ห้องผมไม่รก เฟอร์นิเจอร์ก็มีแต่ที่จำเป็นเท่านั้น เพราะมันเป็นรังนอนฉุกเฉินของผมกับจิว เราไม่อยากให้มันสบายหรือน่าอยู่กว่าบ้านเรา เพราะไม่อยากติดคอนโดแล้วปล่อยให้แม่เหงาอยู่บ้าน
ผมเปิดประตูห้องนอนผมแล้วก็พุ่งหลาลงเตียงทันที มีเสียงฝีเท้าคนเดินไปเดินมา แต่ผมไม่ได้เหลียวไปดูว่าแขกกะทันหันคนนี้ทำอะไรกับห้องผม
นอนมึนๆ อึดอัดกับน้ำเมาและเรื่องมึนๆ ที่เพิ่งเกิดอยู่ไม่นาน ผ้าเย็นก็แปะซับลงบนแก้มผมเอง
“หือ? พี่หนึ่ง ทำอะไรครับ?”
“เช็ดหน้าให้ เจมจะได้ไม่มึนมาก ในครัวนี่ทำอะไรได้รึเปล่า พี่ทำซุปให้นะ”
“ไม่เป็นไรครับ เจมนอนพักเดี๋ยวก็หาย จริงๆ เจมไม่ได้เมาด้วยซ้ำ แค่มึนนิดเดียวเอง”
“พี่อยากทำให้”
“พี่อยากทำให้ทำไมครับ” ผมถามเสียงดังขึ้นหน่อย ตั้งแต่ที่เขาพูดกับผมในรถตอนที่ร้องเพลงให้ฟังรอบแรก จนถึงการเดินเข้ามาขวางทางไอ้แอมกับผม และพาผมกลับมาส่งที่คอนโด ผมอยากรู้ว่าเขาทำทั้งหมดนี่ให้ผมทำไม
“ก็...มันเป็นเรื่องดีนี่ ทำดีกับเจมไม่ดีตรงไหน”
“ตรงที่เจมไม่รู้ว่าพี่หนึ่งต้องการอะไร”
“พี่ไม่ได้ต้องการอะไร”
“หรอครับ?”
“จริงๆ ก็ ต้องการนิดหน่อย”
“พี่หนึ่งต้องการอะไร?” ผมถามอย่างใจกล้า ระหว่างนอนหงายมองหน้าเขาที่โน้มลงมาทุกครั้งที่กดน้ำหนักผ้าเย็นๆ ลงบนแก้มผม
“ต้องการให้หมาเจมกินซุปร้อนๆ ไปล้างหน้าล้างตาล้างหัวให้หายมึน แล้วค่อยมาถามพี่ใหม่ ว่าพี่ต้องการอะไรจากเจม”
“..............”
“ตอบตอนนี้ เจมก็ลืม เพราะเจมกำลังกึ่มๆ เชื่อพี่เถอะ นะครับ” ผมแพ้อีกแล้ว ถ้าเขาเป็นพี่ชายผม ผมคงอ้อนทั้งวันทั้งคืนแน่ๆ สุดท้ายเขาก็ดึงแขนผมขึ้นจนผมยอมยืนด้วยตัวเอง และดันตัวผมไปยังห้องที่เขาคิดว่าคือห้องน้ำ แต่มันคือประตูตู้เสื้อผ้า พี่หนึ่งหัวเราะเขินๆ แล้วก็ละมือจากการจับจูงผมไปหมกตัวเองอยู่ในครัว ระหว่างที่ผม...อาบน้ำแม่งเลย
ผมรู้สึกดีขึ้น อย่างน้อยๆ ก็สดชื่นขึ้นในขณะที่นาฬีกาบอกเวลาตีสองแล้ว
ซุปเห็ดรวมส่งควันมาเตะจมูกจนผมรู้สึกว่ารูจมูกขยายขึ้นอัตโนมัติ และรอยยิ้มผมก็กว้างขึ้นอัตโนมัติ
“หอมจังครับ อื๋อ? ห้องเจมมีเห็ดด้วยหรอ? แล้วมีชามแบบนี้ด้วยหรอครับ?”
“หึ! เจมกลับบ้านบ่อยกว่าค้างคอนโดสินะ” พี่หนึ่งเดาได้ถูกเผง ผมพยักหน้ายอมรับแล้วถลกขากางเกงเพื่อนั่งขัดสมาธิบนเก้าอี้แล้วลอยจมูกไปมาเหนือชามซุปที่มีควันกรุ่นลอยขึ้นมาบางๆ
“กินซะสิ”
“เห็ดนี่มันไม่เน่าหรอครับพี่หนึ่ง เจมจำไม่เห็นได้เลยว่าเมื่อเร็วๆ นี้เจมหรือจิวซื้อเห็ดมาไว้ที่คอนโด”
“พี่ลงไปหาในซุปเปอร์น่ะ ไปเจอที่หนึ่งที่เขาเปิด 24 ชั่วโมงพอดี มีพวกของสดด้วย เคยไปบ้างมั้ย?” ผมส่ายหน้าแล้วยิ้มแหะๆ แล้วจ้วงซุปเข้าปากทันที
“โอ้ยยยยยย!!” ผมโวยลั่นแล้วสูดลมเข้าปากทันที ซุปแม่งร้อนอ่ะ คนทำก็ไม่เสือกบอกว่าแม่งโคตรของโคตรร้อน นายคฤณหัวเราะผมจนหูแดงแล้วก็ดึงชามซุปไปตรงหน้า เฮ้ยๆ ผมยังไม่อิ่มอ่ะ ซุปนั่นของผมนะ ถึงเขาจะเป็นคนทำแต่ก็ไม่ควรริบคืน
“พี่หนี่ง ของเจมนะ”
“พี่เป่าให้ ลืมบอกว่าร้อน เจมไปหาน้ำมาดื่มไป”
“ได้ ได้ แต่ซุปของเจมนะ” ผมกำชับแล้ววิ่งดุ๊กๆ เปิดตู้เย็นรินน้ำทันที พอกลับมาก็เจอซุปที่ทอนความร้อนลงไปแล้ว คนทำเลื่อนชามซุปมาให้ผมแล้วผายมือเชื้อเชิญ
“ค่อยๆ จิบเอานะ”
“ขอบคุณครับ” ผมยิ้มเขินแล้วก็ละเลียดชิมซุป อืม อรอ่ย หอม อุ่นกำลังดี ทำไมวันนี้กินซุปแสนธรรมดาแต่เสือกมีความสุขจังวะ
“อื้อพี่หนึ่ง!” ผมทักขึ้นตาเหลือกเมื่อนึกอะไรขึ้นได้
“พี่หนึ่งยังไม่ได้ตอบเจมเลยนะครับ พี่หนึ่งทำดีกับเจมเนี่ยต้องการอะไร?”
“หึ หึ คิดว่าลืมไปแล้วซะอีก คนเมาความจำดีด้วยหรอเนี่ย” เขาเฉไฉอยู่สินะ เรื่องแค่นี้ทำไมผมจะไม่รู้ ผมตักซุปมาอมไว้ก่อนกลืนแล้วส่งเสียงเอร็ดอร่อย
“เจมความจำดี จำได้หมดแหล่ะครับ แล้วเจมก็ไม่เมาด้วย พี่หนึ่งตอบสิ”
“ความจำดี งั้นก็ต้องจำได้สิว่าคุณอรินทร์บอกว่าชอมเจม” แดกจุดเลยกู ผมคิดว่าตัวเองไม่ใส่ใจเรื่องที่ไอ้แอมพูดเพราะมัวแต่วุ่นวายคิดตามสิ่งที่นายคฤณกำลังทำ แต่เขากลับเป็นคนลากให้ผมวนไปคิดเรื่องไอ้แอมอีกจนได้
“หือ? คนความจำดีจำได้รึเปล่าว่ามีผู้ชายมาบอกว่าชอบ”
“เจมเจอออกบ่อย คนชอบก็ดีกว่าคนเกลียด” ผมเฉไฉบ้างเลยโดนนายคฤณผลักหัว โอย ผลักแรงซะซุปแทบร่วงจากปาก ผมทำหน้างอแงนิดเดียวก็ดื่มน้ำ เลี่ยงไปแปรงฟันแล้วห่าวประกอบให้นายคฤณรู้ว่าผมง่วงมากๆ แล้ว
“ฝันดีนะครับเจม” เขาบอกคำเดิมเมื่อผมแสดงออกว่าง่วง นายคฤณพาตัวเองไปอยู่ที่หน้าประตู เขาจะกลับแล้วหรอ? เอาไงดีวะ? จะปล่อยให้กลับไปตอนตี 3 ก็ดูแย่เพราะเขาทำดีกับผมตั้งมาก เขามีน้ำใจกับผม ผมก็ควรมีน้ำใจกับเขาสิ
“เอ่อพี่หนึ่ง!”
“หืม?” คนหน้าประตูกระทุ้งรองเท้าลำลองเบาๆ พลางมองหน้าผม เขาเปลี่ยนเป็นยืนพักขอกอดอกมองผม มุมปากแม่งยกขึ้นด้วย แอบยิ้มอยู่รึเปล่าวะ
“พี่หนึ่ง...นอนห้องเจมเถอะ ดึกขนาดนี้ ขับรถกลับก็นอนได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องตื่นแล้ว จริงๆ แล้วตอนตี 3 นี่ก็ฤกษ์ไม่ดีเท่าไหร่ มันฤกษ์ผีออก โบราณเขาห้ามเดินทาง”
“โอเคครับเจม พี่ตัดสินใจนอนกับเจมตั้งแต่เรียกพี่แล้ว เหตุผลอื่นช่างมันเถอะ ไปสิ นอน” ง่ายว่ะ หึหึ ผมยิ้มดีใจแล้วรีบหันหลังให้เพื่อวิ่งก้าวกระโดดไปทิ้งตัวลงเตียง พอได้ยินเสียงปิดประตูห้องนอนไล่หลัง ผมก็ขยับเปิดพื้นที่ให้เพื่อนนอนหน้าใหม่
“เออจริงสิ แล้วเจมไม่กลัวพี่หรอ?”
“เฮ้ย! กลัวทำไม? พี่จะทำอะไรเจมหรอ?”
“ก็พี่นอนดิ้น” สันหลังผมเสียววูบเลยครับ สารภาพเลยว่ากลัวโดนนายคฤณถีบอีกรอบ แต่ก็นะ ผมเป็นฝ่ายชวนเขานอนค้างเองนี่นา ยอดชายนายชานนท์พูดคำไหนก็จะทำตามนั้น คำพูดเป็นนายเสมอครับ ฮ่าๆๆ
“ไม่เป็นไร งั้น..เดี๋ยวเจมนอนขอบๆ เตียง พี่หนึ่งก็นอนขอบๆ ตอนดิ้นคงเตะมาไม่ถึง” หรอ? ผมถามตัวเองเมื่อเหล่มองเตียงที่เล็กว่าเตียงคิงไซส์ที่บ้าน หน้านายคฤณสื่อชัดเจนว่าคิดเหมือนกันกับผม แต่เหล่กันไปมาไม่นาน เขาก็หาทางออกให้
“จริงๆ แล้ว ถ้านอนโล่งๆ พี่จะดิ้น แต่ถ้าที่มันแคบลง พี่ไม่ดิ้น เท่าที่เพื่อนๆ บอกมานะ”
“แคบๆ หรอครับ? โหย เจมไม่ปล่อยให้พี่นอนโซฟาหรอก”
“พี่ก็ไม่ได้หมายถึงโซฟาครับ เตียงนี่แหล่ะแต่ว่า...จากที่เจมอยากจะนอนคนละขอบเตียง พี่ว่านอนชิดๆกันไว้ เท่านี้ที่ก็แคบแล้ว”
“อีกอย่าง เตียงนี้ก็ไม่ใหญ่มาก แต่เรานอนกัน 2 คนก็ถือว่าเป็นพื้นที่เบียดแล้วครับเจม”
“เอางั้นหรอครับ?”
“ไม่เอาแบบนี้ พี่ไปนอนโซฟาก็ได้”
“โหยๆ ไม่ได้ครับพี่หนึ่ง นอนด้วยกันนี่แหล่ะ เจมเกรงใจ วันนี้พี่ทำอะไรให้เจมตั้งหลายอย่าง”
“นอนเถอะครับ” ผมใจกล้าหน้าด้านทิ้งตัวลงนอนแล้วตบเตียงปุๆ เป็นเสี่ยเรียกอีหนู นายคฤณยกมุมปากยิ้มอีกแล้ว นี่เขาคำนวณไว้ในใจรึเปล่าวะ? เขาเอนตัวลงนอนข้างๆ ผมแล้วก็ตะแคงหาทันที พอผมทำตาโตถาม เขาก็บอกว่า “พี่ถนัดนอนตะแคงครับ เจมอึดอัดหรอ? งั้นพี่ไป”
“พอเถอะครับ พี่อยากนอนยังไงก็นอนเลย” ผมตัดปัญหาทุกอย่างเพราะกลัวจะเช้าเสียก่อนว่าได้นอนกัน นายคฤณยิ้มเย็นๆ ให้ผมดูก่อนนอนแล้วก็คว้าตัวผมไปกอดไว้แน่น
อื้อหือออออออออออ มากไปป่าววะ?
ผมดันตัวออกแล้วเบิ่งตาขู่ถาม คำตอบเขาทำให้ผมอ้าปากด่าอะไรไม่ได้
“ก็เจมบอกให้นอนตามสบาย พี่ติดหมอนข้างนี่ครับ”
แม่ง...นี่ฉวยโอกาสกับกูอยู่รึเปล่าวะ?
ผมอดคิดไม่ได้จริงๆ นะว่านายคฤณกำลังจีบผมอยู่!
เช้าวันเสาร์นี่ผิดแผกแตกต่างไปนิด เพราะผมตื่นขึ้นในคอนโดส่วนตัว แต่ไม่ได้ตื่นขึ้นมาคนเดียว
“อรุณสวัสดิ์ครับเจม” นายคฤณทักทายผมที่ลืมตามองเขาปริบๆ แล้วก็ขดตัวซุกหัวลงกับอกเขาเหมือนเดิม...เดี๋ยวนะ!
“เฮ้ย!!” ผมโวยเสียงดังแล้วกระตุกตัวเองลงจากเตียงทันที นายคฤณนอนหัวเราะท่าทางของผมแล้วก็ลุกขึ้นนั่งเพื่อถาม
“เป็นอะไร”
“เจมกอดพี่อ่ะ เฮ้ย! เจมขอโทษนะครับ”
“ฮ่าๆ หายกัน เพราะพี่ก็กอดเจมเหมือนกัน” โว๊ะ! ไม่ไหวแล้วไม่ไหว แบบนี้มันต้องถามให้รู้เรื่อง นายคฤณชักจะคลุมเคลือขึ้นทุกวี่วัน
“พี่หนึ่ง ล้อกันเล่นใช่ป่ะเนี่ย แบบนี้ไม่ดีนะครับ ผมไม่อยากโดนแฟนพี่ฉีกแขนขาก่อนฆ่าทิ้ง”
“พี่ไม่มีแฟนครับ”
“ไม่มีก็เล่นแบบนี้กับเจมไม่ได้ เจมเป็นผู้ชายนะพี่”
“พี่ก็เป็นผู้ชาย ไม่เห็นรู้สึกเสียหายที่เจมนอนกอดเลย”
“.............”
“ก็อุ่นดีไม่ใช่หรอ?”
“เจมถามจริงๆ เถอะพี่ ตอบเจมเถอะนะครับ ไม่งั้นเจมงงตายเลย”
“ครับ? อะไรหรอ?”
“พี่จีบเจมอยู่ใช่มั้ยครับ?”
“รู้ตัวช้าจังครับ” พระเจ้า! ไอ้คุณคฤณตอบได้หน้าตายมาก เขาส่งยิ้มให้ผมแล้วก็หัวเราะพออกพอใจที่หน้าผมเหวอจนลืมหุบปาก หมอนี่เดินเข้าห้องน้ำเฉยเลย ปล่อยให้ผมยืนตาค้าง นี่ผมฝันอยู่รึเปล่า? แล้วทำยังไงผมถึงจะตื่นวะเนี่ย
“เจมครับ มาล้างหน้าเถอะ เดี๋ยวได้ทำข้าวเช้ากินกัน”
ผม...ไม่ได้ฝันว่ะ
ผมแปรงฟันลอยๆ กินโบโลน่าทอดลอยๆ แล้วก็ช่วยเขาล้างจานแบบลอย มันไม่เคลียร์ไงครับ ไม่เคลียร์เลยแม้แต่นิด
คนเรา จะรักนะชอบจะจีบ มันควรมีที่มาที่ไป แล้วที่ผมเจอะเจอนี่มันอะไรกัน จู่ๆ ไอ้แอมก็มาบอกว่าชอบผม อีกจู่ๆ ถัดมา นายคฤณก็ยอมรับว่าจีบผม
นี่ผมถูกชอบถูกจีบตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วความรู้สึกพวกนี้เกิดขึ้นได้ยังไงผมยังไม่รู้เลย ให้ตายเถอะ! ผมโง่หรือพวกนี้มันทำอะไรให้ผมรู้ตัวน้อยเกินไปกันแน่
“วันนี้เจมต้องไปทำธุระอะไรรึเปล่าครับ”
“อืมม ไม่ครับ”
“งั้น ไปเดทกันนะ”
“หือ?”
“ก็พี่จีบเจม ก็เลยชวนไปเที่ยวกัน ไปกัน 2 คนนี่แหล่ะ ขับรถไปเรื่อยๆ อยากแวะก็แวะ ใช้เวลาอยู่ด้วยกันแบบสงบๆ แค่นี้เอง ได้มั้ยครับ”
“พี่หนึ่ง...ไม่รู้สึกว่ามันประหลาดหรอครับ พี่จีบเจมนี่เจมเพิ่งรู้ แต่พี่ชอบเจมจนต้องจีบนี่ เจมไม่รู้ว่าเพราะอะไร และเมื่อไหร่”
“วันแรกที่เจอกัน ฟังดูเวอร์หน่อยแต่ว่า รักแรกพบมันคงมีจริงแหล่ะ”
“ก็เจมหน้าตาน่ารัก ดูบริสุทธิ์เหมือนลูกหมาลูกแมว”
“งั้นพี่ก็แค่เอ็นดูเจมมั้งครับ” ผมช่วยเขาชำแหล่ะความรู้สึก แต่นายคฤณกลับหยุดง่วนล้างมือแล้วหันมาหาผมทั้งตัว
“พี่ไม่อยากอยู่ใกล้ชิดตอลดเวลา แล้วก็ไม่หึงคนที่พี่แค่รู้สึกเอ็นดูหรอกครับ” น้ำเสียงจริงจังขึ้นมาเลยครับ ผมเลยได้แต่เกาหัวแกรกๆ แล้วชี้หน้าตัวเอง
“เจมมีอะไรที่ทำให้พี่ชอบหรอ?”
“ไม่มีอะไรเฉพาะเจาะจง แต่พอรวมๆ กันออกมาแล้วเป็นเจม พี่รู้สึกดีที่ได้อยู่ใกล้ๆ เท่านี้แหล่ะ”
“หรือมันต้องเหตุผลอลังการมากกว่านี้ ขอโทษนะ พี่ไม่มีหรอกครับ ถ้าอยากฟังก็ลองไปถามคุณอรินทร์สิ” แหน่ะ...นี่หึงรึเปล่าวะ? งั้นก็แสดงว่าที่เขาโผล่ไปคั่นจังหวะที่ไอ้แอมบอกว่าชอบผม เขาก็จงใจสินะ
ที่ขอให้ร้องเพลงให้ฟัง มารับ มาส่ง โทรหา ซื้อของให้หมา มาคุยกับแม่ ซื้อเสื้อมาให้ไอ้จิวทั้งที่ไม่เคยเจอหน้ากัน ทั้งหมดนี่ทำเพราะชอบผม?
ตัวลอยแฮะ
ลอยคราวนี้ไม่ใช่เบลอมึน ตั้งรับไม่ทันน่ะครับ แต่ตัวลอยเพราะรู้สึกเลอค่า กร๊ากๆๆ เขาจีบผมอ่ะ เขาเป็นถึงผู้บริหารบริษัทใหญ่โต ทางเลือกเขาน่าจะมีมากมาย แต่เขากลับมาจีบคนตัวเล็กๆ ในสังคมอย่างผม
ไม่ว่าผมจะรู้สึกตรงกันกับเขาหรือไม่ แต่สิ่งแรกที่ผมรู้สึกก็คือ ตัวลอย และผมก็เชื่อว่าไม่ว่าใครก็ต้องตัวลอยเหมือนกันทั้งนั้นครับ
ผมไม่เซ้าซี้ต่อ และเขาก็ไม่เซ้าซี้ถามว่าผมคิดยังไงกับเขา ก็ดีครับ มันยังเร็วเกินไปที่ผมจะรู้คำตอบในใจตัวเอง ผมคิดว่าทุกอย่างต้องการเวลา
นายคฤณหายออกจากห้องไปอีกรอบ บอกผมว่าจะไปหาซื้อเสื้อผ้าใหม่มาเปลี่ยนแล้วค่อยพาผมไปเที่ยวในแบบที่เขาคิดว่าผมต้องชอบ ผมก็ตามใจ ระหว่างที่อยู่คนเดียวในห้องผมก็โทรหาแม่ เพื่อบอกว่าเมื่อคืนเมาแล้วแต่ก็กลับคอนโดปลอดภัยดี และวันนี้มีโปรแกรมเที่ยวกับ...เอ่อ...เพื่อน ค่ำๆ จะโทรบอกแม่อีกทีว่าจะกลับไปกินข้าวด้วยรึเปล่า
หม่อมแม่ก็ใจดี บอกให้ผมงอนเล่นว่า “หม่อมเจมไปดีเถอะ วันนี้แม่จะไปกินข้าวกับน้ำเพชร” ครับ ครับ ทั้งลูกรัก ลูกสะใภ้แสนรัก เหลือใจรักผมมั้ยล่ะนั่น
วางสายจากแม่ไม่เท่าไหร่ โทรศัพท์ในห้องก็ดังขึ้น ผมขมวดคิ้วคิดคำนวณอยู่ว่าใครโทรมา แต่เดินไปรับนี่แหล่ะง่ายสุดที่จะได้รู้แล้ว
“ครับ เจมครับ”
“เจม กูเอง”
“.......”
“กูไง”
“อะ....แอม”
“อืม กูมีเรื่องอยากคุยด้วย ขึ้นไปหาที่ห้องได้มั้ย”
เอาไงดีล่ะกู?
อยากคุยกับไอ้แอมก็อยาก ผมอยากถามมันว่ามันคิดอะไรถึงได้พูดออกมาแบบนั้น และถ้ามันยืนยันว่าคำว่าชอบของมันนั้นจีรังเหลือเกิน เลอค่ามากมาย ทำลายลงไม่ได้เพราะมันจะสูญสิ้นทุกสิ่ง ผมก็จะได้คิดต่อว่าจะทำยังไงให้รูปการความสัมพันธ์ หรือความเป็นเพื่อนแบบกวนตีนกันเอามันของไอ้แอมกับผมจะไม่พังครืน
แต่ว่า...นายคฤณล่ะ
ดูจากเวลาแล้ว เขาน่าจะกำลังรีบกลับมาที่ห้องผม
ผมควรทำยังไงดี? Cut
ฝากเรื่องความรักป่วนๆ ของน้องเจมไว้
ช่วยติดตามกันต่อไปด้วยนะคะ