ตอนที่ 7
หมอกพาผมไปยังร้านข้าวต้มเจ้าประจำของเขา ซึ่งก็ไม่ได้อยู่ห่างจากร้านที่พวกเราเพิ่งออกมาเท่าไหร่นัก แต่เนื่องจากผมเองก็เพิ่งจะกินข้าวมา จึงสั่งแค่ข้าวต้มกับจับฉ่ายมาอย่างละถ้วย ส่วนหมอกก็สั่งปลาเก๋าราดพริกที่เขายืนยันว่าอร่อยเด็ดจริงมาให้ผมลองพร้อมด้วยกับข้าวที่เขาภูมิใจเสนออีกสองอย่าง ระหว่างที่รออาหาร เขาก็เล่าเรื่องเพื่อนๆ ที่มหาวิทยาลัยให้ผมฟัง และทำให้ผมหัวเราะได้เรื่อยๆ จากนั้นเมื่ออาหารมาถึง ผมก็ถามเขาเรื่องครอบครัว ซึ่งเขาก็ตอบคำถามผมทุกคำถามอย่างเปิดเผย แถมยังเล่ามากกว่าที่ถามด้วยซ้ำ ทำให้ผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับเขาอีกหลายอย่าง
เขาบอกว่าเขาเกิดและโตที่กรุงเทพฯ แต่อยู่กับแม่แค่สองคนมาตั้งแต่เขาอยู่ชั้นมัธยมต้นเพราะพ่อกับแม่ของเขาหย่าร้างกันไป ส่วนสาเหตุที่เขามาเช่าคอนโดนอนคนเดียวก็เพราะว่ามันสะดวกกับการเดินทางไปเรียนของเขามากกว่า
“แล้วแบบนี้แม่เราเค้าก็อยู่คนเดียวเหรอ” ผมถาม
“ก็... อยู่กับยายแล้วก็น้าสาวผมน่ะครับ”
“แล้วพ่อล่ะ”
“เค้าแต่งงานใหม่ไปนานละ ผมเองก็ไม่ค่อยได้เจอเค้าหรอกพี่ แต่เค้าก็ส่งเงินให้ผมทุกเดือนนะ” เขายักไหล่ “แต่จริงๆ ผมก็ไม่ได้ลำบากหรอก เพราะแม่ผมเป็นหมอไง ก็ได้เงินเดือนเยอะอยู่ และต่อให้ผมอยู่บ้าน ผมก็ไม่ค่อยเจอแม่อยู่ดีนั่นแหละ”
ผมพยักหน้าเบาๆ ชักเริ่มรู้สึกลำบากใจที่ดันถามเรื่องส่วนตัวเหล่านั้นออกไป
“เฮ้ยพี่ ไม่ต้องคิดมาก! ดูทำหน้าดิ!” หมอกหัวเราะพร้อมกับตีต้นแขนผมเบาๆ “ผมไม่ซีเรียสนะพี่! ผมเฉยๆ กับเรื่องพวกนี้โคตรๆ เหอะ เพราะเค้าหย่ากันตั้งแต่ผมยังเด็กละ แล้วอีกอย่าง เค้าก็ยังคุยกันเจอกันอยู่บ้าง แต่ผมแค่ไม่ค่อยได้ไปเจอพ่อเค้าบ่อยๆ เท่านั้นเอง”
“อ๋อ ครับ”
“แล้วพี่ล่ะ”
“หือ พี่ทำไมเรอะ”
“เห็นว่าพี่มีพี่ด้วยไม่ใช่เหรอ เล่าเรื่องของพี่ให้ผมฟังมั่งดิ ผมอยากรู้”
“อ๋อ ใช่ พี่ลูกคนเล็กน่ะ มีพี่ชายกับพี่สาว แต่อยู่คนละบ้าน พี่ยังอยู่กับพ่อแม่อยู่ก็เพราะเจ้าตัวล็กนั่นแหละ”
