“หวานละมุนละไม อยู่ทุกค่ำคืน ความทุกความรู้สึก ตื่อ ดึด ดือ ตือ ดื๊อ ดือออ” เสียงเปรตแซวผมครับ ผมตวัดตามองไอ้ต้อมที่ยืนกัดหลอดโอเลี้ยงมองผม มันจ้องตั้งแต่ผมลงจากรถแล้ว ผมเลยเดาว่ามันเห็นฉาก 18+ ในรถแน่ๆ
“อะไรของมึง” ผมแกล้งถามเสียงเขียวเพื่อกลบความอาย ไอ้ห่านี้ก็ไม่พูดอะไร เพียงแค่เดินมากอดคอผมไว้แล้วกระซิบที่ซอกคอ
“อย่าดื้อกับพี่หนึ่งของกูให้มากนะมึง ดูแลให้ดี กูฝากด้วย” แล้วแม่งก็วิ่งตูดบิดน่าถีบจากไป ผมเลยได้แต่ด่าลมว่า “เชี่ย!” แล้วแม่งมีสิทธิ์อะไรมาฝากฝัง มันเบ่งไอ้พี่หนึ่งออกมาทางรูจมูกรึไง!
ผมส่ายหน้าเอือมระอาแล้วก็ขึ้นออฟฟิศผมเพื่อทำตามหน้าที่ของผมให้จบลงแบบดีที่สุด
ไอ้แอมมาทักทายผมแล้วก็วาดแผนการใช้ชีวิตของมันที่อังกฤษให้ผมฟัง หากมันถามผมสักคำว่าอยากรู้รึเปล่า ผมคงไม่น่าบูดเป็นตูดไก่ไหม้จนพี่ปูเข้ามาแขว่ะแบบนี้หรอก
“เป็นอะไรเจม ทำหน้าไม่รับแขก”
“มันเครียดครับพี่ปู สงสัยกลัวไม่ได้ไปเรียนต่อคู่กับแอม” สาระแนนะมึง ผมยิ้มแหยให้พี่ปูดู รายนี้ก็ไม่รู้เป็นอะไรกับแก้มและหน้าผากผมนักหนา ชอบจับจริง
แกยื่นมือมาดีดแก้มผมเป๊าะๆ แล้วก็ยิ้มให้ก่อนจะพูด
“พี่ก็ไม่อยากบอกหรอกนะ อยากให้ลุ้น แต่ว่าถ้ามันทำให้เครียดกันขนาดนี้ก็จะกระซิบให้”
“มันเป็นคิวโควตาเล่มเราพอดี”
“และเล่มเราก็เข้ากับธีมคอนเวอร์แจนซ์พอดีเหมือนกัน คิดว่าจะพลาดหรอจ๊ะ”
นี่ใบ้หรอ? คิดว่าบอกตรงๆ เสียอีก
ไอ้แอมแสดงสีหน้ามั่นใจมากขึ้นกว่าเดิมจนผมอยากถามมันด้วยภาษาหมาว่าที่ผ่านมาหน้ามึงยังไม่จัดเต็มอีกหรอ?
พอพี่ปูเดินไปทักทายพี่ๆ คนอื่น ผมก็ก้มหน้าก้มตาทำงานของผม ปล่อยให้ไอ้แอมยืนเกี้ยวพาราสีผมต่ออีก 5 นาทีก็ตีจาก ทิ้งไว้แค่ชาแอปเปิ้ลไว้ให้ดูต่างหน้าเท่านั้น
บ่ายแก่ๆ ผมได้รับโทรศัพท์จากนายคฤณ บอกให้ลงมาหน้าตึกหน่อย มีของมาให้
ผมไม่ใช่คนว่าง่ายนักหรอก แต่จะให้เมสเซนเจอร์มารอเก้อมันก็ไม่สมควร กุลีกุจอลงมาให้แลดูว่ารีบแล้วผมก็ต้องมายืนรอของที่นายคฤณบอกไว้ร่วม 10 นาที
และของก็เลอค่ามาก คริสปี้ครีม...อืมมม เดินไปซื้อช้อคบอลในอุบนพันก็ฟินเหมือนกันมั้ยครับคุณ
ผมได้มาทั้งหมด 10 กล่อง ครับ กล่องบนสุด มีโน้ตเขียนแปะไว้ว่า “ฝากให้พี่ๆ ในออฟฟิศชานนท์ด้วยครับ” โอเค หลอกใช้กันก็ไม่รู้จักบอก
ผมกลับขึ้นมาที่ออฟฟิศอีกครั้งแล้วก็เดินแจกขนมตามโต๊ะเลยครับ “คุณคฤณฝากมาให้ทานกันครับ” ไม่ต้องบอกนามสกุลหรือบริษัท ทุกๆ คนในออฟฟิศก็ระลึกหน้าคนใจดีได้ทันทีครับ ผมเดินแจกจนถึงกล่องสุดท้ายก็ต้องชะงักมือไว้ เพราะมีกระดาษแปะไว้หน้ากล่องว่า “ของเจมอยู่ในนี้นะ ให้เจมคนเดียวนะครับ”
ความระแวงเกิดขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ นี่นายคฤณจะพิลึกถึงขั้นซ่อนแมลงสาบปลอม หรือจิ้งจกปลอมไว้ในกล่องรึเปล่านะ?
ผมเปิดฝาอย่างระมัดระวัง ในกล่องนี้มีโดนัทเหลืองนวลเพียงชิ้นเดียวนอนทับกระดาษซับน้ำมันแผ่นบาง
และผมจะไม่ยิ้มเลย หากว่าบนโดนัทไร้รูนั้นจะไม่ได้มีแหวนเสียบเอาไว้ราวกับทำหน้าที่ปรอทวัดความหวาน
โรแมนติครุ่นพ่อเกินไปนะไอ้พี่หนึ่ง
ผมหยิบแหวนพิงค์โกลด์เกลี้ยงลายขึ้นมอง ดูจากขนาดแล้วผมไม่รู้หรอกว่ามันจะพอดีนิ้วผมรึเปล่า เพราะผมไม่ค่อยใส่เครื่องประดับที่มือ เว้นนาฬิกาข้อมือเท่านั้น
ผมหย่อนตัวนั่งแล้วดึงทิชชู่เปียกมาเช็ดแหวน จากนั้นก็บรรจงสวมมันลงไปที่นิ้วชี้ข้างซ้าย
และก็พอดีเป๊ะ แต่ความไม่เจียมและอยากรู้ทำให้ผมถอดแหวนออกและลองสวมที่นิ้วนางข้างซ้าย แน่นอนว่ามันหลวม
ดรึ๊ง!
เสียงข้อความส่งเข้ามา ผมแหง่ะตาดูโนทิสที่หน้าจอแล้วก็รีบเปิดอ่าน
นายคฤณส่งข้อความมาว่า “ใส่แล้วถ่ายรูปให้พี่หนึ่งดีใจด้วยนะครับ”
“เรื่องเยอะจังคุณคฤณ” ผมประชดเบาๆ แต่ก็ดึงแหวนมาสวมไว้ที่นิ้วชี้แล้วถ่ายรูปให้ดูโดยไม่ใช้แอพปรับแสงอะไรให้มากความ
ดรึ๊ง!
เขาส่งข้อความกลับมาว่า “ใส่นิ้วชี้ หมายถึงชอบบงการ งั้นพี่ให้เจมบงการเรื่องของเราได้ตามใจเลยครับ”
ผมอมยิ้ม และเดาว่าเขาเองก็นั่งอมยิ้มอยู่เหมือนกัน
ผมส่งกลับไปว่า “อย่าเยอะครับ ไม่ใช่ละอ่อนกันแล้ว” ฮ่าๆ ขอแขว่ะเรื่องผู้ชายหลักสามกันนิดนึง ก็นะ คำพูดคำจามันจะพาย้อนไปอยู่วัยหัวเกรียนยังไงไม่รู้
ดรึ๊ง!
เฮ้ย! โทรมาเถอะ ผมกดอ่านข้อความ “รักเด็กดื้อ ก็ต้องบื้อตามเด็ก” โว๊ะ! ไม่ไหวแล้ว คุยกันเถอะ
ผมโทรกลับไปทันทีเลย สัญญาณว่าตรู๊ดดด ยังดังไม่จบดีก็กลายเป็นเสียงเขาเสียแล้ว
“พี่หนึ่ง! เยอะอ่ะ แล้วสำนวนอะไรเนี่ย? เชย!” เขาไม่ตอบอะไร แค่หัวเราะชอบใจแล้วก็ถามผมกลับมว่า
เจมชอบมั้ย?
“ไม่ชอบได้ไง แหวนร้านแม่เจมสวยจะตาย”
แล้วอ่านชื่อที่สลักรึยัง?
“อ่าว! มีด้วยหรอครับ เดี๋ยวนะ อ่านก่อน” ผมตามที่พูด แหวนถูกรูดออกจากนิ้วอีกรอบเพื่อเพ่งพิศ
ผมเป็นคำภาษาอังกฤษเรียงแถวไม่รอบวงดีว่า
“First’s Love” “เห็นแล้วครับ”
เข้าใจใช่ครับ?
“เข้าใจสิครับ เจมไม่ได้โง่มากนะ”
เข้าใจว่าอะไรครับ บอกพี่ทีสิ
“ความรักของที่หนึ่งครับ” ผมแปลความหมายตามที่เห็น ปลายสายเงียบไปจนผมเริ่มกลัวว่าจะปล่อยไก่ เอ๊ะ! หรือมันแปลว่ารักแรกธรรมดา
“พี่หนึ่ง...เจมเข้าใจไม่ถูกหรอครับ”
พี่สลักชื่อเจมต่างหากพูดเท่านี้ก็ตัดสายไป ปล่อยให้ผมจ้องอักษรบนแหวนแล้วก็นั่งเขินหน้าแดงอยู่คนเดียว
ไอ้บ้าพี่หนี่ง จะหวานเยิ้มทำไมว้า?
พอมีสิ่งแทนใจสื่อรัก ใจผมก็อิ่มเอมกับความรักมากขึ้น
เหตุการณ์เมื่อคืนที่ทำให้ผมสติแตกแลดูไม่น่ากลัวแล้วสำหรับนายชานนท์ในตอนนี้ ผมได้รับกำลังใจเต็มเปี่ยม ได้รับการดูแลอย่างดี ไม่มีอุปสรรคใดที่ผมกลัวอีกต่อไปแล้ว
เอาล่ะ เขาเปิดเผย จริงใจ ใส่ใจผมขนาดนี้ ผมก็จะให้เกียรติเขาเหมือนกัน
คืนนี้ ผมจะปรึกษาเขาเรื่องไปเรียนต่อที่อังกฤษ แม้จะแค่ 8 เดือน และเชื่อมั่นว่าเขาไม่คัดค้านแน่ๆ ผมก็จะปรึกษา และจะให้น้ำหนักความเห็นของเขาถึง 50%
ตกเย็น เขาโทรหาผมอีกครั้งเพื่อย้ำว่าให้รอ ผมเพิ่งรู้ว่าวันนี้เขาไปไซท์ที่ระยองเพื่อจัดการเรื่องโรงไฟฟ้ากับชุมชนนิดหน่อน ตอนแรกก็บอกเขาแล้วว่าเดี๋ยวกลับเอง ไปเจอกันที่คอนโดเขาเลยก็ได้ แต่นายคฤณก็ไม่ยอม บอกว่า “พี่บอกแล้วว่าจะไปรับ ก็จะไปรับเจมให้ได้ รอพี่แป๊บนึงนะ” เมื่อเห็นความตั้งใจขนาดนั้น ผมก็เลยไม่ปฏิเสธและนั่งทำงานของตัวเองไปเรื่อยๆ
ไอ้ต้อมโบกมือลาผมกลับบ้านตอน 6 โมงกว่าๆ ส่วนไอ้แอมกลับไปตอนทุ่มกว่า ก่อนกลับยังอุตส่าห์ซื้อซาลาเปาไส้ครีมมาให้ บอกว่า “รองท้องก่อนนะมึง”
และตอนนี้ก็ปาเข้าไปเกือบ 4 ทุ่มแล้ว นายคฤณก็ยังไม่มา ผมลองโทรหาแต่ปรากฏว่าติดต่อเขาไม่ได้เลย เดาว่าคงอยู่ในพื้นที่ที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์
ผมโทรหาไอ้จิว แล้วฝากมันบอกแม่ว่ากลับคอนโดตลอดอาทิตย์เพราะปั่นงานด่วน ซึ่งไอ้พี่ชายก็ดูจะเข้าใจดีจึงไม่ถามอะไรมากว่างานอะไรนักหนา ก็ดีที่มันไม่ถาม ผมก็ยังไม่พร้อมจะบอกมันกับแม่เรื่องไปเรียนพ่วงอบรมสื่อเหมือนกัน
รออยู่จน 4 ทุ่มครึ่งโทรศัพท์ผมก็ส่งเสียงร้องจนผมสะดุ้งตื่น
ผมรับสายโดยไม่ได้ดูเบอร์ เสียงปลายสายไม่คุ้นหูเท่าไหร่ ซ้ำสำเนียงการพูดก็แปร่งๆ หูพิกล
“นายชานนท์ครับ ใช่รึเปล่าครับ?”
“อ่า ครับ ชานนท์พูด ใครครับ” เกิดมาไม่เคยมีใครเรียกผมว่านายหรอกครับ เว้นครูบาอาจารย์ที่เรียกขานเพื่อเช็คชื่อเข้าเรียนเท่านั้น
“นายคฤณให้โทรบอกว่า ไม่ต้องรอนะครับ กลับห้องดีๆ”
“หือ? แล้วพี่หนึ่งอยู่ไหนครับ? ทำไมไม่บอกผมเอง” ผมจี้ถามกลับ ปลายสายอึกอักนิดหน่อยแต่ก็ยังตอบ
“นายคฤณไม่ให้บอกว่าอยู่ที่ไหนครับ นายชานนท์กลับห้องเลยนะครับ นายคฤณบอกว่าให้รับปาก”
“ไม่ นายคฤณอยู่ที่ไหนครับ ให้มาพูดกันหน่อย” ผมสั่งเสียงเข้ม ไม่พอใจนิดๆ ที่เขาไหว้วานผมให้เป็นธุระของคนอื่น นี่มันยุ่งขนาดบอกผมสั้นๆ ไม่ถึงสิบคำไม่ได้เชียวหรอ?
“ให้นายคฤณมาพูด!”
นายครับ นายชานนท์ไม่ยอมครับ
วางไป!
อะ! อะไรวะ!!
วางไปคืออะไรกันวะ!
ผมโมโหปุดๆ ปลายสายตัดสัญญาณไปตามคำบอกกล่าวที่ผมได้ยินเมื่อครู่ แต่มีหรือที่คนอย่างผมจะยอม ผมโทรจี้กลับไป กดโทรอยู่นานมากกว่าปลายสายจะยอมรับเสียงเรียกของผม ประเมินเวลาคร่าวๆ น่าจะราวครึ่งชั่วโมง
“ฮัลโหล”
“นายคฤณล่ะ! เอามาพูด!” ผมสั่งอย่างอารมณ์เสียและต้องการเอาชนะให้ถึงที่สุด ปลายสายเงียบไป แต่ผมได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดิน เสียงหอบหายใจ และเสียงที่สะท้อนให้เห็นภาพคนจอแจ
“ฮัลโหล”
“พี่หนึ่ง อยู่ไหนครับ?”
“ไม่ใช่นายคฤณครับ นายคฤณพูดไม่ได้ครับ อยู่ในห้อง”
“ห้อง? ห้องอะไร?” ผมซักต่อ แต่ปลายสายก็ทำให้ผมผิดหวังเพราะมันบังอาจตอบว่า “นายไม่ให้บอก”
“บอกมา จะเอาเท่าไหร่ก็ว่ามา นี่ไม่ได้เอาเงินฟาดหัวนะ กำลังเอาเงินง้างปาก”
“บอกมาว่าพี่หนึ่ง หรือนายคฤณอยู่ที่ไหน บอกเดี๋ยวนี้!”
“คือ...นายไม่ให้บอกจริงๆครับ”
“เออ! งั้นก็ไม่ต้องบอกว่าเขาอยู่ไหน บอกมาว่านายน่ะอยู่ไหน” ผมแทนสรรพนามเขาแบบกดๆ หน่อย เพราะเขาเรียกผมว่านาย เรียกพี่หนึ่งว่านาย งั้นเขาคงเป็นลูกน้องหรือแรงงานที่จ้างไว้นั่นแหล่ะ
“อ๋อ ผมหรอ? ผมอยู่โรงพยาบาลครับ ในอำเภอเลย”
“นายไปทำอะไรที่นั่น” ผมจี้ถามอีก ดูเหมือนอีกฝ่ายจะพูดได้ทุกอย่างเว้นเรื่องที่เกี่ยวกับนายคฤณ เขาก็เลยตอบผมว่า “ผมพานายมาหมอครับ มีเรื่องนิดหน่อย ดีว่านายไปช่วยไว้ ไม่งั้นพวกผมตายไปแล้ว นี่พวกผมก็ลุ้นอยู่ ขอให้นายไม่เป็นอะไรมาก หมอบอกเสี่ยงตาบอดด้วย โคตรน่ากลัวเลยครับ”
ไอ้เหี้ย! ตายคืออะไร! ตาบอดคืออะไร?
ราวกับใครมากระชากหัวใจผมลงไปใต้พื้นดิน มือไม้ผมอ่อนไปหมด ตอนแรกที่ยืนคุยเค้นอารมณ์เต็มที่ก็จำต้องนั่งลงตามเดิม
“อยู่ไหนนะ นายบอกว่าอยู่โรงพยาบาลอะไรนะ บอกชื่อมา บอก บอก! บอกเดี๋ยวนี้!!” ปลายสายตระหนกกับน้ำเสียงผม เขาบอกชื่อโรงพยาบาลที่เขาอยู่แบบที่คิดว่าผมน่าจะนึกภาพออก แต่สารภาพเลยว่าผมนึกไม่ออกหรอก ผมเคยไประยองไม่กี่ครั้ง และไม่เคยขับรถเองเลยสักครั้ง
เมื่อได้ข้อมูลมา ผมก็จัดการหาแผนที่จากกูเกิล เอาล่ะ ได้เส้นทางที่จะต้องขับรถไป จุดสังเกต หลักกิโลและห่าเหวอะไรก็แล้วแต่ที่มันโชว์ขึ้นมา ผมปรินท์แผนที่ที่เข้าใจมันได้มากที่สุด แล้วก็ทะยานออกจากออฟฟิศทันที!
ผมเรียกแท็กซี่กลับห้องเขาก่อน ผมต้องมีรถ และเขาก็ขับรถผมไป เพราะฉะนั้นผมก็ต้องมาพึ่งรถของเขานั่นแหล่ะ แม้จะไม่ชินกับรถหน้ายาวเลยก็ตาม
ยังไม่เที่ยงคืน ผมก็ทะยานอยู่บนถนนสุขุมวิท ขึ้นทางด่วนมอเตอร์เวย์ด้วยฝึเท้า 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ผมรู้ว่าผมกำลังประมาท ไม่ประมาณตน ทำอะไรคิดน้อย แต่ผมคิดมากกว่านี้ไม่ได้ ผมตริตรองการกระทำนานกว่านี้ไม่ได้ ผมเกรงว่าจะไม่ทันการ
ผมกลัวว่าหากไม่รีบไป คำว่า “วางไป” จะเป็นคำสุดท้ายที่ผมได้ยินจากเขา
ทั้งที่เพิ่งคิดวนไปวนมาว่ารักเขารึเปล่า ที่รู้สึกกับเขาใช่ความรักมั้ย แล้วผมรู้จักความรักถูกต้องแน่แล้วหรอ
แต่ตอนนี้ ผมไม่คิดหน้าคิดหลังอะไรอีก แม้ว่าจะไม่แน่ใจว่ารักเขาแน่มั้ย? มากแค่ไหน และรักแท้จริงรึเปล่า แต่ผมก็ทะยานไปหาเขาด้วยความคิดที่แน่วแน่เพียงความคิดเดียวว่า
“ผมเสียเขาไปไม่ได้” cutลืมกันไปรึยังคะ?
T^T อย่าเพิ่งลืมเรื่องนี้กันน้าาาาา

ชดเชยที่หายไป ตอนนี้ลงตั้ง 3 Rep แน่ะ