ไหนๆ พรุ่งนี้ก็จะวันวาเลนไทน์แล้ว ก็เอาตอนพิเศษมาลงให้ก่อนวันนึง ไม่ผิดกติกาหรอกนะ มาเร็วดีกว่ามาช้า จริงมิ เอิ้กๆๆ ตอน คืนพิเศษของคนพิเศษ อุณหภูมิจากเครื่องปรับอากาศในห้องเย็นกำลังพอดี หมอนและผ้าห่มก็นุ่มลื่นแถมยังกรุ่นกลิ่นอายที่คุ้นเคยจนชวนให้หลับสบาย แต่เมื่อวาดแขนออกไปและพบแต่ความว่างเปล่าใกล้ตัว ณรงค์ก็หรี่ตาขึ้นช้าๆ ท่ามกลางความงัวเงียเพราะยังไม่ตื่นเต็มที่ เสียงน้ำไหลแผ่วๆ จากในห้องน้ำก็ลอยมาเข้าหู
ชายหนุ่มเหลือบมองไปทางประตูห้องน้ำซึ่งเปิดอ้าไว้ บานประตูสีขาวบังคนที่กำลังยืนอยู่หน้ากระจกและหันหลังให้เขาไปกว่าครึ่งตัว กระนั้นก็เพียงพอจะเผยให้เห็นด้านหลังของเรือนร่างเย้ายวนแบบบุรุษเพศที่สวมเพียงกางเกงบรีฟแนบเนื้อสีเทาอ่อน ร่างสูงใหญ่ยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองทีหนึ่ง ก่อนจะสูดจมูกแล้วค่อยยันตัวขึ้นนั่ง
“คุณตื่นเช้าจัง”
เสียงณรงค์ยังสะลึมสะลือเล็กน้อยเมื่อเดินเข้าไปใกล้คนที่กำลังโกนหนวด ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้ก็สวมเพียงกางเกงบรีฟผ้ายืดตัวเดียวไม่ต่างกับไรอัน แต่เรือนผมหยักศกที่ชื้นนิดๆ กับกลิ่นสบู่ที่กรุ่นในห้องน้ำบอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว
ไรอันมองสบตาคนที่เพิ่งตื่นผ่านกระจก ขณะเดียวกันก็รูดใบมีดโกนไปบนแก้มที่โปะครีมโกนหนวดขาวฟูเอาไว้ เผยให้เห็นผิวเนียนสีงาช้างยามที่ใบมีดคมกริบลากผ่าน ราวกับใครเอานิ้วปาดวิปครีมจนเห็นเนื้อเค้กข้างใต้
“I didn’t go to bed at 2 o’clock like you.”
ณรงค์หัวเราะ เขาฉวยโอกาสตอนไรอันเคาะมีดโกนซึ่งเลอะครีมลงในอ่าง ก้มลงกดจมูกบนขมับอีกฝ่ายเบาๆ ก่อนจะหันไปหยิบแปรงสีฟันของตัวเองมาบีบยาสีฟันลงไป ไรอันจึงเบี่ยงตัวเพื่อให้ที่เขาได้ยืนและแปรงฟันได้ถนัดขึ้น
ที่นี่เป็นคอนโดของไรอัน ปกติแล้วในสัปดาห์หนึ่งๆ พวกเขาจะสลับกันไปนอนที่คอนโดของอีกฝ่ายบ้างตามแต่จะสะดวก บางคืนก็อาจจะนอนแยกคอนโดใครคอนโดมัน แต่เพราะเมื่อคืนนี้ณรงค์ต้องอยู่ทำงานที่ออฟฟิศถึงตีหนึ่งครึ่งเพื่อเตรียมแบบสำหรับไปเสนอลูกค้า เมื่อคืนเขาก็เลยมาค้างที่นี่เพราะเพลียจนไม่อยากขับรถกลับคอนโดของตัวเอง
“ถ้างั้นเดี๋ยวกินข้าวเช้าด้วยกันก่อนมั้ย? จะให้ผมต้มโจ๊กหรือทอดไข่ดี?”