“แล้วชื่อจริงน้องอะพี่ ใครเป็นคนตั้ง พี่หรือแฟนพี่ แล้วทำไมตั้งชื่อน้องแบบนั้นอะ ผมโคตรชอบเลยพี่ รู้ปะ โคตรเท่เลยอะ”
ผมหัวเราะเบาๆ “มันก็เป็นชื่อที่ได้มาจากทั้งชื่อจริงพี่กับชื่อของแฟนพี่แหละครับ พี่ชื่อวันหนึ่ง ส่วนแฟนพี่ชื่อศิรินภา เพราะงั้น ‘อากาศดี’ ก็โอเคอยู่ใช่มั้ยละ และที่แปลกอีกอย่างคือช่วงนั้นก่อนที่จะถึงกำหนดทำคลอด ที่กรุงเทพฯ ฝนตกมาตลอดทุกวันเกือบทั้งอาทิตย์เลยนะ แต่วันที่น้ำคลอดเป็นวันเดียวที่ฝนไม่ตก แล้ววันรุ่งขึ้นฝนก็กลับมาตกอีก”
“หืมมมม มันจะเกี่ยวกับที่น้องเป็นเด็กอารมณ์ดีแบบนี้ด้วยรึเปล่านะครับเนี่ย”
“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันนะ” ผมยิ้ม
“แล้วแฟนพี่เค้าว่าไงมั่งอะครับ ที่วันนั้นเป็นวันเดียวที่อากาศดีตรงกับชื่อน้องพอดีน่ะ”
ผมก้มลงมองดูแก้วเบียร์ในมือ “เรายังไม่ทันที่จะได้คุยอะไรกันด้วยซ้ำครับ เพราะหลังจากนั้นแฟนพี่ก็เข้าไอซียูแทบจะทันทีเลย...”
“อุ๊บ ขอโทษครับพี่ ผมทำแบบนี้อีกแล้ว” สีหน้าของหมอกเปลี่ยนไปทันที “แม่งเอ๊ยยยย”
“ไม่เป็นไร พี่ไม่ถือหรอก”
“พี่... รักแฟนพี่มากเลยใช่มั้ยครับ”
ผมพยักหน้า “ฟ้าเป็นแฟนคนแรกและคนเดียวของพี่เลยน่ะครับ อีกอย่างคือเรารู้จักกันมาตั้งแต่เด็กแล้วด้วย”
“ผมก็ว่างั้นแหละครับ”
“หืออ อะไรเรอะ”
“เปล่าครับ ผมก็แค่พอดูออกว่าพี่คงรักแฟนพี่มากอะ เพราะเวลาพูดถึงเรื่องพวกนี้ทีไร ผมจะดูออกจากสายตาพี่ทันทีเลย... น่าอิจฉาแฟนพี่นะครับ” เขายกแก้วเบียร์ที่ถืออยู่ในมือขึ้นดื่ม
“ว่าแต่เราเหอะ ไม่มีแฟนรึไง พี่ได้ยินมาว่าเราเองก็เสือผู้หญิงไม่เบานี่นา”
“ฮ่าๆๆ ไอ้พวกนั้นมันมั่วแล้วพี่ ไอ้อาร์มต่างหากที่แม่งเสือผู้หญิงอะ ผมก็เคยมีแฟนบ้างแหละ แต่ตอนนี้ไม่มีใครว่ะ โสด สบายใจดี คือมันก็มีเหงาๆ บ้างนะ แต่ไม่อยากคบใครมั่วซั่วแล้วอะครับ บางทีก็อยากเจอคนที่เรารู้สึกว่า ‘เฮ้ย! คนนี้แม่งใช่เลยว่ะ!’ แล้วก็ทุ่มเทให้เค้าคนเดียวแล้วหยุด พอ ไรงี้อะ ผมถึงได้บอกไงว่าพี่ก็น่าอิจฉานะ รักกันนาน รักกันจริง ผมเองก็อยากมีแบบนั้นบ้างเหมือนกัน”
“แล้วยังไม่เจอเลยรึไง คนที่ว่าน่ะ ไม่มีเฉียดๆ เลยเหรอ”
