บทที่ 4เงาไม้ร่มครึ้มทั่วอาณาบริเวณ เสียงสุนัขที่เลี้ยงไว้เห่ารับกันให้ขรม จิรัฐถอดรองเท้าเดินขึ้นบ้าน รู้สึกราวเรี่ยวแรงจะเหือดหายไปหมด
ที่จริงเขามีห้องพักในบ้านพระยาด้วย อยู่ติดกับห้องทำงาน แต่ตอนนี้ชักไม่แน่ใจแล้วว่าเหลืออะไรที่ยังเป็นของตัวเองบ้าง จิรัฐเลือกจะกลับบ้านสวนเมืองนนท์ของพ่อ... กลับมาหาแม่
เมื่อตอนบ่าย หลังจากชมดูข้างนอกจนเป็นที่พอใจแล้วภวิลก็ขึ้นไปใช้ห้องทำงานเขาอ่านรายงานจนถึงเย็น และกลับไปโดยไม่พูดอะไร แต่ความเงียบอย่างนั้นไม่ได้ทำให้น่าวางใจเลยสักนิด ยังสายตาที่อ่านไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่นั่นก็ด้วย... จิรัฐรู้สึกว่าถ้าเผลอหรือพลาดเมื่อใด อีกฝ่ายคงโดดเข้าตะปบแล้วฟัดจนจมเขี้ยวด้วยความปรีดา... เป็นมโนภาพที่ชวนให้ท้องไส้ปั่นป่วนไม่น้อย
เขาแง้มประตูออกอย่างเบามือ เวลาค่ำเช่นนี้คุณบุณฑริกมักจะอยู่ในห้องนั่งเล่น อ่านหนังสือบ้าง เย็บผ้าบ้าง จิรัฐพยักหน้าให้เด็กในบ้านที่อยู่เป็นเพื่อนแม่ออกไปได้ก่อนทรุดนั่งลงที่พื้น
แม่ยิ้มรับเขาตั้งแต่ประตูแล้ว... จิรัฐเอียงศีรษะพิงตักแม่ มืออุ่นลูบลงอย่างปรานี “วันนี้เหนื่อยหรือลูก...”
วันนี้... ยิ่งกว่าเหนื่อยเสียอีก เพราะถึงแม้ผู้ถือหุ้นเดิมๆ ที่ห่วงแต่ผลประโยชน์ของตัวเองจะออกไปแล้ว แต่คนเข้ามาแทนรับมือยากยิ่งกว่า... ที่สำคัญ เขาไม่ต้องการให้แม่รู้เรื่องที่ถูกช่วงชิงอำนาจบริหารไปเพราะกลัวจะกระทบกระเทือนจิตใจ เพราะฉะนั้นที่พูดได้จึงมีแค่...
“ยุ่งนิดหน่อยครับ...”
เขานั่งนิ่งๆ อยู่อย่างนั้น แม่ยังลูบศีรษะลูกชายเบาๆ ผ่านไปพักหนึ่งจึงเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน
“จีรู้ไหม เมื่อก่อนตอนพ่อไม่อยู่แล้วใหม่ๆ ก็ยุ่งน่าดูเหมือนกัน ทำงานกับดูแลบ้าน... ไม่เท่าไหร่ แต่ปัญหาที่เกิดจากคนนี่สิ ทำเอาแทบแย่ไปหลายครั้ง”
จิรัฐถอนใจเบาๆ เขาก็กำลังมี ‘ปัญหาที่เกิดจากคน’ เหมือนกัน ออกจะสาหัสเสียด้วย
“แล้วแม่ทำยังไง...”
“ก็... ตั้งสติก่อน แม่ใจไม่เย็นเท่าพ่อ พ่อเลยว่า ก่อนทำก่อนพูดอะไร นับถอยหลัง แล้วคิดก่อน...”
เป็นวิธีที่เขาใช้มาตลอดเช่นกัน... จิรัฐหลับตา ฟังแต่เสียงอ่อนโยนของแม่
“ถ้าเรามีเวลาคิดให้ละเอียดถี่ถ้วน เราจะเห็นเหตุแห่งปัญหา เมื่อเห็นเหตุแล้วก็แก้ที่ต้นเหตุ ถ้ายังแก้ไม่ได้ตอนนี้ ก็ค่อยหาทางบรรเทาไป พ่อบอกแม่ แล้วแม่ก็กำลังบอกลูกอยู่ ว่าไม่มีปัญหาอะไรที่เกินความสามารถของมนุษย์ ขอแค่เราคิดดี ทำดี เป็นที่ตั้ง”
... แม่มักจะพูดให้เขาได้คิดเสมอ จิรัฐรู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาบ้าง เพื่อไม่ให้แม่นึกกังวลมากไปกว่านี้เลยว่า
“แล้วถ้าเป็นพ่อเองล่ะแม่...”
แม่ก้มมองเขาอย่างสงสัย ลูกชายยิ้มให้ “แม่ก็ต้องเคยเห็นไม่ตรงกันกับพ่อบ้างแหละ... ทำยังไงให้ใจเย็น นับเลขอีกหรือเปล่า”
“นับเหมือนกัน... แต่กับพ่อ แม่นับไปข้างหน้า นับว่ารักพ่อมากี่วันแล้ว...” แม่ยิ้มตอบเขา “ถ้าเป็นคนที่เรารัก หนักนิดเบาหน่อย ก็ให้อภัยกันได้ ความจริงพ่อนั่นแหละที่คอยรั้ง ประสาน... สมัยสาวๆ แม่ใจร้อนน่าดู ดีที่พ่อเขาเย็น...”
ทุกครั้งที่แม่พูดถึงพ่อ จิรัฐก็รู้สึกราวกับว่าพ่อไม่ได้ไปไหนไกลเลย ท่านยังมีชีวิตอยู่ในใจของแม่ ของเขา...
ถ้าเรารักใคร วันเวลาก็มีแต่จะเดินไปข้างหน้า และไม่หยุดลงเพียงเพราะกายแยกห่างเท่านั้น
ต่างกับคนบางคน ที่เขาได้แต่นับถอยหลัง ถอยหลังจนตัวเลขจะติดลบอยู่แล้ว!
ธรรมนูญนั่งเท้าคางหาวหวอดเพราะถูกพ่อครัวหัวป่าก์ซึ่งได้เลื่อนตำแหน่งมาหมาดๆ เมื่อวานโทรปลุกแต่เช้า อ้อนวอนแกมบังคับให้ช่วยมาดูเมนูให้ เขาไม่แปลกใจที่ทักษ์ทำเมนูสำหรับสัปดาห์หน้าที่ผู้บริหารคนใหม่สั่งเสร็จเร็ว เพราะไอ้ทึกทักบ้าพลังอยู่แล้วแถมยังเคยคิดรายการอาหารของตัวเองเผื่อไว้เป็นกระบุงแม้ไม่เคยได้ใช้ แต่แปลกใจที่ตัวเองถูกเลือกมาตรวจคุณภาพนี่แหละ
แล้วพอมาถึงทักษ์กลับอิดๆ ออดๆ ไม่เอาเมนูออกมาให้ดูเสียที จนธรรมนูญชักหงุดหงิด
“ไหนว่าเสร็จแล้ว”
“ก็เสร็จ... แต่... ไม่รู้ว่าดียัง”
“ถึงโทรปลุกตั้งแต่ไก่โห่ให้มาช่วยดูไม่ใช่หรือไง” ธรรมนูญว่า “เร็วๆ ไม่งั้นจะขึ้นไปทำงานละ”
ทักษ์จึงได้กระมิดกระเมี้ยนหยิบกระดาษแข็งเขียนด้วยลายมือตัวโตเอนหน้าเล็กน้อยที่ผู้จัดการฝ่ายการเงินเห็นทีไรก็นึกถึงลายมือเด็กประถมทุกทีออกมา เขาถอนใจ “ถ้าจะเสนอคุณภวิลละก็ต้องพิมพ์แล้วปรินท์มาใหม่ให้มันเรียบร้อยกว่านี้ไม่งั้น...”
“อาร์มช่วยหน่อย... ข้างล่างนี่ไม่มีทั้งคอมทั้งเครื่องปรินท์เลย นะ...”
ธรรมนูญถอนใจอีกเฮือก มองทักษ์ที่ทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยมแล้วสั่นหัว “เออ เดี๋ยวเอาไปให้เลขาฯ ช่วยพิมพ์ข้างบน ตอนนี้ลองนำเสนอมาซิว่ามีอะไรบ้าง”
ทักษ์ก้มมองเมนูในมือตัวเอง แล้วเงยหน้าขึ้นมองเขา ธรรมนูญสำทับ “ก็ต้องพรีเซนต์คุณภวิลไม่ใช่เหรอ... ซ้อมก่อนสิ เอ้า”
รายการของคาวผ่านไปโดยธรรมนูญไม่มีข้อติอะไรมากนัก เป็นอาหารไทยที่ใช้เครื่องปรุงตามฤดูกาลเช่นหมูผัดกระท้อน แกงส้มมะรุม ผัดผักหวาน ประกอบไปกับอาหารจานเดียวและจานหลักอื่นๆ ที่มียืนพื้นอยู่แล้ว ส่วนพวกเรียกน้ำย่อยทักษ์สรรมาแต่ของยาก ซึ่งเขาก็ติงไปว่าให้ระวังเรื่องเวลาในชั่วโมงเร่งด่วนที่มีลูกค้ามาก อาจจะไม่ต้องเอาขึ้นเมนูครั้งเดียวหมดแต่ให้เวียนเป็นรายการพิเศษของแต่ละวันไป
ปัญหามาเกิดตอนเมนูของหวาน ท่าทางเชฟคงกลัวว่าจะธรรมดาไป เลยหาชื่อวิลิศมาหรามา... จัดเต็ม
"ขนมดอกโสนน้อยเรือนงาม"
"โอ๊ย ดอกโสนก็ดอกโสนสิ" ธรรมนูญคว้ากระดาษมาเอาปากกาขีดปรื้ดไม่สนใจคนคิดที่มองตาละห้อย "แขกไปสั่งที่อื่นบอกจะกินโสนน้อยเรือนงาม ได้งงตายกันพอดี"
"ดอกโสนกินที่ไหนก็ได้ โสนน้อยเรือนงามได้ที่ครัวพระยาที่เดียว" เชฟอุบอิบ “เดี๋ยวติดเรือนไทยอันน้อยๆ ให้”
"ทักษ์ เรามั่นใจในฝีมือเรารึเปล่า" เขาถาม ถึงเชฟของหวานจะใช้อีกคนหนึ่งเมื่อลงมือทำจริงแต่ยังไงทักษ์ก็ต้องเป็นคนชิมทุกอย่างรวมทั้งช่วยปรับสูตรถ้ายังไม่ได้มาตรฐาน ไอเดียการนำเสนออาหารก็เป็นของคนตรงหน้านี้ทั้งหมด เพราะฉะนั้นทุกจานที่ออกจากครัวไปก็เหมือนเป็นตัวแทนความคิดสร้างสรรค์และรสนิยมของหัวหน้าเชฟอยู่ดี
ทักษ์นิ่งไปนิดแล้วจึงพยักหน้า ธรรมนูญพูดต่อ “มั่นใจก็ไม่ต้องเอาอะไรรกรุงรังมาบังอาหารของเรา ชื่อหรูหรา แต่งจานสวย มันก็แค่องค์ประกอบ แขกมาสั่งของหวาน เขาก็อยากจะกินขนมอร่อย ไม่ได้อยากกินเรือนไทยของประดับ...”
“เอาล่ะ เอาล่ะ อาร์ม เทศน์ยาวเชียว” ทักษ์ว่าก่อนแย่งกระดาษกลับไปแก้รายการอื่นๆ ธรรมนูญก็ฟังโดยดีจนมาถึงรายการสุดท้ายที่เชฟพูดด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ
"กลกามเทพ"
"อะไรของแกเนี่ย"
"... ขนมชั้น"
"มันเกี่ยวกับคิวปิดด้วยเรอะ" เพื่อนร่วมงานออกเพลีย "ขนมชั้นรูปหัวใจ? เดือนนี้ก็ไม่ใช่เดือนกุมภาสักหน่อย"
"ก็แบบ... ชั้นร้าก... เธอ... ไง้"
ธรรมนูญแทบตากลับ ไม่ใช่อะไร กลัวแทนเชฟ ขืนส่งเมนูแบบนี้ให้ผู้บริหารคนใหม่มีหวังถูกไล่ออกเอาจริงๆ
"ที่พูดไปเมื่อกี้เข้าหัวบ้างหรือเปล่าเนี่ย”
“ก็แก้อันอื่นให้หมดแล้ว อุตส่าห์ภูมิใจนำเหนออันนี้... รับไว้หน่อยก็ไม่ได้”
“ถ้ายังอยากทำงานที่นี่ต่อละก็ แก้ เดี๋ยว นี้”
“ก็ได้ๆ” ทักษ์รับไปอย่างกระฟัดกระเฟียดแถมค้อนเขาจนตากลับ ธรรมนูญขมวดคิ้วใส่ ที่เตือนนี่ก็ด้วยความหวังดีล้วนๆ ไม่อยากให้ต้องตกงานทั้งๆ ที่เพิ่งได้เลื่อนตำแหน่งมาแค่วันเดียวแท้ๆ
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เขากดรับ “ครับ...”
เสียงร้อนรนของเลขาฯ ทำเอาต้องขมวดคิ้วอีกหน
“คุณอาร์ม ถึงหรือยังคะ”
ธรรมนูญยกข้อมือดูนาฬิกา หลังทักษ์ดูแลภาพรวมความเรียบร้อยของบุฟเฟต์อาหารเช้าเสร็จตั้งแต่หกโมงและปล่อยที่เหลือให้ซูเชฟทำ ทั้งคู่ก็นั่งแก้เมนู ไปๆ มาๆ จนตอนนี้เก้าโมงจะครึ่งโดยไม่รู้ตัว เขารีบพูด
“มาแล้ว... แต่อยู่ในครัว มีอะไรหรือเปล่า”
“คุณ... เอ้อ... คุณภวิลอยู่ในห้องทำงาน...”
ผู้จัดการฝ่ายการเงินแทบผุดลุกขึ้นยืน ไม่คิดว่าผู้บริหารคนใหม่ที่เขาเชื่อว่าธุรกิจอย่างอื่นคงรัดตัวจะกลับมาเร็วเพียงวันรุ่งขึ้นเท่านั้น “ตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วจี...”
“มาตั้งแต่เช้าแล้วค่ะ ส่วนคุณจี ยังไม่เห็น...”
“เขาเรียกจะเอาอะไรประหลาดๆ หรือเปล่า”
ธรรมนูญก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองหมายความถึงอะไรเมื่อพูดออกไปอย่างนั้น คิดแต่ว่าจะไม่ยอมผิดพลาดด้วยการประเมินฝ่ายตรงข้ามต่ำไปโดยเด็ดขาด บทเรียนตอนผู้ถือหุ้นรุ่นเดิมงุบงิบกันเทขายเสียหมดหน้าตักก็เกินพอแล้ว
“ก็... อยู่เงียบๆ ในห้องค่ะ แต่ว่า คุณอาร์ม ที่เราเคยคุยกันไว้น่ะ... เลยต้องโทรมากวนก็เพราะอย่างนี้แหละค่ะ...”
ธรรมนูญฉวยกระดาษมาจากทักษ์ บุ้ยใบ้ให้ทำงานต่อไม่ต้องสนใจในขณะที่ตัวเองออกเดินไปส่วนสำนักงาน โล่งใจนิดๆ เมื่อเห็นไกลๆ ว่าจิรัฐกำลังเดินตรงมาที่ตัวตึกเหมือนกัน เขากรอกเสียงลงโทรศัพท์
“เดี๋ยวผมจะพยายามพูดให้ ได้ความยังไงจะรีบบอก.... นี่จีมาแล้วพอดี ครับ... โอเค”
ธรรมนูญโบกมือให้รุ่นน้องเห็นพลางเดินแกมวิ่งไปหา จิรัฐเหลือบตามองชั้นบนแล้วมองเขาเป็นเชิงถาม ธรรมนูญพยักหน้า
“ตั้งแต่เช้าแล้วล่ะ...”
จิรัฐก้าวขึ้นบันไดช้าๆ แต่มั่นคง
บางที ความกล้าก็ไม่ใช่ความไม่กลัว เพียงแต่เขารู้ว่าสิ่งที่ตั้งใจจะปกป้องเอาไว้นั้น สำคัญกว่าตัวเอง...
ภวิลกวาดตามองรอบห้องทำงานที่ถือวิสาสะยึดมาตั้งแต่วันแรก
จิรัฐไม่ว่าอะไร ไม่แม้แต่จะย่างกรายเข้ามาอีกด้วยซ้ำ ตอนแรกเขาเชื่อว่าทำอย่างนี้ดีที่สุด เพราะอีกฝ่ายจะได้ไม่มีโอกาสตั้งตัวเก็บหลักฐานที่เกี่ยวกับน้องออกไปทัน พอขึ้นจากสวนเขาก็ปิดห้องอ้างว่าจะอ่านรายงานที่สั่งให้ผู้จัดการฝ่ายการเงินและบุคคลทำ แต่ส่วนใหญ่แล้วค้นดูเอกสารอื่นๆ หาทุกอย่างที่น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องในวันนั้น จนถึงตอนนี้ แทบพูดได้ว่าไม่มีซอกมุมไหนในห้องหรือเอกสารใดในแฟ้มที่หลุดรอดสายตาไปได้
แต่เขาก็น่าจะรู้ ถ้ามีเบาะแสพรรค์อย่างนั้นที่นี่จริง จิรัฐคงวางเฉยอย่างที่เป็นอยู่ไม่ได้ ถ้าไม่ประสาทเหล็กเต็มที ก็เพราะแน่ใจว่าไม่มีอะไรที่จะโยงไปถึงความจริงในคืนนั้นหลงเหลืออยู่อีกแล้ว
... หรือเขาอาจจะแค่ยัง... มองหาไม่ละเอียดพอ
ภวิลปิดแฟ้มเข้าหากันอย่างแรงพร้อมกับที่เสียงเคาะประตูดังขึ้น เขาพูดเสียงห้วน “ไม่ได้เรียก...”
เสียงจิรัฐดังขึ้น “คุณภวิล...”
คนอยู่ในห้องเลิกคิ้วกับตัวเองน้อยๆ ไม่คิดว่าคนมาขอพบแต่เช้าจะเป็นคนที่ทำท่าราวแม้แต่หน้าก็ไม่อยากจะมองกันเมื่อวาน เขาเดินไปปลดกลอนประตูแล้วกลับต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นผู้จัดการฝ่ายการเงินและบุคคลยืนอยู่ด้วย
ธรรมนูญรีบก้าวเข้ามาในห้อง “ผมมีเรื่องจะเรียนให้ทราบ...”
ภวิลเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะ “แล้วอีกคนมีเรื่องอะไร”
“เรื่องเดียวกันแหละครับ” น้ำเสียงจิรัฐไม่แสดงอารมณ์ใด “ผมไม่แน่ใจว่าคุณจะเข้ามาวันไหนบ้าง ถ้าจะใช้เลขาฯ จากที่บริษัทคุณมาช่วยที่นี่อาจจะทำให้สะดวกขึ้น”
“เมื่อก่อนคุณใช้ใคร ก็ใช้คนนั้นแหละ ไม่เห็นต้องยุ่งยาก”
“คือ... ไม่ไหวแล้วมังครับ เขามีแต่เกษียณก่อนกำหนด นี่ป้าก็หกสิบสองเข้าไปแล้ว" ธรรมนูญบอก "ยิ่งเปลี่ยนผู้บริหารใหม่แบบนี้ ป้าขอ... แกอยากไปเลี้ยงหลาน"
นี่เป็นเรื่องที่เคยพูดกันมานาน เพียงแต่มารดาของจิรัฐไว้ใจเลขาฯ เก่าคนนี้มากและแกเองก็รักจิรัฐเหมือนลูกเหมือนหลานจนทำงานต่อมาเรื่อยๆ รวมทั้งยังหาเลขาฯ ใหม่ที่เหมาะๆ ไม่ได้ด้วย จนเมื่อเปลี่ยนผู้บริหารจึงเป็นโอกาสที่จะเกษียณจริงๆ เสียที ผู้จัดการรีบเสริมต่อ
“ผมพอมีใบสมัครที่คนเคยส่งเข้ามาแล้วบ้าง ถ้าคุณภวิลจะดูเบื้องต้น...”
“ไม่ต้องหรอก ผมหาได้แล้ว”
“คนของคุณเองเหรอครับ” ธรรมนูญถาม
“ก็ไม่รู้เรียกว่าคนของผมได้หรือเปล่า นายเก่าคุณหลุดจากตำแหน่งเดิมแล้วยังว่างอยู่ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วผมเลยว่าจะให้...”
“ไม่ได้นะครับ” ธรรมนูญขัดอย่างลืมตัว “คุณจะเอาจี เอ่อ คุณจิรัฐมาเป็นเลขาฯ อย่างนั้นหรือ ผมว่าไม่...”
“เจ้าตัวเขายังไม่เห็นว่าอะไรเลยสักคำ” ภวิลบอก ธรรมนูญเหลือบมองรุ่นน้อง ไม่รู้ว่าที่ยังไม่พูดเพราะกำลังคิดหาทางอยู่หรือเพราะอึ้งจนพูดไม่ออก ที่จริงเขาก็หวังเพียงให้จิรัฐช่วยบอกกล่าวเรื่องการเกษียณของเลขาฯ คนเดิมและหาคนใหม่มาทำแทน ไม่นึกว่าเหตุการณ์จะออกมาในรูปนี้
“ถ้าอย่างนั้นผมขอให้เลขาฯ คนเก่ากลับมาทำงานต่อก็ได้ครับ” ธรรมนูญว่า ถ้าขอร้องให้อยู่ช่วยต่ออีกสักปีสองปีจนหาเลขาฯ ใหม่ได้คงไม่เป็นไร
“ผมไม่ได้อยากได้เลขาฯ ช่วยงานเอกสารเฉยๆ แต่ต้องการผู้ช่วยที่รู้เรื่องอื่นดี... ด้วย”
ภวิลมองทายาทคนเดียวผู้เป็นเจ้าของบ้านนิ่งๆ ราวจะท้าให้กล้าปฏิเสธ แวบหนึ่งที่จิรัฐอยากจะพูดออกไปว่าให้เขาไปเป็นผู้ช่วยหัวหน้าคนสวนยังดีกว่าต้องมาเป็นผู้ช่วยของคนตรงหน้า แต่นึกถึงคำพูดเมื่อวานพร้อมสายตาดูแคลน ‘ไม่อยากทำก็โบ้ยให้คนอื่น’ จึงสบตาอีกฝ่ายตรงๆ
“ก็ได้ ผมทำเอง”
ธรรมนูญมองรุ่นน้องอย่างตกใจ ภวิลเพียงพยักหน้ารับรู้ราวเป็นเรื่องที่คาดไว้อยู่แล้ว
พอออกจากห้องธรรมนูญยังไม่ทันพูดอะไรจิรัฐก็ชิงเอ่ยเสียก่อนราวจะเดาใจได้ “ไม่เป็นไรหรอกพี่อาร์ม ไม่เป็นไรจริงๆ”
“แต่ถ้าคุณป้ารู้เข้า...”
“แม่จะไม่รู้เรื่องนี้” รุ่นน้องพูดอย่างหนักแน่น
ธรรมนูญถอนใจ ความจริงถึงตอนนี้ พนักงานก็รู้เพียงว่าหุ้นบางส่วนถูกขายให้กับบริษัทวินเนอร์พร็อพเพอร์ตี้ และแม้ผู้จัดการแผนกอื่นๆ จะรู้จักภวิลในฐานะผู้บริหารคนใหม่ ก็ไม่จำเป็นจะต้องสรุปว่าอีกฝ่ายเป็นผู้บริหารเพียงคนเดียว เพราะฉะนั้นเรื่องที่จิรัฐถูกลิดรอนอำนาจก็ไม่น่าจะถึงหูคุณบุณฑริกได้... อย่างน้อยก็จนกว่ารุ่นน้องจะค่อยหาทางบอกเอง
หลังจากฟังการพรีเซนต์เมนูใหม่ซึ่งผ่านไปอย่างราบรื่นจนธรรมนูญไม่อยากจะเชื่อแล้ว เจ้าของหุ้นส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เข้ามาอีกหลายวัน... คงไปดูแลธุรกิจหลักของตัวเอง และกลับเป็นเรื่องดี เพราะจิรัฐได้ทำงานอย่างปกติเหมือนที่เคยทำ เรื่องรายละเอียดยิบย่อยต่างๆ แบบที่ต้องตัดสินใจในการบริหารวันต่อวันภวิลก็ไม่ได้ยุ่ง จนเขาเกือบคิดว่าบางที เรื่องราวอาจจะยังไม่เลวร้ายนัก...
จนโทรศัพท์ดังขึ้นตอนที่จิรัฐกำลังขับรถกลับบ้านสวน เสียงละล่ำละลักของเด็กในบ้านรัวเร็วจนฟังไม่รู้เรื่อง แต่เมื่อบอกให้พูดช้าลงเขาก็ตัวเย็นเฉียบ
“คุณผู้หญิงเป็นลม... เข้าโรงพยาบาลค่ะ”
“โรงพยาบาลไหน แม่เป็นอย่างนี้ได้ยังไง” จิรัฐหักรถจอดข้างทาง ขืนขับไปตอนนี้คงเสยต้นไม้หรืออะไรเข้าสักอย่างด้วยเขายังควบคุมสติไม่อยู่จริงๆ
เด็กบอกชื่อโรงพยาบาล แล้วจึงบอกสิ่งที่ทำให้เขาชาดิกไปถึงหัวใจ
“ตอนบ่ายมีแขกมาหาที่บ้าน เป็นผู้ชายตัวสูงๆ หน้าตาดี คุณผู้หญิงก็รู้จักเห็นเรียกหลาน... คุยกันแป๊บเดียวคุณผู้หญิงก็...”
จิรัฐกำมือแน่น เหงื่อเย็นเยียบไหลซึม
... ขออย่าให้เป็นอย่างที่คิดเลย!
เขาพุ่งไปที่ห้องฉุกเฉินก่อน แต่ได้รับคำตอบว่าคนไข้ชื่อบุณฑริกออกจากห้องฉุกเฉินไปพักฟื้นเรียบร้อยแล้ว จิรัฐเปิดประตูเข้าไป เพิ่งรู้สึกว่าตัวเองมือสั่น อาจจะสั่นไปทั้งตัว เขาก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน... แม่ยังหลับอยู่ สีหน้าดีกว่าที่นึกกลัวเอาไว้ เขาเดินไปที่ข้างเตียงช้าๆ เอ่ยปากเรียกแผ่วเบา “แม่...”
ตั้งแต่พ่อเสียไปจิรัฐก็มีแต่แม่เท่านั้น และนึกไม่ออกเอาจริงๆ ว่าถ้าไม่มีแล้วจะเป็นอย่างไร แม่เป็นความเข้มแข็งของเขา เป็นแรงใจ... ที่ทำให้ทำอย่างทุกวันนี้ได้ เขาค่อยๆ แตะนิ้วลงบนมือแม่
เสียงเปิดประตูทำให้สะดุ้งเหลียวไป และปะเข้ากับคนที่ไม่อยากเห็นหน้าที่สุดในเวลานี้
“คุณมาทำไม!” จิรัฐไม่กล้าเสียงดังกลัวจะรบกวนแม่ ได้แต่เดินไปที่ประตูเอาตัวขวางไว้ไม่ให้อีกฝ่ายเข้ามาได้
“ผมก็แค่จะ...” ภวิลมองคนตรงหน้าที่ตาแดงก่ำ
“ผมทำตามที่คุณบอก ให้อยู่ตรงไหน ผมก็อยู่... บอกให้เป็นอะไร ผมก็เป็นตามนั้น... ผมต้องทำยังไงอีก คุณภวิล” ท้ายประโยคขาดหายราวคนพูดจุกแน่นอยู่ในอก ทั้งโกรธทั้งเสียใจ “แม่ผม ท่านไม่เกี่ยว...”
จิรัฐยกมือขึ้นกดกระบอกตาแล้วถูแรงๆ จนคนยังยืนอยู่นอกห้องเกือบเผลอรวบจับไว้ด้วยกลัวจะขยี้จนบอดไปเสียก่อน พอดีกับที่เสียงในห้องดังขึ้น
“จี...”
“แม่” เขารีบเดินกลับไปหา แม่จับมือเขาไว้ ยิ้มอ่อนบาง
“ทำไมทำหน้ายังงั้น แม่ไม่เป็นไรแล้ว” คุณบุณฑริกเหลือบเห็นชายหนุ่มอีกคนยังยืนอยู่หน้าห้องจึงพยักหน้าเรียก “วินเข้ามาสิลูก ขอบใจนะ... ไม่ได้วินคงแย่”
จิรัฐมองแม่กับคนที่เพิ่งก้าวเข้ามาในห้องสลับกันอย่างงุนงง
“ครับ” ภวิลก็ตอบอย่างเรียบร้อย
“พี่เขาไปหาแม่ที่บ้าน คุยกันยังไม่ได้เท่าไหร่เลยแม่ดันลมจับ อาการเดิมกำเริบน่ะลูก... ตาแสงแกลาวันนี้พอดี” แม่หมายถึงคนดูแลสวนที่ทำหน้าที่ขับรถให้ด้วยในบางคราเวลาจะไปไหน “ในบ้านมีแต่ผู้หญิง พอดีได้พี่เขาช่วย”
จิรัฐแน่ใจว่าอีกฝ่ายคงไม่อยากเป็น ‘พี่’ คงไม่อยากเป็นอะไรด้วยทั้งนั้น เขาเหลือบมองคนช่วยอย่างอดระแวงนิดๆ ไม่ได้ พอดีหมอและพยาบาลเข้ามาเช็คอาการ หลังจากสอบถามจนแน่ใจว่าปลอดภัยดีแล้ว จิรัฐจึงเลี่ยงออกมานอกห้องปล่อยให้นางพยาบาลเช็ดตัวแม่
ภวิลเดินตามออกมา สองคนยืนพิงผนังกันอยู่คนละฝั่งประตูเงียบๆ จนจิรัฐเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน
“คุณ... ไปบ้านผม”
ภวิลรู้ว่าคนพูดคงอยากถามว่าไปทำไม และเหตุผลที่แท้จริงนั้นบอกออกมาง่ายๆ ไม่ได้ ก็เหมือนกับที่เขาถามจิรัฐง่ายๆ ไม่ได้เรื่องน้องชาย จึงเพียงแต่พยักหน้า
จิรัฐเอ่ยเบาๆ
“คุณยังไม่ได้บอก...”
“เปล่า...”
ระหว่างคุยกับคุณบุณฑริกเขาหวังว่าอาจจะได้เงื่อนงำอะไรบางอย่างบ้างในเมื่อคว้าน้ำเหลวจากห้องทำงานมาแล้ว แต่ยังไม่ทันจะถึงไหนเธอก็บ่นว่าหน้ามืด จะเป็นลม เขารู้ว่าคุณบุณฑริกมีอาการโรคหัวใจเลยรีบพาส่งโรงพยาบาล ความจริงภวิลไม่เห็นประโยชน์ที่จะบอกเรื่องซื้อหุ้นส่วนใหญ่ในบ้านพระยา เพราะรังแต่จะทำให้มารดาของจิรัฐรู้สึกไม่สนิทใจพอที่จะเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟังเหมือนอย่างตอนนี้
ที่สำคัญ... เมื่อคำนึงถึงโรคประจำตัวของคุณบุณฑริกแล้ว ภวิลก็ไม่อยากจะทำร้ายผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง
ขอให้เรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างเขา... กับจิรัฐเท่านั้นก็พอ
“ขอโทษที่... เข้าใจผิด” คนยืนอยู่อีกฟากประตูพูดเบาๆ โดยไม่ได้หันมามอง “แล้วก็ขอบคุณที่... ช่วยแม่ผม”
ในสถานการณ์อื่นจิรัฐคงไม่คิดจะพูดคำนี้ แต่ตอนนี้เขาก็แค่โล่งใจ... ที่แม่ไม่เป็นอะไร และที่ไม่เป็นอะไร ก็เพราะภวิลไปอยู่ที่นั่น... ในเวลานั้น ไม่ว่าจะไปด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม
ภวิลเพียงแต่พยักหน้าอีกครั้ง ถ้าเอาเรื่องที่เขาเคยพูดดักไว้มาผสมกับการที่เขาเป็นคนสุดท้ายที่อยู่กับแม่ของจิรัฐตอนเกิดเรื่อง ใครๆ ก็คงคิดอย่างนี้ ด่วนสรุป... อาจจะใช่ แต่ด้วยสถานการณ์แวดล้อมแล้วก็ไม่เอื้อให้เห็นเป็นอย่างอื่น
พลันนึกขึ้นได้ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้มันคล้ายคลึงกันอย่างประหลาด ต่างฝ่ายต่างเป็นคนส่งญาติสนิทของอีกฝ่ายไปโรงพยาบาล
... เพียงแต่น้องชายของเขา ไม่อาจฟื้นมายืนยันความบริสุทธิ์ของคนพามาส่งได้เหมือนแม่ของจิรัฐ
ภวิลทำทุกอย่างด้วยความมั่นใจเสมอมา ทุกอย่างคิดมาดีแล้ว ตรึกตรองมาอย่างรอบคอบแล้ว ไม่ว่าจะเรื่องธุรกิจหรือเรื่องอื่นๆ ก็เหมือนกัน ที่เข้ามาครั้งนี้ก็เพราะแน่ใจว่าจิรัฐมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของน้อง เขาไม่เคยสงสัยการตัดสินใจของตัวเองมาก่อน
แต่ตอนนี้เขากำลังคิด... หรือตัวเองอาจ... ด่วนสรุปเช่นกัน?
ธรรมนูญสาวเท้าอย่างรีบเร่งมาตามทางเดินในโรงพยาบาล เห็นรุ่นน้องก็ตรงเข้าไปหา “คุณน้าเป็นไงบ้างจี”
จิรัฐพึมพำตอบว่าดีขึ้นแล้ว ธรรมนูญเพิ่งจะเห็นผู้บริหารคนใหม่ และชะงักไปอย่างประหลาดใจด้วยไม่คาดว่าจะเจอในที่นี้
... ภวิลหันหลังจากมาโดยไม่พูดอะไรอีก++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
คุณ samsoon@doll ถูก คำถามนี้เลย ใครกันนะ อิอิ
คุณ jeaby@_@ ขอบคุณมากๆ สำหรับการติดตามค่ะ ฝากต่อด้วยน้า คุณพระเอกก็คง... ไม่เย็นอย่างนี้ไปตลอดหรอก 55
คุณ yeyong แอร์ไทม์ เอ้ย ออกเยอะขนาดนี้ก็คงต้องเป็นคู่เอกแล้วล่ะค่ะสองคนนั้น ปมแรกจวนคลายแล้วค่ะ
คุณ Little Diamond เออบางทีเราก็อยากพูดคำนี้เหมือนกัน ถูกใจ 55 แต่เค้าก็ไม่รู้จริงๆ นี่ อีกไม่นานล่ะ...
คุณ BBChin JungBB ความรู้สึกเนี้ยแหละ ต่อยหมอนข้าง ประมาณนั้น
คุณ sang som เป็นบุคลิกนึงของเค้า... แต่ต้องรอดูกันต่อไป...
คุณ tarkung ขอบคุณมากค่ะ ฝากติดตามต่อด้วยนะคะ
คุณ ratrirattikan ขอบคุณค่า ฝากด้วยนะคะ
คุณ berlyn สวัสดีค่า ความจริงจวนเปิด (จวนจริงๆ นะเดี๋ยวจะบอก พูดมาหลายตอนละ) ถ้าถามบางทีจีอาจจะไม่ตอบง่ายๆ เหอๆ ขนาดพี่อาร์มที่สนิทๆ กันยังไม่บอกเลย
คุณ pattybluet จริง เป็นคนรับมือยาก แกมีเหตุผลของตัวเอง (ที่คนเขียนคิดหัวแทบแตกเลย ฮา) อย่าเพิ่งเกลียดแกเลยค่ะ เชียร์จีต่อๆ
คุณ bulldog17 แอร๊ยยย สามบทแล้วมีแต่คนก่นด่าคุณพระเอก 555 ตอนสี่แกไม่ใจร้ายนะ หรือไง
คุณ benzaa602 จะพยายามอย่างยิ่งที่จะมาต่อให้เร็วนะคะ ก็คุณพระเอกแกไม่รู้เรื่องแกก็ต้องมาหาความจริงนี่แหละ 55
คุณ kisssky คุณภวิลโดนอีกแล้ว เหอๆ ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
คุณ bluebird คุณภวิลเค้าไม่ได้โหดแบบ จำเลยรักอะไรอย่างนั้นนะแต่หลังจากนี้ไม่นานเงื่อนงำก็จะเฉลยแล้วค่ะ
แหะๆ มาต่อช้าอีกแล้ว เพราะคนเขียนงานเข้า (งานยุ่งนั่นเอง) แต่จะเขียนไปเรื่อยๆ ค่ะไม่ทิ้งแน่ๆ ยังไงฝากด้วยนะคะ
ปล. ใครแอบด่าคุณภวิลตอนแม่จีเข้าโรงพยาบาลไปแล้วบ้าง 555
ขอบคุณคนอ่านทุกท่านมากๆ ค่ะ 