สามทุ่มกว่าผมจึงปิดโน้ตบุ้ค พอเห็นเวลาก็เลยรีบโทรหาแม่เพื่อไม่ให้เป็นห่วง ปลายสายรับโทรศัพท์เสียงหวานตามสไตล์ พอได้ยินเสียงผมก็รายงานความเป็นไปของบ้าน
“กลับมั้ยหม่อมเจม” ราชนิกูลได้อีกผมเนี่ย ผมหัวเราะอารมณ์ดีแล้วถามกลับ
“ชายใหญ่ไม่กลับเลยเหงาหรอครับหม่อมแม่”
“อื้อ ชายใหญ่กลับดึกน่ะ แล้วชายเล็กตัวนี้ล่ะ จะนอนที่ไหน”
“คอนโดแล้วกันนะครับ เจมเพิ่งเสร็จงาน เหนื่อยมาก ขี้เกียจขับรถไกล” ผมตอแหลไปงั้นแหล่ะ ออฟฟิศผมอยู่เกือบอโศก คอนโดผมอยู่แถวพร้อมพงษ์เอง บ้านน่ะหรอ? ลงด่วนบางนาหายูเทิร์นเล้วเข้าซอยก็ถึงแล้ว ใกล้กันโคตรๆล่ะ
“แล้วเจมกินอะไรรึยัง? แถวคอนโดมีอะไรขายมั้ย”
“มีครับ” ผมบอกให้แม่สบายใจ แต่กว่าจะถึงคอนโด มันจะมีอะไรขายให้ผมหาซื้อกินอยู่รีเปล่านี่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แม่ผมเงียบไปแป๊บนึงจนผมคิดว่าวางไปแล้ว จากนั้นก็บอกให้ผมตาโตเล่นๆ ว่า
“เจม เพื่อนมาหาน่ะลูก”
เพื่อน? ทำไมเพื่อนขยันคิดถึงกูจังวะ?
ผมเดินเกาพุงหยิบกระเป๋าตังค์ยัดใส่กระเป๋าแล้วออกจากออฟฟิศทันที ระหว่างทางก็ผงกหัวลาพี่ๆ ในกองที่ทำท่าว่าจะทำงานโต้รุ่ง
“เพื่อนไหนแม่ แม่ถามดีๆ เพื่อนเจมไม่ค่อยไปที่บ้านแม่ก็รู้นี่”
“ถามแล้ว หอบของมาซะมาก ต๊ายยยยยยยยยน่ารักมากเลยเจม”
“กลับมาบ้านแล้วกันนะลูก เพื่อนอุตส่าห์มาหา นี่มารับขวัญหลานๆ ด้วยนะ”
“หือ?” รับขวัญหลาน? ไอ้จิวมีลูกหรอวะ? เพราะผมน่ะไม่มีแน่ๆ
“หลานอะไรแม่”
“ก็ตัวหนึ่ง ตัวสอง แล้วก็ตัวเล็กไง”
“คฤณ มานั่งรอในบ้านรอเจมแล้วกันนะจ๊ะ”
คะ...คฤณ!!!
เมื่อกี้แม่ผมพูดชื้อนี้รึเปล่า? ผมยังไม่ทันจะถามอะไรให้มั่นใจแม่ก็วางไปแล้ว ครั้นจะโทรไปถามแม่ใหม่ก็คงไม่กระจ่าง ผมเลยทำเปรี้ยวโทรหาคนที่เพิ่งได้ยินแม่เรียกชื่อเมื่อกี้ สัญญาณดังแค่ตู้ดเดียวเจ้าของเบอร์ก็รับสาย
“ครับเจม”
“พี่หนึ่ง...อยู่ไหนครับ” ผมถามอย่างไร้มารยาทมาก เขาเป็นผู้บริหาร หารายได้ต่อปีได้มากกว่าผมร้อยเท่า เขาเป็นพี่ผม 4 ปี เขากับผมไม่ได้เป็นอะไรกัน ไม่ได้สนิทกันแต่ผมถามอย่างได้ใจความว่า “อยู่ไหน” นี่ผมจิกเขามากไปรึเปล่า?
“อยู่บ้านเจมไง”
“มาหาหลานน่ะ”
ชิบหอกกกกกกกกกกกกก!!
อะไรเนี่ย? อะไร?? ทำไมนายคฤณมันถึงได้เป็นคนดีศรีสังคมแบบนี้วะ?
มาเยี่ยมหมาของคนที่เพิ่งรู้จักกัน และคุยกันครั้งสองครั้งเนี่ยนะ!
ผมรีบบึ่งรถกลับบ้าน พอถึงหน้ารั้วก็เห็นตูดรถเบนซ์สปอร์ตสีขาว ทะเบียนประมูลตามสูตรคนรวยเป๊ะจอดอยู่ข้างรั้ว พอบีบแตรสองทีตามที่ตกลงกับแม่ไว้ ประตูไฟฟ้าก็เปิดอ้าต้อนรับชายเล็กเข้าบ้านทันที
“แม่! พี่หนึ่งล่ะ?”
“หือ?” นายแม่หันมองผมงงๆ นี่ผมละเมอว่านายคฤณมาบ้านหรอ? ทำไมแม่ทำหน้าเหมือนไม่รู้เรื่อง
“คฤณล่ะครับแม่ เพื่อนผมอยู่ไหน”
“อ๋อ เสื้อผ้าเลอะหมดเพราะเล่นกับผู้พัน แม่ก็เลยให้ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อในห้องเจม”
“อ้าวเจม! เจม! เบาๆสิ บันไดหินอ่อนแต่มันก็สึกได้นะยะ!!”
ปึก! ผมเปิดประตูห้องตัวเองอย่างรีบร้อนแล้วก็ถลาล้มไปจิ้มหน้ากับพื้นไม้ปาเก้เงาวับเพราะผมเอาถุงเท้าขัดทุกคืนทุกวัน
ปลายเท้าที่ผมเกือบจูบมีเล็บสะอาดสีขาวอมชมพู ช่างแม่งเหอะ ขอมองหน้ามันก่อน
นายคฤณยืนยิ้มให้ผมแล้วก็ก้มมาดึงตัวผมขึ้นยืน หมอนี่คงสูง 180 นิดๆ เพราะตาผมเท่ากับปากมันพอดี ผมก็เลยเห็นรอยยิ้มแบบใกล้ๆ
“ไง รีบหรอ?”
“ไม่รีบมั้ง” ผมว่าแดกแล้วแทรกตัวไปนั่งบนเตียงปริ่มๆ ว่าแต่ว่า นี่มันห้องผมนะ ทำไมรู้สึกเหมือนมารบกวนหมอนี่ยังไงไม่รู้
“แล้ว...พี่หนึ่งมาไง เจมหมายถึง มาทำไม”
“มาเยี่ยมหลาน”
“มันใช่เหตุผลปกติมั้ยครับ”
“พี่ไม่เคยเห็นหมาเด็กอ่อนกับหมาแม่ลูกอ่อนหรอ?” นี่ผมถามจริงๆ ไม่ได้กวนส้นตีนแต่อย่างใด นายคฤณยิ้มแล้วขำผมเบาๆ แล้วก็เดินเฉิดฉายออกจากห้องผมไป พร้อมกับเสียงเรียก “คุณแม่ครับ” เดี๋ยวนะ! มึงมาขโมยแม่กูหรอไอ้พี่หนึ่ง!
ผมเปลี่ยนเสื้อลวกๆ แล้ววิ่งตึงตังลงมาให้แม่แหวเล่น นายคฤณนั่งดูทีวีอยู่กับแม่ผมแล้วพูดคุยอย่างอารมณ์ดี ผมล่ะสงสัยว่ามันมาญาติดีอะไรกับผมนักหนา หรือมันมาจีบแม่วะ? เออใช่! กับพี่ปูเอง นายคฤณก็ชอบเข้าหาทำตัวสนิทสนม
ไม่ได้การ ผมไม่ยอมมีพ่อเลี้ยงที่อายุมากกว่าผมแค่ 4 ปีหรอก
“แม่..เจมหิว” ผมอ้อนครับ ฮิฮิ แม่ควรรู้ว่าลูกชายที่น่ารักที่สุดในโลกก็คือผม จะได้รักผมคนเดียวจนไม่แบ่งปันความรักให้ใครไม่ว่าจะในฐานะอะไรก็ตาม
“ปากใครล่ะเจม” แม่รักผมจังเลยน้า ผมหน้าหุบแล้วเดินเข้าครัวไปด้อมๆ มองๆที่โต๊ะกินข้าวใหญ่ว่ามีกับข้าวอันใดส่องสุมกำลังไว้รอผมบ้าง...อื้อหือออ ขาหมู เสร็จกูล่ะ
“เจม เดี๋ยวแม่นอนแล้วนะ” กินข้าวยังไม่หมดหม้อดีแม่ก็ส่งเสียงบอก ผมแหง่ะดูนาฬิกาเรือนใหญ่ โอ้ สี่ทุ่มแล้ว
“เจมดูแลเพื่อนให้ดีล่ะ แล้วได้เอาเสื้อซักให้เพื่อนรึเปล่า ผู้พันมันกระโจนใส่ซะดินเปรอะทั้งเสื้อทั้งกางเกง”
อ้าว....ไม่เห็นมีใครบอกเลยว่าต้องซักแห้งเสื้อผ้าให้นายคฤณด้วย
“เปล่า ก็แม่ไม่ได้บอก”
“เรื่องเท่านี้ต้องให้บอกหรอเจม เพื่อนก็เพื่อนเรา”
“คฤณ ถ้าไงก็นอนบ้านก่อนนะ สะดวกรึเปล่า เดี๋ยวแม่ปั่นแห้งให้แล้วพรุ่งนี้ให้เจมรีด”
“เจมเกี่ยวอะไรอ่ะแม่”
“ก็เพื่อนเจมนี่นา รีบกินแล้วปิดบ้านช่องให้ดี แต่ไม่ต้องปิดรั้วนะ พี่จิวเขาไม่มีกุญแจรั้ว”
“ครับ ครับ” ผมรับคำแกนๆ แล้วคอตกตักข้าวกินต่อ แม่ผมขึ้นไปนอนแล้วตามที่บอก ในห้องรับแขก ที่หน้าทีวีมีมนุษย์หน้าตาหล่ออารมณ์ดีคนนึงนั่งไขว่ห้างดูข่าวช่องต่างประเทศ แหมโว้ย! ฮิโซ
ผมเดินเข้าห้องรับแขกและได้รับความสนใจจากอีกฝ่ายทันที นายคฤณมองหน้าผมแล้วยิ้มให้ก่อนจะถาม
“ง่วงแล้วหรอ? ขอโทษนะ เดี๋ยวเสื้อแห้งพี่ก็กลับแล้ว”
“จะห้าทุ่มแล้ว กว่าเสื้อจะแห้งอีก ถ้าให้เจมรีดก็กลัวว่าเสื้อจะไหม้”
“พรุ่งนี้แม่บ้านมา พี่หนึ่งนอนค้างที่นี่ก่อนนะ”
“ไม่เป็นไร ใส่เสื้อเจมแล้วคัน”
“เหอะ!”
“ล้อเล่น งั้นก็..รบกวนหน่อยนะ” ผมยิ้มให้แล้วเดินมายืนดูทีวี แต่แป๊บเดียวก็หันหน้าหนีเพราะผมเบื่อเนื้อหามันเต็มกลืน เขียนบทความ สัมภาษณ์ ทำข่าว ผมก็จมหัวตัวเองอยู่กับเรื่องเศรษฐกิจ-การลงทุน นี่อยู่บ้านแท้ๆ ขอดูศึกโปเกม่อนก็ไม่ได้
“อื้อเจม”
“ครับ”
“หลานๆ ชื่ออะไรกันมั่งนะ แม่เจมบอกพี่แล้วแต่ได้ยินไม่ถนัดเลย” ผมคิดแป๊บเดียวก็ยิ้มกวนตีนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ นายคฤณเหล่มองผมแล้วเบนสายตาหนี รู้ตัวแล้วล่ะสิว่าพลาดท่ามากที่มาบ้านนี้
“มาๆ เดี๋ยวเจมแนะนำให้รู้จัก” ผมหาอะไรทำสนุกๆ ทันที พอเห็นอีกฝ่ายไม่ขยับตูดเสียทีผมก็รี่ไปดึงแขนนายคฤณให้ออกมาที่ข้างโรงจอดรถ
คุณหญิงไม่ค่อยนอนนิ่งแล้ว เรียกได้ว่านางอยู่ไฟ(ตากแดดเอา) จนมดลูกเข้าที่แล้วเลยวิ่งลั้ลลากับสามีตามเดิม ส่วนลูกให้คลำทางหานมกันเอง บางทีพวกมันก็ดูดตีนกันและกันดังด๊วบๆ
"นี่ตัวหนึ่ง หรือไอ้หนึ่ง ไอ้หมาหนึ่ง แล้วนี่ตัวสอง ไอ้อ้วนนั่นตัวเล็ก" ผมแนะนำแล้วแอบขำที่นายคฤณวางสีหน้าไม่ถูก เขาคงอับอายเนอะที่มีชื่อเหมือนหมาบ้านผม แต่คงไม่โกรธหรอก เพราะผมไม่เห็นเขาพูดว่าอะไร ตรงกันข้ามด้วยซ้ำ นายคฤณทอดสายตามองหมาอย่างมีความสุข
พอนายคฤณย่อตัวลงมองเด็กน้อยใกล้ๆ ก็ยื่นมือไปใช้นิ้วลูบหัวพวกมันอย่างอ่อนโยน เขาหันมองผมแล้วก็พูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย
“น่ารักดีเนอะ พี่ซื้อเสื้อผ้า ขวดนม จุกนม ที่รองนอน แล้วก็คอกไม้มาให้ด้วย”
“เฮ้ยพี่! ซื้อมาทำไมเยอะแยะ บ้านเจมเลี้ยงกันตามมีตามเกิด”
“ก็ไม่มากนี่ มันก็ปัจจัยสี่” โอ้โห ใช้ศัพท์! ผมพยักหน้ารับรู้แล้วมองนายคฤณส่งยิ้มเอ็นดูลูกมาที่ตายังไม่เปิดดี เพลินดีเหมือนกันแฮะ หมอนี่ยิ้มแล้วดูอบอุ่นชะมัด มือก็ใหญ่ นิ้วเรียวยาว ขาวมากๆ ด้วย ขาวแบบดูผิวชุ่มชื้น ไม่เหมือนผมที่ขาวซีดเหมือนจิ้งจก (ไอ้ต้อมชอบด่าแบบนี้)
“พี่หนึ่ง เจมถามจริงๆ เถอะ”
“อะไรหรอ?”
“พี่ไม่คิดว่ามันไร้สาระเกินไปหรอ? เจมหมายถึง พี่ก็รู้จักเจมครั้งสองครั้งเอง แล้วนี่ก็แค่ หมาเจมคลอดลูกเองนะ จริงๆ ไม่ต้อง...หมายถึง”
“อืม ถ้าเจมคิดว่ามาก มันก็จะมาก แต่ก็ถ้าเจมคิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา มันก็ธรรมดา”
“เจมคิดว่าไงล่ะ”
“เจมคิดว่ามันมากไป”
“แต่พี่คิดว่ามันธรรมดา เจมเป็นลูกน้องพี่ปู ซึ่งพี่ก็เคารพพี่ปู เจมเคยสัมภาษณ์พี่ เราเคยคุยกันแล้ว แวะมาหาลูกหมาที่บ้าน มันแปลกตรงไหน”
“ไอ้เรื่องค้างบ้านเจม มันสุดวิสัย”
“.......”
“หรือไม่จริง”
เออก็จริง ผมยักไหล่อย่างหมดข้อสงสัยและเฝ้ามองนายคฤณบรรจงอุ้มลูกหมามาประคองไว้ในฝ่ามือเดียวแล้วทั้งหอมทั้งเอาแก้มไปแนบ หมอนี่อ่อนโยนจังเลย
ผมให้เวลาพวกเห่อลูกหมาได้ปล้ำเด็กจนหนำใจแล้วก็เรียกอีกฝ่ายเข้าบ้าน เที่ยงคืนกว่าแล้วแต่ผู้พันและคุณหญิงก็ยังคึกเล่นกับผมอยู่ แต่ผมไม่ไหวแล้ว ง่วงมากๆ
ผมล็อคบ้านตามที่แม่บอกแล้วโทรบอกจิวว่าล็อคบ้านแล้ว แจ็ตพ็อตแตกที่ไอ้จิวกลับบ้านไม่ได้ ผมเลยต้องออกไปล็อครั้วอีกรอบแล้วเขียนโน้ตแปะบอกแม่ไว้หน้าตู้เย็น
พอตามขึ้นมาบนห้อง นายคฤณก็อยู่ในคราบชุดนอนของผมเรียบร้อย ขาเต่อด้วยอ่ะ ต้องโทษใครวะเนี่ย ผมขำแล้วเกาหัวก่อนจะชี้ให้เขานอนที่เตียงไปก่อนเลย ส่วนผมก็เข้าไปอาบน้ำอุ่นให้ร่างกายผ่อนคลาย
ตีหนึ่งนิดๆ ผมก็ได้เอนตัวลงนอน นายคฤณที่นอนหลับตาไปแล้วตะแคงมามองผมแล้วยิ้ม พร้อมกับพูดคำที่ไม่มีใครพูดกับผมมานานแสนนาน
“ฝันดีนะเจม”
“ครับ พี่หนึ่ง” ผมปรือตาบอกและปิดฉากอีกวันของโดยไม่คิดอะไร แม้ผ้าห่มมันจะหนักขึ้นกะทันหัน และเสือกหนักเฉพาะตรงหน้าอกและหน้าขาเท่านั้น
Cut
หุหุ ขอบคูณผู้อ่านทุกท่านค่ะ >,<