ณรงค์ถามขณะแปรงฟันอย่างไม่รีบร้อน เพราะว่าจากคอนโดของไรอันไปบริษัทนั้นใช้เวลาเพียงสิบห้านาที ดังนั้นต่อให้เขาโอ้เอ้จนแปดโมงครึ่งก็ยังมีเวลาถมถืดสำหรับเดินทาง
ไรอันเลิกคิ้วข้างหนึ่ง ก่อนจะจรดมีดโกนลงเก็บรายละเอียดครั้งสุดท้ายแล้วก้มลงล้างหน้า
“วันนี้ผมมีนัดต้องไปสัมภาษณ์นิตยสารตอนเช้า เมื่อคืนผมก็บอกคุณไปแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“หือม์?...อ้อ วันนี้หรอกเหรอเนี่ย”
ณรงค์กลอกตาพลางพูดงึมงำ ตอนมาถึงคอนโดของไรอันเมื่อคืนเขาทั้งเหนื่อยทั้งเพลีย ถ้าหากเป็นที่คอนโดตัวเองก็คงแค่ถอดเสื้อผ้าแล้วล้มตัวลงบนเตียงเลยด้วยซ้ำ แต่เพราะโดนไล่ให้ไปอาบน้ำก่อน ถึงได้ต้องข่มความง่วงทำตามที่เจ้าของห้องบอกก่อนจะมานอนด้วยกัน เขาคลับคล้ายคลับคลาว่าได้ยินเรื่อง ‘สัมภาษณ์’ แว่วๆ ตอนกอดเจ้าตัวจากข้างหลัง แต่เพราะผล็อยหลับไปก่อนจะฟังจบ เลยไม่ทันได้จำรายละเอียด
“คุณนี่นะ...แล้วหายไข้หรือยัง?”
ไรอันถามพลางอังมือลงบนต้นคอของณรงค์ ชายหนุ่มจึงก้มลงบ้วนปากก่อนจะหยิบผ้าขนหนูขึ้นซับหน้า
“ผมมีไข้ด้วยเหรอ?”
ไรอันฟังคำถามแล้วก็ทำหน้าหน่ายใจ แต่ประกายในดวงตากับมุมปากที่ยกขึ้นนิดๆ ทำให้ใบหน้าอ่อนโยนลง
“ก็เมื่อคืนคุณตัวอุ่นๆ แถมสูดน้ำมูกอีก แต่ท่าทางคงไม่เป็นไรแล้วมั้ง ตัวไม่ร้อนแล้ว”
หนุ่มลูกครึ่งยกมือขึ้นอังหน้าผากเขาอีกทีเพื่อให้แน่ใจ ณรงค์จึงหันไปเสียบแปรงสีฟันในที่เก็บก่อนจะหันกลับมาทั้งตัว
“โอเค ผมแปรงฟันเสร็จแล้ว มอร์นิ่งคิสผมล่ะ?”
ณรงค์พูดยิ้มๆ พลางกางแขนสองข้างออก ไรอันสบตากับเขา แล้วรอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลาก็ขยายกว้างขึ้นด้วยความหมั่นไส้
“Cheeky bastard.”
หนุ่มลูกครึ่งก้าวเข้ามายืนจนชิดและวางมือลงบนไหล่ ณรงค์จึงรวบเอวอีกฝ่ายเข้าหาก่อนจะก้มลงจูบกลีบปากได้รูปเบาๆ กลิ่นสบู่และครีมโกนหนวดอ่อนจางดึงดูดให้เขาเคลียจมูกไปบนผิวแก้มเกลี้ยงเกลาก่อนจะกดลงหอมแรงๆ อย่างมันเขี้ยว
ทั้งคู่อาจคบกันมาหลายเดือนแล้วก็จริง แต่เนื่องจากยังไม่ได้ย้ายมาอยู่ด้วยกัน สัปดาห์หนึ่งๆ จะได้นอนเตียงเดียวกันก็สามสี่วันเท่านั้น การจะได้สวีทหวานตอนเช้าจึงไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นบ่อย ดังนั้นในวันที่โอกาสเป็นใจแบบนี้ ณรงค์จึงขอตักตวงให้เต็มอิ่ม
รอยยิ้มสดใสบนหน้าหนุ่มลูกครึ่งหลังจากณรงค์ผละออกเป็นสิ่งที่เขาได้รับโดยไม่ต้องเรียกร้องมากขึ้นทุกที และหากก่อนหน้านี้ไรอันเคยทำให้เขาตกหลุมรักหัวปักหัวปำได้ทั้งที่เย็นชาใส่ การที่อีกฝ่ายโอนอ่อนเข้าหาก็ไม่ต่างจากการกลบฝังหลุมนั้นจนเขาปีนไม่ขึ้นเท่านั่นเอง
และโชคดีที่ณรงค์ก็ไม่เคยคิดอยากปีนขึ้นมาอยู่แล้วด้วย
“ถ้างั้นเดี๋ยวผมแต่งตัวออกไปก่อนก็แล้วกัน เย็นนี้เจอกันที่โรงแรม Ok?”
หนุ่มลูกครึ่งเอ่ยก่อนจะเดินออกจากห้องน้ำ ณรงค์จึงยิ้มพลางถอนหายใจเบาๆ วันนี้เป็นวันวาเลนไทน์ ซึ่งจะนับเป็นครั้งที่สองที่พวกเขาได้ฉลองวันแห่งความรักด้วยกัน เพียงแต่เมื่อปีที่แล้วนั้นความสัมพันธ์ของทั้งคู่ยังไม่มั่นคงแบบนี้ แถมยังเป็นมื้อที่ค่อนข้างฉุกละหุกอีกด้วย ปีนี้ก็เลยตกลงกันว่าจะหาสถานที่สำหรับทานอาหารค่ำในคืนพิเศษอย่างเป็นเรื่องเป็นราว โดยที่ไรอันเป็นคนตัดสินใจเลือกห้องอาหารในโรงแรมหรูด้วยตัวเอง แล้วยังบอกเขาว่าไม่ต้อง ‘เตรียมอะไรให้ก็ได้’ อีก
แต่จะให้เขาไม่ทำอะไรเลยได้ยังไงกัน...
“I’m going.”
“Ok.”
ณรงค์ร้องตอบจากในห้องน้ำเนื่องจากกำลังอาบน้ำอยู่ เสียงปิดประตูที่ด้านหน้าบอกให้รู้ว่าเจ้าของห้องออกไปทำงานแล้ว หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย เขาก็เดินเข้าไปหยิบมือถือซึ่งวางอยู่บนหัวเตียงมากดโทรออก
เขาก็อยากทำอะไรพิเศษให้คนรักใน ‘คืนพิเศษ’ นี้เหมือนกันนี่นา
“หวัดดีเหมย นี่ถึงออฟฟิศหรือยัง? แล้วตกลงเรื่องที่ให้ฝากให้ช่วยสำเร็จมั้ย?”
++------++
ไรอันถอยรถเข้าจอดในที่ว่างบริเวณชั้นใต้ดินของอาคารแห่งหนึ่ง โดยทางทีมงานของนิตยสารได้ติดต่อเขาผ่านทางเลขาว่าให้มาพบกันที่ร้านอาหารในตึกนี้เพื่อสัมภาษณ์และถ่ายรูป เมื่อเขาเหลือบมองเวลาที่หน้าปัดดิจิตอลก็พบว่าอีกตั้งยี่สิบนาทีกว่าจะถึงเวลานัดหมาย จึงตัดสินใจว่าจะยังไม่ดับเครื่องและนั่งฟังเพลงฆ่าเวลาต่ออีกสักพัก
ใจจริงแล้วผู้บริหารหนุ่มไม่เคยสนใจอยากให้สัมภาษณ์นิตยสารไม่ว่าจะหัวไหน แถมคราวนี้ยังเป็นนิตยสารแนวไลฟ์สไตล์สำหรับผู้หญิงซึ่งเขาไม่อ่านอีกด้วย แต่เพราะว่าบรรณาธิการใหญ่เป็นเพื่อนสนิทกับแม่ของเขาเอง พอโดนทาบทามมาก็เลยปฏิเสธไม่ได้
ไรอันอาศัยเวลาว่างนั่งเช็คอีเมล์ในมือถือไปพลางๆ ขณะนั้นเองก็มีรถสปอร์ตรูปร่างเฉี่ยวสีดำสนิทขับลงมาจอดคู่กันกับรถของเขา ไรอันปรายตามองก็รู้ทันทีว่ารถคันนั้นเป็นรถนำเข้าจากอิตาลีมูลค่าหลายสิบล้าน
แน่นอนว่าสำหรับผู้ชายแล้ว รถยนต์ก็ไม่ต่างจากเครื่องประดับชิ้นใหญ่ที่ใช้งานได้ด้วย แต่ถึงเขาจะชอบรถยนต์ที่สวยและดูดีแค่ไหนก็ไม่คิดจะละลายเงินไปกับยานพาหนะเพียงเพื่ออวดบัญชีในธนาคารเท่านั้น
ผู้ที่เดินลงมาจากรถอิตาลีคันนั้นคือชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่บึกบึน ใบหน้าโครงเหลี่ยมใต้คิ้วเข้มพาดเฉียงสวมแว่นกันแดดสีดำสนิท ร่างกายท่อนบนสวมเสื้อยืดสีดำแขนสั้นเข้ารูป เน้นให้เห็นเค้าโครงของมัดกล้ามที่ดันเสื้อจนเป็นเนินนูนชัดเจน ส่วนท่อนล่างสวมกางเกงยีนส์ลีวายส์กับรองเท้าบู๊ตหนังสูงปิดข้อเท้า ผมด้านบนที่ตัดสั้นนั้นใส่เยลและจัดทรงไว้อย่างดี ชายคนนั้นเบือนหน้ามามองเขานิดหนึ่งก่อนจะเดินไปทางลิฟต์ แต่ไรอันเพียงเหลือบตากลับลงอ่านอีเมล์ต่ออย่างไม่ใส่ใจ เขารอจนกระทั่งเหลืออีกสิบนาทีจะถึงเวลานัดจึงค่อยออกจากรถแล้วเดินไปขึ้นลิฟต์
เมื่อเดินออกจากลิฟต์ ไรอันก็เดินตามป้ายชี้บอกทางไปร้านอาหารซึ่งอยู่ไม่ไกลจากล็อบบี้ โดยร้านอาหารนี้แบ่งเป็นโซนในอาคารและกลางแจ้ง แต่บริเวณที่อยู่กลางแจ้งก็มีร่มผ้าใบและไม้ประดับเขียวชอุ่มตลอดแนวระเบียง ทำให้บรรยากาศยังคงร่มรื่นแม้แดดจะเริ่มแรงในยามสาย
เนื่องจากทั้งร้านมีคนจับกลุ่มนั่งกันอยู่โต๊ะเดียว แถมบนโต๊ะยังมีอุปกรณ์เช่นกล่องใส่เครื่องแต่งหน้าและอุปกรณ์สำหรับถ่ายรูปวางอยู่ ไรอันจึงผลักประตูแล้วเดินตรงเข้าไปหาอย่างไม่ลังเล หนึ่งในทีมงานซึ่งเป็นหญิงสาวผมตัดบ๊อบสั้น ใส่แว่นกรอบกลมกับชุดกระโปรงสีส้มลายจุดหันมาเห็นเขาก็ยิ้มแป้น
“คุณไรอันใช่มั้ยคะ? สวัสดีค่ะ นิ้งเป็น บก. ของนิตยสารที่จะสัมภาษณ์วันนี้นะคะ แล้วก็นี่ทีมงานของนิ้ง มีตากล้องกับช่างแต่งหน้าค่ะ เดี๋ยวรอคุณเคียวกลับจากห้องน้ำแล้วเราก็เริ่มแต่งหน้าถ่ายรูปได้เลย เสร็จแล้วค่อยเปลี่ยนชุดสำหรับถ่ายรูปนะคะ”
หญิงสาวเอ่ยทักทายพร้อมกับยื่นนามบัตรให้อย่างคล่องแคล่ว และแม้ว่าไรอันจะฟังภาษาไทยแตกฉาน แต่ก็แทบจะตามจังหวะการพูดที่รัวราวประทัดของเธอไม่ทัน ทว่าก็ยังจับข้อความช่วงท้ายๆ ได้ และนั่นทำให้คิ้วดกหนามุ่นขึ้น
“เปลี่ยนชุด?”
นัยน์ตามีคำถามของหนุ่มลูกครึ่งทำให้บรรณาธิการสาวหน้าเหลอ นัยน์ตาเรียวรีหลังแว่นกรอบกลมกะพริบปริบๆ ก่อนจะอธิบาย
“เอ่อ กำหนดการของเราวันนี้จะถ่ายแบบคุณไรอันกับคุณเคียว ในฐานะลูกครึ่งหนุ่มที่มีตำแหน่งสำคัญในแวดวงธุรกิจเหมือนกันค่ะ คุณเคียวเขาเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่น ลูกชายบริษัทอาหารกระป๋องรายใหญ่แล้วก็นายแบบโฆษณา ก่อนหน้านี้นิ้งเคยส่งรายละเอียดไปให้คุณเหมยแล้วนะคะ”
ไรอันยิ่งขมวดคิ้วแน่นขึ้น นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนกลอกน้อยๆ ขณะพยายามนึกว่าเลขาของเขาเคยบอกเรื่องนี้ไว้ก่อนหรือไม่ เป็นไปได้ว่าเมธาวีเคยบอกแล้ว แต่เพราะมัวแต่งานยุ่ง ประกอบกับไม่ได้สนใจการสัมภาษณ์ครั้งนี้เท่าไหร่ เขาเลยไม่ได้ใส่ใจฟังก็เป็นได้
“Ok then. แต่คงเสร็จก่อนเที่ยงใช่ไหม?”
ชายหนุ่มตั้งใจบอกเป็นนัยๆ ว่าเขาไม่มีเวลามากนัก การสัมภาษณ์และถ่ายรูปจะได้ไม่ยืดเยื้อ หญิงสาวจึงรีบกระวีกระวาดจัดให้เขานั่งที่เก้าอี้เพื่อให้ช่างเริ่มแต่งหน้าได้เลย ขณะที่ช่างกำลังหยิบของจากกล่องอุปกรณ์ออกวางเรียงบนโต๊ะ ไรอันก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาในร้าน การแต่งกายและรูปร่างเป็นเอกลักษณ์ทำให้จำได้ทันทีว่าเป็นคนเดียวกับเจ้าของรถราคาแพงที่จอดข้างกันในชั้นใต้ดิน เพียงแต่ตอนนี้แว่นกันแดดที่เคยสวมถูกพับและเสียบไว้บนคอเสื้อยืด และนัยน์ตาดำขลับใต้คิ้วพาดเฉียงที่มองมาทางเขาก็ฉายประกายระยับ
“อ้อ คุณน่ะเอง”
ไรอันตัดสินใจหยิบมือถือออกมาเช็คอีเมล์ทันที
ทีมงานตกลงกันว่าจะถ่ายภาพตรงมุมหนึ่งของห้องอาหารที่ติดกับกระจก และจะถ่ายทั้งรูปเดี่ยวและรูปคู่ จะได้มีคลังรูปไว้เลือกตอนนำไปตีพิมพ์ โดยระหว่างที่ทีมงานกำลังจัดแสงไฟและฉาก ช่างแต่งหน้าของไรอันก็ไม่ได้ชวนเขาคุย เนื่องจากชายหนุ่มเอาแต่จดจ่อกับการทำอะไรสักอย่างในมือถือ ในขณะที่อีกคนซึ่งนั่งแต่งหน้าอยู่ข้างกันนั้นสนทนากับช่างแต่งหน้าอย่างออกรส
“ช่วงนี้ที่ญี่ปุ่นหนาวมากเลยครับ หิมะยังตกอยู่ ยิ่งทางเหนือๆ ยิ่งหนาว อาทิตย์ก่อนผมก็เพิ่งไปสกีกับเพื่อนๆ ที่นิเซโก้ กะว่าเดี๋ยวช่วงเมษาจะกลับไปดูซากุระบานที่โตเกียว”
“ว้าย โรแมนติกจังเลย แพตตี้ก็อยากไปดูซากุระค่ะ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยไปเที่ยวญี่ปุ่นซักที" ช่างแต่งหน้าหญิงไม่แท้ที่กำลังทาแป้งให้เจ้าตัวพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน
“ถ้าคุณแพตตี้จะไปจริงๆ ลองโทรหาผมสิ เดี๋ยวผมพาเที่ยวเองก็ได้”
“อุ๊ย!! คุณเคียวพูดงี้เดี๋ยวแพตตี้ก็ไปจริงๆ หรอก”
เสียงหัวเราะคิกคักจากทั้งคู่ทำให้ไรอันรู้สึกเลี่ยนๆ พิกล แต่ก็พยายามไม่แสดงออกทางสีหน้า เขาเองก็เคยต้องไปทานข้าวกับลูกค้าหรือพบปะผู้คนในงานเลี้ยงบ้าง จึงใช่จะไม่เคยได้ยินบทสนทนาเกี้ยวพาหยอกล้อเช่นนี้ แต่ที่ทำให้เขาไม่ชอบใจยิ่งกว่าอะไร ก็เห็นจะเป็นสายตาจากหนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นที่เขารู้ว่าลอบมองมาหลายครั้งแล้วมากกว่า
โชคดีที่การแต่งหน้ากินเวลาไม่นานนัก เนื่องจากเพียงแค่ลงรองพื้น ทาแป้งแล้วก็ปัดคิ้ว ไรอันหยิบเสื้อผ้าที่ต้องเปลี่ยนเข้าไปในห้องที่ทางร้านจัดให้ใช้แต่งตัวก่อนจะเดินออกมาอีกครั้ง โดยชุดที่เปลี่ยนจะเป็นสูททางการ และถึงแม้เขาจะไม่ได้บึกบึนมาก แต่ก็สูงโปร่งและมีกล้ามเนื้อสมส่วนแบบคนที่ออกกำลังเป็นประจำ บวกกับเป็นคนที่ถูกสอนเรื่องการวางท่าและบุคลิกมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นถึงชุดสูทจะไม่เข้ารูปพอดี แต่ก็ไม่ได้กลบรัศมีผู้บริหารของเขาลง แถมยังทำให้ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นอีกด้วย
การถ่ายแบบเริ่มขึ้นโดยไรอันเข้าไปนั่งที่มุมของร้านซึ่งช่างภาพจัดแสงไว้แล้ว แต่เนื่องจากเขาไม่ได้เป็นนายแบบอาชีพ จึงต้องให้สไตลิสต์คอยแนะว่าต้องวางมือหรือหันหน้ามุมใดจึงจะดูดี และแม้จะพยายามไม่แสดงออกทางสีหน้า แต่ความรำคาญที่ต้องมาทำอะไรที่ไม่ชอบก็ทำให้หนุ่มลูกครึ่งขมวดคิ้วบ่อยๆ อย่างช่วยไม่ได้
“คุณเคียวแต่งหน้าเสร็จแล้วค่ะ ถ้างั้นเดี๋ยวถ่ายรูปคู่แล้วค่อยถ่ายรูปเดี่ยวคุณเคียวต่อนะคะ”
บรรณาธิการสาวเอ่ยพลางเดินนำหนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นมาที่ฉาก ดูเหมือนทีมงานคงเตรียมชุดที่ไซส์ค่อนข้างใหญ่ไว้สำหรับฝ่ายนั้นอยู่แล้ว กระนั้นเสื้อสูทแจ๊คเก็ตก็ยังบดบังความกำยำของไหล่หนาไม่ได้
กล้ามเยอะไปหน่อย...
ไรอันประเมินอีกฝ่ายผ่านๆ ด้วยแววตาเรียบเฉย ตัดกับนัยน์ตาสีดำเป็นมันที่จ้องเขาโดยมีประกายวิบวับภายใน เขาไม่รู้ว่าทางทีมงานจะมีใครสังเกตหรือไม่ แต่ไรอันก็ไม่ได้โง่ เขาเคยโดนมองด้วยสายตาแสดงความสนใจหรือแม้แต่กะลิ้มกะเหลี่ยจากเพศเดียวกันบ่อยพอจะรับรู้ได้ทันทีที่เห็น
“อย่าทำหน้าดุใส่ผมนักสิครับ"
แล้วถือสิทธิ์อะไรมาบอกเขาไม่ทราบ ไรอันอยากพูดแต่ก็เงียบไว้ เขาอาศัยความเงียบแทนการสื่อสารว่าไม่อยากยุ่งด้วย แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่รับสารนั้นง่ายๆ เพราะขณะที่ถ่ายรูปคู่กัน มีบางครั้งที่ช่างภาพบอกให้สลับที่ หนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นก็ดูเหมือนจะจงใจปัดมือให้มาโดนตัวเขาบ่อยๆ
ไรอันนึกอยากจะถอนหายใจแรงๆ แล้วหันไปต่อยอีกฝ่ายให้สักที
นิสัยชอบอาละวาดเวลาอารมณ์ไม่ดีของเขาไม่เคยหายไปไหน เวลาอยู่ที่ออฟฟิศ ถ้าเกิดเจอว่าใครทำงานผิดพลาด หรือมีเรื่องทำให้ไม่พอใจที่เกี่ยวกับงาน เขาก็ยังเป็นที่ขึ้นชื่อว่าอารมณ์ร้อนอยู่เหมือนเดิม แต่หากใครที่พอจะมีเวลาสังเกตหน่อยจะรู้ว่าเขาใจเย็นขึ้นมากแล้ว ประสบการณ์สอนให้เขาอดทนขึ้น เพียงแต่บางทีเมื่อทนไม่ไหวก็จำต้องระเบิดออกมาบ้าง
กรณีคนที่กำลังถ่ายรูปคู่กันอยู่นี่ก็เหมือนกัน ถ้าหากเอะใจก่อนว่าทางนิตยสารติดต่อคนอื่นไว้ด้วย ไรอันคงปฏิเสธไปแล้วเพราะแปลว่าไม่จำเป็นต้องเป็นเขาก็ได้ หากพูดอย่างเป็นกลาง เขายอมรับว่าเคียวนั้นมีรูปร่างหน้าตาดีเลยทีเดียว ทั้งผิวขาวจัด คิ้วที่หนาและพาดเฉียงเหมือนดาบ และยังเรือนร่างสูงใหญ่เหมือนเล่นกีฬาประเภทสร้างกล้ามเป็นประจำ แต่น่าแปลกที่ไรอันไม่คิดว่าอีกฝ่ายดึงดูดสายตาสักนิด เขากลับพบว่าโครงหน้าที่มีคางเหลี่ยมเป็นสันและร่างกายอุดมมัดกล้ามนั้นชวนให้นึกถึงหุ่นโชว์เสื้อผ้าตามห้าง แถมกลิ่นน้ำหอมที่เจ้าตัวใช้ยังฉุนเกินไปจนเขาเผลอย่นจมูกเสียหลายหน
กลิ่นมิ้นต์จากยาสีฟันยังจะหอมเสียกว่า...