ตอนที่ 26 ตอนนี้ดราม่าที่สุดในโลก (เราเตือนคุณแล้วนะ!!)
ถ้าหากได้รู้ว่าการแอบสร้างประตูเล็กๆที่กำแพงนั้น ทำให้ใครคนนั้นล่วงรู้ แล้วแอบมาพังประตูที่กำลังสร้างเปิดรับเขาในไม่ช้า .. ผมคงไม่คิดจะสร้างมัน
ผมรู้สึกงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ไม่หาย มันคือเรื่องราวที่แสนวุ่นวาย และเข้ามาในชีวิตของผมแบบไม่ทันตั้งตัว การเปิดรับคนแปลกหน้าเข้ามาพัวพันกับชีวิต มันทำให้เราไม่รู้เลยสินะ ว่าชีวิตเราจะเดินไปในทิศทางไหนและเมื่อไหร่
ไม่รู้ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ต้องโทษใคร โทษที่ตัวเองไว้ใจใครมากเกินไป โทษที่ใครคนนั้นทำอะไรพลาดไป โทษหัวใจที่เผลอไปกับสิ่งดีๆที่เขาทำมาทั้งหมด กว่าจะรู้ตัวเองอีกที ก็พลาดกลายเป็นใครก็ไม่รู้ที่เขาจะมาย้ำยีจิตใจเราได้ง่ายๆ
“เป็นไรไปน้ำมนต์ ยายเห็นตั้งแต่กลับมาก็ไม่พูดไม่จา” ยายเดินมาถามผม ที่นั่งแน่นิ่งมองท้องฟ้าอยู่ตรงระเบียงบ้าน
“เปล่าครับยาย” ผมบอกยายไป
“ทะเลาะอะไรกับพี่ปีโป้เหรอ”
“เปล่านี่ครับ”
“เอาเถอะ ไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร เรื่องของวัยรุ่นยายคงไม่เข้าใจ ยายแค่อยากบอกกับหนูว่า คนที่ประเสริฐที่สุด คือคนที่รู้จักการให้อภัย การเก็บมาเกลียดโกรธชังไม่ใช่วิสัยของคนดี มีไรก็คุยกับพี่เค้า ให้อภัยได้ก็ให้ไปเถอะ ยายไม่อยากให้หนูเก็บมาคิดให้มันหนักหัว” ยายพูดแล้วเอามือมาลูบหลังผมอย่างอ่อนโยน ก่อนจะยิ้มให้และเดินเข้าบ้านไป
ให้อภัย , มันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอครับยาย ..
“ฮัลโหลว่าไงแพร” ผมรับโทรศัพท์เบอร์ของคนที่พยายามโทรมาหลายสิบสายตั้งแต่ที่จากกันมา แต่ผมก็ไม่อยากจะรับ จนถึงเวลานี้ คิดว่าอารมณ์ผมคงใกล้เข้าสู่สภาะปกติแล้ว
“ฮัลโหลน้ำมนต์ เป็นยังไงบ้าง แพรเป็นห่วงน้ำมนต์มากเลยนะเนี่ย โทรไปน้ำมนต์ก็ไม่รับ รู้มั๊ยว่าแพรเป็นห่วง” เธอพูดมาซะยาว จนผมเกือบจะประมวลผลฟังแทบไม่ทัน
“อืม เราไม่อะไร พรุ่งนี้ค่อยคุยกันนะ ขอบใจมากที่เป็นห่วง แค่นี้ก่อนนะ” ผมรวบรัดสรุปและตัดสายไป
จะว่าไปวันนี้ผมก็ทำไรผิดพลาดอย่างไม่น่าให้อภัยตัวเองเหมือนกัน แต่มันก็ทำให้ผมรู้ว่า การเล่นกับความรู้สึกคนอื่น ไม่ได้ทำให้คนอื่นเจ็บข้างเดียว เรานี่แหละ ที่จะเจ็บไปด้วย ไม่ว่าทางใดก็ตาม ..
