บทที่ 24
ตำนานรักสองราชวงศ์ : ลอบสังหาร
หลังจากวันที่เหล่าสนมบุกเข้ามาหาเรื่ององค์ชายคาเซียเมื่อเดือนก่อน ความสงบสุขก็กลับคืนมาสู่ตำหนักโพรเทียเรื่อยมา
ราชกิจที่ถูกสั่งห้ามแตะต้องอย่างเด็ดขาดในช่วงอาทิตย์แรกโดยมหาเสนาบดี ได้กลับมาสู่อ้อมแขนของผู้สำเร็จราชการแล้ว แต่เพียงแค่ส่วนหนึ่ง... ด้วยเหตุที่ว่า
‘ถ้าพระชายานำราชกิจทั้งหมดไปสะสางดังเดิม สภาพของพระองค์ก็จะมิแตกต่างอะไรจาก 7 วันก่อนหน้านี้ เพราะฉะนั้น ทรงทำเพียงส่วนเดียวก็พอแล้ว ในส่วนที่เหลือ พวกข้าจะจัดการเอง’
ถึงแม้จะได้งานราชกิจกลับมาเพียงแค่ส่วนหนึ่ง แต่ก็สามารถทำให้พระองค์หายเบื่อไปได้บ้าง ด้วยความเคยชินของพระองค์ที่จะมีอะไรทำสักอย่าง...
“เอ... สองเดือนที่ผ่านมาไม่ทรงรู้สึกแพ้ท้องเหรอพะยะค่ะ”เฮลเอ่ยถามขึ้น หลังจากที่ผ่านมาสามเดือนเศษ... แต่ดูท่าทางขององค์ชายยังทรงปกติ ไม่มีอาการใดๆเหมือนดั่งที่ผู้ตั้งครรภ์สี่เดือนครึ่งควรจะเป็น
“ไม่นิ เราไม่รู้สึกคลื่นไส้ หรือรู้สึกแปลกๆแม้แต่น้อย”องค์ชายคาเซียทรงหันมาตอบหมอประจำกายด้วยรอยยิ้ม เฮลหรี่ตามองอย่างจับผิด แต่พระพักตร์ของพระองค์ดูสดใสจริงๆ มิได้ฝืนเลยแม้แต่น้อย
“มันดูผิดปกติไปหน่อยนะพะยะค่ะ...”นิ้วเรียวของหมอหนุ่มเคาะโต๊ะเบาๆ “ถ้าเป็นเช่นนี้... เป็นไปได้ว่าฝ่าบาทจะทรงแพ้ท้องแทนพระองค์”
“เอ... คงไม่เป็นเช่นนั้นหรอก เฮล”พระองค์ตรัสเบาๆ “จะมีเหตุผลอันใดที่ฝ่าบาทจะทรงมาแพ้ท้องแทนเรา... เราเป็นแค่เพียงข้ารับใช้ของพระองค์คนนึงเท่านั้นนะ”
พระหัตถ์เรียวเขียนแผนงานแจกจ่ายเมล็ดพันธุ์พืชให้กับประชาชนไปด้วย ตรัสไปด้วย พระเนตรหวานหลุบลง ไม่สบกับผู้ใด... เป็นสัญญาณพระองค์ทรงรู้สึกหมองเศร้า
“องค์ทริสเซย์ทรงรักพระองค์ไม่น้อยไปกว่าที่พระองค์ทรงมอบดวงหฤทัยให้กับฝ่าบาทนะเพคะ”เรลเอ่ยแย้งขึ้น นางทราบดีแล้วว่าองค์ราชานั้นทรงรักองค์ชายของนางมากเพียงไร ถึงแม้จะมิได้แสดงออกมาให้เห็นอย่างโจ่งแจ้ง แต่พระองค์ก็ทรงส่งจดหมายมาถามข่าวคราวขององค์ชายจากนางเสมอ แต่ถึงกระนั้น... นางก็มิเคยหลุดบอกพระองค์ไปว่าองค์ชายทรงตั้งพระครรภ์หรอกนะ...
ให้พระองค์รู้จากองค์ชายเอง... น่าดูกว่าเป็นไหนๆ
“ช่างเถอะ... แล้วเซทล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง หกเดือนแล้วนะ”พระองค์หันไปถามองรักษ์ประจำพระองค์ที่นั่งอยู่ไม่ไกลนัก
“กระหม่อมแข็งแรงดีพะยะค่ะ”เซทตอบรับกลับมาเบาๆ ในขณะที่ยังเพ่งแผนที่ในมืออยู่อย่างเคร่งเครียด จนเรฟต้องมาดึงเอาแผนที่นั้นออกจากมือ
“แข็งแรงงั้นเหรอ... กลางคืนก็ไม่ยอมนอน กลางวันก็ไม่ยอมพักผ่อน แบบนี้จะเรียกยังไงว่าแข็งแรง”เรฟกัดฟันพูดอย่างกริ้วโกรธ “ไปพักเดี๋ยวนี้ เซท”
“ข้ายังต้องทำงาน...”
“มานอนซะ เซท”องค์ชายคาเซียทรงตรัสเสียงนิ่ง พระดัชนีเรียวชี้ไปที่พระแท่นของพระองค์เอง “ไปนอนซะ นอนที่นี่แหละ เราจะได้เห็นกับตาว่าเจ้าพักผ่อนจริงๆ”
“พะยะค่ะ... ฝ่าบาท”เซทขานรับอย่างเลี่ยงไม่ได้ ร่างอวบๆเดินอุ้ยอ้ายปีนขึ้นเตียงไปนอนโดยดี
“หกเดือนแล้ว... ดูแลตัวเองดีๆหน่อยเถอะ เซท”เรฟทำหน้าบึ้งใส่คนรักขณะที่ห่มผ้าให้ “หลับตาลง แล้วนอนซะนะ...”
เซทหลับตาลงอย่างว่าง่าย ก่อนที่จะผล็อยหลับไป
“คาเซีย...”เสียงใสๆขององค์ชายโซเทเรียดังขึ้นหลังจากที่เฮลกลับออกไปได้พักหนึ่ง “ได้พักผ่อนบ้างไหมเนี่ย...”
“ได้สิ... เนลกับเรลคอยเคี่ยวเข็ญให้เรานอนอยู่ตลอดนั่นแหละ โซล”พระกรเรียวโอบรัดร่างของพระชายาแห่งตนเอาไว้ในอ้อมพระกรหลวมๆ ร่างของพระชายานั่นประทับอยู่บนพระเพลาของพระองค์ ตามที่พระองค์ประสงค์ “โซลเถอะ เป็นไงบ้างหืม ได้พักผ่อนบ้างไหน”
“โซลก็นอนทั้งวันแหละ ไม่ได้มีงานอะไรสักหน่อย”องค์ชายโซเทเรียตอบกลับเบาๆ
“น่า... โซล เจ็ดเดือนครึ่งแล้วนะ... อีกไม่ถึงสองเดือนเราก็จะได้เห็นหน้าของลูกแล้ว”
ทั้งสองพระองค์สนทนากันไปเรื่อยๆ องค์ชายคาเซียทรงวางพระหัตถ์จากราชกิจทั้งหมดมาทุ่มเทเวลาที่พอมีให้กับพระชายา
จนถึงเวลานี้... พระหฤทัยของพระองค์มิเคยมีสักวินาทีที่จะบอกว่ารักร่างตรงหน้า แต่ทุกอย่างมันสั่งการให้พระองค์ต้องดูแลให้ดีที่สุด... เท่าที่พี่ชายคนหนึ่งจะทำให้กับน้องได้
ในเบื้องลึกของดวงหทัยขององค์ชายโซเทเรียเริ่มร่ำร้องออกมา ว่าแท้จริงแล้ว พระองค์นั้นมิได้รักองค์ชายคาเซียในฐานะของคนรัก... แต่พระองค์รักองค์ชายในฐานะของพี่ชายที่แสนดีคนหนึ่ง... แต่พระองค์ยังขอหลอกตัวองค์เองว่ายังรัก... พระสวามีหมดดวงหฤทัย
ในเวลานี้ทุกๆอย่างมันพันธนาการคนทั้งคู่ไว้อย่างแน่นหนา... ยากที่จะพรากจาก แม้จะมิได้มีความรักให้แก่กัน แต่ก็จะต้องคู่เคียงคู่กัน... ต่อไป
บทสนทนายังคงดำเนินต่อไปจนฟ้ามืด... และจะมีต่อไปเรื่อยๆถ้ามิใช่ว่ามีเสียงแปลกปลอมเล็ดลอดเข้ามาให้พระกรรณขององค์ชายนักปราชญ์ผู้นี้
“ชู่ว์...”องค์ชายคาเซียส่งสัญญาณให้ทุกคนเงียบเสียงลง “ไปอยู่ที่เตียงก่อนนะ.. โซล”
องค์ชายโซเทเรียพาร่างอันอ้วนท้วมของพระองค์มาประทับบนพระแท่นโดยดี พระเนตรหวานมองพระสวามีอย่างเป็นกังวลพระทัย
องค์ชายคาเซียทรงคว้าพระแสงดาบประจำพระองค์เข้าสู่พระหัตถ์ ก่อนที่จะทรงชักออกมาในท่าเตรียมพร้อมต่อสู้
สองนางกำนัลน้อยต่างคว้าดาบของตัวเองขึ้นมาเตรียมพร้อม เรฟก็เช่นกัน
เซทลืมตาตื่นขึ้นจากนิทรา เขาพยุงร่างของตนพิงหัวเตียง แล้วหยิบดาบของตนมาไว้ในมือ ก่อนจะพยักหน้ารับสารที่สื่อมาจากสายตาของคนรัก
‘ถ้าไม่ถึงที่สุด... อย่าลุกขึ้นมาต่อสู้เป็นอันขาด’
“เรฟ... ปกป้องโซเทเรียและเซท เนล เรล เตรียมพร้อม”องค์ชายตรัสแผ่วเบา
“เพคะ/พะยะค่ะ”สองนางกำนัล หนึ่งองครักษ์เข้าประจำที่ของตน
ดวงตาของคนทั้งหมดในห้องบรรทมแห่งนี้จับจ้องไปที่บานทวาร ในเวลานี้พวกเขาทุกคนพร้อมแล้วที่จะจัดการกับผู้บุกรุกที่ไม่อยากจะต้อนรับ
ชายในชุดคลุมสีดำปิดหน้ากรูกันเข้ามาในห้องบรรทมจำนวนไม่น้อย...
“พวกเจ้าเป็นใคร!!”องค์ชายทรงตรัสถามน้ำเสียงเรียบเฉย พระเนตรของพระองค์วาวโรจน์ไปด้วยความกริ้วโกรธอย่างที่มิเคยมาก่อน
“พวกข้าเป็นใครไม่สำคัญ... รู้แค่ว่าพวกข้าจะมาเก็บพวกเจ้าก็พอ”
สิ้นเสียงพูดของชายชุดดำที่คาดว่าเป็นหัวหน้าทีม เปรียบดั่งระฆังแห่งการเริ่มต้น
สำหรับคนที่มีฝีมือพอตัวเพียงแค่สิบคน ถ้าเป็นเวลาปกติ นางกำนัลทั้งสองและเรฟก็เอาอยู่ แต่ในเวลานี้พวกของพระองค์เสียเปรียบไม่น้อย เมื่อต้องคอยปกป้องผู้มีครรภ์ถึงสองคนในเวลาเดียวกัน...
ยังไม่นับสายพระโสหิตในพระครรภ์ของพระองค์เองด้วย
องค์ชาย เนล และเรลพุ่งเข้าโรมรันกับร่างตรงหน้า ส่วนเรฟคอยเป็นทัพหลังที่รับมือกับคนที่หลุดรอดมาจากทั้งสาม ดาบเรียวเปื้อนโลหิตที่สาดกระเซ็นไปทั่วทุกทิศทาง แต่ก็ยังมิมีใครยอมอ่อนข้อให้ใคร
ถ้ายอมตอนนี้... หมายถึงชีวิตของทุกคน
องค์ชายคาเซียทรงรับศึกหนักเมื่อต้องรับมือกับผู้ลอบสังหารถึงสามคนในเวลาเดียวกัน คมดาบฟาดฟันเข้าที่ร่างของบุรุษตรงหน้าอย่างไร้ซึ่งปรานี พระองค์ทรงสังหารคนตรงหน้าอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
สองสาวในที่นี้ก็รับศึกหนักไม่แพ้กับ เมื่อพวกนางต้องรับมือกับชายร่างสูงใหญ่ถึงหกคน แต่ถึงกระนั้น แทนที่พวกนางจะเกรงกลัว แต่กลับรู้สึกสนุกสนานเสียมากกว่า
“เอาแบบไหนดีค่ะ พี่”
“เจ้าสาม พี่สาม ไม่ได้ลุยมานาน ขอสักทีก็ไม่เลวหรอกนะ”
ใครที่ปรามาสไว้ว่าสตรีนั้นอ่อนแอ จงลบความคิดนั้นทิ้งไปซะ... สตรีนั้นมีพลังอันลึกลับซ่อนอยู่ภายในตัว ดังเช่นสองพี่น้องคู่นี้... ยามใดที่พวกนางรู้สึกกระหาย ยามนั้น... พวกนางจะไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหมใดๆทั้งสิ้น ผู้ที่จะสามารถห้ามพวกนางได้มีเพียงองค์ชายผู้เป็นที่รักเพียงคนเดียวเท่านั้น
พวกนางทั้งสองเหวี่ยงดาบเข้าฟาดฟันกับศัตรูตรงหน้า เลือดสีสดไหลรินจากบาดแผลที่ถูกพวกนางฟัน แทง เรียกความกระหายเลือดของนางทั้งสองได้เป็นอย่างดี
“อ่า... มันเป็นความรู้สึกที่ดีเหลือเกิน”เรลครางเบาๆ ขณะที่ตวัดดาบเฉือนเนื้อของผู้บุกรุกทีละแผลๆ เรียกเลือดให้หลั่งไหลอกกมา “ช่างน่าเสียดายที่ไม่มีเวลาให้มานั่งเล่นมากนัก”
ผู้ลอบสังหารคนสุดท้ายประจันหน้ากับเรฟ พวกเขาจ้องตากันสักพักก่อนที่จะโถมร่างเข้าหากัน
การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือด กลิ่นคาวของเลือดคละคลุ้งไปทั่ว ผู้บุกรุกบาดเจ็บสาหัสแล้วเริ่มหลบหนีการโจมตี ในขณะที่ฝ่ายขององค์ชายได้รับบาดแผลกันคนละนิด คนละหน่อย
“ถ้าพวกเจ้ายอมบอกข้ามาดีๆว่าใครเป็นคนส่งพวกเจ้ามา ข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้า... ทั้งยังให้ที่อยู่และหมอมารักษาพวกเจ้าด้วย”องค์คาเซียตรัสอย่างเย็นชา
เหล่าผู้บุกรุกหันไปมองหน้ากันและกัน เมื่อเห็นอาการบาดเจ็บของเพื่อนพ้องที่มาด้วยกันแล้ว... ทุกคนต่างตัดสินใจที่จะทิ้งดาบในมือลง ยอมศิโรราบโดยดี
“เราได้รับการว่าจ้างจากขุนนางคนหนึ่งในอาณาจักรเตทาเนียให้มาจัดการเก็บพวกท่านซะ... เพียงเท่านั้น”ผู้เป็นหัวหน้าของกลุ่มลอบสังหารนี้ตอบองค์ชายอย่างสัจจริง
“แน่ใจว่ามีเพียงเท่านี้”พระองค์หรี่พระเนตรลงอย่างจับผิด ขณะที่เนลกับเรลพากันไปตรวจค้นอาวุธของกลุ่มคนตรงหน้า
“พะยะค่ะ มีเพียงเท่านี้จริงๆ”ชายทั้งสิบขานรับกันอย่างพร้อมเพรียง
องค์ชายคาเซียทรงเม้มพระโอษฐ์เล็กน้อยอย่างครุ่นคิด
“เฮล... เรารู้ว่าเจ้ายังอยู่แถวนี้ เจ้าพาพวกเขาออกไปจากที่นี่ เอาพวกเขาไปรักษา แล้วให้ที่พักพิงแก่พวกเขาและครอบครัวด้วย”
“พะยะค่ะ ฝ่าบาท”เฮลโผล่หน้าเข้ามาในพระตำหนักอีกครั้ง พร้อมกับนายทหารในกองทัพส่วนพระองค์อีกสิบนาย “เก็บกวาดให้เรียบร้อยล่ะ”
นายทหารทั้งสิบคนนั้นเก็บกวาดห้องบรรทมให้กลับสู่สภาพเดิมอย่างรวดเร็วและไม่ทิ้งร่อยรอยอันใดเอาไว้เลยแม้เพียงน้อย ก่อนที่พวกเขาจะพากันหลบออกจากพระราชวังไป
ระหว่างนั้นองค์ชายและทุกๆคนต่างพากันไปชำระร่างกายเสียใหม่ เพื่อล้างกลิ่นคาวเลือดที่ติดกายออกไป
“มีครั้งแรกก็ต้องมีครั้งต่อไป...”เสียงหวานพึมพำแผ่วเบา พระเนตรกลมโตเหล่มองพระชายาที่ประทับบนพระแท่นนิ่ง “โซล... เจ้ากำลังกลัวใช่ไหม”
“อืม... คาเซีย... ข้ากลัว”องค์ชายโซเทเรียตอบรับอย่างไม่ปิดบัง
องค์ชายคาเซียโอบกอดต่างที่สั่นเทาเอาไว้ในอ้อมพระกรอย่างอ่อนโยน
“ซัค”นามของคนผู้หนึ่งถูกขานออกมาจากพระโอษฐ์งาม “ไปบอกองค์ชายรัชทายาทเฮเซีย... ให้เสด็จมารับพระชายาแห่งเราไปพำนักยังเซเรียล”
“พะยะค่ะ”เสียงทุ้มตอบรับแผ่วเบา
“คาเซีย...”องค์ชายโซเทเรียช้อนพระเนตรขึ้นมองพระองค์อย่างตื่นตระหนก
“ไปอยู่ที่เซเรียลก่อนนะ... โซล จนกว่าที่นี่จะปลอดภัย”เสียงหวานกระซิบเบาๆ “วันนี้เจ้าเหนื่อยมามากแล้ว... นอนเสียเถอะ คนดี”
หลังจากที่พระชายาของพระองค์บรรทมไป องค์ชายก็ทรงหันวรกายไปที่พระบัญชรใหญ่
“ถ้าประสงค์ดีก็โปรดจงออกมาพบกับเรา... แต่ถ้าประสงค์ร้าย ขอจงรีบไปจากที่นี่ซะ ก่อนที่เราจะจับท่านได้”พระองค์ตรัสเสียงเย็น
“ข้ามาดี...”เสียงทุ้มหวานของบุรุษดังขึ้น ขณะที่ร่างสูงโปร่งค่อยๆเดินออกมา
“ท่านคือ...”
“เราเป็นเชษฐาของทริสเซย์ นาม เคเซย์”
“ถวายบังคมองค์ชายเคเซย์พะยะค่ะ”องค์ชายคาเซียทรงน้อมพระวรกายลงอย่างสง่างาม
“เรามาที่นี่ เพียงแค่อยากเห็นหน้าของ... ว่าที่น้องสะใภ้เราเสียหน่อย”พระหัตถ์เรียวเชยพระพักตร์หวานขึ้น “อืม... งดงามไม่น้อย ทั้งองอาจ กล้าหาญ สมแล้วที่จะขึ้นเป็นพระแม่แห่งเฟรนเซีย”
“พระองค์ทรงตรัสเรื่องอะไรน่ะพะยะค่ะ”องค์ชายตรัสถามเสียงสั่น
“เรารู้เรื่องของเจ้าแล้ว... คาเซีย เจ้าตัวน้อยที่อยู่ในท้องของเจ้าสมควรที่จะได้รับการพักผ่อนแล้วนะ...”
“แต่...”
“ไม่มีแต่... ข้ามีศักดิ์เป็นพี่เขยเจ้า เพราะฉะนั้นเจ้าต้องฟังคำของข้า”องค์ชายเคเซย์ตรัสเสียงอบอุ่น “ไปนอนได้แล้ว ที่รัก”
“กระหม่อมยัง...”
“ไม่ต้องห่วง... ข้าจะดูแลทุกอย่างให้เจ้าเอง.... เมื่อองค์รัชทายาทแห่งเซเรียลเสด็จมารับพระชายาของเจ้า... ข้าจะตามไปดูแลเขาให้ ข้าสัญญา”
“ขอบพระทัยพะยะค่ะ”
องค์ชายคาเซียทรงยอมเสด็จเข้าบรรทมโดยดีและมิขัดขืนอะไรอีก เรียกรอยยิ้มให้กับองค์เคเซย์ได้เป็นอย่างดี
“เป็นเด็กดีแบบนี้สิ สมเป็นน้องสะใภ้ของข้า”
+++++++++++++++
ยามสายของวันถัดมา องค์ชายเฮเซียก็ทรงเสด็จมาถึงเซเรียล พร้อมด้วยทหารองครักษ์ฝีมือดีจำนวนสองร้อยนาย
ที่คาดไม่ถึงในการเสด็จมาขององค์รัชทายาทแห่งเซเรียลครั้งนี้คือ... พระองค์พาองค์ชายโซเนล์เสด็จมาด้วย
“เสด็จพี่... คาเซีย”พระเนตรกลมโตช้อนขึ้นมองพระเชษฐาผู้เสียสละของพระองค์
พระเชษฐา... ที่พระองค์มิเคยรู้เลยว่าคอยปกป้อง คุ้มครองพระองค์อยู่เสมอมา ตั้งแต่พระองค์ยังเล็ก จนเติบใหญ่...
“โซเนล์...”องค์คาเซียครางเสียงแผ่วเบา พระเนตรจับจ้องร่างตรงหน้าด้วยความรัก ความเอ็นดู
“คาเซีย น้องจะให้พี่พาพระชายาโซเทเรียไปเซเรียลจริงหรือ”องค์ชายเฮเซียตรัสขัดขึ้น ก่อนที่บนสนทนาของทั้งสองจะเริ่มต้น
“พะยะค่ะ องค์ชาย...”องค์ชายคาเซียกอบกุมพระหัตถ์ของพระชายาแห่งพระองค์เอาไว้หลวมๆ “กระหม่อมขอฝากชายาของกระหม่อมเอาไว้ในการดูแลของเซเรียลด้วยนะพะยะค่ะ”
“น้องจะดูแลพระชายาเป็นอย่างดีพะยะค่ะ เสด็จพี่”องค์ชายโซเนล์เอ่ยรับคำ ก่อนที่องค์ชายรัชทายาทจะทรงตรัสอะไร
องค์ชายคาเซียทรงส่งพระชายาโซเทเรียให้กับพระอนุชา ก่อนที่จะหันมาคุยกับพระเชษฐาด้วยความเบาพระหฤทัย
ครั้นเมื่อพระหัตถ์ขององค์ชายโซเนล์แตะกับองค์โซเนล์ ทั้งสองพระองค์ก็เงยพระพักตร์ สบพระเนตรกัน
ความอบอุ่นแผ่ซ่านเข้าในดวงหฤทัย ความรู้สึกที่ไม่สมควรก่อกำเนิดในหทัยส่วนลึกของทั้งสองพระองค์...
องค์ชายคาเซียทรงเหล่พระเนตรมามองอนุชาและชายา ก่อนที่จะทรงลอบยิ้มบางๆ
คงจะได้พบกับคู่ของชีวิตแล้วสินะ... น้องน้อยที่น่ารักของเราทั้งสอง
“ยังไงกระหม่อมก็ขอฝากโซเทเรียเอาไว้ด้วยนะพะยะค่ะ เสด็จพี่”องค์ชายคาเซียตรัสเบาๆ “แล้วก็... ขอฝากพระเชษฐาขององค์ทริสเซย์ด้วยนะพะยะค่ะ”
“อืม... ถ้ามีอะไรที่ทำให้น้องอึดอัด หรือมีอันตราย ขอเพียงน้องแจ้งมา พี่จะมาช่วยน้องทันที คาเซีย...”
“พะยะค่ะ”พระองค์ขานรับเบาๆ “เฟรุย... ฝากพระชายาด้วยนะ”
“เพคะ”
องค์ชายคาเซียทรงโอบกอดร่างของพระชายาหลวมๆ ก่อนที่จะส่งองค์โซเทเรียขึ้นรถม้าพระที่นั่งไป
“ถ้า... เจ้ามีใครในดวงใจ แล้วรักกับเขาคนนั้นไป... จงทำตามที่หัวใจของเจ้าเรียกร้อง โดยไม่ต้องคิดถึงข้า... จำไว้นะ โซเทเรีย”
เสียงกระซิบที่แผ่วเบา แต่ดังก้องในดวงหฤทัยของพระองค์ยิ่งนัก...
องค์ชายผู้สำเร็จราชการทรงยืนส่งรถม้าพระที่นั่งแห่งเซเรียลอยู่ ณ ที่ตรงนั้น จนรถม้าลับสายพระเนตรไป...
“นับจากวันนี้... เราคงจะมิได้เห็นองค์ชายโซเทเรียในพระราชวังแห่งนี้แล้วนะเพคะ องค์ชาย”เนลเปรยขึ้นน้อยๆ
“นั่นสินะ... นับจากวันนี้ โซเทเรีย คงจะไม่ใช่ของเราอีกต่อไป... ข้าหวังว่าพวกเขา... จะยอมรับสายโลหิตของข้าในพระครรภ์ของโซเทเรียเป็นพระราชนัดดาด้วยเถอะ...”
“แน่นอนเพคะ องค์ราชาและองค์ราชินีจะต้องยินดีกับการกำเนิดของสายพระโลหิตของพระองค์”
โซเทเรีย... หวังว่าเจ้าจะมีความสุขนะ... น้องชายที่น่ารักของเรา...
++++++++++++++++
... ไม่มีคำบรรยายใดๆ