ไรอันมองญาติผู้พี่ของตัวเองตาเขียวแล้วเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น ฝ่ายณรงค์ได้แต่มองตามทั้งสองไปด้วยความรู้สึกอยากก้าวตามใจแทบขาด แต่แรงกอดแขนที่กระชับแน่นก็ดึงสายตาเขาให้ก้มลงมอง และทำให้ได้เห็นว่าธีระก็กำลังมองตามคนทั้งสองเช่นกัน แต่ด้วยนัยน์ตาไม่พอใจและริมฝีปากเม้มแน่น ณรงค์จึงได้แต่ถอนหายใจ
“เราจะไปดูอะไรกันต่อดี?”
ณรงค์ถามขึ้นในที่สุด ถึงแม้จะอยากตามไปอธิบายกับไรอันและเจมส์แค่ไหนก็ไม่อาจละทิ้งคนข้างตัวได้ เพราะเขาคือคนที่ดึงธีระเข้ามาข้องเกี่ยวเอง และนี่คือความรับผิดชอบที่จะละทิ้งกลางคันไม่ได้
“ตี้ไม่อยากเดินตลาดต่อแล้ว ตี้อยากไปที่อื่น”
เด็กหนุ่มปล่อยมือณรงค์และออกเดินนำหน้า น้ำเสียงบ่งบอกชัดเจนว่ากำลังไม่พอใจมาก ณรงค์จึงสาวเท้ายาวๆ จนตามทันและรั้งข้อมือผอมเล็กไปจับไว้
“ถ้างั้นไปดูหนังกันดีกว่า แล้วตอนเย็นๆ ค่อยไปหาร้านกินข้าวแถวนี้ โอเคมั้ย?”
การแสดงความเอาใจใส่ของณรงค์ช่วยสลายอารมณ์โกรธของธีระลงบ้าง เด็กหนุ่มจึงเงยหน้าขึ้นยิ้มให้แล้วบีบมือเขากลับ ทั้งสองเดินจูงมือกันออกจากตลาดเพื่อไปยังลานจอดรถ ทำให้ไม่ทันได้เห็นนัยน์ตาสีน้ำตาลอมเทาของเจมส์ที่มองตามพวกเขาทั้งคู่ ก่อนที่จะหันกลับไปมองญาติผู้น้องของตนที่กำลังยืนเลือกสินค้าด้วยสีหน้าไม่รู้สึกรู้สาอย่างครุ่นคิด
หลังจากไปดูหนังและทานข้าวเย็นกันในห้างสรรพสินค้าซึ่งเลยไปจากตลาดไม่ไกล ณรงค์ก็ยอมตามใจธีระที่ยังไม่อยากกลับห้องด้วยการพาไปนั่งดื่มเหล้าและฟังเพลงที่ร้านซึ่งเด็กหนุ่มชอบไปประจำ ดูเหมือนก่อนหน้าที่จะคบกับเขาธีระจะเป็นที่นิยมไม่ใช่น้อย เพราะระหว่างที่นั่งอยู่ในบาร์นั้นมีผู้ชายไม่ต่ำกว่าสี่คนเดินเข้ามาทักอีกฝ่ายอย่างคุ้นเคย แต่พอเด็กหนุ่มแนะนำเขาไปว่าเป็นแฟน คนเหล่านั้นก็ถอยกลับไปเองพร้อมกับท่าทางเสียดาย
จวบจนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปเกือบค่อนคืน ณรงค์ก็จ่ายค่าเครื่องดื่มและชวนธีระกลับ เขาไม่ได้ดื่มมากเท่าเด็กหนุ่มที่สั่งเบียร์มาหลายขวดจนเดินเซเล็กน้อยตอนเดินขึ้นรถ หลังจากมาถึงคอนโดและถอยรถเข้าจอดช่องประจำ ณรงค์ก็ดับเครื่องพลางถามขึ้นเปรยๆ
“ตี้เคยคบใครมาก่อนหน้าพี่มั้ย?”
คำถามนั้นทำให้คนที่เพิ่งจะตื่นจากการผล็อยหลับหันมาถามอย่างงุนงง
“หือม์? ถามทำไมอะ?? พี่รงค์หึงตี้เหรอ?”
เสียงของเด็กหนุ่มยานคางเล็กน้อย ผิวแก้มเนียนใสเป็นสีแดงเรื่อเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอลล์ ณรงค์ปรายตามองคนที่เอนตัวมาพิงไหล่แล้วก็ส่ายหน้า
“พี่ก็แค่ถามดูเฉยๆ เห็นเราป๊อบเหลือเกินนี่นา ถ้าเมื่อกี้พี่ไม่อยู่ด้วยสงสัยคงมีคนอยากแย่งกันไปส่งถึงห้องเลยมั้ง”
ณรงค์แซวอย่างไม่ได้คิดอะไร แต่ธีระกลับเงียบไป เขานึกว่าเด็กหนุ่มคงง่วงจึงไม่ได้เซ้าซี้ แต่พอกำลังจะหันไปปลดล็อคประตู ณรงค์ก็เลิกคิ้วเมื่อคนที่นึกว่าหลับยื่นแขนขึ้นมาโน้มคอเขาลงไปจูบ
ชายหนุ่มครางเสียงต่ำเมื่อถูกปลายลิ้นอุ่นรุกเข้ามาในริมฝีปาก ขณะเดียวกันร่างผอมบางก็พยายามเบียดเข้าหาเขามากขึ้น ณรงค์สัมผัสได้ถึงความพยายามของอีกฝ่ายที่จะปลุกอารมณ์จึงจับไหล่แล้วดันออก
“ไม่อยากขึ้นไปนอนบนเตียงเหรอเรา อีกอย่างนี่มันในรถนะ”
ณรงค์ไม่ใช่พระอิฐพระปูน แต่เป็นผู้ชายที่มีเลือดเนื้อและแรงขับทางกายเช่นผู้ชายทั่วไป เมื่อความปรารถนาที่อัดอั้นมานานถูกสะสมจนล้นปรี่ก็ย่อมต้องหาทางระบายออกเป็นธรรมดา ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงได้พลาดจนมีอะไรกับธีระตั้งแต่ครั้งแรกเพราะความมึนเมา เขาไม่ปฏิเสธว่าอีกฝ่ายตอบสนองเขาได้ดีต่อให้บางครั้งเขาจะเรียกร้องมากแค่ไหน แต่ก็ใช่ว่าณรงค์จะคึกอยากมีอะไรกันทุกครั้งที่เด็กหนุ่มอยู่ใกล้ เขาไม่ได้ต้องการความสัมพันธ์ที่มีเงื่อนไขแค่การใช้ร่างกายระบายความใคร่ต่อกันเท่านั้น
และไฟปรารถนาในตัวเขาก็ยิ่งดูจะริบหรี่ลงไปอีกเมื่อได้เจอไรอันที่ตลาดกับเจมส์วันนี้ ถึงแม้จะรู้ดีว่าทั้งสองเป็นแค่ญาติกันก็ตาม
“ถ้าหากตี้บอกว่าพี่รงค์ไม่ใช่คนแรกของตี้ พี่รงค์จะหึงหรือเปล่า?”
เด็กหนุ่มกระซิบชิดริมฝีปาก ลมหายใจที่อวลกลิ่นแอลกอฮลล์พวยออกจากปลายจมูกและรดลงเหนือริมฝีปากของณรงค์แผ่วๆ แต่เขาก็เพียงมองอีกฝ่ายด้วยนัยน์ตาว่างเปล่า
“งั้นเหรอ...”
ณรงค์ไม่รู้จะพูดอะไรนอกจากนั้น แต่ปฏิกิริยาที่ราวกับไม่ใส่ใจของเขากลับจุดไฟโทสะให้ธีระได้อย่างชะงัด เด็กหนุ่มเบิกตากว้างมองเขาเหมือนไม่เชื่อหูในวูบแรก จากนั้นก็ผลักอกณรงค์อย่างแรงแล้วเปิดประตูวิ่งออกจากรถ ณรงค์อึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป จึงรีบเปิดประตูและวิ่งตามอีกฝ่ายไปทันที
“ตี้! จะไปไหนน่ะ!!”
“ไม่ต้องตามมาเลย! ตี้มันไม่มีค่าเลยไม่ใช่หรือไง!! ถ้าหากอยากกลับไปหาเขานักก็รีบไปเดี๋ยวนี้เลยสิ!!!”
ณรงค์รีบคว้าแขนเรียวไว้แล้วดึงอีกฝ่ายให้หันมาหา น้ำตาที่ไหลอาบเต็มสองแก้มของธีระทำให้เขาชะงัก ความรู้สึกผิดเอ่อท้นในอกจนณรงค์ต้องรีบรั้งร่างผอมบางเข้ามากอดแล้วลูบแผ่นหลังขึ้นลงแรงๆ
“พี่ขอโทษ พี่...ไม่ได้ตั้งใจจะพูดอย่างนั้น ตี้ใจเย็นๆ ก่อนเถอะ”
“ฮึก ถึงจะเคยมีคนเข้ามาจีบก่อนพี่รงค์ แต่ตี้ไม่เคยนอนกับใครเลยนะ...ทำไมพี่รงค์ต้องพูดเหมือนไม่แคร์กันเลยอย่างนั้นด้วย”
คำตัดพ้อของเด็กหนุ่มตอกย้ำความรู้สึกผิดในใจให้ฝังลึก และทำให้ณรงค์รู้สึกว่าตัวเองเลวมากขึ้นไปอีก เพราะนอกจากจะลากอีกฝ่ายเข้ามาเพื่อชดเชยความเหงาแล้ว เขายังเป็นคนที่พรากสิ่งสำคัญที่สุดของธีระไปแล้วทำเหมือนไม่เห็นค่าอีกด้วย
นี่เขาจะต้องทำผิดพลาดอีกสักกี่ครั้งถึงจะพอ...
“พี่ขอโทษนะตี้ เลิกร้องไห้เถอะ นี่มันก็ดึกแล้ว กลับห้องพี่ก่อนดีกว่านะ”
ณรงค์ดันร่างผอมบางออกแล้วเช็ดน้ำตาให้ ก่อนจะโอบไหล่แล้วพาเดินกลับเข้าไปในคอนโด ถึงแม้จะอายพนักงานรักษาความปลอดภัยที่อยู่ตรงป้อมยามแต่ก็ช่วยไม่ได้ และโชคยังดีของเขาที่ฝ่ายนั้นก็พยายามแสร้งทำเป็นไม่เห็นด้วยความเกรงใจ
หลังจากขึ้นลิฟต์มาถึงที่ห้อง ณรงค์ก็จูงธีระให้นั่งลงบนโซฟาแล้วหยิบกล่องทิชชู่ส่งให้เพื่อเช็ดน้ำมูก
“เดี๋ยวพี่เอาน้ำมาให้นะ รอตรงนี้แป๊บนึง”
ชายหนุ่มบอกก่อนจะเดินหายเข้าไปในครัว แต่ขณะที่กำลังหยิบแก้วมากดรองน้ำดื่มจากเครื่องกรอง ณรงค์ก็ชะงักเพราะธีระเดินตามมากอดเอวเขาและแนบหน้าลงบนแผ่นหลังอย่างเงียบๆ
“ง่วงหรือไงเรา? ถ้างั้นก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนไป”
ณรงค์บอกพลางปิดก๊อกน้ำ แล้วก็ชะงักอีกครั้งเมื่อคนข้างหลังเริ่มปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเขาพลางเอ่ยเสียงอู้อี้จากด้านหลัง
“พี่รงค์ กอดตี้หน่อย”
ไม่เพียงใช้คำพูดเท่านั้น เด็กหนุ่มยังสอดมือเข้าใต้สาบเสื้อของณรงค์และลูบแผ่นอกของเขาไปมา ณรงค์ขบกรามเมื่อถูกสัมผัสอันเร่งเร้าจุดไฟปรารถนาในร่างให้ค่อยๆ คุโชน จึงรีบดึงมือที่กำลังซุกซนออกแล้วหันกลับไปหา
“เมื่อเช้าพี่ก็กอดตี้ไปแล้วนี่”
ณรงค์อ้างถึงการอาบน้ำด้วยกันเมื่อเช้า ซึ่งมักไม่จบลงเพียงการอาบน้ำทุกครั้งที่ทั้งสองเข้าห้องน้ำด้วยกัน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ธีระยอมถอย เด็กหนุ่มหรี่ตามองเขาพลางทำปากยื่นอย่างดื้อรั้น
“แค่นั้นไม่พอ ตี้อยากให้พี่รงค์กอดอีก กอดตี้ให้ถึงเช้าเลย นะ...พี่รงค์”
ธีระพูดพลางถอดเสื้อกับกางเกงของตัวเองออกราวไม่ต้องการฟังคำปฏิเสธ ณรงค์ได้แต่ยืนนิ่งเมื่ออีกฝ่ายก้าวร่างเปลือยเปล่าเข้ามากอดเขาไว้และสอดมือลงใต้กางเกง อุ้งมืออุ่นที่โอบกุมส่วนอ่อนไหวพลางหยอกเย้าไปมาเป็นจังหวะ เช่นเดียวกับริมฝีปากอุ่นที่พรมจูบลงบนแผ่นอกทำให้ณรงค์ต้องใช้มือข้างหนึ่งกำขอบอ่างล้างจานไว้เพื่อพยุงตัว ส่วนมืออีกข้างจิกลงบนไหล่ผอมและกัดฟันแน่นเพื่อข่มกลั้นอารมณ์ ธีระเหลือบมองณรงค์ที่ปิดตาแน่นและหอบหายใจเพราะการเล้าโลมของตัวเอง ก่อนจะค่อยๆ เลื่อนตัวลงและกระซิบด้วยเสียงแหบต่ำ
“กอดตี้นะพี่รงค์ จนกว่าพี่รงค์จะลืมเขา จะนึกว่าตี้เป็นเขาก็ได้”
“ตี้!!”
คำพูดนั้นทำให้ณรงค์ได้สติ เขารีบจับยึดไหล่อีกฝ่ายให้ยืนขึ้นอีกครั้งแล้วเขย่าอย่างแรง
“อย่าพูดอย่างนั้นอีกนะตี้!! ไม่มีใครเป็นตัวแทนใครได้ทั้งนั้นเข้าใจไหม!!!”
ณรงค์รู้สึกปวดหัวจี๊ดและร้อนในอกราวกับใครมาสุมไฟเผา ประโยคที่เพิ่งได้ยินทำให้เขาโกรธจนไม่สามารถจะใช้คำใดมาบรรยายได้
“ฮึก ถ้างั้น...ถ้างั้นพี่รงค์ก็กอดตี้สิ! อย่าทำเหมือนตี้ไม่มีตัวตนแบบนี้! ทั้งๆ ที่พี่รงค์เป็นคนเข้ามาหาตี้ก่อนแท้ๆ!!”
ใบหน้าเหยเกที่มีหยาดน้ำไหลรินทำให้ณรงค์ใจหายวูบ ไฟโทสะดับมอดราวกับถูกน้ำถังใหญ่สาดเข้าใส่ ร่างที่สั่นเทาและเสียงสะอื้นเรียกความสงสารจนใจของเขาอ่อนยวบ
เขาเป็นคนที่ลากคนอื่นเข้ามาเกี่ยว และทำให้ตัวเองกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้เอง ไม่มีใครให้โทษทั้งนั้น ไม่ใช่แม้แต่ไรอันด้วย…
พลันภาพของเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนที่ไม่ยอมสบตาเขาเมื่อตอนกลางวันก็ผุดขึ้นมาในหัว
ชายหนุ่มเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างเชื่องช้าและพยายามมองคนตรงหน้าโดยไม่มีภาพของใครมาทาบทับอีก ถึงแม้ว่ามันจะช่างทำได้ยากเย็นเหลือเกินก็ตาม
“เข้าใจแล้ว พี่ขอโทษนะตี้ คืนนี้พี่จะกอดตี้ถึงเช้าเลย เรานั่นแหละ แน่ใจนะว่าทนพี่ไหว?”
“....ที่ผ่านมาตี้ไม่ทนหรือไงล่ะ”
เด็กหนุ่มตัดพ้อด้วยท่าทางเขินอาย ณรงค์จึงหัวเราะเบาๆ เพราะรู้ดีว่าตั้งแต่คบกันมา บางครั้งเขาก็เรียกร้องจากธีระมากเกินไปจริงๆ
“เด็กขี้น้อยใจ ถ้าพรุ่งนี้ลุกไม่ขึ้นอย่าบ่นก็แล้วกัน”
ณรงค์อุ้มธีระขึ้นและพาเข้าไปในห้องนอน จากนั้นก็วางร่างผอมบางลงบนเตียงอย่างอ่อนโยนก่อนจะถอดเสื้อผ้าและตามลงทาบทับ ร่างในอ้อมแขนโอนอ่อนตามทุกการสัมผัสของเขาอย่างกระตือรือร้น และไม่ว่าจะถูกขอให้ทำอะไรก็ยินยอมโดยไม่อิดออดด้วยอยากให้เขาพอใจมากที่สุด
ร่างสูงใหญ่ใส่อารมณ์ในทุกการเคลื่อนไหวอันหนักหน่วง เขาจูบกลืนเสียงกรีดร้องด้วยความสุขสมของอีกฝ่ายอย่างกระหาย ขณะเดียวกันก็ตักตวงความสุขจากผิวกายเนียนอุ่นราวไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แต่ถึงแม้ว่าความหิวโหยทางกายจะได้รับการบรรเทาสักเพียงใด บาดแผลในใจของณรงค์กลับยิ่งขยายรอยลึกและเจ็บแสบมากขึ้นเมื่อได้เห็นแววตาที่เปิดเผยถึงความหลงใหลในตัวเขาอย่างหมดใจ
เขาผิดเองที่ลากเด็กคนนี้เข้ามาในชีวิตตั้งแต่แรก….
++------++
ณรงค์รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาตอนสายของวันอาทิตย์ และเพราะการยั่วยวนของธีระที่ยังนอนซุกเขาไม่ไปไหน ทั้งสองจึงมีอะไรกันอีกครั้งก่อนจะได้อาบน้ำและลงไปทานมื้อกลางวันในตลาดใกล้คอนโด กระทั่งบ่ายคล้อย ณรงค์จึงขับรถพาเด็กหนุ่มไปส่งที่อพาร์ตเม้นท์ใกล้มหาวิทยาลัยย่านชานเมือง
“เดี๋ยววันศุกร์หน้าพี่ต้องบินไปเอ๊าท์ติ้งที่ภูเก็ตกับออฟฟิศตั้งแต่เช้า แต่ถ้าเย็นวันอาทิตย์กลับมาแล้วไม่เหนื่อยเกินไปพี่จะแวะเอาของฝากมาให้”
ณรงค์หันไปบอกขณะเทียบรถเข้าจอดหน้าทางเข้าอพาร์ตเม้นท์ ธีระจึงหันมายิ้มให้
“ไม่ต้องรีบก็ได้พี่รงค์ เดี๋ยววันไหนเลิกเรียนเร็วตี้ค่อยไปหาที่ออฟฟิศก็ได้”
คำตอบนั้นทำให้ณรงค์ชะงักไปนิดหนึ่ง เขาไม่แน่ใจว่าตัวเองพร้อมจะให้ใครต่อใครเห็นคนที่คบด้วยในตอนนี้หรือยัง ไม่ใช่เพราะอายที่มีแฟนเป็นเด็กหนุ่มเพศเดียวกัน แต่หากเปิดเผยตัวเช่นนั้น...ก็เท่ากับยิ่งปิดประตูที่จะได้กลับไปคืนดีกับไรอันมากเข้าไปอีก
นี่เขายังไม่เลิกคิดฝันอะไรลมๆ แล้งๆ อีกหรือไงนะ...จะทำตัวเป็นคนโง่ซ้ำซากไปถึงไหน...
“พี่รงค์?”
ธีระขมวดคิ้วมองนัยน์ตาเลื่อนลอยที่ราวกับมองทะลุผ่านตัวเองไป และน้ำเสียงที่แฝงความหวั่นไหวก็เรียกสติของณรงค์ให้กลับมา ชายหนุ่มกะพริบตาก่อนจะรีบยิ้มให้อีกฝ่ายสบายใจ
“เอาสิ งั้นไว้ค่อยนัดกันอีกทีก็แล้วกัน”
ณรงค์เอ่ยพลางยื่นตัวเข้าไปจูบริมฝีปากอีกฝ่ายเร็วๆ เพื่อปลอบใจ ธีระจึงค่อยคลี่ยิ้มออกมาได้ ถึงแม้จะรู้ว่าไม่ควรให้ความหวังกับเด็กหนุ่มทั้งที่ตัวเองก็ยังสับสน แต่เขาก็ชอบมองรอยยิ้มสดใสที่ช่วยทำให้โลกอันมืดมนคลายความหม่นหมองมากกว่าใบหน้าเศร้าๆ ที่เหมือนภาพสะท้อนความในใจของเขามากกว่า
อย่างน้อยก็จนกว่าเขาจะรู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไป...
กว่าณรงค์จะกลับถึงที่พักก็ย่ำค่ำเพราะช่วงเย็นวันอาทิตย์มีรถจากต่างจังหวัดเข้ากรุงเทพหนาแน่น หลังจากทานมื้อเย็นที่ร้านอาหารตามสั่งหน้าคอนโดเพียงลำพัง ชายหนุ่มก็ขึ้นลิฟต์กลับขึ้นไปบนห้อง วูบหนึ่งก็ให้รู้สึกเหงาที่ไม่มีคนคุยด้วยหลังจากส่งธีระกลับไปแล้ว
เสียงโทรศัพท์มือถือของณรงค์ดังขึ้นขณะที่เพิ่งอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ พอเขาหยิบเครื่องขึ้นดูและเห็นชื่อคนโทรเข้าก็ลังเลครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็กดรับ
“ฮัลโหล?”
“ณรงค์ วันนี้มันเรื่องบ้าอะไรกันน่ะ?”
เจมส์ถามด้วยน้ำเสียงคาดคั้น ณรงค์จึงผ่อนลมหายใจยาวแล้วยกมือขึ้นนวดขมับ
“ไม่มีอะไรหรอก ก็อย่างที่คุณเห็นนั่นแหละ ตอนนี้ผมกับไรอันเลิกกันแล้ว และผมก็คบกับเด็กคนนั้นอยู่”
แม้แต่ชายหนุ่มยังแปลกใจตัวเองที่สามารถตอบคำถามได้อย่างฉะฉานไม่สะดุด ปลายสายเงียบไปราวอึ้งกับคำตอบ เกือบหนึ่งนาทีให้หลังเจมส์จึงถามขึ้นอีกครั้ง
“How in bloody hell did it happen?”
ณรงค์เลิกคิ้ว “คุณหมายถึง?”
“คุณกับไรอัน พวกคุณเลิกกันได้ยังไง และไม่ต้องบอกให้ผมถามเจ้าตัวเอง ถ้าผมง้างคำอธิบายออกจากปากหมอนั่นได้ผมคงไม่ต้องโทรมาหาคุณ”
ชายหนุ่มถอนหายใจหนักหน่วงอีกครั้ง เริ่มรู้สึกว่าความปวดหัวแล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆ เขารู้จักนิสัยไรอันดีว่าอย่างมากก็คงแค่บอกลูกพี่ลูกน้องตัวเองว่าพวกเขาแยกทางกัน แต่ไม่ได้ให้เหตุผลที่เพียงพอหรือน่าพอใจสำหรับคนถามแน่ๆ ไม่ต่างจากเขาที่มึนงงตอนที่ถูกบอกเลิก แล้วก็ถูกขับไล่ไสส่งโดยไม่ได้รับโอกาสให้อุทธรณ์นั่นแหละ
“ถ้าจะถามผม ผมก็จะเดาว่าเพราะเขาหึง เพราะหลังจากที่คุณกลับเมลเบิร์นคืนนั้นไรอันก็ไล่ผมออกจากห้อง ผมโมโหก็เลยไปกินเหล้าเมาแล้ว ก็เลย...กับเด็กคนนั้น...เอาเป็นว่าผมผิดเองก็แล้วกัน”
ณรงค์ตัดบทด้วยยิ่งพูดก็ยิ่งขุดหลุมฝังตัวเอง ชายหนุ่มหายใจหอบเล็กน้อยหลังจากรัวคำอธิบายเหล่านั้นออกมา และนั่นทำให้เจมส์เงียบไปพักใหญ่
“ถ้างั้นก็หมายความว่าคุณ...นอกใจไรอันเพราะน้อยใจที่ถูกไล่กลับห้อง?”
เจมส์ถามขึ้นในที่สุด แต่นั่นช่างเป็นข้อสรุปที่เรียบง่ายและปรักปรำความผิดกับเขาฝ่ายเดียวเหมือนไม่สนใจความซับซ้อนของเรื่องที่เกิดขึ้นเลยสักนิด
“ผมไม่ได้ตั้งใจ! ถ้าหาก...คืนนั้นไรอันไม่ได้บอกว่าผมน่ารำคาญ...ผมอาจไม่ขาดสติจนออกไปกินเหล้าตั้งแต่แรกก็ได้”
ณรงค์ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาพลางยกมือขึ้นเสยผมแรงๆ การพยายามอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นก็ไม่ต่างจากการสะกิดแผลที่ยังไม่ปิดสนิทให้ปริแตกและสูบพลังออกจากตัวไปจนเหนื่อยอ่อน
“...ผมเชื่อว่ามันต้องมีคำอธิบายสำหรับเรื่องนี้ แต่ที่แน่ๆ คุณยังรักไรอันอยู่ใช่ไหมล่ะ?”
ณรงค์ฟังคำถามแล้วก็ปิดเปลือกตาลงด้วยความอ่อนล้า จู่ๆ ภาพแววตาหวั่นไหวของธีระก่อนจะลาจากกันเมื่อเย็นก็ผุดขึ้นมาในหัว และความรู้สึกเจ็บแปลบอีกอย่างก็ทิ่มแทงใจจนเขาไม่สามารถตอบคำถามได้ในทันที
ทำไมทุกอย่างดำเนินมาจนถึงขั้นนี้ได้ ทำไมเขาถึงต้องรักไรอัน ทำไมไรอันถึงต้องทำตัวเข้าใจยากและไม่ยอมรับเขาเข้าในหัวใจง่ายๆ ทำไมคืนนั้นเขาถึงต้องออกไปกินเหล้าเมาจนเผลอมีอะไรกับธีระไป ทำไมเขาถึงต้องกลับไปที่ผับนั้นอีก ทำไมไรอันถึงต้องบอกเลิกเขา ทำไมธีระต้องแสดงออกว่ารักเขามากและขาดเขาไม่ได้ ทำไม ทำไม ทำไม ดูเหมือนชีวิตของณรงค์จะมีแต่เรื่องที่ชวนให้ตั้งคำถามเกิดขึ้นซ้ำๆ ติดต่อกันไม่หยุดหย่อน
ความมืดในห้องทำให้ชายหนุ่มควานมือหาสวิทช์โคมไฟตั้งโต๊ะเพราะไม่อยากลุกไปเปิดไฟดวงใหญ่ พลันเมื่อแสงสีอ่อนนวลฉายออกจากโคมไฟทรงกลมทำจากเรซินสีขาวสลับกับน้ำเงิน ณรงค์ก็กะพริบตาก่อนจะจ้องโคมไฟดวงนั้นนิ่งนาน
ราวกับเขาไม่เคยสังเกตเห็นเลยว่ามันตั้งอยู่ตรงนี้มาตลอดนับตั้งแต่ได้รับมา
ภาพของคนที่ซื้อโคมไฟให้พลันปรากฏขึ้นในใจอย่างแจ่มชัดโดยไม่ต้องอาศัยรูปถ่าย ไม่ว่าจะเป็นเช้าแรกที่ไรอันตื่นขึ้นมาในห้องเขาด้วยท่าทางงุนงงหลังจากไปเมาจนมีเรื่องที่ผับ รอยยิ้มแรกที่อีกฝ่ายมอบให้หลังจากไปเดินดูไฟคริสต์มาสด้วยกันทั้งที่ไม่ได้ใส่คอนแทคต์เลนส์ ภาพตอนที่ไรอันบอกชื่อเล่นตัวเองอย่างอายๆ ตอนที่เขาไปส่งที่ห้อง ภาพตอนที่ยิ้มรับดอกกุหลาบในวันวาเลนไทน์จากเขาและทานดินเนอร์ด้วยกันใต้แสงเทียน ภาพตอนที่เล่นสงกรานต์ตอนไปเยี่ยมบ้านที่กาญจนบุรี และยังความอ่อนหวานและเร่าร้อนที่ทั้งสองมอบให้กันใต้สายน้ำฝักบัว ถึงแม้จะไม่มีอะไรมากไปกว่าการกอดจูบและสัมผัสผิวกายจนอีกฝ่ายบรรลุความปรารถนาเท่านั้น แล้วยังไม่นับตอนที่อีกฝ่ายไม่สบายจนเขาไปคอยนอนเฝ้าไข้ตลอดสุดสัปดาห์อีก
เขาจะมอบใจให้คนอื่นได้อย่างไร ในเมื่ออดีตที่มีร่วมกับไรอันยังอัดแน่นในทุกอณูความทรงจำแบบนี้
“ณรงค์? Are you still there?”
“Yes....ขอโทษนะเจมส์ ตอนนี้ผมเหนื่อยมาก”
ณรงค์ตอบเสียงเบาก่อนจะกดวางสาย เขาไม่รู้ว่าเจมส์จะเข้าใจไหมว่าคำตอบ ‘Yes’ ของเขาเมื่อครู่คือการตอบรับทั้งสองคำถาม ชายหนุ่มวางโทรศัพท์ลงข้างตัวก่อนจะยื่นมือออกไปทาบลงบนโคมไฟ พลังงานจากหลอดไฟด้านในส่งผ่านความอบอุ่นออกมายังฝ่ามือใหญ่ที่แนบอยู่บนผิวโค้งกลม แต่นั่นก็ยังเทียบไม่ได้กับความอบอุ่นที่ฝ่ามือนี้ยังคงจดจำจากการกอดและสัมผัสใครคนหนึ่งที่ช่างแสนหัวรั้นแต่ก็กุมหัวใจเขาไว้ได้แน่นหนาจนดิ้นไม่หลุด
ความทรงจำที่สั่งสมมาครึ่งปีไม่ใช่สิ่งที่จะถูกหักล้างกันง่ายดายภายในเดือนเดียว และแม้ว่าจะรู้สึกผิดต่อธีระสักเพียงไหน แต่ณรงค์ก็ไม่อาจยกพื้นที่ในหัวใจให้กับใครแทนไรอันได้ ถึงแม้ว่าภาพใบหน้านองน้ำตาของเด็กหนุ่มเมื่อคืนจะยังทิ่มแทงใจเขาทุกครั้งที่นึกถึงก็ตาม
++---TBC---++
A:N/ ต่อเนื่องจากตอนที่แล้ว ดูเหมือนมาม่าชามนี้จะยังปรุงไม่เสร็จง่ายๆ ใครที่เคยงอนคนเขียนหรือจิตตกจากตอนที่แล้ว เดี๋ยวเอายาดม / ยาลม / ยาหม่อง / คุ้กกี้ / ชา / กาแฟ มาเสิร์ฟให้นะคะ อย่าเพิ่งนอยด์คนเขียนกับณรงค์เลยนะ เห็นใจเฮียแกหน่อย กำลังโดนพิษรักเล่นงานขั้นรุนแรงก็เลยไม่อยู่กับร่องกับรอยแบบนี้แหละ