“น้ำมนต์ เกิดอะไรขึ้นเหรอ” ประโยคแรกของการทักทายวันนี้ของช้างน้อย ที่เดินเข้ามาในร้านป้าตามสั่งแล้วถามผม กับสายตาที่มองมาที่ผม ก่อนจะหันไปมองโต๊ะนายปีโป้ที่อยู่อีกมุมนึงของร้าน ที่นั่งจ้องผมตั้งแต่ที่ผมก้าวเท้าเข้ามาในร้านนี้
“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก” ผมบอกก่อนจะก้มอ่านหนังสือในมือต่อ
“แกอย่ามาโกหกชั้น ชั้นรู้ว่าเรื่องเมื่อวานมันต้องร้ายแรงมาก ใช่มั๊ย”
“ไม่รู้สิ”
“แกนี่โกหกไม่เก่งเอาซะเลย ถ้าแกไม่เล่าชั้นจะไปถามพี่ปีโป้”
“อืม ไปถามเค้าสิ”
“จัดให้” ช้างน้อยพูดพร้อมกับสะบัดหน้าสะบัดก้นให้ผม แล้วเดินไปหานายปีโป้ ผมปรายสายตาไปมองนิดหนึ่ง ก่อนที่จะเลิกสนใจ
“น้ำมนต์” เสียงแพรเรียกผม พร้อมกับหน้าที่ชะโงกมามอง เล่นเอาผมตกใจกับท่าทางของเธอ
“ว่าไงแพร มาเช้าเชียว”
“ก็อยากมานั่งคุยกับน้ำมนต์” เธอพูดพร้อมกับนั่งลงข้างๆผม
“น้ำมนต์หน้าตาซีดๆนะ ไม่สบายหรือเปล่า” เธอพูดพร้อมกับเอามือขาวนุ่มของเธอมาแตะที่หน้าผาก และบริเวณแก้มของผม
“อือ เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร” ผมบอกไปยิ้มๆ
“เมื่อวานเรายังไม่ได้ตอบน้ำมนต์เลยนะ เรื่องนั้น” เธอถามผมขึ้นมา
“เรื่องอะไรเหรอ”
“ก็เรื่องที่ ..”
“เราขอโทษนะแพร แต่ช่วยลืมเรื่องเมื่อวานไปได้มั๊ย คิดซะว่ามันไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น เราขอโทษจริงๆ” ผมขัดเรื่องที่เธอจะพูด
“อื้มมม เรายังเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมมั๊ย” เธอพูดแล้วยิ้มแห้งๆมาให้ผม
“แน่นอนอยู่แล้ว” ผมตอบพร้อมกับยิ้มกว้างๆให้เธอ
“อย่ายิ้มแบบนี้ดิ”
“ทำไมเหรอ”
“แพรกลัว ว่าแพรจะไม่คิดกับน้ำมนต์แค่เพื่อน” เธอตอบมาแบบขำๆ
ผมรู้สึกสงสาร และรู้สึกแย่ที่ดึงเอาเธอเข้ามาเกี่ยวกับเรื่องราวของผม ผมเลยต้องเลือกที่จะตัดไฟแต่ต้นลม ไม่อยากจะให้มันยุ่งเหยิงไปกว่าเดิม ผมอยากกลับไปในวันที่ผมมีแค่หญิงและช้างน้อย วันที่เราสามคนอยู่ด้วยกัน มองตาก็เข้าใจ ไม่ต้องพูดอะไรก็สื่อความหมายได้
พูดปุ๊บ ช้างน้อยกับหญิงก็เดินกลับมาพอดี
“แพรเข้าห้องก่อนนะ ไปละ” และแพรก็ขอตัวออกไปพอดี
“ชั้นละเกลียดนังชะนีแอ๊บตัวนี้เหลือเกิน” ช้างน้อยพูดทันทีที่กลับมาถึงโต๊ะ
“ไปว่าเค้าทำไมช้างน้อย” ผมดุช้างน้อย
“ก็จริงนี่ ชั้นไม่ชอบ ไม่ถูกชะตา อันไลค์ค่ะ” เธอตอบมาหน้าตาหนักแน่น
“น้ำมนต์ โอเคนะ” หญิงถามผมด้วยหน้าตาเป็นห่วง
“ก็โอเคนี่” ผมพูดพร้อมกับยิ้มๆ บอกแล้วไงครับ ว่ามองตาก็รู้ว่าหญิงหมายถึงโอเคเรื่องอะไร
“แกจะไม่ยกโทษให้พี่แกจริงๆเหรอ” ช้างน้อยถามบ้าง
“ไม่รู้สิ อย่าเพิ่งถามอะไรตอนนี้เลย”
“พี่แกน่าสงสารนะหญิงว่า เหมือนพี่แกอยากจะคุยกับน้ำมนต์เลยนะ”
“อย่าเพิ่งเลยหญิง เรายังไม่พร้อม” ผมตอบทั้งสองคน ผมรู้ดีว่ามีสายตาอีกคู่หนึ่งที่มองผมอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ผมไม่เคยมองกลับไปก็ตาม
“เข้าเรียนกันเถอะ” ผมตัดบทของทั้งสองคน เพราะยังไงก็ไม่พ้นเรื่องของคนโต๊ะมุมร้าน
การดำรงชีวิตของผมช่วงนี้เป็นไปอย่างเรียบง่าย จนลืมไปแล้วว่าเคยมีผู้ชายเด็กช่างเข้ามาป้วนเปี้ยนในชีวิตของผม ผมใช้เวลาช่วงนี้ทุ่มไปกับโปรเจคปลายภาคที่ต้องแสดงงานศิลป์ในงานประจำปีของวิทยาลัย ผม หญิง ช้างน้อย มาวิทยาลัยแต่เช้าเพื่อมาทำงานด้วยกัน และกลับดึกๆค่ำๆ เพราะเตรียมงานกันเพลิน ชีวิตของผมวุ่นวายจนลืมเรื่องวุ่นวายก่อนหน้านี้ไป แต่อย่าคิดว่าผมจะลืมได้นะครับ ในเมื่อตัวต้นเรื่องยังคอยโผล่หน้ามานั่งจ้องผมทุกเช้า ตกเย็นก็มานั่งเฝ้าที่ห้องศิลปะ ตลอดระยะเวลาสองสัปดาห์กว่าๆที่ผ่านมา ผมไม่เคยแม้แต่สบตา ไม่เคยคุย เขาแทบไร้ตัวตนในสายตาของผม อยากจะลืมชื่อ ลืมหน้าตา ลืมเรื่องราว ลืมว่าเคยรู้จักกันให้มันรู้แล้วรู้รอดไป
แต่ก็มาเข้าใจตัวเองเหมือนกัน .. ทำไมมันถึงยิ่งจำ .. จำแต่เรื่องที่ทำให้ยิ้ม , เหตุการณ์ที่ดูร้ายแรงในวันนั้น ทำไมในวันนี้มันช่างดูบางเบา แต่สมองก็คอยย้ำภาพวันนั้นให้ชัด เพื่อการแข็งใจไม่ให้ตัวเองอ่อนแอ
“วันนี้น้ำมนต์กลับยังไงเหรอ” หญิงเดินมาถามเมื่อใกล้เวลาเสร็จงานของวันนี้
“คงนั่งวินไปมั้ง”
“ให้พี่เอ็มไปส่งมั๊ย นั่งวินไปหลายบาท”
“ไม่เป็นไรดีกว่า น้ำมนต์เกรงใจ” ที่จริงแล้วผมมีคนคอยทยอยรับส่งผมเยอะพอควรครับ หลังจากที่ขาดนายปีโป้ไป แต่ก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล สมุนของนายปีโป้ทั้งนั้น ที่แวะเวียนคอยมารอส่งผมกลับบ้าน พี่เอ็มนี่บ่อยสุด เพราะรอส่งหญิงด้วย มีพี่โอ๊ต พี่บ่าว พี่เอกบ้าง และที่นอกเหนือจากสมุนของนายปีโป้ก็คงมีแค่คนเดียว .. พี่เดช
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพี่เดชรู้เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับนายปีโป้หรือเปล่า ถึงได้กลับมารอรับผมอีกครั้ง แต่ผมก็ยังไม่เคยได้กลับกับแกหรอกครับ เพราะว่ามีสมุนของนายปีโป้มารับตลอด และได้รับคำสั่งแกมบังคับจากหญิงและช้างน้อยว่า ต้องกลับกับพวกสมุนพวกนี้เท่านั้น
“น้ำมนต์ ขนมกินรองท้องหน่อยสิ” ช้างน้อยส่งซองขนมมาให้ผม ซึ่งก็มีมาทุกวันเช่นกัน และไม่ต้องบอกว่าใครซื้อมาให้ คนที่คุณรู้ว่าใครนั่นแหละ แต่ผมก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ กินบ้างเล็กน้อย เพื่อไม่ให้ช้างน้อยเหน็บผม
“วางไว้ก่อนเลย เรายังไม่หิว” วันนี้ผมเลือกที่จะปฏิเสธไป
“น้องน้ำมนต์ ยังไม่กลับอีกเหรอครับ” เสียงของพี่เดชเดินเข้ามาทักผมในห้องศิลปะครับ พี่แกมักทำแบบนี้บ่อยๆ เมื่อมาถึงก่อนเวลา ที่พวกสมุนนั้นจะมา
“ยังเลยครับพี่เดช ต้องแก้ภาพนิดหน่อยครับ” ผมบอกทั้งที่มือก็ยังถือพู่กันตวัดไปมาอยู่
“ไหนพี่ดูหน่อยซิ” พี่เดชพูดพร้อมกับเดินมาข้างหลังผม
“สวยแล้วนี่ แก้ตรงไหนอีก”
“โห ยังไม่สวยหรอกครับ มันเหมือนขาดมิติไป ยังไม่เหมือนจริง”
“แล้วนี่น้ำมนต์วาดใครเหรอ”
“แม่น้ำมนต์ครับ” ผมบอกไปแล้วยิ้มให้
“สวยจังเลย ว่าแล้วว่าทำไมน้ำมนต์ได้ใครมา”
“ชมว่าน้ำมนต์สวยเหรอครับ”
“เปล่า พี่หมายถึงหน้าตาดีได้แม่มา” ผมคุยกับพี่เดชอีกนิดหน่อย พี่เดชก็บอกว่าจะออกไปรอข้างนอก ผมก็ไม่ว่าอะไร จะไปบอกทำไมว่าไม่ต้องรอ เขาอาจจะไม่ได้รอไปส่งก็ได้ อาจจะรอบอกลา ไม่อยากสำคัญตัวเองให้มากมาย
“น้ำมนต์ มาดูรูปนี้ให้แพรหน่อยสิ” แพรเดินมาสะกิดผมครับ ผมยิ้มให้เธอก่อนจะเดินตามเธอไป
“น้ำมนต์ว่าสีมันอ่อนไปหรือเปล่าอ่ะ แพรว่ามันยังไงๆไม่รู้” ท่าทางของเธอตอนนี้น่ารักดีนะครับผมว่า ผมแอบยิ้มไปกับท่าทีที่เธอไม่มั่นใจ หน้าตาที่ดูฉุนเฉียวกับผลงานของตัวเอง แต่ก็แฝงไปด้วยความรู้สึกภูมิใจอยู่ไม่น้อย
“น้ำมนต์ !!! ยิ้มแบบนี้หมายความว่าอะไร” เธอหันมาดุผมนิดหน่อย ที่ไปยิ้มใส่ผลงานเธอ
“อ๋อเปล่า ไมได้ยิ้มอะไร ก็โอเคแล้วนะ ถ้าแพรชอบไล่สีจากอ่อนไปเข้ม เราว่าแพรลองเพิ่มสีตรงกลางให้เข้มกว่านี้อีกนิด ก็น่าจะดีแล้วนะ” ผมพูดไปยิ้มไป แพรฟังไปทำหน้าดุผมไป
“แค่นั้นเหรอน้ำมนต์ว่า”
“ครับ มันโอเคแล้ว แต่ก็แล้วแต่แพรนะ ศิลปะมันไม่มีข้อจำกัดในการสร้างสรรค์อยู่แล้ว”
“โอเคจ๊ะ ขอบใจน้ำมนต์มาก” เธอยิ้มหวานๆให้ผมอีกครั้ง ไม่รู้สิครับ เวลาที่เห็นแพรตั้งใจทำงานศิลป์ ความสวยความน่ารักในตัวเธอกลับมากขึ้น มากขึ้น ทำให้ผมหลงใหลทุกที ผู้หญิงที่ชื่นชอบผลงานศิลปะนี่มีเยอะนะครับ แต่ผู้หญิงสวยนี่ ผมว่าไม่เท่าไหร่ .. ยกเว้นแต่แพรนี่แหละครับ
“น้ำมนต์ เก็บของยังยะ ชั้นจะกลับแล้ว” เสียงข้องช้างน้อยดังมาจากข้างหลัง อย่างรู้กันว่า ผมต้องห่างๆตัวแพรแล้วละ
“อือๆ เดี๋ยวเก็บแล้ว” ผมตอบกลับไป บางทีผมก็รู้สึกนะครับ ว่าเพื่อนๆของผมก็กลายเป็นสมุนของนายปีโป้ไปหมดแล้ว ไม่ว่าผมจะทำอะไร เดินก้าวไปทางไหน ช้างน้อย หญิงก็คอยจับตา และรายงานข่าวผมไปหมด แต่ทั้งสองคนก็พยายามเอาเรื่องของนายปีโป้มาบอกผมนะครับ ช่วงแรกๆผมไม่อยากฟัง ถึงขั้นห้ามพูด ก็หายไป ช่วงหลังๆสองคนนี้ใช้แผนใหม่ เป็นการคุยกันสองคน แต่มีผมนั่งอยู่ด้วย ผมเลยต้องจำใจรับรู้เรื่องราวของนายปีโป้อย่างเลี่ยงไม่ได้
ผมเดินกลับมามุมตัวเอง เก็บข้าวเก็บของใส่เป้ โดยไม่ลืมที่จะหยิบลูกอมฮาร์ทบีท ที่ช้างน้อยตั้งใจแยกวางไว้ให้ก่อนจะเอาขนมไปแบ่งเพื่อนๆในสาขากิน ไม่มีอะไรหรอกครับ คนให้เขาตั้งใจให้มันมา ตอนนี้ผมมีจนจะเปิดร้านขายได้แล้ว และมันไม่ได้มีแค่ลูกอมอย่างเดียว มันจะมีโน้ตเล็กๆเหน็บอยู่ด้วยต่อกันจนเป็นเรื่องเป็นราว อย่างกับซีรี่ส์เกาหลี ไม่รู้จริงๆว่าเด็กช่างกลคนนั้น จะทำอะไรแบบนี้เป็นด้วย
แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ ว่ามันทำให้ผมยิ้มก่อนนอนได้ทุกคืน ..
“น้ำมนต์” เสียงหญิงร้องทักขึ้นขณะที่เราสามคนกำลังเดินออกมานอกวิทยาลัย และกำลังคุยเรื่องผลงานกันอยู่ ผมหันไปมองหน้าหญิง ก่อนจะมองสายตาหญิงที่มองไปข้างหน้า
“พี่ปีโป้นี่” ช้างน้อยหันไปดูเช่นกัน และพูดยืนยันกับสิ่งที่พบเห็น ที่พวกเราสามคนต้องตกใจ เพราะนายปีโป้ไม่เคยโผล่มาเวลานี้นานแล้ว เกือบสองสัปดาห์แล้วด้วย ส่วนมากก็จะให้พวกสมุนของเค้ามาดักรอผมทั้งนั้น แต่วันนี้กลับเลือกที่จะมาเอง และที่ดูน่าตกใจกว่านั้นคือ พี่เดชที่นั่งบนมอเตอร์ไซค์รออยู่อีกฝั่งหนึ่ง ทั้งสองไมได้คุยกัน แต่ก็ใช้สายตาเขม่นกันจนสังเกตได้ถึงความไม่ถูกชะตากันทั้งสองฝ่าย
“ศึกชิงนายก็คราวนี้ละ” ช้างน้อยพูดออกมาติดตลก แต่ผมกลับไม่มีอารมณ์ขำสักแอะในตอนนี้ ..
“กลับบ้าน .. เดี๋ยวกูไปส่ง” นายปีโป้เดินเข้ามาหาผมและพูดประโยคนั้น เป็นเสียงพูดจากนายปีโป้ที่ผมได้ยินในรอบสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ไม่เข้าใจตัวเอง ว่าทำไมต้องตกใจกับประโยคนั้น และทำไมหัวใจถึงเต้นไม่เป็นจังหวะ แค่คนที่เคยสร้างความไม่พอใจให้กับตัวเอง และยังบอกได้ว่ายังโกรธอยู่กับการกระทำนั้น มาพูดด้วย ..
“ไม่เป็นไร” ไม่รู้ว่าก้อนเนื้อก้อนไหนสั่งงานให้พูดคำนี้ออกไป
“กลับเองได้” ความหยิ่งยโสในสมองของผมนั้น มันชนะความรู้สึกที่หัวใจไปแล้ว
“แล้วใครจะไปส่งน้ำมนต์ละ นี่มันดึกแล้วนะ หญิงไม่ยอมให้น้ำมนต์กลับวินหรอก” หญิงพูดแทรกขึ้นมา
“ใช่ จะให้ชั้นขับไปส่งก็ได้นะ แต่ตอนกลับนั่นสิ ชั้นกลัว” ช้างน้อยเสริม
“เดี๋ยวพี่ไปส่งเอง” แล้วเสียงของอีกคนที่ยืนดูสถานการณ์อยู่ก็ดังขึ้น
“พี่เดช” ผมเอ่ยชื่อนั้นเบาๆ
เอาแล้วไงครับ ผมจะทำไงดีละทีนี้ การกลับบ้านครั้งนี้ ไม่ใช่ง่ายๆอีกแล้วสิ ถ้าเลือกไปกับนายปีโป้ นั้นก็คือการให้อภัยเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อสองสัปดาห์ก่อน แต่ถ้าเลือกไปกับพี่เดชนั่นก็คือการเปิดทางให้ผู้ชายอีกคนเข้ามาจีบผมอีก นี่ผมจะต้องเจอคนเข้ามาจีบอีกกี่คนที่เป็นผู้ชายละเนี่ย
“ฮัลโหลครับยาย” ขอคั่นเวลาตัดสินใจด้วยการรับโทรศัพท์ยายหน่อยแล้วกัน
“กลับยังลูก ดึกแล้วนะ” ยายถามผมมา เสียงเป็นห่วงเป็นใย
“กำลังจะกลับแล้วครับยาย ยายนอนก่อนก็ได้ครับ น้ำมนต์เอากุญแจบ้านมา”
“ยายนอนไม่หลับหรอก ยายเป็นห่วงหนู แล้ววันนี้ใครจะมาส่งเหรอ”
“เอ่อ ..”
“ถ้าพี่ปีโป้มาส่งก็ชวนเขาค้างที่นี่เลยก็ได้นะ ขับกลับไปมันดึกแล้ว”
“เอ่อ .. คือน้ำมนต์กับเค้ายัง ..”
“นี่อย่าบอกยายนะ ว่ายังไม่คุยกันอีก ไม่เอานะน้ำมนต์ ยายไม่ชอบเลยทำตัวแบบนี้ โตๆกันแล้วต้องคุยกัน มีอะไรไม่ชอบไม่พอใจก็เปิดใจคุยกัน ยายบอกหนูแล้วไง ว่าไม่มีการให้อะไร ยิ่งใหญ่เท่าการให้อภัย”
“ครับยาย น้ำมนต์เข้าใจครับ”
“แต่ก็อย่างว่า ยายคงไม่ค่อยเข้าใจวัยรุ่นสมัยนี้ วัยรุ่นสมัยนี้ใช้สมองวัดความรู้สึกกัน ตอนยายสาวๆ ยายใช้ความรู้สึกจากหัวใจทั้งนั้นละ ยังไงก็รีบกลับมาละ ยายจะรอ ไม่งั้นยายนอนไม่หลับ”
“ครับยาย”
แค่วางสายจากยาย ผมก็ได้คำตอบสำหรับคนที่จะไปส่งผมวันนี้แล้วละครับ อย่างที่ยายบอก ว่าไม่มีการให้อะไร ยิ่งใหญ่เท่าการให้อภัย เกิดมาเป็นคนต้องรู้จักคำนี้ ถ้าถามว่าไม่กลัวเจ็บอีกครั้งหรอ ไม่กลัวเป็นเหมือนเดิมเหรอ ผมก็คงบอกได้ว่ากลัว
แต่เจ็บตอนนั้น กับรู้สึกขาดหายอะไรบางอย่างในตอนนี้ มันคงไม่ต่างกันมากนัก
แล้วจะทนรู้สึกแบบนี้ไปทำไมกันละ .. เลิกหยิ่งยโสได้แล้วน้ำมนต์
“น้ำมนต์ เดี๋ยวแพรไปส่งก็ได้นะ .. พ่อแพรมารับ” ยังไม่ทันที่จะให้คำตอบแก่สองตัวเลือกที่ยืนอยู่ตรงหน้า ตัวเลือกที่สามก็เข้ามาอีก
“พอดีพ่อแพรเอารถเก๋งมารับ เดี๋ยวให้พ่อแพรแวะไปส่งน้ำมนต์ก่อนก็ได้นะ”
“เอ่อ ไม่เป็นไรดีกว่าแพร น้ำมนต์มีคนจะไปส่งแล้ว เกรงใจพ่อแพรเปล่าๆ” ผมบอกพร้อมกับยิ้มๆให้กับแพรไป คนที่รายล้อมผมตอนนี้ ดูท่าจะไม่ถูกโฉลกกับแพรเอาเสียเลย เพราะสายตาแต่ละคน ต่างก็จ้องเธออย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“อือ นั้นแพรไปก่อนนะ ค่อยเจอกัน” แพรพูดพร้อมกับโบกมือ
“จะรีบไปไหนยะ รอดูน้ำมนต์เลือกคู่ เอ๊ยย เลือกคนไปส่งก่อนสิ” เสียงช้างน้อยดังขัดขึ้น ทำให้แพรต้องหยุดชะงัก
“แกก็บอกมาสิ ว่าจะให้ใครไปส่ง ชั้นอยากกลับบ้านละนะ ไม่มีเวลามาดูรจนาเลือกคู่นานนะยะ” ช้างน้อยคงรำคาญผมเต็มทีแล้ว ถึงได้เหน็บมาได้เจ็บแสบ และโบราณขนาดนั้น
ผมล้วงกระเป๋าเป้ หยิบซองลูกอมฮาร์ทบีทถุงนั้นขึ้นมา พร้อมกับอ่านข้อความที่แปะไว้
.
.
.
มึงโกรธกู กูรู้ แต่อย่าเกลียดกูนะ .. เพราะกูรัก (ของกู) – วันที่ 1
หลับตาก็คิด ลืมตาก็คิด ทำอะไรก็คิด .. กูรู้ว่ากูผิด แต่กูขอโทษ หายโกรธกูได้แล้วนะ – วันที่ 2
มึงไม่รู้สึกว่าขาดอะไรไปบ้างเหรอ .. กูนะ .. รู้สึกเหมือนจะ “ขาดใจ” ทุกวันเลย มึงรู้มั๊ย - วันที่ 3
กินข้าวบ้างนะเว๊ย ผอมไปเลยนะ .. อย่าคิดแต่งานจนลืมคิดถึงกูละ – วันที่ 4
มึงจะใจร้ายกับผู้ชายอย่างกูไปแล้วนะ .. น้ำมนต์อย่างมึงใครปลุกเสกมาเนี่ย !!! – วันที่ 5
กูมากินน้ำชา แต่กูอยากเห็นหน้าน้ำมนต์ กูให้เพื่อนไปส่ง แต่ก็ก็ส่งใจไปด้วยเหมือนกัน ... เน่าจังเลยวะ – วันที่ 6
ถ้ามึงใจแข็งแบบนี้ เปลี่ยนชื่อเป็นหินมนต์ดีมั๊ย .. แม่งไอ้ใจหิน ทำร้ายนายหัวโป้ได้ลงคอเหรอ มึงอยากตายหรือไงห๊ะ – วันที่ 7
ขอโทษ , ครั้งที่ล้าน ครั้งที่พัน .. ถ้าอยากฟังอีกครั้ง อยากชวนมึงมานั่งฟัง ข้างๆกู .. (เสี่ยววะ .. แต่กูชอบนะ) – วันที่ 8
น้องน้ำมนต์ครับ พี่ปีโป้คิดถึงน้องน้ำมนต์จังเลย .. ถ้ามึงหายโกรธกู กูจะพูดเพราะกับมึง .. ( แต่ไม่สัญญานะว่าทำได้นานมั๊ย ) –วันที่ 9
ถ้าพรุ่งนี้มึงไม่ดีกับกู กูจะไปฟ้องป๊า ว่าลูกเพื่อนป๊าทำร้ายหัวใจกู ... ป๊า ..... หนูเจ็บ ฮือๆๆๆ (กูน่าสงสารละสิ) – วันที่ 10
กูจำหน้ามึงได้ตลอดเวลาเลยนะ .. แต่ที่จำได้ดีกว่า คือหุ่นมึง .. แม่งน่าฟัดวะ .. ( อ่าวเห้ยย ลามกอีกกู) – วันที่ 11
ยิ้มก่อนอ่าน ตาหวานก่อนเปิด .. โบราณวะ นี่กูยังจำมันได้ไงวะ (ปูลู .. พี่คิดถึงน้องนะจ๊ะ) – วันที่ 12
พรุ่งนี้มึงตาย ถ้าไม่ดีกับกู (กูพูดจริง กำลังขัดปืนเลยนะเนี่ย !!) - วันที่ 13
.
.
.
.
ผมล้วงกระเป๋าเป้ หยิบซองลูกอมฮาร์ทบีทถุงนั้นขึ้นมา พร้อมกับอ่านข้อความที่แปะไว้
“วันนี้กูจะมารับนะ .. ถ้าไปกินลูกอม ถ้าไม่ไปทิ้งมันซะ แต่ถ้าอยากบอกรัก ก็ให้กูหอมหนึ่งที (วอนอยากตายแล้วไงกู) !!!”
ผมอ่านข้อความที่แปะไว้หลังถุงลูกอมแล้วยิ้มออกมาเล็กน้อย พลันให้นึกถึงข้อความที่ผ่านมาของนายปีโป้ ไม่บอกก็รู้ว่าไม่เคยจะง้อใคร เพราะที่ทำมามันออกแนวข่มขู่ เรียกร้องความสนใจทั้งนั้น เพียงแค่มีคำว่าขอโทษบ้าง และใส่ความจริงใจพร้อมกับตัวตนของเค้ามาก็เท่านั้น
สายตาของทุกคนกำลังจับจ้องมาที่ผม บอกตามตรงไม่ชอบอารมณ์ตอนนี้เลย แต่ผมว่าการหลีกหนีปัญหา การสร้างกำแพงกั้นความรู้สึกของตัวเอง ไม่เคยทำให้ใครมีความสุขเลย ทั้งคนที่อยู่ในกำแพง และคนที่รอคอยอยู่ข้างนอก ต่อให้พยายามทำความเข้าใจโลกส่วนตัวของตัวเอง รอใครอีกคนเข้ามาไม่ว่าช่องทางไหนก็ตาม
แต่ใครกันละ ที่มันจะอยู่ในโลกของคนอื่นได้ตลอดเวลา เราต้องออกจากกำแพงของเรา และก้าวไปในกำแพงของคนอื่นบ้าง
และถ้าวันใดวันหนึ่งคิดว่าเราทั้งสองรู้จักโลกภายในกำแพงของกันและกันมากขึ้นแล้ว วันนั้นเราก็พร้อมจะช่วยกันทุบกำแพงนั้นลง ..
“พี่เดชครับ” ผมเรียกชื่อนั้น เล่นเอาคนอื่นๆมองมาทางผมเป็นทางเดียว คงมีแต่พี่เดชที่มองมาพร้อมกับรอยยิ้ม
“ครับ น้องน้ำมนต์” พี่แกรีบขานออกมาเสียงสั่น
“ขอบคุณพี่เดชมากนะครับ แต่ทางไปบ้านน้ำมนต์มันไกล ให้คนที่คุ้นเส้นทางไปส่งน้ำมนต์ดีกว่าครับ” ผมตอบพร้อมกับยิ้มไปให้ ประโยคนั้นของผมไม่ใช่แค่ประโยคบอกว่า บ้านผมไกลเท่านั้น แต่มันยังบอกอะไรพี่เดชหลายต่อหลายอย่างไปในตัว
ผมหันมามองหน้าช้างน้อย หญิง ที่ยังทำหน้างงๆ ปนยิ้มๆกับสิ่งที่เห็น ก่อนที่จะหันไปมองหน้าคนบางคนอย่างใจเต้นระรัว พร้อมกับมือที่แกะถุงและแกะลูกอม พร้อมกับเอามันเข้าปาก รอยยิ้มของคนตรงหน้าเผยให้เห็นชัดอีกครั้ง หลังจากที่ไม่ได้เห็นมาแสนนาน ..
“พร้อมจะไปส่งเราหรือยัง ?”
โอ้เย้ สงสารคนอ่าน ขี้คร้านจะดราม่า 5555