รอยรัก... จำหลักใจ [บทที่ 17 จบ] 6 พ.ย. 55 หน้า 15
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: รอยรัก... จำหลักใจ [บทที่ 17 จบ] 6 พ.ย. 55 หน้า 15  (อ่าน 329133 ครั้ง)

ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6
โอ้มายก็อด...จากไปแบบนี้ นึกถึง  love mode เศร้าไปเลยครับผม   ㅠ ㅅ ㅠ

ออฟไลน์ berlyn

  • Put Van The Man on the jukebox then we start to dance
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 265
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +32/-2
เป็นการจากลาที่ไม่คาดคิดจริงๆค่ะ

ไม่ยากหรอกนะถ้าวิน ต้องการออกจากชีวิตของจี ก็ออกเหมือนตอนเข้ามานั่นล่ะ

ออฟไลน์ i-love-you

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 716
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-3
รูิสึกเศร้ามากเลย
อิน สุดๆๆ  ชอบมากเลย
ไม่ผิดหวังจริงๆ

บางครั้ง เหตูการณ์ที่เกิดขึ้น อาจเพราะยู อยากให้พี่เค้ารู้ก็ได้นะว่าจี บริสุทธฺ์  เอ๊ะ หรือเราคิดเยอะไป

ออฟไลน์ Pupay

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 904
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-1
พลาดได้ไงเนี่ย เรื่องนี้ดีมากๆมีปมใช้ภาษาสวยด้วย ชอบบบ  :impress2:
ชอบพระเอกไม่โง่มาก? กำลังดีๆ อีกไม่นานก็จะหลงรักน้องจีละดิตัวเอง :laugh:
รอปมทั้งหลายผ่านพ้นไปเถอะ >,,<

 :pig4: นะคะ ฝากตัวอ่านด้วยคน  :L2:

ออฟไลน์ Cherry Red

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 882
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-0
เรื่องการตายของยู แรกอ่านคิดว่าจะต้องลึกลับ ซับซ้อน ซ่อนเงื่อน แต่ไป ๆ มา ๆ กลับ Simple กว่าที่คาด
จะเรียกว่า ความประมาทและรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของยู ก็ไม่ผิดนัก แต่พอช่วยไว้ไม่ทัน คนที่ซวยก็กลายเป็น จี ไปเต็ม ๆ
นอกจากเพื่อนสนิทตายไปทั้งคน ยังโดนหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องแบบที่ปฎิเสธได้ไม่เต็มปาก บอกความจริงก็ไม่ได้
เราว่าการพิสูจน์ความจริงของคุณภวิลส่งผลดีกับจีมากกว่า แม้วิธีการของเฮียจะดูบีบคั้น โหดร้าย เลือดเย็นไปสักนิด
แต่สุดท้ายการได้สารภาพความจริงกับภวิล คงจะช่วยปลดเปลื้องความทุกข์ตรมในใจจีไปได้พอสมควร

เฮ้อ...ตอนนี้ปริศนาตกไปอยู่ที่บ้านเก่าหลังนั้นแทน น่าจะมีลับลมคมในมากกว่าเป็นบ้านผีเฮี้ยน วิญญาณหลอนธรรมดา ๆ   

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
แม้จะคลี่คลายไปแล้วสำหรับสาเหตุ แต่ก็ยังเศร้าอยู่ดีสำหรับจี
และคงฝังอยู่ในใจตลอดไปที่ไม่สามารถช่วยเพื่อนได้ทันเวลา
พี่วินสำนึกได้และคงอยากเข้ามาช่วยเยียวยา

ออฟไลน์ เดหลี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +254/-3
บทที่ 7

จิรัฐมองร่างสูงคุ้นตาก้าวผ่านซุ้มรั้วเข้ามาในบริเวณบ้าน เหมือนผ่านไปไม่นานที่เขาก็ยืนมองอีกฝ่ายแบบนี้ ครั้งนั้นเต็มไปด้วยความกังวล อึดอัดกดดันราวจะหายใจไม่ออก ด้วยเชื่อแน่ว่าภวิล วิรัชภาคย์เข้ามาเพื่อช่วงชิงทุกอย่างไปจากคนคนเดียวที่เชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง... อาจจะถึงขั้นมีส่วนรับผิดชอบ... ต่อการตายของน้องชาย

เขาตั้งใจเผชิญหน้าไม่ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรโดยไม่หลบเลี่ยง เพราะคิดว่านี่เป็นอย่างน้อยที่สุดที่จะทำให้เพื่อนได้ ถ้าภวิลต้องการโทษใคร คงสมควรเป็นเขา เรื่องในวันนั้นพรากยูไปจากครอบครัวอย่างกะทันหัน ไม่แปลกที่คนเป็นพี่ชายจะผูกใจไม่เลิกรา เขาเองไม่อาจบอกทุกอย่างได้ง่ายดายด้วยติดสัญญากับเพื่อนเช่นกัน ที่สำคัญกับจิรัฐมีแค่การปกป้องความลับของเพื่อนรวมทั้งบ้าน จะถูกเข้าใจผิดไปอย่างไรอีกเป็นเรื่องรอง
   
เพียงแต่... คนที่เข้ามายังไม่มืดบอดด้วยโทสะจนเกินไป ภวิลไม่ใช่คนโหดร้ายเย็นชาโดยนิสัย แม้คราแรกจิรัฐจะนึกภาพพี่ชายคนดีอย่างที่เพื่อนชื่นชมให้ฟังไม่ออก แต่ความจริงก็คือภวิลพยายามให้โอกาสเขาแก้ต่าง ทั้งๆ ที่ถ้าปรักปรำไปเลยคงง่ายกว่า
 
ที่พูดจาเชือดเฉือนก็เพราะความจริงแล้วเจ็บปวด... เป็นความเจ็บปวดแบบเดียวกัน
 
... เจ็บเพราะช่วยคนสำคัญเอาไว้ไม่ทัน
 
เพราะฉะนั้น ถึงไม่อาจพูดได้ว่าเข้าใจอีกฝ่ายสิ้นเชิง แต่ก็... เข้าใจมากขึ้นกว่าแต่ก่อน เขาเองทำทุกอย่างด้วยเหตุผลของเพื่อนที่รักษาคำพูด ภวิลก็คงทำทุกอย่างด้วยเหตุผลของพี่ที่รักน้องเหมือนกัน และแม้ในตอนเริ่มแรกจะยืนอยู่คนละฝั่งอย่างช่วยไม่ได้ แต่สุดท้ายแล้วต่างก็ทำไปด้วยความหวังดีต่อคนคนเดียวกันเป็นที่ตั้ง

จิรัฐพบพี่ชายเพื่อนยืนอยู่หน้ามุข หลังกำหนดออกจากโรงพยาบาลภวิลก็ยังไม่ได้เข้ามาที่บ้านพระยาทันที เมื่อได้เห็นด้วยตาตัวเองอีกครั้งว่าดูจะปกติดีจริงๆ ก็อดโล่งอกไม่ได้ เอ่ยถามให้แน่ใจ

“หมอว่าไม่เป็นไรแล้วนะครับ?”
 
ภวิลพยักหน้า ถึงจะไม่ใช่วันเกิดเรื่อง แต่จิรัฐก็ยังมองเขาด้วยสายตาแบบเดียวกับที่โรงพยาบาล ที่ยังกังวลอยู่คงเป็นเพราะเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้นคล้ายคลึงกันจนเกินไป แถมยังมาเกิดกับคนใกล้ตัวเพื่อนรักอีก
 
“ผมอยู่จนครบยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้วตาม...” ข้อแลกเปลี่ยนหรือ รู้สึกคล้ายสัญญามากกว่า เขาตัดสินใจไม่พูดเสียเลยโดยเอ่ยต่อ “เกินด้วยซ้ำ ความจริงคุณต่างหากที่ควรจะไปตรวจ ซีที เอ็มอาร์ไอเนี่ย ปวดหัวบ่อยไม่ใช่รึ”

จิรัฐนิ่งไปนิดแล้วว่า “ผมไม่ชอบที่แคบ...”

คนยืนข้างหลุดหัวเราะเล็กน้อย “เหตุผลอะไรเด็กจริงๆ”

จิรัฐเสมองไปอีกทาง ถ้าพูดเรื่องปวดหัวเขาก็เป็นไมเกรนมานานแล้วตั้งแต่สมัยยังอยู่มหาวิทยาลัย เรียกได้ว่าร้อนก็เป็นเครียดก็เป็น ประจำตัวเลยนั่นแหละ แล้วระยะหลังสาเหตุที่ทำให้เครียดก็มาวนเวียนไม่ห่างเสียด้วย

เพียงแต่เมื่อกี้นี้... พอคนยืนข้างกันหัวเราะ ก็คล้ายเค้ารางของคนที่เพื่อนเล่าให้ฟังจะปรากฎให้เห็น ทำให้เขานึกได้ว่าจริงๆ แล้วภวิลก็... ไม่ใช่ยักษ์มาร

จิรัฐตกลงกับตัวเองตั้งแต่ต้นแล้ว ถ้าคิดรักษาสัญญาจนถึงที่สุด ไม่ว่าอีกฝ่ายมองมาอย่างไรจะไม่สนใจ แต่พอได้พูดจากันอย่างปกติโดยไร้การกระทบกระเทียบเช่นตอนแรกๆ ก็ต้องยอมรับว่าแบบนี้... ดีกว่ามาก

ต่างฝ่ายต่างทอดสายตาไปเบื้องหน้าโดยไม่มีใครพูดอะไรอยู่ครู่ บึงบัวส่วนหนึ่งกำลังเปลี่ยนเป็นสระว่ายน้ำแบบธรรมชาติ กอบัวถูกกันไปไว้ด้านข้างเพื่อแยกดินโคลน แต่ด้วยการออกแบบอย่างแยบยลทางภูมิสถาปัตย์ทำให้ดูราวจะลงไปแหวกว่ายในสระบัวจริงๆ ได้ เหลือเพียงปลูกพืชน้ำที่ทำหน้าที่แทนคลอรีนเท่านั้นก็เสร็จ แขกที่มาพักต่างยินดีที่ไม่ต้องข้ามฟากไปใช้สระสโมสรเมื่ออยากจะว่ายน้ำอีก และยอดจองก็เต็มยาวล่วงหน้าไปหลายเดือนอย่างที่ไม่เกิดขึ้นนานแล้ว

แรกเห็นยอดจองธรรมนูญพูดว่า “มันใกล้ไฮซีซั่น คนมาเที่ยวเยอะก็ขายห้องได้เร็ว” แต่จะให้ยุติธรรมจริงๆ สระเปิดโล่งเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยาตรงคุ้งน้ำที่ถือว่าสวยที่สุดแห่งหนึ่งเป็นตัวเรียกแขกไม่น้อย ยิ่งมีประวัติว่า ‘ขุดมาตั้งแต่สมัยร. 5’ ถึงจะเพิ่งมาทำใหม่อีกเมื่อไม่นานก็ตามที

ความเปลี่ยนแปลงบางอย่างอาจจะเกิดขึ้นเพื่อสิ่งที่ดีกว่า... ถ้าผสานกับรากเหง้าเดิมได้อย่างลงตัว จิรัฐนึกดีใจที่ไม่ใช่สระสมัยใหม่ เต็มไปด้วยกระเบื้องและสแตนเลสแข็งกระด้าง แม้จะถูกนำมาใช้เป็น ‘จุดขาย’ อย่างที่นักธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มือทองคนต้นคิดต้องการ แต่หากมันจะดึงดูดให้คนมาร่วมชื่นชมสถาปัตยกรรมที่เป็นฉากหลังเพิ่มมากขึ้น จิรัฐก็คิดว่าไม่สูญเปล่าเสียทีเดียว

คนยืนข้างกันเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นก่อน

“เรื่องยู...”

“... ผมบอกคุณหมดแล้วจริงๆ”
 
“ผมรู้” ภวิลพูดก่อนที่อีกฝ่ายจะคิดว่าเขาไม่เชื่อหรือยังแคลงใจอีก “เมื่อวันก่อน... ปรึกษาเพื่อนที่เป็นหมอแล้ว เขาบอกตอนแรกถ้ามีเลือดออกข้างใน... อาจจะดูไม่ผิดปกติอะไร คนเป็นเองอาจจะบอกว่าสบายดี หลายกรณีก็เลย... รู้ตอนสายไป”

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ติดอยู่ในใจจิรัฐมาตลอด เขาเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของยู ถ้ามีใครควรจะดูออก ก็ควรเป็นเขา ทำไมถึงได้ไม่สังเกตว่าที่หลับปกติกับ... ไม่ปกตินั้นแตกต่างกันอย่างไร ถ้าสังเกตได้ทันก่อน เพื่อนอาจจะยังอยู่

คำพูดของภวิลไม่สามารถทำให้เขาเลิกคิดเรื่องนี้ได้เหมือนปิดสวิตช์ก็จริง แต่... มันก็มีความหมาย เมื่อออกจากปากของคนเป็นพี่ชาย

จิรัฐเหลือบมองคนที่ยังทอดสายตาไปเบื้องหน้า

นี่อีกฝ่ายกำลังทำสิ่งที่ใกล้เคียงกับ... ปลอบ... อยู่หรือเปล่า เขาหลุดปากออกไป

“ผมพยายามแล้ว พยายาม... ที่สุดแล้ว”

“ผมรู้”

และคำตอบสั้นๆ เหมือนเดิมเพียงเท่านั้นก็พอที่จะทำให้ความกดดันหน่วงหนักในจิตใจของเขาบรรเทาลงได้บ้าง ก่อนหน้านี้จิรัฐก็ไม่เคยเชื่อ ตัวเองทำดีที่สุดจริงหรือ ดีที่สุดแล้วหรือยัง เพราะบอกใครไม่ได้ เมื่อบอกไม่ได้ ก็ไม่มีใครช่วยยืนยัน ไม่มีใครมาเชื่อกับเขา แต่ว่าตอนนี้...

จิรัฐพลันนึก... ไม่ได้ต้องนับถอยหลังอย่างเคยเวลาพูดจากัน

เหมือนเวลาเริ่มเดินไปข้างหน้าอีกครั้งตั้งแต่วันที่เขาบอกทุกอย่างกับภวิล ความจริงจิรัฐไม่ตั้งใจจะผิดสัญญา แต่ถ้ามีอะไรสำคัญกับเพื่อนมากกว่าการไม่อยากให้พี่รู้เรื่องผิดพลาดในอดีต ก็คือความปลอดภัยของพี่ชายเองนั่นแหละ เมื่อพูดแล้วยังรู้สึกผิดในใจถ้าผลสุดท้ายกลับกลายเป็นว่าความทรงจำที่พี่มีต่อน้องต้องแปดเปื้อนทั้งๆ ที่กฤตวัตรักบูชาพี่ชายยิ่งกว่าใคร
 
เพียงแต่ยูขอให้สัญญาเพราะไม่รู้... พี่ชายไม่เคยแม้จะรู้สึกอะไรอย่างนั้น เขาเองก็ไม่คิดว่าคนที่ดูเหมือนไม่ยอมผ่อนปรนเอาเสียเลยอย่างภวิลจะรับทุกอย่างได้ง่ายดาย เพียงเพราะเป็นเรื่องของน้อง ทำเอาจิรัฐซึ่งเป็นลูกคนเดียวอดรู้สึกนับถือไม่ได้ พร้อมทั้งความรู้สึกว่าทรยศความไว้เนื้อเชื่อใจของเพื่อน... ก็เบาบางลงไปด้วย

ภวิลเอ่ยต่อ

“แล้วบ้านหลังนั้นเป็นของใคร”

“ผมก็ไม่ทราบ...”

อย่าว่าแต่ตัวเขาเลย จิรัฐไม่คิดว่าคนพาไปดูเองจะรู้ด้วยซ้ำ เพื่อนไม่ได้ขออนุญาตเจ้าของบ้านก่อนเข้าไป และหลังจากนั้น... เขาก็ไม่มีโอกาสถามอีก

“คุณยังอยากได้อยู่ไหม”

จิรัฐเงยหน้ามองคนพูดอย่างประหลาดใจ เขาคิดว่าบ้านนั้นคงมีแต่ความทรงจำเลวร้ายจนคนเป็นพี่ชายไม่อยากเห็นอีก ถึงยูจะไม่ได้จากไปทันทีที่นั่นแต่ก็เป็นที่เกิดเรื่อง เป็นต้นเหตุ...
 
“ผมคิดว่าเราอาจจะหาทางชะลอมาได้”

“หมายถึงรื้อแล้วเอามาปลูกใหม่น่ะเหรอครับ” จิรัฐยังงุนงง

“ผมเห็นที่ว่างข้างหลัง มุมทางขวา... ไม่ได้ใช้ประโยชน์ น่าจะพอลงตรงนั้นได้”

“ผมนึกว่า...” จิรัฐหยุด แต่อีกฝ่ายดูจะเข้าใจว่าเขากำลังจะพูดว่าอะไร

“ทำไมผมถึงอยากจะยุ่งเกี่ยวกับที่นั่นอีกใช่ไหม ปกติยูไม่ใช่คนไม่คิดหน้าคิดหลังอย่างนี้ เขาจะเป็นแต่กับของที่ชอบมากๆ เท่านั้น เวลาเห็นบ้านผมจะคิดถึงเขาไหม... ต้องคิดอยู่แล้ว แต่ผมไม่อยากเกลียดของที่เขาชอบ และไม่อยากให้มันต้องไปอยู่โดดเดี่ยวห่างไกลอย่างนั้น”

จิรัฐนิ่งฟังคนข้างกันพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย

“เวลาไปไหนกับยู เห็นบ้านเก่าถูกทิ้งร้าง ปล่อยให้โทรมทีไร เขาชอบพูด... พี่เห็นไหม บ้านดูเศร้าจังนะ... ไม่มีคนรักคนดูแลเลย... ท่าทางยูอยากจะช่วยไปเสียทุกบ้าน แต่บ้านหลังนี้... เขาติดใจขนาดเสี่ยงทำเรื่องที่อาจจะมีผลกระทบถึงครอบครัวได้ ผมรู้เขาคงไม่ตั้งใจ ถ้ามีผลกระทบจริงคงพยายามไม่ให้เกี่ยวพันไปถึงคนอื่น แต่มันก็ทำให้เห็นว่าที่นั่นพิเศษกับเขาแค่ไหน นอกจาก... ที่นี่แล้ว ก็คงมีแต่บ้านหลังนั้นที่เขาผูกพันจริงๆ”

จิรัฐรู้มาเนิ่นนานว่าเพื่อนรักนับถือพี่ชายขนาดไหน มีบางครั้งเขาคิดว่าเป็นความชื่นชมบูชาอย่างเด็กๆ ที่ต้องการซูเปอร์ฮีโร่ เพราะเขาไม่รู้จักพี่ชายที่ว่าแบบคนในครอบครัวเดียวกันอย่างกฤตวัต ดูเท่ดูทำงานเก่ง ท่าทางภายนอกจะบอกอะไรได้ ตอนนี้เขาเริ่มเข้าใจ ภวิลไม่ได้ ‘แค่รักน้อง’ แต่ยังเห็นความสำคัญในเรื่องที่น้องสนใจจริงๆ สำหรับเพื่อน ภวิลก็คง ‘เป็นพี่ชายดีที่สุดในโลก’ อย่างที่บอกไม่ผิดเลย

“ถ้าปลูกใหม่ก็แก้ปัญหาเรื่องความปลอดภัย... ที่ผุก็เอาออก รื้อแล้วประกอบให้มั่นคง ปลูกในที่ที่เขารัก เสร็จแล้วนิมนต์พระ ทำบุญขึ้นบ้าน คุณจะใช้เป็นที่จัดงานต่อไปก็ได้ ยูคง... พอใจ”

ภวิลไม่ได้หมายความว่าวิญญาณน้องจะมาวนเวียนจริงๆ เพียงแค่... การจัดการแบบนี้น่าจะทำให้กฤตวัตมีความสุข ไม่ว่าจะยังอยู่ด้วยกันหรือไม่ และจิรัฐก็เข้าใจ

ภวิลยิ้มน้อยๆ “คุณคงว่าผมคิดอะไรประหลาดไม่เหมือนคนอื่น”

“ผม...”

“ขอโทษนะครับ คุณจี เชิญหน่อยครับ เรื่องสระ”

หัวหน้าคนสวนที่จิรัฐใช้คำแทนอย่างสนิทสนมว่าลุงเข้ามาเรียกอย่างเกรงใจ แกยืนอยู่ห่างๆ เกือบสุดระเบียงหน้ามุข จิรัฐเอ่ยขอตัว การปรับสระบัวถูกยกให้เป็นความรับผิดชอบของเขาตั้งแต่แรก ภวิลก็พยักหน้า

เขามองตามร่างที่ก้าวลงบันไดไปพร้อมชงคม ก่อนละสายตามาเบื้องหน้าอีกครั้ง

... จิรัฐอายุยังน้อยแต่ต้องรับผิดชอบดูแลทั้งบ้านและธุรกิจแบบที่เรียกได้ว่าแทบจะตัวคนเดียว ก่อนหน้าที่เขาเข้ามา จิรัฐต้องสู้รบปรบมือกับหุ้นส่วนที่รวมตัวกันเพื่อต่อรองผลประโยชน์เข้าตัว พอมาตอนนี้ก็คงอึดอัดใจไม่น้อยที่หุ้นส่วนใหญ่ตกอยู่ในมือของเขาคนเดียว แต่ยังพยายามอย่างดีที่สุดเสมอมา ถ้าไม่มีอคติใดมาบดบังอย่างในตอนแรกเขาน่าจะเห็นไปนานแล้ว

คนทำงานที่นี่รักจิรัฐกันทุกคน ไม่แปลกเพราะคงเป็นเจ้านายใจดี ทุกอย่างพูดได้บอกได้ คำว่าไล่ออกน่าจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่คิดถึง เขาเคยนึกค่อนว่าใช้แต่พระคุณไม่มีพระเดช แต่...

ถ้าเชื่อตามที่น้องเคยบอก ก็คงเพราะธรรมชาติเป็นคนแบบนี้อยู่แล้วเท่านั้นเอง

จิรัฐคุยกับตัวแทนบริษัทที่มาดูความเรียบร้อยในการทำสระ ตอบข้อข้องใจหมดทุกอย่างแล้วจึงผละมาหาหัวหน้าคนสวนที่ยังยืนอยู่ไม่ไกล

เขาชอบคุยเรื่องเก่าๆ กับชงคม หลังจากไม่มีพ่อ ไม่มียู และไม่อยากรบกวนจิตใจแม่หากชวนให้ท่านนึกถึงเรื่องเก่าก่อนที่ยังมีพ่อ ก็เหลือแต่ชงคมเพียงคนเดียวที่จะคุยเรื่องแบบนี้ด้วยได้
 
ชายหนุ่มนับถืออีกฝ่ายเหมือนญาติผู้ใหญ่ แม้ว่าชงคมจะปฏิบัติต่อเขาอย่างสุภาพเฉกลูกน้องกับเจ้านาย แต่สำหรับจิรัฐแล้วชงคมเป็นคนบูรณะบ้านนี้ร่วมกันมากับพ่อ บ้านงามแต่หากขาดสวนสวยส่งเสริมก็เหมือนอัญมณีไม่มีเรือนช่วยเชิดชูค่า เขาไม่เคยลืมบุญคุณความดีของคน และยิ่งของชงคมที่รู้จักกับพ่อแม่มาแต่ก่อนยิ่งจดจำใส่ใจ

“ทำสระแบบนี้ดีเหมือนกันนะครับลุง จะได้ยังมีดอกบัวอยู่” เขาว่า ถอยมายืนใต้ร่มกัลปพฤกษ์คู่กันกับหัวหน้าคนสวน

ชงคมพยักหน้า “ความจริงเมื่อก่อนตอนทำบ้านเคยคิดกันว่าใช้ตรงนี้สร้างสวนหิน ไม่ก็สวนลาย แบบที่ปลูกดอกไม้สลับสีกันเป็นรูปร่างเพราะนิยมสมัยร. 5 เหมือนกัน แต่คุณบุณฑริกเคยทราบว่าตรงนี้เป็นสระบัวหลวงมาก่อน... เลยทำไว้ให้เหมือนเดิม”

ไม่ใช่ทำไว้ให้เหมือนเดิมแค่นั้นหรอก จิรัฐรู้ว่าพ่อตั้งใจทำให้แม่เพราะคุณตาทวดทำให้คุณยายทวด... และความรักยืนนานของท่านเป็นที่ประจักษ์ คุณยายบอกแม่ว่าคุณตาทวดไม่มีนางเล็กๆ อื่นเมื่อท่านมีคุณหญิงของท่านแล้ว ซึ่งผิดวิสัยสมัยนั้น ยิ่งคุณตาทวดเป็นถึงพระยา จะมีกี่คนก็ย่อมได้

“ลุงก็ทำสวนลายที่ด้านข้างแทน ลุงเก่งมาก... ขนาดไม่ได้เรียนภูมิทัศน์ยังทำได้ขนาดนี้” จิรัฐชมจากใจจริง

“สมัยก่อนจะมีเรียนอะไรเป็นเรื่องเป็นราวล่ะคุณจี... ครูพักลักจำกันทั้งนั้น” ชงคมหัวเราะเบาๆ

“ผมถึงว่าลุงเก่ง... ลุงคิดทั้งหมดนี่คนเดียวเลย พื้นที่ตั้งหลายไร่”

“ค่อยๆ ทำไปครับคุณ... สมัยยังเด็กคงจำได้ บางส่วนยังปุปะ เป็นดินอยู่เลย กว่าจะได้ขนาดนี้ หลายปี... มีแค่สระที่ลุงไม่ได้แตะ คุณพ่อคุณจีมาดูเองหมด”

“พ่อคงอยากให้แม่ได้เห็นเหมือนสมัยเด็กๆ แม่บอกคุณตาทวดทำให้คุณยายทวดตอนท่านแต่งเข้าบ้าน เพราะคุณยายทวดชอบดอกบัว... แต่ท่านรักบัวหลวงที่สุด ชื่อแม่ก็แปลว่าบัวหลวง” จิรัฐว่า มีความสุขทุกครั้งที่ได้พูดถึงเรื่องราวเหล่านี้ “บุณฑริก... ดอกบัวหลวงสีขาว คุณยายท่านตั้งระลึกถึงคุณยายทวด”

“พระยาโชติฯ ท่านต้องรักคุณหญิงของท่านมาก” ชงคมบอก
 
“ผมก็คิดอย่างนั้น”

บัวชูช่อสล้างแซมกันกลางบึงน้ำเรียบใส บางส่วนที่ต้องเอาขึ้นก็ย้ายไปปลูกในกระถางไว้แต่งที่อื่นแล้ว ตั้งแต่สมัยพ่อทำใหม่จนถึงตอนนี้ ไม่รู้ว่าล้มหายตายจาก ต้องหามาปลูกทดแทนมากเท่าไร อาจจะไม่มีเหง้าไหนที่เรียกได้ว่าเป็นของเดิมแล้วด้วยซ้ำ ก็อะไรจะอยู่ค้ำฟ้าได้

เพียงแต่สิ่งที่เตือนใจให้ระลึกถึงนั้นยืนยาวกว่า

“บ้านหลังนี้... โทรมไปนานนัก มีแต่คุณพ่อคุณจีที่ทำให้กลับมาคล้ายเดิมได้” ชงคมพูดก่อนจะย้ำ “ถ้าจะมีใครทำให้บ้านนี้กลับมาเหมือนเดิม คงเป็นคุณพ่อคุณจี”

พ่อเรียนสถาปัตยกรรมไทย ได้บูรณะบ้านเก่าให้กลับคืนคงสุขใจ แม้จะเป็นงานชั่วชีวิต แต่ท่านก็ได้ทิ้งมรดกไว้ให้คนรุ่นหลังได้ชื่นชมต่อ บางทีที่เขาสนิทคุ้นเคยกับยูได้รวดเร็วตั้งแต่ต้น ก็อาจเพราะหลายอย่างในตัวเพื่อนรักช่างคล้ายคลึง ทั้งที่เรียนสถาปัตย์ รักบ้านเก่า ไม่ย่อท้อต่ออะไรง่ายๆ... สุดท้ายก็ช่วยเขาสานงานนั้นต่อ

แต่... ต่างจากไปเร็วจนน่าใจหายทั้งคู่

“ลุงเคยเห็นบ้านพระยาตอนยังไม่ถูกทิ้งร้างด้วยเหรอครับ”

“... จากรูปถ่ายในหนังสือเก่าน่ะครับคุณจี”

“ลุงคงลำบากกับพ่อแม่ผมมานานกว่าบ้านจะเสร็จ... ขอบคุณมากนะครับ”

“ลุงยินดี... บ้านเสร็จ... งามสมบูรณ์ เป็นสิ่งที่ลุงฝันอยากเห็นมาตลอดเหมือนกัน”

จิรัฐยิ้มบาง ที่บ้านพระยายังอยู่ ก็เพราะมีคนเห็นค่า ถ้าขาดคนใส่ใจดูแลรักษาเสียแล้ว คงเป็นได้เพียงซากปรักหักพัง

... และชงคมเป็นส่วนสำคัญยิ่งที่ช่วยให้บ้านยังเป็นแบบทุกวันนี้ได้


ออฟไลน์ เดหลี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +254/-3
บทที่ 7 (ต่อ)

ตกเย็นมืดครึ้มเร็วกว่าปกติ เมฆที่ตั้งเค้ามาแต่บ่ายกลั่นลงเป็นน้ำฝน ตกหนักไม่ยอมหยุดราวฟ้ารั่ว

... พายุเข้า

สามทุ่มกว่าเลยเวลาเลิกงานไปแล้ว จิรัฐเพิ่งสางเรื่องวันนี้เสร็จ ความที่มัวแต่ก้มหน้าก้มตาอยู่กับกองงาน กินข้าวก็กินในห้องทำงาน ทำให้แทบไม่ทันสังเกตว่าฝนตกมืดฟ้ามัวดิน ออกมาอีกทีเขาก็ต้องประหลาดใจกับคลื่นลมปั่นป่วนรุนแรงในแม่น้ำเจ้าพระยา พอดีผู้จัดการฟรอนต์กะค่ำส่งเสียงเรียก

“คุณจี ยังไม่มีเรือกลับจากอีกฝั่งนะครับ ท่าจะฝ่ามายาก คลื่นแรงไม่น้อยเลย”

เคยมีข่าวเรือล่มกลางแม่น้ำเพราะฝืนบรรทุกคนกลางพายุมาแล้ว หน้านี้ระดับน้ำในแม่น้ำสูง น้ำก็เชี่ยวเป็นทุนเดิม ยิ่งมีฝนฟ้าคะนองเข้าอีก จิรัฐรีบถาม

“แขกเราล่ะ”

“แขกที่มาพักกลับถึงห้องหมดแล้วทุกคนครับ พนักงานเปลี่ยนกะเสร็จพายุถึงได้มา กะก่อนถึงฝั่งเรียบร้อย”

“ถ้าอย่างนั้น...” จิรัฐกำลังคิดก็พอดีภวิลเดินเข้ามาในล็อบบี้ เขาชะงักด้วยนึกว่าอีกฝ่ายกลับไปนานแล้ว ผู้จัดการฟรอนต์บอกผู้บริหารอีกคนเหมือนที่บอกเขา ภวิลขมวดคิ้วนิดๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร
 
จิรัฐเหลือบมองเผื่อผู้ถือหุ้นใหญ่มีอะไรอยากจะสั่งเอง แต่ภวิลเฉยเขาเลยพูดต่อ บางเรื่องก็ต้องตัดสินใจให้ทันการ
 
“บอกพวกคนเรือว่ายังไม่ต้องข้ามกลับมา คลื่นแรงมากกลัวจะสู้ไม่ไหว”

“ให้ค้างฝั่งนั้นเลยนะครับ?”

จิรัฐพยักหน้า “คลื่นคงยังไม่ซาจนกว่าจะเช้า ช่วยแจ้งแขกอีกทีว่าคืนนี้ขอความกรุณาอย่าเพิ่งออกไปไหน ไม่มีเรือ เหตุผลด้านความปลอดภัย...”

“ครับๆ” ผู้จัดการฟรอนต์รีบไปทำตามคำสั่ง

จิรัฐหันมองคนข้างๆ แบบนี้แปลว่ากลับบ้านด้วยกันไม่ได้ทั้งคู่ ความจริงเขาก็เคยค้างที่นี่เวลางานยุ่งๆ แต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะว่าอย่างไร เขาเอ่ยอย่างเกรงใจ

“ขอโทษครับที่ผมพูดไปก่อน กลัวจะไม่ปลอดภัยถ้าใช้เรือตอนนี้...”

“ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่” ภวิลพูดเรียบๆ “ถ้าคุณจะให้ผมกลับไปตอนนี้สิผมคงคิดว่าคุณอยากฆาตกรรมผม...”

จิรัฐถอนใจ ที่พูดกันดีๆ เมื่อเช้านั้นคงฝันไป แต่ความจริงอีกฝ่ายก็ไม่ได้จะเสียดสีให้เขาเจ็บใจอย่างตอนแรก แค่กวนอารมณ์บ้างเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงตอบกลับ

“ถึงอยากทำอย่างนั้นยังไงผมก็ต้องห่วงชีวิตพนักงานบ้างแหละครับ...” เขาหันไปหาผู้จัดการฟรอนต์ที่หูแนบโทรศัพท์ “ช่วยเปิดห้องให้คุณภวิลด้วย”

“ลงบัญชีผมไว้นะ”

“ไม่ต้องหรอกครับ ความจริงคุณก็มีสิทธิอยู่แล้วในฐานะผู้บริหารที่ถือหุ้นใหญ่...”

“คุณเคยพูดว่าไงนะ... แขกเหมือนเพื่อนที่มาเยี่ยมและเรายินดีต้อนรับเขา” ภวิลพูดต่อคล้ายไม่ได้ยิน “คิดว่าผมเป็นแขกวันหนึ่งก็แล้วกัน”

ผ่านไปครู่ผู้จัดการฟรอนต์จึงวางหูโทรศัพท์แล้วหันมาดูหน้าจอที่แสดงห้องทั้งหมด ก่อนเงยหน้าขึ้นพูดเสียงอ่อย

“ห้องขายหมดแล้วครับคุณจี”

“อะไรนะ”

“ห้องเต็มหมดทุกห้องครับ”

“เอ๊ะ อ้าว...” จิรัฐยืนมึน จากที่ดูตอนเช้าเขายังเห็นว่างอยู่ห้องสองห้อง แสดงว่ามีวอล์กอินเข้ามาก่อนพายุวันนี้เองหรือนี่

ปกติถ้าเป็นโรงแรมอื่นอาจจะมีห้องสำรองไว้บ้าง แต่เพราะจำนวนห้องของโรงแรมบูติกเล็กๆ อย่างนี้มีไม่มากอยู่แล้ว ผู้จัดการคงดีใจปนแปลกใจที่มีแขกต้องการมากจึงขายห้องหมดเกลี้ยง จิรัฐนึกอยากให้มีเรือข้ามฟากได้เสียเดี๋ยวนั้น รถก็อยู่อีกฝั่ง
 
ห้องเดียวที่ใช้ได้ ก็คือห้องพักเก่าของเขาที่อยู่ติดห้องทำงานซึ่งตอนนี้กลายเป็นของผู้บริหารใหญ่แล้วนั่นเอง

“งั้นไม่เป็นไร...” เขาบอกผู้จัดการฟรอนต์แล้วหันมาหาภวิล “คุณใช้ห้องข้างห้องทำงานนะครับ”

“แล้วคุณล่ะ”

“ผมก็... ผม... อืม...” ห้องปัจจุบันของเขาซึ่งเป็นห้องเลขาฯ เก่านั้นมีแค่โต๊ะเก้าอี้แล้วก็ตู้เอกสาร โซฟาหรือที่นอนหมอนมุ้งอะไรก็ไม่มีสักอย่าง อันที่จริงห้องเล็กเกินกว่าจะปูที่นอนยาวได้ด้วยซ้ำ “ผมก็... อยู่ในออฟฟิศไม่ก็ไปนอนห้องหนังสือแหละครับ”

“คุณจี...” ผู้จัดการฟรอนต์ยังอุตส่าห์ได้ยิน “เก้าอี้ยาวในห้องหนังสือนั่นยกไปซ่อมนะครับ... พรมก็ส่งซัก แขกถามวันนี้ผมเลยโทรไปหาฝ่ายซ่อมบำรุงมา ฝ่ายนั้นเพิ่งทำรายงานคงถึงโต๊ะคุณพรุ่งนี้ ในห้องมีแต่เก้าอี้เดี่ยวๆ มีเท้าแขน”

ภวิลเดินห่างออกมาจากฟรอนต์ “ใช้ห้องเดียวกันไม่เป็นไรหรอก”

“คือ...” จิรัฐอุบอิบ “สมัยตอนไปค่าย นอนกลางดินกินกลางทรายยิ่งกว่านี้ ห้องหนังสือก็...”

“ตอนนี้คุณไม่ได้อยู่ค่าย” ภวิลขัด “ไม่รู้จะนอนพื้นไม้กระดานแข็งๆ ให้มันได้อะไร เจ็บหลังเปล่า”

“เอาผ้าห่มปูเข้า...”

อีกฝ่ายถอนใจเฮือก “ได้ข่าวว่าตอนนี้แขกไม่มีที่จะไป ไม่ใช่ทุกคนจะอยากอยู่ในห้อง ผมว่าตอนนี้คงอยู่ในห้องหนังสือส่วนหนึ่ง แขกหลายคนที่มาก็เพราะสนใจประวัติศาสตร์ แล้วคุณก็ตั้งใจให้ห้องหนังสือเข้าได้ยี่สิบสี่ชั่วโมงไม่ใช่รึ ไม่ทราบจะไปปูที่นอนตอนไหน วันนี้มันไม่เหมือนวันงานคุณย่าที่กั้นข้างล่างไว้นะ”

จิรัฐเถียงไม่ขึ้น เขาโพล่ง “ห้องพักพนักงาน!”

ภวิลขมวดคิ้ว “พนักงานกะดึกเข้ามาใช้ห้องเห็นผู้บริหารปูที่นอนกับพื้นคงดูดีมาก น่าจะประทับใจไปอีกนาน”

“ก็ไม่เป็น...”

อีกฝ่ายยกมือ “ผมเหนื่อย รีบๆ นอนซะจะได้เช้าไวๆ”

ตัดบทแล้วก็เดินไปเลย จิรัฐซึ่งจนหนทางได้แต่ตามหลังไปช้าๆ ความจริงห้องนั้นมันก็ห้องเขา แต่จะให้อีกฝ่ายไปนอนที่อื่นก็...

“ผมนอนในห้องทำงานละกัน” เขาว่า นึกดีใจที่ยังมีอีกหนึ่งทางเลือก “คุณใช้ห้องติดกันไปนะ ราตรีสวัสดิ์”

จิรัฐเปิดประตูแต่ไม่ออก เขาหันหาเจ้าของปัจจุบัน “เอ๊ะ คุณล็อกไว้เหรอ”

“เอ๊ะ” ภวิลร้องตาม คลำกระเป๋าซ้ายขวาให้วุ่นวาย “กุญแจอยู่ไหน”

จิรัฐไม่แน่ใจว่าหาไม่เจอจริงหรือเปล่า ทางเดียวที่จะรู้คือลงมือค้นตัวอีกฝ่ายซึ่งเขาไม่ได้เตรียมใจมาถึงขั้นนั้น ได้แต่เข้าไปในห้องติดกัน ค้นเสื้อเปลี่ยนให้โดยไม่พูดไม่จา

กฤตวัตเคยใช้ห้องนี้เหมือนกันตอนทำงานดึกและต้องต่อเช้า เสื้อที่เขายื่นให้ก็เสื้อเพื่อน คนน้องอาจจะตัวเล็กกว่าหน่อยแต่ไม่น่าห่างกันมากนัก พี่ชายก็ดูจะรู้เสียด้วย
 
“เห็นมั้ย คุณยังนอนกับยูได้...” ภวิลว่า “ผมก็เคยนอนกับยู เพราะงั้น...”

จิรัฐคร้านจะอธิบายว่านอกจากตอนไปค่ายซึ่งนอนเรียงกันเป็นตับแล้วก็ใช่ว่าเขาต้องนอนเตียงเดียวกับกฤตวัตอีก หลายหนที่เพื่อนมาค้างห้องนี้เขาก็นอนบ้านเพราะห่วงแม่แล้วรีบกลับมาตอนเช้าตรู่ ระยะทางที่กฤตวัตต้องขับรถกลับบ้านวิรัชภาคย์ไกลกว่าที่เขาจะขับรถกลับบ้านตัวเอง ยิ่งกว่านั้นเขารู้ว่าถ้าดึกแล้วขับรถแบบไม่มีคนคุยด้วย เพื่อนจะหลับเอาได้ง่ายๆ จิรัฐกลัวเกิดอุบัติเหตุ เพราะฉะนั้นจึงบอกให้ใช้ห้องไป

ประเด็นคือต่อให้เขาต้องนอนห้องเดียวกับเพื่อนจริงๆ เขาก็คุ้นเคยกับยูมาจะหกปีเต็ม แต่กับคนพี่...

จิรัฐเลี่ยงออกไประเบียงโทรบอกแม่ว่าต้องค้าง คุยโน่นคุยนี่อยู่พัก กลับเข้ามาอีกคนก็ออกจากห้องน้ำเรียบร้อยแล้ว เขารีบทำธุระจนเสร็จแล้วยืนรีรออยู่ มองอีกฝ่ายสวดมนต์ไหว้พระสั้นๆ
 
แปลกเหมือนกันที่ได้เห็นอะไรแบบนี้ ปกติภวิลแต่งตัวดี เสื้อผ้าเรียบกริบ แต่ตอนนี้อยู่ในชุดนอนเก่าเปื่อยรุ่ยของน้อง ผมเผ้าชื้นแถมยุ่งนิดๆ นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง ยิ่งดูเหมือนคนธรรมดาที่... ไม่น่ากลัวเข้าไปใหญ่

จิรัฐมองเพลินจนอีกฝ่ายสวดจบหันมาหาอย่างสงสัย จึงบอก

“ผมว่าจะปู... ที่นอนแถวพื้น” เขาขยับออกไปหามุมห้องส่วนห่างเตียงที่สุด ในตู้น่าจะมีหมอนผ้าห่มสำรองอยู่บ้าง

“นี่มันอะไรนัก” เสียงภวิลชักหงุดหงิด “ผมไม่ได้จะลุกขึ้นมาฆ่าแกงคุณตอนดึก เชื่อกันแค่นี้ก็ไม่ได้เลยรึ”

จิรัฐลังเลอยู่อีกนิดจึงค่อยๆ เดินเข้าไป เขาก็ไม่ได้อยากให้ภวิลคิดว่าเขาระแวงห่วงความปลอดภัยตัวเองโดยไม่มีมูลถึงขนาดนั้น... อีกฝ่ายลงนอนหลับตาแล้วเรียบร้อย

เขารีบสวดมนต์แล้วขยับตัวให้ชิดริมเตียงอีกด้าน ตื่นอยู่ได้ไม่นานก็เคลิ้มหลับไป ไม่รู้ว่าคนนอนข้างพลิกตัวตะแคงกลับมา มองนิ่งอยู่ครู่

ถึงจะบอกตัวเองไว้ว่าไม่เคยห่วงใยสวัสดิภาพของจิรัฐ ไม่ได้คิดจะเกี่ยวข้องนานเลย แต่ตอนนี้... เมื่อทุกอย่างกระจ่างขึ้น เมื่อเขาประจักษ์ถึงตัวตนของจิรัฐแจ่มชัด และนึกรู้ว่าอาจมีภยันตรายทั้งที่ยังไม่มีต้นสายปลายเหตุใดให้ตามสืบได้ ก็ไม่อาจทิ้งไปดื้อๆ ดูดายปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นอะไร

นี่เป็นความรับผิดชอบของเขา... ในเมื่อดึงดันเข้ามา จะละไปอย่างไม่แยแสชีวิตอีกคนเพียงเพราะได้รู้เรื่องราวทุกอย่างจนหมดสิ้นแล้วก็เกินไป

ภวิลไม่รู้ว่าเขายินดี ‘รับผิดชอบ’ ยินดีและเต็มใจ เกินกว่าที่ตัวเองจะคาดคิดมากนัก


ภวิลรู้สึกตัวขึ้นกลางดึกเพราะที่นอนกระเทือนจนมาถึงเขา ในห้องมืดสนิทด้วยม่านปิดทั้งยังเป็นคืนเดือนแรม นาฬิกาพรายน้ำที่ข้อมือบอกเวลาตีสามครึ่ง

อาการไหวสั่นรุนแรงยังดำเนินอยู่ ภวิลงุนงงด้วยเพิ่งตื่นเต็มตา ก่อนจะทันตั้งตัวท่อนแขนคนอยู่บนเตียงเดียวกันก็ฟาดเข้าที่ท้องน้อยเต็มแรงจนแทบจุก

... นอนดิ้นเหรอเนี่ย

เขาวาดมือโดนแขนชื้นเหงื่อจนซึมผ่านเสื้อนอน บางอย่างบ่งบอกว่านี่ไม่ใช่แค่นอนดิ้นธรรมดา เพียงแตะอีกฝ่ายก็พลิกหนีจนตกเตียง

ภวิลตามลงไปคว้ากลัวจะฟาดโดนกับอะไรเข้าจนเจ็บตัว มือขวาคลำจนเจอสวิตช์โคมไฟหัวเตียง อีกฝ่ายยังปัดป่ายมั่วไปหมด เขารู้แล้วว่าจิรัฐเรี่ยวแรงไม่น้อยจากตอนลากกันออกมาจากบ้านเก่า แต่ครั้งนี้ยิ่งมากกว่าเพราะคนไม่รู้ตัวพยายามต่อต้านเขาทุกวิถีทาง ทั้งผลักทั้งสะบัด โดนเข้าก็หลาย ภวิลได้แต่พยายามจับให้อยู่นิ่งๆ ทั้งที่จิรัฐเบิกตากว้างแต่ดูจะมองไม่เห็นคนที่อยู่ตรงหน้า

เขานั่งคุกเข่าประจันกับจิรัฐอยู่บนพื้น สองมือจับต้นแขนเอาไว้มั่น พยายามเขย่าให้รู้สึกตัว ปากก็เรียกชื่อ พอเขาจับแขนอีกฝ่ายก็ผลักไสกลับมาเต็มแรงจนภวิลต้องเปลี่ยนเป็นรวบข้อมือสองข้างไว้ด้วยกัน และทางเดียวที่เหลืออยู่ตอนนั้นก็คือรั้งร่างตรงหน้าเข้ามากอดแนบอก พยายามกดไว้กับตัวให้หยุดดิ้น

ความจริงเขากอดน้องมาไม่รู้กี่ครั้ง การกอดเพื่อนน้องก็ควรจะให้ความรู้สึกคล้ายกัน แต่นี่ไม่เหมือน... และภวิลก็ไม่มีเวลาไตร่ตรองว่าไม่เหมือนอย่างไร
 
อีกฝ่ายดิ้นรนด้วยสีหน้าทรมาน เหงื่อไหลท่วม พึมพำอะไรไม่ได้ศัพท์ จนเขาคิดเป็นอื่นไม่ได้นอกจากอยากจะช่วยให้พ้นสภาพนี้เท่านั้นเอง


จิรัฐรู้สึกว่ามีมือหลายสิบกลุ้มรุมลากตัวถอยหลัง หน้าครูดไปกับสนามหญ้า พยายามเอี้ยวตัวไปมองแต่ก็ไม่เห็นมือหรือใครทั้งนั้น รู้แต่ว่ายังเหมือนถูกลากไปข้างหลังด้วยความเร็วอยู่ จับคว้าอะไรไม่ได้ กำลังตรงไปหาสระน้ำ...

สระบัว... สระบัวหลวง เขาหล่นลงไปในน้ำ และยังดำดิ่งลงไปเรื่อยๆ บึงบัวที่สวยงามเยียบเย็นนัก เขาพยายามยื่นมือขึ้นไป แต่แสงรำไรที่ผิวน้ำห่างไกลออกไปทุกที มีแต่ความมืดมิด มืด... เขาเริ่มหายใจไม่ออก ไม่มีใครช่วยได้เลย...

ท่ามกลางความมืดดำและเงียบงัน จิรัฐได้ยินเสียงเรียกดังแว่ว เหมือนมาจากที่ไกลโพ้น แต่ค่อยใกล้ขึ้นเรื่อยๆ

“... รัฐ... จิรัฐ... จี...!

จิรัฐสะดุ้งเฮือก แสงจากโคมไฟสาดเป็นเสี้ยวต้องแผ่นหลังของใครคนหนึ่ง ไม่ไกลนักคือผ้าห่มยับย่นที่แทบจะไหลกองกับพื้นหมดทั้งผืน

ภวิลคลายมือลงเมื่อรู้สึกว่าคนในอ้อมแขนหยุดดิ้น ดันตัวออกเล็กน้อยจนมองหน้าอีกฝ่ายได้ถนัด ใจชื้นที่อย่างน้อยดูเหมือนว่าจิรัฐจะมองเห็นเขาและกลับมาสู่ความเป็นจริงแล้ว มืออีกข้างยังลูบหลังไหล่อยู่โดยอัตโนมัติ

“มันเป็นแค่ฝันร้ายน่ะ... แค่ฝันร้ายเท่านั้นเอง”

เมื่อก่อนตอนยูมาอยู่บ้านใหม่ๆ เพิ่งเสียพ่อทั้งยังแปลกที่ ก็ฝันร้าย... สะดุ้งตื่นมาร้องลั่น เขาเป็นคนแรกที่วิ่งเข้าไป ต้องเปิดไฟให้สว่าง ปลุกปลอบกันอยู่นานกว่าจะยอมนอน ไม่คิดว่ายังต้องมาปลอบเพื่อนน้องอีกในเวลาต่อมา

ภวิลดึงแขนคนตรงหน้าให้ลุกไปนั่งบนเตียง รินน้ำมายื่นให้ จิรัฐสูดลมหายใจสั่นสะท้านแล้วรับมาจิบ พึมพำขอบคุณเบาๆ

คนรับแก้วน้ำกลับไปวางเหลือบมอง เรื่องที่รุมเร้าสะสมเข้ามาให้แบกรับอยู่เนิ่นนานคงทำให้ฝันร้ายไม่หยุดหย่อน เขาสงสาร... และคราวนี้ไม่ใช่แค่... เกือบจะสงสาร... อีก

“คุณฝันร้ายบ่อยหรือ”

“เคย... บ้างครับ แต่ไม่ได้เป็นสักพักแล้ว”

จะว่าเพราะเครียด เพราะคิดมาก เพราะความรู้สึกผิดถ่วงหนักในใจอย่างตอนแรกก็ไม่น่าใช่ ตั้งแต่บอกทุกอย่างหมดสิ้นและการเผยความลับไม่ได้ทำให้คนเป็นพี่ชายรู้สึกทางลบกับน้องอย่างที่กลัว จิรัฐก็... สบายใจขึ้นบ้าง อาจจะนับได้ว่าเป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นกับเพื่อน แล้วทำไมฝันร้ายถึงยังตามมาหลอนหลอกอยู่

ที่สำคัญ เขาไม่รู้สึกว่าเหมือนฝัน... จิรัฐคิดว่ารู้สึกตัวอยู่ แค่เหมือน... เห็น เหมือนได้ยินจริงๆ ได้ยินกระทั่งเสียงน้ำแตกกระจายตอนตัวเองตกลงไป นั่นแหละที่แปลก

“ผมไม่ได้หลับ” เขาพยายามบอก “เหมือนมันเกิดขึ้นจริงๆ”

“ฝันน่ะ...” อีกฝ่ายว่า “บางครั้งก็เหมือนจริง”

“แต่ผมเห็น...”

“คุณไม่ได้ออกจากห้องเลย” ภวิลพูด พยายามให้เบาใจ “ดูสิ ประตูยังล็อกอยู่”

จิรัฐลูบหน้าอย่างสับสน แทบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำเมื่ออีกฝ่ายค่อยจับให้นอนลง มืออบอุ่นยังแตะอยู่ที่หัวไหล่ เลื่อนขึ้นลงเบาๆ ราวจะให้วางใจ

“นอนเถอะ... เดี๋ยวก็เช้าแล้ว”


... เสียงนกร้องอยู่ไม่ไกล ภวิลพลิกตัวตะแคงข้าง กลิ่นหอมเย็นรื่นลอยมาเข้าจมูกตั้งแต่ก่อนเปิดเปลือกตา

เขามองช่อดอกไม้สีขาวนวล กลีบเล็กบอบบาง เกสรแต้มจุดเหลืองอ่อน ยังหมาดชื้นจากหยาดน้ำฝนหรือไม่ก็น้ำค้างอย่างแปลกใจ
 
... ชมนาด

ดอกไม้... วางหัวนอนให้แขก

แต่ของ ‘แขก’ คนนี้ไม่ใช่ราชาวดี

ภวิลยิ้มนิดๆ ลุกขึ้นนั่ง หยิบช่อชมนาดขึ้นพิจารณา กลิ่นนุ่มนวลคล้ายใบเตยพาให้ใจสงบ เขาเดินไปเปิดบานหน้าต่างออกกว้าง ม่านขาวนวลแผ่วพลิ้วด้วยลมที่โชยมาเบาๆ พอพายุพัดผ่านไป ก็มีเพียงระลอกคลื่นไล่ตามกันอย่างอ่อนโยนบนผืนน้ำอาบด้วยแสงสีทองของยามเช้า

... ชมนาด ไม่ใช่ราชาวดี เพราะเขาเคยแสดงให้รู้ว่าชอบชมนาดมากกว่า...

ภวิลทำธุระส่วนตัวจนเสร็จ นึกรู้ว่าคนร่วมเตียงเดียวกันเมื่อวานคงลุกไปแต่เช้ามืดแล้ว เขาผลักประตูห้องทำงานที่ติดกับห้องพักออก ต้องยิ้มขันอีกครั้งเมื่อกุญแจยังเสียบคาไว้ให้ที่ประตู

... อีกฝ่ายคงเพิ่งนึกได้เอาตอนเช้าว่าต้องหยิบกุญแจจากกางเกงที่เขาถอดไว้เมื่อวาน ไม่รู้จะทำหน้ายังไงเมื่อต้องลงมือรื้อค้นเอากับเสื้อผ้าใส่แล้ว

เขาเอาชมนาดช่อนั้นสอดไว้ในสมุด แล้วย่นหัวคิ้วอย่างครุ่นคิด เดินกลับไปเปิดประตูก่อนจะปิดลงใหม่

จู่ๆ ภวิลก็ประหวัดนึกถึงเหตุการณ์ที่บ้านเก่าหลังนั้น เขาเคยคิดว่าเพราะยูรีบร้อนตอนออกมาเมื่อครั้งก่อนกับจิรัฐ จึงลืมล็อกประตู ทำให้เขาเข้าไปได้อีกโดยง่ายดาย

แต่ถ้ากลับกัน... ถ้าก่อนที่เขาจะถึงบ้านหลังนั้นพร้อมจิรัฐ มีคนเข้าไปก่อนแล้ว และตั้งใจไม่ลั่นดาล เพราะอยากให้เขากับจิรัฐเข้าไปในบ้านเพื่อจะได้เกิดเหตุการณ์อะไรบางอย่างขึ้นล่ะ...

... แต่เรื่องนี้เขาไม่มีหลักฐานเอาจริงๆ เรียกว่ามืดแปดด้านกว่าตอนตามสืบเรื่องน้องอีก ดีไม่ดีบางทีเหมือนคิดไปเองด้วยซ้ำ เพราะจะมีใครรู้ได้อย่างไรว่าเขากับจิรัฐเกิดอยากเข้าไปที่บ้านนั้น... วันนั้น ดูประจวบเหมาะจนเกินไป

ภวิลถอนใจ จะมีมูลหรือไม่ก็ตาม จะเป็นอุบัติเหตุ หรือเหตุจงใจก็ตาม เขาคิดว่าการชะลอบ้านมาปลูกใหม่ให้แข็งแรง ใกล้หูใกล้ตา น่าจะเป็นทางออกทางหนึ่ง เพียงแต่ก่อนจะเจรจาซื้อหรือทำอะไรต่อไป...

... ต้องรู้ก่อนว่าบ้านนั้นเป็นของใคร


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

คุณ yeyong ขอบคุณค่า เขียนไปก็กลัวไม่ตื่นเต้นอยู่เหมือนกันนะนี่
คุณ naiin สงสัยคงต้องเป็นงั้น... แต่ต้องให้เวลาเขาหน่อยนะ...
คุณ chompoonut139 จริงด้วยค่ะ เข้าใจแล้วแหละ ก็ไม่ใช่คนเข้าใจอะไรยากจนเกินไปเนอะ...
คุณ bulldog17 กระจ่างว่าจีเป็นเพื่อนดีแน่แล้วค่า 55
คุณ AprilSnow ชอบคนอ่านเรื่องนี้มาก มีอะไรมาสงสัยได้ตลอด จีเป็นไมเกรนค่ะ (จริงๆ) แต่ว่า... หรือมันจะมีอะไรมากกว่านั้น...
คุณ @Iriz จีรู้สึกผิดจริงๆ แต่น่าจะดีขึ้นบ้างหลังจากบทนี้ คนเขียนชอบพระเอกที่พูดแล้วฟังอะ (ส่วนตัวมาก) ไม่ทิ้งค่ะ คนอ่านก็อย่าเพิ่งทิ้งเค้าเหมือนกันน้า ขอบคุณสำหรับบวกและเป็ดมากค่ะ
คุณ gupalz ขอบคุณที่แวะเข้ามาค่า ฝากตอนต่อไปด้วยนะคะ
คุณ coon_all เนอะๆ แต่ถ้ายูไม่ตาย มันจะเป็นรักสามเส้าพี่น้องละป่าว เรื่องลงเอยกันก็... โปรดติดตามต่อไปนะคะ
คุณ LUCKY STAR แต่แม่ยูก็เป็นแม่แท้ๆ ส่วนคนสวนเขาก็เป็นคนเก่าแก่รู้จักกับพ่อแม่จีเลยนะ ไม่น่าเกี่ยวอะไรกับยูเลยด้วย ยังไงดี พี่อาร์มกับเชฟ หรือหมอหมัดก็น่าสงสัยมั้ยน้า...
คุณ janamanza คนเขียนก็... อยากให้เขารักกันนะ 55 แต่ว่านิดนึงค่ะนิดนึง ค่อยๆ ไป จะได้รักนานๆ
คุณ bluebird ใช่ค่ะต่อจากนี้ความรู้สึกคงเป็นบวกบ้างแล้วแหละ ให้คุณพระเอกรับผิดชอบยังไงดี อิอิ
คุณ PetitDragon ขอบคุณมากๆ ค่า ฝากตอนต่อไปด้วยนะคะ
คุณ uknowvry คนเขียนถึงกับต้องระลึกชาติหาเลิฟโมดว่าคู่ไหน แต่จากไปแบบนี้เศร้าจริงๆ แหละค่ะ
คุณ berlyn อร๊าย ถ้าเขาออกไปตอนนี้ใครจะช่วยจีไขปมต่อล่ะ... แล้วเขาก็แอบผูกพันแล้วด้วยนิดๆ 55
คุณ i-love-you ขอบคุณมากนะคะ ยูก็คงดีใจแหละที่พี่ไม่เข้าใจเพื่อนผิดๆ อีกน่ะ แต่ที่เกิดอุบัติเหตุสองครั้งซ้อนจริงๆ แล้วเป็นเพราะอะไรก็... ฝากตอนต่อไปด้วยนะคะ (ตลอด)
คุณ Pupay ขอบคุณมากที่แวะเข้ามานะคะ ชอบคำว่าพระเอกโง่กำลังดีจังเลย 55 คือต่อไปเนี่ยฮีจะมีบทบาทในการไขปมพอสมควร แถมยังปูเรื่องเป็นนักธุรกิจเก่งอีก เพราะฉะนั้นถ้าฮีโง่มาเลยแต่แรกมันจะดูไม่น่าเชื่อได้ กร๊าก ฝากตอนต่อไปด้วยค่า
คุณ Cherry Red ใช่ค่ะ เพราะความประมาทและรู้เท่าไม่ถึงการณ์จริงๆ ทั้งจีและยูก็ไม่คาดคิดว่าเรื่องราวจะออกมาเป็นแบบนี้ จริงๆ แล้วพอคุณภวิลแกเข้าใจแกก็ไม่โหดนะ (หรือไง) เรื่องบ้านอีกหลังก็มีความสำคัญค่ะ ขอบคุณมากนะคะที่ติดตาม
คุณ malula ถูก... เพราะฉะนั้นก็ให้เขาเยียวยาจิตใจกันต่อไป... ฝากตอนหน้าด้วยนะค้า
 
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
บทนี้ยังไม่ค่อยอะไร (แต่กำลังจะนำไปสู่ความอะไรๆ ในอนาคต) ให้เวลาสองคนเขาปรับความรู้สึกกันนิดนึง หุหุ

ปล. คุณภวิล คลับคล้ายจะเป็นนักสืบแทนนักธุรกิจอยู่รอมร่อ แต่บทนี้ที่จริงแล้ว... เบาะแสเยอะอยู่นะ...

ต้องขอบคุณผู้อ่านทุกท่านมากๆ เช่นเคยค่า
  :กอด1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-03-2012 14:01:30 โดย เดหลี »

dawnthesky

  • บุคคลทั่วไป
เรื่องราวซับซ้อนขึ้นนะคะ ตอนแรกคาดว่าจะไม่มีเรื่องราวอะไรแล้ว แต่จากที่อ่านเหมือนจะมีเรื่องอะไรที่ "ลึก" ไปกว่านี้อีก และคิดว่าคงเป็นที่มาของชื่อเรื่อง "รอยรัก จำหลักใจ" อย่างแน่นอน

ปล. ตอนที่กำลังอ่านเรื่องนี้ บังเอิญกำลังนั่งอยู่ในบ้านทรงไทยเก่า ๆ  ริมคลองได้บรรยากาศเหมือนบ้านเจ้าพระยาหรือเปล่าไม่รู้ แต่อนุมานว่าเหมือนกันก็แล้วกันนะ  (หุหุ.....บ้านเราเอง)

เป็นกำลังใจให้ค่ะ :L2:


ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
ภวิล กำลังกลายร่างเป็นโคนันแล้ว  :laugh:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
งั้นคงเป็นวิญญาณแล้วล่ะ เพราะคนก็ไม่น่าจะรู้อะไรล่วงหน้าหรือชักจูงให้ทำอะไรได้

ออฟไลน์ ลูกลิงตัวอ้วน

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 130
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ภาษางามมากครับ อ่านลื่นไม่มีสะดุดเลย
มาต่อบ่อย ๆ นะครับ

ออฟไลน์ janamanza

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 649
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-2
เป็นบทที่ให้ความรู้สึกเรื่อยๆดีนะค่ะ  แคต่ก็ยังปริศนาให้ค้นหาอีกเยอะ
มาบ่อยๆหน่อยสิค่ะ  นานๆมาทีคิดถึงนะ

ออฟไลน์ @Iriz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-2
ตอนนี้เหมือนจะมาแบบเรียบๆเรื่อยๆ แต่แอบมีปมซ่อนไว้เต็มไปหมดเลย
ส่วนภวิล เริ่มรู้สึกดีๆกับจีแล้วใช่มั้ยล่ะ  :o8:

ออฟไลน์ berlyn

  • Put Van The Man on the jukebox then we start to dance
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 265
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +32/-2
รู้สึกว่า เรื่องนี้จะมีสิ่งลึกลับ (?) รึเปล่าคะ กลัวอ่ะ

มาคิดๆดูแล้ว ที่คานหล่นลงมาบางทีนะบางที มันอาจไม่ใช่ความบังเอิญก็ได้ เพราะว่า ความเป็นไปได้ที่จะเกิดเหตุการณ์ซ้ำกันสองครั้งในเวลาที่ต่างกัน ก็คงน้อย
แล้วทำไมต้องหล่นตอนมีคนเข้าไปด้วยล่ะ...เหมือนรู้เวลาเลยเนอะ
บวกกับที่จีฝัน แต่บอกว่าตัวเองไม่ได้หลับอีก อาจมีวิณญาณตามก็ได้อ่ะ (คิดไปนู่นนนน)

ออฟไลน์ PetitDragon

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +343/-5
มีเงื่อนงำเยอะมาก  น่าติดตามทีเดียว


อยากเห็นตอนหวานๆ บ้างจัง


รอตอนต่อไปครับ  o13

luvsin

  • บุคคลทั่วไป
อ่านเรื่องนี้แล้วรู้สึกกลัวอย่างบอกไม่ถูก

ปล. คืนนี้อิฉันจะนอนหลับไหมเนี่ย

ออฟไลน์ Cherry Red

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 882
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-0
แม้ปมการเสียชีวิตของยูจะกระจ่างแล้ว ( เรื่องสาเหตุการตาย )
คุณภวิล และ หนูจี ก็เข้าอกเข้าใจกันมากขึ้น ขยับเข้ามาใกล้กันมากขึ้นอีกหน่อย ( ทั้งตัวและใจ )
บรรยากาศความอึดอัด ตึงเครียดระหว่างตัวเอก เริ่มสลายตัว แต่ความสงสัยในหลาย ๆ ปมปริศนา กลับพุ่งสูงขึ้น
จะมองให้เป็นเรื่องเหนือธรรมชาติก็ได้ จะให้คิดว่าเป็นเรื่องทางวิทยาศาสตร์มีเหตุผลมารองรับ ก็ได้อีกเช่นกัน
ที่สำคัญยังไม่มีตัวละครใด (ที่ปรากฎตัวแล้วในเรื่อง) เผยพิรุธอะไรออกมาให้เห็นเลยสิ... ยากจะคาดเดาจริง ๆ :serius2:






pattybluet

  • บุคคลทั่วไป
 :sad4:อ่านตอนที่แล้ว เรื่องยู เศร้ามากค่ะ
เป็นเรื่องที่น่าเสียดายจริงๆที่ยูไม่อยู่แล้ว
ส่วนตอนนี้ พี่วินมาทิ้งปมไว้ ทำให้เราอดสงสัยคุณลุงคนสวนไม่ได้(อาจไม่เกี่ยว แต่เราสงสัย ฮ่าๆๆ)

ออฟไลน์ Mookkun

  • magKapleVE
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 637
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
    • Consensual free relationships
ขอสมัครติดตามด้วยอีกคนนะฮะะ :))
สนุกฮะะ
งั่มๆ ดูมีเงื่อนงำ เพิ่มมาเรื่อยๆ.

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ mellowshroom

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 976
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-1
 :mc4: :mc4: :mc4: :mc4:

อ่านแล้วลุ้นตลอดเลย ..ชอบๆๆ

สนุกดี.. รออ่านตอนใหม่จ้าา

 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ Pupay

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 904
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-1
ว้ายยย มาอัพแล้ว >,,<
มาตามอ่านช้าเพราะงานยุ่ง เข้าเรื่องๆ
ตอนนี้เหมือนจะมีอะไรให้คิดโผล่มาค่อนข้างเยอะ ทั้งปมเรื่องการตายของยู
ที่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีแค่นั้น แล้วก็ความฝันของจี ที่ให้ความรู้สึกแปลกๆว่ามันเหมือนมีอะไรสักอย่าง
รวมทั้งความรู้สึกของพี่วินรูปหล่อของเรา  :impress2: แอร๊ยยยยยย ที่กำลังพัฒนากระดึบๆไปในทางที่ดี
และสุดท้ายนี้ ขอขอบคุณคนแต่งค่ะ  :กอด1: แรงๆ
 :pig4:

ออฟไลน์ myd3ar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1531
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-4
มันมีสิ่งลึกลับเหนือธรรมชาติหรือเปล่าเนี่ย

สนุกมากๆ ชอบแนวนี้ที่สุด o13 o13

ออฟไลน์ j4c9y

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2820
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +178/-7
คุณภวิลครับ

มันมีอะไรมากกว่านั้นอย่างที่คิดป่าวอ่ะครับ

ออฟไลน์ BeeRY

  • ❤。◕‿◕。ยิ้มเข้าไว้นะ。◕‿◕。❤
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 9404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +897/-8
เพิ่งเข้ามาอ่านค่า ติดตามมาจากสมาคมขนสั้นน่ะค่ะ :-[
แต่เรื่องนี้คนละแนวเลย ทำไมอ่านๆไปเหมือนได้บรรยากาศสยองขวัญก็ไม่รู้ โดยเฉพาะตอนไปบ้านร้างกัน :a5:
เอาใจช่วยน้องจีกับพี่วิน ร่วมด้วยช่วยกันแก้ปริศนานะคะ :กอด1:

ออฟไลน์ namngern

  • Flowers need to bloom
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1848
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-2
ชอบคะ รออ่านนะคะ
คนแต่งอย่าหายน้า

ออฟไลน์ Ipatza

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 932
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-7
เพิ่งได้มาอ่าน
บอกตรงๆว่าลึกซึ้งทีเดียว
สงสัยปม อย่าง คือแม่ของ ยู กับลุงชม?
มันอะไรยังไง
เรื่องราวจะทรับซ้อนแล้วนะเออ

ออฟไลน์ เดหลี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +254/-3
บทที่ 8

ธรรมนูญเข้าที่ทำงานแต่เช้าตรู่เพราะใกล้ต้องปิดงบประจำปี งานรุมต่อเนื่อง ยอดจองห้องพักและจัดเลี้ยงทั้งในและนอกสถานที่เพิ่มสูงขึ้นมาก การปรับปรุงโครงสร้างบริหารบางอย่างรวมทั้งสระว่ายน้ำกลางกอบัวเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยาคงเป็นหนึ่งในสาเหตุ ทั้งหมดมาจากดำริของผู้บริหารที่ยังถือหุ้นใหญ่อยู่นั่นแหละ

เขาจอดรถเสร็จก็ดิ่งไปท่าน้ำ แล้วจึงได้รู้ว่าตัวเองได้โดยสารเรือเที่ยวแรกของบ้านพระยา และที่เป็นเที่ยวแรกก็เพราะเมื่อคืนพายุฝนกระหน่ำจนไม่ปลอดภัยที่เรือเล็กจะข้ามฝั่ง

เขานึกห่วงรุ่นน้องขึ้นมา รู้ว่ามักออกจากที่ทำงานตอนค่ำมืดแล้ว แต่อาจจะกลับไปก่อนพายุเข้าก็ได้ เมื่อวานเขาเองก็มีประชุมข้างนอกตั้งแต่บ่าย เลยไม่ได้กลับมาโรงแรมอีก

ตอนกำลังจะก้าวขึ้นเรือก็มีเสียงตะโกนมาแต่ไกล

“รอก่อนคร้าบ... รอด้วย...”

ทักษ์วิ่งหน้าตั้งกระเป๋าสะพายปลิวตรงมาท่าเรือ ธรรมนูญรีบบอกคนขับว่าอย่าเพิ่งออก พอเห็นเขาเข้าเชฟก็ยิ้มแต้

“มอร์นิ่งอาร์ม”

“อืม” ธรรมนูญพยักหน้า ดูให้เพื่อนร่วมงานลงเรือเรียบร้อยแล้วก้าวตามไป “รู้รึเปล่าเมื่อวานพายุเข้าหนัก นี่เพิ่งจะมีเรือ”

“เห็นเมฆครึ้มตั้งแต่บ่ายแล้วล่ะ ไม่นึกว่าจะหนักขนาดนี้เหมือนกัน” ทักษ์ตอบ “กลับมาสวนกับกะค่ำที่ไปเปลี่ยน พอเรือมาถึงฝั่งนี้ครบทุกลำฝนตกหนัก คลื่นแรงมาก คุณจีเลยให้คนโทรมาบอกพี่ๆ คนขับเรือว่ายังไม่ต้องกลับไปจนกว่าจะสงบ”

“เขาสั่งเองหรือ” ธรรมนูญเลิกคิ้ว ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าจิรัฐต้องค้างอยู่อีกฝั่งจริงๆ “เออ จะเป็นไงบ้าง... ”

“อาร์มน่ะ อะไรๆ ก็...”

“หือ?”

“เปล่า”

แล้วทักษ์ก็ไม่พูดกับเขาอีกจนกระทั่งเรือเทียบท่า ธรรมนูญออกงง แต่คิดว่าอาจจมอยู่กับเมนูใหม่หรืออะไรสักอย่างเลยไม่ได้กวน เขาแยกกับเชฟใหญ่ที่เดินดุ่มๆ ไปทางเรือนครัวตรงท่าน้ำ ธรรมนูญแวะโถงหน้าก่อนเพราะมีเรื่องงานต้องคุยกับฟรอนต์

ผู้จัดการกะเมื่อคืนกำลังจะกลับพอดี เห็นเขาเข้าก็รีบบอก

“ห้องเมื่อคืนขายหมดเกลี้ยงนะครับ”

“ดีเลย” ธรรมนูญว่า “ถ้างั้น...”

“ไม่มีห้องจนผู้บริหารเราต้องใช้ห้องเดียวกัน” ฟรอนต์ครึ้มอกครึ้มใจ “ดีนะครับที่ท่านเป็นคนไม่เจ้ายศเจ้าอย่างทั้งคู่ ทั้งคุณภวิลแล้วก็คุณจี...”

“หา!” ธรรมนูญร้องลั่นล็อบบี้ ผู้จัดการฟรอนต์มองเขางงๆ

“พี่อาร์มเสียงดังอะไรแต่เช้า” คนต้นเหตุเดินออกมาจากห้องทำงานด้วยสีหน้าปกติ “นี่ดีว่ายังไม่ค่อยมีแขกแถวนี้...”

ธรรมนูญโปะแฟ้มลงบนเคาน์เตอร์ บอกว่าถ้าแคชเชียร์กับฟรอนต์กะต่อไปมีอะไรสงสัยให้โทรถาม แล้วเดินแกมวิ่งไปหารุ่นน้อง พูดในระดับได้ยินกันสองคน

“จีไม่ได้กลับบ้านเหรอเมื่อวาน”

“ออกมาคลื่นก็แรงมากแล้ว เลยบอกคนเรือว่า...”

“แล้วทำไมคุณภวิลยังอยู่อีกล่ะ” ธรรมนูญขัด “เย็นป่านนั้น มีงานอะไรให้ดูอีก ส่วนใหญ่เขาก็ให้จีทำไม่ใช่หรือ”

จิรัฐพยักหน้า เมื่อตอนต้องเป็น ‘ผู้ช่วย’ เขาเข้าใจว่าคงได้แตะเฉพาะงานธุรการ แต่ที่ผู้บริหารคนใหม่บอกว่าไม่อยากได้แค่เลขาฯ เป็นเรื่องจริง เขาก็เลยทำเกือบจะเหมือนเดิม มีบางเรื่องเท่านั้นที่ต้องรอการตัดสินใจ เมื่อก่อนก็อึดอัดอยู่บ้าง แต่ไม่รู้เมื่อไรเหมือนกันที่ค่อยบรรเทาเบาบางลง คงเพราะเริ่มแน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายไม่ได้ต้องการทำลายทุกสิ่งที่พ่อแม่ของเขาสร้างมากับมือ โดยเฉพาะเมื่องานระยะหลังถูกสานต่อโดยน้องชายของตัวเอง
 
“แล้วที่ต้องใช้ห้องเดียวกัน...”

จิรัฐเงยหน้าขึ้นอย่างฉงน และธรรมนูญก็จนปัญญาจะถามต่อ กลายเป็นว่าต้องเปลี่ยนเรื่องเอง

“โรงแรมเราไม่ใช่ธุรกิจหลักเขานะ ทำไมถึงได้สนใจมากขนาดนี้”

“ยังไงเขาก็ถือหุ้นใหญ่อยู่น่ะพี่อาร์ม” จิรัฐบอก “ยังมีสิทธิ”

ธรรมนูญสะดุดหูจนต้องก้มมอง ปกติทุกครั้งที่รุ่นน้องเอ่ยถึงเรื่องหุ้นส่วนใหญ่ที่ตกไปอยู่ในมือภวิลด้วยการบังคับเทคโอเวอร์ เขารับรู้ได้ถึงความกดดันเหมือนจะระเบิดเพราะหาทางออกไม่ได้ เหมือนถูกปิดกั้นไว้หมดทุกวิธี แต่ตอนนี้ร่องรอยคับข้องใจจางหายไปมาก

เขาไม่เชื่อว่าจิรัฐจะยอมงอมืองอเท้าอยู่เฉยๆ ปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามโชคชะตาเพียงเพราะผู้บริหารคนใหม่ทุ่มอำนาจเงินที่เหนือกว่าลงมากว้านซื้อหุ้น อย่างไรเขาก็ยังอยากให้จิรัฐได้สัดส่วนถือหุ้นมากที่สุดเหมือนเดิม
 
... คราวนี้ดูเหมือนรุ่นน้องจะพอเห็นวิธีบ้างแล้ว ถึงมีท่าทีเปลี่ยนไปเมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้กับเขา

และธรรมนูญก็ไม่ลังเลที่จะเสนอเรื่องที่คิดหาทางเอาไว้ออกไป
 
“เมื่อวานที่พี่ไปประชุมมา มีบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ข้ามชาติกับโรงแรมใหญ่สนใจเราอยู่พอสมควรนะ”

จิรัฐไม่ได้ตอบ แต่เดินนำไปห้องทำงาน เรื่องแบบนี้ไม่สมควรจะพูดกันอยู่ตรงล็อบบี้ที่ใครก็เดินผ่านไปผ่านมาได้ ลงนั่งเรียบร้อยธรรมนูญก็พูดต่อ

“แน่ใจว่าต้องมีสักสองสามเจ้าที่อยากได้ เกริ่นๆ กันมาบ้างแล้ว... ถ้าเขาเสนอราคาดี คุณภวิลอาจจะสนใจขายหุ้นออกบ้างก็ได้”

จิรัฐรู้ว่าผู้จัดการการเงินพยายามดึงสัดส่วนการถือหุ้นใหญ่กลับมาให้เขา ที่ต้องหาบริษัทอย่างน้อยสามแห่งก็เพื่อคานอำนาจกัน ไม่อย่างนั้นผู้ถือหุ้นใหญ่อาจกลับกลายเป็นบริษัทอื่นแทน
 
“ผมขอบคุณที่พี่อาร์มคิดห่วงเรื่องนี้อยู่เสมอ” จิรัฐพูด สบตาอีกฝ่ายเพื่อบอกว่าหมายความตามนั้นจริงๆ “แต่วิธีที่ว่ามามีบางอย่างที่ผมยังไม่ค่อย... สะดวกใจ ตัดเรื่องที่คุณภวิลอาจจะไม่ยอมขาย หรือถ้าขายก็เรียกราคาที่ไม่มีใครสู้ได้แล้ว ผมก็ยังอยากให้บ้านพระยาบริหารโดยคนไทย อยู่ในมือคนไทยทั้งหมดอย่างที่พ่อกับแม่สร้างมา”

“แต่โอกาสแบบนี้หาไม่ได้ง่ายๆ พี่ว่าจีลองคิดดูดีๆ ชั่งน้ำหนักกันกับสิ่งที่จะได้”

“พี่อาร์มคิดว่าเขาสนใจเราเพราะอะไร เพราะเรากำไรสูง โตขึ้นแบบเรียกได้ว่าก้าวกระโดด แล้วที่ผลประกอบการดีขนาดนี้ก็เพราะ...”

ธรรมนูญทิ้งตัวพิงพนักเก้าอี้ หลายครั้งหลายหนที่เคยตั้งคำถามกับตัวเองว่าจรรยาบรรณทางธุรกิจคืออะไร โค้งงอได้แค่ไหนกันแน่ ในโลกแห่งการแข่งขันที่ผู้แข็งแกร่งที่สุดเป็นฝ่ายชนะ คำว่า ‘มารยาททางธุรกิจ’ ดูจะไร้ความหมายไปเสียแล้ว

แต่เขารู้ว่าจิรัฐพูดความจริง และพูดด้วยความยุติธรรม ที่บ้านพระยาได้รับความสนใจอย่างที่เขายังคาดไม่ถึงเมื่อได้พบปะพูดคุยกับบริษัทต่างๆ นอกรอบประชุมเมื่อวาน ก็เพราะมีกำไรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยการบริหารของผู้ถือหุ้นรายใหญ่คนใหม่นี่เอง จิรัฐพูดต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
 
“ผมคิดว่าไม่สมควรที่จะพยายามหาวิธีบีบให้เขาออกไปหรือขายหุ้นตอนนี้ ในเมื่อทุกอย่างที่ทำให้มีบริษัทอื่นมาเสนอราคาหรือแสดงความสนใจในกิจการเรา มันก็มาจากเขา...”

“แล้วทีเขาทำเราล่ะ!” ธรรมนูญร้องอย่างอดไม่ได้ “ที่เขาบังคับเทคโอเวอร์ตอนแรก ตั้งใจไม่ให้ทันรู้ตัว ไม่ผิดมารยาทหรือ เขาทำเราก่อน... พี่ยอมรับก็ได้ว่าคุณภวิลบริหารเก่ง แต่เขาเองก็ได้ประโยชน์ไปไม่น้อยแล้วไม่ใช่หรือไง”

“การเอาคืนแบบนี้ไม่ได้ทำให้เราดีกว่าตรงไหนเลยพี่อาร์ม” จิรัฐพูดอย่างที่คู่สนทนารู้ได้ว่าตกลงใจเด็ดขาด ก่อนตบท้าย “พ่อแม่ผมไม่ได้สอนให้ทำธุรกิจอย่างนี้”

ธรรมนูญหลับตาคลึงขมับ คนนั่งตรงข้ามพูดเสียงอ่อนลง

“ผมรู้ พี่อาร์มหวังดี... ไม่ใช่ผมไม่เคยคิดเรื่องอำนาจบริหาร แต่ตอนนี้ที่สำคัญที่สุดคือหาทางระดมทุนเพิ่มมากกว่า เพราะกิจการกำลังโต ที่ผมคิดเอาไว้ ก็คืออาจเอาเข้าตลาดหลักทรัพย์ ดีกว่าเสียดอกเบี้ยถ้าต้องกู้ เพราะผมไม่คิดว่าคุณภวิลจะใช้กำไรของวินเนอร์พร็อพเพอร์ตี้หนุนเราไว้ตลอดในเมื่อทางนั้นก็มีโครงการอีกสารพัด”

ธรรมนูญมองรุ่นน้องอย่างประหลาดใจ เขาไม่เคยคิดว่าจิรัฐมีจุดประสงค์หลักต่างออกไปแล้ว จริงอยู่ทุกอย่างที่พูดมานั้นเห็นแก่ประโยชน์ของบ้านพระยาเป็นสำคัญ แต่วิธีนี้หมายความว่า...

“มันอาจจะไม่กระทบสัดส่วนการถือหุ้นของคุณภวิลเลยนะ” ธรรมนูญพูดช้าๆ ไม่แน่ใจว่าตัวเองเข้าใจอีกฝ่ายถูกต้องแล้วหรือยัง “ถ้าเขาไม่กระจายหุ้นออก ซึ่งมีสิทธิทำได้ ก็เท่ากับสถานะผู้ถือหุ้นใหญ่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลย”

“เรื่องนั้น... ไม่สำคัญกับผมเท่าเห็นบ้านพระยาเติบโตต่อไปหรอกพี่อาร์ม อย่างน้อยวิธีนี้ก็จะทำให้เรามีแหล่งเงินทุนหมุนเวียนระยะยาวได้”

ธรรมนูญถอนใจอย่างจำนน ถ้ารุ่นน้องตัดสินใจอย่างนี้แล้วเขาก็ไม่มีอะไรจะค้าน หากเข้าตลาดหลักทรัพย์จริงๆ ไม่แน่ว่าภวิลอาจจะเลือกขายหุ้นออกบ้างก็ได้ “แต่เรื่องนี้ยังไงจีก็ต้องคุยกับเขา เขาไม่ยอมขึ้นมาก็... ยาก”

“ผมรู้... ไว้จะหาโอกาสลองดู”
 
เห็นรุ่นน้องพูดอย่างปกติแล้วธรรมนูญก็แปลกใจอีกรอบ เมื่อไม่นานมานี้จิรัฐยังมีสีหน้าไม่สบายใจและท่าทีอึดอัดทุกครั้งที่ต้องเข้าไปคุยกับภวิล แต่ตอนนี้ดูจะกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้ว หลังเหตุการณ์ที่โรงพยาบาลครั้งหลังสุดนั่นละมัง เขายังไม่ทันถามอะไรก็มีเสียงเคาะประตูก่อนจะเปิดเข้ามาเลย

ธรรมนูญเหลียวไปและพบว่าเป็นคนที่อยู่ในบทสนทนาเมื่อกี้ เพิ่งพูดถึงก็มาทีเดียว อีกฝ่ายเลิกคิ้วนิดเมื่อเห็นผู้จัดการการเงินอยู่ในห้องด้วย

จิรัฐลุกขึ้นอย่างเคยชิน นึกว่าคนยืนค้างอยู่ตรงประตูจะสั่งงานหรือให้ไปส่วนใดของโรงแรมด้วย แต่ทันทีที่สายตาสานสบภาพเมื่อคืนก็ผุดขึ้นมาเป็นฉากๆ เขาบังคับตัวเองให้มองตรง เพราะดูไม่มีเหตุผลที่จะเกิดขัดเขินอะไรขึ้นมา

เมื่อคืนไม่ใช่ครั้งแรกที่ฝันร้าย... ปกติตื่นขึ้นมาแล้วก็จำรายละเอียดไม่ได้ มีเพียงความรู้สึกวูบโหวงลึกๆ อยู่บ้างและเมื่อบอกตัวเองว่าแค่ฝันเท่านั้นก็ไม่คิดอะไรอีก แต่เมื่อคืน... เป็นครั้งแรกที่รู้สึก... จริงยิ่งกว่าฝัน เขาจำได้ว่าเมื่อลูบหน้าตายังหวังจะมีเศษหญ้าดินโคลนติดมาด้วย แปลกใจที่ตัวไม่เปียกปอนเหมือนเมื่อครั้งงานวันเกิดคุณยาย

แต่ความรู้สึกที่จริงยิ่งกว่านั้น ก็คือรู้ว่าถูกกอดเอาไว้ ได้ยินเสียงหัวใจของอีกฝ่ายเต้นอย่างชัดเจน ชัดจนเขารู้สึกว่าตัวเองมีหัวใจสองดวง และอีกดวงกำลังเต้นอยู่ที่หน้าอกข้างขวา

เมื่อภวิลผละตัวออกนิดแล้วก้มลงมองหน้าใกล้ๆ ใกล้จนปลายจมูกแทบชนกัน จิรัฐก็เห็นว่าแววตาคู่นั้นกลับไปคล้ายเมื่อตอนที่เขาตกน้ำใหม่ๆ...

ฝันร้ายช่างเหมือนจริงจนเขานึกดีใจที่ไม่ได้อยู่เพียงลำพังในห้อง และมีคนช่วยยืนยันว่าทั้งหมดเป็น ‘แค่ฝัน’ เท่านั้นเอง

ภวิลก็ชะงักเล็กน้อยเหมือนกัน ก่อนเอ่ย

“วันนี้ผมออกไปธุระ... อาจจะไม่ได้กลับเข้ามา” เขานิ่งไปนิดแล้วเสริม “คงไม่ได้เข้ามาอีกหลายวัน”

ธรรมนูญที่ลุกขึ้นตามจิรัฐเผลอหันมอง ปกติภวิลจะไปจะมาขึ้นอยู่กับความพอใจ เข้านอกออกในราวกับไม่ได้ซื้อแค่หุ้น แต่ซื้อไว้ทั้งบ้านแล้วก็ไม่ปาน เมื่อไรกันที่ต้องบอกด้วยว่าจะมาหรือไม่มาตอนไหน

เพียงแต่อีกฝ่ายไม่ปล่อยให้ผู้จัดการการเงินนึกสงสัยอยู่ได้นาน เพราะสั่งงานเขาต่อเป็นพรืดจนถ้าไม่รีบออกจากห้องจิรัฐไปจัดการเดี๋ยวนั้นคงได้ทำจนถึงชาติหน้า ธรรมนูญหวังว่ารุ่นน้องคงมีโอกาสพูดเรื่องที่ตั้งใจเอาไว้เร็วๆ นี้ แล้วเลยนึกไปถึงทักษ์ เสร็จงานแวะไปหาท่าจะดี เขาเคยรู้ว่าทักษ์ก็อยากซื้อหุ้นของโรงแรมเอาไว้บ้างเหมือนกัน ถ้าเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้จริงคงเป็นโอกาสที่พนักงานจะได้มีส่วนร่วมง่ายขึ้น

ผู้จัดการการเงินออกจากห้องไปแล้วภวิลก็ยังยืนอยู่ตรงปากประตูอีกครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินเข้ามาวางบางอย่างไว้บนโต๊ะ
 
“... กุญแจห้องทำงาน”

จิรัฐมองเขาอย่างมีคำถาม จนคนพูดต้องขยายความ
 
“เผื่อต้องใช้อะไรในนั้น หรือจะ... ใช้ห้อง ความจริงมันก็ห้องคุณอยู่แล้ว”

จิรัฐนึกหาคำตอบไม่ทัน ได้แต่อึ้งมองอีกฝ่ายจนกระทั่งภวิลบอก “ก็... เท่านั้นละ อ้อ ขอบคุณสำหรับชมนาด”

“เดี๋ยวผมให้คนปั๊มกุญแจไว้ให้อีกชุดครับ” เขาโพล่ง ทันได้เห็นรอยยิ้มมุมปากนิดก่อนภวิลจะหันหลังเดินจากไป

จิรัฐนั่งลงมองลูกกุญแจ รอยยิ้มผุดขึ้นอย่างไม่รู้ตัว

... ก็แค่ของธรรมดา ธรรมดาเหมือนช่อชมนาดนั่นแหละ
 
แต่ไม่ต้องแย่งต้องชิง ต้องเรียกร้อง มีคนเต็มใจให้คืนกลับมาเอง ย่อมดีกว่าเป็นไหนๆ


ที่ว่า ‘ไม่ได้เข้าอีกหลายวัน’ นั้นกินเวลาจนถึงวันสุดท้ายของสัปดาห์ต่อมา ความจริงจิรัฐก็คาดการณ์ไว้อยู่บ้าง เพราะภวิลย่อมมีบริษัทของตัวเองรวมทั้งธุรกิจอื่นๆ ของครอบครัวที่เขามีหุ้นอยู่ให้ไปดูแล แต่สาเหตุอีกประการที่มักแวบเข้ามาในความคิดตอนเผลอๆ คือ เมื่อได้รู้เรื่องที่ทำให้ต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวตั้งแต่แรก คือเรื่องของน้องแล้ว ภวิลก็หมดความสนใจในทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่ไปโดยสิ้นเชิง

แบบนี้พูดเรื่องเข้าตลาดหลักทรัพย์อาจจะง่ายขึ้น ถ้าภวิลอยากได้เงินทุนคืนโดยเร็วเพื่ออัดฉีดโครงการใหม่ๆ ของวินเนอร์พร็อพเพอร์ตี้ การกระจายหุ้นออกก็เป็นวิธีหนึ่งเหมือนกัน น่าจะไม่มีปัญหาอะไร

ทั้งๆ ที่คิดแบบนั้น แต่เขาก็อดใจหายนิดๆ ไม่ได้ จิรัฐบอกตัวเองว่าคงเป็นเพราะมีจุดผูกพันร่วมกัน คือกฤตวัตกับคุณยายไพจิตรนั่นเอง

พอถึงวันศุกร์เขาจอดรถไว้ที่ประจำอีกฝั่งเหมือนทุกวัน กำลังจะเดินมุ่งหน้าไปท่าเรือก็ต้องชะงักเมื่อเห็นรถคุ้นตาจอดอยู่พร้อมเจ้าของยืนข้างเหมือนรอมาสักพักแล้ว พอเห็นเขาภวิลก็ปลดล็อครถ

จิรัฐเดินเข้าไปใกล้อย่างไม่ค่อยจะแน่ใจ เพราะอีกฝ่ายไม่เรียกหรือแสดงท่าทีอะไรให้เขารู้ทั้งสิ้นว่าที่ยืนอยู่ตรงนี้เกี่ยวข้องกับเขาหรือเปล่า จนกระทั่งภวิลพยักหน้าไปทางประตูรถฝั่งผู้โดยสารเขาถึงได้ถาม

“ไปไหนหรือครับ”

“เดี๋ยวพูดให้ฟังในรถ”

“จากคราวที่แล้ว” จิรัฐเอ่ยช้าๆ “ผมคงต้องระวังตัวหน่อยถ้าจะขึ้นรถไปไหนมาไหนกับคุณ”

“ถ้าเป็นที่ที่เคยไปแล้วต้องระวังหรือเปล่า” ภวิลว่าก่อนจะยิ้มนิดเมื่อเห็นอาการเหลือบมองอย่างตกใจของว่าที่ผู้โดยสาร “ไม่ต้องห่วง ไม่ได้ชวนไปบุกรุก แค่จะไปใกล้ๆ น่ะ ผมลองมาเกือบหมดทุกทางแล้ว คงเหลือไปคุยกับคนแถวนั้นว่าทันรู้จักเจ้าของบ้างไหม”

จิรัฐเลยรู้ว่าที่อีกฝ่ายหายไปเพราะตามสืบเรื่องบ้านเก่าที่น้องติดใจนั่นเอง เขาเปิดประตูขึ้นไปนั่งเงียบๆ คำพูดเพื่อนดูจะหวนกลับมาให้นึกถึงอีกครั้ง

‘พี่วินไม่เคยพูดแล้วไม่ทำ... ถ้าพูดออกจากปากไปแล้ว ต้องทำให้ได้’

ภวิลสตาร์ทรถแล้วพูดต่อ “ตอนแรกนึกว่าไม่ยากเท่าไร... ที่บริษัทก็ทำกันอยู่ปกติ ดูที่ไม่มีโฉนด หรือไม่รู้เจ้าของเป็นใคร แต่งานนี้...”

“ตันหรือครับ...”

“อย่าเรียกว่าเจอทางตันเลย ทางขาดดีกว่า” คนขับถอนใจพลางส่ายหัว “ให้คนไปสำนักงานที่ดินก็แล้ว อำเภอก็แล้ว เช็คกับธนาคารก็แล้ว... บ้านร้างส่วนใหญ่เป็นหนี้ธนาคาร ธนาคารยังไม่ฟ้อง หรือฟ้องแล้วแต่ยังไม่ยึด กรณีนี้ง่ายสุดเพราะถ้ากำลังจะขายทอดตลาด เราซื้อมาก็จบ แต่บ้านนี้ไม่เข้าข่าย”

“ถ้าเทียบสมัยที่สร้าง น่าจะทันได้ทำโฉนดแล้วนะครับ”
 
“มีโฉนดอยู่จริงก็ยังดี บ้านนั้นไม่มีบ้านเลขที่ ต้องเอาโฉนดที่ดินข้างเคียงไปเทียบ แต่ที่ดินแถวนั้นไม่ใช่ของเราสักแปลง ใบเสร็จค่าสาธารณูปโภคก็ไม่มีมาตั้งนาน ไม่มีโทรศัพท์ด้วย...” ภวิลว่า “ความจริงถ้าคนแถวนั้นยอมขายให้ จะได้เอาโฉนดที่ใกล้ๆ ไปดูระวางแผนที่ได้ อย่างน้อยก็อาจจะได้เลขที่ดินมา แล้วไปดูกันอีกทีว่าในสารบบที่ดินมีรายละเอียดกรรมสิทธิ์แค่ไหน”

จิรัฐเองก็ไม่ทันสังเกตว่าบ้านไม่มีเลขที่ ตอนขับรถไปนั้นเพื่อนช่วยบอกทาง ส่วนครั้งหลังสุด... เขาจำได้ว่าก่อนไปเจอกันกับเพื่อนก็ถ่ายสำเนาแผนที่ที่กฤตวัตแฟกซ์มาให้เก็บไว้ในแฟ้มเพื่ออ้างอิง ภวิลคงเห็นจากตรงนั้น

เขาหันไปมองคนข้างๆ แวบหนึ่ง ภวิลเต็มใจยอมซื้อที่ดินข้างเคียงเพียงเพื่อให้รู้กรรมสิทธิ์ของบ้านที่น้องอยากได้

... สำหรับคนที่รักแล้ว คงไม่มีอะไรที่ถือว่ามากเกินไปจริงๆ

ตอนเช้ายังไม่ค่อยมีรถ ใช้เวลาไม่นานก็ถึง ภวิลขับเลยซอยติดป้ายส่วนบุคคลที่จะนำไปสู่บ้านเก่าหลังนั้นแล้วจอดใกล้ๆ แทน เขาลงจากรถแล้วลุยฝ่าหญ้าขึ้นยาวไปบ้านหลังที่อยู่ใกล้ที่สุด จิรัฐเดินตามไปไม่ไกลนัก

ทำอย่างนี้โดยตีอ้อมรอบบ้านเก่าเป็นวงกลมจนเที่ยงแดดแผดร้อน ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับการคว้าน้ำเหลว ไม่มีเจ้าของบ้านหลังใดเคยรู้จักคนที่อยู่บ้านเก่าหลังนั้น และไม่มีใครยินยอมขายหรือให้ดูโฉนด ส่วนใหญ่พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเมื่อเริ่มสร้างบ้านหรือย้ายมาอยู่ที่นี่ ก็เห็นถูกทิ้งร้างมาชั่วนาตาปีแล้ว
 
ถ้าเทียบว่าบ้านหลังนั้นสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ห้า แต่ชุมชนรอบๆ เพิ่งจะเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่แปด แถมผู้อยู่อาศัยส่วนใหญ่ยังอยู่ในวัยกลางคน ที่เคยอยู่ดั้งเดิมก็ล้มหายตายจากไป จึงไม่น่าแปลกใจที่จะไม่มีใครทันรู้จักผู้ที่เคยอยู่ในบ้าน

ประเด็นที่ภวิลสงสัย และตรงกันกับจิรัฐคือ ถ้าไม่มีใครอยู่มานาน จะแขวนป้ายส่วนบุคคลไว้ทำไม ร้อยละร้อยของการแขวนป้ายแบบนี้ก็เพื่อกันไม่ให้มีคนหลงเข้าไปจนอาจรบกวนความสงบของเจ้าของบ้านได้ ป้ายนั้นเก่าผุพังก็จริง แต่ดูยังไงก็ไม่ได้เก่าถึงร้อยปี เพราะฉะนั้นต้องมีลูกหลานเจ้าของบ้านเดิมมาแขวนไว้ แต่ไม่ได้มาอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นถ้าตั้งใจจะทิ้งร้างจริงๆ ก็ไม่น่าลั่นดาลจนกฤตวัตต้องงัดเข้าไปในคราวแรกอีกด้วย

นอกจากนี้จิรัฐยังข้องใจอยู่อีกอย่าง คือคนที่เพื่อนเล่าให้ฟังว่าไล่เขาออกมาและขู่จะแจ้งข้อหาบุกรุกหากกลับเข้ามาอีกเป็นใครกันแน่ ถ้าไม่ได้อยู่แถวนี้อยู่แล้ว ก็ยากที่จะทันเห็นกฤตวัตในเวลานั้น แต่เท่าที่สังเกตไม่มีชายชราผมขาวหน้าตาดุๆ ในบ้านที่เข้าไปคุยมาแล้วเลย

“เหลือหลังสุดท้ายแล้วที่พอมีพื้นที่ติดกับบ้านนั้น” ภวิลยกมือปาดเหงื่อ “ถ้ายังไม่ได้เรื่องคงต้องไปไล่หาพวกหลักฐานก่อนทำโฉนด ซึ่งน่าจะยาก ไม่ก็...”

จิรัฐเงยหน้ามองคนยืนกระพือเสื้อให้ลมเข้าอย่างสงสัย จนอีกฝ่ายพูดหน้าตาเฉย “ครอบครองโดยปรปักษ์”

“คุณภวิล ลงทุนมากไปไหม” คนฟังต้องท้วง “หมายความว่าคุณจะย้ายมาอยู่ที่นี่ให้ครบสิบปีจนได้กรรมสิทธิ์เนี่ยนะ”

“เชื่อสิลองมีคนย้ายเข้ามาจริง... ตาลุงที่คุณเคยเล่าให้ฟังว่าไล่ยูมาแล้ว แกคงมาว้าก ไม่รอให้ถึงสิบวันด้วยซ้ำ” ภวิลว่า “พอแกมาเราก็ถามเลยว่าเจ้าของเป็นใคร”

“โอย” จิรัฐคราง “ให้มันเป็นวิธีสุดท้ายของสุดท้ายเถอะ ไม่ อย่าทำเลยดีกว่า คุณลืมแล้วเหรอว่ายูกลัวคุณจะรู้ว่าเขางัดบ้านคนอื่นเข้าไป แล้วคุณจะทำเสียเอง ชื่อเสียงครอบครัวคุณล่ะ”

“ไม่ได้งัด” ภวิลก็ยังว่าท่าทางเฉยๆ เหมือนเดิม “มันไม่ได้ล็อกอยู่แล้วนี่ อีกอย่าง ถึงตาลุงมาเจอ ก็ยังแจ้งข้อหาไม่ได้ เพราะมีแต่เจ้าของบ้านเท่านั้นที่จะแจ้งได้ พอตาลุงไปตามเจ้าของบ้านมาเราก็ยืนรอคุยกับเขาหน้าซอยเนี่ย ยังไม่ได้เข้าบ้านสักนิด”

“คุณภวิล!” จิรัฐยืนหน้าดำหน้าแดง ไม่รู้จะพูดยังไงดี จนอีกฝ่ายหัวเราะลงคอ

“ใจเย็น... ผมไม่ทำหรอก ก็เห็นคุณเครียดเลยลองเสนอให้ฟัง”

“พาเครียดกว่าเดิมสิไม่ว่า” คนเดินตามบ่นอุบ “ไหนยูบอกพี่พูดอะไรต้องทำให้ได้...”
 
“แต่ผมอยากคุยกับลุงคนนั้นจริงๆ น่าจะอยู่แถวนี้ แปลกที่ไม่เจอเลย” ภวิลว่า “ถ้าบ้านหลังสุดท้ายนี่ไม่มีอะไรคืบหน้า ผมคงให้คนมาคอยลองหาตัวดู เผื่อจะรู้อะไรเพิ่มขึ้นบ้าง”

จิรัฐถอนใจ ลำพังตัวเขาคงไม่มีปัญญาทำถึงขนาดนี้ถ้าไม่ได้ความช่วยเหลือจากคนที่เชี่ยวชาญในแวดวงอสังหาริมทรัพย์อยู่แล้วอย่างภวิล ได้แต่เตือนตัวเองว่าอย่าทำตัวให้ชินมากนัก เพราะสักวันหนึ่งอีกฝ่ายก็คงขายหุ้นที่ถือไว้เมื่อได้กำไรดี และเดินออกไปในที่สุด

เขายกมือไหว้เจ้าของบ้านแล้วทรุดตัวลงนั่งที่นอกชาน ค่อยคลายร้อนเมื่อได้น้ำเย็นใส่ใบเตยและลมที่พัดเอื่อยผ่านสวนมา แต่บทสนทนาที่เกิดขึ้นไม่ได้ทำให้รู้อะไรเพิ่มเติมมากนัก
 
ภวิลขยับจะลาตอนที่จิรัฐเห็นร่างผอมเกร็งนุ่งแต่ผ้าขาวม้า ผมสีดอกเลาทั้งหัวเดินผ่านดงกล้วยไป เขาชะงักตัวแข็งนึกว่าตัวเองตาฝาด หลังจากที่เห็นความฝันคล้ายความจริงจนน่ากลัวอย่างที่ผ่านมาทำเอาเขาลังเลที่จะเชื่อสายตาตัวเองไปพอสมควร แต่เพราะเป็นชายชราคนเดียวที่พอจะมีลักษณะคล้ายกับที่ยูเคยเล่าให้ฟัง จึงเอ่ยถามเจ้าของบ้าน

“คุณ... คุณป้ารู้จัก เอ่อ... คุณตาที่เดินอยู่ตรงนั้นไหมครับ”


ออฟไลน์ เดหลี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +254/-3
บทที่ 8 (ต่อ)

อาการชะเง้อมองแต่คล้ายยังไม่เห็นทำเอาจิรัฐใจเสีย เขาพูดเสียงเบา “คุณป้าเห็น... คุณตาที่เดินอยู่ตรงสวนใช่ไหมครับ”

“ผมเห็น” ภวิลว่า แล้วหันมาพูดกับเจ้าของบ้าน “รบกวนขอคุยกับตาหน่อยได้ไหมครับ”

จิรัฐถอนใจอย่างโล่งอก ถ้าเขาเห็นอยู่คนเดียวท่าทางคงต้องไปพบจิตแพทย์ เจ้าของบ้านเขม้นมองอยู่อีกพักจึงร้องเสียงดัง “พ่อ พ่อ! แวะบ้านหน่อยจ้า”

ชายชราเหลียวไปมา แต่ก็เดินตรงมาทางบ้าน คนเป็นลูกสาวหันบอกแขก

“คุณจะคุยกับแกก็ทำใจเผื่อไว้หน่อยนะ แกหลงแล้ว คุยรู้เรื่องบ้างไม่รู้บ้าง เรื่องเก่าๆ ละจำได้ แต่ก็จำได้เป็นพักๆ”

“ปล่อย... เอ่อ... ปล่อยให้เดินอย่างนี้ไม่เป็นไรหรือครับ” จิรัฐถาม

“โอ๊ย พ่อไม่ไปไหนไกลหรอก อยู่สวนรอบๆ นี้แหละ มีเลยไปบ้านเก่าโน้นบ้าง ถ้าเดินต่อไปอีกคนละแวกนี้เขาก็รู้จักพ่อกันทั้งนั้น แกมีไปกินข้าวบ้านโน้นบ้านนี้ด้วยนะ แต่ก็กลับบ้านหกโมงเย็นเป๊ะ มากินข้าวบ้าน” ป้าหัวเราะ

ชายชราเดินขึ้นเรือนมาลงนั่งปุบปับ ถามลูกสาว “เรียกกินข้าวเหรอ”

“จ้า กำลังจะกินข้าวกลางวันกัน” ป้าบอกก่อนหันมาชวนแขกอย่างมีน้ำใจ “เที่ยงกว่าแล้วคุณกินด้วยกันเลยซิ”

“ไม่กินกับคนแปลกหน้า ใครไม่รู้” บิดาว่าฉับ เมินหน้าเมื่อถูกท้วงเสียงอ่อย

“พ่อละก็... พวกคุณอย่าถือเลยนะคะ เดี๋ยวขอตัวไปดูกับข้าวก่อน”

ป้าลับไปทางครัวแล้วภวิลก็ขยับเข้าใกล้ บอกชายชรา “ตาครับ ผมไม่กวนข้าวบ้านตาหรอก แค่อยากคุยกับตานิด... เดียว”

“นิดเดียว?”

“ถามนิดเดียว” ชายหนุ่มยืนยัน “เดี๋ยวก็ไป ให้ตากินข้าว”

จิรัฐมองคนมาด้วยกันอย่างทึ่งกับลูกล่อลูกชนคนแก่ ที่เดินตระเวนบ้านโน้นบ้านนี้ในละแวกมา ถ้าเป็นคนหนุ่มคนสาวหน่อยภวิลก็ละให้เขาคุย ตัวเองนั่งเฉยเสียอย่างนั้น ตอนนี้เขาขอนั่งดูบ้างคงไม่ผิด

“เอ้า ว่ามา”

“ได้ยินว่าตาเดินไปโน่นไปนี่ บางทีก็เลยไปโน้น...” ภวิลพยักเพยิดไปทางบ้านเก่าที่เห็นหลังคาอยู่รำไร “บ้านโน้นมีอะไร มีคนไหม”

“ไม่มีคน... ไม่มีคนแล้ว”

ตาคงหมายความว่าเป็นบ้านร้างไม่มีคนอยู่ แต่จิรัฐอดขนลุกขึ้นมาไม่ได้

“ไม่มีคน แต่ตาเคยเจอผู้ชายหนุ่มๆ อายุประมาณนี้” คราวนี้ภวิลหันมองคนนั่งเคียงกัน “แล้วตาก็ไปไล่เขาด้วยใช่ไหม”

“เคยเจอ เคยเจอ ไอ้หนุ่ม... ลูกใครน้า”

“ตาไล่แทนใคร บ้านนั้นบ้านใครตา”

แต่ดูเหมือนชายชราจะไม่ได้ยินคำถามต่อมาของเขา เพราะมัวแต่คิดย้ำอยู่ “มันลูกใคร ลูกใคร...”

ภวิลก็ว่าไปเรื่อยๆ อย่างอดทน “ตาบอกว่าเขาบุกรุกด้วย... ตาไล่ให้ใคร”

“นึกออกแล้ว! เคยเจอไอ้หนุ่ม ต้องเรียกพี่มั้ย พี่... ลูกป้าบัว บ้านนั้น บ้านป้าบัว!” แกร้อง ก่อนย้ำอย่างมั่นอกมั่นใจ “บ้านป้าบัว บ้านป้าบัว”

จิรัฐนิ่งอึ้งไปทันที ภวิลขมวดคิ้วงงๆ ส่วนคุณตาก็ดูจะหลุดไปในโลกส่วนตัวของแกเสียแล้ว

ทั้งสองขอตัวกลับเมื่อคุณตาเรียกร้องจะกินข้าว หลังจากยืนยันเรื่องบ้านแล้วก็ถามอะไรไม่ได้ใจความอีก
 
“คุณว่าคุณตาคนนี้คือคนที่ไล่ยูออกมาหรือเปล่า” ภวิลเอ่ยถามเมื่อขึ้นรถเรียบร้อย

“อาจจะใช่ก็ได้ครับ เดินทั่วแล้วก็มีอยู่คนเดียว น่าจะไล่แทนเจ้าของเดิมซึ่งคงย้ายออกไปนานแล้ว แต่คุณตายังฝังใจว่าเป็นบ้านป้า... บัวของแก”

“น่าเสียดายที่คุณตาหลงๆ ลืมๆ ผมยังคิดว่าแกอาจจะเห็นยูแล้วคิดว่าเป็นลูกป้าบัว แต่ก็แปลก เพราะถ้าแกรู้จักพี่ลูกป้าบัวอย่างที่บอก แกจะไล่ลูกเขาออกจากบ้านแม่ทำไม ตีเสียว่าเรื่องเจ้าของบ้านชื่อบัวเป็นเรื่องจริง เพราะเป็นเรื่องที่ยังติดอยู่ในความทรงจำแม้จะผ่านไปนานหลายสิบปี เราก็แกะจากตรงนี้ก่อนแล้วกัน”

จิรัฐเม้มปากอย่างครุ่นคิด เงียบไปนานจนภวิลต้องถาม “มีอะไรหรือเปล่า”

“ผมไม่รู้จะเกี่ยวกันไหม คุณหญิงยายทวดผมก็ชื่อบัว แต่... บ้านเดิมท่านไม่ได้อยู่แถวนี้ ไม่ใช่บ้านนี้แน่ๆ”

สมัยนั้นผู้หญิงแต่งงานกันตั้งแต่อายุยังน้อย คุณตาทวดอายุมากกว่าคุณยายทวดพอสมควร พอคุณตาทวดได้บรรดาศักดิ์พระยาหลังจากนั้นไม่นานคนก็เรียกภรรยาท่านว่าคุณหญิงตามด้วยราชทินนามสามี คือคุณหญิงโชติการพาณิช น้อยคนจะรู้ว่าเดิมท่านชื่อบัวมาก่อน

“ชื่อซ้ำกันได้ละมัง” ภวิลว่า

“ถ้าบ้านนี้เกี่ยวข้องกับคุณยายทวดผม แม่ต้องพูดถึงบ้างแล้ว แต่นี่ไม่มี”

“ผมรู้ว่าถ้าเป็นอย่างนั้นจริงเรื่องคงง่ายขึ้น แต่ก็ต้องเผื่อว่ามีโอกาสไม่ใช่ด้วยเหมือนกัน” ภวิลบอก ก่อนเอ่ย “ไว้เราลองเรียนถามคุณย่าดูก็ได้ คุณหญิงยายทวดคุณก็เป็นแม่สามีของลูกผู้พี่คุณย่าผมแท้ๆ ไม่แน่ท่านอาจจะพอทราบอะไรบ้าง”

จิรัฐยังนั่งเงียบๆ เหมือนอยู่ในภวังค์ความคิด จนภวิลเปรยขึ้น

“พอเจอตัวคนไล่แล้วเป็นแบบนี้ แถมบอกชื่อเจ้าของบ้านมาเองด้วย เลยไม่ต้องใช้แผนครอบครองปรปักษ์ของผมเลย”

ท่าทางคนพูดออกเสียดายจนจิรัฐขำ แต่พอหลุดหัวเราะก็ต้องกุมท้องร้องโอ๊ยเบาๆ

“เป็นอะไร” คนขับถามทันที จิรัฐนิ่วหน้าอย่างแปลกใจ ปกติเขาก็ไม่ค่อยจะมีอาการอะไรแบบนี้ ท่าทางตอบไม่ทันใจจนอีกคนเรียกราวจะเตือน “จิรัฐ เป็นอะไร”

“อ้อ คือ มันปวดท้องแปล๊บขึ้นมาครับ นิดเดียว ไม่เป็นไร” เขาว่า ลองนั่งตัวตรงๆ ดูก็ไม่รู้สึกเจ็บ

"ปวดท้อง" อีกฝ่ายทวน "หิวล่ะสิ รู้อย่างนี้กินข้าวบ้านนั้นเลยก็ดีไม่ต้องหิ้วท้องออกมา”

“อย่าเลยครับ เดี๋ยวตาแกจะไม่เจริญอาหาร” จิรัฐเอียงศีรษะพิงกระจกรถ “คุณภวิล ผมไขกระจกลงนิดได้ไหม”

“เมารถเหรอ ให้จอดมั้ย”

“ไม่ต้องหรอกครับ”

ถ้าเขารอดตอนอีกฝ่ายเหยียบร้อยแปดสิบมาได้ แค่นี้คงไม่ครณา จริงๆ แล้วถ้าภวิลขับด้วยอารมณ์ปกติอย่างวันนี้ก็นับว่าขับรถนิ่มนวลดี อาจจะเคยขับให้คุณยาย เขาหลับตา นี่ก็แปลกเหมือนกัน นั่งรถมาตลอดชีวิตเพิ่งเกิดจะพะอืดพะอม

“หิว” ภวิลสรุปเหมือนเดิม “บ่ายโมงกว่าแล้วผมก็หิว เดี๋ยวแวะกินอะไรข้างหน้าละกัน”

จิรัฐยังหลับตานิ่งๆ มาตลอดทางจนรถจอด พอลืมตาขึ้นเขาก็มองไปรอบๆ อย่างแปลกใจ

... ทางเข้าตลาดน้ำ

หันไปมองคนมาด้วยก็พบว่ากำลังพับแขนเสื้อ เหวี่ยงเน็คไทออกไว้ในรถง่ายๆ พลางพูด

“คลื่นไส้ลงไปเดินมีอากาศถ่ายเทหน่อยเดี๋ยวก็ดีขึ้น แล้วก็... แนวตลาดน้ำนี่น่าสนใจถ้าห้องอาหารเราจะจัดสักเดือนเป็นเทศกาล ว่าจะหาโอกาสมาเดินดูอยู่พอดี”

จิรัฐส่ายหัว นักธุรกิจ... เวลาเป็นเงินเป็นทอง กินข้าวก็ต้องได้งาน ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวตลอด แต่พอลงไปลมที่พัดค่อนข้างแรงก็ทำให้หัวโล่งขึ้นจริงๆ แม้จะหอบเอาอากาศอ้าวๆ มาด้วยบ้างก็ตาม คราวนี้จิรัฐเป็นฝ่ายเดินนำเพราะภวิลว่า ‘กินอะไรก็ได้’ ท่าทางหิวจริงจึงไม่เจาะจงจะเลือก เขาเลยเอาร้านก๋วยเตี๋ยวที่อยู่ใกล้สุด

พอสั่งน้ำร้านข้างกันภวิลก็บอกว่าสองเลย เขาต้องเอ่ย

“ผมสั่งโอเลี้ยงนะ คุณชอบเหรอ”

“ไม่มีปัญหา” ภวิลบอก ก่อนพูดเหมือนนึกขึ้นได้ “กาแฟเป็นของแสลงสำหรับคนเป็นโรคกระเพาะกับไมเกรนไม่ใช่รึ”

“ผมกินแล้วหาย” คนรับแก้วมาตอบสั้นๆ

ความจริงตอนนี้เขาไม่ได้ไมเกรนขึ้นและไม่เคยเป็นโรคกระเพาะด้วย แต่บางทีที่เกิดปวดหัวหรือปวดท้องกินกาแฟกลับบรรเทาลงเสียอย่างนั้น

คนขายว่าให้จ่ายด้วยกันกับก๋วยเตี๋ยวตอนกินเสร็จ สงสัยจะเป็นกิจการในครัวเรือน จิรัฐถือแก้วโอเลี้ยงมาก็พบว่าอีกคนลงนั่งขัดสมาธิกับพื้นไม้ริมน้ำอย่างไม่มีพิธีรีตองเรียบร้อยแล้ว วางชามก๋วยเตี๋ยวแยกให้เขาเสร็จสรรพ เหลือแต่พวงเครื่องปรุงที่จิรัฐหยิบมาเองจากอีกข้าง

สายน้ำไหลเอื่อยอยู่เบื้องหน้า วันนี้วันธรรมดาคนไม่มากเท่าใด ทำให้ได้บรรยากาศสงบเงียบอยู่พอควร จิรัฐกำลังคิดถึงห้องอาหารที่บ้านพระยากับบรรยากาศตลาดน้ำอย่างที่คนมาด้วยเกริ่นอยู่เพลินๆ ภวิลก็เอ่ยขึ้น 

"เป็นอะไร ต้องบอก คราวก่อนคุณลากเอาผมตกสระด้วยหนหนึ่งแล้ว ถ้าคราวนี้ตกแม่น้ำอีก ไม่ตามไปงมนะ"

จิรัฐก้มหน้าก้มตากินไม่อยากจะต่อปากคำ จนกระทั่งเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้แตะพวงเครื่องปรุงเลย

“นี่คุณกินก๋วยเตี๋ยวไม่ปรุงเหรอ”

ภวิลพยักหน้าอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องแปลก “ก็กินแบบนี้มาตลอด”

“คือ...” จิรัฐไม่อยากจะยุ่ง แต่อดไม่ได้ “คือมันจะอร่อยกว่ามาก ถ้าปรุงสักหน่อย”

“อย่างนั้นเชียว” ภวิลมองพวงเครื่องปรุงอย่างไม่แน่ใจ

“ปกติคุณกินข้าวต้ม เกาเหลา ไม่ปรุงเหรอ ทำเหมือนกันแหละ”

ได้รับคำตอบเป็นการสั่นศีรษะ “มายังไงก็กินยังงั้น”

“งั้น... ลองดูนะ” จิรัฐว่า ก่อนถามย้ำ “ลองดูมั้ย”

พออีกฝ่ายเฉยแต่วางตะเกียบพร้อมถอยห่างจากชามนิดหนึ่งเขาก็ถือว่าไม่ปฏิเสธ จิรัฐขยับเข้าใกล้ “ชอบหนักรสไหนรึเปล่า หวาน เปรี้ยว เค็ม เผ็ดๆ?”

“กลางๆ หมดได้มั้ย” คนจะได้กินก๋วยเตี๋ยวปรุงเป็นครั้งแรกบอก พออาสาสมัครปรุงก๋วยเตี๋ยวตั้งท่าจะใส่ก็ว่า "เบาๆ พอ"

อาการขมวดคิ้วมองชามก๋วยเตี๋ยวทำเอาจิรัฐอยากซัดพริกน้ำส้มลงให้เต็มเหนี่ยว แต่ยั้งไว้ทัน เมื่อกี้เขาปวดแปล๊บขึ้นมายังทรมานน่าดู ถ้าแสบท้องจริงจังแบบคนไม่เคยกินรสจัดคงแย่

พอเสร็จก็เลื่อนชามคืนให้ คนกินชิมแล้วว่า “อร่อย”

“ใส่ทุกอย่างอย่างละนิดแล้วลองชิมดูก็ได้ อยากให้รสไหนจัดขึ้นก็ใส่เพิ่ม”

“ไม่เห็นคุณต้องชิม”

“ผมทำบ่อย” จิรัฐตอบหน้าตาเฉย “รสนี้... แบบเดียวกับที่ปรุงให้แม่”

“อ้าว” คนถูกจัดให้กินรสคนแก่อุทาน แต่คนปรุงทันเห็นรอยยิ้มนิด

คำพังเพยว่าไว้... สายน้ำไม่ไหลย้อนกลับ ก็คงจริง ถึงเราจะย้อนกลับไปเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ผ่านมาแล้วไม่ได้ แต่สายน้ำก็ยังต้องไหลต่อไป ในช่วงเวลาหนึ่งอาจจะปั่นป่วนด้วยคลื่นลมมรสุม แต่ลองมาดูอีกช่วง สายน้ำก็กลับสงบงามได้ใหม่ จนไม่น่าเชื่อว่าเป็นสายน้ำเดียวกัน

ย้อนกลับไปไม่นานจิรัฐคงไม่มีทางคิดว่าเขาจะมีวันมานั่งกินก๋วยเตี๋ยวกับภวิลสองคนริมแม่น้ำแบบนี้ ด้วยบรรยากาศใกล้เคียงกับความเป็นมิตรเสียด้วย

เสร็จแล้วสองคนก็เอาชามก๋วยเตี๋ยวไปคืนพร้อมกับจ่ายตังค์ แต่เมื่อภวิลหยิบกระเป๋าเงินขึ้นมาก็พบว่า... มีแต่... บัตร เรียงกันเป็นพรืดโดยปราศจาก... ธนบัตร เหรียญอะไรก็ไม่มีทั้งนั้นแหละ

"คุณ...!" จิรัฐทั้งฉิวทั้งขำ พอเห็นเจ้าของกระเป๋าทำหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเลยเปลี่ยนมาขำอย่างเดียว "ชวนผมแวะตลาดกินข้าว ไม่พกเงินสดสักบาท! ถ้าผมก็ไม่มีเหมือนกันจะทำไง"

"...ล้างจาน... มั้ย"

จิรัฐส่ายหน้า ควักเงินออกจ่ายค่าก๋วยเตี๋ยวของทั้งสองคน ออกเดินวนกลับอีกทางเพื่อให้ผ่านร้านรวงต่างไปบ้าง ภวิลยังเดินตามมาพูด

"ลงบัญชีค่าใช้จ่ายผมไว้ก็ได้"

"ก๋วยเตี๋ยวแค่นี้ ถือว่าเลี้ยงแล้วกันครับ”

"ไม่เป็นไรหรอก..."

จิรัฐหยุดซื้อขนม "ก็เห็นทวงตั้งแต่วันแรก จะให้ 'พระยา' เลี้ยง"

"จำแม่น...” ภวิลมองคนเลี้ยงซื้อของร้านโน้นร้านนี้ “แล้วนี่คุณจะซื้อไปให้ทักษ์เป็นตัวอย่างหรือไง เยอะแยะไปหมด”

“ซื้อฝากพนักงานต่างหากล่ะครับ” จิรัฐว่าก่อนพึมพำ “พี่อาร์มชอบขนมต้มแดงหรือต้มขาว สองอย่างเลยละกัน”

“คุณดูสนิทกับผู้จัดการการเงินดีนะ”

“รุ่นพี่ผมที่มหาวิทยาลัย รุ่นพี่ชมรมด้วยนี่ครับ ความจริงเพราะพี่อาร์มผมถึงได้รู้จักย...” จิรัฐหยุดแล้วถอนใจ ตลาดน้ำเป็นอีกหนึ่งสถานที่โปรดปรานของกฤตวัต ไม่รู้พี่ชายนึกเหมือนกันหรือเปล่าเลยวางธีมห้องอาหารเดือนหน้าให้เป็นแบบนี้

ภวิลนิ่งไปนิดก่อนจะว่า “ถ้าเป็นเรื่องยู ผมก็อยากให้คุณพูดถึงเขาได้เต็มที่ โดยเฉพาะต่อหน้าผม ไม่ต้องเกรงใจ ไม่ต้องระวัง ยูเขาไว้ใจคุณที่สุด ผมที่เป็นพี่ก็คงไม่มีสิทธิ์อะไรนอกจากเคารพการตัดสินใจของเขา”

จิรัฐพยักหน้าเงียบๆ แต่แววตาที่เต็มไปด้วยความขอบคุณก็บ่งบอกได้ว่าเขารู้สึกอย่างไร ถึงธรรมนูญหรือคนอื่นๆ จะรู้จักกฤตวัต แต่ก็ไม่มากเท่าที่เขารู้จัก และไม่มากเท่าที่คนเป็นพี่ชายรู้จักอย่างแน่นอน บางคนอาจจะคิดว่าการพูดถึงคิดถึงคนที่ไม่อยู่แล้วบ่อยๆ เป็นการฉุดรั้งทั้งตัวเองทั้งอีกฝ่าย แต่ยิ่งบังคับให้ไม่พูดถึง ไม่คิดถึง ทั้งๆ ที่เขาเคยเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเรา กลับเป็นเรื่องฝืนธรรมชาติยิ่งกว่า

ถ้าได้พูดถึงบ้าง กับคนที่รู้จักเขาดีเช่นกัน กลับทำให้จิตใจสบายขึ้น สงบขึ้น

กว่าจะถึงรถจิรัฐก็หิ้วของพะรุงพะรังจนคนไปด้วยต้องเอามาช่วยถือ ท่าทางคงตั้งใจฝากให้หมดทุกคน

“สรุปว่าคราวนี้... ต่างคนต่างเลี้ยงนะ คุณเลี้ยงผม ผมก็เลี้ยงคุณ” ภวิลเปิดประตูรถ “เอาส่วนของคุณมาลงบัญชีผมไว้แล้วกัน”

“แล้วมันไม่เหมือนต่างคนต่างมากินตรงไหนล่ะครับ” จิรัฐว่า ก๋วยเตี๋ยวบวกโอเลี้ยงราคาเท่ากัน เขาจะจ่ายของตัวเองหรืออีกฝ่ายจะจ่ายที่กินไปก็ไม่ต่าง

ภวิลเอาของไว้เบาะหลังก่อนจะขึ้นประจำที่นั่งคนขับ “ถ้าผมมากินเองก็... ได้กินจืดเหมือนเดิมน่ะสิ”

จิรัฐพึมพำอะไรสักอย่างกลับไปที่เขาก็ยังไม่แน่ใจ ส่วนอีกฝ่ายเพียงแต่อมยิ้มนิดๆ เท่านั้น

ขากลับทั้งคู่คุยกันเรื่องเทศกาลตลาดน้ำที่บ้านพระยา อันที่จริงจิรัฐก็คิดถึงเรื่องการนำโรงแรมเข้าตลาดหลักทรัพย์อยู่เหมือนกัน แต่ตัดสินใจว่าเขาต้องการเวลาศึกษาข้อมูลต่างๆ ให้ละเอียดก่อนจะคุยเรื่องนี้กับภวิล อีกฝ่ายถามอะไรมาเขาต้องตอบได้ ถ้ายังไม่มั่นใจถึงขั้นนั้น ก็คงยังไม่เอาเรื่องนี้ไปเสนอ

ภวิลจอดส่งเขาที่ท่าน้ำ บอกว่าจะเลยไปจัดการเรื่องที่บริษัทอสังหาฯ ของตัวเองซึ่งก็คงมีเรื่องเจ้าบ้านชื่อว่าบัวรวมอยู่เป็นสำคัญ คนขับเรือของโรงแรมมาช่วยจิรัฐถือถุงขนม และได้รับส่วนของตัวเองไปด้วย หน้าบานกันถ้วนหน้า

ภวิลกำลังจะออกรถ แต่พอดีสังเกตเห็นว่ายังเหลือถุงขนมอีกถุงอยู่ที่เบาะหลัง

เขาลดกระจกลงขยับจะบอก คนที่ยังไม่เดินไปขึ้นเรือก็เอ่ยยิ้มๆ “ถุงนั้น... ของคุณนะครับ ให้พระยาเลี้ยงทั้งที ก็ต้องทั้งคาวหวานถึงจะครบ”

พูดแค่นั้นก็เดินมุ่งไปท่าน้ำ ภวิลไม่รู้ว่าเขาทำหน้าอย่างไรจนเหลือบมองกระจกโดยไม่ตั้งใจ และพบว่าตัวเองกำลังยิ้ม... อยู่

หากสีหน้านั้นก็คลายลงเมื่อถอยรถออกสู่ถนนใหญ่ ขากลับเขาสังเกตคนนั่งข้างกันอยู่บ้าง พอได้กินกลางวันกินกาแฟอย่างที่อยากแล้วก็ดูสบายดีเป็นปกติ ไม่ได้มีท่าทางพะอืดพะอมหรือว่าปวดท้องอีก สรุปว่าคงเพราะหิวจริงๆ

คนรอบข้างที่จิรัฐข้องแวะเป็นประจำมีไม่มาก ดูท่าเจ้าตัวจะไว้ใจทุกคนดีเสียด้วย เขาเชื่อว่าถ้าให้จิรัฐนั่งคิดว่าใครบ้างมีเหตุผลพอจะอยากทำร้ายตัวเอง ให้ตายก็คิดไม่ออก

แต่มนุษย์เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่เข้าใจยากที่สุด มีแรงจูงใจสลับซับซ้อนที่สุด

เขาชักจะคิดไปไกล... ภวิลถอนใจพลางเคาะนิ้วลงกับพวงมาลัย ถ้าคิดอย่างคนไม่ระแวงระวังอะไร จนตอนนี้ก็ยังไม่มีมูลใดให้เชื่อมโยงว่าอุบัติเหตุสองครั้งซ้อนที่บ้านหลังนั้นเป็นมากกว่าเหตุบังเอิญ เขาแค่ยัง... สลัดความกังวลใจออกไปไม่ได้

ภวิลไม่เชื่อเรื่องลางสังหรณ์ ไม่เชื่อเรื่องลางบอกเหตุ แต่เขาเชื่อสัญชาตญาณตัวเอง

อันที่จริง... นอกจากสัญชาตญาณจะเตือนให้เราระวังภัยเพื่อการอยู่รอดแล้ว ยังเตือนให้ปกป้องสิ่งที่คิดว่าสำคัญ ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

คุณ AprilSnow ยังมีอีกปมที่ทั้งสองคนต้องช่วยกันไขน่ะค่ะ อิจฉาจังบ้านคงบรรยากาศดีมากเลยเนอะ ขอบคุณมากสำหรับกำลังใจค่ะ
คุณ yeyong ถูก พอลงแนวมีปริศนาปั๊บไม่พระเอกก็นายเอกจะต้องรับอีกบทพ่วงไปด้วยคือเป็นนักสืบ 55
คุณ malula อันนี้ก็... ฝากติดตามต่อด้วยแล้วกันนะคะ เหะๆ
คุณลูกลิงตัวอ้วน ขอบคุณมากที่แวะเข้ามาค่ะ พยายามปั่นอยู่ค่า
คุณ janamanza ขอบคุณมากๆ สำหรับการติดตามค่ะ ยังมีเบาะแสสำคัญอยู่อีกนิดหน่อยแล้วปริศนาคงสมบูรณ์มากขึ้น จะพยายามปั่นนะคะ
คุณ @Iriz ถ้าไม่พยายามพัฒนาความรู้สึกกันไปเรื่อยๆ เริ่มจากตอนนี้คนเขียนกลัวมันจะยังไม่รักกัน 555 ลำบากนะไม่ได้เขียนเรื่องที่ใจความหลักเป็นรักเลยเนี่ย
คุณ berlyn ไม่ต้องกลัวนะคะอ่านต่อได้สบายค่า ไม่น่ากลัว ฝากตอนต่อไปด้วยนะคะ
คุณ PetitDragon ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ ไม่รู้มันจะหวานกันได้แค่ไหนสิเนอะดูอุปนิสัยแล้วเนี่ย 55 คนเขียนจะพยายามค่ะ
คุณ luvsin โอ๋ๆ ไม่ต้องกลัวค่ะ อ่านแล้วนอนได้สบายเล้ย
คุณ Cherry Red ความจริงเรื่องยูเราต้องเคลียร์กันอีกทีตอนหลัง ว่าอุบัติเหตุจริง หรือมีเงื่อนงำอย่างอื่นอีก ส่วนสองตัวเอกก็... พัฒนาความสัมพันธ์กันพร้อมเบาะแสที่เพิ่มขึ้นต่อไป...
คุณ pattybluet จริงๆ ค่ะ แต่ขอพูดอีกทีว่า คนเขียนกลัวจริงว่าถ้ายูยังอยู่ มันจะกลายเป็นรักสามเส้าพี่น้องโดยจีเป็นคนกลาง กร๊าก มีแต่คนสงสัยลุงชงนะเนี่ย คนอื่นก็น่าสงสัยน้า
คุณ Mookkun ขอบคุณที่แวะเข้ามาค่ะ ฝากตอนต่อด้วยนะคะ
คุณ mellowshroom ขอบคุณมากที่ชอบค่า ฝากตามต่อด้วยนะคะ
คุณ Pupay งานยุ่งไม่เป็นไร เห็นเมนต์ก็ดีใจ 555 ความฝันของจี มี 'อะไร' จริงๆ แหละค่ะ ต้องฝากอ่านต่อไป... ขอบคุณที่จิ้นว่าพี่วินหล่อ เพราะเรื่องนี้คนเขียนบรรยายรูปร่างหน้าตาน้อยถึงน้อยมาก 55 อยากปล่อยให้จิ้น กอดตอบค่า
คุณ myd3ar อันนี้ก็ต้องฝากตามต่อไป อิอิ ขอบคุณที่อ่านนะคะ
คุณ j4c9y คุณภวิลแกว่ามี... ต้องปล่อยแกตามเรื่องต่อไป...
คุณ BeeRY ขอบคุณที่แวะไปอ่านพวกขนสั้นด้วยค่ะ เรื่องนี้ดราม่ากว่า แหะๆ สยองขวัญเลยเหรอ กรี๊ด ไม่ขนาดนั้นน้า ขอบคุณสำหรับกำลังใจให้สองคนค่า
คุณ namngern ขอบคุณที่แวะเข้ามาค่ะ คือคนเขียนไม่ทิ้งไว้แน่นอนค่า แต่ว่าอาจจะมาไม่ถี่มากๆๆ น้า แต่จะพยายามไม่ให้สั้น และจะพยายามปั่นให้เร็วค่ะ
คุณ Ipatza ขอบคุณที่แวะเข้ามานะคะ จริงๆ แล้วก็มีคนน่าสงสัยหลายคนนะเรื่องนี้ ฝากตามต่อด้วยนะคะ

โอ้ยทักษ์ บทน้อยนิด (แต่จำเป็นมหาศาล) ส่วนสองคนนั่นเขาก็ได้เบาะแสเพิ่มเติมกันไปอีกขั้น บทนี้เบาๆ (มั้ย) เพราะอาจมีเรื่องหนักรออยู่ในอนาคต (อ้าว)

ปล. คุณผู้อ่านที่รัก... ถึงเรื่องนี้มันจะออกลึกลับอยู่ประมาณนึง แต่มันไม่ใช่แนวน่ากลัวหรอกนะคะ เพราะฉะนั้นอย่าได้กลัวไป เอิ๊ก

ขอบคุณคนอ่านทุกท่านเช่นเคยค่า
  :กอด1:

ออฟไลน์ ลูกลิงตัวอ้วน

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 130
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
มาแล้ว ๆ
ยังไม่ได้อ่านเลย ขอมาแสดงตัวก่อนครับ

- อ่านแล้ว -

บ้านหลังนี้มีอะไรกันแน่นะ น่าสนใจครับ

อยากให้มาต่อเสียทุกวัน นิยาย ดี ๆ ภาษางาม ๆ เนื้อเรื่องเป็นเหตุเป็นผล
อ่านแล้วคล้อยตาม เดี๋ยวนี้หาอ่านได้ยากจริง ๆ ครับ
มาช้าไม่ว่ากันครับ แต่อย่าหายไปนานก็พอครับ คิดถึง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-03-2012 15:45:44 โดย ลูกลิงตัวอ้วน »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด