[ กลรัก ... เปื้อนสี ] แล้วนะครับ !!!!
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [ กลรัก ... เปื้อนสี ] แล้วนะครับ !!!!  (อ่าน 276436 ครั้ง)

lungkhao

  • บุคคลทั่วไป
ตอนที่ 18


ภายใต้บรรยากาศอึมครึม ณ บ้านของผม นายปีโป้กล่าวทักทายยายผมพอเป็นพิธี ก่อนที่จะเดินหลีกหนีไปหาที่เงียบๆนั่ง ผมปล่อยให้เขาคิดอะไรเรื่อยเปื่อยตามประสาเขา  เพราะผมก็มีเรื่องให้คิดไม่แพ้กัน ..

ผมคิดผิดคิดถูกนะ ที่พูดเรื่องวันนี้ออกไป เรื่องที่ผมสงสัยจากแววตาของพี่โอ๊ต และการกระทำอะไรหลายต่อหลายอย่าง ตอนแรกแอบคิดว่าเราคิดไปเอง แต่เมื่อพูดออกไป นายปีโป้เข้าใจ นั่นก็หมายความว่า มันคือเรื่องจริง

อีกอย่างเรื่องมันก็คงไม่จบสวยงามอย่างที่เราสามคนคิด ถึงแม้นายปีโป้จะทำเป็นเพิกเฉย แต่ตอนนี้สมองของเค้าคงคิดหนักน่าดู ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรไปจากผมเลย










“นี่นาย  คิดมากเรื่องพี่โอ๊ตอยู่เหรอ” ผมอดไม่ได้ที่จะเข้าไปนั่งคุยด้วย ในเมื่อนายปีโป้ลากผมเข้ามาเกี่ยวข้องแบบมัดมือชกแล้ว ผมก็อยากให้เรื่องของมันจบอย่างสวยงาม ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม

“เปล่าหรอก กูจะคิดมากเรื่องไร้สาระแบบนั้นทำไม”

“ทำเป็นบางดี ร้อยวันพันปีไม่เห็นจะเคยซึมขนาดนี้”

“มึงสนใจกูด้วยเหรอ” นายปีโป้หันมาถามหน้าตาเฉย จนผมงงว่ามันจะเล่นหรือจะจริงจัง

“เพื่อนกัน ก็ต้องแคร์ความรู้สึกกันดิ” ผมตอบพร้อมกับยิ้มให้

“เพื่อนเหรอ ?” นายปีโป้ทวนคำพูด

“แล้วเพื่อนอย่างกู ต้องแคร์ความรู้สึกไอ้โอ๊ตมันเปล่าวะ” และพูดต่อ

“เราว่านะ ไม่มีอะไรที่ยากเกินกว่าจะเข้าใจ เรายังเข้าใจความรู้สึกที่นายมีต่อเราเลย ถึงแม้ว่าเราจะไม่ชอบความรู้สึกนั้น แต่เราก็ไม่เคยปฎิเสธมัน เพราะเราเชื่อ ว่ายังไงเราก็เป็นเรา ไม่มีใครเปลี่ยนความคิดใครได้ มีแค่ตัวของเราที่รู้ใจของตัวเอง” ผมหันไปบอกนายปีโป้

“มันก็ไม่ต่างอะไรจากกรณีนาย ที่พี่โอ๊ตรู้สึกดีๆกับนาย นายก็แค่รับความรู้สึกดีๆนั้นไว้ วางตัวในแบบของนาย แล้วก็ค่อยๆทำให้เพื่อนนายเข้าใจว่า ยังไงเราก็เป็นได้แค่เพื่อน ถ้ายังจะดันทุรังต่อไป ก็เจ็บฝ่ายเดียว”

“หมายถึงกูด้วยใช่มั๊ย ที่จะเจ็บเพราะมึง” นายปีโป้หันมาทำหน้าเศร้า

“ไม่มีใครเจ็บเพราะใครหรอก ที่เจ็บอ่ะ เพราะตัวเองทั้งนั้น” ผมตอบไปพร้อมกับยิ้มๆ

“มึงนี่ ชอบพูดอะไรให้งงๆนะ”

“แล้วเข้าใจป่ะละ”

“เข้าใจดิ กูฉลาดนะ กับเรื่องแบบนี้” ยังไม่หยุดโม้




“กูแค่สับสนวะ” นายปีโป้พูดออกมาลอยๆ เหมือนไม่จบประโยค ก่อนจะมองออกไปข้างหน้า ทีเป็นลานกว้างๆ

“สับสนว่าทำไมกูถึงชอบมึง ทั้งที่กูไม่เคยเป็นคนแบบนี้ ทั้งที่มึงก็โคตรจะเย็นชาใส่กู จีบก็โคตรยาก ถ้าเป็นคนอื่นคงเสร็จกูไปนานละ” ผมละเบื่อประโยคขี้โม้ของมันจริงๆ

“และกูก็สับสน ว่าความรู้สึกที่เป็นอยู่ตอนนี้คือความรู้สึกอะไร เหมือนกูกำลังทำอะไรผิด กูเหมือนกับกูทำร้ายความรู้สึกไอ้โอ๊ต”
“รู้สึกผิดว่างั้น” ผมถามสวนไป

“ก็ไม่เชิง แต่กูว่าถ้าเป็นไปได้ กูอยากย้อนไปแก้ไขให้มันดีกว่านี้ กูคงอารมณ์ค้างจากคืนก่อน ที่มันเมา กูรู้ว่ามันเมาเพราะกู กูไม่พอใจที่มันแสดงความรู้สึกของมันมากเกินไป มึงเข้าใจกูป่ะ” ผมไม่เคยเห็นนายปีโป้เครียดเท่านี้มาก่อนเลยนะครับ จริงๆ

“เข้าใจ เราเข้าใจ เรารู้ว่านายแคร์เพื่อน ในเมื่อย้อนกลับไปแก้ไม่ได้ ก็ทำต่อไปให้ดีแล้วกัน” ผมก็ไม่ใช่คนที่ปลอบ หรือให้คำแนะนำใครได้ดีนัก เพราะแค่เรื่องของตัวเอง ก็ไม่เคยจะคิดจะแก้ไข ปล่อยให้มันเป็นไปตามทางของมัน




เรื่องบางเรื่อง ถ้ามันจะเกิด ถ้ามันจะเปลี่ยน ไม่มีใครไปห้ามมันได้หรอก คงเหมือนกับที่ผมไม่เคยห้ามไม่ให้นายปีโป้มาแสดงท่าทีจีบผม ไม่เคยห้ามความรู้สึกของคนอื่นที่มีให้ผม ..





อาจเป็นเพราะ ...

“สำหรับเรานะ มีคนที่รัก ก็ดีกว่ามีคนที่เกลียด นายว่าป่ะ” ผมพูดพร้อมกับมองหน้าคนที่กำลังหันมาจ้องตาของผม สายตาที่ดูจะอ่อนไหว เปลี่ยนไปตามอารมณ์เวลา จนผมไม่รู้เลยว่าเขาคิดอะไรอยู่

“สำหรับกู มึงก็คิดเช่นนั้นหรือ” สีหน้า สายตาและคำถามนั้น ทำให้ผมต้องหลีกเลี่ยงการจ้องมอง

“ปล่อยให้มันเป็นไปตามทางของมันเถอะ เราตอบใครไม่ได้หรอก” ผมบอก พร้อมกับมองไปข้างหน้า อาจเป็นทางเดียวกับที่นายปีโป้เคยมองก็เป็นได้






“ฮัลโหล” เสียงมือถือของนายปีโป้ดังขึ้นครู่หนึ่ง ก่อนจะได้ยินเสียงของนายปีโป้รับ ผมหันหน้ามามองนิดหน่อย ก่อนจะหันกลับไปอีก

“อยู่บ้านน้ำมนต์ มึงมีไร”

“เอ๊ย ทำไมวะ”

“เหี้ย ทำไมต้องให้กูไปด้วย พวกมึงก็อยู่กันเยอะแยะ”

“เพราะกูเนี่ยนะ ?”

“เออๆ เดี๋ยวกูไป รออยู่นั่นแหละ”

“เออๆ”




บทสนทนาระหว่างนายปีโป้กับปลายสายจบลง ใจความที่ผมเข้าใจ คือต้องมีเรื่องอะไรสักอย่าง แล้วนายปีโป้ต้องกลับไปหาพวกนั้นตอนนี้

“ยายมึงอยู่ไหน” นายปีโป้ถามผม

“อยู่บนบ้าน มีอะไรเหรอ” ผมบอก คงอยากจะลาก่อนกลับ

“กูจะขอยายมึง พามึงไปนอนด้วย”

“หา ไม่เอาอ่ะ”

“เดี๋ยวกูมา ไปบอกยายมึงก่อน”  นายปีโป้หาได้สนใจคำพูดของผมไม่ มันวิ่งขึ้นไปข้างบนในทันที



“เคยฟังกันบ้างป่ะเนี่ย  จะมาก็บังคับให้พามา พอจะไปก็บังคับให้ไปด้วย ประสาทป่ะเนี่ย” ผมบ่นคนเดียว พร้อมกับเดินตามขึ้นบ้านไป เพื่อจะบอกว่า ผมไม่ไปกับมันหรอก




“ไปกันดีๆนะลูก ดึกแล้ว ขับรถกันระวังๆ ฝากดูแลเพื่อนด้วยนะลูกนะ” เสียงของยายกำลังพูดกับนายปีโป้

“ขอบคุณยายมากครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้โป้พาน้ำมนต์มาส่งนะครับ”

“อะไรกันยาย น้ำมนต์ไม่ไปนะ น้ำมนต์จะนอนเป็นเพื่อนยาย” ผมรีบเดินและพูดแทรกเข้าไป

“อะไรกันลูก ไปเป็นเพื่อนพี่ปีโป้เค้าหน่อย ให้เค้าขับรถไปคนเดียวมันอันตราย”

“แต่ ..”

“โป้ว่าถ้าน้ำมนต์ไม่เต็มใจก็ไม่เป็นไรครับ” นายปีโป้พูดกับยาย ด้วยสายตาเศร้าสร้อย มันช่างขัดกับความจริงที่นายจะพยายามบังคับให้เราไปด้วยนัก

“ไมได้ๆน้ำมนต์ พี่เค้าอุตส่าห์มาส่งเรา ทำไมน้ำมนต์เป็นคนไม่มีน้ำใจแบบนี้ละ” โดนยายดุจนได้ผม

“แล้วพี่เค้าก็มีเรื่องต้องกลับไปจัดการ ไปด้วยกัน จะได้ช่วยกันทำ ใช่มั๊ยจ๊ะ ลูกปีโป้” และดูท่ายายจะหลงรักเด็กช่างจอมเจ้าเล่ห์คนนี้แล้ว

“ไหน น้องน้ำมนต์จะเอาอะไรไปบ้าง เดี๋ยวพี่ปีโป้จะช่วยเก็บ ไปเก็บเสื้อผ้ากัน” ถ้าผมจะหมั่นไส้นายปีโป้ตอนนี้ จะแปลกไหม ก็ดูท่าทางอมยิ้มแบบสมน้ำหน้าผม คำพูดคำจาที่แตกต่างจากความเป็นจริงนั่นสิ 





มันน่าโมโหจริงๆ   หึหึ












“ขึ้นมาสิ” นายปีโป้บอกผมเมื่อเราเก็บของเรียบร้อย และกำลังจะออกจากบ้านไป

“นายมันเจ้าเล่ห์” ผมบอกไป

“ถ้าไม่ทำแบบนี้ เมื่อไหร่กูจะได้มึงมาเป็นเมีย”

“นายพูดว่าอะไรนะ”

“กูรู้มึงได้ยินชัดแล้ว รีบขึ้นมา กูรีบ”  มันหันมาพูดจนผมสะอึก จนผมต้องรีบซ้อนท้าย และนายปีโป้ก็ออกตัวรถด้วยความไว จนผมต้องเอามือไปดึงเสื้อมันไว้






รถชะลอตัวช้าลง เมื่อเราขับมาถึงสี่แยกไฟแดงแยกใหญ่ก่อนเข้าเมือง

“เอามือมานี่” นายปีโป้ดึงมือข้างหนึ่งของผมไปโอบไว้กับเอวมัน

“ทำไรอ่ะ”

“กอดกูไว้ดิ จะได้ไม่ตก”

“ไม่เอาอ่ะ จับเสื้อก็ได้”

“ไม่ได้ เดี๋ยวเสื้อกูยับ”

“งั้นไม่จับแล้ว”

“ไม่ได้ เดี๋ยวมึงตกนะ”

“ก็ขับช้าๆสิ”

“ไม่ได้ เดี๋ยวไปไม่ทัน เพื่อนมันมีเรื่อง  มึงอย่าพูดมากได้มั๊ย กอดเอวกูไว้ อย่าเล่นตัวมากนะ” มันหันมาสั่งก่อนที่จะสัญญาณไฟจะเปลี่ยนเป็นสีเขียว และตามมาด้วยแรงกระชากในการออกตัวของมอไซค์ จนผมต้องผวากอดเอวนายปีโป้ไว้ทั้งสองมือ





จนไม่ถึงห้านาที รถก็มาจอดอยู่หน้าร้านเหล้า ย่านเที่ยวกลางคืนชื่อดัง มองเข้าไปในร้านเห็นพี่เอ็มกับพี่โอ๊ตกำลังสังสรรค์กันอยู่  ผมสังเกตไปเห็นพี่โอ๊ตที่มองมาทางนี้นัยน์ตาเศร้า สภาพร่างกายเหมือนคนเมามายได้เต็มที่

“ไป เข้าไปข้างในกัน” นายปีโป้หันมาบอกผม

“ไม่เอาอ่ะ นายเข้าไปสนุกกับเพื่อนเถอะ เรารอตรงนี้ดีกว่า”

“ทำไมอีกละ หรือว่าเป็นเด็กดี เข้าร้านแบบนี้ไม่ได้”

“ไม่ใช่ แต่ ..” ผมพูดพร้อมกับมองไปทางพี่โอ๊ต ที่ตอนนี้เค้าก็กำลังมองมาที่ผมทั้งสองคน

“ถ้ามึงไม่เข้าไป แล้วกูจะเอามึงมาให้เปลืองน้ำมันรถทำไม” นายปีโป้หันไปมองที่พี่โอ๊ตเหมือนกันก่อนที่จะพูดกับผม

“แต่เราไม่อยากทำร้ายความรู้สึกพี่เค้า”

“มึงไม่ได้ทำอะไรนี่”

“ถึงนายทำ ก็เหมือนเราทำ”

“มันทำตัวของมันเองต่างหาก  เข้ามา !!!” นายปีโป้พูดพร้อมกับดึงมือผมเข้าไป ผมพยายามสะบัดมือ แต่ก็ไม่หลุด






