เช้าตรู่วันถัดมา ณรงค์ตื่นแต่เช้าเพื่อออกไปถ่ายรูปและเล่นน้ำทะเลกับไรอันที่หาดหน้าห้องสวีท จนเมื่อพระอาทิตย์ลอยขึ้นพ้นขอบน้ำแล้วจึงกลับไปอาบน้ำแต่งตัวที่ห้องก่อนอิสราจะตื่น พอเขาแต่งตัวเสร็จและเดินไปยังห้องอาหารเช้าก็พบว่าไรอันยืนตักอาหารอยู่ก่อนแล้ว ส่วนเพื่อนร่วมงานส่วนใหญ่ยังไม่ลงมาเพราะเมื่อคืนคงจะปาร์ตี้กันหนัก เขาจึงเดินเข้าไปกระซิบถามข้างหูผู้บริหารหนุ่ม
“โต๊ะเดิมที่นั่งเมื่อวานนะ?”
ไรอันเหลือบตาขึ้นยิ้มและพยักหน้ารับ และณรงค์ก็รู้สึกราวกับรอยยิ้มของอีกฝ่ายวันนี้สดใสที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นตั้งแต่ทั้งคู่รู้จักกันก็ว่าได้
ชายหนุ่มแยกไปเดินตักอาหารของตัวเองบ้าง จากนั้นก็ถือไปนั่งรอที่โต๊ะตัวเดียวกับที่พวกเขาทานอาหารเช้ากันเมื่อวาน ไม่นานไรอันก็เดินตามมานั่งลง
“ผมสังเกตมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ดูคุณชอบกินคอร์นเฟล็กกับโยเกิร์ตมากกว่านมนะ?”
ณรงค์ทักขณะใช้มีดกับส้อมหั่นไส้กรอกในจาน ไรอันจึงเหลือบมองอาหารเช้าของตัวเองซึ่งมีเพียงคอร์นเฟล็ก ไข่ดาว ขนมปังหนึ่งชิ้นแล้วก็ผักอบก่อนจะยักไหล่ “เพราะแม่ผมก็ชอบกินแบบนี้ผมเลยกินตามล่ะมั้ง? อีกอย่างผมอ้วนง่ายเลยไม่ค่อยชอบอะไรมันๆ แบบนั้นเท่าไหร่”
หนุ่มลูกครึ่งพูดพลางใช้ปลายส้อมชี้มาทางเบคอนทอดที่กองพูนในจานของณรงค์ เขาจึงยิ้มแล้วชะโงกตัวเข้าไปกระซิบข้างหูอีกฝ่าย
“ก็เมื่อคืนใช้พลังงานไปตั้งเยอะ ผมก็ต้องกินชดเชยไอ้ที่เสียไปบ้างสิ อุ้ก!!”
ชายหนุ่มแกล้งงอตัวเมื่อโดนไรอันตุ๊ยท้องเบาๆ เข้าให้ หนุ่มลูกครึ่งตักอาหารเช้าทานต่อเหมือนไม่รู้สึกอะไร กระนั้นก็ปิดบังสีชมพูอ่อนๆ ที่เรื่อบนโหนกแก้มไม่ได้
น่ารักชะมัด...
ความคิดนั้นผุดขึ้นในหัวณรงค์ที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จนคนเห็นเริ่มจะหมั่นไส้ ทันใดนั้นเจมส์ก็เดินมาพร้อมกับถ้วยกาแฟและลากเก้าอี้มานั่งร่วมวงด้วย
“May I?”
เจมส์ถามยิ้มๆ แต่ณรงค์ก็เพียงยิ้มตอบและพยักหน้าให้ เพราะรู้แล้วว่าไม่มีความจำเป็นจะต้องระแวงญาติผู้พี่ของไรอันอีกแล้ว
“You look very good today if I might say, you too, bro.”
เจมส์ตบบ่าณรงค์ก่อนจะหันไปหาไรอันพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ หนุ่มลูกครึ่งที่อ่อนวัยกว่าจึงวางแก้วน้ำที่เพิ่งดื่มลงแล้วหยิบผ้าเช็ดปากขึ้นวางบนโต๊ะ
“Actually, I kinda have something to say to you too. Can we have a minute?”
ไรอันเอ่ยแล้วก็ลุกขึ้นยืน ส่วนเจมส์ได้แต่ยิ้มค้าง ณรงค์จึงมองทั้งคู่สลับกันอย่างไม่เข้าใจ
“ไม่ต้องห่วง ผมแค่จะคุยกับเขาเป็นการส่วนตัวแป๊บเดียวเท่านั้นแหละ”
ไรอันยิ้มให้ณรงค์ก่อนจะลากแขนเจมส์แล้วเดินหายไปทางมุมตึก ชายหนุ่มได้ยินเสียงคุยแว่วๆ เป็นภาษาอังกฤษที่จับความไม่ได้ ก่อนจะตามด้วยเสียงที่เหมือนกับ ‘Ouch!’ ครู่หนึ่งทั้งคู่จึงเดินกลับมาโดยที่ไรอันนำมาก่อน ส่วนเจมส์เดินตัวงอตามหลังมาช้าๆ โดยมีมือข้างหนึ่งกุมท้อง ใบหน้าหล่อเหลาเหยเกด้วยความเจ็บปวด
“ผมจะไปเอากาแฟเพิ่ม คุณจะเอาด้วยมั้ย?”
ไรอันเดินกลับมาถึงโต๊ะก็ถามณรงค์ด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พอเขาปฏิเสธด้วยแววตางุนงง อีกฝ่ายก็ฉวยถ้วยกาแฟกับจานรองแล้วเดินหายเข้าไปด้านใน ฝ่ายเจมส์ที่เดินมาถึงโต๊ะในที่สุดก็ค่อยๆ ทิ้งตัวลงนั่งพร้อมกับส่งเสียงอูยไปด้วย
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ?”
ณรงค์ขมวดคิ้วถาม เจมส์ซึ่งยังลูบท้องไปมาจึงตอบเสียงค่อย “เอ่อ...ภาษาไทยคงเรียกว่าทำโทษมั้ง? หมอนั่นไม่พอใจที่ผมเล่าเรื่องพ่อกับแม่ให้คุณฟัง แล้วก็เลยสั่งสอนปิดท้ายมานิดหน่อย ผมคงยังไม่ได้บอกคุณล่ะสิว่าหมอนั่นเคยเรียนมวยไทยสมัยเด็กๆ หมัดยังหนักเหมือนเดิมเลยให้ตาย”
ณรงค์เดาได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อครู่ แล้วก็ได้แต่ยิ้มอย่างเห็นใจญาติผู้พี่ของไรอัน เพราะเขาเองก็เคยโดนฤทธิ์หมัดของหนุ่มลูกครึ่งมากับตัวตอนที่ขโมยจูบแรกในห้องน้ำ
เคยเรียนมวยไทยมาจริงๆ ด้วยสิ...สงสัยจะต้องหัดระวังตัวไว้บ้างแล้ว
“You still here?”
ไรอันเดินกลับมาถึงโต๊ะแล้วก็เลิกคิ้วถาม เจมส์จึงค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นอย่างลำบาก “Yeah yeah love birds. I’m just an eyesore now, alright. At least I have a new gossip to tell Julia this time.”
หนุ่มลูกครึ่งถลึงตาใส่ญาติผู้พี่ที่เดินสวนออกไป พอร่างสูงโปร่งนั่งลงก็เห็นณรงค์จ้องเขาอยู่โดยเท้าคางบนกำปั้นข้างหนึ่ง จึงหยิบโถครีมเทียมมาตักใส่กาแฟแล้วถามขึ้น
“What?”
ณรงค์ส่ายหน้ายิ้มๆ “ไม่มีอะไร ผมแค่กำลังคิดว่าถ้าต่อไปเกิดทำอะไรไม่เข้าตาคุณจะโดนต่อยหรือเปล่า”
“ผมไม่ใช่พวกใช้ความรุนแรงพร่ำเพรื่อหรอกน่ะ ถ้าหากว่าไม่จำเป็นจริงๆ”
ไรอันตอบพลางยกกาแฟขึ้นจิบ ณรงค์จึงยกมืออีกข้างของหนุ่มลูกครึ่งขึ้นมาประทับริมฝีปากลงไปเบาๆ “งั้นก็หวังว่าจากนี้คุณจะไม่จำเป็นต้องใช้ความรุนแรงกับผมก็แล้วกัน”
หนุ่มลูกครึ่งพ่นหัวเราะทางจมูกโดยไม่สัญญิงสัญญาด้วย นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเหลือบเห็นอะไรไหวๆ ทางหางตา จึงหันไปกระซิบข้างหูณรงค์ “ว่าแต่คุณอาจจะต้องอธิบายเรื่องของพวกเรากับรุ่นน้องคุณแล้วล่ะนะ สองคนนั้นยืนอยู่หลังพุ่มไม้โน่นแน่ะ”
ณรงค์เลิกคิ้วก่อนจะมองตาม แล้วก็เห็นเงาคนสองคนยืนหลบอยู่หลังพุ่มไม้ที่กั้นระหว่างห้องอาหารด้านในกับด้านนอกแวบๆ ซึ่งกระโปรงผ้าพลิ้วสีเขียวแปร๊ดพิมพ์ลายดอกสีแดงนั้นเป็นตัวเก่งที่ยุพดีใส่บ่อยจนเขายังจำได้ จึงถามหนุ่มลูกครึ่งโดยกระชับมือที่จับไว้แน่นขึ้น
“ผมบอกเรื่องของพวกเราได้ไหมล่ะ?”
“ก็ถ้าคุณไม่คิดว่าจะไปคบคนอื่นนอกจากผมอีกล่ะก็นะ”
ไรอันตอบหน้าตาย และถ้าไม่ติดว่ารู้ว่าอิสรากับยุพดีแอบยืนดูอยู่ ณรงค์คงดึงคนพูดมาหอมแก้มด้วยความมันเขี้ยวไปแล้ว
“I’ll see you at the lobby.”
หนุ่มลูกครึ่งเอ่ยก่อนจะเดินกลับไปห้องพักเพื่อเก็บกระเป๋าเตรียมเช็คเอ๊าท์ ณรงค์จึงพยักหน้าให้แล้วลุกเดินไปทางที่เห็นเงาของรุ่นน้องทั้งสอง
“ผึ้ง อ๋อง ไม่กินข้าวเช้าหรือไงถึงมายืนตรงนี้?”
พอถูกเรียกและมั่นใจว่าลับหลังไรอันแล้ว รุ่นน้องสาวก็รีบพุ่งออกจากที่ซ่อนตัวมาหาเขาทันที “พี่รงค์!!!! ตะกี้ๆๆๆ…ตะกี้มันอะไรอ้ะ!!?? บอกทีว่าผึ้งไม่ได้ตาฝาดใช่มั้ย??? พี่รงค์กับคุณไรอัน....โอ๊ย!! เป็นไปได้ไง!? ผึ้งไม่อยากจะเชื่อ!!!”
จากคำพูดโวยวายไม่ปะติดปะต่อ ณรงค์ก็เดาได้ว่าคงไม่ต้องอธิบายอะไรมากแล้ว จึงเพียงแต่เลิกคิ้วแล้วกอดอกถาม
“เราเห็นพวกพี่ตั้งแต่ตอนไหน แล้วนึกยังไงถึงมาแอบดู?”
“เฮ่ยพี่รงค์! พวกผมไม่ได้ตั้งใจนะ แค่จะเดินหาว่าพี่รงค์อยู่ไหนจะได้ชวนไปถ่ายรูปเล่นเท่านั้นเอง ก็ทันมาเห็นตอนพี่...ดึงมือคุณเขามาจูบน่ะ ดีนะว่ายายคนนี้ไม่เผลอกรี๊ดออกมา”
อิสราตอบพลางเหล่มองคนข้างๆ ส่วนยุพดีเอาสองมือกุมแก้มไว้แล้วทำตาโตเมื่อฉุกคิดได้
“คนที่แอบชอบมีชื่อขึ้นต้นด้วย ร.เรือ! ที่แท้ก็อย่างนี้เอง!! ว่าแต่ๆๆ พี่รงค์...แล้วน้องผู้ชายคนนั้นล่ะ? ตกลงน้องเขาไม่ใช่แฟนพี่รงค์หรอกเหรอ??”
คำถามนั้นทำให้รอยยิ้มของณรงค์แข็งค้าง ตลอดทริปนี้เขามัวแต่มุ่งมั่นกับการง้อไรอันจนลืมเรื่องธีระไปสนิท อิสราสังเกตเห็นแววตาของณรงค์จึงสะกิดเพื่อนให้เก็บปากเก็บคำ ส่วนณรงค์เสมองไปทางอื่น
“...เรื่องมันซับซ้อนน่ะ ที่เคยบอกว่าจะนัดมากินข้าวด้วยก็คงต้องแคนเซิลแล้วล่ะนะ ยังไงก็อย่ากระโตกกระตากเรื่องของพี่กับไรอันก็แล้วกัน ถ้าหากคนอื่นจะรู้ก็ปล่อยให้เขารู้กันเอง”
ยุพดีกับอิสรามองตากัน จากนั้นก็หันมาพยักหน้าขันแข็งให้ณรงค์แม้จะไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง แต่ทั้งคู่ก็เป็นผู้ใหญ่พอที่จะไม่เซ้าซี้หรือละลาบละล้วง ชายหนุ่มจึงยิ้มให้ก่อนจะเดินกลับไปทางห้องพักของไรอัน สีหน้าของเจ้าของห้องดูแปลกใจเมื่อพบว่าคนที่มาเคาะประตูคือเขา
“คุณจัดกระเป๋าเสร็จแล้วเหรอ?”
“อืม จริงๆ ก็ไม่มีของที่ต้องเก็บเยอะเท่าไหร่ เดี๋ยวผมโทรให้อ๋องจัดการให้ก็ได้ ตอนนี้ผมอยากอยู่กับคุณมากกว่า”
ณรงค์เอ่ยก่อนจะปิดประตูแล้วรั้งเจ้าของห้องมากอด ชายหนุ่มสูดกลิ่นตัวอ่อนๆ ที่ทำให้สบายใจพลางดันร่างอีกฝ่ายให้ถอยไปเรื่อยๆ จนทั้งสองล้มลงบนเตียง
หากไม่นับเสียงคลื่นเซาะหาดทรายที่ดังลอดเข้ามาทางหน้าต่าง ภายในห้องก็ไร้ซึ่งเสียงสนทนาหรือการเคลื่อนไหวใดๆ ไรอันมองเพดานพลางยกมือขึ้นสางผมณรงค์ที่นอนทับตัวเองอยู่เบาๆ
“….เสียใจที่บอกเรื่องของพวกเราให้รุ่นน้องคุณรู้เหรอ?”
คนถูกถามส่ายหน้า “เปล่า...ไม่ใช่ยังงั้นหรอก จริงๆ ผมอยากป่าวประกาศให้รู้กันทั้งบริษัทเลยด้วยซ้ำ เพียงแต่...ผมคงต้องเจอตี้อีกครั้งแล้วคุยกันให้เป็นเรื่องเป็นราว เพราะผมบอกเลิกเขาด้วยการเขียนโน้ตให้ก่อนจะมาภูเก็ตแค่นั้นเอง”
ณรงค์ระบายความในใจด้วยเสียงหนักหน่วง ก่อนจะรู้สึกได้ว่าไหล่ของคนในอ้อมแขนเกร็งขึ้น ชายหนุ่มจึงได้สติและรีบยันตัวขึ้นมองหน้าอีกฝ่ายทันที
“อย่าเข้าใจผิดนะ ผมแค่คิดว่ามันไม่ยุติธรรมที่จะจบความสัมพันธ์กับใครด้วยกระดาษแผ่นเดียว อีกอย่างเขาก็เป็นเด็กดี ผมไม่อยากให้มันจบไปแบบที่ยังมีเรื่องคาใจกันอย่างนั้น”
เหมือนตอนที่คุณบอกเลิกผมโดยไม่อธิบายเหตุผลเลยสักคำ..
ไรอันมองตาที่ฉายแววร้อนรนใจของณรงค์ ก่อนจะดันเขาให้ลุกออกแล้วยันตัวขึ้นนั่ง หนุ่มลูกครึ่งหลับตาพลางใช้มือหนึ่งนวดขมับ และณรงค์ก็ได้แต่มองท่าทีนั้นอย่างกระวนกระวาย เพราะเกรงว่าไรอันจะเข้าใจผิดว่าเขายังอยากสานสัมพันธ์กับธีระในรูปแบบที่เขาไม่ได้ต้องการ
“คุณเคยบอกว่ารักผมใช่มั้ย?”
ในที่สุดไรอันก็ลืมตาขึ้นและหันมามองเขา น้ำเสียงและแววตาไม่ได้สะท้อนความโกรธหรือหวั่นไหว แต่เปล่งประกายที่เรียกร้องขอคำตอบที่สัตย์จริงเพื่อตัดสินใจ ซึ่งณรงค์ก็ตอบรับหนักแน่นโดยปราศจากซึ่งเศษเสี้ยวของความลังเล “มากจนผมไม่อยากเชื่อว่าผมจะรักใครได้ขนาดนี้เลยล่ะ”
ณรงค์ตอบแทบจะทันที จริงอยู่ว่าเขาอยากพบกับธีระเพื่อบอกลาเป็นครั้งสุดท้าย แต่หากไรอันไม่สบายใจและไม่อยากให้เขาทำอย่างนั้น เขาก็ยินดีจะทำตามโดยไม่อิดออด
ต่อให้จะต้องเสียดายมิตรภาพฉันท์พี่น้องที่มีกับเด็กหนุ่มก็ตาม
ไรอันสบตาณรงค์อย่างค้นหา ครู่หนึ่งจึงขยับตัวเข้าใกล้และโน้มคอเขาลงไปจูบ ชายหนุ่มแปลกใจนิดหน่อย แต่ก็สอดแขนรอบเอวอีกฝ่ายและจูบตอบแต่โดยดี เมื่อผละริมฝีปากจากกัน ไรอันก็ยิ้มมุมปากอ่อนๆ ให้
“เข้าใจแล้ว แต่สัญญาก่อนว่าห้ามไปคุยกันนานนะ”
ณรงค์เลิกคิ้วอย่างไม่เชื่อหู “คุณโอเคจริงๆ นะ?”
ณรงค์ถามย้ำ ถึงแม้จะโล่งอกที่ไรอันไม่ได้โมโหจนหาเรื่องทะเลาะ แต่เขาก็ไม่ต้องการให้อีกฝ่ายเพียงแต่อนุญาตเพื่อให้เขารู้สึกดี แล้วปล่อยให้เรื่องนี้กลายเป็นเสี้ยนหนามที่ตำใจทั้งคู่ต่อไปในอนาคต
หนุ่มลูกครึ่งมองหน้าเขาแล้วก็ย่นจมูก “ผมยอมรับว่าก่อนหน้านี้ทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโต แต่ถึงยังไงผมก็เป็นผู้ใหญ่กว่าเขา อีกอย่างก็เพราะผมเชื่อใจคุณ ผมรู้ว่าคุณไม่มีวันทำร้ายผมอีกแน่ๆ ถูกไหมล่ะ?”
ไรอันตอบก่อนจะหันกลับไปเก็บเสื้อผ้าลงกระเป๋าต่อ ณรงค์จึงยิ้มแล้วขยับเข้าไปนั่งกอดอีกฝ่ายจากด้านหลังพร้อมกับฝังจมูกลงบนแก้ม
“ผมคิดถูกจริงๆ ที่รักคุณ”
“Don’t think I’ll always be this kind.”
หนุ่มลูกครึ่งตอบพลางรูดซิปปิดกระเป๋า ณรงค์จึงผงกหัวขึ้นแล้วยิ้มตอบ เขาเริ่มชินแล้วที่ไรอันจะตอบรับคำหวานด้วยการเฉไฉไปอีกทาง เพราะถึงอย่างไรนี่ก็เป็นวิธีแสดงออกถึงการรับรู้ในแบบของเจ้าตัว
“ถ้าเป็นคุณ ถึงโหดแค่ไหนผมก็รัก”
ไรอันเหลือบตามายิ้มให้อย่างหมั่นไส้ หนุ่มลูกครึ่งหย่อนกระเป๋าเสื้อผ้าที่เก็บเรียบร้อยแล้วลงข้างเตียงก่อนจะหันกลับมาหาณรงค์ทั้งตัว
“ไว้วันหยุดยาวเมื่อไหร่ไปบ้านคุณอีกดีมั้ย? ผมชักคิดถึงกับข้าวฝีมือน้าหนิงแล้วสิ”
ร่างสูงโปร่งเอ่ยพลางยกมือคล้องคอณรงค์และขยับขึ้นนั่งคร่อมตักเขา ณรงค์จึงยิ้มมากขึ้นพลางลูบหลังอีกฝ่ายไปมา “นั่นสินะ ไอ้เจ้าแฝดก็โทรมาถามเหมือนกันว่าเมื่อไหร่จะพาคุณไปเยี่ยมอีก อืม.....”
ณรงค์ส่งเสียงครางในคออย่างพอใจเมื่อไรอันเป็นฝ่ายจูบเขาก่อน ชายหนุ่มปล่อยให้คนบนตักดันเขาให้นอนลงบนเตียงและมองอีกฝ่ายปลดกระดุมเสื้อให้ยิ้มๆ
“ไม่รีบออกไปรอเช็คเอ๊าท์กับคนอื่นที่ล็อบบี้เหรอ?”
ไรอันยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูก่อนจะยิ้มให้คนถาม จากนั้นก็ลูบมือไปมาบนแผ่นอกของณรงค์จนชายหนุ่มสยิว ร่างสูงใหญ่มองคนที่นั่งคร่อมซึ่งกำลังถอดเสื้อยืดออกหย่อนลงข้างเตียงก่อนจะก้มลงกระซิบชิดริมฝีปาก
“We have 30 minutes. Let’s make it productive.”
ภายนอกห้องสวีทริมชายหาด แสงแดดยามสายส่องผ่านหมู่ต้นมะพร้าวจนพาดเงาสีเข้มยืดยาวลงบนตัวอาคารสีอ่อน เกลียวคลื่นสีเขียวมรกตม้วนตัวเข้ากระทบชายฝั่งครั้งแล้วครั้งเล่า ทิ้งคราบชื้นและฟองขาวเอาไว้บนผืนทรายเนียนละเอียดดุจฝุ่นแป้ง เสียงคลื่นแผ่วเบาและเสียงร้องของนกทะเลดังคละเคล้ากับเสียงหายใจหอบและคำบอกรักที่ชายหนุ่มสองคนมอบให้แก่กันผ่านการแสดงออกทางกายในห้องกว้างที่หันหน้าออกสู่ทะเล ไม่มีความกังขาใดหลงเหลือในความรู้สึกที่ต่างมีให้กันและกันอีก
หัวใจสองดวงที่เริ่มนับหนึ่งใหม่ได้โผบินไปด้วยกันแล้ว...
++---End Square One---++