[ กลรัก ... เปื้อนสี ] แล้วนะครับ !!!!
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [ กลรัก ... เปื้อนสี ] แล้วนะครับ !!!!  (อ่าน 279535 ครั้ง)

lungkhao

  • บุคคลทั่วไป
ตอนที่ 29



ถ้ารู้ว่าเมาจะน่ารักขนาดนี้นะ ..


ไม่ต้องบอกก็รู้นะครับ ว่าผมหมายถึงใคร ก็ไอ้คนที่นั่งซบหลังผมซ้อนมอเตอร์ไซค์กลับหอนี่ไง  ดีนะที่มันโทรบอกยายมันก่อน ว่าคงไม่กลับบ้าน ไม่งั้นผมต้องถ่อไปส่งทั้งที่เมาๆนี่แหละ


“เมาเหรือเปล่า”  ทั้งๆที่รู้ว่ามันเมา แต่ผมก็ยังอยากจะถามมันเล่นๆอีกครับ ว่ามันจะตอบยังไง

“เปล่า ไม่ได้เมาซะหน่อย” เสียงของมันแหบๆ เหมือนกับคนไม่ค่อยมีแรงจะพูดอยู่แล้ว

“ไม่เมาแล้วทำไมเงียบละ”

“นั่งรถอยู่ จะให้พูดอะไรละ” หน้าของมันทาบลงกับหลังของผม แทบจะติดเป็นเนื้อเดียวกันเสียด้วยซ้ำ แล้วมือที่กอดเอวผมจนแน่นนั่นอีก  อยากให้หออยู่ที่ขนอมเหลือเกิน หรือผมจะขับกลับบ้านดี



แต่อย่าดีกว่าครับ กว่าจะถึงน้ำมนต์คงสร่างเมา ผมเสียดายเวลาดีๆ



ไม่ถึงห้านาที ผมก็ขับรถมาเรื่อยๆจนถึงหอของผม รถดับเครื่องเรียบร้อย แต่คนข้างหลังก็ยังไม่มีท่าทีจะลงจากรถ
“เอ๊ยย ถึงแล้ว” ผมส่งสัญญาณบอก

“อือออ” อีกคนส่งเสียงรำคาญเล็กน้อย แต่ก็ยังอยู่ในท่าเดิม ผมเลยปล่อยให้มันนอนอยู่อย่างนั่นพักนึง เอี้ยวตัวเล็กน้อย เพื่อให้ผมได้เห็นหน้าคนที่กำลังนอนหลับใหลบนแผ่นหลังของผม


ใบหน้าของมันยังดูขาวใสเหมือนเดิม แสงไฟฟลูออเรสเซต์ที่สาดมาจากโรงจอดรถ ส่องมาเล็กน้อย เพื่อให้เห็นโครงหน้าของมันได้ชัดขึ้น ปากจู๋ที่ทำเหมือนแสดงความไม่พอใจ ดูแล้วน่าจับจูบเป็นบ้า  ผมของมันก็ยังถูกมัดรวบไว้แบบเดิม แต่ก็มีเส้นผมหลุดออกมาดูวุ่นวายเล็กน้อย ผมเอามือของตัวเองพยายามเอื้อมไปปัดไรผมนั้นออกเล็กน้อย มองหน้าที่แดงๆ จมูกที่ดูรั้นๆ ปากที่อมชมพูเพลิน จนอีกคนลืมตาแป๋วมามองผม


“ถึงแล้วเหรอ” มันถามอย่างงงๆ

“เออ ถึงนานแล้ว” ผมบอก มันเริ่มขยับตัวออกจากหลังผม และลงจากรถ

“ทำไมไม่ปลุก” มันพูดพร้อมกับเดินไปทางขึ้นหอ ผมนี่นะไม่ปลุก บ้าไปแล้ว และที่เดินนำไปนั่น เขินใช่ปะละ  ดูที่เดินเซ เดินไปถึงห้องให้ถีบสิ




สุดท้ายผมก็ต้องช่วยประคองจนมาถึงห้องผมจนได้ มาถึงก็นอนลงบนเตียงเลยครับ


“เมาง่ายนะเนี่ย” ผมพูดขณะที่กำลังถอดรองเท้า ถุงเท้าให้มัน  เกิดมายังไม่เคยทำให้ใครขนาดนี้เลยนะเนี่ย

“เมาอารายยย        กินนิด  ......... เดียววว” คำพูดที่ลากยาวๆของมัน ผมต้องหยุดฟังก่อนที่จะเดินไปหยิบผ้าขนหนูชุบน้ำแล้วมาเช็ดให้มัน

“เช็ดตัวหน่อยนะ จะได้นอนสบายๆ” ผมพูดพร้อมกับเช็ดหน้าให้มัน อีกมือก็แกะกระดุมเสื้อเชิ้ตมันไปเรื่อย แล้วก็เช็ดลงต่ำมาเรื่อยๆ


ให้ตายเถอะ ตอนนี้ใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะแล้ว มือไม้เริ่มสั่นเมื่อเห็นสัดส่วนของมันใกล้ๆ และได้สัมผัสแบบนี้ ตัวของมันขาวจริงๆครับ ขาวกว่าหน้าของมันทีว่าขาวแล้ว กล้ามหน้าอกที่ขึ้นเล็กน้อย พอให้รู้ว่าเป็นชายสามศอก หัวนมที่อมชมพูชูก้าน ไม่ได้บอดเหมือนกับของคนอื่นๆ หน้าท้องที่มีลูกกล้ามเล็กๆ บอกให้รู้ว่ายังสนใจร่างกายของตัวเอง โดยการออกกำลังกายบ้าง  ขนนำทางของมันขึ้นเล็กน้อย พลันให้อยากรู้ว่าข้างในจะเป็นเช่นไร


ผมกลืนน้ำลายลงคอ อึกแล้วอึกเล่า เพื่อหวังระงับและหักห้ามใจตัวเอง มือจากที่เช็ดโดยผ้า ก็กลายเป็นใช้มือเปล่าลูบไล้ไปบนผิวขาวเนียนนั้น คนที่ตกเป็นเป้าสายตาของผมหลับใหลไปกับความเมา จนผมคิดว่าถ้าทำอะไร ก็คงไม่รู้สึกตัว ผมก้มหน้าลงเข้าใกล้หน้าของมันอย่างช้าๆ ขนตาของมันที่ยาวปานจะพันกันทั้งบนล่าง คิ้วหนาที่ทำให้โครงหน้าของมันดูสวย ปากที่อมชมพู ทุกสิ่งทุกอย่างบนใบหน้ามันดึงดูดให้ผมอยากทำกิจกรรมยามค่ำคืนของมันจริงๆ






“ไม่ !!!” ผมพูดพร้อมกับถอนหน้าออกจากมันอย่างไว แล้วหันหลังให้กับร่างเล็กที่ปรารถนา

“เราจะทำร้ายน้ำมนต์เป็นครั้งที่สองไม่ได้” ผมบอกกับตัวเอง ก่อนจะเอี้ยวตัวไปมองหน้ามันอีกครั้ง ปีศาจในร่างกายก็บอกกับผมว่า “ถ้าไม่จัดการครั้งนี้ มันจะมีครั้งไหนอีก”  แต่เทวดาในตัวผมก็ออกมาบอกว่า “ถ้าเราทำให้น้ำมนต์เชื่อใจ ต่อไปเขาก็จะเป็นของเราทั้งร่างกายและหัวใจ” ปีศาจกับเทวดาทะเลาะไปมา จนผมปวดหัวตัวเอง



“กูจะไม่ทำร้ายมึง” ผมบอกกับตัวเอง จนทำให้ฝ่ายปีศาจถูกหมัดซ้ายของเจ้าเทวดานอนหงายไป

“แต่กูขอทำร้ายตัวกูเองหน่อยนะ  กูไม่ไหวจริงๆ”  ผมพูดพร้อมกับรีบวิ่งเข้าห้องน้ำ นั่งลงบนชักโครก เปิดประตูห้องน้ำมองคนที่นอนอยู่ พร้อมกับทำร้ายตัวเองไป ..

นี่คงเป็นทางออกที่ดีที่สุดสินะ .. เฮ้อออ ไอ้โป้เอ๊ยยยยย



หลังจากที่ทำร้ายตัวเองและจัดการอาบน้ำให้ตัวเองชุ่มชื่นเสร็จ ผมก็กลับมาจัดการกับหนุมน้อยที่หลับใหลอยู่บนเตียงอีกที ผมของมันตอนนี้ได้หลุดออกมาปล่อยผมสยายแล้ว คงเป็นมันที่ดึงยางรัดผมออกด้วยตัวมันเอง เพราะคงเจ็บหนังศีรษะ
ผมใช้มือตัวเองถอดกางเกงยีนส์เดฟรัดขาของมันออก ดีที่มันใส่บ็อกเซอร์มา ไม่งั้นผมว่าผมคงต้องทำร้ายตัวเองอีกรอบ แล้วเดินไปเปิดแอร์ และปิดไฟนอน


“คืนนี้กูจะได้นอนกอดมึงทั้งคืนแล้วนะ  .. น้ำมนต์” ผมพูดกับตัวเอง พร้อมกับมองใบหน้านั้นอย่างสุขใจ ผมเดินขึ้นบนเตียง ดึงผ้านวมขึ้นห่มทั้งผมและมัน พร้อมกับลากร่างของมันมาอยู่ในอ้อมแขนของผม มันดิ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังอยู่ในอ้อมแขนของผม ผมหอมแก้มมันเบาๆหนึ่งครั้ง วันนี้ได้หอมไปกี่ทีแล้ววะเนี่ย ทั้งตอนอยู่ร้าน และตอนนี้ อยากหอมทั้งวันทั้งคืนเลย แต่ก็ต้องอดเปรี้ยวไว้กินหวานครับ ผมจึงรวบตัวนอนกอด และก็หลับใหลตามๆกันไป






“นาย นาย” เสียงบางคนดังอยู่ข้างๆหูผม พร้อมกับมือที่สะกิดที่หน้า

“นายปล่อยเราได้แล้ว” อีกประโยคถัดมา ผมพยายามลืมตาเพื่อมองคนที่อยู่ในอ้อมกอด

“ตื่นแล้วเหรอ” เมื่อรู้ว่าคือน้ำมนต์ ผมยิ้มออกมาเล็กน้อย

“ตื่นนานแล้ว ปล่อยเราได้แล้ว” อีกคนพูดพร้อมกับพยายามดิ้นให้ออกจากอ้อมกอดผม

“ยังไม่อยากปล่อยเลย นอนต่อเถอะนะ อยากกอดอีก” ผมพูดพร้อมกับทำเสียงอ้อนๆ ให้อีกคนเห็นใจ

“ไม่เอาแล้ว ไม่นอนแล้ว อึดอัด” อีกคนพูดด้วยสีหน้ารำคาญ และออกแรงดิ้นมากขึ้น ผมก็ต้องออกแรงกอดมากขึ้น

“แต่กูยังง่วงนี่” ผมบอก

“แต่เราไม่ง่วงแล้ว ถ้าไม่ปล่อย เราต่อย”

“เอามือทีไหนต่อย” ผมท้า ในเมื่อผมรวบมือรวบแขนไว้หมดแล้ว

“ท้าใช่ไหม”  มันพูดพร้อมกับทำหน้าโกรธแค้น


“โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยย” โดนแล้วครับ  มันแสบมาก ไม่มีมือ มันก็ใช้เข่า แล้วเข่ามันก็แทงเข้ามาที่เป้าของผมอย่างจัง ปีโป้น้อยที่ออกมาต้อนรับแสงยามเช้า โดนเข่ามหาภัยของน้ำมนต์ไปจังๆ คงเจ็บใช่ย่อย


ด้วยความตกใจและเจ็บ ทำให้ผมปล่อยตัวมันไปอย่างอัตโนมัติ พอมันหลุดจากอ้อมกอดผมได้ ก็รีบลุกออกจากเตียง ไปยืนห่างผมทันที

“สมน้ำหน้า” คนที่ทำร้ายร่างกายผม ยืนยิ้มอย่างสะใจ

“ทำไมมึงใจร้ายกับกูนักวะ”

“ใครกันแน่ที่ใจร้าย ให้นอนกอดทั้งคืนยังไม่พอใจอีก ได้คืบจะเอาศอกตลอด”

“ให้นอนกอด ? แปลว่ามึง ..”

“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว อาบน้ำละ” มันขัดผมก่อนที่จะวิ่งเข้าห้องน้ำไป



หมายความว่าอะไร หมายความว่าเต็มใจให้ผมนอนกอด ให้ผมหอมแก้มนะเหรอ .. เอ๊ยยย แค่คิดก็เขิน ลืมอาการเจ็บเป้าไปเลย

“ยิ้มบ้าอะไร” อยู่ๆ มันก็เปิดประตูห้องน้ำมาเห็นท่าทีของผม

“ไม่มีไร แล้วไม่อาบน้ำเหรอ” ผมแกล้งเก็บอาการ เพราะผมรู้ว่ามันก็กำลังเก็บอาการอยู่

“ขอผ้าเช็ดตัวหน่อย” มันพูด

“อยู่ในตู้ชั้นบน” ผมบอกพร้อมกับที่มันเดินไปหยิบ และเข้าห้องน้ำไปอีกที




โอ๊ยยยยยยยย ดีใจเว๊ยยย อย่างนี้ไม่เรียกว่าไม่มีใจก็ไม่ใช่แล้ว ใจหินยังไง ก็แพ้น้ำกร่อนอย่างนายปีโป้สินะ น้ำมนต์เอ๊ยเจอน้ำกรดเข้าไป ใจอ่อนเลยสินะ .. ผมนอนยิ้มอย่างนั้นอยู่คนเดียวไปอีกพักใหญ่ รู้งี้น่าทำมากกว่านอนกอดนะเนี่ย .. แต่ว่าแบบนี้ก็ดีแล้วนะ อย่างน้อยๆมันก็เชื่อใจผมแล้ว


ผมกับมันอาบน้ำแต่งตัวกันเสร็จ ก็รีบพามันมาส่งที่วิทยาลัย เพื่อทำงานต่อในระหว่างที่เรานั่งกินข้าวด้วยกันที่ร้านป้าตามสั่ง บทสนทนาเล็กๆของผมกับมันก็เริ่มขึ้น


“นายยังไม่เลิกยุ่งกับผู้หญิงคนนั้นเหรอ” มันถามผม

“ใครอ่ะ” ผมเงยหน้ามามองเล็กน้อย

“คนเมื่อคืนอ่ะ” มันบอกใบ้ปริศนานี้ให้ผม

“อ๋อ น้องจอยเหรอ” ผมเงยมามองมันเต็มๆ เมื่อนึกขึ้นได้

“อืม คนนั้นแหละ”

“เลิกนานแล้ว ทำไมเหรอ มึงหึงกูเหรอ” ผมถามลองใจ

“เปล่าซะหน่อย แค่อยากรู้เฉยๆ” มันตอบพร้อมกับก้มหน้ากินข้าวต่อ

“กูเลิกนานแล้ว เลิกตอนที่กูรู้ใจตัวเอง ว่ากูชอบมึง  ว่ากูจริงจังกับมึง และคิดว่าจะคบกับมึงคนเดียว” ผมพูดไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“บอกเราทำไม” มันตอบมาน้ำเสียงอ้อมแอ้ม อย่างคนเขินอาย

“ไม่รู้สิ เผื่อมึงอยากรู้ กูบริสุทธิ์ใจ เมื่อก่อนกูอาจคบใครเป็นว่าเล่น ครั้งละคนสองคน แต่กับมึงกูจริงใจ กับคนอื่นอาจมีระยะเวลาในการคบ”

“ช่วงโปรโมชั่นว่างั้น” มันขัดผม

“มึงจะว่างั้นก็ได้ แต่แต่ละคนที่คบระยะการคบสั้นยาวก็อยู่ที่การทำตัวของแต่ละคน  ถึงยังไงก็ไม่มีใครที่กูต้องจีบนานเท่ามึง กว่าจะได้มาเป็นแฟนโคตรยากเข็ญ”

“ใครบอกว่าเราเป็นแฟนนาย” มันขัดอีกครั้ง

“เออ ยังไม่เป็นก็ไม่เป็น หลายเรื่องจังเลยนะมึงเนี่ย” ผมชักจะตามมันไม่ทันแล้ว วันนี้ทำไมถึงสงสัยอะไรแบบนี้ แล้วคำถามคำขัดแต่ละอย่าง จะดูจริงจังไปเปล่าเนี่ย

“แต่สำหรับมึง กูไม่เคยวางแผน ไม่เคยคิดถึงระยะเวลา ไม่มองหาอนาคต” ผมจ้องตาแล้วบอกมัน มันทำสายตาสงสัยประมาณว่าทำไมผมถึงคิดแบบนั้น

“เพราะมึงเป็นคนพิเศษ กฎของกูจะยกเว้นสำหรับคนพิเศษซึ่งจะมีแค่คนเดียวเท่านั้น นั่นก็คือมึง” ผมตอบพร้อมกับยิ้มๆให้มัน

“ดูหนังเยอะไปป่ะ” มันขัดผมอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันขัดด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า แก้มของมันแดงขึ้นนิดหน่อยจากมุกจีบของผม


“มึงงงง เดี๋ยวถ้ากูกินเสร็จ แล้วทำอะไรน่าเกลียด มึงอย่าว่ากูนะเว๊ย”  ผมบอกมันอย่างกลัวมันจะว่า

“ทำอะไรของนาย” มันถามด้วยอาการกลัวๆ

“เวลากูกินข้าวอิ่มๆ กูชอบเรอวะ” ผมบอกมัน

“เรอทัก ...”


แค่นั้นละครับ  หน้าแดงทั้งหน้าเลย .. แหมๆๆ มุกเสี่ยวๆนี่มันก็ได้ผลกับน้ำมนต์เหมือนกันนะเนี่ย รู้งี้คัดมาเล่นนานแล้ว

เอ๊ยๆๆ เขินด้วยคน




หลังจากที่ผมกินข้าวกับน้ำมนต์เสร็จก็ต้องกลับมาจัดการงานของตัวเองเหมือนกัน เพราะเท่าที่รู้ๆ คือผมไม่ค่อยได้เข้าเรียนกับคนอื่นมากนัก งานของผมก็เลยเยอะตาม แต่ก็ดีที่มีไอ้โอ๊ต คอยทำส่งให้บ้าง แต่นั่นละ ให้มันทำจนเคยตัว จนผมลืมไปแล้วเหมือนกัน ว่าเรียนอะไรไปบ้าง


“ไงมึง เป็นไงถึงมาห้องกูได้” ไอ้โอ๊ตถามทันทีที่ผมโผล่หัวเข้าไปในห้องมัน

“คิดถึงมึงมั้ง” ผมตอบไปเล่นๆ มันหันมามองหน้าผมทันที ทำหน้าจริงจัง

“กูล้อเล่น” ผมบอกมันไป

“สัด อย่าพูดงี้ดิ กูใจหายหมด  แล้วมีอะไรตกลง” มันหันกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงานมันต่อ ผมก็เดินไปนั่งบนเตียงนอนของมัน

“มีงานอะไรที่กูยังไม่ได้ส่งบ้างวะ” ผมถามมัน

“ไม่มีแล้วนี่ กูทำส่งให้มึงหมดแล้ว” มันพูดมา ทั้งที่ไม่ได้หันหน้ามามองผม ฟังมันพูดแล้วผมรู้สึกผิดขึ้นมาทันที

“ไอ้โอ๊ต” ผมเรียกชื่อมัน มันหันมามองผมเล็กน้อย

“เรียกทำไม”




“ที่มึงทำให้กูขนาดนี้ เป็นเพราะว่ามึงรักกูเหรอ” ผมถามออกไป

“ถามทำไมวะ” มันพูดพร้อมกับหันกลับไปสนใจบนโต๊ะทำงานบนต่อ

“กูอยากรู้”

“รู้แล้วมีอะไรดีขึ้นเหรอ ถ้าไม่มีไรดีขึ้น ก็อย่ารู้มันเลย”

“อืม คงจริงอย่างที่มึงพูด ในเมื่อไม่มีอะไรดีขึ้น สู้ไม่รู้มันซะดีกว่า” ผมตอบคอตก รู้สึกยังไงก็อธิบายไม่ถูก จะบอกว่าดีใจก็ไม่ใช่ บอกว่าเสียใจก็ไม่เชิง

“กูขอโทษวะ” ผมบอกมัน

“กูว่าอย่าพูดถึงมันเลย เอาเป็นว่าที่ทำให้มึงทุกอย่าง เพราะว่ามึงคือเพื่อนรักกู มึงคิดแค่นี้ มึงจะได้สบายใจ” มันพูดก่อนจะหันมายิ้มให้ผม

“อืม ขอบใจมึงมาก”

“หลังจากนี้มึงก็อย่าลืมอ่านหนังสือเยอะๆละ เดี๋ยวพอครูส่งงานกลับ ก็ค่อยมาติวกับกูแล้วกัน” มันพูดบอกผม ผมมองหน้าของมันอย่างพินิจพิจารณา ชายหนุ่มหน้าเกลี้ยงเกลา อาจขอบตาคล้ำนิดหน่อยเพราะนอนดึกกินเหล้าเยอะ คิ้วที่หน้าเข้ม ทรงผมที่ไม่ยาวมาก เซ็ทเป็นทรงฮิตตามเทรนด์ได้อย่างลงตัว รูปร่างและหุ่นที่สันทัด ..


“ทำไมมึงไม่หาแฟนวะ จะปล่อยให้ตัวเองโสดอีกนานเท่าไหร่กัน เสียดายความหล่อหมด” อย่างที่พูดนั่นแหละครับ ไอ้โอ๊ตนี่ไม่ใช่ขี้เหร่เลย สาวติดมันเพียบ

“ยังไม่พร้อมวะ”  มันพูดพร้อมกับหลบตาผม  หันหลังไปสนใจที่โต๊ะ

“ไม่พร้อมเหี้ยไรอีก  หล่อก็หล่อ เรียนก็เก่ง ที่บ้านก็โอเค พร้อมหมดแล้วนี่”



“ใจกูไม่พร้อม”  มันให้คำตอบที่ทำให้ผมหยุดนิ่ง ไม่สามารถพูดอะไรต่ออีก

“อืมมม” ผมพูดลากยาวไป


“มึงเอานี่ไปอ่านนะเว๊ย กูทำสรุปไว้ ข้อสอบคงออกประมาณนี้” มันพูดพร้อมกับส่งสมุดจดเลคเชอร์ของมันมาให้ผม

“แล้วมึงละ ไม่อ่านเหรอ” ผมรับแล้วถามมัน

“กูค่อยอ่านวันใกล้ๆสอบ มึงสมองกลวง แถมอ่านช้า เอาไปอ่านก่อน”

“สัด ด่ากู”

“หรือไม่จริงละ”

“เออ จริง กูมันหัวขี้เลื่อย อ่านช้า เข้าใจยาก ถ้าไม่มีมึงคงยังซ้ำชั้นอยู่ปีหนึ่ง”

“กูดีขนาดนั้น แล้วทำไมไม่รักกูละ”



เอ่อ .. จุกเลยครับ ไม่มีอะไรจะพูดต่อ วันนี้มันมาแปลกเลยครับ เมาก็ไม่ได้เมา หรือว่ายังแฮงค์จากเมื่อคืน ไม่น่าใช่นะครับ สายตาของไอ้โอ๊ตหันมามองผมด้วยสายตาที่จริงจัง และต้องการคำตอบจากประโยคคำถามนั้น

“ก็มึงเป็นเพื่อนกูไง”

“แล้วถ้ากูไม่ใช่เพื่อนละ” เอ๊ะ ผมว่ามันต้องยังเมาๆอยู่แน่ ถึงได้ใส่ไม่ยั้งขนาดนั้น มันลุกขึ้นยืน และเดินมายืนจ้องหน้าผม

“ถ้ากูไม่ใช่เพื่อนมึง มึงจะรักกูได้เหรอ”

“กูว่ามึงคงยังไม่หายเมา เราค่อยคุยกันดีกว่าไอ้โอ๊ต กูกลับก่อนละ” ผมพูดพร้อมกับลุกขึ้นจากเตียง หน้าของผมกับมันจึงเผชิญกันอย่างจัง แต่ผมก็เลือกเป็นฝ่ายหนีสายตานั้นก่อน

“เดี่ยวสิ” มันเอามือทั้งสองข้างมาจับที่บ่าผม คำพูดห้ามปราม สายตาเว้าวอน ผมมองสายตานั้นอย่างทำตัวไม่ถูก



“กูรักมึงนะไอ้โป้ รักมึงตั้งแต่วันแรกที่เจอ กูไม่เคยรักใครมาก่อนเลยในชีวิต ไม่เคยรู้สึกดีกับเหี้ยหน้าไหนทั้งนั้น ผู้หญิงที่เข้ามาในชีวิตกู กูไม่เคยรู้สึกรักอะไรมัน กูแค่อยากให้มึงหึงกูบ้างเวลากูไปมีอะไรกับพวกมัน แต่มันก็เหมือนว่าทำร้ายตัวกูเอง”

“ไอ้โอ๊ต กูว่ากูกับมึงคุยเรื่องนี้กันรู้เรื่องแล้วนะ” ผมพูดขัด

“ไม่ กูยังอยากบอกมึงอีก ว่ากูรู้สึกดีกับมึงยังไง  ว่ากูรักมึงเท่าไหร่” มันยังดื้อด้าน

“เพื่ออะไรละ มึงต้องการอะไรกันแน่ ถึงมึงจะพูดมาเยอะแยะมากมาย กูก็รักมึงไม่ได้อยู่ดี มึงคือเพื่อนกู ยังไงก็เพื่อน มึงไม่เข้าใจเหรอ ตอนนี้กูมีคนที่กูรักแล้ว แล้วมึงจะพูดพร่ำให้ตัวมึงเจ็บเองทำไม  มึงต้องการอะไรกันแน่ไอ้โอ๊ตตตตตต”  ผมตะโกนใส่หน้ามัน เพื่อหวังว่าจะเรียกสติมันกลับมาได้บ้าง  บรรยากาศในห้องอึมครึมแม้ว่าจะเปิดหน้าต่าง ลมเข้ามาได้ อากาศรอบกายกลับอบอ้าว เหงื่อเริ่มผุดบนใบหน้าของเราทั้งสอง  สายตาของไอ้โอ๊ตหลุบต่ำลง ก่อนจะหันมามองผมอีกครั้งด้วยสีหน้าที่ดูจริงจัง และมุ่งมั่น แววตาของมันเต็มไปด้วยแรงปรารถนาและความตั้งใจ จนผมตั้งตัวรับกับสิ่งนั้นแทบไม่ทัน










“มีอะไรกับกูสักครั้งได้มั๊ย ??”





ออฟไลน์ Still_14OC

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2041
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-7
ไม่ได้นะโว้ย ปีโป้ กลับไปหอด่วนเลย

ออฟไลน์ เฉาก๊วย

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +251/-6
เฮ้ยยยยยยยยยยยยย   o22

ออฟไลน์ sam3sam

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2562
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +247/-4
รอดูว่าตอนหน้านายหัวโป้จะตอบว่ายังไง
จะตอบรับหรือจะปฏิเสธ
 :bye2:

Chiren

  • บุคคลทั่วไป
คิดไม่ออก ใครจะเป็นฝ่ายกด

แต่อย่าเลยถ้าน้ำมนต์ รู้จะมองหน้ากันไม่ติดปล่าวๆ

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6
 :เฮ้อ:
รักเค้าข้างเดียว

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
ถ้าจะต้องมีอะไรกัน  ขอให้น้ำมนต์รู้  เพราะโป้คงไม่เหมาะกับน้ำมนต์หรอกถ้างั้น

ออฟไลน์ NumPing

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 502
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-2
โอย ๆ ชั้นจะเป็นลม

โอ๊ตเอ้ย จะทำร้ายตัวเองไปถึงไหน แค่นี้ก็เจ็บจะตายอยู่แล้ว
ขอมีอะไรกับคนที่ไม่ได้รักตัว มีความสุขตายแหละ

ไอ้โป้ แกอย่าเชียวนะ ชะตาขาดแน่

ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
ถ้าแกยอมนะโป้ เราจะเลิกเชียร์แกทันที

ranyoo

  • บุคคลทั่วไป
ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยย :serius2: 
อย่านะโป้ อย่าทำนะ  ถ้าน้ำมนต์รู้จะรู้สึกยังไง  :o12:


รักเขาข้างเดียว ทรมานที่สูดดดดด   :o12:   
เป็นกำลังใจให้โอ๊ต  :กอด1:ขอให้ผ่านช่วงเวลาที่ทรมานนี้ไปให้ได้นะ  :sad4:

ขอบคุณครับ คนเขียน  :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






yayee2

  • บุคคลทั่วไป
อย่าเชียวนะ ทั้งสองคนแหละ โอ๊ตตอนนี้โดนพิษรักและอารมณ์พาไปล้วนๆ
เมื่อมันผ่านอารมณ์ตรงนี้ไปโอ๊ตจะต้องรู้สึกผิด ความรู้สึกนี้จะ
กัดกร่อนใจโอ๊ตไปตลอดจนโอ๊ตไม่มีความสุขแหละ เพราะโดยเนื้อแท้แล้วโอ๊ตเป็นคนดี
ส่วนปีโป้ ถ้าลุแก่อารมณ์ตรงนี้ ไม่รีบระงับและตัดใจ จะเสียใจไปสามประเด็นเลย
         ประเด็นที่1 เสียใจและโกรธตัวเองที่ใจไม่เข้มแข็ง
         ประเด็นที่2 สองเสียใจเพราะจะต้องเสียเพื่อนดีๆแบบโอ๊ต
         ประเด็นที่3 เสียมากที่สุด ทุกอย่างที่เพียรทำมาจะพังลงอย่างไม่เป็นท่า และะจะเสียน้ำมนต์ไปจนไม่มีทางจะได้กลับคืน

ออฟไลน์ goonglovenut

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 810
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1188/-10
 :m31:อย่านะโป้ ขอบอกไม่งั้นมองหน้ากันไม่ติดแน่
ถ้าน้ำมนต์รู้เข้า :serius2:

ออฟไลน์ LalaBam

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2864
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +227/-2
ปีโป้ อย่าทำให้น้ำมนต์ผิดหวังเป็นครั้งที่ 3 4 5 นะเว่ย

ออฟไลน์ CarToonMiZa

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6338
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +820/-41
หาคู้ให้โอ๊ตหน่อยได้มั๊ย  :z3:
+1จ๊า

ออฟไลน์ Poseidon

  • Unconditional love
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5081
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-12
อย่าเชียวนะโป้  คิดถึงปัญหาที่จะตามมาด้วยนะ

ออฟไลน์ AllRiseApril

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 507
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-0
อย่าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาานะ
 :z3: :z3:  พี่โอ๊ตเป็นไรวะ
พี่มาเฮี้ยนอะไรตอนเค้ากำลังจะลงเอยกันวะเนี่ย โกรธแล้วนะ!!!!!!!!!!!!!!
 :m31: :m31: :m31:

Akamei

  • บุคคลทั่วไป
เอิ่ม ม มม
อย่าเด็ดขาดนะปีโป้!!!!!!!

lungkhao

  • บุคคลทั่วไป
ตอนที่ 30



“น้ำมนต์ !!!!”


เสียงนั้นทำเอาผมตกใจ จากที่ใจลอยๆ มือเลยดันไปปัดเอาจานสีที่วางอยู่ จนตกลงพื้น สีในจานกระเด็นกระจัดกระจาย โดนกางเกงยีนส์ที่ใส่มาและผ้าใบก็ไม่เหลือสภาพ


“เอ๊ยย แพรขอโทษ” เสียงของคนเรียกผมเมื่อครู่ร้องขึ้นเมื่อเห็นเหตุการณ์ดังกล่าว

“ไม่เป็นไรหรอกแพร น้ำมนต์เผลอเอามือไปปัดเอง” ผมพูดพร้อมกับก้มเก็บจานสี

“แพรต่างหาก ที่เรียกน้ำมนต์ไม่ทันตั้งตัว น้ำมนต์คงตกใจ” เธอแก้ต่างอีกครั้ง

“น้ำมนต์ใจลอยเองละ พอดีกำลังคิดอะไรอยู่นิดหน่อย” ผมบอก

“คิดอะไรเหรอ บอกแพรได้ป่ะ” เธอถามสีหน้าห่วงใย

“ไม่มีไรหรอก น้ำมนต์ไปล้างสีก่อนนะ” ผมพูดพร้อมกับเดินออกมา

“มา เดี๋ยวแพรช่วย” และเสียงนั้นก็ดังตามหลังมา



แปลกๆครับ อยู่ๆผมก็ใจลอยคิดถึงนายปีโป้ขึ้นมา ทั้งๆที่เพิ่งจากไปเมื่อกี้ มันไม่ใช่ความคิดถึงแบบอยากเจอหน้า แต่มันเป็นความคิดถึงที่รู้สึกโหวงเหวง ที่บอกไม่ถูก ว่าทำไมรู้สึกแบบนั้น ใจก็คิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรกับเขามั้ย ...  ว่าแล้วผมก็ยกโทรศัพท์โทรหา



เสียงรอสายยิ่งดังนานเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งรู้สึกเป็นห่วงปลายสายเท่านั้น นี่มันคือการทำงานของประสาทส่วนของการคิดไปเองสินะ มันคิดไปต่างๆนานา ทั้งที่ไม่ได้มีมูลอะไรเลย

“ฮัลโหล” เสียงปลายสายทักกลับมาอย่างแหบพร่า

“ฮัลโหล ทำอะไรอยู่เหรอ” ผมถามในคำถามที่ไม่คิดว่าจะต้องเป็นคนที่ต้องมาถามอะไรกับคนที่กำลังดูใจคบหา

“เปล่า ไม่ได้ทำอะไร น้ำมนต์มีอะไรหรือเปล่า” เสียงอีกฝ่ายดูเหมือนพยายามพูดเรียกให้ลมเต็มลำคอ เพราะแต่ละคำดูช่างพูดยากเย็น

“ไม่มีไร แค่นี้ก่อนนะ” เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายไมได้เป็นอะไร อย่างที่คิดไปมากมาย ผมเลยกดวางสาย


“มาน้ำมนต์ แพรช่วยล้าง”คนที่เดินตามหลังผมมา ส่งเสียงทักขึ้น ผมหันไปยิ้มให้เล็กน้อย

“ไม่เป็นไรดีกว่าแพร เดี๋ยวน้ำมนต์จัดการเอง”

“ให้แพรช่วยเถอะนะ แพรจะได้รู้สึกดีขึ้น” เธอบอกมาสายตาวิงวอน  จนผมใจอ่อนตามเธอ

“อ่า ก็ได้ครับ” ผมตอบไปพร้อมกับยิ้มเล็กๆ ไม่คิดว่าผมจะแพ้ลูกอ้อนผู้หญิงได้ง่ายขนาดนี้



แพรเปิดน้ำใส่ขันแล้วก็นั่งลงเอาน้ำลูบสีที่ติดกางเกงผมออก ส่วนผมก็เปิดน้ำล้างที่มือและบริเวณเสื้อ


“น้ำมนต์ใส่บ็อกเซอร์มาป่ะ” อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาถาม

“ทำไมเหรอ” ผมถามกลับไปด้วยสีหน้างงๆ ว่าทำไมล้างสี เกี่ยวอะไรกับบ็อกเซอร์

“ก็ถ้าใส่มา น้ำมนต์ถอดกางเกงยีนส์ออกมาดีกว่า แพรจะได้เช็ดง่ายขึ้น”

“อ๋อ จะดีเหรอ ไม่เหมาะมั้ง”

“ไม่เป็นไรเหรอ แพรไม่ถือ หรือว่าน้ำมนต์อาย” เธอพูดพร้อมกับอมยิ้มเชิงล้อเลียนผมนิดหน่อย

“อือๆ ก็ได้ครับ” ผมพูดพร้อมกับถอดกางเกงยีนส์ที่ใส่มาให้เธอช่วยทำความสะอาดให้ ส่วนตัวเองก็ยืนอยู่ในสภาพใส่บ็อกเซอร์



“น้ำมนต์คบกับพี่คนนั้นเหรอ” คำถามจากปากของแพร แต่สายตาเธอก็ยังสนใจกับกางเกงตัวนั้น ผมหันไปมองสีหน้าเธอ ว่าต้องการจะสื่ออะไรกับผมกันแน่ แต่ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

“นายปีโป้นะเหรอ ?” ผมถามเพื่อย้ำว่าใช่คนเดียวกับที่เธอคิดหรือเปล่า

“ใช่สิ หรือมีคนอื่นอีก” เธอหันมายิ้มก่อนทำสีหน้าล้อเลียน

“เปล่า ไม่มีใครแล้ว แล้วก็ไม่ได้คบกับนายปีโป้อะไรนั่นด้วย” ผมตอบไปตามความเป็นจริง เพราะว่าผมแค่กลับมาคุยกับเ ค้า คุยกันมากขึ้น สนิทกันมากขึ้น และก็ไม่ได้คบหาอย่างที่ใครๆคิด

“เหรอ แพรได้ยินเค้าพูดกัน แพรก็เลยคิดว่าน้ำมนต์จะเป็น ...” เธอพูดแล้วหยุดไปชั่วครู่ ผมหันไปมองหน้าเธอก็พอรู้คำตอบนั้นดี ว่าเธอต้องการจะสื่ออะไร

“ถ้าน้ำมนต์เป็นอย่างที่เค้าว่า แพรจะคิดยังไงเหรอ” ผมไม่รู้หรอก ว่าต่อไปผมจะเป็นอย่างไรในสายตาคนอื่น แต่ผมแค่อยากรู้ว่าถ้าผมเป็นแบบนั้น แล้วคนเค้าจะรู้สึกอย่างไร

“สำหรับแพร แพรคิดว่าแพรเข้าใจนะ และยังไงแพรก็ยังรู้สึกกับน้ำมนต์เหมือนเดิม” คำพูด แววตาของเธอดูจริงจัง คำว่า “เหมือนเดิม” ของเธอ ฟังแล้วให้ความหมายไปต่างๆนานา



“น้ำมนต์” หลังจากความเงียบไปชั่วครู่หนึ่ง เธอก็เรียกผมขึ้นมาอีกครั้ง ผมหันไปมองหน้าเธอโดยสัญชาตญาณ

“แพรยังรอน้ำมนต์เสมอนะ ไม่ว่าใครจะทำอะไร จะว่าน้ำมนต์ยังไง ถ้าเจ็บ ถ้าเหนื่อย มาหาแพรได้นะ แพรจะรอ” คำพูดที่บอกมานั้น อธิบายคำว่าเหมือนเดิมได้อย่างชัดเจน .. แต่ผมกลับอยากให้คำว่าเหมือนเดิมคำนั้น มีความหมายที่เป็นปริศนาต่อไปมากกว่า ..


“ขอบใจนะ” คำตอบที่ดูจะเป็นรูปแบบของการสนทนา แต่ผมคิดว่า คำนี้แหละดีที่สุดแล้ว ไม่ได้ให้ความหวัง และก็ไม่ทำร้ายน้ำใจกัน



“เอานี่จ๊ะ สะอาดแล้ว” เธอพูดพร้อมกับยื่นกางเกงยีนส์ที่เปียกน้ำเพียงเล็กน้อย และปราศจากรอยสีที่ชัดเจนเมื่อครู่ หายไปแทบสิ้น  ผมรับมาใส่อย่างว่องไว

“ขอบใจมากนะแพร ถ้าไม่ได้แพรนี่ กางเกงน้ำมนต์คงต้องเปียกน้ำชุ่มแน่ๆ” ผมบอกเธอ เพราะคิดว่า ถ้าได้ล้างสีเอง ครึ่งล่างของผมคงเปียกอย่างกับเดินฝ่าน้ำท่วมมา

“ไม่เป็นไร ฝึกไว้” เธอตอบพร้อมยิ้มๆ ผู้หญิงคนนี้มีรอยยิ้มที่มีอิทธิพลต่อผมจริงๆ เวลาเธอยิ้มยิ่งทำให้เธอน่ารัก หัวฟูๆของเธอที่ไม่เคยได้จัดแต่ง ดูเข้ากับใบหน้าที่ยิ้มๆนั้นมากยิ่งขึ้น

“เข้าไปทำงานกันต่อเถอะ” คำพูดของผมบอกเธอให้เข้าไปที่ห้องปฏิบัติการพร้อมกัน



“น้ำมนต์” เธอเรียกผมอีกครั้ง วันนี้เธอเรียกผมแล้วเงียบแบบนี้เป็นครั้งที่สามแล้ว

“มีอะไรเหรอ” ผมหันหลังไปมองเธอทีเดินตามหลังมา พร้อมกับยิ้มให้

“ถ้าคนที่น้ำมนต์เลือกเป็นผู้หญิง คนๆนั้นต้องเป็นเราคนแรกนะ”  คำพูดที่จริงจัง มากับสายตาที่ดูกังวล แต่เปื้อนรอยยิ้มที่พยายามสร้างให้ภาพดูนุ่มนวลนั้น ทำให้ผมยิ้มตาม แต่ก็มีสายตาไม่ต่างจากคนที่บอกมา

“ได้สิ” ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความผูกพัน หรือความเป็นไปได้กันแน่ ถ้าผมมีความรักแบบคนทั่วไป ผมคิดว่าคนตรงหน้าผมตอนนี้นี่แหละ ที่ผมจะเลือกให้ยืนข้างๆ เป็นคนแรก


ไม่รู้หรอกว่าคนรักคนแรกของผมจะเป็นใคร จะเป็นคนแรกและเป็นคนสุดท้าย หรือจะเป็นคนแรกที่เข้ามา และเปิดทางให้คนอื่นๆได้เข้ามาตาม ดูยังไงมันก็เป็นเรื่องของอนาคตทั้งนั้น  แต่ถ้าถามว่าทุกวันนี้โอเคไหม ผมก็ยังให้คำตอบกับคำถามนั้นไม่ได้ คงมีแต่รอยยิ้มตอบกลับไปให้


เอาเถอะ อย่างน้อยก็ยังยิ้ม , ดีกว่าเสียใจก็แล้วกัน ..







“น้ำมนต์”  เสียงของคนที่มาส่งตอนเช้าโผล่หน้ามา พร้อมเสียงใสและรอยยิ้ม ผมวางพู่กันลงในแก้วน้ำที่ตอนนี้กลายเป็นสีดำ แทบจำสภาพเดิมไม่ได้แล้ว

“เข้ามาก่อนสิ” ผมเรียกให้อีกคนเข้ามาในห้องปฏิบัติงานศิลปะ

“วาดอะไรอยู่” อีกคนเดินเข้ามาพร้อมกับถาม และสายตาก็มองมาที่รูปภาพอย่างสนใจ

“รูปสุดท้ายแล้ว เสร็จนี้ก็เสร็จสิ้นกันเสียที โปรเจคนี้” ผมตอบไปกับยิ้มให้กับความเหน็ดเหนื่อยของโปรเจคงานศิลปะที่ทำมาระยะเวลาเกือบเดือน

“เอ๊ย จริงดิ หลังจากนี้ก็มีเวลาอยู่กับกูแล้วดิ” อีกคนดีใจเกินหน้าเกินตา

“จะบ้าเหรอ ใกล้จะปิดเทอมแล้ว ปิดเทอมน้ำมนต์ก็ต้อง ..” ผมเงียบเล็กน้อย เมื่อคิดถึงฤดูกาลที่จะมาถึง

“ต้องทำอะไรเหรอ” อีกคนถามอย่างสงสัย

“ไม่มีไรหรอก แค่ต้องช่วยยายขายขนมหน่ะ” ผมตอบไปพร้อมกับยิ้มๆ

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูไปช่วยขาย”

“อืม แล้วนี่เป็นไงบ้าง ไปห้องพี่โอ๊ตมา” ผมหันไปถาม อีกคนยิ้มลดระดับยิ้มลงอย่างเห็นได้ชัด

“ก็ดี” คำตอบสั้นๆ ที่ให้ตีความหมายในคำนั้นเอาเอง ผมเลือกที่จะเพิ่มระดับรอยยิ้มของตัวเองขึ้นแทนประโยคสนทนาต่อไป มือหยิบพู่กันที่แช่น้ำไว้เมื่อครู่มาจุ่มสี และระบายสีรูปภาพต่อไป อีกคนก็เงียบ นั่งดูผมทำชิ้นงานของตัวเองอยู่อย่างนั้น



บางทีความเงียบของนายปีโป้ มันก็คือความสงสัยในตัวผมที่อยากจะรู้ถึงสิ่งที่อยู่ข้างใน ผมทอดสายตาไปมองคนข้างๆอยู่หลายครั้ง และทุกครั้งเขาก็จะพยายามยิ้มให้ผม แต่เมื่อผมหันกลับมาสนใจงานต่อ ผมก็สัมผัสได้ถึงใบหน้าที่ดูเคร่งเครียดของเค้า


บางทีความสงสัยของผม มันก็เพิ่มขึ้นด้วยระดับความใกล้ชิด ยิ่งใกล้ชิด ยิ่งได้เห็นมุมที่แตกต่างของผู้ชายคนนี้ และมุมนี้ ก็คืออีกมุมที่ไม่เคยเจอ ..


“เป็นอะไรหรือเปล่า เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่” ผมหันไปถาม มือก็พยายามระบายสีรูปภาพไปต่อ เพื่อทำให้นายปีโป้คิดว่า ผมไม่ได้สนใจอะไรจริงจังขนาดนั้น

“ไม่มีไรหรอก เครียดเรื่องสอบหน่ะ” นายปีโป้ตอบมาพร้อมกับรอยยิ้ม ดูมีความกังวลในนั้น

“อืมใช่ จะสอบแล้วนี่ ไม่เข้าเรียนอย่างนาย จะทำข้อสอบได้เหรอ” ผมแกล้งแหย่เล่น

“ได้อยู่แล้ว กูหัวดีจะตายไป” นายปีโป้พูดโอ้อวด ก่อนจะยิ้มให้เห็นฟันครบทุกซี่อีกครั้ง  เป็นยิ้มที่ผมรู้ว่าไม่ได้มาจากใจมากนัก





หลังจากที่ผมวาดรูปชิ้นสุดท้ายเสร็จ เก็บงานล้างจานสีพู่กัน ก็ออกมาจากวิทยาลัย ก็เห็นนายปีโป้นั่งเหม่อรอผมอยู่บนมอเตอร์ไซค์คู่ใจของเขา ผมยืนมองเขาอยู่สักครู่ มองดูสายตาที่เขาเงยขึ้นมองฟ้า ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ในใจกันแน่ แต่คงเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับพี่โอ๊ตแน่ๆ เพราะก่อนหน้านั้นเขาก็ยังบ้า ยังเสี่ยวกับผมอยู่เลย แต่พอกลับมาจากห้องพี่โอ๊ต ก็กลายเป็นหน้ามือหลังมือไป



ผมจึงรีบเดินเข้าไปหา พร้อมเตรียมใจจะเอ่ยปากถาม


“นาย ..”

“มึง ..” ยังไม่ทันจะได้ถาม คนอีกคนก็มีเหมือนเรื่องจะพูดกับผมพอดี

“ถ้ากูเคยทำอะไรผิดพลาดซ้ำซ้อน มึงจะให้อภัยให้กูไหม” คำถามออกมาจากสีหน้าที่จริงจัง แววตาที่ดูเศร้าจนเห็นได้ชัด

“ก็ขึ้นอยู่ว่าผิดร้ายแรงแค่ไหน” ผมตอบไป

“ถ้ามันร้ายแรงละ”

“ก็ขึ้นอยู่ว่าเรื่องอะไร”

“ถ้าเรื่องชู้สาวละ”

“ก็ขึ้นอยู่ว่ามีช่วงไหน”

“หมายความว่ายังไง ?” อีกคนถามกลับมา คิ้วเกือบจะหันกันแล้ว

“ถ้าช่วงนี้ เรายังไม่ได้เป็นอะไรกัน นายก็มีสิทธิ์เต็มที่ เหมือนกับก่อนหน้านี้”

“นี่เรายังไม่ได้เป็นอะไรกันอีกเหรอ”

“ก็ไม่รู้สิ เราก็ตอบนายไม่ถูก”

“แล้วถ้าหลังช่วงนี้กูมีไรกับใครมึงจะไม่โกรธเหรอ”

“เราไม่มีสิทธิ์นี่ แต่เราก็คงต้องกลับมาคิดทบทวนใหม่ ว่าเราจะเอายังไงกันต่อ”

“หมายความว่าจะเดินต่อหรือจะหยุด”

“อืม นายไปมีอะไรกับใครมาเหรอ” ผมถามไปได้ไงนี่ คำถามนี้





อีกคนเงียบไปอยู่นาน ก่อนจะเริ่มมีรอยยิ้มที่มุมปากขึ้นมา หน้าตาดูเป็นผู้เป็นคนขึ้น

“กูไม่ทำร้ายตัวเองขนาดนั้นหรอก  พยายามมาเยอะแยะแล้ว จะให้มาเจอทางแยกแห่งการตัดสินใจอีกทำไม ?”

“แล้วทำไมถึงดูเศร้า ?”

“เพราะกูรู้สึกผิด”

“กับเราเหรอ ?”

“เปล่า”

“กับพี่โอ๊ต ?”

“ทำไมถึงคิดว่าเป็นมัน”

“ก็เพิ่งกลับจากห้องพี่โอ๊ตมานี่”

“ก็ไม่เชิงหรอก”



คำตอบที่ดูเหมือนจะไม่แยแส แต่ก็ช่วยให้ผมปะติดปะต่อเรื่องราวได้มากขึ้น ถ้าเป็นอย่างที่นายปีโป้เป็นและพูดมา พี่โอ๊ตต้องขอสิ่งใดสิ่งหนึ่งกับนายปีโป้ และสิ่งนั้นก็คือสิ่งที่นายปีโป้ถามว่าผมจะโกรธไหม ..



ถ้าเป็นความจริง ว่าไม่มีอะไร .. ผมควรจะดีใจไหม ?

แล้วถ้าไม่จริง ทั้งสองมีอะไร .. ผมควรจะเสียใจไหม ?



นี่มันอะไรกันอีกละเนี่ย ?



“ไปนั่งเล่นกับกูก่อนนะ” เสียงอีกคนบอก พร้อมกับเครื่องยนต์ของมอเตอร์ไซค์ที่ดังตามมา

“ไปไหนเหรอ”  ผมถามอย่างอยากรู้ แต่ก็ได้เพียงแค่รอยยิ้มกลับมาเท่านั้น เป็นคำตอบของคำถามของผม





ปกติผมก็ไม่ค่อยรู้นักหรอก ว่านายคนนี้จะพาผมไปไหนมาไหน ไม่เคยเรียกร้อง และก็ไม่เคยขัดขืนว่าอยากไปไหนมาไหนกับเขา แต่ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน มันรู้สึกเหมือนกับว่า ไปไหนก็ได้  ..



แค่ได้อยู่ด้วยกัน ...






แล้วนายปีโป้ก็พาผมมาสวนสาธารณะของจังหวัด อาณาเขตกว้างใหญ่กับสนามหญ้าที่เต็มไปด้วยหญ้าสีเขียวขจี ต้นไม้ที่ขึ้นเรียงสลับกันไปมา ช่วยบดบังแสงแดดยามเย็นที่มีอยู่เล็กน้อยได้ดี ผู้คนกำลังเดินเล่น บ้างเป็นคู่รักจับมือกันกระหนุงกระหนิง บ้างเป็นแม่กับลูกน้อยวัยก้าวย่าง ฝึกเดินกันอย่างสนุกสนาน และล้มลงบนพื้นสนามหญ้าเพื่อลดความเจ็บปวด ผมมองไปที่สระน้ำที่กว้างใหญ่ และคงมีความลึกที่มากมายไม่แพ้ความกว้างนั้น น้ำไม่ใสมาก แต่ก็เป็นที่อยู่ของสิ่งมีชีวิตจำนวนไม่น้อย



“ไปนั่งเรือถีบกัน” อีกคนที่สังเกตอยู่ว่าผมกำลังมองผู้คนในสระนั้น พูดบอกผมพร้อมกับจูงมือผมเดินตามไป


ไม่นานผมกับนายปีโป้ก็นั่งอยู่บนเรือรูปเป็ด หรือห่าน หรือหงส์ตัวใหญ่ก็ไม่อาจรู้ ในแม่น้ำที่มีสีเขียวใส มองเห็นปลาเล็กปลาใหญ่ว่ายไปมา ผมให้ความสนใจกับสิ่งข้างหน้า ข้างหลัง ข้างล่าง จนลืมสังเกตคนที่ชวนมา ว่าตอนนี้จะเป็นอย่างไร ก็เลยหันหน้าไปมอง คนที่จ้องท้องฟ้า อย่างกับจะถามหาคำตอบจากมัน ..


“ฟ้าสวยดีเนอะ” คงเป็นคำถามที่ดึงอีกคนกลับมอยู่บนผืนน้ำอีกครั้ง

“สวยยังไง ไม่เห็นมีเมฆอะไรเลย มีแต่ฟ้า ท้องฟ้ามันต้องมีเมฆให้เราจินตนาการว่ามันเป็นรูปอะไรบ้าง มันถึงจะได้สวย” อีกคนพูดตามความคิดเด็กช่าง

“ฟ้ามันก็ต้องสีฟ้า ฟ้ามันก็ต้องสว่างแบบนี้แหละ ถึงเรียกว่าสวย ฟ้าที่มีเมฆมาบดบังมันก็คงคล้ายๆกับปัญหาที่เข้ามา รอวันเคลื่อนย้ายไป แล้วฟ้ามันก็จะกลับมาสดใสอีกครั้ง” ส่วนนี้คือความคิดของเด็กศิลป์

“อืม คงจริงของมึง กูคงชินกับฟ้าที่มีแต่เมฆ ชินกับชีวิตที่มีแต่ปัญหา” อีกคนพูดพร้อมกับเอามือข้างนึงของตัวเองมาจับที่มือของผม สายตาลดระดับมามองตรงไปข้างหน้า

“ถ้ากูอยู่กับมึง สักวันฟ้ามันต้องสว่างและสดใสอย่างที่มึงมองมัน มึงว่าอย่างนั้นมั้ย” นายปีโป้พูดพร้อมกับหันหน้ามามองผม ทำให้ผมหลบตาไปไหนไม่ได้ เพราะเป็นผมต่างหาก ที่จ้องมองเขาก่อนหน้านั้นแล้ว





“เรา .. เรา ..”








“เป็นแฟนกับกูได้มั้ยน้ำมนต์”







ออฟไลน์ Still_14OC

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2041
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-7
เออนะ ลุ้น ตามชื่อตอน จริงๆ

ลุ้นว่า โป้มันจะไปมีอะไรกับโอ๊ต รึเปล่า

แล้วก็ลุ้นว่าน้ำมนต์ จะยอมเป็นแฟนโป้ รึยัง  ลุ้น ลุ้น ลุ้น  :เฮ้อ:

Akamei

  • บุคคลทั่วไป
Say YES!!!!
ไปเลย~
น้ำมนต์
555555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ NumPing

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 502
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-2
โป้ แกไม่ได้ทำใช่มั๊ยหา

น้ำมนต์จ๋า ถ้าโป้มันไม่ทำอะไรผิด ก็เป็นแฟนกะมันเถอะนะ

Crossley

  • บุคคลทั่วไป
ง่ะ มองไม่เห็นเรื่องนี้ซะงั้น
พลาดไปตั้งสองตอน
อ่านตอนพี่โอ้ตแล้วรู้สึกสะเทือนเล็กๆ ดูท่าี่แกคงต้องการความหวังจนหยดสุดท้าย
ส่วนน้ำมนต์ ตอนโดนเรอทักใส่นี่ น่าร้ากกก :-[

ออฟไลน์ เฉาก๊วย

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +251/-6
ไม่รู้สิ รู้แต่ว่าถ้านายโป้มีอะไรกับโอ๊ตแล้วล่ะก็ เรารับไม่ได้แน่ๆ ไม่ว่าเหตุผลจะคืออะไรก็ตาม
เพราะไม่รู้ว่านายโป้จะทำให้เรื่องมันยุ่งยากขึ้นไปอีกทำไม อยู่ดีไม่ว่าดีซะงั้น  :serius2:

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ตอบตกลงไปเลยน้ำมนต์
นายปีโป้อย่าทำให้แฟน ๆ ผิดหวังนะเว้ย

ออฟไลน์ maxiez2p

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
. . . . อยากรู้ ปีโป้กับโอ๊ต
มีไรกันมั๊ย (ขอให้มีๆๆ)

555

yayee2

  • บุคคลทั่วไป
ปัญหาคาใจตอนนี้คือ
1.ปีโป้มันเผลอมีอะไรกะโอ๊ตหรือเปล่า
2.น้ำมนต์จะยอมคบปีโป้เป็นแฟนรึเปล่า
3.สืบเนื่องจากข้อ 1. ณ เวลาที่สองคนกำลำงคุยกันอยู่นี้
ถ้าสมมุติว่าปีโป้เผลอมีอะไรกะโอ๊ตแล้ว น้ำมนต์จะยังคิดและพูดแบบนี้ไหม
"ถ้าช่วงนี้ เรายังไม่ได้เป็นอะไรกัน นายก็มีสิทธิ์เต็มที่ เหมือนกับก่อนหน้านี้"
ผู้เขียนกรุณารีบมาไขปัญหาไวๆด้วยนะจ๊ะ

lungkhao

  • บุคคลทั่วไป
ตอนที่ 31


“เป็นแฟนกับกูได้มั้ยน้ำมนต์”


ผมเอ่ยประโยคนี้เป็นครั้งที่สองที่ขอคนตรงหน้าเป็นแฟน ครั้งแรกที่ทำให้เรื่องราวกลับตาลปัตรไปหมด แต่ครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อนหน้า คนที่อยู่ใกล้ตอนนี้ไม่เหมือนคนก่อน คนๆนี้คือคนที่ทำให้ผมอุ่นใจ และอยากอยู่ใกล้ทุกครั้งเวลามีปัญหา คนที่ผมกำมือแน่น เพื่อบอกให้รู้ว่าคำพูดที่ผมพูดไปนั้น ผมจริงจังกับมัน และเหมือนจิตใต้สำนึกของผมบอกตัวเองว่า ถ้าครั้งนี้โดนปฏิเสธ ผมคงต้องกลับไปตั้งหลักอีกนาน ร่างกายที่อ่อนแอ เหมือนท้องฟ้าที่มีเมฆมากแบบนี้ กว่าจะรอให้เมฆเคลื่อนตัวผ่านพ้นไป ให้กลับมาสว่างอีกครั้ง คงต้องใช้เวลา


“เป็นแฟนกับกูนะ กูชอบมึงจริงๆ” ผมพูดประโยคขอเป็นแฟนอีกครั้ง ก่อนที่ยกมือของมันให้สูงขึ้นให้ตั้งฉากกับพื้นโลก อีกคนมองมาอย่างงงๆ ว่าผมมาไม้ไหน อารมณ์ไม่น่าจะโรแมนติก ผมก็จับยัดเข้าไปอย่างไม่สนใจรูปบท อย่างไม่สนใจสถานที่ สภาพแวดล้อม แต่ผมก็ลองมองๆ มันก็โรแมนติกไม่แพ้ที่ไหนเหมือนกันนะเนี่ย

“ถ้าเป็นแฟนแล้ว ต้องทำอะไรที่แตกต่างจากเดิมบ้างละ” อีกคนถามมาอย่างเขินอาย บรรยากาศรอบข้างที่เป็นสีอึมครึม กลายเป็นสีชมพูอย่างฉับไว ผมรู้สึกได้ถึงก้อนเมฆที่อยู่บนท้องฟ้าหัวใจผม ค่อยๆเคลื่อนตัวออกไปอย่างรวดเร็ว

“ก็ไม่มากหรอก แค่เจอกันบ่อยขึ้น คุยกันบ่อยขึ้น โทรหากันบ่อยขึ้น นอนด้วยกันบ่อยขึ้น” ผมพูดด้วยใจเต้นระรัว ท่าทีดูช่างร้อนรน

“เท่าที่ฟังมา ตัวติดกันแทบจะ 24 ชั่วโมงแล้วนะ” อีกคนขัดมาหน้าตาซื่อๆ

“ใครบอกว่าแค่ 24 ชั่วโมงละ ตลอดชีวิตเลยต่างหาก” คำพูดที่ไม่ได้ดูโรแมนติก ไม่รู้ไปลอกไดอาล็อกมาจากที่ไหนแห่งใดผม ก็ไม่ได้มีความสำคัญกับผมตอนนี้

“เอาไงอ่ะมึง กูเขินจะบ้าตายแล้วนะเนี่ย มึงอย่าคิดนานดิ” ผมเร่งเร้ามัน

“อย่าว่าแต่นายเลย เราก็เขินนะ ก็คนมันไม่เคยนี่ จะให้ตอบว่ายังไงละ” อีกคนก็เขินจนเบือนหน้าหลบ ผมก็เข้าใจมันนะ ชีวิตนี้ยังไม่เคยมีใครขอเป็นแฟน และไม่เคยตอบตกลง จะให้ตอบว่า ได้ ก็ดูจะใจง่าย แต่จะปฏิเสธดูจะไม่อยู่ในตัวเลือกในขณะนี้

“ถ้าตกลง เอ่อ ...” เอาไงดีวะ

“ถ้าตกลงไปดูหนังกัน !!” ผมบอกมัน ไม่รู้ว่ามันสมองจากส่วนไหนคิดขึ้นมาได้  มันมองหน้าผมพร้อมกับยิ้มๆ คงคิดว่าไม้ไหนของมึงอีกเนี่ย




“อืม ก็ดี อยากดูหนังเหมือนกัน”  คำตอบที่ออกมาจากปากคนปากชมพู ใบหน้าขาว ผมที่รวบไว้บนหัวแต่ก็มีไรผมหลุดออมากแซมตามหน้าผาก คอ รอยยิ้มที่ยิ้มให้เห็นฟันครบ 32 ซี่ ดั่งมีมนต์อะไรสั่งให้ผมยิ้มตามรอยยิ้มนั้นทันที พร้อมกับคว้าตัวมันมากอดไว้ อย่างดีใจสุดขีด

“ขอบใจมึงมากนะ ขอบใจมึงจริงๆ” กอดมันไปพร้อมกับใจที่ไร้เมฆหม่นใดๆมาบังทัศนียภาพของหัวใจตัวเอง  ในวันที่ใจโคตรจะหม่นหมองแบบนี้ มีใครอีกคนมาช่วยขจัดเมฆร้ายๆไป ใจผมคงชื้นขึ้นมาดั่งสายฝนหล่นลงกลางทะเลทราย มันไม่ได้ทำให้ความร้อนความกระหายลดลง เพียงแค่เพิ่มหวังและกำลังใจให้คนที่เหือดแห้งความรัก กลับมามีชีวิตชีวาขึ้น แค่เท่านั้น ..


“ปล่อยได้แล้ว เดี๋ยวเรือล่ม” อีกคนส่งเสียงขึ้นมา เพื่อให้รู้ว่า ผมควรปล่อยกอดนั้น ก่อนที่อะไรๆจะเลยเถิดไปใหญ่ ผมรีบปล่อยแล้วเอามือทั้งสองข้างของมันมาจับไว้

“มึงเป็นแฟนกูแล้วนะ อย่าไปเล่นหูเล่นตากับใคร อย่าเที่ยวอ่อยใครไปทั่ว อย่าไปนั่งซ้อนท้ายมอไซค์ใคร อย่าทำให้กูโกรธ  อย่า ..”

“เริ่มจะไม่อยากดูหนังละ ..” มันพูดขัดมาพร้อมกับรอยยิ้ม

“เอ๊ย ไม่ได้ กูจองตั๋วแล้ว ยังไงมึงก็ต้องไปดูกับกู”

“ก็ดูสิ ข้อห้ามอะไรเยอะแยะ ทำไมตอนถามตอนแรก ไม่เห็นมีพวกนี้เลยนี่” มันเริ่มโวยวาย

“แล้วถ้ากูบอกมึงก่อน มึงจะยอมเป็นแฟนกูเหรอ”  ผมเริ่มเจ้าเล่ห์ตามแบบที่ตัวเองมีติดตัวมา

“ขี้โกง”

“ฮ่าๆๆ กูล้อมึงเล่น มึงจะเป็นยังไงก็เป็นไปเถอะ แค่มึงยังเป็นแฟนกู และยังอยู่ข้างกู มึงจะอ่อยใครให้มันตายด้วยเสน่ห์มึงก็ช่างมันเถอะ ยังไงมันก็ได้แค่มอง แต่กูนั้นได้มาทั้งตัวและหัวใจ” ผมพูดพร้อมกับทำหน้าทะลึ่งมองหุ่นของมันอีกครั้ง


“อย่ามาทะลึ่งนะ จะไม่ไปดูหนังแล้วเหรอ”

“เดี๋ยวดิ ปั่นเรือกันก่อน”

“ก็ดีเหมือนกัน”


บทสนทนาระหว่างผมกับมันผุดมาเป็นเรื่องปกติ ไม่ได้มีอะไรพิเศษไปกว่าตอนที่ไม่ได้เป็นแฟนกัน แค่มือที่จับกันนั้น รู้สึกพิเศษกว่าเดิมก็เท่านั้น  ผมรู้สึกว่าลืมเรื่องราวร้ายๆที่เกิดขึ้นมาในวันนี้เกือบหมดสิ้น .. แต่มันก็คงแค่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง เพราะยังไง เรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้น ผมไม่ได้ทำให้มันจบ ..


ผมแค่เลือกเดินหนีมันมา ..

.

.

.

.



“มีอะไรกับกูสักครั้งได้มั้ย ??” 


ประโยคที่พูดมากจากสีหน้าและแววตาที่วิงวอนของไอ้โอ๊ต ทำให้ผมอึ้งทำตัวไม่ถูก ไม่มีเสียงใดๆที่หลุดออกจากปาก สัมผัสได้ถึงลมหายใจที่แสนอ่อน แทบจะไร้ซึ่งลม ผมล้มลงไปบนเตียงอย่างง่ายดายด้วยการผลักของคนตรงหน้า อีกคนล้มมาทับผมอย่างกับเก็บอาการความต้องการไม่ไหว กระดุมเสื้อของผมถูกปลดลงอย่างไว และดูว่าเป็นสิ่งกีดขวางที่คนข้างบนอยากดึงให้ขาดไปซะทุกชิ้น  ลิ้นที่หยาบกร้านวนเวียนที่หน้าอกของผมทั้งสองข้าง บ้างก็กัดกรามเข้าไปทำให้ผมรู้สึกเจ็บปนเสียวระบม ลิ้นและหน้าของมันขยับขึ้นมาข้างบน ไซร้ไปตามซอกหู ใบหู ช่วงคอ ก่อนที่มันจะยกตัวเองขึ้นและจัดการกับเสื้อของตัวเองจนเปลือยท่อนบนเหมือนกับผม ก่อนที่จะก้มลงมาจูบปากของผมอย่างดูดดื่ม ผมจำไม่ได้ว่าผมได้สนองกับริมฝีปากนั้นไหม แต่ผมแทบไม่รู้สึกอะไรกับคนตรงหน้า แทบหายใจไม่ออก ร่างกาย หัวใจ และทุกอย่างแทบแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ จำไม่ได้ว่าคนตรงหน้าพยายามย่ำยีทำร้ายคนที่มันเรียกว่า “เพื่อนรัก” ไปนานเท่าไหร่



“กริ๊งงงงงงงง กริ๊งงงงงงงงงงงงงงง” เสียงเรียกเข้ามือถือยี่ห้อผลไม้ถูกกัดเหมือนเป็นมาตรฐานที่คนชอบใช้เหมือนกันจนเสียงอาจหลอนได้ดังขึ้นเตือนสติผม ให้ตัวเองกลับมามีสติอีกครั้ง เลยรู้ว่าอีกคนกำลังวุ่นวายกับส่วนล่างของตัวเองอย่างเหือดกระหาย ปานไม่เคยเจอ ไม่เคยพบเห็น ผมสะบัดศีรษะเรียกสติตัวเองให้กลับคืนมา ก่อนที่จะใช้กำลังที่ขาพอจะมี ถีบคนตรงหน้าลงไป


แรงของผมมีพอที่จะพาร่างใหญ่นั้นกระเด็นออกจากเตียงไปชนกับผนังห้อง


“ผลั่ก” เสียงที่ดังบอกถึงการกระทบกันของร่างกายและกำแพง คนที่โดนถีบตัวม้วนด้วยความจุกอยู่พักหนึ่ง แต่สายตาก็มองมาที่ผมไม่ขาด ผมรีบดึงส่วนล่างของตัวเองให้เข้าสู่สภาพปกติ หยิบเอามือถือตัวเองมาดู


“น้ำมนต์” ผมพูดชื่อคนที่โทรเข้ามา อย่างแหบพร่า หูตัวเองแทบไม่ได้ยินเสียงนั้น  ก่อนกดสไลด์มือถือจากซ้ายไปขวา เป็นการรับสาย

“ฮัลโหล”  เสียงที่เพิ่งเรียกกลับมาได้เล็กน้อย คงทำให้ปลายสายตกใจใช่น้อย  บทสนทนาเล็กๆเริ่มต้นขึ้นภายในเวลาไม่ถึงนาที แค่อีกฝ่ายโทรมาถามแสดงถึงคามเป็นห่วงที่ผมไม่เคยได้รับมาก่อน มันทำให้สมอง หัวใจ และทุกส่วนของร่างกายของผม กลับมาทำงานตามปกติอีกครั้ง มันทำให้ทุกๆอย่างกลับมามีสติเหมือนเดิม  หัวใจกลับมาเต้นเป็นจังหวะแบบเดิม ลมหายใจเข้าออกคงที่ หันไปมองคนที่ยังนั่งอยู่ที่ผนังห้องด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรอีกต่อไป ผมรีบคว้าเสื้อที่ถูกขว้างไปด้วยแรงปรารถนาของคนบางคนหล่นไปกองมุมหนึ่งของห้องมาใส่โดยไว ก่อนจะรีบเดินออกจากห้องนั้น โดยไม่สนใจสภาพของเจ้าของห้องเลยแม้แต่น้อย


น้ำตาลูกผู้ชาย ที่เสียเพราะเพื่อนนี่มันยากห้ามจะเก็บเอาไว้จริงๆ ผมไม่ได้เสียใจที่ผมพลาดพลั้งเสียท่าให้กับมัน แต่ผมเสียใจที่มันกล้าทำกับผมได้ลงคอ เสียใจที่มันกล้าพูดประโยคนั้นมาทำร้ายจิตใจของผมให้กระเจิดกระเจิง จนไม่มีแรงตอบโต้ เกลียดตัวเองที่ไม่มีสติยับยั้งอารมณ์ใคร่เพียงชั่ววูบของเพื่อนที่คบกันมาที่รู้แทบทุกอย่างในชีวิต


.

.

.

.


ก่อนจะออกจากสวนสาธารณะ ผมโทรบอกเด็กสองคนที่ผมรู้จัก และอยากพาไปให้น้ำมนต์รู้จักมาเจอกที่ร้านโรตี คงถึงเวลาแล้ว ที่เด็กสองคนนั้นที่ผมถูกชะตา และอยากให้รู้จักกัน ..



“พี่ปีโป้ ทางนี้” มาถึงเสียงของน้องนัทก็ตะโกนเรียกผม ผมหันดูหน้าไอ้เป้ ที่ทำหน้าไม่พอใจที่แฟนมันร้องเรียกผมออกนอกหน้า

“อยู่ทางโน้น น้ำมนต์” ผมสะกิดบอกอีกคน ที่กำลังวุ่นอยู่กับทรงผมบนหัวของตัวเอง

“ปล่อยมันดีกว่า” ผมพูดพร้อมกับดึงยางที่หัวของมันออก

“ไม่ได้สระมา”

“ก็ไม่เห็นว่าจะเหม็นอะไรนี่” ผมพูดพร้อมกับดมผมของอีกคน

“อืมๆ งั้นก็ตามใจนาย”


ตอนนี้น้ำมนต์เลยเดินตามผมมาด้วยสภาพผมปล่อยสยาย ถ้ามองจากด้านหลังจะดูไม่ออกเลย ว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่นั่นละ คือเสน่ห์ที่ผมชอบ


“มากันนานยัง” ผมทักทั้งสองคนไป

“นานแล้ว นัดไม่เป็นเวลา แล้วยังมาสายอีก ไม่ไหวๆๆ” ไอ้เป้ตัวแสบเหน็บผมตั้งแต่แรกเจอ

“ยังไม่นานเลยพี่โป้ ไอ้เป้มันก็พูดไปนั่นแหละ” ไอ้นัทเลยแก้ต่างให้อีกที

“แล้วพี่มากับใครอ่ะ” ไอ้นัทถามขึ้นอีกที เมื่อน้ำมนต์เดินมาถึงพอดี

“นี่ พี่น้ำมนต์ แฟนพี่เอง” ผมแนะนำให้สองคนที่นั่งอยู่รู้จัก  ทั้งสองคนมองน้ำมนต์อย่างกับฉากแรกของหนังที่เปิดตัวนางเอกของเรื่อง ไอ้เป้กลืนน้ำลายลงคงดังเฮือก ส่วนไอ้นัทก็ยิ้มซะจนเห็นถึงฟันคุด


“จะมองอีกนานมั้ยพวกมึง” ผมเรียกสติพวกมันคืนมา

“คนเดียวกับวันนั้นเลยมึง” ไอ้นัทหันไปกระซิบกับไอ้เป้

“น่ารักวะ ไม่น่าเป็นแฟนกับพี่ปีโป้เลยอ่ะ” ไอ้เป้แสดงความคิดเห็น

“พวกมึงจะนินทาอะไรกู ก็ให้มันเบาๆหน่อย” ผมเรียกสติพวกมันอีกครั้ง ไอ้เด็กสองคนนี่นะ

“น้ำมนต์นี่ชื่อเป้ นี่ชื่อนัท พวกมันสองคนเป็นแฟนกัน” ผมแนะนำให้น้ำมนต์รู้จัก น้ำมนต์ยิ้มให้เด็กสองคนนั้นเล้กน้อย

“สวัสดีครับพี่น้ำมนต์” ไอ้เป้ยกมือขึ้นไหว้

“ไม่ต้องไหว้ก็ได้ เรียนม.ไหนกันเหรอ”

“ม.สี่ครับ”

“เอ๊ย ก็รุ่นเดียวกันดิ เราก็เรียนปวช.ปีหนึ่งเอง” น้ำมนต์บอกพวกมันสองคน ผมก็คิดขึ้นมาได้ว่า สามคนนี้รุ่นเดียวกันจริงๆ นี่ตกลงผมแก่สุด

“เอ๊ย จริงเหรอครับ เป้น่าเจอน้ำมนต์ก่อนหน้านี้นะครับ”

“ไอ้เป้ / ไอ้เป้ !!” เสียงของผมกับไอ้นัท ประสานขึ้นพร้อมกันอย่างกับรู้ว่ามันกำลังคิดอะไร น้ำมนต์หัวเราะให้กับท่าทีของสองคนนั้น




ผม น้ำมนต์ ไอ้เป้ ไอ้นัท นั่งกินข้าวเย็นกันไปพักใหญ่ น้ำมนต์คุยถูกคอกับไอ้นัทมาก เพราะคุยไปคุยมา ทางกลับบ้านพวกมันสองคนกลับทางเดียวกัน  สามารถนั่งรถเมล์กลับทางเดียวกันได้ ของน้ำมนต์จะลงป้ายแรก แต่ของไอ้นัท จะลงป้ายสุดท้าย


ส่วนผมก็คุยกับไอ้เป้บ้าง  แต่ติดที่ไอ้นี่มันกวนตีน  ถามอะไรไปมันก็ตอบมากวนตีน  จุดประสงค์จริงๆของผมเหรอครับ แค่อยากให้น้ำมนต์รู้สึกว่า ไม่ได้แปลกเลยที่ผู้ชายจะรักจะชอบกัน อย่างคู่ไอ้เป้กับไอ้นัท มันก็ไม่ได้รักกันง่ายๆเลย แต่พอมันได้รักกัน มันก็รักกันหนักแน่น ถึงจะมีอุปสรรคอะไรเข้ามา มันก็จับมือช่วยกันฝ่าฟัน อย่างเช่นกรณีที่น้องเดียวเข้าไปเป็นมือที่สามของคู่นี้ มันก็ทำให้ผมรู้ว่า ไม่มีใครช่วยพวกมันได้ นอกจากความเข้มแข็ง และความเชื่อใจในความรักของพวกมันนั่นเอง ..


เวลาแค่ประมาณชั่วโมงหนึ่ง ผมก็รับรู้ได้ว่าน้ำมนต์เข้าใจความรักแบบนี้มากขึ้น คนที่ไม่เคยมีแฟนแบบน้ำมนต์ คงลำบากใจที่ แฟนคนแรกก็กลายเป็นผู้ชายเหมือนตัวเอง คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำใจยอมรับมัน และผมก็คิดว่าน้ำมนต์ต้องพยายามเข้าใจสภาวะที่แวดล้อมให้มากกว่านี้


ทุกวันนี้เราต่างก็เข้าใจภายในหัวใจของตัวเอง ว่ารู้สึกอย่างไร แต่ถ้าเราจะรักกันจริง และหวังว่าจะใช้ชีวิตด้วยกัน สิ่งที่เราต้องเข้าใจนอกเหนือจากนั้น คือการวางตัวในสังคม ซึ่งมนุษย์เรามีสองวิธีในการศึกษาการวางตัว นั่นคือไม่เป็นแบบอย่าง ก็ต้องหาแบบอย่าง ผมคิดว่าน้ำมนต์คงไม่พร้อมที่จะเป็นแบบอย่างให้กับคนอื่น ผมก็เลยเลือกที่จะให้คนอื่นมาเป็นแบบอย่างให้กับคู่รักของผม


ไอ้เด็กสองคนนี้ก็ไม่ได้มีคู่ชีวิตที่ดีจนต้องยกโล่ให้ เพียงแค่มันมีมุมมองและวิธีการประคับประครองหัวใจของกันและกันให้มันไปตลอดลอดฝั่ง .. ก็แค่นั้น



“เป้ กับ นัทนี่น่ารักดีเนอะ” น้ำมนต์บอกกับผมขณะที่เราออกมาจากร้านนั่นแล้ว

“ชอบละสิมึงอ่ะ” ผมแซวมัน

“ก็ชอบนะ น้องเป้นี่หล่อ คมเข้ม ดูเท่ดีนะ”

“นี่มึงชอบไอ้เป้มันเหรอ นี่มึงเพิ่งเป็นแฟนกูนะ”

“ก็ใครมันเปิดทางให้เราละ”

“ฮ่าๆๆ เดี๋ยวนี้มึงนี่จับทางกูได้หมดละ กูไม่รู้ไปทางไหนดีแล้ว”

“นายต้องการอะไรเหรอ ถึงให้เรามาเจอกับนัทเป้” มันถามผมมา

“ไม่ได้ต้องการอะไรมากหรอก แค่อยากบอกว่า รักแบบเรา มันไม่ได้ผิดปกติ มันไม่ใช่เรื่องแปลก” ผมบอกมัน และหันไปยิ้มให้

“ถ้าอายุเป็นเพียงแค่ตัวเลข  เพศมันก็เป็นแค่ตัวอักษร ความรักมันเรื่องของหัวใจ มันไม่ใช่เรื่องของตัวเลขและเรื่องของตัวอักษร  มึงเข้าใจที่กูพูดมั้ย ?”  ผมบอกมัน

“อืม เราเข้าใจ” คำพูดว่าเข้าใจของมัน  สื่อสารทางวาจา และบอกผมทางกายด้วย มันเอามือของมันโอบเอวผมไว้หลวมๆ เพื่อให้ผมรู้ว่า มันเข้าใจที่ผมพูดดี ..




ผมพาน้ำมนต์กลับมาห้องของผมก่อนที่จะไปส่งมันกลับบ้าน


“ไหนบอกจะพาไปดูหนัง” อีกคนทักขึ้นอย่างไม่ได้จริงจังอะไร

“ก็นี่ไง มาดูที่ห้องกู กูไม่ได้บอกนี่ว่าจะพาไปดูที่ไหน” ผมตอบแล้วยิ้มๆ

“ขี้โกงตลอดเลยนะ”

“ไม่ได้ขี้โกงนะ แค่มีทักษะในการพูดสูง”

“กะล่อน”

“ชมเหรอจ๊ะ ที่รัก” 



เงียบ  เงียบเลยครับ เจอคำหวานไปคำเดียว  เหลือบตาไปมองนิดหน่อยก็เห็นแก้มมีเลือดฝอยแดงๆขึ้นเต็มหน้าละ เขินง่ายจริงวุ๊ย  น่ารักจริงๆเลย

“ทำอะไรน่ะ” มันถามผมขณะที่ผมกำลังเขย่งเท้า มือก็ควานหาของบนตู้เสื้อผ้าของตัวเอง

“หาของนิดหน่อย” ผมหันไปตอบ พอดีกับที่มือไปปะกับกล่องที่ผมต้องการหาพอดี เลยออกแรงหยิบลงมา



มันเป็นกล่องลังสีน้ำตาลขนาดเล็ก ผมเอามือปัดฝุ่นออกเล็กน้อย คนที่ยืนดูอยู่ข้างๆ ถึงกับเอามือปิดจมูกเพราะกลัวฝุ่นเข้าไปแพร่เชื้อ ผมหันไปยิ้มให้กับท่าทางนั้นเล็กน้อย ก่อนจะเปิดกล่องนั้นออก


“เฝือก ?” คนข้างๆพูดสิ่งที่เห็นในกล่อง

“ใช่ เฝือก เฝือกที่กูต้องเข้า เพราะตามจีบใครบางคน” ผมพูดแล้วหันไปยิ้มกับมัน มือก็หยิบเฝือกสองซีกนั้นขึ้นมา ก่อนจะวางกล่องไว้บนพื้น และลากมันมานั่งด้วยกันบนเตียงกลางห้อง

“แล้วจะเอามาดูทำไม ระลึกความหลังเหรอ” มันถามผมทีเล่นทีจริง

“เปล่า กูแค่อยากรู้” ผมพูดพร้อมกับส่งสายตาไป

“อยากรู้อะไร” มันก็ถามมา สีหน้างงๆ

“อยากรู้ว่าวันนั้นที่มึงเขียน มึงเขียนว่าอะไร” ผมถามออกไป มือก็ประกอบเฝือกสองซีกให้เป็นซีกเดียว  พยายามให้ตัวอักษรที่ถูกแยกออกจากกันด้วยสว่านอันแหลมคมของหมอ เข้ามาต่อติดด้วยกันอีกครั้ง เพื่อให้คำต่างๆ ประโยคต่างๆสมบูรณ์ขึ้น



“อยากรู้ก็หาเอาเองสิ”  มันบอกผม

“ไม่เอา กูหาหลายครั้งแล้ว แต่ไม่เจอ เจอก็ไม่แน่ใจ” ผมบอกมัน แขนสองข้างก็กระแทกใส่ตัวมันเชิงชี้เร็วๆ

“คำนี้ .. มั้ง” มันชี้ไปที่คำว่า “ช่างไม่รู้เลย” คำที่ผมเคยคิดว่าเป็นมันเขียน



แต่เวลาเปลี่ยน ความคิดของผมก็เปลี่ยน และผมเชื่อว่าไม่ใช่มัน ที่เขียนคำนี้


“ไม่เอามั้ง เอาจริงๆ” ผมจริงจังมากขึ้น

“แล้วทำไมไม่เชื่อว่าเราเขียนคำนี้ละ” มันถามขึ้นอย่างลองเชิง

“ก็เพราะกูรู้ไง ว่าคนเขียนจริงๆคือใคร”

“อืม เก่งดีนี่ แล้วทำไมแค่คำของเราเขียนถึงไม่รู้ละ”

“ไม่รู้สิ กูหาไม่เจอ”

“แล้วจริงจังขนาดนั้นเชียว” มันถามผม

“ก็นิดหน่อย กูเคยเห็นในหนัง ในการ์ตูน เขาชอบเขียนสารภาพความรู้สึกกัน ว่าคนที่เขียนรู้สึกอย่างไรกับคนที่เข้าเฝือก กูเลยอยากรู้ว่าตอนนั้น มึงรู้สึกยังไงกับกู”

“แค่นั้น ?” เสียงของมันสูง อย่างกับไม่เชื่อในสิ่งที่ผมพูด

“ก็เออดิ” ผมยืนยันมัน และออกแนวเร่งเร้าให้มันรีบบอก

“นั้นก็แปลว่าคำๆนี้ คนเขียนก็ต้องการบอกอะไรนายสินะ” มันชี้ไปที่คำเดิม

“เออ ตอนนี้กูรู้แล้ว กูไม่ต้องสืบว่าใครเขียน และไม่ต้องสืบความรู้สึกคนนั้นแล้ว แต่กูอยากรู้ความรู้สึกมึง” ผมบอกมัน

“ถ้ารู้แล้ว อย่าเสียใจละ”

“ทำไม มึงเขียนว่าอะไร” ผมเริ่มรู้สึกใจไม่ดี กับสิ่งที่มันพูด หรือผมจะเปลี่ยนใจ ไม่อยากรู้ เก็บใส่กล่องแล้วพาไปทิ้งตอนนี้เลยดี


ไม่ทันแล้ว มันยกเฝือกออกจากมือผมไป พลิกๆหาที่มันเขียนอยู่สองสามครั้ง แล้วก็หยุดเฝือกไว้กับที่ มันคงเจอประโยคที่มันเขียนแล้วสินะ ผมปิดตาไม่อยากมองประโยคมากมายบนเฝือกนั้น  ใจเต้นสั่นอย่างกับมันจะขอผมเป็นแฟน


“นี่ เราเขียนตรงนี้” มันส่งเสียงบอกผมว่ามันเจอแล้ว และมันคงจะชี้นิ้วรอให้ผมรออานแล้วด้วย


ผมรีบเปิดตาขึ้นเล็กน้อย สายตามองไปที่นิ้วเรียวขาวของมันที่ชี้อยู่บนเฝือกสีขาว และตัวอักษรเล็กๆสีดำ  อ่านข้อความที่ผมเฝ้าคิดว่าต้องเป็นคำสารภาพรักหวานๆ  เป็นปมหนึ่งให้ผมกลับมาเห็น และบอกกับตัวเองได้ว่า มันก็ชอบผมมานานแล้วเหมือนกัน 



มันคงจริงอย่างที่ผมเฝ้าคิด ถ้าประโยคข้างหน้ามันไม่ใช่ประโยคนี้













“ปีปีโป้ ป่ะป่ะปีปีโป้  :p”




.......................................................................
 :laugh: :laugh: :laugh:

ออฟไลน์ Poseidon

  • Unconditional love
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5081
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-12
ถ้าอายุเป็นเพียงแค่ตัวเลข  เพศมันก็เป็นแค่ตัวอักษร ความรักมันเรื่องของหัวใจ มันไม่ใช่เรื่องของตัวเลขและเรื่องของตัวอักษร>>>>ชอบประโยคนี้อ่ะ
ฮ่าๆๆๆๆ  ตอนจบฮาอ่ะ  น้ำมนต์นี่แอบรั่วเหมือนกันนะ กร๊ากกกก

ออฟไลน์ CarToonMiZa

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6338
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +820/-41

yayee2

  • บุคคลทั่วไป
ก่อนอื่นขอ :กอด1:พร้อมกับ :จุ๊บๆ:คนเขียนที น่ารักจัง มาไวเคลม..เอ๊ย..อัพไวแบบนี้รักตายเลย
ขอ โห่...ฮิ้ววววว...สามรา ด้วยความดีใจ เขารับรักและยอมเป็นแฟนแล้ว
ก็เป็นบรรยากาศหวานๆ(เหรอ)ตามแบบฉบับของปีโป้อะนะ
ส่วนน้ำมนต์ก็น่ารักเขินอายแบบนิ่งๆเฉยๆของเขาล่ะ
อิ อิ ก็น่ารักไปอีกแบบเน้อคู่นี้น่ะ
ต่อไปก็เป็นช่วงเรียนรู้กันและกันล่ะน้ำมนต์
....ปีโป้..อย่าโกรธโอ๊ตเลย  ด้วยความรู้สึกมันล้นอกจนระเบิดออกมาน่ะ อารมณ์มันเลยพาให้โอ๊ตบ้าไป
ด้วยวัยของพวกเธอก็แค่นี้เอง การเผลอสติมันเกิดขึ้นได้นะ เปลี่ยนจากโกรธเป็นเห็นใจหรือสงสารโอ๊ตมันดีกว่าไหม
ป่านนี้โอ๊ตมันคงรู้ตัวแล้วล่ะ และมันคงรู้สึกผิดจะแย่แล้วมั้ง นึกถึงมิตรภาพที่ดีที่มีต่อกันมาตั้งยาวนานดิ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด