บทที่ 6 (ต่อ)ภวิลเพิ่งตระหนักว่าทำไมจิรัฐจึงบอกว่าการตามล่าหาความจริงทั้งหมดเป็นเรื่องไม่มีประโยชน์ เพราะแท้จริงแล้วน้องชายของเขาเองนั่นแหละที่ไม่อยากให้รู้ ถ้ารู้รายละเอียดตรงนี้แล้ว การจะโยงไปถึงว่าแท้จริงบ้านหลังที่กฤตวัตเข้าไปกับเพื่อนยังมีเจ้าของอยู่ และได้รู้ว่าน้องชายเลือกใช้วิธีไม่เข้าตามตรอกออกตามประตูก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย
ที่ประตูไม่ได้ลั่นกลอน ก็เพราะตอนกลับออกมาครั้งที่สองนั้นรีบจนลืม ไม่อยากให้ใครเข้ามาเจอเนื่องจากได้ยินเสียงโครมครามในบ้านนั่นเอง จิรัฐบอกเขาแต่ว่าอย่าเข้าไป ให้กลับ เพราะถ้าบอกว่าบุกรุกก็เท่ากับบอกว่าเมื่อครั้งที่กฤตวัตเข้าไป ก็ใช่เช่นเดียวกัน
ในวิรัชภาคย์ไม่มีคนเคยพัวพันกับการทำผิดกฎหมายมาก่อนไม่ว่าจะเล็กน้อยสักปานใด มีเจ้าทุกข์หรือไม่ ถ้ามีเรื่องขึ้นแม้สักเล็กน้อยคงกระเทือนจิตใจคุณย่า จิรัฐเลือกให้ทุกอย่างจบลงที่ตัวเอง ยอมให้คนว่าทั้งๆ ที่โยนโทษใส่เพื่อนเสียก็จบ จริงอยู่ปากคนยาวกว่าปากกา ถึงไม่รู้ความจริงก็ใช่ว่ากฤตวัตจะรอดพ้นสมบูรณ์จากการคาดเดา แต่นินทาคนตายจะไปสนุกอะไรด้วยอีกฝ่ายไม่รับรู้แล้ว
ผลกระทบทั้งหมดจึงตกกับจิรัฐโดยตรง แต่ก็ยัง... รักษาสัญญา... ยิ่งเป็นสัญญาครั้งสุดท้าย และคงรักษาตลอดไปถ้าวันนี้เขาไม่เกือบเจ็บตัว และใช้มันมาต่อรอง
จิรัฐยอมผิดสัญญาในที่สุดเพราะไม่อยากให้เขาตามยูไปอีกคน
ภวิลอดรู้สึกผิดนิดๆ ไม่ได้ ด้วยออกจะแน่ใจว่าที่ตัวเองล้มนั้นไม่น่าจะกระเทือนทางสมองได้เลย ถ้าจิรัฐไม่ช่วย... อย่างที่น้องเคยช่วยเพื่อนเมื่อวันนั้นเสียอีก เขาอาจจะเจ็บหนักมากกว่านี้
เขาเอนหลังพิงหมอน ระบายลมหายใจยาว
“คุณเป็นลูกคนเดียว...”
จิรัฐมองเขาอย่างสงสัย “ใช่...”
“ความจริงผมก็เป็นลูกคนเดียว แต่ผมคิดว่ายูเป็นน้องแท้ๆ มาตลอด พี่น้องนะ สุดท้ายยังไงก็ตัดกันไม่ขาด ยังไง... เลือดก็ข้นกว่าน้ำ ผมไม่รู้คุณจะเชื่อหรือเปล่า แต่ผมไม่เคยผิดหวังในตัวยู... คงไม่มีอะไรที่จะทำให้ผมผิดหวังในตัวเขาได้”
“ผม... ขอโทษ ถ้าทำให้เข้าใจผิดว่าคุณไม่ใช่พี่ที่ดี ยูพูดบ่อยๆ ว่าคุณเป็นพี่ชายที่ดีที่สุด... ในโลก เขาแค่ไม่อยากให้คุณมองเขาไม่ดีเท่านั้นเอง”
“ก็เลยให้ผมมองคุณไม่ดีแทน”
“อะไรนะ...” จิรัฐฟังไม่ถนัด
“เปล่า... แค่คิดว่ายูก็มีเพื่อนดีเหมือนกัน”
จิรัฐมองอีกฝ่ายอย่างประหลาดใจ หลายครั้งแล้วที่ต้องตีความเอาว่านี่ใช่คำชมหรือเปล่า เขาพูดเบาๆ
“แต่เพราะช่วยผม ยูถึงได้...”
“ยูทำก็เพราะยูเป็นยู” ภวิลพูดช้าๆ “อาจจะไม่ทันคิดด้วยซ้ำ ปฏิกิริยาแบบนั้น ชั่วเสี้ยววินาทีเท่านั้นเอง”
จิรัฐนิ่ง ภวิลถอนใจ ก็ถ้ายูเห็นเพื่อนอยู่ในอันตรายแล้วไม่ช่วยน่ะสิ เขาถึงจะรู้สึกว่าไม่รู้จักน้องแล้ว ความเป็นความตายห่างกันแค่เสี้ยววินาทีจริงๆ แต่ในช่วงเวลานั้นแหละที่สร้างความแตกต่างขึ้น
... ถ้าเราห่วงใคร เราจะยื่นมือออกไป...
เขาเคยคิดว่าถ้ายูไม่เจอเพื่อนคนนี้ ก็อาจจะไม่ต้องจากไปเร็วอย่างนี้ แต่ชีวิตเป็นของน้อง จะตัดสินใจทำอะไร ตัดสินใจคบใคร เขาไม่มีสิทธิจะบังคับได้ และถ้าให้อยู่ไปจนถึงร้อยปีโดยไม่มีเพื่อนรักที่ไว้วางใจได้สนิทเลยสักคน คงเป็นชีวิตที่ว่างเปล่าน่าดู
นางพยาบาลเคาะประตูเข้ามาวัดความดันและสัญญาณชีพอื่นๆ พร้อมทั้งบอกให้นอนพักบ้าง แต่ในระหว่างครึ่งหลับครึ่งตื่นนั้น ทุกครั้งที่ลืมตาขึ้นมา เขาก็ยังเห็นจิรัฐ...
มารู้สึกตัวเต็มที่อีกทีเมื่อนางพยาบาลขอวัดไข้ตอนเช้า และได้ยินเสียงธรรมนูญดังแว่วๆ
“จีไม่ต้องรู้สึกรับผิดชอบขนาดนี้ก็ได้ คุณภวิลเขาไม่เป็นอะไรหรอกก็เห็นอยู่”
“พี่อาร์มเบาๆ ผมแค่อยากให้แน่ใจเท่านั้นเอง เดี๋ยวก็ครบยี่สิบสี่ชั่วโมงที่ต้องเฝ้าระวังอาการแล้ว”
“อีกตั้งนานเถอะ หมอก็บอกไม่ใช่เหรอว่าถ้าพ้นชั่วโมงสองชั่วโมงไปแล้วอาการคงที่ตลอดก็ไม่เป็นไร จีดูตัวเองบ้าง จะเฝ้าเขาให้ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงแต่จีไม่ได้นอนมาทั้งคืนนะ ไม่ยิ่งปวดหัวใหญ่เหรอ”
“ก็... มีนิดหน่อย แต่ไม่เป็นไรหรอก”
ภวิลขยับตัวจะลุกแต่ติดสายน้ำเกลือ เขาเผลอดึงอย่างรำคาญจนเสาเลื่อนส่งเสียงดังแกรก
จิรัฐหันมา และภวิลจึงได้เห็นว่าอีกฝ่ายท่าทางย่ำแย่อยู่ไม่น้อย สมควรที่จะต้องเป็นห่วง ความจริงเมื่อมาคิดดูแล้ว กลายเป็นว่าถ้าจิรัฐยอมเล่าเรื่องราวทั้งหมดง่ายๆ เพียงแค่เขาถามที่หลุมฝังศพน้อง คงเป็นเพื่อนที่เก็บความลับไม่ได้เอาเลย
“คุณกลับเถอะ” เขาว่า “ขอบคุณมาก...”
ธรรมนูญขมวดคิ้วกับคำขอบคุณแบบไม่เฉพาะเจาะจงว่าเรื่องอะไร แต่จิรัฐก็ดูจะเข้าใจดี ถึงจะอยากรู้แต่ธรรมนูญไม่คิดว่าใช่ที่ของตัวเองที่จะไปคาดคั้นรุ่นน้อง อยากเล่าคงเล่าเอง แค่จิรัฐไม่เป็นอะไรมากไปกว่าอดนอนก็ดีแล้ว
“หายเร็วๆ ครับ” ธรรมนูญว่าตามมารยาท ก่อนบอกคนข้างๆ “จีไม่ได้เอารถมาใช่มั้ย เดี๋ยวพี่ไปส่ง”
“ผม... อยู่ต่ออีกหน่อยดีกว่า เผื่อมีอะไร...”
ภวิลมองคนพูดที่ท่าทางจะพับได้ทุกเมื่อ ต้องบอก “เดี๋ยวเพื่อนผมมา หมอมทนาน่ะ”
เขาพูดก็เพราะนึกขึ้นได้เมื่อเห็นตราสัญลักษณ์โรงพยาบาลที่ปลอกหมอนผ้าปูที่นอนชัด เผอิญคราวนี้จิรัฐพาเขามาโรงพยาบาลในเครือที่ครอบครัวมทนาบริหารอยู่พอดี ภวิลมีเรื่องอยากจะถามหมอ เรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวกับตัวเขาเองตอนนี้ และถ้าต้องเป็นอย่างนั้น ก็ขอคุยกับหมอที่เป็นเพื่อนที่เขาไว้ใจ แถมรู้จักน้องดีกว่า ความจริงยังไม่ได้โทร แต่ไม่น่าจะมีปัญหา
จิรัฐชะงักไปนิด แล้วพูดเสียงเบา “อ้อ ครับ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว”
ภวิลมองเพื่อนน้องเดินคู่ไปกับผู้จัดการก่อนลับหายออกจากห้องแล้วจึงถอนใจ
เขามาที่บ้านพระยาเพื่อค้นหาความจริง และตอนนี้ก็ได้รู้แล้ว เคยคิดว่าเมื่อรู้... คงดีขึ้นราวได้ยกภูเขาออกจากอก แต่มันก็ไม่ได้ง่ายอย่างนั้น ตัดกันขาวดำเช่นนั้น สุภาษิตที่ว่าความจริงย่อมมีราคาของมันนั้นไม่ผิดหรอก เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าน้องกังวลเรื่องที่พี่จะคิดยังไงมองยังไงมากขนาดนี้ ที่ร่าเริง บางทีก็เพราะไม่อยากให้ห่วงใช่หรือเปล่า
แต่ภวิลก็ดีใจ... ที่อย่างน้อยกฤตวัตยังมีเพื่อนที่แน่ใจว่าจะไม่ตัดสินตัวเองและพร้อมจะรับฟังทุกอย่างอยู่ข้างๆ จนถึงวันสุดท้าย
เขาขอให้นางพยาบาลต่อสายถึงคุณหมอมทนา แน่นอนว่าไม่มีใครไม่รู้จักลูกสาวของผู้บริหารใหญ่ ไม่นานมทนาก็มารับสาย น้ำเสียงออกจะตกอกตกใจ
“วิน เป็นไรหรือเปล่า ทำไมโทรมาจากโรงพยาบาล...”
“ไม่เป็นไรหรอก หมัดว่างแวะมาแถวนี้หน่อยได้มั้ย”
“วินนอนโรงพยาบาลเหรอ” มทนาพูด จากตกใจกลายเป็นแปลกใจ คงนึกได้ว่าถ้าเขายังพูดโทรศัพท์ได้คล่องขนาดนี้ก็ไม่น่ามีอะไรร้ายแรง “ร้อยวันพันปีไม่เห็นเคยป่วย”
“ก็ยังไม่ได้ป่วย” ภวิลว่า “ตกลงหมัดมานะ”
“เดี๋ยว วิน...”
“ไว้คุยกันตอนหมัดถึงแล้วละกัน” ตัดบทแล้วภวิลก็วางสายเลย ก่อนมทนามาถึงเขาอยากทบทวนรายละเอียดทุกอย่างให้ดี ไม่อยากให้มีข้อผิดพลาดใดๆ เกิดขึ้น
ไม่นานมทนาก็มาถึง บ่นกระปอดกระแปด “คุณพ่อจิกหมัดประชุมเรื่อย ไอ้เราก็อยากจะราวนด์คนไข้ เรียนมาไม่ต้องใช้มันละ รักษงรักษา... แล้วนี่วินเป็นอะไรเนี่ย”
“ก็... หกล้ม คนที่ทำงานเขาตกใจ เลยให้มาดูที่โรงพยาบาลให้แน่ใจ” ภวิลตอบเลี่ยง
“แก่แล้วเหรอไง เดี๋ยวหกล้มเดี๋ยวเดินตกน้ำ อย่าใจลอยนักสิคะ”
“หมัดอย่าเริ่ม อายุเท่ากันนะ...”
มทนาหัวเราะ ก่อนคว้าชาร์ตไปดูแล้วว่า “พรุ่งนี้เช้าก็ออกจากโรงพยาบาลได้ ที่จริงจะออกค่ำๆ วันนี้เลยก็ได้ ไม่มีอะไรน่าห่วง ก่อนออกให้หมอดูเสียอีกที”
“ออกเที่ยงคืนนั่นแหละ” ภวิลว่าโดยไม่คิด ไม่ต้องให้หมอบอกเขาก็รู้ว่าไม่เป็นไร ที่อยู่โรงพยาบาลนี่ก็เพราะสัญญากับอีกคนไว้ว่าจะต้องให้ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงก่อน “ไม่ได้เชิญให้มาดูอาการหรอก เชิญมาคุยเรื่องอื่น”
“ก็ว่าอยู่แล้ว ตามตัวมาขนาดนี้มีเรื่องอะไรล่ะ”
ภวิลเล่ารายละเอียดช่วงก่อนน้องจะถึงโรงพยาบาล พยายามไม่ให้ตกหล่นโดยบอกแค่ว่าเพิ่งได้คุยกับเพื่อนคนที่พาไปส่ง มทนานิ่งคิดแล้วว่า
“หมัดไม่ฟันธงนะเพราะไม่มีผลชันสูตร... แต่เท่าที่ฟังมา ใกล้เคียงกับทอล์คแอนด์ดายซินโดรมที่สุด”
“อะไรนะ”
ทอล์คแอนด์ดาย... พูดแล้วก็ตายอย่างนั้นหรือ ก่อนจะปลุกไม่ได้ จิรัฐก็เล่าว่ายูดูปกติ ยังคุยอยู่...
“มีกรณีที่กระทบกระเทือนทางศีรษะมา ไม่แสดงอาการอะไร แต่พอมีอาการ อย่างปวดหัว หมดสติ ก็ช่วยไม่ทันแล้ว...”
“เพราะอะไร...” ภวิลถามแทบจะกลั้นใจ แต่น้องหลับไปก่อน ก็คงไม่เจ็บ ขอให้ไม่เจ็บ...
“หลายสาเหตุนะ อาจจะมีเลือดออกระหว่างกะโหลกกับก้านสมอง ออกช้าๆ ไปเรื่อยๆ เลือดออกเหนือหรือใต้เยื่อหุ้มสมอง ก็ได้” มทนาค่อยๆ พูด คงเห็นสีหน้าเพื่อนไม่สู้ดีนัก “ไม่ก็... อาจจะมีการฉีกขาดข้างในผนังหลอดเลือดตรงลำคอ ทำให้มีลิ่มเลือดขึ้นและเกิดสโตรคได้ หมายถึงสมองขาดเลือดไปเลี้ยงเพราะการอุดตันในเส้นเลือด ถ้าเกิดสโตรคในก้านสมองก็จะไปเร็วมาก ทุกอย่างนี้เกิดขึ้นได้เพราะการกระทบกระแทกที่ดูเหมือนเป็นอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น”
“หมายความว่า... ตอนแรกจะดูปกติ”
“ถ้ามีอุบัติเหตุที่กระทบกระเทือนศีรษะ ถึงได้ต้องเฝ้าดูอาการกันอย่างน้อยยี่สิบสี่ชั่วโมงไง ถ้าหมอให้กลับบ้านได้ก่อนหน้านั้น ญาติก็ต้องคอยดูอาการผิดปกติไว้ ถ้าเริ่มมึนหรือว่าอาเจียน ก็ต้องรีบส่งสแกนแล้ว ยิ่งจำอะไรไม่ได้ หมดสตินี่อันตรายเลย”
ภวิลพยักหน้า แต่เพราะน้องหลับในรถอยู่แล้ว เลยสังเกตยาก คนไปส่งคงโทษตัวเองอยู่เสมอมาที่เพื่อนอาการหนักนั่งอยู่ข้างๆ แต่กลับไม่รู้ ปกติเขาไม่เชื่อในเรื่องสุดวิสัย แต่เรื่องนี้คง... เป็นข้อยกเว้น
“ถ้าเลือดออกในสมองช้าๆ แบบนี้ มักจะเสียชีวิตเพราะถึงมือหมอไม่ทัน นึกว่าไม่เป็นไร อย่าว่าแต่คนรอบข้าง เจ้าตัวมักจะไม่ยอมไปหาหมอเองด้วยซ้ำเพราะไม่ได้มีแผลเลือดออก อาจจะปวดหัวบ้าง แต่ส่วนใหญ่ยืนยันว่าปกติดี นี่หมัดพูดจากกรณีศึกษาน่ะ...”
มทนาถอนใจเบาๆ
“ไม่รู้ว่าเรียกหมัดมาจะช่วยให้วินสบายใจขึ้นหรือตรงกันข้าม แต่ถึงแม้จะเกิดเลือดออกในสมองบ้าง ก็ไม่ใช่ต้องไปทุกคน... โดยเฉพาะถ้ายังอายุน้อย จะฟื้นตัวเร็ว แต่แต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนเลือดแข็งตัวเร็วกว่าปกติ ถ้าเกิดลิ่มเลือดก็แย่ บางคนเลือดหยุดไหลยากกว่าปกติ เลือดออกในสมองก็แย่ เป็นปัจจัยที่ทำให้อาการทรุดลงเร็วจนช่วยไม่ทันได้ ของน้องยู... เราอาจจะไม่มีทางรู้”
ภวิลเลิกถามคำถามประเภทที่ว่าทำไมคนอื่นที่เจอเรื่องคล้ายกันถึงได้หาย แต่น้องกลับต้องจากไปนานแล้ว เพราะมันไม่ได้ช่วยอะไร และที่สำคัญกับเขาก็ไม่ใช่เรื่องทางเทคนิคอย่างต้องรู้เฉพาะเจาะจงว่าน้องตายเพราะเลือดออกในสมองส่วนไหน บนหรือว่าใต้เยื่อหุ้มสมองกันแน่ เขาเพียงอยากแน่ใจ เรื่องที่เกิดกับน้องหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ช่วยไม่ทันจริงๆ ถ้าคำตอบคือใช่ บางที... เขาคงปล่อยน้องไปได้ในที่สุด
ภวิลเห็นเรื่องที่เกิดขึ้นคลับคล้ายโดมิโน ยูถูกใจบ้านหลังนั้น ปักใจถึงขนาดเข้าไปโดยไม่รอขออนุญาตก่อน อยากให้เพื่อนได้เห็นด้วย ก็ลากไปดู โชคร้ายที่คานไม้หล่นลงมา น้องย่อมต้องช่วยเพื่อน แล้วยังคิดว่าตัวเองไม่เป็นไร ขึ้นรถหลับเหมือนเคย แต่ตอนนั้นเลือดคงเริ่มออกช้าๆ...
เขาเข้ามาในชีวิตเพื่อนคนที่ว่าเพราะเป็นคนสุดท้ายที่อยู่กับน้อง ด้วยหวังว่าคงให้ความกระจ่างอะไรขึ้นได้บ้าง เกือบถอยห่างออกไปเพราะหาหลักฐานไม่ได้ จนมาเจอสิ่งที่ทำให้แน่ใจว่าทั้งคู่อยู่ด้วยกันตลอดในวันที่เกิดเรื่องขึ้น แต่ถ้าคานไม้ไม่ร่วงหล่นลงมาเหมือนเมื่อวันนั้น เขาก็คงไม่สามารถทำให้จิรัฐเปิดปากเล่าเรื่องทั้งหมดออกมาได้
คำพังเพยฝรั่งบอกว่าสายฟ้าย่อมไม่ฟาดลงที่เดิม... แต่อุบัติเหตุเหมือนเดิม เกิดขึ้นที่เดียวกัน ในเวลาที่คนคนหนึ่งไปอยู่ที่นั่นทั้งสองครั้ง
... จิรัฐ...
ภวิลเริ่มรู้สึกว่า เขาคงออกไปจากชีวิตเพื่อนของน้องคนนี้ไม่ได้ง่ายๆ เหมือนตอนเข้ามาเสียแล้ว++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
คุณ *~ กอ.อู.~* คุณพระเอกก็เป็นคนมีเหตุผลบ้างไรบ้าง เหวี่ยงแต่พอประมาณ 55
คุณ pattybluet ฮีก็พยายามหักห้ามใจไม่ให้ด่วนสรุปอยู่นะ (เหรอ) แต่เจอของขนาดนั้นก็เสียศูนย์ไปบ้าง ขอบคุณที่เชียร์จีมาตลอดเช่นเคยค่า
คุณหัวแม่มือ ขอบคุณมากนะคะ บทที่ 6 มาแล้วน้า
คุณ chompoonut139 จริงๆ เลย เรื่องนี้น่าสงสารหลายคน แต่เขาจะเยียวยาจิตใจกันและกัน หวังว่าอย่างนั้นนะ
คุณ coon_all มาแล้วน้า ได้รู้แล้วนะ อิอิ ขอบคุณมากที่ติดตามค่ะ
คุณ berlyn ระเบิดลงไปย่อมๆ (มั้ง) แต่ก็ไม่ถึงกับทำลายล้างมาก แหะ ส่วนเรื่องคุณธรรมนูญนี่ก็ดูกันต่อไป ดูกันยาวๆ 55
คุณ Cherry Red คลื่นสงบเป็นช่วงคุณภวิลลังเล แต่แกก็เป็นคนไม่ยอมถอยอะไรง่ายๆ หรอกน่า
คุณ janamanza บางทีมันต้องเคลียร์เรื่องคาใจก่อนแล้วมันถึงจะไปสู่ขั้นต่อไปได้ 55 ก็ยังมีปมอยู่อีกหน่อยนั่นแหละ มาแล้วนะคะ
คุณ yeyong แต่อาหญิงเป็นแม่แท้ๆ ของยูนะ เอาไงดี...
คุณ j4c9y มาแล้วค่า
คุณ uknowvry มาแล้วนะค้า
คุณ @Iriz โดน... นิดหน่อย เพิ่งคิดได้ว่าจริงๆ แล้วเรื่องจำเลยรักก็น้องชายตายแหะ แต่เราไม่สนับสนุนการทรมานนายเอก (จนเกินจำเป็นนัก กร๊าก)
คุณ menano มาแล้วนะคะ ฝากด้วยค่า
คุณ bluebird ช่วยจินตนาการให้แกหน้าหล่อด้วยได้มั้ยคะนอกจากนิสัยหล่อแล้ว 555 ทุกคนมีบทที่สำคัญของตัวเองในเรื่องทั้งนั้นเลยค่า
คุณ silverphoenix ไม่ต้องห่วง คุณพระเอกลากไปพร้อมกันแน่นอน ไปคนเดียวก็ไม่มัน?สิ ฝากต่อด้วยนะคะ
คุณ silent_loner ขอบคุณมากเลยค่ะ ใช่เลยพระเอกนายเอกเราเป็นคนเช่นนั้นแล ไม่นะเราไม่สนับสนุนความรุนแรง (อีกและ) ฝากต่อด้วยนะคะ
มาแล้ว อย่างยาววว เคลียร์ทุกปมปัญหาคาใจ (เสียงใครบอกช้า และยังมีให้คาอยู่ หันซ้ายหันขวา 555) ต้องขอโทษด้วยถ้ารอนะคะ อย่างที่เคยบอกสำหรับคนเขียนเรื่องนี้เขียนยากอยู่ ถึงจะวางพล็อตและโครงไปแล้วแต่รายละเอียดจริงๆ เราก็รู้แทบพร้อมคนอ่านนี่แหละ เขียนไปค้นไป เหอ ขอบคุณมากๆๆ สำหรับการอ่านและการติดตาม และการเชื่อมั่นว่าจีของเราไม่ผิด เอิ๊ก ขอบคุณคนอ่านทุกท่านจริงๆ ค่ะ ไว้พบกันใหม่นะคะ 
ปล. talk and die syndrome ที่ดังๆ ก็ภรรยาของเลียม นีสัน ดาราดัง ไปเล่นสกีลื่นหกล้ม ยืนยันว่าไม่เป็นไร ยังพูดคุยได้เหมือนปกติ กลับโรงแรมไปพักหนึ่งบ่นปวดหัว พาบินเข้าไปที่โรงพยาบาลก็สมองไม่ทำงานแล้ว เศร้าเนอะคะ... แต่จริงๆ มันก็เป็นกรณีที่เกิดขึ้นได้ยากนะ