the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 18 - 27 July)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 18 - 27 July)  (อ่าน 70947 ครั้ง)

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ขอดีเลย์สัก 2-3 วันนะครับ ปั่นงานก่อนนะ

ออฟไลน์ vivalasvegus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 142
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
รับทราบค่ะ ขอบคุณที่แจ้งข่าว

ออฟไลน์ xeruoh

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 491
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
ขอดีเลย์สัก 2-3 วันนะครับ ปั่นงานก่อนนะ

รอได้ค่าาาา
 :hao6: :hao6: :hao6:

TimelessOne

  • บุคคลทั่วไป
สู้ๆครับ ทำ thesis  :katai4:

ออฟไลน์ พลอยสวย

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1622
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-5

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนที่ 12


เขาทำหน้าตกใจ “หืมมม ไปไหน หนึ่งหมายถึงอะไร หมายถึงไปเที่ยวกับผมน่ะเหรอ”

“ใช่ครับ”

“ที่บาร์...” เขาชะงัก ก่อนจะพูดต่อด้วยเสียงที่เบาลงจนแทบเป็นเสียงกระซิบ “เกย์น่ะนะ”

ผมยักไหล่ “ผมหมายถึงที่ไหนก็ได้ครับ แต่จะเป็นที่ๆ พี่เคยไปหรือบาร์แบบไหน ผมก็ไปได้หมดแหละ คือผมว่ามันก็คงไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่ใช่มั้ยล่ะครับ แค่คนที่มาเที่ยวไม่เหมือนกันแค่นั้นเอง ผมลองไปเปิดหูเปิดตาบ้างก็คงดีเหมือนกัน พี่อายเป็นผู้หญิงยังไปได้เลย และที่สำคัญ ถ้าจะมีใครมาทำอะไรผม ผมก็มีพี่คอยช่วยอยู่แล้ว จริงมั้ยล่ะ”

เขามองหน้าผม “หนึ่งแน่ใจนะ”

“แน่ใจครับ” ผมพยักหน้า “พี่ว่าไงล่ะ”

“ผมน่ะไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว ถ้าหนึ่งไว้ใจผม ผมก็พร้อมดูแลหนึ่งอยู่แล้วล่ะ ขอแค่หนึ่งตัดสินใจอยากทำแบบนั้นจริงๆ ก็พอ ไม่ใช่แค่อยากไปเพราะต้องการจะกระตุ้นให้ผมกล้ากลับไปที่นั่นอีกครั้งล่ะ”

“ไม่ใช่ครับ คือ โอเค มันก็มีส่วนแหละ แต่เหตุผลหลักๆ คือผมอยากจะลองออกไปเที่ยวกับพี่บ้างต่างหาก และผมแค่คิดว่ามันคงจะดีกว่าถ้ามันเป็นสถานที่ที่พี่คุ้นเคย อะไรแบบนี้น่ะ”

เขาหรี่ตาเล็กน้อย จากนั้นมุมปากของเขาก็ขยับขึ้นเป็นรอยยิ้มเล็กๆ “โอเค งั้นผมก็ขอบคุณละกันครับ สรุปว่าพรุ่งนี้เราไปเที่ยวกันสามคนแล้วกันนะ โอเครึเปล่า”

“มันก็ต้องโอเคอยู่แล้วล่ะครับ” ผมยืนยันด้วยรอยยิ้มกว้าง

“งั้นพรุ่งนี้ผมสัญญาว่าผมจะเลิกคิดเล็กคิดน้อย เลิกกังวลเรื่องไอ้พี่ก้อง แล้วเราไปสนุกกัน ถือว่าพาหนึ่งไปเปิดหูเปิดตายังโลกแห่งใหม่ที่ไม่เคยเจอมาก่อน” เขาหัวเราะ จากนั้นก็ยกมือสองข้างขึ้นถูกันท่าทางตื่นเต้น “อูยยย หยั่งงี้พรุ่งคงนี้สนุกแน่ คงจะน่าตื่นตาตื่นใจสำหรับหนึ่งน่าดู”

ผมรู้ว่าเขาพูดเล่น แต่มันก็ทำให้ผมอดรู้สงสัยและกังวลเล็กๆ ไม่ได้ว่าผมจะเจออะไรที่ทำให้ต้องตื่นเต้นหรือตื่นตาตื่นใจขนาดนั้นเลยหรือ

ช่วงสายของวันเสาร์ ก้อยกับแม่ของเธอแวะมาเยี่ยมพ่อกับแม่และเจ้าตัวเล็กที่บ้าน แต่พอก้อยกับแม่เผลอ แม่ก็แอบเดินเข้ามาคะยั้นคะยอให้ผมพาก้อยออกไปกินข้าวนอกบ้านให้ได้ ด้วยความที่เบื่อๆ อยู่แล้วและก้อยเองก็เป็นเหมือนน้องที่น่ารักของผมคนหนึ่ง ผมจึงไม่มีปัญหาที่จะทำอย่างที่แม่บอก อีกไม่กี่ชั่วโมงถัดมา เราสองคนก็มาเดินกันที่อยู่ห้างประจำ หลังจากกินข้าวเสร็จเราก็เดินเล่นด้วยกันต่ออีกครู่หนึ่ง พอผมบอกว่าผมไม่ได้ซื้อเสื้อผ้าใหม่มาสักพักแล้ว ก้อยก็อาสาเป็นผู้ช่วยผมเลือกซื้อเสื้อผ้าทันที สุดท้ายผมจึงจบด้วยการซื้อเสื้อเชิ๊ตใหม่สี่ตัว เสื้อยืดสองตัว กางเกงสองคู่ และเนกไทอีกสองเส้น ผมที่ไม่ค่อยเคยชินกับการเดินซื้อของนานๆ ชวนก้อยไปนั่งพักเหนื่อยกันสักพักก่อนกลับบ้าน ซึ่งร้านที่ขาของผมพาเดินไปนั้นก็คือร้านกาแฟร้านประจำร้านเดิม

ทันทีที่น้องๆ พนักงานเห็นหน้าผม พวกเขาก็ยิ้มแย้มทักทายอย่างเป็นกันเองทันที

“พี่หนึ่งมาที่นี่บ่อยเหรอคะ” ก้อยถามขึ้นหลังจากเรานั่งลงที่โต๊ะตรงมุมร้าน

“ก็ทุกอาทิตย์น่ะนะ”

“สวัสดีค่า ของพี่รับแบบเดิมมั้ยคะ” น้องพนักงานที่ชื่อฝนเดินมารับออเดอร์

“ครับ”

“แล้วพี่ผู้หญิงล่ะคะ” ฝนหันไปถามก้อย

“ขอช็อคโกแล็ตปั่นก็แล้วกันค่ะ”

“ได้ค่ะ” ฝนพยักหน้าพร้อมกับส่งยิ้มให้ผม “วันนี้พี่ผู้ชายอีกคนไม่มาด้วยเหรอคะ”

“ไม่ครับ” ผมยิ้มตอบ ส่วนก้อยก็ทำหน้างงๆ

“ใครเหรอคะ พี่หนึ่ง” ก้อยถามหลังจากที่ฝนเดินกลับไปยังเคาน์เตอร์แล้ว

“เพื่อนพี่น่ะครับ ชื่อพี่ธี”

“อ๋อ ค่ะ มาที่นี่ด้วยกันบ่อยเหรอคะ น้องเค้าถึงได้ถาม”

“อื้อ ก็ประมาณนั้นน่ะ”

“ค่ะ” เธอตอบรับแบบไม่ได้ใส่ใจมากมายนัก “อ้อ จริงด้วย เดี๋ยวมื้อนี้ก้อยจ่ายเองนะคะ”

“เฮ้ย ไม่ต้องๆ เมื่อกี้ก็เลี้ยงข้าวพี่เป็นของขวัญวันเกิดไปแล้วไม่ใช่รึไง ให้พี่จ่ายเถอะ”

“ไม่ได้ค่ะ คุณแม่ก้อยสั่งมา วันนี้ทั้งวันพี่หนึ่งต้องไม่จ่ายเงินค่ากินค่าดื่มอะไรเลยเด็ดขาด! สรุป ตามนั้นค่ะ ก้อยอยากเลี้ยง โอเค๊”

“โอเคครับ โอเค พี่ยอมแพ้” สุดท้ายผมก็ต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้ เรานั่งดื่มกาแฟและคุยสัพเพเหระกันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ก้อยจะถามสิ่งๆ หนึ่งขึ้นมา

“พี่หนึ่ง ก้อยถามตรงๆ หน่อยสิ ที่พี่ชวนก้อยออกมาเนี่ย เป็นเพราะคุณป้าอีกรึเปล่าคะ”

“เปล่าครับ พี่อยากชวนเราออกมาเอง” ผมปฏิเสธ แต่ก้อยทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ “เอ่ออ... โอเค แม่พี่เค้าก็บอกแหละว่าให้ชวนก้อยออกมา แต่พี่อยากชวนเรามาอยู่แล้วด้วยนะ ไม่ได้โดนบังคับหรืออะไร พี่ตัดสินใจเองจริงๆ”

“อ๋อ ค่ะ” ก้อยยิ้มน้อยๆ “คุณป้านี่ก็ดูจะไม่ยอมแพ้เลยเนอะ”

“ก้อยลำบากใจรึเปล่า พี่ต้องขอโทษแทนแม่ด้วยจริงๆ นะ”

“ไม่ลำบากใจหรอกค่ะ ก้อยเองก็ชอบอยู่กับพี่หนึ่งเหมือนกัน แค่บางทีพี่หนึ่งชวนก้อยไปไหนมาไหนบ้างโดยไม่ถูกบังคับอย่างวันนี้ ก้อยก็ดีใจมากแล้วล่ะค่ะ”

คำพูดของก้อยทำให้ผมอึ้งๆ ไปนิดหน่อย ไม่รู้ว่าเธอมีเจตนาจะสื่อความหมายที่ลึกซึ้งอย่างที่ผมคิดอยู่หรือเปล่า

“พี่เองก็ชอบอยู่กับก้อยนะ พี่รู้สึกเหมือนเราเป็นน้องสาวพี่เลยน่ะ” ผมพูดออกไปอย่างชัดเจน “เป็นทั้งเพื่อนแล้วก็น้องสาวในเวลาเดียวกันเลยด้วย ถ้าแม่พี่เค้าเข้าใจอะไรง่ายๆ ขึ้นอีกสักนิดก็คงดี”

“ก้อยเข้าใจค่ะ ไม่เป็นไรหรอก ก้อยไม่ถือเลยจริงๆ แต่จริงๆ แล้ว บางทีความรู้สึกบางอย่างที่พิเศษ มันก็อาจจะพัฒนามาจากความเป็นเพื่อนได้เหมือนกันใช่มั้ยล่ะคะ”

ผมอึ้งไปอีกครั้ง

“ก็แค่พูดเฉยๆ นะคะ ไม่มีอะไรหรอก อย่าคิดไปไกลล่ะ” ก้อยหัวเราะพลางตีมือผมเบาๆ แต่บางอย่างในน้ำเสียงและแววตาของเธอบอกผมว่ามันอาจจะมีอะไรบางอย่างมากกว่านั้น

บางทีผมอาจจะเข้าใจผิดไปเองก็ได้

เรานั่งคุยกันอีกสักพักก็ตัดสินใจกลับบ้าน และหลังจากที่กลับไปถึงบ้านไม่นาน ก้อยกับแม่ก็ขอตัวกลับ ผมจึงมีเวลาอีก 2-3 ชั่วโมงในการพักผ่อนและอาบน้ำเตรียมตัวสำหรับออกไปเที่ยวคืนนี้กับธีและอาย

เรานัดเจอกันกลางทางและกินข้าวเย็นด้วยกันก่อนที่จะนั่งแท็กซี่ไปที่ผับ ซึ่งเราไปถึงกันค่อนข้างจะเร็วทีเดียว แต่อายบอกผมในรถว่ามันเป็นเพราะธีรู้ว่าผมไม่อยากจะอยู่จนดึกมากนัก เขาคิดว่าผมคงจะไม่ชินกับการอยู่จนดึกถึงตีสองหรือตีสาม หรือเผื่อผมรู้สึกอึดอัดจนอยากกลับก่อน และเขาก็คิดว่าผมคงจะเป็นห่วงลูกด้วย พอได้ยินอย่างนั้นผมก็ยิ่งรู้สึกชอบเขามากขึ้นไปอีกที่เป็นคนนึกถึงผู้อื่นมากขนาดนี้ ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะผมเคยเล่าให้เขาฟังว่า ผมไม่ค่อยชอบเวลาที่น้ำตื่นขึ้นกลางดึกแล้วผมไม่ได้อยู่ดูแลเขา แต่ผมนึกไม่ถึงเลยว่าธีจะจำเรื่องนี้ได้

หลังจากลงรถแท็กซี่ สิ่งแรกที่ผมสังเกตได้ก็คือผู้ชายจำนวนมากมายที่ยืนกันอยู่เต็มฟุตบาท เอ่ออ... คือสภาพเพศน่ะ เป็นผู้ชายกันทุกคน แต่ถ้าให้พูดตรงๆ ก็คือมีทั้งผู้ชายที่ดูเป็นผู้ชายจริงๆ กลุ่มที่ออกสาวนิดๆ ออกสาวมากๆ ไปจนถึงพวกที่แต่งหน้าจนลอยมาอย่างเห็นได้ชัดก็มี ซึ่งเผลอๆ สองประเภทหลังนี่จะมีเยอะยิ่งกว่าเสียอีก

“ตื่นเต้นเหรอ หรือว่ากลัว” ธีเดินเข้ามากระซิบที่หูของผม

“ทั้งสองอย่างมั้งครับ” ผมหัวเราะ “ล้อเล่นน่า ผมไม่กลัวหรอก จะไปกลัวอะไร แค่ไม่ชินเท่านั้นเอง”

“กลัวโดนลวนลามมั้ย” เขาแหย่

“มีพี่ธีอยู่ ผมไม่กลัวหรอก”

“ไปเถอะครับ” เขายิ้ม โอบไหล่ผม และพาผมเดินเข้าไปในร้านโดยที่มีอายเดินควงแขนเขาอยู่อีกข้าง

ข้างในผับก็เป็นเหมือนผับหรือร้านเหล้าทั่วๆ ไปที่ผมคุ้นเคย นั่นคือ มืด แคบ และเปิดเพลงเสียงดัง ต่างกันแค่ในร้านมีแต่ผู้ชายเป็นส่วนมากเท่านั้นเอง นอกจากอายแล้วผมก็สังเกตเห็นผู้หญิงอีกหยิบมือหนึ่งกระจายอยู่ตามโต๊ะต่างๆ กว่าที่สายตาของผมจะปรับให้ชินกับความมืดได้ก็อีกพักใหญ่ๆ ที่จริงผมต้องยอมรับเลยว่าผมยังแปลกใจตัวเองเลยที่รู้สึกเพลิดเพลินและสนุกไปกับค่ำคืนนี้มากกว่าที่คิดเสียอีก กลุ่มผู้ชายโต๊ะข้างๆ ชวนเราชนแก้วและเต้นด้วยตลอดเวลา ซึ่งอายกลับตกเป็นเป้าหมายที่อีกฝ่ายขอเต้นและชนแก้วด้วยมากที่สุดด้วยซ้ำ ทุกครั้งที่มีคนทำท่าจะมาขอชนแก้วกับผม ธีก็จะออกตัวค่อนข้างชัดเจนว่าเรามาด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการโอบไหล่ หรือยืนตัวติดกับผมตลอดเวลา แต่แปลกที่ผมกลับไม่รู้สึกอึดอัดเวลาเขาทำแบบนั้นเลย ตรงกันข้าม ผมว่าผมกลับรู้สึกดีด้วยซ้ำที่เขาแลดูพยายามจะปกป้องผมและแสดงออกถึงความเป็นเจ้าของแบบนี้

“ชื่ออะไรเหรอครับ!” เด็กวัยรุ่นหน้าตาดีคนหนึ่งชะโงกหน้ามาหาผมและพยายามตะโกนถาม

“หนึ่งครับ” ผมตอบกลับไป

“ผมเต๋านะครับ” เขาแนะนำตัวพลางยื่นแก้วมาขอชนกับผม “คนนั้นแฟนเหรอครับ” เขาถามพลางขี้ไปที่ธีที่กำลังยืนคุยอยู่กับอีกโต๊ะหนึ่งอยู่

ผมไม่ตอบแต่ยิ้มและพยักหน้าให้เขาเบาๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะสังเกตเห็นหรือเปล่า

“เต้นด้วยกันหน่อยมั้ย!” เขาชวน

“เอ่ออ ไม่เป็นไรครับ ตามสบายเลย!” ผมพยายามตะเบ็งเสียงแข่งกับเสียงเพลงพร้อมทั้งส่ายหน้าให้เขาเห็น

“น่า! มาเถอะ” เขาจับต้นแขนผมและออกแรงดึงเบาๆ

“หนึ่ง!” ธีเดินเข้ามาหาผมพร้อมกับโอบเอวผมเอาไว้ “มีอะไรรึเปล่าครับ” เขาถามผมก่อนจะหันไปมองยังเต๋าที่ปล่อยมือออกจากแขนผมไปแล้ว

“ไม่มีอะไรครับ เค้าแค่จะมาชวนเต้นด้วยเฉยๆ”

“อึดอัดรึเปล่า” เขาชะโงกเข้ามาพูดที่หูของผม

“เมื่อกี้ก็เกร็งๆ นิดหน่อย แต่ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมดูแลตัวเองได้”

เขามองหน้าผมอยู่ครู่หนึ่ง “โทษทีนะ หนึ่ง อย่าถือผมนะ” เมื่อพูดจบ เขาก็จุ๊บลงบนแก้มผมเบาๆ

ผมตกใจนิดหน่อย แต่ก็พยายามรักษาสีหน้าไว้ให้เป็นปกติ

“ทำแบบนี้ คนอื่นจะได้ไม่มายุ่ง”

อายที่หันมาเห็นเราทำแบบนั้นเข้าพอดีมองเราพร้อมกับอ้าปากค้าง แต่อีกแค่เสี้ยววินาทีถัดมาเธอก็หัวเราะชอบใจพลางเดินมาชนแก้วกับผมและธีแทน

ธีมองหน้าผมแล้วยิ้มเขินๆ ท่าทางประหม่า ส่วนผมที่ไม่รู้จะพูดหรือทำตัวอย่างไรดี ก็ได้แต่เหยียดแขนออกไปแล้ววางมือลงบนหลังเขาเบาๆ เพื่อเป็นการบอกเขาว่า ผมโอเคกับสิ่งที่เขาทำ โดยที่หวังว่ามันจะทำให้เขารู้สึกคลายกังวลได้บ้าง

เวลาผ่านไปจนถึงราวๆ เกือบเที่ยงคืน ผมที่ไม่ได้ดื่มเหล้ามานานก็เริ่มรู้สึกมึนๆ ขึ้นมาบ้างแล้ว เราทั้งสามคนต่างก็สนุกสนานไปกับเสียงเพลงและผู้คนรอบข้าง แต่แล้วจู่ๆ ก็มีผู้ชายร่างใหญ่คนหนึ่งเดินตรงเข้ามาที่โต๊ะของพวกเรา ตอนแรกผมก็ไม่ได้คิดอะไร แต่เมื่อได้เห็นหน้าใกล้ๆ ชัดๆ พร้อมทั้งหันไปเห็นสีหน้าของทั้งธีกับอาย ผมก็นึกออกขึ้นมาทันทีว่าเขาคือใคร

“อ้าว! ไม่รู้นะเนี่ยว่าวันนี้เป็นวันพ่อ มีโปรโมชั่นลูกพาพ่อมาเที่ยวแล้วได้เหล้าฟรีหนึ่งกลม!” อายเป็นฝ่ายเริ่มพูดขึ้นก่อน

“ยังเป็นคนตลกน่ารักเหมือนเดิมนะ อาย ไม่แปลกใจเลยที่พี่ไม่เคยคิดถึงเราสักนิด” พี่ก้องยิ้มมุมปากกวนๆ

“พี่มีอะไร” ธีถาม

“ไม่ได้มีอะไร แค่จะมาชนแก้วด้วยเฉยๆ โต๊ะข้างๆ นี่ก็โต๊ะเพื่อนของแฟนพี่เอง” เขาชี้ไปยังโต๊ะของเต๋า คนที่ชวนผมเต้นก่อนหน้านี้ “พี่เพิ่งมาถึงน่ะ”

“มารับลูกกลับบ้านเหรอคะ!” อายถาม

เขาทำเป็นไม่สนใจโดยหันมาหาผมพร้อมกับยื่นแก้วเหล้ามาขอชนด้วย “เราเคยเจอกันหนนึงแล้วนี่ ชื่ออะไรครับ”

ผมไม่ตอบอะไรกลับไป และไม่ชนแก้วกับเขาด้วย ผมแค่หันไปหาธีแล้วดึงเอวของเขาเข้ามากอดและหอมแก้มเขาฟอดใหญ่ ก่อนจะกระซิบที่หูของเขา “คงไม่ว่าอะไรนะครับ”

ธีไม่ตอบอะไร แต่ผมรู้สึกว่าร่างกายของเขาแข็งเกร็งขึ้นด้วยความตกใจอย่างเห็นได้ชัด

พี่ก้องมองหน้าผมกับธีสลับกันครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มเยาะๆ แล้วเดินกลับไปที่โต๊ะแฟนของเขา ผมมองตามไปแล้วเห็นว่าเขาเดินเข้าไปดึงตัวของเด็กหนุ่มคนหนึ่งเข้ามากอดและคุยอะไรกันบางอย่าง ก่อนที่เด็กคนนั้นจะหันมามองพวกเราและส่งยิ้มให้

“หนึ่ง” ธีสะกิดผมและชะโงกหน้าเข้ามาคุยด้วย “ทำไมเมื่อกี้ถึงทำแบบนั้นล่ะ”

ผมยักไหล่ “ผมแค่หมั่นไส้มันน่ะ โกรธรึเปล่า”

เขารีบส่ายหน้าทันที

“ผมแค่คิดว่าถ้ามันคิดว่าเราเป็นแฟนกัน มันคงจะถอยไปเองน่ะ”

“ขอบคุณนะครับ” เขายิ้มให้ผม

“ยังไงก็อย่าไปสนใจพวกนั้นเลยครับ กินเหล้าต่อดีกว่า” ผมบอกเขา

ถึงผมจะพูดไปอย่างนั้น แต่การที่โต๊ะของพวกเขากับโต๊ะของเราอยู่ใกล้กัน มันก็ไม่ได้ทำให้การหลีกเลี่ยงสองคนนั้นง่ายขึ้นเท่าไหร่เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเวลาผ่านไปอีกเกือบหนึ่งชั่วโมง สองคนนั้นก็ยิ่งจงใจแสดงออกให้เราเห็นมากขึ้นด้วยการนั่งตักบ้าง กอดกันบ้าง เต้นด้วยกันบ้าง แต่ที่แย่ที่สุดก็คือเขาดันจูบปากโชว์พวกเราอีกด้วย และที่ผมมั่นใจว่าพวกเขาจงใจทำให้เราเห็นก็เพราะเขาทำแบบนั้นตรงหน้าของพวกโดยที่อยู่ห่างออกไปแค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้น แถมเมื่อจูบเสร็จแล้วยังมีการหันมามองพวกเราก่อนจะเดินกลับไปที่โต๊ะของตัวเองอีกต่างหาก

ครั้งที่แล้วธีก็ต้องเจอกับเรื่องแบบนี้เหรอเนี่ย น่าทุเรศสิ้นดี!

“อีเหี้ย!! กวนตีนอีกแล้วนะมึง!” อายสบถเสียงดังก่อนจะหันไปหาเพื่อนรักของเธอ “อย่าไปสนใจนะ ไอ้เล แม่งก็ทำได้แค่นี้แหละ แน่จริงแม่งก็แก้ผ้าเอากันตรงนี้เลยสิวะ”

ธีพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะกระดกเหล้าขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมดแก้ว ผมรู้สึกสงสารเขามากและอยากจะดึงตัวของเขาเข้ามากอดจริงๆ แต่สุดท้ายก็สลัดความคิดนั้นออกไป เราเป็นแค่เพื่อนกัน ถ้าหากผมทำแบบนั้นขึ้นมา มันอาจจะทำให้เขาต้องรู้สึกลำบากใจมากขึ้นเสียเปล่าๆ

อีกครู่หนึ่ง ผมก็ขอตัวเดินฝ่าฝูงคนไปเข้าห้องน้ำ และแน่นอนว่าผมก็ต้องยืนรอคิวอยู่ครู่หนึ่ง จนเมื่อมีโถหนึ่งว่าง ผมก็เดินเข้าไปทำธุระของตัวเอง คนที่ยืนอยู่ก่อนข้างๆ ผมเดินออกไป และมีคนใหม่เดินเข้ามาแทนที่ แต่ผมไม่ได้สนใจ จนกระทั่งผมรู้สึกแปลกๆ และเหลือบไปมองเขาด้วยหางตา จึงเห็นว่าคนๆ นั้นกำลังชำเลืองมองมาที่น้องชายของผมอยู่

ผมหันไปมองหน้าเขาแล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นว่าเขาคือแฟนใหม่ของพี่ก้องนั่นเอง

“ใหญ่เหมือนกันนี่ครับ” เขาพูดขึ้น

ผมเขยิบตัวเข้าไปชิดกับโถปัสสาวะมากขึ้นเพื่อกันไม่ให้เขามองอีก

“พี่รู้ไรปะ ผมกับพี่ก้องไม่มีใครเชื่อหรอกนะว่าพี่เป็นแฟนพี่ทะเลจริงน่ะ” เขาพูดต่อ

“อะไรนะครับ”

“พี่ก้องเค้ารู้น่ะว่าสเป๊กพี่ทะเลเป็นยังไงน่า พี่เค้าชอบผู้ชายตัวใหญ่ๆ อายุมากกว่าแบบพี่ก้องนู่น เพราะงั้นพี่ก้องเค้าไม่เชื่อหรอกว่าพี่เป็นแฟนกันจริงๆ” เขาหัวเราะเบาๆ

ผมสะบัดน้องชายของตัวเองและเก็บมันกลับเข้าที่ก่อนจะรูดซิปขึ้นและหันไปหาเขา “ผมว่าเราเองก็ไม่ได้รู้จักแฟนผมดีเท่าไหร่ เพราะงั้นอย่าตัดสินคนอื่นมั่วๆ ดีกว่าครับ และอีกอย่าง คนที่ชอบผู้ชายอายุมากกว่าน่ะ ดูจะเป็นเรามากกว่ามั้ง”

เมื่อพูดจบผมก็เดินตรงไปยังอ่างล้างมือโดยที่มีเขาเดินตามมาติดๆ จะว่าไปผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไอ้เด็กคนนี้มีชื่อว่าอะไร

“พี่เองก็อายุมากกว่าผมนะ แถมหน้าตาดีอีกต่างหาก” เขาพูดขึ้นพร้อมกับตีก้นผมเบาๆ

ผมต้องรีบหันกลับไปมองเหน้าเขาทันที “จะทำอะไรน่ะ”

“พี่ก้องมันก็ดีอยู่หรอก แต่ผมเป็นคนประเภทชอบความสนุกตื่นเต้นนะ บางทีถ้าพี่เกิดสนใจ...” เขาพูดพลางก้าวเข้ามาหาผมอีก

“พอเลย” ผมพูดขัดขึ้นก่อนที่เขาจะพูดจบ รู้สึกขยะแขยงบอกไม่ถูก “ที่พูดๆ เนี่ย คิดเหรอว่าผมจะสนใจคนอย่างเรา ในเมื่อผมเองก็มีแฟนอย่างพี่ธีอยู่แล้ว และพี่ธีเองก็เป็นคนดีมากพอที่จะทำให้ผมไม่มีทางคิดนอกใจมามีอะไรกับคนง่ายๆ อย่างเราหรอก” ผมผลักหน้าอกเขาออก “อย่ามายุ่งกับผมและพี่ธีอีก”

เขามองหน้าผมครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มมุมปากเล็กน้อยแล้วจึงเดินไปที่อ่างล้างมือ ผมส่ายหน้าเบาๆ และเดินออกจากห้องน้ำกลับไปที่โต๊ะทันที

ผมไม่ได้เล่าให้ธีกับอายฟังว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องน้ำ แต่ก็พยายามสวมบทบาทแฟนของธีอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมไม่อยากให้เขาต้องมาเครียดและเป็นทุกข์กับคนทุเรศๆ อย่างสองคนนั้นเลยจริงๆ ผมอยากจะทำให้เขามีความสุขที่สุดที่ได้อยู่กับผมในคืนนี้ ทำให้เขามีความสุขมากพอที่จะเลิกคิดเรื่องของสองคนนั้นให้ได้

ผมเองก็พยายามที่จะไม่สนใจพวกเขาเหมือนกัน แต่แล้วจู่ๆ กลุ่มข้างๆ เราก็โห่ร้องเสียงดังขึ้น และเมื่อผมหันไปมองก็เห็นว่าพี่ก้องกับแฟนของเขากำลังจูบปากกันอีกครั้ง แต่หนนี้ดูจะเป็นการจูบที่ดูดดื่มยิ่งกว่าครั้งแรกเสียอีก ผมรู้สึกอยากจะอ้วกบอกไม่ถูก และเมื่อเขาสองคนแยกออกจากกัน ทั้งคู่ต่างก็ยกมือขึ้นเช็ดที่มุมปากของตัวเอง ผมถึงเข้าใจว่าเมื่อกี้พวกเขาน่าจะป้อนเหล้าผ่านปากของกันและกันมากกว่าจะจูบธรรมดา

“ไปเหอะ เล ไปเต้นกัน” อายชวนธีพร้อมกับดึงแขนของเขา

“อ้าว แล้วผมล่ะ” ผมร้องขึ้น

“แหม หนึ่งคะ อายก็อยากจะเต้นกับหนึ่งอยู่หรอก แต่อายเต้นกับผู้ชายได้แค่ครั้งละคนนะ รอคิวก่อนสิ”

“ไม่ใช่ครับ ผมหมายถึงผมจะขอเต้นกับ ‘แฟน’ ผมต่างหาก”

ธีดูลังเลเล็กน้อย “แน่ใจเหรอ หนึ่ง”

“แน่ใจสิครับ” ผมจับมือเขา “เพลงโยกเบาๆ แบบนี้ผมก็พอเต้นได้อยู่นะ”

เขามองดูมือของเราก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาผมอีกครั้ง ผมยิ้มให้เขาแล้วจูงมือเขาเดินออกให้ผมบริเวณโต๊ะทั้งหลายไปจนเกือบถึงกลางร้าน

โชคดีที่ดีเจเปลี่ยนจากเพลงเต้นเป็นเพลงจังหวะกลางๆ และสุดท้ายก็เปลี่ยนเป็นเพลงที่จังหวะช้าลงพอให้คนได้โยกกันสนุกๆ แถมเพลงนี้ยังเป็นเพลงเก่ามากแล้วอีกด้วย ก็นับว่าคงถูกใจใครหลายๆ คน เพราะทันทีที่อินโทรเพลงดังขึ้น คนในร้านก็โห่ร้องออกมาด้วยความดีใจพร้อมกับเสียงปรบมือกันที

ตอนแรกเราสองคนก็กระอักกระอ่วนนิดหน่อย แต่แล้วผมก็ตัดสินใจเป็นฝ่ายเริ่มโดยการดึงเอวของเขาเข้ามาใกล้และสวมกอดเขาเอาไว้พร้อมกับเริ่มโยกเบาๆ ไปตามจังหวะเพลง ด้วยความที่บ้านของผมจะชอบกอดและถูกเนื้อต้องตัวกันเป็นปกติอยู่แล้ว ผมจึงไม่รู้สึกแปลกกับการกอดเขาแบบนี้เลย และที่สำคัญ เราก็ทำอะไรคล้ายๆ กันแบบนี้มาแทบทั้งคืนแล้ว ดังนั้นแค่การได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นอีกนิดมันก็ไม่แปลกอะไร

ผ่านไปได้สักนาทีหนึ่ง ทั้งผมและเขาต่างก็เริ่มผ่อนคลายลงและเริ่มรู้สึกเป็นธรรมชาติมากขึ้น ผมเหลือบไปเห็นพี่ก้องกับแฟนของเขามองเราอยู่พร้อมรอยยิ้มเยาะๆ

ส้นตีนจริงๆ!

ผมกระชับวงแขนกอดเขาให้มากขึ้นและพูดที่หูของเขาเบาๆ “ผมทำแบบนี้ได้รึเปล่า”

เขาพยักหน้าเบาๆ “อืออ”

ผมได้ยินเสียงลมหายใจของเขารดลงที่หูของผมอย่างชัดเจน และมันก็ทำให้ใจผมเต้นแรงขึ้น “ถึงเวลาแสดงให้พวกนั้นเห็นแล้วว่าเราเป็นแฟนกันจริงๆ และรักกันขนาดไหน”

ผมเลื่อนมือลงต่ำจนไปถึงที่ก้นของเขาจากนั้นก็ขยำเบาๆ ธีสะดุ้งและดันตัวออกเล็กน้อย เขามองหน้าผมรอยยิ้มตลกๆ ผมเองก็เลยยิ้มตอบเขาไปเหมือนกัน

“เมารึเปล่าเนี่ย หนึ่ง” เขาถาม

“นิดหน่อย แต่ผมไม่ได้ทำแบบนั้นเพราะเมาหรอกนะครับ” ผมชะโงกหน้าเข้าไปหอมแก้มเขาอีกครั้งโดยที่มือข้างนั้นก็ยังคงวางอยู่ตำแหน่งเดิม

เขายิ้มและหอมแก้มผมกลับ ผมที่เริ่มใจเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ บีบก้นเขาอีกครั้งพร้อมกับจุ๊บลงบนริมฝีปากของเขาเบาๆ ตอนแรกมันก็เป็นแค่การสัมผัสที่ริมฝีปากเฉยๆ แบบที่พ่อก็เคยทำกับผมจนถึงตอนผมเรียนมัธยมปลายนั่นแหละ แต่ดูเหมือนว่าธีจะไม่คิดอย่างนั้น เพราะเมื่อผมถอนริมฝีปากออก เขากลับชะโงกหน้าเข้ามาจูบผมอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาเปิดปากขึ้นเล็กน้อย ทันทีที่ผมรู้สึกลิ้นของเขาที่แตะลงบนริมฝีปาก ผมก็อ้าปากรับมันโดยสัญชาติญาณทันที ในชั่ววินาทีนั้น ผมไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อย่างสิ้นเชิง ผมรู้ว่าสิ่งที่เรากำลังทำมันผิด แต่ผมกลับไม่สามารถสั่งตัวเองให้หยุดได้ ผมกระชับกอดเขาแน่นขึ้น บีบก้นของเขาแรงขึ้น ร่างกายของเราเบียดเข้าหากันจนผมรู้สึกถึงไอ้น้องชายของเขาที่ถูกดันเข้ามาถูกับเป้าของผมอย่างชัดเจน ผมไม่รู้ว่าเราจูบกันอยู่อย่างนั้นนานขนาดไหน แต่เมื่อรู้สึกตัวอีกที เราสองคนก็ผละออกจากกันพร้อมกับเสียงกู่ร้องจากผู้คนรอบข้างและเพลงที่เปลี่ยนเป็นจังหวะเร็วขึ้นอีกครั้ง

ผมกับเขาสบตากันและเราต่างก็ไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดี หลายคนที่ยืนอยู่ใกล้เราตบบ่าผมกับธีแสดงความดีใจ บ้างก็ตบมือให้ บ้างก็พูดบางอย่างที่ผมฟังไม่ได้ศัพท์ ผมที่เขินจนทำอะไรไม่ถูก รีบจูงมือเขาเดินกลับไปหาอายที่โต๊ะ ที่กำลังยืนอ้าปากค้างยิ่งกว่าเมื่อตอนที่ธีหอมแก้มผมตอนแรกเสียอีก

“แก๊!!!” อายรีบดึงทั้งแขนของผมกับธีเข้าไปหา “แกทำอะไรกันนน!! เมื่อกี้มันอะไรยังไงเนี่ย!!”

“เราก็ไม่รู้ว่ะ คือ ตอนแรกเราก็กะว่าแค่จะทำให้ไอ้สองคนนั้นมันเห็นว่าเรากับหนึ่งเป็นแฟนกันจริงๆ เฉยๆ แต่พอ... โอ๊ยย แม่งงง!! หนึ่ง ผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ หนึ่งอุตส่าห์จะพยายามช่วยผม แต่ผมกลับ...!!”

“ไม่ครับ พี่ธี ผมผิดเอง ผมเป็นฝ่ายเริ่มก่อนแท้ๆ ผมคิดไม่ทันว่าสิ่งที่ผมทำมันจะทำให้กลายเป็นแบบนั้นไปได้ ผมมันไม่ได้ใกล้ชิดและทำอะไรกับใครอย่างนั้นมานานแล้ว จนสุดท้ายก็เลยเผลอไป ผมขอโทษจริงๆ ครับ”

“ไม่ต้องขอโทษแล้ว ทั้งคู่นั่นแหละ” อายขัดขึ้น “ทั้งสองคนไม่รู้ตัวเลยเหรอว่าเมื่อกี้มันโคตร... โคตรจะเซ็กซี่เลย!! คนมองกันเต็มเลยนะเว้ย!”

“โอยยย ตายๆๆๆ” ผมโอดครวญออกมา รู้สึกเขินจนแทบอยากจะมุดแผ่นดินหนีไปตรงนี้เลย

“และที่สำคัญ แกสองคนทำให้ทั้งไอ้พี่ก้องและเด็กมันอึ้งจนใบ้แดกไปเลยด้วยนะ”

เมื่ออายพูดถึงสองคนนั้นขึ้นมา ผมก็รีบหันไปมองหาพวกเขาทันที

“ไม่ต้องหาหรอก หนึ่ง มันกลับไปแล้ว พอมันเห็นว่าแกสองคนไม่มีทีท่าว่าจะผละออกจากกันสักทีเท่านั้นแหละ มันก็ลากตัวแฟนมันออกไปเลย!”


winnie_the_far

  • บุคคลทั่วไป
ขอจิ้มก่อนละกันื อิอิ ^^^

ออฟไลน์ 8E88

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อ๊ากกกกกก พี่ต้น หมอกไปไหน แง๊ T^T  :o12: จะเอาหมอกคู่พี่หนึ่งอ่า T^T  :serius2:
หมอกหายไปนานแล้วนะพี่ต้น เอาหมอกกลับม๊าาาาาาาาาาาาาาา เชียร์หมอก !!!  :angry2:

เป็นกำลังใจให้พี่ต้นนะค้าบผม สู้สู้ ค้าบผม  o13

winnie_the_far

  • บุคคลทั่วไป
 ยิ่งอ่านก็ยิ่งรู้สึกว่า หนึ่งกับธี ไม่ใช่คู่กัน หนึ่ง ถ้าไม่รักเขาอย่าทอดสะพานเยอะ เกิดธีตกหลุมรักแล้วมันจะเจ็บนะ.....


พี่ก้องกับแฟน อยากกริ๊ดใส่หน้าจริงๆๆๆๆๆๆๆๆ  :katai4: :katai4:

ออฟไลน์ vivalasvegus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 142
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ก้าวหน้าไปอีก 1 ขั้น

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






โจ๊กกุ้ง

  • บุคคลทั่วไป
ตอนนี้แซ่บมากฮ่าๆ ชอบนิสัยของทั้งสองคนนะเข้ากันดี แต่บางทีก็รู้สึกเหมือนเคะกับเคะป่าว
เอ่อ แต่หนึ่งอ่ะชอบธีไปแล้วชัดๆ น้องหมอกไม่ต้องมาละ เชียร์พี่ธีๆ

ออฟไลน์ miracle22936

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 220
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
โอ้วววว โหดไปนะ วันหนึ่ง กับ ทะเล เนี่ย (ชอบเรียกชื่อเต็ม ๆ จริงเชียว)  :katai4:

ออฟไลน์ j_world

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-4
หมั่นไส้อิก้องกับเด็กมันจริงๆ คุณต้นจัดหนักให้หน่อยเหอะ  :m16: :m16: :m16:

ผสสุดท้าย..หนึ่งก็คู่ธีใช่ไหม  สงสารน้องหมอกจัง :m15:

ออฟไลน์ yoyo

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
โอ๊ยตายๆๆ
เขินแทนอะ อิอิ

ออฟไลน์ nunnuns

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1972
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-3
สมน้ำหน้าอิพี่ก้อง กับอิเด็กต้อยตัวนั้น หึหึ ทำดีมากหนึึ่ง

แต่อยากรู้ว่าใครจะรุกจะรับเนี่ย ไม่ได้บอกร่างฐานเลย5555 ว่าแต่หนึ่งควรจะเป็นรุกนะ แมนดีแหม่ จับกงจับก้นเล

น้องหมอกตายตั้งแต่ต้นเรื่องค่า นางหายไปจริงๆ หรือจะแว้บมาเร็วๆนี้ แต่เด็กนั่นคงเป็นพระหรือนายเอกอะ มีรางสังหรณ์(อันผิดๆหือเปล่าไม่รู้55)

ตัวเลือกไหนคือปลายทางหนอ

ออฟไลน์ Windyne

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 248
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-1
    • Windyne Page on Facebook
ชอบๆๆ เซ็กซี่เกินไปแล้วนะ ตาหนึ่ง พี่ธี

ออฟไลน์ cinquain

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +247/-0
สงสัยหนึ่งจะชอบธีจริงๆแต่อาจจะยังไม่รู้ตัว
ถึงกับพูดว่าเป็นแฟนกับมีหมั่นไส้คนอื่นด้วย!

น้องหมอกตกกระป๋องไปแล้วหรือคะ  :ling1:

...........

กลับมาอีกรอบเพราะยังคาใจ 555+

หรือนี่จะเป็นการเปิดโลกทัศน์ให้หนึ่งในด้านนี้?
เปิดทางเพื่อการต่อๆไป?
แล้วธีก็น่าจะเป็นสาวนะ! จะคู่กันกับหนึ่งได้หรือ?

รอคุณต้นแล้วกันค่ะ ... วันนี้วันวิสาขบูชาอย่าลืมไปวัดกันนะคะ

 :bye2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-05-2013 07:01:18 โดย cinquain »

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
เมืองที่อยู่ไม่มีวัดอะครับ T^T

ออฟไลน์ nunnuns

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1972
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-3
^
^

ถ้าไปทำบุญ จะทำเผื่อนะคะนักเขียน^^

กลับมาอ่านตอนนี้อีกรอบ ชอบจัง เหมือนทั้งคู่เริ่มพัฒนาขึ้นแล้ว

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
ดีเจเปิดเพลงอะไรน๊า  เล่นเอาทั้งคู่เคลิ้มจนลืมตัว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ whynotme

  • ♥ 09-07-2012 ♥
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 643
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
คุณวันหนึ่ง .... ชักจะเยอะไปแล้วนะคะ ...  :z3: :z3:

เกเร

  • บุคคลทั่วไป
ผมเชียร์หมอกนะ แต่ทำไมผมอ่านไปยิ้มไปว่ะ แบบมันฟินไงไม่รุ้อ่ะ อ๊ากกกก ไม่ไหวแล้ว ฮ่าๆ
เชียร์หมอกก็เชียร์
ไหนจะธีที่เข้าคู่กับหนึ่งอีก
โอ้ยอยากเก็บเธอไว้ทั้งสองคนเลย อ๊ากกก  :hao7:
ว่าแต่หมอกหายไปไหน พี่ธีทำคะแนน กอดจูบลูบคล้ำแถมให้ขย้ำอีกหุหุ ไม่ต้องบอกเลยงานนี้ ธีโดนหนึ่งกดแน่ๆถ้าอยู่สองคนแล้วเจอบรรยากาศเสียตัวนะ ฮ่าๆๆๆๆเปลี่ยนจาก หล่อล่ำเเฮนซั่มอายุเยอะมาเป็น หล่อใสพ่อหม้ายลูกติด กะดีนะธี

เอ๊ะแล้วตกลงกุเชียร์ใครว่ะเนี้ยะ ฮ่าๆๆๆๆ  จะใครก็ได้แล้ววู้วว ไม่เกี่ยงๆ :hao6:

ออฟไลน์ xeruoh

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 491
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
เข้ามาอ่านตอนล่าสุด รอบสอง และพบว่าลืมเม้น - -
พออ่านคอมเม้นอื่นๆแล้วเริ่มเครียด
ใครจะคู่กับหนึ่งจริงๆเนี่ย หมอกหรือธี
คนอ่านคนนี้เชียร์ธีนะคะ

ตอนล่าสุดนี่เริ่ดมากอ่ะ หนึ่ง
หลงพี่ธีแบบไม่รู้ตัวล่ะสิ อิอ
ชอบมาก อ่านแล้ว เขินสุดๆอ่ะ
แต่นี่มันเคะกับเคะป่ะเนี่ย - -'
ตกลงจะเป็นเช่นไร

รอติดตามตอนต่อไปนะคะ พี่ต้น

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ไม่ได้ตั้งใจ เพราะมันเป็นไปตามสัญชาตญาณ
พี่หนึ่งของเราก็ใช่ย่อยนะนี่ เห็นเป็นคุณพ่อเรียบร้อย ๆ

ออฟไลน์ Monkey D lufy

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +245/-4
โอ้!!!  เราเชียร์หมอกนะ  แต่ชักจะเอนเอียงใจมาทางทะเลแล้วสิ

ออฟไลน์ xeruoh

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 491
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
ย่องมาส่องง
อยากอ่านต่อมาก -/-

แวะมาดันละกันนนน
 :hao6: :hao6: :hao6:

ออฟไลน์ whynotme

  • ♥ 09-07-2012 ♥
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 643
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
เข้ามาอ่านอีกสักรอบ เพื่อรอ ~คุณวันหนึ่ง~ ในตอนต่อไป ......  :hao3:

ออฟไลน์ 9nawKIHAE

  • ♥BJYX~
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 298
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ตามทันแล้วววว โอ้ยเขิลฉากจูบของ พี่หนึ่งกับพี่ทะเล  :o8: :hao6:
แอบคิดถึงน้องหมอกอ่ะ  :hao5: รอตอนต่อไปนะคะ  :กอด1: :pig4:

โจ๊กกุ้ง

  • บุคคลทั่วไป
 :katai5: ดันค่ะ

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนที่ 13

วันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ผมตื่นสายที่สุดในรอบหลายเดือน ผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าแม่มาอุ้มน้ำออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ และหลังจากตื่นขึ้นมาแล้ว ผมยังไม่สามารถที่จะพาตัวเองลุกออกจากเตียงได้เลยด้วยซ้ำ ไม่ใช่เพราะว่าเมาค้าง แต่เป็นเพราะหัวของผมมันเอาแต่จะคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนซ้ำแล้วซ้ำอีก เมื่อคิดถึงตอนที่ผมจูบเขา ผมก็แน่ใจว่าผมไม่ได้ทำแบบนั้นเพราะความเมาแน่ๆ ตอนแรกผมแค่ตั้งใจจะแสร้งทำเป็นแฟนของเขาให้สมจริงที่สุด และแล้วมันก็เกิดขึ้น แต่สิ่งที่แปลกยิ่งกว่านั้นคือ ผมกลับไม่รู้สึกแปลกประหลาดที่ทำอย่างนั้นกับผู้ชาย... ไม่สิ กับ ‘เขา’ สักเท่าไหร่เลย

ที่จริงมันก็ควรจะทำให้ผมรู้สึกกลัวหรือเป็นสิ่งที่แปลกที่สุดในชีวิตที่ผมเคยทำมานะ แต่ทั้งชีวิตผมก็เคยมีแฟนแบบจริงจังและเคยทำเรื่องแบบนั้นแค่กับฟ้าเพียงคนเดียว ดังนั้นการที่ผมจูบกับคนอื่น ไม่ว่าจะกับใคร ผู้หญิงหรือผู้ชาย มันก็คงจะให้ผลลัพธ์ความรู้สึกแบบเดียวกัน และเมื่อลองคิดว่า การที่ผมถูกเนื้อต้องตัวเขา หอมแก้มเขา หรือจูบปากเขา ทั้งหมดเป็นแค่การแสดงเพื่อให้พี่ก้องกับแฟนเห็น มันก็ไม่มีอะไรจะทำให้ผมต้องรู้สึกแย่สักหน่อย ในเมื่อมันไม่ได้มีความหมายอะไรเป็นพิเศษเลย แต่ถึงจะคิดแบบนั้น ผมก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าตอนที่เขาหอมแก้มผม ตอนที่เราใกล้ชิดกัน ผมดันรู้สึกดีจริงๆ ตอนที่เรากอดกันอย่างแนบแน่นจนผมรู้สึกถึงน้องชายของเขาที่เบียดเข้ากับเป้ากางเกงของผม ผมรู้สึกราวกับมีกระแสไฟวิ่งไปทั่วร่าง ผมยังจำได้ชัดเจนว่าตอนนั้นหัวใจของผมเต้นแรงขนาดไหน ถึงแม้ผมจะกอดพ่อกับแม่บ่อยๆ แต่มันก็ไม่ใช่ความรู้สึกแบบนี้ ที่จริงตอนที่เราจูบกัน นอกจากธีแล้ว ไอ้น้องชายของผมเองก็แข็งขึ้นมาเหมือนกัน แต่ผมไม่อยากจะคิดไปไกลกว่านั้นและหวังว่าเขาคงจะไม่รู้สึกถึงมันด้วย ผมเป็นผู้ชาย และเขาเองก็บอกออกมาชัดเจนแล้วว่าผมไม่ใช่สเป๊กของเขา เพราะฉะนั้นเขาจะมาคิดอะไรกับผมมันก็คงจะเป็นไปไม่ได้...

“ถ้าหนึ่งไม่ได้แต่งงานมีลูกแล้ว ผมว่าผมเองยังอาจจะ...”

จู่ๆ ผมก็นึกถึงประโยคนั้นที่เขาเคยพูดขึ้นมา ถ้าหากว่าผมยังไม่ได้แต่งงานมีลูกแล้ว เขาอาจจะ... อาจจะอะไร

ผมนึกย้อนไปถึงสมัยตอนผมเรียนอยู่มัธยมปลายที่เคยมีความรู้สึกคล้ายๆ กันแบบนี้ขึ้นมา แต่ก็ได้ฟ้าที่ช่วยทำให้ผมเลิกคิดเรื่องพวกนั้นไปได้ เราคบกันด้วยความรู้สึกดีๆ ล้วนๆ แน่นอนว่าผมมีอารมณ์ทางเพศกับฟ้าเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน แต่ผมเคยมีเซ็กส์กับฟ้าแค่เพียงคนเดียว นี่เป็นประสบการณ์ครั้งแรกเลยที่ผมเกิดอารมณ์แบบนี้ขึ้น ไม่ใช่แค่เพราะมันเกิดขึ้นกับผู้ชาย แต่ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมันเกิดขึ้นกับคนอื่นนอกจากฟ้าต่างหาก

ผมอาจจะแปลกกว่าคนอื่นล่ะมั้ง เพราะถึงผมจะชอบผู้หญิงและมีอารมณ์ทางเพศกับผู้หญิง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเป็นใครก็ได้ ผมไม่เคยมีอารมณ์ทางเพศกับผู้หญิงสวยๆ หรือเวลาเห็นใครแต่งตัววับๆ แวมๆ ผมรู้สึกแบบนั้นแค่เวลาอยู่กับฟ้าเท่านั้น และมันจะเป็นความรู้สึกที่ผมอยากกอด อยากหอมแก้ม อยากจูบ แบบนั้นมากกว่า

ผมรู้สึกอยากคุยเรื่องนี้กับใครสักคนมาก แต่ใครล่ะ คนรอบตัวผมไม่มีใครรู้สักคนว่าธีเป็นเกย์ แล้วจะให้จู่ๆ ผมเล่าว่าผมไปบาร์เกย์แล้วจูบกับเขามาก็เป็นไปไม่ได้แน่ๆ จะให้ผมคุยกับเพื่อนอย่างไอ้ยุทธหรือคนอื่นก็ไม่ใด้อีก และในตอนนั้นเองที่ผมนึกถึงเอขึ้นมา เพราะเขามีเพื่อนเป็นเกย์ เขาอาจจะพอเข้าใจอะไรบ้าง แต่เอก็เป็นญาติทางฝั่งฟ้า จะให้จู่ๆ ไปบอกเขาว่าพี่เขยของเขาเพิ่งไปจูบผู้ชายคนอื่นมาก็ฟังดูไม่ดีเท่าไหร่นัก แถมเขาก็ยังเด็กอยู่ด้วย เพราะงั้นอาร์มกับต้าที่อายุเท่ากันและผมไม่ได้สนิทด้วยก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ และตอนนั้นเองที่จู่ๆ ผมก็นึกถึงหมอกขึ้นมา บางทีถ้าเป็นเขา เขาอาจจะรับฟังผมก็ได้

ไม่สิ จู่ๆ ผมจะไปคุยเรื่องพวกนี้กับเขาได้ยังไง ผมต้องหัดระวังความคิดของตัวเองให้มากกว่านี้เสียแล้ว

หลังกินข้าวเที่ยงเสร็จ แม่ก็พาน้ำไปเยี่ยมพ่อวุฒิกับแม่ตุ๊กที่บ้าน แต่ผมไม่ได้ไปด้วยเพราะอยากจะคิดอะไรตามลำพังสักหน่อย ผมรู้ตัวว่าวันนี้ผมไม่เป็นตัวของตัวเองเลย ผมเอาแต่คิดถึงใบหน้าของธีและความรู้สึกตอนที่เราจูบกันขึ้นมาตลอด ผมไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนจนรู้สึกหงุดหงิดกับความคิดในหัวของตัวเอง สุดท้ายผมจึงตัดสินใจขับรถออกจากบ้านโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป้าหมายคือที่ไหน

ในระหว่างที่ผมกำลังจอดรถติดไฟแดงอยู่น้น โทรศัพท์มือถือของผมก็ดังขึ้น ตอนแรกผมคิดว่าเป็นพ่อหรือแม่ที่โทรมาถามว่าจะกลับกี่โมง แต่เมื่อดูชื่อคนที่โทรเข้ามาแล้วปรากฏว่าไม่ใช่

“ฮัลโหล ว่าไงครับ หมอก”

“หืมม พี่ทำอะไรอยู่รึเปล่าครับ ยุ่งอยู่เหรอ” เขาถาม

“เปล่าครับ พี่กำลังขับรถอยู่ ทำไมเหรอ”

“อ๋อ คือเห็นพี่เสียงเครียดๆ น่ะ ก็เลยแปลกใจ นึกว่ากำลังเครียดเพราะทำงานอยู่หรืออะไรงี้”

ผมนึกแปลกใจที่เขาตอบมาแบบนั้น นี่ผมเครียดแสดงออกทางน้ำเสียงขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย

“โทษทีครับ พอดีพี่แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่น่ะ” ผมส่ายหน้าเบาๆ “ว่าแต่มีธุระอะไรรึเปล่าครับ”

“ไม่มีหรอกคร้าบบบ แค่โทรหาเฉยๆ จะถามว่าพี่เป็นไงบ้าง แล้วก็จะอวยพรวันเกิดย้อนหลังด้วย ผมเพิ่งรู้จากไอ้เอน่ะ สุขสันต์วันเกิดนะครับพี่ มีความสุขมากๆ นะคร้าบบ!”

ผมยิ้มน้อยๆ ให้กับความร่าเริงของเขา “ขอบคุณมากครับ เราก็เหมือนกันนะ”

“เอาไว้ไปกินข้าวกันอีกนะพี่ คราวนี้ให้ผมได้เลี้ยงตอบแทนพี่บ้างไรบ้างจริงๆ สักทีเหอะ”

“นั่นสินะ...” ผมคิดอยู่ครู่หนึ่ง “วันนี้เลยมั้ยล่ะครับ เดี๋ยวพี่ไปรับ”

“เฮ้ยยย! วันนี้เลยเหรอ ตอนไหนอะ”

“ตอนนี้เลย ว่างมั้ยล่ะ พี่ขับรถออกมาข้างนอกพอดี”

“ไอ้ว่างน่ะมันก็ว่างอยู่แหละครับ พี่จะมาถึงกี่โมงอะ”

ผมบอกเวลาเขาก่อนจะวางสายไป และหวังว่าผมจะไม่บังเอิญเจอธีที่คอนโดเข้าให้นะ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นผมคงไม่รู้จะทำหน้าอย่างไรดีแน่

อีกไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงถัดมา ผมก็ไปถึงที่คอนโด เขาลงมารับผมขึ้นไปบนห้อง หลังจากนั้นเราก็นั่งคุยกันอยู่พักหนึ่ง เขาเล่าเรื่องเรียน เรื่องกิจกรรมที่เขาทำที่มหาวิทยาลัย รวมทั้งเรื่องของอาร์มกับต้าให้ผมฟัง เขาบอกว่าเขาเจอสองคนนั้นบ่อยมากขึ้นและไปกินข้าวเย็นด้วยกันบ่อยๆ จากนั้นเขาก็ชวนผมไปเดินเล่นที่สวนจตุจักรเพราะเขาอยากจะไปเดินดูเสื้อผ้า ผมที่ไม่ได้ไปที่นั่นมานานแล้วและอยากได้เขาเป็นเพื่อนชวนคุยแก้เหงาจึงตอบตกลง

ที่สวนจตุจักรก็ยังมีคนเยอะอย่างที่ผมเคยจำได้ไม่มีผิด เราสองคนเดินเบียดเสียดกับฝูงชนด้วยกัน เดินดูเสื้อผ้าด้วยกัน หัวเราะด้วยกัน ผมรู้สึกราวกับว่าช่องว่างระหว่างวัยของเราไม่มีเหลืออยู่เลย ในขณะที่เขาเป็นเด็กอารมณ์ดี กวนๆ แต่ผมก็รู้สึกได้ถึงความเป็นผู้ใหญ่และการมีความคิดที่โตกว่าวัยของเขา แต่จะว่าไปเขาก็ไม่ใช่เด็กขนาดนั้นแล้วน่ะนะ เพียงแต่เมื่อผมนึกถึงเพื่อนสมัยตอนที่ผมเรียนมหาวิทยาลัยขึ้นมา ผมก็รู้สึกว่าหมอกดูจะเป็นผู้ใหญ่กว่าเพื่อนผมหลายๆ คนในตอนนั้นมาก บางทีอาจจะเป็นเพราะเรื่องครอบครัวของเขาก็ได้ที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ เพราะผมเชื่อว่าคนเราเมื่อได้ผ่านพ้นปัญหาใหญ่ๆ ในชีวิตมาแล้วสักครั้ง มันจะทำให้คนๆ นั้นได้เรียนรู้และเติบโตขึ้นกว่าคนที่ไม่เคยต้องเผชิญกับอุปสรรคเลย

“พี่หนึ่ง ผมว่าผมอยากได้เสื้อตัวนี้ว่ะ พี่ว่าสวยปะ” เขาหยิบเสื้อยืดสีเหลืองแสบตาขึ้นมาจากราว

“โห สีจี๊ดมากเลยนะ กล้าใส่เหรอ” ผมหัวเราะ

“อ๊าวว โด่วว ทำไมจะไม่กล้า ผมจะซื้อไปใส่กับกางเกงสีเขียวแล้วก็รองเท้าสีน้ำเงินที่มีอยู่ด้วยซ้ำ”

“ลิเกไปมั้ย”

“อย่างน้อยก็ยังเล่นบทพระเอกล่ะวะ”

“ใครบอก”

“คิดเอาเอ๊ง”

“ชอบคิดไปเองว่างั้น”

“เก่งที่สุดล่ะ เรื่องเนี้ย”

ผมหัวเราะ “ว่าแต่เรื่องสาวที่เราไปชอบอยู่เนี่ย ว่าไงมั่งแล้ว”

เขานิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะยักไหล่ “ไม่ว่าไงอะ ไม่ได้เดินหน้าต่อเลย แต่คงไม่แล้วล่ะ เหนื่อยๆ ชอบกล”

“อ้าว ไหงงั้นล่ะ”

เขาหันมามองหน้าผม “พี่เหนื่อยยัง”

ที่จริงผมก็เริ่มรู้สึกเพลียๆ มาสักพักแล้วล่ะ เพราะเมื่อเช้าผมก็มีอาการปวดหัวอยู่ด้วยนิดหน่อย แล้วพอตกบ่ายก็ออกมาเดินแออัดกับผู้คนในอากาศร้อนๆ แบบนี้อีก

“เหนื่อยแล้วใช่มั้ยล่ะ ผมดูหน้าพี่ก็รู้แล้ว งั้นเรากลับกันเลยก็ได้นะครับ ผมซื้อพอแล้ว พี่อยากซื้ออะไรอีกปะล่ะ”

“ไม่อะครับ เมื่อวานพี่เพิ่งซื้อเสื้อผ้าไปเยอะเหมือนกัน ได้เสื้อยืดมาอีกสองตัวนี่ก็พอแล้ว” ผมตอบ “ว่าแต่หน้าพี่นี่ดูเหนื่อยขนาดนั้นเลยเหรอ”

“ไม่ใช่แค่นั้น ผมยังรู้ด้วยว่าพี่มีเรื่องไม่สบายใจอยู่ ใช่มั้ยล่ะ” เขาคงดูสีหน้าอึ้งๆ ของผมออก ถึงได้ยิ้มออกมาเล็กน้อยพร้อมกับดึงแขนผมให้ออกเดินต่อ “ไปเหอะพี่ กลับกันดีกว่า แล้วไปหาที่นั่งคุยกัน ถ้าพี่อยากจะคุยน่ะนะ ถึงจะเห็นผมแบบนี้ แต่ผมก็เป็นผู้ฟังที่ดีได้นะเว้ย”

ผมยิ้มให้เขา “พี่รู้ครับ”

เขาหันกลับมายิ้มตลกๆ ให้ผม แต่เราก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีก จนกระทั่งหลังจากเดินกลับมาถึงลานจอดรถและเราต่างก็นั่งอยู่ในรถแล้ว ทั้งผมและเขาจึงอ้าปากขึ้นจะพูดออกมาพร้อมๆ กัน เราหันมามองหน้ากันพร้อมกับหัวเราะเบาๆ

“พี่พูดก่อนเลย”

“ไม่ๆ เราจะพูดอะไร พูดมาก่อนเถอะ”

“ไม่ พี่นั่นแหละ พูดมาก่อน”

“โอเคๆ” ผมยอมแพ้ “พี่แค่จะบอกว่าถ้าเราจะคุยกัน พี่อยากหาที่เงียบๆ นั่งคุยมากกว่าไปนั่งที่ๆ คนเยอะๆ น่ะ มีที่ไหนแนะนำมั้ย”

เขาทำท่าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง “ห้องผมมั้งครับ...”

ก็คงจริงอย่างเขาพูด

“ถ้างั้นพี่ขอรบกวนหน่อยได้รึเปล่า”

“มันก็ต้องได้แหงอยู่แล้วสิครับ”

“งั้นเรากลับไปคอนโดนะ” ผมเริ่มออกรถ “ว่าแต่เมื่อกี้หมอกจะพูดอะไร”

“ไม่มีไรหรอก ผมแค่จะบอกว่าผมพอดูออกว่าพี่ไม่สบายใจ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะบังคับให้พี่ต้องเล่าให้ผมฟังน่ะนะ ผมรู้ว่าพี่คงเห็นว่าผมเป็นเด็ก แล้วเราก็เพิ่งรู้จักกันไม่นาน ผมเลยอยากจะบอกว่า บางทีคนที่รู้จักกันไม่ได้นานมากมาย ก็อาจจะเป็นคนที่รับฟังได้ดีกว่าเพื่อนสนิทบางคนอีกด้วยซ้ำ เพราะว่าพี่ไม่ต้องแคร์คนพวกนั้นมากมายไง ว่ามันจะคิดอะไรยังไง และคนที่ไม่ได้รู้จักพี่มานาน ก็มักจะไม่ตัดสินพี่ไปก่อนด้วย... ก็ประมาณเนี้ย”

ผมพยักหน้าเบาๆ ก็อาจจะเป็นอย่างที่เขาบอกจริงๆ นั่นแหละ เพราะผมนึกไม่ออกเลยว่าผมจะกล้าพูดเรื่องที่ผมจูบกับผู้ชายคนอื่นให้เพื่อนหรือคนในครอบครัวของผมฟังได้อย่างไร ผมรู้สึกเหมือนมันจะเป็นการหักหลังในสิ่งที่พวกเขาเชื่อว่าผมเป็นมาตลอดหลายปีไปโดยปริยาย

“ขอบคุณครับ จนถึงตอนนี้พี่เองก็ยังไม่แน่ใจหรอกนะว่าพี่พร้อมจะพูดถึงมันรึเปล่า แต่แค่การที่หมอกมาอยู่เป็นเพื่อนพี่เกือบทั้งบ่ายแบบนี้ก็ทำให้พี่สบายใจขึ้นมากแล้ว”

“ผมก็อยากจะบอกพี่แบบนั้นมานานแล้วเหมือนกัน”

“แบบไหน”

“แบบว่าผมเองก็รู้สึกสบายใจทุกครั้งที่ได้อยู่กับพี่เหมือนกัน” เขายักคิ้วพร้อมกับยิ้มน้อยๆ

ผมรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นแปลกๆ ชอบกลเมื่อได้เห็นรอยยิ้มของเขา ที่จริงผมก็รู้สึกมาตลอดว่าเขาน่าจะมีบางอย่างที่ยังไม่ได้บอกผมอยู่ในใจ บางทีถ้าโชคดี วันนี้ผมอาจจะได้รู้ก็ได้ว่าความรู้สึกแปลกๆ ที่บางครั้งผมรู้สึกได้จากเขานั้นมันคืออะไร เพราะตอนนี้ผมเริ่มคิดเยอะแยะสับสนไปหมดแล้วว่าความรู้สึกแบบไหนคือเพื่อน ความรู้สึกแบบไหนคือพี่น้องธรรมดา และความรู้สึกแบบไหนคือสิ่งที่เกินเลยไปกว่านั้นกันแน่ ผมไม่อยากจะฟันธงว่าหมอกเองก็รู้สึกชอบผมอยู่ เพราะเขาอาจจะแค่ถูกชะตากับผมธรรมดาๆ ก็ได้ แต่หลังจากที่ความสนิทสนมของผมกับธีเริ่มงอกเงยขึ้นมา ผมก็ไม่สามารถทิ้งความเป็นไปได้อีกอย่างไปอย่างสิ้นเชิง

หลังจากกลับไปถึงที่คอนโด เราก็ขึ้นไปนั่งอยู่ในห้องของเขา ผมรู้สึกว่าบรรยากาศที่รู้สึกได้จากเขาดูต่างไปตั้งแต่เราอยู่ในรถแล้ว ปกติเขาจะให้ความรู้สึกของคนอารมณ์ดี ทะเล้น ขี้เล่นแบบเด็กๆ ออกมาอย่างชัดเจน แต่ตั้งแต่กลับมาจากจตุจักร เขากลับแลดูสงบนิ่งกว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้ว่าเขาจะยังคงหัวเราะ ยิ้มแย้ม และพูดเก่งอยู่เหมือนเดิมก็ตาม แต่บางอย่างมันต่างไปจริงๆ โดยเฉพาะเมื่อเรานั่งอยู่ข้างๆ กันในห้องของเขาแบบนี้ ผมก็ยิ่งรู้สึกได้ชัดเจนมากขึ้นไปอีก

“คิดอะไรอยู่น่ะ” ผมถามเขา

“ป๊าววว ไม่ได้คิดอะไรเลยครับ” เขายักไหล่

“เล่นบาสด้วยเหรอ” ผมถามพลางพยักเพลิดไปยังลูกบาสที่วางอยู่มุมห้อง

“ครับ เล่นทั้งบาสและบอลแหละ เพื่อนกลุ่มไหนชวนเมื่อไหร่ก็ไปเมื่อนั้น”

ผมพยักหน้า “เรานี่ท่าทางจะเพื่อนเยอะนะ”

“เยอะมั้ย... ก็เยอะอะครับ แต่เอาจริงๆ นะพี่ ที่สนิทกันมากๆ ก็มีไม่กี่คนหรอก และคนที่รู้ความลับผมแทบทุกอย่าง เคยเห็นผมร้องไห้ เคยนอนกอดกัน ยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่... จริงๆ ก็แค่สองคนเท่านั้นอะ เป็นเพื่อนตั้งแต่ ม. ต้นคนนึง ส่วนอีกคนรู้จักตั้งแต่ประถมแล้ว”

“เดี๋ยวนะ เราร้องไห้เป็นด้วยเหรอ” ผมเลิกคิ้วขึ้น

“ประจำเหอะ” เขาหัวเราะ “เห็นผมแบบเนี้ย ผมเซนซิทีฟนะเว้ย แต่ที่ร้องไห้หนักๆ ก็คงตอนพ่อกับแม่จะแยกทางกันน่ะครับ แล้วก็... เรื่องบางเรื่องอีก 2-3 ครั้งแค่นั้นแหละ”

“พ่อกับแม่เราแยกกันตอนเรายังเด็กใช่มั้ย”

“ม. 2 น่ะ จะว่าเด็กก็เด็กแหละ ยิ่งมองจากตอนนี้ผมก็คิดว่าตอนนั้นผมยังเด็กมาก แต่ตอนอายุเท่านั้นผมก็คิดว่าผมโตแล้วนะ” เขายักคิ้ว

ผมยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม “หมอก พี่ถามไรหน่อยสิ... เอาตรงๆ เลยนะ”

“ครับ”

ผมรู้สึกตัวเองใจเต้นแรง “หมอกคิดยังไงกับพี่เหรอ”

เขายิ้มตลกๆ “เฮ้ย พี่หมายความว่าไงเนี่ย”

“ก็แบบ เห็นพี่เป็นคนยังไง ดีไม่ดียังไง พี่อยากรู้ว่าในฐานะที่เราสองคนเองก็เพิ่งรู้จักกันไม่นาน พี่ดูเป็นคนน่าคบมั้ย น่าสนิทสนมด้วยรึเปล่า แล้วเรา... คิดยังไงกับพี่ ไรเงี้ยครับ คือพี่เห็นว่าเราค่อนข้างสนิทกันเร็วนะ พี่ก็ไม่รู้พี่คิดไปเองคนเดียวรึเปล่า ก็เลยอยากจะรู้ว่าหมอกคิดยังไงบ้าง”

เขาหัวเราะเบาๆ “ผมชอบพี่ครับ ก็เลยอยากจะรู้จักพี่ อยากสนิทสนมกับพี่ พอยิ่งได้รู้จักก็ยิ่งคิดว่าพี่เป็นคนนิสัยดีโคตรๆ เป็นเหมือนพี่ชาย เป็นคนอบอุ่น สบายใจที่ได้อยู่ด้วย ได้คุย ได้เห็นหน้า... ไม่รู้ดิ ผมชอบบรรยากาศที่รู้สึกจากพี่น่ะ”

คำตอบที่ผมได้ยินมันทำให้ผมเขินจนไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าเขาเลยแฮะ เขาเป็นคนพูดจาตรงๆ และพูดชมคนอื่นได้หน้าตาเฉยจริงๆ

“ผมว่าผมแพ้คนแบบพี่นะ” เขาพูดต่อ “ผมเองก็รู้จักคนเยอะแยะ แต่พี่เป็นแค่คนที่สองที่ทำให้ผมรู้สึกอะไรคล้ายๆ กันแบบนี้ เพราะงั้นผมก็เลยชอบพี่ตั้งแต่เจอครั้งแรกแล้ว และอยากเป็นเหมือนน้องชายพี่คนนึงที่ได้ใช้เวลาด้วยกันบ้าง ได้คุยด้วยกันบ้าง ไรเงี้ยครับ นี่ตอบตรงๆ เลยนะเนี่ย”

“เอ่อ... ครับ”

“ผมก็ไม่รู้ผมทำพี่รำคาญรึเปล่านะ ที่ชวนพี่ไปกินข้าวบ้าง ไปบ้านพี่บ้าง นู่นนี่ ก็เคยกังวลเหมือนกัน แต่ผมก็ว่าผมไม่ได้ทำตัวเหมือนจะจีบพี่จนไปสร้างความรำคาญให้พี่อะไรขนาดนั้นนะ... รึเปล่าวะ” เขาหัวเราะ

“หมอก เอ่ออ... คือหมอกอยากจีบพี่เหรอ เราเองก็ชอบผู้ชายหรอกเหรอ”

“เปล่าๆ ผมไม่ได้อยากจีบพี่ พี่มีลูกแล้วนะ ผมจะไปจีบพี่ได้ไง อีกอย่าง ผมไม่ได้ชอบผู้ชายหรอก ที่ผมเคยบอกว่าผมชอบคนๆ นึงอยู่อะ ก็เป็นผู้หญิง ไม่ใช่ผู้ชาย แต่...” เขาเว้นช่วง ผมจึงเงยหน้าขึ้นไปสบตาเขา “แต่ถ้าเกิดผมอยากจะชอบผู้ชายนะ ผมก็คงชอบคนแบบพี่อะ ผมเคยมีความหลังบางอย่างว่ะครับ”

“ความหลังเหรอ”

“อื้อ”

ผมจำต้องก้มหน้าหลบแววตาเป็นประกายของเขาอีกครั้ง

“เรื่องที่พี่ไม่สบายใจคือเรื่องของผมรึเปล่าครับ” น้ำเสียงของเขาซีเรียสขึ้น

“เฮ้ย เปล่าๆ ไม่ใช่ พี่ไม่ได้รู้สึกรำคาญหรือลำบากใจอะไรเลย พี่เองก็ชอบเราเหมือนกัน เราเป็นเด็กอารมณ์ดี เวลาพี่อยู่ด้วยแล้วพี่ก็สบายใจจริงๆ พี่คิดว่าพี่คงต้องขอโทษเราด้วยซ้ำที่ไม่ได้คุยหรือเจอด้วยบ่อยขนาดนั้นน่ะ”

“โอ๊ยยย ไม่ต้องขอโทษเลยพี่ พี่ก็มีงาน ผมมีเรียน พี่มีเพื่อนของตัวเอง ผมก็มีเพื่อนผม นานๆ ทีได้เจอได้คุยกันแบบนี้ผมก็โอเคแล้วครับ ขอแค่พี่เห็นผมเป็นน้องชายคนนึงของพี่บ้างก็พอ”

ผมยิ้มให้เขา “พี่เห็นเราเป็นน้องชายที่สำคัญคนหนึ่งของพี่ครับ”

เขายิ้มกว้างแบบเด็กๆ “ขอบคุณครับ นี่ถ้าพี่เป็นคนๆ นั้นที่ผมเคยรู้จัก ผมคงกระโดดเข้ากอดและหอมแก้มพี่ไปแล้วนะเนี่ย!”

“เราทำแบบนั้นกับผู้ชายด้วยเหรอ” ผมเลิกคิ้วขึ้น

“ก็อย่างที่บอกว่าแค่กับไม่กี่คนแค่นั้นแหละ มีคนๆ นั้น แล้วก็...” เขามองหน้าผม “คนๆ นั้นคนเดียวแหละ เพราะกับพี่ผมยังไม่เคย เดี๋ยวพี่เตะเอา ฮ่าๆๆ”

“หึๆ พี่ไม่เตะหรอก ที่บ้านพี่ก็หอมแก้มไม่ก็กอดกันประจำอยู่แล้ว”

“โหพี่ กอดคนในครอบครัวกับกอดผู้ชายคนอื่นมันไม่เหมือนกันนะเว้ย ยิ่งหอมแก้มยิ่งคนละเรื่องเลยเหอะ”

ประโยคนั้นทำให้ผมนึกถึงเรื่องเมื่อคืนขึ้นมาทันที

“แล้วถ้าสมมติพี่กอดและหอมแก้มเราเนี่ย มันจะทำให้พี่เป็นเกย์เลยรึเปล่า...”

เขานิ่วหน้าพลางยิ้มตลกๆ “การหอมแก้มผู้ชายมันจะทำให้คนๆ นั้นเป็นเกย์เลยเหรอ”

“เปล่าๆ พี่ไม่ได้บอกว่าหอมแก้มแล้วทำให้กลายเป็นเกย์ แต่หมายถึงว่าถ้าสมมติพี่กอดและหอมแก้มผู้ชายสักคนเนี่ย มันแปลว่าพี่เป็นเกย์รึเปล่า”

“อ้อ ถ้าหมายถึงแบบนั้น ผมว่าไม่นะ” เขาตอบทันที ไม่มีลังเลแม้แต่นิดเดียว “เพื่อนกันมันก็ทำแบบนั้นได้เหอะ โดยเฉพาะยิ่งเมาแม่งก็ยิ่งเล่นอะไรกันทะเล้นๆ อย่างน้อยก็หมายถึงเพื่อนผมน่ะนะ” เขาหัวเราะ

“ไม่นับเล่นกันแบบนั้นสิ”

“หืออ...” เขามองหน้าผม

“หมอก คือพี่...” ผมหันหน้าหลบไปทางอื่นพลางส่ายหน้าเบาๆ “พี่ว่ามันพูดยากมากเลยว่ะ คือ...”

เขาเขยิบเขามาหาผมและโอบไหล่ผมเอาไว้ “ไม่เอาน่าพี่ อย่าเครียดเลยครับ มีไรก็คุยกับผมได้ทุกอย่างนั่นแหละ ผมไม่เอาไปบอกใครหรอก และผมจะไม่ตัดสินอะไรพี่ด้วย ผมเข้าใจว่าบางทีเวลาเราเครียดหรือสับสน เราก็แค่อยากจะระบายมันออกไป หาใครสักคนที่รับฟังโดยไม่ตัดสินเรา ไม่ต้องบอกเราว่าควรทำยังไง แต่แค่รับฟังแค่นั้นก็พอ จริงมั้ยล่ะครับ และตอนนี้ผมก็อยากจะเป็นคนๆ นั้นให้พี่นะ”

ผมหันกลับไปมองหน้าเขา ในตอนนี้ใบหน้าของเราอยู่ห่างกันแค่ไม่กี่คืบเท่านั้น น้ำเสียงของเขา แววตาของเขาที่แลดูใสบริสุทธิ์ และความตรงไปตรงมาของเขา มันทำให้ผมรู้สึกสบายใจขึ้นอย่างบอกไม่ถูก ความตึงเครียดที่ผมรู้สึกมาสักพักแล้วค่อยๆ คลายหายไปพร้อมกับลมหายใจที่ผมผ่อนออกมาเบาๆ

“ขอบคุณครับ ขอบคุณจริงๆ” ผมพูดเบาๆ

เขายิ้มให้ผมน้อยๆ ก่อนจะชะโงกหน้าเข้ามาใกล้มากขึ้น “ขออนุญาตนะพี่...”

เมื่อพูดจบ เขาก็จุ๊บลงบนแก้มของผมเบาๆ จากนั้นก็ดึงตัวผมเข้าไปกอด ด้วยความตกใจ ร่างกายของผมแข็งเกร็งขึ้นเล็กน้อย แต่อีกไม่กี่วินาทีถัดมา ผมก็ผ่อนคลายลงและยกแขนขึ้นกอดเขาตอบ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นพี่ชายของเขาจริงๆ ซึ่งมันเป็นความรู้สึกที่ผมไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลย เนื่องจากผมเป็นลูกคนเล็กของครอบครัวและมักถูกปฏิบัติแบบนั้นมาตลอด แต่กับหมอกแล้ว ผมกลับรู้สึกเหมือนผมเป็นพี่ชายของเขา และผมก็ดีใจที่เขาบอกว่าเขาก็อยากเป็นน้องชายของผมคนหนึ่งเหมือนกัน

เรากอดกันอย่างนั้นครู่หนึ่งก่อนที่ผมจะค่อยๆ ดันตัวเองออก แต่แล้วเมื่อได้มองหน้าของเขาอีกครั้ง ผมกลับต้องตกใจเมื่อเห็นว่าเขามีน้ำตาคลออยู่ที่เบ้าตาทั้งสองข้าง

“หมอก เป็นอะไรไป”

“เปล่าครับพี่ ผมแค่เผลอคิดอะไรบางอย่างน่ะ” เขาฝืนยิ้มออกมา แต่เสียงของเขากลับสั่นเครือเล็กน้อย

“หมอกมีอะไรอยากบอกพี่รึเปล่า พี่เองก็รับฟังได้นะ”

เขาพยักหน้า “สักวันผมจะบอกพี่ครับ แต่คงไม่ใช่ตอนนี้...”

ผมลูบหัวเขาแล้วส่ายหน้าเบาๆ “ไม่เป็นไรครับ พี่เข้าใจ เอาไว้ตอนที่เราพร้อมก็แล้วกัน...” ผมมองตาของเขาแล้วก็เห็นว่ามันคือดวงตาเศร้าสร้อยที่กำลังซ่อนความเจ็บปวดบางอย่างเอาไว้ข้างใน น้ำตาที่เอ่ออยู่ข้างในกลับยิ่งทำให้ดวงตาของเขาเป็นประกายสดใสยิ่งกว่าเคยเสียอีก เขาในตอนนี้ดูใสบริสุทธิ์และบอบบางแทบไม่ต่างจากน้ำ... ไม่ต่างจากเด็กทารกเลย

ผมโน้มตัวเข้าไปจุ๊บลงบนหน้าผากของเขาเบาๆ ด้วยความเอ็นดู มันคงเป็นความเคยชินของผมไปแล้วกับการทำแบบนี้ ยิ่งพอผมเห็นภาพของน้ำซ้อนขึ้นมา ผมก็ยิ่งไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนที่จะทำแบบนั้นกับเขาเลยแม้แต่น้อย

หมอกยิ้มกว้างทันที “พี่ทำแบบนี้เดี๋ยวผมก็ยิ่งหลงพี่มากขึ้นไปอีกหรอก”

“ไหนเราบอกว่าเราไม่ได้เป็นเกย์ไง”

เขาส่ายหน้า “ไม่ได้เป็น แต่จะเป็นก็เพราะพี่นี่แหละ” เขาหัวเราะ “จริงๆ ผมก็เคยคิดว่าอยากจะเป็นเกย์ไปซะเลยเหมือนกันนะ ตอนนั้นผมจะได้ไม่ต้องเสียใจขนาดนั้น...” เสียงของเขาค่อยๆ จางหายไป “แต่ผมว่าผมไม่ได้ชอบผู้ชายจริงๆ ว่ะพี่ ไม่เคยรู้สึกชอบผู้ชายคนไหนเลย ถ้าจะให้เล่าก็ยาว ผมยอมรับเลยว่าเคยพยายามเหมือนกัน หมายถึงที่จะชอบผู้ชายน่ะนะ แต่มันไม่ได้อะ มันไม่มีคนไหนเลยที่ทำให้ผมรู้สึกชอบ รัก หรือหลงได้สักนิด... อย่างน้อยๆ ก็จนกระทั่งผมได้รู้จักพี่นี่แหละ แต่ถ้าเกิดผมเป็นเกย์เอาตอนนี้ ผมก็คงแย่อีกอะ เพราะพี่คงไม่สนใจผมอยู่แล้ว ก็พี่ไม่ได้ชอบผู้ชายสักหน่อย ใช่มั้ยล่ะ”

“เรื่องนั้น...”

เขาเลิกคิ้วขึ้น “หืมมม”

“หมอก ไอ้การเป็นเกย์หรือชอบผู้ชายเนี่ย มันเปลี่ยนกันได้ด้วยเหรอ”

“พี่หนึ่งลืมเรื่องของไอ้อาร์มไปรึเปล่า” เขาตอบ “เอาจริงๆ ผมว่าก็คงยากนะ ของแบบนี้มันน่าจะเป็นสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดมากกว่า แต่มันก็คงขึ้นอยู่กับกรณีล่ะมั้ง ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่สุดขั้ว 100 เปอร์เซ็นต์ไปซะทุกอย่างหรอก ผมคิดว่างั้นนะครับ”
“แปลว่าพี่เองก็มีโอกาสที่วันนึงจะหันไปชอบผู้ชายได้เหมือนกันสินะ”

“ถ้าคนๆ นั้นเป็นคนที่พี่รู้สึกสบายใจที่ได้อยู่ด้วย มีความเป็นห่วง หึงหวงบ้าง เวลาสัมผัส เวลาใกล้ชิด ไม่รู้สึกอึดอัดหรือฝืนใจ ผมว่ามันก็คงเป็นความรักแบบนึงที่คงค่อยๆ ก่อตัวจนเกิดขึ้นได้นั่นแหละ”


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด