บทที่9
ตำนานรักสองราชวงศ์ : พระชายา
หลังจากงานเลี้ยงจบลง ทุกๆคนในท้องพระโรงแดนดิเลี่ยนแห่งนี้ ก็พากันกลับที่พำนักของตนกันไปด้วยใบหน้าที่เปี่ยมสุข
องค์ราชาทริสเซย์ทรงกลับตำหนักของพระองค์พร้อมด้วยองค์ชายคาเซียและองค์ชายโซเทเรีย พระองค์ทรงพาองค์ชายแห่งสายลมไปส่งที่ตำหนักก่อนที่จะมุ่งกลับสู่ตำหนักโพรเทีย
เมื่อพระองค์ทรงกลับมาถึงตำหนัก พระองค์ก็ทรงสรงน้ำ โดยมีนางกำนัลร่างบางคอยปรนนิบัติพระองค์อยู่ตลอดเวลา
เสื้อผ้าที่นางกำนัลในห้องสรงสวมใส่นั้นมีเพียงผ้าทบผืนบางที่ปิดปทุมถันอวบอิ่มเอาไว้ ชายผ้าทบนั้นยามถึงเข่าของพวกนาง เมื่อผ้าโดนน้ำจะแนบเนื้อจนเห็นสัดส่วนของพวกนางอย่างชัดเจน
องค์ชายคาเซียทรงกลับไปพักผ่อนที่ห้องบรรทมของพระองค์หลังจากที่สรงน้ำเสร็จ พระองค์ก็ทรงประทับเหม่อลอยอยู่ข้างๆพระบัญชรบานใหญ่ พระองค์ทรงเหม่อมองขึ้นไปบนท้องนภาที่เต็มไปด้วยดวงดาราสว่างไสวงดงามยิ่งนัก
วันแรกของการมาประทับอยู่ในเซเรียลของพระองค์นั้น พระองค์ทรงรู้สึกว่าชีวิตที่เคยสุขสงบของพระองค์นั้นเริ่มมีเค้าของความวุ่นวายเกิดขึ้นอย่างที่พระองค์ไม่เคยประสบมาก่อน...
พระองค์ประทับนิ่งอยู่ที่เดิมสักพัก และยังคงประทับต่อไปเช่นนี้ ถ้ามิใช่ว่าองค์ราชาทริสเซย์ทรงเสด็จมาพบพระองค์ก่อนที่จะเสด็จไปยังตำหนักเรด ป๊อปปี้
“คาเซีย”องค์ราชาแห่งเฟรนเซียเสด็จเข้ามาในห้องบรรทมขององค์ชายพร้อมกับตรัสเรียก “เช้าวันพรุ่ง ข้าจะออกราชโองการแต่งตั้งเจ้าเป็นพระชายา... เจ้าคงรู้สินะว่าเราต้องการจะสื่ออะไร”
ถึงแม้ว่าพระราชาจะมิได้ทรงตรัสออกมาตรงๆ แต่องค์ชายคาเซียก็ทรงรับรู้ความนัยน์ได้โดยสันชาตญาณของพระองค์เอง....
“พะยะค่ะ ฝ่าบาท”องค์ชายทรงขานรับคำขององค์ราชาอย่างนอบน้อม พระพักตร์หวานยังคงประดับด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยนมิได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
องค์ทริสเซย์ทรงจุมพิตที่พระนลาฏขององค์ชายเบาๆก่อนที่จะเสด็จไปยังตำหนักเรด ป๊อปปี้ดังที่ทรงตั้งพระทัยเอาไว้
“ชีวิตของข้านั้นเหมือนจะไม่สงบสุขเหมือนแต่ก่อนแล้วสิ”องค์ชายทรงหันไปตรัสกับสองนางกำนัลและสององครักษ์ที่อยู่ใกล้พระวรกายของพระองค์เบาๆ “นี่แค่เพียงวันแรกของการมาเองนะ... ยังมีเรื่องมากมายเสียขนาดนี้เลย”
“องค์ชาย...”เรฟเอ่ยขึ้นเสียงอ่อน... ในที่นี้ เรฟนั้นถือได้ว่าเป็นคนที่มีประสบการณ์ชีวิตมากที่สุด ผ่านอะไรๆมาเยอะกว่าคนอื่นนัก ด้วยความที่เขาเป็นองครักษ์ที่ทำงานด้านมืดให้กับองค์ชายเสมอ “พระองค์จะต้องสู้นะพะยะค่ะ อนาคตของพระองค์ยังอีกยาวใกล้...พวกกระหม่อมจะคอยเป็นกำลังให้กับพระองค์เองนะพะยะค่ะ”
เซท เรล เนล พยักหน้าเห็นด้วยกับเรฟ พวกเขาต่างส่งสายตาสื่อความนัยน์ที่บอกว่าจะอยู่ข้างองค์ชายตลอดไปมาให้กับพระองค์ ซึ่งสิ่งเล็กๆสิ่งนี้นั้นได้สร้างกำลังใจอันเปี่ยมล้นให้กับองค์ชายได้เป็นอย่างมาก
“เราจะสู้”พระองค์รับคำหนักแน่น แม้ว่าชีวิตของพระองค์นั้นอาจจะมีเรื่องราวอีกมากมายแค่ไหน จะดีหรือจะร้าย ถ้าตราบใดที่พระองค์ยังทรงมีกำลังใจที่จะสู้ต่อไป พระองค์ก็จะไม่มีวันล้มลง
“แม้ว่าพรุ่งนี้เราจะต้องถวายตัวให้กับฝ่าบาท
แม้ว่าในอีกเจ็ดวันข้างหน้านี้เราจะต้องอภิเษกกับองค์ชายโซเทเรีย
แม้ว่าในอนาคตข้างหน้านี้เราจะเป็นอย่างไร ขอแค่เรายังมีพวกเจ้าอยู่เคียงข้างเรา เป็นกำลังให้เรา เราก็จะสู้ต่อไปจนกว่าจะสิ้นกำลัง”คำตรัสนี้เป็นดั่งคำสัญญาที่พระองค์มอบให้กับข้ารับใช้ที่ภัคดีของพระองค์ ทั้งที่อยู่กับพระองค์ในเวลานี้ หรือที่คอยคุ้มครองพระองค์อยู่อย่างลับๆ คำสัญญานี้จะเป็นสิ่งเตือนพระทัยของพระองค์และทุกๆคนตลอดไป
++++++++++++++++++++++++++++++++
รุ่งอรุณวันใหม่มาถึง หมู่ปักษาโบยบินบนท้องนภาอย่างเริงร่า แสงสีทองสาดส่องทั่วท้องฟ้าเป็นสัญญาณแห่งการมีชีวิต...
องค์ชายคาเซียทรงเสด็จไปเสวยอาหารเช้ากับองค์ชายโซเทเรียที่ตำหนักฟรีเซีย ก่อนที่ทั้งสองพระองค์จะเสด็จไปยังท้องพระโรงแดนดิเลี่ยนในยามสาย
เมื่อทั้งสองพระองค์ไปถึงท้องพระโรง ก็เป็นเวลาเดียวกับที่องค์ราชาทรงว่าราชกิจเสร็จพอดี...
เหล่าพระสนมพระองค์ใหม่และพระองค์เก่ารวมทั้งเจ้าหญิงเจ้าชายทั้งหลายต่างพากันมาที่ท้องพระโรงอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย พวกพระนางต่างแต่งองค์กันมาอย่างงดงามมิมีใครยอมใคร ทั้งทรงเกศา ฉลองพระองค์ เครื่องทรงต่างๆพวกนางก็สวมใส่กันมาอย่างเต็มยศ
องค์ชายคาเซียทรงทอดพระเนตรภาพตรงหน้าอย่างเฉยเมย พระองค์ทรงรู้สึกว่าการแต่งองค์มาประชันกันเช่นนี้มิใช่เรื่องที่มีสาระเอาเสียเลย บางครั้งอะไรที่มากเกินไปก็ใช่ว่าจะดูดีเสมอ... เฉกเช่นตอนนี้ พระองค์ทรงรู้สึกราวกับว่ามีตู้อัญมณีเคลื่อนที่อยู่ตรงหน้าพระองค์ แสงวูบวาบของเพรชนิลจินดาทั้งหลายแข่งกันส่องสว่างเข้าสู่สายพระเนตรอย่างมิขาดสายจนทำให้พระองค์รู้สึกรำคาญพระทัยอยู่ลึกๆ
“ถวายบังคมเพคะ ฝ่าบาท”เหล่าพระสนม องค์หญิง องค์ชายพากันไปถวายคำนับฝ่าบาทกันอย่างไม่ขาดช่วง พวกพระนางทรงส่งยิ้มหวานหยดย้อยให้กับองค์เหนือหัว
องค์ทริสเซย์ทรงพยักพระพักตร์รับการคำนับนั้นน้อยๆด้วยสีพระพักตร์ปกติ ไม่ว่าพระสนมองค์นั้นจะงดงามเพียงไร เจ้าหญิงจะทรงสิริโฉมมากเพียงไหน สีพระพักตร์ก็มิได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย
องค์ชายคาเซียทรงจูงพระหัตถ์ของว่าที่ชายาของพระองค์เสด็จไปเข้าเฝ้าพระราชาอย่างเงียบๆ พระองค์ทรงรอให้เหล่าผู้ที่ต้องการเข้าเฝ้าองค์กษัตริย์บางลงเสียก่อนถึงเสด็จเข้าไปถวายคำนับ
“ถวายบังคมพะยะค่ะ องค์ราชา”สององค์ชายน้อมกายคับนับองค์ทริสเซย์เป็นคู่สุดท้ายของวัน ทั้งๆที่ทรงมาถึงท้องพระโรงได้พักใหญ่แล้ว
“กว่าจะเข้ามากันนะ คาเซีย โซล ข้าเห็นพวกเจ้ายืนอยู่ได้พักใหญ่ๆแล้ว”
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมมิใคร่จะแย่งชิงกับผู้ให้มาถวายคำนับพะยะค่ะ”องค์ชายคาเซียทรงทูลตอบตามตรงอย่างมิคิดจะปิดบังอันใด “เพราะอย่างไรท้ายที่สุด กระหม่อมและองค์ชายโซเทเรียก็ได้เข้าเฝ้าฝ่าบาทอยู่ดี จริงไหมพะยะค่ะ”
“ก็จริงของเจ้า...”องค์ราชาทรงส่งรอยยิ้มเอ็นดูให้ทั้งสองพระองค์ ทำให้องค์ชายเป็นที่อิจฉาของเหล่านางบำเรอในท้องพระโรงยิ่งขึ้น “เชิญท่านราชเลขา”
องค์ชายคาเซียและองค์ชายโซเทเรียเสด็จออกจากหน้าบัลลังก์งามไปประทับยืนอยู่ฝั่งซ้ายของท้องพระโรงอย่างรู้หน้าที่
“ฝ่าบาทมีพระราชโองการ... แต่งตั้งเจ้าหญิงเรเชล เจ้าหญิงเรร่าเป็นพระสนมโท”
“ขอบพระทัยเพคะ”เจ้าหญิงทั้งสองพระองค์ทรงเสด็จออกมารับราชโองการด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่ง
“ฝ่าบาททรงมีราชโอการ แต่งตั้งองค์ชายคาเซียเป็นพระชายา และพระราชทานงานอภิเษกสมรสแด่องค์ชายคาเซียและองค์ชายโซเทเรียใน 7 วันข้างหน้า”เมื่อพระราชโองการนี้ถูกประกาศออกมา ทุกคนในท้องพระโรงต่างฮือฮาขึ้นด้วยความที่มิอยากจะเชื่อในสิ่งที่ตนได้ยิน
“ขอบพระทัยพะยะค่ะ”องค์ชายทั้งสองเสด็จออกไปรับราชโองการด้วยพระพักตร์เปื้อนยิ้ม แต่ยิ้มของทั้งสองนั้น... เพียงแค่มองผ่านก็พอจะทราบได้ว่าแตกต่างกัน...
พระองค์หนึ่งทรงยิ้มด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความสุข สมหวัง
ส่วนอีกพระองค์นั้นทรงยิ้มด้วยความเหนื่อยล้า แต่มิได้เศร้าหมอง
องค์ชายคาเซียทรงยิ้มให้กับโชคชะตาที่เล่นตลกของพระองค์ จากองค์ชายผู้ถูกลืมมาเป็นเครื่องราชบรรณาการ จากเครื่องราชบรรณาการมาเป็นพระชายา แล้วนอกจากพระชายาแล้วยังทรงควบตำแหน่งพระสวามีอีก
นี่หรือ... ชีวิตของพระองค์
“ช้าก่อนพะยะค่ะ ฝ่าบาท”เสนาบดีการคลังเอ่ยขึ้นท่ามกลางเสียงอื้ออึงในท้องพระโรงด้วยเสียงอันดัง “ทรงแต่งตั้งองค์ชายคาเซียเป็นพระชายา... ในขณะเดียวกันก็พระราชทานงานอภิเษกสมรสให้แก่องค์ชายคาเซียและองค์ชายโซเทเรียเช่นนี้ มิผิดประเพณีไปหน่อยหรือพะยะค่ะ”
หลายเสียงในท้องพระโรงแห่งนี้เห็นด้วยคำของเสนาบดีการคลัง เพราะแค่การให้องค์ชายขึ้นเป็นพระชายาก็มิใช่สิ่งที่ควรกระทำแล้ว ยังไม่พอ พระชายายังจะทรงมีพระชายาขององค์เองอีก เป็นเช่นนี้เหล่าประชาราษฎร์จะยอมรับได้เช่นนั้นหรือ...
“ผู้ครอบครองแผ่นดินนี้คือข้า ผู้สร้างกฎเกณฑ์ก็คือข้า ผู้ริเริ่มประเพณีก็คือข้า ข้าประสงค์เช่นนี้ เจ้าจะขัดต่อข้าอย่างนั้นหรือ เสนาคลัง”องค์ทริสเซย์ทรงดำรัสด้วยน้ำเสียงเย็นแฝงเอาไว้ด้วยความกริ้ว “เหตุผลของเจ้ามีเพียงแต่ผิดประเพณีเช่นนั้นหรือ”
พระเนตรคมหรี่ลงอย่างจับผิด พระองค์ทรงจ้องร่างอ้วนเผละของเสนาบดีการคลังตรงหน้าด้วยแววตารู้ทัน พระองค์ทรงทราบดีว่าเสนาโลภผู้นี้หวังให้ธิดาของตนนั้นขึ้นเป็นพระชายา เผื่อวันให้ที่นางให้กำเนิดพระโอรสแก่พระองค์ นางจะได้ขึ้นเป็นราชินี ตัวของเสนาคลังนั้นจะได้ศักดิ์เป็นพระสสุระของพระองค์ และเมื่อมีตำแหน่งเป็นถึงพระญาติแล้ว เสนาคลังก็จะสามารถข่มเหงผู้อื่นได้โดยมิเกรงกลัวต่อใครๆยิ่งกว่าที่เป็นอยู่ ณ ตอนนี้ ซึ่งพระองค์จะไม่มีวันให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นในแผ่นดินของพระองค์เป็นอันขาด
“อ่า... พะยะค่ะ”เสนาผู้โลภมากได้แต่จำใจรับคำ แม้ในใจของเขาจะมีเหตุผลมากมายเพียงไร แต่ก็เป็นเหตุผลที่ไม่สามารถเอ่ยออกมาได้ทั้งนั้น เพราะเหตุผลทั้งหมดนั้น เป็นเหตุผลเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของตัวเขาเอง มิใช่เหตุผลที่เป็นกลางแม้แต่น้อย
“ถ้าเช่นนั้น วันนี้ก็มิมีอะไรแล้ว เชิญทุกคนแยกย้ายกันไปทำงานของตนเองกันได้แล้ว”สุรเสียงที่ทรงตรัสออกมานั้นบ่งบอกถึงความไม่สบอารมณ์อย่างมาก ซึ่งทำให้หลายๆคนในท้องพระโรงแห่งนี้รีบสลายตัวออกไปอย่างรวดเร็ว
องค์ชายคาเซียและองค์ชายโซเทเรียที่ประทับยืนนิ่งอยู่หน้าบัลลังก็ตลอดเวลา ก็ยังคงประทับอยู่ ณ ที่นั้นต่อไป มิได้ขยับกายไปไหน
สำหรับองค์ชายคาเซียนั้น ที่ยังไม่เสด็จออกไปเพราะพระองค์ไม่ชอบการที่จะต้องไปเบียดเสียดกับใคร ถ้ามิมีเรื่องจำเป็น พระองค์ก็จะขอรอจนกว่าทางจะสะดวกให้พระองค์เสด็จไปอย่างไม่ต้องแก่งแย่งกับผู้ใด
ส่วนองค์ชายโซเทเรียนั้น ที่ยังไม่เสด็จออกไปเพราะพระองค์ทรงรอว่าที่พระสวามีของพระองค์อยู่...
เมื่อผู้คนในท้องพระโรงมีจำนวนบางตาลง องค์ชายคาเซียก็ทรงขยับกายน้อมคำนับองค์ราชาอย่างสง่างามพร้อมๆกับองค์ชายโซเทเรีย
“กระหม่อมทูลลาพะยะค่ะ”
“ยามเย็นพบกัน องค์ชายคาเซีย”องค์ทริสเซย์ทรงส่งรอยยิ้มยั่วเย้าให้กับองค์ชาย พระเนตรของพระองค์ทรงเปล่งประกายด้วยความรู้สึกสนุกสนานเล็กๆก่อนที่จะทรงกลับเป็นสีพระพักตร์ปกติ
“พะยะค่ะ ฝ่าบาท”องค์ชายทรงตรงตรัสรับคำอย่างเสียมิได้
องค์ชายโซเทเรียทรงสดับฟังคำของทั้งสองพระองค์ด้วยความรู้สึกปวดพระทัยลึกๆ แต่ก็ทรงทำอะไรมิได้ ได้แต่ทำพระทัยให้ยอมรับว่าพระองค์มิได้ครอบครององค์ชายคาเซียแต่เพียงผู้เดียว...
องค์ชายแห่งเซเรียลทรงจับพระหัตถ์ขององค์ชายแห่งวินเซเน่ แล้วทั้งสองพระองค์ก็พากันเสด็จออกนอกท้องพระโรงไปอย่างเงียบๆ
++++++++++++++++++++++++++++++++
เพียงไม่นาน ยามเย็นก็มาถึง นางกำนัลประจำกายทั้งสองขององค์ชายคาเซียต่างช่วยกันเลือกฉลองพระองค์ที่งดงามที่สุดมาให้องค์ชายทรงใส่ในราตรีที่สำคัญราตรีหนึ่งในพระชนมชีพขององค์ชาย
องค์ชายคาเซียทรงชำระพระวรกายอย่างเชื่องช้า โดยมีนางกำนัลที่องค์ราชาทรงส่งมาให้ปรนนิบัติองค์ชายในวันพิเศษเช่นนี้
พระองค์ทรงทอดพระเนตรภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย
ใจหนึ่งพระองค์ก็รู้สึกดีพระทัย... ที่ภารกิจที่ได้รับจากพระมารดานั้นจะสำเร็จไปหนึ่งเรื่อง
ใจหนึ่งพระองค์ก็ทรงรู้สึกหวาดกลัว... กับเรื่องที่กำลังจะมาถึง
ใจหนึ่งพระองค์ก็ทรงรู้สึกเศร้า... ที่ต่อจากราตรีนี้ไป พระองค์จะมิเหมือนก่อนอีกต่อไป
“องค์ชายนี่ทรงงดงามจริงๆนะเพคะ”นางกำนัลนางหนึ่งเอ่ยขึ้นขณะที่กำลังปรนนิบัติพระองค์อยู่ มือของนางลูบไล้เรือนกายของพระองค์อย่างเบามือ ราวกับว่าถ้าจับต้องพระองค์มากไปจะทำให้พระองค์เกิดริ้วรอยหรือแตกหักไป... “พระฉวีเนียนนุ่ม ขาวนวล พระวรกายก็บอบบางยิ่ง อีกทั้งมิจำเป็นต้องใช้เครื่องพระสุคนธ์ กลิ่นกายาของพระองค์ก็ทรงหอมยิ่งนักเพคะ”
“ใช่เพคะ ฝ่าบาทรับสั่งมาเลยนะเพคะ ว่าไม่ต้องใช้เครื่องหอมมาประทินพระฉวีของพระองค์ เพราะฝ่าบาททรงโปรดความเป็นธรรมชาติของพระชายามากเลยเพคะ”นางกำนัลอีกคนเอ่ยสำทับ
“เช่นนั้นหรือ...”องค์ชายคาเซียทรงยิ้มรับบางๆ “พระสนมทั้งหลายล้วนงดงามกว่าเราทั้งนั้น ข้าว่ากลิ่นกายพวกนางคงหอมยิ่งกว่าข้าเป็นสิบ เป็นร้อยเท่า”
“พวกพระนางงามได้ด้วยเครื่องทรงและเครื่องพระสุคนธ์นิเพคะองค์ชาย”นางกำลังคนแรกที่พูดกับพระองค์เอ่ยขึ้นมาอีก “ฝ่าบาทมิโปรดของพวกนั้นหรอกเพคะ”
องค์ชายคาเซียทรงยิ้มบางๆแล้วมิโต้เถียงอันใดอีก เพราะถึงเถียงไปเท่าไร พระองค์คงมิอาจจะชนะพวกนางได้เป็นแน่แท้
เมื่อทรงชำระพระวรกายเสร็จ เรลกับเนลก็นำฉลองพระองค์ชุดงามมาสวยให้กับพระองค์
องค์ชายคาเซียทรงทอดพระเนตรฉลองพระองค์ที่ทรงสวมด้วยความไม่เข้าพระทัย เมื่อเนื้อผ้าของฉลองพระองค์ชุดนี้นั้น ดูบางกว่าปกติ อีกทั้งยังค่อนข้างหลวมอีกด้วย พระองค์ทรงมองนางกำนัลทั้งสองเชิงถาม แต่ก็มิได้รับคำตอบใดๆ
องค์ชายคาเซียทรงประทับอยู่บนแท่นบรรทมนุ่ม พระองค์ทรงเหม่อมองไปยังพระบัญชรที่เปิดทิ้งเอาไว้ด้วยความรู้สึกที่ยากจะบอกกล่าว...
องค์ราชาทริสเซย์ทรงเสด็จเข้ามาในห้องบรรทมขององค์ชายอย่างเงียบๆ พระองค์ทอดพระเนตรมององค์ชายด้วยความพอพระทัยเป็นอย่างยิ่ง
“เจ้ามองอะไรอยู่น่ะ หืม... คาเซีย”เสียงทุ้มทรงตรัสกับพระชายาของพระองค์อย่างอ่อนโยน
“กระหม่อมมองดวงดาวบนท้องพ้าน่ะพะยะค่ะ... ราตรีนี้ ดวงดาราช่างงดงามยิ่งนัก”องค์ชายคาเซียทรงตอบกลับผู้ที่ประทับอยู่ข้างกายพระองค์เบาๆ
“แต่สำหรับข้า เจ้างดงามกว่าดวงดาวพวกนั้นเสียอีก”องค์ราชาทรงจุมพิตพระชายาคาเซียอย่างลึกซึ้ง
พระหัตถ์หนาปลดฉลองพระองค์บางเบาขององค์ชายคาเซียและขององค์เองออกอย่างรวดเร็ว พระองค์ทรงดันวรกายของพระชายาลงแนบกับแท่นบรรทมเบาๆ
“เจ้าช่างงามยิ่งนัก ชายาของข้า”พระนาสิกโด่งซุกไซร้ที่ลำคอขาวผ่อง พระองค์ทรงดูดเม้มผิวขาวจนเกิดรอยแดงขึ้นหลายแห่ง ก่อนที่จะทรงเคลื่อนพระพักตร์มาหยอกล้อยอดพระถันสีชมพูอย่างยั่วเย้า
“อึก อ๊ะ...”เสียงหวานคราวแผ่วเบา เมื่อองค์ทริสเซย์ทรงหยอกเอิ้นกายของพระองค์ พระหัตถ์แกร่งลูบไล้เรือนร่างของพระองค์แผ่วๆ สร้างอารมณ์รัญจวนให้พระองค์ยิ่งนัก
องค์ราชาทรงหยิบพระเขนยมารองพระโสณีขององค์ชายให้ลอยเด่นขึ้น พระหัตถ์อุ่นทรงลูบไล้สถานที่ลับขององค์ชายเบาก่อน ก่อนที่จะทรงส่งพระมัชฌิมา(นิ้วกลาง)ชำแรกเข้าไปสำรวจภายใน
“อื้อออออ”เสียงหวานขององค์คาเซียร้องขึ้นเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาในกายของพระองค์
องค์ทริสเซย์ทรงสดับฟังเสียงครางด้วยความพึงพอพระทัย แล้วจึงส่งพระดัชนี(นิ้วชี้)ชำแรกเข้าไปสำรวจภายในอุ่น พระองค์ทรงขยับนิ้วพระหัตถ์ช้าๆ เพื่อให้พระชายาของพระองค์ได้ปรับตัว เมื่อองค์ชายคาเซียทรงผ่อนคลายลง พระองค์จึงถอนพระหัตถ์ออก...
“คาเซีย... เจ้าเป็นของข้า”พระองค์ทรงแทรกกายเข้าไปภายในขององค์ชายช้าๆ “อย่าเกร็งสิ คาเซีย อย่างเกร็ง...”
“อ๊าาาาาา ฮึก ฮือออออ ฝ่าบาท...”เสียงหวานขององค์ชายครางออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างสุดจะกลั้น พระอัลสุชลไหลรินออกมาจากพระเนตรไม่ขาดสาย องค์ชายทรงรู้สึกว่าร่างของพระองค์นั้นกำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ความเจ็บปวดอย่างที่ไม่เคยเผชิญไหลวูบขึ้นถามแนวพระปิฐิกัณฐกัฐิ(กระดูกสันหลัง) พระองค์ทรงขยับพระโสณีถอยร่นออกมาเพื่อหลีกนี้ความเจ็บปวดนั้น แต่ก็ถูกพระหัตถ์แกร่งยึดเอาไว้เสียก่อน
องค์ราชาแห่งเฟรนเซียทรงดันกายเข้าไปจนสุด ก่อนที่จะทรงนิ่งสักพักแล้วขยับกายเข้าออกช้าๆ รอให้ร่างที่พระองค์ครอบครองอยู่นั้นผ่อนคลายลง พระองค์ทรงจูบซับน้ำตาที่ไหลรินอย่างอ่อนๆ พระเนตรคมสบกับดวงเนตรหวานความความหลงใหล
เมื่อองค์ชายคาเซียทรงผ่อนกายที่เกร็งอยู่ลง พระองค์ก็ทรงเร่งจังหวะให้เร็วยิ่งขึ้น สร้างความเสียวซ่านปนความเจ็บปวดให้แก่องค์ชายเป็นอย่างมาก
เสียงร้องครวญครางของทั้งสองพระองค์ดังก้องห้องบรรทมแห่งนี้ ก่อนที่ทุกอย่างจะหยุดลงเมื่อสายธารแห่งกามรมณ์หลั่งรินเข้าสู่กายเล็ก และองค์ชายทรงหลั่งออกมาเปรอะเปื้อนพระอุทรขององค์เอง
องค์ทริสเซย์ทรงหยิบผ้าผืนบางที่วางอยู่ไม่ไกลมาเช็ดร่างที่เปรอะเปื้อนองค์ชายผู้เป็นชายาเบาๆ แต่ถึงกระนั้นพระองค์ก็มิได้ถอนกายออกจากภายในที่อบอุ่น... พระองค์ทรงพลิกให้วรกายบางมาทาบทับกายที่เต็มไปด้วยกล้ามพระมังสา
“เจ็บมากไหม หืม.... ชายาข้า”พระองค์ทรงตรัสถามร่างในอ้อมพระหัตถ์เบาๆ
“พะยะค่ะ”องค์ชายทรงตอบกลับด้วยเสียงแผ่วๆ เมื่อมิได้ทำกิจกรรมใดๆ ความเจ็บปวดนั้นก็แสดงอาการออกมาอีกครั้ง
“บ่อยครั้งแล้วเจ้าจะชินไปเอง คาเซีย”จบคำตรัส บทรักบทใหม่ก็ถูกสร้างสรรค์ขึ้นอีกครั้ง...
ทั้งสองพระองค์ทรงบรรเลงเพลงรักกันครั้งแล้ว ครั้งเล่า จนถึงรุ่งสาง... เสียงภายในห้องแห่งนี้จึงสงบลง
+++++++++++++++++++++
