บทที่ 7 (ต่อ)ตกเย็นมืดครึ้มเร็วกว่าปกติ เมฆที่ตั้งเค้ามาแต่บ่ายกลั่นลงเป็นน้ำฝน ตกหนักไม่ยอมหยุดราวฟ้ารั่ว
... พายุเข้า
สามทุ่มกว่าเลยเวลาเลิกงานไปแล้ว จิรัฐเพิ่งสางเรื่องวันนี้เสร็จ ความที่มัวแต่ก้มหน้าก้มตาอยู่กับกองงาน กินข้าวก็กินในห้องทำงาน ทำให้แทบไม่ทันสังเกตว่าฝนตกมืดฟ้ามัวดิน ออกมาอีกทีเขาก็ต้องประหลาดใจกับคลื่นลมปั่นป่วนรุนแรงในแม่น้ำเจ้าพระยา พอดีผู้จัดการฟรอนต์กะค่ำส่งเสียงเรียก
“คุณจี ยังไม่มีเรือกลับจากอีกฝั่งนะครับ ท่าจะฝ่ามายาก คลื่นแรงไม่น้อยเลย”
เคยมีข่าวเรือล่มกลางแม่น้ำเพราะฝืนบรรทุกคนกลางพายุมาแล้ว หน้านี้ระดับน้ำในแม่น้ำสูง น้ำก็เชี่ยวเป็นทุนเดิม ยิ่งมีฝนฟ้าคะนองเข้าอีก จิรัฐรีบถาม
“แขกเราล่ะ”
“แขกที่มาพักกลับถึงห้องหมดแล้วทุกคนครับ พนักงานเปลี่ยนกะเสร็จพายุถึงได้มา กะก่อนถึงฝั่งเรียบร้อย”
“ถ้าอย่างนั้น...” จิรัฐกำลังคิดก็พอดีภวิลเดินเข้ามาในล็อบบี้ เขาชะงักด้วยนึกว่าอีกฝ่ายกลับไปนานแล้ว ผู้จัดการฟรอนต์บอกผู้บริหารอีกคนเหมือนที่บอกเขา ภวิลขมวดคิ้วนิดๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร
จิรัฐเหลือบมองเผื่อผู้ถือหุ้นใหญ่มีอะไรอยากจะสั่งเอง แต่ภวิลเฉยเขาเลยพูดต่อ บางเรื่องก็ต้องตัดสินใจให้ทันการ
“บอกพวกคนเรือว่ายังไม่ต้องข้ามกลับมา คลื่นแรงมากกลัวจะสู้ไม่ไหว”
“ให้ค้างฝั่งนั้นเลยนะครับ?”
จิรัฐพยักหน้า “คลื่นคงยังไม่ซาจนกว่าจะเช้า ช่วยแจ้งแขกอีกทีว่าคืนนี้ขอความกรุณาอย่าเพิ่งออกไปไหน ไม่มีเรือ เหตุผลด้านความปลอดภัย...”
“ครับๆ” ผู้จัดการฟรอนต์รีบไปทำตามคำสั่ง
จิรัฐหันมองคนข้างๆ แบบนี้แปลว่ากลับบ้านด้วยกันไม่ได้ทั้งคู่ ความจริงเขาก็เคยค้างที่นี่เวลางานยุ่งๆ แต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะว่าอย่างไร เขาเอ่ยอย่างเกรงใจ
“ขอโทษครับที่ผมพูดไปก่อน กลัวจะไม่ปลอดภัยถ้าใช้เรือตอนนี้...”
“ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่” ภวิลพูดเรียบๆ “ถ้าคุณจะให้ผมกลับไปตอนนี้สิผมคงคิดว่าคุณอยากฆาตกรรมผม...”
จิรัฐถอนใจ ที่พูดกันดีๆ เมื่อเช้านั้นคงฝันไป แต่ความจริงอีกฝ่ายก็ไม่ได้จะเสียดสีให้เขาเจ็บใจอย่างตอนแรก แค่กวนอารมณ์บ้างเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงตอบกลับ
“ถึงอยากทำอย่างนั้นยังไงผมก็ต้องห่วงชีวิตพนักงานบ้างแหละครับ...” เขาหันไปหาผู้จัดการฟรอนต์ที่หูแนบโทรศัพท์ “ช่วยเปิดห้องให้คุณภวิลด้วย”
“ลงบัญชีผมไว้นะ”
“ไม่ต้องหรอกครับ ความจริงคุณก็มีสิทธิอยู่แล้วในฐานะผู้บริหารที่ถือหุ้นใหญ่...”
“คุณเคยพูดว่าไงนะ... แขกเหมือนเพื่อนที่มาเยี่ยมและเรายินดีต้อนรับเขา” ภวิลพูดต่อคล้ายไม่ได้ยิน “คิดว่าผมเป็นแขกวันหนึ่งก็แล้วกัน”
ผ่านไปครู่ผู้จัดการฟรอนต์จึงวางหูโทรศัพท์แล้วหันมาดูหน้าจอที่แสดงห้องทั้งหมด ก่อนเงยหน้าขึ้นพูดเสียงอ่อย
“ห้องขายหมดแล้วครับคุณจี”
“อะไรนะ”
“ห้องเต็มหมดทุกห้องครับ”
“เอ๊ะ อ้าว...” จิรัฐยืนมึน จากที่ดูตอนเช้าเขายังเห็นว่างอยู่ห้องสองห้อง แสดงว่ามีวอล์กอินเข้ามาก่อนพายุวันนี้เองหรือนี่
ปกติถ้าเป็นโรงแรมอื่นอาจจะมีห้องสำรองไว้บ้าง แต่เพราะจำนวนห้องของโรงแรมบูติกเล็กๆ อย่างนี้มีไม่มากอยู่แล้ว ผู้จัดการคงดีใจปนแปลกใจที่มีแขกต้องการมากจึงขายห้องหมดเกลี้ยง จิรัฐนึกอยากให้มีเรือข้ามฟากได้เสียเดี๋ยวนั้น รถก็อยู่อีกฝั่ง
ห้องเดียวที่ใช้ได้ ก็คือห้องพักเก่าของเขาที่อยู่ติดห้องทำงานซึ่งตอนนี้กลายเป็นของผู้บริหารใหญ่แล้วนั่นเอง
“งั้นไม่เป็นไร...” เขาบอกผู้จัดการฟรอนต์แล้วหันมาหาภวิล “คุณใช้ห้องข้างห้องทำงานนะครับ”
“แล้วคุณล่ะ”
“ผมก็... ผม... อืม...” ห้องปัจจุบันของเขาซึ่งเป็นห้องเลขาฯ เก่านั้นมีแค่โต๊ะเก้าอี้แล้วก็ตู้เอกสาร โซฟาหรือที่นอนหมอนมุ้งอะไรก็ไม่มีสักอย่าง อันที่จริงห้องเล็กเกินกว่าจะปูที่นอนยาวได้ด้วยซ้ำ “ผมก็... อยู่ในออฟฟิศไม่ก็ไปนอนห้องหนังสือแหละครับ”
“คุณจี...” ผู้จัดการฟรอนต์ยังอุตส่าห์ได้ยิน “เก้าอี้ยาวในห้องหนังสือนั่นยกไปซ่อมนะครับ... พรมก็ส่งซัก แขกถามวันนี้ผมเลยโทรไปหาฝ่ายซ่อมบำรุงมา ฝ่ายนั้นเพิ่งทำรายงานคงถึงโต๊ะคุณพรุ่งนี้ ในห้องมีแต่เก้าอี้เดี่ยวๆ มีเท้าแขน”
ภวิลเดินห่างออกมาจากฟรอนต์ “ใช้ห้องเดียวกันไม่เป็นไรหรอก”
“คือ...” จิรัฐอุบอิบ “สมัยตอนไปค่าย นอนกลางดินกินกลางทรายยิ่งกว่านี้ ห้องหนังสือก็...”
“ตอนนี้คุณไม่ได้อยู่ค่าย” ภวิลขัด “ไม่รู้จะนอนพื้นไม้กระดานแข็งๆ ให้มันได้อะไร เจ็บหลังเปล่า”
“เอาผ้าห่มปูเข้า...”
อีกฝ่ายถอนใจเฮือก “ได้ข่าวว่าตอนนี้แขกไม่มีที่จะไป ไม่ใช่ทุกคนจะอยากอยู่ในห้อง ผมว่าตอนนี้คงอยู่ในห้องหนังสือส่วนหนึ่ง แขกหลายคนที่มาก็เพราะสนใจประวัติศาสตร์ แล้วคุณก็ตั้งใจให้ห้องหนังสือเข้าได้ยี่สิบสี่ชั่วโมงไม่ใช่รึ ไม่ทราบจะไปปูที่นอนตอนไหน วันนี้มันไม่เหมือนวันงานคุณย่าที่กั้นข้างล่างไว้นะ”
จิรัฐเถียงไม่ขึ้น เขาโพล่ง “ห้องพักพนักงาน!”
ภวิลขมวดคิ้ว “พนักงานกะดึกเข้ามาใช้ห้องเห็นผู้บริหารปูที่นอนกับพื้นคงดูดีมาก น่าจะประทับใจไปอีกนาน”
“ก็ไม่เป็น...”
อีกฝ่ายยกมือ “ผมเหนื่อย รีบๆ นอนซะจะได้เช้าไวๆ”
ตัดบทแล้วก็เดินไปเลย จิรัฐซึ่งจนหนทางได้แต่ตามหลังไปช้าๆ ความจริงห้องนั้นมันก็ห้องเขา แต่จะให้อีกฝ่ายไปนอนที่อื่นก็...
“ผมนอนในห้องทำงานละกัน” เขาว่า นึกดีใจที่ยังมีอีกหนึ่งทางเลือก “คุณใช้ห้องติดกันไปนะ ราตรีสวัสดิ์”
จิรัฐเปิดประตูแต่ไม่ออก เขาหันหาเจ้าของปัจจุบัน “เอ๊ะ คุณล็อกไว้เหรอ”
“เอ๊ะ” ภวิลร้องตาม คลำกระเป๋าซ้ายขวาให้วุ่นวาย “กุญแจอยู่ไหน”
จิรัฐไม่แน่ใจว่าหาไม่เจอจริงหรือเปล่า ทางเดียวที่จะรู้คือลงมือค้นตัวอีกฝ่ายซึ่งเขาไม่ได้เตรียมใจมาถึงขั้นนั้น ได้แต่เข้าไปในห้องติดกัน ค้นเสื้อเปลี่ยนให้โดยไม่พูดไม่จา
กฤตวัตเคยใช้ห้องนี้เหมือนกันตอนทำงานดึกและต้องต่อเช้า เสื้อที่เขายื่นให้ก็เสื้อเพื่อน คนน้องอาจจะตัวเล็กกว่าหน่อยแต่ไม่น่าห่างกันมากนัก พี่ชายก็ดูจะรู้เสียด้วย
“เห็นมั้ย คุณยังนอนกับยูได้...” ภวิลว่า “ผมก็เคยนอนกับยู เพราะงั้น...”
จิรัฐคร้านจะอธิบายว่านอกจากตอนไปค่ายซึ่งนอนเรียงกันเป็นตับแล้วก็ใช่ว่าเขาต้องนอนเตียงเดียวกับกฤตวัตอีก หลายหนที่เพื่อนมาค้างห้องนี้เขาก็นอนบ้านเพราะห่วงแม่แล้วรีบกลับมาตอนเช้าตรู่ ระยะทางที่กฤตวัตต้องขับรถกลับบ้านวิรัชภาคย์ไกลกว่าที่เขาจะขับรถกลับบ้านตัวเอง ยิ่งกว่านั้นเขารู้ว่าถ้าดึกแล้วขับรถแบบไม่มีคนคุยด้วย เพื่อนจะหลับเอาได้ง่ายๆ จิรัฐกลัวเกิดอุบัติเหตุ เพราะฉะนั้นจึงบอกให้ใช้ห้องไป
ประเด็นคือต่อให้เขาต้องนอนห้องเดียวกับเพื่อนจริงๆ เขาก็คุ้นเคยกับยูมาจะหกปีเต็ม แต่กับคนพี่...
จิรัฐเลี่ยงออกไประเบียงโทรบอกแม่ว่าต้องค้าง คุยโน่นคุยนี่อยู่พัก กลับเข้ามาอีกคนก็ออกจากห้องน้ำเรียบร้อยแล้ว เขารีบทำธุระจนเสร็จแล้วยืนรีรออยู่ มองอีกฝ่ายสวดมนต์ไหว้พระสั้นๆ
แปลกเหมือนกันที่ได้เห็นอะไรแบบนี้ ปกติภวิลแต่งตัวดี เสื้อผ้าเรียบกริบ แต่ตอนนี้อยู่ในชุดนอนเก่าเปื่อยรุ่ยของน้อง ผมเผ้าชื้นแถมยุ่งนิดๆ นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง ยิ่งดูเหมือนคนธรรมดาที่... ไม่น่ากลัวเข้าไปใหญ่
จิรัฐมองเพลินจนอีกฝ่ายสวดจบหันมาหาอย่างสงสัย จึงบอก
“ผมว่าจะปู... ที่นอนแถวพื้น” เขาขยับออกไปหามุมห้องส่วนห่างเตียงที่สุด ในตู้น่าจะมีหมอนผ้าห่มสำรองอยู่บ้าง
“นี่มันอะไรนัก” เสียงภวิลชักหงุดหงิด “ผมไม่ได้จะลุกขึ้นมาฆ่าแกงคุณตอนดึก เชื่อกันแค่นี้ก็ไม่ได้เลยรึ”
จิรัฐลังเลอยู่อีกนิดจึงค่อยๆ เดินเข้าไป เขาก็ไม่ได้อยากให้ภวิลคิดว่าเขาระแวงห่วงความปลอดภัยตัวเองโดยไม่มีมูลถึงขนาดนั้น... อีกฝ่ายลงนอนหลับตาแล้วเรียบร้อย
เขารีบสวดมนต์แล้วขยับตัวให้ชิดริมเตียงอีกด้าน ตื่นอยู่ได้ไม่นานก็เคลิ้มหลับไป ไม่รู้ว่าคนนอนข้างพลิกตัวตะแคงกลับมา มองนิ่งอยู่ครู่
ถึงจะบอกตัวเองไว้ว่าไม่เคยห่วงใยสวัสดิภาพของจิรัฐ ไม่ได้คิดจะเกี่ยวข้องนานเลย แต่ตอนนี้... เมื่อทุกอย่างกระจ่างขึ้น เมื่อเขาประจักษ์ถึงตัวตนของจิรัฐแจ่มชัด และนึกรู้ว่าอาจมีภยันตรายทั้งที่ยังไม่มีต้นสายปลายเหตุใดให้ตามสืบได้ ก็ไม่อาจทิ้งไปดื้อๆ ดูดายปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นอะไร
นี่เป็นความรับผิดชอบของเขา... ในเมื่อดึงดันเข้ามา จะละไปอย่างไม่แยแสชีวิตอีกคนเพียงเพราะได้รู้เรื่องราวทุกอย่างจนหมดสิ้นแล้วก็เกินไป
ภวิลไม่รู้ว่าเขายินดี ‘รับผิดชอบ’ ยินดีและเต็มใจ เกินกว่าที่ตัวเองจะคาดคิดมากนัก
ภวิลรู้สึกตัวขึ้นกลางดึกเพราะที่นอนกระเทือนจนมาถึงเขา ในห้องมืดสนิทด้วยม่านปิดทั้งยังเป็นคืนเดือนแรม นาฬิกาพรายน้ำที่ข้อมือบอกเวลาตีสามครึ่ง
อาการไหวสั่นรุนแรงยังดำเนินอยู่ ภวิลงุนงงด้วยเพิ่งตื่นเต็มตา ก่อนจะทันตั้งตัวท่อนแขนคนอยู่บนเตียงเดียวกันก็ฟาดเข้าที่ท้องน้อยเต็มแรงจนแทบจุก
... นอนดิ้นเหรอเนี่ย
เขาวาดมือโดนแขนชื้นเหงื่อจนซึมผ่านเสื้อนอน บางอย่างบ่งบอกว่านี่ไม่ใช่แค่นอนดิ้นธรรมดา เพียงแตะอีกฝ่ายก็พลิกหนีจนตกเตียง
ภวิลตามลงไปคว้ากลัวจะฟาดโดนกับอะไรเข้าจนเจ็บตัว มือขวาคลำจนเจอสวิตช์โคมไฟหัวเตียง อีกฝ่ายยังปัดป่ายมั่วไปหมด เขารู้แล้วว่าจิรัฐเรี่ยวแรงไม่น้อยจากตอนลากกันออกมาจากบ้านเก่า แต่ครั้งนี้ยิ่งมากกว่าเพราะคนไม่รู้ตัวพยายามต่อต้านเขาทุกวิถีทาง ทั้งผลักทั้งสะบัด โดนเข้าก็หลาย ภวิลได้แต่พยายามจับให้อยู่นิ่งๆ ทั้งที่จิรัฐเบิกตากว้างแต่ดูจะมองไม่เห็นคนที่อยู่ตรงหน้า
เขานั่งคุกเข่าประจันกับจิรัฐอยู่บนพื้น สองมือจับต้นแขนเอาไว้มั่น พยายามเขย่าให้รู้สึกตัว ปากก็เรียกชื่อ พอเขาจับแขนอีกฝ่ายก็ผลักไสกลับมาเต็มแรงจนภวิลต้องเปลี่ยนเป็นรวบข้อมือสองข้างไว้ด้วยกัน และทางเดียวที่เหลืออยู่ตอนนั้นก็คือรั้งร่างตรงหน้าเข้ามากอดแนบอก พยายามกดไว้กับตัวให้หยุดดิ้น
ความจริงเขากอดน้องมาไม่รู้กี่ครั้ง การกอดเพื่อนน้องก็ควรจะให้ความรู้สึกคล้ายกัน แต่นี่ไม่เหมือน... และภวิลก็ไม่มีเวลาไตร่ตรองว่าไม่เหมือนอย่างไร
อีกฝ่ายดิ้นรนด้วยสีหน้าทรมาน เหงื่อไหลท่วม พึมพำอะไรไม่ได้ศัพท์ จนเขาคิดเป็นอื่นไม่ได้นอกจากอยากจะช่วยให้พ้นสภาพนี้เท่านั้นเอง
จิรัฐรู้สึกว่ามีมือหลายสิบกลุ้มรุมลากตัวถอยหลัง หน้าครูดไปกับสนามหญ้า พยายามเอี้ยวตัวไปมองแต่ก็ไม่เห็นมือหรือใครทั้งนั้น รู้แต่ว่ายังเหมือนถูกลากไปข้างหลังด้วยความเร็วอยู่ จับคว้าอะไรไม่ได้ กำลังตรงไปหาสระน้ำ...
สระบัว... สระบัวหลวง เขาหล่นลงไปในน้ำ และยังดำดิ่งลงไปเรื่อยๆ บึงบัวที่สวยงามเยียบเย็นนัก เขาพยายามยื่นมือขึ้นไป แต่แสงรำไรที่ผิวน้ำห่างไกลออกไปทุกที มีแต่ความมืดมิด มืด... เขาเริ่มหายใจไม่ออก ไม่มีใครช่วยได้เลย...
ท่ามกลางความมืดดำและเงียบงัน จิรัฐได้ยินเสียงเรียกดังแว่ว เหมือนมาจากที่ไกลโพ้น แต่ค่อยใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
“... รัฐ... จิรัฐ... จี...!”
จิรัฐสะดุ้งเฮือก แสงจากโคมไฟสาดเป็นเสี้ยวต้องแผ่นหลังของใครคนหนึ่ง ไม่ไกลนักคือผ้าห่มยับย่นที่แทบจะไหลกองกับพื้นหมดทั้งผืน
ภวิลคลายมือลงเมื่อรู้สึกว่าคนในอ้อมแขนหยุดดิ้น ดันตัวออกเล็กน้อยจนมองหน้าอีกฝ่ายได้ถนัด ใจชื้นที่อย่างน้อยดูเหมือนว่าจิรัฐจะมองเห็นเขาและกลับมาสู่ความเป็นจริงแล้ว มืออีกข้างยังลูบหลังไหล่อยู่โดยอัตโนมัติ
“มันเป็นแค่ฝันร้ายน่ะ... แค่ฝันร้ายเท่านั้นเอง”
เมื่อก่อนตอนยูมาอยู่บ้านใหม่ๆ เพิ่งเสียพ่อทั้งยังแปลกที่ ก็ฝันร้าย... สะดุ้งตื่นมาร้องลั่น เขาเป็นคนแรกที่วิ่งเข้าไป ต้องเปิดไฟให้สว่าง ปลุกปลอบกันอยู่นานกว่าจะยอมนอน ไม่คิดว่ายังต้องมาปลอบเพื่อนน้องอีกในเวลาต่อมา
ภวิลดึงแขนคนตรงหน้าให้ลุกไปนั่งบนเตียง รินน้ำมายื่นให้ จิรัฐสูดลมหายใจสั่นสะท้านแล้วรับมาจิบ พึมพำขอบคุณเบาๆ
คนรับแก้วน้ำกลับไปวางเหลือบมอง เรื่องที่รุมเร้าสะสมเข้ามาให้แบกรับอยู่เนิ่นนานคงทำให้ฝันร้ายไม่หยุดหย่อน เขาสงสาร... และคราวนี้ไม่ใช่แค่... เกือบจะสงสาร... อีก
“คุณฝันร้ายบ่อยหรือ”
“เคย... บ้างครับ แต่ไม่ได้เป็นสักพักแล้ว”
จะว่าเพราะเครียด เพราะคิดมาก เพราะความรู้สึกผิดถ่วงหนักในใจอย่างตอนแรกก็ไม่น่าใช่ ตั้งแต่บอกทุกอย่างหมดสิ้นและการเผยความลับไม่ได้ทำให้คนเป็นพี่ชายรู้สึกทางลบกับน้องอย่างที่กลัว จิรัฐก็... สบายใจขึ้นบ้าง อาจจะนับได้ว่าเป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นกับเพื่อน แล้วทำไมฝันร้ายถึงยังตามมาหลอนหลอกอยู่
ที่สำคัญ เขาไม่รู้สึกว่าเหมือนฝัน... จิรัฐคิดว่ารู้สึกตัวอยู่ แค่เหมือน... เห็น เหมือนได้ยินจริงๆ ได้ยินกระทั่งเสียงน้ำแตกกระจายตอนตัวเองตกลงไป นั่นแหละที่แปลก
“ผมไม่ได้หลับ” เขาพยายามบอก “เหมือนมันเกิดขึ้นจริงๆ”
“ฝันน่ะ...” อีกฝ่ายว่า “บางครั้งก็เหมือนจริง”
“แต่ผมเห็น...”
“คุณไม่ได้ออกจากห้องเลย” ภวิลพูด พยายามให้เบาใจ “ดูสิ ประตูยังล็อกอยู่”
จิรัฐลูบหน้าอย่างสับสน แทบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำเมื่ออีกฝ่ายค่อยจับให้นอนลง มืออบอุ่นยังแตะอยู่ที่หัวไหล่ เลื่อนขึ้นลงเบาๆ ราวจะให้วางใจ
“นอนเถอะ... เดี๋ยวก็เช้าแล้ว”
... เสียงนกร้องอยู่ไม่ไกล ภวิลพลิกตัวตะแคงข้าง กลิ่นหอมเย็นรื่นลอยมาเข้าจมูกตั้งแต่ก่อนเปิดเปลือกตา
เขามองช่อดอกไม้สีขาวนวล กลีบเล็กบอบบาง เกสรแต้มจุดเหลืองอ่อน ยังหมาดชื้นจากหยาดน้ำฝนหรือไม่ก็น้ำค้างอย่างแปลกใจ
... ชมนาด
ดอกไม้... วางหัวนอนให้แขก
แต่ของ ‘แขก’ คนนี้ไม่ใช่ราชาวดี
ภวิลยิ้มนิดๆ ลุกขึ้นนั่ง หยิบช่อชมนาดขึ้นพิจารณา กลิ่นนุ่มนวลคล้ายใบเตยพาให้ใจสงบ เขาเดินไปเปิดบานหน้าต่างออกกว้าง ม่านขาวนวลแผ่วพลิ้วด้วยลมที่โชยมาเบาๆ พอพายุพัดผ่านไป ก็มีเพียงระลอกคลื่นไล่ตามกันอย่างอ่อนโยนบนผืนน้ำอาบด้วยแสงสีทองของยามเช้า
... ชมนาด ไม่ใช่ราชาวดี เพราะเขาเคยแสดงให้รู้ว่าชอบชมนาดมากกว่า...
ภวิลทำธุระส่วนตัวจนเสร็จ นึกรู้ว่าคนร่วมเตียงเดียวกันเมื่อวานคงลุกไปแต่เช้ามืดแล้ว เขาผลักประตูห้องทำงานที่ติดกับห้องพักออก ต้องยิ้มขันอีกครั้งเมื่อกุญแจยังเสียบคาไว้ให้ที่ประตู
... อีกฝ่ายคงเพิ่งนึกได้เอาตอนเช้าว่าต้องหยิบกุญแจจากกางเกงที่เขาถอดไว้เมื่อวาน ไม่รู้จะทำหน้ายังไงเมื่อต้องลงมือรื้อค้นเอากับเสื้อผ้าใส่แล้ว
เขาเอาชมนาดช่อนั้นสอดไว้ในสมุด แล้วย่นหัวคิ้วอย่างครุ่นคิด เดินกลับไปเปิดประตูก่อนจะปิดลงใหม่
จู่ๆ ภวิลก็ประหวัดนึกถึงเหตุการณ์ที่บ้านเก่าหลังนั้น เขาเคยคิดว่าเพราะยูรีบร้อนตอนออกมาเมื่อครั้งก่อนกับจิรัฐ จึงลืมล็อกประตู ทำให้เขาเข้าไปได้อีกโดยง่ายดาย
แต่ถ้ากลับกัน... ถ้าก่อนที่เขาจะถึงบ้านหลังนั้นพร้อมจิรัฐ มีคนเข้าไปก่อนแล้ว และตั้งใจไม่ลั่นดาล เพราะอยากให้เขากับจิรัฐเข้าไปในบ้านเพื่อจะได้เกิดเหตุการณ์อะไรบางอย่างขึ้นล่ะ...
... แต่เรื่องนี้เขาไม่มีหลักฐานเอาจริงๆ เรียกว่ามืดแปดด้านกว่าตอนตามสืบเรื่องน้องอีก ดีไม่ดีบางทีเหมือนคิดไปเองด้วยซ้ำ เพราะจะมีใครรู้ได้อย่างไรว่าเขากับจิรัฐเกิดอยากเข้าไปที่บ้านนั้น... วันนั้น ดูประจวบเหมาะจนเกินไป
ภวิลถอนใจ จะมีมูลหรือไม่ก็ตาม จะเป็นอุบัติเหตุ หรือเหตุจงใจก็ตาม เขาคิดว่าการชะลอบ้านมาปลูกใหม่ให้แข็งแรง ใกล้หูใกล้ตา น่าจะเป็นทางออกทางหนึ่ง เพียงแต่ก่อนจะเจรจาซื้อหรือทำอะไรต่อไป...
... ต้องรู้ก่อนว่าบ้านนั้นเป็นของใคร++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
คุณ yeyong ขอบคุณค่า เขียนไปก็กลัวไม่ตื่นเต้นอยู่เหมือนกันนะนี่
คุณ naiin สงสัยคงต้องเป็นงั้น... แต่ต้องให้เวลาเขาหน่อยนะ...
คุณ chompoonut139 จริงด้วยค่ะ เข้าใจแล้วแหละ ก็ไม่ใช่คนเข้าใจอะไรยากจนเกินไปเนอะ...
คุณ bulldog17 กระจ่างว่าจีเป็นเพื่อนดีแน่แล้วค่า 55
คุณ AprilSnow ชอบคนอ่านเรื่องนี้มาก มีอะไรมาสงสัยได้ตลอด จีเป็นไมเกรนค่ะ (จริงๆ) แต่ว่า... หรือมันจะมีอะไรมากกว่านั้น...
คุณ @Iriz จีรู้สึกผิดจริงๆ แต่น่าจะดีขึ้นบ้างหลังจากบทนี้ คนเขียนชอบพระเอกที่พูดแล้วฟังอะ (ส่วนตัวมาก) ไม่ทิ้งค่ะ คนอ่านก็อย่าเพิ่งทิ้งเค้าเหมือนกันน้า ขอบคุณสำหรับบวกและเป็ดมากค่ะ
คุณ gupalz ขอบคุณที่แวะเข้ามาค่า ฝากตอนต่อไปด้วยนะคะ
คุณ coon_all เนอะๆ แต่ถ้ายูไม่ตาย มันจะเป็นรักสามเส้าพี่น้องละป่าว เรื่องลงเอยกันก็... โปรดติดตามต่อไปนะคะ
คุณ LUCKY STAR แต่แม่ยูก็เป็นแม่แท้ๆ ส่วนคนสวนเขาก็เป็นคนเก่าแก่รู้จักกับพ่อแม่จีเลยนะ ไม่น่าเกี่ยวอะไรกับยูเลยด้วย ยังไงดี พี่อาร์มกับเชฟ หรือหมอหมัดก็น่าสงสัยมั้ยน้า...
คุณ janamanza คนเขียนก็... อยากให้เขารักกันนะ 55 แต่ว่านิดนึงค่ะนิดนึง ค่อยๆ ไป จะได้รักนานๆ
คุณ bluebird ใช่ค่ะต่อจากนี้ความรู้สึกคงเป็นบวกบ้างแล้วแหละ ให้คุณพระเอกรับผิดชอบยังไงดี อิอิ
คุณ PetitDragon ขอบคุณมากๆ ค่า ฝากตอนต่อไปด้วยนะคะ
คุณ uknowvry คนเขียนถึงกับต้องระลึกชาติหาเลิฟโมดว่าคู่ไหน แต่จากไปแบบนี้เศร้าจริงๆ แหละค่ะ
คุณ berlyn อร๊าย ถ้าเขาออกไปตอนนี้ใครจะช่วยจีไขปมต่อล่ะ... แล้วเขาก็แอบผูกพันแล้วด้วยนิดๆ 55
คุณ i-love-you ขอบคุณมากนะคะ ยูก็คงดีใจแหละที่พี่ไม่เข้าใจเพื่อนผิดๆ อีกน่ะ แต่ที่เกิดอุบัติเหตุสองครั้งซ้อนจริงๆ แล้วเป็นเพราะอะไรก็... ฝากตอนต่อไปด้วยนะคะ (ตลอด)
คุณ Pupay ขอบคุณมากที่แวะเข้ามานะคะ ชอบคำว่าพระเอกโง่กำลังดีจังเลย 55 คือต่อไปเนี่ยฮีจะมีบทบาทในการไขปมพอสมควร แถมยังปูเรื่องเป็นนักธุรกิจเก่งอีก เพราะฉะนั้นถ้าฮีโง่มาเลยแต่แรกมันจะดูไม่น่าเชื่อได้ กร๊าก ฝากตอนต่อไปด้วยค่า
คุณ Cherry Red ใช่ค่ะ เพราะความประมาทและรู้เท่าไม่ถึงการณ์จริงๆ ทั้งจีและยูก็ไม่คาดคิดว่าเรื่องราวจะออกมาเป็นแบบนี้ จริงๆ แล้วพอคุณภวิลแกเข้าใจแกก็ไม่โหดนะ (หรือไง) เรื่องบ้านอีกหลังก็มีความสำคัญค่ะ ขอบคุณมากนะคะที่ติดตาม
คุณ malula ถูก... เพราะฉะนั้นก็ให้เขาเยียวยาจิตใจกันต่อไป... ฝากตอนหน้าด้วยนะค้า
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
บทนี้ยังไม่ค่อยอะไร (แต่กำลังจะนำไปสู่ความอะไรๆ ในอนาคต) ให้เวลาสองคนเขาปรับความรู้สึกกันนิดนึง หุหุ
ปล. คุณภวิล คลับคล้ายจะเป็นนักสืบแทนนักธุรกิจอยู่รอมร่อ แต่บทนี้ที่จริงแล้ว... เบาะแสเยอะอยู่นะ...
ต้องขอบคุณผู้อ่านทุกท่านมากๆ เช่นเคยค่า 