Hear, Me
=======
If I could, I would
======
ตอนที่ 17
สภาพนายคฤณยังเยินอยู่นั่นแหล่ะ แต่ความเยินก็ไม่สามารถริดรอนเค้าความหล่อบนหน้าเขาได้ จริงๆ ผมเองก็ไม่ได้รับผลกระทบอะไรมากหรอก เว้นก็แค่ว่าโดนมองไปด้วยแล้วก็หูแว่วได้ยินคำซุบซิบว่า “พี่น้อง” คู่นี้หน้าตาเลิศเลอทั้งคู่เลย คนเมาท์ไม่ใช่ใคร พยาบาลที่เคาท์เตอร์จ่ายยานั่นแหล่ะครับ
ผมแหวกปากถุงดูยาแก้อักเสบ แก้ไข้ แล้วก็ยาทาแก้ฟกช้ำ ยาทาแผลภายนอกพร้อมสรรพกับผ้าก็อซและเทปใสสำหรับพันแผล ครบเซต พอเห็นว่าเรียบร้อยดีแล้วก็ค่อยหันหาคนเจ็บ และก็เจอคุณเขายืนเต๊ะท่าอ่านหนังสือพิมพ์รายวันหัวเศรษฐกิจอยู่อย่างสนอกสนใจ
เขาคงอยากรู้เรื่องราวตัวเอง แต่ผมไม่อยากรู้หรอก เพราะผมรู้ผลลัพธ์ของการให้เบอร์ป๋าคนินกับพี่จ้อซึ่งเป็นหัวหน้าข่าวอาชญากรรมแล้วเมื่อเช้านี่เอง
เรื่องใหญ่โตสมกับที่พึ่งความอยากรู้ของพี่จ้อมากครับ แกจุดประเด็นให้ตั้งแต่ผู้สนับสนุนของพรรคที่หนุนหลังไอ้สส.พิมานที่ผมก็เพิ่งได้ยินชื่อมันเมื่อวานนี้ รวมมาถึงหัวคะแนนที่เป็นหางแถวอยู่ในพรรคมันนั่นแหล่ะ คุ้ยไปถึงกำนัน ผู้ใหญ่บ้านแล้วก็หัวคะแนนยุบยิบในแต่ละเขตชุมชน
โชคคงเป็นของนายคฤณที่ไอ้สส.พิมานมีชนักติดหลังอยู่แล้วเรื่องแซะหน้าดินเอาผลประโยชน์เข้าตัว เรื่องนี้ก็เลยได้รับความสนใจจากนักข่าวการเมืองไปด้วยทันที
“พี่หนึ่ง อ่านอะไรครับ?” พอเดินเข้าไปใกล้แล้วผมก็ยื่นหน้าไปอ่านบ้าง คิดผิดแฮะ เขาตั้งหน้าตั้งตาอ่านเรื่องค่าเงินบาทและกระแสเงินที่ไหลเข้าตลาดทุนไทย ทั้งหุ้นทั้งตราสารหนี้จนเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ค่าบาทแข็งปั๋ง
“รู้สึกโดนลวงไงไม่รู้ จะเอาไงก็ไม่เอาให้แน่ คนลงทุนมันลำบากสมองนะ” บ่นเท่านี้แล้วก็พับหนังสือพิมพ์เก็บที่เดิม ผมยื่นถุงยาให้เขา แต่รายนี้ดันถุงยาคืนสู่มือผมแล้วบอกเสียงแผ่ว
“ไม่เอาแล้ว พี่ไม่กินแล้วนะ เบื่อ”
“ได้ไง ก็เจ็บอยู่”
“อยู่กับเจม 1 วิก็หาย”
“เราอยู่ด้วยกันมา 2 วัน 2 คืนแล้ว ปากยังม่วงอยู่เลยนะครับ” เจอผมย้อนด้วยภาพจริงสีจริงแบบนี้เขาก็ได้แต่เอามือปิดปากแล้วบ่นอะไรอุบอิบ ผมไม่สนใจฟังและเดินลิ่วๆ จูงเขามายังลานจอดรถที่จอดแช่ไอ้เบนซ์เห็นแก่ตัวของเขาไว้ทันที คิดๆ แล้วก็เสียวเหมือนกัน ไม่รู้มันจะโดนอุ้มไปชำแหละกินตับรึเปล่า
พอถึงรถ สถานะนายคฤณก็ชัดเจนมากกว่า “วันนี้พี่เป็นนายแล้วเจมเป็นบ่าว” เขาให้ผมขับรถ อืมมม เริ่มชอบรับฟีดแบ็คจากตีนคนอื่นแล้วสินะคนเรา
“ไปบ้านพี่ก่อนนะ รถเจมอยู่ที่นั่น”
“แล้วเราจะกลับกันยังไง พี่หนึ่งขับกลับกรุงเทพไหวหรอครับ?”
“ไหวครับ”
“เดี๋ยวเราขับคู่กันไปนะ ออกจากนี้ราว 5 โมงเย็น ขับกลับกรุงเทพไม่ติดมาก กว่าจะเข้ากรุงเทพก็ราวๆ 2-3 ทุ่ม รถที่นั่นซาพอดีเหมือนกัน”
“อืม โอเค”
“เจมล่ะ เหนื่อยรึเปล่า?”
“ไม่เหนื่อยหรอกครับ” ผมหันไปยิ้มให้แล้วก็เข้าเกียร์ถอยหลัง นำท่านคณฤผู้ยิ่งใหญ่เป็นนายกู 1 วันสู่บ้านหลังอุ่นของเขา
จะว่าไป ผมก็คิดถึงบ้านหลังที่ระยองของเขาเหมือนกัน คิดถึงช่วงเวลาที่เพิ่งถูกเขาจีบ เพิ่งเริ่มไว้ใจเขา เพิ่งเริ่มใกล้ชิดกับเขา
หากนับเดือนกันจริงๆ แล้วมันก็ไม่นานเลย ครึ่งปีกว่าๆ เหมือนจะได้
แต่ว่า มวลความผูกพันมันน่าจะหนาแน่นพอควร หัวใจผมบอกแบบนั้น แม้ว่าตั้งแต่พ่อตาย ใจผมก็ไม่เคยผูกพันกับใครเลยก็เถอะ
นายคฤณคงรู้แล้วว่าผมบื้อกว่าที่เขาคิดมาก เพราะผมขับรถพาเขาหลงทางทั้งที่เขาจำทางกลับบ้านเขาได้แม่นยำ เรื่องป่วนผมทำได้ไม่ยากแม้ว่าจะไม่ได้ตั้งใจทำเลยก็ตาม ผมก็แค่เลี้ยวซ้ายทันทีที่เขาบอกว่า “แยกหน้าเลี้ยวซ้ายนะเจม” และพอเขาบอกว่า “เลี้ยวขวาเลย” ผมก็ขับเลยทางเลี้ยวไปซะงั้น
ท่าทางเขาจะปวดหัว เพราะผมเห็นเขากุมขมับและนวดหัวคิ้ว เห็นแล้วก็สงสาร เลยหาทางแก้ปัญหาไปให้ว่า “มาขับเองมั้ยครับ?” แต่เขากลับคิดว่าผมกวนโมโห เอ้า! ผมมีเหตุจูงใจอะไรให้ต้องกวนอารมณ์เขาล่ะ?
และแล้วก็มาถึงกันเสียที
“ปกติที่ขับจากตัวเมืองมาบ้านแค่สี่สิบกว่านาที”
“คนละแรงเหยียบ พอเป็นเจมขับ ไอ้แรงม้าในรถพี่หนึ่งก็คงอู้งาน”
“เพ้อเจ้อ เถียงได้ทุกเรื่องจริงๆ”
“เข้าบ้านกันเถอะ” ด่าแล้วก็กระเตงผมเข้าเอวอยู่ดี ผมลงจากรถไปเปิดรั้วตามวิธีที่เขาบอก ซึ่งเขาก็บอกละเอียดตั้งแต่ใช้กุญแจรั้วดอกไหน ไขเข้าไปประตูเล็กก่อน แล้วก็สับสวิตซ์ไฟข้างรั้วขึ้นแล้วค่อยกดปุ่มเปิดรั้ว อือออ ยากไปป่ะ?
เกยราชรถม้าอู้ในโรงรถเขาเทียบคู่กับรถมินิของผมเรียบร้อยแล้วก็ต้องรีบมาพยุงเขาเดินเข้าบ้านครับ ทีรั้วล่ะทำซะยุ่งยาก แต่เขาไม่ได้ล็อคประตูบ้านด้วยซ้ำ ผมไม่ถามเรื่องความเลินเล่อของเขาเพราะผมเองก็เพลียๆ แล้วเหมือนกัน
“หิวรึยัง? เดี๋ยวเจมทำมื้อเที่ยงให้ พี่หนึ่งจะได้นอนพักก่อนกลับกรุงเทพ”
“โจ๊กสำเร็จรูปก็ได้ ใส่ไข่ ใส่หมูสับ พี่ช่วยเอง”
“พี่หนึ่งอยู่เฉยๆ เถอะ”
“พี่ทำได้ครับ ไม่ได้เป็นอะไรมากเลย” อ่ะ อ้าว! แล้วที่ทำเสียงโอยถี่ๆ ตอนเขย่งส้นเท้าเดินเองนี่อะไร?
“แล้วที่ให้เจมพยุงเมื่อกี้ล่ะครับ ยังจะบอกว่าไม่เจ็บ” ผมเถียงตามที่เห็น แต่เขาก็ยิ้มชั่วร้ายแล้วเฉลย
“อ้อนแฟนเล่นไมได้หรอครับ?”
“ใช่เวลามั้ยล่ะครับ” ผมยียวนกลับแล้วชกแขนเขา จริงๆ ก็แค่เอากำปั้นแตะลงเบาๆ เท่านั้น
“ไปสิ ทำอะไรกินกัน”
“เดินดีๆ สิพี่หนึ่ง” นายคฤณก็ยังเอมใจกับการเอาตัวมาใกล้ๆ ผม หยอกผม แกล้งผม แล้วก็จบลงด้วยการมองผม กอดผม หอมขมับผม รวมถึงจูบมือผมเหมือนเดิม
เขาจะมาพิศวาสอะไรผมนักนะ?
เด็กชายคฤณกินแล้วก็นอน ฟาดโจ๊ก กระดกยาหลังอาหารแล้วก็มานั่งเอนหลังนาบโซฟามองผมนั่งทำงานในโน็ตบุ้คสักพักก็หลับไป ผมละสายตาจากหน้าเอาท์ไลน์หนังสือมาครู่หนึ่งจึงได้รู้ว่าเวลามันล่วงไปถึงบ่าย 4 โมงแล้ว ผมควรปลุกเขาให้ล้างหน้าล้างตา จะได้มีสติขับรถ แล้วก็วางแผนไว้ว่าจะทายาแก้ฟกช้ำให้เขาก่อนออกเดินทางด้วย
แต่ความเงียบสงบในบ้าน เสียงลมหายใจแผ่วเบาเป็นจังหวะเนิบนาบของเขาทำให้ผมยั้งการปลุกเจ้าของบ้านเอาไว้ก่อน
มาครั้งที่แล้วแม้จะอยู่นานกว่านี้ แต่ก็ไม่ได้สำรวจเสือกตาไปมองอะไรมากนัก เว้นก็แค่รูปที่ผมคิดว่าคงจะเป็นรูปเขา นายพิชญะและคุณลูกแพร งั้นวันนี้ขอกูความทรงจำของเขาที่ผมไม่เคยมีส่วนร่วมหน่อยเถอะ
ผมยังจำได้ว่า คืนที่ผมเรื่องเยอะกับการไปให้พ่อเขาพบหน้านั้น เขาหลีกการปะทะอารมณ์เข้าห้องนอน และรื้อของที่น่าจะเป็นของวัยเด็กของเขาออกมา
ที่บ้านนี้ น่าจะมีของวัยเด็กชิ้นอื่นๆ ของเขาบ้าง
ผมเดินขึ้นชั้น 2 เดินผ่านห้องที่เขาเคยเตรียมให้ผมนอนและจบลงที่นอนห้องเดียวกับผม เพื่อมาหยุดที่หน้าห้องที่เขาบอกว่าคือห้องนอนของเขา แต่เขาก็ไม่ได้นอนเพราะปลิ้นตัวมานอนในห้องที่เตรียมให้ผม
ชั่งใจวินาทีเดียวผมก็เปิดประตูห้องนอนเขาทันที
เฟอร์นิเจอร์และเครื่องนอนครบครัน แต่ก็ไม่ได้อยู่ในทิศทางที่เรียบร้อยนัก ก็อย่างว่า แม้ห้องนี้จะใหญ่โต มากด้วยเครื่องอำนวยความสะดวก แต่ก็ไม่ได้มีใครมาดูแลทุกวัน
ผมเดินไปนั่งบนเตียงแล้วยื่นหน้ามาดูที่ตู้เล็กๆ ข้างหัวเตียง ลองเปิดๆ ดูก็เห็นแบงก์เขียว แบงก์แดงและเหรียญต่างมูลค่า ต่างสกุลกองๆ กันอยู่ มีนาฬิกาข้อมือสายหนังเรือนเก่าๆ แล้วก็สมุดลายดอกไม้เล่มหนึ่ง
เห็นลายปกแล้วอยากถามว่าตอนซื้อไม่อายหรอ?
ผมไม่ได้ถือวิสาสะแตะต้องสมุดนั้น และก็ไม่ได้ใช้มือแตะสัมผัสสิ่งใดในห้องโดยไม่จำเป็นเลย ผมเพียงดูด้วยตาเท่านั้น เท่านี้ก็ถือว่าละลาบละล้วงมากไปแล้ว
จากตู้ข้างเตียง ผมก็มาเปิดตู้เสื้อผ้าดู เสื้อผ้าในตู้หนักไปทางเสื้อยืดที่พับกองๆ รวมกันเอาไว้ด้านล่าง เลยขึ้นไปที่ราวแขนส่วนมากจะเป็นกางเกงยีนส์ เสื้อยีนส์เสียมากกว่า
แต่ว่า มันมีสิ่งแปลกอยู่อย่างหนึ่ง
เดรสผู้หญิง
แม่เขาอยู่เมืองนอก บ้านนี้ก็ไม่ได้มีแม่บ้านมาดูแลเป็นประจำ น้องสาวเขาก็ไม่มี พี่สาวก็ไม่มี แล้วเดรสผู้หญิงชุดนี้ของใคร? ให้ใคร?
ผมกบฏกับตัวเองด้วยการดึงมันมาดูไซส์ ดูแบบและเนื้อผ้า เรียกได้ว่าความทันสมัยมีน้อยนิด แต่ก็มีความร่วมสมัยอยู่บ้าง
“ซุกผู้หญิงด้วยหรอเนี่ย? ป๋าคนินรู้ป่าววะ?” ผมปรึกษาตัวเองแล้วก็แขวนมันกลับที่เดิม จากนั้นก็มุ่งไปที่โต๊ะเขยีนหนังสือที่มีตำราแขนงไหนซักอย่างวางซ้อนกันอยู่ 2-3 เล่ม
จ้องดูดีๆ แล้วจึงรู้ว่าเป็นตำราบริหารและวิศวกร สาขาที่เขาจบทั้งตรีและโท ผมจำได้จากประวัติเขาที่ผมได้เห็นครั้งแรกก็อุทานว่า “เทพมาเกิดอีกแล้ว”
นอกจากตำราแล้วยังมีกระดาษระเกะระกะวางอยู่ด้วย น่าจะเป็นเอกสารของโบรเจคลงทุนด้านพลังงานที่เขาดูแล ผมคงไม่สนใจกระดาษพวกนี้มากนัก หากไม่ได้เห็นรูปวาดด้วยดินสอที่ร่างบางๆ บนกระดาษพวกนั้น
ผมคุ้นรูปพวกนี้ จะไม่ให้คุ้นได้ยังไง ก็มันเป็นรูปที่ผมชอบวาดตอนที่สมองว่างเปล่าเหมือนกัน
รูปหมาหันหลังมองไปยังวงกลมที่มักจะอยู่เหนือกว่าเสมอ
“วาดอะไรของเขาวะ?” ผมไม่รู้ว่าเขาวาดรูปพวกนี้เพื่ออะไร และคิดอะไรอยู่ตอนที่วาด แต่ผมรู้ตัวผมเองดีทำไมถึงได้วาดรูปแบบนี้
ลูกหมาเจมจะรอพ่อตลอดไป
ผมคิดแบบนี้เสมอเมื่อตอนเป็นเด็ก ไม่ว่าวันเวลาที่เสียพ่อจะเพิ่มขึ้นแค่ไหน รูปของผมที่วาดตอนเหม่อลอย ไร้เรื่องรบกวนจิตใจจะเป็นรูปแบบนี้เสมอ
อีกรูปที่ชี่นชอบก็คือรูปคนก้างๆ ที่ตัวมีขีดเดียว แยกออกเป็นแขน แฉกออกเป็นขา ผมชี้ๆ ขึ้น รูปที่เหมือนกับในกระดาษที่ผมเห็นบนเตียงในคฤณเมื่อคืนก่อน
เพิ่งรู้ว่าเขาใช้การวาดรูปบำบัดจิตใจเหมือนกัน
นอกนั้นก็ของใช้ส่วนตัว และเครื่องมือทำงานของเขาทั้งหลายแหล่ ผมเดินดูรอบห้องแล้วก็อมยิ้มบางๆ แค่ได้เห็นสิ่งที่เขาเคยเป็นมา เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
ผมมีโอกาสได้เข้าใกล้ความทรงจำของเขาที่ผมไม่เคยเข้าไปมีส่วนร่วมอยู่พักใหญ่ บ่อยๆ ที่เจอเรื่องราวที่ผมสงสัย แต่ผมก็คิดจะไปไต่ถามหรือแตะต้อง หรือขอมีส่วนร่วมกับอดีต
รวมทั้งเดรสผู้หญิงชุดนั้น แม้จะพอเดาๆ ได้ แต่ผมคิดว่าไม่รู้ต่อไปจะดีเสียกว่า
ตราบใดที่เขายังคงแสดงออกว่ารักผม ชอบอยู่กับผม มีความสุขเมื่อเราได้ใช้เวลาร่วมกัน ผมก็ไม่รู้จะไปขุดคุ้ยเรื่องราวในอดีตของเขาทำไม
ในทางตรงกันข้าม ตราบใดที่ผมพอใจจะอยู่ใกล้เขา อยู่ให้เขารักผม ให้เวลาเขาได้ใกล้ชิดผม ผมก็ไม่รู้จะบอกอดีตของผมให้เขารู้เรื่องทำไม
การคุ้ยข้าวของของนายคฤณทำให้ผมสำนึกรู้ขึ้นมาว่าเขาใจดีกับผมแค่ไหน เมื่อครั้งที่ผมพูดผมถามเรื่องคุณพีชญาจี้ใจเขา เขาใจเย็นกับผมมากและอธิบายเรื่องราวให้ฟังเท่าที่เขาคิดว่าจำเป็น และแตะต้องคุณพีชญาน้อยที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ ซึ่งหากผมเป็นเขา หากผมต้องถูกถามเรื่องที่เก็บซ่อนลึกไว้ในหลืบใจ จากคนที่เพิ่งเข้ามาเกี่ยววงกลมชีวิตกันและกัน ผมแน่ใจว่าผมจะเตะเขาออกไปก่อนจะร้องคำว่า "โอ้ย" จบเสียอีก
ผมหวงความเป็นส่วนตัวของผมมาก และนายคฤณก็เป็นคนแรกที่ผมเปิดรับให้เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตผมมากขนาดนี้ เรียกได้ว่าวงกลมชีวิตของเขาและผมแทบจะทับกันสนิทดี
แต่มันคงทาบกันโดยไร้รอยเหลื่อมได้ไม่นาน อย่างน้อยๆ ตัวผมเองนี่แหล่ะที่จำต้องขยับชีวิตออกไป
เขาจะรับมือกับรอยเว้าที่ว่างเปล่ายังไงนะ?
เจม...
ผมแว่วได้ยินเสียงเรียก จึงเดินกลับไปยังห้องนอนที่เคยได้ใช้งานมาแล้ว และเข้าห้องน้ำไปกดชักโครกเล่นๆ แล้วก็ล้างมือก่อนเดินลงมาหาคนที่ตื่นมาก็เรียกหาผม
"ครับ พี่หนึ่งเรียกเจมหรอ?"
"ตื่นมาไม่เห็น ก็เลยเรียก"
"ตื่นมาแล้วเจอความเงียบมันยังไงไม่รู้" ลางสังหรณ์หมอนี่แม่นเหมือนกันแฮะ เขาจะรู้มั้ยอีกไม่นานนัก เขาอาจจะต้องทำตัวให้ชินกับการตื่นขึ้นมาแล้วไม่เห็นผม
"เจมขึ้นไปแอบนอนบนห้องครับ ก็พี่หนึ่งยึดโซฟาไปแล้ว" ผมแก้ตัวแล้วนั่งขัดสมาธิบนพื้น ส่วนนายคฤณนั่งอยู่บนโซฟา สงสัยชาติที่แล้วผมจะเคยเป็นทาสรับใช้ท่านเจ้าพระยามากยศผู้นี้จริงๆ
"แล้วจะเอาอะไร เรียกเจมทำไมหรอ? หรือว่าปวดหัว หรือเจ็บแผล"
"เปล่าครับ แค่อยากเห็น" เขาพูดแล้วส่งยิ้มให้
"4 โมงแล้วหรอเนี่ย เตรียมตัวกลับกันดีกว่า"
"พี่หนึ่งขับรถไหวแน่หรอ? กลับรถเจมดีกว่า แล้วเดี๋ยวค่อยให้คนของพี่เอารถพี่หนึ่งไปส่งที่คอนโด"
"ไม่อยากรบกวนใครน่ะ"
"อีกอย่าง รถเจมคงไม่มีที่ให้พี่นั่งหรอก"
อะไร? ดูถูกมินิหรอเนี่ย? เคืองนะเนี่ยขอบอก ผมส่งสายตาสงสัย แต่เขาก็ไม่ได้บอกอะไรเพิ่ม ผมเลยสะบัดหน้ากลับมาส่งงานเข้าอีเมลล์ผมแล้วก็ปิดโน้ตบุ้คเสีย ผมไม่ต้องแบกมันไปคืนใคร เพราะเป็นเครื่องของนายคฤณที่เอาไว้ทำงานประจำ ยินเสียงเขาหัวเราะหึๆ ชวนให้สงสัยตามหลังมา แต่ผมไม่หลงกลหรอกน่า เฮอะ!
และคำตอบก็มาสู่สายตาของผมเอง ทันทีที่ผมเปิดประตูรถผม กลิ่นมันก็บอกกันแต่โดยดีเลยครับว่าทำไมนายคฤณถึงจะขับรถกลับเอง
เมียใหม่เขา นอนพองหนามกันอยู่ในเข่ง 3 เข่ง ใต้เข่งมีผ้าหนาๆ รองเบาะอยู่ก่อนชั้นหนึ่งแล้ว นับว่ารอบคอบดี และยังมีสำนึกพอจะรู้ว่า รถกู กูหวง
ผมหันขวับไปจ้องหน้าเขา นายคฤณยิ้มเหนียมแล้วอ้อมแอ้มพูด
"ก็พี่อยากให้เจมกับที่บ้านได้กินไง พี่ก็ไปเอามาก่อน ทีนี้ มันก็เกิดเรื่องก่อน แต่มันคงยังไม่งอมมากหรอก เอากลับไปก็แกะกินได้เลย แต่ว่าต้องกระจายให้คนอื่นเขามากหน่อยเท่านั้น"
"พี่ขอโทษนะ"
แล้วผมก็ใจอ่อน จริงๆ ก็ไมได้โกรธเขาหรอกครับ คิดๆ ไปแล้วมันก็ไม่ได้ลำบากลำบนอะไรมากกับการขับรถให้นังทุเรียน 3 เข่งนั่งเป็นคุณนายหน้าหนามอยู่ในรถ พอคิดถึงสีหน้าเขาตอนคร่ำเคร่งเลือกทุเรียนเพื่อเอามาให้ที่บ้านผมแล้ว ความลำบากที่ผมต้องเผชิญตลอดทางนี่ถือว่านิดหน่อยมาก
"แต่เดี๋ยวพี่ขับรถเจมเอง เจมไปขับรถพี่ให้สบายดีกว่า" รักเมียหน้าหนามมากสินะ ผมยิ้มให้เขากวนๆ แล้วก็ตอบแน่วแน่
“มันก็ต้องแป็นแบบนั้นอยู่แล้วครับ คุณคฤณ”
“โธ่! พี่ขอโทษแล้วไง เบาะคงไม่เป็นอะไรมากหรอก กลิ่นก็....เดี๋ยวเอาไปล้างให้อย่างดีเลย” แกล้งคนหน้าช้ำที่รู้สีกดีจริงๆ ผมแอบยิ้มแล้วปั้นหน้าบึ้งๆ ให้เขามอง จากนั้นก็แบมือขอกุญแจรถที่ผมคืนให้เขาไปแล้ว เมื่อได้มาก็เดินหนีไปหาเบนซ์แรงม้าอู้ทันที แต่ก็ไม่ลืมกดโทรศัพท์หาจิว เมื่อปลายสายตอบรับ ผมก็พูดหน้าตาย “เดี๋ยวเจมจะกลับแล้วนะ ขับรถไปคนละคันกับพี่หนึ่ง พี่หนึ่งมีทุเรียนไปฟาดหน้าจิวกับแม่ด้วยนะ ได้ข่าวว่าปีนไปตัดขั้วเอง กินไปแล้วอั้นขี้ 3 วันนะจิว เดี๋ยวคนแถวนี้จะน้อยใจ”
เท่านี้เขาก็หัวเราะเขินๆ แล้วเดินมาขยี้หัวผม ก่อนจะจัดการให้ผมขึ้นรถเขา สตาร์ทเครื่อง เช็คน้ำมัน ดูระดับกระจกข้างและหลังจนเสร็จดีแล้วก็ทำหน้าที่เป็นพี่ยามโบกรถผมให้ออกจากบ้าน
ผมชะลอรถรอเขาอยู่ข้างรั้ว เราตกลงกันแล้วว่าผมจะเป็นราชนิกูลที่มีรถนำขบวนเป็นมินิเคลือบกลิ่นทุเรียน และเขาก็รอบคอบมาก ขับนำผมได้ตลอดทาง เวลาจะแซงใครทีก็จะทำอะไรสักสิ่งที่ผมไม่เข้าใจกับรถคันที่เขาแซงไปก่อน แล้วทางก็โล่งให้ผมขับตามตูดเขาได้ด้วยอารมณ์สบายๆ
3 ทุ่มปริ่มนิดๆ ก็ถึงบ้านผมที่บางนา นายคฤณคงโทรบอกจิวไว้ก่อน มันถึงได้นุ่งกางเกงบอล สวมเสื้อยืด โอบอุ้มหมาเผือกตัวเล็ก 2 ตัวมาเปิดประตูรั้วให้ มันมองผ่านรถมินิแต่กลับจ้องเข้ามาในเบนซ์คันงาม ผมเลยทำทานด้วยการกดกระจกให้มันส่องกระจกกับลูกกะตาผม ไอ้พี่ชายสะดุ้งและรีบวิ่งไปยังรถมินิทันที
แล้วมันก็ทำตัวเป็นเมียนายคฤณอีกคน
ท่าทางการประคับประคองราวกับนายคฤณมีผิวเป็นทอง มีขนบนแขนเป็นสายแร่ราคาสูงก็ไม่ปาน ทั้งโอบ ทั้งรั้งเอว ทั้งจ้องหน้าจ้องตา
แล้วคือ...ถึงมึงเป็นพี่กู แต่กูก็หวงแฟนกูเหมือนกันนะ!
แม่งยิ่งหน้าเหมือนผมอยู่ ถ้านายคฤณเคลิ้มแล้วผิดผีกับมันล่ะ? ชีวิตครอบครัวผมจะซับซ้อนแค่ไหน คิดดู!
“เจม เอาของในรถลงมาด้วยนะ”
ส้นตีน! ให้คุณนายหน้าหนามอาศัยรถมาแล้ว ผมยังต้องอุ้มเหล่านางๆ ลงจากรถอีกหรอ? ไม่เอาหรอก
“ไม่เอา! หนัก”
“ไม่เป็นไรรชา เจมเข้าบ้านเถอะ เดี๋ยวพี่ขนลงเอง”
“มึงปัญญาอ่อนรึเปล่าเจม เฮียคลินเจ็บขนาดนี้ มึงจะใจดำใช้เขาแบกเข่งทุเรียนอีกหรอ?”
“เร็ว!”
เออ เออ แม่ง! บังคับกูจัง
แล้วมึงยืนนิ่งรอตำแหน่งจอหงวนรึไง!
“จิวก็มาช่วยกันเด่ะ” ผมหาแรงเพิ่ม และไอ้พี่ชายคงพอจะรู้ว่าผมไม่ใช่พวกออกกำลังกาย อุ้มไอ้ตัวหนึ่งกับตัวสอง 5 นาทีก็ต้องทาเคาน์เตอร์เพน แปะพี่เสือก่อนนอนแล้ว สุดท้ายไอ้รชานนท์ที่นามสกุลเหมือนผม หน้าเหมือนผม เดินแบกหน้าหล่อข้ามชาติมาช่วยผมขนทุเรียนในที่สุด ผมได้เอาคืนนิดหน่อยด้วยการแกล้งไม่ออกแรง ปล่อยให้แม่งโอบเข่งคุณณนายหน้าหนามอยู่คนเดียว