเรา”



   “ไม่เคยนึกเช่นนั้นเลย แค่ท่านรักเรา เราก็ดีใจแล้ว ท่านจะรักเราช้าหรือเร็ว ไม่สำคัญหรอก ที่สำคัญคือวันนี้ท่านรักเราต่างหาก นั่นคือสิ่งที่มีค่า” สนธยารับฟังด้วยความรู้สึกเต็มตื้นทั้งหัวใจ สิ่งที่เตชินทร์เพียรบอกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพียรทำให้เขารับรู้อยู่ตลอดเวลานั้น ทำให้สนธยาแทบลืมไปเสียแล้วว่าก่อนหน้านี้ตนเองเป็นองค์ชายมากรักพระองค์หนึ่งที่มีสนมนับร้อย



   ทว่าวันนี้...ในหัวใจกลับมีเพียงแค่เตชินทร์คนเดียวเท่านั้น...



   “เราอาจจะเป็นคนโลภมาก ท่านสน...แต่เมื่อไรที่สมุทรามั่นคงแล้ว ได้โปรดอยู่กับเรา อย่าจากเราไปไหน...อยู่กับเราในฐานะคนรัก ไม่ใช่เครื่องบรรณาการใดๆ เราอาจไม่มีตำแหน่งที่สูงส่งอย่างองค์ชายมอบให้ท่าน แต่หัวใจของเราทั้งใจ เป็นของท่านเพียงผู้เดียว”



   “ถ้าสมุทรามั่นคงแล้ว...เราจะอยู่กับท่าน” สนธยาให้คำมั่น สองหัตถ์ประคองกันแนบแน่นราวกับให้คำสัญญากับสายลมแห่งสมุทราที่ยังคงพัดผ่านเกาะแห่งนี้ทุกเมื่อเชื่อวัน



   ...เมื่อใดที่สมุทราอยู่ได้โดยไม่ต้องมีสนธยา เมื่อนั้นสนธยาจะเป็นของเตชินทร์แต่เพียงผู้เดียว...



......................
หัวข้อ: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Dezair ที่ 22-07-2014 19:37:27
   

การเข้าเฝ้าในยามเสวยมื้อค่ำนั้นเป็นที่คาดการณ์ได้ว่าอาคันตุกะอย่างองค์ชายหนุ่มแห่งอนันตราชจะต้องร่วมโต๊ะเสวยกับราชินีวารีวาท พร้อมหน้าด้วยเหล่าพี่น้องทั้งหมดของสนธยา



   “องค์ชายเตชินทร์คงจะคุ้นหน้าคุ้นตาทิวาดี ส่วนราตรีกับอุษาคงยังไม่เคยพบหน้ากระมัง” ราชินีวารีวาทที่ประทับหัวโต๊ะเสวยทรงหันมาตรัสกับองค์ชายหนุ่มแห่งอนันตราชที่ประทับอยู่ด้านซ้าย ในขณะที่ด้านขวาคือองค์ชายสนธยาโอรสองค์โตของพระองค์



   “เคยพบหน้าแล้ว 2-3 ครั้งกระหม่อม องค์สนเป็นคนแนะนำให้รู้จักกัน”



   “อ้อ อย่างนั้นหรือ” ราชินีวารีวาทเหลือบเนตรมาทางโอรสที่ดูเหมือนจะนำหน้าพระองค์ไปแล้วหนึ่งก้าว เพราะชักจูงให้ทั้งองค์ชายเตชินทร์และเหล่าขนิษฐาได้พบหน้ากันแล้ว



   “แล้วราตรีกับอุษาทำตัวดีหรือไม่ กีดกันท่านหรือเปล่า องค์สนเป็นที่รักใคร่ของน้องทั้งสอง เกรงว่าทั้งราตรีและอุษาจะทำตัวไม่สู้ดี” ราชินีวารีวาทตรัสถามอีกครั้ง และเป็นอีกครั้งที่พระองค์ทรงได้รับรู้ว่าองค์ชายสนธยานั้นทำทุกวิถีทางเพื่อให้ทั้งคนรักและพี่น้องของตนไม่ผิดใจกัน



   “แรกๆก็มีมึนตึงบ้าง แต่องค์สนช่วยอธิบายให้ทั้งองค์หญิงราตรีและองค์หญิงอุษาเข้าพระทัยพระเจ้าค่ะ” สายเนตรของราชินีวารีวาทเหลือบไปสบกับดวงเนตรสีจางของโอรสองค์โต ก่อนจะตรัสสัพยอก



   “ดูเหมือนเจ้าจะเตรียมการไว้ดีเหลือเกินนะ องค์สน”



   “กระหม่อมแค่พยายามทำให้ทุกคนเข้ากันได้พระเจ้าค่ะ...” สนธยาทูลตอบ ราชินีวารีวาททรงนิ่งงันแล้วพินิจสีพักตร์ของผู้เป็นโอรส พลันนั้นพระองค์ก็รู้พระทัยว่าแม้สนธยาจะมีนิสัยหลายอย่างเหมือนกับวารีวาทอีกคนที่จากไปแล้ว แต่...สายเนตรเจ้าเล่ห์ของสนธยาในยามนี้กลับดูคล้ายพระองค์เหลือเกิน



   ...ฉกฉวยประโยชน์ด้วยวาจาและการกระทำที่ดูอะลุ้มอะล่วย หากแต่แท้จริงแล้วทรงประสิทธิภาพมหาศาล...



   ราขินีวารีวาททรงสรวลน้อยๆก่อนตรัส



   “ดี แม่จะได้สบายใจ หากว่าเจ้าย้ายไปอยู่อนันตราช จะได้ไม่ต้องคอยปลอบใจราตรีและอุษา”



   ...คำว่าย้ายไปอยู่อนันตราชทำเอาสนธยานิ่งชะงัก แล้วเหลือบเนตรสบกับเนตรของเตชินทร์ที่มีแววตกใจไม่ต่างกัน ด้วยเพราะตลอดสองปีที่องค์ชายเตชินทร์แวะเวียนมาที่สมุทรานี้ ราชินีวารีวาทไม่เคยตรัสเรื่องที่จะยินยอมให้องค์ชายสนธยาเสด็จไปอนันตราชเลยแม้แต่ครั้งเดียว และดูเหมือนหลายครั้งจะหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงข้อสัญญาที่ตกลงเอาไว้กับอนันตราชเสียด้วยซ้ำ ทว่าครั้งนี้...ครั้งนี้ราชินีวารีวาทกลับตรัสขึ้นมาเสียเอง...



   “เสด็จแม่...หมายความว่า...เอ่อ...ย้ายไปอยู่อนันตราช...”



   “แม่จะแต่งตั้งราตรีเป็นทายาท”



   “เสด็จแม่!...” สนธยาร้องด้วยความตกใจ



   “ไม่ดีใจหรือ” ทว่าเป็นราชินีวารีวาทที่ยังคงนิ่งสงบ ก่อนจะเหลือบเนตรไปทางองค์ชายเตชินทร์ที่ดูเหมือนจะตกใจไม่น้อยไปกว่ากัน



   “องค์ชายเตชินทร์ก็ด้วย ไม่ดีใจหรือ”



   “ดีใจพระเจ้าค่ะ แต่...” สิ่งที่เตชินทร์ให้ความสำคัญเพียงหนึ่งเดียวคือความรู้สึกของคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม สนธยารักสมุทรามากเพียงใด เขารู้ดี และเพราะรู้ว่าสนธยารักเกาะแห่งนี้มาก ความห่วงใยจึงมากมายตามไปด้วย แม้สนธยาจะอยากไปอยู่กับเขา แต่ก็ยังห่วงความมั่นคงของเกาะเล็กๆแห่งนี้



   “ห่วงความรู้สึกขององค์สนหรือ...”



   “พระเจ้าค่ะ สิ่งที่กระหม่อมให้ความสำคัญมากที่สุดคือความรู้สึกขององค์สน” และนั่นเป็นครั้งแรกที่ราชินีวารีวาททรงมอบรอยแย้มโอษฐ์อย่างเอ็นดูให้แก่องค์ชายหนุ่มแห่งอนันตราช



   “องค์สน องค์ชายเตชินทร์ทรงรักเจ้าถึงเพียงนี้ เจ้ายังไม่อยากไปอยู่กับเขาอีกหรือ” พระองค์ทรงหันมาตรัสถามกับโอรสองค์โตที่ยังนั่งเงียบ



   “แต่สมุทรา...”



   “เลิกห่วงสมุทราเสียทีเถอะ ห่วงหัวใจคนที่รักเจ้าบ้าง ใจเจ้าจะให้เขาเทียวมาเทียวไประหว่างสมุทรากับอนันตราขไปอีกนานเท่าไร”



   “แต่ถ้ากระหม่อมไป...”



   “ก็แม่เพิ่งบอกเมื่อครู่นี้ เจ้าไม่ได้ยินหรือว่าแม่จะแต่งตั้งราตรีเป็นรัชทายาท” สนธยาอึกอักด้วยความกังวล จนเสียงของราตรีดังขึ้น



   “เสด็จพี่...” สนธยาเหลือบมองผู้เป็นขนิษฐาที่ยังคงแย้มยิ้มให้แก่พระองค์เสมอมา



   “วางใจน้องนะเพคะ น้องจะขยันเรียนรู้งาน จะพยายามเป็นเสาหลักให้แก่สมุทราอย่างที่เสด็จพี่เป็น” สนธยามองรอยยิ้มของราตรีด้วยความหนักอึ้งไปทั้งหัวใจก่อนจะหันกลับมามองมารดา แม้จะยังเป็นกังวล แต่ก็ไม่อยากทำลายน้ำใจของราตรีที่เอาจริงเอาจังจะเป็นเสาหลักแก่สมุทราต่อไป



   ราชินีวารีวาทแย้มโอษฐ์บางพระราชทานแก่โอรสองค์โตด้วยความรักและห่วงใย ทว่าพระองค์รู้ดีว่านับแต่นี้ต่อไป จะมีคนห่วงใยสนธยาแล้ว จะมีคนรักและให้ความสำคัญอย่างที่จะไม่ทำให้สนธยาต้องเสียใจหรือทุกข์ใจใดๆอีก



   “อย่ากังวลกับสมุทราอีกเลย จงไปอยู่ในที่ที่เจ้าควรอยู่เถิด”



   ดวงเนตรสีจางทอดสบกัน ก่อนที่สนธยาจะลุกจากเก้าอี้แล้วทรุดกายลงกับพื้นเพื่อคำนับมารดาด้วยความรักสูงสุดที่มี



   “แม้กระหม่อมจะไปอยู่ที่ใด แต่กระหม่อมก็ยังเป็นโอรสของพระองค์เสมอ เสด็จแม่ เมื่อใดที่ต้องการกระหม่อม โปรดเรียกใช้กระหม่อม ไม่ใช่ในฐานะองค์ชายแห่งสมุทรา แต่เป็นในฐานะโอรสของพระองค์” หัตถ์เล็กของราชินีวารีวาทแตะลงบนเศียรของโอรสแผ่วเบาด้วยความรัก



   องค์ชายเตชินทร์ทอดมองสายใยรักของมารดาและโอรสแล้วได้แต่ยิ้มบางด้วยความยินดี ก่อนจะทรุดกายลงคุกเข่ากับพื้นเพื่อคำนับราชินีวารีวาท



   “กระหม่อมจะดูแลองค์สนอย่างดีที่สุด จะไม่ให้พระองค์เสียพระทัยที่ยกองค์สนให้กระหม่อม”



   “เราจะรับสัญญาของท่าน องค์ชายเตชินทร์ เพราะหากองค์สนเสียใจเพื่อท่าน เมื่อนั้น...เราจะใช้ปัญญาทั้งหมดที่มี ทำให้อนันตราชหลั่งน้ำตาทั้งแผ่นดิน” ไม่ใช่แค่คำขู่ เตชินทร์รู้ดี ทว่าเขาไม่มีความหวาดกลัวต่อคำขู่นั้นแม้แต่น้อย เพราะหนักแน่นในความรู้สึกของตนว่าจะไม่มีวันทำให้สนธยาเสียใจเป็นอันขาด



   องค์ชายหนุ่มแห่งอนันตราชหันมองสนธยา พวกเขาเพียงส่งยิ้มให้กันอย่างบางเบาด้วยความยินดี ก่อนที่มื้อเย็นในวันนั้นจะเริ่มขึ้นอย่างอบอุ่นและอบอวลไปด้วยความสุขมากที่สุดนับตั้งแต่สนธยากลับมาที่สมุทรา แม้อีกไม่ช้าจะต้องจากเกาะเล็กๆแห่งนี้ไปแล้ว แต่สนธยาจะจำไม่ลืมว่าครั้งหนึ่งเขาเกิดบนแผ่นดินนี้ แม้จะต้องตายในแผ่นดินอื่น แต่สนธยาก็ยังเป็นชาวสมุทรา แม้หัวใจ...จะยกให้แก่ชายชาวอนันตราชก็ตาม

.

.   

.

   หลังจากนั้นอีกสามเดือน มีโองการแต่งตั้งรัชทายาทวาที่ราชินีองค์ต่อไปของบัลลังก์สมุทรา องค์หญิงราตรีมุมานะตามที่เคยให้สัจจะเอาไว้กับเชษฐาว่าจะต้องเป็นเสาหลักของสมุทราแทนที่สนธยาให้จงได้ ส่วนสนธยา...ออกจากสมุทราไปยังอีกฟากฝั่งของทะเลอย่างอนันตราชแล้วครองคู่กับองค์ชายรัชทายาทลำดับที่สองในฐานะชายามิใช่องค์ชาย







   เรื่องขององค์ชายสองพระองค์ของอนันตราชและสมุทรานั้นระบือไปไกล บ้างว่าเป็นวิธีทางการทูตอันแยบยลของราชินีมากเล่ห์วารีวาทที่หมายจะพึ่งพิงอนันตราชไปตลอดกาล บ้างก็ว่าเป็นวิถีทางการทหารที่อนันตราชใช้กับสมุทราเพื่อไม่ให้เกาะเล็กๆแห่งนี้กระด้างกระเดื่องเพราะเมื่อองค์ชายแห่งสมุทราย้ายมาประทับที่อนันตราช เมื่อนั้นก็กลายเป็นเพียงตัวประกันชั้นเยี่ยมสำหรับการเจรจาต่อรอง



   หากแต่ไม่ว่าเรื่องนี้จะถูกเล่าลือไปในทิศทางใด ที่ตำหนักอิฐในวันนี้ก็มีองค์ชายสองพระองค์ประทับอยู่ร่วมกัน...อย่างมีความสุข...สืบมา...



   



   



   อวสาน


เป็นเรื่องที่แต่งนานสุดดดดดดดดดดด ยากสุด และบัวรู้สึกเหนื่อยสุด =.= ตอนพิมพ์จอมร้าย บัวว่าบัวใช้อารมณ์เยอะมากโดยเฉพาะฉากดราม่า อันนั้นว่าเหนื่อยแล้ว อันนี้เหนื่อยกว่าอี้กกกก...(สำนวนแบบนี้ไม่เหมาะกะบัวจริงๆ บัวพิมพ์เรื่องนี้แล้วเบรคด้วยการพิมพ์น้อง ถ. อันนั้นบอกตามตรงว่าถนัดมากกกกกก พิมพ์ไปนั่งขำตัวเองไป ไม่รู้ขำอะไร ฮ่าฮ่า)

ขอโทษสำหรับการดองมโหฬารขนาดนี้นะคะ แล้วก็ขอบคุณสำหรับการติดตามอันยาวนาน ขอบคุณคนอ่าน คนเม้นท์ คำติชม และทุกๆกำลังใจนะคะ ขอบคุณพื้นที่บอร์ดด้วย

สเปของเรื่องนี้ขอแปะโป้งไว้ก่อน เพราะตอนนี้ต้องปั่นเซอร์ไพรส์นาย ถ. ซึ่งตามที่ตกลงกันเอาไว้ว่าจะมาภายในเดือนนี้ ซึ่งอาทิตย์หน้า น่าจะเอามาลงได้ค่ะ

ถ้ายังไงก็ฝากติดตามเซอร์ไพรส์ และเรื่องต่อไป เรื่องต่อไป และเรื่องต่อไปของบัวด้วยนะคะ
แล้วเจอกันอาทิตย์หน้าค่ะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Maewjunsu ที่ 22-07-2014 20:21:07
ความรักของท่านเตชและองค์ชายสนในที่สุดก็ได้สมหวังกันสักทีกว่าจะได้ครองคู่กันช่างยาวนานเหลือเกินดีนะที่ราชินีวารีวาดไม่ใจแข็งนานไม่งั้นกว่าจะได้ครองคู่กับคงแก่งอมทั้งคู่ :mew5: ขอบคุณคะสำหรับนิยายสนุกๆจะรอตอนพิเศษของทั้งคู่และเซอร์ไพรส์ของนายถ.คะ :mew1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: andaseen ที่ 22-07-2014 20:32:23
ลุ้นกันเหนื่อยกว่าจะจบ แต่ดีใจที่จบแฮปปี้เอ็นดิ้งงงง ไม่มีมาม่ามากกว่านี้ ไม่งั้นคงสงสารทั้งคู่มากกก
ขอบคุณคนเขียนสำหรับนิยายดีๆเรื่องนี้  ชอบมาก ลุ้นมาก   รออ่านเรื่องต่อไปน๊า :mew1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: jaja-jj ที่ 22-07-2014 20:47:08
เป็นนิยายที่อ่านจบแล้วรู้สึก อิ่ม    มาก
ขอบคุณคุณบัวที่เขียนนนิยายดีๆอย่างนี้นะคะ จะตั้งตารอติดตามผลงานเรื่องใหม่ค่ะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: sine_saki ที่ 22-07-2014 21:05:13
ในที่สุดก็ลงเอยกัน
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: mook0007 ที่ 22-07-2014 21:18:45
ในที่สุด ก็ลงเอยด้วยดี ลุ้นตั้งนานกว่าคู้นี้จะได้แต่งกัน
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: ชมพูพาล ที่ 22-07-2014 21:25:11
นั่งอ่านรวดเดียวเลย สนุกมากค่ะ หักมุมไปหักมุมมา เล่นเอาเดากันไม่ทัน
สนุกมากค่ะ รอสเป  :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: kongxinya ที่ 22-07-2014 21:28:35
ในที่สุดองค์สนกับองค์เตชก็ได้ครองคู่กัน  :mew3:

ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆค่ะ   :pig4:

 :L2: :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: jing_sng ที่ 22-07-2014 21:39:02
จบแล้วเหรอ ตั้งตัวไม่ทัน ยังจำองค์ชายที่เอาหอยเป็นเครื่องบรรณาการได้อยู่เลย
จบซะแล้ว รอตอนพิเศษแล้วก็เรื่องต่อๆ ไปนะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 22-07-2014 21:59:09
win-win ทั้งสองอาณาจักรนะเจ้าคะ  :katai2-1: สององค์ชายได้กัน เรือล่มในหนอง อิอิ :hao3:

ขอตอนพิเศษหน่อยค้า  :mew2:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Takarajung_TK ที่ 22-07-2014 22:03:52
ขอบคุณที่แต่งเรื่องราวสนุกๆ ให้อ่านค่ะ
รอผลงานเรื่องต่อไปของคุณบัวนะคะ
 :กอด1:

หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 22-07-2014 22:10:19
เป็นอีกเรื่องที่น่ารักมากค่ะ
ขอบคุณคุณบัวที่เขียนเรื่องราวดีๆมาแบ่งปันกันนะคะ

รอติดตามเรื่องต่อไป แล้วน้อง ถ. ด้วยค่ะ 555
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: SenzaAmore ที่ 22-07-2014 22:13:37
 :L2: ขอบคุณสำหรับตอนจบที่แสนอบอุ่นนะคะ สนุกมากๆ
รอติดตาม น้องฟูของเจ่เจ๊นะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 22-07-2014 22:30:18
จบแบบ เอ๊ะ จบแบบนี้เลยหรอ
รอตอนพิเศษ ๆ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 22-07-2014 23:16:43
พึ่งจะมีวันนี้ที่ราชินีทำถูกต้อง ถูกใจ
เวลาองค์เตชกับองค์สนคุยกัน มันรู้สึกดีมาก ๆ บรรยากาศอบอวลไปด้วยความรัก
ขอบคุณน้องบัวสำหรับนิยายสนุก ๆ อีกเรื่องจ้า
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: mkx91 ที่ 22-07-2014 23:36:45
รู้สึกปลื้มปริ่มมากจริงๆค่ะที่มีวันนี้ การที่ได้ติดตามเรื่องราวชีวิตของใครสักคนที่เริ่มเดินทางตั้งแต่วันที่มองไม่เห็นความคืบหน้าอะไรในความสัมพันธ์ของทั้งคู่ จนกระทั่งวันนี้ที่ความรักล้นแผ่นดินเลย ในที่สุดก็ลงเอยด้วยความสุขซักที ขอบคุณคนเขียนมากๆเลยนะคะ เป็นกำลังใจสำหรับเรื่องต่อๆไปนะคะ อยากให้เขียนพีเรียดอีกจังค่ะ ชอบมากๆเลย
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 22-07-2014 23:47:04
ในที่สุดก็ได้ครองรักกัน  :katai2-1:

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ  :L2:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 23-07-2014 02:58:37
กรี๊ดดด จบแล้ว :ling1:

อยากเห็นเวอร์ชั่นถ้าองค์ชายสนเสียใจเหมือนกันนะคะ แอร๊ย

แต่จบแบบนี้ก็ดีนะแฮปปี้ฟินๆน่ารักดี จุ๊บน้องราตรีสองที
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: ammchun ที่ 23-07-2014 03:37:21
เราใช้เวลาอ่านเรื่องนี้าองวัน จนมาถึงตอนจบ ซึ่งเหนือความคาดหมายมากเพราะนึกว่าจะยาวกว่านี้

แต่พออาานทุกตัวอักษร ทุกตอน มันสนุกมากๆๆๆๆๆ คือทั้งฮา ทั้งหวาน ทั้งเศร้า ครบทุกความรู้สึกเลยค่ะ

ขอบคุณนะคะที่เขียนนิยายดีๆมาให้อ่าน
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: kokoro ที่ 23-07-2014 07:49:22
ในที่สุดราชินีก็ใจอ่อน เห็นใจในความรักของทั้งคู่
สิ่งที่ทั้ง 2 คนร่วมกันฟันฝ่า พยายามมา ไม่เสียเวลาเปล่า
แถมยังจะยิ่งผูกพันกันอีกด้วย  :impress2:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: punthipha ที่ 23-07-2014 08:49:44
ขอปรบมือ ราชินีวารีวาทกับองค์หญิงราตรี :katai2-1: :katai2-1: ช่วยให้องค์สนกับองค์เตช ลงเอยด้วยดี
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 23-07-2014 09:17:29
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 23-07-2014 09:22:19
ลุ้นกันตัวโก่งมาหลายตอน

ในที่สุดองค์สนก็ได้อยู่กับองค์เตช

รอผลงานเรื่องต่อไปค่ะคุณบัว ชอบสำนวนการเขียนมากมาย
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: =นีรนาคา= ที่ 23-07-2014 10:34:08
จบแล้ว
สุดท้ายก็ได้อยู่ด้วยกันซะที
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: gneuhp ที่ 23-07-2014 11:40:10
เป็นตอนจบที่ดีมากอ่าาาาาา ^^

ขอบคุณสำหรับนิยายดีดีนะคะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: kaokorn ที่ 23-07-2014 11:59:31
ขอบคุณคุณบัวฮะ แต่งเรื่องสนุกๆมาให้อ่านเสมอ
อ่านกี่เรื่องๆก็ไม่เคยผิดหวังเลย เป็นแนวที่ชอบอ่านมาก
รอติดตามผลงานต่อไป และต่อไปนะคร้าบบบบ ขอบคุณจริงๆ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 23-07-2014 16:44:43
ยังดีนะที่ราชินียอมปล่อยให้ท่านสนมาอยู่กับท่านเตช
นึกว่าจะไม่ยอมปล่อยซะอีก

จบแล้ว รอตอนพิเศษนะจ้ะ อิอิ
แล้วชีวินจะได้คู่หรือเปล่า

 :pig4:   :L2:  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: koikoi ที่ 23-07-2014 19:11:52
ขอบทพิเศษแบบนองเลือดซักบทได้มั้ย :oo1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Ali$a฿eth ที่ 23-07-2014 19:37:52
จบแล้ว เป็นเรื่องที่ ตบหน้า ข่วนหน้า พลิคลอค แหกโค้ง มาม่า ที่สุด อิ่ม........


ดีใจมว๊ากกกกกกก(ขอวิบัติเพื่ออารมณ์)   ลงเอยกันแล้ว แก่กันพอดี


หากไม่มีวารีวาท คงไม่มีท่านสนจนวันนี้  (จริงอยากอานเรื่องของ2องครักษ์อ่ะคะ)
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 23-07-2014 19:53:27
เป็นตอนจบที่ละมุนละไมที่สุด ไม่มีใครเจ็บ
ดีใจกะองค์สนและองค์เตช
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: jinjin283 ที่ 23-07-2014 22:18:45
 :ling1: ขอคุณที่แต่งเรื่องสนุกๆน่ารักมาให้อ่านนะคะ ตลอดเวลาที่ติดตามอ่านเรื่องนี้เราสนุกมาก แอบเขินแทนองค์สนก็หลายที อิอิ ลุ้นอยู่ตลอดว้าเมื่อไหร่องึเตช
จะได้โอกาศจัดกานองค์สนซะที 55 แอบสงสารอรุณานิดหน่อย
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: strawberryboys ที่ 23-07-2014 23:59:56
ดีใจมากค่ะ ที่คุณมาแต่งต่อจนจบ เรื่องนี้อ่านแล้วประทับใจมากๆเลยนะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: ลิงน้อยสุดเอ๋อ ที่ 24-07-2014 15:35:13
ในที่สุดความรักขององค์เตชกับองค์สนก็จบได้อย่างมีความสุข

อ๊ายๆๆ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: ophena ที่ 24-07-2014 20:58:41
คุณบัวทำให้เรามีความสุขที่ได้อ่านมากเลยค่ะ ทั้งอบอุ่น อ่อนโยน โดนใจมากเลยค่ะ ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆนะคะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: PAiPEiPEi ที่ 24-07-2014 23:23:00
จบแล้วววว  จะรอเซอร์ไพรสน้อง ถ. ค่ะ >< อยากอ่าน คิดถึงเลย ธ-ถ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 29-07-2014 11:37:38
ในที่สุดก็ได้อยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 31-07-2014 15:19:10
ความรักและหน้าที่มักจะสวนทางกัน

แต่ดีใจขอรับที่......

ความรักกับหน้าที่บ้างครั้งก็ไปด้วยกันได้ดี

ราชินีเป็นคนที่น่านับถือน้ำใจคนหนึ่ง

แม้ว่าจะร้ายกาจเพียงใด

แต่ก็ทำทุกอย่างไปเพื่อประชาชน

ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆที่แบ่งปันขอรับ

หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: paladin.kn ที่ 01-08-2014 23:20:41
ในที่สุดเขาก็ได้ครองคู่กัน

รอนานมากกว่าจะได้คู่กัน

เหมือนรอคนแต่งมาอัพเลย

ท่ดๆๆๆ เราล้อเล่นน้าตัวเอง

 :hao3: :hao3: :hao3: :hao3:

จบซะแล้ว ปูเสื่อรอตอนพิเศษน้า
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 04-08-2014 23:11:04
เป็นเรื่องหลากรสมากอ่ะ ตอนแรกตลกองค์ชายสนธยานะ พอหลังๆเริ่มรู้สึกว่าซับซ้อนซ่อนเงื่อนกันเหลือเกิน
แต่ก็สนุกดีจ๊ะ ชอบเรื่องนี้มาก  :mew1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: puchi ที่ 05-08-2014 16:35:45
ขอบคุณมากค่ะ  สนุกมากๆเลย

แว๊ปแรกนึกว่าราชินี จะร้ายมากกว่านี้ เล่ห์เหลี่ยมเยอะ แผนการณ์ซับซ้อน จนเผลอคิดไปว่าคงไม่ได้รักองค์สนจริงๆ

แอบซึ้งที่จบด้วยดี เพราะท่านก็รักเหมือนลูกจริงๆ


หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 07-08-2014 14:14:07
สุดยอดสมกับเป็นราชินีแห่งสมุทรา
เจ้าเล่ห์สุดๆ โหดแถมเยือกเย็นด้วย
แต่ชอบนางมากๆๆ
อยากอ่านสเปของชีวินกับสมิต
อยากให้คู่นี้ลงเอยกันตามเจ้านายไปอีกคู่จริงๆ
รีบมาลงนะ จะรออ่านนะจ้ะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: minniez ที่ 08-08-2014 17:26:11
ชอบๆๆๆๆ ตอนพิเศษๆๆๆ รีเคสสสส
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: ชินจังไม่กินหัวหอม ที่ 09-08-2014 23:26:01
โดยส่วนตัวแล้วชอบนิยายที่เกี่ยวกับราชวงศ์หรือเหล่าเลือดสีน้ำเงิน
เรื่องนี้ทำให้เห็นว่าการเป็นเจ้าแผ่นดินนั้นต้องมองประโยชน์ของบ้านเมือง
หรือความสงบสุขของประชาชนมาก่อน ในฐานะที่เป็นแม่ที่ฆ่าลูกได้นั้น
บางคนคิดว่าเป็นเรื่องโหดร้าย ไม่มีแม่คนไหนทำได้หรอก แต่เมื่อเป็นแม่
ที่มีอีกหน้าที่คือเป็นเจ้าแผ่นดิน ซึ่งมองเห็นอนาคตของประชาชนที่จะให้
ลูกปกครองนั้น จะเดือดร้อนเพียงใด การฆ่าลูกให้ตายคนที่เจ็บปวดที่สุด
ของเป็นแม่มากกว่า นิยายเรื่องนี้ให้อะไรเรามากว่าความรักระหว่างองค์ชาย
ทั้งสององค์ ทำให้เห็นมุมมองความคิดของแต่ละตัวเป็นอย่างมาก
เอาจริงๆ แล้วตัวละครที่เราชอบมากที่สุดคืด ราชินีวารีวาท อย่างแน่นอน

ขอบคุณนิยายดีๆจากคุณบัวด้วยครับ
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: ckk ที่ 10-08-2014 21:38:05
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: keinoo ที่ 11-08-2014 16:56:36
 :L2:
จบเสียแร้ว...เป็นเรื่องที่ละมุมละไมมากจริงๆค่ะ ขอบคุณงามๆถึงคนเขียนอีกครั้งค่ะ :pig4:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Sohso ที่ 12-08-2014 06:26:49
กว่าจะเช้าใจ กว่าจะรัก แล้วกว่าจะได้อยู่ด้วยกัน

ลุ้นแล้วลุ้นอีก รอแล้วรออีกนะ เฮ้อออ

ไม่น่าเชื่อเลยว่าราชินีจะรักฆ่าลูกตัวเองแท้ๆเพื่อปกป้ององค์สนที่เป็นลูกพี่สาวกับบ้านเมืองไว้

แถมวางแผนได้รัดกุมแล้วดักทางได้ตลอด ฉลาดล้ำมากๆ

ช่างยิ่งใหญ่ รักแผ่นดิน รักประชาชน และเสียสละสมกับเป็นผู้ปกครอง
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: litlittledragon ที่ 12-08-2014 17:42:30
ตอนแรกพอเจอภาษาราชาศัพท์และเรื่องเหมือนจะแฟนตาซีแล้วกดปิดเกือบจะทันที จนอ่านถึงตอนจะเอาหอยแก่ไปเป็นบรรณาการ ถึงได้รีบกลับมาอ่าน
สนุกดีจริงๆ แม้จะเสียใจกับเรื่องการแก่งแย่งชิงดีของลูกๆ ก็ตาม สงสัยเรื่องที่พ่อของลูกๆ ยอมที่จะแต่งกับแฝดคนน้องหลังจากแฝดคนพี่สิ้น
แต่ก็นะประเด็นหลักอยู่ที่คู่ท่านสนกับท่านเตช
รัชทายาทอันดับหนึ่งอย่างท่านเจษก็น่ารัก เป็นพี่ชายที่แสนดีจริงๆ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: +zoLoMegWoz+ ที่ 12-08-2014 21:50:23
ถึงคุณนักเขียนจะไม่ถนัด แต่อิฉันชอบมากกกกกกกกกกก
ขอบพระคุณสำหรับนิยายเรื่องนี้อย่างล้นเหลือ
อ่านรวดเดียวฟินมากมายและคงฟินไปอีกหลายวัน
แถมทั้งฟินทั้งมันทั้งมึน เดาทางยากมาก
แต่ก็สนุกและน่าติดตามที่สุดเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: ployspy ที่ 13-08-2014 19:42:41
อ๊ายยยยยยยยยยยยย :m25:
น่ารักกกกกกกกกกกกกก :ling1: :ling1:
ขอบคุณมากๆค่ะ  o13 o13
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: ~ ฤดูใบไม้ผลิ ~ ที่ 24-08-2014 18:20:30
ราชินีวารีวาทนี่เจ้าเล่ห์เจ้าแผนการจนนาทีสุดท้ายเลยจริงๆ  o13

ในที่สุดท่านสนกับท่านเตชเขาก็ได้อยู่ด้วยกันสักที

ซึ้งในท่านเตชจริงๆรักองค์สนมาตั้งนานแล้วยังรอจนวันที่ได้อยู่ด้วยกัน  :กอด1:

 :pig4:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: akeins ที่ 27-08-2014 16:29:52
 o13 o13 o13
 ราชีนีวารีวาทนี้เจ้าเลห์มากๆ แต่ก็จบแบบมีความสุข
    :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: plengpit ที่ 31-08-2014 14:44:14
 :3123: :3123: :L2:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: เกริด้า(๐-*-๐)v ที่ 31-08-2014 18:25:30
อ่านจบแล้ววววว ต้องบอกว่าแต่ละคนนี่ร้ายกันจริงๆนะ คมคายเอาเรื่องเลย สมกับเป็นเรื่องของราชวงศ์ หึๆๆ ชอบเรื่องนี้ค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: CorNnE PRiNCeS ที่ 01-09-2014 20:59:16
:-[

อ่านแล้วซึ้ง ในคำว่ารักอย่างมาก
รักในพี่น้อง
รักในแม่

คุณราชินี ทำทุกอย่าง สนองความต้องการตัวเองจริงๆ

แต่ องค์ชายเจษ ก้อแก้ไข ได้ทันเวลา

รักของทั้งสององค์ชาย น่านับถือจริงๆ

ชอบคำนี้มาก "จะใบ้ปัญญาทั้งหมดที่มี ทำให้อรันตราชหลั่งน้ำตาทั้งแผ่นดิน"
แม้ในนาทีสุดท้าย พระนาง ยังแกร่งได้อีก
เป็นราชินีที่สุดยอด เด็ดเดี่ยวจริงๆ

ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆ นะครับ
อ่านชนิดวางตาไม่ได้เลย องค์ชายบ้าหอย ฮาดี คับ


ขอบคุณครับ

 :pig4:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: funland ที่ 03-09-2014 22:44:48
 :mew1: ขอบคุณค่ะ สนุกมากค่ะ แต่ ยังรู้สึก ขาดๆเกินๆ ยังไงไม่รู้แหะ สงสัยคงต้องรอตอนพิเศษ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: naamsomm ที่ 20-09-2014 04:43:55
ตามเข้ามาอ่าน
ภาษาสวยมาก
ละมุนสุดๆ
ชอบค่ะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: pp_song ที่ 23-09-2014 07:33:21
ชอบเรื่องนี้มากๆ เหมือนฝึกสมองตลอดเวลา 555
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 09-10-2014 23:04:14
เฮ้ย จบแล้ว
จบง่ายมาก แต่ก็สมบูรณ์มาก อึ้งจากใจ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Teddysdeath ที่ 10-10-2014 01:25:11
สนุกมากค่ะ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: yaoisamasang ที่ 10-10-2014 01:27:59
คำศัพท์ที่รวบรวมได้จากเรื่องนี้
หอยแก่
หอยป่วย
หอยตด
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Tennyo_Y ที่ 29-10-2014 02:16:28
บร๊ะอ่านไป ลุ้นไป วามล้านห้าตลบ ต้องขอใช้คำว่าสุดยอดราชินีวารีวาท ช่างแพรวพราวล้นเหลือ เล่ห์มสกล้น สุกเพราะมีราชินีวารีวาทเนี่ยละ บอกเลย
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 02-11-2014 10:26:43
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆค่ะ :pig4:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: kungyung ที่ 03-11-2014 20:47:49
สนุกมากกกกกกกก o13
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: boooob ที่ 24-11-2014 20:52:17
สนุกมากกกกก....ไม่รู้พลาดเรื่องนี้ได้ไงมานานสองนาน..
หักมุมกันไปมาสิบตลบ ราชินี นางสุดยอดดด แต่ที่สุดยอดฟ่าคือไรท์นะคะ o13 o13 ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Bear Company ที่ 27-11-2014 21:36:34
 o16 o16
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 29-11-2014 06:03:14
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: mickeyz.min ที่ 30-11-2014 08:12:11
น่ารักคะ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆๆ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Raina ที่ 24-12-2014 11:50:32
ขอคู่ องครักษ์ เพิ่มได้ไหมคะ แบบว่าค้างค่ะ ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: meaw46247 ที่ 08-04-2015 23:09:51
โอ้ มันพลิกอ่ะ คาดไม่ถึงเลย
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 01-06-2015 00:57:29
ขอบคุณค่ะ
ซึ้งกับความรักที่มั่นคงขององค์เตชมาก
ต้องฝ่าฟันเรื่องอะไรมาเยอะ ในที่สุดก็ได้ลงเอยกัน ^^

สำหรับอรุณา เป็นคนที่น่าสงสารนะ เราเห็นใจนางนะ เฮ้ออ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: karuna ที่ 01-06-2015 16:33:10
 o13 ขอบคุณค่าา สนุกมากเลย :mew1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: reborn ที่ 05-06-2015 06:45:40
 o13
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Baruda ที่ 25-07-2015 22:49:50
สนุกมากค่ะ ราชินีวารีวาทมาเหนือเมฆตลอด นางคุมเกมอยู่คนเดียวทั้งเรื่อง o13 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: spyhico ที่ 28-08-2015 20:11:16
ขอบคุณครับ

สนุกมากเลย

ขอบคุณสำหรับเรื่องราว ดีๆ^^
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: NONSENSE ที่ 22-09-2015 11:51:57
เรื่องนี้ ขำสุดตรง หอย นี่แหละ
หอยคู่บ้านคู่เมือง ราชทูตหอย หอยป่วย !!!!!
โอ๊ย เหนื่อย
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Ciin ที่ 23-09-2015 21:09:35
ชอบมากเลยยเรื่องแฟนตาซีแบบนี้ สนุกมากๆ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Peung002 ที่ 15-10-2015 17:40:15
พออ่านจบแล้ว ขอบอกว่าทึ่งในเล่ห์เหลี่ยมของราชินีวารีวาทจริงๆค่ะ
มิใช่นาง คิดไม่ได้หลายตลบแบบนี้นะเนี่ย
เรื่องนี้ยกให้นางเป็นตัวเอกค่ะ  :laugh:

ปล.อีกคนที่ขอยกย่องก็ต้องเป็นท่านพี่เจษฎาอ่ะ เจ้าชายขี่ม้ามาช่วยน้องแต๊ๆ  :hao3:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: hczmtp ที่ 15-10-2015 23:01:30
หักมุมไปมาได้แบบตื่นเต้นจริงๆเลยย สนุกมากๆ

กว่าองค์ชายทั้งสองจะได้อยู่ด้วยกันก็ลุ้นนานจริงๆ   :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: pogpax ที่ 16-10-2015 14:00:54
 o13
ราชินีนี่เจ้าเลห์มาก
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: am_am ที่ 19-10-2015 07:21:58
สนุกมากอ่านไม่ได้หลับได้นอนเลยทีเดียว
น้องบัวเก่งจังเลย เขียนเรื่องไหนก็สนุก
หลากหลายแนวจริง ๆ ติดตามน้องบัวเรื่องแรกคือจอมร้าย
พอตามมาอ่านถ้วยฟู นี่มันคนละแนวเลยอ่ะ
ตำนานรักดอกไม้อีก ชอบมากกกกกก อยากให้รวมเล่มจัง
ขอบคุณนะจ๊ะคนเก่ง :กอด1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Persoulle ที่ 02-01-2016 01:04:28
อ่านแล้วสนุกมาก แต่รู้สึกว่าราชินีจะขโมยซีนไปเยอะเลย -_-
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Praykanok ที่ 04-01-2016 21:04:47
อ่านรวดเดียวไม่หลับไม่นอนเลยค่ะะะะ
นี่ลุ้นมากว่าจะพลิกตอนไหนบ้าง ปมเยอะจนกลัวใจคนแต่ง 5555555
สารภาพว่าอ่านแล้วรู้สึกโง่เลยค่ะ ตามไม่ทันทั้งราชินี ทั้งองค์หญิง ทั้งองค์เจษ องค์เตช คือทุกคนฉลาดและเจ้าเล่ห์มากกกก
แต่ตอนจบซึ้งมากค่ะะะ รับรู้ถึงอารมณ์ของราชินีที่รักองค์สนเหมือนลูกจริงๆ
ชอบโมเม้นที่แสดงออกถึงครอบครัว อ่านแล้วสัมผัสได้เลย อบอุ่นมากๆค่ะะะ ><
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 05-01-2016 20:06:06
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 08-01-2016 12:06:29
องค์สนกับองค์เตชน่ารักมากกก แต่ที่ชอบที่สุดของเรื่องคงเป็นคุณหอยคู่บ้านคู่เมือง 5555
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: meadthat ที่ 03-04-2016 21:14:54
ราชินีร้ายมากก แต่สนุกมาก
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: NewYearzz ที่ 13-04-2016 07:17:27
ตามเก็บนิยายคุณบัว...ไม่ผิดหวังจริงๆ

แต่อ่านมาสักระยะ นายเอกเป็นชายเจ้าชู้ทุกเรื่อง...เว้นน้อง ถ.

เรื่องนี้ราชินีโหดเหี้ยมชนิดที่ว่า....อ่านไปคอแห้งไป

ร้ายกาจที่สุดในสามโลก...แต่ก็นะ...ถือว่านางคือสีสัน

ขอบคุณมากครับ  :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Kfc_Pizza ที่ 23-04-2016 12:04:44
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: tamako ที่ 26-04-2016 01:25:47
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆเรื่องนี้คะ
ครบรสทั้งสนุก ทั้งเศร้า แต่เหนืออื่นใดคือความเจ้าเล่ห์ของราชินี ที่มาได้เหนือความคาดหมายจริงๆ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: ZeeKiN ที่ 29-04-2016 06:54:11
รวดเดียวจบ สนุกแบบงงนิดๆๆกับลูกของราชินี วารีวาท. แต่ก็สนุกค่ะ :mew3:  :mew1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: ASAMENG ที่ 06-05-2016 17:29:34
 :3123: แบบว่าๆ เรื่องแนวนี้ค่อยข้างหนักและยากพอสมควร เข้าใจผู้เขียนเรื่องนะ สู้ๆ ต่อไป  :hao3:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: lllittled ที่ 03-08-2016 09:19:45
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 12-10-2016 03:23:51
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
อ่านจบแล้วคงคิดถึงความน่ารักของท่านสนไปอีกนานองค์ชายเตชินโชคดีนะที่ได้รักกับท่านสน
นิยายเรื่องนี้น่ารักนะ :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
แต่แอ๊องครักษ์ของท่านสนกับองค์ชายเตชินเราจำได้ว้่ถ้าหากขืดใจต้องรับผิดชอบนี่เพราะงั้นรอนะ :katai2-1: :katai2-1:
เผื่อมีมาจ๊ะเอ๋ในตอนพิเศษส่วนน้องทั้งสองขององค์ชายสนทยาน่ารักนะไม่หลงในลาภยศ
สุดท้ายขอบคุํสำหรับนิยายน่ารักๆๆอ่านไปลุ้นไปว่าจะพลิกแบบไหน555แต่สนุกมาก :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Kio ที่ 13-10-2016 17:11:14
อ่านจบแล้วเย้ ยังรอสเปอยู่นะคะ แม้ไม่มีหวังก็ตามที /เหลือบตามองวันที่อัพตอนสุดท้าย
สลับซับซ้อนมาก ภาษาอ่านง่ายเข้าใจดี ดีใจที่เขาได้อยู่ด้วยกันสักที ราชินีวารีวาทยังคงน่ากลัวเสมอต้นเสมอปลาย
ไม่รู้ว่ากลัวอะไรนาง555555555555555 เรียกได้ว่าถึงอรุณาจะร้ายขนาดไหนนางก็โดนดักแผนไว้หมด
นอกจากสร้างความรำคาญแล้วก็ไม่อะไรอีกเลย

แล้วหอยคู่บ้านคู่เมืองจะเป็นยังไงแล้วเนี่ย? ไม่มีพูดถึงเลย จะแสดงอภินิหารอะไรได้ไหม? ถถถถถ

 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: MSeraph ที่ 19-10-2016 12:52:57
อ่านเรื่องนี้รวดเดียว2วันจบเลยค่ะ
ต้องบอกว่าสนุกมากกกตามคาดเหมือนเดิม
แบบว่าเห็นชื่อคนแต่งก้มีความคาดหวังทันที 5555555
เรื่องนี้ครบรสมากค่ะ เปิดมานี่ก้ฮาาแล้วว
เดินเรื่องมาเรื่อยๆก้เขินองค์เตช ขยันหยอดขยันจีบมากจริงๆ
แล้วก้มีดราม่าหน่วงๆ ตอนแรกคิดว่าจะหน่วงมากกว่านี้
แต่นี่ก้อยู่ในโซนไม่บีบคั้นทำร้ายจิตใจกันมากเกินไปค่ะ5555
แล้วก้ต้องมาสนุกสนานกับการชิงไหวชิงพริบขององค์ราชินี
มีความหักมุม มีความเจ้าเล่มากจริงๆ
เรื่องนี้ทำให้เห็นอย่างนึงคือภาระหน้าที่ของราชินี ของชนชั้นปกครอง
ถ้าต้องเลือกระหว่างลูกกับบ้านเมือง นักปกครองที่ดีย่อมต้องเลือกบ้านเมืองแบบนี้ก้ถูกต้องแล้ว
อ่านแล้วนึกถึงประโยคนึงจากเรื่องหัวขโมยแห่งบารามอส
ที่ว่า "การปกครอง ย่อมต้องสละส่วนน้อยเพื่อรักษาส่วนใหญ่
ต้องสละบางสิ่งเพื่อรักษาส่วนรวม และอาจต้องสละใครบางคน เพื่อบางอย่าง..."
ในเคสนี้ราชินี้ต้องเสียสละลูกสาวเพื่อรักษาบ้านเมือง
เสียสละองค์สนเพื่อความมั่นคงของบ้านเมือง
ชอบนิยายที่ให้คิดตามได้แบบนี้มากกค่ะ
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: chaoyui ที่ 22-10-2016 10:09:25
สนุกมากกกเลยค่ะ แรกๆขำมาก หลังๆนี่มีหักมุม หักไปหักมาเยอะมาก แต่ก็ยังสนุกอยู่ นี่นึกล่ะยังขำไม่หายกับหอยตด :pigha2: 
รอตอนพิเศษค่ะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Fate ที่ 16-12-2016 22:49:51
โอ้โห หักมุมหลายตลบเหลือเกิน
ยอมราชินีวารีวาทจริงๆ ใจแข็ง ใจเด็ด ใจดำก็ว่าได้ 55555 เป็นหญิงแกร่งมากๆ
ดีที่รักองค์สนเหมือนลูก ถึงจะจับไปเป็นหมากในเกมบ้างก็เถอะ
ส่วนองค์สนกับองค์เตชนี่ ฮื้ออ เขินคำพูดองค์เตช อะไรจะเสี่ยวปานนั้น 555
อ่านนอกห้องไม่ได้เลย นั่งยิ้มเหมือนคนบ้า
ดีใจที่สุดท้ายก็ได้อยู่ด้วยกันนะคะ
ชอบนิยายของคุณบัวมาก
จะติดตามต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Azuryngel ที่ 18-12-2016 23:41:33
Thank you na ka!!! I read it in one sitting. Can't wait for the next story.  :hao6:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 20-12-2016 14:45:24
ทำไมเรื่องหอยๆ ขำๆ ในตอนแรกถึงจบลงด้วยการเฉือนคมทางการเมืองการปกครองเยี่ยงนี้ ซูฮกๆ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Petit.K ที่ 15-06-2017 15:21:20
โอยยยยสนุกมากดีงามมากเลยค่า ยอมแล้ววว แรกๆเปิดมาอย่างฮา หลังๆนี่เครียด ดราม่ามาเลย แต่ชอบมาก ภาษาดีมาก ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: papapajimin ที่ 22-06-2017 01:18:25
สนุกมากๆๆๆค่าา มีความพลิกล็อคไปมาจนจะปวดหัวอยู่แล้ว อ่านมาราธอนมาเลย
ราชินีวารีวาทฉลาดและเจ้าเล่ห์มากเลย แต่เราชอบตัวละครนี้มากๆเลยนะไม่รู้ทำไม

ส่วนองค์สนกับองค์เตช เราชอบความรักของทั้งคู่ที่มีให้กัน
แต่ไม่รู้ทำไมที่เราเริ่มโฟกัสไปที่องครักษ์มากกว่า ตั้งแต่มีแววว่าจะมีคู่ของ ชีวินกับสมิท(เริ่มไม่รู้ว่าจำชื่อถูกไหม) เราก็รอบทบาทกการโผล่มาตลอด
ถึงเมื่ออ่านทั้งหมดแล้ว สุดท้ายไม่ได้พูดคู่นั้นก็เถอะ ไว้เรามโนต่อเองก็ได้ 555555

นิยายมีครบรสมาก ตอนแรกอย่างฮา แล้วเริ่มมีปริศนา ปม ตอนท้ายๆมาอย่างหน่วง แต่จบอย่างแฮปปี้

ขอบคุณที่เขียนนิยายสนุกๆมาให้อ่านนะคะ ถึงเราจะมาตามอ่านช้าไปหน่อยก็เถอะ ขอบคุณมากค่าาาา
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: TheGraosiao ที่ 13-09-2017 12:09:20
เริ่มต้นเรื่องนี้ ฮามาก จากเรื่องราชฑูตหอย อ่านไปขำไป

พอกลางเรื่องนี่เริ่มเข้มข้น

งานดราม่าก็มา ครบรสจริงๆเรื่องนี้

ราชินีวารีวาทเป็นอะไรที่น่ากลัวมาก คือทำได้ทุกอย่างจริงๆ เป็นตัวละครที่จะชอบก็ไม่ได้ จะเกลียดก็ไม่ลง

555
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 14-09-2017 15:42:31
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Charmy ที่ 16-09-2017 23:08:14
ลุ้นตลอดว่าจะพลิกอีกไหม
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Maeo ที่ 18-06-2018 21:48:37
สนุกตั้งแต่ตอนแรก ยันตอนจบค่ะ
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ ค่ะ
 :3123:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: 14th-friedegg ที่ 22-06-2018 22:32:28
ตอนแรก พยายามหาแฟนตี แหวกแนวๆ อ่านอยู่ มาเจอเรื่องนี้สะดุดตา แถมคุณ Dezair เป็นคนเขียนด้วยเลยมั่นใจว่าต้องสนุก พอมาอ่านไม่ผิดหวังเลยคะ ซึ้งกับความรักของทั้งคู่ แถมยังฮาเรื่องหอยมากจริงๆ ขำแบบท้องแข็งอยู่หลายตอน
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: khwanruen ที่ 05-09-2018 11:53:42
 :pig4: :pig4:  :mew1:  :mew1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: punthipha ที่ 05-09-2018 17:07:03
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Fish129 ที่ 05-10-2018 10:06:28
ปลื้มปริ้มองค์เตชมาก
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 07-10-2018 00:33:40
ปริ่มมมมม :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 11...อัพ 31/12 (หน้า 13,14 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 28-12-2018 19:57:42
อ่าา ซับซ้อนดีแท้ สรุปอรุณาตายจริงดิ แต่ก็นะ อย่างว่าล่ะนาง

โหดร้ายเกิน จิตใจโหดร้าย
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 12...อัพ 16/2 (หน้า 15 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 28-12-2018 23:12:30
ใครทำแบบนั้นนน   :katai1: อังกูรต้องไม่เป็นอะไรนะ แง้
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ (พันธะ 13...อัพ 23/6 (หน้า 16 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 28-12-2018 23:27:26
อ้าวพีค!  :a5:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 15...อัพ 07/07 (หน้า 18 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 28-12-2018 23:55:52
ไม่มีเหตุผลอะไรมาแย้งเรื่องราชินิร้ายกาจได้เลย...

คือตอนอรุณานั่นเข้าใจเพราะคิดว่าการตัดสินใจแบบนั้นก็ถูกแล้ว

คนร้ายๆ แบบนั้นไม่คสรมีชีวิตอยู่ แล้วพอมารู้ว่าเป็นลูกจริงๆ อีก

มันก็เออ ยังพอจะแย้งได้ จนมารู้ว่าสนธยาไม่ใช่ลูกอีก แถมยัง

ให้สามีพี่สาวตัวเองมาเป็นสามีตัวเองอีก... มันก็เอ่อ...  :z3:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 29-12-2018 00:10:10
โฮววว ขอบคุณมากค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: sira_nann ที่ 29-12-2018 13:44:30
 :pig4: :pig4: :pig4:
ขอบคุณค่ะ
 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 29-12-2018 17:28:15
รู้สึกสุขไม่สุดเลย  :เฮ้อ: 

แต่ก็เรียลดี...เพราะเป็นเรื่องความรักกับบ้านเมือง จะสุขทั้งสองอย่างมักยากมาก
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 03-03-2019 08:07:19
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: AgotoZ ที่ 05-10-2019 23:22:24
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 20-10-2019 20:59:41
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: taran ที่ 14-11-2019 13:22:03
เรื่องนี้นิก็ซับซ้อนซ่อนเงื่อน มีหลายปมหลายคดีจัง
แต่ก็สนุก บทฮาก็ฮา บทจะหน้าที่ก็หน้าที่ซะจนไม่สามารถเอาแต่ใจได้

แต่อยากอ่านคู่องครักษ์ต่ออะ อยากรู้ว่าชีวินกะสมิต จะเป็นอย่างไร
เดาไม่ออก ว่าจะน่ารัก น่าหยอก เหมือนคู่นายเหนือหัวหรือไม่

 :hao3: :hao3: :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 15-11-2019 00:10:04
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Kfc_Pizza ที่ 05-01-2020 21:43:29
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Kfc_Pizza ที่ 10-01-2020 22:42:50
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Cappello ที่ 12-01-2020 23:38:35
สนุกมากเลยค่าา
คุณบัวแต่งดีมว้ากก  o13 o13
ราชินีคือเก่งงมาก อยากให้ประเทศมีผู้นำเก่งๆบ้างจังเลยค่ะ
5555555555555
Oops.
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Freezz ที่ 19-11-2020 00:07:14
ลุ้นเหนื่อยมากครับ  แต่มีความสุข
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: KKKwanGGG ที่ 04-12-2020 11:56:42
เสด็จแม่น่ากลัวยิ่ง   :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 06-12-2020 20:52:29
วนกลับมาอ่านอีกรอบที่สามชอบมา :mew1:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 24-12-2020 15:14:22
จบแล้ว สนุกมากเลยค่ะ
ชอบนิยายแนวนี้มากๆ
ขอบคุณคนเขียนค่ะ
ว่าแต่หอยเป็นยังไงบ้างคะ  5555+
ไม่กล่าวถึงเลย
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: pedgampong ที่ 06-02-2023 09:50:15
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ...ด้วยพันธะบรรณาการ พันธะ 17(จบ)...อัพ 22/07 (หน้า 20 ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: samsung009 ที่ 17-03-2023 16:50:02
 :pig4: