ปั่ก!
ก้นแก้วใบนี้คงร้าวแล้วแหล่ะถ้าจะกระแทกมันลงบนโต๊ะทำงานของผมแรงขนาดนี้ ผมเงยหน้ามองตัวต้นเหตุ
ไอ้แอม ของแถมคือไอ้ต้อม อะไรอีกล่ะพวกมึง?
“ว่างยังมึง ต้องรีบทำป่ะ? ไปดูหนังกัน” ไอ้ต้อมชวนก่อน ส่วนไอ้แอมก็ยืนลอยหน้าลอยตาอยู่ไม่ห่างนัก ผมเห็นมันคือแก้วกาแฟชงเองของมันไว้ในมือด้วย งั้นคนที่ประเคนไอ้เสียงที่ทำเอากูร้าวหูเมื่อกี้ก็มึงสินะเหี้ยแอม
“ก็ว่าง จะดูเรื่องไร” พอได้ยินชื่อหนังผมก็เซย์เยส แต่โยนให้มันไปจองตั๋วออนไลน์ไว้ก่อน ส่วนผมขอปั่นงานอีกครึ่งชั่วโมง อย่างน้อยการที่พวกเรา 3 คนเดินออกจากออฟฟิศด้วยคำว่า “กลับแล้ว” แปะกลางหน้าผากก็จะดูไม่น่าเกลียดนักเมื่อนาฬิกาบอกเวลา 4 โมงครึ่ง
พอเคลียร์งานเท่าที่อยากเสร็จแล้ว ผมก็พร้อมไปดูหนังกับพวกมันเต็มที่ แต่เรื่องประหลาดเกิดขึ้นเมื่อไอ้ต้อมปวดหัว หือ? ร้อยวันพันปีกูเห็นกะบาลมึงแข็งมาก นิมิตไหนสั่งให้มึงเปิดกะโหลกรับเชื้อโรคหรอต้อม
ผมก็รู้ลางๆ แหล่ะว่านี่คงเป็นแผน แต่ก็เดินตามที่ทางที่มันนัดแนะขีดกันเอาไว้ก่อน
พอไอ้แอมขับรถมาถึงห้าง มันก็สารภาพกับผมก่อนที่เราจะลงกันจากรถ
มันบอกว่า “ขอโทษนะเว้ยเจม แต่คือ กูไม่รู้จะปรึกษาใคร ก็เลยบอกต้อม มันก็บอกว่าอยากช่วย เพราะดูๆ แล้วมึงคงไม่คิดจีบใครมาเป็นเมีย มันเลยให้มึงเป็นเมียคนที่มาจีบ ก็คือกูนี่ไง”
“สัดอ๋อมแอ๋ม ปากมาก แล้วไอ้ต้อมมันไม่มองมึงประหลาดหรอ?”
“ไม่ว่ะ กูบอกมันไปแล้วว่ากูไม่ได้เป็นเกย์ แต่มึงเป็นแล้วมึงส่งเกสรเกย์มาติดกู กูเลยตกหลุมรักมึง”
“สัดแอม!
“กูล้อเล่น กูบอกมันไปว่าแค่ห่วงใยมึงมากกว่าที่เคยรู้สึกห่วงใยผู้หญิงคนไหนที่เคยคบ แล้วก็เห็นหน้ามึงแล้วกูสบายใจที่สุด แค่นั้นแหล่ะ”
“พระเอกนะมึง”
“ขาดนางเอก เป็นป่ะล่ะ”
“อยากตายหรอสัด กูไม่ใช่เกย์!”
“แต่มึงเป็นแฟนกับนายคฤณนั่น”
“กูก็แค่รู้สึกปลอดภัยที่อยู่กับเขา แล้วเห็นหน้าเขากูก็สบายใจที่สุด”
“คุ้นป่ะ?” ผมย้อนคำเท่ๆ ของมันแล้วก็ยิ้มกวนตีน ไอ้แอมเขกหัวผมทีนึงแล้วก็พากันลงจากรถไปดูหนัง
และผมกับไอ้แอมคงจะได้ดูหนังกันจริงๆ ได้กินเย็นร้านอร่อยๆ หากว่าก่อนจะถึงชั้นโรงหนังในพารากอน เราไม่บังเอิญไปเห็นนายคฤณที่ผมเข้าใจว่าเป็นแฟนผม เดินเข้าร้านเสื้อผ้าผู้หญิง โดยที่ผู้หญิงคนหนึ่งควงแขนเขาอยู่ตลอดเวลา
นี่เขาเล่นตลกอะไร?
ผมหันมองหน้าไอ้แอมที่มองผมพร้อมกับส่งคำถามมาทางสายตา อายก็อายมันที่คนที่บอกมันเต็มปากว่าเป็นแฟนเสร่อมาเดินควงสาวให้มันเห็น และทำให้ผมเสียหน้า
แต่สิ่งที่มีมากกว่ามันคือความโกรธ
ผมลองโทรเข้ามือถือระหว่างที่เดินตามเขาอยู่ห่างๆ โดยมีไอ้แอมเคยถามอยู่ตลอดเวลาว่า “กูไปชกมันให้เอามั้ย?” เขาไม่รับสาย
ท่าทางที่ผมเห็นคืออาการล้วงกระเป๋าแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมอง แล้วก็สอดมันลงกระเป๋าพร้อมกับมือที่เอื้อมลึกลงไป แล้วสายก็ตัด
หึ! นี่มันเหี้ยอะไรกัน?
เขาเล่นตลกอะไรอยู่กับผมรึเปล่า
คำพูดของคนอื่นมากมายประเดประดังเข้ามา ทั้งคำพูดไอ้แอม ทั้งคำวิจารณ์เพื่อนที่นายพิชญะเพิ่งพูดไว้ว่าเขาชอบความท้าทาย และล่าสุดเพิ่งรับคำท้าเรื่องหารักแท้
นี่หาอยู่หรอ?
หากับหลายๆ คนรึเปล่า
ผมเป็นหนึ่งในนั้นใช่มั้ย?
ผมรู้สึกจุกขึ้นมาถึงคอ ระหว่างเดินตามเขาผมก็ต้องพยายามถอนหายใจออกมาถี่ๆ จนไอ้แอมมองอย่างเป็นห่วง และเริ่มถามว่า “มึงไหวมั้ย ไม่ไหวก็กลับเถอะ”
“เฮ้ยเจม! จะไปไหน?” มันรีบรั้งไหล่ผมไว้เมื่อเห็นว่าผมเดินเร็วขึ้น
“ไปถามให้รู้เรื่อง”
“นี่มันกลางห้าง อย่าเลย ร้านแม่มึงก็อยู่ในนี้ เดี๋ยวกูช่วยเอง”
“ไม่ต้องแอม เรื่องนี้กูต้องจัดการเอง”
“มึงใจเย็นก่อน เอาเป็นว่าเดี๋ยวกูทำเป็นบังเอิญไปเจอเขา แล้วถามเขาก็แล้วกันว่ามากับใคร ดูดิ๊ว่าจะตอบยังไง”
“กูบอกว่าไม่ต้องไง” ผมขึ้นเสียงนิดนึงและหันมองมันอย่างขอบคุณ แล้วก็บอกว่า “มึงรอกูที่รถนะ เดี๋ยวตามไป” ไอ้แอมยอมเข้าใจบทบาทตัวเองแล้วเดินจากไป ส่วนผมก็สาวเท้าเดินเข้าใกล้เขามากขึ้นเรื่อยๆ
คนคู่นี้หยุดที่หน้าร้านนาฬิกา ฝ่ายผู้หญิงรีรออยู่ว่าจะเข้าไปดูอะไรดีหรือไม่ ส่วนผู้ชายแค่ยืนล้วงกระเป๋าตลอดเวลา และมองนาฬิกาที่ถูกนำมาจัดโชว์ดึงสายตาหน้าร้าน
พลันเขาก็เห็นผมจากในกระจก นายคฤณตกใจแล้วรีบหันมาหาผม
“เจม!”
“ครับ เจมเอง”
“พี่หนึ่งมากับใคร” ผมถามต่อหน้าผู้หญิง เอาให้รู้กันไปว่าเขาจะตอบผมว่าอะไร ผมไม่ได้จี้ ไม่ได้ตามจิกอะไร ไม่ได้เร่งรัดด้วยซ้ำ ผมกำลังเปิดโอกาสให้เขาอธิบายให้ผมเข้าใจ ในเวลาที่ผมต้องการทำความเข้าใจในตัวเขา
ผมผิดรึเปล่าที่อยากเข้าใจเขา คนที่พูดออกมาว่า “รัก” ผม
“นี่คือคุณ...”
“ผมไม่ได้อยากรู้จักชื่อเธอหรอกครับ”
“ผมถามคุณว่าคุณมากับใคร” เขาเข้าใจคำถามผมใช่มั้ย ผมอยากรู้สถานะของเธอคนที่เดินเคียงข้างเขาอยู่นี้
เพื่อน?
เลขา?
น้อง?
พี่?
ป้า?
แม่เลี้ยง? อะไรดีล่ะ ตอบผมสิ
“เพื่อนผม” ผม?...อือ เพราะผมใช้คำแทนตัวเองว่าผมก่อน เขาก็เลยใช้คำนี้บ้างสินะ โอเค หยวนๆ ก็ได้
“ครับ งั้นผมขอตัวก่อน” ผมลาจากอย่างสุภาพ เรื่องมันคงจบลงด้วยดี หากว่าเธอคนนี้ไม่พูดออกมา
“เพื่อนสนิท หนึ่งไม่บอกน้องเขาไปด้วยล่ะ”
“จริงๆ ต้องแนะนำเปรมว่าคนรู้ใจด้วยซ้ำ น้อยใจได้มั้ยเนี่ย”
“.................” ผมเงียบ
“.................” เขาก็เงียบ
ดีจังที่กะลาของผมเปิดแล้ว โลกนี้แม่งโคตรใหญ่เลย แต่เสือกเจอความจริงที่ไม่คิดว่ามาก่อนว่าจะได้เจอ
ช่วง 3 เดือนที่ผมฝังตัวเองอยู่ใต้กะลาและรู้จักแต่พี่หนึ่งที่ใจดีกับผมมากมาย มันจบแล้วใช่มั้ย?
“แล้ว ไม่แนะนำให้เปรมรู้จักน้องเขาบ้างหรอ? ใครคะ? น้องที่บริษัทหรอ?”
“นักข่าวที่เคยสัมภาษณ์ผมน่ะ”
“ชื่อคุณชานนท์”
“อ๋อ... เล่มที่ทำให้คุณได้โปรเจคยักษ์ที่ดูไบใช่มั้ย”
“ถ้าคุณอาเปรมไม่เห็นบทสัมภาษณ์เล่มนั้น ก็คงไม่เชื่อมือหนึ่งขนาดนี้”
“ต้องขอบคุณคุณชานนท์มากเลยนะคะ แล้วนี่แวะมาทำอะไรที่นี่หรอคะ? พอมีเวลามั้ย ไปทานข้าวกันนะคะ เปรมว่าเรา”
“เปรม!” เขาเอ่ยปรามคนรู้ใจของเขา แล้วก็มองหน้าผมนิ่งๆ ผมมองหน้าเขาอยู่ครู่เดียวก็หลบตาไปมองทางอื่น ผมฝืนยิ้มให้ผู้หญิงคนนี้แล้วก็เอ่ยลาอีกครั้ง
“ผมไม่สะดวก ขอตัวนะครับ” ผมหันหลังใส่คนคู่นี้แล้วก็ก้าวเร็วๆ จากมา
ผมช็อก ช็อกกับความจริงที่เพิ่งได้รู้ ช็อกกับความโง่ของตัวเอง ผมไม่เคยคิดเลยว่าผมจะเป็นคนโง่ขนาดนี้ ใจง่ายขนาดนี้
ทำไมผมถึงได้มองคนพลาดจากหน้ามือเป็นหลังตีนขนาดนี้ แม่เลี้ยงผมมาผิดวิธีรึเปล่า
“เจม!” แรงกระชากทำเอาผมเซไปฟุบกับอกคนที่ตัวใหญ่กว่าผม ผ้าสูทแข็งๆปะทะกับแก้มผมจนได้กลิ่นน้ำหอม ผมดันตัวเองแล้วถอยหลังเพื่อมองหน้าเขาได้ง่ายขึ้น
นายคฤณ ธีระเสถียร
ไอ้เหี้ยนี่เป็นใคร ทำไมมันถึงได้เข้ามาในชีวิตผมแล้วทำให้ผมต้องยืนกลั้นน้ำตา ทั้งที่วันที่เศร้าที่สุดในชีวิตผม ควรมีแค่วันเดียวคือวันที่พ่อตายเท่านั้น
มันเป็นใคร? มันกล้าดียังไงมาทำให้ยืนฝืนน้ำตาตัวเองอยู่แบบนี้!
“เจม”
“พอ! ผมไม่พร้อมฟังคุณ ปล่อยผม!”
“เจม พี่...พี่อธิบายได้”
“คุณอธิบายไปแล้ว เมื่อกี้ ชัดเจนแล้วด้วย”
“เจมครับ”
“ผมไม่อยากฟังเรื่องอะไรจากคุณอีก”
“จะลูกแพร จะเปรม จะใครที่ไหน จะเป็นคนยังไงผมก็ไม่อยากรู้”
“เจม ฟังพี่ก่อนสิ”
“ผมบอกว่าไม่พร้อมไง!” ผมตวาดกลับแล้วรีบเช็ดน้ำตาที่แม่งเสร่อร่วงจากขอบตาตอนที่ผมสะบัดแขน นายคฤณยกมือทำท่ายอมแพ้กลางอากาศ เขาไม่แตะต้องตัวผมแล้ว แต่เขายังไม่ถอยห่างไปไหน
ผมพยายามหยุดหอบหยุดเหนื่อยแล้วก็หยุดสั่น
ผมป้ายน้ำตาลวกๆ ซึ่งมันก็แห้งเหือดไปอย่างง่ายดาย ดีแล้ว ผมไม่ชอบเป็นคนเจ้าน้ำตา
“คุณขอให้ผมฟัง งั้นก็ฟังผมก่อนก็แล้วกัน” ผมเริ่มพูดแล้วเริ่มมองหน้าเขาได้อีกครั้ง
“ที่ผ่านมา ช่างมัน”
“คำที่คุณเคยพูด ผมจะลืมมันซะ คำที่ผมเคยบอกคุณ ก็ลืมมันซะ”
“ผมไม่เชื่อใจคุณอีกต่อไปแล้ว” “เจม สิ่งที่เห็น สิ่งที่ได้ยิน มันไม่ได้เป็นอย่างที่เจมคิดหรอกนะ”
“ฟังพี่ก่อนไม่ได้หรอ?”
“ที่ผมจะได้ฟังคืออะไร? ข้ออ้างหรือความจริง หรือเรียงความอีกเรื่องที่คุณเขียนสดๆ”
“พี่จะบอกความจริงกับเจมทุกอย่าง เจมอยากรู้เรื่องอะไร”
“ผมเคยอยากรู้อะไรตั้งมาก อยากรู้เพื่อทำความเข้าใจกับคุณให้มากกว่านี้ เพื่อจะได้รู้คุณค่าคำว่ารักของคุณให้มากกว่านี้ และเพื่อรักคุณ”
“แต่ตอนนี้ ผมไม่อยากรู้อะไรแล้ว ไม่อยากรับรู้เรื่องอะไรของคุณอีกแล้ว”
“เจม...แค่พี่เดินกับผู้หญิงคนนึง แปลว่าพี่ไม่รักเจมหรอ? ด่วนตัดสินพี่เกินไปรึเปล่า”
“ที่พี่แสดงออกมาตลอด มันไม่มีความหมายเลยหรอ?”
“คุณทำเพื่อประโยชน์ของคุณต่างหาก”
“เธอคนนั้นรู้เรื่องสัมภาษณ์พิเศษ เธอรู้ว่าเพราะงานเขียนชิ้นนั้นทำให้คุณได้รับความน่าเชื่อถือเพิ่ม ได้งานใหญ่”
“แล้วตอนนี้ พี่หนึ่ง....” ผมเรียกชื่อเขาตามเดิมและพยายามไม่เบะมากไปกว่านี้
“พี่หนึ่งอยากได้อะไรจากเจมอีกหรอ? ถึงยังต้องยื้อเจมอยู่แบบนี้”
“คำอธิบายสวยหรูของพี่ ต้องการผลตอบแทนเป็นอะไรหรอครับ?”
เขาเงียบไป ผมก็ยืนเงียบและหันหน้าไปทางอื่น ที่ตรงนี้มันใกล้ทางออกลานจอดรถ ก็เลยไม่ค่อยมีใครผ่านไปผ่านมามากนัก
“โอเค โอเค” เขายกมือยอมแพ้อีกครั้งแล้วถอยห่างออกจากผม เขามองผมนิ่งอีกครั้งแล้วก็พูดกับผมเป็นประโยคสุดท้าย
“พี่คิดว่าถ้าเป็นเจม ต้องเข้าใจแน่ๆ แต่พี่ก็คิดผิดสินะ”
“ไว้เจมอารมณ์ดีกว่านี้ พี่จะเล่าเรื่องเปรมให้ฟัง ทุกอย่าง ทุกอย่างที่เจมสงสัย”
“ขอโทษครับ แม้แต่ความสงสัยในตัวพี่ เจมก็ไม่มีเหลือ” ผมตัดสินแล้ว ลงดาบแล้ว
นายคฤณโดนโทษสูงสุด ต้องประหารสถานเดียวเท่านั้น
เวลานี้ผมอยากให้เขาหายไป อยากให้เขาไม่เคยมีตัวตนบนโลกแบบนี้ ผมจะได้ไม่ต้องได้บทเรียนเลวร้ายจากความรู้สึกดีๆ ที่คนทั้งโลกเรียกมันว่าความรัก Cut
แง๊ๆๆๆ ขอโทษนะ หายไปตั้ง 1 วันแน่ะ >*<
จะพยายามไม่ให้เป็นเรื่องยาวมากนะคะ จะได้ไม่เบื่อกัน ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ
ลงดึกมากเลย มึน มึน