ตอนที่ 25 จุดเริ่มต้นของบทดราม่า“คนที่ดี คือคนที่ต้องมีทั้งความอ่อนโยน และความเข้มแข็ง ภาพที่ดีคือภาพที่มีทั้งความอ่อนและความเข้มและต้องลงตัว คู่รักที่ดีก็ต้องมีทั้งคนอ่อนและคนที่แข็ง” ผมท่องสคริปต์ตามที่ได้รับมาตรงเป๊ะๆ ก่อนหยุดนิ่งฟังเสียงหัวใจของตัวเอง นี่คงเป็นครั้งแรกที่รู้สึกเหมือนหัวใจมันเต้นโครมครามอย่างกับต้องการออกมาเต้นข้างนอก
ตึก ตึก
ตึก ตึก
ตึก ตึก
.
.
.
.
“แม่ เห็นรูปที่หนูส่งไปให้หรือยัง” ผมโทรหาแม่หลังจากที่ถ่ายรูปผลงานศิลปะที่ยืนเถียงกับน้ำมนต์ส่งไปให้แม่
“เห็นแล้ว มีไรละตาหนู” แม่ถามกลับมา
“แม่ว่าสีอ่อนๆด้านหลัง กับสีเข้มๆข้างหน้า มันมีความสัมพันธ์กันยังไงอ่า แล้วถ้ามันอยู่ด้วยกันมันจะดีไหม” ผมถามแม่ไป
“ทำไมมาถามคำถามแม่แบบนี้ละ การบ้านเหรอ ?” แม่ถามผมกลับ
“ไม่ใช่ กำลังเถียงกับใครบางคนอยู่ บอกมาเร็วๆแม่” ผมรีบเร่งแม่
แม่ขอเวลาดูภาพประมาณสองสามนาที ก่อนอธิบายถึงอารมณ์ของภาพ การใช้สี หน้าที่ของสีอ่อน หน้าที่ของสีเข้ม บอกผมถึงการผสมผสาน และบอกเปรียบเทียบอะไรหลายต่อหลายอย่างให้ผมฟัง
ผมเพิ่งรู้สึกว่าการที่แม่ของผมชอบศิลปะ มันส่งผลดีกับผมมากๆ ก็วันนี้แหละ
.
.
.
.
“เป็นแฟนกับกูนะ .. น้ำมนต์” ผมพูดประโยคนั้นออกไป พร้อมกับใจที่เต้นหนักกว่าเดิม ผู้คนในห้องต่างมองมาที่ผมเป็นตาเดียว น้ำมนต์แน่นิ่งอย่างกับคนโดนสตาร์ฟไว้ ไม่ไหวติง แม้เปลือกตาก็ยังไม่กระพริบ
น้องผู้หญิงที่ชื่อแพรที่ยืนอยู่ข้างน้ำมนต์เหมือนกำลังตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ก็ตั้งตัวทัน ผมเห็นเธอมองมาที่ผมสลับกับมองหน้าน้ำมนต์ ก่อนที่เธอจะเอามือของเธอจับกับมือของน้ำมนต์แน่น
“น้ำมนต์ขอโทษนะคะ น้ำมนต์มีแฟนแล้ว นี่คือแฟนของน้ำมนต์ หนูคงเป็นแฟนกับพี่ไม่ได้” เธอพูดจบก็ดึงน้ำมนต์ออกจากห้องนี้ไป
ร่างของน้ำมนต์เหมือนร่างที่ไร้วิญญาณที่โดนลากออกไป ผมว่าผมเข้าใจการกระทำของแพร ที่ลากน้ำมนต์ออกไปจากฝูงชนครั้งนี้ โดยการอ้างว่าตัวเองคือน้ำมนต์ เธอต้องการแสดงให้ทุกคนเห็นว่าผมขอเธอเป็นแฟน เพื่อไม่ให้น้ำมนต์เสียหาย รวมทั้งผมด้วยสินะ
ผู้คนที่ยืนมองผมเมื่อครู่ ต่างพากันเดินชมนิทรรศการต่อ ผมไม่กล้ามองหน้าใครๆ ไม่ได้อับอาย แต่รู้สึกว่าตัวเองพลาดไป พลาดที่มาขอน้ำมนต์เป็นแฟนตอนนี้ ถึงน้ำมนต์อยากจะเป็นแฟนกับผม หรือไม่อยากเป็น ยังไงซะ น้ำมนต์ก็ไม่ตอบมันมาอยู่ดี
นี่ผมกำลังคิดว่าตัวเองเป็นพระเอกในหนังฮอลีวู๊ด กำลังขอนางเอกแต่งงานหรือไงนะ
“เป็นอะไรมั๊ยคะ พี่โป้” น้องหญิงเดินมาทักผม
“อืม พี่โอเค”
“พี่ยังไม่ได้ฟังคำตอบน้ำมนต์เลยนะคะ ไม่ตามไปฟังละ” ช้างน้อยเตือนสติผม
ใช่สินะ คนที่ปฎิเสธผมไม่ใช่น้ำมนต์ซะหน่อย แต่เป็นแพร ที่ช่วยแก้สถานการณ์แย่ๆของผมครั้งนี้ ผมคิดได้จึงรีบวิ่งตามน้ำมนต์ไป
น้ำมนต์กำลังยืนอยู่กับแพรที่ลานจอดรถ มีเสียงของแพรถามน้ำมนต์ว่าเป็นอะไรบ้าง โอเคมั๊ยเป็นระยะ แต่ก็ไม่ได้คำตอบใดๆจากน้ำมนต์เลย
“น้ำมนต์” ผมตะโกนเรียกทางด้านหลัง น้ำมนต์หันกลับมามองผม พร้อมกับแพร
“กูขอโทษที่ขอมึงเป็นแฟนตรงนั้น แต่ถ้ากูขอมึงเป็นแฟนตรงนี้ มึงจะเป็นแฟนกับกูมั๊ย” ผมถามมันไปอีกครั้ง ด้วยความมั่นใจมากกว่าเดิม
“นี่นายยังจะกล้ามาถามน้ำมนต์อีกเหรอ นายมันบ้าไปแล้ว” เสียงของแพรตะโกนด่าผม แต่ผมหาได้สนใจไม่
น้ำมนต์มองมาทางผม ก่อนจะเดินเข้ามาหาผม แขนข้างขวาของน้ำมนต์ง้างขึ้นมาแล้ว เหวี่ยงเข้ามาตรงใบหน้าผม
“พลึ่บ !!!!” แต่ครั้งนี้มันต่างกับครั้งที่แล้วลิบลับ ผมจับทางได้ว่าน้ำมนต์ต้องทำแบบนี้ ผมจึงเอามือจับแขนนั้นไว้ได้
“ปล่อย” น้ำมนต์พูดบอกผม ด้วยสายตาไม่พอใจ
“ไม่ปล่อย จนกว่าจะตอบ”
“แค่นี้ยังตอบไม่ได้อีกเหรอ”
“ตอนกูจูบมึงครั้งแรก มึงก็ต่อยกู แต่ก็ไม่ได้แปลว่ามึงไม่ชอบมัน ตอนนี้กูก็ขอมึงเป็นแฟนครั้งแรกเหมือนกัน มึงก็จะต่อยกู ก็ไม่ได้หมายความว่ามึงไม่ชอบกูเหมือนกัน” ผมแย้งมันไป
“คิดไปเอง ปล่อยเรานะ” มันพูดอีกครั้งก่อนที่จะสะบัดมือหลุดไป
“เจ็บมั๊ยน้ำมนต์” ผู้หญิงที่ชื่อแพรเข้ามาจับแขนน้ำมนต์ดู ผมแอบเห็นมีรอยแดงนิดหน่อย
“ไม่เป็นไรแพร ขอบใจมาก” มันตอบผู้หญิงนั้นไป
“ตกลงจะเป็นแฟนกับกูดีๆหรือจะให้กูบังคับ” ผมถามมันอีกครั้ง
มันเงียบให้ผม ผู้หญิงชื่อแพรยังคงจับแขนของมันพลิกไปพลิกมาเพื่อดูร่องรอยของการจับอีกครั้ง ปากก็ถามว่าเจ็บมั๊ยๆ ไอ้น้ำมนต์ก็บอกว่าไม่เป็นไรๆ เหมือนกับไม่สนใจอะไรผมเลย
“น้ำมนต์ !!!” ผมเรียกมันอีกที
น้ำมนต์หันหน้ามามองผม ก่อนจะหันหน้าไปมองผู้หญิงชื่อแพร แล้วเรื่องที่ผมไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น น้ำมนต์ก้มลงไปจูบที่ปากของแพร ผู้หญิงสะดุ้งตกใจเล็กน้อย แต่ก็เปลี่ยนเป็นจูบตอบในภายหลัง ภาพนั้นทำเอาหัวใจของผมที่เต้นโครมครามเมื่อครู่ กำลังจะหยุดเต้น และพร้อมจะแตกสลายไปกับตา
ทั้งสองคนถอนปากออกจากกัน แต่ยังมีสายตาที่เชื่อมกันอย่างรับรู้
“เป็นแฟนกับน้ำมนต์นะแพร”
ใครก็ได้ครับ เอาปืนมายิงผมหน่อย ยิงผมให้ตายไปซะตรงนี้ซะดีกว่า ผมไม่รู้ว่าที่มันทำต้องการอะไร ประชด ไม่ทันคิด แกล้ง หรือรักกันจริง แต่ผมทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ที่เห็นมันทำร้ายจิตใจของผมแบบนี้
“ไอ้น้ำมนต์ มึงมานี่” ผมเดินไปกระชากแขนน้ำมนต์ เดินตามผมมา
“น้ำมนต์ ไปไหน นายจะพาน้ำมนต์ไปไหน” เสียงของแพรดังขึ้น พร้อมกับเสียงเท้าที่วิ่งตามมา
“มานี่ นังชะนีแพร ไม่ต้องไปตามเค้า หล่อนมันตัวสร้างเรื่อง” แต่ก็ได้ยินเสียงช้างน้อยมาขัดไว้ ผมเลยเลิกสนใจเบื้องหลัง คิดว่าเรื่องแค่นี้ ช้างน้อยคงเอาอยู่
ผมลากน้ำมนต์มาจนถึงหอตัวเอง ในสภาพที่ย้ำแย่พอควร เพราะคนที่ซ้อนพยายามดิ้นไปดิ้นมา ผมต้องใช้มือข้างนึงดึงตัวมันไว้ ออกแรงเยอะอยู่เพื่อสู้กับแรงของคนข้างหลัง แต่ก็มาถึงห้องผมได้
“โอ๊ยยยย” เสียงของอีกคนร้องดังขึ้น เมื่อผมเหวี่ยงตัวลงบนเตียง
“ชอบนักใช่มั๊ย ประชด ชอบนักใช่มั๊ยการจูบ” ผมพูดไปพร้อมกับรุกเข้าไปกอดน้ำมนต์ พรมจูบไปทั่วใบหน้า เสียงร้องห้ามของอีกคนดังขึ้นไม่ขาดสาย พร้อมๆกับหมัด เตะ ทั้งมือทั้งเท้าเข้ามาตรงร่างกายของผม แต่ใครจะไปหยุดละครับ อารมณ์โกรธ อารมณ์เจ็บใจ และอารมณ์ใคร่กำลังโถมเข้ามาในตัวผมเต็มๆ ผมเริ่มดึงเสื้อผ้าของน้ำมนต์ออก กระดุมเสื้อขาดกระเด็น เผยให้เห็นส่วนบนที่ขาวอมชมพูของคนตรงหน้าผมจับมือทั้งสองข้างของน้ำมนต์ชูขึ้นเหนือหัวแล้วเอามือตัวเองจับไว้ ก่อนจะพรมปากและลิ้นไปตามร่างขาวอมชมพูนั้น มืออีกข้างผมก็ค่อยๆถอดเสื้อของตัวเองออกอย่างรวดเร็ว แล้วค่อยๆกลับมาสนใจกับรูปร่างตรงหน้าอีกครั้ง ร่างบางลดแรงต้านทานลงจนผมยิ้มกระย่องในใจ จึงเงยหน้าขึ้นมาดู
แต่ที่ไหนได้ ภาพน้ำตาไหลของน้ำมนต์ทำเอาหัวใจของผมที่สลายไปแล้ว กลับกระจุยกระจายย่อยยับเป็นปุยผงไปอีกพันๆเท้า อารมณ์ต่างๆนานาที่เข้ามาเมื่อครู่ หายไปหมด ปีศาจที่เข้าสิงผมตนนั้นหายไปพร้อมกับน้ำตาของคนตรงหน้า
“น้ำมนต์กู ..” กลายเป็นคนติดอ่างขึ้นมาทันที ปากแข็งไม่รู้จะพูดประโยคใดออกไปดี น้ำตาของน้ำมนต์ที่ไหลออกมา หน้าตาที่ไม่ได้บอกความรู้สึกว่าเจ็บส่วนไหน แต่คนที่มองนั้นเจ็บไปทั้งใจ
ผมรีบคว้าร่างของน้ำมนต์เข้ามากอดเอาไว้ น้ำตาตัวเองก็ไหลออกมาแบบรู้เวลา นี่ผมกำลังคิดจะทำอะไรลงไปเนี่ย ผมปล่อยให้อารมณ์ของตัวเองมาทำร้ายคนที่ผมบอกได้ว่ารักแบบนี้ได้ไงกัน
“กูขอโทษน้ำมนต์ กูขอโทษ กูขอโทษ” ปากผมพร่ำออกไปพร้อมกับน้ำตา ปริมาณที่ออกมาอาจจะมากพอๆกับอีกคน แต่ความเจ็บปวดนั้น อีกคนคงมากกว่าแน่ๆ
ผมกอดร่างที่เหมือนไร้ความรู้สึกนั้นปากก็พูดว่าขอโทษๆอยู่เนิ่นนาน แต่อีกคนกลับเฉยชา
“ปล่อย” คำพูดของอีกคนดังขึ้นอย่างแหบพล่า เล่นเอาผมใจหาย รีบปล่อยตัวน้ำมนต์ ทันทีที่ผมปล่อยตัวไป มันค่อยๆลุกขึ้น หยิบเสื้อของมัน ที่ผมดึงจนกระดุมขาดแทบทุกเม็ดมาสวมใส่
“มึงจะไปไหน” ผมปาดน้ำตาตัวเองแล้วถามมัน แต่ก็ไม่ได้คำตอบอะไรมา ผมเลยรีบลุกหยิบเสื้อแจ็กเก็ตในตู้เสื้อผ้า แล้วก็เดินไปใส่ให้มัน พร้อมกับรูดซิปหน้าให้มัน อย่างน้อยก็ปกคลุมความผิดพลาดที่ผมทำไว้ เมื่อผมใส่เสื้อให้มันเสร็จ มันก็เปิดประตูเดินออกจากห้องผมไป
ผมรีบไปคว้าเสื้อตัวเองมาใส่อีกครั้ง ก่อนที่จะตามมันลงไป
“ไปไหน ให้กูไปส่ง” ผมขับรถตามมันมา ซึ่งมันกำลังเดินบนฟุตบาท แต่มันก็ไม่ได้ตอบอะไรผม แล้วมันก็โบกมอเตอร์ไซค์รับจ้าง แล้วนั่งไป ผมก็ขับตามมันไปเรื่อยๆ
ตลอดระยะทางที่ผมขับรถตามมันมา มันไม่มีแม้สักครั้งที่มองหันหลังกลับมามองผม มันให้วินมอเตอร์ไซค์พามันมาส่งที่คิวรถสองแถวกลับบ้าน แล้วมันก็ขึ้นรถสองแถวกลับบ้านไป แต่ผมก็ยังขับรถตามมันมาเป็นระยะๆ รถจอดข้างทาง ผมก็จอดแวะ คนในรถมองมาที่ผมกันหมด ยกเว้นเพียงแต่คนที่ผมมองคนเดียวเท่านั้น ที่ไม่เคยหันมามองผมเลย
ผมขับรถตามมาจนมันลงจากรถแล้วมันเดินต่อเข้าบ้านมันไป ไม่ต้องบอกว่าผมยังขับรถตามอยู่ไหม เพราะตอนนี้แทบจะขับเทียบเลยด้วยซ้ำ
“น้ำมนต์ กูขอโทษ” ผมพูดประโยคนี้ครั้งที่ร้อยแล้ว และถ้าต้องพูดอีกสักล้านครั้งเพื่อให้อีกคนยกโทษให้ผมก็ยินดีจะพูด แต่คำตอบที่ได้ กลับเป็นความเฉยชา ที่รู้สึกได้มากกว่าครั้งแรกที่เคยเจอกันอีก
ใจของผมทรมาน มันทุรนทุรายจนอยากจะบ้าตาย อยากมีเครื่องย้อนเวลา ไปแก้ไขเรื่องราวที่ทำลงไปวันนี้
น้ำมนต์เดินกลับมาถึงบ้าน และเดินเข้าบ้าน พร้อมกับตรงดิ่งขึ้นชั้นบนในทันที ผมได้แต่มองแผ่นหลังนั้นอย่างช้าๆ ที่หายเข้าบ้านไป ยายมองมาที่ผมอย่างสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ไม่ได้เข้ามาถาม คงอยากให้มันเป็นเรื่องของพวกเรา
ผมจอดรถมองหลังคาบ้านนี้อยู่พักใหญ่ ก็เห็นน้ำมนต์เดินลงมา และตรงมาทางผม ใจที่ห่อเหี่ยวของผมกำลังมีความหวัง น้ำมนต์ต้องกลับมาให้อภัยผมแน่ๆ ผมบอกตัวเองแบบนั้น
แต่พลาด .. มันไม่ใช่อย่างที่ผมคิด น้ำมนต์เดินมาแล้วยื่นเสื้อแจ็กเก็ตที่คุมตัวของเค้ามาถึงบ้านให้ผม แล้วก็เดินกลับเข้าบ้านไป ไม่มีแม้แต่คำพูดใดๆ หลุดออกมาจากปากนั้น ไม่มีการสบตาใดๆกับผม
ผมค่อยๆขับรถกลับหออย่างช้าๆ เพราะขืนรอต่อไป ยายต้องสงสัยและเข้ามาถามเรื่องราวแน่ๆ ผมไม่อยากจะโกหก และไม่อยากให้น้ำมนต์ต้องมาลำบากเพราะผมอีก
การเดินทางของความพยายามของผมกำลังไปได้สวย แต่ต้องมาสะดุดเพราะอารมณ์ชั่ววูบของผม ความวู่วามที่มีโดยสันดานดิบของผม มันกลับมาทำร้ายผมและคนที่ผมรักอีกแล้ว
คำถามคือผมจะสู้ต่อไปทั้งที่มันต้องยากเย็นแสนเข็นกว่าเดิม หรือผมจะถอยกลับไป ไปสู่โลกของผมที่ไม่มีคนที่ชื่อน้ำมนต์ โลกที่เต็มไปด้วยสีสัน เสียงเพลง ผู้คน กามอารมณ์ แต่ขาดซึ่งความรักและหัวใจ
ผมควรทำอย่างไรดี .. ในช่วงเวลาที่แสนจะโหดร้ายและสับสนเช่นนี้
.................................................
หวังว่าจะไม่ดราม่าเกินไปนะ