บทที่ 10
ตำนานรักสองราชวงศ์ : เตรียมพิธีอภิเษก
รุ่งเช้าของวันใหม่ องค์ชายคาเซียทรงตื่นจากบรรทม ทั้งๆที่พระองค์นั้นได้พักผ่อนไปเพียงไม่นาน แต่ด้วยความเคยชินของพระองค์ที่ตื่นแต่เช้าเสมอ ทำให้พระองค์ไม่สามารถข่มพระเนตรพักผ่อนต่อไปได้
พระองค์ทรงขืนวรกายออกมาอ้อมพระกรขององค์ทริสเซย์ ก่อนที่จะทรงลุกขึ้นหมายจะไปสรงน้ำตามปกติ... แต่เมื่อทรงขยับกายเพียงเล็กน้อย ความเจ็บปวดจากช่วงล่างของพระองค์ก็แสดงอาการออกมาทันที
“เจ้าไม่ควรขยับในเวลานี้นะ คาเซีย”เสียงทุ้มตรัสอย่างอ่อนโยน พระหัตถ์หนาทรงลูบไล้เกศานุ่มเบาๆ “เจ้าควรจะนอนพักนิ่งๆ ถ้าไม่อยากให้ช้ำไปมากกว่านี้”
“กระหม่อมมิอาจจำเช่นนั้นได้หรอกพะยะค่ะ”เสียงที่หวานใสแหบลงเล็กๆ แต่ก็ยังน่าฟังองค์สำหรับพระองค์ “กระหม่อมยังมีภาระต้องเตรียมงานอภิเษก... ยังไม่สามารถพักได้หรอกพะยะค่ะ”
องค์ชายคาเซียทรงยิ้มบางๆให้กับองค์เหนือหัวก่อนจะฝืนวรกายลุกขึ้นมา สีพระพักตร์ของพระองค์บ่งบอกถึงความเจ็บปวดที่ได้รับ แต่ก็ยังทรงฝืน มิส่งเสียงออกมา
องค์ทริสเซย์ทรงพิงพระเขนยนุ่ม พระองค์ทรงทอดพระเนตรมองพระชายาองค์แรกอย่างทรงห่วงใยเล็กๆ
“องค์ชายเพคะ...”สองนางกำนัลคนสนิทก้าวเข้ามาในห้องบรรทมอย่างเร่งรีบ พร้อมส่งเสียงเรียกองค์ชายของพวกนาง ก่อนที่จะชะงักเมื่อเห็นผู้สูงศักดิ์อีกองค์ที่ประทับอยู่ในห้องบรรทมนี้ “ถวายบังคมเพคะ ฝ่าบาท”
“ตามสบาย พวกเจ้าเอาเครื่องสรงกับฉลองพระองค์ของข้าและพระชายาไปที่ห้องสรงด้วยล่ะ”องค์ราชาทรงดำรัสด้วยเสียงนุ่มๆ ก่อนที่จะทรงเสด็จมาช้อนร่างที่ยืนโงนเงนไม่มั่นคงนั้นขึ้นมาในอ้อมพระกร แล้วทรงเสด็จไปยังห้องสรง
นางกำนัลทั้งสอง และเหล่านางกำนัลที่อยู่บริเวณนั้นพากันหน้าแดงก่ำเมื่อเห็นเรือนกายอันเปลือยเปล่าของทั้งสองพระองค์
“องค์ชายคงทรงเจ็บปวดมาเลยสินะ”เสียงของเนลดังขึ้นด้วยความหมองหม่น เรียกความสนใจของเหล่านางกำนัลได้อย่างดี ทุกนางวางงานในมือลงแล้วพากันมามุงพระแท่นอย่างสนอกสนใจ
ภาพที่พวกนางเห็นคือ คราบโลหิตสีแดงฉานและน้ำสีขาวขุ่นที่เปรอะเปื้อนผ้าปูสีขาวเป็นวงกว้าง รอยเลือดนั้นยังมีกระจายอยู่เป็นหย่อมเล็กๆบนพระแท่น อีกทั้งกลิ่นคาวของเลือดและน้ำกามรมณ์คละคลุ้งไปทั่วห้อง
“วรกายขององค์ชายก็ทรงเต็มไปด้วยรอยแดงๆ โถ่... องค์ชายของเนล”
“ยังน้อยกว่าที่คิดนะ...”นางกำนัลในตำหนักโพรเทียนาม เมร่า เอ่ยขึ้น “เมื่อคืนวานเป็นเวรของข้ากับเอลน่าเฝ้าหน้าห้องบรรทม กว่าเสียงของฝ่าบาทและพระชายาจะเงียบลงก็รุ่งสางแล้ว ข้าคิดว่าเลือดจะออกมากกว่านี้เสียอีก... แสดงว่าฝ่าบาทต้องทรงอ่อนโยนกับพระชายามากแน่ๆ”
เนลเม้มริมฝีบากปากแน่น นางมิอาจที่จะพูดอะไรได้ เพราะอยู่ในต่างแดน ถ้านางมีปัญหาอันใด องค์ชายจะต้องทรงโดนหางเลขไปด้วย
“เจ้าคงจะไม่เชื่อ... เอาเป็นว่าถ้าราตรีใดที่ฝ่าบาทเสด็จไปพำนักตำหนักอื่นๆ โดยเฉพาะตำหนักออเรนจ์โรสสิ แล้วเจ้าจะรู้ว่าฝ่าบาทน่ะ อ่อนโยนต่อพระชายามากแค่ไหน”นางกำนัลเอลน่ากล่าวทิ้งท้ายก่อนที่นางกับเพื่อนนางกำนัลของนางจะเดินออกจากห้องบรรทมไปพร้อมกับผ้าปูพระแท่นที่เปรอะเปื้อนนั้น
“ถ้าข้ามีโอกาส... ข้าจะไปดูนะเรล”เนลหันมาพูดกับน้องสาวของนาง
“ข้าก็จะไปกับพี่ด้วย เนล”
สองนางกำนัลน้อยจัดเตรียมฉลองพระองค์ขององค์ชายคาเซียและขององค์ราชากันอย่างตั้งอกตั้งใจ แล้วพวกนางก็พากันเดินไปยังห้องสรง
เมื่อพวกนางไปถึง องค์ชายคาเซียและองค์ทริสเซย์ก็สรงน้ำกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว นางกำนัลประจำห้องสรงรับฉลองพระองค์ขององค์ราชาไป ส่วนพวกนางก็เข้าไปสวมฉลองพระองค์ให้กับองค์ชาย
“กระหม่อมขอทูลลาพะยะค่ะ ฝ่าบาท”องค์คาเซียทรงหันมาคำนับผู้ครองอำนาจสูงสุดอย่างนอบน้อม องค์ราชาทรงเลิกพระขนงขึ้นเชิงถามว่าพระองค์จะไปไหน... “กระหม่อมจะไปรับองค์ชายโซเทเรีย ก่อนไปยังท้องพระโรงน่ะพะยะค่ะ ฝ่าบาท”
“ข้าจะรอทานมื้อเช้ากับเจ้าและโซลที่ท้องพระโรงแล้วกัน”องค์ทริสเซย์ทรงตรัสทิ้งท้าย ก่อนที่จะทรงเสด็จออกไปว่าราชการยังท้องพระโรงแดนดิเลี่ยน
“องค์ชายทรงเป็นอย่างไรบ้างเพคะ ทรงเจ็บมากไหม”เนลเอ่ยถามองค์ชายของนางอย่างเป็นห่วงเป็นใย มือเล็กลูบไล้พระกรขององค์ชายเบาๆ “โถ่... พระฉวีของพระองค์แดงไปหมดเลยนะเพคะ”
“เราไม่เป็นไรหรอก เนล เราไม่ได้เจ็บอะไร รอยพวกนี้มันอ่า... อย่างที่เจ้ารู้นั่นแหละ”พระปรางนวลขึ้นสีแดงระเรื่ออย่างเขินอาย เมื่อทรงนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อราตรีที่ผ่านมา “จะเจ็บก็แค่ตรงนั้น... แต่เราทนได้ ไปกันเถอะ”
เนลและเรลพยุงองค์ชายของพวกนางไปขึ้นรถม้าที่ประทับ แล้วทั้งห้าก็พากันไปยังตำหนักฟรีเซีย ตำหนักที่ประทับขององค์ชายโซเทเรีย
“อ๊ะ... คาเซีย”เสียงใสๆขององค์ชายตัวเล็กดังขึ้นก่อนที่ร่างน้อยจะโผล่ออกมาต้อนรับผู้มาเยือนอย่างยินดี “เจ้ามาไหวด้วยเหรอ... เฟรุยบอกข้าว่าเจ้าอาจจะมาหาข้าไม่ไหวเพราะ... อ่า... เจ้าปรนนิบัติฝ่าบาททั้งราตรี...”
“ไหวสิ โซล”รอยยิ้มอ่อนโยนถูกส่งให้กับองค์ชายเหมือนเคย แม้สีพระพักตร์จะทรงซีดเซียวไปบ้าง แต่โดยรวมก็ยังทรงเป็นปกติอยู่... “ข้ามารับเจ้าไปท้องพระโรงน่ะ... ฝ่าบาททรงรอเสวยพระกระยาการเช้าอยู่...”
องค์ชายทรงตรัสอย่างเกร็งๆ ด้วยความที่ทรงกังวลว่าองค์ชายโซเทเรียจะทรงคิดมากหรือไม่ ที่พระองค์ทรงตรัสถึงองค์ราชา ในวันหลังจากที่พระองค์ทรง... ถวายตัว
“อ๊า~ งั้นก็ต้องรีบไปแล้วนิ”องค์ชายโซเทเรียทรงร้องขึ้นเสียงไม่ดังนัก แต่ก็ไม่เบา ก่อนที่จะทรงจับพระหัตถ์ของคนตรงหน้า “ไปกันเถอะ คาเซีย”
“อืมมม”
ทั้งสองพระองค์ทรงเสด็จขึ้นรถม้าพระที่นั่งเพื่อเสด็จไปยังท้องพระโรงแดนดิเลี่ยนอย่างรวดเร็ว
องค์ชายคาเซียทรงหันมองร่างบอบบางที่ประทับอยู่ข้างพระองค์อย่างเป็นกังวลนิดๆ แต่ก็ทรงวางพระทัยไปได้บ้างเมื่อเห็นองค์ชายโซเทเรียยังคงร่าเริงดี
ถึงแม้ภายนอกที่องค์ชายโซเทเรียทรงแสดงออกมานั้นจะทรงเป็นปกติ... แต่ใครจะทราบว่าในพระหฤทัยลึกๆของพระองค์นั้น จะทรงคิดอะไรอยู่...
ตัวพระองค์นั้นมิอยากทำให้ว่าที่พระสวามีของพระองค์มิสบายพระทัย พระองค์ทรงทราบดีว่าองค์ชายคาเซียนั้น ทรงมีปัญหาให้ขบคิดมากเกินพอแล้ว ถึงแม้ว่าพระองค์จะรู้สึกเสียพระทัยไปบ้าง ที่องค์ชายที่ทรงรักนั้น เป็นของใครอีกคน แต่ถึงกระนั้น พระองค์ก็ยังทรงดีพระทัย ที่องค์ชายยังเป็นห่วงและแคร์ความรู้สึกของพระองค์อยู่เหมือนดังเดิม...
ข้าจะไม่ทำให้เจ้าไม่สบายใจหรอก คาเซีย ข้าจะไม่มีวันทำให้เจ้าต้องมีปัญหาเพราะข้าเด็ดขาด... เพราะข้ารักเจ้าเกินกว่าที่จะทำให้เจ้าเสียใจได้...พระหัตถ์เล็กกอบกุมพระหัตถ์เรียว องค์ชายโซเทเรียทรงหันมายิ้มให้กับองค์ชายคาเซียอย่างสดใส และแฝงความนัยน์ที่ทำให้องค์ชายแห่งเซเรียลนั้นสามารถยิ้มออกมาได้ด้วยความสุข
“ขอบใจนะ โซล”องค์ชายทรงโอบร่างของว่าที่ชายาของพระองค์มาแนบชินพระวรกาย พระองค์ทรงลูบไล้พระเกศานุ่มด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย “ขอบใจนะ... ที่เจ้าเข้าใจข้า ขอบใจ... ที่เจ้าไม่ทำให้ข้าตรงลำบากใจ ขอบใจจริงๆ”
“เพราะข้ารักเจ้า เกินกว่าที่จะทำร้ายเจ้าได้น่ะสิ”องค์ชายแห่งสายลมทรงตรัสเสียงเบาๆ แต่คำตรัสนี้ได้เข้าไปตราตรึงอยู่ในดวงหทัยขององค์ชายคาเซียอย่างยากจะลบเลือน
องค์ชายคาเซียทรงเชยพระพักตร์ขององค์ชายในอ้อมพระกรขึ้น ก่อนที่พระองค์จะทรงมอบจุมพิตอันหวานล้ำให้กับว่าที่พระชายา...
พระพักตร์ขององค์ชายโซเทเรียแดงก่ำด้วยความขวยเขิน พระหัตถ์เล็กกำฉลองพระองค์ขององค์ชายคาเซียแน่น
“ถึงวันนี้ ข้าจะยังไม่ได้รับเจ้า เหมือนดั่งที่เจ้ารักข้า แต่ข้าสัญญา ข้าจะดูแลเจ้าตลอดไป โซล”เสียงหวานกระซิบเบาๆที่ข้างพระกรรณขององค์ชายแห่งสายลม
องค์ชายโซเทเรียทรงยิ้มอย่างเปรมปรีดิ์ พระองค์ทรงซบพระพักตร์เข้ากับอุระบาง
นาสิกสวยได้รูปสูดดมกลิ่นหอมอ่อนๆจากเกศานุ่ม พระกรเรียวโอบกอดร่างบอบบางเอาไว้หลวมๆ
พระเนตรหวานขององค์ชายโซเทเรียทอดพระเนตรเห็นร่องรอยรักสีกลีบกุหลาบที่องค์ราชาทรงฝากไว้กับวรกายของว่าที่พระสวามี... พระหัตถ์เล็กลูบไล้รอยนั้นเบาๆ
“เจ็บไหม”พระองค์ทรงตรัสถามเสียงแผ่ว “แดงมากเลยนะ”
“ไม่เจ็บหรอก...”องค์ชายคาเซียทรงตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้าไม่เจ็บหรอก โซล”
“อืม...”แม้พระองค์อยากจะทรงตรัสถามเกี่ยวกับราตรีที่ผ่านมาขององค์ชายคาเซียกับฝ่าบาทเพียงไหน แต่พระองค์ก็มิอาจเอื้อนเอ่ยอันใดได้...
ทั้งสองนิ่งเงียบจนเดินทางมาถึงท้องพระโรง นางกำนัลทั้งสองขององค์ชายแห่งเซเรียลเข้ามาพยุงนายของตนอย่างรู้หน้าที่
“พระชายาเสด็จ องค์ชายโซเทเรียเสด็จ”นายทวารตะโกนก้อง ก่อนที่ร่างของทั้งสองจะก้าวเข้าไปในท้องพระโรงอันงดงาม...
“มาแล้วหรือ คาเซีย”องค์ราชาทรงตรัสด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนที่พระองค์จะทรงหันไปส่งสัญญาณให้นางกำนัลยกเครื่องเสวยเข้ามา
องค์ชายคาเซียพาองค์ชายโซเทเรียไปประทับยังที่ประทับ ก่อนที่พระองค์จะทรงเสด็จเข้าไปหาองค์เหนือหัว ท่ามกลางสายตาของเหล่าสนม นางกำนัลและขุนนางในท้องพระโรงแดนดิเลี่ยนแห่งนี้
“ฝ่าบาท กระหม่อมขอจัดเตรียมพิธีอภิเษกของกระหม่อมด้วยตัวเองนะพะยะค่ะ”เสียงหวานทรงกระซิบเบาๆใกล้ๆพระกรรณ
“ตามใจเจ้า”แม้พระองค์จะรู้สึกไมพอพระทัยไปบ้าง แต่ก็ทรงจำต้องยอมให้องค์ชายคาเซียทำตามพระทัยขององค์ชายไป
พระหัตถ์แกร่งคว้าเอาวรกายเล็กมานั่งบทพระเพลา ก่อนที่เจ้าของร่างนั้นจะเดินกลับที่ของตนไป
“ฝ่าบาท....”องค์ชายคาเซียทรงร้องเบาๆอย่างตกพระทัย “นี่มันในท้องพระโรงนะพะยะค่ะ”
“แล้วอย่างไร คาเซีย”เสียงที่ตรัสออกมานั้นยังคงเป็นปกติ... “เจ้าเป็นพระชายาของข้านะ คาเซีย เจ้าจะกังวลสิ่งใด ในเมื่อเจ้ายังอยู่ข้างกายข้าเช่นนี้”
“กระหม่อมเกรงว่ามันจะไม่เหมาะสมนัก...”องค์ชายทรงทอดพระเนตรไปรอบๆกาย พระพักตร์งามขึ้นสีอ่อนอย่างเขินอาย
“อ่อ... เจ้าคงอายสินะ”องค์ราชาทรงตรัสอย่างเข้าพระทัย “ราตรีนี้เจ้าคงรู้ตัวเองแล้วสินะ ว่าจะต้องทำอันใด”พระองค์มิทรงพูดเปล่า ทรงลูบไล้พระโสณีของพระชายาเบาๆอย่างเย้ายวน “ห้องของข้า...”
“พะยะค่ะ ฝ่าบาท”องค์คาเซียตอบรับคำเบาๆ “ราตรีนี้ ที่ห้องบรรทมของฝ่าบาทพะยะค่ะ”
พระองค์ทรงได้แต่ประทับนิ่ง ให้องค์ประมุขลูบไล้วรกาย อยู่เช่นนั้น จนกระทั่งเครื่องเสวยถูกยกมา พระองค์ถึงได้ประทับอยู่ข้างฝ่าบาท โดยที่อีกข้างของพระองค์เป็นพระชายาเช่นวันวาน...
องค์ชายคาเซียยังทรงคอยปรนนิบัติเจ้าชีวิตของพระองค์ไปควบคู่กับดูแลว่าที่ชายาของพระองค์ไปพร้อมๆกัน เฉกเช่นเดียวกับสายพระเนตรแห่งความริษยาของสนมหลายนางที่จับจ้องพระองค์อย่างแค้นเคือง
เจ้า... คาเซีย เพราะเจ้าแย่งฝ่าบาทไปจากข้า แกดึงความสนใจจากฝ่าบาทไปอยู่กับตัวเจ้า ถ้าไม่มีเจ้า ถึงอย่างไรฝ่าบาทก็ต้องมองข้า ข้าจะเป็นคนแรกที่ฝ่าบาทเห็น ฝ่าบาทจะต้องรักข้า สนใจข้า ไม่ใช่เจ้าพระสนมเมริน่าทรงทอดพระเนตรองค์ชายคาเซียด้วยความเกลียดชังอย่างไม่ปิดปัง นางกำนัลที่อยู่ใกล้ๆพระนางต่างพากันถอยห่างออกไปด้วยความหวาดกลัว
“คาเซีย”เสียงทุ้มตรัสดังขึ้นเบาๆ เมื่อเห็นคนข้างกายเอาแต่ป้อนเครื่องเสวยให้องค์ชายโซเทเรียบ้าง ตักให้พระองค์บ้าง โดยที่ตนเองนั้นแทบมิได้แตะต้องเครื่องเสวยพวกนี้เลย
“พะยะค่ะ”พระพักตร์หวานหันมาหาพระองค์พร้อมกับรอยยิ้มอ่อนโยน
พระหัตถ์หนาทรงเอื้อมมาตักเครื่องเสวยที่องค์ชายคาเซียโปรด ก่อนจะทรงป้อนให้กับองค์ชายอย่างนุ่มนวล
องค์คาเซียทรงอ้าพระโอษฐ์รับเครื่องเสวยที่องค์ราชาทรงป้อนให้ พระองค์ทรงรู้สึกถึงความอบอุ่นที่ค่อยๆแผ่ซ่านในพระหฤทัยของพระองค์
“เจ้าควรที่จะทานอะไรเสียบ้าง ก่อนที่กายของเจ้าจะบอบบางไปมากกว่านี้นะ คาเซีย”องค์ทริสเซย์ตรัสกับพระชายาของพระองค์ด้วยสุรเสียงอ่อนโยน “ถ้าเจ้าอยากจะป้อนอาหารพวกนี้ให้กับโซเทเรียก็ตามใจเจ้า แต่ข้าจะเป็นคนป้อนให้เจ้ากินเอง”
“ฝ่าบาท...”เสียงหวานสั่นเครือเล็กๆ พระหัตถ์เล็กยื่นมากอบกุมพระหัตถ์แกร่งเบาๆ “ขอบพระทัยพะยะค่ะ”
“เจ้าดูแลชายาของเจ้า ข้าก็ต้องดูแลชายาของข้าบ้างสิ จริงไหม”องค์ทริสเซย์ทรงลูบไล้เกศานุ่มของพระชายาเบาๆ ก่อนที่จะทรงป้อนเครื่องเสวยให้กับองค์ชายต่อ “ราตรีนี้ข้าคงไปดึกเล็กน้อย ถ้าเจ้ารอไม่ไหวก็นอนไปก่อนได้เลยนะ คาเซีย”
องค์ชายโซเทเรียทรงทอดพระเนตรองค์ราชาและองค์ชายคาเซียอยู่ตลอด พระองค์ทรงเผยยิ้มเศร้าขึ้นมาชั่ววินาที ก่อนที่จะปรับให้เป็นรอยยิ้มที่สดใสเหมือนดั่งปกติ
พระองค์จะทรงหม่นหมองเพราะเรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด เพราะครั้งนี้จะไม่มีทางเป็นหนสุดท้ายเป็นแน่ ที่องค์ราชาจะทรงแสดงความเป็นเจ้าขององค์ชายที่พระองค์รัก...
หลังจากที่เครื่องเสวยถูกนางกำนัลยกออกไปเก็บเรียบร้อยแล้ว องค์ชายคาเซียก็ทูลลาองค์ทริสเซย์ไปจัดการเตรียมพิธีอภิเษกของพระองค์ทันที
ตลอดทั้งวันองค์ชายคาเซียทรงวิ่งวุ่นกับการประสานงานในด้านต่างๆโดยมิยอมหยุดพัก จนล่วงเลยเข้าสู่เวลาเย็น ทุกๆอย่างจึงเสร็จลง ทุกๆฝ่ายรู้หน้าที่ของตนเอง และเริ่มดำเนินงานกันอย่างว่องไว เพื่อให้ทันงานอภิเษกที่จะมีขึ้นในอีก 6 วันข้างหน้า
ส่วนองค์ชายโซเทเรียได้แต่ประทับองค์ในตำหนักให้นางกำนัลฝ่ายตัดเย็บมาวัดวรกายเพื่อตัดฉลองพระองค์ อีกทั้งพระองค์ก็ถูกสั่งห้ามด้วยรอยยิ้มว่าไม่ได้ลุกขึ้นมาจัดการเรื่องใดๆ องค์ชายคาเซียจะทรงจัดการทุกๆอย่างเอง...
เมื่อองค์ชายคาเซียทรงชำระร่างกายของพระองค์เสร็จเรียบร้อยแล้ว พระองค์ก็ทรงพักผ่อนอยู่ในห้องบรรทมของพระองค์จนกระทั่งเกือบถึงยามสิบสอง
“พระชายาเพคะ... จะถึงยามสิบสองแล้วนะเพคะ”เสียงหวานของนางกำนัลต้นห้องแห่งตำหนักโพรเทียดังขึ้น “ฝ่าบาทคงใกล้เสด็จกลับมาแล้วนะเพคะ พระองค์จะทรงเสด็จไปห้องบรรทมของฝ่าบาทเลยไหมเพคะ”
“อ๊ะ ข้าลืมไปเลย”องค์ชายคาเซียทรงลุกขึ้นจากพระแท่นทันที แม้จะทรงเซไปเล็กน้อยด้วยความเจ็บบริเวณช่วงล่างของพระองค์ที่ยังมิบรรเทาลงนัก “ถึงว่า... เนลถึงเอาชุดแบบนี้ให้ข้าใส่”
องค์ชายทรงเสด็จไปยังห้องบรรทมขององค์ทริสเซย์ตามคำเตือนของนางกำนัลเจนี่ทันที แต่ถึงกระนั้น ยังมิทันที่พระองค์จะทรงประทับลงบนพระแท่นใหญ่ตรงหน้า พระกรแกร่งก็ทรงโอบกอดร่างของพระองค์เอาไว้เสียแล้ว...
“คาเซีย”เสียงนุ่มดังแผ่วเบาอยู่ข้างพระกรรณ องค์ชายคาเซียทรงผิดพระพักตร์มามองพระพักตร์หล่อเหลาขององค์ราชาตามเสียงเรียก “คิดถึงจัง”
“เอ๊ะ...”ดวงเนตรหวานช้อนขึ้นมองอย่างงุนงง “ฝ่าบาททรงเสด็จไปตำหนักเพอเพิลไลแลค(ความลุ่มหลง)ไม่ใช่หรือพะยะค่ะ ฝ่าบาทจะทรงมีเวลาคิดถึงกระหม่อมด้วยงั้นเหรอพะยะค่ะ”
“พวกนางมิมีใครสู้เจ้าเพียงคนเดียวได้เลย คาเซีย”องค์ทริสเซย์ทรงจับร่างเล็กให้หันมาหาพระองค์ก่อนที่จะทรงสวมกอดอีกครั้ง “มิมีใครกลิ่นกายหอมอ่อนๆอย่างเจ้า มิมีใครงดงามเหมือนเจ้า มิมีใครทำเติมเต็มให้กับข้าได้ดั่งเจ้า ชายาของข้า”
ร่างของทั้งสองเอนลงบนพระแท่นนุ่ม อาภรณ์ที่สวมใส่หลุดออกจากวรกายทีละชิ้นๆ
พระนาสิกโด่งซุกไซร้ที่ซอกพระศออย่างหื่นกระหาย พระโอษฐ์หยักดูดเม้มผิวนุ่มสร้างรอยรักตามทางที่ผ่าน พระหัตถ์หนาลูบไล้ เค้นคลึงเรือนกายขาวเนียนที่ยังมีร่องรอยกลีบกุหลาบของพระองค์อยู่...
“อ๊ะ... อา...”เสียงหวานครางแผ่วๆตลอดเวลาที่พระองค์ทรงเล้าโลม ซึ่งสร้างความพึงพอพระทัยให้พระองค์เป็นอย่างยิ่ง “อื้อออออ ฮึก อ๊าาาาา”
องค์ทริสเซย์ทรงหยอกเย้ายอดถันสีชมพูอ่อน ขณะเดียวกันก็ทรงเบิกทางเบื้องล่างเพื่อเปิดเส้นทางสู่สวรรค์ของพระชายาให้พร้อมจะนำพาพระองค์
“หวานเหลือเกินชายาของข้า เจ้าจะทำให้ข้าคลั่งอยู่แล้วนะ”
“ฝ่าบาท... อ๊า จะ. เจ็บ ฮึก”
“คาเซีย ข้าขอโทษ... วันนี้ข้าคงมิอาจจะอ่อนโยนกับเจ้าได้เท่าราตรีวาน...”
สิ้นเสียงตรัส องค์ทริสเซย์ก็ทรงล่วงล้ำเข้าไปในกายบางอย่างรวดเร็ว แต่ถึงกระนั้นก็ทางเข้าไปได้เพียงส่วนเดียวเท่านั้น...
“เจ็บ... ฝ่าบาท เจ็บพะยะค่ะ เจ็บเหลือเกิน...”องค์ชายคาเซียทรงเริ่มร้องไม่เป็นภาษา อัลสุชลไหลรินอาบปรางนวล เมื่อองค์ราชาทรงขืนกายเข้ามาในช่องทางแคบ
“ผ่อนคลายซะ คาเซีย อย่าเกร็ง”พระหัตถ์หนาลูบไล้เส้นผมนุ่มอย่างปลอบโยน
เมื่อพระองค์ทรงรู้สึกว่าร่างที่พระองค์ทาบทับอยู่นั้นผ่อนคลายลง ก็ทรงดันกายเข้าไปอีก ก่อนจะค่อยๆขยับเพื่อให้พระชายาปรับตัว...
“อึก อ๊ะ อ๊า.... อื้อ”องค์ทริสเซย์ทรงเร่งจังหวะขึ้นเรื่อยๆ เสียงครางหวานและเสียงกระทบกันของเนื้อดังก้องห้องบรรทม จนกระทั่งสายธารแห่งความใคร่หลั่งรินในเข้าในกายบาง
“เจ้ายังเจ็บอยู่ วันนี้เท่านี้ก่อนแล้วกัน ชายาข้า”พระองค์ทรงโอบร่างบอบบางเอาไว้ในอ้อมพระกร “ขอบใจมาก คาเซีย”
“มิเป็นไรพะยะค่ะ... กระหม่อมต้องขอประทานอภัย ที่มิอาจรองรับพระองค์ได้อย่างที่สมควร...”
“ค่อยๆเป็น ค่อยๆไป เดี๋ยวเจ้าก็ตอบรับข้าได้เอง คาเซีย”
“พะยะค่ะ”
++++++++++++++++++++++++++++++++++
ชื่อตอน... ไม่ได้เกี่ยวกับเนื้อหา... แหะๆ