“ไม่รู้ดิพี่ จะว่ามีก็อาจจะมีมั้ง” เขายักไหล่ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นสบตาผม “แต่ผมว่ามันยากไปว่ะ”
“ยากยังไง”
“ก็แบบ บางทีเค้าอาจจะเป็นคนที่เราชอบโคตรๆ แต่คงเป็นไปไม่ได้ที่จะครอบครองไรเงี้ย มันก็ต้องทำใจใช่ปะล่ะ”
“อะไรกันเฮ้ยยย อายุแค่นี้ หน้าตาก็ดีขนาดนี้ จะมาท้อถอยง่ายๆ ได้ไง สู้ๆ หน่อยสิ”
“พี่ว่างั้นเหรอ”
“อ้าว ของแบบนี้ไม่ลองก็ไม่รู้ใช่ปะล่ะ ลองสักตั้งดีกว่ายอมแพ้ไปโดยไม่ทำอะไรเลยนะ ไม่คิดงั้นเหรอ”
“โอเคๆ” เขาเบะปาก “ไว้ผมจะลองดูแล้วกัน ได้ผลยังไงแล้วจะบอกนะพี่ ช่วยเชียร์ผมด้วยล่ะ”
“มันต้องแบบนี้สิ” ผมยกแก้วเบียร์ขึ้นชนกับเขา “ว่าแต่สาวที่ไหนเรอะ เด็กที่มหาลัยรึเปล่า”
“เปล่าพี่ ไม่ใกล้เลยแม้แต่นิดเดียว” เขาหัวเราะแล้วทำตากะล่อนใส่ผม “แต่ผมไม่บอกพี่หรอก เก็บไว้ให้เซอร์ไพรส์เล่น”
หลังจากที่เราจัดการอาหารตรงหน้าหมด ผมก็เรียกพนักงานมาคิดเงิน เขาทำท่าจะควักกระเป๋าเงินออกมาด้วย แต่ผมห้ามไว้ก่อน เพราะผมรับปากเขาไปแล้วว่าจะเลี้ยงมื้อนี้ อีกอย่าง ผมคงต้องรู้สึกไม่ดีไปอีกนานแน่ ถ้าเขาที่อายุน้อยกว่าจะมาหารค่าอาหารกับผม แต่เขาก็ยังยืนยันจะขอจ่ายให้ได้ แถมไม่ใช่แค่ครึ่งหนึ่งแต่เป็นทั้งหมดอีกต่างหาก
“ก็พี่บอกไปแล้วไงว่าพี่จะเลี้ยง เมื่อก่อนมาเรายังทำท่าดีใจอยู่เลยไม่ใช่รึไง เพราะงั้นไม่ต้องเลย เก็บเงินไว้เหอะ”
“โหยย พี่ ผมไม่ได้ดีใจที่พี่จะเลี้ยงข้าวผมสักหน่อย ผมไม่รบกวนพี่หรอกน่า จริงๆ พี่กินไปแค่นั้นยังจะมาเลี้ยงอะไรผมอีกเล่า”
“ไม่ได้ พี่รับปากแล้ว พี่จ่ายเอง” ผมยืนกรานเสียงแข็ง
“โอเคๆ ยอมก็ได้ แต่ครั้งหน้าเราไปกินข้าวกันผมเป็นคนจ่ายนะ พี่เลี้ยงผมสองครั้งแล้วเนี่ย ให้ผมได้จ่ายมั่งเหอะ”
“งั้นก็ตามนั้น” ผมตกลง แต่ในใจก็ยังไม่คิดที่จะยอมให้เขาเลี้ยงผมอยู่ดี ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ก็ตามนั่นแหละ
หลังจากจ่ายเงินเสร็จ เราก็นั่งคุยกันอีกสักพัก ผมนั่งดื่มน้ำเปล่าเพื่อเจือจางแอลกอฮอล์จากเบียร์หนึ่งแก้วที่ดื่มไปเมื่อครู่ จากนั้นเราก็เดินออกจากร้านและตรงไปยังรถของผมที่จอดอยู่หน้าร้าน
“พี่หนึ่ง กลับดีๆ นะครับ วันนี้ขอบคุณมากๆๆ เลย” เขายกมือขึ้นไหว้ผม
“อ้าว เฮ้ย มาบอกลาอะไรตอนนี้ ขึ้นรถสิ เดี๋ยวพี่ไปส่ง”
“ไม่เป็นไรพี่ เดี๋ยวผมนั่งแท็กซี่กลับดีกว่า จากนี้ไปคอนโดผมกับไปบ้านพี่มันไม่ใช่ทางผ่านหรือแม้แต่ใกล้กันเลยนะ พี่กลับบ้านเหอะ นี่ก็จะห้าทุ่มแล้ว”
“ไม่เป็นไรหรอก พี่ไปส่งได้ มาเหอะน่า”
“ไม่เอาพี่ พี่เลี้ยงข้าวผมแล้ว ไม่ต้องไปส่งผมหรอก เดี๋ยวผมนั่งแท็กซี่กลับก็แค่ปื๊ดเดียว ชิลๆ พี่”
“เอางั้นเหรอ แน่ใจนะ”
“แน่ใจคร้าบบบ” เขายืนยัน
“โอเค งั้นก็กลับดีๆ แล้วกันนะครับ”
“พี่ก็เหมือนกัน ฝากหอมแก้มน้องด้วยนะ บายพี่” เขาโบกมือให้ผม
ผมรับไหว้เขาก่อนจะเปิดประตูรถออกและนั่งลงหลังพวงมาลัย เขาเดินผ่านเลยรถของผมตรงไปยังป้ายรถเมล์ที่อยู่ตรงหน้าเพื่อจะเรียกรถแท็กซี่ ผมสต๊าร์ทเครื่องยนต์และมองดูเขาเดินล้วงกระเป๋าไปตามฟุตบาท ผมส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ เคลื่อนรถไปเทียบข้างๆ เขา ผมบีบแตรและลดกระจกหน้าต่างฝั่งเขาลง
“ขึ้นมาเลยครับ คุณชาย ไม่ต้องโยกโย้แล้ว” ผมชะโงกไปพูดกับเขา
เขาหันมามองหน้าผมพร้อมรอยยิ้มกว้างก่อนจะเปิดประตูรถออกและกระโดดขึ้นมานั่งบนเบาะ “ขอบคุณครับ คุณพี่! ฮ่าๆๆ”
ผมหัวเราะเบาๆ ไปกับเขาด้วย จากนั้นก็วนรถไปส่งเขาที่คอนโดก่อนจะกลับบ้านตัวเอง เมื่อผมเดินเข้าไปในบ้าน พ่อกับแม่ก็ยังคงนั่งดูทีวีกันอยู่ที่ห้องนั่งเล่น ทั้งสองคนทำให้ผมคิดแบบนั้น แต่ผมรู้ดีว่าที่จริงแล้วพวกเขากำลังรอผมอยู่ต่างหาก
“กลับมาแล้วเหรอลูก เป็นไงมั่งล่ะ เมารึเปล่า” แม่ถามขึ้นทันทีที่ผมก้าวเท้าเข้าไปในบ้าน
“ไม่เมาหรอกครับ ก็หนึ่งต้องขับรถนี่ ไม่ได้กินเยอะหรอก แล้วน้ำเป็นไงมั่งครับ งอแงรึเปล่า”
“เมื่อตอนหัวค่ำก็มีนิดหน่อย แต่ไม่มากหรอก ตอนนี้หลับอยู่ในห้องน่ะ”
“พ่อเพิ่งขึ้นไปเช็คเมื่อห้านาทีก่อนนี้เอง ไม่ต้องเป็นห่วง” พ่อพูดขึ้นราวกับอ่านใจผมออก จากนั้นก็ยืนขึ้นและบิดขี้เกียจ “เฮ้ออ เอาล่ะ พ่อว่าพ่อขึ้นไปนอนก่อนดีกว่า”
“แม่ก็ไปด้วยดีกว่า” แม่ผมลุกจากโซฟาด้วยอีกคน “ปิดบ้านด้วยแล้วกันนะ หนึ่ง พ่อกับแม่ไปนอนก่อนนะ”
“พ่อครับ แม่ครับ... ขอบคุณนะครับ”
ทั้งสองคนยิ้มและยักหน้าให้ผมเบาๆ ก่อนจะเดินขึ้นบันไดหายไป ผมเข้าไปในครัว รินน้ำเย็นดื่มสักแก้ว แล้วจึงเดินกลับออกมาล็อคประตูบ้านให้เรียบร้อยก่อนจะเดินขึ้นห้องของตัวเอง ผมค่อยๆ เปิดประตูอย่างเบามือที่สุดเพื่อที่จะไม่ปลุกน้ำที่กำลังหลับอยู่ ผมเดินย่องไปยังเปลเด็กและก้มลงจุ๊บหน้าผากเขาเบาๆ ก่อนจะไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า และล้มตัวลงบนเตียงนอนอย่างเหนื่อยอ่อน ผมรู้สึกว่าวันนี้ช่างเป็นวันที่ยาวนานจริงๆ
เช้าวันรุ่งขึ้น ธีโทรมาหาผมและถามว่าการอบรมที่โรงพยาบาลเป็นอย่างไรบ้าง ผมจึงเล่าความรู้สึกของผมให้เขาฟังตามตรงรวมทั้งบอกเขาอีกด้วยว่าคงจะไม่ไปอีกแล้ว เขาหัวเราะเบาๆ และบอกว่าเขาเข้าใจดี
“แล้วน้องเป็นยังไงบ้างครับ ตื่นรึยัง” เขาถาม
“ตื่นแล้วครับ เพิ่งตื่นนี่แหละ วันนี้ตื่นสายเพราะเมื่อคืนตื่นมางอแงกลางดึกนิดหน่อย สงสัยจะฝันร้าย”
“แล้วตัวคุณพ่อเองล่ะครับ ตื่นดีรึยัง”
“ฮ่าๆ ตื่นแล้วสิครับ ผมตื่นตั้งแต่เช้าแล้ว”
“ผมก็ว่างั้นแหละ ถามไปงั้นเองแหละครับ เรื่องของเรื่องคืองี้ เดี๋ยวช่วงบ่ายๆ ผมต้องขับรถพาแม่ไปทำธุระแถวๆ บ้านหนึ่งพอดีน่ะ แล้วผมก็ต้องรอรับแกกลับด้วย คิดว่าคงมีเวลาว่างสัก 2-3 ชั่วโมง เลยจะถามว่าว่างรึเปล่า เผื่ออยากออกไปดื่มกาแฟด้วยกันหรืออะไรอย่างนี้ดีมั้ย”
“อ้าวเหรอ แล้วพี่จะมาราวๆ กี่โมงครับ”
“ไปถึงนั่นก็ราวๆ บ่ายโมงน่ะครับ แล้วกว่าแม่ผมจะเสร็จธุระก็เย็นนั่นแหละ”
ผมเงยหน้ามองดูนาฬิกาบนผนังห้อง “ตอนนี้เพิ่งจะเก้าโมง เพราะงั้นก็...” ผมนับคำนวณเวลา
“ถ้าไม่ว่างก็ไม่เป็นไรนะครับ แค่ถามดูเฉยๆ”
“อ๋อ เปล่าครับ ผมแค่ลองนับดูเฉยๆ ว่าอีกกี่ชั่วโมง ผมจะได้เตรียมตัว ตัวผมเองน่ะว่างอยู่แล้ว ว่าแต่พี่ธีจะไปไหนล่ะครับ มีที่คิดไว้รึยัง”
“ไม่มีเลยสักนิด” เขาหัวเราะ
“อืมมม... ถ้างั้นเอางี้มั้ย พี่เข้ามาบ้านผมก็ได้ มาทานข้าวเที่ยงที่บ้านด้วยกันก็ได้ครับ เดี๋ยวผมขับรถไปรับที่ๆ พี่ไปส่งแม่พี่ไว้ หรือว่าตอนเย็นพี่พาแม่มาทานข้าวที่บ้านก็ได้นะ ผมยินดีต้อนรับ”
“ตอนเย็นคงไม่ได้อะครับ พอดีต้องกลับไปงานเลี้ยงตอนหัวค่ำ” เขาตอบ “แต่ตอนบ่ายล่ะก็ไปได้นะ แต่จะไม่รบกวนเหรอ”
“ไม่รบกวนหรอกครับ พ่อกับแม่ผมจะยิ่งดีใจด้วยซ้ำ เชื่อเถอะ”
“หือ ทำไมล่ะ” เขาหัวเราะ
“เรื่องมันยาวครับ เอาเป็นว่าพี่ตกลงนะ เดี๋ยวผมจะได้บอกพ่อกับแม่”
“ได้ครับ ถ้างั้นขอรบกวนวันนึงแล้วกันนะ”
“ยินดีครับ”
หลังจากวางสาย ผมก็เดินไปบอกแม่ว่าจะมีแขกมาที่บ้านในตอนบ่ายๆ แล้วก็เป็นอย่างที่คิด ทั้งแม่และพ่อต่างก็แปลกใจกันใหญ่ว่าธีคือใคร ผมไปรู้จักตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ที่จริงสาเหตุที่ทั้งคู่ถามแบบนั้นเป็นเพราะพวกเขาดีใจที่ผมได้ทำความรู้จักและใช้เวลากับคนอื่นๆ มากขึ้นต่างหาก ผมรู้ดี
เมื่อถึงเวลานัด ผมก็ขับรถออกไปรับธียังสถานที่ที่เขาบอกผมไว้ ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านผมไปแค่ประมาณ 15 นาทีเท่านั้น ขณะที่ขับรถกลับบ้าน เขาก็เล่าให้ฟังว่าแม่ของเขามาหาเพื่อนที่บ้านอยู่แถวๆ นี้ แต่จะมีเพื่อนคนอื่นๆ ตามมาสมทบอีก 3-4 คน ซึ่งเขาไม่อยากอยู่ด้วย จึงชวนผมออกมาเจอเพื่อฆ่าเวลา
“แม่ผมเค้าบอกอีกประมาณสองชั่วโมงให้ไปรับ แต่เชื่อเหอะว่าเกินแน่ๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์” เขาพูดพลางหัวเราะเบาๆ
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ใกล้แค่นี้เอง”
“ไม่สิ ผมก็เกรงใจ ไปนั่งอยู่บ้านหนึ่งตั้งหลายชั่วโมงงี้”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับพี่ ตามสบายเลย”
“แล้วพ่อกับแม่หนึ่งเค้าไม่ว่าอะไรเหรอ พาคนแปลกหน้าเข้าบ้าน”
“แปลกหน้าอะไร ผมเองก็เคยเล่าเรื่องพี่ให้เค้าฟังไปแล้วบ้างเหมือนกัน แต่พอผมบอกว่าพี่จะเข้ามาบ้าน เค้าก็ถามแหละครับว่าใครอะไรยังไง เพราะเค้าจำชื่อพี่ไม่ได้น่ะ”
“ฮ่าๆๆ จริงๆ ชื่อ ‘ทะเล’ ไม่น่าจะจำยากนะ”
“ผมบอกเค้าไปว่าพี่ชื่อธีน่ะครับ”
“อ้อ ถ้างั้นก็คงฟังดูโหลจริงๆ นั่นแหละ”
“สรุปว่าไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ แต่ถ้าพี่อึดอัดก็บอกแล้วกัน เราขับรถออกไปหาร้านกาแฟนั่งคุยกันก็ได้ แต่ผมว่าพี่คุยเก่งแบบนี้ น่าจะเข้ากับแม่ผมได้ดีนะ”
“ผมคุยเก่งเหรอ ผมเนี่ยนะ” เขาเลิกคิ้วขึ้น “ฮ่าๆๆ ไม่หรอกครับ ผมแค่เป็นคนยิ้มง่ายน่ะ แต่ไม่ใช่คนคุยเก่งหรอก ยิ่งกับผู้ใหญ่บางทีก็ทำตัวไม่ค่อยถูกเหมือนกัน นี่แหละคือเหตุผลที่ผมไม่อยากอยู่กับแม่ที่บ้านเพื่อนเค้า มันอึดอัดบอกไม่ถูก... เฮ้ย แต่ไม่ได้หมายความว่าไปบ้านหนึ่งแล้วผมจะอึดอัดนะ แค่หมายถึงว่าเพื่อนแม่ผมแกมีแต่คุยกันเก่งๆ ทั้งนั้นน่ะครับ พอโดนรุมๆ แล้วบางทีผมก็อึดอัดๆ น่ะ”
จู่ๆ ผมก็นึกถึงสีหน้าซีเรียสของเขาที่เคยเห็นตอนไปเซ็นทรัลวันก่อนนั้นขึ้นมา
“หืออ ทำไมจู่ๆ เงียบไปล่ะ มีไรป่าว”
“เปล่าครับ ไม่มีอะไร ก็แค่คิดว่าปกติพี่ธีเป็นคนยิ้มเก่งอย่างที่พี่พูดจริงๆ นั่นแหละ”
“ก็คงงั้นมั้งครับ”
“ดีแล้วล่ะครับ แม่ผมน่าจะชอบพี่แหละ ผมว่า”
“ผมจะพยายามโปรยเสน่ห์ให้เต็มที่ก็แล้วกัน” เขาพูดพลางหัวเราะเบาๆ
แล้วก็เป็นอย่างที่ผมคิดเอาไว้ แต่ไม่ใช่แค่กับแม่เพียงคนเดียว เพราะแม้แต่กับพ่อที่เป็นคนพูดน้อยก็ยังดูถูกชะตากับธีด้วยเลย โดยเฉพาะเมื่อพ่อรู้ว่าธีเคยเป็นกุ๊กมาก่อน พ่อก็ยิ่งคุยถูกคอกับเขามากขึ้นไปอีก เพราะว่าปกติพ่อของผมก็ชอบทำอาหารอยู่แล้ว ดังนั้นหลังจากที่กินข้าวกันเสร็จแล้ว เขาสองคนก็สามารถนั่งคุยกันได้อีกพักใหญ่ๆ ในขณะที่ผมไปช่วยแม่เก็บล้างในครัว แต่แล้วจู่ๆ น้ำที่นอนอยู่ในเปลก็ร้องไห้จ้าขึ้นมา ผมที่มือเต็มไปด้วยฟองน้ำยาล้างจานจึงรีบล้างมือและเช็ดมือให้แห้งก่อนจะเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่น แต่ผมช้ากว่าธีไปแค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้นเอง เพราะผมเดินเข้าไปเห็นว่าเขากำลังอุ้มเจ้าตัวเล็กขึ้นมาจากเปลพอดี
“โอ๋ๆ ไม่สบายตัวเหรอครับ คนเก่ง แพมเพิสหนักอึ้งแล้วเนี่ย”
ผมเดินเข้าไปหาเขา “ขอบคุณครับพี่ ไวจริงๆ นะเนี่ย”
เขาหันมายิ้มและยื่นเจ้าตัวเล็กให้ผม “พอดีได้ยินเสียงเค้าร้องฮึกฮักๆ อยู่สักพักแล้วน่ะครับ เลยตัดสินใจเดินมาดู ผ้าอ้อมอยู่ไหนล่ะครับ เดี๋ยวผมช่วย”
“ไม่เป็นไรครับ ผมจัดการเองก็ได้”
“ไม่เป็นไรน่า เดี๋ยวผมช่วย สองคนจะได้เสร็จไวๆ”
“ถ้างั้น... ผมฝากลูกแป๊บนึงครับ เดี๋ยวไปหยิบตะกร้ามาก่อน” ผมฝากน้ำไว้กับเขา จากนั้นก็เดินไปหยิบตะกร้าใส่ข้าวของเครื่องใช้สำหรับน้ำที่แม่เตรียมไว้ให้ออกมาวางข้างๆ เขา หลังจากนั้นเราก็ช่วยกันทำความสะอาดให้เจ้าตัวเล็ก ก่อนจะจบท้ายด้วยการป้อนนมให้เขาโดยที่มีพ่อนั่งดูอยู่ห่างๆ
“ธีเองก็ดูคล่องเหมือนกันนะเนี่ย” พ่อพูดขึ้น “พ่อว่าผู้ชายที่จะดูแลเด็กเล็กเป็นแบบนี้มีน้อยนะ”
“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ อย่างผมเองก็คงเพราะส่วนมากผมเป็นฝ่ายต้องดูแลลูกล่ะมั้งครับ แต่แรกๆ ก็เก้ๆ กังๆ ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน”
“ก็เหมือนเจ้าหนึ่งนั่นแหละ ช่วง 2-3 เดือนแรกนี่ทำอะไรแทบไม่เป็นเลย แม่มันทำให้หมด”
“ก็เพราะแม่นั่นแหละที่ไม่ยอมให้หนึ่งทำอะไรเลยน่ะ” ผมออกตัว
“ได้ยินนะค้าาา!!” แม่ตะโกนออกมาจากในครัว
เมื่อแม่เก็บล้างเสร็จ พวกเราทุกคนก็ออกมานั่งคุยกันต่อที่ห้องนั่งเล่น เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนเมื่อรู้สึกตัวอีกครั้งก็เป็นตอนที่แม่ของธีโทรมาตามเขาให้กลับไปรับได้แล้ว แม้แต่ผมเองยังต้องแปลกใจเลยว่าพวกเราคุยกันถูกคอมากจนลืมเวลาไปได้ขนาดนี้ ก่อนที่ผมจะพาเขากลับไปหาแม่ของตัวเอง พ่อกับแม่ผมก็กำชับกับเขาว่าให้กลับมาเยี่ยมทั้งคู่ที่บ้านอีก และระหว่างที่ผมขับรถกลับไปส่งเขานั้น เขาก็ยืนยันกับผมว่าเราคงจะได้เจอและได้ใช้เวลาด้วยกันมากขึ้นอีกแน่ๆ เพราะเขาเองก็ชอบที่ได้คุยกับผมเหมือนกัน ผมว่าเราสองคนต่างก็รู้สึกได้ว่าเรามีอะไรหลายๆ อย่างที่เข้ากันได้ ผมรู้สึกสบายใจที่ได้คุยกับเขา และเขาเองก็คงรู้สึกแบบเดียวกัน ผมจึงค่อนข้างมั่นใจว่าเราจะต้องเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ในเวลาอันรวดเร็วแน่นอน