“มาแล้วเหรอไอ้ตัวดี” พี่เอ็มทักขึ้นมา ผมยิ้มให้กับพี่เอ็มเล็กน้อย พี่แกก็ยิ้มมาให้ผมเช่นเดียวกัน ก่อนที่นายปีโป้จะดึงแขนผมลงไปนั่งใกล้ๆมัน

“เป็นไรอีกละไอ้โอ๊ตมึง อกหักเหรอวะ” นายปีโป้หันไปคุยกับพี่โอ๊ต โดยที่มีผมนั่งคั่นกลาง

“อกหักเหี้ยไรมึง กูยังไม่เคยจีบใครซะหน่อย” พี่โอ๊ตตอบกลับมาแบบเมาๆ

“ก็นั่นดิ กูก็เห็นอยู่ว่ามึงไม่เคยจีบใคร จะอกหักได้ไงวะ” นายปีโป้พูดไป พร้อมกับชงเหล้าให้ตัวเองไป ก่อนจะยกซดเมื่อพูดเสร็จ บรรยากาศช่างอึมครึมนัก





“พวกมึงสองคนเลิกเล่นละครกันได้แล้ว มีไรก็พูดกันตรงๆ” พี่เอ็มเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาอีกครั้ง

“น้องน้ำมนต์ ออกไปสูดอากาศกับพี่หน่อยมั๊ย” พี่เอ็มหันมาชวนผม ซึ่งผมรู้ดีว่านั่นคือการเปิดโอกาสให้สองคนนี้คุยกัน  ผมจึงทำท่าจะลุก

“ไม่ต้อง!!! มึงนั่งกับกูตรงนี้” นายปีโป้พูดห้าม พร้อมกับดึงมือผมไว้

“เราว่านี่มันคือเรื่องของนายกับพี่โอ๊ต  อย่าดึงเราไปเกี่ยวข้องด้วยเลย คนที่เจ็บเพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรา” ผมพูดพร้อมกับเอามืออีกข้างเดินออกไป โดยที่มีพี่เอ็มเดินตามมา










“พี่เอ็มเมายังครับ” ผมถามขึ้น เพื่ออยากหาเรื่องคุย และไม่อยากสนใจประเด็นของสองคนนั้น

“ยังเลยครับ น้องน้ำมนต์ละ อยากดื่มอะไรเย็นๆมั๊ย”

“ไม่ดีกว่าครับ น้ำมนต์ไม่ค่อยถูกกับแอลกฮฮอล์” ผมปฎิเสธไป

“เอ่อ น้ำมนต์ พี่ถามอะไรหน่อยดิ” พี่เอ็มเริ่มเปลี่ยนจากหน้าที่เปื้อนยิ้ม มาดูจริงจังขึ้น

“อะไรเหรอครับ”

“น้องน้ำมนต์กับไอ้โป้ เอ่อ ยังไงดีละ ..” พี่เอ็มอ้ำอึ้งเหมือนไม่ค่อยกล้าถาม

“คือมันได้น้องน้ำมนต์แล้วยัง”  ผมอึ้งกับคำถามของพี่เอ็ม ที่ไม่คิดว่าจะถามได้ตรงไปตรงมาขนาดนั้น  นี่ขนาดเรียนด้านศิลป์นะคัรบ ทำไมถึงไม่มีวาทศิลป์เลยนะ ถามมาอย่างกับเด็กช่าง

“ไม่ต้องตอบก็ได้ครับ เอาเป็นว่าพี่รู้แล้ว” พี่เอ็มพุดพร้อมยิ้มๆ

“เอ๊ย ไม่อย่างที่พี่คิดนะครับ เราเป็นแค่เพื่อน เป็นแค่พี่น้องกัน น้ำมนต์ไม่เคยคิดเกินกว่านั้น และก็ยังไม่เคยเกิดเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น” ผมบอกไป

“จริงอ่ะ ?”

“จริงครับ”

“อืม แล้วเราคิดยังไงกับเพื่อนพี่บ้างละ” เอ่อ ไม่คิดว่าการออกมาสูดอากาศหายใจกับพี่เอ็ม กลับรู้สึกเหมือนกำลังจะขาดหายใจยังไงก็ไม่รู้




“ก็เหมือนที่บอกไปนั่นแหละครับ เพื่อน พี่น้อง”

“แค่นี้ ?”

“ครับ”

“อืม แต่พี่ว่าไอ้โป้มันชอบน้องจริงๆนะ มันไม่เคยทำอะไรให้ใครขนาดนี้เลยอ่ะ” พี่เอ็มพูดลอยๆออกมา แต่เหมือนอยากให้ผมรับรู้

“เหรอครับ” ผมตอบไปสั้นๆ

“พี่รู้ว่าน้องน้ำมนต์ไม่เคยมีผู้ชายมาจีบ เลยยากที่จะเข้าใจความรู้สึก แต่ถ้าวันไหนน้องน้ำมนต์เข้าใจความรู้สึกตัวเอง วันนั้นค่อยเริ่มต้น ก็ยังไม่สาย”




พี่เอ็มพูดได้แตกต่างจากคำถามที่เคยถาม ประโยคที่ผมเคยคิดว่าแกไม่มีวาทศิลป์ไม่เหมาะกับการเป็นเด็กเรียนศิลป์ก็คงต้องเอาปากกาสีขีดทับไป ..


ผมเข้าใจในคำพูดนั้นของพี่เอ็มดี .. ผมไม่เคยปิดกั้นความรู้สึกของตัวเอง และไม่เคยปิดกั้นคนอื่น ...




สักวันหนึ่ง เมื่อประตูหัวใจของผมเปิดได้กว้างพอ และคนที่เข้ามาในหัวใจผมนั้นมีสิทธิ์จับจองพื้นที่มากที่สุด คนๆนั้นแหละมั้ง ที่ผมจะเริ่มต้นด้วย ..







“ไอ้เอ็ม .. ไปดูเพื่อนมึงหน่อย กูกลับละ”

ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
โอ๊ตเอ้ยยยย คนบางคนมันเหมาะกับการเป็นแค่เพื่อนกันเน้อ

ออฟไลน์ LalaBam

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2864
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +227/-2
หาผู้ชายดีๆที่สามารถดูแลโอ๊ตได้ให้โอ๊ตสักคนสิ

Crossley

  • บุคคลทั่วไป
เราว่าโอ้ตเขาเคลียตัวเองได้นะ
มีแต่นายโป้เนี่ยแหละทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่
เจ็บกว่าเดิมอีก  :เฮ้อ:

ออฟไลน์ เฉาก๊วย

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +251/-6
เซ็งโป้ เจ้ากี้เจ้าการไปซะทุกเรื่อง  :เฮ้อ:

ออฟไลน์ Pigstar

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
พี่เอ็ม พูดได้กินใจ

ผมมากเลยพี่ สุดยอด  o13

ออฟไลน์ roseen

  • เก็บความทรงจำที่ดีๆของวันวาน เพราะมันคือกำลังใจของวันนี้
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8646
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +947/-16
หุๆๆพี่เอ็มน่าสน

ออฟไลน์ ต่ายน้อย

  • กระต่ายน้อยลอยคอ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 816
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-3
    • http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=27719.0
โป้เอ๊ย~ เฮ้อ  อ่านแล้วอึมครึมเหมือนเดิม  แต่ยังติดตามครับ

yayee2

  • บุคคลทั่วไป
สงสารโอ๊ตจัง เพื่อนแอบรักเพื่อน แล้วเพื่อนมันก็รู้
แต่เพื่อนมันไม่มีใจให้เลยเนี่ย มันสุดแสนช้ำนะ
แล้วก็เข้าใจปีโป้มันด้วย ไม่ได้รักแบบนั้นนี่ จะให้ทำไง เรื่องของหัวใจใครไปสั่งได้ล่ะ

ออฟไลน์ changnoy

  • i ❤ ChangnoY
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 502
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
    • FB
แว๊กกกกกกกกกกกกกกกก ดราม่าไปแล้วนะ ขอสดใสร่าเริงบ้างสักตอนสองตอนสิ อิอิ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






lungkhao

  • บุคคลทั่วไป
ตอนที่ 19


“ไอ้เอ็ม .. ไปดูเพื่อนมึงหน่อย กูกลับละ”  ผมบอกไอ้เอ็มในขณะที่กำลังเดินออกนอกร้าน และเดินมาที่น้ำมนต์ พร้อมกับจับมือเดินกลับไปที่รถ

“กลับแล้วเหรอวะ” ไอ้เอ็มตะโกนถามผมมา

“เคลียร์เสร็จคนนึงแล้ว ยังเหลืออีกคนนึง กูอยากไปเคลียร์ที่ห้อง” ผมตะโกนบอก โดนไมได้หันหลังไปมอง



ผมไม่ใช่คนดีนัก ออกจะเลวซะด้วยซ้ำ ผมไม่ใช่คนที่สมบูรณ์แบบ ผมขาดในบางอย่าง และเกินในบางเรื่อง ผมเป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง อยากได้อะไรต้องได้ และไม่เคยจะต้องแคร์ความรู้สึกของใครมากนัก แต่ก็หาใช่ว่าผมจะดื้อรั้นหรืออันตพาลเป็นอย่างเดียว นอกจากชีวิตของพ่อแม่แล้ว ไม่มีชีวิตใครสำคัญไปกว่าเพื่อนของผมอีกแล้ว


ไม่ใช่ว่าผมเป็นเด็กช่างแล้วจะรักเพื่อนเป็นธรรมเนียม แต่เพราะมีเพื่อน จึงมีไอ้ปีโป้ มีนายหัวโป้อย่างทุกวันนี้ .. ไม่มีทางเสียหรอก ที่ผมจะเสียเพื่อนสักคนนึงไป เพราะความไม่เข้าใจกัน .. ไม่มีทางเสียหรอก

.

.

.

.

.


“ไงมึง เศร้าเลยแม่ง หมดคราบเด็กช่างเลย” ผมทักไอ้โอ๊ต ซึ่งตอนนี้น้ำมนต์และไอ้เอ็มทิ้งผมให้อยู่กับมันแค่สองต่อสอง เปิดทางจังเลยนะ

“เศร้าเหี้ยไรมึง กูแค่อยากกินเหล้าย้อมใจ” มันตอบผมมายิ้มๆ เหมือนพยายามฝืนสุดชีวิต

“ยังจะปากแข็งอีก มีไรก็พูดมา เพื่อนกัน ต้องไม่ปิดบังกันเว้ย” ผมบอกมัน พร้อมกับหันหน้าไปมองมันอย่างจริงจัง

“ ...” มันมองหน้าผมกลับ แต่ไม่ได้พูดจาอะไร ก่อนจะยกแก้วเหล้าที่เพิ่งชงเสร็จใหม่ๆ จัดเข้าปากหมดแก้ว

“อ้าว ต้องกินให้เมาก่อนใช่มั๊ย ถึงจะกล้าพูด .. ”

“กูชอบมึง”  ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบ มันก็แทรกเข้ามา เล่นเอาผมไปไม่ถูกเลย เวลาจะตรงก็เล่นซะตรงดิ่งเลยนะมึง

“กูชอบมึงนะไอ้โป้ กูชอบมึงมากกว่าคำว่าเพื่อน มึงเข้าใจกูมั๊ย ว่ากูรู้สึกอย่างไร” ผมยิ้มให้กับคำพูดเหล่านั้น แต่ก็ยังไม่มีคำพูดใดออกจากปากผม

“กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดขึ้นตอนไหน กูไม่เคยมอง ไม่เคยสนใจผู้ชายคนใด เมื่อก่อนกูก็ชอบผู้หญิง ตอนนี้กูก็ชอบผู้หญิงนะ แต่ที่หนึ่งของกูก็ยังเป็นมึง” มันพูดพร้อมกับทอดสายตาไปข้างหน้า เพื่อให้บทสนทนาระหว่างเราสองคนดูเบาๆขึ้น

“มึงมันมีอิทธิพลสำหรับกู ไม่ว่ามึงจะเป็น จะทำ จะชอบใคร กูก็อยากช่วย อยากดูแล อยากอยู่ใกล้มึง เมื่อก่อนกูบอกตัวเองว่า แค่กูได้อยู่ใกล้ แค่กูได้เป็นคนที่สนิทกับมึงที่สุดแค่นั้นกูก็พอใจ แต่นานวันเข้า กูกลับอยากได้เยอะกว่านั้น อยากได้ความรักจากมึงบ้าง ยิ่งมึงชอบน้องน้ำมนต์ ยิ่งทำให้กูมีความหวังว่ามึงจะหันมาชอบผู้ชายอย่างกูบ้าง” มันพูดมาถึงตรงนี้แล้วหยุดนิ่ง

“กูขอโทษนะ ขอโทษจริงๆ” มันหันหน้ามาพูดกับผม นัยน์ตาของมันมีน้ำตาซึมๆออกมา  ทำให้ผมที่นั่งยิ้มให้กับความซื่อของเพื่อนที่อยู่ข้างกายผมอย่างกับฝาแฝดคนนี้ น้ำตาซึมตามมันแบบไม่รู้ตัว

“ขอบใจวะไอ้โอ๊ต ขอบใจมึงจริงๆ” ผมโน้มตัวไปดึงไอ้โอ๊ตมากอดไว้

“ขอบใจวะ ที่รู้สึกดีกับกู แต่มึงก็รู้ใช่มั๊ย ว่ากูรับความรู้สึกดีได้แค่ในระดับเพื่อน” ผมพูดพร้อมกับตบบ่ามัน ก่อนจะ เลิกกอด แต่ยังคงจับบ่ามันทั้งสองข้างไว้


“กูรู้ว่าที่มึงบอกกูวันนี้ มึงไม่ได้ต้องการให้กูรักมึง หรือเปลี่ยนสถานะกับมึง แต่มึงต้องการแค่อยากให้กูรู้ เพราะมึงอึดอัด กูพูดถูกใช่มั๊ย” ผมถามมัน   ไอ้โอ๊ตพยักหน้าให้กับผม


“กูรับรู้แล้ว ต่อไปมึงก็ต้องลดความหวังดีที่มีต่อกูให้น้อยลงบ้าง เก็บไว้ให้คนอื่น หรือไว้ให้ตัวเองให้เยอะๆ กูก็จะดูแลตัวกูเองบ้างแล้วเหมือนกัน กูคงติดนิสัยที่มีมึงข้างกายจนเหลิงไปละ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำได้หรือเปล่า แต่มึงกับกูต้องลอง โอเคมั๊ย” ผมพูดแล้วยิ้มให้กับมัน ตอนนี้แววตาของไอ้โอ๊ตดูมีชีวิตชีวาขึ้น ถึงจะมีน้ำตาคลอๆอยู่ก็ตาม


“กูไม่อยากเสียเพื่อนดีๆอย่างมึงไป ไม่ว่ายังไงเพื่อนกูคือคนสำคัญในชีวิตกู ในเมื่อเราเจอทางตัน สำหรับกู กูไม่เลือกวิธีพังกำแพงหรอกนะ  ยังไงซะมันก็สร้างมาก่อนที่กูจะมาเจอมัน มันคงมีค่าในตัวของมัน แต่กูกับมึงจะต้องช่วยกันปีนข้ามกำแพงนั้นให้ได้ ไม่ว่ามันจะสูงเท่าไหร่ มึงกับกูจะปากกัดตีนถีบ เหยียบบ่า ขี้คอกันไป ยังไงเราสองคนก็ต้องข้ามกำแพงที่เป็นทางตันนั้นได้ มึงเข้าใจกูใช่มั๊ย”  ผมพูดมาซะยืดยาว แอบยิ้มภูมิใจที่ตัวเองคิดอะไรเป็นปรัชญาแบบนี้กับเค้าได้

“มึงพูดนี่ ไม่สงสารคนเมาเลยนะ ต้องมาประมวลผลกับคำพูดหรูๆมึงอีก” ไอ้โอ๊ตบอกผมมายิ้มๆ

“อ่ะโด่ มึงอ่ะ ทำกูเสียเซลฟ์เลย กูอุตส่าห์จะทำซึ้ง”

“เออ กูซึ้ง และกูก็เข้าใจ ยังไงคนนั้นของมึงก็ไม่ใช่กู”

“ใช่สิ มึงคือเพื่อนรักกู”

“เออ กูมันก็แค่เพื่อนรัก” มันพูดมาแบบงอนๆ แต่หน้าตาก็ยังยิ้มๆ

“ทำไมวะสัด มึงอยากเสียตูดให้กูเหรอ” ผมพูดไปพร้อมกับเอามือไปตีตูดมันเบาๆ

“แสด อย่ามายุ่งกับบั้นท้ายกูนะเว้ย กูต่างหากละ ที่จะจัดการกับตูดมึง”

“หยุดเลยมึง หยุดเลย ฝันไปสิบปีแสงเลย กูไม่มีวันเสียทวารให้ใครแน่”

“ฮ่าๆๆ นายหัวโป้ขี้เก็กเอ๊ย”  ไอ้โอ๊ตหัวเราะได้แล้วครับ ถึงเสียงหัวเราะจะแค่นๆไปบ้าง แต่อย่างน้อยก็ไม่ใช่เสียงร้องไห้ คาบน้ำตาที่ไหลมา ค่อยๆซึมหายไปกับการระเหย ผมยิ้มให้กับเพื่อนคนนี้อีกครั้ง

“ขอบใจนะที่พูดกับกูตรงๆ และกูก็ต้องขอโทษมึงด้วยนะ ที่ทำอะไรไร้สาระไปเมื่อตอนเย็น ให้มึงต้องเจ็บใจ” ผมบอกมัน ก่อนจะยื่นมือไปขยี้หัวมัน

“หยุดเลยมึง กูไม่ใช่เด็กมึง อย่าทำแบบนี้ เดี๋ยวกูมีความหวังขึ้นอีก” ไอ้โอ๊ตจับมือผมออก ก่อนจะพูดจาเสียงดัง

“ทำหวงนะ แสดดด” ผมพูดบอกมัน แต่ก็ยังขยี้เหมือนเดิม แต่คราวนี้มันไม่ได้ปัดมือแต่อย่างใด มีแต่รอยยิ้มที่ยิ้มเต็มปากให้ผม

“กูกลับละนะ อย่ากินให้เมามากละ อย่าไปให้ใครตบหน้าอีก และอย่าไปมีเรื่องกับใครเค้า” ผมยืนพร้อมกับเอานิ้วชี้สั่งมัน

“อย่างหลังอ่ะ บอกตัวเองก่อนเถอะ” มันสวนผมมา ผมยิ้มให้มัน

“อย่ามาปากดี กูไปละ” ผมพูดบอกมัน ก่อนจะเดินไปหาไอ้เอ็มและน้ำมนต์

“ไอ้โป้ !!!” ไอ้โอ๊ตเรียกผมอีกครั้ง ทำให้ผมต้องเอี้ยวหลังไปมองมัน



“มึงคงไม่โกรธกูใช่มั๊ย ถ้ากูจะรู้สึกกับมึงเหมือนเดิม แต่กูสัญญา กูจะไม่ทำให้มึงเดือดร้อน” มันตะโกนบอกผมมาพร้อมกับรอยยิ้ม ส่วนผมก็ไม่ได้ตอบกลับอะไร ได้แต่ยิ้มตอบกลับมันไปเหมือนกัน


.

.

.

.

.

“นายคุยกับพี่โอ๊ตดีแล้วใช่มั๊ย”  น้ำมนต์ถามผมขณะที่ผมกำลังขับรถรับลมมาเรื่อยๆ

“อืม ดีแล้ว” ผมตอบไปสั้นๆ  และก็ไม่มีเสียงอะไรจากน้ำมนต์เลย  ผมเลยขับรถช้าๆ ชิดข้างทาง



“จอดทำไมเหรอ” น้ำมนต์ถามผม ผมยังไม่ตอบ แต่ก็ถอดเสื้อแจ็กเก็ตตัวที่ใส่มาส่งไปให้มัน

“เอานี่ไปใส่ เดี๋ยวมึงจะหนาว” ผมบอก พร้อมกับยื่นเสื้อให้

“เอ๊ย เดี๋ยวก็ถึงหอนายแล้ว นายใส่ไปเถอะ”

“ใครบอกว่าคืนนี้จะนอนหอกูละ” ผมบอกไป น้ำมนต์ทำหน้างง

“กูจะพามึงไปนอนบ้านกู” ผมบอกมันด้วยสีหน้าจริงจัง

“เอ๊ยย ที่ไหน”

“ขนอม”

“หา ...”

“เอาไปใส่ซะ ยังอีกไกล เดี๋ยวมึงจะหนาว”

“แล้วนายละ”

“กูไม่เป็นไร กูขับกลับตอนดึกๆบ่อย กูชินละ” ผมบอก

“มานี่มา” ผมพูดพร้อมกับเดินอ้อมหลังไปแล้วก็เอาเสื้อใส่มือของมันให้ น้ำมนต์ก็เอามือสอดไปทางซ้ายและขวา และเดินกลับมาข้างหน้า จะรูดซิบให้มันหน่อย แต่มันก็รูดขึ้นเองแล้ว

“ไม่มียางรวบผมเหรอ” ผมถาม

“รวบทำไมอ่ะ”

“เปล่า คิดว่ามึงจะรำคาญ” ผมตอบพร้อมกับเตรียมตัวออกเดินทางอีกครั้ง



อากาศยามค่ำคืนของปลายปี ทำให้ผมตัวสั่นไปกับลมที่เข้ามาปะทะพร้อมกับร่างกายของผม ที่ใส่แค่เสื้อยืดบางๆ กับกางเกงยีนเดฟรัดๆ แต่รู้สึกอุ่นที่หลังอย่างบอกไม่ถูก น้ำมนต์ที่นั่งพิงหลัง แล้วก็เอามือมาแอบไว้หลังผม มันคงหนาวมาก ลำพังตัวมันที่ไม่ค่อยมีไขมัน คงไม่ทนต่ออากาศเย็นๆแบบนี้ 




แต่ผมนี่สิ .. จะแข็งแล้วว



“บรึ๋ยยยยยยยย” ผมอุทานขึ้นเมื่อลมหนาวก้อนใหญ่ปะทะเข้าตรงหน้า

“หนาวเหรอ ?” คนข้างหลังถามผมขึ้น

“เปล่าซะหน่อย” ผมปากแข็งตอบไป

“โกหก ตัวสั่นขนาดนั้น ไม่หนาวได้ไง เราว่านายเอาเสื้อของนายกลับไปดีกว่า นายขับรถ นายหนาวกว่าเรา”

“เอ๊ยไม่เอา  มึงใส่นั่นแหละดีแล้ว”

“ไม่เอาอ่ะ เราเหมือนกำลังเอาเปรียบนาย”

“งั้นมึงก็กอดเอวกูไว้ดิ”

“หือ ไม่เอาอ่ะ”

“แค่กอดเอวกูไว้ แค่ให้ความอบอุ่นกูเอง มึงอยากให้กูขับรถแข็งตายหรือไง”

“ถึงได้บอกว่าให้เอาเสื้อไปไง”

“ไม่เอา ถ้าไม่กอดก็ไม่เป็นไร แต่กูไม่เอาเสื้อคืน” ผมคอยมันแล้วรีบเพิ่มความเร็วขึ้นเล็กน้อย อย่างน้อยจะได้ถึงบ้านเร็วกว่านี้




แต่ขับมาได้สักพัก มือของคนข้างหลังก็โอบมาที่เอวของผม กอดไว้หลวมๆ ไม่รู้ว่าผมรู้สึกไปเอง หรือว่าเป็นจริง ความหนาวที่เกาะติดอยู่กับร่างกายผม เพราะลมหนาวนั้น เหมือนมันได้หลุดออกจากร่างกายผมไป เหลือเพียงความอบอุ่นไปทั้งกายและหัวใจ



ผมจึงค่อยๆลดระดับความเร็วของเครื่องยนต์ลงเล็กน้อย .. วันนี้จะถึงบ้านเช้าก็เอาละวะ รอยยิ้มบนหน้าของผมตอนนี้ไม่รู้ว่ามันกว้างแค่ไหนแล้ว ผมคงยิ้มค้างอยู่แบบนี้จนถึงบ้านแน่ ... ตีนกาคงขึ้นบานเลย




เวลาเกือบๆสองชั่วโมง จากตัวเมืองจนมาถึงบ้านของผม ด้วยการขับรถชมวิว และซึมซับความอบอุ่นจากข้างหลัง  และเมื่อผมรู้ว่าน้ำมนต์มันเผลอหลับ ผมก็ยิ่งอยากขับช้ามากขึ้น ก็ใครอยากจะให้เวลานี้ผ่านไปไวๆละครับ ก็ดูสิ อ้อมกอดที่แน่นขึ้น หน้าและตัวที่ทาบลงบนแผ่นหลังผม  กอดแน่นขึ้นเมื่อมีลมหนาวพัดผ่าน  ผมนี่แทบอยากจอดรถหยุดเวลาไว้ แต่กลัวจะทำให้เจ้าตัวตื่นขึ้นมา


ผมจอดรถนิ่งอยู่หน้าบ้านตัวเองนานมาก แต่ก็ยังไม่ดับเครื่องมอเตอร์ไซค์ของตัวเอง ยังคงปล่อยให้มันกล่อมให้น้ำมนต์หลับต่อไป ผมหันไปมองไอ้หนุ่มหน้ามนที่ชื่อน้ำมนต์กำลังหลับตาปริ่ม  ผมที่ยาวสยายลงมาปิดใบหน้าขาวนวลนั้นเล็กน้อย แต่พอให้ผมได้มองโครงหน้านั้นได้


“ถึงแล้วเหรอ” เปลือกตาที่ค่อยๆเปิดขึ้น พร้อมกับจ้องมาที่ผม ก่อนจะเอ่ยคำถามขึ้น

“ถึงแล้ว เข้าไปนอนในบ้านกันเถอะ” ผมบอกพร้อมกับยิ้มให้ เหมือนเจ้าตัวเพิ่งรู้ตัวว่ากำลังกอดผมซะแน่นเลย จึงรีบชักมือออก ก่อนที่จะลุกขึ้นยืน แล้วเดินนำไป

“มึงไปถูกเหรอนั่น ที่เดินนำกูไป”  ผมทักมันขึ้น

“เอ่อ ไม่รู้สิ” มันหันตอบผม ก่อนจะหันหน้ากลับไปอีก  สงสัยจะเขินมั้ง คนเหี้ยไร ตอนเขินน่ารักจนอยากจับปล้ำ ผมจอดรถให้เรียบร้อย ก่อนที่จะเดินไปหามัน

“วันนี้ไม่นอนเรือนใหญ่ ป๊ากับแม่กูคงหลับแล้ว ไม่อยากไปกวน ไปนอนกระท่อมกูกัน” ผมบอกพร้อมกับจับมือมันเดินมาอีกทางนึง น้ำมนต์ออกแรงดึงมือให้หลุดออกเล็กน้อย แต่ผมกลับจับกระชับให้แน่นขึ้นกว่าเดิม จนน้ำมนต์ไม่อยากจะต่อต้าน ยอมให้ผมจับดีๆ


อย่างที่ผมเคยบอกว่าบ้านผมค่อนข้างเป็นเศรษฐีบ้านนอก มีทั้งเรือปลา มีทั้งปั้มน้ำมัน และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อีกมากมาย บ้านของผมเลยค่อนข้างกว้างและใหญ่ แต่ก็ไม่ได้เหมือนในหนัง หรืออะไรหรอก บ้านผมเป็นแค่บ้านสองชั้น ที่ต่อเติมให้กว้างขึ้นเรื่อยๆ ตามการใช้สอย  ผมมีห้องอยู่ที่เรือนใหญ่ ที่มีไว้เวลาเหงาๆ ไม่อยากนอนคนเดียว และผมก็มีกระท่อมเล็กๆที่อยู่บริเวณสวนหลังบ้าน ที่ผมอ้อนป๊าผมให้สร้างให้ผม  เป็นพื้นที่ส่วนตัวที่ผมชอบมาอยู่เวลากลับบ้าน

“นี่เหรอ กระท่อมนาย” น้ำมนต์ถามขึ้น เมื่อผมพามายืนที่หน้ากระท่อมไม้สีขาว หลังเล็กที่ชั้นล่างเป็นห้องนั่งเล่นของผม และมีห้องนอนใต้หลังคาสำหรับหลับนอน

“ใช่แล้ว น่าอยู่มั๊ย”

“อืม สวยมากเลยอ่ะ” ผมคิดอยู่แล้ว ว่าน้ำมนต์ต้องชอบมัน เพราะมันเป็นกระท่อมอาร์ตๆหลังนึงเลยละ

“ถ้าชอบ มาอยู่กับกูตลอดเลยก็ได้นะ” ผมบอกไปพร้อมกับยิ้มๆ

“หึหึ ปล่อยมือได้ละ” มันพูดพร้อมกับยกมือที่ผมจับอยู่ขึ้นมา ผมจึงรีบปล่อย และเดินไปไขกุญแจเข้าไปในกระท่อม ถึงแม้ผมไม่ค่อยได้มา แต่แม่ก็มักจะใช้ลูกน้องมาปัดกวาดให้ผมเสมอ  กระท่อมผมจึงดูสะอาด แตกต่างจากหอพักในเมืองเป็นอย่างมาก

“เข้ามาสิ” ผมหันไปบอกคนข้างนอก ส่วนตัวเองก็เดินไปเปิดทีวี เพื่อช่วยเพิ่มเสียงให้กับราตรีนี้ และนั่งลงบนโซฟาที่ผมเป็นคนเลือกเองทุกชิ้น


มองดูไอ้หนุ่มผมยาวเดินดูรูปภาพที่เข้ากรอบติดอยู่ตามผนังไล่เรียงกันมาเรื่อยๆ ส่วนหนึ่งเป็นรูปผมตั้งแต่เล็กจนโต และอีกส่วนเป็นรูปภาพธรรมชาติ ภาพวิว ภาพทั่วๆไป

“ภาพพวกนี้นายถ่ายเองเหรอ” น้ำมนต์ถามผม และชี้ไปที่รูปวิวหนึ่งในขนอมนี่แหละ

“เปล่าหรอก แม่กูถ่าย แม่กูชอบถ่ายรูป กูเห็นว่าแกถ่ายสวยดี กูเลยบอกให้แกอัดมาตกแต่งกระท่อม” ผมบอกไป มือก็กดรีโมทหาช่องกีฬาดู

“สวยจังเลยอ่ะ แม่นายเก่งจังเลยเนอะ”

“พรุ่งนี้มึงค่อยไปบอกแกด้วยตัวมึงก็แล้วกัน ไม่ต้องบอกผ่านกูหรอก” ผมบอกมัน พร้อมกับดูเทปฟุตบอลที่ช่องกีฬากำลังรีรันอยู่

“มานั่งนี่สิ” ผมพูดพร้อมกับตีมือไปที่ว่างบนโซฟาข้างผม น้ำมนต์มองดูตรงที่ผมตีแว๊บนึง ก่อนจะเดินไปนั่งโซฟาตัวถัดไป ช่างกวนตีนจริงๆ

“กลัวกูเหรอ”

“จะกลัวทำไม”

“นี่มันถิ่นกูนะ แล้วมึงกับกูก็อยู่กันสองต่อสอง แล้วห้องนี้ก็ห่างจากเรือนใหญ่ด้วย เงียบ ไม่มีใครเดินผ่าน” ผมบอกคุณสมบัติสุดยอดของกระท่อมนี้ไป

“ที่พูดมานึกว่าเราจะกลัวมากขึ้นเหรอ” ดูมันปากเก่งครับ

“แล้วทำไมไม่มานั่งข้างกูละ”

“อึดอัด” มันตอบมาสั้นๆ แต่หลีกเลี่ยงสายตาที่จะมองผม

“เมื่อไหร่มึงจะเลิกปากดี เลิกปากแข็ง เลิกหยิ่ง เลิกโกหกตัวเองซักทีวะ” ผมถามมันด้วยรอยยิ้มขำๆ กับการกระทำที่ผ่านมาทั้งหมดของมัน

“เราไม่เคยทำแบบที่นายพูดสักอย่าง” ดูครับ ที่ยังปากแข็ง พูดแล้วทำมองออกไปทางอื่นนี่นะ คนฟังคงเชื่อมึงมาก

“ทำไมมึงถึงดื้อแบบนี้นะ”

“อย่ามาว่าเรานะ นายมันก็ไม่ต่างจากเราหรอก”  มันหันมาทำตาดุใส่ผม สีหน้าไม่พอใจที่ผมไปว่ามัน

“ไม่รู้ละ กูว่ามึงดื้อ มึงต้องโดนลงโทษ”


ผมพูดพร้อมกับลุกจากที่นั่งของตัวเอง ตรงดิ่งไปหามัน หน้าของผมเคลื่อนที่ไปที่หน้าของมันด้วยความเร็ว หน้าของมันถอยห่างออกไปด้วยสัญชาตญาณ แต่หน้าของผมก็ตามไปถึงเช่นกัน 


ปากของผมประกบลงบนปากสีชมพูของมัน สายตาที่ดูจะตกใจของมันกับอาการตาค้าง ตัวนิ่ง ไม่ขยับตัวด้วยความช็อกนั้น ทำให้ผมออกแรงจูบบนปากนั้นอย่างเบาๆ ก่อนจะถอนหน้าตัวเองออกมานิดหน่อย และยิ้มให้กับคนที่ยังงงกับสิ่งทีเกิดขึ้น ผมหันหลังไปนั่งตรงทีเดิม และพูดกับมันด้วยประโยคบอกเล่าสั้นๆ ..







“จะว่าไป ปากมึงก็ไม่ได้แข็งจริงๆด้วย นุ่มซะ ..”



.........................................................

มาตอนดึกๆ ขอโทษด้วยนะครับ ช่วงนี้ได้ลงไม่บ่อย แต่งเสร็จ แต่ไม่มีเน็ตเล่น หุหุ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-11-2011 00:12:21 โดย lungkhao »

ออฟไลน์ changnoy

  • i ❤ ChangnoY
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 502
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
    • FB
ว๊ายๆๆๆๆๆ จิ้มๆๆๆๆๆๆๆๆ

ออฟไลน์ tongdbsk

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
^
^
^
ไม่ทันรีบนอ๊า...

ออฟไลน์ changnoy

  • i ❤ ChangnoY
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 502
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
    • FB
^
^
^
ไม่ทันรีบนอ๊า...
ช้าไปหนึ่งปีแสง คิคิ

ออฟไลน์ sang som

  • เจ็บจิต!!
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-6
ต๊ายยยย ก้าวหน้านะเนี่ยจูบแล้ว อิอิ

lungkhao

  • บุคคลทั่วไป
ตอนที่ 20


ริมผีปากที่ชิดกับริมฝีปากของเมื่อครู่ การกระทำที่เรียกว่าเป็นการประชิดกายครั้งแรกของผมในครั้งนี้ บอกตรงๆผมไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้น และไม่ได้ตั้งตัวที่จะตั้งรับกับเรื่องแบบนี้ 


“จะว่าไป ปากมึงก็ไม่ได้แข็งจริงๆด้วย นุ่นซะ” คำพูดทีดูจะกวนตีน ออกแนวเยาะเย้ยนั้น ยิ่งทำให้ผมโมโหยิ่งขึ้น

“นายมันไม่แมน ฉวยโอกาส” ผมพูดพร้อมลุกขึ้นจากโซฟาที่นั่งอยู่ เดินหน้าเข้าไปหามัน

“ทำไม จะเอาคืนกูเหรอ อ่ะกูให้เอาคืนก็ได้” นายปีโป้พูดพร้อมกับทำปากจู๋มาให้ผม

“นายมันเลวมากกกก” ผมพูดพร้อมกับซัดมือขวาเข้าตรงหน้าของนายปีโป้อย่างสุดแรง

“พลั่กก !!!” เสียงของมือผมกระทบกับหน้าของนายปีโป้ส่งเสียงดังไปทั้งห้อง หน้าของนายปีโป้เคลื่อนที่ไปทางเดียวกับมือผม จนตัวเค้าตกลงจากโซฟา



“ไอ้น้ำมนต์ มึงต่อยกู” เมื่อมันลุกขึ้นมาได้ ก็ตะโกนด่าผม เอามือจับที่ปาก ที่กำลังมีเลือดออกมาซิบๆ

“ก็มึงจูบกูก่อน นี่แค่เบาๆ ถ้ายังกล้ามาแตะเนื้อต้องตัวกูอีก มึงเจอเยอะกว่านี้แน่” วันนี้ขอไม่สุภาพกับมันซักวันเถอะ มันจะได้รู้ว่า ผมก็เถื่อนเป็น สถุนเป็น และผมก็เลือกที่จะทำกับคนทีสมควรได้รับเท่านั้น  ผมพูดพร้อมกับเดินออกมาจากมุมที่ใช้รับแขกของกระท่อมนั้น


“มึงจะไปไหน” นายปีโป้พูดพร้อมกับพยายามพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นจากพื้น

“ไปนอน ไม่ต้องตามมานะ นอนข้างล่างนั่นแหละ” ผมตะโกนบอกมัน แต่ก็ไม่ได้หันไปดูอีก เดินขึ้นบันไดไปห้องที่เป็นห้องใต้หลังคาของมัน

“แต่นั่นมันห้องกู”

“ถ้ามึงขึ้นมา กูจะไม่คุยกับมึงอีก และกูจะเดินกลับบ้าน” ผมหันหลังไปบอกนายปีโป้ อย่างจริงจัง

“มึง ..”

“กูพูดจริง” ผมย้ำอีกครั้ง ก่อนจะเดินขึ้นบนห้องไป




บนห้องใต้หลังคานี่ค่อนข้างต่ำ  เพราะต้องไล่ระดับตามรูปแบบหลังค่าหน้าจั่ว แต่ถือว่าเป็นการดีไซน์และตกแต่งได้สวยดี บนนี้ไม่มีเตียง แต่มีที่นอนสีขาว ผ้าปู และหมอนสีขาวสองใบวางอยู่ตรงกลางห้อง ผนังห้องข้างหนึ่งติดรูปเจ้าของห้องตั้งแต่เด็กจนโตไว้อย่างมีสไตล์ นี่ถ้านายปีโป้เป็นคนแต่งห้องเอง ผมว่ามันคงมีอารมณ์ศิลปะดีพอควรเลย ส่วนผนังอีกห้องหนึ่งเป็นรูปกับเพื่อนๆของเจ้าของห้อง ทั้งตอนอนุบาล ประถม และมัธยม ผมเดินดูก็พอรู้ว่าตอนที่มันเด็กๆก็ทำกิจกรรมเยอะอยู่ ไม่ว่างานใดๆ มันก็ถูกจับแต่งชุด แต่งหน้าขาวๆของมัน  ออกงาน ไม่มีคราบของนักเลง เหมือนในตอนนี้เลย



“ผู้หญิงคนนี้ ?” ผมพูดขึ้นเมื่อเห็นภาพของผู้หญิงที่ถ่ายรูปคู่กับนายปีโป้มากที่สุด แทบทุกช่วงวัย และแทบทุกกิจกรรมที่นายปีโป้ทำ  ผู้หญิงคนนี้ก็จะอยู่ในทุกๆกิจกรรมนั้น

“คงเป็นแฟนของนายปีโป้สินะ” ผมพูดแล้วสังเกตผู้หญิงที่ผมพูดถึงในภาพ ถือว่าเป็นคนสวยและน่ารักมาก รอยยิ้มที่ยิ้มทุกรูปช่างน่ารัก น่าชัง หน้าออกหมวยๆ แต่ดันมีตาสองชั้น จมูกที่สวยเข้ากับหน้ารูปไข่ .. ไม่แปลกเลยถ้าจะเป็นแฟนของนายปีโป้

“หึหึ แฟนสวยนี่” ผมพูดกับตัวเอง ก่อนจะหันหลังล้มตัวลงบนที่นอน  มองไปข้างบนเพดานที่ตกแต่งทำฝ้าด้วยไม้ราคาแพง ไม่บอกก็รู้ว่าบ้านนายปีโป้ต้องรวยมากๆแน่ แต่ก็ไม่ได้รวยเหมือนคนในเมือง ที่สร้างบ้านหลังใหญ่เพื่อสร้างภาพลักษณ์และบารมี เพราะบ้านของมันค่อนข้างคล้ายครอบครัวคนจีน ที่ปลูกหลายๆหลังใกล้กัน ต่อเติมไปตามจำนวนคนที่เพิ่มขึ้น และก็เว้นพื้นที่สวนส่วนนี้เอาไว้ สำหรับปลูกกระท่อมให้หัวแก้วหัวแหวนเค้า



ผมเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนได้ยินเสียงไก่ขัน พลิกตัวไปมาก็ไม่เจอเจ้าของกระท่อมขึ้นมานอน คงกลัวที่ผมขู่ไว้ จึงไม่ตามขึ้นมา  ผมจึงลุกขึ้นบิดตัวซ้ายขวาสองสามครั้ง แล้วลงเดินมาข้างล่างอย่างเงียบๆ

มองเข้าไปในห้องนั่งเล่นที่นั่งกันเมื่อคืนก็เห็นนายปีโป้นอนคุดอยู่บนโซฟาตัวยาวของห้อง  ผมเลยหยิบเอาผ้าแพรที่วางไว้สำหรับห่ม ที่วางอยู่บริเวณนั้น ไปห่มให้กับเจ้าของกระท่อม เพื่อบรรเทาความหนาว  แล้วก็เปิดประตูกระท่อมมารับอากาศยามเช้าของอำเภอขนอม อำเภอของจังหวัดผมที่ติดทะเล มีสถานที่ท่องเที่ยว มีรีสอร์ท และที่พักสำหรับนักท่องเที่ยวมากมาย ผมเคยมาที่นี่แค่ครั้งเดียวเมื่อตอนเด็ก เมื่อครั้งที่ยังอยู่กับพ่อและแม่

ภายในสวนเล็กๆที่ตกแต่งให้ห่างจากเรือนใหญ่ที่นายปีโป้เรียกนั้น ทำให้บริเวณนี้เงียบ มีเสียงนกเสียงไก่ร้องรับอรุณ จนผมเดินชมพืชพันธุ์ที่ปลูกไว้เพลินตา ก่อนจะเดินมานั่งที่ม้านั่งของสวน ที่มองไปไกลๆเห็นชายทะเล ที่ตรงนี้คงเป็นที่ที่แพงไม่น้อย ถ้าเกิดมีการซื้อขาย เพราะวิวมันช่างดีเหลือเกิน ไม่แปลกที่นายปีโป้ให้พ่อแม่ของเค้าสร้างกระท่อมไว้ให้


“สวัสดีค่ะ” เสียงของผู้หญิงดังมาจากด้านหลังผม ผมหันไปดู ก่อนจะยกมือไหว้หญิงวัยสี่สิบปลายๆ ที่แต่งตัวอย่างเรียบง่าย

“อุ๊ย ไม่ต้องไหว้ป้าหรอกค่ะ ป้าเป็นแค่คนรับใช้ที่นี่ หนูเป็นเพื่อนของคุณหนูปีโป้ใช่มั๊ยคะ” ป้าแกตีมือกลางอากาศประมาณไม่พอใจที่ผมไหว้ ก่อนจะถามผม

“ใช่ครับ” ผมตอบป้าแกไปพร้อมยิ้มๆ

“อ๋อ แสดงว่าวันนี้คุณหนูกลับมาค้างบ้าน งั้นเดี๋ยวสายๆ ไปกินข้าวเช้าที่เรือนใหญ่นะคะ หรือว่าจะให้ป้าเอามาเสิร์ฟที่นี่ดีคะ” ป้าแกถามผม

“เอ่อ ..”

“ไม่เป็นไรครับป้าแดง เดี๋ยวหนูไปกินที่เรือนใหญ่เอง”  เสียงของคนเจ้าของกระท่อมดังตามหลังป้าแกมา

“อ้าว ตื่นแล้วเหรอคะคุณหนู ตายแล้ว นั่นหน้าไปโดนอะไรมาคะ” คุณป้าท่านนั้นทักนายปีโป้ที่เดินห่มผ้าแพรที่ผมห่มให้เดินลงมาจากกระท่อม ก่อนจะถามถึงที่มาของรอยฟกช้ำที่มุมปาก

“ไม่มีอะไรครับป้า หนูเผลอเอาปากไปหยอกคนบางคน จนคนบางคนหยอกกลับมาด้วยหมัด” นายปีโป้พูดพร้อมกับหันหน้ามองมาทางผมนิดๆ

“คุณหนูนี่เล่นอะไรพิเรนท์ๆอีกแล้ว เดี๋ยวป้าไปเอายามาทาให้นะคะ ตกลงว่าจะไปทานข้าวที่เรือนใหญ่ใช่มั๊ยคะ”

“ครับป้า แล้วป๊ากับแม่ออกไปยังครับ”

“ยังคะ คงรอเจอคุณหนูด้วยนั่นแหละ เห็นบ่นๆอยู่ว่าคิดถึง”

“ครับ เดี๋ยวหนูอาบน้ำเสร็จ หนูจะไปที่เรือนใหญ่นะครับ” นายปีโป้พูดพร้อมกับกอดป้าแกหลวมๆ ก่อนที่จะปล่อยให้ป้าแกเดินกลับไปทำธุระของแกที่เรือนใหญ่

ผมเลิกสนใจสองคนนั้น แล้วหันมามองทะเลที่คงจะน่ามองกว่าคนฉวยโอกาสคนนั้น

“ทำไมตื่นไวจัง” นายปีโป้พูดพร้อมกับเดินมานั่งข้างๆผม จนผมต้องขยับไปนั่งเก้าอี้อีกตัว

“นี่ยังไม่หายโกรธกูเหรอ ดูดิต่อยกูซะปากเขียวแล้ว” นายปีโป้ยังคงพูดของมัน พร้อมกับยื่นหน้ามาทางผม เพื่อให้ผมดูแผลที่ปากมัน ผมเหลือบตาดูเล็กน้อย และเผลอยิ้มด้วยความสะใจ

“สะใจอ่ะดิ ได้ต่อยกู นี่ถ้าเป็นคนอื่นกูสวนกลับเละไปแล้ว” มันยังพูดโอ้อ้วด

“เอาสิ เอากลับเลย เรานั่งอยู่นี่แล้วไง” ผมท้า

“ไม่พูดมึงกูกับกูแล้วเหรอ รู้มั๊ยเมื่อคืนที่มึงโมโห กูกลัวมึงมากเลยนะ กลัวมึงโกรธ กลัวมึงไม่พอใจ จะขึ้นไปขอโทษก็ไม่ได้ เพราะมึงห้ามขึ้นไป” มันอธิบายให้ผมฟัง

“เราพูดไม่เพราะ สำหรับคนที่ไม่เหมาะสำหรับคำเพราะๆของเราต่างหาก”

“แล้วตอนนี้ทำไมไม่พูดอีกละ”

“อยากให้เราพูดแบบนั้นเหรอ”

“ไม่เอาอ่ะ ไม่น่ารัก น้ำมนต์ที่กูรู้จัก ต้องเป็นคนพูดเพราะๆ”

“ส่วนปีโป้ที่เรารู้จัก ก็ต้องพูดว่า หนู สินะ” ผมพูดพร้อมกับยิ้มๆ

“นี่มึงล้อกูเหรอ ทำไมวะ พูดหนูแล้วมันทำไม”

“เปล่านี่ เราว่าน่ารักดีนะ นายหน้าจะพูดหนูกับเรานะ เราชอบ”

“ไม่ต้องเลย ไม่ต้องมาพูดเลย”

“จริงๆนะ นายพูดหนูแล้วดูเป็นผู้เป็นคนดี”

“ไม่คุยกับมึงแล้ว กูไปอาบน้ำละ มึงเข้าไปดูทีวีในบ้านเลยไป” นายปีโป้พูดพร้อมกับดึงมือผมเดินตามไป

“ปล่อย !!” ผมพูดด้วยสีหน้าจริงจัง เพราะตอนนี้ไม่อยากให้นายปีโป้มีโอกาสที่จะจับเนื้อต้องตัวผมง่ายๆอีกแล้ว เพราะถ้ายิ่งปล่อย ยิ่งได้โอกาส และฉวยโอกาส

“แหม ทำหวงนะ”

“ถ้าไม่หวง คนบางคนก็ฉวยโอกาส”

“จะด่ากูก็ด่าเหอะ ไม่ต้องอ้อม”

“เออ” ผมบอก พร้อมกับเดินนำมันเข้ากระท่อมไป ห้องน้ำของกระท่อมนี้อยู่ถัดจากห้องนั่งเล่น  เดินทะลุม่านไปก็จะเจอ ห้องน้ำเล็กๆ ด้านซ้ายเป็นห้องส้วม ส่วนด้านขวาเป็นห้องอาบน้ำ คงเป็นส่วนเดียวของกระท่อมที่เป็นห้องปูน แต่ก็เป็นปูนเปลือย ซึ่งห้องอาบน้ำก็ได้เปิดหลังคาเพื่อให้ได้บรรยากาศประมาณรีสอร์ทอีกด้วย

“หุ่นมึงน่ารักจัง” นายปีโป้พูดขึ้นขณะที่ผมกำลังใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดผมของตัวเอง แต่มีผ้าขนหนูผืนใหญ่คาดเอวเปลือยท่อนบนอยู่

“อย่ามาทะลึ่ง ทำไมยังไม่แต่งตัวละ อาบเสร็จตั้งนานแล้วนะ” ผมหันไปต่อว่าคนที่อาบน้ำเสร็จก่อนผมนานแล้ว แต่ก็ยังอยู่ในสภาพผ้าขนหนูท่อนล่างเหมือนผม

“กูอยากอยู่ในสภาพนี้กับมึง กูว่าน่ารักดี” นายปีโป้พูดมาพร้อมกับทำหน้าหื่น

“ปัญญาอ่อนอ่ะนาย ไปแต่งตัวได้แล้วไป” ผมบอกพร้อมกับพยายามเช็ดหัวให้แห้งไวๆ บางทีผมยาวก็น่าเบื่อตรงนี้ละ แต่ผมก็ชอบสระผมบ่อยๆอยู่ดี

“มานี่กูช่วยเช็ด” เสียงของนายปีโป้ดังมาจากข้างหลัง ก่อนที่มือของผมจะถูกจับเข้ากับมึงของมัน แล้วก็พยายามช่วยเช็ดหัว

“ไม่ต้องเลย ออกไปนะ” ผมสะบัดมือของอีกคน แล้วก็ศอกเข้าไปที่หน้าอกทีนึง ทำให้อีกคนต้องถอยหลังออกไป

“เอ๊ยยยย” ผมหันไปดูก็พบว่าผ้าขนหนูของนายปีโป้ได้หลุดลงไปกองกับพื้น

“เอ๊ยยยยยย” เสียงของเจ้าตัวร้องขึ้นเสียงดัง



“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด” และตามมาด้วยเสียงของหญิงสาวปริศนาที่ดังขึ้นมาจากหน้ากระท่อม



“หมวยเล็ก” เสียงของนายปีโป้เรียกขึ้น ก่อนที่จะลุกขึ้นนุ่งผ้าขนหนู ผมไม่คิดเลยว่าน้องชายของนายปีโป้จะอยู่ในสภาพแข็งตัวขนาดนั้น ผู้หญิงที่ชื่อว่าหมวยเล็กคนนั้นถึงกับตาโตที่พบเห็นเลยทันที

“หมวยเล็กเข้ามาได้ไง ทำไมไม่เคาะประตู” นายปีโป้เดินไปหาหญิงสาวที่เพิ่งเข้ามา ผมเลยเลี่ยงมาแต่งตัวในห้องน้ำ ได้ยินสองคนนั้นคุยกันเบาๆ

“ก็หมวยเล็กคิดว่าไม่มีอะไร ใครจะไปรู้ละว่ากำลังโป๊กันอยู่ แล้วนี่ตี๋โป้กำลังทำอะไรอยู่อ่ะ อย่าบอกนะว่า”

“ไม่ใช่ พอดีผ้ามันหลุดนิดหน่อย ไม่ใช่อย่างกับที่หมวยเล็กคิด”

“แล้วทำไมของตี๋โป้ถึงเป็นอย่างนั้นละ”

“เออหน่า หมวยเล็ก อย่าถามมากได้ป่ะ เป็นสาวเป็นนาง” ผมได้ยินสองคนนั้นพูดกัน ก่อนที่จะเดินออกมาข้างนอก เมื่อแต่งตัวเสร็จแล้ว

“เดี๋ยวตี๋โป้ไปแต่งตัวก่อนนะ” นายปีโป้พูดพร้อมกับเดินขึ้นไปข้างบน ทิ้งให้ผมเผชิญหน้ากับผู้หญิงที่ผมไม่รู้จัก แต่มีชื่อว่าหมวยเล็ก ผมมองหน้าเธอและยิ้มให้เล็กน้อย และรู้สึกคุ้นๆ ว่าเหมือนเคยเห็นเธอที่ไหนมาก่อน

“สวัสดีค่ะ เราชื่อหมวยเล็ก” ผู้หญิงคนตรงหน้าผมเป็นคนแนะนำตัวขึ้นก่อน

“สวัสดีครับ เราชื่อน้ำมนต์” ผมบอก

“เราเป็นเพื่อนของตี๋โป้ตั้งแต่ตอนเด็ก และก็เป็นคู่หมั้นกันด้วย” ผู้หญิงคนนั้นบอกกับผม จึงทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่าเธอคือผู้หญิงที่มีรูปบนห้องนอนของนายปีโป้ ที่มีรูปเยอะ เพราะเป็นคู่หมั้นกันเองเหรอ

“อ๋อครับ .. เราเป็นเพื่อนของนายปีโป้” ผมบอก

“แต่นายหน้าเด็กจังเลยเนอะ หน้าสวยด้วย” หมวยเล็กทักผม

“อ๋อ พอดีเราเพิ่งเรียนปี 1 เอง เอ่อ ม.4 นะ ยังอ่อนกว่านายปีโป้” ผมอธิบายไป

“อ๋อ ว่าแล้ว ว่าทำไมดูหน้าอ่อนๆ ไม่น่าจะเป็นเพื่อนกับตี๋โป้ได้ งั้นเรียกเราว่าพี่ก็ได้นะ เราอายุเท่ากับตี๋โป้” หมวยเล็กพูดขึ้นมา ไม่สิ ต้องเรียกว่า พี่หมวยเล็ก

“คุยอะไรกันอยู่” เสียงของนายปีโป้มา พร้อมกับสภาพการแต่งตัวที่เรียบร้อย

“อ๋อ เปล่า หมวยเล็กแค่ทำความรู้จักกับน้องน้ำมนต์อ่ะ เพื่อนของตี๋โป้คนนี้น่ารักดีนะ หมวยเล็กรู้สึกชอบจัง หน้าสวยเหมือนผู้หญิง ผมก็ยาวสวยเชียว ถ้าไม่ติดกับร่างกายที่สูงโปร่ง และดูมีกล้ามเนื้อแบบนั้นแล้ว หมวยเล็กต้องแอบคิดว่า ตี๋โป้พาผู้หญิงมานอนแน่ๆ” พี่หมวยเล็กพูดกับนายปีโป้

“เหรอ ตี๋โป้ว่า เราไปกินข้าวกันเถอะ ป่านนี้ป๊ากับแม่คงรออยู่แล้ว หมวยเล็กไปเจอพวกแกมาแล้วใช่ป่ะ” เขาสองคนคุยกัน

“เจอแล้ว คุณลุงกับคุณป้าให้หมวยเล็กมาตามด้วย”

“อืม งั้นไปกันเถอะ” นายปีโป้พูดพร้อมกับเดินขยี้หัวพี่หมวยเล็กเดินออกไป โดยที่มีผมเดินตาม และมองสองคนนั้นเดินคุยกันไป

“ไม่เจอกันนายเลยนะตี๋โป้ ทำไมไม่โกนหนวดบ้าง จะเซอร์ไปถึงไหน”

“ก็โป้ไม่ชอบโกนนี่ หมวยเล็กก็ดูสวยขึ้นนะเนี่ย ผอมลงหรือเปล่า”

“ใช่ หมวยกำลังไดเอ็ท”

“จะลดทำไมอีก นี่ก็ผอมแล้วนะ”

“ไม่เอาอ่ะ หมวยว่ายังอ้วนอยู่”

“แล้วเรื่องเรียนเป็นไงบ้าง จะเข้ามหาลัยแล้วนี่  ตกลงจะไปเรียนกรุงเทพใช่มั๊ย”

“ใช่แล้ว ตอนนี้หมวยได้โควต้านิเทศแล้วนะ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเอาหรือเปล่า”

“อ้าว ทำไมละ ชอบไม่ใช่เหรอ”

“แต่หมวยอยากได้ของมหาลัยอื่นนี่”

“เรื่องมากจังเลยนะเราเนี่ย”

“แล้วตี๋โป้ละ จะเรียนไหน”

“ยังไม่รู้เลย”

“คิดได้แล้วนะ”

“ครับๆ”



ผมเดินตามสองคนนี้มา พร้อมกับฟังบทสนทนาที่ดูคุ้นเคยกัน และรู้จักกันเป็นอย่างดี พี่หมวยเล็กเดินกอดแขนของนายปีโป้บ้าง เวลาต้องการจะซักถามหรือคุยด้วย ส่วนนายปีโป้ก็ยังเล่นกับผมของพี่หมวยเล็ก โดยการขยี้บ่อยครั้งที่ผมยาวสลวยดกดำของพี่แก
“หน้าไปโดนไรมา”

“หกล้มนิดหน่อย”

“อย่ามาโม้  โดนใครต่อยมาอีกละ”

“ไม่มีหน่า”


เสียงของสองคนนั้นยังคุยกันไม่หยุด กับระยะทางไม่กี่ร้อยเมตรจากกระท่อมของนายปีโป้ จนมาถึงเรือนใหญ่ของรั้วบ้านขนาดกว้างแห่งนี้ 


ไม่รู้ทำไม ผมรู้สึกเหมือนตัวของผมจะใสขึ้น ใสขึ้น จนเกือบจะหายไปจากตรงๆนั้น

“น้ำมนต์” และเสียงนั้นทำให้ผมกลับมามีตัวตนอีกครั้ง

“หือ” ผมขานไป ทั้งที่ยังไม่ทันตั้งตัว

“เป็นอะไรมั๊ย ไม่เห็นพูดเลย” นายปีโป้ถามผม

“เปล่านี่” ผมบอกแล้วยิ้มๆไป ในใจคิดว่าคุยกันอยู่สองคน จะให้ผมไปคุยอะไรด้วยได้ละ

“อืม ไปกัน” นายปีโป้บอกผม พร้อมกับดึงมือผมไปจับเพื่อจูงเข้าบ้าน แต่ผมก็สะบัดมือออก ก่อนจะมองหน้านายปีโป้ ให้หันไปมองสายตาคนอื่น ซึ่งก็มีพี่หมวยเล็กมองอยู่  นายปีโป้จึงยอมปล่อยมือผม แล้วเดินเข้าไป โดยที่มีผมเดินไปข้างๆ และพี่หมวยเล็กเดินนำไปก่อน

เราเดินเข้ามาในห้องโถงกว้างๆ ที่มีโต๊ะกินข้าวอยู่ตรงกลาง ไม่ได้ใหญ่มาก แต่ก็มีอาหารรออยู่เยอะพอควร ทั้งที่เป็นมื้อเช้า พี่หมวยเล็กเดินไปนั่งแล้ว แต่ผมกำลังยืนอยู่ข้างนายปีโป้ รอให้มันพาไปนั่ง เพราะไม่รู้ว่าจะนั่งตรงไหนเหมือนกัน

“ป๊าครับ แม่ครับ นี่น้ำมนต์ เพื่อนหนู” นายปีโป้แนะนำผมกับพ่อแม่ของมัน ผมยกมือไหว้ทีละคน

“ส่วนนั่นพ่อกู และนั่นแม่สุดสวยของกู” มันบอกผม

“แหม ตาหนู ชมแม่ต่อหน้าเพื่อนอีกแล้วนะ” แม่ของปีโป้พูดขึ้น

“แล้วไมรื้อไม่ชมป๊าบ้างละ อาตี๋”

“โถๆๆ ป๊าก็หล่อครับ หล่อเหมือนหนูเลย”

“ก็มันแน่อยู่แล้วซี้ พ่อลูกกัน เชื้อมันไม่ทิ้งแถว”


“หนูน้ำมนต์มานั่งข้างแม่มา” แม่ของนายปีโป้เรียกผมไปนั่งข้างๆกับแม่ปีโป้ ผมหันไปมองหน้าของนายปีโป้ มันพยักหน้าและยิ้มๆให้ผม ผมเลยต้องเดินไปนั่งข้างแก  ส่วนนายปีโป้ก็ไปนั่งอีกทางนึงของโต๊ะ โดยการนั่งทานข้าวเช้าของเราในวันนี้ มีพ่อของนายปีโป้นั่งอยู่หัวโต๊ะ ถัดมาเป็นแม่ของนายปีโป้ และนายปีโป้ และเป็นผม กับพี่หมวยเล็ก


“หนูน้ำมนต์นี่หน้าหวานจังเลยนะ ไว้ผมยาวอีก แม่นึกว่าผู้หญิงแหนะ” แม่ทักผม

“ใช่ค่ะ หมวยเล็กก็คิดว่าผู้หญิงเหมือนคุณป้าเลย” พี่หมวยเล็กเสริม

“ผู้หญิงอะไรกันคุณ เดี๋ยวนี้เค้าเรียกว่าแนวไง ใช่มั๊ยตาหนู ผู้ชายแนวๆ เค้าชอบไว้ผมยาวๆกัน” พ่อของนายปีโป้แทรกขึ้นบ้าง

“ใช่แล้วป๊า น้ำมนต์มันเด็กศิลป์ครับแม่ มันเลยค่อนข้างทำตัวศิลปินนิดนึง”นายปีโป้ออกตัวแทนผม

“อ๋อ หนูน้ำมนต์เรียนศิลป์เหรอลูก หนูเรียนเกี่ยวกับอะไรคะ แม่ก็ชอบเหมือนกันศิลปะ แม่ชอบถ่ายรูป วาดรูปก็ชอบ”

“ผมเรียนเกี่ยวกับวิจิตรศิลป์ครับ ผมเห็นรูปถ่ายที่กระท่อมฝีมือแม่ สวยมากๆเลยครับ” ผมหันไปคุยกับแม่ปีโป้

“นั่นเป็นภาพที่แม่ถ่ายไว้ตั้งแต่ตอนเรียน จนถึงตอนนี้เลยละ ช่วงนี้ไม่ค่อยได้จับเลยลูก แม่แก่แล้ว”

“แต่ป๊าว่า หนูน้ำมนต์นี่หน้าตามันคุ้นๆนะแม่ เหมือนใครบางคนที่ป๊ารู้จักอ่ะ”

“ใช่ป๊า แม่ก็ว่าอย่างนั้น” พ่อกับแม่ของนายปีโป้พูดคุยกัน แล้วหันมามองหน้าของผมเพื่อสำรวจใบหน้า

“มั่วแล้วป๊า แม่ น้ำมนต์จะหน้าตาเหมือนใครกันละ เพิ่งเคยมาบ้านเราครั้งแรกด้วย หนูว่ามากินข้าวกันเถอะ” นายปีโป้เป็นคนพูด เพื่อเปลี่ยนเรื่องคุยกัน ผมหันไปยิ้มให้กับพ่อกับแม่ของนายปีโป้อีกครั้ง ก่อนที่จะก้มหน้าทานข้าว



“นั่นไง !!!” เสียงของพ่อนายปีโป้พูดขึ้นเสียงดัง พร้อมกับตบมือลงบนโต๊ะ ทำเอาทั้งโต๊ะตกใจไปหมด

“อะไรกันป๊า มีอะไรเหรอ” นายปีโป้ถาม

“ยิ้มแบบนี้ ป๊าคุ้นๆ แต่ป๊าก็ยังนึกไม่ออก” พ่อของนายปีโป้ยังคงพยายามจะนึกถึงความคุ้นเคยในตัวผมอีก ซึ่งถ้าถามผม บอกได้คำเดียวว่าไม่คุ้นเคยอะไรเลยกับสองคนนี้


“ป๊าคิดมากไปแล้ว กินข้าวกันเถอะครับ เย็นหมดแล้ว” เรากลับเข้าสู่สถานการณ์กินข้าวกันอีกครั้ง



แม่ของนายปีโป้ชวนทุกคนคุยเล็กน้อย พี่หมวยเล็กตักกับข้าวให้นายปีโป้บ้าง นายปีโป้ก็ตักให้พี่หมวยเล็กบ้าง และบางครั้งก็ยังเอื้อมมาตักให้ผม ส่วนพ่อของนายปีโป้เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ กินไปมองหน้าผมไป ทำให้ผมไม่ค่อยกล้ากินมากเท่าไหร่นัก .. ก็ดูแกจ้องสิครับ อย่างกับผมเคยเป็นลูกหนี้เก่าแกนั่นแหละ



การกินข้าวเช้ากับครอบครัวนายปีโป้วันนี้คงจบลงด้วยดี ถ้าช่วงปลายของการกินข้าว พ่อของนายปีโป้ที่นั่งจ้องหน้าของผมตั้งแต่เริ่ม ไม่พูดชื่อชื่อหนึ่งขึ้นมา






“ทรงยศ  มนต์ตรีตระกูลชัย”




เม้นขอกำลังใจกันเยอะๆนะคร๊าบบบบบบบ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-11-2011 00:11:32 โดย lungkhao »

ออฟไลน์ changnoy

  • i ❤ ChangnoY
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 502
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
    • FB
เป็นกำลังใจให้และคอยจิ้มเสมอมา :haun4:

ออฟไลน์ tongdbsk

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ไม่เคยทันสักที อ๊ากกก ไม่ยอม

ตอนหน้าก่อน หึหึ

แอร๊ยย ทรงยศ คือใครหนอ ?
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-11-2011 00:50:18 โดย tongdbsk »

ออฟไลน์ เฉาก๊วย

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +251/-6
รู้จักครอบครัวกันแล้วววว :o8:
ชะรอยคุณพ่อคุณแม่ปีโป้จะได้ว่าที่ลูกสะใภ้เป็นคนไม่ใกล้ไม่ไกลตัวนะเนี่ย  :กอด1:

 :L2:   :pig4:

ออฟไลน์ LalaBam

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2864
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +227/-2
นังหมวยเล็กนี่ใครกันว่ะ
อย่ามาทำให้ปีโป้กับน้ำมนต์แตกแยกนะเฟ่ย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
กะลังจะดราม่ารึเปล่า

AGAPE

  • บุคคลทั่วไป
ชอบคับ
ปล น้ำมนต์ไม่ง่ายดี ปลื้ม

yayee2

  • บุคคลทั่วไป
“ทรงยศ  มนต์ตรีตระกูลชัย”
คนนี้คือใคร พ่อของน้ำมนตร์เหรอ แล้วเกี่ยวข้องอย่างไรกับพ่อแม่ของปีโป้
จะอย่างไรก็ตาม ขอให้เกี่ยวข้องกันด้านดีล่ะกัน ไม่อยากกินมาม่า
นี่ขนาดว่าปีโป้จีบน้ำมนตร์ยังไม่ติดนี่ ก็ยังลุ้นจนตัวโก่งแล้วโก่งอีกแหละ

Crossley

  • บุคคลทั่วไป
ถึงหมวยจะไม่ร้าย แต่ชั้นก็หมั่นไส้เธอไปแล้ว   :m31:
ทรงยศนี่ใครหว่า รอตอนต่อไปจ้า

ออฟไลน์ Poseidon

  • Unconditional love
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5081
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-12
คนนั้น ต้องเป็นชื่อพ่อของน้ำมนต์แน่เลย
อย่าบอกนะว่า เค้าเป็นโจทย์เก่ากันอ่ะ

lungkhao

  • บุคคลทั่วไป
ตอนที่ 21


“ทรงยศ  มนต์ตรีตระกูลชัย”  ทั้งโต๊ะเงียบเป็นเสียงเดียว เมื่อป๊าของผมพูดชื่อนี้ออกมา

“ชื่อใครอ่ะป๊า” ผมถาม

“อังศนา น้ำวิเชียร” และแม่ผมก็พูดชื่ออีกชื่อขึ้นมา พร้อมกับมองหน้าไปที่น้ำมนต์ ที่ตอนนี้ตกใจอย่างกับพ่อแม่พูดชื่อคนรู้จักของตน

“ชื่อใครอ่ะแม่ นี่ป๊ากับแม่พูดชื่อใครออกมา” ผมก็หันไปถามอีกที ในขณะที่บรรยากาศรอบโต๊ะดูยังไงชอบๆกล

“ชื่อพ่อชื่อแม่เราเอง” น้ำมนต์ตอบออกมา

“ใช่มั๊ย หนูเป็นลูกไอ้ยศใช่มั๊ย” พ่อผมตบมืออย่างกับคนที่คาดเดาอะไรถูก ก่อนจะหันไปถามทางน้ำมนต์

“ใช่ครับ” น้ำมนต์ตอบมาสั้นๆ ก่อนจะก้มหน้าดูข้าวในจาน

“นี่ลูกของยัยนากับตายศจริงๆเหรอเนี่ย โตเป็นหนุ่มแล้วนะป๊า แม่จำไม่ได้เลยนะเนี่ย” แม่ผมพูดพร้อมกับเอามือลูบหัวน้ำมนต์ไปด้วย ตอนนี้ผมกำลังงงว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

“ป๊าก็จำไม่ได้แล้วแม่ เจอครั้งสุดท้ายห้าหกขวบได้ม้าง ตอนนั้นก็ไม่ได้เรียกว่าน้ำมนต์ด้วยนี่ เลยจำชื่อเล่นจริงๆของหนูน้ำมนต์ไม่ได้” ป๊าหันไปคุยกับแม่ผม

“ใช่แล้ว ตอนนั้นใครๆก็เรียกหนูแดงๆ กัน” แม่หันมาคุยกับป๊าบ้าง ผมหันไปมองน้ำมนต์ที่ยิ้มๆ แต่ก็เหมือนทำตัวไม่ถูกนัก

“นี่มันอะไรกันป๊า แม่ หนูงงหมดแล้วนะ” ผมไม่ลดละที่จะเรียกร้องความสนใจจากผู้ใหญ่สองคนที่กำลังพูดเรื่องอะไรก็ไม่รู้ ที่ผมฟังยังไงก็ไม่เข้าใจ

“หนูน้ำมนต์จำป๊าได้มั๊ย” พ่อไมได้สนใจผมเลย

“เอ่อ จำไม่ได้ครับ”

“ป๊าก็ จะจำได้ไง เจอครั้งสุดท้ายก็เด็กอยู่เลย” เสียงแม่ครับ




“ตกลงจะบอกหนูมั๊ย ว่ามันเกิดอะไรขึ้น !!!” ผมพูดขึ้นเสียงดังอีกที เล่นเอาทั้งโต๊ะหันมามองผมเป็นจุดเดียวกัน

“หนู ทำไมตะโกนเสียงดังอย่างนั้นล่ะลูก ไม่มีมารยาทเลย” แม่ดุผม

“ก็ป๊ากับแม่ก็บอกหนูสิ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย หนูงง” ผมบอกด้วยความหงุดหงิด

“นั่นสิครับ น้ำมนต์ก็งงหมดแล้ว ว่าท่านสองคนรู้จักพ่อแม่น้ำมนต์ได้ยังไง” น้ำมนต์ที่นั่งนิ่งๆ ทำหน้างงๆ ก็ถามขึ้นมาบ้าง

“มา ป๊าจะเล่าให้ฟัง” ป๊าพูดขึ้น ทำให้ผมหันหน้าไปมองอย่างอัตโนมัติ รวมทั้งน้ำมนต์ ไม่เว้นแต่หมวยเล็กที่นั่งฟังอยู่เงียบๆ ก็ให้ความสนใจด้วย

“ไอ้ยศ พ่อน้ำมนต์อ่ะ เป็นเพื่อนสนิทกับป๊า เราเคยอยู่กลุ่มเดียวกันตอนเรียน” พ่อผมเริ่มเล่า

“ส่วนยัยนา ก็เพื่อนสนิทแม่ อยู่โรงเรียนเดียวกับแม่เหมือนกัน” แม่พูดบ้าง

“ตอนที่ป๊าจีบแม่เรา ก็มีพ่อน้ำมนต์นี่แหละ ที่ไปเป็นเพื่อนป๊าจีบแม่เจ้าหนูทุกวี่วัน”  พ่อพูดต่อ

“แล้วพ่อน้ำมนต์ก็จีบแม่น้ำมนต์ไปพร้อมๆกัน”  แม่เสริม

“แล้วพวกเราทั้งหมดก็เป็นแฟน แต่งงาน มีครอบครัวกัน” พ่อเล่าข้ามๆ เพื่อรวบรัด

“โอ้โห น่ารักกันจังเลยครับ นั่นก็แปลว่า ป๊ากับแม่ ก็สนิทกับครอบครัวน้ำมนต์นั่นสิครับ ทำไมผมไม่เคยรู้เลยละเนี่ย” ผมรู้สึกดีใจ ที่อย่างน้อยความสัมพันธ์ของป๊ากับแม่ผม มันก็พอจะช่วยให้เราสนิทกันง่ายขึ้น

“เพราะพ่อกับแม่เราเสียไปตั้งแต่เราอายุห้าขวบไง ครอบครัวเรากับนายถึงไม่เคยได้เจอกันตอนเราโต” น้ำมนต์ตอบมาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเศร้าสร้อย

“หนูน้ำมนต์” เสียงแม่ของผมพูดขึ้นอย่างเบาๆ ด้วยความรู้สึกสงสาร

“น้ำมนต์อิ่มแล้ว ขอตัวไปเดินย่อยหน่อยนะครับ ขอโทษด้วยที่เสียมารยาท” น้ำมนต์พูดพร้อมกับเดินออกไป ป๊ากับแม่หันมามองผม

“ไอ้หนู ไปคุยกับน้องเค้าหน่อยไป น้องเค้าคงคิดถึงพ่อกับแม่เค้า” ป๊าบอกผม

“อ่าครับ” ผมพูดพร้อมกับลุกขึ้นเดินตามน้ำมนต์มา




ผมเห็นน้ำมนต์กำลังเดินกลับมาทางกระท่อมของผม แต่ก็หยุดนั่งมองอะไรที่สวนของบ้าน  สายตามองไปที่ชายหาดของทะเล  ผมเห็นดังนั้นจึงรีบเดินเข้าไปหา



“คิดถึงพ่อกับแม่เหรอวะ” ผมถามขึ้น ก่อนที่จะลงไปนั่งข้างๆกับน้ำมนต์ บนม้านั่งหินอ่อนตัวเดียวกัน  น้ำมนต์เขยิบหนีเล็กน้อย

“เปล่านี่”

“ไม่ต้องโกหกกูหรอก กูเข้าใจ” ผมพูดพร้อมกับยิ้มให้

“ขอบใจนะ” มันพูดขึ้นมาก่อนที่จะหันไปมองทะเลอีก  ผมเลยเงียบ อยากให้เวลาส่วนตัวกับมัน


“พ่อแม่เราเสียด้วยอุบัติเหตุรถคว่ำ ตอนที่เอาเรามาฝากไว้กับยาย และจะขึ้นไปทำงานที่หัวหิน  ยังไม่ทันได้ไปเลย รถก็คว่ำเสียแล้ว ตอนนั้นเรายังเด็กมาก ยังคิดว่าพ่อกับแม่ไปหัวหินอยู่เลย งานศพที่จัดขึ้นที่บ้านยาย เราก็ยังไม่ค่อยเข้าใจนักหรอก ว่าตอนนั้นเราเสียใจแค่ไหน แต่พอโตขึ้น เรากลับรู้สึกเสียใจ ที่ตัวเองไม่มีพ่อกับแม่เหมือนคนอื่นเค้า .. แต่เราก็ไม่เคยร้อง ไม่เคยอ่อนแอ ไม่เคยคิดว่านั่นเป็นปมด้อยของตัวเอง .. ยายบอกว่าเราต้องอยู่ได้ เราก็เลยเชื่อว่าเราต้องอยู่ได้อย่างที่ยายบอก” 


น้ำมนต์พูดออกมาเหมือนจะต้องการเล่าเรื่องราวที่ผ่านมาให้ผมฟัง ผมว่าคงเป็นเพราะเหตุนี้ น้ำมนต์คนที่มีหน้าตาน่ารักอย่างกับผู้หญิงคนนี้ ถึงมีหัวใจที่แข็งแกร่ง จนบางครั้งก็เกือบจะเย็นชา ..

“ป๊ากับแม่กู รู้จักพ่อกับแม่มึง ดีเลยเนอะ เราจะได้ดองกันง่ายหน่อย” ผมพูดติดตลกไปเพื่อให้มันได้ยิ้มบ้าง

“ตลกละ แล้วคู่หมั้นของนายละ” มันหันมาพูดกับผมครับ

“ใครกันคู่หมั้นกู”

“พี่หมวยเล็กไง”

“ตี๋โป้  น้องน้ำมนต์ แม่ให้มาตามเข้าบ้านอ่ะค่ะ” เสียงของหมวยเล็กดังมาพอดี

“พูดถึงก็มาเลย ไปกันเถอะ” น้ำมนต์พูดพร้อมกับลุกขึ้นเดินไปทางหมวยเล็ก 


นี่ไปรู้มาจากไหนอีกนะ ว่าหมวยเล็กเป็นคู่หมั้นผม ... แต่ยังไงซะ ผมว่าเรื่องราวของพ่อแม่น้ำมนต์และป๊ากับแม่ผม ต้องมีอะไรมากกว่านี้แน่ๆ ไม่งั้นพ่อกับแม่ไม่ท่องชื่อจริงได้ เพียงแค่เห็นหน้าน้ำมนต์หรอก



“วันนี้ป๊าจะไปที่สะพานปลา ไปดูพวกคนงานหน่อย หนูจะไปกับป๊ามั๊ย” พ่อถามผม เมื่อผมเข้ามาในบ้านเป็นคนสุดท้าย

“ก็ได้ป๊า เอาน้ำมนต์ไปด้วยนะป๊า” ผมบอกป๊า

“ได้ดิ หนูน้ำมนต์ ไปเที่ยวสะพานปลากันนะลูก” พ่อบอกผม ก่อนที่จะหันไปชวนน้ำมนต์

“ได้ครับ” มันตอบมาสั้นๆ

“แล้วหมวยเล็กละ จะไปกับลุงด้วยมั๊ย” ป๊าผมหันไปถามหมวยเล็ก

“ไม่ดีกว่าคะ หมวยเล็กอยู่ช่วยคุณป้าที่บ้านดีกว่า” หมวยเล็กตอบ

“ดีเลยหมวยเล็ก วันนี้ป้าอยากทำขนมหวานอยู่พอดี อยากมีลูกมือ” แม่ผมพูดขึ้น

“งั้นป๊าว่าเราไปกันเถอะ สายกว่านี้จะร้อน” ป๊าผมพูด

“ป๊าเอารถยนต์ไปนะ เดี๋ยหนูเอามอไซค์ไปเอง หนูจะพาน้ำมนต์ไปเที่ยวชายหาดด้วย” ผมบอกป๊า

“เอางั้นเหรอ ก็ได้ ยังไงก็รีบตามป๊าไปที่สะพานปลาล่ะ” ป้าพูดกับผม ก่อนที่จะเดินออกจากบ้านไป



ผมหันไปพยักหน้าให้น้ำมนต์ให้มันเดินตามผมมา ผมพาน้ำมนต์เข้าไปในโรงรถของบ้าน ที่อยู่ไม่ห่างจากเรือนใหญ่นัก เพื่อมาเอารถมอไซค์คันโปรดของผม ไปขี่รับลมทะเลยามเช้า



“นี่ เดี๋ยวเราจะเที่ยวกันกับคันนี้” ผมบอกน้ำมนต์ พร้อมกับดึงผ้าคุมรถออก เผยให้เห็นเวสป้า สีชมพูสดใส ที่ผมอ้อนให้ป๊าซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิด และอ้อนแม่ให้ออกเงินค่าทำสี ทำเครื่องใหม่ให้อีกทีนึง

“โห นี่รถนายเหรอ” น้ำมนต์อุทานออกมาเมื่อเห็นรถผม

“ใช่แล้ว สวยมั๊ย”

“อืม สวยดี”

“อืม ดีจังที่มึงชอบ กูไม่เคยให้ใครซ้อนรถกูเลยนะ สาวๆก็ยังไม่เคย มึงคนแรกเลยนะ” ผมบอกมัน

“แต่เราไม่ใช่สาวๆของนายนะ”

“แต่มึงก็เป็นคนพิเศษของกูเหมือนกัน” ผมตอบไปแล้วยิ้มๆ แต่ใบหน้าที่อยู่ตรงหน้า กลับนิ่งเฉย ไม่รู้สึกอะไรกับคำหยอดของผมเลย  ผมเลยต้องหุบยิ้ม แล้วเข็นรถเวสป้าของผมออกมา  แล้วก็สตาร์ทรถ น้ำมนต์ขึ้นซ้อน ก่อนจะพาน้ำมนต์ขับชมชายหาดทะเลยามเช้า



ชายหาดแถวนี้ยังไม่มีธุรกิจอะไรเติบโตมากนัก ส่วนมากก็เป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย มีรีสอร์ท ไม่ก็บังกะโลเล็กๆไว้คอยให้บริการ ความเป็นชาวบ้านยังมีให้เห็นอยู่เรียงราย มีโรงแรมที่ใหญ่ๆของนายหน้าจากกรุงเทพไม่มากนัก  แต่ก็คงอีกไม่นาน พวกนายทุนคงมาทำโรงแรมกันมากขึ้น



แดดอ่อนๆ กับลมทะเลในตอนนี้ทำให้ผมไม่รีบร้อนนักในการขับมอเตอร์ไซค์ไปที่สะพานปลา น้ำมนต์นั่งซ้อนผมโดยไม่ได้พูดจาอะไร สายตาของเค้ามองลงไปที่ชายหาดและทะเลกว้าง   ผมที่เขาไม่ได้รวบไว้ปลิวไปตามแรงลม แว่นกันแดดที่เขายืมของผมมาใส่ รับเข้ากับแสงแดดระยิบระยับ



“มึงใส่แว่นแล้วเท่ดีวะ” ผมบอกมัน

“หล่อกว่านายป่ะ” มันถามมากวนๆ

“ไม่มีทางซะหรอก” ผมบอกมันพร้อมกับยิ้มๆ

“งั้นทีหลังก็ไม่ต้องชม” มันพูดมาพร้อมกับหันหน้าไปดูทางอื่น

“แต่น่ารัก น่าหอมแก้ม”

“อยากโดนต่อยอีกใช่มั๊ย”

“โห คนไรวะ โหดเป็นบ้า แผลเดิมยังไม่หายเลยนะครับบบบ”

“ก็จะต่อยให้หน้าเละไปเลย” ถึงแม้ว่ามันจะพูดมาโหดๆ แต่ผมมองเห็นจากกระจกมองหลังนะ ว่ามันแอบยิ้ม




เรามาถึงสะพานปลากัน โดยผมเห็นป๊าเดินคุมคนงานอยู่ตรงท่าเรือ ผมเดินทักทายคนงานที่คุ้นเคยกันไปเรื่อยๆ พร้อมกับแนะนำน้ำมนต์ให้คนที่ผมสนิทรู้จัก น้ำมนต์ได้แต่ยิ้มและยกมือไหว้  ที่ท่าเรือนี้มีชาวประมงเยอะแยะมากครับ ส่วนมากก็เป็นชาวบ้านลูกหลานแถวนี้แหละ ที่มาของานพ่อทำ พอรับพ่อมา ก็รับเมียมาด้วย สักพักก็รับลูกมาทำด้วย เป็นธุรกิจภายในครัวเรือนของพวกเขาไปแล้ว

“เอ๋า นายหัวโป้ ไม่เห็นหน้าเลยนิหวางนี้  ไปไหนมาเหล๋า” เสียงของคนงานทักผมมาเป็นภาษาถิ่น

“ช่วงนี้เรียนหนักลุง ไม่ค่อยได้กลับบ้าน” ผมตะโกนบอกไป

“เรียนหนัก หรือว่าติดหญิงละ ได้ข่าวว่าหรอยหนัดนิเติน”

“หรอยอะไรกัน มั่วแล้วๆ”

“ทำไมไม่บอกเค้าไปละ ว่าหรอยจริงๆ” น้ำมนต์เหน็บผม

“หรอยยังไงของมึง อย่ามาหาเรื่องกู”

“ไม่รู้สิ”

“เคยชิมแล้วหรือไง  อ้อลืมไป เมื่อคืน ..”

“หยุดพูดเลยนะ ไม่งั้นเราต่อยนายตรงนี้อายคนงานแน่ๆ”  มันพูดแล้วรีบเดินไปเลยครับ ไม่ให้คิดก็พอรู้ว่ามันอาย  หึหึ นับวันยิ่งน่ารักเว้ย



ผมเดินตามมันมาครับ มันเดินมาดูปลาหมึกที่ชาวบ้านไปจับมาได้กับป๊าผมอยู่



“โหตัวใหญ่มากๆเลยครับคุณลุง” น้ำมนต์ทักขึ้น

“เอ๊ย หนูน้ำมนต์ เรียกป๊าว่าป๊าสิลูก ยังไงลูกก็ลูกเพื่อนรักป๊า เรียกว่าป๊าเลย ป๊าไม่ถือ” ป๊าผมบอก

“ใช่ป๊า เรียกไว้จะได้ชินๆ” ผมพูดพร้อมกับอมยิ้มไปทางมัน มันทำหน้าไม่พอใจมากเล็กน้อย คงรู้ว่าผมหมายถึงอะไร

“ครับป๊า นี่พวกเค้าจับมาเองหมดเลยเหรอครับเนี่ย”  น้ำมนต์หันไปถามพ่อ

“ใช้แล้วหนูน้ำมนต์ ช่วงนี้นะหมึกเยอะเลยละ ชาวเรือเลยจับมาได้เยอะแยะ”

“โห ตัวโตๆทั้งนั้นเลย นี่ถ้าทำหมึกยัดไส้นี่ สองตัวก็เต็มหม้อแล้วนะครับ น้ำมนต์ว่า”

“เอาป่ะละ เดี๋ยวป๊าให้แม่ครัวทำให้กิน”

“ไม่เป็นไรดีกว่าครับ”

“เอ๊ย ไม่เป็นอะไร คืนนี้นอนบ้านป๊าอีกคืนสิ ป๊าจะให้แม่ครัวเค้าทำให้”

“เอ่อ ..”

“นอนเหอะมึง เดี๋ยวกูโทรไปบอกยายให้”  ผมบอกมันพร้อมกับยิ้มไปให้ อยากให้มันหายห่วงเรื่องยายของมัน

“เออ ใช่ ยายหนูน้ำมนต์เป็นยังไงบ้าง ป๊าไม่เจอนานแล้ว” พ่อผมถาม

“ก็สบายดีครับ ยังแข็งแรงดีอยู่ แต่ก็มีเจ็บป่วยบ้าง ตามประสาคนแก่”  น้ำมนต์ตอบ

“อืม ฝากบอกยายด้วยว่าป๊าคิดถึง มีโอกาสคงได้ไปเยี่ยม”

“ครับ”  น้ำมนต์ตอบป๊า ก่อนที่ป๊าจะยกมือไปลูบหัวน้ำมนต์เบาๆ ก่อนจะคล้องคอเดินไปดูปลาหมึกที่กำลังจะขึ้นมาจากเรือ  ส่วนผมนะเหรอ ป๊าไม่สนใจแล้ว ได้แต่เดินตามต้อยๆ



“เออ พูดถึงปลาหมึก หนูน้ำมนต์รู้มั๊ย เมื่อป๊ากับพ่อหนูเป็นวัยรุ่นนะ ป๊ากับพ่อหนูชอบออกเรือไปตกหมึกกันตอนดึกๆ พ่อหนูนะตกหมึกเก่งมากๆเลยละ ได้ทีนึงเป็นลังใหญ่เลย”

“จริงเหรอครับ พ่อน้ำมนต์ตกหมึกเก่งเหรอ น้ำมนต์ไม่ยักรู้” น้ำมนต์ถามป๊าของผมไปด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น แววตาของน้ำมนต์ตอนนี้ดูดีใจที่ได้ยินเรื่องพ่อของตัวเอง

“จริงสิ ตอนนั้นนะ ป๊าพาเพื่อนลงไปแข่งตกหมึกกัน ไม่มีใครชนะพ่อน้ำมนต์เลยนะ”ป๊าผมเล่าทั้งรอยยิ้ม ตอนนี้คงเป็นเวลาของเขาสองคนสินะ คนนึงก็คิดถึงเพื่อนเก่า อีกคนก็คิดถึงพ่อของตัวเอง

“พอช่วงปิดเทอม พ่อหนูก็มักจะมาของานเตี๋ยป๊าทำ บางทีก็อยู่ในรีสอร์ท บางทีก็ออกมาเป็นลูกเรือ พ่อของหนูขยันมากๆเลยนะตอนนั้น” พ่อผมพูดพร้อมกับมองลงไปที่คนเรือ ที่กำลังเดินผ่านไม้กระดานเพื่อเอาสัตว์ทะเลที่จับมาได้ไว้บนสะพาน

“ครับ ยายเคยบอกว่าพ่อของน้ำมนต์ขยันมาก ยายบอกว่าพ่อของน้ำมนต์ไม่มีอะไรเลยตอนที่มาขอแม่ แต่ยายก็ยกให้เพราะพ่อมีความขยัน และก็อดทนจนชนะใจยาย” น้ำมนต์พูดมาด้วยน้ำเสียงและความรู้สึกที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน มันเหมือนกับภูมิใจ และมีความสุขที่พูดถึงเรื่องนี้

“ใช่ ป๊ายังจำได้เลย กว่ามันจะชนะใจแม่ยายได้นะ ป๊าลุ้นแทบตาย ฮ่าๆๆ”  ป๊าผมเล่าด้วยเสียงหัวเราะ

“ลุง .. เอ่อ ป๊า ช่วยเล่าเรื่องเกี่ยวกับพ่อของน้ำมนต์ให้ฟังเยอะๆได้มั๊ยครับ น้ำมนต์อยากฟัง” น้ำมนต์พูดพร้อมกับมองหน้าผม เชิงขอร้อง พ่อผมก้มลงมามองหน้าน้ำมนต์นิดหน่อย

“ได้มั๊ยป๊า หนูก็อยากฟังเรื่องของพ่อน้ำมนต์” ผมพูดพร้อมกับเดินไปกอดคอน้ำมนต์อีกข้างหนึ่ง น้ำมนต์หันมามองหน้าผม พร้อมกับทำหน้าไม่พอใจ แอบด่าประมาณว่าผมทำเนียน .. แต่ใครจะไปสนละ เนอะ

“ได้สิ เดี๋ยวป๊าเล่าให้ฟัง ถ้าหนูอยากรู้เรื่องแม่หนู หนูก็ไปถามแม่เจ้าโป้มันนะ ถ้าอยากรู้เรื่องไอ้ยศ ก็มาถามพ่อ” พ่อผมบอกด้วยรอยยิ้ม และแน่นอน ว่าน้ำมนต์ก็ยิ้มตามรอยยิ้มนั้นของพ่อ  แปลกใจจริงๆ ที่ผมก็ยิ้มตามทั้งสองคนไปด้วย




ระหว่างที่เราอยู่ที่สะพานปลา ป๊าพาเราดูคนงานไปและเล่าเรื่องของพ่อน้ำมนต์ไป น้ำมนต์ตั้งใจฟังทุกอย่างที่พ่อเล่า โดยลืมไปเลยมั้ง ว่ามีผมยืนอยู่ด้วย แต่ผมก็ไม่ได้น้อยใจอะไรนะ กลับดีใจด้วยซ้ำ ไม่คิดว่าการพาน้ำมนต์มาบ้านครั้งนี้ กลับทำให้น้ำมนต์มีความสุขขนาดนี้ น้ำมนต์คนที่ไม่ค่อยยิ้ม ท่าทางเฉยชา และทำตัวแข็งกระด้างต่อโลก ทั้งๆที่จริงๆตัวเองกลับเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี  อ่อนโยน  คงเพราะว่าขาดพ่อขาดแม่ตั้งแต่เด็กมั้ง น้ำมนต์จึงสร้างภูมิคุ้มกันเป็นความแข็งแกร่ง เพื่อให้คนภายนอกไม่กล้าเข้าใกล้ ในเมื่อไม่มีใครกล้าเข้าหา คงคิดว่าจะปลอดภัยจากศัตรูกระมัง ..

ความคิดเด็กน้อยจริงๆ ...



“ไงมึง ชอบป๊ากูป่ะ” ผมถามขณะที่กำลังขับรถกลับบ้านไปกินข้าวเที่ยงกัน

“ก็ชอบกว่าลูกแกอ่ะ” มันตอบมากวนๆ

“เหรอ ชอบพ่อแล้ว ไม่ชอบลูกด้วยละ”

“ไม่มีทางอ่ะ”

“ทำเป็นปากดี ระวังสักวันจะกลืนน้ำลายตัวเอง” ผมบอกมัน



“รีบๆขับ เราร้อน”  มันเงียบไปพักนึง ก่อนจะพูดเร่งให้ผมรีบขับมอเตอร์ไซค์กลับบ้าน ซึ่งอากาศตอนนี้ช่างต่างกับตอนเช้าลิบลับ ..


เรามาถึงบ้านก็เจอป๊า แม่ และหมวยเล็กรออยู่แล้ว

“ตี๋โป้  น้องน้ำมนต์ ทางนี้จ้า” หมวยเล็กตะโกนเรียกพร้อมกับกวักมือเรียกพวกผม วันนี้เราเลือกจะกินข้าวเที่ยงกันที่ศาลาใกล้หาด หมวยเล็กเลยรับหน้าที่มาตามพวกผม ผมหันหลังไปจับมือน้ำมนต์เพื่อจะพาเดินไปด้วยกัน

“ปล่อย” น้ำมนต์พูดพร้อมกับทำท่าจะสะบัดมือผม แต่ก็ยังไม่หลุด

“ทำไมอีกละ” ผมถาม

“เราจะไปห้องน้ำก่อน” คำพูดและสายตาที่ดูก็รู้ว่าเป็นข้ออ้าง ก่อนที่จะสะบัดมือผมหลุดไป เพราะการปล่อยมือของผมด้วย

“น้องน้ำมนต์ไปไหนเหรอ” หมวยเล็กเข้ามาถาม

“เห็นบอกว่าไปห้องน้ำ” ผมตอบหมวยเล็กไป

“งั้นเราเข้าไปกันก่อนเถอะ” หมวยเล็กพูดพร้อมกับจูงมือผมเข้าไปที่ศาลา ซึ่งมีป๊ากับแม่ผมกำลังนั่งคุยกันอยู่ แว่วๆเหมือนกับเป็นเรื่องของน้ำมนต์


“จริงเหรอคะคุณ หนูน้ำมนต์นี่นะ นิสัยเหมือนกับพี่ยศ” แม่ผมพูดขึ้น

“จริงสิคุณ ป๊ามองแว๊บเดียวก็รู้เลย” พ่อผมบอก

“ยังไงเหรอป๊า ที่ป๊าบอกว่าเหมือนกับลุงยศอ่ะ” ผมถามด้วยความสงสัย

“ก็นิสัยดื้อรั้น อดทน เด็ดเดี่ยว แบบนี้แหละ นิสัยเจ้ายศมันเลย” ป๊าผมบอก ผมแอบยิ้มกับคำพูดของป๊า เพราะมันจริงซะยิ่งกว่าจริงเสียอีก

“หมวยเล็กว่าเรามาทานข้าวกันเถอะคะ หมวยเล็กหิวแล้ว” หมวยเล็กพูดขึ้น

“แต่น้ำมนต์ ..” ผมจะขัด

“เข้าห้องน้ำ เดี๋ยวคงมา เราทานกันก่อนเถอะคะ”

“เอ้า ทานกันก่อนเลยก็ได้นะป๊าว่า ไม่ต้องพิธีรีตองอะไรให้มากหรอก คนกันเองทั้งนั้น” ป๊าผมพูดตัดบท



เรานั่งทานข้าวไปกันได้ครู่หนึ่ง น้ำมนต์ก็กลับมาจากห้องน้ำ แล้วก็นั่งทานข้าวไป ไม่พูดไม่จาอะไร บนโต๊ะเต็มไปด้วยบทสนทนาของป๊าและแม่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเก่า เรื่องใหม่  ถูกยกมาเล่าขานให้ลูกหลานฟัง


“เออ หนูหมวยเล็ก แล้วเมื่อไหร่จะชวนป๊ากับม๊าหนูมาทานข้าวบ้านแม่อีกละ” แม่ผมถามขึ้น

“อ๋อค่ะ เดี๋ยวเอาเป็นปลายเดือนนี้แล้วกันนะคะ หมวยเล็กจะเรียนท่านให้ ตี๋โป้ว่างมั้ย อาทิตย์ปลายเดือนนี้” หมวยเล็กตอบแม่ผม ก่อนจะหันมาถามผม

“เอ่อ ไม่รู้สิ เดี๋ยวค่อยบอกอีกที”

“เอ๊ย ได้ไงอ่ะ ตี๋โป้เบี้ยวหมวยหลายรอบแล้วนะ ป๊ากับม๊าหมวยบ่นอยากเจอตี๋โป้หลายครั้งแล้วด้วย”

“นั่นสิไอ้หนู เอ็งทำป๊าเสียผู้ใหญ่มาหลายรอบแล้ว กลับบ้านมากินข้าวกับครอบครัวหมวยเล็กเค้าบ้าง ยังไงก็เป็นคู่หมั้นคู่หมายกัน อย่าทำให้เหมือนห่างเหิน” ป๊าผมพูดขึ้น

“อ้าว อิ่มแล้วเหรอหนูน้ำมนต์ ทำไมกินน้อยจังละลูก” แม่ผมหันไปถามน้ำมนต์ เมื่อเห็นน้ำมนต์รวบช้อนและยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม

“พอดีน้ำมนต์ยังอิ่มมื้อเช้าอยู่เลยครับ เลยกินได้ไม่ค่อยเยอะ” น้ำมนต์ตอบพร้อมกับยิ้มให้แม่ของผม

“งั้นเดี๋ยวแม่เรียกให้แม่บ้านยกขนมหวานมาให้นะ”

“ไม่เป็นไรดีกว่าครับ เดี๋ยวน้ำมนต์เข้าไปช่วยแม่บ้านยกดีกว่าครับ”

“เอางั้นเหรอ งั้นก็เข้าไปในครัวนะลูก บอกให้แม่บ้านช่วยยกมา”

“ครับ” น้ำมนต์ตอบแม่ ก่อนที่จะลุกออกจากศาลาตรงเข้าไปในครัวของบ้าน



“ไม่เอาละ ตี๋โป้ห้ามเบี้ยวนัดเดือนนี้ด้วย” หมวยเล็กพูดมาด้วยสีหน้าบูดเบี้ยว

“เอาเถอะตาหนู มากินข้าวกับคุณน้าเค้าบ้าง เรานะไม่ได้กินข้าวพร้อมหน้ากับครอบครัวหนูหมวยเล็กหลายรอบแล้วนะ” แม่หันมาดุผม

“ครับ ได้ครับ” คราวนี้ทั้งป๊าและแม่ออกปากพูดพร้อมกัน จนผมยากจะเลี่ยงเหมือนครั้งก่อนๆ


ก็ดีครับ ในเมื่อได้เจอกันพร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้ง ผมจะได้คุยเรื่องนี้ให้มันชัดเจนสักที .. ปล่อยให้มันคาราคาซังมานานนมแล้ว ..




คงถึงเวลาสะสาง “สัญญาแต่ปางก่อน” ซะที !!!,




...................................................

อัพก่อนวันเกิดผม ยังไงก็อ่านให้สนุกนะครับ อวยพรผมด้วยนะ ขอบคุณล่วงหน้าครับผม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-11-2011 21:41:35 โดย lungkhao »

ออฟไลน์ changnoy

  • i ❤ ChangnoY
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 502
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
    • FB
นังหมวยเล็ก เริ่มร้ายแล้วนะแก ><


อวยพรนักแต่งของเราหน่อย ขอให้มีความสุขมากๆ นิยายขายดิบขายดี แฟนคลับอ่านแล้วรัก อ่านแล้วหลงน๊าาา

Akamei

  • บุคคลทั่วไป
เอาให้เคลียเลยนะ นายปีโป้!!!
ไม่งั้นน้องน้ำมนต์ต้องเป็นของช้าน น นน น น
5555

หมวยเล็กนี่นะ  :z3:

ออฟไลน์ เฉาก๊วย

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +251/-6
รีบสะสางเข้าปีโป้ เคลียร์ตัวเองซะน้ำมนต์จะได้สบายใจว่าไม่ได้เป็นมือที่สาม

สุขสันต์วันเกิดค่า มีความสุขมากๆ นะคะ
 :a: :b: :a:

ออฟไลน์ NumPing

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 502
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-2
ปีโป้เริ่มทำตัวเป็นผู้เป็นคนบ้างแระ

แถมเป็นคนกันเองอีกด้วย มีหวัง แต่อีกนานมั๊งกว่าจะจีบติด

หมวยเล็ก อย่าเยอะหนู เป็นสาวเป็นนาง ชิร์

ขอร่วมอวยพรด้วยนะ ขอให้มีความสุขมาก ๆ พบเจอแต่เรื่องดี ๆ นะจ๊ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-11-2011 22:20:18 โดย NumPing »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด