พิมพ์หน้านี้ - ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก แจ้งภาคต่อ เรื่องของน้องตี้ [31/08/56] P.11

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: bellbomb ที่ 10-01-2011 17:07:41

หัวข้อ: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก แจ้งภาคต่อ เรื่องของน้องตี้ [31/08/56] P.11
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 10-01-2011 17:07:41
ประกาศครั้งที่ 1 (ละมั้ง?) เปิดจอง "ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก" = "บริบทแห่งรัก" ฉบับรวมเล่มแล้วจ้า!!!
+ รีปรินท์เรื่องก่อนๆ ด้วย ถึง 30 กันยายนนี้

หลังจาก Bellbomb ห่างหายการรวมเล่มมาปีกว่าๆ ก็ได้ฤกษ์เปิดจองรวมเล่มเรื่องใหม่ทีเดียวสองเรื่องเลย ก็คือ “ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก” กับ “บริบทแห่งรัก” (ลำนำรักสีรุ้ง Side Stories) รายละเอียดตามด้านล่างค่ะ

เรื่องที่ 1: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก

(http://i1095.photobucket.com/albums/i474/bellbomb/Cover-02-8croppedteaser.jpg)

ข้อมูลหนังสือ:

• ราคา 360 บาท
• ไซส์ A5 พิมพ์ด้วยกระดาษถนอมสายตา
• ตอนพิเศษเฉพาะในหนังสือ
• ของแถม 1: ที่คั่นหนังสือ
• ของแถม 2: ปกพลาสติก ปั๊มทองลายเซ็นต์ของ Bellbomb จะได้เอาไว้หุ้มหนังสือกันเลอะค่ะ :)


++++++++++++


เรื่องที่ 2: บริบทแห่งรัก (ลำนำรักสีรุ้ง Side Stories)

(http://www.bloggang.com/data/b/bellbomb/picture/1343230903.jpg)


ข้อมูลหนังสือ:

• ราคา 220 บาท
• ไซส์ A5 พิมพ์ด้วยกระดาษถนอมสายตา
• ตอนพิเศษเฉพาะในหนังสือ + ตอนโบนัสที่เคยล็อกพาสเวิร์ดไว้ที่บล็อก
• ของแถม 1: ที่คั่นหนังสือ
• ของแถม 2: ปกพลาสติก ปั๊มทองลายเซ็นต์ของ Bellbomb
• สามารถอ่านตัวอย่างได้ที่นี่ -> [คลิก] (http://"http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=6982.0")

Special Note:

สำหรับเล่มนี้ แต่ละตอนจะไม่ซ้ำกับลำนำรักสีรุ้งเล่มแรกเพราะเขียนขึ้นทีหลัง เนื้อหาส่วนใหญ่จะย้อนกลับไปสมัยเป้กับวิวยังเรียนอยู่ สำหรับใครที่ยังไม่เคยอ่านเล่มแรก แนะนำให้ซื้อเล่มนั้นไปอ่านคู่กันเพื่อจะได้ไม่สับสนถึงที่มาของตัวละครในเรื่องค่ะ


**สำคัญมาก**

1. ดาวน์โหลดแบบฟอร์มสำหรับสั่งนิยายได้ที่นี่ <<คลิก>> (http://"http://www.mediafire.com/?320e6162t6mech9")  แล้วกรอกจำนวนเรื่องที่ต้องการในแบบฟอร์ม แล้วก็โอนเงินตามยอดหนังสือ + ค่าส่ง เสร็จแล้วอีเมล์แบบฟอร์มมาที่ bellbomb[at]hotmail.com
 
2. เปิดจองถึง 30 กย. และเริ่มส่งหนังสือต้น ตค. หลังจากนั้นจะเริ่มวางที่ร้านประจำ (เล่มที่วางตามร้านจะไม่แถมปกพลาสติก และอาจปรับราคาขึ้น)
 
3. ถ้าหากสั่งทั้งสองเรื่องพร้อมกัน คิดค่าส่งลงทะเบียน 40 บาท (ตัวอย่างคำนวน ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก 360 + บริบทแห่งรัก 220 + ค่าส่ง 40 = 620 บาท)
 
4. ถ้าไม่แน่ใจว่าต้องโอนเท่าไหร่แน่ อีเมล์มาถามหรือแปะถามที่หน้าแฟนเพจ http://www.facebook.com/BellbombNovels (http://"http://www.facebook.com/BellbombNovels") ก็ได้

5. โปรโมชั่น ท่านที่สั่งนิยายของเราทั้ง 5 เรื่องงวดนี้ ไม่คิดค่าส่งจ้า


เรื่องที่เคยรวมเล่มแล้วและจะรีปรินท์ในครั้งนี้

- ลำนำรักสีรุ้ง
- เมื่อหัวใจเราใกล้กัน
- แม้นมั่นคำสัญญา

(http://www.bloggang.com/data/b/bellbomb/picture/1343321652.jpg)

จบประกาศคับผ้ม


****************************************************

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2. ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

เวปไซต์ แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่าง ประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0)


****************************************************

*ทักทาย*
สำหรับนักอ่านที่ติดตามนิยายเรื่องอื่นของป้า อย่าเพิ่งเขวี้ยงหม้อชามรามไหมาหาป้านะคะ ป้าไม่ได้จะเริ่มเรื่องยาวเรื่องใหม่น้า (หรือเปล่าฟะ? ชักไม่กล้าเดาตัวเอง) แต่พอดีเรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นที่ส่งร่วมเทศกาลคริสต์มาสที่บอร์ดแห่งหนึ่ง ก็เลยยังโพสต์ที่อื่นไม่ได้จนกว่าแอดมินจะเฉลยว่าคนไหนเขียนเรื่องอะไรค่ะ ทีนี้มันพ้นวันเฉลยและประกาศผลแล้ว ก็เลยเพิ่งได้ฤกษ์เอามาลงที่เล้านี่แล ถือว่าเป็นของขวัญ + เรื่องสั้นอ่านเล่นระหว่างรอป้าปั่นตอนต่อของเรื่องยาวแล้วกันนะค้า  :call:


++------++

ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก

“พี่รงค์ เดี๋ยวมีประชุมทีมที่ห้องขาวนะพี่”

เสียงเนือยๆ จากด้านหลังทำให้ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ชะงักมือที่กำลังขยับเม้าส์ ใบหน้าคมคายละสายตาเพื่อหันไปทางคนเรียก ทำให้เห็นอิสรา รุ่นน้องในทีมกำลังยืนพิงขอบโต๊ะทำงานของเขาพร้อมสีหน้าเซ็งๆ

“อ้าว นี่เขาเรียกตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่เห็นมีใครอีเมล์มาบอกพี่เลยล่ะ?”

ณรงค์ซึ่งเป็นซีเนียร์ดีไซเนอร์ถามอย่างแปลกใจพลางเซฟงานที่ทำค้างไว้ ก่อนจะหยิบสมุดบันทึกและปากกาแล้วลุกตามรุ่นน้องเพื่อไปที่ห้องประชุมด้วยกัน เนื่องจากบริษัทที่เขาทำงานอยู่เป็นบริษัทรับออกแบบตกแต่งและก่อสร้าง ดังนั้นแม้แต่ในออฟฟิศซึ่งอยู่ชั้นบนสุดของอาคารก็จะมีห้องประชุมหลายห้องหลายขนาดซึ่งได้รับการออกแบบด้วยธีมสีต่างกัน ‘ห้องขาว’ ที่เขากำลังจะไปนั้นเป็นห้องที่เอาไว้สำหรับการประชุมภายในและตั้งอยู่ด้านในสุด ส่วนห้องที่เอาไว้รับรองลูกค้าหรือแขกทั่วไปจะสีสันจัดจ้านกว่าและตั้งอยู่ด้านหน้าบริษัท

“พอดีไรอันเพิ่งกลับจากฮ่องกงก็เลยเรียกประชุมด่วน ก็คงไอ้โครงการรีโนเวทโรงพยาบาลที่คู่แข่งเรามันได้ไปน่ะแหละ เห็นพี่วิตรบอกว่าไรอันหัวเสียน่าดูเพราะตอนแรกเหมือนทางลูกค้าเปรยๆ ว่าจะเอาแบบของเราอยู่แล้ว นี่ก็คงเรียกไปฟังแกระเบิดลงเพราะช่วงนี้เราไม่ค่อยมีโปรเจ็กต์ใหญ่กันเลยนี่นา”

รุ่นน้องหนุ่มอธิบายยาวเหยียดด้วยน้ำเสียงที่บ่งให้รู้ว่ากำลังเบื่อจัด ณรงค์จึงยักไหล่ เนื่องจากเขาทำงานที่นี่มานาน ทำให้ได้ยินเสียงลือด้านความเจ้าอารมณ์ของหนึ่งในผู้บริหารลูกครึ่งไทย - ออสเตรเลียซึ่งเพิ่งมาประจำตำแหน่งได้เพียงหนึ่งปีพอสมควร เพียงแต่ตามหน้าที่แล้วเขาไม่ค่อยจะได้เจอระเบิดที่ว่าโดยตรงนัก และที่สำคัญไรอันก็ไม่ค่อยอยู่เมืองไทย แต่ต้องเดินทางไปๆ มาๆ เนื่องจากต้องคอยตรวจตราโครงการและลูกค้าทั้งในและต่างประเทศอยู่เสมอ

เมื่อมาถึงห้องประชุม ณรงค์ก็พบว่าสมาชิกคนอื่นๆ มานั่งรอกันพร้อมแล้ว เนื่องจากบริษัทของเขาใช้นโยบายแบ่งทีมงานเป็นหลายทีมย่อยๆ เพื่อรองรับลูกค้าที่ต่างกัน ในทีมของณรงค์นั้นนอกจากเขาซึ่งเป็นซีเนียร์ดีไซเนอร์ก็มีประวิตร หัวหน้าทีมวัยกลางคนซึ่งรั้งตำแหน่งผู้จัดการด้านการพัฒนาธุรกิจของบริษัท ยุพดีและอิสราซึ่งเป็นจูเนียร์ดีไซเนอร์ และแก้วกานต์ซึ่งเป็นเลขาของทีมผู้คอยจดรายละเอียดการประชุมและประสานงานทั่วไป ณรงค์นั่งลงบนเก้าอี้ข้างประวิตรแล้วก็หันไปยิ้มให้ผู้สูงวัยกว่าอย่างเห็นใจ

“ท่าทางวันนี้จะยาวสินะครับ”

ประวิตรเบนสายตาจากหน้าจอโน้ตบุ๊คที่นำติดตัวเข้ามาแล้วยิ้มตอบอย่างเซียวๆ “ช่วยไม่ได้ว่ะ ตอนแรกไรอันนึกว่ายังไงก็ได้โครงการนี้แน่ๆ นี่นา พอโดนคู่แข่งฉกไปก็ต้องแค้นเป็นธรรมดา”

ณรงค์พยักหน้าอย่างเข้าใจ ความจริงแล้วบริษัทของเขามีผู้บริหารดั้งเดิมทั้งสิ้นสามคนก่อนที่สำนักงานใหญ่ที่เมลเบิร์นจะส่งไรอันเข้ามาเพิ่ม และคนที่ได้รับการติดต่อจากลูกค้ารายที่เพิ่งหลุดมือไปนี้คือหนุ่มลูกครึ่ง ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกที่เจ้าตัวจะหัวฟัดหัวเหวี่ยงกับการที่โปรเจ็กต์ในฝันถูกแย่งไปต่อหน้า เนื่องจากลูกค้ารายนี้เป็นโรงพยาบาลเอกชนซึ่งมีชื่อในหมู่คนไข้ชาวต่างประเทศที่กำลังวางแผนจะปรับปรุงภายในครั้งใหญ่ ดังนั้นหากได้โครงการนี้มาก็หมายถึงเงินก้อนโตและชื่อเสียงที่จะช่วยเบิกทางให้ลูกค้ารายอื่นๆ สนใจติดต่อเข้ามาเพิ่มขึ้นด้วย

หลังจากนั่งรอกันครู่หนึ่ง ทุกคนก็ได้ยินเสียงสืบฝีเท้าเร็วๆ ตรงมาทางห้องประชุม จากนั้นตัวเจ้าของเสียงก็ผลักประตูกระจกเข้ามาด้วยใบหน้าถมึงทึงราวกับพร้อมจะงับหัวคนใกล้ตัวได้ทุกเมื่อ ทุกคนที่นั่งอยู่ยกเว้นประวิตรกับณรงค์ต่างสะดุ้งและนั่งตัวตรงขึ้นโดยอัตโนมัติเพราะสัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิตที่แผ่ซ่านจากผู้มาใหม่ ฝ่ายประวิตรเพียงแต่ปิดฝาเครื่องโน้ตบุ๊คลงพลางกลอกตา (แบบแอบๆ) ส่วนณรงค์เพียงแต่ยกมือหนึ่งขึ้นเท้าคางแล้วยิ้มเล็กน้อย สองตาของเขาจับจ้องที่การเคลื่อนไหวของผู้ที่เพิ่งเดินเข้ามาอย่างไม่สะทกสะท้าน

ไรอันเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งแต่ไม่ได้ผอมแห้ง นัยน์ตาที่กลมโตและผมหยักศกซึ่งสั้นเพียงต้นคอเป็นสีน้ำตาลอ่อนคล้ายสีอำพัน จมูกที่โด่งกำลังดีรับกับริมฝีปากที่ไม่บางเฉียบแต่ก็ไม่ถึงกับอิ่มเต็ม เรียวคิ้วที่อยู่เหนือดวงตาเข้มหนาแต่ก็ไม่ถึงกับรก เครื่องหน้าและรูปร่างดูแล้วเหมาะจะไปเป็นนายแบบได้อย่างสบายๆ ประวิตรเคยเล่าให้ณรงค์ฟังว่าแม่ของไรอันเป็นอดีตนางงามการประกวดเวทีหนึ่งเมื่อสมัยสาวๆ จึงไม่น่าแปลกที่เจ้าตัวจะได้รับการถ่ายทอดเครื่องหน้าที่ดูคมเข้มแบบไทยมาหลายส่วนเช่นนี้ แม้ว่านิสัยโผงผางพูดตรงและบางครั้งก็ลืมตัวเปลี่ยนภาษาพูดจากไทยกลับไปเป็นอังกฤษคงจะได้รับมาจากพ่อ สาวๆ หลายคนในบริษัทยังเคยแอบบ่นกันด้วยความเสียดายหน้าตาและฐานะของเจ้าตัว ค่าที่ไรอันค่อนข้างจะทำตัวเย็นชาและห่างเหินกับคนอื่นๆ จนยากจะทำความสนิทสนมด้วย

ทันทีที่ผู้บริหารหนุ่มวางแฟ้มในมือลงบนโต๊ะและหันไปเปิดเครื่องโปรเจคเตอร์ ภาพสไลด์พรีเซนเทชันของแบบโครงการที่บริษัทของเขาเคยยื่นให้ลูกค้าไปก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนจอไวท์บอร์ด ร่างสูงโปร่งกวาดตามองใบหน้าของทุกคนที่นั่งอยู่รอบโต๊ะประชุมอย่างช้าๆ จากนั้นก็เอ่ยถามเสียงต่ำเหมือนพูดลอดไรฟัน

“เอาล่ะ...พวกคุณอธิบายให้ผมฟังซิว่าสาเหตุที่พวกเราพลาดโปรเจ็คต์ครั้งนี้มันเกิดจากอะไร?”

ณรงค์รู้สึกเหมือนได้ยินความเงียบดังไปทั่วห้องแทนคำตอบ (ถ้าความเงียบสามารถดังได้) ก่อนที่เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนจะกวาดตามองไปทั่วโต๊ะอีกครั้ง ต่อจากนั้นการประชุมที่น่าจะเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นก็แปรเปลี่ยนเป็นห้องระบายอารมณ์ของผู้บริหารหนุ่มที่พร่ำสาธยายถึงความเป็นไปได้และสิ่งที่พวกเขาควรจะทำล้านแปดประการที่น่าจะช่วยให้จับโปรเจ็คต์นี้ได้อยู่หมัด มิไยว่าประวิตรจะพยายามช่วยกล่อมให้สงบลงด้วยการอ้างถึงเหตุผลที่เกี่ยวข้องอย่างไรก็ตาม และเนื่องจากไรอันเปลี่ยนกลับไปพูดภาษาอังกฤษหลังผ่านไปสิบนาทีซึ่งสมาชิกทีมส่วนใหญ่ก็ฟังกันไม่ค่อยแตกฉานอยู่แล้ว แถมนี่ยังเป็นสำเนียงออสเตรเลียจ๋าเสียอีกด้วย หลายคนจึงยิ่งนั่งเอ๋อกันมากเข้าไปอีก ฝ่ายณรงค์เองไม่ถึงกับฟังไม่ทันเพราะเขาเคยทำงานกับชาวต่างชาติมาบ้าง แต่กระนั้นสกิลด้านภาษาของเขาก็ยังนับได้ว่าห่างจากความสามารถด้านการออกแบบหลายขุม และต่อให้เขาคิดคำโต้แย้งให้กับข้อกล่าวหาบางข้อของไรอันได้จริงๆ เขาก็คิดว่าคงพูดแทรกไม่ทัน หรือทันแต่ไม่เข้าหูเจ้าตัวเป็นแน่

สุดท้ายการประชุมในเช้าวันนั้นก็ผ่านไปอย่างตึงเครียด ถ้าหากไม่ใช่เพราะเลขาฯ ของไรอันเข้ามาลั่นระฆังช่วยด้วยการเตือนเจ้านายว่ามีนัดทานข้าวกับลูกค้าในตอนบ่าย ณรงค์คาดว่าพวกเขาก็คงยังต้องทนนั่งฟังการอบรม (และใส่อารมณ์) อย่างถึงพริกถึงขิงจากผู้บริหารหนุ่มไปอีกไม่ต่ำกว่าหนึ่งชั่วโมง และถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีงานเร่งด่วนให้ต้องรีบทำให้เสร็จในวันนี้ แต่ถ้าต้องให้มานั่งเสียเวลาทนฟังหนุ่มลูกครึ่งบ่นเอานานๆ ก็คงไม่ไหวเหมือนกัน

“โอย...แค่นั่งฟังไรอันบ่นชั่วโมงเดียวนี่รู้สึกเหมือนถูกดูดพลังชีวิตออกไปเกลี้ยงเลย พี่รงค์ทนได้ไงฟังไปยิ้มไป ผึ้งเห็นเขาเหล่มองพี่รงค์เหมือนจะกินหัวให้ตั้งหลายที”

ยุพดีเอ่ยขึ้นระหว่างที่ทุกคนกำลังทานข้าวกลางวันด้วยกัน เนื่องจากประวิตรเห็นว่าลูกทีมทำท่าละเหี่ยใจกันมากหลังประชุมเสร็จ จึงหยิบเงินส่งให้ณรงค์เพื่อพาเหล่าสมาชิกมาเลี้ยงข้าวโดยที่ตัวเองแยกไปทำธุระ

ณรงค์ยกแก้วน้ำขึ้นดื่มแล้วก็ตอบยิ้มๆ “ก็คิดว่านั่งฟังเขาให้พรไปเสียสิ พวกเราก็ไม่ได้ฟังเขารู้เรื่องกันทุกคำไม่ใช่หรือไง อีกอย่างเรื่องนี้ไรอันแค่คิดไปเองว่าเราน่าจะได้โปรเจ็คต์เพราะสนิทกับลูกค้า ไม่ได้หมายความว่าลูกค้าจะต้องเลือกงานของเราแหงๆ นี่นา ดีเสียอีกที่จะได้บทเรียนเสียบ้างว่าโลกธุรกิจมันก็ไม่แน่ไม่นอนแบบนี้แหละ”

ยุพดีกับอิสราสบตากันไปมา อาจเพราะทั้งสองยังผ่านการทำงานมาไม่นานจึงยังไม่ค่อยเข้าใจความหมายของธุรกิจดีนัก และคิดว่าใครจะไปรู้ดีกว่าผู้บริหารได้ (แม้ทุกคนในบริษัทจะรู้ว่าไรอันเพิ่งอายุแค่ยี่สิบหก) แต่ณรงค์ที่อายุยี่สิบเก้าแล้วและผ่านโลกมาพอสมควรมองออกว่าไรอันเพียงแต่ผิดหวังที่ไม่ได้โปรเจ็คต์ที่เล็งไว้ ก็เลยมาระบายอารมณ์เอากับพวกเขาเหมือนเด็กที่ขัดใจเมื่อไม่ได้ของที่ต้องการ

“จริงสิ พี่กานต์จะลาไปเที่ยวลำปางตั้งแต่พรุ่งนี้ใช่หรือเปล่า? ถ้างั้นก็อดมาปาร์ตี้คริสต์มาสกับพวกผมสิ”

อิสราเปลี่ยนเรื่องแล้วหันไปถามแก้วกานต์ คนถูกถามจึงเงยหน้าจากจานข้าวขึ้นพยักหน้า “อื้ม พี่ก็เสียดายเหมือนกัน แต่แฟนพี่เขาอยากพาลูกไปเยี่ยมปู่กับย่าช่วงปีใหม่ ปีที่แล้วยังอ่อนอยู่เลยพาไปไม่ได้ ตอนนี้ขวบกว่าแล้ว พาไปเที่ยวไกลๆ ได้เสียที”

“นี่ๆ...ผึ้งเคยได้ยินพี่สาวเล่าให้ฟังว่างานเลี้ยงบริษัทเขาทีไร พวกผู้บริหารที่ปกติดุนักหนาเขายอมแต่งหน้าแต่งตัวแปลกๆ แล้วมาแสดงอะไรตลกๆ ให้ลูกน้องดูด้วยล่ะ ทำไมของบริษัทเราไม่มีแบบนั้นบ้างน้า”

ยุพดีเอ่ยพลางจุ๊ปากอย่างเสียดาย อิสราจึงยิ้มแยกเขี้ยว “อยากได้แบบนั้นเธอคงต้องย้ายบริษัทแล้วล่ะผึ้ง เจ้านายเราแต่ละคนทั้งเขี้ยวทั้งสุขุมกันจะตาย ขนาดไรอันแก่กว่าเราแค่ไม่กี่ปียังทำอย่างกับเป็นตาแก่ไปแล้วเลย เขาคงยอมมาเล่นปาหี่ให้เธอดูหรอกนะ”

ณรงค์ทานข้าวต่อโดยไม่ใส่ใจฟังบทสนทนาที่เหลือของรุ่นน้องนัก เพราะเขาคิดว่าพอจะเข้าใจไรอันอยู่เหมือนกันที่จำเป็นต้องทำงานหนักเพื่อให้ได้รับการยอมรับ เนื่องจากที่เจ้าตัวถูกส่งมารับตำแหน่งที่เมืองไทยนี่ก็เพราะพ่อเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมลเบิร์นนั่นเอง จึงไม่แปลกหากเขาจะถูกมองว่าเป็นคุณหนูที่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อเพราะเป็นลูกครึ่งซึ่งเติบโตในเมืองนอก ในขณะที่ผู้บริหารที่เหลืออีกสามคนต่างเป็นชาวไทยและอายุสี่สิบกว่ากันแล้ว และร่วมหัวจมท้ายผลักดันบริษัทตั้งแต่เริ่มตั้งสาขาที่เมืองไทยจนกระทั่งไต่ขึ้นมามีชื่อเสียงในระดับหนึ่งอย่างเช่นทุกวันนี้

เมื่อนึกถึงผู้บริหารหนุ่ม ภาพใบหน้าของเจ้าตัวก็แวบเข้ามาในหัวของณรงค์โดยอัตโนมัติ เขายอมรับว่าชอบมองหน้าของไรอันเวลาที่เจ้าตัวไม่รู้ตัว ตอนแรกๆ นั้นก็ตามประสาอยากรู้อยากเห็นเพราะอีกฝ่ายไม่ค่อยอยู่ที่ออฟฟิศ แต่ผ่านไปนานเข้าเขาก็ยิ่งชอบที่จะมองอีกฝ่ายให้นานขึ้น อาจเพราะเมื่อเทียบกับเขาที่ใจเย็นและไม่ค่อยถูกกระตุ้นให้โมโหง่ายๆ จนเคยมีเพื่อนแซวว่าเป็นพวก ‘ตายด้าน’ ไรอันกลับเต็มไปด้วยพลังและความมีชีวิตชีวาถึงแม้จะหนักไปทางร้อนแรงและเอาแต่ใจ ความแตกต่างนี้ทำให้เขานึกเอ็นดูอีกฝ่ายเหมือนกำลังมองน้องชายซนๆ คนหนึ่ง แต่เขาก็คิดว่าไรอันอาจจะรับรู้ได้ถึงสายตาของเขาอยู่เหมือนกัน เพราะบางโอกาสเขาก็เห็นเจ้าของนัยน์ตาคมสีน้ำตาลอ่อนส่งประกายหาเรื่องมาให้ยามที่เขาแอบมอง ซึ่งเวลาที่ถูกจับได้เขาก็จะเพียงแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วหันไปทางอื่นเท่านั้น

ความที่มัวแต่ใช้ความคิดเพลิน ณรงค์จึงไม่ทันรู้สึกตัวว่าถูกถามจนกระทั่งยุพดีเขย่าแขนเขาเบาๆ ชายหนุ่มจึงหันไปยิ้มให้ “อะไรเหรอผึ้ง?”

“พี่รงค์นั่งเหม่อไปไหนแล้วเนี่ย เมื่อกี้พวกหนูคุยกันว่าวันนี้วันศุกร์ทั้งทีเลยจะไปเดินเล่นหลังเลิกงานที่ข้าวสาร สนใจจะมาปล่อยแก่กับพวกหนูป่าว?”

“ไอ้นี่ปากเสีย...เชิญไปกันเองเหอะ พี่ไม่ค่อยนิยมแถวนั้น”

“แหมพี่รงค์ ทำงานเหนื่อยๆ มันก็ต้องไปเฮฮาปาร์ตี้กันมั่งสิ พี่ก็ชอบบอกปัดพวกผมเรื่อยเลย คราวหน้าชวนแล้วต้องไปนา”

อิสราเอ่ยพลางห่อปากพ่นลม ณรงค์จึงตบหลังรุ่นน้องอย่างเอาใจ “เออๆ เอาไว้คราวหน้าถ้าหาร้านที่ถูกรสนิยมพี่ได้แล้วจะพิจารณา คืนนี้ก็ไปเที่ยวกันเองก่อนแล้วกัน เดี๋ยวไว้โบนัสออกเมื่อไหร่พี่จะพาไปเลี้ยง”

คำสัญญานั้นตามมาด้วยเสียงเฮรอบโต๊ะ เมื่อทานอาหารกลางวันกันเสร็จแล้วทุกคนก็ต่างกลับขึ้นไปทำงานต่อ หลังจากเลิกงานเล็กน้อยณรงค์ก็ลาเพื่อนร่วมงานก่อนจะกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่คอนโด ชายหนุ่มนั่งดูโทรทัศน์พลางรอเวลาไปเรื่อยๆ เมื่อดึกพอสมควรจึงคว้าแจ็คเก็ตหนังมาสวมแล้วออกจากห้อง สาเหตุที่เขาปฏิเสธคำชวนของรุ่นน้องเมื่อตอนกลางวันก็เพราะว่าคืนนี้เขามีสถานที่ที่อยากไปอยู่แล้ว

ชายหนุ่มขับรถออกจากคอนโดไปยังถนนแห่งหนึ่งย่านใจกลางเมือง หลังจากครึ่งชั่วโมงผ่านไปก็มาถึงที่หมาย ณรงค์จอดรถที่ลานจอดก่อนจะเดินเข้าไปในผับขนาดใหญ่ซึ่งประดับแสงไฟเป็นชื่อผับอยู่เหนือประตูทางเข้า ความจริงแล้วเขาไม่ถึงกับเป็นขาเที่ยว และก็ไม่ค่อยได้มาที่นี่บ่อยครั้งนัก แต่ถ้าหากเทียบกับผับบาร์ย่านข้าวสารที่รุ่นน้องของเขาชวนเมื่อตอนบ่ายแล้ว ที่นี่ ‘ตรง’ กับรสนิยมของเขามากกว่าอย่างเทียบกันไม่ได้

ณรงค์ไม่ได้ชอบผู้หญิง เขารู้ตัวมานานแล้วและไม่ได้พยายามจะปกปิด แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ได้เที่ยวป่าวประกาศถึงรสนิยมของตัวเอง ดังนั้นคนที่ไม่ได้สนิทกันจริงๆ ก็จะไม่รู้เรื่องนี้ ประกอบกับเขาเป็นคนรักอิสระและไม่เคยคิดผูกมัดตัวเอง ทำให้ไม่เคยเริ่มสานสัมพันธ์กับใครก่อนอย่างจริงจัง และนานทีปีหนเท่านั้นที่จะนึกอยากออกไปเที่ยวผับ ‘เฉพาะรสนิยม’ เช่นในคืนนี้

สงสัยเพราะเมื่อกลางวันได้สบตาหนุ่มลูกครึ่งถี่ไปหน่อย...เลยนึกอยากมาส่องเด็กเป็นอาหารตาเล่นๆ ล่ะมั้ง...

ณรงค์คิดกับตัวเองยิ้มๆ ขณะแสดงบัตรประชาชนกับยามหน้าประตูเพื่อเป็นหลักฐานว่าเขาบรรลุนิติภาวะแล้ว (แถมยังเกินไปหลายปี) ถึงแม้ผับที่เขามาจะค่อนข้างชัดเจนว่ารองรับลูกค้าแนวไหนเป็นพิเศษ แต่ก็มีลูกค้าชายหญิงหรือหญิงล้วนเข้ามาเที่ยวเหมือนกัน และคงเพราะราคาเครื่องดื่มและอาหารที่ถือว่าค่อนข้างสูงสำหรับผับแนวนี้ ดังนั้นจึงเหมือนเป็นการกลั่นกรองลูกค้าที่มาใช้บริการไปกลายๆ ว่าไม่ใช่วัยรุ่นรักสนุกทั่วไปก็เข้ามาเที่ยวได้

เนื่องจากเขาไม่ใช่นักเต้นเท้าไฟและไม่ชื่นชอบการเบียดเสียดร่างกายกับคนไม่รู้จัก ณรงค์จึงตรงไปสั่งเบียร์ที่เคาน์เตอร์แล้วก็ยืนจิบพลางดูบรรยากาศรอบตัวอยู่ตรงนั้น เสียงดนตรีในผับค่อนข้างดังจนลูกค้าที่มากันเป็นคู่หรือเป็นกลุ่มต้องตะโกนคุย แต่เพราะณรงค์มาคนเดียวจึงไม่เดือดร้อน ชายหนุ่มเพียงโยกศีรษะและเคาะนิ้วเบาๆ บนหลังเคาน์เตอร์ตามจังหวะเพลงที่ดีเจเปิด ระหว่างที่สอดส่ายสายตาไปทั่วฟลอร์เผื่อว่าจะมีอะไรน่ามอง นัยน์ตาคมกริบก็สะดุดเข้ากับชายหนุ่มร่างสูงโปร่งคนหนึ่งซึ่งกำลังเต้นอยู่กลางฟลอร์ท่ามกลางทะเลของนักเต้นอย่างเมามัน แต่เนื่องจากร่างนั้นไม่ได้หันมาทางเขา เขาจึงเห็นเพียงแค่แผ่นหลังของเจ้าตัวท่ามกลางแสงไฟหลากสีที่สาดส่ายไปมาทั่วฟลอร์เท่านั้น

รูปร่างไม่เลว...ไรอันก็น่าจะสูงประมาณนี้...

เขาเคยขึ้นลิฟต์พร้อมกับผู้บริหารหนุ่มลูกครึ่งตอนอยู่ที่บริษัท ทำให้รู้ว่าไรอันสูงประมาณปลายจมูกเขาพอดี ณรงค์ยกเบียร์ขึ้นจิบอีกอึกโดยไม่ละสายตาจากร่างที่กำลังเคลื่อนไหวยักย้ายไปตามจังหวะดนตรีอย่างเร่าร้อน ไม่แน่ถ้าหากเขามีหนุ่มน้อยหน้าตาถูกใจมาเต้นยั่วแบบนี้ต่อหน้า แม้แต่คนตบะแข็งอย่างเขาก็อาจจะเผลอปล่อยตัวปล่อยใจไปได้ง่ายๆ เหมือนกัน

ร่างสูงโปร่งที่เขาจับจ้องนั้นใส่แจ็คเก็ตผ้าบางค่อนข้างเข้ารูปและไว้ผมสั้น ถึงแม้ว่าแสงไฟหลากสีที่สาดส่องไปมาจะทำให้ไม่สามารถระบุสีผมได้ว่าเป็นสีดำหรือสีอะไรก็ตาม วูบหนึ่งณรงค์เผลอคิดไปว่าเจ้าของร่างที่กำลังดึงดูดสายตาเขาคือผู้บริหารหนุ่มที่เพิ่งทำตาดุใส่ที่ห้องประชุมเมื่อกลางวัน แต่แล้วก็ส่ายหน้าแล้วยกเบียร์ในมือขึ้นจิบ คงยากที่จะจินตนาการว่าคนที่กำลังวาดลวดลายในฟลอร์นั้นเป็นไรอันไปได้...ถึงแม้หนุ่มลูกครึ่งจะดูแล้วเป็นคนเจ้าอารมณ์ก็ตาม แต่นอกจากจะดุแล้วยังเอาจริงเอาจังเวลางานขนาดนั้น คงจะมาเต้นสะบัดแถมยั่วขนาดนี้ไม่ได้หรอก

ไม่มีทาง...

“เฮ่ย!”

ณรงค์แทบสำลักเบียร์ที่เพิ่งกรอกเข้าปากเมื่อได้เห็นใบหน้าของชายหนุ่มร่างสูงโปร่งที่หมุนตัวกลับมา และแสงไฟที่สาดผ่านไปวูบหนึ่งก็ทำให้เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายได้ถนัด ถึงแม้จะแค่วูบสั้นๆ แต่เขาก็มั่นใจว่าไม่มีทางจำผู้บริหารของตัวเองผิดแน่

ชายหนุ่มใช้มือหนึ่งถือขวดเบียร์ขณะอีกมือยกขึ้นเช็ดคราบเบียร์ที่เลอะอยู่บนปาก ความบังเอิญที่ไม่ทันตั้งตัวทำให้ณรงค์ช็อคตาแทบค้างที่ได้เห็นผู้บริหารหนุ่มที่นี่ เพราะจริงอยู่ที่ผับแห่งนี้ต้อนรับลูกค้าทุกประเภท แต่พวกชายแท้จะไม่นิยมลงไปเต้นกลางฟลอร์เพราะรู้กันดีว่าเป็นพื้นที่สงวนสำหรับใคร ดังนั้นคนที่จะกล้าไปยืนอยู่บริเวณนั้นได้นอกจากพวกผู้หญิงก็เท่ากับประกาศกลายๆ ว่า ‘ฉันเป็นอะไร’ แล้วเท่านั้น

ณรงค์พยายามบังคับริมฝีปากที่อ้าค้างเพราะความคาดไม่ถึงให้หุบลง ขณะเดียวกันก็ยิ่งไม่อาจละสายตาจากร่างตรงกลางฟลอร์ที่เดี๋ยวก็ผลุบเดี๋ยวก็โผล่ท่ามกลางฝูงคนที่เต้นโยกย้ายไปมามากเข้าไปอีก ใจหนึ่งเขาให้นึกสงสัยว่าไรอันเพิ่งมาที่นี่ครั้งแรกหรือเปล่าเพราะเขาไม่เคยเจออีกฝ่ายมาก่อน และอีกใจก็เกิดคำถามว่าเจ้าตัวมากับใคร แต่จากท่าเต้นสุดเหวี่ยงที่ดูเหมือนไม่ได้หันไปหาใครเป็นพิเศษก็ทำให้เขาสันนิษฐานเอาเองว่าหนุ่มลูกครึ่งน่าจะมาคนเดียว

หลังจากความช็อคระลอกแรกผ่านไป ณรงค์ก็ส่ายหน้าแล้วเริ่มสงบสติอารมณ์ได้ ไม่เห็นมีอะไรจะต้องตกใจนี่นา...หากจะว่ากันแล้วผู้บริหารของเขาก็อายุเพียงยี่สิบหกเท่านั้นเอง ซึ่งหนุ่มๆ วัยนี้หากจะยังออกเที่ยวผับบาร์ตอนกลางคืนบ้างก็เป็นเรื่องปกติมาก เผลอๆ ตอนอยู่ที่เมลเบิร์นไรอันอาจจะยิ่งปาร์ตี้หนักกว่านี้เสียด้วยซ้ำ เพียงแต่เพราะหน้าที่การงานที่เมืองไทยทำให้เจ้าตัวต้องรักษาภาพพจน์ และคงเพราะเรื่องเครียดที่เพิ่งเจอก็เลยทำให้อยากมาปลดปล่อยบ้างก็เท่านั้นเอง ถ้าอย่างนั้นเขาก็ควรจะเคารพความเป็นส่วนตัวนอกเวลางานของอีกฝ่ายและทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไปเสียจะดีกว่า
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น เพราะยังไม่เขียนต่อเป็นเรื่องยาว] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก {UP 10.1.11}
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 10-01-2011 17:08:06
ยังไม่ทันที่ณรงค์จะคิดตกและตั้งใจว่าจะเพียงแต่แอบมองไรอันไปเงียบๆ จู่ๆ ก็เกิดความวุ่นวายขึ้นตรงกลางฟลอร์ที่ผู้บริหารหนุ่มของเขาเต้นอยู่จนคนที่อยู่รอบๆ พากันหยุดเต้นและหันไปมองเป็นตาเดียว ณรงค์เลิกคิ้วด้วยความสงสัยเพราะร่างสูงโปร่งที่ควรจะอยู่ตรงกลางฟลอร์หายไปไหนก็ไม่รู้ ความเอะใจทำให้เขารีบวางขวดเบียร์ซึ่งยังดื่มไม่หมดลงบนเคาน์เตอร์แล้วก็รีบแหวกฝูงคนเข้าไปตรงกลางทันที

“Don’t you ever dare touch my ass again, you son of a bitch!”

ทันทีที่แหวกคนเข้าไปถึงตรงกลางได้ (เพราะดูทุกคนจะตกใจจนไม่มีใครขวาง) ณรงค์ก็ได้ช็อคอีกรอบเมื่อเห็นว่าผู้บริหารหนุ่มของเขากำลังนั่งคร่อมเอวผู้ชายคนหนึ่งแล้วก็ตะบันกำปั้นลงไปบนหน้าของหมอนั่นอย่างไม่ออมแรง ฝ่ายคนถูกต่อยซึ่งคงจะเมาหนักพยายามจะยกมือขึ้นปัดป้องอย่างไม่เป็นผลพลางส่งเสียงครางอย่างน่าสงสาร ณรงค์จึงรีบสาวเท้าเข้าไปแล้วล็อคแขนร่างสูงโปร่งจากด้านหลังให้ลุกขึ้นและออกห่างจากอีกฝ่าย

“Who the fuck are you? Fucking let me go you motherfucker!!”

กลิ่นแอลกอฮอลล์ที่ฟุ้งจากลมหายใจของคนพูดทำเอาณรงค์นิ่วหน้า เมื่อประกอบกับน้ำเสียงที่ไม่ได้อ้อแอ้แต่ฟังแล้วพันกันจนแทบไม่เป็นคำก็ยิ่งทำให้รู้ว่าไรอันเมามาก และในอีกทางหนึ่งเขาก็นึกขอบคุณตัวเองที่แกะความสิ่งที่อีกฝ่ายพูดไม่ออกทุกคำ ไม่อย่างนั้นความรู้สึกอยากช่วยเหลือของเขาอาจจะลดน้อยลงกว่านี้ ชายหนุ่มรีบเอามือหนึ่งรวบเอวสอบของหนุ่มลูกครึ่งมาใกล้ตัวแล้วหันไปขอโทษขอโพยชายหนุ่มผู้น่าสงสารที่กำลังถูกคนช่วยให้ลุกขึ้นนั่ง

“ขอโทษนะครับ แฟนผมคงจะเมามากไปหน่อย เดี๋ยวผมจะรีบพากลับเดี๋ยวนี้เลยครับ”

“ใครเป็นแฟนแก? I’m not your bloody boyfriend you shit hole!”

ดูเหมือนว่าถึงจะเมามาก แต่สติสัมปชัญญะของหนุ่มลูกครึ่งก็ยังทำงานเต็มประสิทธิภาพ เพราะนอกจากจะฟังเขาออกท่ามกลางเสียงดนตรีกระหึ่มแล้วยังสามารถโต้ตอบได้อย่างถึงใจทั้งสองภาษา ทว่านัยน์ตาที่หยีมองเขาเหมือนมองคนแปลกหน้าก็ทำให้ณรงค์มั่นใจว่าไรอันคงเมาจนจำเขาไม่ได้

“Come on honey, you always say that when you’re angry.”

สกิลภาษาอังกฤษของณรงค์ดูจะพัฒนาขึ้นแบบปุบปับ ชายหนุ่มแสร้งเล่นบทคู่รักของเจ้าตัวต่อขณะกึ่งลากกึ่งประคองไรอันออกมาจากผับอย่างทุลักทุเล เพราะดูเหมือนหนุ่มลูกครึ่งจะไม่อยากให้ความร่วมมือด้วยสักเท่าไหร่ และจากรูปการณ์แล้วหากพวกเขายังอยู่ต่อคงไม่ดีเพราะไม่รู้ว่าพ่อหนุ่มโชคร้ายเมื่อครู่จะไปตามพรรคพวกมารุมประชาทัณฑ์พวกเขาหรือไม่ ณรงค์จึงคิดว่าน่าจะพาไรอันกลับไปส่งที่บ้านเลยจะปลอดภัยที่สุด

“เดินดีๆ สิ คุณเมามากแล้วรู้มั้ย? เดี๋ยวผมจะพาไปส่งที่บ้านให้”

“ปล่อย...”

จู่ๆ คนที่ถูกรั้งเอวให้เดินมาด้วยก็ชะลอฝีเท้าลงกะทันหันและพยายามจะดันตัวออกจากอกเขา แต่เพราะณรงค์คิดว่าไรอันเพียงแกล้งทำเป็นหมดฤทธิ์เพื่อจะได้กลับเข้าไปด้านใน จึงไม่ยอมปล่อยแล้วก็ยิ่งรัดแขนข้างที่โอบเอวอีกฝ่ายแน่นขึ้น

“ไม่ได้ ขืนปล่อยคุณก็ได้หนีกลับเข้าไปในผับอีกล่ะสิ โตป่านนี้แล้วอย่าทำตัวเป็นเด็กช่างงอแงน่า”

นัยน์ตาคมสีน้ำตาลอ่อนตวัดขึ้นมองเขาอย่างฉุนเฉียว แต่ยังไม่ทันที่เจ้าตัวจะอ้าปากพูด ณรงค์ก็ยืนตัวแข็งเมื่อมือเรียวสองข้างคว้าจับสาบเสื้อเขาแน่นก่อนไรอันจะก้มหน้าลงแล้วโก่งคออาเจียนอย่างแรง ครู่หนึ่งกลิ่นบูดเฉพาะตัวของอาหารที่ยังย่อยไม่หมดคละเคล้ากับกลิ่นแอลกอฮอลล์ก็ลอยฟุ้งขึ้นช้าๆ จากจุดที่เสื้อของเขาถูกกระทำชำเรา ชายหนุ่มทำตาโตขณะที่ตัวต้นเหตุค่อยๆ ผงกศีรษะขึ้นมองเขาด้วยใบหน้าซีดเซียวแล้วเอ่ยเสียงอ่อย (แต่ดูเหมือนไม่สำนึกผิดแม้แต่น้อยสำหรับคนฟัง)

“See? …I told ya.”


++------++


ณรงค์ถอนหายใจขณะปล่อยให้สายน้ำอุ่นจากฝักบัวไหลลงบนร่างกายและเรือนผม มือแข็งแรงหยิบสบู่แบบก้อนขึ้นมาขยี้ฟองแล้วถูไปตามตัวเพื่อชำระคราบไคลและกลิ่นตัวที่ติดมาจากผับและอ้วกของใครบางคน สายน้ำอุ่นๆ ที่ไหลลงมากระทบผิวช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่เหนื่อยล้าหลังจากที่เขาต้องลากใครคนนั้นขึ้นรถและพากลับมาที่คอนโดได้เป็นอย่างดี

ตอนแรกณรงค์ไม่ได้ตั้งใจจะพาไรอันกลับมาด้วย แต่เพราะหลังจากอาเจียนจนหมดตับไตไส้พุง ผู้บริหารหนุ่มลูกครึ่งก็หมดสติแล้วไม่สามารถชี้บอกเขาได้อีกว่าจะให้ไปส่งที่ไหน ครั้นจะไปเปิดโรงแรมให้นอน ณรงค์ก็คิดว่านอกจากจะดูไม่ดีแล้วเขายังไปขอเบิกค่าห้องกับใครไม่ได้ จึงถือวิสาสะพาอีกฝ่ายกลับมาที่คอนโดเพราะถึงอย่างไรพรุ่งนี้ก็วันเสาร์ หากไรอันอยากจะนอนตื่นสายแค่ไหนก็ไม่ต้องกังวลว่าจะเลยเวลาเช็คเอ๊าท์แน่นอน

หลังจากอาบน้ำเสร็จ ณรงค์ก็เอาเสื้อคลุมอาบน้ำมาสวมแล้วใช้ผ้าขนหนูขยี้ผมขณะเดินกลับเข้าไปในห้องนอน กลางเตียงขนาดดับเบิ้ลเบดในห้องที่เปิดไว้เพียงโคมไฟคือร่างของหนุ่มลูกครึ่งที่กำลังนอนหลับสนิทอย่างไม่รับรู้เรื่องราวใดๆ เจ้าของห้องจึงลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียงโดยยังขยี้ผมไปด้วย

เนื่องจากตอนที่อาเจียนนั้นไรอันเล็งไม่ค่อยดี ดังนั้นนอกจากจะทำเสื้อและกางเกงของเขาเลอะแล้วก็ยังทำให้ทั้งเสื้อและกางเกงของตัวเองเปรอะไปด้วย ตอนแรกณรงค์ก็คิดว่าถ้ากลับมาถึงห้องแล้วหนุ่มลูกครึ่งได้สติก็จะปล่อยให้อาบน้ำเอง แต่ปรากฏว่าอีกฝ่ายไม่หือไม่อือทั้งสิ้นไม่ว่าเขาจะจับเดินไปทางไหน แถมพอเห็นเตียงก็ทำท่าจะล้มลงนอนทันทีอีกต่างหาก ร้อนถึงเขาต้องรีบรั้งให้มานั่งกับพื้นพรมแล้วจับปอกเปลือก เอ๊ย ถอดเสื้อผ้าที่เลอะเทอะออกให้ก่อน แต่เนื่องจากเสื้อผ้าที่ไรอันใส่มีเนื้อผ้าค่อนข้างบาง ตอนที่นั่งมาในรถจึงถูกอาเจียนที่เลอะซึมเข้าไปถึงกางเกงชั้นในเรียบร้อย ณรงค์จึงไม่มีทางเลือกนอกจากจับผู้บริหารของเขาถอดเสื้อผ้าเปลือยล่อนจ้อนแล้วเช็ดตัวให้อย่างกับเด็กทารก จากนั้นก็หยิบเสื้อยืดสีขาวสำหรับใส่นอนกับกางเกงบ็อกเซอร์ของเขาให้ใส่เพื่อจะได้ไม่เป็นหวัด เสร็จเรียบร้อยแล้วถึงค่อยอุ้มคนที่หลับไม่รู้เรื่องราวขึ้นนอนบนเตียงก่อนจะไปอาบน้ำบ้าง

แสงสีส้มอ่อนจากโคมไฟตั้งพื้นตรงมุมห้องส่องสะท้อนผิวสีงาช้างของคนที่กำลังหลับใหล ใบหน้าที่ไร้การป้องกันตัวเองทำให้หนุ่มลูกครึ่งดูเด็กลงกว่าอายุจริงราวกับเป็นหนุ่มแรกรุ่น ณรงค์นั่งเท้าคางมองใบหน้าที่ผิวใสเกลี้ยงจนเหมือนจะเปล่งแสงได้เองแล้วก็ยกมือขึ้นเสยผมให้ และพบว่าเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนหยักศกที่เขาเคยคิดว่าน่าจะสากกลับลื่นนิ้วจนทำให้ไม่อยากหยุดสาง เมื่อครู่ตอนที่ช่วยเช็ดตัวนั้นเขามีเวลาให้พินิจพิจารณาเรือนร่างเปลือยเปล่าของอีกฝ่ายอย่างเหลือเฟือ แต่ณรงค์เพียงแต่รีบทำทุกอย่างให้เสร็จเร็วที่สุดเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายไม่สบาย สำหรับเขาการแอบดูเรือนร่างของคนที่ไม่รู้ตัวก็ไม่ต่างอะไรกับคนโรคจิต มิสู้ให้เจ้าตัวมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ดี และเป็นฝ่ายเชื้อเชิญให้เขาเชยชมร่างกายอย่างเต็มใจยังจะน่าตื่นเต้นมากกว่า

ชักจะฟุ้งซ่านไปใหญ่แล้ว...รีบๆ ไปนอนจะได้ล้างหูไว้รอฟังคำโวยวายพรุ่งนี้ดีกว่ามั้ง...

คิดได้ดังนั้นณรงค์ก็ลุกขึ้นหยิบเสื้อกล้ามกับกางเกงขายาวมาสวม จากนั้นก็ปิดโคมไฟในห้องแล้วเดินออกไปนอนที่โซฟาในห้องนั่งเล่น ถึงแม้ว่าการนอนร่วมเตียงกับหนุ่มลูกครึ่งหุ่นสูงโปร่งหน้าตาดีจะเย้ายวนแค่ไหน แต่เขาก็ไม่คิดสั้นถึงกับจะปล่อยให้ตัวเองถูกบีบคอตายบนเตียงหลังจากเจ้าตัวตื่นขึ้นมาหรอก

++------++


ค่ำคืนนั้นผ่านไปอย่างราบรื่นเกินคาด ณรงค์ถึงกับแปลกใจด้วยซ้ำที่หลังจากตื่นขึ้นมาแล้วไม่ได้ยินเสียงโคร้งเคร้งหรือเสียงบริภาษเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงออสซี่ของคนในห้องนอน เมื่อลองแง้มประตูดูก็พบว่าไรอันยังหลับไม่ตื่น เพียงแต่จากท่านอนหงายธรรมดาที่เขาจัดให้เมื่อวาน เช้านี้หนุ่มลูกครึ่งนอนงอตัวและดึงผ้าห่มไปคลุมจนเป็นก้อนกลมปุ๊ก เห็นเพียงปอยผมสีน้ำตาลอ่อนยุ่งเหยิงที่โผล่ออกมาด้านบนเท่านั้น ดูแล้วเหมือนก้อนขนมปังไส้หมูหยองที่เขาชอบซื้อจากร้านใต้คอนโดไม่มีผิด

ณรงค์ถือโอกาสที่อีกฝ่ายยังไม่ตื่นเอาเสื้อผ้าซึ่งใส่เครื่องซักและอบแห้งไว้ตั้งแต่เมื่อคืนออกมาวางพาดบนเก้าอี้ให้ จากนั้นก็เดินย่องกลับไปที่ครัวเพื่อทำอาหารเช้าทาน ปกติเขาจะยอมให้ตัวเองนอนตื่นสายได้เล็กน้อยเมื่อถึงวันหยุด แต่ต่อให้นอนเพลินแค่ไหนเขาก็ไม่ค่อยตื่นสายกว่าเก้าโมงเช้า เนื่องจากเสียดายเวลาที่จะได้เอาไปทำอย่างอื่น และหลังจากจัดการธุระเสร็จเรียบร้อยก็กลับมานั่งดูโทรทัศน์ที่โซฟาเช่นเดิม

เวลาผ่านไปจนเกือบบ่ายสามจึงมีเสียงความเคลื่อนไหวจากในห้องนอน ณรงค์ที่กำลังนั่งดูการแข่งฟุตบอลอยู่หันหลังกลับไปเมื่อได้ยินเสียงประตูเปิด ใจหนึ่งก็ตุ๊มๆ ต่อมๆ ว่าจะโดนด่าว่าอะไร แต่อีกใจหนึ่งก็เฉยๆ เพราะเขานั่งรอให้อีกฝ่ายตื่นมานานหลายชั่วโมงจนเริ่มไม่ตื่นเต้นแล้ว ทว่าสิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มแปลกใจคือภาพของหนุ่มลูกครึ่งที่เดินขยี้ผมสีน้ำตาลอ่อนยุ่งๆ ของตัวเองออกมาจากในห้องแล้วมองซ้ายขวาอย่างงงๆ จากนั้นก็หยีตามองเขาเหมือนกำลังเพ่งอะไรที่อยู่ไกลมากๆ และนั่นก็ทำให้ณรงค์นึกไม่ออกว่าควรจะพูดอะไรอยู่หลายวินาที

“เอ่อ...ตื่นแล้วเหรอครับ?”

หลังจากตั้งสติได้ ณรงค์ก็ลุกจากโซฟาแล้วเอ่ยทักทายก่อน แต่ว่าไรอันก็เพียงแต่มองตามการเคลื่อนไหวของเขาโดยไม่หยุดหยีตา หนุ่มลูกครึ่งเอียงคอพร้อมกับประกายในแววตาที่บ่งว่าเหมือนจะนึกอะไรออก แต่ก็เหมือนไม่แน่ใจเสียทีเดียว

หรือว่า...ไม่จริงน่ะ...

ณรงค์เริ่มเดาได้เลาๆ ว่าสาเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายมองเขาอย่างกับเขาอยู่ห่างไปสักห้าร้อยเมตรแทนที่จะเป็นสองเมตรอย่างในความจริงนั้นเพราะอะไร จึงลุกเดินเข้าไปหาใกล้ๆ และทันทีที่เขาอยู่ห่างในระยะไม่ถึงเมตร นัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลอ่อนก็เบิกกว้างทันที

“นาย! นายณรงค์!!”

สายตาสั้นขั้นรุนแรงจริงๆ ด้วย ไม่อยากจะเชื่อ...

ชายหนุ่มพยายามบังคับตัวเองไม่ให้หัวเราะเมื่อได้ค้นพบความลับอีกอย่างของผู้บริหารหนุ่มลูกครึ่ง แต่แล้วก็ต้องรีบเบี่ยงตัวหลบเมื่อจู่ๆ ร่างสูงโปร่ง (แต่เตี้ยและผอมกว่า) พุ่งหมัดมาโดยเฉียดปลายจมูกเขาไปนิดเดียว ณรงค์อาศัยความไวรีบคว้าจับข้อมือข้างนั้นแล้วก็ยึดไว้แน่น

“เฮ่ย! เดี๋ยวก่อนสิ! จะไม่ฟังก่อนหรือไงว่าทำไมคุณถึงมาอยู่ที่ห้องผมน่ะ!?”

“ไม่ฟัง! ไอ้โรคจิต! What the hell did you do to me!?”

เมื่อหมัดหนึ่งไม่ได้ผล หมัดสองก็ตามมา ณรงค์จึงต้องคว้าจับมืออีกข้างไว้ด้วย ทั้งสองยักแย่ยักยันกันครู่หนึ่งอย่างไม่มีใครยอมใคร และสัญชาตญาณก็บอกณรงค์ว่าไรอันต้องยกเข่าขึ้นมาอัดท้องเขาแน่ จึงอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายเหลือบตาลงรีบบิดแขนเรียวข้างหนึ่งแล้วดึงตัวเข้ามากอดโดยให้แผ่นหลังชนกับอกของเขา จากนั้นก็ใช้แขนอีกข้างล็อกตัวเอาไว้แน่นเพื่อให้อยู่นิ่งๆ

“You fucking pervert!! Let go of me!!”

“นี่! ฟังกันให้รู้เรื่องก่อนได้มั้ย? ผมไม่มีอารมณ์ทำอะไรกับคนเมาที่อ้วกใส่ผมแล้วยังต้องให้พากลับมาที่ห้องอีกหรอกนะ รู้ตัวซะบ้างว่าถ้าเมื่อคืนผมไม่ช่วยล่ะก็คุณมีหวังโดนลากไปรุมกระทืบแล้ว!”

ดูเหมือนสิ่งที่ณรงค์พูดไปจะกระตุ้นต่อมความทรงจำซึ่งยังไม่ตื่นขึ้นมา ไรอันจึงค่อยๆ หยุดดิ้นรนในวงแขนของเขา และความเงียบที่ตามมาก็ทำเอาณรงค์แทบจะคิดว่าสามารถได้ยินเสียงฟันเฟืองในหัวของคนตรงหน้าเลยทีเดียว

“Oh…”

เสียงอุทานเบาๆ เหมือนเจ้าตัวระลึกความได้แล้วทำให้ชายหนุ่มถอนหายใจก่อนจะยอมปล่อยมือ แต่พอร่างกายเป็นอิสระ ร่างสูงโปร่งก็รีบดีดตัวออกห่างแล้วหันมามองเขาพร้อมกับคิ้วที่ขมวดแน่น

“แล้วทำไมผมถึงมาอยู่ที่ห้องคุณได้?”

สงสัยจะจำได้แต่ไม่หมด...ณรงค์คิดในใจ จากนั้นก็มองคนผมยุ่งตรงหน้าที่ดูแล้วเหมือนเด็กกำลังจ้องจะหาเรื่องด้วยนัยน์ตายิ้มปนเอือมหน่อยๆ

“เดี๋ยวผมเล่าให้ฟังก็แล้วกัน ยังไงไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะ เดี๋ยวผมทำข้าวเช้าให้ทาน”

ถึงจะบอกว่าเป็นข้าวเช้า แต่โดยเวลาแล้วก็นับว่าเลยมื้อกลางวันมามากโข แถมเพราะเมื่อคืนนี้ไรอันอาเจียนออกไปชุดใหญ่ ณรงค์จึงตัดสินใจต้มโจ๊กซองใส่ไข่ให้สำหรับมื้อแรกของวัน เมื่อหนุ่มลูกครึ่งเดินกลับมาหลังจากอาบน้ำเสร็จและเปลี่ยนไปใส่เสื้อผ้าชุดเดิมที่ซักสะอาดแล้ว นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนก็หรี่ลงมองถ้วยโจ๊กตรงหน้า

“นี่มันบ่ายสามแล้วนะ จะให้ผมกินแค่นี้เหรอ?”

ณรงค์เลิกคิ้ว “นี่คุณ เมื่อคืนคุณอ้วกหนักแค่ไหนรู้ตัวหรือเปล่า ถึงจะหิวก็กินของอ่อนๆ เข้าไปก่อนดีกว่า เกิดคลื่นไส้หรือท้องเสียขึ้นมาไม่คุ้มกันหรอก ถ้าหากกินแล้วยังไม่อิ่มเดี๋ยวผมต้มเพิ่มให้อีกซองก็ได้”

พูดจบแล้วเจ้าของห้องก็นั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม และจากระยะที่ห่างกันเพียงเส้นผ่านศูนย์กลางของโต๊ะกลมตัวเตี้ย ไรอันจึงเห็นนัยน์ตาคมกริบของณรงค์ที่จ้องมาเหมือนรอให้เขาทานอาหารที่ทำให้ได้อย่างชัดเจน หนุ่มลูกครึ่งจึงยอมนั่งแล้วยกช้อนขึ้นมาตักโจ๊กร้อนๆ ขึ้นทานแต่โดยดี และณรงค์ก็เพียงแต่มองอีกฝ่ายทานอาหารมื้อแรกอย่างเงียบๆ

เวลาดูแบบนี้แล้วเหมือนเด็กจริงๆ ด้วย...

ณรงค์คิดขณะมองคนตรงหน้าก้มลงเป่าโจ๊กซึ่งร้อนจนเห็นไอสีขาวลอยกรุ่น และไรอันก็ดูเหมือนจะจับได้ถึงรอยยิ้มในแววตาของคนจ้อง นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนจึงตวัดขึ้นมองเขาอย่างระวังระไว

“ไหนว่าจะเล่าเรื่องเมื่อคืนให้ฟังไง ทีนี้ก็เล่าเสียทีสิ”

“อ้อ ครับๆ”

ชายหนุ่มตอบรับแล้วก็เริ่มเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้ฟัง เริ่มตั้งแต่ตอนที่เขาเข้าไปในผับและเริ่มสังเกตเห็นอีกฝ่ายอยู่กลางฟลอร์ ยิ่งพอเล่าถึงตอนที่ไรอันเมาจนชกคนแปลกหน้าและอ้วกใส่เสื้อเขาตอนเดินออกมาจากผับ สีหน้าของคนฟังก็ซีดเผือดลงเรื่อยๆ พอณรงค์เล่าถึงตอนที่พาขึ้นมาถึงบนห้องแล้วและกำลังจะถอดเสื้อผ้าเช็ดตัวให้ หนุ่มลูกครึ่งก็รีบยกมือขึ้นปิดปากเขาทันที

“พอแล้ว! I get it! ไม่ต้องเล่าแล้ว!”

ณรงค์กะพริบตา จากนั้นก็หัวเราะหึๆ คนที่ใช้มือปิดปากเขาอยู่จึงสะดุ้งแล้วก็รีบชักมือกลับ พลันใบหน้าเนียนที่เมื่อครู่ซีดเผือดก็เริ่มมีสีเลือดฝาดขึ้นอีกครั้ง เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อน (และตอนนี้ผมไม่ยุ่งแล้ว) ก้มลงตักโจ๊กทานต่อโดยดูจะหลีกเลี่ยงการสบตากับเขาอย่างเห็นได้ชัด ชายหนุ่มเจ้าของห้องเห็นท่าทางแบบนั้นจึงตัดสินใจไม่แซวอีก

“ว่าแต่ผมเพิ่งรู้นะว่าคุณสายตาสั้นมากขนาดนี้ ตอนอยู่ที่ออฟฟิศไม่เห็นเคยใส่แว่นสักครั้ง”

ณรงค์ทักขึ้น จึงได้รับคำตอบกลับแทบจะทันควัน “รู้จักคอนแทคต์เลนส์มั้ย? ผมไม่ชอบใส่แว่นก็เลยใส่คอนแทคต์ประจำ แต่ที่เมื่อเช้าตื่นมาเห็นคุณไม่ชัดคงเพราะมันหลุดไปตอนต่อยไอ้หมอนั่นเมื่อคืน”

“อ้อ...ก็เป็นไปได้”

ชายหนุ่มเจ้าของห้องพยักหน้าหงึกๆ จากนั้นก็ไม่ถามอะไรอีกและปล่อยให้อีกฝ่ายทานโจ๊กต่ออย่างสงบ

รู้สึกแปลกๆ ดีเหมือนกันแฮะ...ความจริงมีคนมานั่งกินข้าวในห้องเดียวกันก็ไม่เลวนี่นะ...

ณรงค์จับจ้องสายตาบนปลายนิ้วเรียวที่กระชับอยู่รอบช้อนสแตนเลส มองตามมือนั้นที่ลดลงใช้ช้อนตักโจ๊กสีขาวขุ่นขึ้นเป่า ไล่สายตาตามไปจนโจ๊กคำนั้นถูกส่งเข้าไปในริมฝีปากได้รูปสีสดที่เผยออ้า รวมทั้งช่วงคอเรียวที่ขยับยามกลืนโจ๊กอุ่นๆ ลงไป และเฝ้ามองการเคลื่อนไหวที่ซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างเผลอไผลโดยไม่รู้เบื่อ

“แค่คนนั่งกินโจ๊ก จะมองอะไรกันนักกันหนา?”

คำถามนั้นทำให้ณรงค์ตื่นจากภวังค์ ชายหนุ่มกะพริบตาแล้วก็รู้สึกตัวว่าคนพูดยังถือช้อนอยู่แต่หยุดตักโจ๊กแล้ว ตอนแรกเขานึกว่าคงเผลอทำให้อีกฝ่ายรำคาญที่เอาแต่จ้องอย่างเสียมารยาท แต่เมื่อเหลือบตาขึ้นก็เห็นผิวแก้มอีกฝ่ายเป็นสีสุกปลั่ง แล้วยังไม่นับรวมนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนที่จดจ่ออยู่กับชามโจ๊กโดยไม่สบตาเขานั่นอีก

กำลังเขินงั้นเหรอ...

ณรงค์อ่านท่าทางของอีกฝ่ายออกอย่างง่ายดาย บางทีการได้พูดคุยกันเมื่อครู่อาจทำให้ไรอันรู้ตัวแล้วว่าการที่ทั้งสองไปเที่ยวผับเดียวกันเมื่อคืนหมายความว่าอย่างไร แล้วนี่เขายังมานั่งจ้องอีกฝ่ายเอาแบบไม่เกรงใจกันอีก ไม่รู้ว่าจะทำให้พาลนึกไปถึงเรื่องที่เมื่อคืนเขาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ด้วยหรือเปล่า

เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ ณรงค์ก็ชักรู้สึกร้อนๆ หน้าขึ้นมาเหมือนกัน ความจริงแล้วเมื่อคืนนี้ก็ใช่ว่าเขาจะทำทุกอย่างด้วยใจบริสุทธิ์ผุดผ่องไปเสียหมด เพราะยอมรับว่าบางขณะที่เอาผ้าชุบน้ำเช็ดไปตามผิวกายของอีกฝ่าย เขาก็อดจะห้ามความคิดของตัวเองไม่ได้ว่า...ผู้ชายอะไรผิวเนียนลื่นมือชะมัด

ชายหนุ่มกระแอมแล้วก็ลุกขึ้น จากนั้นก็ชงกาแฟแล้วเอามาวางบนโต๊ะพร้อมกระปุกน้ำตาลทรายและครีมเทียม เขาไม่พูดอะไรสักคำแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ว่าชงมาให้จึงพยักหน้าขอบคุณ ณรงค์จึงเดินออกจากครัวแล้วก็รีบอาศัยเวลานี้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เมื่อเขาแต่งตัวเสร็จและเดินกลับออกมาอีกครั้งก็พบว่าหนุ่มลูกครึ่งกำลังเก็บล้างชามโจ๊กกับถ้วยกาแฟอยู่หน้าอ่างล้างจาน ร่างสูงโปร่งใช้เท้าข้างหนึ่งเขี่ยข้อเท้าอีกข้างเหมือนจะเกา ณรงค์เห็นท่าทางดังนั้นก็เผลอหัวเราะจนอีกฝ่ายสะดุ้งแล้วหันมาหยีตามองเขาตาขุ่น (แต่หยีตาแล้วยังทำตาขุ่นได้ยังไงณรงค์ก็จนปัญญาจะเลียนแบบ)

“ผมเพิ่งนึกได้ว่าวันนี้วันคริสต์มาส ถ้าคุณไม่รีบกลับจะไปเดินเล่นดูไฟในเมืองด้วยกันไหม?”

“หา?...ผมกับคุณ?”

หนุ่มลูกครึ่งเลิกคิ้วถามเหมือนไม่เชื่อหู ณรงค์จึงพยักหน้า แล้วก็ย้ำคำชวนด้วยการชี้นิ้วไปที่อีกฝ่ายแล้วชี้กลับหาตัวเองอยู่สองสามครั้ง

“I haven’t got my contact lens today…”

จู่ๆ ไรอันก็ตอบเป็นภาษาอังกฤษ แต่นับตั้งแต่เมื่อคืนณรงค์จึงรู้แล้วว่าอีกฝ่ายจะกลับไปพูดภาษาที่ถนัดเวลาที่โมโหหรือประหม่า และเขาเชื่อว่ากรณีนี้น่าจะมีสาเหตุมาจากข้อหลังมากกว่าข้อแรก

“ไม่เป็นไรหรอกน่า แสงไฟเขาติดแผงใหญ่เบ้อเริ่ม ต่อให้สายตาสั้นยังไงก็ดูไม่ลำบากหรอก หรือถ้าคุณกลัวจะเดินชนอะไรเดี๋ยวผมคอยจูงมือก็ได้”

“That’s not fucking funny, but...ไปก็ได้”

หลังจากผ่านไปชั่วอึดใจณรงค์ก็ได้คำตอบ ชายหนุ่มจึงยิ้มกว้างแล้วก็เดินเข้าไปหยิบชามที่ยังเปียกโชกในมือของอีกฝ่ายขึ้นวางที่ตะแกรงพักข้างอ่าง จากนั้นก็วางมือลงบนไหล่ผอมทั้งสองข้างแล้วดันให้เดินไปทางห้องนอน

“งั้นคุณเอาแจ็คเก็ตกับข้าวของคุณออกมาก่อนแล้วกัน ผมวางโทรศัพท์มือถือกับกระเป๋าเงินของคุณไว้ที่โต๊ะหน้ากระจก เดี๋ยวไปนั่งรถเล่นกันก่อนแล้วค่อยไปดูไฟ”

ร่างสูงโปร่งขมวดคิ้วเหมือนไม่พอใจที่ถูกสั่งอย่างกับเป็นเด็กๆ แต่พอเห็นนัยน์ตาวาววับของณรงค์ก็รีบเบี่ยงตัวออกแล้วเดินเข้าไปในห้อง ณรงค์หัวเราะในคอก่อนจะเดินไปที่ตู้เก็บรองเท้าข้างประตูแล้วหยิบรองเท้าหนังหุ้มข้อทรงคล้ายรองเท้าคอมแบทขึ้นมาสวม จากนั้นก็หยิบแจ็คเก็ตหนังที่แขวนอยู่บนขอข้างประตูขึ้นมาพาดบ่า ถึงแม้อากาศยามค่ำในกรุงเทพฯ จะไม่ถึงกับหนาว แต่การเตรียมตัวไว้ก่อนย่อมดีกว่า ชั่วอึดใจไรอันก็เดินออกมาโดยสวมแจ็คเก็ตเนื้อบางของตัวเองทับเสื้อเรียบร้อย ร่างสูงโปร่งเลิกคิ้วเมื่อเดินเข้ามาใกล้แล้วเห็นเขายิ้ม

“ยิ้มทำไม?”

“เปล่าครับ...ไปกันเถอะ”

ณรงค์เอ่ยแล้วก็เปิดประตูค้างไว้เหมือนรอให้หนุ่มลูกครึ่งออกไปก่อน ไรอันจึงสวมรองเท้าแล้วก็หันมามองเขาพร้อมกับทำสายตา...เหมือนจะค้อนก็ไม่เชิง แต่ก็สรุปได้ว่าแสดงถึงความหมั่นไส้อย่างแน่นอน แต่เจ้าของห้องก็เพียงแต่ยิ้มอย่างไม่นำพาก่อนจะล็อกห้องแล้วเดินตามอีกฝ่ายไปที่ลิฟต์

เนื่องจากคอนโดของณรงค์อยู่ชานเมือง บวกกับเขาคำนวณผิดว่าบ่ายวันเสาร์รถไม่น่าจะติดจึงไม่ขึ้นทางด่วน กลับกลายเป็นว่าเส้นทางที่เขาเลือกนั้นรถติดสนั่น แถมมีแยกไฟแดงแทบจะทุกๆ หนึ่งกิโลเมตร ดังนั้นแม้คนขับจะใจเย็นแค่ไหน แต่คนที่นั่งอยู่ข้างๆ กลับกอดอกแล้วเคาะนิ้วไปมาอย่างไม่สบอารมณ์

“ทำไมไม่เลือกขึ้นทางด่วนแต่แรกนะคุณ ถ้าไม่อยากจ่ายค่าผ่านทางก็ให้ผมออกก็ได้ แต่ค่าน้ำมันที่มาติดแหง็กอยู่แถวนี้น่ะผมไม่รับผิดชอบด้วยหรอกนะ”

ไรอันหันมาบ่นอย่างชัดถ้อยชัดคำ ซึ่งนานครั้งที่ณรงค์จะได้ยินผู้บริหารหนุ่มลูกครึ่งพูดภาษาไทยฉะฉานเป็นประโยคยาวแบบนี้โดยไม่มีภาษาอังกฤษเจือปน ชายหนุ่มจึงหรี่เสียงวิทยุแล้วหันไปตอบ

“ก็มองในแง่ดีว่ากว่าเราจะไปถึงเขาก็คงเปิดไฟพอดีไงคุณ โชคดีว่าหน้าหนาวฟ้ามืดเร็วอยู่แล้วด้วย หรือนั่งในรถกับผมสองคนนานๆ แล้วอึดอัดมากเหรอ?”

ดูเหมือนคำถามสุดท้ายจะเป็นหมัดเด็ดเพราะไรอันทำท่าผงะไป จากนั้นก็หันไปเท้าคางมองหน้าต่างอีกด้านแล้วบ่นพึมพำเป็นภาษาอังกฤษซึ่งณรงค์ฟังไม่ออก แต่ก็พอจะเดาได้ว่าคงไม่ใช่คำดีๆ แน่ ทว่าเขากลับไม่รู้สึกหงุดหงิดที่ไม่รู้ว่าโดนแขวะว่าอะไรบ้าง ตรงกันข้าม ชายหนุ่มกลับอารมณ์ดีจนฮัมเพลงตามวิทยุเสียด้วยซ้ำ

กว่าทั้งสองจะมาถึงสี่แยกที่ประดับประดาด้วยไฟนีออนหลากสีเพื่อฉลองเทศกาลส่งท้ายปีก็กินเวลาไปเกือบสองชั่วโมง (โดยที่ไรอันไม่รู้ว่าณรงค์แกล้งขับรถอ้อม) แสงอาทิตย์ถูกฟ้ายามเย็นดูดซับจนเหลือเพียงสีส้มจางที่พร้อมจะกลืนไปกับความมืดสลัวของยามสนธยา ณรงค์เลือกจะไม่เข้าไปหาที่จอดในห้างสรรพสินค้าเพราะรู้ดีว่าคงหายากและเสียเวลานาน จึงเลี้ยวเข้าไปในโรงแรมแถวนั้นแทนแม้ว่าค่าจอดจะแพงก็ตาม จากนั้นจึงค่อยเดินนำหนุ่มลูกครึ่งขึ้นบันไดไปชั้นบนเนื่องจากเขาจอดรถไว้ที่ชั้นใต้ดิน

ตอนเดินขึ้นบันไดนั้นณรงค์เดินนำไปก่อน จึงไม่ทันได้สังเกตว่าคนข้างหลังค่อนข้างประสบความลำบากในการคลำทางเนื่องจากไม่ได้ใส่คอนแทคต์เลนส์และแสงในลานจอดใต้ดินก็ค่อนข้างสลัว เขาได้ยินเสียงอุทานเบาๆ ที่ฟังคล้าย “Shit!” ครั้งหนึ่งจึงหันหลังกลับไปมอง แต่ก็เห็นอีกฝ่ายเพียงแต่จับราวบันไดแล้วเดินตามเขามาอย่างไม่มีปัญหา แต่พอจะหันกลับไปด้านหน้าอีกครั้งก็ได้ยินเสียงหกล้มชัดเจน คราวนี้เขาจึงรีบถอยลงไปหาทันที

“สะดุดขั้นบันไดเหรอ? ทำไมไม่บอกผมก่อนล่ะว่ามองทางไม่เห็น ปล่อยให้ตัวเองลำบากอยู่ได้”

ณรงค์ลืมไปชั่วขณะว่าเขาเป็นลูกน้องและไรอันเป็นผู้บริหาร เพราะจากท่าทางดื้อแพ่งและลักษณะการช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ตอนนี้มันทำให้เขารู้สึกเหมือนอีกฝ่ายเป็นน้องเป็นนุ่งที่ต้องคอยดูแลเสียมากกว่า พอเขาเห็นว่าไรอันเม้มปากแล้วเอามือหนึ่งลูบมืออีกข้างจึงรีบคว้ามือนั้นมาดู ทำให้เห็นว่าฝ่ามือข้างที่เจ้าตัวใช้ยันพื้นบันไดตอนสะดุดเมื่อครู่เป็นรอยถลอกบางๆ

“Shut up.”

ไรอันตอบพลางดึงมือตัวเองกลับโดยไม่สบตาเขา ยิ่งณรงค์เห็นท่าทางแบบนั้นก็ยิ่งรู้สึก...เอ็นดูแกมมันเขี้ยว ดูเหมือนว่ายิ่งเขาได้ใช้เวลาใกล้ชิดกับหนุ่มลูกครึ่งมากเท่าไหร่ ภาพของผู้บริหารขี้โวยวายเมื่อวานก็ยิ่งดูจะห่างไกลจากคนตรงหน้ามากขึ้นทุกที

“เอางี้ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้นอีกแล้วเดี๋ยวคุณจะมาฟ้องร้องผม ผมจะจูงมือคุณเดินตลอดทางก็แล้วกัน เพราะข้างนอกพอยิ่งมืดคงยิ่งเดินลำบากเข้าไปใหญ่ ว่าแต่ตอนนี้ขึ้นไปหาห้องน้ำแล้วล้างมือกันก่อนดีกว่า จะได้ดูให้ชัดด้วยว่าเลือดออกหรือเปล่า”

ดูเหมือนไรอันจะไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอเท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธความช่วยเหลือเมื่อถูกณรงค์ฉุดแขนให้ลุกขึ้นแล้วประคองขึ้นบันได พอขึ้นมาถึงชั้นล็อบบี้แล้วหนุ่มลูกครึ่งก็รีบสะบัดมือเพราะไฟสว่างพอที่เขาจะเดินเองได้ แต่ก็ยังต้องก้าวช้าๆ และระมัดระวังอยู่ดีเพื่อไม่ให้ชนอะไรก่อนจะถึงห้องน้ำ ฝ่ายณรงค์ก็พอจะเข้าใจว่าอีกฝ่ายคงอยากรักษาศักดิ์ศรีที่เหลืออยู่บ้าง จึงไม่เอ่ยขัดและเพียงแต่เดินช้าๆ เคียงข้างอีกฝ่ายไปที่ห้องน้ำแต่โดยดี

โชคดีว่ารอยครูดบนฝ่ามือของไรอันไม่หนักหนา เมื่อล้างมือแล้วก็แทบจะไม่เห็นรอยแม้เจ้าตัวจะทำท่าเหมือนแสบอยู่บ้างตอนฟอกสบู่ หลังจากเช็ดมือแห้งแล้วทั้งสองจึงเดินออกมาจากโรงแรมทางด้านหน้าด้วยกัน และคราวนี้ถึงเวลาที่หนุ่มลูกครึ่งต้องยอมลดศักดิ์ศรีให้คนตัวสูงกว่าจูงจริงๆ เนื่องจากภายนอกสลัวจนเขาแทบจะมองทางเดินที่ต่างระดับไม่เห็น

ชายหนุ่มรูปร่างค่อนข้างสูงสองคน คนหนึ่งสูงโปร่ง หน้าตาคมเข้มแต่ผิวสีอ่อนและผมหยักศกแบบลูกครึ่ง ขณะที่อีกคนคมคายแบบชายไทย ผิวคล้ำกว่าเล็กน้อย ส่วนสูงและช่วงตัวกว้างกว่าที่เดินจูงมือกันดูจะเรียกความสนใจของคนทั่วไปพอสมควร ถึงแม้ไรอันจะไม่เห็นสายตาเหล่านั้นได้ถนัด แต่เงาลางๆ ของคนที่มองมาก็ทำให้หนุ่มลูกครึ่งพอจะเดาปฏิกิริยาของคนรอบตัวได้
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น เพราะยังไม่เขียนต่อเป็นเรื่องยาว] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก {UP 10.1.11}
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 10-01-2011 17:08:22
“ถ้าเกิดเจอคนที่บริษัท สัญญานะว่าคุณต้องปล่อยมือผม”

ไรอันเอ่ยขึ้นหลังจากออกเดินกันได้สักครู่ ณรงค์จึงเหลือบตาลงมองคนข้างตัวแล้วก็พึมพำรับในคอ แต่ว่ามือที่กุมมืออีกฝ่ายไว้กลับกระชับแน่นมากขึ้น ชายหนุ่มเหลือบไปเห็นแผงขายของข้างทางแล้วก็เกิดความคิดขึ้นมา จึงฉุดไรอันให้เดินตามไป

“เอางี้แล้วกัน เอ้านี่...ทีนี้ถึงใครเห็นก็จำไม่ได้หรอกว่าเป็นคุณ”

ณรงค์ยอมปล่อยมืออีกฝ่ายชั่วคราวเพื่อหยิบเลือกของที่ต้องการและจ่ายเงินให้แม่ค้า จากนั้นก็สวมสิ่งที่ได้มาลงบนหน้าของไรอัน เมื่อหนุ่มลูกครึ่งยกมือขึ้นคลำจึงรู้ว่ามันคือแว่นตัวตลกแบบไม่มีเลนส์และมีจมูกพลาสติกอันใหญ่ยื่นต่อลงมา ความโมโหทำให้เขากระชากแว่นนั้นออกแล้วก็ตวาดใส่ณรงค์ทันที

“มันจะมากไปแล้วนะ! ผมบอกแค่ว่าถ้าเจอคนรู้จักให้ทำเหมือนเราไม่ได้มาด้วยกัน ไม่ได้หมายความว่าผมอยากเล่นปลอมตัวปัญญาอ่อนแบบนี้!”

ชายหนุ่มร่างสูงเลิกคิ้ว “เอ้าๆ ใจเย็นๆ ไม่เอาก็ไม่เอา ผมแค่เห็นคุณไม่อยากให้คนที่ออฟฟิศรู้นักว่ามากับผมก็เลยกะให้คุณใส่บังหน้าไว้แค่นั้นเอง งั้นเปลี่ยนเป็นแบบอื่นก็ได้ ขอโทษนะครับป้า ขอเปลี่ยนอันแล้วกันครับ”

ณรงค์คืนแว่นที่เพิ่งซื้อให้แม่ค้าแล้วขอเปลี่ยนเป็นแว่นพลาสติกกรอบหนาไม่มีเลนส์แทน แล้วก็ซื้อผ้าพันคอแบบลายตารางมีพู่ห้อยแบบที่วัยรุ่นชอบใช้กันมาพันคอให้ด้วย ถึงแม้หนุ่มลูกครึ่งจะบอกเขาเมื่อตอนบ่ายว่าไม่ชอบใส่แว่น แต่ดูเหมือนการปลอมตัวนี้จะช่วยเปลี่ยนภาพลักษณ์หนุ่มนักบริหารให้กลมกลืนกับเหล่าวัยรุ่นที่มาเดินเล่นย่านนั้นได้พอสมควร สุดท้ายไรอันจึงยอมแม้จะดูไม่ค่อยเต็มใจก็ตาม

เวลายิ่งเย็นย่ำ ท้องฟ้าก็ยิ่งมืดลงเช่นเดียวกับอากาศที่เย็นสบายขึ้นกว่าช่วงบ่าย และความมืดก็ยิ่งช่วยขับให้แสงไฟที่ประดับประดาเป็นรูปร่างต่างๆ ตามถนนและห้างสรรพสินค้าสว่างจับตายิ่งขึ้น ผู้คนมากมายที่หลั่งไหลกันออกมาเดินเล่นและถ่ายรูปดูไฟในค่ำวันเสาร์ทำให้พวกเขาสองคนไม่ค่อยต้องกังวลเรื่องการกุมมือกันเดิน และพอผ่านไปครู่หนึ่งก็ดูเหมือนไรอันจะชินกับการถูกจูงมือจนเผลอกุมมือณรงค์กลับ เวลาเห็นอะไรที่อยากดูเป็นพิเศษก็จะกระตุกมือเขาแล้วบอกให้พาไปทางนั้น แต่ณรงค์สังเกตว่าหนุ่มลูกครึ่งจะไม่แสดงท่าทางตื่นเต้นออกนอกหน้าเมื่อเห็นอะไรถูกใจ เพียงแต่นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนจะเบิกกว้างขึ้นและริมฝีปากสีสดเผยอขึ้นเล็กน้อย จนเมื่อได้ดูสิ่งที่ต้องการจนพอใจแล้วก็จะกระตุกมือเขาเหมือนเป็นสัญญาณว่าให้พาไปจุดอื่นได้ และทั้งๆ ที่เขากำลังถูกทำเหมือนเป็นสุนัขนำทาง แต่ณรงค์กลับไม่รำคาญเลยสักนิดที่ถูกกระตุกมือให้หมุนไปทางนั้นทางนี้ ตรงกันข้าม เขากลับรู้สึกสนุกและกระตือรือร้นตามไปด้วยเมื่อเห็นไรอันแสดงความสนใจในสิ่งไหน

หลังจากดูไฟบริเวณสี่แยกหมดแล้ว ณรงค์ก็พาไรอันขึ้นทางเดินลอยฟ้าเพื่อไปดูไฟที่ประดับตรงจุดอื่นๆ ต่อ ลมกลางคืนที่เย็นสดชื่นทำให้ทั้งคู่ไม่เหน็ดเหนื่อยและเดินเคียงกันบนทางเดินไปได้เรื่อยๆ ระหว่างทางณรงค์มองลงไปเห็นเหล่าแผงขายของที่เรียงกันแน่นขนัดอยู่บนฟุตปาธตรงข้ามห้างสรรพสินค้าใหญ่ จึงนึกสนุกพาไรอันลงไปเดินดูของด้วยกัน ถึงแม้ว่าข้าวของที่นำมาขายส่วนใหญ่จะหนักไปทางสินค้าสำหรับผู้หญิง แต่ณรงค์ก็สังเกตได้ว่าคนที่กุมมืออยู่กับเขาเหลือบมองนั่นนี่รอบตัวด้วยความสนใจเหมือนกับไม่เคยได้มาเดินตลาดกลางคืนเช่นนี้มาก่อน

กว่าทั้งคู่จะเดินย้อนกลับทางเดิมหลังจากดูไฟที่ประดับประดากันจนอิ่มและไรอันเริ่มบ่นว่าร้อน เวลาก็ผ่านไปมากกว่าสองชั่วโมง เมื่อกลับไปถึงโรงแรมณรงค์จึงพาอีกฝ่ายไปนั่งที่เล้าจน์ด้วยกันก่อนเพื่อพักเหนื่อยและสั่งเครื่องดื่มมาแก้กระหาย

หลังจากต่างได้เครื่องดื่มที่สั่งและซดกันเข้าไปอึกใหญ่เพื่อชดเชยที่ไม่ได้ดื่มน้ำเสียนาน ความเงียบก็โรยตัวลงมาคลี่คลุมทั้งสองอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าไม่ใช่ความเงียบที่ทำให้รู้สึกอึดอัดเพราะไม่รู้จะพูดอะไรกัน สำหรับณรงค์ เขาคิดว่าความเงียบนี้มาจากความรู้สึกสบายใจที่จะเป็นตัวของตัวเองกับคนที่นั่งอยู่ด้วยโดยไม่ต้องสื่อออกมามากกว่า

“Thank you. วันนี้ผมสนุกมาก”

ไรอันเอ่ยพลางถอดแว่นพลาสติกออกวางบนโต๊ะ จากนั้นก็แกะผ้าพันคอแล้วม้วนลงวางทับ ชายหนุ่มยกมือหนึ่งขึ้นสางผมหยักศกสีน้ำตาลอ่อนที่ยุ่งเหยิงหลังจากไปเดินโต้ลมมาจนกลับเป็นทรง และวูบหนึ่งที่ณรงค์อยากจะยื่นมือออกไปขยี้ให้มันยุ่งเหมือนเมื่อครู่ก่อนมากกว่า

แต่ก็แค่วูบเดียวเท่านั้น...

“ไม่เป็นไร ผมดีใจที่วันนี้ได้พาคุณออกมาเที่ยว ตอนคุณอยู่เมลเบิร์นน่าจะมีงานฉลองใหญ่กว่านี้ล่ะสิ?”

ณรงค์เอ่ยพลางยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม เขาไม่ค่อยชอบใช้หลอดมาแต่ไหนแต่ไรเพราะรู้สึกว่าทำให้ลิ้นไม่ทันได้ละเลียดรสของเครื่องดื่มเท่าที่ควร ไรอันมองสบตาเขาครู่หนึ่งก็หลุบตาลง

“ปกติครอบครัวผมก็ไม่ค่อยได้ฉลองวันคริสต์มาสหรอก พ่อผมเป็นพุทธถึงจะเป็นคนออสซี่ก็เถอะ แต่อย่างน้อยพวกเราก็จะทานดินเนอร์ด้วยกันเป็นประจำ ปีนี้เป็นปีแรกที่พวกเราไม่ได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา”

ณรงค์ได้ฟังก็เลิกคิ้ว “ความจริงคุณใช้สิทธิ์ลาพักร้อนบินกลับไปเยี่ยมก็ได้นี่ ถึงยังไงช่วงนี้ก็เป็นช่วงเทศกาลอยู่แล้ว ชาวต่างชาติคนอื่นเขาก็ลางานกลับไปบ้านเกิดกันเยอะแยะ”

หนุ่มลูกครึ่งส่ายหน้า “ที่นี่มีอะไรให้ต้องดูแลเยอะมาก พ่อวางใจให้ผมมาทำหน้าที่ที่นี่ ผมเลยสัญญากับตัวเองว่าจะต้องทำผลงานให้ได้สำเร็จสักชิ้นก่อนจะยอมบินกลับไปเยี่ยม ผมอยากให้พ่อกับแม่ภูมิใจว่าผมโตแล้ว ไม่ใช่เด็กน้อยที่ฝากฝังอะไรไม่ได้”

สิ่งที่ได้ยินทำให้ณรงค์รู้สึกเหมือนเพิ่งได้รู้จักชายหนุ่มตรงหน้าเป็นครั้งแรก ถึงแม้ใบหน้าที่ดูอ่อนเยาว์และวิธีทำงานที่ดูโผงผางเจ้าอารมณ์ รวมทั้งการวางตัวที่ห่างเหินเย็นชาจะทำให้ใครๆ เข้าใจว่าไรอันเป็นหนุ่มน้อยที่ดวงหนุนจึงได้มารับตำแหน่งสำคัญนี้ แต่เบื้องหลังนั้นเจ้าตัวมีความมุ่งมั่นและทุ่มเทให้กับหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาก ถึงกับสัญญากับตัวเองว่าจะไม่กลับไปเยี่ยมบ้านถ้ายังไม่ได้สร้างผลงานเพื่อกลับไปเล่าให้ฟัง และเขาก็รู้สึกราวกับถูกความมุ่งมั่นในแววตาสีน้ำตาลอ่อนที่ทอดมองมานั้นดึงดูดให้จมดิ่งลงไปทุกที

ความรู้สึกนี้...มันคืออะไรกัน...

ทั้งสองนั่งดื่มเครื่องดื่มแกล้มกับคุ้กกี้ที่พนักงานนำมาเสิร์ฟจนหมดโดยไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีก เพียงแต่นั่งเงียบๆ มองทิวทัศน์ภายนอกซึ่งเต็มไปด้วยแสงไฟประดับประดาและเสียงเพลงที่บรรเลงโดยนักเล่นเปียโนตรงบริเวณเล้าจน์เท่านั้น จวบจนเวลาผ่านไปได้ครู่ใหญ่ ไรอันจึงโบกมือเรียกพนักงานให้มาคิดเงิน ณรงค์จึงรีบห้ามไว้

“ไม่ต้องหรอก ผมจ่ายเอง”

ไรอันเพียงเหลือบตาขึ้นมองเขาก่อนจะหยิบบัตรเครดิตกับบัตรอีกใบยื่นส่งให้พนักงาน เมื่อลับหลังบริกรสาวจึงค่อยเอ่ยขึ้น

“It’s nothing. ถือว่าเป็นค่าตอบแทนที่ผมทำให้คุณต้องลำบากช่วยดูแลเมื่อคืนกับที่พาออกมาเที่ยวก็ได้ อีกอย่างผมมีบัตรสมาชิกของโรงแรมนี้อยู่แล้วด้วย”

ณรงค์อยากจะแย้ง แต่ติดที่พนักงานสาวคนเดิมเดินนำบิลกลับมาให้ไรอันเซ็นต์ชื่อแล้ว เขาจึงได้แต่เก็บความไม่พอใจเอาไว้ และเมื่อไรอันลุกขึ้นเขาก็หยิบผ้าพันคอกับแว่นพลาสติกบนโต๊ะมาถือในมือหนึ่งแล้วลุกเข้าไปยืนข้างๆ หนุ่มลูกครึ่งที่กำลังเก็บกระเป๋าสตางค์ลงกระเป๋ากางเกงจึงเหลือบตาขึ้นมองเขาอย่างแปลกใจ

“คุณยังไม่ต้องจูงผมตรงนี้ก็ได้ ไฟตรงล็อบบี้สว่างพอ”

“เดี๋ยวพอไปถึงบันไดคุณก็ต้องให้ผมช่วยอยู่ดี งั้นก็จูงตั้งแต่ตรงนี้เลยดีกว่า”

ผู้บริหารหนุ่มเผยอริมฝีปากเหมือนจะปฏิเสธ แต่อาจเพราะเห็นอะไรบางอย่างในแววตาของณรงค์ ชายหนุ่มจึงยอมปิดปากและส่งมือให้อีกฝ่ายจับแต่โดยดี แต่แทนที่ณรงค์จะกุมมือนั้นไว้เฉยๆ แล้วออกเดิน เขากลับจับมือข้างนั้นขึ้นมาให้คล้องไว้กับศอกของเขา ร่างสูงรู้สึกเหมือนคนข้างตัวสะดุดฝีเท้าในก้าวแรก แต่หลังจากนั้นไรอันก็เพียงแต่ปล่อยให้เขาเดินนำเงียบๆ โดยไม่แสดงท่าทางต่อต้านหรืออยากดึงมือออกจากท่อนแขนของเขาอีก

ตอนขับรถออกจากโรงแรม แม้ว่าจะมีตราประทับแล้วแต่ณรงค์ก็ยังต้องเสียค่าจอดในส่วนของเวลาที่เกินขึ้นมา และเขาก็หยิบเงินออกจ่ายเองทันทีโดยไม่ฟังเสียงคัดค้านของคนข้างตัวสักนิด จวบจนออกมาถึงถนนใหญ่แล้ว ไรอันจึงถามเขาเสียงอ่อน

“ผมทำอะไรให้คุณโกรธเหรอ?”

เสียงนั้นสะท้อนถึงความสำนึกผิดโดยที่เจ้าตัวก็ไม่รู้ว่าทำอะไรพลาดไป และเมื่อณรงค์ชำเลืองมองเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนที่กำลังมองเขาอย่างขอคำตอบ คราวนี้เขากลับเป็นฝ่ายรู้สึกผิดจนต้องรีบเบนสายตาหนีเสียเอง

“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก ดึกแล้วคุณหิวหรือเปล่า? จะว่าไปเรายังไม่ได้ทานมื้อเย็นกันเลยนี่”

ณรงค์ถามโดยทำทีเป็นพูดเปรยๆ ทั้งที่ในใจอยากให้อีกฝ่ายตอบรับ ยังสั้นเกินไป...ค่ำคืนนี้ดูเหมือนกำลังจะจบเร็วเกินไปทั้งที่เขาก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังคาดหวังอะไรอยู่ รู้แต่ว่าอยากจะยืดเวลาที่ได้ใช้กับคนข้างตัวให้มากขึ้น ใครจะรู้ว่าพอค่ำคืนนี้จบลงแล้วจะเป็นอย่างไร พวกเขาสองคนก็จะกลับไปเป็นแค่ผู้บริหารกับลูกน้องที่นานๆ จะได้คุยกันสักคำอย่างนั้นนะหรือ

“...ผมไม่หิว ผมอยากกลับไปนอนพักผ่อนมากกว่า ถ้าไม่รบกวนก็ไปส่งผมที่คอนโดหน่อยก็แล้วกัน จากนี่ไปไม่ไกลหรอก”

ดูเหมือนคนพูดจะไม่ได้รับรู้เลยว่าที่คนข้างตัวชวนไปทานข้าวต่อนั้นเพราะมีความหมายอย่างไร หรือเพราะรู้จึงได้บอกปัดก็สุดที่ณรงค์จะเดา แต่ประโยคสุดท้ายที่บอกว่า ‘จากนี่ไปไม่ไกล’ ก็เท่ากับบอกกลายๆ ว่าเวลาที่พวกเขาจะได้ใช้ด้วยกันกำลังจะหมดลงแล้ว

ณรงค์หักเลี้ยวรถไปตามทิศทางที่ไรอันบอก แต่นอกจากการสอบถามเส้นทางแล้วทั้งสองก็ไม่พูดคุยถึงเรื่องอื่นแม้แต่คำเดียว กระทั่งเสียงเพลงแผ่วหวานจากแผ่นซีดีที่ณรงค์เปิดไว้ก็ไม่อาจช่วยสลายบรรยากาศอึมครึมได้ เมื่อเขาเทียบรถเข้าจอดที่ด้านหน้าคอนโดแล้วไรอันจึงเพียงกล่าวขอบคุณสั้นๆ แล้วรีบลงจากรถ แต่แล้วเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนก็เลิกคิ้วอย่างประหลาดใจเมื่อณรงค์ก็เปิดประตูลงมาด้วย

“ผมจะขึ้นไปส่ง จะได้แน่ใจว่าคุณถึงห้องแน่”

หนุ่มลูกครึ่งอ้าปากจะแย้ง แต่พอเห็นประกายตาแน่วแน่ของณรงค์ที่เหมือนจะบอกว่าห้ามปฏิเสธก็เลยหุบปากเงียบ ร่างสูงโปร่งอาศัยแสงสว่างจากด้านหน้าทางเข้าและความคุ้นเคยเดินตรงไปที่ประตูด้วยตัวเอง และณรงค์ก็เพียงแต่สาวเท้าตามไปโดยไม่เสนอความช่วยเหลือหรือเซ้าซี้ จนกระทั่งทั้งคู่ขึ้นลิฟต์ไปถึงชั้นที่ต้องการและไรอันเดินนำไปถึงหน้าประตูห้องพักแล้ว หนุ่มลูกครึ่งจึงค่อยหันกลับมาหาเขา

“ขอบคุณที่มาส่ง ขอโทษด้วยที่ผมคงเชิญคุณเข้าห้องไม่ได้”

ณรงค์เลิกคิ้ว แต่ดูเหมือนไรอันจะอ่านความหมายในแววตาเขาออก โหนกแก้มของอีกฝ่ายจึงเป็นสีเข้มขึ้นเล็กน้อยก่อนที่เจ้าตัวจะหลบตา

“ผมไม่เคยให้ใครเข้าห้องผมมาก่อนนอกจากแม่บ้าน ต่อให้วันนี้คุณดีกับผมมากก็เถอะ ขอโทษด้วยจริงๆ”

เมื่อได้ยินคำตอบ ร่างสูงใหญ่จึงค่อยระบายลมหายใจที่กลั้นไว้ออกมา อย่างน้อยเขาก็ได้รับการยืนยันที่ทำให้สบายใจขึ้นเปลาะหนึ่งแล้วในตอนนี้

“งั้นก็ช่างมันเถอะ ได้เห็นว่าคุณมาถึงห้องเรียบร้อยดีก็พอแล้ว แล้วก็นี่...ถือว่าเป็นของขวัญคริสต์มาสจากผมก็แล้วกัน”

ไรอันเลิกคิ้วเมื่อณรงค์ยื่นผ้าพันคอลายตารางกับแว่นพลาสติกที่ซื้อให้เขาปลอมตัวเมื่อช่วงค่ำมาให้ เมื่อเหลือบตาขึ้นสบกับนัยน์ตาของเขา หนุ่มลูกครึ่งก็คลี่ยิ้มออกมาบางๆ

“ขอบคุณมาก ผมจะเก็บไว้อย่างดีเลย”

เป็นครั้งแรกที่ณรงค์รู้สึกว่าชอบนิสัยพูดจาตรงไปตรงมาของไรอัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันมาคู่กับนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนที่เป็นประกายยิ่งกว่าแสงไฟประดับดวงไหนๆ ยามที่อีกฝ่ายยิ้มให้เขา ชายหนุ่มยืนมองเจ้าของห้องไขประตูเงียบๆ จนเมื่ออีกฝ่ายเดินเข้าไปและจะปิดประตูแล้ว ร่างสูงใหญ่จึงยื่นแขนข้างหนึ่งออกดันประตูที่กำลังจะปิดไว้จนเจ้าของห้องตกใจ

“ไรอัน คุณมีชื่อเล่นภาษาไทยหรือเปล่า?”

“หะ...หา?”

หนุ่มลูกครึ่งแสดงสีหน้าว่าจับต้นชนปลายไม่ถูก ณรงค์จึงอธิบายโดยที่ยังใช้มือยันประตูเอาไว้ แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทางว่าจะบุกรุกเข้าไปในห้อง “ชื่อเล่นภาษาไทยไง ไรอันนี่ชื่อจริง แต่อย่างน้อยแม่คุณก็น่าจะตั้งชื่อเล่นภาษาไทยให้คุณด้วยใช่ไหมล่ะ?”

ณรงค์พยายามระงับความตื่นเต้นที่กำลังหมุนวนราวกับพายุในอก เขายังอยากรู้จักคนคนนี้มากกว่านี้ อยากรู้ความลับที่คนอื่นไม่รู้เกี่ยวกับไรอันมากกว่านี้ อย่างน้อยเขาจะได้รู้สึกว่าช่องว่างระหว่างทั้งคู่หดแคบลงมากกว่าที่เป็นอยู่บ้าง

ไรอันกะพริบตาปริบๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหายไปด้านหลังประตูเหมือนกำลังวางของขวัญที่ได้รับลงบนพื้นหรือโต๊ะใกล้มือ จากนั้นร่างสูงโปร่งจึงก้าวออกมายืนหน้าห้องอีกครั้งแล้วพิงหลังกับประตูเอาไว้ นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนที่เชื่อมแสงมองเขาด้วยประกายเขินอายก่อนจะหลุบตาลง

“...รัก”

“หือ?”

ณรงค์คิดว่าตัวเองหูฝาด หนุ่มลูกครึ่งหลับตาเหมือนทำใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลืมตาแล้วสบตาเขาตรงๆ อีกครั้ง

“It’s Rak. แม่ตั้งชื่อเล่นให้ผมว่ารัก นอกจากพ่อกับแม่แล้วก็คุณยายแล้วไม่มีใครรู้ว่าผมชื่อเล่นชื่อนี้”

ไรอันพูดจบแล้วก็ก้มลงหลบตาเขาอีก และคราวนี้สีชมพูจางๆ ซึ่งอยู่แค่บนโหนกแก้มในตอนแรกดูเหมือนจะซ่านไปทั่วทั้งผิวหน้า และภาพที่เห็นก็ทำเอาณรงค์ต้องใช้ความควบคุมตัวเองอย่างมหาศาลที่จะไม่รวบคนตรงหน้าเข้ามากอดให้แน่นๆ เพราะความน่ารักที่แม้แต่เจ้าตัวเองก็คงไม่รู้ว่ากำลังแสดงออกมา ร่างสูงใหญ่กำมือแน่นสลับคลายพลางหายใจเข้าออกยาวๆ เพื่อระงับหัวใจที่เต้นถี่จนเกินพอดีให้สงบลง

“รัก...แม่คุณเข้าใจคิดนะ”

หนุ่มลูกครึ่งยังคงไม่เหลือบตาขึ้นมองเขา ร่างสูงโปร่งเพียงแต่หันกลับไปเปิดประตูแล้วก็ทำท่าจะเดินเข้าไป และคราวนี้ณรงค์ก็ผลักประตูที่กำลังจะปิดลงอีกครั้งจนเจ้าของห้องขมวดคิ้ว

“มีอะไรอีก?”

“เอ่อ...คืนนี้คุณไม่หิวก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าพรุ่งนี้เราไปทานข้าวกลางวันหรือข้าวเย็นด้วยกันมั้ย? คราวนี้ผมจะเลี้ยงเอง ตอบแทนที่คุณเลี้ยงผมที่โรงแรมวันนี้”

คราวนี้ไรอันมองสบตากับเขาตรงๆ และคราวนี้ดูเหมือนนัยน์ตาคู่นั้นจะฉาบไปด้วยประกายขำปนระอาทั้งที่สีเลือดฝาดบนแก้มยังไม่จางลง

“ผมจะลองคิดดูก็แล้วกัน แต่ยังไม่สัญญานะ คืนนี้คุณกลับได้แล้วล่ะ ดึกแล้วขับรถระวังด้วย Good Night and Merry Christmas.”

ณรงค์ยอมปล่อยมือและให้เจ้าของห้องปิดประตูโดยไม่ขัดขวางอีก คลื่นกระแสความอบอุ่นค่อยๆ ก่อตัวในอกและกำจายไปทั่วร่างจนเขารู้สึกเหมือนแทบจะเดินบนอากาศได้ ณรงค์จำไม่ได้แล้วว่าเคยมีความรู้สึกแบบนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ หรือแม้แต่ความรู้สึกอิ่มเอมที่ทำให้หุบยิ้มไม่ลงนี้เคยเกิดกับเขามาก่อนบ้างไหม แต่รอยยิ้มที่ไรอันมอบให้ก็ยังติดตาจนเขามั่นใจว่าคืนนี้คงจะเก็บภาพนั้นไปฝันถึงทั้งคืนอย่างแน่นอน ร่างสูงใหญ่ค่อยๆ ทาบมือลงบนประตูไม้สีขาวตรงที่ใครบางคนเคยยืนอยู่ก่อนจะแนบหน้าผากลงแล้วเอ่ยเสียงเบา ถ้าหากใครบางคนยังยืนอยู่อีกฟากของประตูและได้ยินเสียงของเขาก็คงดี

“ราตรีสวัสดิ์...รัก...ยินดีที่ได้รู้จัก”


++--- End ---++


A/N:  ขอทอล์คเพิ่มอีกหน่อย สารภาพว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่ป้าถูกใจชื่อเรื่องมาก ไม่ใช่ว่าไม่ชอบชื่อนิยายเรื่องอื่นนะ แต่เพราะชื่อเรื่องอื่นที่เคยคิดมาจะไม่มีความหมายซ้อนเหมือนชื่อเรื่องนี้น่ะค่ะ แบบว่าป้าเป็นคนชอบอะไรสองแง่สองง่าม 555

สาเหตุที่ไม่ถอดความประโยคภาษาอังกฤษของไรอันให้เป็นภาษาไทย เนื่องจากเกรงว่าจะทำให้คนอ่านไม่ได้อรรถรสเต็มที่ (แต่คาดว่าคงไม่มีปัญหากันอยู่แล้วเนอะ? XD) สารภาพว่าตอนแรกกะให้ณรงค์กับไรอันอายุเยอะกว่านี้อีกนิด แต่ประเดี๋ยวคนอ่านที่วัยละอ่อนจะรู้สึกว่า...ตัวละครอายุเยอะจัง เลยปรับให้ลงมาอยู่ในพิกัดยี่สิบกว่ากันทั้งคู่ และไปๆ มาๆ ก็รู้สึกว่าเข้ากับโทนเรื่องมากกว่า เพราะถ้าเขียนโดยให้ตัวละครอายุเท่าที่คิดไว้ตอนแรกจริงๆ คาดว่าการดำเนินเรื่องคงต่างไปจากนี้พอสมควรเลยค่ะ

ปล. มีคนอ่าน 2-3 ท่านของอีกบอร์ดคอมเม้นต์ว่าอ่านจนจบแล้วเดาไม่ถูกว่าใครพระ-ใครนาย ความจริงป้าก็อยากเขียนเรื่องที่ตัวเอกทั้งคู่ดูแมนเท่าๆ กันเหมือนกันนะ แต่ที่ผ่านมายังทำไม่สำเร็จสักกะเรื่อง แล้วสำหรับคู่นี้ก็คิดว่าเขียนออกมาค่อนข้างชัดเจนว่าคนไหนน่าจะเป็นอะไร หรือมีใครที่อ่านจบแล้วเกิดคำถามนี้กันอีกไหมคะ? สงกะสัยจริงๆ ให้ดิ้นตาย    :m28:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น เพราะยังไม่เขียนต่อเป็นเรื่องยาว] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก {UP 10.1.11}
เริ่มหัวข้อโดย: tonight ที่ 10-01-2011 17:30:19
ขอบคุณมากนะคับสำหรับเรื่องนี้อ่านแล้วแบบน่ารัก แอบโรแมนติก เนื้อเรื่องอ่านสบายๆลื่นไหลดีคับ ชอบมาก o13

แล้วก็ชอบชื่อเรื่องเช่นกันคับ แฝงนัยยะจริงๆ "ยินดีที่ได้รู้จักรัก" รู้จักรักไรอันและรู้จักชื่อเล่นของไรอันที่ชื่อรัก

ชอบคับแนวคิดดีมาก แล้วตัวเอกทั้งคู่ก็ดูแมนๆเท่ห์ๆ แต่ก็รู้คับว่าใครฝ่ายไหน  :laugh:

และก็อยากรู้หลังจากนั้นอีกอ่ะคับว่าจะรักกันยัง ออกมาเป็นแบบไหนอีก ถ้ามีก็ต่อให้ด้วยนะคับ ถือว่าเป็นตอนพิเศษ ^^
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น เพราะยังไม่เขียนต่อเป็นเรื่องยาว] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก {UP 10.1.11}
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 10-01-2011 18:30:50
น่าจะรวมเล่มพวกเรื่องสั้นที่เขียนไว้นะคะ
อย่าลืม อีกเรื่องที่จะต้องมาต่อตอนจบนะจ๊ะ :laugh:

ขอบอกอย่างจริงใจเลยว่า เรื่องลำนำสีรุ้ง เป็นเรื่องที่หยิบมาอ่านบ่อยมากค่ะ o18
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น เพราะยังไม่เขียนต่อเป็นเรื่องยาว] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก {UP 10.1.11}
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 10-01-2011 18:42:43
น่าจะรวมเล่มพวกเรื่องสั้นที่เขียนไว้นะคะ
อย่าลืม อีกเรื่องที่จะต้องมาต่อตอนจบนะจ๊ะ :laugh:

ขอบอกอย่างจริงใจเลยว่า เรื่องลำนำสีรุ้ง เป็นเรื่องที่หยิบมาอ่านบ่อยมากค่ะ o18

แอร๊ยย์ ไม่ลืมเด็ดขาดค่า นี่ก็กำลังกุมหัวไปปั่นไป หวังว่าจะได้ลงวันพรุ่งนี้ละค่า (แต่ท่าทางก็คงยังไม่ใช่ตอนจบแหละ วะฮะฮ่า) แล้วก็ขอบคุณมากที่บอกว่ายังหยิบลำนำรักสีรุ้งมาอ่านบ่อยๆ นะคะ ดีใจที่คนอ่านยังผูกพันกับเป้และวิวเหมือนกับเราค่ะ ส่วนรวมเรื่องสั้น คิดอยู่ แต่ขอเขียนอีกหลายๆ เรื่องก่อน  :laugh:

ขอบคุณคุณ tonight และ allaboutmyfav ด้วยนะคะ ว่าแต่สั้นไปเหยอ...ก็มันเป็นเรื่องสั้นอ้ะตัวเอง (ตอบแบบนี้โดนโบกซะดีมั้ย?) เอาไว้ถ้าขยายต่อจริงๆก็จะมาลงให้อ่านกันนะคะ แต่คงมิใช่เร็วๆนี้เน้อ   o13
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น เพราะยังไม่เขียนต่อเป็นเรื่องยาว] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก {UP 10.1.11}
เริ่มหัวข้อโดย: •ไนท์คลุง• ที่ 10-01-2011 19:08:01
จบแล้วหรอ น่าจาต่ออีกนะครับ
เรื่องน่ารักๆโรแมนติกแบบนี้หายาก
+1เป็นกานขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น เพราะยังไม่เขียนต่อเป็นเรื่องยาว] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก {UP 10.1.11}
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 10-01-2011 19:08:39
แวะมากอดป้าก่อนค่ะ เดี๋ยวแวะมาอ่านอีกรอบ

คิดถึง เรื่อง แค่สบตาก็รู้ว่ารักอ่ะค่ะ ใช่ไหมน๊าเหมือนจะจำได้ว่าเคยอ่านแต่พอเอาคอมไปทำมาใหม่ก็หาเรื่องนี้ไม่เจอแล้วอ่ะ :o8:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น เพราะยังไม่เขียนต่อเป็นเรื่องยาว] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก {UP 10.1.11}
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 10-01-2011 19:16:19
^
^
คาดว่าตอนนี้เรื่องนั้นตกไปอยู่หน้าท้ายๆค่ะ ต้องลองคลิกหาดู พอดีไม่ได้อัพนานจัด แหะๆ  :z6:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น เพราะยังไม่เขียนต่อเป็นเรื่องยาว] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก {UP 10.1.11}
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 10-01-2011 19:28:39
หุๆๆๆ คู่นี้มีลุ้นนะเนี่ย แต่ดูท่า พี่รงค์ คงเหนื่อยอยู่ไม่น้อย  :laugh:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น เพราะยังไม่เขียนต่อเป็นเรื่องยาว] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก {UP 10.1.11}
เริ่มหัวข้อโดย: kakuro ที่ 10-01-2011 19:39:08
น่ารักดีคุณริน
เรื่องต่อจากต้น-ไผ่ เชษฐ์-ภัทร ก็เป็นณรงค์-ไรอัน
ต่อทุกวันจันทร์ไง ดีมั้ย ทำแบบตารางเรียนเลย อิอิ :z2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น เพราะยังไม่เขียนต่อเป็นเรื่องยาว] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก {UP 10.1.11}
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 10-01-2011 19:50:47
ชอบๆๆๆน่ารักดี :L1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น เพราะยังไม่เขียนต่อเป็นเรื่องยาว] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก {UP 10.1.11}
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 10-01-2011 20:07:27
แอร๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย รัก ชื่อน่ารักจังเลย อยากอ่านต่ออะไค่ะป้า หุหุ

ว่าแต่นายคุณรักเรี้ย รับชิมิคะ อ่านแล้วในความรู้สึกหนู๋ว่าแกก็ยังไม่ค่อยแมนนะคะ อิอิ ภาพในหัวเนี้ยออกทางฝรั่งหน้าคมๆดวงตาเล็กๆหวานๆผมหยักโศกหน่อยๆสีต่ำตาลเข้มปนทอง ผิวสีงาช้าง ถ้าปั้นออกมาเป็นคนต้องน่าักแน่เลยอ่ะ

อยากอ่านอีก อยากอ่านอีก

+1ก่อนไปจ่ะ

จุ๊บุจุ๊บุ :-[
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น เพราะยังไม่เขียนต่อเป็นเรื่องยาว] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก {UP 10.1.11}
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 10-01-2011 20:43:00
น่ารักดีคุณริน
เรื่องต่อจากต้น-ไผ่ เชษฐ์-ภัทร ก็เป็นณรงค์-ไรอัน
ต่อทุกวันจันทร์ไง ดีมั้ย ทำแบบตารางเรียนเลย อิอิ :z2:

เยี่ยม! กร๊ากกก อ่า....ต่ออารมณ์ไม่ถูกกันเลยทีเดียวค่ะคุณ kakuro ขา ดูเป็นตารางที่เข้มงวดๆ นะคะเนี่ย ฮ่าๆๆ (แซวนะแซว)  :man1:

แอร๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย รัก ชื่อน่ารักจังเลย อยากอ่านต่ออะไค่ะป้า หุหุ

ว่าแต่นายคุณรักเรี้ย รับชิมิคะ อ่านแล้วในความรู้สึกหนู๋ว่าแกก็ยังไม่ค่อยแมนนะคะ อิอิ ภาพในหัวเนี้ยออกทางฝรั่งหน้าคมๆดวงตาเล็กๆหวานๆผมหยักโศกหน่อยๆสีต่ำตาลเข้มปนทอง ผิวสีงาช้าง ถ้าปั้นออกมาเป็นคนต้องน่าักแน่เลยอ่ะ

อยากอ่านอีก อยากอ่านอีก

+1ก่อนไปจ่ะ

จุ๊บุจุ๊บุ :-[

ฮ่าๆๆ ถ้ามีคนปั้นไรอันมาตามแบบที่ว่าก็จะน่ารักนะคะ แต่สงสัยคราวนี้ตาณรงค์ได้มีคู่แข่งเพียบแหง สำหรับตอนต่อก็คิดเล่นๆ อยู่ค่ะ แต่ขอเคลียร์ทีละเรื่องก่อน ตอนนี้เริ่มมึนแระ  :t3:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น เพราะยังไม่เขียนต่อเป็นเรื่องยาว] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก {UP 10.1.11}
เริ่มหัวข้อโดย: evilheart ที่ 10-01-2011 23:13:26
ตามมาอ่าน
ติดผลงานของน้องคนนี้ซะแล้ว
พี่รงค์กะน้องรักแน่ๆ ใช่ป่าว :impress3:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น เพราะยังไม่เขียนต่อเป็นเรื่องยาว] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก {UP 10.1.11}
เริ่มหัวข้อโดย: Little Devil ที่ 11-01-2011 02:35:45
น่ารักมาก อยากอ่านต่อ
+1
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น เพราะยังไม่เขียนต่อเป็นเรื่องยาว] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก {UP 10.1.11}
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 11-01-2011 08:35:21
ตามมาอ่าน
ติดผลงานของน้องคนนี้ซะแล้ว
พี่รงค์กะน้องรักแน่ๆ ใช่ป่าว :impress3:

คิดว่าตามนั้นค่า หุหุ  :z13:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น เพราะยังไม่เขียนต่อเป็นเรื่องยาว] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก {UP 10.1.11}
เริ่มหัวข้อโดย: OhJa ที่ 11-01-2011 08:35:48
น่ารักสุดๆอ่ะ
อ่านเพลินจนไม่อยากให้จบเลย  อยากอ่านต่อๆๆๆ :o8:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น เพราะยังไม่เขียนต่อเป็นเรื่องยาว] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก {UP 10.1.11}
เริ่มหัวข้อโดย: Goodfellas ที่ 11-01-2011 14:10:30
เฮ้อ ตั้งแต่ตามอ่านมาก็ชอบภาษาที่ใช้เขียนจริงๆเลยครับผม

เพราะไรเตอร์เขียนได้เคลียร์ดีมากๆ  บรรยายทุกอย่างได้เห็นภาพและต่อเนื่อง

ขอจดจำเทคนิคนี้ไปใช้บ้างนะครับผม  อยากฝากตัวเป็นศิษย์จัง 555 o13
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น เพราะยังไม่เขียนต่อเป็นเรื่องยาว] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก {UP 10.1.11}
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 14-01-2011 01:57:23
น้องรินจ๋าาาาาาาาาาาาาาาา
เรื่องรัก ที่น่ารักมาก เป็นความรู้สึกดีๆที่ค่อยๆแทรกซึมเข้่าในใจของแต่ละฝ่าย จนอยากอ่านต่อ หุหุ

ชื่อเรื่องเก๋ไก๋ รงค์ได้รู้จักความ "รัก" ในคราวเดียวกันกับที่รู้จักคุณ "รัก" แล้ว รัก ก็น่าจะรู้จัก รัก เช่นกันเนอะ

พี่อ่านแล้วชัดเจนนะจ๊ะ  พระเอกคือผู้ที่ได้รู้จัก "รัก" นี่ละ ไม่สับสนนะ หรือว่าเราเข้าใจผิด  :laugh:

บวก 1 แต้มจ้า ขอบคุณนะจ๊ะ

ปล คิดถึงอีกสองหนุ่มจัง ^^
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น เพราะยังไม่เขียนต่อเป็นเรื่องยาว] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก {UP 10.1.11}
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 14-01-2011 10:14:55
น้องรินจ๋าาาาาาาาาาาาาาาา
เรื่องรัก ที่น่ารักมาก เป็นความรู้สึกดีๆที่ค่อยๆแทรกซึมเข้่าในใจของแต่ละฝ่าย จนอยากอ่านต่อ หุหุ

ชื่อเรื่องเก๋ไก๋ รงค์ได้รู้จักความ "รัก" ในคราวเดียวกันกับที่รู้จักคุณ "รัก" แล้ว รัก ก็น่าจะรู้จัก รัก เช่นกันเนอะ

พี่อ่านแล้วชัดเจนนะจ๊ะ  พระเอกคือผู้ที่ได้รู้จัก "รัก" นี่ละ ไม่สับสนนะ หรือว่าเราเข้าใจผิด  :laugh:

บวก 1 แต้มจ้า ขอบคุณนะจ๊ะ

ปล คิดถึงอีกสองหนุ่มจัง ^^

ระดับพี่น้ำตาลแล้วจะเดาพลาดได้ยังไงละเน้อ หุหุ
ส่วนชื่อเรื่องก็ตามนั้นเลยค่ะ เห็นฟีดแบ็คดีก็อยากเขียนต่อเหมือนกันนะ
แต่ก่อนอื่น ต้องเอาคู่ใน ปล กลับมาลงต่อก่อนละมั้งนี่
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์ด้วยนะค้าพี่สาว   :impress2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น เพราะยังไม่เขียนต่อเป็นเรื่องยาว] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก {UP 10.1.11}
เริ่มหัวข้อโดย: kakuro ที่ 14-01-2011 10:27:44
 :z13:คุณริน
เชียร์ให้เขียนต่อจากต้นไผ่เชษฐ์ภัทร
ยืนยันกดหนึ่ง อิอิ
ปล.หวังว่าจะยุขึ้น :really2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น เพราะยังไม่เขียนต่อเป็นเรื่องยาว] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก {UP 10.1.11}
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 14-01-2011 13:10:11
^
^
คุณ kakuro ถ้าไม่ยืนยันกดอะไรอะคะ? แฮ่ (ไม่ได้เล่นตัวนะ เขาแค่ไม่ชัวร์อะตัวเอ๊งงงงงงงง)  :o12:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น เพราะยังไม่เขียนต่อเป็นเรื่องยาว] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก {UP 10.1.11}
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 14-01-2011 14:46:50
ชอบค่ะ


 :L2: :L2:

อ่านไปยิ้มไป
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น เพราะยังไม่เขียนต่อเป็นเรื่องยาว] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก {UP 10.1.11}
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 16-01-2011 18:20:06
>///////<

อ่านจบแล้วอยากกรีดร้องดังๆมากค่ะป้า
แต่ก็กลัวจะทำลายบรรยากาศอุ่นๆหวานๆไปจากกระทู้

โอย....น่ารักจริงๆนะรัก
คิดว่าจะเป็นณรงค์หรือไรอัน คืนนี้ก็เห็นจะหลับไปพร้อมกับความฝันหวานๆกันทั้งคู่แน่ๆ

ปล.เรื่องใครเป็นฝ่ายไหน อิอิ ชัดเจนแล้วค่ะ ชัดมากด้วยสิ ฮี่ๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น ภาคต่อ] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ในวันวาเลนไทน์ {UP 14.2.11}
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 14-02-2011 01:27:25
จากที่เคยคิดว่าเรื่องนี้คงจะตอนเดียวจบเพราะเขียนเพื่อคริสต์มาสโดยเฉพาะ ตอนนี้เกิดอยากจะเขียนเรื่องรับวันวาเลนไทน์แต่คิดคู่ใหม่ไม่ออก จะเขียนของคู่อื่นก็หัวไม่แล่นชอบกล งั้นก็ขอดันคู่พี่รงค์กับน้องรักอีกทีก็แล้วกันนะคะ พอดีเขียนได้ครึ่งเดียวเลยมาแปะก่อนเพราะตาจะปิดแล้ว ยังไงจะมาลงครึ่งหลังให้ในไม่เกินวันวาเลนไทน์ก็แล้วกันนะ

Happy Valentine's Day แก่ทุกคนค่า  :L1:


++------++


ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ในวันวาเลนไทน์

ภายในห้องประชุมสีสดใสที่อยู่ถัดเข้ามาจากด้านหน้าของบริษัทรับออกแบบและก่อสร้างแห่งหนึ่ง ผู้เข้าร่วมประชุมทั้งหกต่างเริ่มปิดสมุดบันทึกหลังจากการประชุมสิ้นสุดลง โดยที่สองในหกคนเป็นลูกค้าซึ่งมาว่าจ้างให้ทางบริษัทออกแบบร้านอาหารให้

“ถ้างั้นก็ตามนั้นนะครับคุณประวิตร ถ้าหากได้แบบที่แก้ไขแล้วรบกวนส่งไปให้ผมดูด้วย”

“ได้ครับคุณดนัย ถ้าระหว่างนี้มีอะไรก็ติดต่อกับณรงค์เขาได้เลยครับ แล้วเดี๋ยวเขาจะมาอัพเดทผมทีหลังเอง”

สายตาของชายหนุ่มที่ชื่อ ‘ดนัย’ เบนจากประวิตรซึ่งเป็นผู้จัดการด้านการพัฒนาธุรกิจมาที่ณรงค์ซึ่งเป็นซีเนียร์ดีไซเนอร์แทน จากนั้นก็หยักมุมปากขึ้นยิ้มให้ ประกายหยาดเยิ้มในแววตาของอีกฝ่ายทำเอาณรงค์ขนลุกซู่ แต่ด้วยมารยาทก็ทำให้ชายหนุ่มร่างสูงยิ้มแห้งๆ กลับ

“สิบเอ็ดโมงครึ่งแล้วสิ เดี๋ยวพวกผมขอตัวก่อนดีกว่า วันนี้ขอบคุณคุณประวิตรมากนะครับ”

ชายหนุ่มอีกคนที่มากับดนัยและเป็นหุ้นส่วนธุรกิจเอ่ยขึ้น อิสราซึ่งเป็นจูเนียร์ดีไซเนอร์และนั่งใกล้ประตูที่สุดจึงลุกไปเปิดประตูให้ลูกค้าทั้งสองได้เดินออกไปก่อน ส่วนประวิตรและสมาชิกทีมที่เหลือค่อยเดินตามออกมา แต่ก่อนที่จะออกจากบริษัท ดนัยก็ยังหันกลับมาทางณรงค์อีกครั้งและยื่นมือมาลูบต้นแขนเขาเบาๆ เล่นเอาชายหนุ่มแทบสะดุ้ง

“เอาไว้เดี๋ยวเราโทรคุยกันอีกทีนะครับคุณณรงค์ หรือว่าจะนัดปรึกษานอกเวลางานก็ได้ เย็นนี้ผมก็ว่าง เราจะได้มีเวลาคุยกันเยอะหน่อย”

ถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่ได้พูดเสียงดัง แต่สมาชิกที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็ได้ยินกันทุกคน ยุพดีกับอิสราเหลือบตามองกันแล้วก็กลั้นยิ้ม ขณะที่ประวิตรซึ่งอาวุโสกว่าตีหน้าตายและทำเหมือนไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น ฝ่ายณรงค์นั้นไม่อยากคิดว่าถ้าหลวมตัวตอบรับไปแล้วทั้งสองจะได้ใช้เวลา ‘คุย’ หรือว่าทำอะไรกันแน่ จึงพยายามกลบอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแล้วยิ้มตอบสุดชีวิต

“เดี๋ยวผมจะรีบแก้แบบแล้วอีเมล์ไปให้ก็แล้วกันนะครับ แล้วตอนนั้นเราค่อยนัดประชุมทีมกันอีกที”

ดนัยแสร้งทำริมฝีปากยื่นเล็กน้อยเหมือนขัดใจ แต่แววตายังคงลามเลียจนณรงค์แทบจะอยากเดินหนีให้รู้แล้วรู้รอด ใช่ว่าเขาจะไม่เคยโดนเกย์ด้วยกันส่งสายตาเชิญชวนมาก่อน แต่อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในเวลากลางวันและระหว่างที่กำลังทำงานแบบนี้ นี่ถ้าหากอีกฝ่ายจะตรงสเป็คเขาอย่างน้อยสักเจ็ดในสิบส่วน ณรงค์ก็คงไม่ตะขิดตะขวงใจมากนัก แต่โชคร้ายที่เขาไม่ได้ชอบเกย์ที่ออกท่าทางตุ้งติ้งชัดเจนแบบนี้เสียหน่อย

ประวิตรดูจะอ่านความกระอักกระอ่วนของลูกน้องหนุ่มออก จึงยื่นมือเข้าช่วยด้วยการกระแอมและตัดบท “ผมจะเดินไปส่งคุณดนัยกับคุณโรจน์ที่ชั้นล่างก็แล้วกันนะครับ พวกลูกทีมผมจะได้เริ่มแก้แบบตามที่คุยกันไว้เดี๋ยวนี้เลย”

ณรงค์ค่อยระบายลมหายใจยาวด้วยความโล่งอกเมื่อลับหลังคนทั้งสามแล้ว แต่แล้วเสียงหัวเราะคิกคักของยุพดีกับอิสราก็ดึงให้เขาหันไปขมวดคิ้ว

“ผึ้ง อ๋อง หัวเราะอะไรกัน?”

“หูยยยย ไม่ยักรู้ว่าพี่ชายเราก็เนื้อหอมเนอะผึ้ง ว่ามั้ย?”

อิสราหันไปถามเพื่อนที่ยืนอยู่ข้างๆ พร้อมกับยิ้มยิงฟัน ยุพดีจึงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย นัยน์ตากลมโตเป็นประกายวิบวับด้วยความขำ “นั่นสิ ผึ้งว่าถ้าเมื่อกี้พี่รงค์ยอมเออออไปกับเขาเย็นนี้นะ เผลอๆ พวกเราอาจจะไม่ต้องมานั่งหลังขดหลังแข็งแก้แบบร้านกันใหม่ก็ได้นา”

ณรงค์นึกถึงสายตาของดนัยตอนทำตาเยิ้มมองเขาทั้งในห้องประชุมและเมื่อไม่กี่นาทีก่อน จากนั้นก็ขนลุกเกรียวขึ้นมาอีก

“คงไม่ไหวมั้งผึ้ง แล้วพี่ก็ไม่ชอบพวกที่ออกสาวชัดแบบนั้นซะด้วยสิ…”

ชายหนุ่มไพล่นึกไปถึงใครอีกคนซึ่งเป็นแบบที่เขา ‘ชอบ’ มากกว่า ไม่ว่าจะนัยน์ตาคมดุที่มักทำให้คนมองไม่กล้าสบตา ผมสั้นหยักศกสีน้ำตาลอ่อนที่ลื่นนิ้วยามได้สัมผัส แล้วยังท่าทางเอาจริงเอาจังเวลาทำงานจนคนในบริษัททั้งนับถือและขยาดไปพร้อมกัน จากนั้นริมฝีปากบางก็ผุดยิ้มขึ้นมา

ทั้งสามเดินกลับไปที่โต๊ะทำงานโดยที่ยุพดีซึ่งเดินนำหน้ายังไม่หยุดหันไปแซวณรงค์ “แหมพี่รงค์ก็ ออกสาวนิดหน่อยแต่หน้าตาเขาก็ใช้ได้อยู่นา อีกอย่างไหนๆ วันนี้ก็วันวาเลนไทน์ทั้งที เผื่อคืนนี้พี่รงค์จะได้ไม่ต้องหง่าวอยู่ที่ห้องคนเดียวไง อุ๊บ!”

สาวน้อยอุทานอย่างตกใจเพราะชนเข้ากับแผ่นอกของคนที่เดินสวนมาอย่างจัง เมื่อจะหันไปขอโทษ นัยน์ตากลมโตก็เบิกกว้างเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายคือใคร ณรงค์ซึ่งเดินตามหลังยุพดีมาพร้อมกับอิสรารู้สึกว่าลมหายใจสะดุดเมื่อเห็นชายหนุ่มในชุดสูทที่กำลังขมวดคิ้วมองสาวน้อย

“...You alright?”

เสียงถามเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงออสเตรเลียชัดแจ๋วทำเอาสาวน้อยยิ่งหน้าตื่น  ร่างเล็กบางรีบชักเท้าถอยจนเกือบเหยียบเท้าอิสราที่ยืนอยู่ข้างหลัง “คุณไรอัน! ขอโทษค่ะ ผึ้งไม่ทันมองทางก็เลยชนเข้า ขอโทษจริงๆ นะคะ”

“It’s ok. But watch where you go next time.”

ไรอันเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ซึ่งความจริงแล้วนั่นเป็นเสียงปกติของเขายามที่ไม่ได้ใช้อารมณ์ แต่กลับยิ่งทำให้ยุพดีกับอิสราเกร็งมากขึ้นอีก ทั้งสองจึงก้มศีรษะแล้วสาวเท้ากลับไปที่โต๊ะทำงานของตัวเองอย่างรวดเร็ว ไรอันเหลียวมองตามทั้งสองด้วยแววตาที่แฝงเศษเสี้ยวของความงุนงง จากนั้นก็หันกลับมาสบตากับณรงค์ที่ยิ้มให้อยู่ก่อนแล้ว

คราวนี้ใบหน้าของหนุ่มลูกครึ่งขมวดคิ้วคล้ายจะถามคนตัวสูงกว่าว่า ‘ยิ้มทำไม?’ ณรงค์จึงตอบให้โดยไม่ต้องรอให้เปล่งเสียงถาม

“เวลาพูดยิ้มมั่งสิคุณ พวกเด็กๆ จะได้ไม่กลัว อีกอย่างเล่นพูดภาษาอังกฤษใส่เขาก็ยิ่งไม่กล้าตอบเข้าไปใหญ่สิ”

ไรอันเพียงแต่ทำเสียงหึขึ้นจมูกเมื่อได้ยินคำแนะนำ จากนั้นก็เดินผ่านคนตัวสูงกว่าเพื่อไปที่ประตู “What I do or say is none of your business.”

ณรงค์มองตามหลังผู้บริหารหนุ่มลูกครึ่งที่เดินออกไปจากบริษัท จากนั้นก็ทำเสียงขึ้นจมูกบ้าง แต่ด้วยท่าทางเหมือนน้อยใจมากกว่าอย่างอื่น

เขาก็แค่พูดแนะนำดีๆ เท่านั้นเอง ทำไมจะต้องตัดบทกันอย่างเย็นชาแบบนี้ด้วยล่ะ นี่พวกเราสองคนกำลังคบกันอยู่นะ

...ต่อให้เวลาอยู่นอกบริษัทก็ใช่ว่าจะสวีทหวานแหวใส่กันก็เถอะ...

ณรงค์ส่ายหน้าแล้วก็เดินกลับไปที่โต๊ะทำงาน กระเป๋าเอกสารที่ไรอันถือติดตัวเมื่อครู่ทำให้เขาเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงกำลังจะออกไปประชุม และหากโชคดี บ่ายๆ ไรอันก็อาจจะกลับมาบริษัทให้เขาได้เห็นหน้าสักแวบก่อนกลับบ้าน หรือไม่ก็อาจจะต้องเป็นช่วงหลังเลิกงานเลยเพราะไรอันอาจติดประชุมสองหรือสามที่ซ้อนก็เป็นได้  

ยุพดีซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามชะเง้อข้ามพาร์ติชันมาส่งเสียงถามเมื่อเห็นณรงค์ที่โต๊ะ “เมื่อกี้พี่รงค์คุยกับไรอันด้วยเหรอ? โดนว่าอะไรหรือเปล่าพี่? ทำไมหน้าหงอยอย่างนั้นล่ะ?”

ชายหนุ่มเลิกคิ้ว ไม่คิดว่าสีหน้าเขาจะแสดงออกชัดเจนจนรุ่นน้องสังเกตได้ทันทีแบบนั้น

“เขาจะว่าพี่ทำไมล่ะ พี่ไม่ได้ทะเล่อทะล่าเดินไปชนเขาเหมือนใครบางคนนี่”

ยุพดีทำแก้มอูด “แง้...พี่รงค์อ้ะ อย่ามาแซวน้องนุ่งสิ ก็ที่ผึ้งเดินชนเขาก็เพราะมัวแต่คุยกับพี่รงค์นั่นแหละ”

ณรงค์นึกอยากยื่นมือไปยีหัวรุ่นน้องสาวด้วยความหมั่นไส้ขึ้นมาติดหมัด “เราซุ่มซ่ามเองจะมาโทษพี่ได้ไง รีบๆ ทำงานไปเลย เราน่ะมีโปรเจ็กต์ค้างอยู่ไม่ใช่หรือไง?”

ยุพดีทำปากยื่นก่อนจะยอมนั่งลงและเริ่มทำงานแต่โดยดี แต่ณรงค์ก็รู้ว่าที่อีกฝ่ายยังแสร้งทำสีหน้ากระเง้ากระงอดเพราะอยากแหย่เขาเล่นมากกว่า นี่ถ้าหากยุพดีรู้สาเหตุที่แท้จริงที่เขาทำหน้าไม่สบอารมณ์เมื่อครู่ว่าเป็นเพราะอะไร ไม่แคล้วเขาคงโดนถามโน่นถามนี่ไม่หยุดแน่

...เพราะพี่เพิ่งโดนแฟนทำท่าเย็นชาใส่มาน่ะสิผึ้งเอ๊ย เฮ่อ...

ณรงค์ผ่อนลมหายใจแล้วก็แสร้งทำเป็นพลิกดูสมุดจดบันทึกการประชุม เขากับไรอันอาจจะไม่เคยบอกใครในบริษัทก็จริง แต่ว่าทั้งคู่ก็เริ่มสนิทสนมกันมากกว่าฐานะเพื่อนร่วมบริษัทมาได้พักสั้นๆ แล้ว โดยที่จุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์นี้ก็มาจากคืนคริสต์มาสอีฟของปีก่อนนั่นเอง

เมื่อหนึ่งปีก่อนหน้านั้น ไรอันถูกส่งมาจากบริษัทแม่ที่เมลเบิร์นให้ทำหน้าที่ผู้บริหารร่วมกับหุ้นส่วนชาวไทยอีกสามคนที่ประจำตำแหน่งอยู่แล้ว ความที่ยังหนุ่มและมีบุคลิกที่ค่อนข้างใจร้อนและขี้โวยวายหากไม่ได้งานตามที่ต้องการ ทำให้พนักงานในบริษัทไม่ค่อยกล้าเข้าหน้าด้วยนัก อีกอย่างไรอันเองแม้จะฟังและพูดภาษาไทยได้แต่ก็ชอบสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงออสเตรเลียที่ถนัดมากกว่า ถึงแม้ณรงค์จะต่างจากคนอื่นๆ ตรงที่เขาไม่ได้กลัวไรอันและออกจะชอบมองเวลาอีกฝ่ายแสดงท่าทางหัวฟัดหัวเหวี่ยงด้วยซ้ำไป แต่ก็ไม่เคยมองอีกฝ่ายมากไปกว่า ‘ผู้บริหารหนุ่มหน้าตาดีที่บุคลิกน่าสนใจ’ ก็เท่านั้น

แต่แล้วจุดเปลี่ยนก็เกิดขึ้นเมื่อณรงค์ไปเที่ยวผับเดียวกับไรอันโดยบังเอิญในคืนคริสต์มาสอีฟเมื่อปลายปีที่แล้ว เขาได้เข้าไปช่วยเหลืออีกฝ่ายที่เมามายจนมีเรื่องทะเลาะวิวาทและพากลับไปที่ห้อง แต่ถอไรอันสร่างเมาในตอนเช้าก็เข้าใจผิดว่าโดนเขาทำมิดีมิร้ายจนต้องอธิบายอยู่เป็นนาน การพบกันในผับเฉพาะทางแห่งนั้นทำให้ทั้งคู่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นเกย์เหมือนกัน ณรงค์จึงถือโอกาสชวนไรอันไปดูไฟเทศกาลในเมืองด้วยกันในตอนหัวค่ำก่อนจะพาไปส่งที่คอนโด และตั้งแต่วันนั้นมา เขาก็จะคอยโทรไปชวนอีกฝ่ายออกไปทานข้าวหรือดูหนังด้วยกันทุกวันหยุด ดังนั้นถึงแม้จะยังพูดไม่ได้เต็มปากว่าทั้งคู่ตกลงคบกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว แต่ณรงค์ก็คิดว่าการที่ไรอันไม่ได้ปฏิเสธเวลาเขาชวนไปไหนมาไหน และบางทียังยอมให้เขาดูแลเทคแคร์ได้คือการรับรู้ว่าเขา ‘คิดยังไง’ กับเจ้าตัว และยอมรับน้ำใจของเขาไปกลายๆ แล้ว เพราะโดยนิสัยที่เป็นคนตรงๆ อย่างไรอัน ถ้าหากไม่ชอบตัวเขาหรือสิ่งที่เขาทำให้ก็คงจะบอกออกมาตรงๆ แล้วอย่างแน่นอน

แม้ว่าเวลาที่ไรอันอยู่นอกบริษัทจะไม่ถึงกับเปลี่ยนบุคลิกจนเป็นคนละคน แต่อีกฝ่ายก็ดูจะผ่อนคลายขึ้นเวลาอยู่ใกล้เขา เพราะถึงอย่างไรณรงค์ก็รู้แล้วว่าเขาก็เป็นเกย์ รวมทั้งความลับอื่นๆ ที่เจ้าตัวพยายามปกปิดไว้แต่เขาดันไปรู้เข้าอีก ทั้งเรื่องที่ไรอันสายตาสั้นมากหากไม่ใส่คอนแทคต์เลนส์ เรื่องที่มีชื่อเล่นซึ่งรู้กันเฉพาะในครอบครัวว่า ‘รัก’ หรือเรื่องที่เวลาโมโหหรือประหม่าแล้วจะแทบไม่ยอมพูดภาษาไทยทั้งที่พูดได้และชัดด้วย และก็เพราะความน่ารักเหล่านี้ที่เขาได้รู้อยู่คนเดียวนี่แหละ ณรงค์ถึงได้รู้สึกว่าถูกหนุ่มลูกครึ่งดึงดูดให้หลงเสน่ห์มากขึ้นทุกวัน

แต่ว่า...ไรอันจะรู้สึกอย่างเดียวกับเขาบ้างหรือยังนี่สิ...

ชายหนุ่มคิดแล้วก็ได้แต่ละเหี่ยใจ ไม่เคยนึกมาก่อนว่าจะต้องมารู้สึกว้าวุ่นกับปัญหาหัวใจเหมือนวัยรุ่นเอาตอนที่อายุกำลังจะขึ้นเลขสามแบบนี้ แถมอีกฝ่ายยังอายุน้อยกว่าและมีตำแหน่งสูงกว่าเขาในบริษัทเสียอีกด้วย อย่างน้อยถ้าไรอันแสดงออกให้รู้ว่าเขาไม่ได้หลงคิดเรื่องของทั้งคู่ไปคนเดียว ณรงค์ก็คงไม่รู้สึกโหวงๆ ในอกขนาดนี้ ถึงแม้ว่าเขาเองก็จะปกปิดอาการได้ดีจนคนรอบตัวดูไม่ออก ยกเว้นเมื่อครู่ก่อนที่ยุพดีเพิ่งทักไปก็ตาม


++------++


ช่วงพักกลางวันณรงค์ออกไปกินข้าวกับยุพดีและอิสราซึ่งเป็นรุ่นน้องในทีมเช่นเคย เมื่อหมดเวลาพักก็กลับขึ้นมานั่งทำงานกันต่อ เนื่องจากงานที่ทีมเขาต้องรับผิดชอบในตอนนี้ไม่ได้มีแค่โปรเจ็กต์ร้านอาหารของดนัยเพียงงานเดียว ณรงค์จึงต้องเรียกยุพดีกับอิสรามาคุยกันก่อนจะแบ่งงานให้ช่วยทำ โชคดีของเขาที่รุ่นน้องทั้งสองค่อนข้างจะหัวไวและสู้งาน ทำให้เขาไม่ค่อยต้องปวดหัวเหมือนเพื่อนร่วมบริษัทคนอื่นที่มีลูกทีมให้ต้องดูแลเหมือนกัน

ณรงค์นั่งทำงานไปเรื่อยๆ จนสี่โมงกว่าก็ยังไม่เห็นไรอันกลับเข้ามา ชายหนุ่มจึงปลงว่าสงสัยเย็นนี้คงไม่มีหวังได้ชวนไปดินเนอร์ด้วยกันแน่แล้ว เขารู้ดีว่าตัวเองไม่ได้เตรียมตัวอย่างที่ควรทำสักเท่าไหร่ทั้งที่วันนี้เป็นวันวาเลนไทน์ ขนาดเพื่อนร่วมบริษัทบางคนที่มีคนรักทำงานอยู่ที่อื่นยังได้รับเค้กหรือดอกไม้ที่มีเมสเซนเจอร์วิ่งมาส่งให้ ทำให้เขานึกอยากเตะตัวเองที่ไม่ทันคิดได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ว่าน่าจะเตรียมหาอะไรให้ไรอันบ้าง อย่างน้อยก็เพื่อตอกย้ำให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขา ‘จริงจัง’ กับความสัมพันธ์ในตอนนี้

แต่เลิกคิดเรื่องจะโทรไปสั่งเค้กหรือดอกไม้ให้มาส่งเอาป่านนี้ได้เลย...นอกจากจะเสี่ยงที่เจ้าของจะไม่ได้รับเพราะไม่กลับเข้าบริษัทแล้ว ถ้าเกิดมีใครในนี้รู้ว่าเขาเป็นคนส่งให้เอง มีหวังโดนหนุ่มลูกครึ่งเล่นงานปางตายแน่...

ณรงค์พักมือที่กดเมาส์จนเมื่อยไหล่แล้วก็บิดคอไปมาเพื่อคลายกล้ามเนื้อ จู่ๆ ก็นึกถึงสมัยเพิ่งเรียนจบใหม่ๆ ที่ยังติดบุหรี่ขึ้นมา ตอนแรกเขาก็แค่ลองสูบตามเพื่อนที่คณะเวลาไปกินเหล้าด้วยกัน แต่ไปๆ มาๆ ก็เริ่มสูบเองจนกระทั่งชิน นี่ถ้าหากเขาไม่ได้เลิกบุหรี่ตั้งแต่เมื่อสี่ปีที่แล้ว สงสัยวันๆ คงได้ลงไปสูบบุหรี่คลายเครียดเวลาคิดงานไม่ออกที่หน้าตึกวันละหลายรอบแหงๆ

ชายหนุ่มร่างสูงตัดสินใจลุกไปเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าให้สดชื่น และบางทีอาจจะลงไปหาซื้อน้ำอัดลมเย็นๆ จากร้านสะดวกซื้อใต้ตึกขึ้นมาดื่ม โชคดีที่บริษัทของเขาไม่ค่อยเข้มงวดกับพนักงานเรื่องทานขนมหรือน้ำที่โต๊ะทำงานนัก เพียงแต่อย่าให้เลอะเทอะหรือเป็นอาหารที่ส่งกลิ่นรบกวนคนอื่นเป็นใช้ได้

ภายในห้องน้ำชายซึ่งมีห้องน้ำย่อยอยู่สี่ห้องนั้นว่างโล่ง อ่างล้างหน้าและโถสุขภัณฑ์ทั้งสามที่ตั้งอยู่คนละฟากของผนังสะอาดเอี่ยมไร้คราบราวไม่เคยถูกใช้ นอกจากนี้ในห้องน้ำยังมีกลิ่นหอมของสเปรย์ดับกลิ่นเพราะแม่บ้านจะคอยเข้ามาทำความสะอาดทุกสองชั่วโมง กลิ่นหอมที่เข้มข้นจนเกือบฉุนทำให้ณรงค์รู้ว่าแม่บ้านคงเพิ่งจะทำความสะอาดเสร็จไปหมาดๆ นี่เอง ชายหนุ่มเดินไปที่อ่างล้างหน้าแล้วก็รองน้ำจากก๊อกขึ้นลูบไปบนหน้าและลำคอ ความเย็นของกระแสน้ำทำให้เขาค่อยรู้สึกว่าความอ่อนเพลียเมื่อครู่ก่อนลดเลือนลงบ้าง

เสียงประตูห้องน้ำด้านหน้าที่ถูกผลักเข้ามาทำให้ณรงค์เหลือบตาขึ้นดูว่าเป็นใคร และเมื่อสบตากับเขา หนุ่มลูกครึ่งที่เพิ่งเดินเข้ามาก็ชะงักฝีเท้านิดหนึ่ง จากนั้นก็เดินมาล้างมือที่อ่างข้างๆ กัน

ณรงค์ยืดตัวตรงขึ้นพลางดึงกระดาษจากม้วนที่แขวนอยู่ใกล้ตัวขึ้นมาซับน้ำบนหน้า นัยน์ตายังคงจับจ้องคนข้างตัวไม่วางตา แต่ว่าไรอันก็ไม่ได้หันกลับมาสบตาเขาสักแวบเดียว อีกฝ่ายเพียงแต่สะบัดมือที่ล้างเรียบร้อยแล้วก่อนจะยกขึ้นเสยผมที่ยุ่งเพราะออกไปโต้ลมข้างนอกมาให้กลับเป็นทรงเท่านั้น เสื้อแจ็คเกตสูทสีเข้มยังไม่ถูกถอดออก แต่ว่าเนคไทถูกถอดเก็บไปแล้วและกระดุมเชิ้ตเม็ดแรกถูกปลดจนเห็นแอ่งไหปลาร้าได้ ผิวบริเวณโหนกแก้มและคอซึ่งปกติเป็นสีงาช้างเรื่อสีเลือดฝาดจางๆ ซึ่งณรงค์เดาว่าคงเพราะแดดภายนอกที่แรงมากนั่นเอง แต่นั่นก็ช่วยทำให้ใบหน้าคมเข้มที่ปกติดูเย็นชาของหนุ่มลูกครึ่งมีชีวิตชีวามากขึ้น

“กลับมาแล้วเหรอ?”

“...ก็อย่างที่เห็น”

ในที่สุดวันนี้ไรอันก็ยอมพูดกับเขาเป็นภาษาไทยเสียที ถึงนั่นจะแสดงออกถึงความสนิทสนมในระดับที่มากกว่ากับพนักงานคนอื่น แต่ณรงค์ก็ยังรู้สึกว่าน้ำเสียงนั้น ‘เย็นชา’ เกินไปสำหรับเขาอยู่ดี

ชายหนุ่มยืนเอามือข้างหนึ่งยันอ่างล้างหน้าไว้พลางหันไปหาไรอันทั้งตัว ส่วนอีกมือยกขึ้นเท้าเอว ไรอันจึงเหลือบตามองเขาแล้วก็เลิกคิ้วเหมือนไม่แน่ใจว่าเขาจะทำอะไร ณรงค์จึงค่อยก้มหน้าแล้วถอนหายใจ

“ถึงจะอยู่ในบริษัทก็จริง แต่เวลาที่อยู่กับผมสองคนแล้วไม่มีคนอื่นแบบนี้ คุณไม่ต้องเล่นบทผู้บริหารกับผมก็ได้นี่ รัก”

ไรอันเกร็งไหล่ขึ้นทันทีเมื่อได้ยินชื่อเล่นของตัวเอง “How many times have I told you not to call me by that name?”

ณรงค์ขมวดคิ้ว กลับไปใช้ภาษาอังกฤษอีกแล้ว...นี่เขาพูดอะไรผิดตรงไหนละเนี่ย...

“ก็นี่มันชื่อเล่นจริงๆ ของคุณนี่นา อีกอย่างเราเป็นแฟนกันแล้วนะ ผมเรียกคุณด้วยชื่อเล่นไม่ได้หรือไง?”

หนุ่มลูกครึ่งขมวดคิ้วและหันกลับมาหาคนตัวสูงกว่าทั้งตัว “That doesn’t mean you can say it so freely.”

คราวนี้ณรงค์ชักจะอารมณ์ขึ้นบ้าง ถึงแม้ปกติเขาจะใจเย็นแค่ไหน แต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่รู้สึกอะไรเวลาคนที่ชอบพูดจาไม่มีเหตุผลหรอกนะ

“ผมไม่อยากทะเลาะกับคุณเพราะเรื่องนี้นะ ผมแค่อยากจะบอกว่าไหนๆ เราก็กำลังคบกันอยู่ คุณทำตัวตามสบายมากกว่านี้เวลาอยู่กับผมที่บริษัทก็ได้”

ไรอันอ้าปากเตรียมจะโต้ตอบ แต่ณรงค์ได้ยินเสียงฝีเท้าสองคู่ที่เดินมาทางห้องน้ำเสียก่อน ชายหนุ่มจึงรีบฉุดหนุ่มลูกครึ่งให้เข้าไปหลบในห้องน้ำที่อยู่ด้านในสุดด้วยกันแล้วก็ล็อกประตูทันที แต่เมื่อเหลือบตาลงมองก็เห็นไรอันถลึงตาเหมือนอยากจะกัดคอเขาให้รู้แล้วรู้รอด

“What the hell are you doing!?”

อีกฝ่ายคำรามโดยกดเสียงไว้ในคอ แต่ว่านัยน์ตาก็ไม่ได้คลายดีกรีความดุดันลงเลย ณรงค์จึงเพิ่งนึกได้ว่าไม่มีเหตุผลที่เขาสองคนจะต้องเข้ามาหลบในห้องน้ำเสียหน่อยในเมื่อไม่ได้ทำอะไรนอกจากคุยกัน ต่อให้มีคนที่ไม่รู้เรื่องเดินเข้ามา ใครคนใดคนหนึ่งก็แค่ทำหน้าตายแล้วเดินออกไปจากห้องน้ำก่อนซะก็สิ้นเรื่อง

เมื่อไม่รู้ว่าจะแก้ตัวอย่างไรดี ณรงค์จึงทำได้เพียงยักไหล่ราวจะตอบว่า ‘ช่วยไม่ได้’ แต่พอเห็นอีกฝ่ายเผยอริมฝีปากเหมือนจะพูดอะไรอีก ณรงค์ก็รีบห่อปากทำเสียง ‘ชู่’ เบาๆ ขณะเดียวกันก็ยกนิ้วชี้ข้างหนึ่งขึ้นทำสัญญาณให้เงียบไปด้วย ไรอันจึงต้องยอมหุบปากอย่างไร้ทางเลือก

“ห่าแม่ง ผ่านปีใหม่มาได้ไม่เท่าไหร่งานยุ่งฉิบหาย สงสัยคืนนี้ต้องอยู่ดึกอีกแหงๆ”

“อ้าว? แล้วพี่ดอนไม่ต้องกลับไปกินข้าวกับเมียเหรอ วันนี้วันวาเลนไทน์นา”

“พี่ก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่ะ แต่โดนสั่งมาว่าต้องทำแบบห้องให้เสร็จสำหรับพรีเซนต์ให้ลูกค้าพรุ่งนี้เช้า นี่ก็พยายามจะเร่งให้มันเสร็จก่อนหกโมงอยู่แต่ไม่รู้จะทันไหม นี่ถ้าวันนี้ต้องทำโอทีมีหวังโดนเมียงอนแหงๆ”

เสียงพูดคุยและเสียงการทำกิจกรรมที่โถสุขภัณฑ์ด้านนอกทำให้ณรงค์นึกขอบคุณแม่บ้านที่เข้ามาฉีดสเปรย์ดับกลิ่นชนิดเข้มข้นไว้ให้ก่อน เขากับไรอันที่อยู่ในห้องน้ำด้านในสุดจึงไม่ได้กลิ่นไม่พึงประสงค์ แต่ว่าบทสนทนาที่เพิ่งได้ยินก็กระทบใจเขาอย่างจัง จริงด้วยสิ เขาเองก็กำลังตั้งใจว่าจะถามไรอันเรื่องนี้อยู่พอดีเลยนี่นา ถ้าไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายพูดจาชวนทะเลาะเสียก่อนน่ะ

“เย็นนี้คุณว่างหรือเปล่า?”

ณรงค์กระซิบถามเสียงเบา ความที่ทั้งสองยืนเบียดกันชิดมากโดยหันหน้าเข้าหากัน ลมหายใจอุ่นๆ ของณรงค์จึงตกลงระหน้าผากของไรอันไปโดยปริยาย และเขาก็ไม่แน่ใจว่าผิวแก้มของไรอันยังไม่หายแดงเพราะการที่เพิ่งออกไปตากแดดมา หรือว่าเพิ่งจะแดงขึ้นมาใหม่กันแน่

“ถามทำไม?”

ณรงค์กลอกตา “ก็วันนี้วันวาเลนไทน์ ใครๆ ก็ไปดินเนอร์กับแฟนกันทั้งนั้น ผมก็อยากชวนคุณไปดินเนอร์ด้วยกันมั่งน่ะสิ”

คราวนี้หนุ่มลูกครึ่งหรี่ตาสีน้ำตาลอ่อนลงพลางจ้องเขาเขม็ง “แค่เพราะใครๆ ก็ทำกัน เราก็เลยต้องทำตามบ้างงั้นเหรอ?”

ณรงค์ไปต่อไม่ถูกเมื่อได้ยินคำถามนั้น หนุ่มลูกครึ่งจึงเพียงหันหน้าหลบสายตาเขาพร้อมกับขมวดคิ้วมุ่นเหมือนไม่พอใจ เสียงการเคลื่อนไหวจากด้านนอกบอกให้รู้ว่าเพื่อนร่วมบริษัททั้งสองที่เพิ่งทำธุระเสร็จได้ย้ายมาล้างมือที่อ่างแล้ว และโชคดีที่ขอบประตูด้านล่างของห้องน้ำที่เขากับไรอันยืนอยู่ต่ำพอจะบังรองเท้าของพวกเขาได้ แต่ณรงค์ก็ยังคิดว่าควรจะปลอดภัยไว้ก่อนด้วยการดันไรอันให้ขยับเข้าไปข้างในอีกนิดและและใช้ร่างตัวเองคร่อมบังอีกฝ่ายไว้

ไรอันตวัดสายตาขึ้นมองเขาแวบหนึ่ง แต่แล้วก็สะบัดหน้ากลับไปอย่างเดิมเพราะรู้ว่าหากส่งเสียงเดี๋ยวคนข้างนอกจะรู้ว่าในห้องน้ำไม่ได้มีคนอยู่แค่คนเดียว ณรงค์จึงได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ที่ทำให้อีกฝ่ายต้องมาลำบากกับเขาไปด้วยโดยไม่จำเป็น

ความใกล้ชิดชนิดที่อกชนอกทำให้ณรงค์เริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง ถึงจะเริ่มคบกันแล้วก็จริง แต่ทั้งคู่ก็ไม่เคย 'ใกล้ชิด' กันขนาดนี้มาก่อน เขารู้ดีว่าตอนนี้ไรอันพยายามดันตัวเองจนแทบจะกลืนเข้าไปในผนังแล้วถ้าทำได้ แต่ยิ่งเดาได้ว่าอีกฝ่ายทำอย่างนั้นเพื่อสร้างระยะห่าง ณรงค์ก็ยิ่งแกล้งด้วยการเบียดตัวเองเข้าหามากขึ้นอีก

ร่างกายท่อนล่างของณรงค์ที่กำลังบดเข้าหาสะโพกของเขาทำให้ไรอันตัวแข็งและทำตาโต ใบหน้าที่เมื่อครู่เริ่มคืนสีปกติกลับเรื่อสีแดงปลั่งขึ้นมาอีกครั้ง

“What the fuck are you…umph!!”

หนุ่มลูกครึ่งคำรามโดยไม่ลืมกดเสียง แต่ยังพูดไม่ทันจบประโยคก็ถูกณรงค์ก้มหน้าเข้าหาแล้วกลืนคำพูดที่เหลือไว้ด้วยริมฝีปากเสียก่อน ร่างสูงไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้ปฏิเสธด้วยการเบียดร่างกายเข้าหามากขึ้นและไล้เรียวลิ้นเข้าในริมฝีปากที่เผยออย่างไม่ได้ตั้งตัวอยู่แล้ว

หวาน...

ณรงค์คิดในใจ รสชาติที่ติดอยู่บนปลายลิ้นของไรอันซึ่งเขาสัมผัสได้จางๆ ให้ความรู้สึกเหมือนน้ำผึ้งมะนาว ทั้งหวานและอมเปรี้ยวอ่อนๆ ในคราเดียวกัน หากไม่ใช่เพราะไรอันเพิ่งดื่มเครื่องดื่มนี้มาก่อนเข้าบริษัท ก็คงจะเป็นเพราะเพิ่งอมลูกอมรสนี้มาอย่างไม่ต้องสงสัย

รสชาติหวานหอมที่ไม่คาดคิดและไม่เคยลิ้มลองทำให้ณรงค์เผลอไผล ชายหนุ่มเลื่อนมือข้างหนึ่งขึ้นช้อนท้ายทอยอีกฝ่ายไว้เพื่อให้แหงนหน้าขึ้นรับริมฝีปากเขาถนัดขึ้น ขณะที่มืออีกข้างเลื่อนลงไปรั้งเอวผอมเข้าหา ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าร่างในอ้อมแขนสั่นน้อยๆ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้จูบตอบเขาเสียทีเดียว แต่ความอบอุ่นจากร่างกายที่ได้สัมผัสก็ทำให้เขานึกถึงภาพเรือนร่างเปลือยเปล่าของอีกฝ่ายตอนที่เมาไม่ได้สติและต้องให้เขาเช็ดตัวให้เมื่อคืนคริสต์มาสอีฟที่ผ่านมา และภาพที่ผุดขึ้นมาในความทรงจำก็ทำให้เขารู้สึกว่าโลหิตในตัวสูบฉีดพลุ่งพล่านจนหัวใจเต้นแรงไปหมด

กระทั่งตรงนั้นของเขาก็ยังมีความรู้สึกตามไปด้วย...

ความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของณรงค์ทำให้ไรอันลืมตาโพลง ความเคลิบเคลิ้มที่ถูกปลุกปั่นจากริมฝีปากอันเร่าร้อนหายวับไปในพริบตาด้วยความตระหนก หนุ่มลูกครึ่งรวบรวมกำลังกลับคืนสู่ร่างกายที่อ่อนเปลี้ยแล้วก็รีบผลักณรงค์ออก จากนั้นกำปั้นเน้นๆ ก็ถูกซัดเข้าที่ท้องอีกฝ่ายเต็มแรง

"อุ๊บ!!!"


++---TBC---++


ค้างไว้ตรงนี้ไม่เป็นไรเนอะ เนอะๆๆ (อิป้าวอนซะแล้ว) :laugh:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น ภาคต่อ] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ในวันวาเลนไทน์ {UP 14.2.11}
เริ่มหัวข้อโดย: Little Devil ที่ 14-02-2011 01:55:34
ใจร้ายยย :serius2:
+1
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น ภาคต่อ] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ในวันวาเลนไทน์ {UP 14.2.11}
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 14-02-2011 08:01:17
อืมๆใจร้าย
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น ภาคต่อ] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ในวันวาเลนไทน์ {UP 14.2.11}
เริ่มหัวข้อโดย: kakuro ที่ 14-02-2011 09:07:05
คุณรินใจร้าย :sad4:
ตกลง Sweet Valentine หรือ Bitter Valentine  :serius2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น ภาคต่อ] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ในวันวาเลนไทน์ {UP 14.2.11}
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 14-02-2011 09:14:06
คุณรินใจร้าย :sad4:
ตกลง Sweet Valentine หรือ Bitter Valentine  :serius2:

จะ sweet หรือ bitter ต้องรอให้เขียนครึ่งหลังเสร็จก่อนนะค้าคุณ kakuro แต่ที่แน่ๆ คนเขียนชอบกิน bitter chocolate ค่ะ อิอิ  :haun5:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น ภาคต่อ] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ในวันวาเลนไทน์ {UP 14.2.11}
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 14-02-2011 09:51:13
มาครึ่งเดียวงั้นตุนไว้ก่อน กลัวเป็นแบบพี่kakuro หงิงๆ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น ภาคต่อ] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ในวันวาเลนไทน์ {UP 14.2.11}
เริ่มหัวข้อโดย: kakuro ที่ 14-02-2011 10:27:52
คนอ่านคาดหวังว่าจะกิน Dark Chocolate ในบรรยากาศ Sweet Valentine น่ะ
ทั้งที่ความจริงช่วงเวลาอันสั้นจากคริสต์มาสอีฟถึงวาเลนไทน์โดยที่ความสัมพันธ์ไม่ได้คืบหน้ามากมายจะหวังอะไรให้ดอกฟ้าอย่างดอกรักโน้มกิ่งมาหาดอกหญ้าอย่างรงค์
รงค์คะคุณคาดหวังมากไป :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น ภาคต่อ] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ในวันวาเลนไทน์ {UP 14.2.11}
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 14-02-2011 10:34:27
คนอ่านคาดหวังว่าจะกิน Dark Chocolate ในบรรยากาศ Sweet Valentine น่ะ
ทั้งที่ความจริงช่วงเวลาอันสั้นจากคริสต์มาสอีฟถึงวาเลนไทน์โดยที่ความสัมพันธ์ไม่ได้คืบหน้ามากมายจะหวังอะไรให้ดอกฟ้าอย่างดอกรักโน้มกิ่งมาหาดอกหญ้าอย่างรงค์
รงค์คะคุณคาดหวังมากไป :เฮ้อ:

กรี๊ดดดด โด๊น!!!!!!! ต้องรีบเอาไปเคาะใส่กะโหลกตาณรงค์อย่างด่วนนะคะข้อความนี้ 5555  :pigha2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น ภาคต่อ] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ในวันวาเลนไทน์ {UP 14.2.11}
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 14-02-2011 11:51:17
เห็นใจ อิคุณพี่รงค์ จัง เจอแบบนี้จะจีบติดด้วยวิธีแบบไหนเนี่ย ดูเย็นชา ชาเย็นเป็นน้ำแข็งแบบนี้ :try2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น ภาคต่อ] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ในวันวาเลนไทน์ {UP 14.2.11}
เริ่มหัวข้อโดย: kenshinkenchu ที่ 14-02-2011 11:59:41
ว่าแต่คนอื่นเค้าออกสาว
นึกภาพตอนรงค์ยืนเท้าเอวในห้องน้ำแล้วขำ สาวมากค่ะ
น้องรักคงแค่อายล่ะมั้ง   :-[
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น ภาคต่อ] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ในวันวาเลนไทน์ {UP 14.2.11}
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 14-02-2011 12:53:27
คุณ รัก จะเย็นชาไปถึงไหน

 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น ภาคต่อ] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ในวันวาเลนไทน์ {UP ครึ่งหลังแล้ว 14.2.11 เวลาบ่ายๆ ค
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 14-02-2011 13:58:19
มาลงครึ่งหลังอันแสนยาวให้แล้วค่า หลังจากปั่นไป + ทำอย่างอื่นไปอยู่ซะนาน เอิ้กๆ คราวนี้คงหายอารมณ์ค้างแล้วน้า  :z1:

++------++

(ต่อ)


กำปั้นที่กระแทกเข้ากับท้องเขาเต็มๆ ทำเอาณรงค์จุกจนพูดไม่ออก ชายหนุ่มงอตัวเอามือข้างหนึ่งกุมท้องไว้ ส่วนอีกมือกำไหล่เสื้อสูทของไรอันแน่นราวจะระบายความเจ็บปวด แต่โชคร้ายที่เสียงอุทานเมื่อครู่ลอยเข้าหูของคนสองคนตรงอ่างล้างหน้าเรียบร้อยแล้ว

“เอ้าเฮ้ย ใครอยู่ในส้วมวะนั่น ไม่สบายหรือไง?”

ณรงค์แทบจะอยากเอาหัวโขกฝาให้รู้แล้วรู้รอด ชายหนุ่มกัดฟันแน่นขณะพยายามสูดลมหายใจยาวๆ เพื่อบรรเทาอาการจุก แต่ดูเหมือนหมัดของหนุ่มลูกครึ่งจะมีพิษสงกว่าที่คาดเพราะเขาต้องรวบรวมลมหายใจอยู่หลายวินาทีกว่าจะเค้นเสียงได้

“ผมเองพี่ดอน สงสัยข้าวกลางวันจะทำพิษน่ะพี่”

ณรงค์สนิทกับรุ่นพี่ซึ่งเป็นซีเนียร์ดีไซเนอร์เหมือนกันพอควรเพราะเริ่มทำงานพร้อมๆ กัน ดังนั้นแม้จะไม่ได้บอกชื่อ แต่อีกฝ่ายก็จำเสียงของเขาได้ทันที

“ไอ้รงค์เองหรอกเหรอ ปวดท้องก็ไปหายากินดิวะ ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ลากลับก่อนก็ได้ อีกเดี๋ยวก็เลิกงานแล้ว ขอเขากลับก่อนนิดหน่อยไม่เป็นไรหรอก”

“ขอบคุณพี่ เดี๋ยวอีกสักพักผมจะรีบออกไปก็แล้วกัน”

ณรงค์ส่งเสียงตอบ จากนั้นก็ระบายลมหายใจยาวเมื่อได้ยินเสียงประตูห้องน้ำด้านหน้าที่เปิดออกและเสียงฝีเท้าสองคู่ที่ลับหายไปแล้ว ทั้งเขาและไรอันยังยืนเงียบอยู่ครู่หนึ่ง จนแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครเดินมาที่ห้องน้ำอีก คราวนี้ไรอันจึงผลักเขาเต็มแรงและรีบเปิดประตูห้องน้ำทันที แต่ณรงค์ก็ยังไหวตัวทันพอจะคว้าแขนอีกฝ่ายไว้ได้ก่อน

“เดี๋ยวสิรัก เมื่อกี้ผมลืมตัวไป ผมขอโทษ”

ไรอันหันกลับมามองเขาด้วยนัยน์ตาลุกวาว แต่ณรงค์ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายโกรธที่ถูกเรียกด้วยชื่อเล่นหรือเพราะเรื่องที่เพิ่งเกิดในห้องน้ำมากกว่ากัน หนุ่มลูกครึ่งพยายามจะสะบัดมือในขณะที่ณรงค์ก็พยายามยึดไว้แน่น

“เมื่อกี้คิดบ้าอะไรอยู่!? ถ้าหากมีใครรู้ว่าผมกับคุณทำอะไรอยู่ในห้องน้ำกันจะเป็นยังไง ทีหลังหัดคิดให้มันดีๆ ก่อนจะหน้ามืดไม่เป็นเวล่ำเวลา!”

“แต่ว่า...นั่นมัน...”

เพราะผมชอบคุณ...เหรอ? แค่ความคิดที่จะพูดออกไปก็ทำให้ณรงค์อยากตบปากตัวเองแรงๆ แล้ว เพราะถึงอย่างไรนั่นก็ไม่ใช่เหตุผลเพียงพอให้เขาทำแบบนั้นกับอีกฝ่ายในห้องน้ำที่บริษัท ไม่ว่าจะในด้านความไม่เหมาะสมของสถานที่หรือกาลเทศะ และที่จริงแล้วเขาก็ไม่ได้อยากเอาเปรียบไรอันเหมือนเมื่อกี้เลยสักนิด แต่ถ้าบอกว่าเพราะสถานการณ์พาไป มีหวังเขาได้โดนซัดเข้าให้อีกหมัดแน่

ณรงค์มองสบตาไรอันที่จ้องเขาเขม็ง จากนั้นก็ได้แต่ก้มหน้าอย่างยอมจำนน ครั้งนี้เขาผิดจริงๆ ผิดอย่างที่ไม่สมควรให้อภัยเลยด้วย

“ขอโทษ ผมเพียงแต่คิดถึงคุณมาทั้งวันแล้วก็เท่านั้นเอง”

หนุ่มลูกครึ่งยังไม่เลิกขมวดคิ้ว แต่ว่าก็ไม่ได้พูดอะไรอีกและเพียงแต่สะบัดมือให้หลุดจากการเกาะกุมของเขา และครั้งนี้ณรงค์ยอมปล่อยมืออย่างง่ายดาย ชายหนุ่มมองตามแผ่นหลังของไรอันที่เดินตัวตรงออกไปจากห้องน้ำจนกระทั่งประตูปิดลง จากนั้นก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

ปกติถ้าหากไรอันโมโหมากๆ จะพูดภาษาอังกฤษอย่างเดียว แต่เมื่อกี้นี่อีกฝ่ายต่อว่าเขาด้วยภาษาไทยล้วนๆ นั่นจะเป็นเพราะโกรธเขามากจนถึงกับต้องพูดเป็นภาษาที่มั่นใจว่าเขาจะเข้าใจแน่นอนหรือเปล่า...


++------++

ตลอดหนึ่งชั่วโมงเศษๆ ที่เหลือก่อนถึงเวลาเลิกงาน ณรงค์นั่งทำงานต่ออย่างไม่มีสมาธิจดจ่อกับงานสักเท่าไหร่ เขาได้แต่คลิกเมาส์ขยับงานที่แก้แล้วไปมาอย่างไร้จุดหมายเท่านั้น และดูเหมือนบรรยากาศมาคุที่ล้อมรอบเขาอยู่จะเข้มจนคนรอบตัวรู้สึกได้ เพราะปกติเวลาใกล้เลิกงานจะมีเพื่อนหรือรุ่นน้องมาแวะคุยเล่นที่โต๊ะเขาฆ่าเวลาบ้าง แต่เย็นวันนี้ไม่มีใครเฉียดผ่านมาทางเขาสักคน กระทั่งยุพดีที่นั่งเยื้องไปฝั่งตรงข้ามยังเลี่ยงการเหลือบตามาสบตากับเขาเลย

ยังไม่ทันหกโมงเย็น ณรงค์ก็ปิดคอมพิวเตอร์แล้วคว้าเสื้อแจ็คเก็ตลำลองที่พาดไว้บนเก้าอี้ขึ้นมาพาดบ่า อิสราที่นั่งทำงานเงียบๆ อยู่โต๊ะถัดไปจึงหันมาถาม

“จะกลับแล้วเหรอพี่รงค์?”

ชายหนุ่มพยักหน้าเนือยๆ “อือ ไม่ค่อยสบายว่ะ แล้วค่อยเจอกันพรุ่งนี้”

“สีหน้าพี่ดูไม่ค่อยดีจริงๆ แหละ ยังไงขับรถกลับรถระวังๆ ล่ะพี่”

ณรงค์ยกมือเป็นสัญญาณรับรู้ก่อนจะเดินออกจากบริษัท ความที่บริษัทของเขาไม่ได้ใช้ระบบตอกบัตรจึงทำให้ไม่มีปัญหาหากพนักงานคนไหนจะออกก่อนเวลาหากงานเสร็จเรียบร้อย วันนี้งานของณรงค์ยังไม่เสร็จก็จริง แต่ถึงเขานั่งทำต่อก็ไม่เกิดประโยชน์อยู่ดี

ตั้งแต่ออกมาจากห้องน้ำ ณรงค์ก็กลับไปนั่งทำงานที่โต๊ะโดยไม่ได้สนใจอีกเลยว่าไรอันยังนั่งทำงานอยู่ที่ห้องส่วนตัวหรือว่ากลับไปแล้ว ความรู้สึกผิดผสมน้อยใจทำให้เขาไม่กล้าสู้หน้าอีกฝ่าย ถึงจะรู้ดีว่าขี้ขลาด แต่เขาก็ไม่อยากถูกไรอันโกรธมากไปกว่านี้ถ้าเผลอพูดไม่เข้าหูหรือทำอะไรไม่เข้าตาอีก

จะว่าไป..ยังเจ็บท้องไม่หายเลยแฮะ

เมื่อลงไปถึงชั้นจอดรถใต้ดินและเข้านั่งในรถแล้ว ณรงค์จึงค่อยโยนเสื้อแจ็คเก็ตไว้ที่เบาะข้างๆ แล้วเลิกชายเสื้อขึ้นดู ไฟที่มืดสลัวในชั้นจอดรถใต้ดินทำให้เขาไม่เห็นชัดเจนว่าบริเวณที่ถูกต่อยเริ่มคล้ำหรือยัง แต่พอเอามือลูบไปก็รู้สึกเจ็บตรงที่ถูกกำปั้นได้ชัดเจนราวกับเพิ่งจะโดนต่อยมาหมาดๆ

ถ้าหากพรุ่งนี้ลาป่วยเพราะสาเหตุว่าช้ำใจที่ถูกแฟนต่อย สงสัยโดนฝ่ายบุคคลหมายหัวเวลาพิจารณาโบนัสปลายปีแน่...

ณรงค์คิดพลางยิ้มกับตัวเองอย่างขื่นๆ จากนั้นก็เข้าเกียร์ออกรถเพื่อกลับคอนโด ตอนแรกเขากะไว้ว่าถ้าหากไรอันยอมไปดินเนอร์กับเขา เขาจะพาอีกฝ่ายไปหาร้านอาหารบรรยากาศดีๆ ที่ไหนสักแห่งทานข้าวเย็นด้วยกัน ไม่แน่ก็อาจจะเป็นร้านที่เจ้าตัวชอบไปประจำเพราะไรอันค่อนข้างจะเลือกกิน แต่ดูเหมือนว่าต่อให้คืนนี้เขาโทรไปขอโทษก็อาจจะไม่ได้ช่วยกู้สถานการณ์ก็เป็นได้

สองข้างถนนที่เขาขับผ่านหลังออกมาจากบริษัทมีแม่ค้าเข็นรถเข็นหรือวางกระจาดขายกุหลาบทั่วไป ส่วนใหญ่จะเป็นกุหลาบสีแดงสดกับสีชมพู มีทั้งแบบดอกใหญ่เดี่ยวๆ และแบบที่ถูกจัดเป็นช่อและมีดอกไม้เล็กๆ สีขาวแซม ตอนที่รถติดไฟแดงณรงค์ก็คิดกับตัวเองอยู่ว่าจะไขกระจกลงแล้วตะโกนซื้อดอกไม้สักช่อดีไหม แต่พอคิดได้ว่าถึงซื้อมาก็คงไม่ได้ให้คนที่อยากให้ และเผลอๆ จะยิ่งทำให้จิตตกมากขึ้นไปอีก ณรงค์ก็เปลี่ยนใจและขับรถตรงกลับคอนโดโดยไม่แวะที่ไหนเลย

หลังจากถอยรถเข้าจอดในที่ประจำ ชายหนุ่มก็ขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นกางเกงขาสั้นกับเสื้อกล้ามสำหรับอยู่ที่ห้อง ตอนนี้รอยคล้ำจากกำปั้นของไรอันเริ่มเป็นร่องรอยเห็นได้ชัดเจน และณรงค์ก็คงไม่แปลกใจเลยหากร่องรอยนั้นจะอยู่กับเขาไปทั้งอาทิตย์ เพราะหมัดที่ไรอันส่งมานั้นน่าจะมาเต็มแรงจริงๆ

ไม่รู้ว่าตอนอยู่ที่ออสเตรเลียเรียนมวยไทยไว้ด้วยหรือไง ถึงได้หมัดหนักเป็นบ้า...

ณรงค์คิดกับตัวเองแบบขำไม่ออก อย่างน้อยถึงจะถูกปฏิเสธถ้าหากชวนออกไปทานดินเนอร์ด้วยกันก็เรื่องหนึ่ง แต่การโดนคนที่ชอบต่อยเอาในวันวาเลนไทน์นี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากจดจำไว้เล่าให้ใครฟังแน่ๆ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาชอบคนคนนั้นมากด้วย

ชายหนุ่มนั่งดูโทรทัศน์ได้สักพักก็ลุกเข้าไปตั้งหม้อน้ำบนเตาไฟฟ้าในครัว ความหิวแต่ขี้เกียจเปลี่ยนเสื้อผ้าทำให้เขาตั้งใจว่าจะต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกินแทนการเดินลงไปหาซื้ออาหารข้างล่าง แต่ยังไม่ทันจะเปิดตู้หยิบซองบะหมี่ออกมา เสียงโทรศัพท์มือถือที่เขาวางไว้บนโต๊ะหน้าโทรทัศน์ก็แผดเสียงดังลั่น

ใครโทรมากัน ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์จะคุยหรอกนะ ต่อให้เป็นที่บ้านโทรมาก็เถอะ...

ณรงค์มาอยู่กรุงเทพฯ คนเดียวตั้งแต่เข้าเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว โดยบ้านที่ต่างจังหวัดมีพ่อกับแม่เลี้ยงและน้องฝาแฝดชายหญิงอาศัยอยู่ น้องทั้งสองอายุห่างจากเขาพอสมควรเพราะพ่อแต่งงานใหม่หลังแม่เขาเสียได้หลายปีและเขาอายุสิบสี่แล้ว ดังนั้นตอนนี้เจ้าตัวป่วนทั้งสองจึงเพิ่งจะขึ้น ม.ปลายเท่านั้น แต่ณรงค์ก็ค่อนข้างสนิทกับทั้งคู่ดีเพราะช่วยเลี้ยงมาตั้งแต่ยังแบเบาะ

ชายหนุ่มเดินกลับเข้ามาในห้องนั่งเล่นพลางหวังว่าคนที่โทรมาคงไม่ใช่หนึ่งในแฝดที่จะอวยพรให้เขามีแฟนเร็วๆ เพราะตอนนี้เขาคงไม่มีอารมณ์จะคุยเล่นสักเท่าไหร่ แต่เมื่อเห็นชื่อที่ขึ้นบนหน้าจอ ณรงค์ก็รีบกดรับสายทันที

“รั...ไรอัน? มีอะไรเหรอ?”

ณรงค์ชะงักปากทันก่อนจะออกเสียงว่า ‘รัก’ ออกไป ชายหนุ่มทั้งแปลกใจทั้งดีใจที่อีกฝ่ายโทรหาเขาก่อน บางทีอาจจะเรียกว่าเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ เพราะปกติจะมีแต่เขาเท่านั้นที่เป็นฝ่ายโทรไปคุยด้วยหรือชวนออกไปข้างนอก

“เห็นรุ่นน้องคุณบอกว่าไม่สบาย เป็นอะไรมากหรือเปล่า?”

ณรงค์ฟังแล้วคิดตามไม่ได้ในทันที แต่พอนึกออกว่าเขาบอกกับอิสราไว้เมื่อเย็นว่าไม่ค่อยสบาย ชายหนุ่มจึงค่อยหายสงสัยว่าไรอันไปฟังมาจากไหน

ว่าแต่ที่ไม่สบายน่ะ...ความจริงสาเหตุมันมาจากคุณต่างหาก...

ณรงค์ได้แต่คิด แต่แค่ไรอันโทรมาหาเขาก็ดีใจจะแย่แล้ว จะให้มามัวเอาแต่น้อยใจอย่างกับเป็นผู้หญิงได้ยังไงกัน อีกอย่างถึงจะเล่นแง่ไปไรอันก็คงไม่ง้อเขาหรอก เผลอๆ จะรำคาญแล้ววางสายเข้าให้อีกด้วย

“ก็ไม่เท่าไหร่ หลังกลับมาบ้านก็ดีขึ้นแล้ว ขอบคุณที่ถาม”

ฟังดูทางการเป็นบ้า...แต่เขาก็ไม่รู้จริงๆ ว่าหลังจากเรื่องเมื่อบ่ายแล้วเขาควรจะคุยกับอีกฝ่ายด้วยโทนแบบไหนดี เพราะเขาไม่รู้ว่าไรอันยังโกรธอยู่หรือเปล่า เสียงลมที่พ่นกระทบลำโพงจากปลายทางอย่างแผ่วเบาฟังแล้วเหมือนอีกฝ่ายถอนหายใจ

“ถ้างั้นก็แล้วไป...เอ่อ...ถ้างั้นตอนนี้คุณทำอะไรอยู่?”

“ตอนนี้เหรอ? พอดีไม่ได้หาซื้ออะไรขึ้นมากินแล้วก็ขี้เกียจกลับออกไปข้างนอก ผมเลยกำลังจะต้มมาม่ากินน่ะ”

ณรงค์ถือโทรศัพท์แนบหูไว้ขณะเดินกลับเข้าไปเพื่อต้มบะหมี่ต่อ นี่ถ้าอีกฝ่ายไม่ถามเขาก็คงลืมไปแล้วว่าตัวเองหิว แค่การได้ยินเสียงของไรอันก็มีผลกับเขามากขนาดนี้แล้วหรือนี่

“ขี้เกียจกลับออกไปข้างนอก? งั้นถ้าผมชวนคุณมากินข้าวด้วยตอนนี้ก็คงช้าไปแล้วสินะ?”

ณรงค์ชะงักมือที่กำลังฉีกซองบะหมี่เตรียมจะเทใส่หม้อน้ำที่กำลังเดือดพล่าน เสียงของน้ำที่ร้อนจัดจนผุดเป็นฟองทำให้เขาไม่แน่ใจว่าตัวเองได้ยินถูก

“เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไรนะ?”

คราวนี้เสียงถอนหายใจจากปลายทางดังชัดเจนราวกับตั้งใจให้เขารู้ว่ากำลังถอนหายใจจริงๆ

“ผมจะชวนคุณมาดินเนอร์ไง ถือว่าเป็นการขอโทษเรื่องบ่ายวันนี้ แล้วก็...ถือซะว่าเนื่องในวาเลนไทน์อย่างที่คุณพูดเมื่อบ่ายน่ะ แต่ถ้าไม่สะดวกก็ช่างเถอะ ผมเก็บอาหารที่สั่งมาไว้กินเองวันหลังก็ได้”

ณรงค์รู้สึกเหมือนหูอื้อ ประโยคสุดท้ายยิ่งทำให้เขาไม่อยากจะเชื่อว่าได้ยินที่ไรอันพูดถูกต้องจริงๆ

“สั่งอาหารมา? คุณหมายความว่า...ชวนผมไปดินเนอร์ที่ห้อง?”

คราวนี้เขาได้ยินปลายสายทำเสียงเหมือนเดาะลิ้นก่อนจะตอบกลับเป็นภาษาอังกฤษ

“Yes, unless you don’t want to. If you don’t want to come just say so.”

น้ำเสียงของไรอันบอกให้รู้ว่าจะไม่ง้อเขามากไปกว่านี้ ณรงค์จึงรีบปิดเตาและตอบเสียงละล่ำละลัก “ไปสิไป ผมยังไม่ได้พูดสักคำเลยว่าไม่อยากไป เดี๋ยวขอผมเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน อีกราวๆ ครึ่งชั่วโมงเจอกัน”

“You’d better come before the food gets cold.”

หนุ่มลูกครึ่งพูดจบก็วางสายโดยไม่รอฟังคำตอบ แต่ณรงค์ก็ไม่คิดเล็กคิดน้อยอีกแล้ว ชายหนุ่มเอาหนังสติ๊กมารัดซองบะหมี่แล้วโยนเข้าตู้เย็น จากนั้นก็รีบเข้าไปเปลี่ยนชุดในห้องนอน ตอนแรกเขาหยิบกางเกงแสล็คที่นานๆ จะใส่ทีเพราะปกติใส่ยีนส์ไปทำงานออกมาจากตู้เสื้อผ้า แต่แล้วก็นึกได้ว่าหากอีกฝ่ายสั่งอาหารมาทานที่ห้อง ไรอันเองก็คงจะไม่ได้แต่งตัวหรูเหมือนจะไปทานอาหารข้างนอกเหมือนกัน สุดท้ายจึงเพียงหยิบกางเกงยีนส์สีเข้มกับเสื้อยืดแขนสั้นสีน้ำตาลอิฐออกมาใส่ จากนั้นก็เพียงแต่สวมแจ็คเก็ตลำลองที่ชอบใส่ประจำทับเท่านั้น

ใจเต้นแรงชะมัด...แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูก ‘เชิญ’ ให้เข้าไปในห้องของไรอันเลยนี่นา จะไม่ให้ตื่นเต้นได้ยังไงกัน...

ณรงค์มองกระจกเพื่อสำรวจความเรียบร้อยอีกที จากนั้นก็หยิบพวงกุญแจและกระเป๋าสตางค์ก่อนจะเดินออกจากห้อง คราวนี้สีหน้าของเขาแจ่มใส ตัดกับใบหน้าหมองคล้ำตอนที่เพิ่งกลับมาจากออฟฟิศเมื่อตอนเย็นโดยสิ้นเชิง ชายหนุ่มออกจากลิฟต์ที่ชั้นหนึ่งแล้วก็กำลังจะออกไปที่ลานจอดรถ แต่หางตาพลันเหลือบไปเห็นร้านดอกไม้ซึ่งเช่าที่อยู่บนชั้นหนึ่งซึ่งดูเหมือนเจ้าของกำลังจะปิดร้าน จึงเปลี่ยนทิศทางแล้วรีบสาวเท้ายาวๆ ไปเลื่อนบานประตูกระจกออกทันที

“ขอโทษนะครับ ผมขอซื้อดอกไม้ก่อนจะปิดร้านได้ไหมครับ?”


++------++


ราวเกือบหนึ่งชั่วโมงถัดมา ณรงค์ก็มาถึงคอนโดของไรอันจนได้ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมตอนกลางคืนรถจะต้องมาติดเอาในคืนที่คู่รักทั้งหลายฉลองเทศกาลเลียนแบบตะวันตกแบบนี้ด้วย

ณรงค์รู้ดีว่าถึงจะบ่นไปก็เท่านั้น เพราะเขาเองก็ใช่ว่าจะทำตัวแตกต่างจากคนอื่น ก็ไม่ใช่เพราะเป็นคืนนี้หรือเขาถึงได้อยากใช้เวลากับไรอันเป็นพิเศษทั้งที่ปกติจะนัดกันเฉพาะวันหยุด หลังจากที่ยามหน้าทางเข้าด้านล่างโทรขึ้นไปที่ห้องของไรอันเพื่อยืนยันว่าเขาเป็นแขกที่ได้รับอนุญาตให้เข้าพบจริง ยามคนเดินก็ใช้คีย์การ์ดเปิดประตูให้เขา และณรงค์ก็ต้องพยายามบังคับตัวเองไม่ให้วิ่งเข้าไปที่ลิฟต์เพื่อจะได้ไปหาไรอันที่ห้องเร็วๆ เพราะนี่เขาก็มาเลทกว่าเวลาที่บอกไว้เป็นครึ่งชั่วโมงแล้ว

เมื่อกี้ก็เมสเสจมาบอกแล้วว่ารถติด อย่างน้อยไรอันก็คงเข้าใจน่า...

ณรงค์ยืนเคาะเท้าข้างหนึ่งขณะรอลิฟต์อย่างอดทน ถ้าไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายอยู่ชั้นที่ยี่สิบเขาคงจะวิ่งขึ้นบันไดไปแล้ว หลังจากประตูลิฟต์เปิดออกณรงค์ก็รีบก้าวเข้าไปข้างในและกดเลขชั้นที่ต้องการทันที เขาเคยมาส่งไรอันถึงหน้าห้องสองสามครั้งจนจำได้แม่นว่าห้องอีกฝ่ายอยู่ตรงไหน เมื่อประตูลิฟต์เปิดบนชั้นที่ต้องการ ณรงค์ก็เดินเลี้ยวด้วยความคุ้นเคยไปยังหน้าห้องซึ่งติดหมายเลขที่เขาจำได้ขึ้นใจ

ชายหนุ่มระบายลมหายใจยาวพลางจัดเสื้อแจ็คเก็ตให้เข้าที่ จากนั้นก็เอามือที่ถือช่อดอกไม้ซ่อนไว้ข้างหลังพลางยกอีกมือขึ้นเพื่อเตรียมจะกดกริ่ง แต่ปลายนิ้วยังไม่ทันได้สัมผัสกับปุ่มเรืองแสงสีเขียวอ่อน ประตูไม้สีขาวก็เปิดออกจากด้านในเสียก่อน เมื่อไรอันยื่นหน้าออกมาเห็นณรงค์ที่ยืนทำหน้าแปลกใจก็ยิ้มอ่อนๆ ให้

“You’re late.”

ประโยคนั้นฟังแล้วเหมือนจะต่อว่า แต่น้ำเสียงกับสีหน้าของคนพูดบอกให้รู้ว่าไม่ได้ติดใจเอาความมากนัก ณรงค์จึงค่อยยิ้มตอบบ้าง จากนั้นก็เดินตามเข้าไปด้านในโดยพยายามไม่ให้อีกฝ่ายเห็นช่อดอกไม้ที่เขายังถือซ่อนไว้ข้างหลัง แต่แน่นอนว่าการวางแขนที่ผิดสังเกตนั่นไม่มีทางรอดพ้นสายตาของคนที่เห็นได้อยู่แล้ว

“นั่นอะไรน่ะ?”

“หือ? เอ่อ...นี่ ผมซื้อมาให้”

ณรงค์รู้สึกเหมือนตัวเองย้อนกลับไปสู่สมัย ม.ต้นที่ซื้อดอกกุหลาบให้เพื่อนผู้หญิงที่ชอบเป็นครั้งแรก นั่นเป็นสมัยที่เขายังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นเกย์ และเขาก็ชอบเธอคนนั้นจริงๆ เพียงแต่นั่นเป็นปั๊บปี้เลิฟเท่านั้น และกุหลาบที่เขาซื้อให้อีกฝ่ายก็เป็นกุหลาบสีแดงดอกไม่ใหญ่นักดอกเดียว ไม่เหมือนกับช่อกุหลาบใหญ่เบ้อเริ่มที่อัดไปด้วยกุหลาบสีแดงเบอร์กันดีดอกใหญ่ยี่สิบกว่าดอกในมือเขาตอนนี้

“ขอบคุณ...เกิดมาผมไม่เคยได้กุหลาบช่อใหญ่ขนาดนี้มาก่อนเลย”

ไรอันดูจะตกใจอยู่บ้างที่เขาซื้อกุหลาบมาให้ช่อใหญ่ถึงขนาดนี้ อีกฝ่ายไม่ปิดบังเลยสักนิดว่าเคยได้รับช่อดอกไม้จากคนอื่นมาก่อนด้วยการพูดเปรียบเทียบแบบนั้น แต่อย่างน้อยการที่บอกว่าช่อที่ได้จากเขาใหญ่ที่สุดก็ทำให้ณรงค์ใจชื้นขึ้นมาบ้าง

“พอดีผมซื้อจากร้านที่ใต้คอนโดก่อนออกมาน่ะ ตอนแรกเขาจะปิดร้านอยู่แล้วก็เลยไม่ค่อยอยากขายผมเท่าไหร่ ผมเลยขอเหมากุหลาบที่เหลือทั้งหมดในร้านมาเลย”

หนุ่มลูกครึ่งยกช่อดอกกุหลาบขึ้นดม ปกติแล้วกุหลาบดอกใหญ่จะกลิ่นไม่หอมแรงเท่ากุหลาบที่ดอกเล็กๆ แต่เมื่อถูกนำมาจัดรวมกันเยอะขนาดนี้ กลิ่นหอมจากเกสรจึงค่อนข้างจะเข้มข้นจนสูดกลิ่นได้ไม่ยาก ณรงค์รู้สึกว่าหัวใจกระตุกเมื่อเห็นประกายทอยิ้มในแววตาสีน้ำตาลอ่อนที่เหลือบมองเขาผ่านช่อกุหลาบ

“เอ้อนี่ ผมอุ่นอาหารไว้แล้วล่ะ ถอดแจ็คเก็ตคุณพาดไว้บนโซฟาก่อนก็ได้ ห้องครัวอยู่ทางนี้”

ไรอันพูดแล้วก็หมุนตัวเดินเข้าไปในครัวโดยถือช่อดอกไม้ไปด้วย ณรงค์จึงเพิ่งเห็นว่าอีกฝ่ายสวมกางเกงขายาวสีเขียวขี้ม้ากับเสื้อยืดแขนสามส่วนสีขาว เขาจึงถอดแจ็คเก็ตลำลองแล้วพาดบนโซฟาตามที่อีกฝ่ายบอก จากนั้นจึงก้าวเข้าไปในห้องครัวตามอีกฝ่าย ด้านในห้องล้วนสะอาดสะอ้านไม่ว่าจะมองไปทางใด แต่ณรงค์ก็ไม่ค่อยแปลกใจเพราะรู้ว่าไรอันมีแม่บ้านที่คอยมาทำความสะอาดให้ทุกสองวัน

“จริงสิ เมื่อกี้นี้คุณรู้ได้ยังไงว่าผมอยู่หน้าห้อง?”

ณรงค์เอ่ยพลางหย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้ในครัว ผนังด้านหนึ่งเจาะเป็นช่องกรุกระจกเอาไว้ทำให้มองเห็นแสงไฟภายนอกและท้องฟ้ายามค่ำคืนได้ ไรอันใส่ถุงมือจับของร้อนก่อนจะเปิดเตาแล้วหยิบไก่อบที่อุ่นไว้ออกมา ความร้อนทำให้เห็นไอสีขาวลอยกรุ่นเช่นเดียวกับกลิ่นหอมที่โชยไปทั่วห้อง

“ผมเดาเอา เพราะปกติหลังขึ้นลิฟต์จากชั้นล่างมาที่ห้องผมก็ใช้เวลาประมาณนี้ โชคดีว่าพอลองดูที่ช่องตาแมวก็เห็นคุณยืนอยู่พอดี”
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น ภาคต่อ] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ในวันวาเลนไทน์ {UP ครึ่งหลังแล้ว 14.2.11 เวลาบ่ายๆ ค
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 14-02-2011 13:58:27
ไรอันเอ่ยพลางวางถาดไก่อบที่มีผักสารพัดชนิดอบวางอยู่รอบๆ ลงบนโต๊ะอาหารซึ่งมีตะกร้าขนมปังกับแก้วไวน์วางอยู่แล้ว จากนั้นก็หันกลับไปเปิดตู้เย็นหยิบถาดสลัดออกมา จากนั้นเจ้าของห้องก็เดินหายออกไปจากครัวครู่หนึ่งก่อนจะกลับมาพร้อมกับโถแก้วทรงสี่เหลี่ยมเตี้ยๆ ที่ภายในมีเทียนสีขาวทรงลูกบาศก์วางอยู่ หลังจากวางเทียนนั้นลงกลางโต๊ะและหยิบที่จุดไฟมาจุดเทียนแล้ว ไรอันก็เดินไปหรี่แสงไฟในห้องครัวลงก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามณรงค์

“พอดีผมมีเพื่อนเปิดร้านอาหารก็เลยโทรไปสั่งให้เขาช่วยเอามาส่งให้ ของหวานเป็นช็อกโกแลตมูสก็เลยแช่ตู้เย็นไว้ก่อน ผมไม่รู้ว่าที่คุณตั้งใจจะชวนผมไปดินเนอร์น่ะจะบรรยากาศประมาณไหน แต่แค่นี้คงพอชดเชยที่ผมต่อยคุณไปได้บ้างนะ?”

ณรงค์อ้ำอึ้งพูดไม่ออก เพราะสิ่งที่กำลังเกิดต่อหน้าเขาในตอนนี้มันดียิ่งกว่าดินเนอร์ที่ร้านหรูไหนๆ ที่เขาเคยคิดไว้เสียอีก ทุกอย่างที่เขาได้เห็นและสัมผัสตั้งแต่เดินเข้ามาในห้องทำให้เขาอดนึกว่าตัวเองฝันอยู่ไม่ได้ แต่พอลองเอามือลูบท้องดูก็พบว่ายังเจ็บไม่หาย แสดงว่าเขากำลังตื่นอยู่และกำลังจะทานดินเนอร์กับไรอันจริงๆ

“ยิ่งกว่าชดเชยอีก นี่มันเกินความคาดหมายของผมเลยล่ะ”

ไรอันยิ้ม แสงนวลตาจากไฟที่ถูกหรี่ไว้และเทียนหอมบนโต๊ะทำให้เกิดแสงเงาบนหน้าอีกฝ่าย ส่งผลให้ใบหน้าคมเข้มของหนุ่มลูกครึ่งดูอ่อนโยนกว่าปกติ เจ้าของห้องลุกขึ้นยืนอีกครั้งแล้วก็ใช้มีดกับส้อมอันใหญ่ค่อยๆ แล่ไก่อบแล้วตักใส่จานให้เขา จากนั้นก็รินไวน์แบบ sparkling ใส่แก้วทรงสูงให้ ก่อนที่ไรอันจะเดินกลับไปข้างนอกอีกครั้งแล้วเปิดแผ่นซีดีเพลงจากเครื่องเสียงที่ตั้งอยู่ในห้องนั่งเล่นด้วยระดับความดังที่ช่วยสร้างบรรยากาศได้เหมือนอยู่ในร้านอาหารพอดี

“เป็นอะไรไป? อาหารของร้านเพื่อนผมไม่อร่อยเหรอ?”

หลังจากทั้งคู่นั่งทานกันได้สักพัก ไรอันก็สังเกตเห็นว่าณรงค์ทานอาหารได้ไม่กี่คำจึงถามขึ้น ณรงค์จึงรีบส่ายหน้า เพราะความจริงแล้วเขากำลังตื้อตันกับสิ่งที่อีกฝ่ายทำให้ บวกกับมัวแต่มองหนุ่มลูกครึ่งอยู่ต่างหาก

“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ผมแค่...ผมคงดีใจมากไป”

ณรงค์ตอบรับตรงๆ ทำให้ไรอันหัวเราะเบาๆ ก่อนจะทานอาหารต่อ ยิ่งได้เห็นท่าทางผ่อนคลายของคนตรงหน้าซึ่งต่างจากเมื่อตอนบ่ายที่ดูจะหงุดหงิดง่ายกับทุกเรื่อง ณรงค์ก็ยิ่งไม่อยากละสายตามากขึ้นไปอีก

ทำไมคุณถึงได้น่ารักขนาดนี้นะ...มีใครเคยบอกหรือเคยรู้ตัวบ้างหรือเปล่า...

หลังจากทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ณรงค์ก็ช่วยไรอันเก็บจานชามไปวางในอ่างล้างและเอาไก่ที่เหลือเก็บในกล่องพลาสติกและแช่ตู้เย็น จากนั้นทั้งสองก็นั่งลงทานช็อกโกแลตมูสที่ประดับด้วยผลราสเบอรี่สดลูกใหญ่กับซอสราสเบอรี่ด้วยกัน รสหวานอมเปรี้ยวของราสเบอรี่ช่วยขับความโดดเด่นของรสช็อกโกแลตมูสที่ค่อนข้างขม แต่ก็เข้ากันและทำให้ทานแล้วไม่เลี่ยนได้เป็นอย่างดี เมื่อทานของหวานกันหมดและดื่มไวน์ตามแล้ว ณรงค์ก็ทำท่าจะลุกเก็บจานและส้อมเพื่อไปวางในอ่างอีกครั้ง แต่ไรอันกลับรั้งแขนเขาไว้เสียก่อน

“ไม่ต้องหรอก ปล่อยไว้อย่างนั้นก็ได้ เดี๋ยวพรุ่งนี้แม่บ้านก็มาทำความสะอาดอยู่ดี”

ไรอันเอ่ยแล้วก็พยักหน้าไปทางห้องนั่งเล่น เป็นสัญญาณบอกเขาว่าให้ออกไปนั่งที่โซฟาด้วยกัน ภายในห้องนั่งเล่นที่ขนาดกว้างกว่าห้องของณรงค์นิดหน่อยถูกหรี่ไฟเอาไว้เหมือนกับในครัว หนุ่มลูกครึ่งไม่ลืมหยิบเทียนบนโต๊ะอาหารกับช่อกุหลาบติดมือไปวางที่โต๊ะหน้าโซฟาด้วย จากนั้นก็นั่งลงบนโซฟายาวข้างๆ ณรงค์ที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว ทั้งสองสบตากันนิ่งๆ ครู่หนึ่งก่อนไรอันจะขมวดคิ้ว

“Are you alright?”

ณรงค์กะพริบตา และเพิ่งรู้สึกตัวว่าเขานั่งจ้องไรอันเงียบๆ นานเกินไปแล้ว

“ขอโทษที ผมว่าผมคงสำลักความสุขจนไม่รู้จะพูดอะไรอยู่น่ะ”

ชายหนุ่มตอบตามตรง ทำให้คนถามหัวเราะ ไรอันนั่งเอียงตัวมาทางเขาโดยพับขาข้างหนึ่งไว้ใต้ขาอีกข้าง จากนั้นก็หยิบช่อกุหลาบช่อใหญ่บนโต๊ะขึ้นมาวางไว้บนตัก ณรงค์มองภาพนั้นแล้วนึกอยากเป็นคนที่ได้นอนหนุนตักอีกฝ่ายเสียเอง

“ขอบอกก่อนว่าผมยังไม่หายโกรธคุณเรื่องเมื่อบ่ายนี้นะ”

ไรอันเอ่ยโดยที่สายตายังจับอยู่บนช่อกุหลาบ ส่วนมุมปากก็ยังคงยิ้มน้อยๆ ขณะที่พูด แต่ณรงค์ก็ค่อนข้างแน่ใจว่าอีกฝ่ายหมายความเช่นนั้นจริงๆ

“ผมขอโทษ ตอนนั้นผมก็ไม่ทันคิด ทั้งเวลาทั้งสถานที่มันไม่เหมาะจริงๆ น่ะแหละ”

ณรงค์เอ่ยพลางหลุบตาลงมองปลายเท้าตัวเอง ชายหนุ่มได้ยินเสียงถอนหายใจจากที่นั่งอยู่ข้างๆ หางตาของเขาเห็นไรอันลูบมือข้างหนึ่งไปบนพลาสติกที่ใช้ห่อช่อกุหลาบไปด้วย

“ผมเองก็ผิดที่เผลอใส่อารมณ์กับคุณ ผมรู้นะว่าผมมีปัญหาที่เวลาเครียดเรื่องงานแล้วจะควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้ แต่ตอนนั้นคุณก็ช่างชวนหาเรื่องเหลือเกินนี่นา”

ณรงค์กลืนคำถามว่า ‘ใครกันแน่ที่ชวนหาเรื่อง’ กลับลงคอได้ทันก่อนจะเผลอเอ่ยออกมา ไม่อย่างนั้นบรรยากาศที่กำลังดีอยู่ตอนนี้อาจจะเสียเอาได้ เขาไม่อยากให้นี่เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่ได้เข้ามาในห้องของไรอันหรอกนะ

“ผมขอโทษอีกทีก็แล้วกัน ต่อไปจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว”

“แบบไหน?”

คนถูกถามหันหน้าไปมองคนถาม ไม่แน่ใจว่าได้ยินคำถามถูกหรือเปล่า เพราะไรอันก็น่าจะเข้าใจภาษาไทยพอที่จะรู้ว่าเขาหมายถึง ‘แบบไหน’ แท้ๆ

ณรงค์อ้ำอึ้ง ไรอันสบตากับเขาแล้วก็ยิ้ม จากนั้นหนุ่มลูกครึ่งก็หยิบช่อกุหลาบวางไว้บนโต๊ะอย่างเดิมก่อนจะขยับตัวเข้าใกล้คนตัวสูงกว่ามากขึ้น ณรงค์เลิกคิ้วอย่างงุนงงเมื่ออีกฝ่ายยื่นแขนสองข้างมาโอบรอบคอเขาไว้แล้วโน้มหน้าเข้ามาหา

“Did you mean, like this?”

ณรงค์ไม่มีโอกาสได้ตอบ เพราะว่าไรอันโน้มคอเขาเข้าหาแล้วก็แนบริมฝีปากลงมา กลีบปากนุ่มขบบนริมฝีปากของเขาเบาๆ ก่อนที่ปลายลิ้นสีชมพูจะแลบออกไล้ไปบนมุมปากของเขา จากนั้นก็ยื่นผ่านเข้ามาหาไออุ่นในช่องปากของเขาราวกับจะแก้แค้นเรื่องเมื่อตอนบ่ายที่ถูกทำอยู่ฝ่ายเดียว

“อืม...”

ณรงค์ทำได้เพียงส่งเสียงในคอ รู้สึกราวกับในหูได้ยินแต่เสียงหัวใจที่เต้นแรงของตัวเองแทนเสียงดนตรีจากแผ่นซีดี ไรอันเลื่อนมือข้างหนึ่งขึ้นแนบแก้มเขาไว้แล้วไล้ไปมาเบาๆ จนณรงค์เผลอสูดหายใจแรง ร่างสูงโปร่งขยับตัวเข้าหามากขึ้นจนแทบจะนั่งตัก ก่อนที่มือข้างนั้นจะเลื่อนต่ำลงทาบบนแผ่นอกของเขาและดันณรงค์ให้เอนหลังลงบนโซฟา โดยที่ตลอดเวลานั้นริมฝีปากของทั้งสองไม่ได้ผละจากกันเลย

รสขมอมหวานของช็อคโกแลตมูสกับราสเบอรี่ยังติดอยู่บนปลายลิ้นของไรอันจางๆ เช่นเดียวกับกลิ่นจากไวน์ sparkling อ่อนๆ เมื่อตั้งตัวได้หลังจากหายตกใจ ณรงค์ก็เริ่มตวัดปลายลิ้นตอบอีกฝ่ายบ้าง น้ำหนักของร่างที่นอนทับอยู่ด้านบนทำให้ชายหนุ่มเจ็บตรงบริเวณที่ถูกต่อยอยู่บ้าง แต่ถ้าหากพูดหรือแสดงท่าทีว่าเจ็บออกไปแล้วจะทำให้ความหอมหวานที่กำลังได้ลิ้มรสหยุดลง ณรงค์ก็คิดว่ายอมทนเจ็บนิดๆ หน่อยๆ ไปเสียดีกว่า

จากที่ตอนแรกไรอันเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ตอนนี้ณรงค์ตามทันและเริ่มเป็นฝ่ายจูบอีกฝ่ายบ้างจนยากจะบอกว่าใครรุกใคร แต่ณรงค์กลับสังหรณ์ว่าถ้าหากเขาจะทำมากไปกว่านี้ ไรอันคงจะไม่ปฏิเสธ

ชายหนุ่มไล้มือใหญ่ข้างหนึ่งขึ้นวางบนต้นคออีกฝ่าย ไม่แรงเหมือนกับจะกดให้ก้มลงหา แต่เหมือนเพื่อให้รู้ว่าเขาไม่อยากให้อีกฝ่ายหยุดมากกว่า จากนั้นณรงค์ก็เลื่อนมืออีกข้างลงต่ำและสอดเข้าไปลูบแผ่นหลังเนียนผ่านชายเสื้อยืดสีขาวที่ไรอันปล่อยชายไว้นอกกางเกง ความอบอุ่นและตึงแน่นที่ได้สัมผัสทำให้ณรงค์ยิ่งอยากจะถ่ายทอดความรู้สึกของเขาที่กำลังพลุ่งพล่านให้อีกฝ่ายได้รู้มากกว่านี้

“อื้มมม...wait.”

ไรอันยื่นมือหนึ่งลงไปจับมือของณรงค์ที่กำลังทำท่าจะสอดลงใต้ขอบกางเกงไว้ จากนั้นหนุ่มลูกครึ่งก็ยันตัวขึ้นบนศอกข้างหนึ่ง ถึงแม้ในห้องจะมีเพียงแสงสลัวจากไฟที่หรี่ไว้และเทียนที่อยู่บนโต๊ะ แต่ณรงค์ก็เห็นได้ชัดว่าผมหยักศกของอีกฝ่ายยุ่งไปหมด ขณะเดียวกันนัยน์ตาที่มองเขาก็ฉ่ำเยิ้ม ส่วนริมฝีปากเริ่มบวมแดงนิดๆ และดูราวกับมีหยาดน้ำเคลือบบางๆ แล้วยังไม่นับอาการหายใจหอบซึ่งสะท้อนผ่านมาทางแผ่นอกที่ทับอยู่บนอกของเขาอีก

ณรงค์พยายามจะขยับมือข้างที่โดนจับยึดไว้เพื่อเข้าหาเป้าหมายตามเดิม แต่ไรอันยึดมือเขาไว้แน่นแล้วก็ถามเสียงเข้ม

“พกถุงยางมาหรือเปล่า?”

คำถามนั้นทำเอาณรงค์เลิกพยายามจะขยับมือ เพราะเขาไม่คิดว่าจะถูกขัดจังหวะด้วยวิธีนี้ แต่ท่าทางอ้ำอึ้งของเขาก็ทำให้ไรอันยิ้ม หนุ่มลูกครึ่งจึงดึงมือของณรงค์ที่จับไว้แล้วจับให้วางบนหลังของเขาเฉยๆ แทน

“ไม่มีล่ะสิ ถ้าอย่างนั้นก็เสียใจด้วย ผมคงให้คุณทำอย่างที่ต้องการในคืนนี้ไม่ได้”

ไรอันเอ่ยแล้วก็เอียงหน้าลง จากนั้นก็ค่อยๆ เลื่อนตัวลงจนกึ่งๆ นอนทับบนตัวเขา แต่นอกจากนั้นแล้วก็ไม่ได้แสดงท่าทางยั่วยวนให้เขาตบะแตกอีก แต่ณรงค์ก็รู้ว่านี่คือวิธี ‘เอาคืน’ ของอีกฝ่ายอย่างไม่ต้องสงสัย

ปัดโธ่เอ๊ย....แบบนี้มันเหมือนแมวที่มีปลายื่นมาให้ถึงปากแต่กินไม่ได้ชัดๆ!

ณรงค์นึกอยากโขกหัวตัวเองแรงๆ ก็เขาไม่ได้คิดมาก่อนว่าดินเนอร์คืนนี้มันจะดำเนินมาไกลถึงขนาดนี้ได้นี่นา รู้อย่างนี้เขาซื้อถุงยางพกติดตัวไว้ตั้งแต่เริ่มคบกับไรอันเสียก็ดี เอ๊ะ...แต่ถ้าอย่างนั้น...แปลว่าหากครั้งต่อไปเขามีถุงยางติดตัวตอนที่สถานการณ์เป็นใจแบบนี้อีก ไรอันจะตอบตกลงเขาแต่โดยดีหรือเปล่าน่ะ...

ราวกับจะอ่านใจเขาออก เพราะจู่ๆ ไรอันก็เอ่ยออกมาโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองเขาเลยด้วยซ้ำ

“Don’t even think about it. You won’t get lucky that often.”

ณรงค์ฟังแล้วก็พ่นลมหายใจแรงๆ อย่างขัดใจ แล้วก็รู้สึกได้ว่าคนที่นอนทับอยู่บนตัวหัวเราะจนอกกระเพื่อม ณรงค์จึงได้แต่หลับตาอย่างปลงๆ แล้วลูบแผ่นหลังอีกฝ่ายไปมา

เอาเถอะ ยังไงก็พลาดไปแล้ว รอโอกาสที่ไรอันจะใจอ่อนใหม่ก็แล้วกัน สำหรับเวลานี้...ได้แค่นี้ก็ดีถมเถ...

ทั้งสองนอนเงียบฟังเสียงหายใจของกันและกันรวมทั้งเสียงเพลงไปเรื่อยๆ ดูเหมือนแผ่นซีดีที่ไรอันเปิดจะเป็นแผ่นรวมเพลงฮิตจากหลายๆ ยุคไว้รวมกัน เพราะหลายเพลงที่ได้ยินก็เป็นเพลงที่ณรงค์รู้จัก ทันใดนั้นท่อนดนตรีของเพลงหนึ่งที่เขาชอบมากเป็นการส่วนตัวก็ดังต่อจากเพลงที่เพิ่งจบลง


When it's love you give
(I'll be a man of good faith.)
Then in love you live.
(I'll make a stand. I won't break.)
I'll be the rock you can build on,
Be there when you're old,
To have and to hold.
When there's love inside
(I swear I'll always be strong.)
Then there's a reason why.
(I'll prove to you we belong.)
I'll be the wal that protects you
From the wind and the rain,
From the hurt and pain.


“เพลง All For Love นี่นา”

เสียงรำพึงของณรงค์ทำให้ไรอันเงยหน้าขึ้นมองเขา คางของอีกฝ่ายซึ่งอยู่บนอกและขยับไปมายามที่พูดทำให้ณรงค์จั๊กกะจี้แต่ก็อบอุ่นใจอย่างประหลาด

“รู้จักเพลงนี้ด้วยเหรอ?”

ณรงค์แกล้งหรี่ตา “รู้จักสิคุณ บ้านผมไม่ได้ฟังแต่ลูกทุ่งนะ Bryan Adams น่ะศิลปินโปรดผมเลยจะบอกให้”

“พ่อผมก็ชอบ Bryan Adams คุณนี่ชอบฟังเพลงเหมือนพ่อผมเลย”

ไรอันแกล้งพูดแล้วก็เอียงหน้าลงซบอกเขาเหมือนเดิม ณรงค์จึงขมวดคิ้วขณะพยายามคิดตาม นี่เขากำลังโดนหาว่ารสนิยมเหมือนคนแก่อยู่หรือเปล่านะ? แต่ดูเหมือนไรอันจะเดาได้อีกแล้วว่าเขาคิดอะไร อีกฝ่ายจึงหัวเราะก่อนจะไถแก้มกับอกเขาไปมา

“ผมล้อเล่นน่ะ Bryan Adams is my favorite too.”


Let's make it all for one and all for love.
Let the one you hold be the one you want,
The one you need,
'Cause when it's all for one it's one for all.
When there's someone that should know
Then just let your feelings show
And make it all for one and all for love.

When it's love you make
(I'll be the fire in your night.)
Then it's love you take.
(I will defend, I will fight.)
I'll be there when you need me.
When honor's at stake,
This vow I will make:


ทั้งสองนอนฟังเพลงกันท่ามกลางแสงสลัวและกลิ่นหอมจางของเทียนหอมไปเรื่อยๆ ครู่หนึ่งไรอันก็ยกมือขึ้นปิดปากหาว

“I’m tired. ขอผมงีบหน่อยนะ ถ้าคุณอยากกลับบ้านเมื่อไหร่ก็ปลุกผมแล้วกัน”

พูดจบแล้วอีกฝ่ายก็หลับตาแล้วนอนนิ่ง ไม่นานณรงค์ก็ได้ยินเสียงหายใจขึ้นจมูกเป็นจังหวะเบาๆ ซึ่งเป็นสัญญาณว่าอีกฝ่ายหลับสนิทแน่นอน ทำเอาเขาแทบไม่กล้าขยับตัวเพราะกลัวจะทำให้ตื่น และอดชื่นชมไม่ได้ที่อีกฝ่ายสามารถหลับได้ขณะที่นอนทับอยู่บนตัวคนอื่นแบบนี้ แต่ดูท่าคืนนี้เขาคงจะไม่ได้หลับได้นอนเสียแล้ว

และที่สำคัญ...เล่นพูดทิ้งท้ายเอาไว้แบบนั้น...แล้วเขาจะกล้าปลุกให้ตื่นขึ้นมาได้ยังไง...

ณรงค์หลับตาแหงนหน้าแล้วพ่นลมหายใจทางปากเบาๆ นึกอยากทำโทษหนุ่มลูกครึ่งนักที่ป่วนจนทำเอาเขาทั้งจิตตกสุดๆ และปลาบปลื้มดีใจสุดๆ ได้ในเวลาเพียงวันเดียว แต่เมื่อคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนบ่าย และสิ่งที่เขาได้รับเป็นการชดเชยเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา ณรงค์ก็คิดว่าคุ้มสุดๆ แล้วที่โดนชกไปตอนนั้น

เสียงเพลงยังคงดังขับกล่อมจากลำโพงอย่างไม่สะดุด เช่นเดียวกับลมหายใจอุ่นๆ เป็นจังหวะสม่ำเสมอของไรอันที่เขารู้สึกได้ผ่านเสื้อยืดที่ใส่ และแม้จะผิดหวังนิดหน่อยที่ 'อด' ทำในสิ่งที่ต้องการ แต่เขาก็จะมีความสุขกับช่วงเวลานี้ที่อีกฝ่ายอนุญาตให้เขาชิดใกล้ให้มากที่สุด

เพราะไม่ว่าจะอย่างไร นั่นก็ทำให้เขามีรักไว้เโอบกอดในคืนวาเลนไทน์นี้นี่นา...


That it's all for one and all for love.
Let the one be the one you want,
The one you need,
'Cause when it's all for one it's one for all.
When there's someone that should know
Then just let your feelings show
And make it all for one and all for love.

Don't lay our love to rest
'Cause we could stand up to you test.
We got everything and more than we had planned,
More than the rivers that run the land.
We've got it all in our hands.

Now it's all for one and all for love.
(It's all for love.)
Let the one you hold be the one you want,
The one you need,
'Cause when it's all for one it's one for all.
(It's one for all.)
When there's someone that should know
Then just let your feelings show.
When there's someone that you want,
When there's someone that you need
Let's make it all, all for one and all for love.


++---END---++


จบแล้วๆ วู้ปี้!!! หวังว่าอารมณ์คงไม่ค้างกันแล้วนะคะ เห็นมั้ยว่าคนเขียนน่าร้ากกกกกก~ จะตายไป ว่าแล้วใครมี bitter chocolate ส่งมาทางนี้เร้ว  o13

ปล. เกือบลืม เพลง All For Love ที่ขอยืมเนื้อมาประกอบช่วงท้ายเรื่อง ขับร้องโดย Rod Stewart, Bryan Adams และ Sting ค่ะ รุ่นใหญ่ทั้งนั้นแต่เพลงเพราะนะเออ ตามไปฟัง + ดู MV ได้ที่ลิ้งนี้ค่า http://www.youtube.com/watch?v=ofA3URC1wyk (http://www.youtube.com/watch?v=ofA3URC1wyk)
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น ภาคต่อ] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ในวันวาเลนไทน์ {UP ครึ่งหลังแล้ว 14.2.11 เวลาบ่ายๆ ค
เริ่มหัวข้อโดย: kakuro ที่ 14-02-2011 14:09:56
 :z13:จิ้มคุณริน Dark Chocolate
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น ภาคต่อ] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ในวันวาเลนไทน์ {UP ครึ่งหลังแล้ว 14.2.11 เวลาบ่ายๆ ค
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 14-02-2011 14:10:36
ไรอัน ใจร้ายจัง หมัดหนักด้วย
(เม้นท์สำหรับตอนก่อนนี้)
สงสัยรู้สึกผิดเนอะ เลยชวนมาทานข้าวน่ะ
ว่าไป ก็ ๆ ไม่ร้ายเท่าไรหรอกเนอะ อิ อิ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น ภาคต่อ] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ในวันวาเลนไทน์ {UP ครึ่งหลังแล้ว 14.2.11 เวลาบ่ายๆ ค
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 14-02-2011 14:14:30
:z13:จิ้มคุณริน Dark Chocolate

เบาๆ นะคะ เดี๋ยวช็อคโกแลตทะลัก >0<
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น ภาคต่อ] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ในวันวาเลนไทน์ {UP ครึ่งหลังแล้ว 14.2.11 เวลาบ่ายๆ ค
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 14-02-2011 14:18:24
น่ารักจังครับ ^^
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น ภาคต่อ] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ในวันวาเลนไทน์ {UP ครึ่งหลังแล้ว 14.2.11 เวลาบ่ายๆ ค
เริ่มหัวข้อโดย: kakuro ที่ 14-02-2011 15:09:09
ขอบคุณคุณริน Dark Chocolate (ชื่อนี้ถูกใจเราจริงๆ555++)
เราไม่ค้างเท่าไรหรอกนะ แต่คุณรงค์สิค้าง.... :jul3:
คุณรินใจร้าย :serius2:(คุณรงค์ฝากต่อว่า)
รอดอกหญ้าเด็ดดอกฟ้า :L1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น ภาคต่อ] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ในวันวาเลนไทน์ {UP ครึ่งหลังแล้ว 14.2.11 เวลาบ่ายๆ ค
เริ่มหัวข้อโดย: kenshinkenchu ที่ 14-02-2011 15:23:43
ก๊าก.........ทำไมพระเอกเรื่องนี้ดูน่าสมเพชจัง
ประมาณว่ารักหลงมาก เพียงแค่เจ้าชายตามองสักนิดก็แทบน้ำตาไหล  ฮ่าๆ   :pandalaugh:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น ภาคต่อ] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ในวันวาเลนไทน์ {UP ครึ่งหลังแล้ว 14.2.11 เวลาบ่ายๆ ค
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 14-02-2011 15:26:22
ขอบคุณคุณริน Dark Chocolate (ชื่อนี้ถูกใจเราจริงๆ555++)
เราไม่ค้างเท่าไรหรอกนะ แต่คุณรงค์สิค้าง.... :jul3:
คุณรินใจร้าย :serius2:(คุณรงค์ฝากต่อว่า)
รอดอกหญ้าเด็ดดอกฟ้า :L1:


คุณ kakuro อ๊ายยยย ริน DarkChocolate อะไรจะเรียกแล้วเห็นภาพตัวจริง ชัดเจน แจ่มแจ๋วไปทุกเมลานินขนาดเน้ นั่นมันสีผิวที่ได้มาแต่ต้นตระกูลเลยนะค้า ก๊ากกกกก

ว่าแต่ใครว่าคนเขียนใจร้าย ไม่จริ๊งไม่จริงเด็ดขาด ใครใช้ให้คุณพระเอกเธอไม่รู้จักยืดอกพกถุงล่ะ อดรับประทานแบบนี้มาว่าคนเขียนกับน้องรักไม่ได้นะเอ้อ 5555   :m20:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น ภาคต่อ] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ในวันวาเลนไทน์ {UP ครึ่งหลังแล้ว 14.2.11 เวลาบ่ายๆ ค
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 14-02-2011 15:56:21
 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น ภาคต่อ] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ในวันวาเลนไทน์ {UP ครึ่งหลังแล้ว 14.2.11 เวลาบ่ายๆ ค
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 14-02-2011 17:33:44
คุณรักช่างใจแข็งจริงๆเลย

แต่ในความแข็งนี้ก็มีความอ่อนโยนซุกซ่อนอยู่

รงค์ค้นเจอแล้ว ก็พยายามต่อไป

หวานอมขม รักรสช็อคโกแล็ต

ขอบคุณน้องรินมากจ้า บวกไปอีก 1 จึ๊ก สำหรับของขวัญวันวาเลนไทน์

 :L1:
สุขสันต์วันแห่งความรักและทุกวันจ้า
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น ภาคต่อ] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ในวันวาเลนไทน์ {UP ครึ่งหลังแล้ว 14.2.11 เวลาบ่ายๆ ค
เริ่มหัวข้อโดย: LalaBam ที่ 14-02-2011 18:40:13
แค้นคุณรัก
 :serius2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น ภาคต่อ] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ในวันวาเลนไทน์ {UP ครึ่งหลังแล้ว 14.2.11 เวลาบ่ายๆ ค
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 14-02-2011 18:51:50
Happy Valentine's Day  :L1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น ภาคต่อ] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ในวันวาเลนไทน์ {UP ครึ่งหลังแล้ว 14.2.11 เวลาบ่ายๆ ค
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 15-02-2011 08:47:05
คุณรักช่างใจแข็งจริงๆเลย

แต่ในความแข็งนี้ก็มีความอ่อนโยนซุกซ่อนอยู่

รงค์ค้นเจอแล้ว ก็พยายามต่อไป

หวานอมขม รักรสช็อคโกแล็ต

ขอบคุณน้องรินมากจ้า บวกไปอีก 1 จึ๊ก สำหรับของขวัญวันวาเลนไทน์

 :L1:
สุขสันต์วันแห่งความรักและทุกวันจ้า


ขอบคุณค่าพี่น้ำตาล ^^
ความจริง สารภาพว่าที่คิดไว้ตอนแรกก่อนจะเขียนจะต่างไปจากนี้นิดหน่อย แต่พอเริ่มเขียนจริงๆ มู้ดมันดันพามาแบบนี้วุ้ย เขียนไปก็ขำ + เห็นใจณรงค์ไป แต่เพื่อพิชิตใจหนุ่มลูกครึ่ง ณรงค์คงต้องอดทนต่อไปอีกนิดละ (จนกว่าคนเขียนจะได้มาต่อให้ หุหุหุ)

ปล. ถึงพี่น้ำตาลและนักอ่านท่านอื่นๆ หวังว่าเมื่อวานคงมีวันวาเลนไทน์ดีๆ กันนะคะ  :3123:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น ภาคต่อ] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ในวันวาเลนไทน์ {UP ครึ่งหลังแล้ว 14.2.11 เวลาบ่ายๆ ค
เริ่มหัวข้อโดย: kakuro ที่ 15-02-2011 09:40:50
 :z13:คุณริน
วันวาเลนไทน์เมื่อวานดีกว่าคุณณรงค์แน่ๆเพราะไม่มีค้าง :laugh3:
ปล.ตอนต่อไปจะมาเมื่อไรจ๊ะ ความจริงคุณเชษฐ์ก็ค้างนะ สงสารนายเอกคุณรินแต่ละเรื่องจัง ค้างนานๆๆๆ... :laugh:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น ภาคต่อ] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ในวันวาเลนไทน์ {UP ครึ่งหลังแล้ว 14.2.11 เวลาบ่ายๆ ค
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 15-02-2011 11:04:33
:z13:คุณริน
วันวาเลนไทน์เมื่อวานดีกว่าคุณณรงค์แน่ๆเพราะไม่มีค้าง :laugh3:
ปล.ตอนต่อไปจะมาเมื่อไรจ๊ะ ความจริงคุณเชษฐ์ก็ค้างนะ สงสารนายเอกคุณรินแต่ละเรื่องจัง ค้างนานๆๆๆ... :laugh:


หือ? แอร๊ยย์ อิจฉาคุณ kakuro  :fire:  ว่าแต่ฝั่งนายเอกคงไม่รู้สึกค้างเท่าไหร่มั้งคะ คนค้างน่าจะเหล่าพระเอกมากกว่า กร๊ากกกก (คุณเชษฐ์กับณรงค์คงอยากวางแผนส่งระเบิดขู่มาให้คนเขียนละ ป่านนี้ ว่าแต่ตอนต่อไปเมื่อไหร่ดีเนี่ย??)   :jul3:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น ภาคต่อ] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ในวันวาเลนไทน์ {UP ครึ่งหลังแล้ว 14.2.11 เวลาบ่ายๆ ค
เริ่มหัวข้อโดย: Rhythm ที่ 17-02-2011 18:52:10
 :L1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น ภาคต่อ] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ในวันวาเลนไทน์ {UP ครึ่งหลังแล้ว 14.2.11 เวลาบ่ายๆ ค
เริ่มหัวข้อโดย: Little Devil ที่ 18-02-2011 01:23:29
 :-[
+1
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น ภาคต่อ] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ในวันวาเลนไทน์ {UP ครึ่งหลังแล้ว 14.2.11 เวลาบ่ายๆ ค
เริ่มหัวข้อโดย: lunar ที่ 18-02-2011 03:52:57
ยินดีที่ได้รู้รัก+รงค์เช่นกัน :L1:


ขอบคุณไรท์เตอร์ค่ะ :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนควันหลงสงกรานต์ [อัพ 18/4/11 P.2]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 18-04-2011 00:35:00
ตั้งใจว่าจะเขียนตอนสงกรานต์ให้คู่นี้ซะหน่อย กว่าจะได้เริ่มจริงก็หมดวันหยุดซะแล้วแถมยังเขียนไม่จบอีก ไงเอาครึ่งแรกไปก่อนละกันนะค้าทุกคน  :try2:

ความเดิมสองตอนที่ผ่านมา: ณรงค์ซึ่งทำงานในบริษัทสถาปนิกแห่งหนึ่งมีเหตุให้เริ่มสนิทสนมกับเจ้านายลูกครึ่งไทย-ออสเตรเลียที่อายุน้อยกว่า โดยความสัมพันธ์ของทั้งคู่เริ่มขึ้นในคืนวันคริสต์มาสอีฟ เพราะณรงค์ช่วยพาไรอันที่เมาไม่รู้เรื่องออกจากบาร์เกย์กลับไปที่คอนโด จากนั้นทั้งคู่ก็เริ่มคบกันและพัฒนาความสัมพันธ์มากขึ้นในวันวาเลนไทน์ แต่กระนั้นก็ยังไม่ถึงขั้นที่ณรงค์ต้องการอยู่ดี แล้วสงกรานต์นี้เขาจะได้เผด็จศึกหรือไม่!? โปรดติดตาม!!! (รู้สึกว่าเป็นการเท้าความที่ขุดหลุมฝังตัวเองพิกล ยังไงอ่านขำๆ อย่าซีเรียสละกันนิ)  :laugh:


********************

ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน ควันหลงสงกรานต์

เสียงสายพานของลู่วิ่งไฟฟ้าในฟิตเนสกลางเมืองแห่งหนึ่งค่อยๆ ชะลอลง เช่นเดียวกับการเคลื่อนไหวของร่างสูงใหญ่ที่เปลี่ยนจากวิ่งมาเดินเพื่อคลายกล้ามเนื้อหลังจากวิ่งมามากกว่าหนึ่งชั่วโมง สิบนาทีต่อมาณรงค์ก็ลงจากสายพานและคว้าผ้าขนหนูที่พาดไว้บนราวขึ้นมาซับเหงื่อบนหน้า

“ฮู่ววว”

ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจยาวทางปากขณะเดินไปที่ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าสำหรับผู้ชาย หลังจากเอาของที่ต้องการออกจากล็อคเกอร์แล้วก็เดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่อชำระคราบเหงื่อไคลหลังจากออกกำลังกายมาร่วมสองชั่วโมง เมื่ออาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็หยิบกระเป๋าและเดินออกจากฟิตเนสโดยพยักหน้าทักทายพนักงานที่เคาน์เตอร์หน้าทางออกด้วย

จะสี่โมงแล้ว...ไรอันบอกว่างานเลี้ยงจะเสร็จก่อนห้าโมงนิดหน่อย ยังไงโทรถามก่อนดีกว่าว่าพร้อมจะให้ไปรับหรือยัง...

ณรงค์ดูนาฬิกาข้อมือพลางคิดในใจ จากนั้นก็ผลักประตูเข้าไปในร้านกาแฟใกล้ทางเข้าฟิตเนสเพื่อซื้อกาแฟเย็น วันนี้เป็นวันอาทิตย์ก็จริง แต่ลูกค้าที่มาฟิตเนสและร้านกาแฟต่างบางตา ซึ่งอาจเป็นเพราะหลายคนลางานเพื่อไปเที่ยวกันตั้งแต่ก่อนวันหยุดยาวประจำปีใหม่ไทยแล้ว

ณรงค์วางกระเป๋าลงบนโต๊ะว่างตัวหนึ่งก่อนจะเดินไปสั่งกาแฟ หลังจ่ายเงินเรียบร้อยและกำลังยืนรอกาแฟที่สั่งอยู่หน้าเคาน์เตอร์ มือถือในกระเป๋ากางเกงก็ส่งเสียงดังขึ้น พอเขาหยิบขึ้นดูก็พบว่าเป็นหมายเลขของบ้านที่กาญจนบุรี

“ฮัลโหล?”

“รงค์เหรอลูก? ทำอะไรอยู่จ๊ะ?”

เสียงอันคุ้นเคยของแม่เลี้ยงทักมาตามสายอย่างอบอุ่น ณรงค์จึงยิ้มขณะยื่นมือไปรับกาแฟเย็นที่พนักงานยื่นให้และเดินกลับไปที่โต๊ะ

“เพิ่งมาออกกำลังที่ฟิตเนสครับน้าหนิง เดี๋ยวเย็นนี้มีนัดไปกินข้าวกับเพื่อนต่อน่ะครับ”

เนื่องจากพ่อของณรงค์แต่งงานกับแม่เลี้ยงตอนที่เขาเรียน ม.ต้นและรู้ความพอแล้ว ณรงค์จึงไม่ได้เรียกแม่เลี้ยงว่าแม่แต่เรียกว่าน้า แต่กระนั้นความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ไม่มีปัญหาเพราะณรงค์เป็นคนปรับตัวง่าย เขาจึงเข้ากับแม่เลี้ยงและน้องฝาแฝดชายหญิงที่เกิดห่างเขาหลายปีได้ดีทีเดียว
“เหรอจ๊ะ พอดีพ่อเราเขาฝากให้มาเตือนว่าอยากให้รงค์กลับบ้านช่วงสงกรานต์ เพราะเมื่อตอนปีใหม่ก็พลาดไปครั้งนึงแล้ว นี่ศรกับสาก็บ่นคิดถึงพี่ชายเหมือนกัน”

ณรงค์ยิ้มแห้งๆ แม้ว่าปลายสายจะไม่เห็น เพราะว่าเมื่อตอนปีใหม่เขาไม่ได้กลับบ้านทั้งที่สัญญาไว้เพราะมีงานของลูกค้าที่ต้องปรับแบบกะทันหัน เขาในฐานะซีเนียร์ดีไซเนอร์ที่รับผิดชอบโปรเจ็คต์นั้นจึงต้องทำงานที่ออฟฟิศข้ามปีอย่างไร้ทางเลือก

“คราวนี้กลับแน่นอนครับน้าหนิง แต่คงจะไปเช้าวันที่สิบสามเพราะวันที่สิบสองออฟฟิศผมยังไม่ปิดเลย คงไปถึงบ้านตอนสายๆ บอกศรกับสาด้วยแล้วกันว่าผมจะซื้อขนมไปให้”

“งั้นก็ดีจ้ะ แล้วรงค์มีอะไรอยากกินเป็นพิเศษมั้ย? น้าจะได้เตรียมของทำไว้ให้ เราไม่ได้กินกับข้าวฝีมือน้านานแล้วนี่นา”

ชายหนุ่มหัวเราะขณะเกี่ยวกระเป๋าขึ้นคล้องบนไหล่ซ้ายที่ถือแก้วกาแฟ จากนั้นก็ใช้ศอกขวาที่ถือโทรศัพท์ดันประตูออกเพื่อเดินไปที่ลานจอดรถ

“น้าหนิงทำอะไรก็อร่อยทั้งนั้นแหละครับ แต่ว่ามีต้มกะทิสายบัวกับหลนปูเค็มด้วยก็ดี ที่กรุงเทพหากินอร่อยๆ ไม่ค่อยได้เลย”

“ต้มกะทิสายบัวกับหลนปูเค็มนะ ได้เลย ถ้างั้นก็ขับรถมาดีๆ นะ แล้วเดี๋ยวเจอกันวันที่สิบสามจ้ะ”

ณรงค์เปิดประตูเข้านั่งในรถแล้วโยนกระเป๋าไว้ด้านหลัง ขณะเดียวกันก็พลันนึกอะไรขึ้นได้ จึงรีบเอ่ยก่อนอีกฝ่ายจะวางสาย “น้าหนิงครับ ฝากบอกพ่อว่าผมจะพาเพื่อนไปด้วยอีกคนนะครับ เดี๋ยวให้นอนห้องเดียวกับผมก็ได้”

“อื๋อ? เพื่อนเหรอ? ได้สิ แล้วน้าจะเตรียมที่นอนเผื่อไว้ให้แล้วกันนะ”

ณรงค์กำลังจะตอบว่าไม่เป็นไรแต่หยุดไว้ทัน เพราะถ้าบอกที่บ้านว่าคนที่จะพาไปด้วยคือแฟนเขาเองเดี๋ยวจะแตกตื่นกันเสียหมด อีกอย่างก็ไม่แน่ว่าไรอันจะยินยอมนอนเตียงเดียวกับเขา และที่สำคัญ...เขายังไม่ได้ถามเจ้าตัวเลยว่าอยากไปบ้านเขาหรือเปล่า

“ครับ งั้นเดี๋ยวเจอกันครับน้าหนิง ฝากสวัสดีพ่อกับเจ้าสองตัวนั่นด้วย”

หลังจากวางสาย ณรงค์ก็กดหาหมายเลขของไรอันแล้วกดโทรออก เขาหยิบกาแฟเย็นมาดูดอึกหนึ่งระหว่างรอสาย ไม่นานก็ได้ยินเสียงตอบรับ

“ฮัลโหล?”

“ผมพร้อมจะไปรับแล้วนะ งานเลี้ยงของเพื่อนคุณจบหรือยัง?”

“ก็คงอีกไม่นานหรอก คุณมาเลยก็ได้ ถึงแล้วโทรเข้ามือถือผมอีกทีแล้วกัน”

“โอเค”

ณรงค์วางสายก่อนจะวางแก้วกาแฟและสตาร์ทรถ พอออกมาพ้นจากเงาของลานจอดก็พบว่าแดดภายนอกแรงจนต้องหยิบแว่นกันแดดมาสวม โชคดีว่าการจราจรที่ค่อนข้างโล่งทำให้เขาขับรถได้แบบสบายๆ

นับตั้งแต่เขากับไรอันเริ่มคบกันจนกระทั่งทำให้ความสัมพันธ์ชัดเจนขึ้นเมื่อวันวาเลนไทน์ พวกเขาก็มักจะนัดเจอและใช้เวลาด้วยกันแทบจะทุกวันหยุด เพียงแต่ส่วนใหญ่จะเป็นการนัดกันออกไปทานข้าวหรือดูหนังกันข้างนอกมากกว่าอยู่ที่ห้อง และความจริงแล้วไรอันก็มีรถและขับไปทำงานเองทุกวัน แต่สำหรับวันหยุดนั้นณรงค์เป็นคนออกปากเองว่าอยากเป็นคนไปรับไปส่ง ดังนั้นหากอีกฝ่ายออกไปข้างนอก เขาก็ต้องตามไปรับเช่นเดียวกับในวันนี้

ส่วนสาเหตุที่วันนี้ไรอันไม่ได้อยู่ที่คอนโดของเจ้าตัว ก็เพราะว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนหนึ่งของสถานทูตออสเตรเลียซึ่งรู้จักกันได้จัดงานเลี้ยงน้ำชายามบ่ายที่บ้าน และได้เชิญเพื่อนฝูงที่รู้จักไปร่วมงานด้วย ตอนแรกไรอันก็ถามเขาแล้วว่าจะไปด้วยไหม แต่ณรงค์คิดว่าถึงเขาไปก็คงไม่สนุกเพราะไม่รู้จักใคร จึงขอตัวและค่อยไปรับหนุ่มลูกครึ่งทีหลังดีกว่า

ยี่สิบนาทีต่อมาณรงค์ก็ถึงที่หมาย ชายหนุ่มชะลอรถจอดเมื่อถึงหน้ารั้วบ้านตามหมายเลขที่ไรอันบอกไว้ จากนั้นก็โทรศัพท์เข้าไปหาหนุ่มลูกครึ่งอีกทีเพื่อบอกว่าเขามาถึงแล้ว ไม่นานคนที่รอก็เดินมาขึ้นรถและปิดประตูตามอย่างไม่ออมแรง

“Stupid bunch of useless trash.”

ชายหนุ่มหลังพวงมาลัยเลิกคิ้วหลังได้ยินคำสบถจากคนที่นั่งข้างๆ ไรอันเหลือบตามองเขาแล้วเหมือนเพิ่งรู้ตัวว่าพูดอะไรไปจึงรีบแก้ตัว

“ขอโทษ ผมไม่ได้หมายถึงคุณ เราไปกันเถอะ”

“อืม”

ณรงค์ไม่ได้ถามต่อและเพียงแต่ออกรถ เพราะรู้ว่าถึงไม่ถามเดี๋ยวไรอันก็คงเล่าให้ฟังเองเพราะอีกฝ่ายเป็นคนตรงไปตรงมา และผ่านไปไม่ถึงห้านาที หนุ่มลูกครึ่งก็บ่นออกมาจริงๆ

“ผมไม่ได้ชอบมางานเลี้ยงของพวกเอ็กซ์แพทแบบนี้หรอกนะ ผมก็รู้อยู่หรอกว่าที่นี่ไม่เหมือนกับออสเตรเลีย แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกอย่างมันแย่ไปซะหมด ถ้าพวกเขาเจอกันทีไรก็เอาแต่บ่นเรื่องเมืองไทยกับคนไทยก็ไม่น่าจะมาที่นี่ตั้งแต่แรก What a bunch of moronic losers.”

ณรงค์ยิ้ม เพราะเขาเคยได้ยินไรอันเล่าให้ฟังมาก่อนแล้วว่าพวกคนต่างชาติที่มาทำงานหรือใช้ชีวิตที่เมืองไทยนานๆ เวลาเจอกันจะชอบนินทาเรื่องผู้คนหรือสังคมที่นี่ แต่ถึงแม้ว่าเขาเองจะไม่เคยไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศ ณรงค์ก็คิดว่าสังคมคนไทยในต่างประเทศคงไม่ต่างกันเท่าไหร่

“ผมดีใจที่คุณไม่เหมือนพวกเขานะ”

ณรงค์หันไปบอกคนที่นั่งข้างๆ เพราะการที่ไรอันไม่ร่วมวงนินทากับคนอื่นก็แปลว่าไม่ได้รู้สึกเหนื่อยหน่ายกับการใช้ชีวิตที่นี่ อีกสาเหตุหนึ่งก็อาจเป็นเพราะที่นี่คือบ้านเกิดของแม่ซึ่งเป็นชาวไทยแต่ตอนนี้ไปอาศัยอยู่ที่ออสเตรเลียด้วย หนุ่มลูกครึ่งสบตาเขาผ่านเลนส์แว่นกันแดดที่ณรงค์ใส่อยู่ จากนั้นสีหน้าที่ดูไม่ค่อยสบอารมณ์เมื่อครู่ก็ดูจะดีขึ้นบ้าง

“ผมคุณยังไม่แห้งเลย”

ไรอันทักพลางยกปลายนิ้วขึ้นเกลี่ยไรผมบนหน้าผากของณรงค์ให้ คนถูกทักจึงยิ้ม เขาไม่รู้ว่าไรอันรู้ตัวหรือเปล่าว่าเริ่มใส่ใจรายละเอียดของเขามากขึ้นจากที่เมื่อก่อนแทบไม่เคยสนใจ และความเย็นชาที่มีให้เขาเวลาอยู่ออฟฟิศก็เริ่มลดลง แม้ทั้งคู่จะยังไม่ได้ออกตัวหรือบอกกับเพื่อนร่วมงานว่ากำลังคบกันก็ตาม และณรงค์ก็คิดว่าดีเหมือนกันที่ไม่บอก ไม่อย่างนั้นหลายคนคงได้พากันให้ความสนใจพวกเขาจนน่ารำคาญแน่ๆ

“พอดีผมอาบน้ำหลังออกกำลังเสร็จก็ออกมาเลยน่ะ ว่าแต่เย็นนี้คุณอยากไปกินข้าวที่ไหน?”

ณรงค์ถามหลังจากออกมาสู่ถนนใหญ่ได้สักพัก เพราะเรื่องร้านอาหารนั้นเขายกให้ไรอันตัดสินใจทุกครั้งเพราะอีกฝ่ายค่อนข้างจะเลือกกิน ต่างกับเขาที่กินอะไรก็ได้ แต่ถ้าให้เลือกณรงค์ก็ชอบอาหารไทยบ้านๆ ที่สุดอยู่ดี

“ไปร้านเดียวกับเมื่ออาทิตย์ก่อนก็แล้วกัน เขามีอาหารให้เลือกเยอะดี”

ณรงค์พยักหน้ารับแล้วก็หักเลี้ยวรถเพื่อไปยังร้านดังกล่าว โชคดีที่ร้านนั้นมีทั้งอาหารไทยและเทศ ณรงค์จึงรู้ว่าอย่างน้อยก็มีเมนูที่เขาสั่งมาทานโดยไม่รู้สึกเลี่ยนได้แน่ๆ และบางทีที่ไรอันเลือกร้านนั้นก็อาจเพราะคิดเผื่อตรงนี้ให้เขาก็เป็นได้

หลังจากทั้งสองทานมื้อเย็นกันเสร็จก็เดินเล่นย่อยอาหารตามร้านเสื้อผ้าและเครื่องใช้ในบ้านกันอีกเล็กน้อย ขณะที่กำลังเดินดูโคมไฟแต่งบ้านในร้านเฟอร์นิเจอร์ด้วยกัน ณรงค์ก็เอ่ยถามไรอันขณะที่อีกฝ่ายกำลังพิจารณาโคมไฟตั้งโต๊ะที่ทำจากเรซินหลากสีอันหนึ่งอยู่

“ช่วงหยุดสงกรานต์นี้ผมจะกลับบ้านที่กาญจนบุรีนะ”

ไรอันเหลือบตามองเขาแวบหนึ่งก่อนจะวางโคมไฟในมือลงบนชั้น จากนั้นก็หยิบโคมไฟที่วางถัดไปขึ้นมาดูใกล้ๆ “I remember. คุณเคยบอกผมแล้ว”

ณรงค์ยิ้ม ก่อนจะเอ่ยถามเป็นภาษาอังกฤษซึ่งเขาไม่ค่อยทำบ่อยนัก “Do you want to come with me?”

“หือ?”

หนุ่มลูกครึ่งหันมองเขาเต็มตาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยคำถาม ณรงค์จึงหยิบโคมไฟในมือไรอันไปวางที่เดิมก่อนจะถามอีกครั้งเป็นภาษาไทย

“ผมอยากชวนคุณไปเที่ยวที่บ้าน ยังไงช่วงหยุดยาวนี้คุณก็ไม่ได้กลับไปเยี่ยมพ่อกับแม่คุณนี่นา ถ้างั้นก็ไปบ้านผมแทนก็ได้ พ่อกับแม่เลี้ยงผมใจดีนะ”

เพียงแต่ไอ้เจ้าน้องฝาแฝดอาจจะซนแล้วก็ชอบสาระแนไปหน่อย....ณรงค์คิดแต่ไม่ได้พูดออกมา จากนั้นก็ยืนสบตากับไรอันนิ่งระหว่างรอคำตอบ เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนจึงหลุบตาลงนิดหนึ่ง

“แต่นั่นมันช่วงเวลาที่คุณควรจะได้ใช้กับครอบครัวไม่ใช่เหรอ? ผมอยู่คนเดียวได้หรอกน่ะ สงกรานต์ปีที่ผ่านมาผมก็อยู่กรุงเทพคนเดียวเหมือนกัน”

หนุ่มลูกครึ่งเอ่ยพลางหมุนตัวออกเดินไปตามชั้นวางที่เรียงรายไปด้วยโคมไฟตั้งโต๊ะหลากขนาด ณรงค์จึงรีบสาวเท้าตามและคว้าข้อมือข้างหนึ่งไว้

“ก็ปีที่แล้วนั่นผมกับคุณยังไม่สนิทกันนี่ ไม่ต้องเกรงใจไปหรอก นี่ผมก็บอกแม่เลี้ยงไว้แล้วว่าจะพาเพื่อนไปด้วย ถ้าหากคุณไม่ไปผมก็แย่สิ”

“How’s that my problem?”

ไรอันหยุดเดินแล้วหันกลับมาหรี่ตาถาม แต่ณรงค์ก็ไม่ได้ปล่อยมือ จริงอยู่ว่าอีกฝ่ายลดความเย็นชาที่มีให้กับเขาลงมากแล้ว แต่บางครั้งก็ยังทำตัวเหมือนไม่อยากสนิทสนมกับเขามากเกินไป บางทีอาจเป็นเพราะยังไม่คิดว่าจะลงหลักปักฐานที่เมืองไทยไปตลอด จึงไม่อยากจะถลำลึกกับเขามากเกินไปก็เป็นได้

ยิ่งอยากหนียิ่งต้องตาม...

ณรงค์คิดในใจ และเพียงแต่ยิ้มอ่อนๆ ขณะสบตาหนุ่มลูกครึ่งกลับ “ผมแค่ไม่อยากให้คุณอยู่คนเดียวเพราะปีนี้บริษัทเราหยุดตั้งหลายวัน อีกอย่างคุณยังไม่เคยไปเที่ยวต่างจังหวัดเลยนอกจากทริปของบริษัทเมื่อปีที่แล้วไม่ใช่เหรอ ไปเป็นเพื่อนผมหน่อยเถอะ ถ้าไปแล้วคุณไม่ชอบจริงๆ เราไม่ต้องอยู่กันตลอดวันหยุดก็ได้”

ณรงค์ค่อยๆ ขยับมือที่จับมือของไรอันไว้แล้วสอดนิ้วเข้าไปประสานกับนิ้วของอีกฝ่าย ไรอันเม้มปากพลางหันไปมองทางอื่นอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหันกลับมาสบตาเขาอีกครั้งแล้วถอนหายใจ

“Fine, I’ll go.”

ชายหนุ่มร่างสูงยิ้มเมื่อได้คำตอบที่ต้องการ จึงปล่อยมือที่กุมกันไว้เมื่อครู่เพื่อให้ไรอันเลือกซื้อโคมไฟต่อแต่โดยดี และสุดท้ายหนุ่มลูกครึ่งก็ตัดสินใจซื้อโคมไฟตั้งโต๊ะทรงกลมขนาดเท่าลูกฟุตบอลที่ทำจากแก้วโมเสคสีขาวสลับน้ำเงินเป็นลายตาราง เวลาเปิดไฟแล้วแสงสีส้มที่อยู่ด้านในจะทะลุแก้วออกมาให้แสงนวลตา แต่เหมาะเอาไว้ประดับมากกว่าเอาไว้เปิดให้แสงสว่าง

เนื่องจากวันรุ่งขึ้นเป็นวันจันทร์และทั้งสองยังต้องทำงาน ณรงค์จึงไปส่งไรอันแต่หัวค่ำทั้งที่เพิ่งจะสามทุ่มกว่าเท่านั้น เมื่อจอดรถที่หน้าคอนโดแล้วก็เดินตามขึ้นไปส่งที่หน้าห้องเหมือนทุกครั้ง

“งั้นพรุ่งนี้เจอกันที่ออฟฟิศนะ กู๊ดไนท์”

ณรงค์เอ่ยเมื่อมาถึงหน้าห้องและไรอันไขกุญแจประตูแล้ว แต่แล้วก็เลิกคิ้วอย่างประหลาดใจเมื่อหนุ่มลูกครึ่งยื่นถุงใส่กล่องโคมไฟที่ถือมาให้

“ผมซื้อมาให้คุณนั่นแหละ Take it.”

ณรงค์ทำสีหน้าแปลกใจขณะรับโคมไฟไปถือไว้ ไรอันเห็นดังนั้นจึงยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ผมจำได้ว่าโคมไฟที่ห้องคุณมีแต่แบบกลมๆ สีขาวธรรมดา ดูแล้วจืดชืดไม่สมกับที่เป็นซีเนียร์ดีไซเนอร์บริษัทเราสักนิด ผมเลยซื้อนี่ให้คุณเอาไปตั้งไว้ที่ห้องไง”

“หือ? ถ้างั้นที่คุณเลือกโคมไฟอยู่ตั้งนานเมื่อกี้ก็เพื่อซื้อให้ผมเนี่ยนะ?”

ณรงค์ถามเพื่อความแน่ใจ เพราะตอนอยู่ที่ร้านด้วยกันนั้นเขาไม่เอะใจแม้แต่น้อยว่าไรอันกำลังเลือกของให้เขา เพราะนึกว่าอีกฝ่ายเพียงแต่ใช้เวลาเลือกซื้ออย่างพิถีพิถันเหมือนที่ทำเป็นปกติอยู่แล้วเสียอีก

โหนกแก้มของคนถูกถามดูจะเรื่อสีเลือดฝาดขึ้นเล็กน้อย แต่ไรอันก็รีบกลบเกลื่อนด้วยการยักไหล่ “It’s nothing. It’s just…I have never bought you anything while you take me out to dinner every weekend, so…why not?”

ไรอันมองมาทางเขาขณะพูดก็จริงแต่กลับไม่ได้สบตาเขาเลย ณรงค์จึงได้แต่ยิ้มกว้าง ความดีใจเพราะสิ่งที่ได้จากคนตรงหน้าเอ่อล้นจนในอกพองแน่นไปหมด

“รู้ตัวหรือเปล่า ว่าเวลาคุณเขินแล้วจะชอบพูดแต่ภาษาอังกฤษใส่ผมน่ะ? แถมนี่ไม่ใช่ครั้งแรกด้วยนะ”

ณรงค์ถามยิ้มๆ ขณะที่หนุ่มลูกครึ่งอ้าปากจะแย้ง แต่ก็จนด้วยคำพูดเพราะเถียงไม่ออก สุดท้ายเจ้าของห้องจึงหันกลับไปเปิดประตูและเดินเข้าไปด้านใน

“Whatever. Go to hell.”

ถึงแม้จะฟังแล้วเหมือนคำด่า แต่น้ำเสียงที่เปล่งออกมากลับฟังแล้วอ่อนแรงชอบกล ณรงค์มองประตูไม้สีขาวที่ปิดลงแล้วก็ได้แต่หัวเราะ ก็เพราะความน่ารักแบบนี้น่ะสิที่ทำให้เขาอยากผูกมัดหนุ่มลูกครึ่งไว้กับตัวเองมากขึ้นทุกที ต่อให้อีกฝ่ายอายุน้อยกว่าและตำแหน่งสูงกว่าเขาก็ตาม

ว่าแต่เมื่อกี้หยอกมากไปเลยลืมทวงกู๊ดไนท์คิสเลย...อุตส่าห์ทนรอมาตั้งอาทิตย์นึง เอาไว้ตอนกลับบ้านช่วงสงกรานต์ค่อยทวงก็แล้วกัน...

 
++---TBC---++

*เอ็กซ์แพท ย่อจากภาษาอังกฤษว่า expatriate หมายถึงคนที่ไปใช้ชีวิตในต่างบ้านต่างเมือง กรณีนี้ก็พวกชาวต่างประเทศที่มาอยู่เมืองไทยนั่นแล

หวังว่าคนอ่านคงยังจำณรงค์กับไรอันได้ แล้วจะรีบเอาครึ่งหลังมาลงให้ค่า สุขสันต์วันสงกรานต์ย้อนหลังทุกคนนะคะ   :pig2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนควันหลงสงกรานต์ [อัพ 18/4/11 P.2]
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 18-04-2011 00:48:51
รอครึ่งหลัง

 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนควันหลงสงกรานต์ [อัพ 18/4/11 P.2]
เริ่มหัวข้อโดย: Little Devil ที่ 18-04-2011 00:55:31
สุขสันต์วันสงกรานต์ :mc4:
รอลุ้นทริปเมืองกาญจน์
+1
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนควันหลงสงกรานต์ [อัพ 18/4/11 P.2]
เริ่มหัวข้อโดย: stupidchild ที่ 18-04-2011 07:02:42
ชอบผลงาน พี่bellbomb จัง 55 น่ารัก
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนควันหลงสงกรานต์ [อัพ 18/4/11 P.2]
เริ่มหัวข้อโดย: kakuro ที่ 18-04-2011 07:42:51
ขอบคุณคุณรินที่น่ารัก :L2:
คิดถึงนิยายคุณรินมากเลยนะ
อ่านเรื่องเก่าจนจะจำขึ้นใจอยู่แล้ว(ทีเรื่องเรียนไมเราไม่จำแม่นอย่างนี้นะ :เฮ้อ:)
ดีใจที่คุณรินมาต่อเรื่องรงค์กับรัก
รงค์จะพิชิตใจและกายของรักคงต้องพยายามมากหน่อยนะ
ถ้าเราเป็นรักก็คิดหนักนะว่ารงค์รักจริงหรือหวังอย่างอื่น หวังเป็นสะพานสู่ความก้าวหน้าและฐานะ
เอ..หรือเราจะมองโลกแง่ร้ายเกินไป
แต่ Dark Chocolate ยังติดอยู่ปลายลิ้นนะ
หวังว่าครึ่งหลังจะแฮปปี้นะคุณริน
ปล.เรายังไม่ลืมภัทรกับเชษฐ์นะ o18
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนควันหลงสงกรานต์ [อัพ 18/4/11 P.2]
เริ่มหัวข้อโดย: love2y ที่ 18-04-2011 09:13:59
เพิ่งได้อ่าน น่ารักมากค่า อ่านไปยิ้มไปตลอดเลย ^^
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนควันหลงสงกรานต์ [อัพ 18/4/11 P.2]
เริ่มหัวข้อโดย: ΩPRESTOΩ ที่ 18-04-2011 09:39:46
กว่าจะคว้ามาได้ทั้งใจและกายแบบเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์คงเหนื่อยอีกหลายยก
เป็นกำลังใจให้รงค์พิชิตยอดเขาเอเวอร์เรส ๕๕๕ ปานนั้นเลยเชียว

รอที่เหลือจ้า
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนควันหลงสงกรานต์ [อัพ 18/4/11 P.2]
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 18-04-2011 11:44:05
 :กอด1: :L2: :L1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนควันหลงสงกรานต์ [อัพ 18/4/11 P.2]
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 18-04-2011 14:41:54
นึกว่าตาฝาดซะอีกนะเนี่ย  :laugh:

รอครึ่งหลังอย่างใจจดจ่อ ไรอัน จะไปเปิดตัวแล้ว  :mc4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนควันหลงสงกรานต์ [อัพ complete 19/4/11 P.3]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 19-04-2011 12:15:02
ครึ่งหลังมาแล้วค่า ยาวหน่อยนะคราวนี้

*คำเตือน* กรุณาหาทิชชู่มาวางไว้ใกล้ๆ เนื่องจากอาจต้องใช้ระหว่างที่อ่านตอนนี้ เขาเตือนแร้วน้า

*****************************

ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน ควันหลงสงกรานต์ ครึ่งหลัง

หลังจากผ่านวันทำงานไปอีกสองวัน ในที่สุดก็ถึงเช้าวันเดินทาง ณรงค์นัดไรอันว่าจะไปรับที่คอนโดตอนเก้าโมงเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ชอบตื่นแต่เช้าในวันหยุด ที่สำคัญวันที่สิบสามเมษาก็มีรถออกนอกเมืองไม่ค่อยเยอะแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องเผื่อเวลาสำหรับรถติดสักเท่าไหร่

เมื่อจอดรถหน้าคอนโดแล้วณรงค์ก็โทรศัพท์ขึ้นไปบอกไรอัน ห้านาทีต่อมาหนุ่มลูกครึ่งก็เดินมาที่รถพร้อมกับกระเป๋าเสื้อผ้าใบย่อม วันนี้อีกฝ่ายแต่งตัวแปลกตาจากทุกครั้งที่เจอกัน เพราะแม้วันหยุดไรอันจะชอบแต่งตัวสบายๆ ด้วยกางเกงขายาวกับเสื้อยืด แต่วันนี้หนุ่มลูกครึ่งใส่กางเกงผ้าสีกากีขาสั้นเสมอเข่ากับเสื้อยืดแขนกุด แม้ว่าจะไม่เข้ารูปนักแต่ก็เผยให้เห็นผิวสีงาช้างช่วงหัวไหล่และบ่ากว้าง รวมทั้งเรียวขาที่เขาเคยเห็นครั้งสุดท้ายตั้งแต่คืนคริสต์มาสอีฟเมื่อปลายปีก่อนที่ช่วยถอดเสื้อผ้าและเช็ดตัวให้ได้ถนัดตา และณรงค์ก็พบว่าเขากำลังนึกโยงภาพที่เห็นกับความทรงจำในคืนนั้นจนรู้สึกว่าในคอแห้งผาก

“What are you looking at?”

ไรอันที่สวมแว่นกันแดดเลนส์สีชาหันมาถามหลังจากที่เข้ามานั่งในรถและหันไปวางกระเป๋าไว้บนเบาะหลัง ณรงค์จึงนึกดีใจที่แว่นกันแดดของตัวเองสีเข้มพอ เพราะอย่างน้อยไรอันคงไม่ทันเห็นแววตาของเขาที่ซ่อนอยู่หลังเลนส์

“ไม่มีอะไร แค่นานๆ ทีจะเห็นคุณแต่งตัวแบบนี้”

หนุ่มลูกครึ่งก้มลงมองตัวเองแล้วยักไหล่ “ก็วันนี้อากาศร้อน อีกอย่างเวลาอยู่ที่เมลเบิร์นผมก็แต่งตัวแบบนี้ทุกวันหยุดนั่นแหละ”

ณรงค์ส่งเสียงรับในคอก่อนจะออกรถ อดนึกอิจฉาเพื่อนๆ กับคนรอบตัวของไรอันไม่ได้ที่ได้เห็นอีกฝ่ายเวลาแต่งตัวสบายๆ อย่างนี้มากกว่าเขา แล้วก็เหลือบตามองอย่างแปลกใจเมื่อหนุ่มลูกครึ่งเอนเบาะลงทำท่าจะนอนทั้งที่เพิ่งออกจากคอนโดได้ไม่กี่นาที

“คุณยังง่วงอยู่เหรอ?”

“เมื่อคืนผมคุยสไกป์กับที่บ้านแล้วก็เพื่อนๆ จนดึกน่ะ กว่าจะได้นอนก็ตีสองกว่า เดี๋ยวถึงบ้านคุณเมื่อไหร่ก็ปลุกผมด้วยแล้วกัน”

 ไรอันเอ่ยพลางหยิบหมอนอิงใบเล็กจากเบาะด้านหลังมากอดแล้วหลับตาลง ณรงค์มองภาพนั้นแล้วก็หัวเราะ

“จะไม่ตื่นแล้วคอยคุยเป็นเพื่อนผมหน่อยเหรอ ถ้าเกิดผมหลับในแล้วพาไปชนเสาไฟฟ้าระหว่างทางจะทำไงล่ะ?”

หนุ่มลูกครึ่งพ่นหัวเราะทางจมูกแต่ไม่ได้ลืมตา แถมยังทำท่ากอดหมอนแน่นขึ้นอีก “You wouldn’t do that.”

ณรงค์ยิ้มแต่ไม่ได้เซ้าซี้อีก ถ้าหากระหว่างที่คบกันมาจะมีอะไรที่เขาเรียนรู้เกี่ยวกับไรอันเพิ่มขึ้น ก็เห็นจะเป็นเรื่องที่หากอีกฝ่ายต้องการพักผ่อนก็หมายความอย่างนั้นจริงๆ เพราะขนาดเมื่อวันวาเลนไทน์ที่นอนทับเขาบนโซฟายังหลับสนิทได้ จนสุดท้ายเขาต้องอุ้มเจ้าตัวไปนอนบนตียงเพื่อจะได้ไม่ตื่นมาปวดหลังกันทั้งคู่

ระหว่างที่รถติดไฟแดง ณรงค์สังเกตว่าแดดส่องเข้าทางหน้าต่างฝั่งที่ไรอันนั่งอยู่ แต่ดูอีกฝ่ายจะไม่รู้สึกตัวทั้งที่เริ่มมีเหงื่อซึมตามไรผม เขาเลยเร่งแอร์ในรถขึ้นแล้วหันไปเอาเสื้อแจ็คเก็ตที่คลุมไว้บนพนักตัวเองออกคลุมให้ เพราะระยะทางที่ต้องไปบ้านเขานั้นยังอีกไกล ถ้าปล่อยให้ไรอันนอนตากแดดไปเรื่อยๆ คงผิวไหม้หมดแน่

ชายหนุ่มเลื่อนมือขึ้นสางผมหยักศกสีน้ำตาลอ่อนที่ชื้นเหงื่อออกจากหน้าผากเนียน จากนั้นก็ยิ้มเมื่อคนหลับยกมือข้างหนึ่งขึ้นถูจมูกและดึงแจ็คเก็ตขึ้นจนถึงคออย่างงัวเงีย ภาพที่เห็นทำให้เขาอดใจไม่ไหว ต้องก้มลงไปหอมแก้มคนที่เอียงหน้ามาทางเขาโดยไม่รู้ตัวเสียทีหนึ่ง ก่อนจะหันกลับมาออกรถเมื่อสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียวพอดี

และเพราะความที่ณรงค์มัวจดจ่อสายตาอยู่กับถนนเบื้องหน้านี่เอง เขาจึงไม่ได้รู้เลยว่าคนข้างตัวแอบหรี่ตาขึ้นมองเขาผ่านเลนส์แว่นกันแดดสีชาที่ใส่บังไว้ จากนั้นเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนก็ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยจนแทบสังเกตไม่เห็น ก่อนที่จะค่อยปิดตาลงและหลับลึกจริงๆ ไปตลอดเส้นทาง


++------++


เกือบบ่ายโมงณรงค์ก็ขับรถมาถึงบ้านที่กาญจนบุรี  ทางเข้าบ้านของเขารายล้อมด้วยสวนผลไม้ร่วมสองร้อยไร่ ส่วนตัวบ้านก็ค่อนข้างใหญ่เพราะกิจการผลไม้ที่พ่อของเขาทำมาตั้งแต่ยังหนุ่มดำเนินไปได้ดี ไรอันรู้สึกตัวตื่นตอนที่ณรงค์ลงจากรถไปเปิดประตูรั้ว เมื่อณรงค์กลับมานั่งประจำที่อีกครั้ง หนุ่มลูกครึ่งจึงยันตัวขึ้นนั่งตรงและหยีตามองไปรอบๆ

“ถึงบ้านคุณแล้วเหรอ?”

“อื้อ ตอนที่คุณหลับแม่เลี้ยงผมโทรมาบอกว่าพ่อออกไปดูสวน คงอีกสักพักถึงจะกลับมา แต่ว่าน้องๆ ผมอยู่บ้านกันหมด พวกนั้นยังเด็กอยู่ก็เลยอาจจะชอบคุยชอบถามซอกแซกหน่อย ถ้าหากรำคาญก็บอกผมแล้วกัน”

ไรอันดันพนักเก้าอี้ขึ้นตั้งตรงพลางเหยียดแขนบิดขี้เกียจ จากนั้นก็ลงจากรถตามณรงค์เมื่ออีกฝ่ายจอดรถในโรงรถแล้ว ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะก้าวเข้าไปในตัวบ้านก็มีเด็กวัยรุ่นสองคนวิ่งแข่งกันออกมากอดเอวณรงค์ไว้จนหนุ่มลูกครึ่งเลิกคิ้ว

“เย้!! พี่รงค์มาแล้ว ไหนขนมที่บอกว่าจะซื้อมาให้อ้ะ?”

“พี่รงค์ ศรอยากได้พีเอสพี ซื้อให้หน่อยดิ”

ฝาแฝดชายหญิงที่หน้าตาคล้ายกันมากต่างแย่งกันพูดและเรียกร้องความสนใจจากพี่ชายเป็นพัลวัน ณรงค์จึงหันมายิ้มให้ไรอันที่ยืนเยื้องไปข้างหลังและแนะนำน้องๆ ให้รู้จัก

“ศร สา ปล่อยพี่ก่อน พี่พาเพื่อนมาด้วย นี่ไรอันนะ เป็นเจ้านายพี่ที่ออฟฟิศ ไรอัน นี่ยายสากับเจ้าศร น้องๆ ผมเอง ปีนี้จะอายุสิบห้าแล้ว”

แฝดทั้งสองหันมองคนที่พี่ชายแนะนำอย่างสนใจ พอเห็นหน้าของไรอันถนัดก็พากันทำหน้าเหลอหลา

“หวา! ลูกครึ่งนี่นา อ่า...เฮลโล่? กู้ด มอร์นิ่ง? เอ๊ย! กู้ด อาฟเตอร์นูน??” เด็กชายถามด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยมั่นใจพลางใช้มือหนึ่งเกาหัว ส่วนเด็กสาวทำตาลอยแล้วกระตุกเสื้อณรงค์

“หล่อจัง....เขาพูดไทยได้ไหมอะพี่รงค์?”

ณรงค์หันไปเหล่ใส่น้องสาวที่ถามอะไรแก่แดด แล้วก็เลิกคิ้วอย่างประหลาดใจเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของไรอัน พอหันไปก็พบว่าอีกฝ่ายถอดแว่นกันแดดออกเสียบไว้บนเสื้อแล้วและกำลังยิ้มอย่างใจดีให้กับน้องๆ ของเขาอยู่

“พูดได้ครับ เรียกพี่ว่าพี่รักก็ได้ น้องสา น้องศร”

ณรงค์รู้สึกว่าหางคิ้วกระตุก จึงรีบตักเตือนมารยาทน้องๆ ทันที “เจ้าพวกนี้ พี่แนะนำตัวให้แล้วยังไม่รีบไหว้อีก เดี๋ยวก็ให้แม่เขามาตีให้ซะหรอก”

น้องฝาแฝดของณรงค์แลบลิ้นให้พี่ชายก่อนจะหันกลับมาไหว้ไรอัน หนุ่มลูกครึ่งยกมือรับไหว้ด้วยมุมปากที่ยังยกขึ้นน้อยๆ เมื่อเด็กๆ ทำความเคารพกันเสร็จ ณรงค์จึงยื่นกุญแจรถให้น้องชายแล้วใช้นิ้วโป้งชี้ไปทางโรงรถ 

“ขนมกับของฝากอยู่ท้ายรถ เอากระเป๋าของพวกพี่สองคนลงมาแล้วเอาไปไว้บนห้องให้ด้วย เดี๋ยวพี่จะพาไรอันไปไหว้น้าหนิง”

“คร้าบ / ค่า”

ทั้งสองรับคำแล้วก็พากันวิ่งออกไปที่รถซึ่งจอดอยู่ในโรงรถ ไรอันจึงหันมาถาม “นี่คุณไม่ใช้แรงงานพวกน้องๆ ไปหน่อยเหรอ?”

ณรงค์ส่ายหน้าและเดินนำไปทางห้องครัวเพราะได้ยินเสียงจากทางนั้น “แค่นี้ไม่เท่าไหร่หรอกน่ะคุณ จะได้สอนให้รู้ว่าถ้าอยากได้อะไรก็ต้องทำงานแลกบ้าง อีกอย่างกระเป๋าของคุณกับของผมก็ไม่ได้หนักอะไรสักหน่อย”

ภายในห้องครัวขนาดย่อม หญิงวัยกลางคนรูปร่างท้วมนิดหน่อยคนหนึ่งกำลังยืนทำกับข้าวอยู่หน้าเตาแก๊ส เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าจึงวางทัพพีลงบนจานรองแล้วเดินพร้อมรอยยิ้มเข้ามาหาทั้งคู่

“ไงจ๊ะ ได้ยินเสียงรถกับเสียงเด็กๆ น้าก็รู้แล้วล่ะว่าเรามาแล้ว แต่ติดว่าแกงเดือดอยู่เลยไม่ได้ออกไปรับ เดี๋ยวก็ใกล้จะได้กินกันแล้วล่ะ”

น้ำเสียงอบอุ่นและรอยยิ้มอ่อนโยนทำให้คนที่ได้พบเห็นรู้สึกสบายใจได้ทันที ณรงค์ยกมือไหว้แล้วก็เข้าไปกอดและหอมแก้มแม่เลี้ยงก่อนจะหันมาแนะนำคนที่พามาด้วย

“น้าหนิงครับ นี่ไงครับเพื่อนที่ผมบอกจะพามาด้วย ไรอันครับ”

ไรอันรีบยกมือไหว้ และเอ่ยทักทายเป็นภาษาไทยด้วยเลยเพื่อไม่ให้ต้องเกิดคำถามอีกว่าเขาพูดไทยได้ไหม เพราะว่าถึงแม้โครงหน้าจะดูคมเข้มเพราะเชื้อไทยจากแม่ แต่สีผมกับสีตาที่ค่อนข้างอ่อนก็อาจทำให้เขาดูละม้ายไปทางฝรั่งมากกว่า

“สวัสดีครับ”

ผู้สูงวัยกว่ายกมือรับไหว้แล้วยิ้มกว้างที่ได้ยินภาษาไทยชัดถ้อยชัดคำ “สวัสดีจ้ะ ไรอัน”

“เรียกผมว่ารักก็ได้ครับ”

“หืม? ชื่อไทยชื่อรักเหรอจ๊ะ? คุณพ่อคุณแม่ช่างคิดจัง เพิ่งมาถึงกันเหนื่อยๆ เดี๋ยวรงค์พาเพื่อนขึ้นไปล้างหน้าล้างตาก่อนแล้วค่อยลงมากินข้าวดีกว่า กลางวันนี้พ่อเขาคงไม่ได้กลับมากินข้าวด้วย ก็คงมีแต่พวกเรากับเด็กๆ อีกสองคนนี่ล่ะ”

ณรงค์พยักหน้า “ครับ งั้นเดี๋ยวพวกผมขึ้นไปบนห้องก่อนนะ”

ระหว่างกำลังเดินขึ้นบันได ฝาแฝดทั้งสองก็วิ่งแข่งกันลงมาและสวนกับณรงค์พอดี ชายหนุ่มจึงไล่ให้ทั้งคู่เข้าไปช่วยงานในครัว หลังจากนั้นก็เดินนำไรอันขึ้นไปห้องนอนบนชั้นสองซึ่งเป็นห้องที่อยู่ด้านในสุด โชคดีว่าพ่อของเขาต่อเติมบ้านรอไว้ตั้งแต่ตอนที่น้องฝาแฝดเพิ่งเข้าประถม ห้องของเขาจึงมีพื้นที่กว้างขวางพอสมควร

เมื่อเข้าไปในห้อง ณรงค์ก็พบว่ากระเป๋าของพวกเขาทั้งคู่วางอยู่บนเตียงแล้ว ไรอันที่เดินตามเข้ามาทีหลังมองไปรอบๆ ก่อนจะจ้องเขาเขม็ง

“ผมนอนห้องเดียวกับคุณเหรอ?”

เจ้าของห้องเลิกคิ้ว ความจริงเขาก็คิดไว้เหมือนกันว่าไรอันอาจไม่สะดวกที่จะนอนห้องเดียวกับเขาก็ได้ แต่ก็อาศัยยกน้องๆ ขึ้นมาอ้าง

“ผมเห็นว่าห้องผมก็ใหญ่พอเลยไม่ได้ให้น้าหนิงเตรียมห้องไว้ให้น่ะ อีกอย่างถ้าคุณไม่นอนกับผม ก็คงต้องไปขอยืมห้องเจ้าศรแล้วไล่ให้ไปนอนห้องเดียวกับยายสา แต่ยายสาก็เริ่มเป็นสาวแล้ว คงไม่ค่อยอยากให้น้องชายไปนอนด้วยนักหรอก”

หนุ่มลูกครึ่งปรายตามองเขาด้วยท่าทางหน่ายๆ จากนั้นก็เดินไปหยิบผ้าขนหนูออกจากกระเป๋าแล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ “Alright, alright. Geez. You’re such a loser.”

ณรงค์ดูออกว่าไรอันคงไม่ได้เต็มใจเท่าไหร่ที่จะนอนห้องเดียวและเตียงเดียวกับเขา แต่ที่ยอมก็เพราะเกรงใจแม่เลี้ยงกับน้องๆ ของเขามากกว่า จึงอมยิ้มและหันไปหยิบเสื้อผ้าออกจากกระเป๋ามาแขวนใส่ตู้ เนื่องจากเขาทิ้งข้าวของบางส่วนไว้ที่นี่อยู่แล้ว จึงเอามาแค่ชุดสำหรับใส่ในวันกลับเท่านั้น

ไม่นานไรอันก็เดินออกมาจากห้องน้ำ หยดน้ำเล็กๆ ยังเกาะพราวบนไรผมกับต้นคอหลังจากล้างหน้าและซับน้ำออกไม่หมด ขณะที่อีกฝ่ายเดินมาหยิบเสื้อผ้าออกจากกระเป๋าเพื่อจะเอาไปแขวนบ้าง หนุ่มลูกครึ่งก็สะดุ้งเมื่อถูกอ้อมแขนของณรงค์สวมกอดจากด้านหลัง

“What are you doing?”

คนถูกกอดถามเสียงแข็ง ณรงค์ถือโอกาสกดจมูกลงบนต้นคอด้านหลังที่ยังชื้นน้ำนิดหน่อยและกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้น

“อาทิตย์ที่ผ่านมาผมยังไม่ได้จูบคุณสักครั้งเลยนะ ขอผมชื่นใจหน่อยไม่ได้เหรอ?”

ณรงค์ได้ยินคนในอ้อมกอดทำเสียงหึ ก่อนที่อีกฝ่ายจะแงะแขนเขาออกแล้วหันกลับมาใช้นิ้วจิ้มอกเขาให้ถอยห่าง

“Don’t push your luck. คุณขโมยหอมแก้มผมไปแล้วเมื่อเช้า ไม่ต้องมาทำเป็นทวง”

ชายหนุ่มร่างสูงเลิกคิ้ว เพราะไม่นึกว่าตอนที่เขาหอมแก้มไรอันในรถนั่นเจ้าตัวจะตื่นอยู่ พลันก็ได้ยินเสียงเคาะประตูห้องนอนดังขึ้นพร้อมกับเสียงเรียกของน้องชาย

“พี่รงค์ แม่ทำกับข้าวเสร็จแล้ว ลงมากินกันเร็วๆ”

“โอเค...เดี๋ยวพวกพี่ลงไป”

ณรงค์ตอบก่อนจะหันกลับมาประสานสายตากับไรอัน หนุ่มลูกครึ่งยิ้มยียวนให้ครั้งหนึ่งก่อนจะเดินไปเปิดประตูและลงไปข้างล่าง เจ้าของห้องจึงได้แต่หัวเราะแล้วส่ายหน้า อย่างน้อยการยอกย้อนเมื่อครู่ก็ยังเป็นสัญญาณที่ดีกว่าการปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยล่ะน่า

ถ้าไม่ใจอ่อนให้เองก็อย่าหวังจะได้แอ้มงั้นสินะ...คุณนี่ชอบปั่นหัวผมจริงๆ ให้ตายสิ...

ชายหนุ่มเปลี่ยนมาใส่กางเกงขาสั้นก่อนจะเดินตามลงไปชั้นล่าง เมื่อทุกคนล้อมวงทานข้าวกันที่โต๊ะอาหารในห้องข้างๆ ห้องครัว ทั้งน้องชายและน้องสาวของณรงค์ก็พากันยิงคำถามใส่ไรอันด้วยความอยากรู้อยากเห็น ทั้งคำถามยอดฮิตสำหรับคนต่างชาติว่าชอบเมืองไทยไหม ชอบกินอาหารอะไร ไปจนถึงเรื่องที่เริ่มใกล้ตัวมากขึ้นว่ารู้จักกับพี่ชายได้อย่างไร เวลาณรงค์อยู่ที่ออฟฟิศเป็นยังไงบ้าง จนกระทั่งถึงคำถามเด็ดที่ณรงค์คิดอยู่แล้วว่าคงมีใครสักคนถามแน่ แต่เขาพลาดไปที่ลืมเตือนน้องๆ ไว้ก่อนว่าอย่าถามซอกแซกให้มากนัก

“แล้วพี่รักมีแฟนหรือยังอะคะ?”

“ยายสา อย่าไปถามเรื่องส่วนตัวพี่เขาอย่างนั้นสิลูก”

ผู้เป็นแม่รีบเตือนลูกสาวที่กำลังวัยรุ่น แต่ว่าไรอันยิ้มอ่อนๆ ให้อย่างไม่ถือสา “ก็มีคนที่กำลังดูๆ กันอยู่ แต่ยังไม่รู้เหมือนกันครับว่าเรียกว่าแฟนได้หรือเปล่า”

เด็กชายได้ยินคำตอบก็อ้าปากค้าง “โห...พี่ตอบเหมือนพวกดาราเด๊ะเลยนะเนี่ย”

“ศร...กินข้าวไป”

ณรงค์หันไปดุน้องชายที่จู่ๆ ก็โพล่งขึ้นมา เด็กชายจึงทำปากยื่นก่อนจะก้มลงกินข้าวต่อ ชายหนุ่มเหลือบมองไรอันที่ยิ้มพลางทำทีเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับสายตาของเขา แต่เขาก็รู้ดีว่ากำลังโดนรวนอยู่

สำหรับผม...คุณน่ะใช่ แต่ดูเหมือนในสายตาคุณแล้วผมยังไม่ดีพอที่จะยอมรับว่าเป็นแฟนล่ะมั้ง...

ชายหนุ่มกินข้าวต่ออย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก แต่ดูเหมือนคนอื่นๆ ในโต๊ะจะไม่มีใครทันสังเกตเพราะมัวแต่ชวนไรอันคุยเพลิน จนเมื่อกินข้าวกันเสร็จเรียบร้อยและยกจานชามไปเก็บล้างแล้ว น้องสาวของณรงค์ก็วิ่งออกมาเขย่าแขนแม่ยิกๆ

“แม่จ๋า เดี๋ยวหนูกับศรจะออกไปเล่นน้ำสงกรานต์นะ เมื่อกี้พวกไอ้ยุ้ยโทรมาชวน ตอนนี้กำลังสาดน้ำกันแถวหน้าโรงเรียนเลย”

“อ้าว จะไปเล่นน้ำกันแล้วเหรอ พวกพี่ๆ เขาเพิ่งมาถึงบ้านกันเองนะ”

เด็กสาวทำปากยื่น “ก็แหม พวกเพื่อนๆ มันเพิ่งโทรมาตะกี้นี่นา ถ้างั้นพี่รงค์กับพี่รักจะไปเล่นน้ำกับพวกหนูไหมล่ะ?”

ณรงค์หันไปมองไรอันแล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม และเห็นความไม่แน่ใจที่สะท้อนในดวงตาสีน้ำตาลอ่อนแม้จะไม่ชัดเจนนัก ชายหนุ่มจึงตัดสินใจแทนให้

“ไปสิ พี่รักเขาก็ไม่เคยเล่นสงกรานต์มาก่อนด้วย ก่อนมานี่เขายังบอกพี่ว่าอยากลองเล่นสาดน้ำอยู่เลย”

“Hey! Who said I wanted to…”

ไรอันขึ้นเสียงแล้วก็ชะงักเพราะสายตาของทุกคนจับจ้องเขาอยู่ ณรงค์จึงยิ้มอย่างมีชัย เพราะเขาจับจุดอ่อนได้แล้วว่าไรอันท่าทางจะเกรงใจแม่เลี้ยงกับน้องๆ ของเขาจนไม่ออกปากปฏิเสธแน่ หนุ่มลูกครึ่งหันไปมองคนอีกสามคนที่กำลังยืนทำหน้าเหลอหลา แล้วโหนกแก้มของชายหนุ่มก็แต้มสีเข้มขึ้น

“...เอ่อ...ไป...ก็ได้ครับ”

“เย้! งั้นเดี๋ยวพี่รักซ้อนมอเตอร์ไซค์พี่รงค์ก็แล้วกันนะ แล้วสามาซ้อนรถเรา คราวนี้พวกเพื่อนๆ ได้แตกตื่นกันแน่ มีลูกครึ่งหล่อๆ มาเล่นน้ำด้วยเนี่ย”

เด็กชายเอ่ยก่อนจะวิ่งออกไปที่โรงจอดรถซึ่งมีรถมอเตอร์ไซค์สามคันจอดอยู่ ส่วนเด็กสาวก็ยิ้มร่าเริงแล้วคว้าแขนไรอันมาคล้องพลางพาเดินตามไปที่โรงรถ ส่วนณรงค์เพิ่งนึกขึ้นได้หลังได้ยินที่น้องชายพูดเมื่อกี้ ว่าท่าทางที่เขาจะพาไรอันไปเล่นสาดน้ำนี่คงจะไม่ใช่การแกล้งเอาคืนอีกฝ่ายหรอก แต่จะเป็นการแกล้งหาเรื่องให้เขาเองเสียมากกว่า เพราะพวกสาวๆ ที่ออกไปเล่นสาดน้ำกันมีหวังได้หาโอกาสมาตีสนิทแล้วเบียดไรอันแบบเนียนๆ แน่

“ดูท่าทางแฟนของรงค์เขาจะไม่ค่อยอยากตัวเปียกนะจ๊ะนั่น ทำไมไปแกล้งบังคับเขาอย่างนั้นล่ะ?”

เสียงทักจากแม่เลี้ยงที่ตบมือลงบนไหล่เขาเบาๆ ทำเอาณรงค์หันขวับอย่างตกใจ พอเห็นชายหนุ่มทำตาโต หญิงวัยกลางคนก็หัวเราะ

“แหม น้าก็เลี้ยงเรามาตั้งสิบกว่าปีแล้วนะ แค่สายตาของรงค์เวลามองคนที่ชอบแล้วเป็นยังไงทำไมจะดูไม่ออก ไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะ น้าว่าไรอันเขาก็ดูน่าจะเข้ากับครอบครัวเราได้ดีนะ”

ณรงค์แค่นยิ้มเมื่อได้ยินเสียงสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์จากโรงรถ “ท่าทางจะดีกว่ากับผมแล้วซะด้วยสิตอนนี้”

ชายหนุ่มพูดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ในเมื่อเขาเองที่เป็นคนทำให้ไรอันต้องไปเล่นน้ำสงกรานต์ เขาก็ต้องแสดงความรับผิดชอบด้วยการออกไปคอยดูแลอย่างเลี่ยงไม่ได้

“ยังไงก็อย่าเล่นกันแบบรุนแรงแล้วกันนะจ๊ะ”

แม่เลี้ยงของเขาเตือนอีก ณรงค์จึงพยักหน้ารับก่อนจะเดินออกไปที่หน้าบ้านพลางม้วนแขนเสื้อยืดขึ้นไปด้วย พลันก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้

ว่าแต่...นี่เราก็ไม่ได้เล่นน้ำสงกรานต์มาหลายปีแล้วเหมือนกันนะนี่...


++------++


หัวข้อ: Re: [นิยาย] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนควันหลงสงกรานต์ [อัพ complete 19/4/11 P.3]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 19-04-2011 12:15:29
หลังจากตามน้องฝาแฝดทั้งสองไปเล่นสาดน้ำที่หน้าโรงเรียนมัธยมซึ่งเป็นโรงเรียนเก่าของเขาเอง ณรงค์ก็พบว่าเขาชักจะอายุมากเกินกว่าจะเล่นสาดน้ำแบบนี้ไปเสียแล้ว

จริงอยู่ว่าหลังจากไม่ได้เล่นสงกรานต์มาหลายปีนับตั้งแต่เข้าทำงาน เขาจะรู้สึกเคอะเขินและเงอะงะอยู่บ้าง แต่พอโดนน้องๆ แกล้งสาดน้ำใส่พร้อมกับตะโกนแซว สัญชาตญาณเอาชนะของเขาก็ทำให้หยิบปืนฉีดน้ำอันใหญ่มาไล่ฉีดเด็กๆ กลับ และพาลเลยไปฉีดใส่ไรอันที่เหมือนคนหลงถิ่นมาอยู่ท่ามกลางวัฒนธรรมที่ไม่คุ้นเคยไปด้วย แต่ทั้งที่ปกติแล้วหนุ่มลูกครึ่งจะค่อนข้างเฉยชาเวลาอยู่ที่บริษัทจนเขานึกว่าอีกฝ่ายคงจะไม่ชอบการละเล่นแบบนี้ กลายเป็นว่าไปๆ มาๆ ดูไรอันจะสนุกกับการเล่นสาดน้ำมากกว่าเขาเสียอีก แถมยังเผลอปล่อยตัวจนสาวๆ นุ่งน้อยห่มน้อยพากันเข้าไปเบียดกระแซะจนเกินงามอีกด้วย ร้อนถึงเขาต้องเข้าไปคอยอยู่ข้างๆ คอยเป็นบอดี้การ์ดกันสาวๆ พวกนั้นไปซะฉิบ

กว่าการเล่นสาดน้ำกันของพวกเด็กๆ จะจบลง เวลาก็ล่วงเลยไปจนพระอาทิตย์คล้อยต่ำและแสงแดดที่แผดจ้าเริ่มคลายความร้อนแรง ณรงค์เดินนำไรอันไปที่รถมอเตอร์ไซค์ซึ่งจอดไว้ด้านหลังโรงเรียนเพื่อจะได้พากลับบ้าน ส่วนน้องฝาแฝดแยกตัวไปก่อนแล้วเพราะจะตามเพื่อนไปเล่นสาดน้ำที่อื่นกันต่ออีกสักพักถึงค่อยกลับ

“ฮัดเช่ย!”

เสียงจามจากคนที่เพิ่งขึ้นนั่งซ้อนท้ายหลังณรงค์ติดเครื่องทำให้ชายหนุ่มหันไปมอง และพบว่าไรอันรีบใช้หลังมือปาดจมูกลวกๆ

“คุณไม่สบายเหรอ?”

“เปล่า”

หนุ่มลูกครึ่งปฏิเสธแทบจะทันที ขณะที่ณรงค์ไม่ค่อยอยากเชื่อนัก เพราะต่อให้ชินกับอากาศร้อนแค่ไหน ถ้ามาเจอสาดน้ำเย็นๆ เข้าไปกลางแดดเปรี้ยงติดต่อกันหลายชั่วโมงก็ทำให้คนที่แข็งแรงสุดๆ เป็นหวัดได้เหมือนกัน ชายหนุ่มจึงดึงแขนข้างหนึ่งของไรอันให้โอบเอวเขาไว้

“ผมจะรีบพากลับบ้านไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก็แล้วกัน จับผมให้แน่นๆ นะ”

ไรอันส่งเสียงอย่างตกใจเมื่อจู่ๆ คนขับก็เร่งเครื่องออกรถอย่างแรงจนคนซ้อนแทบหงายหลัง ณรงค์ได้ยินเสียงพึมพำสบถเป็นภาษาอังกฤษเบาๆ จากหนุ่มลูกครึ่ง แต่ก็ไม่ได้ถือสาและยิ้มเมื่อรู้สึกได้ว่าอ้อมแขนที่โอบรอบเอวเขากระชับแน่นขึ้น เช่นเดียวกับความอบอุ่นเมื่ออีกฝ่ายค่อยแนบหน้าลงบนแผ่นหลังเขาอย่างช้าๆ หลังจากที่บ่นจนพอใจ

แสงอาทิตย์ยามเย็นยิ่งลดเลือนเมื่อเวลาเย็นย่ำ เมื่อณรงค์เอารถมอเตอร์ไซค์เข้าจอดที่โรงรถ ท้องฟ้าก็เริ่มเป็นสีม่วงแกมแสดแล้ว

“รถพ่อผมจอดอยู่ สงสัยคงกลับมาแล้วล่ะ”

ณรงค์หันไปบอกคนข้างหลังที่ดูเหมือนจะเผลอหลับระหว่างที่ใกล้จะมาถึงบ้าน ไรอันจึงยกศีรษะขึ้นแล้วหรี่ตามองเขาเหมือนยังไม่ค่อยตื่นดี และณรงค์ก็ไม่นึกตำหนิอีกฝ่าย เพราะการเล่นสาดน้ำกันแบบเต็มที่เมื่อครู่คงสูบพลังงานจากหนุ่มลูกครึ่งไปพอสมควร

“กลับมาแล้วครับ”

ณรงค์เดินนำไรอันเข้าไปในบ้าน และพบว่าพ่อเขากำลังนั่งจิบเบียร์และมีกับแกล้มจานเล็กๆ ที่โต๊ะอาหารโดยมีแม่เลี้ยงเขานั่งเป็นเพื่อน ผู้สูงวัยทั้งสองหันมายิ้มให้เมื่อเห็นเขาเดินเข้าไปหา

“กลับมาซะที ไม่ได้เจอกันนานเลยนะเรา”

“หวัดดีครับพ่อ ศรกับสาบอกว่าจะไปเล่นน้ำกับพวกเพื่อนๆ ต่อเลยไม่ได้มาด้วย แต่ผมบอกแล้วว่าอย่ากลับบ้านดึกนัก”

ผู้สูงวัยพยักหน้า “เจ้าพวกนั้นโทรมาบอกแล้วล่ะ พ่อก็เตือนแล้วเหมือนกันว่าถ้าสองทุ่มยังไม่ถึงบ้านจะออกไปตามพร้อมไม้เรียวด้วย ว่าแต่นี่เพื่อนที่เราพามาล่ะสิ?”

ณรงค์หันไปด้านหลังพร้อมกับเบี่ยงตัวเพื่อจะได้แนะนำไรอันได้ถนัดขึ้น “ไรอัน นี่พ่อผมเอง ไรอันเป็นเจ้านายผมที่บริษัทน่ะพ่อ”

พ่อของณรงค์ฟังแล้วก็เลิกคิ้วพลางใช้มือหนึ่งลูบคาง “หือ? เป็นเจ้านายด้วยรึ อืม...หายากนะที่สนิทกันได้ขนาดนี้”

“พ่อนี่ก็...ว่าแต่รงค์พารักไปอาบน้ำก่อนดีไหมจ๊ะ ใส่เสื้อผ้าเปียกๆ นานๆ เดี๋ยวจะไม่สบายเอา”

แม่เลี้ยงของเขาทักขึ้น ณรงค์จึงหันไปมองไรอันเต็มตา และเห็นว่านอกจากเสื้อผ้าอีกฝ่ายจะเปียกไปทั้งตัวแล้ว ตามเนื้อตัวก็แดงเพราะตากแดดมาตลอดบ่ายด้วย จึงรีบโอบหลังและพาไปทางบันไดทันที

“ถ้างั้นเดี๋ยวผมพาไรอันขึ้นไปอาบน้ำก่อนนะครับ เดี๋ยวอีกสักพักจะลงมากินข้าวเย็นด้วยก็แล้วกัน”

ระหว่างที่กำลังเดินเลี้ยวขึ้นบันได ณรงค์เห็นแม่เลี้ยงตบแขนพ่อเขาเบาๆ แล้วทั้งคู่ก็หัวเราะคิกคักกัน จึงเดาได้ว่าคงกำลังคุยเรื่องเขากับไรอันอยู่อย่างไม่ต้องสงสัย ชายหนุ่มกลอกตาแล้วก็ได้แต่นึกขอบคุณทั้งสองในใจที่อย่างน้อยก็ไม่แซวพวกเขาต่อหน้า ไม่อย่างนั้นไรอันคงได้กระฟัดกระเฟียดใส่เขาแน่ๆ

เมื่อเดินขึ้นมาถึงบนห้อง ณรงค์ก็ให้ไรอันเข้าห้องก่อนแล้วปิดประตูตามหลัง เนื่องจากเขาเป็นลูกคนโตจึงค่อนข้างมีอภิสิทธิ์ตรงที่ในห้องนอนของเขามีห้องน้ำส่วนตัว ทำให้ไม่เคยต้องเข้าคิวรอใช้ห้องน้ำเวลามาค้างที่นี่กับพวกน้องๆ ทั้งสอง

“คุณอาบน้ำในนี้ก็ได้ เดี๋ยวผมจะออกไปอาบที่ห้องน้ำข้างนอก”

ณรงค์เอ่ยพลางหยิบผ้าขนหนูกับเสื้อผ้าที่จะเปลี่ยนออกจากตู้ แต่หนุ่มลูกครึ่งกลับขมวดคิ้วแล้วมองเขา จากนั้นก็เม้มริมฝีปากเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยเสียงเบา

“It’s ok if we shower together.”

เสียงนั้นแผ่วจนณรงค์นึกว่าตัวเองหูฝาด เมื่อหันไปมองคนพูดก็เห็นว่าผิวแก้มของไรอันเป็นสีแดงเรื่อ แต่ยากจะบอกว่าสีที่เข้มขึ้นนั้นมาจากการที่ตากแดดเมื่อตอนบ่ายหรือเพราะสิ่งที่เพิ่งพูดกันแน่

“เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไรนะ?”

ไรอันทำหน้าเหนื่อยหน่ายพลางถอดเสื้อยืดแขนกุดที่เปียกจนแนบเนื้อออกแล้วปล่อยให้ตกลงบนพื้น จากนั้นก็ใช้นิ้วโป้งข้างหนึ่งเกี่ยวที่ขอบกางเกงเหมือนจะรูดทั้งตัวนอกและตัวในลงในคราวเดียว

“ผมบอกว่าเราอาบน้ำด้วยกันก็ได้ ถึงยังไงนี่ก็ห้องคุณนี่นา เว้นว่าคุณอยากอาบคนเดียวมากกว่าก็ตามใจ”

เมื่อจบประโยค กางเกงขาสั้นกับกางเกงในสีขาวก็ถูกรูดลงมาถึงข้อเท้าคนพูดพอดี ไรอันยกขาออกจนพ้นกองกางเกงแฉะๆ ที่วางอยู่ข้างเสื้อซึ่งถอดไปก่อนหน้า จากนั้นก็หมุนตัวแล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำโดยจงใจไม่ปิดประตู ไม่นานเสียงน้ำจากฝักบัวที่ตกกระทบพื้นก็ดังขึ้น และณรงค์ก็พบว่าตัวเองยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม และสายตาก็ยังจ้องอยู่จุดเดิมที่ไรอันยืนอยู่เมื่อกี้จนแทบไม่กะพริบเหมือนกัน

หลายวินาทีผ่านไปกว่าเขาจะรู้สึกตัวและหันไปกดล็อคประตูห้องนอน จากนั้นจึงรีบถอดเสื้อผ้าออกทั้งหมดและเดินตามไรอันเข้าไปในห้องน้ำบ้าง ชายหนุ่มรู้สึกว่าหัวใจเต้นรัวเร็วขึ้นจนแทบจะได้ยินเสียงก้องในหู และภาพที่อีกฝ่ายยืนหันหลังให้เขาโดยที่มีสายน้ำจากฝักบัวที่แขวนไว้ไหลรดลงบนร่างก็ทำเอาณรงค์แทบหยุดหายใจ

ไรอันไม่ได้หันมาทางเขา แต่ก็คงรับรู้ว่าเขาเข้ามาในห้องน้ำด้วยแน่นอน ร่างสูงเพรียวหันไปหยิบก้อนสบู่จากที่วางขึ้นมาขยี้ให้เกิดฟองแล้วก็ลูบไปบนแขน ณรงค์จึงขยับตัวเข้าไปใกล้และหยิบสบู่ก้อนนั้นมาถือไว้เอง ระยะที่ใกล้ชิดทำให้สายตาของทั้งสองประสานกันเมื่อไรอันเหลียวหลังกลับมา เช่นเดียวกับไออุ่นจากทั้งสองร่างที่ราวกับดึงดูดพวกเขาไว้ไม่ให้ห่างออกจากกัน

“เดี๋ยวผมถูสบู่ให้เอง”

ณรงค์เอ่ยพลางลูบก้อนสบู่ไปบนแผ่นหลังของหนุ่มลูกครึ่ง ไรอันไม่ได้ตอบปฏิเสธและเพียงแต่ยืนนิ่งๆ ให้เขาถูสบู่ให้ จนถึงบริเวณไหล่ที่ผิวโดนแดดเผาจนสีแดงจัดกว่าผิวส่วนอื่น คนที่ยืนนิ่งมานานจึงส่งเสียงลอดไรฟันเบาๆ

“ขอโทษ แสบเหรอ?”

ณรงค์ถามพลางลูบผิวบริเวณที่ไหม้ของไรอันอย่างอ่อนโยนราวนั่นจะช่วยทำให้เขาหายเจ็บ ไรอันจึงส่ายหน้าก่อนจะหันกลับมาอีกครั้ง

“นิดหน่อยน่ะ พอดีผมก็ลืมทาซันบล็อกเอาไว้ก่อน ไม่นึกว่าแดดมันจะแรงขนาดนั้น”

“ผมผิดเอง ความจริงไม่น่าให้คุณออกไปเล่นสาดน้ำกลางแจ้งแบบนั้นเลย ขอโทษด้วย”

ชายหนุ่มเอ่ยพลางจับไรอันให้หันหน้ามาหา จากนั้นก็ช่วยถูสบู่บนแผ่นอกและลำคอให้ รอยแดงบนไหล่และอกส่วนที่โผล่พ้นเสื้อทำให้เขายิ่งนึกโทษตัวเองมากขึ้นอีก

“It’s ok. I had fun.”

ไรอันเอ่ยพลางสูดหายใจลึกเมื่อณรงค์ลูบก้อนสบู่ต่ำลงไปบนหน้าท้องที่ไม่ถึงกับแบนราบแต่มีกล้ามเนื้อเล็กน้อย ณรงค์จึงตวัดสายตาขึ้นสบตากับไรอันอีกครั้ง และสัมผัสได้ว่าแผ่นอกของหนุ่มลูกครึ่งเริ่มกระเพื่อมถี่ตามลมหายใจที่กระชั้นขึ้น

“ความจริง ที่ผมชวนคุณไปเล่นสาดน้ำนั่นเพราะผมอยากแกล้งคุณ เรื่องที่บอกกับยายสาไปว่าคุณยังไม่มีแฟนน่ะ”

ณรงค์วางก้อนสบู่ลงบนที่วาง ก่อนจะค่อยๆ เบียดร่างกายเข้าหาไรอันมากขึ้นจนแผ่นอกของทั้งสองแนบชิด เช่นเดียวกับร่างกายท่อนล่างที่ต่างเริ่มแสดงปฏิกิริยาต่อการเสียดสีมากขึ้นทุกที

“ผมรู้”

ไรอันเอ่ยเสียงหอบ ก่อนที่ลมหายใจจะถูกช่วงชิงเมื่อณรงค์บดริมฝีปากเข้าหาอย่างไม่ปราณี หนุ่มลูกครึ่งยกแขนขึ้นเกาะเกี่ยวแผ่นหลังของณรงค์ไว้ราวกับหากไม่ทำเช่นนั้นจะยืนไม่อยู่ ส่วนณรงค์ก็ใช้แขนข้างหนึ่งรั้งเอวสอบของคนตรงหน้าไว้แน่น ขณะที่มืออีกข้างสอดนิ้วเข้าไปในเรือนผมที่เปียกน้ำจนชุ่มของไรอันและดึงให้แหงนเงยเพื่อรับจูบจากเขามากยิ่งขึ้น

ริมฝีปากของทั้งสองบดเบียดกันอย่างร้อนแรง เช่นเดียวกับปลายลิ้นที่เกี่ยวกระหวัดอย่างไม่มีใครยอมใคร จูบครั้งนี้ต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับคืนวันวาเลนไทน์ที่เต็มไปด้วยความนุ่มนวลและอ่อนหวาน เพราะทุกสัมผัสเต็มไปด้วยความเร่งเร้าและร้อนรน ราวกับหากไม่ได้สัมผัสเนื้อตัวกันในนาทีนี้จะต่างทนความต้องการที่กำลังปะทุในใจไม่ได้

“อะ...อ๊ะ Not there!!”

ท่ามกลางพายุอารมณ์ที่ปั่นป่วน ไรอันยังมีสติพอที่จะรู้สึกตัวเมื่อณรงค์เลื่อนมือหนึ่งต่ำลงไปที่สะโพกด้านหลัง นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนหรี่ขึ้นสบตากับนัยน์ตาของณรงค์อย่างขอร้อง ชายหนุ่มจึงกระซิบติดริมฝีปากอีกฝ่ายเสียงแผ่ว

“ถ้าแค่นิ้วล่ะ โอเคมั้ย?”

ณรงค์รู้สึกได้ว่าร่างในอ้อมแขนสั่นขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่ไรอันจะหลุบตาลงและพยักหน้าช้าๆ ร่างเพรียวของหนุ่มลูกครึ่งสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อณรงค์ใช้นิ้วที่ถูกับก้อนสบู่จนลื่นลูบที่รอยแยกตรงเนินเนื้อด้านหลัง ก่อนจะค่อยๆ สอดปลายนิ้วเข้าไปในช่องทางคับแน่นทีละนิด ท่าทางตื่นเกร็งและปลายนิ้วที่จิกลงบนไหล่เขาอย่างแรงทำให้ณรงค์สังหรณ์ใจว่าบริเวณนั้นของหนุ่มลูกครึ่งคงไม่เคยผ่านการถูกล่วงล้ำจากใครมาก่อน และนั่นก็ทำให้อารมณ์ที่มัวหมองก่อนหน้านี้ของเขาปลอดโปร่งขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ

ไรอันลืมตาขึ้นเมื่อถูกดึงมือให้ลดลงจับความแกร่งร้อนของณรงค์ที่กำลังเบียดกับความร้อนรุ่มของตัวเอง สายตาสองคู่ประสานกันใต้สายน้ำที่ยังคงไหลไม่หยุด ก่อนที่ไรอันจะหลับตาอีกครั้งและรู้ได้เองว่าควรทำอะไรด้วยการใช้ทั้งสองมือโอบกุมความแข็งขืนของทั้งคู่และขยับไปพร้อมกัน

“อื้มมม”

ร่างเพรียวส่งเสียงครางในคอเมื่อณรงค์ก้มลงปิดเสียงจากริมฝีปากของเขาด้วยริมฝีปากตัวเอง ภายในห้องน้ำจึงมีเพียงเสียงสายน้ำจากฝักบัวที่ยังไหลรินบนร่างของชายหนุ่มทั้งสอง เสียงของร่างกายที่เสียดสีกันจนเกิดเสียงเฉอะแฉะหยาบโลน และเสียงหอบหายใจถี่ที่สะท้อนถึงความปั่นป่วนจากร่างกายของทั้งคู่

ณรงค์ตระหนักว่าตัวเองกำลังจะทนความรู้สึกที่พลุ่งพล่านไม่ไหว เพราะการได้แนบชิดร่างกายเปลือยเปล่ากันและสัมผัสจากมือของไรอันนั้นดีกว่าที่เขาคิดฝันไว้มากนัก จึงเลื่อนมือที่รั้งเอวสอบไว้มากุมรอบมือของไรอันอีกชั้นเพื่อกำกับให้ขยับเร็วขึ้น ขณะเดียวกันก็เพิ่มนิ้วที่สอดแทรกในร่างกายอุ่นขึ้นเป็นสองนิ้วด้วย และในเวลาไม่นาน พยับคลื่นความสุขสมที่ถาโถมก็ม้วนขึ้นกระหน่ำซัดทั้งคู่จนต่างไม่รับรู้อะไรอีกนอกจากสัมผัสจากคนตรงหน้าเท่านั้น

ชายหนุ่มทั้งสองต่างหอบหายใจแรงไม่เป็นจังหวะเมื่อเสร็จสิ้นการแลกเปลี่ยนรสเสน่หาให้กันและกัน ณรงค์สัมผัสได้ถึงช่องทางเบื้องหลังของไรอันที่บีบรัดนิ้วทั้งสองของเขาอย่างแรง จึงรอจนกระทั่งร่างกายของอีกฝ่ายสงบลงมากขึ้นถึงค่อยถอนนิ้วออก ฝ่ายไรอันค่อยๆ ปรือตาขึ้นมองเขาราวกับเปลือกตามีอะไรที่หนักอึ้งถ่วงไว้ จากนั้นก็แนบริมฝีปากลงบนริมฝีปากเขาอย่างแผ่วเบาจนณรงค์ยิ้ม

บรรยากาศอ่อนหวานกระจายตัวพร่างพรมไปทั่วทั้งห้องน้ำ แต่แล้วณรงค์ก็นึกขึ้นได้ว่ายังมีอีกเรื่องที่ทำเอาเขายังฉุนไม่หายอยู่ จึงใช้ปลายจมูกดุนจมูกอีกฝ่ายแล้วเรียกชื่อเสียงเบา

“ไรอัน”

“หืม?”

หนุ่มลูกครึ่งส่งเสียงถามในคอ ใบหน้าแดงเรื่อและลามไปจนถึงช่วงอก นัยน์ตาที่ยังฉ่ำเยิ้มเพราะความพิศวาสเมื่อครู่ทำให้ความไม่พอใจของณรงค์ลดวูบ แต่ก็คิดว่าถึงอย่างไรก็ต้องพูดในเมื่อทั้งสองคบกันแล้ว

“คุณยังติดผมอยู่อีกเรื่องนะ ทีผมคุณบอกว่าไม่ชอบให้เรียกชื่อเล่น แต่ทำไมวันนี้คุณถึงเที่ยวแนะนำตัวเองกับน้าหนิงกับเจ้าสองตัวนั่นด้วยชื่อรักตลอดเลยล่ะ?”

ณรงค์ถามอย่างตัดพ้อ ไรอันจึงสบตาเขานิ่งๆ ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ระเบิดหัวเราะออกมาเสียงดังจนคนถามทำหน้าเหลอ

“Sorry. ผมยอมรับว่าเมื่อก่อนผมไม่อยากให้คุณเรียกชื่อเล่นผมจริงๆ แต่ตอนนี้ผมก็เริ่มจะชินแล้วล่ะ ที่ยังไม่อยากให้คุณเรียกชื่อรักน่ะเพราะสาเหตุอื่นต่างหาก”

หนุ่มลูกครึ่งกลั้นหัวเราะพลางยกสองเขนขึ้นโอบรอบคอเขาไปด้วย ณรงค์จึงได้แต่ขมวดคิ้วมองรอยยิ้มของอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะได้ยินคำตอบเมื่อไรอันโน้มคอเขาเข้าหา นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนของคนพูดเป็นประกายแวววามยามที่อธิบายชิดริมฝีปากเขา

“เพราะผมชอบเสียงคุณเวลาเรียกผมว่าไรอันมากกว่าน่ะสิ”


++------++


ตลอดช่วงเทศกาลสงกรานต์นั้น ณรงค์กับไรอันอยู่บ้านที่กาญจนบุรีกันจนกระทั่งถึงวันหยุดวันสุดท้าย ตอนแรกณรงค์คิดว่าหนุ่มลูกครึ่งที่ไม่ชินกับชีวิตต่างจังหวัดคงเบื่อหลังจากอยู่ได้สองสามวัน แต่ปรากฏว่าไรอันก็ไม่เคยปริปากบอกเขาว่าอยากรีบกลับสักที นอกจากนี้ความช่างเลือกกินก็ดูจะไม่เป็นปัญหาเมื่อมาเจอฝีมือทำอาหารของแม่เลี้ยงเขา ถึงแม้ว่าน้าหนิงจะไม่สันทัดการทำอาหารตะวันตก แต่ก็เพียรถามไรอันว่าชอบทานอะไรจะได้ทำให้ และหนุ่มลูกครึ่งก็กล้าลองอาหารที่ไม่เคยทานมาก่อนมากขึ้น เว้นบางมื้อที่เขาพาไรอันไปทานฟาสต์ฟู้ดที่ห้างในตัวเมืองบ้างเพื่อช่วยเปลี่ยนบรรยากาศให้ไม่เบื่อกับอาหารที่บ้านเกินไป

วันที่สิบสี่ซึ่งเป็นวันครอบครัวนั้น พ่อของณรงค์พาทั้งบ้านไปทำบุญตักบาตรและกรวดน้ำให้แม่ของณรงค์ที่เสียไปกันตอนเช้า จากนั้นก็พาไปรดน้ำผู้ใหญ่ที่บ้านของน้องชายปู่ซึ่งอยู่นอกตัวเมืองออกไปไกล เนื่องจากปู่กับย่าแท้ๆ ของณรงค์เสียตั้งแต่เขายังเด็กแล้ว ส่วนตลอดวันหยุดที่เหลือ เขาก็พาไรอันเที่ยวสวนผลไม้ของพ่อบ้าง แจวเรือให้ดูวิวสองฝั่งคลองใกล้บ้านบ้าง บางครั้งก็พาไปเที่ยวน้ำตกหรือสถานที่ท่องเที่ยวอื่นซึ่งโชคดีว่าจังหวัดบ้านเกิดเขามีเยอะ และนอกจากรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูรู้ว่าเป็นลูกครึ่งแล้ว ไรอันก็ดูจะปรับตัวเข้ากับการใช้วันหยุดที่บ้านที่ต่างจังหวัดกับครอบครัวของเขาได้ดีทีเดียว

เมื่อถึงวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของวันหยุด ณรงค์ก็พาไรอันไปไหว้ลาพ่อกับแม่เลี้ยงเพื่อจะได้กลับบ้านกันหลังทานอาหารกลางวันเสร็จเรียบร้อย ระหว่างที่แม่เลี้ยงของเขาพาไรอันเข้าไปในครัวเพื่อดูว่าจะนำผลไม้กับขนมอะไรกลับบ้านโดยที่น้องฝาแฝดทั้งสองตามเข้าไปด้วย พ่อก็เรียกณรงค์ไปคุย

“ตกลงว่าคนนี้สะใภ้พ่อใช่มั้ย?”

“เฮ่ย! พ่อ อย่าพูดอย่างนี้ให้ไรอันได้ยินนะ  พวกผมเพิ่งคบกันได้ไม่กี่เดือนเอง”

ณรงค์ตอบพลางชำเลืองมองไปทางครัวซึ่งโชคดีที่ยังไม่มีใครออกมา พ่อของเขามองตามสายตาแล้วก็ส่ายหน้ายิ้มๆ “เอาเถอะ ถ้ารงค์ทำอะไรแล้วมีความสุขพ่อก็ไม่ห้ามหรอก ถึงจะเสียดายที่คงไม่มีโอกาสอุ้มหลานเร็วๆ นี้ก็เถอะ อย่างน้อยก็ยังมีเจ้าศรกับยายสา เราไปอยู่กรุงเทพคนเดียวพ่อก็เป็นห่วง ถ้าได้มีคนอยู่ข้างๆ ก็ต้องดีกว่าอยู่แล้ว เขาเองมาอยู่ต่างบ้านต่างเมืองคนเดียวก็คงเหงา เราอายุมากกว่าก็ดูแลเขาให้ดีๆ ล่ะ”

ชายหนุ่มยิ้มและยกมือไหว้พ่อ ถึงแม้ว่าตั้งแต่ทำงานแล้วเขาจะไม่ได้กลับมาบ้านบ่อยเท่าสมัยที่เรียนมหาวิทยาลัย แต่เมื่อใดก็ตามที่ได้กลับมาที่นี่ก็จะได้รับความอบอุ่นและกำลังใจทุกครั้ง และเขาก็ดีใจที่พ่อและแม่เลี้ยงของเขาใจกว้างพอที่จะยอมรับคนที่ลูกรักได้ ถึงแม้ว่าอาจจะต่างออกไปจากลูกชายบ้านอื่นๆ ก็ตาม

“ถ้าผมกล่อมไรอันให้มาเยี่ยมบ้านอีกได้จะพามาบ่อยๆ ก็แล้วกัน”

ณรงค์เอ่ยขึ้น พ่อเขาจึงหัวเราะ “สงสัยจะดื้อน่าดูสิท่า? แต่พ่อเห็นโหวงเฮ้งแล้วก็รู้สึกว่าน่าจะเป็นคนแบบนั้นอยู่หรอก”

ชายหนุ่มได้ยินเสียงแม่เลี้ยงเรียกจากในครัวให้เข้าไปช่วยยกของ จึงผละเข้าไปช่วยขนถุงผลไม้ที่ถูกผูกแยกส่วนสำหรับของเขาและไรอันไว้ไปใส่ไว้ท้ายรถ จากนั้นชายหนุ่มทั้งสองก็ไหว้ลาพ่อกับแม่เลี้ยงอีกครั้ง ส่วนน้องๆ ทั้งสองก็เข้ามากอดลาทั้งเขาและไรอันอย่างอาลัยอาวรณ์

“แล้วพี่รงค์ต้องพาพี่รักมาเยี่ยมอีกนะ เสียดายพ่อยังไม่ให้สากับศรเข้ากรุงเทพเอง ไม่งั้นจะไปหาถึงที่คอนโดเลย”

น้องสาวของเขาเอ่ยขึ้นโดยที่นัยน์ตามีน้ำตาคลอ ณรงค์จึงขยี้หัวทุยๆ ที่มัดหางม้าหลวมๆ ไว้เบาๆ จากนั้นก็เหลือบมองไปที่หนุ่มลูกครึ่งข้างตัว “ไว้ถ้าพวกพี่มีวันหยุดยาวอีกเมื่อไหร่จะมาก็แล้วกัน พวกเราสองคนก็เป็นเด็กดีตั้งใจเรียนด้วยล่ะ ผมไปแล้วนะพ่อ น้าหนิง”

“ขับรถกลับดีๆ นะจ๊ะ แล้วเจอกันใหม่จ้ะรัก”

แม่เลี้ยงของเขาเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม ไรอันจึงยิ้มตอบก่อนจะเข้านั่งในรถบ้าง จากนั้นณรงค์ก็ขับรถออกมาโดยทิ้งภาพครอบครัวที่ยืนโบกมือลาไว้ด้านหลัง น่าแปลกที่เขาไม่เคยรู้สึกใจหายกับการกลับกรุงเทพมากเท่าครั้งนี้มาก่อน อาจเป็นเพราะว่าเวลาที่จะได้ใช้สองคนกับไรอันติดๆ กันหลายวันโดยมีครอบครัวเขาอยู่พร้อมหน้าด้วยแบบนี้ไม่ได้มีบ่อยๆ กระมัง

แม้ว่าณรงค์จะขับรถออกมาจากบ้านไกลแล้ว แต่ในรถก็ไม่มีใครชวนใครคุย และชายหนุ่มก็ไม่ได้เปิดเพลงเพราะเขารู้สึกว่าอยากอยู่กับความสงบเงียบมากกว่า ฝ่ายไรอันเองก็ดูจะไม่ได้อึดอัดเพราะเพียงแต่เท้าคางกับขอบกระจกแล้วมองออกไปภายนอกเงียบๆ เท่านั้น

ณรงค์ไม่รู้ว่าใครที่เป็นฝ่ายเริ่มก่อน แต่เมื่อรู้ตัว มือข้างซ้ายของเขากับมือขวาของไรอันก็ขยับไปโดนกันและเกาะกุมกันเอาไว้หลวมๆ ชายหนุ่มค่อยๆ สอดนิ้วเข้าไปเกี่ยวกับนิ้วของไรอันไว้แล้วดึงให้มาวางบนตักของเขา ก่อนที่ไรอันจะโน้มตัวมาเอนพิงไหล่เขาช้าๆ ราวกับทั้งสองเคยทำแบบนี้ประจำจนเป็นเรื่องปกติ ความอบอุ่นจากสัมผัสนั้นทำให้ณรงค์รู้สึกว่าอยากให้ช่วงเวลานี้ยืดยาวออกไปและไม่อยากกลับเข้ากรุงเทพเลย

“ครอบครัวคุณอบอุ่นดีนะ”

ไรอันเอ่ยขึ้นก่อนหลังจากที่พวกเขานั่งกันเงียบๆ อยู่นาน ณรงค์จึงพยักหน้าขณะที่แขนอีกข้างบังคับพวงมาลัยรถไปด้วย

“ผมโชคดีน่ะ ถึงน้าหนิงจะไม่ใช่แม่แท้ๆ ก็เอ็นดูผมดี พ่อก็ไม่เคยปล่อยปละละเลย ส่วนพวกน้องๆ ก็ว่าง่ายถึงจะซนไปหน่อย”

เมื่อณรงค์พูดถึงน้องฝาแฝด ไรอันก็หัวเราะนิดหนึ่งแล้วดันตัวเองออกมองหน้าเขา ณรงค์จึงเหลือบตามองตามอย่างสงสัย

“พูดถึงน้องๆ คุณ ตอนที่ผมเข้าไปในครัวน่ะ น้องสาวคุณมากระซิบถามว่าผมเป็นแฟนคุณหรือเปล่าด้วยนะ”

“หา?”

ณรงค์อุทานอย่างตกใจ จริงอยู่ว่าเขาไม่เคยคิดจะปิดบังความสัมพันธ์ของเขากับไรอันกับคนที่บ้าน แต่ก็ไม่คิดว่าน้องสาวจะมองออกง่ายขนาดนั้นทั้งที่เขาไม่เคยบอกตรงๆ

“...แล้วคุณตอบไปว่าไงล่ะ?”

ชายหนุ่มถามพลางเหลือบตากลับไปมองถนนด้านหน้า เขามั่นใจว่าตอนนี้ความรู้สึกที่ไรอันมีให้เขาคงมากกว่าเมื่อวันวาเลนไทน์แล้ว แต่อาจจะยังไม่ถึงขั้นที่จะเต็มใจรับว่าเขาเป็นแฟนเต็มตัวก็เป็นได้ หนุ่มลูกครึ่งจึงขยับนิ้วมือที่ประสานกับนิ้วของเขาไปมาแล้วทำท่าคิด

“ผมแค่ยิ้มแล้วไม่ได้พูดอะไรน่ะ ตอนนั้นผมงงที่ถูกถาม แล้วก็ไม่รู้ว่าจะตอบว่ายังไงดีนี่นา”

“แล้วถ้าผมถามคำถามเดียวกันตอนนี้ล่ะ? คุณตอบผมได้หรือเปล่า?”

ณรงค์เบี่ยงรถเข้าจอดข้างถนนซึ่งเต็มไปด้วยร่มไม้ใหญ่ จากนั้นก็หันไปถามไรอันตรงๆ เพราะเขารู้สึกว่าวินาทีนี้คือช่วงเวลาที่เขาจะได้คำตอบที่จริงใจมากที่สุด เพราะหากปล่อยจนกระทั่งพวกเขากลับถึงกรุงเทพ ไรอันอาจจะกลับไปเป็นเจ้านายที่เย็นชาและลืมช่วงเวลาที่พวกเขาเพิ่งมีด้วยกันที่บ้านสวนไปก็ได้

ไรอันดูเหมือนจะไม่ได้ตั้งตัวกับการที่ถูกถามอย่างเอาจริงเอาจังเช่นนั้น จึงนั่งสบตาเขานิ่งราวจะค้นหาบางสิ่งที่ซ่อนอยู่ในแววตาของณรงค์อยู่ครู่ใหญ่ หลายอึดใจผ่านไปกว่ามุมปากทั้งสองบนใบหน้าคมเข้มจะค่อยยกขึ้นน้อยๆ ณรงค์แทบกลั้นหายใจเมื่ออีกฝ่ายโน้มตัวเข้าหาจนริมฝีปากทั้งสองเกือบสัมผัสกัน แต่แทนที่จะจูบเขา ไรอันกลับเบี่ยงตัวไปกระซิบที่ข้างหูเขาแทน

“In that case, my answer is yes.”

หนุ่มลูกครึ่งย้ำคำตอบด้วยการกดจมูกลงบนแก้มณรงค์ทีหนึ่งก่อนจะถอยกลับไปนั่งที่เดิม จากนั้นก็ยิ้มชอบใจเมื่อเห็นสีหน้าของณรงค์ที่เหมือนกำลังเห็นมนุษย์ต่างดาวก็ไม่ปาน ก่อนจะเขย่ามือเขาเพื่อเรียกความสนใจกลับมา

“You’re my boyfriend. Happy now?”

ณรงค์ต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่กว่าจะค่อยๆ เรียกสติตัวเองกลับมาได้ จากนั้นความดีใจก็ถาโถมจนเขาต้องรั้งตัวหนุ่มลูกครึ่งเข้าไปกอดแน่น คนในอ้อมแขนหัวเราะอย่างสดใสก่อนจะยกมือข้างที่ไม่ได้จับกันไว้ขึ้นตบหลังเขาเบาๆ

ครู่ใหญ่กว่าณรงค์จะยอมคลายอ้อมแขนออก เขายิ้มให้กับเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนตรงหน้าและแนบหน้าผากลงกับหน้าผากอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา ความอ่อนหวานที่ได้สัมผัสทำให้เขาไม่อยากปล่อยมือจากร่างกายอีกฝ่ายเลย

“ขอบคุณมากนะ คุณไม่รู้หรอกว่าผมรอนาทีนี้มานานแค่ไหน”

“…ผมรู้”

ไรอันตอบพร้อมกับยิ้มให้ และณรงค์ก็พบว่าตัวเองหุบยิ้มไม่ได้มากขึ้นทุกที ชายหนุ่มยกมือข้างที่ประสานกันไว้ขึ้นแล้วแนบริมฝีปากลงบนหลังมือไรอันจนเกิดเสียงดัง จากนั้นก็หันไปออกรถเพื่อกลับเข้าเมืองอีกครั้ง พักหนึ่งก็หันไปถามคนข้างตัวที่เอนหัวมาพิงไหล่เขาอย่างเดิม

“บ่ายนี้ถึงกรุงเทพแล้วไปดูหนังกันมั้ย?”

หนุ่มลูกครึ่งหัวเราะเบาๆ พลางไหวไหล่ “ก็แล้วแต่คุณ”

“แล้วตอนเย็นไปกินข้าวกันที่ร้านเดิมด้วยนะ”

“Yeah yeah whatever you want, sweety.”

ณรงค์หัวเราะบ้างเพราะรู้ว่าไรอันกำลังแซวเขา แต่ต่อให้โดนด่าตอนนี้เขาก็คงจะไม่รู้สึกรู้สาเลยสักนิด

“งั้น...ถ้าคืนนี้ผมชวนคุณมานอนที่ห้องผมล่ะ?”

ณรงค์ถามอีก คราวนี้ไรอันจึงถอยไปนั่งพิงพนักตัวเองแล้วหยิบหมอนขึ้นมากอด “ให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะคุณ แล้วก็ขับรถดีๆ ด้วย ผมจะนอนล่ะ”

หนุ่มลูกครึ่งพูดจบก็ปล่อยมือจากเขาและหยิบแว่นกันแดดมาสวมก่อนจะปรับเบาะให้เอนลง ณรงค์จึงยิ้มก่อนจะดึงแจ๊คเก็ตจากพนักแล้วส่งให้ และไรอันก็รับไปห่มคลุมตัวเองโดยไม่ต้องให้บอก

“นอนไปเถอะ เดี๋ยวถึงกรุงเทพแล้วผมจะปลุก”

“อืม”

ไรอันรับคำในคอ จากนั้นไม่นานก็หลับสนิทจนส่งเสียงหายใจสม่ำเสมอ และณรงค์ก็ฉวยโอกาสตอนที่รถติดไฟแดงก้มลงหอมแก้มหนุ่มลูกครึ่งอีกครั้ง เพราะมั่นใจว่าตอนนี้เขามีสิทธิ์ที่จะทำเช่นนั้นได้โดยไม่ต้องห่วงจะโดนหาว่าลักหลับอีกแล้ว

อาจจะยังต้องใช้เวลาเรียนรู้กันต่อไปอีกหน่อย แต่ณรงค์ก็มั่นใจว่านับจากวันนี้ ไรอันคงจะเริ่มมองเขาต่างไปจากที่เคยมองมา และยอมรับให้เขาเข้าไปในหัวใจมากขึ้น รวมทั้งกล้าเปิดเผยตัวตนที่แต่ก่อนปิดบังไว้ให้เขาได้ใกล้ชิดมากขึ้นด้วย

ต่อให้คืนนี้ไรอันจะตามไปนอนกับเขาที่ห้องหรือไม่ หรือว่าเขาจะได้ไปนอนที่ห้องของไรอันหรือเปล่าก็ไม่สำคัญ เพราะสิ่งที่ณรงค์พบว่าสำคัญที่สุดจริงๆ ในห้วงนาทีนี้ คือการที่รักของเขาได้รับการตอบรับจากคนที่ได้หัวใจเขาไปเสียทีต่างหาก…
สงกรานต์ปีนี้ เขาคือคนที่โชคดีที่สุดจริงๆ...

End

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนควันหลงสงกรานต์ [อัพ complete 19/4/11 P.3]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 19-04-2011 12:18:22
รู้สึกอย่างกับเขียน Trilogy เพราะมาครบสามเทศกาลใหญ่แล้ว ฮา (อย่าถามถึงพวกไหว้พระจันทร์อะไรทำนองนั้นเลยนะ อิป้าไม่สันทัดเทศกาลจีนค่า) หวังว่าครึ่งหลังคงทำให้แม่ยกณรงค์กับไรอันหายใจโล่งกันขึ้นบ้างนะค้า ณรงค์อาจไม่ถึงกับเผด็จศึกได้ซะทีเดียว แต่อย่างน้อยก็ได้ของที่สำคัญกว่านั้นจากไรอันไปแล้วล่ะ จากนี้ก็ยังไม่รู้ว่าจะเขียนคู่นี้ตามเทศกาลไหนอีกหรือเปล่าเหมือนกัน บางทีถ้านึกอะไรได้อาจเขียนมาให้อ่านแก้คิดถึงกันซะมากกว่า หวังว่าตอนนี้คงทำให้คนอ่านยิ้มอย่างมีความสุขกันทุกคนค่ะ   :L1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนควันหลงสงกรานต์ [อัพ complete 19/4/11 P.3]
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 19-04-2011 13:07:18
มีความสุขกับตอนนี้
อ่านไปยิ้มไป

 :o8: :o8:


+1 ให้กับคุณรัก และรงค์
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนควันหลงสงกรานต์ [อัพ complete 19/4/11 P.3]
เริ่มหัวข้อโดย: kakuro ที่ 19-04-2011 13:13:31
ขอบคุณคุณริน :L2:
ความสัมพันธ์รงค์กับรักก้าวหน้าไปอีกขั้นแล้ว
เทศกาลต่อไปหยุดวันแรงงานไง รงค์กับรักหยุดแน่ๆ
ลองวีคเอ็นด์ซะด้วย หยุดเสาร์อาทิตย์จันทร์
ว่าแต่ไปไหนดีคุณริน :-[
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนควันหลงสงกรานต์ [อัพ complete 19/4/11 P.3]
เริ่มหัวข้อโดย: badcow ที่ 19-04-2011 13:41:18
น่ารักมากครับ
อ่านซ้ำไปมาไม่ได้ทำงานเลย 555
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนควันหลงสงกรานต์ [อัพ complete 19/4/11 P.3]
เริ่มหัวข้อโดย: love2y ที่ 19-04-2011 14:21:17
มีความสุขจัง อิอิ ยินดีกับรงค์ด้วย ^^

ปล. รอตอนพิเศษวันหยุดแรงงาน >_<
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนควันหลงสงกรานต์ [อัพ complete 19/4/11 P.3]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 19-04-2011 17:55:20
เทศกาลต่อไปนำเสนอวันแรงงานเหรอคะ ดูมันยังไม่ทิ้งห่างสงกรานต์เท่าไหร่เลยเนาะ (แถมต่อจากนั้นจะมีวันฉัตรฯ วันพืชฯ อีก คนเขียนตายหยังเขียดแหง 55555555)   :try2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนควันหลงสงกรานต์ [อัพ complete 19/4/11 P.3]
เริ่มหัวข้อโดย: kakuro ที่ 19-04-2011 19:45:25
 :z13:คุณริน
เราออกจะเกรงใจคุณรินเสนอวันแรงงานหยุดยาวช่วงเดียวนะ
เราเห็นว่าวันพืชฯวันฉัตรฯเป็นวันพระราชพิธี วันวิสาขบูชาก็เป็นวันศาสนา ไม่เหมาะที่จะให้รงค์กะรักได้กัน :-[
คุณรินมาชี้โพรงให้กระรอกกระโจนโหนตัวเข้าไปเองนะ
เราเห็นว่าวันแรงงานเหมาะกับการใช้แรงงานของสองหนุ่มจริงๆนะคุณริน :o8:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนควันหลงสงกรานต์ [อัพ complete 19/4/11 P.3]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 19-04-2011 19:49:49
โอวววว คุณ kakuro ช่างคิดล้ำลึกยิ่งนัก ข้าน้อยขอคารวะ!! (<< ไม่ได้คิดอะไรลึกเท่านั้นเลยนะเนี่ย) ว่าแต่วันแรงงานนี่มันช่างเป็นข้ออ้างในการ "ใช้แรงงาน" จริงๆ นิ เอิ้กๆๆ (แต่จะได้เขียนป่าวไม่รู้นะ)  :laugh:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนควันหลงสงกรานต์ [อัพ complete 19/4/11 P.3]
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 20-04-2011 18:45:50
จิ้มๆๆๆ คนแต่ง

ในที่สุด เขาก็เป็นแฟนกันเป็นทางการซะที เ้ย้ๆๆๆๆ  :mc4:  :mc4:
รู้สึกว่า อ่านเรื่องนี้ แล้วเหนื่อยกับการลุ้นให้นายเอกรับรักพระเอก มากกว่าทุกเรื่องทีผ่านมาเลยนะเนี่ย เฮ้ออออออออออ โล่งอก   :a2:

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนควันหลงสงกรานต์ [อัพ complete 19/4/11 P.3]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 21-04-2011 08:21:17
จิ้มๆๆๆ คุณผึ้งมั่ง

รู้สึกว่า อ่านเรื่องนี้ แล้วเหนื่อยกับการลุ้นให้นายเอกรับรักพระเอก มากกว่าทุกเรื่องทีผ่านมาเลยนะเนี่ย เฮ้ออออออออออ โล่งอก   :a2:

ประเด็นใหญ่ใจความก็คือจะแกล้งพระเอกน่ะค่ะ เอ๊ยไม่ใช่! ให้พระเอกได้แสดงความจริงใจนานๆ หน่อยไง ฮ่าๆๆ :jul3:

 
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนควันหลงสงกรานต์ [อัพ complete 19/4/11 P.3]
เริ่มหัวข้อโดย: •ผั๑`|nกุ้va’ด• ที่ 21-04-2011 09:24:39
อยากอ่านต่ออีกจังค๊า >,,,<  เรื่องน่ารักมากๆค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนควันหลงสงกรานต์ [อัพ complete 19/4/11 P.3]
เริ่มหัวข้อโดย: kakuro ที่ 21-04-2011 11:25:56
"ประเด็นใหญ่ใจความก็คือจะแกล้งพระเอกน่ะค่ะ เอ๊ยไม่ใช่! ให้พระเอกได้แสดงความจริงใจนานๆ หน่อยไง ฮ่าๆๆ"
จริงๆแล้วคุณรินชอบให้ตัวเอกของคุณรินค้าง ยกตัวอย่าง
-เป้...วิวตอนวิวหลับ คุณรินก็ให้วิวตื่นมาชกเป้
-ต้นล้มลงกอดไผ่จน...แล้วก็ให้ทั้งคู่กอดกันเฉยๆ
-เชษฐ์กอดภัทรในห้องน้ำจน...แล้วให้รอมันสงบ
-รงค์ไม่ได้พกถุงเลยอด...รักในวันวาเลนไทน์
คิดไปคิดมาแล้วคนที่ค้างมากกว่าคือคนอ่าน :serius2:
คุณรินคงไม่โกรธนะ รองานเขียนคุณรินจ้ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนควันหลงสงกรานต์ [อัพ complete 19/4/11 P.3]
เริ่มหัวข้อโดย: ΩPRESTOΩ ที่ 21-04-2011 12:23:24
^
^

จิ้มคุณ kakuro ช่างคิดดังๆได้โดนใจเรา 555+
คุณรินหาได้แกล้งให้พระเอกได้แสดงความจริงใจนานๆแต่อย่างใดไม่
หากแต่เป็นการแกล้งคนอ่านให้ได้ค้างคาอย่างที่สุด  o18
อันที่จริงแล้วจะฝึกให้คนอ่านรู้จักอดทนอดกลั้น ยุบหนอพองหนอ ชิมิ  :m20:


รักนะตัวเอง  :จุ๊บๆ:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนควันหลงสงกรานต์ [อัพ complete 19/4/11 P.3]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 21-04-2011 13:19:24
^
^
^
สองคนข้างบน...ร้ายนักนะ แต่ละคำแทงใจจึ้กๆ   o22







แต่ว่า...ถูกทุกข้อฮ่ะ ถ้าไม่อารมณ์ค้างกันบ้างก็ไม่ตื่นเต้นอยากรู้ตอนต่อจิ อุโฮะๆๆๆๆ (กร๊าก ไม่ยักรู้ว่าที่แท้คนอ่านของเราก็ชอบอะไรค้างๆ แบบนี้นะเนี่ย)  :laugh5:

เขาก็รักคนอ่านเหมือนกัน งุงิ :man1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนควันหลงสงกรานต์ [อัพ complete 19/4/11 P.3]
เริ่มหัวข้อโดย: wan ที่ 21-04-2011 21:39:32
อยากจะ ^^ น้องริน ( คงเรียกไม่ผิด มั่ง )  ก็ยังไม่ควร เพราะยังไม่รู้จักกันเป็นทางการเลย  :m23:
ขอแนะนำตัวก่อน พี่ชื่อ วัน นะครับ รู้จัก น้องริน จากน้องสาวผู้น่ารัก แนะนำให้อ่านหนังสือของน้องริน
และน้องสาวอีกนั่นแหละ จองหนังสือ ให้เป็นที่เรียบร้อย ( แต่ยังไม่ได้จ่ายค่าหนังสือคืนให้น้องสาวเลย 555... )
เอาว่ารู้จักกันแล้วนะครับ ( ขี้ตู่ ) 555.... เป็นกำลังใจให้นะครับ ส่วนจะมาเมื่อไหร่ ก็คงเมื่อนั้น
+1 ให้เป็นการตอบแทนสำหรับเรื่องสนุก ๆ อีกทั้งรอลุ้น วันแรงงานของทั้ง  " รัก กับ ณรงค์ " :กอด1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนควันหลงสงกรานต์ [อัพ complete 19/4/11 P.3]
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 21-04-2011 22:06:38
ถ้าเป็นเรื่องของคุณริน
กว่าบทเข้าพระเข้านายจะมา
ต้องรอจนถึงจุดพีคค่ะ
พอมาแล้วก็ต้องบอกว่าของเขาดีจริงๆ หุหุหุ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนควันหลงสงกรานต์ [อัพ complete 19/4/11 P.3]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 21-04-2011 22:56:38
อยากจะ ^^ น้องริน ( คงเรียกไม่ผิด มั่ง )  ก็ยังไม่ควร เพราะยังไม่รู้จักกันเป็นทางการเลย  :m23:
ขอแนะนำตัวก่อน พี่ชื่อ วัน นะครับ รู้จัก น้องริน จากน้องสาวผู้น่ารัก แนะนำให้อ่านหนังสือของน้องริน
และน้องสาวอีกนั่นแหละ จองหนังสือ ให้เป็นที่เรียบร้อย ( แต่ยังไม่ได้จ่ายค่าหนังสือคืนให้น้องสาวเลย 555... )
เอาว่ารู้จักกันแล้วนะครับ ( ขี้ตู่ ) 555.... เป็นกำลังใจให้นะครับ ส่วนจะมาเมื่อไหร่ ก็คงเมื่อนั้น
+1 ให้เป็นการตอบแทนสำหรับเรื่องสนุก ๆ อีกทั้งรอลุ้น วันแรงงานของทั้ง  " รัก กับ ณรงค์ " :กอด1:

หวัดดีค่ะพี่วัน น้องสาวผู้น่ารักคนนั้นใช่พี่น้ำตาลหรือเปล่าน้า?
เพราะเห็นบอกว่าช่วยแนะนำนิยายให้พี่ชายท่านหนึ่งอ่านเหมือนกัน ถ้าใช่ก็ยินดีที่รู้จักอย่างเป็นทางการค่า   :impress2:

+1 คืนให้เช่นกัน หวังว่าจะเอ็นจอยเรื่องใหม่ที่ส่งไปแล้วเหมือนกันนะคะ ส่วนตอนวันแรงงานสำหรับณรงค์กับรักนี่ อย่ายุมากจิ เดี๋ยวบิ๊วท์ขึ้น ฮ่าๆๆ  :laugh:

ถ้าเป็นเรื่องของคุณริน
กว่าบทเข้าพระเข้านายจะมา
ต้องรอจนถึงจุดพีคค่ะ
พอมาแล้วก็ต้องบอกว่าของเขาดีจริงๆ หุหุหุ

คุณ yeyong คุณค่าของการรอคอยมันให้ผลหอมหวานและเต็มอิ่มยังงี้ละ (ป๊าดดดดด) ว่าแต่ทางบ้านหายน้ำท่วม + ได้หนังสือหรือยังเอ่ย? ส่งไปแล้วก็เป็นห่วงเหมือนกัน ยังไงถ้าได้รับหรือได้อ่านต้นกับไผ่แบบรวมเล่มแล้วมาเล่าสู่ให้ฟังกันบ้างนะคะ จุ๊บๆ  o13
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนควันหลงสงกรานต์ [อิมเมจสเก็ตช์ 05/05/11 P.3]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 05-05-2011 23:16:09
ตอนใหม่ยังไม่มา แต่แบบว่า...กำลังเห่อรูปสเก็ตช์ตัวละครจากน้อง Rans ค่ะ เลยขอเอามาแปะเผื่อแผ่คนอ่านที่อาจไม่ได้เล่น facebook ละกัน (เพราะแปะที่นู่นไปแล้ว) นี่คือณรงค์กับไรอันที่อาจหน้าตาออกแนว manga ไปนิด แต่อิมเมจใกล้เคียงภาพที่เคยคิดไว้ในหัวเลยค่ะ แอร๊ยย์  :o8:

เริ่มจากคนแรก พ่อพระเอกที่ชอบโดนปั่นหัว ที่คุณ kakuro เปรียบเปรยให้ว่า หมาเห่าเครื่องบินนั่นเอง (เอ๊ะ หรือหมาวัดกับดอกฟ้า?) มีคนทักว่าดูหล่อเกินไปด้วย กร๊ากกก :laugh:  

(http://i1095.photobucket.com/albums/i474/bellbomb/Narongfontimg2.jpg)

คนต่อไป ผู้บริหารหนุ่มลูกครึ่งขี้วีน ที่ชอบทำณรงค์ต้องคอยลุ้นอารมณ์อยู่เรื่อย  :เฮ้อ:

(http://i1095.photobucket.com/albums/i474/bellbomb/Ryanfontimg3.jpg)


ต้องขอบคุณน้อง Rans มากๆ ที่สื่ออารมณ์ตัวละครได้ตรงใจคนเขียนเลย อนึ่ง บนปกจริงทั้งคู่จะบึกบึนกว่านี้หน่อย แต่คงยังไม่รวมเล่มเร็วๆ นี้หรอกค่ะเพราะเนื้อหาเพิ่งกระจึ๋งเดียว (เป็นโปรเจ็คต์ในอนาคตอีกละ ^^") ว่าแต่ไหนๆ แล้ว ขอแจ้งให้ทราบว่าจากสัปดาห์หน้าเป็นต้นไป อิป้าคนนี้จะกลับไปเป็นพนักงานบริษัทเต็มเวลาแล้วค่ะ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าชีวิตจะยุ่งยิ่งปานไหน แต่ยังไงจะไม่ทิ้งนิยายแน่นอน ระหว่างนี้อนุญาตให้อ่านทวนตอนเก่าๆ ระหว่างรอตอนใหม่กันก่อนได้เน้อ แล้วพบกันใหม่เร็วๆ นี้ค่า (หวังว่า)  :z1:

ป๋อหลอ ขอความร่วมมือ อย่าเอารูปไปโพสต์ที่อื่นหรือนำไปดัดแปลงนะ เพราะคาแรกเตอร์ยังต้องปรับปรุงอีกค่า XD[/colo]
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนควันหลงสงกรานต์ [อิมเมจสเก็ตช์ 05/05/11 P.3]
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 06-05-2011 00:10:33
 o13 o13
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนควันหลงสงกรานต์ [อิมเมจสเก็ตช์ 05/05/11 P.3]
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 06-05-2011 03:02:02
กดบวกหนึ่งไปแล้วนะคะเธอ

แอร๊ยยยยยยยยซ์ ไรอันน่ารักอะ ชอบนายเอกที่เป็นแบบนี้ที่สุด แบบว่าค่อยๆมอบความรักให้กับพระเอกทีละน้อย แบบว่าเดี๊ยนชอบที่พระเอกมันต้องตกเป็นเบี้ยล่างน่ะค่ะ  :laugh:

อยากกอดไรอันจัง คงรู้สึกดีน่าดู ส่วนรงค์ อิอิ หล่อนะคุณขา ฮัวะๆๆๆ :o8:
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนควันหลงสงกรานต์ [อิมเมจสเก็ตช์ 05/05/11 P.3]
เริ่มหัวข้อโดย: kakuro ที่ 06-05-2011 07:24:42
ว้าย...มาแต่รูปหรือคุณริน เอาเรื่องด้วยดิ
ตอนแรกคุณรงค์เป็น"หมาเห่าเครื่องบิน"ตอนนี้เป็น"หมาวัดกับดอกฟ้า"เพราะรักมีใจให้รงค์แล้ว ได้กันเมื่อไร รงค์ก็กลายร่างเป็นเจ้าชายทันที :laugh3:
อ่านนี่หน่อยนะคุณรินhttp://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=24714.0
ปล.รูปสเก็ตช์หล่อนะ แต่สู้ต้นกับไผ่สองหนุ่มในดวงใจไม่ได้ :o8:
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนควันหลงสงกรานต์ [อิมเมจสเก็ตช์ 05/05/11 P.3]
เริ่มหัวข้อโดย: ΩPRESTOΩ ที่ 06-05-2011 10:01:24
รูปสเก็ตซ์ไรอันโดนใจ ..ดูแรงและเหวี่ยงตัวจริงเสียงจริง  :pigha2:
คุณรงค์ของเราก็หล่อมากกกก

เป็นกำลังใจให้คนกำลังจะยุ่งคะ  :L2:
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนควันหลงสงกรานต์ [อิมเมจสเก็ตช์ 05/05/11 P.3]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 06-05-2011 19:33:51
Wordslinger ขอบคุณและบวกคืนจ๊ะเพื่อนสาว แอร๊ยย์ รสนิยมตรงกันเด๊ะเชียว เพราะชอบพระเอกที่มักตกเป็น "เบี้ยล่าง" เหมือนกัน ฮ่าๆๆ ต้องขอบคุณคนวาดที่ทำให้ณรงค์หล่อขนาดนี้ เพราะจริงๆ คนเขียนจินตนาการไว้หน้าตาธรรมดากว่านี้เย้อออ ส่วนไรอัน...น่ากด เอ๊ย น่ากอดจริงๆ แหละ หุหุหุ  :o8:

kakuro ไปอ่านแล้วค่า~  :a5:

4.แค่สบตาก็รู้ว่ารัก by Bellbomb
ชอบพระเอกนายเอก แต่รอคนเขียนนานจนผมคนอ่านเริ่มหงอก
แอร๊ยยย์ ตายแร้ว สงสัยต้องรีบเขียนตอนใหม่มาให้คุณ kakuro พร้อมบีเง็น (ปิดผมขาว) เขาไม่ได้ตั้งใจดองนะ นี่ก็เพิ่งผ่านตอนสุดท้ายมา เอ่อ...เก้าเดือนเอ๊ง แหะๆ ขอบคุณมากที่โควตให้เป็นหนึ่งในเรื่องที่ติดตามค่า แม้ว่ายายนี่จะเป็นโรคชอบเขียนติดๆ ดับๆ ก็เถอะ ยังไงติดตามกันก่อนทั้งเรื่องนี้และแค่สบตาก็รู้ว่ารักนะค้า ได้อ่านจนจบแน่ คอนเฟิร์มๆ
ปล. ตอนนี้กระแสต้นไผ่ยังแรง ถ้าเรื่องอื่นยังไม่จบสงสัยจะล้มกระแสยากส์  :laugh:

ohmpresto ขอบคุณแทนคนวาดด้วยค่าคุณโอม ณรงค์ดูดีเกินคาดมากแต่ไรอันนี่บุคลิกใช่เลย สำหรับชีวิตที่กำลังจะยุ่ง...ถึงยุ่งยังไงแต่เค้าก็จะยังเขียนนิยายมาให้คุณโอมอ่านนะคะ งุงิ  :man1:

บวกให้คุณ kakuro กับคุณโอมด้วยค่า ได้อ่านเม้นต์จากแฟนประจำแล้วชื่นใจจริงๆ ^_____^
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนควันหลงสงกรานต์ [อิมเมจสเก็ตช์ 05/05/11 P.3]
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 10-05-2011 22:57:39
ถ้าเป็นเรื่องของคุณริน
กว่าบทเข้าพระเข้านายจะมา
ต้องรอจนถึงจุดพีคค่ะ
พอมาแล้วก็ต้องบอกว่าของเขาดีจริงๆ หุหุหุ


คุณ yeyong คุณค่าของการรอคอยมันให้ผลหอมหวานและเต็มอิ่มยังงี้ละ (ป๊าดดดดด) ว่าแต่ทางบ้านหายน้ำท่วม + ได้หนังสือหรือยังเอ่ย? ส่งไปแล้วก็เป็นห่วงเหมือนกัน ยังไงถ้าได้รับหรือได้อ่านต้นกับไผ่แบบรวมเล่มแล้วมาเล่าสู่ให้ฟังกันบ้างนะคะ จุ๊บๆ  o13
ได้รับหนังสือแล้วค่ะ
แต่รู้สึกว่า boxset มันฟิตมากเลยค่ะ พอเปิดอ่าน หนังสือมันจะฟูขึ้นกว่าเดิม เอาใส่กลับกล่องยากมาก ทีนี้เราเอาหนังสือไปเคลือบปก เลยใส่กลับกล่องไม่ได้ ก็เลยต้องแยกกันอยู่ไปโดยปริยาย


หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนควันหลงสงกรานต์ [อิมเมจสเก็ตช์ 05/05/11 P.3]
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 13-05-2011 10:06:39
โอ๊ยยยยยยย ตายๆๆๆ ณรงค์ หล่อมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ที่คิดไว้ไม่หล่อขนาดนี้นะเนี่ย กรี๊ดดดดดดดดด น้ำลายไหล  :z1:
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนควันหลงสงกรานต์ [อิมเมจสเก็ตช์ 05/05/11 P.3]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 13-05-2011 22:21:37
ถ้าเป็นเรื่องของคุณริน
กว่าบทเข้าพระเข้านายจะมา
ต้องรอจนถึงจุดพีคค่ะ
พอมาแล้วก็ต้องบอกว่าของเขาดีจริงๆ หุหุหุ


คุณ yeyong คุณค่าของการรอคอยมันให้ผลหอมหวานและเต็มอิ่มยังงี้ละ (ป๊าดดดดด) ว่าแต่ทางบ้านหายน้ำท่วม + ได้หนังสือหรือยังเอ่ย? ส่งไปแล้วก็เป็นห่วงเหมือนกัน ยังไงถ้าได้รับหรือได้อ่านต้นกับไผ่แบบรวมเล่มแล้วมาเล่าสู่ให้ฟังกันบ้างนะคะ จุ๊บๆ  o13
ได้รับหนังสือแล้วค่ะ
แต่รู้สึกว่า boxset มันฟิตมากเลยค่ะ พอเปิดอ่าน หนังสือมันจะฟูขึ้นกว่าเดิม เอาใส่กลับกล่องยากมาก ทีนี้เราเอาหนังสือไปเคลือบปก เลยใส่กลับกล่องไม่ได้ ก็เลยต้องแยกกันอยู่ไปโดยปริยาย




งืม โรงพิมพ์เขาทำกล่องมาค่อนข้างพอดีน่ะค่ะ จริงๆ ของเราก็เคลือบปกแต่ยัดเข้ากล่องได้ (แต่ตอนจะดันออกยากหน่อย) มันต้องใช้วิธีตั้งตรงๆ ดันตรงๆ แต่หวังว่าคงอ่านบ่อยๆ จนไม่ต้องเอาใส่กล่องก็ได้เนาะ ^^

โอ๊ยยยยยยย ตายๆๆๆ ณรงค์ หล่อมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ที่คิดไว้ไม่หล่อขนาดนี้นะเนี่ย กรี๊ดดดดดดดดด น้ำลายไหล  :z1:

ตอนเห็นครั้งแรกก็น้ำลายไหลเหมือนกันค่ะคุณผึ้ง เห็นแล้วมีกำลังใจอยากเขียนเรื่องคู่นี้อีกเยอะๆ 5555
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนควันหลงสงกรานต์ [อิมเมจสเก็ตช์ 05/05/11 P.3]
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 13-05-2011 22:26:54
^
^
^
จิ้มๆพี่ริน

อยากเขียน นุ่นก็รออ่านค่ะ


แล้ว........คุณเชษฐ์กะคุณภัทรล่ะคะ
(วิ่งหนี ฟริ้วววววววววววววววววว)
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนควันหลงสงกรานต์ [อิมเมจสเก็ตช์ 05/05/11 P.3]
เริ่มหัวข้อโดย: Bella ที่ 14-05-2011 00:52:17
อยากกดบวกให้จังค่ะ แต่เสียดายที่ยังกดไม่ได้
ภาพสวยมากเลย อยากจะได้มาครอบครอง อิอิ

หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน One Step Closer [ครึ่งแรก 30/08/11 P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 29-08-2011 23:37:49
ช่วงนี้เหนื่อยๆ เพลียๆ จากการเรียนกับงาน เลยยังไม่กล้าต่อคุณเชษฐ์กับภัทรเพราะกลัวอารมณ์จะออกมามึนเหมือนคนเขียน แต่พอไม่เขียนนิยายเลยก็รู้สึกห่อเหี่ยว ชีวิตอับเฉาพิกล สุดท้ายเลยต้องขอสักหน่อย (ทั้งที่อาเจ๊คนนึงแนะนำว่า ช่วงนี้แกทิ้งนิยายสักพักดีกว่านะ เดี๋ยวเรียนไม่จบ แว้กกกกก มันไม่ได้ทิ้งกันง่ายขนาดน้านนนน)  :z3:

เอาล่ะ บ่นเสร็จแล้วก็คืนสติกลับมาเป็นคนเดิม ไม่รู้ทิ้งช่วงนานขนาดนี้คนอ่านจะลืมณรงค์กับไรอันหรือยัง แต่ที่แน่ๆ คนเขียนคิดถึงคู่นี้สุดๆ จนต้องขอแบ่งเวลาที่มีอันน้อยนิดมาเขียนค่ะ สำหรับตอนนี้มาลงครึ่งแรกให้ก่อน เดี๋ยวครึ่งหลังเสร็จเมื่อไหร่จะรีบตามมาแปะต่อให้นะ ส่วนแฟนๆ คุณเชษฐ์กับภัทร เรามาลุ้นให้จบในปีนี้กันค่ะ ฮ่าๆๆ  :z2:
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน One Step Closer [ครึ่งแรก 30/08/11 P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 29-08-2011 23:42:25
ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน One step closer (ครึ่งแรก)

ในช่วงบ่ายของวันพฤหัสบดี แสงจากดวงอาทิตย์สาดจ้าโดยไร้เมฆบดบัง
แต่ถึงแม้ไอร้อนภายนอกจะแผดเผารุนแรงสักเพียงใด ภายในอาคารสำนักงานกลับเปิดเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำเสียจนพนักงานแทบทุกคนต้องสวมแจ็คเก็ตหรือห่มผ้าคลุมไหล่กันหนาวให้วุ่น ณรงค์ก็เป็นคนหนึ่งที่ต้องหยิบแจ็คเก็ตซึ่งปกติวางพาดบนพนักเก้าอี้ขึ้นมาสวม แต่เมื่อเหลือบเห็นรุ่นน้องสาวที่นั่งเยื้องไปฝั่งตรงข้ามก็อดจะแซวไม่ได้

“หนาวเว่อร์ไปรึเปล่าผึ้ง? ทำยังกับอยู่ขั้วโลกเหนือ”

ยุพดีเหล่มองคนถาม เพราะนอกจากเธอจะสวมแจ๊คเก็ตแบบหนาฟูซึ่งรูดซิปขึ้นจนสุดแล้ว ยังดึงฮู้ดคลุมศีรษะราวกับพวกชนเผ่าเอสกิโมอีกต่างหาก “ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงล่ะพี่รงค์ ก็รู้หรอกว่าอากาศข้างนอกมันร้อน แต่ทำไมจะต้องเร่งแอร์ขนาดนี้ด้วยก็ไม่รู้ เดี๋ยวพนักงานป่วยยกบริษัทกันพอดี”

อิสราซึ่งสวมแจ็คเก็ตเหมือนกันและนั่งถัดไปจากณรงค์หัวเราะ “ช่วยไม่ได้นี่นา แอร์ที่นี่ดันเป็นแอร์กลาง ถ้าบริษัทเราขอให้ลดอุณหภูมิ เดี๋ยวบริษัทอื่นก็บ่นร้อนอีก ทางอาคารก็เลยช่วยอะไรไม่ได้น่ะสิ”

ยุพดีตวัดสายตามองเพื่อนร่วมงานซึ่งเป็นจูเนียร์ดีไซเนอร์เหมือนกัน จากนั้นก็บ่นอุบอิบแล้วทำงานต่อ ณรงค์หัวเราะพลางหยิบกระบอกน้ำพลาสติกขึ้นเปิดดื่ม แต่พอเห็นว่าไม่มีน้ำสักหยดจึงลุกเข้าไปในครัวเพื่อเติมน้ำ

โชคดีว่าหลังจากผ่านเทศกาลสงกรานต์มาได้สองเดือน งานที่ชุกจนมือเป็นระวิงเมื่อตอนต้นปีก็ค่อยๆ ลดลง โดยลูกค้ารายล่าสุดที่เพิ่งส่งแบบให้พิจารณาก็ยังไม่ตอบกลับมา ช่วงนี้งานของเขาจึงไม่มีอะไรเร่งด่วนมากนัก

ขณะที่กำลังรองน้ำโดยกดจากคูลเลอร์ในห้องครัว เสียงเลื่อนประตูเปิดก็ดึงความสนใจให้เหลือบตาขึ้นมอง และเมื่อเห็นว่าคนที่กำลังเดินเข้ามาคือหนุ่มลูกครึ่ง หนึ่งในผู้บริหารและยังอยู่ในสถานะเป็น ‘คนพิเศษ’ ของเขา ใบหน้าของณรงค์ก็สดใสขึ้นทันที

“กลับจากประชุมข้างนอกแล้วเหรอ?”

ณรงค์ถามเนื่องจากวันนี้พวกเขายังไม่ได้เจอกันเลยตั้งแต่เช้า ไรอันพยักหน้าแทนคำตอบแล้วก็เลื่อนประตูปิดตามหลัง ผิวแก้มสีงาช้างของหนุ่มลูกครึ่งมีสีเลือดฝาดเรื่อๆ เนื่องจากเพิ่งเข้ามาในอาคาร

“อืม แต่เดี๋ยวอีกสักพักก็จะมีประชุมผู้บริหารอีก ผมเลยแวะมากินน้ำก่อน”

ไรอันตอบพลางเปิดตู้แพนทรี่ด้านบนเพื่อหยิบแก้วน้ำ ณรงค์ที่ยังรองน้ำไม่เต็มกระบอกจึงหยุดกดและถอยให้ก่อน ไรอันเหลือบตามองเขาแล้วก็ขยับตัวเข้าไปกดน้ำแทน “ขอบคุณ”

นับตั้งแต่กลับจากไปเยี่ยมบ้านของณรงค์ที่กาญจนบุรีเมื่อสองเดือนก่อนและยอมรับว่าเขาเป็นแฟน ไรอันก็พูดภาษาไทยด้วยบ่อยขึ้น เว้นแต่บางทีที่ขี้เกียจก็อาจจะพูดภาษาอังกฤษเหมือนเดิม

ความสัมพันธ์ของพวกเขาเริ่มขึ้นแบบที่ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครคาดคิด เพราะแม้จะทำงานในบริษัทเดียวกันนับตั้งแต่ไรอันมารับตำแหน่งเป็นหนึ่งในผู้บริหารที่เมืองไทย แต่พวกเขาก็แทบจะไม่เคยได้แลกเปลี่ยนคำพูดกันสักครั้ง ถึงแม้ณรงค์จะสนใจมองอีกฝ่ายบ้างเพราะรู้สึกว่าบุคลิกน่าสนใจดี แต่เขาก็ไม่เคยคิดไกลไปถึงขั้นอยากจีบหรือสานสัมพันธ์มากไปกว่าการเป็นเพื่อนร่วมงานเลยสักนิด

ซึ่งทั้งหมดนั้นเปลี่ยนไปตั้งแต่วันคริสต์มาสที่ผ่านมา...

ไรอันยืนหันหลังให้ณรงค์และก้มศีรษะเล็กน้อยขณะรองน้ำจากคูลเลอร์ เสื้อเชิ้ตบริเวณแผ่นหลังมีเหงื่อซึมบางๆ และต่อให้ไม่ได้ตั้งใจจะคิดลามก แต่ณรงค์ก็อดมองภาพตรงหน้าแล้วคิดไปถึงวันที่ทั้งสองอาบน้ำด้วยกันที่บ้านสวนไม่ได้

ทั้งแผ่นหลังและช่วงบ่ากว้างโปร่งซึ่งเนียนลื่นไร้ไฝฝ้า ลำแขนเพรียวแต่มีกล้ามเนื้อกำลังพอดี ท่อนเอวสอบที่นำสายตาลงสู่สะโพกเกร็งเครียด และท่อนขาแข็งแรงอย่างคนที่ออกกำลังสม่ำเสมอ ทุกส่วนสัดที่ถูกบดบังด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงแสล็คล้วนเคยผ่านสายตาและการสัมผัสของเขามาแล้วทั้งสิ้น

ราวกับรู้ตัวว่าโดนจ้อง ไรอันเลยเอี้ยวคอมามองเขานิดหนึ่งทั้งที่ยังยืนท่าเดิม หนุ่มลูกครึ่งกระตุกมุมปากขึ้นแล้วหันกลับไปกดน้ำต่อ ณรงค์เลยหัวเราะในคอเพราะรู้ว่าถูกจับได้

อย่างน้อยก็ไม่เดินหนีหรือหันมาแยกเขี้ยวใส่ล่ะน่า...

ณรงค์ยืนมองไรอันยกแก้วน้ำขึ้นดื่มรวดเดียวเกลี้ยงอย่างเงียบๆ พอหนุ่มลูกครึ่งก้มลงเติมน้ำใส่แก้วอีกครั้งก็ถามขึ้น

“ว่าแต่เย็นนี้ผมเลิกงานเร็ว ไปกินข้าวเย็นด้วยกันมั้ย?”

ปกติแล้วทั้งสองเลิกงานไม่ค่อยจะตรงกัน ดังนั้นการทานมื้อเย็นร่วมกันในวันธรรมดาจึงเป็นเรื่องที่นานทีปีหนจะเกิดขึ้นสักที

ไรอันส่ายหน้าพลางใช้หลังมือปาดคราบน้ำบนริมฝีปาก “Sorry เย็นนี้ผมมีนัดกินข้าวกับลูกค้า คุณกลับก่อนได้เลย”

หนุ่มลูกครึ่งหันไปวางแก้วเปล่าลงในอ่างล้างจาน แต่พอหันมาเห็นแววตาผิดหวังของณรงค์ หนุ่มลูกครึ่งก็ยกมือตบไหล่เขาเบาๆ

“Don’t make a face like that. ยังไงวันเสาร์ก็ได้กินข้าวด้วยกันอยู่แล้วนี่คุณ อุตส่าห์ได้เลิกเร็วก็รีบกลับไปพักผ่อนเถอะน่า”

ไรอันพูดจบก็เดินออกจากครัว ณรงค์จึงถอนหายใจเบาๆ แล้วกดน้ำจากคูลเลอร์ใส่กระบอกพลาสติกที่รองค้างไว้ ถึงแม้ใจหนึ่งจะรู้สึกดีที่ไรอันยังพูดเอาใจเขาบ้าง แต่ขณะเดียวกัน เขาก็เริ่มรู้สึกว่าความสัมพันธ์เท่าที่ดำเนินอยู่ไม่เพียงพอกับความรู้สึกในใจมากขึ้นเรื่อยๆ

อยากทำอะไรให้ไรอันรู้ว่าเขาแคร์มากกว่าการพาไปกินข้าวในวันหยุดบ้าง...


++------++


ในวันศุกร์ต่อมา ณรงค์มาถึงออฟฟิศสายกว่าเวลาเข้างานเล็กน้อย เนื่องจากบริษัทของเขาไม่ค่อยเคร่งครัดเรื่องเวลาเข้าออกงานของพนักงานสักเท่าไหร่ อีกอย่างเขาก็ไม่ได้มีงานที่ต้องรีบเข้ามาเคลียร์ให้เสร็จอยู่ดี

วันนี้งานเดียวของณรงค์คือออกไปประชุมกับลูกค้าเพื่อรับบรีฟโครงการปรับปรุงคอมมิวนิตี้มอลล์ย่านชานเมือง ซึ่งกว่าจะถึงเวลานัดก็บ่ายโมง ตอนกลางวันเขาจึงกินข้าวแถวๆ สำนักงานกับพวกรุ่นน้องในทีมก่อน พอใกล้ถึงเวลาจึงค่อยขับรถออกไป

เนื่องจากสถานที่อยู่ไกลออกไปนอกตัวเมืองมาก กว่าการประชุมจะจบและณรงค์ได้กลับเข้าบริษัทอีกครั้งก็เกือบสี่โมงเย็นแล้ว ชายหนุ่มเรียกประชุมรุ่นน้องทั้งสองในทีมเพื่อบรีฟงาน หลังจากอธิบายธีมจนเข้าใจและแบ่งงานกันเรียบร้อยก็พากันกลับไปที่โต๊ะ แต่แล้วณรงค์ก็เหลือบไปเห็นว่าห้องทำงานของไรอันยังปิดไฟมืดเหมือนเมื่อเช้าไม่มีผิด

วันนี้ประชุมข้างนอกทั้งวันหรือไงนะ...

ชายหนุ่มร่างสูงขมวดคิ้ว ก่อนจะตัดสินใจเดินไปถามจากเลขาของไรอันดู ถึงแม้ในทางปฏิบัติแล้วเขาจะไม่มีงานที่ต้องติดต่อกับฝ่ายนั้นโดยตรงในระยะนี้ แต่ถ้าแค่แกล้งถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นก็คงไม่ผิดปกตินัก

“อ้าวเหมย วันนี้นายเราไม่เข้าออฟฟิศเหรอ?”

ณรงค์ทำทีเป็นหยุดแวะถามระหว่างทางที่จะเดินไปห้องน้ำ เมธาวีซึ่งนั่งมีโต๊ะทำงานอยู่หน้าห้องของไรอันจึงเงยหน้าขึ้นพลางขยับแว่นที่สวม หญิงสาวอายุไล่เลี่ยกับณรงค์ แต่อายุงานที่บริษัทน้อยกว่าเพราะเพิ่งเข้ามาทำที่นี่เมื่อกลางปีที่แล้ว

“อื้อ โทรมาลาป่วยตั้งแต่เช้าแล้วแหละ รงค์มีอะไรกับเขาหรือเปล่า?”

คำตอบที่ได้ทำให้คิ้วของชายหนุ่มมุ่นขึ้นเล็กน้อย แต่ก็พยายามไม่แสดงอาการไม่พอใจแล้วทำทีเป็นถามต่อ

“อ๋อเปล่า แค่ถามดูเพราะเห็นทุกวันเขาต้องเข้าออฟฟิศไง นึกว่าลาพักร้อนกลับไปออสเตรเลียซะอีก”

เลขาสาวหัวเราะ “จะไปได้ยังไงล่ะจ๊ะ ยังไม่ใช่ช่วงวันหยุดซักหน่อย จะว่าไปเขาก็บ่นว่าเวียนหัวตั้งแต่เย็นวานแล้วนะ แต่วันนี้คงไม่ไหวจริงๆ เลยโทรมาบอกเราเมื่อเช้าว่าให้แคนเซิลนัดลูกค้าของวันนี้ทั้งหมดเลย”

ณรงค์รู้สึกว่ามือที่ล้วงกระเป๋าอยู่กำแน่นขึ้น ทว่าใบหน้ายังคงยิ้มแย้มเหมือนเดิม “วันนี้นายไม่อยู่ทั้งวัน เหมยก็สบายเลยสิ”

“ไม่มีหรอกย่ะ นายไม่อยู่แต่ฝากงานให้เต็มเลยเนี่ย ถ้ารงค์ว่างจะแบ่งไปทำก็ได้นะ”

คนโดนชวนรีบส่ายหน้า “ไม่เอาล่ะ ขอกลับไปทำงานตัวเองดีกว่า”

ณรงค์ตอบแล้วก็เดินสาวเท้าเร็วๆ กลับไปที่โต๊ะทำงาน รอยยิ้มเมื่อครู่ก่อนถูกความไม่พอใจพัดให้หายไปโดยสิ้นเชิง และนอกจากความหงุดหงิดที่รู้สึกได้อย่างชัดเจนแล้ว เขายังสัมผัสได้ถึงกระแสของความน้อยใจที่แทรกประสมอยู่ด้วย

ไม่สบายทำไมไม่บอกกันสักคำ...

ชายหนุ่มกลับมาถึงโต๊ะปุ๊บก็ปิดคอมพิวเตอร์แล้วเดินออกจากบริษัทโดยไม่ลาใคร พอลงลิฟต์ไปถึงที่รถก็หยิบมือถือมากดโทรออก แต่ทั้งที่โทรซ้ำถึงสามครั้ง ไรอันก็ไม่รับสายเลยสักครั้ง สุดท้ายณรงค์จึงตัดสายทิ้งแล้วรีบขับรถออกสู่ถนนใหญ่อย่างเร่งรีบ เพราะดูเหมือนทางเดียวที่จะรู้ได้ว่าไรอันป่วยมากน้อยแค่ไหนคือไปดูให้เห็นกับตาที่คอนโดเท่านั้น

โชคไม่ค่อยเข้าข้างคนที่กำลังร้อนใจสักเท่าไหร่ เพราะนอกจากตอนนี้จะเป็นเย็นวันศุกร์ ช่วงเวลาที่ณรงค์ขับรถออกมายังคาบเกี่ยวระหว่างเวลาเลิกงานและเลิกเรียนอีกด้วย การจราจรบนถนนจึงติดขัดเป็นพิเศษโดยเฉพาะย่านออฟฟิศของเขาเอง กว่าจะพารถหลบหลีกการจราจรเข้าในซอยและลัดเลาะไปจนถึงคอนโดของไรอันได้ เวลาก็ผ่านไปเกือบชั่วโมงและตะวันเริ่มลับขอบฟ้าแล้ว ทั้งที่ระยะทางไม่ได้ห่างไกลกันมากเลยแท้ๆ

ณรงค์จอดรถบริเวณที่ว่างด้านหน้าใกล้กับรั้วของคอนโด ฝ่ายพนักงานรักษาความปลอดภัยนั้นคุ้นเคยกับเขาดีเพราะมาส่งไรอันบ่อย จึงยิ้มทักทายและเปิดประตูอาคารให้โดยไม่ขอดูบัตรหรือถามว่ามาหาใคร พอขึ้นลิฟต์ถึงชั้นที่ยี่สิบ ณรงค์ก็แทบจะวิ่งไปที่ห้องซึ่งติดหมายเลขที่คุ้นเคยทันที

ชายหนุ่มกดกริ่งที่หน้าห้องรัวๆ แล้วก็ให้นึกขึ้นได้ว่าตัวเองรีบจัดจนไม่ได้แวะซื้อของติดมือมาเยี่ยมคนป่วยเลย แต่หลังจากรอครู่หนึ่งก็ยังไม่มีใครออกมาเปิดประตูสักที ชายหนุ่มจึงยกนิ้วขึ้นเพื่อจะกดกริ่งอีกครั้ง แต่นิ้วที่กำลังยื่นออกไปก็ชะงักเมื่อประตูถูกเปิดจากด้านในเสียก่อน

“ไร...ขอโทษครับ”

คนที่เปิดประตูออกมาและมองหน้าเขาด้วยแววตาแปลกใจไม่แพ้กันคือชายหนุ่มที่น่าจะอายุมากกว่าเล็กน้อย แต่ด้านรูปร่างแล้วสูงใหญ่ใกล้เคียงกัน ตอนแรกณรงค์นึกว่าตัวเองไม่ดูตาม้าตาเรือจนกดกริ่งผิดห้อง แต่พอชำเลืองมองเลขห้องอีกครั้งก็พบว่าตัวเองมาถูกที่แล้ว คราวนี้เขาจึงหันกลับไปขมวดคิ้วใส่คนที่ออกมาเปิดประตูแทน

หมอนี่เป็นใคร?

ดูเหมือนความไม่เป็นมิตรในแววตาของเขาจะเข้มข้นพอใช้ เพราะคนถูกมองยิ้มบางๆ ให้ก่อนจะเอ่ยเชื้อเชิญ

“เพื่อนของไรอันเหรอ? เข้ามาสิ เขานอนอยู่ข้างในน่ะครับ”

ชายหนุ่มแปลกหน้าเปิดประตูกว้างขึ้นและเบี่ยงตัวให้ เมื่อมั่นใจแล้วว่ามาถูกที่ ณรงค์จึงก้าวเข้าไปข้างในทันทีโดยไม่ต้องรอให้เชิญซ้ำ หลังจากถอดรองเท้าแล้วเขาก็หยุดยืนมองคนที่กำลังปิดประตูด้วยแววตาคลางแคลงไม่หาย

ชายหนุ่มที่เป็นคนเปิดประตูให้หันกลับมา และดูเหมือนจะอ่านแววตาของณรงค์ออก จึงกระตุกยิ้มบนมุมปากเล็กน้อยและผายมือไปทางประตูห้องนอน “อยู่ในห้องนอนครับ พอดีวันนี้เขาหลับๆ ตื่นๆ ทั้งวัน ไม่แน่ตอนนี้อาจจะตื่นแล้วเพราะเสียงกริ่งของคุณเมื่อกี้ก็ได้”

พอพูดยาวขึ้น ณรงค์ก็จับได้ถึงสำเนียงที่แปร่งเล็กน้อยเหมือนคนพูดไม่ค่อยชินกับการใช้ภาษาไทย และเมื่อมองดีๆ เขาก็เห็นว่านัยน์ตาของคนพูดเป็นสีน้ำตาลอมเทาจางๆ แต่ตอนนี้เขาไม่คิดจะสนใจหนุ่มแปลกหน้าคนนี้มากไปกว่าคนที่นอนอยู่ในห้องอีกแล้ว

เมื่อเปิดประตูห้องนอนออก ณรงค์ก็พบว่าคนที่เขาอยากเจอทั้งวันและทำให้เป็นห่วงแทบบ้ากำลังค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งอยู่บนเตียง ผิวหน้าที่ปกติเป็นสีงาช้างแดงเรื่อและนัยน์ตาฉ่ำปรอย ส่วนผมสีน้ำตาลอ่อนหยักศกก็ยุ่งเหยิงเพราะนอนมาทั้งวัน

“James? Who was it? ...คุณมาทำไม?”


++---tbc---++


เนื่องจากเขียนระหว่างที่ยังมึนๆ เล็กน้อย ถ้าอ่านตรงไหนแล้วแปร่ง แหม่ง สะกดผิด ฯลฯ วานชี้บอกกันตามสะดวกค่า  :z13:
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน One Step Closer [ครึ่งแรก 30/08/11 P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: badcow ที่ 30-08-2011 08:05:18
ค้างงงงงงงงงง...งงง
.
ความสัมพันธ์จะคืบหน้ากว่าตอนกลับบ้านบางป่าวเนี่ย?
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน One Step Closer [ครึ่งแรก 30/08/11 P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: maemod06 ที่ 30-08-2011 08:25:51
 :z13: หวังว่าจะได้อ่านต่อเร็วๆนะ รอมานานนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน One Step Closer [ครึ่งแรก 30/08/11 P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 30-08-2011 23:34:56
อุตส่าห์เป็นห่วง ตั้งใจมาเยี่ยม
เจอคำถามแบบนี้คงอึ้ง
แต่ก็เข้าใจฝรั่งน่ะนะ ความเป็นส่วนตัวสูง
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน One Step Closer [ครึ่งหลัง 2/9/11 P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 02-09-2011 01:02:02
ครึ่งหลังมาแล้วค่า อย่างยาว + ใช้เวลาเขียนนานค่อด (กระเบียดกระเสียรจากเวลางานกับเวลานอนมา)


++------++


ตอน One Step Closer ครึ่งหลัง

ตอนแรกหนุ่มลูกครึ่งถามด้วยภาษาอังกฤษ แต่พอเห็นว่าใครคือคนที่เดินเข้ามาในห้อง ใบหน้าของคนป่วยก็ดูจะตึงขึ้นมาทันที และทำเอาคนที่ได้เห็นพาลหางคิ้วกระตุกไปด้วย

“ทำไมเหรอ? นี่คุณเห็นผมเป็นหัวหลักหัวตอหรือไงถึงไม่คิดจะบอกสักคำว่าป่วยน่ะ!?”

ชายหนุ่มก้าวเร็วๆ เข้าไปนั่งลงบนเตียงแล้วยื่นมือแตะหน้าผากของไรอันโดยไม่สนใจคนอีกคนที่เดินตามเข้ามาในห้อง พอหลังมือสัมผัสกับอุณหภูมิที่สูงจนน่าตกใจ พลันความห่วงหาที่ผสานกับความไม่พอใจก็ยิ่งทวีขึ้นจนเป็นความโกรธ และนั่นทำให้เขาสะบัดหน้าขวับไปทางคนที่ยืนอยู่ตรงประตูทันทีอย่างหาเรื่อง ทำเอาคนถูกจ้องต้องยกมือสองข้างขึ้นพลางทำหน้าไร้เดียงสาว่าตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้นกับอาการของคนบนเตียง

ไรอันรีบดึงแขนเสื้อณรงค์ไว้ก่อนจะทันลุกแล้วหันไปเค้นเสียงถามผู้ชายตัวสูงตรงประตู “You moron! why the hell did you let him in!?”

คนถูกถามยักไหล่โดยไม่ลดมือทั้งสองข้างลง “How would I know? Besides, you were too sick to answer the door yourself anyway.”

ทั้งสองเถียงกันต่ออีก แต่ณรงค์ไม่ได้สนใจแล้วว่าไรอันกับชายแปลกหน้าพูดอะไรกัน เพราะตอนนี้เขามีคำถามที่จำเป็นต้องได้รับการชี้แจงอย่างเร่งด่วน

“ไรอัน หมอนี่เป็นใคร?”

คำถามที่แทรกขึ้นช่วยยับยั้งการถกเถียงได้เป็นอย่างดี ไรอันสบนัยน์ตาที่เป็นประกายวาวของณรงค์แล้วก็หลบตาไปทางอื่น “....เขาชื่อเจมส์ เป็นลูกพี่ลูกน้องผม เจมส์ นี่ณรงค์”

ไรอันแนะนำทั้งสองให้รู้จักกันแบบส่งๆ พลางทรุดตัวลงนอนตะแคงหันหลัง หนุ่มลูกครึ่งไอโขลกก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นคลุมถึงไหล่ ณรงค์จึงรีบก้มลงถามอย่างเป็นห่วง

“คุณเจ็บคอเหรอ? เป็นอะไรมากหรือเปล่า?”

คนป่วยนิ่งไปครู่หนึ่ง “...ผมหิวน้ำ”

เสียงตอบกลับเบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่ณรงค์ก็รีบลุกพรวดเข้าไปในครัวแล้วเทน้ำอุ่นใส่แก้วมาให้ ชายหนุ่มช่วยประคองไรอันขึ้นนั่งแล้วเอาแก้วน้ำค่อยๆ จ่อริมฝีปาก ฝ่ายคนป่วยเหลือบมองเขาสลับกับชายแปลกหน้านิดหนึ่งก่อนจะยอมให้ป้อนน้ำแต่โดยดี พอดื่มน้ำหมดแก้วแล้วก็กระถดตัวลงใต้ผ้าห่มอีกครั้งและหลับตาลง

ณรงค์มองท่าทางอ่อนเพลียของคนบนเตียงแล้วก็ใช้นิ้วเสยผมสีน้ำตาลอ่อนที่ยุ่งเหยิงให้ ความไม่พอใจเริ่มลดเลือนเพราะภาพที่ได้เห็น แต่แล้วเสียงกระแอมก็เรียกความสนใจเขาไปยังคนที่ยืนกอดอกอยู่ตรงมุมห้อง

พอเห็นสายตาของณรงค์ที่บ่งบอกชัดเจนว่ายังไม่คลายความระแวง เจมส์ก็ยิ้มแล้วค่อยๆ ลดมือลงล้วงกระเป๋ากางเกงไว้

“ไม่ต้องทำสายตาแบบนั้นหรอกน่า ผมกับไรอันเป็นญาติกันจริงๆ แม่ผมเป็นลูกพี่ลูกน้องกับแม่เขา แล้วตอนเด็กเราก็ไปโรงเรียนประจำที่เดียวกันด้วย”

“โรงเรียนประจำ?”

คำอธิบายนั้นทำให้ณรงค์เลิกคิ้ว ชายหนุ่มเหลือบตาลงมองคนบนเตียงราวจะขอคำยืนยัน แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะหลับไปเสียแล้ว

จะว่าไป...ไรอันแทบไม่เคยเล่าเรื่องสมัยเด็กให้ฟังด้วยซ้ำ...

เจมส์จับความประหลาดใจจากน้ำเสียงและแววตาของณรงค์ได้ และแม้ว่าเมื่อครู่นี้ญาติผู้น้องของเขาจะไม่ได้อธิบายละเอียดว่าณรงค์เป็นใครมาจากไหน แต่จากท่าทางที่ทั้งสองแสดงออก เขาก็สรุปเองได้โดยไม่ต้องถาม

โดยเฉพาะเหตุผลว่าทำไมไรอันถึงไม่บอกว่าตัวเองไม่สบายให้ฝ่ายนั้นฟัง...

“นอกจากแม่ของพวกเราจะเป็นญาติกัน พ่อของไรอันกับพ่อผมก็เป็นหุ้นส่วนธุรกิจกันด้วย ตอนพวกเรายังเด็กพวกเขาต้องเดินทางไปต่างประเทศบ่อยๆ ก็เลยส่งพวกเราไปโรงเรียนประจำจะได้ไม่ต้องกังวล จะว่าไปผมก็เหมือนเป็นพี่ชายสำหรับเขา เพราะตอนเด็กไรอันได้ใช้เวลากับผมมากกว่ากับพ่อแม่อีก”

เป็นครั้งแรกที่ณรงค์ได้รับฟังเรื่องราวที่ไรอันไม่เคยเล่าให้ฟังจากปากคนอื่น ดูเหมือนการที่หนุ่มลูกครึ่งมุ่งมั่นกับหน้าที่ที่เมืองไทยมาก ส่วนหนึ่งก็เพราะผูกตัวเองไว้กับความคาดหวังของครอบครัวนี่เอง

เขาค่อยรู้สึกวางใจญาติผู้พี่ของไรอันขึ้นมาเล็กน้อย แม้จะยังไม่สนิทใจด้วยเสียทีเดียว

“แล้วทำไมผมถึงเพิ่งได้เจอคุณวันนี้ล่ะ? หรือปกติคุณไม่ได้อยู่เมืองไทย?”

ณรงค์หันไปถามต่อโดยที่ยังไม่ยอมลุกห่างจากคนป่วย ส่วนมือข้างที่เพิ่งสางผมให้ไรอันก็ยังวางแปะอยู่บนหมอนไม่ห่างจากเจ้าตัว ราวกับถ้ารู้สึกตัวอีกเมื่อไหร่ก็พร้อมจะช่วยประคองทันที

“ปกติผมอยู่ช่วยงานพ่อที่เมลเบิร์น แต่อาทิตย์นี้มีงานต้องมาติดต่อที่กรุงเทพก็เลยแวะมาเยี่ยมหมอนี่ซะหน่อย ดูเหมือนจะไม่สบายตั้งแต่ก่อนเจอผมแล้ว เมื่อเช้าก็เลยพาไปหาหมอจนได้ แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่ยอมกินยาเลย”

“James, shut your fucking mouth already.”

เสียงของคนพูดแหบแห้ง แต่ก็ดังพอจะดึงความสนใจของผู้ชายสองคนที่กำลังคุยกัน ณรงค์จึงก้มลงถาม “คุณยังไม่หลับเหรอ?”

ไรอันหรี่ตาขึ้นมองคนถาม หัวคิ้วมุ่นเข้าหากันจนณรงค์อยากจะช่วยเอานิ้วคลายออกให้เสียเหลือเกิน “How could I when you guys keep chatting? If you two wanna talk, go do it outside.”

หนุ่มลูกครึ่งตอบแล้วก็หลับตาลงอย่างเดิม ณรงค์จึงหันไปสบตากับเจมส์ พอเห็นหนุ่มรุ่นพี่ขยิบตาแล้วใช้นิ้วโป้งชี้ไปทางประตู เขาจึงต้องยอมผละจากเตียงโดยไม่มีทางเลือก

หลังจากทั้งคู่ออกมาจากห้องนอน เจมส์ก็เดินตรงเข้าไปในครัวแล้วหยิบขวดไวน์แดงออกจากตู้เย็น ชายหนุ่มหันมาทำท่าชูขวดเหมือนจะถามณรงค์ว่าจะดื่มด้วยไหม คนถูกชวนจึงส่ายหน้า

ณรงค์มองดูหนุ่มรุ่นพี่เปิดลิ้นชักหาที่เปิดขวดไวน์อย่างคุ้นเคยราวกับมาที่นี่จนชิน แล้วก็ได้แต่ระงับความหึงหวงเอาที่ค่อยๆ ผุดพลุ่งขึ้นมาเอาไว้

ใจเย็นน่ะ เขาก็บอกแล้วนี่ว่าเป็นญาติกับไรอัน ที่เจ้าตัวเคยบอกว่าไม่เคยให้ใครเข้ามาในห้องคงจะหมายถึงคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อนมากกว่า...

ถึงแม้จะพยายามปลอบตัวเองเช่นนั้น แต่ณรงค์ก็ยังพบว่าตัวเองใจไม่สงบอยู่ดี จึงต้องหาทางเบนความสนใจด้วยการชวนญาติผู้พี่ของไรอันคุย “คุณก็เป็นลูกครึ่งเหมือนไรอันเหรอ? ดูหน้าตาคุณออกไปทางเอเชียมากกว่านะ”

เจมส์ได้ยินคำถามก็กลอกตา ชายหนุ่มยกแก้วไวน์ขึ้นจิบก่อนจะอมไว้ในกระพุ้งแก้มพลางพินิจรสชาติครู่หนึ่ง หลังจากกลืนไวน์ลงคอแล้วจึงค่อยหันมาตอบ

“แม่ผมน่ะคนไทยร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่พ่อผมเป็นลูกครึ่งไต้หวันออสเตรเลีย เชื้อเอเชียผมก็เลยค่อนข้างแรง ไม่เหมือนไรอันที่ฝั่งพ่อเขาจะผมสีทองตาสีอำพัน เพราะงั้นก็เลยได้เชื้อทางโน้นมาเยอะอย่างที่เห็น”

ณรงค์ฟังอย่างสนใจ เพราะจะว่าไปเขาก็ยังไม่เคยเห็นแม้แต่รูปพ่อกับแม่ของไรอันด้วยซ้ำ

“ไรอันเขาเป็นคนไม่ค่อยชอบแสดงความอ่อนแอให้ใครเห็น ใช่ไหมครับ?”

ชายหนุ่มถามหลังจากครุ่นคิดวนเวียนไปมา เขาพยายามจะหาเหตุผลมาอธิบายการกระทำของไรอันเพื่อให้ตัวเองโกรธน้อยลง และหากพิจารณาจากนิสัยแล้ว นี่ก็เป็นเพียงคำอธิบายเดียวที่น่าจะเข้าเค้าที่สุด

เจมส์ซึ่งเพิ่งจิบไวน์ไปอีกอึกพยักหน้า “โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนใกล้ชิด สำหรับผมถือเป็นข้อยกเว้นเพราะว่าเคยไปโรงเรียนประจำด้วยกัน เวลาเขาไม่สบายทีไรผมก็ต้องคอยดูแล แต่ไรอันจะกำชับผมทุกครั้งว่าห้ามบอกพ่อกับแม่ว่าเจ้าตัวไม่สบายเด็ดขาด ถ้าระหว่างที่ป่วยแล้วพ่อหรือแม่โทรหา หมอนั่นก็จะฝืนทำเสียงร่าเริงใส่ตลอด ดังนั้นก็มองในแง่ดีไว้เถอะ การที่ไรอันไม่อยากให้คุณรู้ว่าป่วยก็เท่ากับยกให้คุณเป็นคนสำคัญนะ”

เจมส์พูดยาวเหยียดก่อนจะกระดกไวน์ที่เหลือขึ้นดื่มจนหมดแก้ว แต่ณรงค์กลับไม่แน่ใจนักว่าไรอันแคร์เขามากขนาดนั้นจริงๆ แต่ที่รู้แน่ๆ โดยไม่ต้องให้ใครบอก ก็คือเขาไม่ชอบการถูกปิดบังแบบนี้เลย

“ผมไม่อยากมารู้ความจริงเอาทีหลังว่าเขาไม่สบายหลังจากที่หายแล้วหรอกนะ”

ในที่สุดณรงค์ก็พูดออกมาพลางใช้มือหนึ่งเสยผมด้วยความอัดอั้นตันใจ พาลก็ให้ขัดเคืองกับนิสัยของไรอันที่ปกปิดเรื่องสำคัญแบบนี้ต่อให้เพราะมีเจตนาดีก็ตาม และที่ก่อนหน้านี้เขาเคยรู้สึกเหมือนความสัมพันธ์ของทั้งคู่ยังขาดบางสิ่งบางอย่างไป ตอนนี้ณรงค์ก็รู้แล้วว่าสิ่งที่ขาดหายนั้นคืออะไร

พวกเขายังไม่เคยได้อยู่ด้วยกันในเวลาที่อีกฝ่ายลำบากนี่เอง

เจมส์มองสีหน้าท่าทางของหนุ่มรุ่นน้องแล้วก็ส่ายหน้า ชายหนุ่มหันไปล้างแก้วไวน์แล้วคว่ำลงบนตะแกรงก่อนจะหันกลับมาหา

“หมอนั่นก็มีนิสัยเสียที่แก้ยากแบบนี้แหละ ไหนๆ คุณมาแล้วก็ช่วยดูแลให้หน่อยก็แล้วกัน ผมละเบื่อจะจู้จี้ให้กินยาเต็มที แล้วก็ขอเบอร์คุณด้วย เผื่อมีเรื่องอะไรผมจะได้ติดต่อได้ เพราะเดี๋ยวผมต้องไปทำธุระต่อ”

ณรงค์ไม่ปฏิเสธและยอมแลกเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์แต่โดยดี ขณะที่เดินไปที่หน้าประตูห้องด้วยกัน จู่ๆ เจมส์ก็หัวเราะหึๆ เหมือนนึกอะไรขึ้นได้

“จริงสิ ผมเพิ่งนึกได้ว่าคนอย่างไรอันคงไม่ค่อยเล่าเรื่องตัวเองให้ใครฟังหรอก แต่วีรกรรมสมัยเด็กของหมอนั่นมีเยอะนะ ลองขอให้เล่าให้ฟังดูสิ แล้วคุณจะรู้จักหมอนั่นเพิ่มขึ้นอีกเยอะเลย”

เจมส์พูดก่อนจะตบบ่าณรงค์แล้วเดินออกจากห้อง ส่วนณรงค์ได้แต่ยืนทำหน้างงๆ อยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่นานก็รีบเดินกลับเข้าไปดูอาการคนป่วยในห้องนอน ดูเหมือนไรอันจะหลับสนิทแล้วเพราะไม่แม้แต่จะเหลือบตาขึ้นมาดูตอนที่เขาเปิดประตูเข้าไป

เนื่องจากไม่ได้เตรียมเสื้อผ้ามาเปลี่ยนเพราะขับรถตรงมาจากออฟฟิศ ณรงค์จึงตัดสินใจว่าจะอาศัยช่วงที่ไรอันหลับรีบกลับไปจัดเสื้อผ้า เพราะอีกฝ่ายไข้ขึ้นสูงเสียขนาดนี้ วันหยุดเสาร์อาทิตย์เขาก็คงไม่ได้พาไปไหนนอกจากคอยดูแลให้หายไข้อยู่ดี

โชคดีที่การจราจรตอนค่ำคลายความหนาแน่นลงจากเมื่อเย็นพอสมควร หลังกลับถึงห้องและจัดเสื้อผ้าสำหรับไปเฝ้าไข้เสร็จ ณรงค์ก็แวะที่ร้านสะดวกซื้อขนาดใหญ่ระหว่างทางเพื่อซื้ออาหาร นม ผลไม้ รวมทั้งขนมที่คิดว่าคนป่วยน่าจะพอกินได้อย่างเยลลี่หรือโยเกิร์ตไปด้วย หลังจากเตรียมการครบแล้วก็รีบขับรถไปที่คอนโดของไรอันทันทีโดยไม่แวะที่ไหนอีก

เมื่อณรงค์กลับมาถึงคอนโดของไรอันอีกทีก็ค่อนข้างดึกมากแล้ว เขารีบเอาของที่ซื้อมาจัดใส่ตู้เย็นซึ่งว่างเปล่า จากนั้นก็เข้าไปดูไรอันในห้องนอนว่าตื่นหรือยัง พอลองแตะมือลงบนต้นคอคนป่วยที่ยังหลับสนิท ณรงค์ก็แทบจะชักมือหนีเพราะความร้อนที่ได้สัมผัส

“ไรอัน ไรอัน! รู้สึกตัวหรือเปล่า? คุณตัวร้อนมากเลยนะ เดี๋ยวผมเช็ดตัวให้ก่อนค่อยนอนต่อดีกว่า”

หนุ่มลูกครึ่งปรือตาขึ้นอย่างงัวเงียเมื่อถูกปลุก เนื่องจากในห้องถูกปิดไฟมืดยกเว้นโคมไฟบนหัวเตียง แถมยังเป็นด้านที่พอเขาลืมตาแล้วจะส่องเข้าตาพอดี เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนจึงหยีตามองณรงค์เหมือนยังไม่ค่อยรู้สึกตัว

“หือม์? …What?”

คนป่วยถามเสียงแห้งเหมือนได้ยินไม่ถนัด ณรงค์จึงพูดช้าๆ ชัดๆ อีกที “เช็ดตัวไง เช็ด.ตัว. รอผมแป๊บนึงนะ”

ชายหนุ่มรีบลุกขึ้นหาผ้าขนหนูผืนเล็กแล้วเอาไปรองน้ำก๊อกในห้องน้ำ โชคดีว่าห้องนี้มีแม่บ้านมาคอยทำความสะอาดเป็นประจำ สิ่งของต่างๆ จึงถูกจัดวางไว้ค่อนข้างเป็นระเบียบและหาง่าย พอเดินกลับไปที่เตียง ณรงค์ก็พยุงไรอันให้ลุกนั่งก่อนจะถอดเสื้อกับกางเกงออกให้ จากนั้นก็เริ่มเช็ดตัวโดยเอาผ้าห่มคลุมร่างกายส่วนที่ยังไม่เช็ดเอาไว้

เนื่องจากอุณหภูมิร่างกายของไรอันสูงจัดมาก ณรงค์จึงต้องเอาผ้าไปชุบน้ำและช่วยเช็ดตัวให้หลายครั้งอยู่เป็นชั่วโมง จนกระทั่งไข้เริ่มจะลดลงบ้างแล้ว เขาจึงค่อยเอาเสื้อผ้าชุดใหม่ให้หนุ่มลูกครึ่งใส่เปลี่ยน

“....ขอบคุณ...”

ไรอันเอ่ยเสียงเบาหวิวขณะที่เอนหลังลงนอน ณรงค์ที่กำลังดึงผ้าห่มขึ้นให้จึงยิ้มตอบ แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเจมส์บอกไว้เมื่อเย็นว่าไรอันยังไม่ได้กินยาเลย

“เดี๋ยวผมมานะ”

ณรงค์รีบไปที่ห้องครัวเพราะจำได้ว่าเห็นถุงใส่ยาของโรงพยาบาลวางอยู่บนโต๊ะ พอเห็นยาลดไข้ เขาก็หยิบออกมาพร้อมกับเทน้ำอุ่นใส่แก้วใบใหญ่และกลับเข้าไปในห้องนอน

“ถึงจะเช็ดตัวก็แค่ช่วยลดไข้ได้ระดับนึง ยังไงกินยาที่หมอให้มาด้วยดีกว่า ผมเอามาให้แล้ว”

ณรงค์นั่งลงบนเตียงแล้วยื่นยากับแก้วน้ำให้ แต่ปฏิกิริยาที่เขาไม่คาดคิดคือไรอันเบ้ปากแล้วก็ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมจนมิดหัว

“ผมไม่กิน”

คราวนี้คนเฝ้าไข้งงเป็นไก่ตาแตก พลันก็นึกถึงคำพูดของเจมส์เมื่อตอนเย็นขึ้นมา

“...ผมละเบื่อจะจู้จี้ให้กินยาเต็มที”

หมายความว่าเป็นคนกินยายากล่ะสิ แต่เขาไม่ยอมให้ไรอันนอนทั้งที่ไม่กินยาหรอกนะ “รัก คุณอย่าดื้อสิ อุตส่าห์ไปหาหมอมาแล้วทั้งที กินยาแล้วคุณจะได้นอนสบายขึ้นไง”

ณรงค์พยายามใช้น้ำเย็นเข้าลูบ รวมทั้งเรียกชื่อเล่นที่ไม่ค่อยได้ใช้ด้วย เพราะพอจะเข้าใจว่าคนป่วยมักจะโยเยไม่ว่าจะวัยไหน แต่ไรอันกลับตอบอย่างหงุดหงิดโดยไม่ดึงผ้าห่มลง “ผมบอกว่าไม่กินก็คือไม่กิน! เอากลับไปเก็บไว้ที่เดิมนั่นแหละ!!”

คนเฝ้าไข้ได้ฟังก็ชักจะโมโหขึ้นมาบ้าง ถ้าหากเป็นเจ้าน้องๆ ฝาแฝดที่บ้านเขายังพอจะขู่ได้ แต่กับไรอันที่ไม่ได้กลัวเขาสักนิด เขาไม่มีวิธีไหนจะบังคับให้ยอมกินยาได้เลย

“ถ้าไม่กินยาเดี๋ยวคุณก็ไม่หายสิ” ณรงค์เริ่มเปลี่ยนมาใช้เสียงแข็ง

“เป็นแค่นี้เดี๋ยวก็หาย แค่ไข้ไม่ใช่มะเร็งสักหน่อย!!” แต่ไรอันก็ยังเถียงไม่เลิก

อาการดื้อแพ่งของหนุ่มลูกครึ่งอาจน่าเอ็นดูในสถานการณ์อื่น แต่ตอนนี้ณรงค์ไม่ชอบใจนักที่คนป่วยไม่ยอมกินยาลูกเดียว และความอัดอั้นที่ก่อตัวมาตั้งแต่เมื่อเย็นก็ดูจะพุ่งเกินขีดเอาตอนนี้เอง

“นี่ผมพูดยังไงคุณก็จะไม่ยอมกินยาดีๆ ใช่มั้ย?”

“ก็บอกแล้วว่าไงว่า...อื้อ!!!!”

ยังเถียงไม่ทันจบประโยค หนุ่มลูกครึ่งก็เบิกตากว้างเมื่อจู่ๆ ณรงค์ก็กระชากผ้าห่มที่เขาดึงขึ้นคลุมศีรษะไว้แล้วก้มลงมาปิดปาก และที่น่าตกใจยิ่งกว่าก็คือในปากณรงค์มีเม็ดยาที่เขาแสนเกลียดอยู่ด้วย!!

“อึ๊ก!! อื้อ!! อื้อ!!!”

ไรอันทั้งเตะทั้งผลักคนที่ดึงดันใช้กำลังให้กินยาเป็นพัลวัน แต่ความที่ร่างกายอ่อนแอจนแทบไม่มีเรี่ยวแรง ประกอบกับไม่ทันได้ปิดปากไว้แต่แรก เม็ดยาในปากณรงค์จึงถูกส่งต่อให้เขาโดยไม่ยากเย็น ถึงแม้ดูเหมือนคนป้อนเองก็จะได้ลิ้มรสยาไปด้วยเกือบครึ่งก็ตาม

“แค่ก! แค่กๆๆ!!”

พอริมฝีปากเป็นอิสระ ไรอันก็ไอโขลกเพราะหายใจไม่ทันจนหน้าแดง ณรงค์จึงรีบหยิบแก้วน้ำส่งให้ดื่ม กระนั้นคนป่วยก็ยังไออีกหลายครั้งกว่าจะล้มลงนอนในที่สุดด้วยความเหนื่อยอ่อน เม็ดเหงื่อบางๆ ผุดพรายตามไรผมและซอกคอที่โผล่พ้นคอเสื้อ

ณรงค์ดื่มน้ำที่เหลืออยู่ก้นแก้วเพื่อล้างรสขมออกจากลิ้น แต่พอเอื้อมมือไปวางแก้วน้ำบนหัวเตียงและเหลือบตาลงอีกที ก็พบกับนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนที่ตัดพ้ออย่างรุนแรง แถมยังฉ่ำเพราะน้ำตาที่เอ่อคลอจนทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นผู้ร้ายที่เพิ่งรังแกคนไม่มีทางสู้

แถมดันเป็นแฟนของเขาเองเสียด้วย

“รัก...ผม เอ่อ....”

“Go fuck yourself! I hate you!!”

หนุ่มลูกครึ่งตะแคงหนีเขาแล้วก็ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมจนถึงไหล่ เสียงสูดน้ำมูกกับไหล่ที่สั่นยิ่งทำให้ณรงค์รู้สึกผิดมากเข้าไปอีก ชายหนุ่มเอื้อมมือไปแตะบ่าไรอันแต่ก็ถูกเบี่ยงตัวหนี สุดท้ายเลยต้องขยับเข้าไปนอนตะแคงแล้วโอบอีกฝ่ายไว้จากด้านหลัง

“ขอโทษ ผมขอโทษ จะให้พูดขอโทษสักกี่ครั้งก็ได้ แต่ผมอยากให้คุณหายเร็วๆ นี่นา ยกโทษให้ผมเถอะนะ”

ณรงค์พูดพลางใช้มือถูต้นแขนของไรอันผ่านผ้าห่มแรงๆ เพื่อให้ความอบอุ่น ก่อนจะจูบลงบนเรือนผมหยักศกสีน้ำตาลอ่อนที่ยุ่งเหยิง ผมที่ชื้นนิดๆ ทำให้เขารู้ว่าไรอันเริ่มเหงื่อออกแล้ว ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีเพราะแปลว่าไข้เริ่มลดลง

“I hate you.”

ไรอันยังยืนยันด้วยน้ำเสียงที่ตอกย้ำให้คนฟังรู้สึกผิดได้เท่าครั้งแรก ณรงค์จึงได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ เพราะเขาก็ทำตัวให้น่ารังเกียจจริงๆ

อยากเป็นพระเอกดีนัก...เป็นไงล่ะทีนี้...

“…แต่ผมรักคุณนะ”

เสียงสูดน้ำมูกจากคนที่นอนหันหลังให้ยังดังอยู่ แต่ไรอันไม่ได้พูดอะไรอีกนอกจากดึงผ้าห่มให้กระชับรอบตัวมากขึ้น และณรงค์ก็รู้สึกได้ว่าไหล่ที่แข็งเกร็งของคนในอ้อมกอดเริ่มคลายลงนิดหน่อย

ซึ่งก็ยังดีกว่าขยับหนีเขาออกไปอีก...

รอยยิ้มบนริมฝีปากของณรงค์หยักลึกมากขึ้น “ผมรักคุณนะ ไรอัน เด็กดี เมื่อกี้ผมขอโทษ เราดีกันเถอะนะ”

ณรงค์พูดปลอบอีก เขารออย่างอดทนให้ไรอันยอมยกโทษให้ และครู่หนึ่งก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายใช้ปลายเท้าสะกิดเท้าเขา แต่นอกจากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเลย

แม้จะไม่ได้ยินเป็นคำพูด แต่การแสดงออกเล็กๆ น้อยๆ นั้นก็เพียงพอที่จะทำให้ณรงค์รู้ว่านั่นคือการตอบรับของไรอันแล้ว ชายหนุ่มจึงผ่อนลมหายใจยาวอย่างโล่งอก จากนั้นก็รั้งเอวอีกฝ่ายให้เอนมาใกล้มากขึ้นแล้วหลับตาลง

ไม่ยอมพูด แต่นี่คือวิธีตอบรับของคุณสินะ ก็ได้...ให้นี่เป็นโค้ดลับของเราสองคนก็แล้วกัน...

“ผมรักคุณนะ”


++------++


หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน One Step Closer [ครึ่งหลัง 2/9/11 P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 02-09-2011 01:06:59
เช้าวันต่อมา เมื่อณรงค์รู้สึกตัวตื่นอีกครั้ง แสงอาทิตย์ภายนอกที่สาดฉายเข้ามาทางหน้าต่างก็บอกให้รู้ว่าเป็นเวลาสายแล้ว แต่ที่ทำให้เขาตกใจยิ่งกว่าก็คือคนที่นอนกอดมาทั้งคืนหายไปจากเตียง!

“ไรอัน? คุณอยู่ไหนน่ะ!?”

ชายหนุ่มรีบลุกออกมาจากห้องนอน และพบว่าเจ้าของห้องกำลังทำอาหารอยู่หน้าเตาไฟฟ้าในครัว กลิ่นไข่กับแฮมที่อยู่ในกระทะคนละใบหอมฉุยไปทั้งครัว

พอได้เห็นกับตาว่าไรอันไม่ได้หายไปไหน ณรงค์ก็ค่อยโล่งอก แต่ยังไม่ทันจะเดินเข้าไปหา เจ้าของห้องก็พูดโดยไม่หันกลับมามอง

“ผมกำลังทำบรันช์ให้เพราะสายแล้ว คุณไปล้างหน้าแปรงฟันให้เสร็จก่อนค่อยมากินด้วยกัน”

หลังจากตักแฮมปิ้งกับไข่ลวกขึ้นจากกระทะคนละใบ เจ้าของห้องก็หันไปเปิดตู้ไมโครเวฟที่ส่งเสียงร้องหลังครบเวลา ณรงค์เห็นว่าหากเสนอตัวช่วยอาจจะเกะกะจึงถอยกลับไปล้างหน้าแปรงฟันในห้องตามที่ถูกบอก เมื่อเดินออกมาอีกครั้ง เขาก็พบอาหารเช้าสองชุดวางอยู่บนโต๊ะแล้ว แต่เพราะหน้าตาที่ประหลาดไม่เคยเห็น เนื่องจากในจานมีขนมปังปิ้งที่โปะด้วยแฮมและไข่ลวก รวมทั้งมีน้ำซอสสีเหลืองอ่อนราดอยู่ ณรงค์จึงถามอย่างสงสัย

“นี่อะไรน่ะ?”

พอรู้ว่าณรงค์ไม่รู้จักมื้อเช้าที่เขาทำให้ ไรอันก็ยิ้มอย่างภูมิใจนิดๆ “เอ้ก เบเนดิคท์ เป็นมื้อเช้าที่ผมทำกินเองบ่อยเพราะอิ่มแล้วก็ง่ายดี ของคุณผมเพิ่มแฮมกับไข่ให้เพราะคงหิวมากกว่าผม ยังไงอร่อยไม่อร่อยก็บอกด้วยล่ะ”

ไรอันหันไปหยิบหม้อกาแฟมาเทลงในถ้วยสองใบบนโต๊ะ จากนั้นก็นั่งลงทานมื้อเช้าพร้อมกับเขา และถึงแม้ณรงค์จะรู้สึกว่าซอสที่ราดไข่กับแฮมจะรสชาติแปลกๆ เพราะเปรี้ยวๆ เค็มๆ มันๆ ไม่คุ้นลิ้น แต่เมื่อตักทุกอย่างกินพร้อมกันแล้วกลับรสชาติกลมกล่อมอย่างประหลาด

“อร่อยดีนะ ผมชอบ”

ณรงค์ชมอย่างจริงใจ และเห็นคนตรงหน้ายิ้มก่อนจะตักของตัวเองขึ้นกินบ้าง ใบหน้าของหนุ่มลูกครึ่งยังเรื่อสีเลือดฝาดเล็กน้อยอย่างคนไม่สบาย แต่ดูท่าทางมีเรี่ยวมีแรงมากขึ้น ไม่ระโหยโรงแรงเหมือนเมื่อวานนี้แล้ว

“คุณกินยาแล้วไปนอนต่อเถอะ เดี๋ยวตรงนี้ผมล้างให้เอง”

ณรงค์บอกเมื่อเห็นว่าไรอันกินมื้อเช้าหมดแล้ว และคนฟังก็ทำหน้าเบ้ทันที ชายหนุ่มจึงหัวเราะแล้วใช้เท้าเขี่ยเท้าอีกฝ่ายใต้โต๊ะเบาๆ เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเหลือบตาขึ้นสบตากับเขา จากนั้นก็หันไปทางอื่นโดยที่ริมฝีปากยังยื่นนิดๆ อยู่

อย่างน้อยก็ไม่ได้เถียงเสียงแข็งว่า ‘จะไม่กิน’ อีกแล้วแหละนะ...สงสัยคงไม่อยากโดนป้อนยาแบบเมื่อคืนล่ะสิ

ชายหนุ่มยิ้มพลางลุกไปหยิบยาจากในตู้เย็นมาเทออกนับและส่งให้คนป่วย จากนั้นก็ยืนดูไรอันฝืนกินยาทั้งหมดและดื่มน้ำตามจนพอใจ

“เก่งมาก จริงๆ คุณก็กินยาได้นี่นา ไม่เห็นต้องเกเรเหมือนเมื่อคืนนี้สักหน่อย”

ณรงค์ชมพลางตบบ่าไรอันเบาๆ ส่วนคนถูกชมเพียงยกหลังมือขึ้นปาดคราบน้ำจากริมฝีปากโดยไม่ตอบหรือสบตากลับ แต่พอณรงค์จะหันไปล้างจานในอ่างก็ได้ยินเสียงจากคนที่กำลังลุกขึ้น

“ล้างจานเสร็จเมื่อไหร่มานอนเป็นเพื่อนผมด้วย”

ณรงค์หันกลับไปด้านหลัง ทันเห็นเพียงแผ่นหลังของไรอันแว้บๆ เพราะเจ้าตัวเดินเข้าห้องนอนไปเสียก่อน ทว่าคำสั่งนั่นก็ทำให้เขายิ้มแก้มแทบปริ พอล้างจานเสร็จแล้วเลยรีบไปบ้วนปากในห้องน้ำก่อนจะเดินกลับไปที่เตียง

ไรอันขยับนิดหนึ่งเพื่อให้ณรงค์สามารถนอนบนเตียงด้วยได้สบายขึ้น จากนั้นก็ตะแคงมาหาแล้วเอาแขนข้างหนึ่งมาพาดไปบนอกเขา ณรงค์จึงหันไปจูบหน้าผากอีกฝ่ายเบาๆ แล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาจนถึงไหล่ให้

ตอนที่ไข้ขึ้นสูงมากๆ จะงอแงจนน่าตี แต่พอไข้ลดแล้วก็อ้อนเป็นเหมือนกัน...ถ้าอ้อนแบบนี้ได้ตลอดก็ดีสิ...

ณรงค์คิดในใจ แต่ก็รู้ดีว่าคงเป็นไปได้ยากเพราะไรอันเป็นคนรักอิสระและไม่พึ่งใคร แค่การที่ยอมอ่อนให้บ้างตอนป่วยนี่ก็ดีถมถืดแล้ว ดังนั้นเขาก็ควรจะทำใจยอมรับว่านี่เป็นนิสัยที่เขาขอให้เปลี่ยนไม่ได้

"ไข้คุณลดลงจากเมื่อคืนเยอะเหมือนกันนะ”

ณรงค์เอ่ยทัก ไรอันจึงถอนหายใจแล้วหลับตาลง "เวลาผมไม่สบายจะเป็นแบบนี้แหละ วันแรกจะมีไข้สูงมากจนใครๆ ตกใจ แต่พอวันถัดมาจะค่อยๆ ลด พอวันที่สามหรือสี่ก็หายแล้ว”

คนฟังส่งเสียงรับรู้ในคอ ก่อนจะถามต่อด้วยความสงสัย "จะว่าไป ทำไมคุณถึงไม่ชอบกินยาขนาดนั้นด้วยล่ะ?”

ไรอันยักไหล่ "เจมส์บอกคุณแล้วล่ะสิ มันก็เริ่มจากตอนผมเข้าโรงเรียนประจำนั่นแหละ"

"ตอนนั้นทำไมเหรอ?"

ณรงค์ถามอย่างสนใจ ไรอันจึงหดคอนิดหนึ่งเมื่อนึกถึงประสบการณ์วัยเยาว์

"ตอนอยู่โรงเรียนประจำ เวลาไม่สบายผมจะไม่ยอมบอกที่บ้านเพราะไม่อยากให้พ่อกับแม่เป็นห่วง เจมส์เลยเป็นคนเดียวที่คอยดูแล แต่เพราะผมไม่ชอบกินยา พอโดนคะยั้นคะยอมากๆ ก็อาละวาดจนหมอนั่นต้องตามครูมาบังคับ แต่ครูกลับเอาผมไปขังในโรงเก็บของเก่าๆ ที่ทั้งชื้นทั้งมืด แล้วก็ขู่ว่าจะให้นอนในนั้นทั้งคืนถ้ายังไม่เลิกดื้อ จากนั้นมาผมก็เลยยิ่งเกลียดการกินยามากเข้าไปอีกต่อให้มันผ่านมานานแล้ว เรื่องก็มีแค่นี้แหละ”

หนุ่มลูกครึ่งตอบยาวเหยียดก่อนจะเงียบ ณรงค์ฟังแล้วคิดตาม ทำให้ได้เรียนรู้เกี่ยวกับนิสัยของไรอันเพิ่มขึ้นอีกอย่าง

ถึงแม้จะรักความเป็นส่วนตัวสูง แต่นั่นเป็นเพราะถูกฟูมฟักจากโรงเรียนประจำให้ต้องพึ่งพาตัวเองตั้งแต่เด็ก นอกจากนี้การที่ไม่ชอบทำให้คนสำคัญในครอบครัวเป็นห่วง ก็เพื่อที่อีกฝ่ายจะได้ไม่ต้องกังวลและทุ่มเทให้งานได้เต็มที่ หากจะเรียกว่าเป็นความเห็นแก่ตัว เขาก็คิดว่าพอจะยอมรับความเห็นแก่ตัวแบบนี้ได้

แต่ต้องไม่เอามาใช้กับเขา

“ไรอัน ผมพอจะเข้าใจที่ตอนเด็กคุณไม่อยากให้พ่อกับแม่เป็นห่วงเลยปิดเรื่องที่ไม่สบายนะ แต่กับผมคุณไม่ต้องปิดก็ได้นี่”

ไรอันเงียบไปครู่หนึ่ง "ผมไม่ชอบประกาศว่าตัวเองไม่สบายให้ใครฟัง"

"ผมก็ไม่ได้บอกนี่ว่าให้เที่ยวป่าวประกาศบอกคนอื่น ผมหมายถึงกับผมคนเดียวต่างหาก เมื่อวานคุณโชคดีที่เจมส์พาไปหาหมอ แต่ถ้าเขาไม่อยู่แล้วผมก็ไม่รู้ล่ะ? คุณอาจอาการหนักจนช่วยตัวเองไม่ไหวก็ได้นะ"

หนุ่มลูกครึ่งยักไหล่ "Never happened to me before."

"คุณนี่มันน่า..."

พอโดนตีรวนมากเข้า แม้แต่คนใจเย็นอย่างณรงค์ก็ชักจะมีน้ำโห แต่ยังไม่ทันพูดให้จบประโยค คนป่วยก็ขยับตัวเข้าใกล้แล้วใช้วิธีเดียวกับเขาเมื่อคืนเพื่อให้เงียบ

"อื้อ..."

คราวนี้คนเฝ้าไข้ลืมหมดว่าจะพูดอะไร เพราะริมฝีปากอุ่นที่แนบลงอย่างเหมาะเจาะได้ดูดซับทุกคำพูดและความตั้งใจของเขาไปจนหมด ยิ่งเมื่อปลายลิ้นอุ่นจัดของคนมีไข้แลบออกไล้ปลายลิ้นของณรงค์ เขาก็ได้แต่ยิ่งบดริมฝีปากลงตอบรับและดึงเอวของไรอันเข้าหามากขึ้น

"คุณกำลังป่วย..."

ณรงค์กระซิบเสียงต่ำหลังจากริมฝีปากของทั้งสองผละจากกันอย่างอ้อยอิ่ง แต่มือทั้งสองกลับสอดใต้ชายเสื้อของคนป่วยและลูบไล้ไปบนผิวกายซึ่งทั้งลื่นและอุ่นอย่างเพลินมือ ยิ่งเมื่อได้สบตากับนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนที่ค่อยๆ ปรือขึ้นมองเขา ชายหนุ่มก็ยิ่งนึกถึงครั้งที่ร่างกายของทั้งสองใกล้ชิดกันใต้สายน้ำ รวมทั้งความเร่าร้อนของการแลกเปลี่ยนความเสน่หาให้กันที่บ้านสวนเมื่อสองเดือนก่อนมากยิ่งขึ้น

หนุ่มลูกครึ่งกระตุกมุมปากยิ้มขณะที่มือสองข้างทาบอยู่บนบ่าณรงค์ แก้มที่เรื่อสีเลือดฝาดด้วยยังไม่หายไข้ยิ่งดูแล้วเชิญชวนให้น่าฝังจมูกลงไปสูดกลิ่นหอมหวานสักหลายๆ ที

“ถูกต้อง ผมกำลังป่วย ดังนั้นคุณก็ควรจะปล่อยให้ผมนอนพักได้แล้ว”

ไรอันเอ่ยก่อนจะพลิกตัวหันหลังและดึงผ้าห่มขึ้น ปล่อยให้ณรงค์ที่ยังไม่หลุดจากห้วงอารมณ์หวามไหวรู้สึกเหมือนโดนทิ้งค้างกลางสะพานสูงอยู่คนเดียว ชายหนุ่มรีบยันตัวขึ้นนั่งแล้วก้มลงมองหนุ่มลูกครึ่งอย่างไม่อยากเชื่อหู

“ตกลงเมื่อกี้คุณแกล้งหยอกผมเล่นเหรอ!?”

“เปล่า แค่รู้สึกว่าคุณชักจะพูดมากจนน่ารำคาญ อีกอย่างคุณก็มองผมเหมือนอยากจูบมาตั้งแต่เช้าแล้วนี่ ผมเลยยอมให้จะได้เลิกจู้จี้กับผมซักที”

ถ้าจะมีใครที่กล้าพูดตรงๆ กับเขาโดยไม่สนใจว่าจะทำร้ายจิตใจหรือเปล่า ไรอันก็คงจะเป็นหนึ่งในอันดับแรกๆ แน่ แต่น่าแปลกที่ขณะทอดสายตามองเสี้ยวหน้าของหนุ่มลูกครึ่งซึ่งหลับตาไปแล้ว ณรงค์กลับไม่รู้สึกโกรธสักนิด แถมยังนึกขำจนต้องหัวเราะออกมาด้วย

ดูท่าต่อให้ทำยังไงผมก็ไม่มีทางชนะคุณจริงๆ สิน่า...

ณรงค์ยกมือขึ้นสางผมที่ยุ่งเหยิงของไรอันออกจากหน้าผากให้ แต่ขณะที่จะชักมือกลับ หนุ่มลูกครึ่งกลับดึงมือเขาไปจับไว้แนบอกทั้งที่ไม่หันกลับมา

“Don’t go anywhere.”

คนถูกสั่งยิ้ม “ผมไม่ไปไหนหรอก คุณนอนพักเถอะ”

ไรอันระบายลมหายใจยาวก่อนจะขยับตัวให้นอนสบายขึ้น ไม่นานเสียงหายใจสม่ำเสมอที่ขึ้นจมูกเบาๆ ก็บอกใหห้รู้ว่าคนป่วยหลับไปแล้ว ณรงค์เลยต้องหาท่านั่งที่ไม่เมื่อยโดยไม่ทำให้ไรอันตื่น

รอให้หลับอีกหน่อยค่อยลุกไปทำข้าวกลางวันก็แล้วกัน...

ณรงค์ยิ้มพลางนั่งมองคนป่วยที่กำลังหลับสนิท ดูเหมือนไรอันจะไม่แยแสสักนิดว่าการเอาแต่ใจตัวเองจะทำให้เขาไม่สบายตัวแค่ไหน แต่ถ้านี่ช่วยตอกย้ำให้เขาได้รู้สึกถึงการเป็นคนสำคัญของหนุ่มลูกครึ่ง ณรงค์ก็คิดว่าคุ้ม

อย่างน้อยที่สุด...วันนี้เขาก็รู้สึกว่าได้เข้าใกล้รักไปอีกก้าวแล้ว...


++---End One Step Closer---++


A/N: ตอนนี้หลุดออกมาโดยไม่อิงเทศกาลใดๆ ทั้งสิ้น เนื่องจากมุกตัน (กร๊ากกก) อ่า...ถ้าพูดให้ดูดีขึ้นหน่อย ก็คืออยากดำเนินเรื่องด้วยโมเม้นท์ที่เน้นถึงการพัฒนาความสัมพันธ์ของทั้งคู่น่ะค่ะ เดี๋ยวมาดูกันอีกทีว่าตอนหน้าจะกลับมาตามเทศกาลหรือตามอารมณ์คนเขียนนะ อิอิ

ปล. สำหรับอาหารเช้าที่ไรอันทำในตอนนี้คือ Egg Benedict เผื่อใครไม่เคยทานหรือไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน ไปคลิกดูได้ที่นี่ (http://cookingforhope.blogspot.com/2010/06/recipe-9-egg-benedict.html)ค่ะ จริงๆ มันทำได้หลายแบบนะ แล้วแต่ขนมปังที่ใช้ แล้วก็บางคนใช้แซลมอนรมควันแทนแฮมก็มีค่ะ


หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน One Step Closer [ครึ่งหลัง 2/9/11 P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: Cacao ที่ 02-09-2011 02:35:37
คิดถึงพี่รงค์กับไรอันมากกกกกกกกกก เปิดมาเห็นนี่  o22 เป้นแบบนี้เลยคุณริน ฮ่าๆๆๆ
แล้วมาเป็นอะไรที่ one step closer ระหว่างสองหนุ่ม มันช่างเป็นอะไรที่น่ารักสุดๆ
เจอโมเม้นท์แบบนี้ของไรอัน ที่ไม่นึกมาก่อนว่าจะได้เห็น
เป็นความสัมพันธ์ที่ก้าวหน้าจริงจัง น่ารักอะ ดูอ่อนลงเยอะมากหรือจะเป็นเพราะป่วย(?)
ป่วยแล้วขี้อ้อนได้น่าเอาใจมาก ถ้าเจอแบบนี้จะสั่งเท่าไหร่พี่รงค์ก็ไม่ขัดแน่ๆอ่ะ
มันอบอวลสุดๆ Don't go anywhere อ่านแล้วยิ้มมมมมมมแก้มฉีกเลย น่ารักโคตรรร
อ่านฉากตอนพี่รงค์แอบมองไรอันจากด้านหลังแล้วมันแลดูหื่นจริงๆนะคุณริน ฮ่าๆ
หรือจะเพราะว่าเป็นพี่รงค์ก็ไม่รู้ แล้วไรอันยังแอบยิ้มกรุ้มกริ่มอีก น่ารักง่าาาาาา
ให้ความรู้สึกเหมือนรู้นะมอง แล้วคิดอะไร ฮ่าๆ ชอบพี่รงค์ในอารมณ์หึงและโกรธแบบนี้
พี่เค้าแมนอะ แลดูรักไรอันมากมาย อิจฉาไรอัน น่ารัก  :impress2:
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน One Step Closer [ครึ่งหลัง 2/9/11 P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: kakuro ที่ 02-09-2011 09:34:36
ขอบคุณคุณริน :L2:
รงค์ใกล้รักขึ้นมาอีกขั้นแล้วสิ
แต่ก็นะพระเอกคุณรินค้างอีกจนได้
คุณรงค์คะเรื่องค้างนี่พี่แนะนำให้ไปปรึกษาน้องภัทรนะคะ :-[
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน One Step Closer [ครึ่งหลัง 2/9/11 P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 02-09-2011 18:26:54
โค้ดลับระหว่างสองหนุ่ม
"ตีนสะกิด" :o8:
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน One Step Closer [ครึ่งหลัง 2/9/11 P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 02-09-2011 23:23:28
ขอบคุณจ้า
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน One Step Closer [ครึ่งหลัง 2/9/11 P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 02-09-2011 23:37:24
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน One Step Closer [ครึ่งหลัง 2/9/11 P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: aeecd ที่ 07-09-2011 11:30:37


เห็นรูปแล้ว :-[อร๊ายยยยยยยยยยยยยยยส์
หล่มมากกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน One Step Closer [ครึ่งหลัง 2/9/11 P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 08-09-2011 13:46:32
ถูกใจให้เป็ดไป ฮิๆๆๆๆ 
คู่นี้เขาค่อยๆ ขยับความสัมพันธ์เข้าใกล้กันทีละนิดทีละหน่อย แอร๊ยยย รอเวลาที่ความสัมพันธ์แนบแน่น กรี๊ดดดด  :z1:  :haun4:
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคต้น 8/11/11 P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 08-11-2011 18:52:31
ห่างหายจากณรงค์กับไรอันไปนานมากกกกกกกกกกก จึงต้องขอเข็นตอนต่อมาให้เสียหน่อย คราวนี้ไม่เชิงจบในตอนเพราะต้องติดตามความคืบหน้ากันต่อไปค่ะ หุหุหุ
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคต้น 8/11/11 P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 08-11-2011 18:57:36
ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ Square One [ภาคต้น]

ดวงจันทร์สีขาวนวลเริ่มลอยสูงขึ้นบนฟ้า เปล่งแสงสีซีดเป็นวงเล็กๆ ตัดกับความเวิ้งว้างสีน้ำเงินเข้มเบื้องหลัง สวนทางกับดวงอาทิตย์ที่แผ่แสงอัสดงสุดท้ายอันอ่อนแรงเมื่อสิ้นสุดวัน และภายในห้องทานอาหารขนาดย่อมบนชั้นยี่สิบของคอนโดหรูกลางเมือง ชายหนุ่มสามคนก็เพิ่งจะเสร็จสิ้นจากการทานอาหารมื้อเย็นเช่นเดียวกัน

“เดี๋ยวจานชามพวกนี้ผมล้างให้ คุณกินยาแล้วก็ไปนอนพักได้แล้วล่ะ”

 “ผมล้างเองได้”

“ผมบอกให้กินยาแล้วไปนอนไง คุณยังไม่หายดีนะ”

ณรงค์ยืนยันคำเดิมและแย่งจานชามในมือไรอันมาถือ หนุ่มลูกครึ่งเม้มปากและทำหน้าไม่พอใจ แต่สุดท้ายก็เดินลงเท้าหนักๆ ไปที่ห้องนอนและปิดประตูอย่างแรง

เสียงหัวเราะจากสมาชิกอีกคนในห้องดังขึ้น พอณรงค์หันไปมอง เจมส์ก็หลิ่วตาให้พลางยกแก้วไวน์แดงขึ้นจิบ “Good job, mate. I’ve never seen him so speechless before.”

ณรงค์ส่ายหน้ายิ้มๆ พลางหันไปล้างจานในอ่าง ตั้งแต่ไรอันไข้ขึ้นสูงเมื่อคืนวันศุกร์ เขาก็มาคอยขลุกอยู่ที่ห้องเพื่อเฝ้าไข้ให้ตลอด และทำให้ได้เจอเจมส์ซึ่งแวะมาเยี่ยมและทานอาหารเย็นด้วยทุกคืน ณรงค์จึงเริ่มคุ้นเคยกับญาติผู้พี่ของไรอันมากขึ้น

“กว่าจะทำให้ยอมฟังผมได้ก็ไม่ใช่ง่ายๆ หรอก คุณก็รู้ว่าเขาดื้อแค่ไหน”

ช่วงระหว่างที่ไรอันไม่สบาย ณรงค์ถือโอกาสดูแลอย่างใกล้ชิดชนิดที่แทบจะไม่ปล่อยให้ทำอะไรเองเลย ซึ่งบางครั้งผู้บริหารหนุ่มลูกครึ่งก็จะแสดงอาการฮึดฮัดเพราะรำคาญ กระทั่งบ่นด้วยถ้อยคำแรงๆ เป็นภาษาอังกฤษยาวเหยียดที่ณรงค์ฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แต่เขาก็ทำเป็นไขหูเพราะถือว่าเป็นหน้าที่ที่จะต้องอำนวยความสะดวกให้คนป่วยมากที่สุด และเขาก็ประสบความสำเร็จพอสมควรที่สามารถเกลี้ยกล่อมจนไรอันยอมหยุดอยู่บ้านในวันจันทร์นี้ได้ทั้งที่เจ้าตัวอยากไปออฟฟิศมาก

“อืม...ก็ใช่ว่าผมจะไม่เข้าใจความรู้สึกคุณหรอกนะ แต่กับหมอนั่นน่ะอย่าคอยโอ๋ให้มากเกินไปนักก็ดี”

เจมส์พูดพลางลุกขึ้นเก็บขวดไวน์ใส่ในตู้เย็น จากนั้นก็เดินออกจากครัวไปเคาะประตูห้องนอนไรอันเบาๆ

“Hey mate, I’m leaving. Be good to your boyfriend eh?”

“Get lost asshole!”

ไรอันตะโกนตอบพร้อมกับเสียงปาหมอนกระทบประตูดัง ‘ปุ’ เจมส์จึงหัวเราะเสียงดังแล้วตบประตูคืนไปครั้งหนึ่ง ณรงค์เริ่มชินกับวิธีแสดงความสนิทสนมของลูกพี่ลูกน้องคู่นี้ เขาถือโอกาสที่ล้างจานเสร็จพอดีเช็ดมือให้แห้งและเดินตามเจมส์ไปที่หน้าห้อง

“เดี๋ยวผมลงไปส่ง ว่าจะซื้อของมาใส่ตู้เย็นเพิ่มด้วย”

“หือม์? เอาสิ”

ชายหนุ่มทั้งสองลงลิฟต์จากชั้นยี่สิบด้วยกัน พอประตูลิฟต์เปิดออกที่ชั้นหนึ่ง เจมส์ก็ก้าวออกก่อนพร้อมกับพูดเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้

“อ้อ ผมลืมบอกไป คืนนี้ผมจะบินกลับเมลเบิร์นแล้วนะ ยังไม่รู้เหมือนกันว่าคราวหน้าจะมาเมื่อไหร่”

ณรงค์เลิกคิ้ว “อ้าว? คุณจะกลับแล้วเหรอ? แล้วไรอันรู้แล้วหรือยัง?”

ชายหนุ่มแปลกใจเพราะเมื่อตอนค่ำอีกฝ่ายไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้เลย เจมส์โบกมือปฏิเสธขณะเดินไปยังรถสปอร์ตสีแดงที่จอดอยู่หน้าคอนโด

“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวถึงที่โน่นค่อยโทรบอกก็ได้ ทุกทีผมก็ทำแบบนี้แหละ หมอนั่นชินกับการที่จู่ๆ ผมจะโผล่มาหรือหายไปอยู่แล้วล่ะ”

ครอบครัวนี้ดูสนิทกันแบบแปลกๆ....ณรงค์คิดพลางยื่นมือออกไปหาคนที่กำลังสตาร์ทรถ

“งั้นก็ขอบคุณมากที่มาเยี่ยมไรอันทุกวันระหว่างนี้ ถ้าหากคุณจะมาเมืองไทยอีกก็โทรบอกผมหน่อยก็แล้วกัน”

เจมส์หัวเราะพลางยกมือขึ้นเชคแฮนด์ตอบ นัยน์ตาสีน้ำตาลอมเทายิ้มพราวอย่างรู้ทันว่าณรงค์ไม่ต้องการให้เขามาหาไรอันโดยที่ไม่บอกกล่าวกันล่วงหน้า “No worries. อย่างน้อยต่อจากนี้ผมก็บอกคาร์ลหรือน้ารุ้งให้เลิกเป็นห่วงว่าไรอันจะไม่มีเพื่อนที่นี่ได้แล้วล่ะนะ”

ชื่อที่ไม่คุ้นเคยทำให้ณรงค์ขมวดคิ้ว เจมส์เห็นจึงอธิบาย “พ่อกับแม่ของไรอันน่ะ ก็อย่างที่รู้ว่ารายนั้นไม่ค่อยชอบเล่าเรื่องไม่ดีให้ที่บ้านฟัง สองคนนั้นก็เลยต้องอาศัยถามเอาจากผม แต่ผมก็ไม่ได้เล่าความลับทุกเรื่องของไรอันหรอกนะ ถึงยังไงผมก็เคารพความเป็นส่วนตัวของหมอนั่นอยู่”

“อ้อ...”

หนุ่มลูกครึ่งเหลือบดูนาฬิกาข้อมือก่อนจะบอกลาอีกครั้ง “ผมต้องไปละ ระหว่างนี้ก็พยายามทำคะแนนให้มากๆ แล้วกัน ไรอันน่ะเหมือนจะดูง่ายแต่จริงๆ แล้วเข้าใจยากเอาเรื่อง Just don’t give up on him, ok?”

ณรงค์พยักหน้ารับอย่างไม่ค่อยเข้าใจความหมาย และเจมส์ก็เพียงยิ้มโดยไม่อธิบายต่อก่อนจะขับรถออกไป ชายหนุ่มยืนมองจนกระทั่งรถสปอร์ตสีแดงเลี้ยวไปจนลับสายตาแล้วจึงค่อยเดินข้ามถนนไปซื้อน้ำผลไม้กับนมที่ร้านสะดวกซื้อ ไม่นานเขาก็ได้ของที่ต้องการและกลับขึ้นไปบนห้อง แต่แล้วก็แปลกใจเมื่อพบว่าคนที่น่าจะนอนหลับกลับกำลังนั่งดูโทรทัศน์อยู่ในห้องนั่งเล่น

“คุณยังไม่นอนอีกเหรอ?”

ณรงค์ถามพลางปิดประตูใหญ่และถอดรองเท้าออก ไรอันส่ายหน้าพลางกดรีโมทเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ

“I’m not sleepy.”

คนตัวใหญ่กว่าเดินเอาของที่ซื้อเข้าไปเก็บในตู้เย็น จากนั้นก็เดินออกมานั่งลงบนโซฟาและยกหลังมือขึ้นแตะหน้าผากคนป่วย

“ดูเหมือนจะไม่มีไข้แล้วนะ งั้นเดี๋ยวผมอุ่นนมให้คุณดื่มสักแก้วแล้วค่อยเข้านอนดีกว่า”

ไรอันหลุบตาขณะที่ณรงค์เลื่อนหลังมือลงสัมผัสอุณหภูมิตรงซอกคอเพื่อให้แน่ใจ ครู่หนึ่งก็เหลือบตากลับขึ้นมองเขาอีกครั้ง

“ผมคิดว่าผมดีขึ้นเยอะแล้วล่ะ ตั้งแต่พรุ่งนี้ผมจะกลับไปทำงาน ส่วนคุณก็ไม่ต้องมาเฝ้าผมแล้วก็ได้”

ณรงค์ชะงักมือที่กำลังตรวจเช็คไข้ นัยน์ตาของทั้งสองประสานกัน และอะไรบางอย่างในแววตาสีน้ำตาลอ่อนทำให้ณรงค์ใจกระตุก

“...ผมไม่ได้ลำบากที่มาเฝ้าคุณเลยนะ”

ความจริงเขาอยากจะพูดเสริมว่า ‘ก็เราเป็นแฟนกันไม่ใช่เหรอ?’ ด้วยซ้ำ แต่ก็รู้ว่านั่นไม่มีน้ำหนักเพียงพอสำหรับคนอย่างไรอันแน่ๆ และดูเหมือนเจ้าตัวก็จะอ่านความคิดเขาออกด้วย

“ผมรู้ว่าสภาพร่างกายตัวเองเป็นยังไง ตอนนี้ไม่มีอะไรน่าห่วงแล้ว ต่อให้คนที่อยู่ตรงนี้ไม่ใช่คุณผมก็จะพูดแบบนี้อยู่ดี เชื่อผมเถอะ คุณกลับไปนอนห้องตัวเองดีกว่า”

ไรอันพูดพลางลุกขึ้นราวจะแสดงออกกลายๆ ว่าไม่ต้องการฟังคำปฏิเสธ แต่หนุ่มลูกครึ่งก็ก้าวไปไหนไม่ได้ไกลเพราะถูกณรงค์ที่ยังนั่งอยู่กับที่รั้งข้อมือข้างหนึ่งไว้

“ที่ผมมาคอยดูแลตลอดเวลาที่คุณป่วย...มันน่ารำคาญมากเหรอ?”

ทั้งช่วงเวลาที่เขาคอยเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้า ป้อนยาและทำสิ่งต่างๆ ให้...ที่เขาคิดว่าเป็นเรื่องที่ดีที่สมควรทำ...เขาตั้งใจมากเกินไปหรือไง...

ความเงียบอันน่าอึดอัดลอยแขวนในอากาศรอบตัวทั้งสอง ครู่หนึ่งไรอันก็สะบัดแขนออกแล้วเดินตรงไปยังประตูห้องนอน

“จะว่าอย่างนั้นก็ได้”

น้ำเสียงเรียบนิ่งที่ตอบไม่ต่างอะไรกับลิ่มที่ตอกลงมาบนหัวใจ ณรงค์ได้แต่ทอดสายตามองที่ว่างบนโซฟาซึ่งหนุ่มลูกครึ่งเพิ่งจะลุกไปด้วยสมองที่มึนตื้อ เขาไม่เข้าใจเลยว่าตนทำอะไรผิดตรงไหน และทำไมถึงต้องได้รับการขับไล่ไสส่งเป็นการตอบแทนจากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนกันด้วย

“ระหว่างนี้ก็พยายามทำคะแนนให้มากๆ แล้วกัน”

ณรงค์นึกถึงคำพูดของเจมส์ก่อนจะจากกันแล้วก็แค่นหัวเราะ เพราะราวกับฝ่ายนั้นรู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดเรื่องนี้เลยเตือนไว้ก่อนอย่างไรอย่างนั้น แต่จะให้เขาทำคะแนนอีท่าไหน...ในเมื่อกลายเป็นว่าทุกสิ่งที่ทำไปไม่ถูกเห็นคุณค่าเลยด้วยซ้ำ...

ความรู้สึกห่อเหี่ยวเริ่มคืบคลานเข้าเกาะกุมจิตใจที่เมื่อหัวค่ำยังแจ่มใส ดูเหมือนความเชื่อมั่นของเขาที่ว่าไรอันเริ่มมีใจให้หลังจากยอมรับว่าเป็นแฟนกันกำลังถูกกัดกร่อนด้วยบทสนทนาสั้นๆ เมื่อครู่ เพราะสุดท้ายแล้วก็ไม่มีหลักประกันอะไรเลยว่าเขาจะได้รับการปฏิบัติด้วยเป็นพิเศษ ในเมื่อท้ายที่สุดแล้วฝ่ายนั้นก็ยังรักชีวิตอิสระที่มีแต่ตัวเองและโลกของตัวเองเท่านั้นอยู่ดี

ความคิดมากและน้อยใจทำให้ณรงค์ตัดสินใจคว้ากุญแจรถและเดินออกจากห้อง เขามั่นใจว่าต่อให้คืนนี้จะพยายามคุยปรับความเข้าใจกับไรอันก็คงไม่ได้เรื่อง เพราะกำแพงที่จู่ๆ อีกฝ่ายก็ตั้งขึ้นมารอบตัวเองดูจะไม่เปิดช่องให้เขากะเทาะมันออกได้เลย และหากจะทนหน้าด้านอยู่ทั้งที่โดนไล่ก็มีแต่จะสำเหนียกถึงความไร้ค่าของตัวเองมากขึ้นเท่านั้น

ชายหนุ่มหยิบเสื้อแจ็คเก็ตตัวเก่งซึ่งพาดอยู่บนโซฟาขึ้นสวม จากนั้นก็ก้าวออกจากห้องและปิดประตูอย่างแรงกว่าที่ตั้งใจ ความรู้สึกเดียวที่เขารับรู้ในเวลานี้คืออยากออกจากห้องนี้ไปให้ไกลๆ ให้สมกับความปวดใจจากการถูกบอกว่า ‘น่ารำคาญ’ โดยที่ไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าจะไปไหน แต่ที่แน่ๆ คือยังไม่ใช่การกลับไปอยู่คนเดียวที่ห้องอย่างแน่นอน

ในอีกด้านหนึ่งหลังประตูห้องนอน ร่างสูงสมส่วนของหนุ่มลูกครึ่งยืนมองพระจันทร์ที่ลอยสูงผ่านกระจกหน้าต่างเงียบๆ เขาได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวด้านนอกรวมทั้งเสียงปิดประตูใหญ่อย่างชัดเจน แต่ก็ไม่ได้คิดอยากออกไปรั้งตัวณรงค์ไว้ ครู่หนึ่งชายหนุ่มก็รูดปิดม่านและเดินกลับไปสอดตัวลงใต้ผ้านวมบนเตียง แต่กว่าจะหลับตาลงและเข้าสู่ห้วงนิทราได้ ผู้บริหารหนุ่มลูกครึ่งก็ลืมตามองเพดานอยู่เป็นชั่วโมง และนาฬิกาบนผนังก็ชี้บอกว่าเวลาได้ล่วงผ่านเข้าสู่วันใหม่แล้ว


 ++------++


เช้าวันถัดมา ณรงค์หยีตาขึ้นเมื่อรู้สึกถึงไอร้อนบนหน้า และแสงสว่างของพระอาทิตย์ยามสายที่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามากระทบตาเต็มๆ ก็ทำให้ร่างสูงใหญ่ต้องพลิกตัวหนีพร้อมกับควานหารีโมทแอร์มาเร่งอุณหภูมิในห้องให้เย็นขึ้น

“...ชิบ”

ชายหนุ่มสบถเบาๆ เมื่อเห็นหน้าปัดนาฬิกาชี้บอกว่าเป็นเวลาสิบโมงครึ่ง จิตสำนึกส่วนหนึ่งเตือนเขาให้รีบลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวเพื่อไปทำงาน แต่จิตสำนึกอีกด้านก็ฉุดรั้งให้ทิ้งตัวอยู่บนฟูกหนานุ่มเช่นเดิม ทั้งที่ปกติณรงค์จะไม่เคยรู้สึกขี้เกียจช่วงต้นสัปดาห์แบบนี้เลยหากไม่ใช่เพราะไม่สบาย

จะว่าไป...สงสัยเมื่อคืนคงกินเหล้ามากไปหน่อย...ไม่ได้เมาค้างแบบนี้มานานแล้วสิ...

ชายหนุ่มใช้นิ้วนวดขมับด้วยหวังว่าจะช่วยคลายอาการปวดหัวราวสมองโป่งพองลงได้บ้าง เขาจำได้เลือนลางว่าเมื่อคืนตนแวะไปดื่มเหล้าที่ผับเพื่อระบายอารมณ์จนดึกดื่นเพราะยังไม่อยากกลับห้อง แต่เพราะผับที่ไปคือสถานที่แห่งความหลังที่ทำให้ความสัมพันธ์ของเขากับไรอันเริ่มต้น เลยกลายเป็นว่าสุดท้ายเขาก็ได้แต่มอมเหล้าตัวเองไปโดยที่นึกถึงไรอันไปตลอดเวลาอยู่ดี

ป่านนี้คงอยู่ที่ออฟฟิศแล้วล่ะมั้ง...

ณรงค์คิดอย่างเบลอๆ หลังจากใช้ความพยายามครู่ใหญ่ในการยันตัวขึ้นนั่ง ร่างสูงใหญ่ก็ลุกชึ้นช้าๆ แล้วเดินไปเข้าห้องน้ำ แต่ยังไม่ทันจะได้ล้างหน้าแปรงฟันก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือดังขัดจังหวะ

ชายหนุ่มคำรามเสียงต่ำพลางเดินกลับเข้ามาในห้องนอนเพื่อควานหาโทรศัพท์ ดูเหมือนเมื่อคืนนี้พอกลับถึงห้องเขาก็ถอดเสื้อและกางเกงแล้วขึ้นเตียงเลยโดยไม่เปลี่ยนชุด กว่าจะพบว่ามือถืออยู่ในกางเกงที่โยนไว้มุมห้องก็เสียเวลาพอสมควร

“ฮัลโหล?”

เมื่อเห็นว่าคนที่โทรมาคือประวิตรซึ่งเป็นเจ้านาย ณรงค์ก็กระแอมก่อนจะกดรับสายเพื่อไม่ให้เสียงฟังเหมือนคนเพิ่งตื่นเกินไปนัก แต่ดูเหมือนปลายสายจะฟังออกได้โดยไม่ยากเย็น

“รงค์เหรอ เพิ่งตื่นหรือไงน่ะเรา? หรือว่าไม่สบาย?”

“สบายดีครับพี่วิตร พอดีลืมตั้งนาฬิกาปลุกเลยตื่นสาย ไหนๆ แล้วผมขอลาครึ่งวันเลยก็แล้วกัน แล้วเดี๋ยวผมจะเข้าไปตอนบ่าย”

ชายสูงวัยเดาะลิ้นขณะที่ณรงค์เดินเข้าไปในครัวเพื่อชงกาแฟ “เอ้า ก็ยังดี พอดีวันนี้พี่จะเรียกประชุมทีมหน่อย กะว่าถ้ารงค์ไม่มาจะเลื่อนเป็นพรุ่งนี้ ถ้างั้นพี่ขอนัดสักบ่ายสองได้มั้ย?”

“ได้ครับพี่วิตร ขอโทษด้วยที่ทำให้ไม่สะดวก เดี๋ยวเจอกันครับ”

ณรงค์กดวางสายพลางเสียบปลั๊กกระติกน้ำร้อน แล้วก็พบว่ามีมิสคอลสายหนึ่งตอนราวๆ ตีสองครึ่ง แถมเป็นหมายเลขที่ไม่อยู่ในรายชื่อคนรู้จักเสียด้วย ชายหนุ่มจึงเลิกคิ้วด้วยความงุนงง

เบอร์ใครกันโทรมามิสคอลตอนดึกป่านนั้น...สงสัยคงจะโทรผิด...
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคต้น 8/11/11 P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 08-11-2011 18:59:57
ชายหนุ่มตัดสินใจไม่โทรกลับและวางมือถือไว้บนโต๊ะ หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยก็ชงกาแฟดื่มแก้วหนึ่งก่อนจะออกไปหาข้าวกลางวันกินแถวๆ ออฟฟิศ พอใกล้ได้เวลาประชุมจึงค่อยขึ้นไปที่บริษัทเพราะเขายังรู้สึกไม่พร้อมจะรีบทำงาน

ประวิตรนำการประชุมในช่วงบ่ายเพื่อติดตามความคืบหน้าของโปรเจ็กต์ที่เริ่มไปแล้ว รวมถึงการแบ่งงานใหม่ที่เพิ่งรับบรีฟมาให้กับลูกทีม กว่าการประชุมจะแล้วเสร็จก็บ่ายสามโมงครึ่ง ขณะที่ทุกคนทยอยเดินกลับไปที่โต๊ะ ณรงค์ก็เลี้ยวออกไปที่ลิฟต์เพราะอยากลงไปซื้อยาแก้ปวดหัว แต่พอประตูลิฟต์เปิดออกก็เกือบจะชนเข้ากับคนที่เดินสวนออกมาอย่างจัง

“ขอโทษครับ...อะ”

ร่างสูงใหญ่ชะงักเมื่อพบว่าคนในลิฟต์คือต้นเหตุที่ทำให้เขาหงุดหงิดจนออกไปกินเหล้าเมามายเมื่อคืน ฝ่ายไรอันเองก็ชะงักไปนิดหนึ่งเช่นกัน หนุ่มลูกครึ่งอยู่ในชุดทำงานปกติคือเสื้อเชิ้ตสีอ่อนผูกเนคไทกับกางเกงแสล็ค ในมือข้างหนึ่งมีเสื้อสูทพาดอยู่ ใบหน้ามีสีเลือดฝาดเล็กน้อยอย่างคนที่เพิ่งออกไปอยู่กลางแจ้ง ขณะที่ณรงค์มัวแต่อ้ำอึ้งจนนึกคำทักทายไม่ทัน ไรอันก็เบนสายตาหนีและเดินผ่านเขาเข้าไปในบริษัทเสียก่อน

ณรงค์ได้แต่มองตามแผ่นหลังของคนที่หายลับไปหลังประตูกระจก และทำให้ต้องกดรอลิฟต์ใหม่อีกครั้งเพราะประตูปิดลงก่อนจะก้าวเข้าไปด้านใน พลันความเจ็บแปลบในอกเพราะความหมางเมินที่เพิ่งได้รับก็ทำให้เผลอยกกำปั้นขึ้นทุบกำแพงอย่างแรง

บ้าเอ๊ย...จะนับเป็นแฟนประสาอะไรกันถ้าแค่จะมองหน้ายังกระอักกระอ่วนขนาดนี้...

ตลอดเวลาที่เหลือก่อนจะเลิกงาน ณรงค์เข้าโหมดไม่ปฏิสัมพันธ์กับใครทั้งสิ้น ทั้งเพราะอาการปวดหัวที่ยังตกค้างแม้จะกินยาแล้ว และเพราะสีหน้าไม่สบอารมณ์ของเขาที่พานทำให้ใครต่อใครไม่กล้าเข้ามาคุยด้วย โชคดีที่เพราะการประชุมเมื่อบ่ายเพิ่งเสร็จสิ้น หลายคนจึงเข้าใจว่าเขาคงกำลังเครียดกับงานและหลีกเลี่ยงที่จะเข้ามารบกวนให้เสียสมาธิ

เวลาผ่านไปจนเกือบจะสองทุ่ม เพื่อนร่วมงานหลายคนต่างทยอยกลับบ้านไปตั้งแต่หกโมงเย็น กระทั่งไฟในห้องทำงานของไรอันก็ดับสนิท แต่ณรงค์ก็ยังนั่งออกแบบนั่นนี่เรื่อยเปื่อย กระทั่งเขารู้สึกว่าทั้งแขนและสายตาล้าเต็มทนแล้วจึงค่อยปิดคอมพิวเตอร์และเดินออกจากบริษัท แต่สถานที่ที่ชายหนุ่มขับรถไปกลับเป็นคนละเส้นทางกับที่ตั้งของคอนโดโดยสิ้นเชิง

แสงไฟเหนือทางเข้าและผู้คนที่เดินเข้าออกในผับขนาดใหญ่กลางใจเมืองคือภาพที่รอรับขณะณรงค์เลี้ยวรถเข้าจอดในลาน ปกติแล้วเขาจะมาดื่มที่นี่เพียงนานๆ ครั้ง แต่ตั้งแต่ถูกท่าทางห่างเหินของไรอันทำให้หงุดหงิดเมื่อคืนที่ผ่านมา นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เขามาที่ผับแห่งนี้สองคืนติดกันอย่างผิดวิสัยที่ไม่เคยทำมาก่อน ความจริงแล้วเขาจะเลือกไปที่อื่นเสียก็ได้ แต่ความคุ้นเคยกับบรรยากาศก็ทำให้ณรงค์นึกถึงร้านนี้ก่อนตัวเลือกอื่น

หลังหยิบบัตรประชาชนให้เจ้าหน้าที่หน้าทางเข้าตรวจ ณรงค์ก็ยื่นแขนให้ปั๊มก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน ดูเหมือนแม้จะเป็นวันอังคาร แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ลูกค้าทั้งขาประจำและขาจรมาร้านน้อยลง ตามโต๊ะและฟลอร์ตรงกลางล้วนถูกจับจองจนแน่นขนัด และที่ว่างตามมุมต่างๆ ที่ยังเหลืออยู่ก็คงจะหายไปเมื่อเวลาล่วงสู่ยามดึกมากขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย

ร่างสูงใหญ่เดินตรงเข้าไปที่เคาน์เตอร์ด้านในสุดและสั่งเบียร์หนึ่งขวด เขาตั้งใจว่าวันนี้จะขอเมาให้สุดๆ อีกสักทีเผื่อว่าจะลืมความหมองมัวจากการถูกคนที่ชอบทำเหมือนไม่แยแสได้บ้าง ณรงค์จัดการเบียร์ขวดแรกเสร็จในเวลาอันรวดเร็วโดยไม่ได้หันไปสนใจบรรยากาศในร้านเลย กระทั่งเขาสั่งเบียร์ขวดที่สองมาและดื่มไปได้ครึ่งขวด ชายหนุ่มก็เลิกคิ้วเมื่อมีคนมายืนเบียดข้างๆ

“ขอสเมอร์นอฟไอซ์ขวดนึงครับ”

เสียงที่ค่อนไปทางแหบและเล็กสำหรับผู้ชายเอ่ยสั่งพนักงานที่อยู่หลังเคาน์เตอร์ เมื่อได้เครื่องดื่มที่ต้องการก็หันมาเอาขวดชนกับขวดเบียร์ของณรงค์แล้วยิ้มให้

“เอ้า เชียร์”

ณรงค์เลิกคิ้วพลางหันไปมองคนข้างตัวอย่างเต็มตา หลังจากดื่มเครื่องดื่มที่สั่งเข้าไปอึกใหญ่ หนุ่มน้อยที่ดูแล้วน่าจะอายุพ้นวัยนักศึกษามาไม่นานก็ส่งยิ้มหวานให้เขา ซึ่งไม่ใช่การแสดงออกที่แปลกนักในเมื่อผับแห่งนี้ค่อนข้างจะมีชื่อในหมู่ลูกค้าที่มีรสนิยมเฉพาะทางอยู่แล้ว

ผิวใสเชียว อายุถึงยี่สิบเหรอหน้าแบบนี้...

ณรงค์ประเมินในใจ และคิดว่าอีกฝ่ายคงแค่มนุษยสัมพันธ์ดีและเห็นเขามาคนเดียวเหมือนกันจึงเข้ามาทัก เขาจึงยกขวดเบียร์ในมือขึ้นและดื่มบ้าง แต่แล้วชายหนุ่มก็เบิกตาโตเมื่อคนที่ยืนข้างๆ ยืดตัวขึ้นหอมแก้มเขาเต็มรัก

“ผมมานั่งรอคุณตั้งแต่หัวค่ำเลยนะ นึกว่าวันนี้จะไม่ได้เจอกันซะแล้วสิ”

ไม่เพียงแต่พูดเท่านั้น อีกฝ่ายยังวางขวดเครื่องดื่มของตัวเองลงแล้วยกแขนสองข้างขึ้นมาคล้องคอเขาและโน้มลงหาตัวเองด้วย ณรงค์ยิ่งเบิกตากว้างกว่าเดิมเมื่อริมฝีปากของทั้งคู่สัมผัสกันอย่างแนบแน่นจนต้องรีบดันไหล่อีกฝ่ายออกห่าง

“เดี๋ยวก่อน ผมว่าคุณเมาหรือไม่ก็จำคนผิดแล้วนะ ผมไม่เคยเจอคุณมาก่อนเลยจนกระทั่งตะกี้นี้เอง”

ชายหนุ่มรีบออกตัวเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอะไรเกินเลย เพราะต่อให้เขาไม่ได้มีคนอื่นในใจ ณรงค์ก็ไม่ใช่คนที่ชอบมีความสัมพันธ์ฉาบฉวยกับคนแปลกหน้า และจุดประสงค์ในการมาที่นี่ของเขาก็เพียงเพื่อดื่มเหล้าให้ลืมเรื่องรำคาญใจเท่านั้น หาใช่เพื่อหาเศษหาเลยกับใครก็ได้เพื่อให้ลืมคนที่คบอยู่แล้วสักนิด

และต่อให้ไรอันไม่ได้อยู่ตรงนี้...ณรงค์ก็ยังรู้สึกผิดที่เขาทำเหมือนนอกใจแม้จะโดยไม่ตั้งใจอยู่ดี

หนุ่มน้อยมองตาเขาแล้วทำปากยื่นอย่างกระเง้ากระงอด “ผมเพิ่งจะสั่งไอ้นี่เป็นขวดที่สองจะเมาได้ยังไง อีกอย่างผมจำไม่ผิดหรอก เมื่อคืนวานคุณก็ใส่แจ็คเกตตัวนี้เหมือนกัน ผมยังทักคุณเลยว่าลายปักบนกระเป๋าเท่ดี”

คนพูดใช้ปลายนิ้วลูบบนกระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ตของณรงค์ไปมาจนเขาขนลุกซู่ ทว่านัยน์ตาของณรงค์ก็ยังแสดงออกว่าไม่เชื่อ หนุ่มน้อยคนนั้นจึงถอนหายใจแล้วหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมากดโทรออก และคราวนี้คนที่ตกใจก็คือณรงค์เองเพราะมือถือในกระเป๋ากางเกงส่งเสียงว่ามีสายเข้า

“ทีนี้เชื่อหรือยังล่ะ เมื่อคืนคุณกำชับผมหลังแยกกันเองนะว่ากลับถึงบ้านเมื่อไหร่ให้โทรบอกด้วย แต่ผมก็รู้หรอกว่าคุณคงเมาหลับไปเลยไม่ได้รับสาย นี่คงลืมแล้วล่ะสิว่าพวกเราทำอะไรกันเมื่อคืนนี้บ้าง”

“ทำอะไร...หมายความว่ายังไง”

เสียงของณรงค์เริ่มเครียด เขาค่อนข้างมั่นใจว่าตัวเองเป็นคนควบคุมสติได้เก่ง แต่เนื่องจากความทรงจำหลายช่วงเมื่อคืนก่อนช่างแสนจะลางเลือน เขาจึงไม่สามารถจะมั่นใจได้เต็มร้อยว่าตัวเองทำหรือไม่ทำอะไรไปบ้าง แถมร่างกายของคนที่พยายามเบียดตัวเข้าหาเขามากขึ้นก็ไม่ได้ช่วยให้ความกระจ่างเลยแม้แต่น้อย

เด็กหนุ่มหรี่ตาลงพลางหยักยิ้มมากขึ้น ขณะเดียวกันก็โน้มคอณรงค์เข้าหาอีกครั้งจนต่างสัมผัสได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่ายที่รดลงบนปลายจมูก “อยากจำได้จริงๆ เหรอ...ถ้างั้นเราคงต้องย้ายไปคุยกันที่ห้องคุณแล้วล่ะ...หวา!!”

เสียงซ่าโครมใหญ่และสัมผัสของน้ำผสมน้ำแข็งเย็นๆ สาดเข้าใส่คนทั้งคู่พร้อมๆ กับที่ณรงค์ได้ยินเสียงของอีกฝ่ายร้องอย่างตกใจ ชายหนุ่มขมวดคิ้วและหันขวับอย่างไม่พอใจเพื่อหาตัวต้นเหตุแม้ว่าจะช่วยขัดจังหวะเข้าด้ายเข้าเข็มได้อย่างเหมาะเหม็ง แต่เมื่อหันไปสบตากับเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อน ณรงค์ก็ชะงักตัวแข็งกับแววตาของคนที่กำลังมองตรงมาที่เขาในระยะห่างไม่ถึงหนึ่งเมตร

แถมในมือขวายังถือแก้วเปล่าที่เพิ่งใช้สาดน้ำไปหมาดๆ ด้วย

“Sorry, my hand just slipped.”

ไรอันพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบพอๆ กับใบหน้าที่ไม่ระบุอารมณ์ หนุ่มลูกครึ่งดูจะไม่ยี่หระกับฝูงไทยมุงที่กำลังให้ความสนอกสนใจพวกเขาแม้แต่น้อย ทว่าแววตาดูเย็นเยียบยิ่งกว่าน้ำที่ชุ่มอยู่บนผมกับเสื้อของณรงค์เสียอีก

หนุ่มลูกครึ่งวางแก้วลงบนเคาน์เตอร์ก่อนจะเดินฝ่าผู้คนในร้านตรงไปยังทางเข้าด้วยฝีเท้ามั่นคง และเมื่อตั้งสติได้ ณรงค์ก็รีบปล่อยมือจากเด็กหนุ่มแปลกหน้าและก้าวตามไปทันที

“ไรอัน...ไรอัน!! เดี๋ยวสิ! เมื่อกี้มันไม่ใช่อย่างที่คุณเห็นนะ!!”

ณรงค์สาวเท้าเร็วๆ ตามหนุ่มลูกครึ่งออกมายังลานจอดรถด้านหลัง แต่พอเอื้อมมือไปคว้าแขน อีกฝ่ายกลับชักแขนหนีโดยไม่แม้แต่จะหันมามอง

“I had seen enough. No need for you to make up excuses.”

ไรอันเดินไปจนถึงรถสีขาวของตัวเองที่จอดอยู่ริมสุดของลาน แต่พอจะเปิดประตูรถ ณรงค์ก็ปิดประตูกลับเข้าไปแล้วจับไหล่อีกฝ่ายให้หันมามองเขาตรงๆ

“ผมบอกว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่สิ! เมื่อกี้มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด ผมกับเขาไม่รู้จักกันมาก่อนเลยนะ!”

“Then go and get to know him. He seems willing to please you more than I do.”

ไรอันไม่ยอมหลุดภาษาไทยสักคำ นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนฉายแสงวาวโรจน์ แต่ดูเหมือนสาเหตุของความโกรธจะไม่ได้มาจากความหึงหวงมากเท่ากับความรู้สึกเสียศักดิ์ศรี และณรงค์ก็แทบอยากเอาหัวตัวเองโขกอะไรสักอย่างเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงแหบเล็กที่ดังขึ้นข้างหลัง

“นี่! เมื่อกี้เพื่อนคุณเสียมารยาทมากเลยนะ! ไม่มีใครสอนหรือไงว่าสาดน้ำใส่คนอื่นแล้วต้องขอโทษไม่ใช่เดินหนี!”

หนุ่มลูกครึ่งหรี่ตามองคนพูดผ่านไหล่ณรงค์โดยไม่โต้ตอบ แต่แววตาไม่สะท้อนความสำนึกผิดแม้แต่นิด และตอนนี้ณรงค์ก็ไม่ต้องการจะขัดใจคนที่อารมณ์กำลังคุกรุ่นด้วย

“แฟนผมไม่ได้ทำอะไรผิด ผมยอมรับว่าเมื่อคืนเมามากเลยไม่รู้ว่าทำอะไรไปบ้างและก็ขอโทษสำหรับเรื่องนั้น แต่กับเรื่องเมื่อกี้ เขาไม่จำเป็นจะต้องขอโทษคุณเลยสักคำเดียว”

ประโยคนั้นดึงสายตาสองคู่ให้จ้องที่ณรงค์เป็นตาเดียว แต่ด้วยความไม่พอใจเหมือนกันแม้จะมาจากต่างสาเหตุ

“Stop being such a prick! I’m not your goddamn boyfriend anymore!!”

ไรอันตะโกนใส่หน้าเขาและพยายามจะปัดมือของณรงค์ที่ยึดบนไหล่ออก ท่าทางดื้อดึงอย่างไม่ประนีประนอมทำให้ความฉุนเฉียวของณรงค์ชักจะทะลักขึ้นมาบ้าง

“ใช่สิทำไมจะไม่ใช่! จะบอกให้นะว่าต่อให้คุณพยายามแค่ไหนก็สลัดผมทิ้งไม่ได้ง่ายๆ หรอก!”

ยังพูดไม่ทันจะขาดคำ ณรงค์ก็รวบตัวไรอันเข้ามากอดแน่น สิ่งสุดท้ายที่เขาเห็นก่อนจะก้มลงปิดเสียงบริภาษของอีกฝ่ายก็คือนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนที่เบิกกว้างเหมือนไม่อยากจะเชื่อหู

“อึ้ม!! อื้อ!!!!”

ไรอันดิ้นขลุกขลักเมื่อณรงค์สอดปลายลิ้นเข้าในริมฝีปากที่เผยอค้างอย่างเอาแต่ใจ หนุ่มลูกครึ่งทำอะไรไม่ได้มากนักเพราะร่างกายถูกกดอยู่ระหว่างรถของตัวเองกับร่างของณรงค์ และดูเหมือนยิ่งพยายามจะทุบและผลักไสอีกฝ่ายมากเท่าไหร่ ณรงค์ก็ยิ่งออกแรงรัดมากขึ้นและจูบหนักหน่วงขึ้นเท่านั้น ร่างกายที่อุ่นจัดของคนในอ้อมแขนและรสชาติที่คล้ายกับมะนาวโซดาบนปลายลิ้นทำให้ณรงค์ลืมสนใจคนที่เบิกตากว้างมองพวกเขาสองคนอย่างตกตะลึง และพานลืมกระทั่งว่าพวกเขากำลังยืนอยู่ในลานจอดรถที่เปิดโล่งไปเสียสนิทด้วย

ครู่ใหญ่กว่าที่ณรงค์จะยอมถอนริมฝีปากออกจากรสชาติหวานหอมที่แสนเย้ายวน ไรอันปรือตาขึ้นมองเขาพร้อมกับหายใจหอบอย่างคนที่ขาดอากาศมานาน แขนสองข้างที่เมื่อกี้ยังทุบไหล่เป็นพัลวันเปลี่ยนเป็นจับยึดแขนเสื้อเขาไว้แน่นตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ท่าทางอ่อนแรงและนัยน์ตาเยิ้มปรอยดึงดูดให้ณรงค์ก้มลงจูบเร็วๆ อีกครั้งจนไรอันครางประท้วง

“ทีนี้คงเข้าใจแล้วนะ ต่อให้เขาทำอะไรผมก็ไม่มีวันบอกว่าผิดเด็ดขาด คุณก็ลบเบอร์ผมทิ้งซะเถอะเพราะเราคงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว ลาก่อน”

ณรงค์หันไปบอกคนที่ยืนอึ้งอยู่โดยไม่ปล่อยคนในอ้อมแขนให้เป็นอิสระ เมื่อหนุ่มน้อยได้ยินดังนั้นก็ทำหน้าบิดเบ้ และณรงค์ก็คิดว่าได้เห็นฝ้าน้ำตาที่รื้นขึ้นในหน่วยตาของอีกฝ่ายก่อนที่จะผลุนผลันวิ่งหนีไป แต่เขาก็เพียงมองตามโดยไม่รู้สึกอยากจะเข้าไปปลอบเลยแม้แต่น้อย

หวังว่าเขาคงไม่ได้ฝากแผลระยะยาวในใจให้เด็กคนนั้นนะ...

“You idiot…let go of me.”

ไรอันเอ่ยเสียงแผ่วขณะใช้มือหนึ่งทุบไหล่ณรงค์ เขาจึงรู้ตัวว่ากอดหนุ่มลูกครึ่งแน่นเกินไป แต่พอปล่อยมือไรอันก็ทำท่าเหมือนต้องอาศัยรถของตัวเองเป็นหลักให้ยืนพิง ความเอะใจทำให้เขาลองยื่นหลังมือออกไปแตะหน้าผาก
แล้วก็ได้คำตอบว่าลางสังหรณ์ถูกต้อง
“บ้าเอ๊ย! คุณยังไม่หายไข้เลยนี่นา มานี่ผมจะรีบพากลับห้อง”

ณรงค์ฉุดแขนไรอันให้เข้าไปนั่งฝั่งผู้โดยสารก่อนจะเดินวนมาขึ้นด้านคนขับ จากนั้นก็ยื่นมือออกรับกุญแจและรีบขับรถออกจากผับแห่งนั้นอย่างไม่รีรอ

“...แล้วรถของคุณล่ะ?”

ไรอันถามด้วยน้ำเสียงอ่อนเพลียหลังจากออกมาสู่ถนนใหญ่ ณรงค์จึงส่ายหน้าพลางมองหาช่องสำหรับแซงรถคันหน้าไปด้วย โชคดีที่เขาดื่มเบียร์ไปแค่หนึ่งขวดครึ่ง ประกอบกับเรื่องที่เพิ่งเกิดเมื่อครู่จึงทำให้ไม่รู้สึกมึนเมาเลยสักนิด

“พรุ่งนี้ค่อยมาเอาก็ได้ ผมไม่ยอมให้คุณขับรถทั้งที่กำลังไข้กลับแบบนี้หรอก”

ณรงค์ยิ่งพูดก็ยิ่งเจ็บใจตัวเองที่ไม่ดูแลไรอันให้ดี แทนที่จะปล่อยวางเรื่องอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ของอีกฝ่ายเมื่อคืนเสีย กลายเป็นว่ามัวแต่น้อยใจที่ถูกไล่จนทำให้ไม่ทันสังเกตว่าจริงๆ แล้วหนุ่มลูกครึ่งไม่ได้รู้สภาพร่างกายตัวเองดีอย่างที่เคยพูดสักนิด แถมเขายังโง่บัดซบถึงขั้นออกไปกินเหล้าเมามายและเผลอมีสัมพันธ์กับคนอื่นโดยไม่ตั้งใจด้วย

คนขับบึ่งรถด้วยความเร็วเท่าที่สภาพการจราจรใจกลางเมืองจะอำนวย และพาไรอันกลับมาถึงคอนโดภายในเวลาไม่ถึงสิบห้านาที พอจะพยุงอีกฝ่ายขึ้นไปบนห้อง ณรงค์ก็ยิ่งหงุดหงิดที่พบว่าไรอันตัวร้อนขึ้นกว่าตอนอยู่ที่ผับเสียอีก

“คุณยังไม่หายดีแล้วออกไปกินเหล้าคนเดียวทำไม?”

“อย่างน้อยผมก็ไม่ได้ไปหาคนมานอนด้วยก็แล้วกัน”
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคต้น 8/11/11 P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 08-11-2011 19:01:59
ประโยคตอกกลับที่แสบถึงใจทำเอาณรงค์เถียงไม่ออก เขาได้แต่พยุงไรอันขึ้นไปนอนบนเตียงก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ

“คุณเหงื่อออก ผมจะเช็ดตัวให้ก่อนจะได้นอนสบายหน่อย”

ณรงค์สั่งราวอีกฝ่ายเป็นเด็กสิบขวบแทนที่จะเป็นผู้บริหารอายุยี่สิบหก หลังจากเอาผ้าขนหนูผืนเล็กกับอ่างใส่น้ำใบย่อมวางลงบนหัวเตียง ชายหนุ่มก็เริ่มลงมือปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตให้ทีละเม็ด

“...You really like to undress me, don’t you?”

ไรอันพูดขึ้นลอยๆ ขณะถูกดึงเสื้อออกจนพ้นตัว พอณรงค์เหลือบตาขึ้นก็เห็นว่าคนป่วยกำลังมองเขาตาปรอยเพราะพิษไข้ที่กลับมาอีกครั้ง จึงละมือที่กำลังคลายเข็มขัดให้แล้วเท้าแขนทั้งสองคร่อมตัวหนุ่มลูกครึ่งไว้แทน

“ใช่ และคงจะดีกว่านี้ถ้าหากผมได้ถอดเสื้อผ้าคุณเพื่อจะทำอย่างอื่น ไม่ใช่เพราะต้องมาเช็ดตัวให้เพราะคุณเอาแต่เป็นไข้”

นัยน์ตาสองคู่สบกันแน่วนิ่ง และโดยไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมาอีก ณรงค์ก็ค่อยๆ ลดศีรษะลงและปัดริมฝีปากบนกลีบปากอุ่นที่แดงเรื่อเพราะพิษไข้แผ่วๆ เมื่อพบว่าไรอันไม่ได้แสดงท่าทีต่อต้าน ณรงค์ก็ก้มลงเพื่อจะจูบหนุ่มลูกครึ่งอีกครั้ง แต่แล้วคนบนเตียงก็ผวาลุกขึ้นนั่งและเอามือปิดปากก่อนที่ริมฝีปากของทั้งสองจะได้สัมผัสกัน

“I feel sick…”

ณรงค์ขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำตาโตขึ้นและขยับลำคอเหมือนมีอะไรกำลังขย้อนขึ้นมา เขาก็เข้าใจและรีบพยุงเข้าไปในห้องน้ำทันที ไรอันรีบโน้มตัวลงเหนือโถชักโครกแล้วโก่งคออาเจียนอย่างแรงจนณรงค์ต้องคอยรั้งไหล่ไว้ ขณะเดียวกันก็ช่วยลูบหลังเพื่อไล่สิ่งที่ตกค้างในกระเพาะให้ด้วย

“คุณไม่เป็นไรนะ? ยังไม่หายดีแท้ๆ ทำไมถึงไม่พักผ่อนอยู่ที่ห้อง?”

ชายหนุ่มเอ็ดด้วยน้ำเสียงร้อนรน ความจริงแค่เรื่องที่ไรอันไปกินเหล้าคนเดียวก็ทำให้เขาไม่พอใจมากแล้ว แต่นี่ไปทั้งที่ร่างกายยังไม่แข็งแรงอีก ความเป็นห่วงผสมกับความรู้สึกผิดจึงยิ่งทำให้เขาหงุดหงิดเพิ่มเป็นทวีคูณ

“ผมจะไปไหนก็เรื่องของผม You’re not my dad so stop acting like one.”

ไรอันตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนเพลียขณะลุกขึ้นบ้วนปากที่อ่างล้างหน้า หนุ่มลูกครึ่งปัดมือของณรงค์ที่ยื่นออกไปหมายจะช่วยพยุงและเดินโซซัดโซเซไปล้มลงบนเตียงด้วยตัวเอง ร่างกายท่อนบนยังคงเปลือยเปล่าเพราะถูกถอดเสื้อให้เมื่อครู่ ส่วนท่อนล่างมีกางเกงยีนส์กับหัวเข็มขัดที่ถูกคลายออกจนเห็นขอบกางเกงในสีขาวรำไร ณรงค์จึงได้แต่เบือนสายตาหนีและเดินไปหยิบชุดนอนออกจากตู้เสื้อผ้ามาส่งให้

“คุณจะนอนทั้งที่ใส่กางเกงยีนส์ตัวเดียวแบบนี้ไม่ได้ เดี๋ยวผมจะเช็ดตัวให้ก่อนค่อยเปลี่ยนชุด”

ณรงค์พูดพลางวางชุดนอนลงบนเตียงแต่ไม่ได้เข้าไปช่วยถอดเสื้อผ้าที่เหลือ ไรอันเลิกคิ้วเมื่อเห็นเขาเพียงแต่ยืนกอดอกเฉยๆ พลันมุมปากบางก็เหยียดยิ้มหยันเมื่อเข้าใจว่าณรงค์กำลังคิดอะไร หนุ่มลูกครึ่งขยับตัวขึ้นนั่งพิงหมอนและเลื่อนมือลงรูดซิปกางเกงยีนส์อย่างช้าๆ จากนั้นก็ยกสะโพกและรูดกางเกงออกจากขาทีละข้างด้วยตัวเอง

ณรงค์ลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่เมื่อเห็นรูปร่างที่มีกล้ามเนื้อสมส่วนซึ่งมีเพียงกางเกงในสีขาวปกปิด และแทบหายใจไม่ออกเมื่อไรอันใช้สองมือเกี่ยวขอบกางเกงในลงจนผิวกายสีงาช้างเปิดเปลือยต่อสายตาของเขาทุกสัดส่วน หนุ่มลูกครึ่งหย่อนอาภรณ์ชิ้นสุดท้ายลงทับกางเกงยีนส์ที่กองอยู่ข้างเตียงก่อนจะช้อนสายตาขึ้น

“ตกลงคุณจะเช็ดตัวให้หรือให้ผมเช็ดเอง?”

ไรอันถามพลางยกมือขึ้นกอดอก ส่วนขาข้างหนึ่งยกขึ้นไขว้บนขาอีกข้างอย่างไม่สนใจจะปิดบังความเปลือยเปล่าของตัวเองสักนิด ณรงค์จึงได้แต่ระบายลมหายใจยาวและขยับเข้าไปนั่งบนขอบเตียงพลางหยิบผ้าชุบน้ำขึ้นมาบิดน้ำออกพอหมาด

ยั่วกันเข้าไป...ทั้งที่คุณก็ไม่พร้อมจะให้สิ่งที่ผมอยากได้เลยสักนิด…

ณรงค์เริ่มจะเข้าใจความคิดของไรอันมากขึ้นหลังจากปะติดปะต่อทุกเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นเข้าด้วยกัน ก่อนนี้เขาเคยมองข้ามจุดนี้ไปเพราะถูกเบี่ยงความสนใจ ไม่ว่าจะตอนที่ไรอันยอมรับว่าเขาเป็นแฟนหรือตอนที่จูบเขาก่อนเมื่อตอนมาเฝ้าไข้คราวที่แล้ว แต่ทุกครั้งที่เขาคิดว่าเข้าใกล้ไรอันมากขึ้น ไม่ช้าอีกฝ่ายก็จะทำให้เขาเหนื่อยและท้อก่อนจะกลับมาทำให้รู้สึกดีขึ้นใหม่ วนเวียนเป็นวงจรซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น

แต่ดูเหมือนวงจรนั้นกำลังขมวดเกลียวเล็กลงทุกทีในคืนนี้ เช่นเดียวกับความตึงเครียดที่ก่อตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ

“เอาผ้าห่มท่อนล่างคุณไว้ก่อนเถอะ เดี๋ยวก็ได้ไข้ขึ้นมากกว่าเดิมหรอก”

ณรงค์พูดพลางหยิบผ้าห่มขึ้นคลุมให้หนุ่มลูกครึ่งและเริ่มเช็ดตัวให้ ภายในห้องมีแต่ความเงียบและเสียงลมหายใจเพราะไม่มีใครพูดอะไรก่อนอยู่เป็นนาน พอณรงค์เช็ดแขนข้างหนึ่งให้ไรอันเสร็จก็เลื่อนไปเช็ดแขนให้อีกข้าง

“คุณตั้งใจจะทดสอบผมไปถึงเมื่อไหร่?”

จู่ๆ ชายหนุ่มก็ถามขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ไรอันมองเสี้ยวหน้าของคนที่กำลังขะมักเขม้นกับการเช็ดตัวให้แล้วก็ตอบเสียงเรียบ

“จนกว่าคุณจะทนผมไม่ได้ล่ะมั้ง”

คำตอบที่ได้ทำให้มือที่กำลังจุ่มผ้าขนหนูลงในอ่างอีกครั้งหยุดชะงัก ชายหนุ่มละสายตาขึ้นสบตากับผู้บริหารหนุ่มที่มองเขาอยู่แล้วอย่างต้องการคำอธิบาย ไรอันจึงหลุบตาลงมองมือตัวเองที่ประสานกันอยู่บนตัก

“ตั้งแต่ที่เราคบกันมาก็หลายเดือนพอสมควรแล้ว ผมผิดเองที่ก่อนหน้านี้ให้ความหวังคุณไปด้วยการยอมรับเป็นแฟน แต่พักนี้ผมเริ่มรู้แล้วว่าตัวเองไม่เหมาะจะคบกับใคร และผมก็เริ่มอึดอัดกับการอยู่ใกล้คุณมากขึ้นทุกที”

ไรอันเอ่ยขณะที่หยิบเสื้อกับกางเกงนอนขึ้นสวม ฝ่ายณรงค์ได้แต่ขมวดคิ้ว ถ้าหากข้อสรุปของเขาถูกต้อง ก็หมายความว่าทุกสิ่งที่ไรอันพยายามจะสื่อสารกับเขานั้นก็เพื่อจุดประสงค์เดียว

“นี่คุณกำลังบอกเลิกผมเหรอ?”

“In a single word, yes.”

หนุ่มลูกครึ่งตอบรับโดยไม่หันมาสบตา ณรงค์จึงได้แต่นั่งนิ่งอยู่กับที่ ความไม่อยากเชื่อว่าเพิ่งได้ยินอะไรทำให้สมองของเขาลัดวงจรจนนึกคำที่ควรพูดไม่ออก

ทำไมกัน...แล้วสิ่งที่พวกเราเคยมีร่วมกันมา ทั้งวันหยุดที่เคยไปกินข้าวด้วยกัน หรือวันหยุดยาวที่ได้ใช้เวลากับครอบครัวของเขาที่ต่างจังหวัด ทุกอย่างนั่นไม่ได้ทำให้ความรู้สึกของไรอันพัฒนาขึ้นบ้างเลยหรือไง...

“คุณกำลังไม่สบายเลยไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไรออกมา เอาเป็นว่าคืนนี้ผมจะกลับก่อน แล้วพรุ่งนี้เราค่อยคุยกันใหม่จะดีกว่า”

ณรงค์ตัดบททั้งที่ไม่แน่ใจว่ากำลังบอกไรอันหรือปลอบตัวเอง แต่คำตอบของคนบนเตียงก็ไม่ได้ช่วยบรรเทาความหนึบหน่วงในใจให้น้อยลงเลยสักนิด

“ไม่จำเป็นต้องรอถึงพรุ่งนี้หรอก ผมคิดเรื่องนี้มาตั้งแต่กลับจากบ้านคุณที่ต่างจังหวัดได้ไม่นานแล้ว”

ร่างสูงใหญ่หันขวับอย่างไม่ยอมจำนน “ผมอธิบายได้นะ ถ้าหากคุณหึงเรื่องของเด็กที่เราเจอที่ผับเมื่อกี้”

“ผมไม่ได้หึง!”

ไรอันสวนกลับทันควัน หางเสียงสะบัดอย่างไม่พอใจ ซึ่งณรงค์ไม่รู้ว่ามาจากความรำคาญที่เขาเซ้าซี้หรือเพราะเขาพูดจี้ใจดำกันแน่ แต่น้ำเสียงเอาจริงเอาจังก็ทำให้หัวใจณรงค์ยิ่งห่อตัวเล็กลงมากขึ้น

“...เจมส์พูดอะไรกับคุณหรือเปล่า?”

ณรงค์ยังไม่อาจยอมรับเหตุผลของไรอัน เขาไม่เชื่อว่าทุกอย่างมาจากการตัดสินใจของอีกฝ่ายล้วนๆ โดยไม่มีอิทธิพลจากคนอื่นมาข้องเกี่ยว แต่ไรอันก็เพียงส่ายหน้าและมองเขาด้วยนัยน์ตาปราศจากความรู้สึก

“อย่าพยายามลากคนอื่นเข้ามาเกี่ยวเลย ทั้งหมดเป็นความคิดของผมคนเดียว จริงๆ แล้วเจมส์ชอบคุณมากและยังพูดเชียร์คุณกับผมบ่อยๆ ด้วยซ้ำ ดังนั้นเขาไม่มีทางยุให้ผมทำแบบนี้เด็ดขาด”

ณรงค์อึกอักด้วยไม่รู้จะหาเหตุผลใดมาคัดง้างอีก และยิ่งพยายามดิ้นรนกับสถานการณ์ตรงหน้ามากเท่าไหร่ ดูเหมือนเขากลับยิ่งตีวงแคบลงให้กับทางออกของตัวเองเท่านั้น

"เราเพิ่งคบกันได้ไม่กี่เดือนเองนะ"

เขาเอ่ยอย่างอ่อนแรงแม้จะรู้ว่านั่นเป็นข้ออ้างที่ไร้น้ำหนักที่สุด และคราวนี้ไรอันก็ลุกขึ้นจากเตียงและเดินตรงไปเปิดประตูห้องนอนออก เมื่อณรงค์มองตามไปก็พบว่าเจ้าของห้องยืนกางประตูรอเขาอยู่โดยไม่แสดงท่าทางเร่งเร้าเลยสักนิด

แต่นัยน์ตาที่ไม่เหลือบมามองเลยกลับได้ผลยิ่งกว่าการตะโกนไล่ดังๆ เสียอีก

ณรงค์กำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าในเนื้อ เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากค่อยๆ ลุกขึ้นจากเตียงและเดินไปที่ประตู กระทั่งตอนที่เขาเดินผ่านหน้า ไรอันก็ยังคงทอดสายตาลงต่ำราวไม่ต้องการจะสบตา จนเมื่อเขาเดินออกมาพ้นประตูแล้วและหันกลับไปช้าๆ ณรงค์จึงทันได้เห็นนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนที่กำลังมองส่งเขาอยู่หลังประตูที่กำลังปิดลง

"ลาก่อน ณรงค์"

นี่อาจเป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่ณรงค์ได้ยินไรอันเรียกชื่อเขาตั้งแต่คบกันเป็นต้นมา ชายหนุ่มเบิกตาโตและหันกลับไปพยายามจะผลักประตูห้องนอนออก แต่ก็ช้ากว่าคนในห้องที่ลงกลอนจนเขาไม่สามารถเปิดเข้าไปได้

ไม่ต่างกับใจของอีกฝ่ายที่ปิดกั้นไม่ให้เขาแทรกเข้าไปเลยสักนิด

"บัดซบเอ๊ย..."

ณรงค์ยืนกัดฟันแน่นอยู่หน้าประตู เขาอยากเรียกเวลาให้ย้อนคืนมาตั้งแต่ทั้งคู่เริ่มใกล้ชิดกัน เขาจะได้พยายามเรียนรู้ให้มากขึ้นว่าไรอันชอบหรือไม่ชอบให้ทำอะไร แล้วจะได้ไม่บังคับหรือคอยแสดงความเอาใจใส่เกินไปจนทำให้รำคาญอีก

และไม่ทำตัวงี่เง่าจนปล่อยให้เห็นตอนเขาจูบกับคนอื่นเหมือนวันนี้ด้วย...

แต่ไม่ว่าใจจะต้องการแค่ไหน ความจริงตรงหน้าก็คือสิ่งที่สูญเสียไปไม่อาจเรียกกลับมาได้ เช่นเดียวกับความรู้สึกของคนที่เขาหลงรักซึ่งได้ออกปากชัดเจนว่าไม่ต้องการเขาแล้วเช่นกัน ณรงค์ไม่อยากเชื่อว่าคำว่ารักที่เคยบอกจะไม่ได้แทรกซึมเข้าในหัวใจของอีกฝ่ายเลย แต่ดูเหมือนมันคงไม่มากพอที่จะทำให้ไรอันฝืนทนอยู่ใกล้เขาอีก ไม่เช่นนั้นบทสนทนาในห้องเมื่อครู่ก็คงไม่เกิดขึ้น และเขาก็คงไม่ต้องออกมายืนอยู่หน้าประตูห้องนอนที่ปิดล็อคของไรอันด้วยหัวใจที่ปวดร้าวแบบนี้

ณรงค์ไม่รู้ว่าตัวเองยืนอยู่หน้าห้องนานแค่ไหน เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแสงไฟจากด้านในห้องนอนที่ลอดใต้ประตูดับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ในที่สุดเขาก็ค่อยๆ รวบรวมสติและลากขาตัวเองออกมาจากประตูห้องนอนบานนั้น และสวมรองเท้าก่อนจะเดินออกจากประตูใหญ่โดยไม่ลืมกดล็อคให้

ประตูห้องที่เขาคงได้มาเยือนเป็นครั้งสุดท้าย...

ชายหนุ่มเคลื่อนกายออกจากห้องที่คุ้นเคยตลอดช่วงเวลาเกือบครึ่งปีอย่างเชื่องช้า เขารู้สึกเหมือนทุกฝีก้าวที่กำลังเดินไปที่ลิฟต์หนักอึ้งราวกับมีอะไรถ่วงขาเอาไว้ จนกระทั่งถึงหน้าลิฟต์แล้วก็ไม่วายมองกลับไปยังทางเดินด้วยหวังจะได้ยินเสียงเปิดประตูและใบหน้าของใครคนหนึ่งที่เดินตามออกมาขอโทษเขาและบอกว่าเมื่อครู่พลั้งปากไป

แต่จนแล้วจนรอดก็ได้ยินเพียงความเงียบอันว่างเปล่าเท่านั้นเอง...

ณรงค์กดลิฟต์ลงไปยังชั้นล่างในที่สุด ตอนที่เขาเดินออกมานั้นยามรักษาความปลอดภัยยังเอ่ยทักทายอย่างคุ้นเคย แต่แล้วก็ทำหน้าตางุนงงเมื่อเขาบอกว่าคงไม่ได้กลับมาที่นี่อีกแล้ว และณรงค์ก็ไม่ได้ขยายความใดๆ อีกขณะเดินไปเรียกแท็กซี่เพื่อกลับไปเอารถที่จอดทิ้งไว้ที่ผับ

เมื่อถึงที่หมาย ณรงค์ก็จ่ายค่าแท็กซี่แล้วเดินไปยังรถในลานจอดซึ่งเหลือเพียงไม่กี่คันเพราะผับกำลังจะปิด นัยน์ตาของเขาพร่ามัวไปครู่หนึ่งเมื่อปลดล็อคประตูแล้วเข้าไปนั่งจนต้องเอนพิงพนักและสูดหายใจเข้ายาวๆ

ชายหนุ่มเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้งเมื่อรู้สึกว่าลมหายใจปลอดโปร่งขึ้น แต่กระนั้นความรู้สึกเสียดยอกในอกก็ไม่หายไป และเขาไม่แน่ใจนักว่ามันจะหายไปในอนาคตอันใกล้นี้ได้ ในเมื่อความรู้สึกของเขาที่มีให้ไรอันใช้เวลาก่อร่างมานานหลายเดือน และบางทีเขาก็อาจจะต้องใช้เวลาที่นานพอกันในการพยายามจะลบล้างความรู้สึกนั้นออกจากใจ

ครู่ใหญ่ณรงค์ก็บิดกุญแจเพื่อสตาร์ทรถ สภาพจิตใจของเขาตอนนี้แตกสลายจนไม่ต้องการเจอหน้าใครหรือกลับเข้าผับไปดื่มเหล้าอีกแล้ว แต่ขณะที่กำลังจะถอยรถออกจากที่จอด สายตาของเขาก็ปะทะเข้ากับเด็กหนุ่มสามคนที่กำลังเดินออกมาจากหน้าทางเข้าผับ หนึ่งในนั้นซึ่งมีใบหน้าอ่อนเยาว์ ผิวหน้าขาวใสและร่างผอมบาง ซึ่งเป็นคนละขั้วกับไรอันที่รูปร่างสง่าสมชายและใบหน้าหล่อเหลาสะดุดตาเขาเข้าอย่างจัง เพราะนั่นคือคนที่เพิ่งเป็นสาเหตุให้เขาได้ปะทะคารมกับหนุ่มลูกครึ่งเมื่อตอนค่ำ แล้วยังเป็นคนที่ถูกเขาทำให้ร้องไห้ด้วยสาเหตุเดียวกันด้วย

ชายหนุ่มไม่รู้อีกแล้วว่าตัวเองกำลังคิดอะไร ไม่สามารถใช้วิจารณญานตัดสินได้อีกว่าอะไรควรหรือไม่ควร แต่เมื่อณรงค์รู้ตัวอีกครั้ง เขาก็หยิบมือถือออกมากดโทรหาหมายเลขในรายการมิสคอลมื่อตอนตีสองครึ่งของคืนก่อนแล้ว เขารออย่างอดทนกระทั่งเห็นเด็กหนุ่มคนนั้นหยุดเดินและหยิบโทรศัพท์ขึ้นดูหน้าจอด้วยสีหน้าตื่นตะลึง ก่อนจะสูดหายใจลึกและกรอกคำถามเสียงแผ่วเมื่ออีกฝ่ายกดรับโดยไม่รู้ว่าเขามองอยู่

“นี่ผมเองนะ เมื่อตอนเย็นผมขอโทษ คืนนี้รีบกลับไปไหนหรือเปล่า?”

แม้ว่าเขาจะต้องเสียใจภายหลังหรือไม่...ณรงค์ก็ให้คำตอบกับคำถามนั้นในนาทีนี้ไม่ได้จริงๆ


++---TBC---++

หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคต้น 8/11/11 P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: maio2000 ที่ 08-11-2011 19:30:53
เข้ามาเม้นในนี้ด้วยว่าพี่รินทำลายจิตใจ  :z3: พี่รงค์ของหนู :fire: ไรอันแล้ว
 :angry2: มาคุยกันให้จบเข้าใจกันไปเลย หรือตลอดมานี้ให้ความหวัง แล้วมาปฎิเสธเขาแบบนี้
หนูรับไม่ได้ โอ๊ยพี่รินอ่ะทำหนูไปไม่เป็นเลย  :o12: ขอตัวไปทำใจก่อน
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคต้น 8/11/11 P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 08-11-2011 20:00:11
อ่าาาาาาา
อึ้งค่ะ ไหงมันเป็นแบบนี้ไปได้
ว่าแต่ชื่อตอนมันหมายถึงอะไรคะ
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคต้น 8/11/11 P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: love2y ที่ 08-11-2011 20:43:26
อ่านใกล้จบแอบสงสารณรงค์ แต่พออ่านจบแล้ว ไม่สงสารละ
ถ้าณรงค์ทำร้ายตัวเองด้วยวิธีก็ไม่สงสารละ
TT^TT แอบสงสารตัวเอง(เกี่ยวไรด้วยเนี่ย)



ปล. เป็นอีกคนนึงที่ยังเฝ้ารอคุณเชษฐ์กะภัทรอยู่นะคะ >_<
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคต้น 8/11/11 P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 08-11-2011 20:50:33
อ่าาาาาาา
อึ้งค่ะ ไหงมันเป็นแบบนี้ไปได้
ว่าแต่ชื่อตอนมันหมายถึงอะไรคะ

โอ๊ะ เพิ่งเห็นว่าไม่ได้อธิบายค่ะโทษที Square One เป็นสำนวนหมายถึงจุดเริ่มต้น คือเทียบได้กับความสัมพันธ์ของณรงค์กับไรอันที่ย้อนไปนับหนึ่งใหม่น่ะค่ะ
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคต้น 8/11/11 P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 08-11-2011 21:15:17
 :z3: :z3: :z3: :z3:

ทำไมช่วงนี้มีแต่มาม่า หรือเพราะน้ำท่วมคะ
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคต้น 8/11/11 P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 08-11-2011 21:58:28
เครียดเลยครับ ไม่อยากให้เป็นแบบนี้เลย
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคต้น 8/11/11 P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: badcow ที่ 08-11-2011 23:16:28
มาลงอย่างนี้ ก็ให้มันเลิกกันไปเลยเหอะ จะได้ไม่ต้องมีมาม่าแบบนี้อีก!!!
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคต้น 8/11/11 P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 09-11-2011 09:35:07
มาลงอย่างนี้ ก็ให้มันเลิกกันไปเลยเหอะ จะได้ไม่ต้องมีมาม่าแบบนี้อีก!!!

จว๋าย มาม่ายังอืดไม่ได้ที่เลย ^^
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคต้น 8/11/11 P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: didi ที่ 09-11-2011 21:23:10
สงสารรงค์ ค่ะ :m15: เป็นแบบนี้ เปิดใจรับคนใหม่ดีกว่า :z2:
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคต้น 8/11/11 P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 09-11-2011 21:27:48
นานๆ มาที แต่มาแบบเจ็บปวดรวดร้าวมากกกกกกกกกก  :z3: 
แล้วคู่นี้จะเป็นไงต่อไป  :sad4:
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคต้น 8/11/11 P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: vascular ที่ 10-11-2011 03:15:10
อ่าว กรรม ไหงออกมารูปแบบนี้อ่ะ แต่เอาจริงๆด้วยนิสัยของไรอัน ถ้าเป็นแบบนี้ก็ไม่สมควรจะมีแฟนจริงๆ
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคต้น 8/11/11 P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: berlyn ที่ 10-11-2011 05:08:05
ตอนแรกก็คิดว่าที่ไรอันไปที่ผับนั้นแล้วไปเจอ คงตามไปกะจะขอโทษ แล้วก็หึงเลยสาดเครื่องดื่มใส่

แต่ แต่ว่า ทำไมมันมาลงเอยแบบนี้ได้ล่ะเนี่ย ต้องผิดพลาดทางเทกนิก แน่เลย

ไรอัน อารมณ์ art สุดๆอ่ะ
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคต้น 8/11/11 P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 10-11-2011 05:59:22
ไรอันโหดร้ายยยยยยยยย
ณรงค์คิดสั้นอีกต่างหากกกกกก

เพิ่งได้มาตามอ่าน บวกให้ค่า
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคต้น 8/11/11 P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: monoo ที่ 10-11-2011 12:10:13
 :monkeysad:
โอ้ยยยยย ณรงค์อย่าทำไรน้าาาาาาาาาา  :serius2:
 :o12:
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคต้น 8/11/11 P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: Moon_Crying ที่ 10-11-2011 16:00:31
เซ็งกับนิสัยพระเอก นายเอกจัง
เพิ่งได้มาอ่าน ตอนแรกมาดีมากเลย
หลังๆเริ่มแบบอะไรกันเนี่ยคู่นี้
อึดอัดมากอ่ะค่ะ ค้างด้วย
เกลียดมากเวลาคนประชดอะไรด้วยการจะไปอะไรกับอีกคน
เฮ้ออออ
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคต้น 8/11/11 P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: vascular ที่ 13-11-2011 20:13:02
เข้ามารอๆๆๆๆครับ
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคต้น 8/11/11 P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: ฟีฟาร30 ที่ 14-11-2011 18:40:16
พึ่งได้เข้ามาอ่าน พอเจอตอนล่าสุดเข้าไป  :o12:
ทำไมถึงเป็นเยี่ยงนี่เล่า โถ่ :z3:
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาครอง 17/11/11 P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 17-11-2011 13:00:34
ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาครอง]

เสียงยิงปืนและเสียงวิ่งซอยฝีเท้าถี่ๆ รวมทั้งเสียงตะโกนออกคำสั่งราวกับอยู่ในสนามรบปลุกณรงค์ที่ยังหลับใหลให้ตื่นขึ้น ชายหนุ่มใช้ข้อนิ้วข้างหนึ่งขยี้ตาอย่างงัวเงีย พอเหลือบมองนาฬิกาก็เห็นว่าเป็นเวลาแปดโมงกว่า สมองที่ค่อยๆ ตื่นตัวทีละน้อยบอกเขาว่าวันนี้เป็นวันเสาร์ ชายหนุ่มจึงยันตัวขึ้นจากเตียงอย่างเชื่องช้าพลางหยีตามองผ่านประตูออกไปยังคนที่กำลังเล่นเกมอยู่ในห้องนั่งเล่น

“ตี้ พี่เคยบอกว่าตอนเช้าๆ ถ้าอยากเล่นเกมก็อย่าเปิดเสียงดังไง”

หลังจากล้างหน้าแปรงฟันแล้ว ณรงค์ก็เดินออกมาจากห้องนอนพลางเอ่ยบอกคนที่กำลังขะมักเขม้นกับการทำแต้มอยู่หน้าจอโทรทัศน์ เด็กหนุ่มเจ้าของชื่อจึงเงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วทำหน้ายู่

“อ้าว ตี้เห็นพี่รงค์หลับสนิทเลยนึกว่าคงไม่ได้ยินนี่นา ขอโทษ”

ธีระกดหรี่เสียงลำโพงลงและหันไปสนใจกับเกมต่อ ณรงค์จึงเดินเลยเข้าไปในครัวพลางเสียบปลั๊กกระติกน้ำร้อน

“พี่จะทอดไข่ ตี้จะกินด้วยมั้ย?”

“อื้อ พี่รงค์ทำอะไรตี้ก็กินอันนั้นแหละ”

เสียงแหบเล็กตอบมาทั้งที่ตายังจ้องเกม ส่วนมือทั้งสองข้างก็กระหน่ำกดจอยแบบไม่ยั้ง ณรงค์จึงส่ายหน้ายิ้มๆ พลางหันไปเปิดตู้เย็นและหยิบอาหารเพื่อออกมาทำเป็นมื้อเช้า ตั้งแต่มีใครอีกคนชอบมาใช้เวลาในช่วงวันหยุดที่คอนโดของเขา ณรงค์ก็เลยเริ่มซื้อของสดมาตุนไว้ในตู้เย็นมากขึ้นไปโดยปริยาย

เวลาผ่านไปร่วมหนึ่งเดือนตั้งแต่คืนที่เขาแตกหักกับไรอัน...และโทรชวนเด็กหนุ่มแปลกหน้าที่เคยมีสัมพันธ์ชั่วข้ามคืนกันให้ตามมาที่ห้อง เพียงเพื่อปลดปล่อยความอัดอั้นและช้ำใจจากการถูกคนรักบอกเลิกอย่างไม่ไยดี

ในตอนแรกณรงค์ไม่ได้คาดหวังที่จะสืบสานความสัมพันธ์กับเด็กหนุ่มเลยสักนิด เขาเพียงสับสนและต้องการใครสักคนอยู่ข้างๆ เพื่อช่วยให้ลืมความปวดร้าว แต่พอเช้าวันถัดมา เขาก็เป็นฝ่ายประหลาดใจเองที่พบว่าคนที่นอนด้วยเมื่อคืนยังนั่งรอให้เขาตื่นอย่างอดทน และประกาศว่าจะไม่ยอมออกจากห้องไปไหนจนกว่าจะได้คำอธิบายถึงเรื่องราวในคืนที่ผ่านมา ณรงค์ไม่มีทางเลือกนอกจากเล่าเรื่องเท่าที่อีกฝ่ายควรรู้โดยไม่ลงรายละเอียด และเขาก็คิดว่าทุกอย่างคงจะจบลงแค่ตรงนั้น

แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้คิดเหมือนกัน เพราะหลังจากที่รู้ว่าตอนนี้ณรงค์ไม่มีใคร เด็กหนุ่มก็เสนอตัวขอคบกับเขาเอง และพอได้แนะนำตัวกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ณรงค์ก็ยิ่งตกใจมากเข้าไปอีกเมื่อได้รู้ว่าอีกฝ่ายเพิ่งจะอายุยี่สิบเอ็ด แถมยังเรียนมหาวิทยาลัยปีสามเท่านั้นเองด้วย ซึ่งเท่ากับหากบวกลบแล้ว ช่องว่างระหว่างวัยของพวกเขาสองคนยังมากกว่าระหว่างธีระกับน้องๆ ฝาแฝดที่บ้านต่างจังหวัดเสียอีก

ถึงแม้จะมีนิสัยชอบดูแลคนอื่นตามประสาลูกชายคนโต แต่ชายหนุ่มไม่เคยคิดฝันว่าวันหนึ่งจะได้มาคบกับคนที่เด็กกว่าถึงแปดปี และความแตกต่างระหว่างพนักงานบริษัทกับนักศึกษาก็ช่างกว้างเสียจนทำเอาณรงค์ปวดหัวหลายครั้ง ถึงแม้ธีระก็ดูจะรู้ตัวในเรื่องนี้และพยายามปรับตัวให้เป็นผู้ใหญ่เพื่อจะได้ทันเขามากขึ้นแล้วก็ตาม

ซึ่งอย่างน้อยก็ต่างกับผู้ชายอีกคนที่แทบจะไม่เคยพยายามปรับตัวเข้าหาเขาเลยตลอดเวลาที่คบกันมา...

“อื้ม ไข่ดาวหอมจัง เดี๋ยวตี้ชงกาแฟให้พี่รงค์เอามั้ย?”

ณรงค์สะดุ้งเมื่อจู่ๆ ก็ถูกสวมกอดจากด้านหลัง ธีระมีรูปร่างผอมกะทัดรัด ขนาดณรงค์เอี้ยวคอกลับไปมองก็ยังเห็นกระหม่อมอีกฝ่ายอยู่แค่ระดับหัวไหล่ ดูเหมือนเขาจะใจลอยจนไม่ทันรู้สึกว่าคนร่วมห้องหยุดเล่นเกมและปิดโทรทัศน์ได้สักพักแล้ว ชายหนุ่มพยักหน้าพลางหันกลับไปพลิกไข่ในกระทะ

“เอาสิ ขอเข้มๆ หน่อยก็ดีเหมือนกัน”

“กาแฟกับน้ำตาลอย่างละช้อนครึ่งกับครีมช้อนนึงนะ? งั้นรอแป๊บ”

เด็กหนุ่มผละจากเขาไปเลื่อนฝาตู้เก็บของใกล้ๆ ตู้เย็นเพื่อหยิบกาแฟออกมาชง ณรงค์ชำเลืองมองแล้วก็ยิ้มน้อยๆ ดูเหมือนการคบกับเด็กก็ใช่ว่าจะแย่ไปเสียหมด เพราะว่าธีระเป็นคนยิ้มแย้มร่าเริง ช่างพูด นอกจากนั้นยังไม่ค่อยขัดใจเขา หากมีเรื่องไม่พอใจขึ้นมาก็โกรธง่ายหายเร็ว ณรงค์จึงไม่ค่อยต้องเหนื่อยกับการง้อสักเท่าไหร่ และการมีคนอยู่ใกล้ๆ ก็ช่วยให้เขาลืมความหม่นมัวที่ฝังตัวแน่นในอกไปได้ไม่น้อยเลย

ถึงแม้ความรู้สึกนั้นจะไม่มีวันสลายไปได้อย่างถาวรก็ตามที

“เสร็จแล้ว เดี๋ยวตี้เอาออกไปรอที่ห้องนั่งเล่นนะพี่รงค์”

ธีระหันมาบอกหลังจากชงกาแฟของณรงค์กับโกโก้ของตัวเองเสร็จ ณรงค์จึงส่งเสียงรับพลางหยิบจานสองใบมาใส่อาหารเช้าที่เพิ่งทำเสร็จ “อืม”

ทั้งสองนั่งทานอาหารด้วยกันบนโซฟาในห้องนั่งเล่นโดยเปิดโทรทัศน์ดูไปด้วย ซึ่งเป็นกิจกรรมวันหยุดที่ทำกันทุกสัปดาห์นับตั้งแต่เริ่มคบกัน แต่ในวันธรรมดาธีระจะอยู่อพาร์ตเม้นท์ของนักศึกษาซึ่งอยู่นอกตัวเมืองเนื่องจากใกล้มหาวิทยาลัยมากกว่า และส่วนหนึ่งในใจของณรงค์ก็ยังค่อนข้างพอใจที่เป็นแบบนั้น

“วันนี้พี่รงค์จะออกไปไหนหรือเปล่า?”

หลังจากทานมื้อเช้าเสร็จ เด็กหนุ่มก็กระเถิบตัวมานั่งใกล้ณรงค์มากขึ้นแล้วเงยหน้าถาม ชายหนุ่มจึงยักไหล่พลางยกกาแฟขึ้นจิบ “ไม่รู้สิ จริงๆ เมื่อคืนกว่าจะได้กลับบ้านมานอนก็ดึกดื่น อุตส่าห์ตั้งใจว่าจะนอนตื่นสักเที่ยงด้วยซ้ำ แต่โดนเสียงเกมของใครไม่รู้ปลุกตั้งแต่เช้าเลย”

“พี่รงค์อ้ะ ก็เมื่อคืนตี้นอนเร็วนี่นา อีกอย่างนี่มันวันหยุดทั้งที ขืนเอาแต่นอนก็เสียเวลาทำอย่างอื่นหมดสิ”

ธีระทุบไหล่เขาแล้วแก้ตัวด้วยท่าทางกระเง้ากระงอด หากจะมีนิสัยอย่างหนึ่งที่เด็กหนุ่มค่อนข้างต่างจากเพื่อนวัยเดียวกันก็เห็นจะเป็นเรื่องที่ชอบตื่นแต่เช้านี่เอง ณรงค์จึงยิ้มบางๆ พลางยกมือขึ้นยีผมอีกฝ่าย

“เอาเถอะ ยังไงตอนนี้พี่ก็ตื่นแล้ว ตี้อยากไปไหนหรือเปล่าล่ะพี่จะได้พาไป”

เด็กหนุ่มยิ้มอย่างดีใจ “จริงนะ? ถ้างั้นตี้อยากไปสวนจตุจักรน่ะ อยากไปดูเสื้อกับกางเกงหน่อย ว่าจะไปหลายทีแล้วก็ไม่ได้ไปซักที”

ณรงค์เลิกคิ้ว “แต่เสื้อผ้าเราก็มีเยอะแล้วไม่ใช่เหรอ? พี่ว่าบางตัวที่เคยซื้อให้นั่นตี้ยังใส่ไม่ครบเลยนะ”

ชายหนุ่มติงหลังจากรู้จุดประสงค์ของอีกฝ่าย เพราะที่ผ่านมามีบางครั้งที่ทั้งคู่ไปเดินซื้อของตามห้างสรรพสินค้าหรือย่านการค้าในเมืองด้วยกัน และเด็กหนุ่มก็เคยอ้อนเขาให้ซื้อของที่อยากได้ให้บ่อยครั้ง ซึ่งถ้าณรงค์เห็นว่าไม่ได้สิ้นเปลืองจนเกินไปก็จะยอมตามใจให้

ซึ่งอาจเป็นกลไกการชดเชยที่เขายังไม่อาจทุ่มหัวใจให้อีกฝ่ายก็เป็นได้

ธีระทำปากยื่น “พี่รงค์อ้ะ...”

“เอ้าๆ ไปก็ไป ถ้างั้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน เสร็จแล้วจะได้ออกไปกันเลย”

ณรงค์ตัดบทพลางหยิบจานชามและถ้วยเครื่องดื่มเพื่อนำไปเก็บในครัว แต่แล้วก็เลิกคิ้วเมื่อเด็กหนุ่มเดินตามมาแล้วใช้สองแขนคล้องแขนเขาไว้ พอก้มลงมองก็เห็นใบหน้าเนียนใสกำลังยิ้มซุกซน

“พี่รงค์ก็ยังไม่อาบน้ำเหมือนกันนี่นา ถ้าเกิดเข้าไปอาบทีละคนก็เปลืองน้ำอยู่นะ”

“ไอ้เด็กทะลึ่ง”

ณรงค์ยิ้มพลางผลักหัวอีกฝ่ายเบาๆ แต่พอวางจานชามลงในอ่างแล้วก็หันมาช้อนร่างผอมบางขึ้นอุ้ม เสียงหัวเราะสดใสจากคนในอ้อมแขนดังตลอดทางจากห้องครัวไปจนถึงห้องน้ำ



++------++


   
ตลาดนัดในช่วงบ่ายของวันหยุดเต็มไปด้วยผู้คนที่มาเดินจับจ่ายซื้อของ ต่อให้เป็นร้านที่มีพื้นที่น้อยและซ่อนอยู่ในตรอกซึ่งลึกลับแค่ไหนก็ยังมีลูกค้าเดินผ่าน ณรงค์ดึงสายตาจากความคึกคักของบรรยากาศนอกร้านกลับมาเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากคนที่เพิ่งเข้าไปลองเสื้อหลังม่าน

“พี่รงค์ ตัวนี้เทียบกับตัวที่เพิ่งลองเมื่อกี้เป็นไง?”

ผิวแก้มของคนถามเรื่อสีชมพูและมีเหงื่อซึมตามไรผมเล็กน้อยถึงแม้ในร้านจะมีพัดลมเป่า นัยน์ตากลมโตเป็นประกายสดใสขณะเดินออกจากหลังม่านมาขอความเห็นเขาเกี่ยวกับเสื้อที่เพิ่งลองสวม ณรงค์โน้มตัวลงเท้าศอกบนเข่าข้างหนึ่งพลางเอียงคอมองอย่างพิจารณา

“ก็...ดูเป็นตี้ดี”

อาจเพราะไม่ค่อยชินกับการช้อปปิ้งเสื้อผ้าวัยรุ่น แถมความชอบของธีระกับเขายังต่างกันแบบคนละปลายขั้วเสียอีก ณรงค์จึงไม่รู้จะออกความเห็นอย่างไรนอกจากที่พูดไปแล้ว

“พี่รงค์อ้ะ!”

ธีระห่อปากแล้วพูดวลีประจำตัวเวลาที่ณรงค์ทำอะไรไม่ได้อย่างใจ จากนั้นก็บ่นอุบอิบแล้วหันไปเลือกเสื้อตัวอื่นต่อ โชคดีที่เจ้าของร้านนี้เป็นญาติของเจ้าตัวเอง เด็กหนุ่มจึงสามารถเลือกลองเสื้อเยอะหรือนานแค่ไหนก็ได้โดยไม่ถูกเขม่น

ณรงค์ยิ้มบางๆ พลางนั่งเอนหลังพิงพนักอย่างเดิม ถึงแม้ใจจะอยากแยกไปเดินดูนิตยสารหรือของแต่งบ้านไว้เป็นไอเดียแค่ไหนก็ต้องรอจนกว่าอีกฝ่ายจะลองเสื้อจนพอใจ เพราะครั้งที่แล้วที่เคยมาเลือกซื้อของด้วยกันเขาก็เคยขอแยกตัวไปดูร้านที่เล็งไว้ แต่กลายเป็นว่าทำให้เด็กหนุ่มงอนจนเขาต้องคอยง้อทั้งคืน ณรงค์เลยเลือกที่จะตัดปัญหาด้วยการรอแล้วค่อยชวนไปเดินด้วยกันทีเดียวดีกว่า

ชายหนุ่มได้ยินเสียงเสียดสีของผ้าและเห็นการขยับของคนด้านในผ่านการไหวของผ้าม่านเวลายกแขนหรือหมุนตัว แล้วก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงสรีระของอีกฝ่ายยามไร้อาภรณ์ปกปิดและบิดเกร็งด้วยความรัญจวนอยู่ใต้ร่างเขา เมื่อเช้าทั้งคู่ใช้เวลา ‘อาบน้ำ’ ด้วยกันนานถึงสองชั่วโมงกว่าจะได้ออกจากคอนโด กว่าจะมาถึงตลาดก็เลยเที่ยงไปแล้ว ทำให้ต้องแวะทานข้าวกันก่อนจะได้เริ่มเดินดูร้านรวงจริงๆ

ณรงค์ยอมรับว่าพึงใจธีระพอสมควร โดยเฉพาะในเรื่องความสัมพันธ์เพื่อตอบสนองแรงขับของผู้ชายด้วยกัน อาจเพราะอีกฝ่ายยังอายุน้อยและอยากรู้อยากเห็นในเรื่องนี้เป็นทุนอยู่แล้ว แต่ในด้านบุคลิกนั้นพวกเขายังต้องปรับตัวเข้าหากันอีกมาก

แต่ณรงค์ก็ยังรู้สึกถึงความว่างเปล่าในใจทุกครั้งหลังจากได้แนบชิดร่างกายกันอยู่นั่นเอง 

ชายหนุ่มถอนหายใจพลางมองออกไปนอกร้าน วันหยุดที่ร้อนอบอ้าวดูจะไม่ได้ทำให้ความรู้สึกอยากออกมาเดินซื้อของของผู้คนน้อยลงเลย ยิ่งตกบ่าย จำนวนของลูกค้าในตลาดก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ระหว่างที่ณรงค์กำลังทอดสายตามองด้านนอกไปเรื่อยๆ เพื่อฆ่าเวลา สายตาของเขาก็สะดุดเข้ากับร่างสูงโปร่งที่มีผมสีน้ำตาลอ่อนเข้าอย่างจัง

ไรอัน??

นั่นคือชื่อแรกที่ผุดขึ้นในหัวเมื่อเห็นด้านหลังของร่างสูงโปร่งอันคุ้นตา เขาไม่ได้พบผู้บริหารหนุ่มลูกครึ่งมามากกว่าหนึ่งสัปดาห์แล้วเพราะอีกฝ่ายเดินทางไปประชุมที่ฮ่องกง ซึ่งจะว่าดีก็ดีเพราะทำให้เขาได้ทุ่มเทกับงานโดยไม่พะวักพะวนคอยมองหาเจ้าตัว แต่ขณะเดียวกันก็ยิ่งตอกย้ำความคิดถึงจนณรงค์ร่ำๆ จะโทรไปหาก่อนเสียหลายครั้ง

เท้าไวกว่าความคิด ร่างสูงใหญ่รีบลุกจากเก้าอี้และเดินเบียดผู้คนเพื่อตามเจ้าของร่างนั้นไปทันที ใจเขาเต้นแรงขึ้นจนณรงค์คิดว่าได้ยินเสียงหัวใจดังก้องในหู เนื่องจากทางเดินที่แคบและผู้คนที่เดินสวนกันไปมามีจำนวนมาก กว่าณรงค์จะตามไปจนถึงเป้าหมายได้ ชายหนุ่มก็เดินเลยร้านเสื้อผ้าที่ธีระกำลังเลือกซื้อมาหลายซอยแล้ว

“ไรอัน...”

ณรงค์ยื่นมือออกไปแตะไหล่อีกฝ่ายจากด้านหลัง ทั้งที่ก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหากเจ้าตัวหันมา เขาจะอธิบายเรื่องที่มาทักกลางตลาดว่าอย่างไร ในเมื่อตลอดหนึ่งเดือนนี้พวกเขาแทบไม่เคยคุยกันสักคำเวลาอยู่ที่บริษัท แต่แล้วเมื่อคนที่เดินนำหน้าหันกลับมามองเขาด้วยสีหน้างุนงง ณรงค์ก็รู้สึกเหมือนหัวใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม

“Do I know you?”

“เอ้อ...no, sorry.”

แค่สำเนียงกับสีนัยน์ตาก็ไม่ใช่แล้ว...แถมคนที่ถูกทักยังไม่ใช่ลูกครึ่งแต่เป็นชาวต่างชาติเต็มตัว อีกฝ่ายมองณรงค์อย่างงงๆ ก่อนจะหันกลับไปจูงมือหญิงสาวชาวต่างชาติที่มาด้วยกันแล้วเดินต่อ ณรงค์มองตามหลังคู่รักแล้วก็แค่นหัวเราะกับตัวเอง

งี่เง่าดีนัก...หน้าแตกเลยไหมล่ะไอ้รงค์เอ๊ย...

ณรงค์หมุนตัวแล้วก็ตั้งใจจะเดินกลับไปที่ร้าน แต่ดูเหมือนเขาจะเดินตามหนุ่มแปลกหน้าออกมาไกลเกินจนจำไม่ได้ว่าต้องเลี้ยวตรงไหนแน่ ขณะที่กำลังเดินหาจุดสังเกตที่พอจะจำได้ ธีระก็โทรศัพท์มาเรียกเขา

“พี่รงค์ไปไหนน่ะ ตี้ซื้อเสื้อเสร็จแล้วนะ พี่ป๊อกบอกว่าตะกี้จู่ๆ พี่รงค์ก็ลุกออกจากร้านแล้วไม่รู้หายไปไหน”

ณรงค์นึกถึงหน้าของลูกพี่ลูกน้องของธีระซึ่งเป็นเจ้าของร้าน เขาไม่ค่อยชอบขานั้นเท่าไหร่เพราะชอบทำสายตากะลิ้มกะเหลี่ยจนไม่ค่อยอยากสุงสิงด้วย

“ขอโทษที พี่...มาเข้าห้องน้ำน่ะ ว่าแต่พี่จำทางกลับไปที่ร้านไม่ได้ เดี๋ยวตี้ออกมาเจอพี่แถวหอนาฬิกาแทนได้มั้ย?”

ปลายสายทำเสียงเหมือนกำลังพ่นลมออกทางปาก “แค่นี้ก็หลงด้วย? เอ้า งั้นเดี๋ยวตี้ไปหาที่หอนาฬิกาก็ได้ เดี๋ยวถึงแล้วโทรหาอีกทีนะ”

ณรงค์รับคำแล้วก็วางสาย ชายหนุ่มลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ธีระไม่ได้ระแคะระคายกับเหตุผลที่เขาผลุนผลันลุกออกมา หลังจากเดินทะลุตามทางในซอยจนออกมาถึงทางเดินระหว่างโครงการ ณรงค์ก็เริ่มจำทิศทางได้และเดินไปยังสถานที่ที่นัดไว้ ระหว่างทางเขารู้สึกกระหายจึงแวะซื้อน้ำดื่มจากแผงข้างทาง แต่พอหันกลับมาเพื่อจะเดินต่อก็ชนกับคนที่เดินสวนมาอย่างจัง

“Oops, sorry. Hey…Narong! How are you mate?”

ณรงค์มองญาติผู้พี่ของไรอันที่กำลังยิ้มแย้มทักทายเขาด้วยสีหน้าตกตะลึง คงเพราะว่าทั้งสองไม่ได้เจอกันนานแล้วตั้งแต่อีกฝ่ายกลับออสเตรเลียไปเมื่อเดือนก่อน พอจู่ๆ ก็มาเจอกันแถมยังเป็นกลางตลาดจตุจักรอีกจึงทำให้ณรงค์ตั้งตัวไม่ถูก ทว่าเมื่อเหลือบไปเห็นคนที่เดินมากับอีกฝ่าย นัยน์ตาของเขาก็หยุดอยู่ที่หนุ่มลูกครึ่งเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนทันที

“ไรอัน…”

ชื่อของหนุ่มลูกครึ่งหลุดจากริมฝีปากของเขาอย่างแผ่วเบา พลันก็รู้สึกเหมือนกล้ามเนื้อทุกส่วนในร่างกระตุกจนต้องกำมือตัวเองแน่น เพราะความที่ทางเดินนั้นแคบแสนแคบ ทำให้ไรอันอยู่ในระยะที่เขาแทบจะยื่นมือออกไปจับหรือรั้งตัวเข้ามากอดได้อย่างไม่ยากเย็น แต่อีกฝ่ายกลับเพียงมองเขาด้วยนัยน์ตาเฉยเมย ริมฝีปากหยักได้รูปเม้มเป็นเส้นตรงอย่างไม่สะท้อนอารมณ์ใดๆ

เจมส์ไม่ทันได้สังเกตท่าทีของคนที่ยืนข้างๆ จึงชวนณรงค์คุยต่อ “โทษทีนะที่งวดนี้ไม่ได้โทรบอกคุณก่อน พอดีผมบินมาทำธุระด่วนน่ะ ว่าแต่ไรอันไม่ยักบอกว่าวันนี้ก็นัดคุณไว้ที่นี่ด้วย”

ณรงค์เลิกคิ้วและเบนสายตากลับไปทางเจมส์ “เอ๊ะ?”

“I didn’t.”

ไรอันขัดขึ้น และทำให้เจมส์ทำหน้าเหลอหลา ฝ่ายณรงค์เองเมื่อเห็นดังนั้นก็งุนงงไม่แพ้กัน แต่ท่าทางจับต้นชนปลายไม่ถูกของญาติผู้พี่ของไรอันกลับทำให้ในใจของเขาชื้นขึ้นราวกับมีตาน้ำเล็กๆ ผุดซึมออกมา

หมายความว่าไรอันไม่ได้เล่าเรื่องที่พวกเขาเลิกกันให้เจมส์ฟัง...

“พี่รงค์! อยู่นี่เอง ตี้เดินหาตั้งนาน”

เสียงเรียกจากด้านหลังฉุดเขาจากภวังค์ ฝ่ายธีระเองเมื่อเดินมาทันณรงค์และเห็นไรอันก็ชะงัก เด็กหนุ่มรีบก้าวเร็วๆ เข้ามายึดแขนณรงค์ไว้แน่นทันที ตอนแรกชายหนุ่มขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจที่จู่ๆ อีกฝ่ายก็มาเกาะเขาแจ แต่พอเห็นสายตาไม่เป็นมิตรของธีระที่มองไปยังหนุ่มลูกครึ่ง เช่นเดียวกับสายตาเย็นชาของไรอันที่มองตอบ เขาก็นึกขึ้นได้ว่าสองคนนี้เคยเจอกันมาก่อนที่ผับเพราะไรอันสาดน้ำใส่พวกเขานั่นเอง

เจมส์ดูเหมือนจะยังไม่เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าดีนักแม้จะเริ่มเอะใจ ญาติผู้พี่ของไรอันจึงยิ้มและถามณรงค์เพื่อหยั่งท่าที

“He’s your brother?”

ณรงค์แปลกใจที่เจมส์ความจำดีใช้ได้ทีเดียว เพราะเขาเคยเล่าให้ฟังว่ามีน้องชายกับน้องสาวฝาแฝดเพียงครั้งเดียวเท่านั้น

“No, I’m his boyfriend.”

ธีระโพล่งตอบพลางเบียดตัวเข้าหาร่างสูงใหญ่มากขึ้น ณรงค์เหลือบตามองคนข้างตัวก่อนจะเบนสายตากลับไปที่ไรอัน นัยน์ตาของทั้งสองสบกันเป็นเวลาสั้นๆ ก่อนที่ไรอันจะมองไปอีกทาง ทั้งสองจึงไม่ทันสังเกตว่าเจมส์ลอบประเมินการแลกสายตาของพวกตนอยู่ ขณะที่ธีระก็เห็นเช่นกัน เด็กหนุ่มบีบแขนณรงค์แน่นขึ้นเรื่อยๆ โดยที่ชายหนุ่มไม่รู้สึกตัว

“Let’s go, James. I want to get your fucking shopping list done and go home now.”

ไรอันพูดขึ้นพลางฉุดแขนเจมส์ไปอีกทาง เจมส์จึงหันมาโบกมือให้ณรงค์และร้องบอก

“Hey, you take care alright? I’ll call you later.”
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาครอง 17/11/11 P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 17-11-2011 13:02:19
ไรอันมองญาติผู้พี่ของตัวเองตาเขียวแล้วเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น ฝ่ายณรงค์ได้แต่มองตามทั้งสองไปด้วยความรู้สึกอยากก้าวตามใจแทบขาด แต่แรงกอดแขนที่กระชับแน่นก็ดึงสายตาเขาให้ก้มลงมอง และทำให้ได้เห็นว่าธีระก็กำลังมองตามคนทั้งสองเช่นกัน แต่ด้วยนัยน์ตาไม่พอใจและริมฝีปากเม้มแน่น ณรงค์จึงได้แต่ถอนหายใจ

“เราจะไปดูอะไรกันต่อดี?”

ณรงค์ถามขึ้นในที่สุด ถึงแม้จะอยากตามไปอธิบายกับไรอันและเจมส์แค่ไหนก็ไม่อาจละทิ้งคนข้างตัวได้ เพราะเขาคือคนที่ดึงธีระเข้ามาข้องเกี่ยวเอง และนี่คือความรับผิดชอบที่จะละทิ้งกลางคันไม่ได้

“ตี้ไม่อยากเดินตลาดต่อแล้ว ตี้อยากไปที่อื่น”

เด็กหนุ่มปล่อยมือณรงค์และออกเดินนำหน้า น้ำเสียงบ่งบอกชัดเจนว่ากำลังไม่พอใจมาก ณรงค์จึงสาวเท้ายาวๆ จนตามทันและรั้งข้อมือผอมเล็กไปจับไว้

“ถ้างั้นไปดูหนังกันดีกว่า แล้วตอนเย็นๆ ค่อยไปหาร้านกินข้าวแถวนี้ โอเคมั้ย?”

การแสดงความเอาใจใส่ของณรงค์ช่วยสลายอารมณ์โกรธของธีระลงบ้าง เด็กหนุ่มจึงเงยหน้าขึ้นยิ้มให้แล้วบีบมือเขากลับ ทั้งสองเดินจูงมือกันออกจากตลาดเพื่อไปยังลานจอดรถ ทำให้ไม่ทันได้เห็นนัยน์ตาสีน้ำตาลอมเทาของเจมส์ที่มองตามพวกเขาทั้งคู่ ก่อนที่จะหันกลับไปมองญาติผู้น้องของตนที่กำลังยืนเลือกสินค้าด้วยสีหน้าไม่รู้สึกรู้สาอย่างครุ่นคิด

หลังจากไปดูหนังและทานข้าวเย็นกันในห้างสรรพสินค้าซึ่งเลยไปจากตลาดไม่ไกล ณรงค์ก็ยอมตามใจธีระที่ยังไม่อยากกลับห้องด้วยการพาไปนั่งดื่มเหล้าและฟังเพลงที่ร้านซึ่งเด็กหนุ่มชอบไปประจำ ดูเหมือนก่อนหน้าที่จะคบกับเขาธีระจะเป็นที่นิยมไม่ใช่น้อย เพราะระหว่างที่นั่งอยู่ในบาร์นั้นมีผู้ชายไม่ต่ำกว่าสี่คนเดินเข้ามาทักอีกฝ่ายอย่างคุ้นเคย แต่พอเด็กหนุ่มแนะนำเขาไปว่าเป็นแฟน คนเหล่านั้นก็ถอยกลับไปเองพร้อมกับท่าทางเสียดาย

จวบจนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปเกือบค่อนคืน ณรงค์ก็จ่ายค่าเครื่องดื่มและชวนธีระกลับ เขาไม่ได้ดื่มมากเท่าเด็กหนุ่มที่สั่งเบียร์มาหลายขวดจนเดินเซเล็กน้อยตอนเดินขึ้นรถ หลังจากมาถึงคอนโดและถอยรถเข้าจอดช่องประจำ ณรงค์ก็ดับเครื่องพลางถามขึ้นเปรยๆ

“ตี้เคยคบใครมาก่อนหน้าพี่มั้ย?”

คำถามนั้นทำให้คนที่เพิ่งจะตื่นจากการผล็อยหลับหันมาถามอย่างงุนงง

“หือม์? ถามทำไมอะ?? พี่รงค์หึงตี้เหรอ?”

เสียงของเด็กหนุ่มยานคางเล็กน้อย ผิวแก้มเนียนใสเป็นสีแดงเรื่อเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอลล์ ณรงค์ปรายตามองคนที่เอนตัวมาพิงไหล่แล้วก็ส่ายหน้า

“พี่ก็แค่ถามดูเฉยๆ เห็นเราป๊อบเหลือเกินนี่นา ถ้าเมื่อกี้พี่ไม่อยู่ด้วยสงสัยคงมีคนอยากแย่งกันไปส่งถึงห้องเลยมั้ง”

ณรงค์แซวอย่างไม่ได้คิดอะไร แต่ธีระกลับเงียบไป เขานึกว่าเด็กหนุ่มคงง่วงจึงไม่ได้เซ้าซี้ แต่พอกำลังจะหันไปปลดล็อคประตู ณรงค์ก็เลิกคิ้วเมื่อคนที่นึกว่าหลับยื่นแขนขึ้นมาโน้มคอเขาลงไปจูบ

ชายหนุ่มครางเสียงต่ำเมื่อถูกปลายลิ้นอุ่นรุกเข้ามาในริมฝีปาก ขณะเดียวกันร่างผอมบางก็พยายามเบียดเข้าหาเขามากขึ้น ณรงค์สัมผัสได้ถึงความพยายามของอีกฝ่ายที่จะปลุกอารมณ์จึงจับไหล่แล้วดันออก

“ไม่อยากขึ้นไปนอนบนเตียงเหรอเรา อีกอย่างนี่มันในรถนะ”

ณรงค์ไม่ใช่พระอิฐพระปูน แต่เป็นผู้ชายที่มีเลือดเนื้อและแรงขับทางกายเช่นผู้ชายทั่วไป เมื่อความปรารถนาที่อัดอั้นมานานถูกสะสมจนล้นปรี่ก็ย่อมต้องหาทางระบายออกเป็นธรรมดา ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงได้พลาดจนมีอะไรกับธีระตั้งแต่ครั้งแรกเพราะความมึนเมา เขาไม่ปฏิเสธว่าอีกฝ่ายตอบสนองเขาได้ดีต่อให้บางครั้งเขาจะเรียกร้องมากแค่ไหน แต่ก็ใช่ว่าณรงค์จะคึกอยากมีอะไรกันทุกครั้งที่เด็กหนุ่มอยู่ใกล้ เขาไม่ได้ต้องการความสัมพันธ์ที่มีเงื่อนไขแค่การใช้ร่างกายระบายความใคร่ต่อกันเท่านั้น

และไฟปรารถนาในตัวเขาก็ยิ่งดูจะริบหรี่ลงไปอีกเมื่อได้เจอไรอันที่ตลาดกับเจมส์วันนี้ ถึงแม้จะรู้ดีว่าทั้งสองเป็นแค่ญาติกันก็ตาม

“ถ้าหากตี้บอกว่าพี่รงค์ไม่ใช่คนแรกของตี้ พี่รงค์จะหึงหรือเปล่า?”

เด็กหนุ่มกระซิบชิดริมฝีปาก ลมหายใจที่อวลกลิ่นแอลกอฮลล์พวยออกจากปลายจมูกและรดลงเหนือริมฝีปากของณรงค์แผ่วๆ แต่เขาก็เพียงมองอีกฝ่ายด้วยนัยน์ตาว่างเปล่า

“งั้นเหรอ...”

ณรงค์ไม่รู้จะพูดอะไรนอกจากนั้น แต่ปฏิกิริยาที่ราวกับไม่ใส่ใจของเขากลับจุดไฟโทสะให้ธีระได้อย่างชะงัด เด็กหนุ่มเบิกตากว้างมองเขาเหมือนไม่เชื่อหูในวูบแรก จากนั้นก็ผลักอกณรงค์อย่างแรงแล้วเปิดประตูวิ่งออกจากรถ ณรงค์อึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป จึงรีบเปิดประตูและวิ่งตามอีกฝ่ายไปทันที

“ตี้! จะไปไหนน่ะ!!”

“ไม่ต้องตามมาเลย! ตี้มันไม่มีค่าเลยไม่ใช่หรือไง!! ถ้าหากอยากกลับไปหาเขานักก็รีบไปเดี๋ยวนี้เลยสิ!!!”

ณรงค์รีบคว้าแขนเรียวไว้แล้วดึงอีกฝ่ายให้หันมาหา น้ำตาที่ไหลอาบเต็มสองแก้มของธีระทำให้เขาชะงัก ความรู้สึกผิดเอ่อท้นในอกจนณรงค์ต้องรีบรั้งร่างผอมบางเข้ามากอดแล้วลูบแผ่นหลังขึ้นลงแรงๆ

“พี่ขอโทษ พี่...ไม่ได้ตั้งใจจะพูดอย่างนั้น ตี้ใจเย็นๆ ก่อนเถอะ”

“ฮึก ถึงจะเคยมีคนเข้ามาจีบก่อนพี่รงค์ แต่ตี้ไม่เคยนอนกับใครเลยนะ...ทำไมพี่รงค์ต้องพูดเหมือนไม่แคร์กันเลยอย่างนั้นด้วย”

คำตัดพ้อของเด็กหนุ่มตอกย้ำความรู้สึกผิดในใจให้ฝังลึก และทำให้ณรงค์รู้สึกว่าตัวเองเลวมากขึ้นไปอีก เพราะนอกจากจะลากอีกฝ่ายเข้ามาเพื่อชดเชยความเหงาแล้ว เขายังเป็นคนที่พรากสิ่งสำคัญที่สุดของธีระไปแล้วทำเหมือนไม่เห็นค่าอีกด้วย

นี่เขาจะต้องทำผิดพลาดอีกสักกี่ครั้งถึงจะพอ...

“พี่ขอโทษนะตี้ เลิกร้องไห้เถอะ นี่มันก็ดึกแล้ว กลับห้องพี่ก่อนดีกว่านะ”

ณรงค์ดันร่างผอมบางออกแล้วเช็ดน้ำตาให้ ก่อนจะโอบไหล่แล้วพาเดินกลับเข้าไปในคอนโด ถึงแม้จะอายพนักงานรักษาความปลอดภัยที่อยู่ตรงป้อมยามแต่ก็ช่วยไม่ได้ และโชคยังดีของเขาที่ฝ่ายนั้นก็พยายามแสร้งทำเป็นไม่เห็นด้วยความเกรงใจ

หลังจากขึ้นลิฟต์มาถึงที่ห้อง ณรงค์ก็จูงธีระให้นั่งลงบนโซฟาแล้วหยิบกล่องทิชชู่ส่งให้เพื่อเช็ดน้ำมูก

“เดี๋ยวพี่เอาน้ำมาให้นะ รอตรงนี้แป๊บนึง”

ชายหนุ่มบอกก่อนจะเดินหายเข้าไปในครัว แต่ขณะที่กำลังหยิบแก้วมากดรองน้ำดื่มจากเครื่องกรอง ณรงค์ก็ชะงักเพราะธีระเดินตามมากอดเอวเขาและแนบหน้าลงบนแผ่นหลังอย่างเงียบๆ

“ง่วงหรือไงเรา? ถ้างั้นก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนไป”

ณรงค์บอกพลางปิดก๊อกน้ำ แล้วก็ชะงักอีกครั้งเมื่อคนข้างหลังเริ่มปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเขาพลางเอ่ยเสียงอู้อี้จากด้านหลัง

“พี่รงค์ กอดตี้หน่อย”

ไม่เพียงใช้คำพูดเท่านั้น เด็กหนุ่มยังสอดมือเข้าใต้สาบเสื้อของณรงค์และลูบแผ่นอกของเขาไปมา ณรงค์ขบกรามเมื่อถูกสัมผัสอันเร่งเร้าจุดไฟปรารถนาในร่างให้ค่อยๆ คุโชน จึงรีบดึงมือที่กำลังซุกซนออกแล้วหันกลับไปหา

“เมื่อเช้าพี่ก็กอดตี้ไปแล้วนี่”

ณรงค์อ้างถึงการอาบน้ำด้วยกันเมื่อเช้า ซึ่งมักไม่จบลงเพียงการอาบน้ำทุกครั้งที่ทั้งสองเข้าห้องน้ำด้วยกัน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ธีระยอมถอย เด็กหนุ่มหรี่ตามองเขาพลางทำปากยื่นอย่างดื้อรั้น

“แค่นั้นไม่พอ ตี้อยากให้พี่รงค์กอดอีก กอดตี้ให้ถึงเช้าเลย นะ...พี่รงค์”

ธีระพูดพลางถอดเสื้อกับกางเกงของตัวเองออกราวไม่ต้องการฟังคำปฏิเสธ ณรงค์ได้แต่ยืนนิ่งเมื่ออีกฝ่ายก้าวร่างเปลือยเปล่าเข้ามากอดเขาไว้และสอดมือลงใต้กางเกง อุ้งมืออุ่นที่โอบกุมส่วนอ่อนไหวพลางหยอกเย้าไปมาเป็นจังหวะ เช่นเดียวกับริมฝีปากอุ่นที่พรมจูบลงบนแผ่นอกทำให้ณรงค์ต้องใช้มือข้างหนึ่งกำขอบอ่างล้างจานไว้เพื่อพยุงตัว ส่วนมืออีกข้างจิกลงบนไหล่ผอมและกัดฟันแน่นเพื่อข่มกลั้นอารมณ์ ธีระเหลือบมองณรงค์ที่ปิดตาแน่นและหอบหายใจเพราะการเล้าโลมของตัวเอง ก่อนจะค่อยๆ เลื่อนตัวลงและกระซิบด้วยเสียงแหบต่ำ

“กอดตี้นะพี่รงค์ จนกว่าพี่รงค์จะลืมเขา จะนึกว่าตี้เป็นเขาก็ได้”

“ตี้!!”

คำพูดนั้นทำให้ณรงค์ได้สติ เขารีบจับยึดไหล่อีกฝ่ายให้ยืนขึ้นอีกครั้งแล้วเขย่าอย่างแรง

“อย่าพูดอย่างนั้นอีกนะตี้!! ไม่มีใครเป็นตัวแทนใครได้ทั้งนั้นเข้าใจไหม!!!”

ณรงค์รู้สึกปวดหัวจี๊ดและร้อนในอกราวกับใครมาสุมไฟเผา ประโยคที่เพิ่งได้ยินทำให้เขาโกรธจนไม่สามารถจะใช้คำใดมาบรรยายได้

“ฮึก ถ้างั้น...ถ้างั้นพี่รงค์ก็กอดตี้สิ! อย่าทำเหมือนตี้ไม่มีตัวตนแบบนี้! ทั้งๆ ที่พี่รงค์เป็นคนเข้ามาหาตี้ก่อนแท้ๆ!!”

ใบหน้าเหยเกที่มีหยาดน้ำไหลรินทำให้ณรงค์ใจหายวูบ ไฟโทสะดับมอดราวกับถูกน้ำถังใหญ่สาดเข้าใส่ ร่างที่สั่นเทาและเสียงสะอื้นเรียกความสงสารจนใจของเขาอ่อนยวบ

เขาเป็นคนที่ลากคนอื่นเข้ามาเกี่ยว และทำให้ตัวเองกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้เอง ไม่มีใครให้โทษทั้งนั้น ไม่ใช่แม้แต่ไรอันด้วย…

พลันภาพของเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนที่ไม่ยอมสบตาเขาเมื่อตอนกลางวันก็ผุดขึ้นมาในหัว

ชายหนุ่มเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างเชื่องช้าและพยายามมองคนตรงหน้าโดยไม่มีภาพของใครมาทาบทับอีก ถึงแม้ว่ามันจะช่างทำได้ยากเย็นเหลือเกินก็ตาม

“เข้าใจแล้ว พี่ขอโทษนะตี้ คืนนี้พี่จะกอดตี้ถึงเช้าเลย เรานั่นแหละ แน่ใจนะว่าทนพี่ไหว?”

“....ที่ผ่านมาตี้ไม่ทนหรือไงล่ะ”

เด็กหนุ่มตัดพ้อด้วยท่าทางเขินอาย ณรงค์จึงหัวเราะเบาๆ เพราะรู้ดีว่าตั้งแต่คบกันมา บางครั้งเขาก็เรียกร้องจากธีระมากเกินไปจริงๆ

“เด็กขี้น้อยใจ ถ้าพรุ่งนี้ลุกไม่ขึ้นอย่าบ่นก็แล้วกัน”

ณรงค์อุ้มธีระขึ้นและพาเข้าไปในห้องนอน จากนั้นก็วางร่างผอมบางลงบนเตียงอย่างอ่อนโยนก่อนจะถอดเสื้อผ้าและตามลงทาบทับ ร่างในอ้อมแขนโอนอ่อนตามทุกการสัมผัสของเขาอย่างกระตือรือร้น และไม่ว่าจะถูกขอให้ทำอะไรก็ยินยอมโดยไม่อิดออดด้วยอยากให้เขาพอใจมากที่สุด

ร่างสูงใหญ่ใส่อารมณ์ในทุกการเคลื่อนไหวอันหนักหน่วง เขาจูบกลืนเสียงกรีดร้องด้วยความสุขสมของอีกฝ่ายอย่างกระหาย ขณะเดียวกันก็ตักตวงความสุขจากผิวกายเนียนอุ่นราวไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แต่ถึงแม้ว่าความหิวโหยทางกายจะได้รับการบรรเทาสักเพียงใด บาดแผลในใจของณรงค์กลับยิ่งขยายรอยลึกและเจ็บแสบมากขึ้นเมื่อได้เห็นแววตาที่เปิดเผยถึงความหลงใหลในตัวเขาอย่างหมดใจ

เขาผิดเองที่ลากเด็กคนนี้เข้ามาในชีวิตตั้งแต่แรก….
 


++------++


ณรงค์รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาตอนสายของวันอาทิตย์ และเพราะการยั่วยวนของธีระที่ยังนอนซุกเขาไม่ไปไหน ทั้งสองจึงมีอะไรกันอีกครั้งก่อนจะได้อาบน้ำและลงไปทานมื้อกลางวันในตลาดใกล้คอนโด กระทั่งบ่ายคล้อย ณรงค์จึงขับรถพาเด็กหนุ่มไปส่งที่อพาร์ตเม้นท์ใกล้มหาวิทยาลัยย่านชานเมือง

“เดี๋ยววันศุกร์หน้าพี่ต้องบินไปเอ๊าท์ติ้งที่ภูเก็ตกับออฟฟิศตั้งแต่เช้า แต่ถ้าเย็นวันอาทิตย์กลับมาแล้วไม่เหนื่อยเกินไปพี่จะแวะเอาของฝากมาให้”

ณรงค์หันไปบอกขณะเทียบรถเข้าจอดหน้าทางเข้าอพาร์ตเม้นท์ ธีระจึงหันมายิ้มให้

“ไม่ต้องรีบก็ได้พี่รงค์ เดี๋ยววันไหนเลิกเรียนเร็วตี้ค่อยไปหาที่ออฟฟิศก็ได้”

คำตอบนั้นทำให้ณรงค์ชะงักไปนิดหนึ่ง เขาไม่แน่ใจว่าตัวเองพร้อมจะให้ใครต่อใครเห็นคนที่คบด้วยในตอนนี้หรือยัง ไม่ใช่เพราะอายที่มีแฟนเป็นเด็กหนุ่มเพศเดียวกัน แต่หากเปิดเผยตัวเช่นนั้น...ก็เท่ากับยิ่งปิดประตูที่จะได้กลับไปคืนดีกับไรอันมากเข้าไปอีก

นี่เขายังไม่เลิกคิดฝันอะไรลมๆ แล้งๆ อีกหรือไงนะ...จะทำตัวเป็นคนโง่ซ้ำซากไปถึงไหน...

“พี่รงค์?”

ธีระขมวดคิ้วมองนัยน์ตาเลื่อนลอยที่ราวกับมองทะลุผ่านตัวเองไป และน้ำเสียงที่แฝงความหวั่นไหวก็เรียกสติของณรงค์ให้กลับมา ชายหนุ่มกะพริบตาก่อนจะรีบยิ้มให้อีกฝ่ายสบายใจ

“เอาสิ งั้นไว้ค่อยนัดกันอีกทีก็แล้วกัน”

ณรงค์เอ่ยพลางยื่นตัวเข้าไปจูบริมฝีปากอีกฝ่ายเร็วๆ เพื่อปลอบใจ ธีระจึงค่อยคลี่ยิ้มออกมาได้ ถึงแม้จะรู้ว่าไม่ควรให้ความหวังกับเด็กหนุ่มทั้งที่ตัวเองก็ยังสับสน แต่เขาก็ชอบมองรอยยิ้มสดใสที่ช่วยทำให้โลกอันมืดมนคลายความหม่นหมองมากกว่าใบหน้าเศร้าๆ ที่เหมือนภาพสะท้อนความในใจของเขามากกว่า

อย่างน้อยก็จนกว่าเขาจะรู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไป...

กว่าณรงค์จะกลับถึงที่พักก็ย่ำค่ำเพราะช่วงเย็นวันอาทิตย์มีรถจากต่างจังหวัดเข้ากรุงเทพหนาแน่น หลังจากทานมื้อเย็นที่ร้านอาหารตามสั่งหน้าคอนโดเพียงลำพัง ชายหนุ่มก็ขึ้นลิฟต์กลับขึ้นไปบนห้อง วูบหนึ่งก็ให้รู้สึกเหงาที่ไม่มีคนคุยด้วยหลังจากส่งธีระกลับไปแล้ว

เสียงโทรศัพท์มือถือของณรงค์ดังขึ้นขณะที่เพิ่งอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ พอเขาหยิบเครื่องขึ้นดูและเห็นชื่อคนโทรเข้าก็ลังเลครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็กดรับ

“ฮัลโหล?”

“ณรงค์ วันนี้มันเรื่องบ้าอะไรกันน่ะ?”

เจมส์ถามด้วยน้ำเสียงคาดคั้น ณรงค์จึงผ่อนลมหายใจยาวแล้วยกมือขึ้นนวดขมับ

“ไม่มีอะไรหรอก ก็อย่างที่คุณเห็นนั่นแหละ ตอนนี้ผมกับไรอันเลิกกันแล้ว และผมก็คบกับเด็กคนนั้นอยู่”

แม้แต่ชายหนุ่มยังแปลกใจตัวเองที่สามารถตอบคำถามได้อย่างฉะฉานไม่สะดุด ปลายสายเงียบไปราวอึ้งกับคำตอบ เกือบหนึ่งนาทีให้หลังเจมส์จึงถามขึ้นอีกครั้ง

“How in bloody hell did it happen?”

ณรงค์เลิกคิ้ว “คุณหมายถึง?”

“คุณกับไรอัน พวกคุณเลิกกันได้ยังไง และไม่ต้องบอกให้ผมถามเจ้าตัวเอง ถ้าผมง้างคำอธิบายออกจากปากหมอนั่นได้ผมคงไม่ต้องโทรมาหาคุณ”

ชายหนุ่มถอนหายใจหนักหน่วงอีกครั้ง เริ่มรู้สึกว่าความปวดหัวแล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆ เขารู้จักนิสัยไรอันดีว่าอย่างมากก็คงแค่บอกลูกพี่ลูกน้องตัวเองว่าพวกเขาแยกทางกัน แต่ไม่ได้ให้เหตุผลที่เพียงพอหรือน่าพอใจสำหรับคนถามแน่ๆ ไม่ต่างจากเขาที่มึนงงตอนที่ถูกบอกเลิก แล้วก็ถูกขับไล่ไสส่งโดยไม่ได้รับโอกาสให้อุทธรณ์นั่นแหละ

“ถ้าจะถามผม ผมก็จะเดาว่าเพราะเขาหึง เพราะหลังจากที่คุณกลับเมลเบิร์นคืนนั้นไรอันก็ไล่ผมออกจากห้อง ผมโมโหก็เลยไปกินเหล้าเมาแล้ว ก็เลย...กับเด็กคนนั้น...เอาเป็นว่าผมผิดเองก็แล้วกัน”

ณรงค์ตัดบทด้วยยิ่งพูดก็ยิ่งขุดหลุมฝังตัวเอง ชายหนุ่มหายใจหอบเล็กน้อยหลังจากรัวคำอธิบายเหล่านั้นออกมา และนั่นทำให้เจมส์เงียบไปพักใหญ่

“ถ้างั้นก็หมายความว่าคุณ...นอกใจไรอันเพราะน้อยใจที่ถูกไล่กลับห้อง?”

เจมส์ถามขึ้นในที่สุด แต่นั่นช่างเป็นข้อสรุปที่เรียบง่ายและปรักปรำความผิดกับเขาฝ่ายเดียวเหมือนไม่สนใจความซับซ้อนของเรื่องที่เกิดขึ้นเลยสักนิด

“ผมไม่ได้ตั้งใจ! ถ้าหาก...คืนนั้นไรอันไม่ได้บอกว่าผมน่ารำคาญ...ผมอาจไม่ขาดสติจนออกไปกินเหล้าตั้งแต่แรกก็ได้”

ณรงค์ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาพลางยกมือขึ้นเสยผมแรงๆ การพยายามอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นก็ไม่ต่างจากการสะกิดแผลที่ยังไม่ปิดสนิทให้ปริแตกและสูบพลังออกจากตัวไปจนเหนื่อยอ่อน

“...ผมเชื่อว่ามันต้องมีคำอธิบายสำหรับเรื่องนี้ แต่ที่แน่ๆ คุณยังรักไรอันอยู่ใช่ไหมล่ะ?”

ณรงค์ฟังคำถามแล้วก็ปิดเปลือกตาลงด้วยความอ่อนล้า จู่ๆ ภาพแววตาหวั่นไหวของธีระก่อนจะลาจากกันเมื่อเย็นก็ผุดขึ้นมาในหัว และความรู้สึกเจ็บแปลบอีกอย่างก็ทิ่มแทงใจจนเขาไม่สามารถตอบคำถามได้ในทันที

ทำไมทุกอย่างดำเนินมาจนถึงขั้นนี้ได้ ทำไมเขาถึงต้องรักไรอัน ทำไมไรอันถึงต้องทำตัวเข้าใจยากและไม่ยอมรับเขาเข้าในหัวใจง่ายๆ ทำไมคืนนั้นเขาถึงต้องออกไปกินเหล้าเมาจนเผลอมีอะไรกับธีระไป ทำไมเขาถึงต้องกลับไปที่ผับนั้นอีก ทำไมไรอันถึงต้องบอกเลิกเขา ทำไมธีระต้องแสดงออกว่ารักเขามากและขาดเขาไม่ได้ ทำไม ทำไม ทำไม ดูเหมือนชีวิตของณรงค์จะมีแต่เรื่องที่ชวนให้ตั้งคำถามเกิดขึ้นซ้ำๆ ติดต่อกันไม่หยุดหย่อน

ความมืดในห้องทำให้ชายหนุ่มควานมือหาสวิทช์โคมไฟตั้งโต๊ะเพราะไม่อยากลุกไปเปิดไฟดวงใหญ่ พลันเมื่อแสงสีอ่อนนวลฉายออกจากโคมไฟทรงกลมทำจากเรซินสีขาวสลับกับน้ำเงิน ณรงค์ก็กะพริบตาก่อนจะจ้องโคมไฟดวงนั้นนิ่งนาน

ราวกับเขาไม่เคยสังเกตเห็นเลยว่ามันตั้งอยู่ตรงนี้มาตลอดนับตั้งแต่ได้รับมา

ภาพของคนที่ซื้อโคมไฟให้พลันปรากฏขึ้นในใจอย่างแจ่มชัดโดยไม่ต้องอาศัยรูปถ่าย ไม่ว่าจะเป็นเช้าแรกที่ไรอันตื่นขึ้นมาในห้องเขาด้วยท่าทางงุนงงหลังจากไปเมาจนมีเรื่องที่ผับ รอยยิ้มแรกที่อีกฝ่ายมอบให้หลังจากไปเดินดูไฟคริสต์มาสด้วยกันทั้งที่ไม่ได้ใส่คอนแทคต์เลนส์ ภาพตอนที่ไรอันบอกชื่อเล่นตัวเองอย่างอายๆ ตอนที่เขาไปส่งที่ห้อง ภาพตอนที่ยิ้มรับดอกกุหลาบในวันวาเลนไทน์จากเขาและทานดินเนอร์ด้วยกันใต้แสงเทียน ภาพตอนที่เล่นสงกรานต์ตอนไปเยี่ยมบ้านที่กาญจนบุรี และยังความอ่อนหวานและเร่าร้อนที่ทั้งสองมอบให้กันใต้สายน้ำฝักบัว ถึงแม้จะไม่มีอะไรมากไปกว่าการกอดจูบและสัมผัสผิวกายจนอีกฝ่ายบรรลุความปรารถนาเท่านั้น แล้วยังไม่นับตอนที่อีกฝ่ายไม่สบายจนเขาไปคอยนอนเฝ้าไข้ตลอดสุดสัปดาห์อีก

เขาจะมอบใจให้คนอื่นได้อย่างไร ในเมื่ออดีตที่มีร่วมกับไรอันยังอัดแน่นในทุกอณูความทรงจำแบบนี้

“ณรงค์? Are you still there?”

“Yes....ขอโทษนะเจมส์ ตอนนี้ผมเหนื่อยมาก”

ณรงค์ตอบเสียงเบาก่อนจะกดวางสาย เขาไม่รู้ว่าเจมส์จะเข้าใจไหมว่าคำตอบ ‘Yes’ ของเขาเมื่อครู่คือการตอบรับทั้งสองคำถาม ชายหนุ่มวางโทรศัพท์ลงข้างตัวก่อนจะยื่นมือออกไปทาบลงบนโคมไฟ พลังงานจากหลอดไฟด้านในส่งผ่านความอบอุ่นออกมายังฝ่ามือใหญ่ที่แนบอยู่บนผิวโค้งกลม แต่นั่นก็ยังเทียบไม่ได้กับความอบอุ่นที่ฝ่ามือนี้ยังคงจดจำจากการกอดและสัมผัสใครคนหนึ่งที่ช่างแสนหัวรั้นแต่ก็กุมหัวใจเขาไว้ได้แน่นหนาจนดิ้นไม่หลุด

ความทรงจำที่สั่งสมมาครึ่งปีไม่ใช่สิ่งที่จะถูกหักล้างกันง่ายดายภายในเดือนเดียว และแม้ว่าจะรู้สึกผิดต่อธีระสักเพียงไหน แต่ณรงค์ก็ไม่อาจยกพื้นที่ในหัวใจให้กับใครแทนไรอันได้ ถึงแม้ว่าภาพใบหน้านองน้ำตาของเด็กหนุ่มเมื่อคืนจะยังทิ่มแทงใจเขาทุกครั้งที่นึกถึงก็ตาม


++---TBC---++


A:N/ ต่อเนื่องจากตอนที่แล้ว ดูเหมือนมาม่าชามนี้จะยังปรุงไม่เสร็จง่ายๆ ใครที่เคยงอนคนเขียนหรือจิตตกจากตอนที่แล้ว เดี๋ยวเอายาดม / ยาลม / ยาหม่อง / คุ้กกี้ / ชา / กาแฟ มาเสิร์ฟให้นะคะ อย่าเพิ่งนอยด์คนเขียนกับณรงค์เลยนะ เห็นใจเฮียแกหน่อย กำลังโดนพิษรักเล่นงานขั้นรุนแรงก็เลยไม่อยู่กับร่องกับรอยแบบนี้แหละ  :z10:
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาครอง 17/11/11 P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: badcow ที่ 17-11-2011 13:36:15
นี่มัน มาม่า ไวไว สารพัดยี่ห้อแล้วเนี่ยยยยย
.
อ่านแล้วอินมาก เป็นเรา เรายอมให้ตัวละคร"ตาย"จากกัน ...ดีกว่าที่จะให้ไปมีอะไรกับคนอื่นทั้งที่ยังรักหรือยังไม่เข้าใจกัน
.
อย่างว่าคนแต่งเขียนดี อินมาก อินจัด T_T
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาครอง 17/11/11 P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: love2y ที่ 17-11-2011 14:59:12
กรี๊ดดดด อุตส่าห์ดีใจได้อ่านต่อ นึกว่าเรื่องมันจะดีขึ้น ทำไมมันดูเลวร้ายกว่าเดิมเนี่ย TT__TT

ณรงค์จะกลับมารักกับไรอันได้อีกมั้ยเนี่ย แอบสงสารตี้ด้วยอ่ะ เครียด!!!!!!!!
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาครอง 17/11/11 P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: ฟีฟาร30 ที่ 17-11-2011 22:53:29
โอ้วว ..เป็นความจริงที่น่าเจ็บปวดจริงๆ :m15:
เครียดแทนเลย  :serius2:
รออ่านตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาครอง 17/11/11 P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 18-11-2011 00:13:26
 :เฮ้อ: :เฮ้อ:

แอบสงสารตี้กับรงค์เบา ๆ

แต่ไม่สงสารไรอันหรอกนะ

หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาครอง 17/11/11 P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: vascular ที่ 18-11-2011 00:36:33
กรรม สงสารน้องตี้
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาครอง 17/11/11 P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: bluebird ที่ 18-11-2011 11:26:14
มาตามอ่านเรื่องบ้างค่ะ = )
จริงๆไปอ่านเรื่องนี้ในบล็อคมา แต่ขอมาคอมเม้นในนี้แล้วกัน
อ่านแล้วนับถือในความอดทนของพ่อคุณพระเอกมากๆ 55+
รู้สึกได้ว่าการรักคนที่ตั้งกำแพงขึ้นมานี่มันยากจริงๆนะ (อินน)
สองตอนล่าสุด ไม่รู้จะเห็นใจใครดี แต่สงสารน้องตี้จัง ฮือ >.<
อยากรู้จริงๆว่า สุดท้ายแล้ว ปัญหานี้จะแก้ไขได้ยังไง
รออ่านต่อด้วยความหน่วงในใจค่ะ 55+
ทั้งเรื่องนี้และเรื่องอื่นๆด้วยนะ ฮี่ๆ ; )
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาครอง 17/11/11 P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: badcow ที่ 18-11-2011 16:01:15
ไรอัน   น่าสงสาร..........ตรงไหน??
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาครอง 17/11/11 P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: berlyn ที่ 18-11-2011 17:33:18
มัน แย่ลงดิ่งลงเรื่อยๆแล้ววว ความสัมพันธ์ของทั้งสองจะต่อติดมั้ย

สงสารแฟนใหม่ของรงค์อ่ะ เขาคงรู้อยู่ลึกๆแหละว่ารงค์ยังนึกถึงแฟนเก่าเลยอยากจะทำทุกทางเพื่อให้ลืม
drama จริงจัง
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาครอง 17/11/11 P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 19-11-2011 02:28:46
รักคนเข้าใจยาก ต้องอดทนกว่าปกติหลายสิบเท่า
แต่รักคนที่ไม่เข้าใจกัน ไม่รู้จะทนไปทำไม

แต่เราสงสารไรอันนะ
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาครอง 17/11/11 P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 21-11-2011 00:04:30
ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด   ถึงจะรักแต่ใช่ว่าจะอยู่ด้วยกันได้เสมอไป 
ถ้าไรอันกับณรงค์ยังเป็นเหมือนเดิม ดูยังไงก็ไปไม่รอด ณรงค์ก็จะมีอาการจิตตกกำเริบเป็นระยะๆ   
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคปลาย 21/11/11 P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 21-11-2011 12:57:43
ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ Square One [ภาคปลาย]

สัปดาห์ใหม่เริ่มต้นอย่างไม่แจ่มใสนักสำหรับณรงค์ จริงๆ แล้วตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาก็ไม่มีสัปดาห์ไหนที่เขารู้สึกสดชื่นเต็มที่อยู่แล้ว แต่ถึงแม้ในใจจะหนึบหน่วงแค่ไหน ณรงค์ก็ยังสามารถปกปิดอาการได้และทำตัวไม่ต่างจากเมื่อก่อน แม้แต่รุ่นน้องในทีมของเขาทั้งสองที่สนิทกันมากอย่างอิสราและยุพดีก็ไม่รู้สึกว่า ‘พี่ชาย’ คนนี้เปลี่ยนไป เพราะเขายังคงหยอกล้อและสอนงานให้ทั้งสองได้เช่นเดิมไม่มีบกพร่อง

และณรงค์ก็ค่อนข้างภูมิใจที่อย่างน้อยยังควบคุมการแสดงออกของตัวเองได้

ตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ได้คุยแบบเปิดใจกับเจมส์ทางโทรศัพท์ เขาก็ตั้งปณิธานว่าจะไม่พูดเรื่องนี้กับใครอีก ทั้งเพราะรู้ว่าไม่มีประโยชน์ที่จะเล่าเรื่องเดิมซ้ำซาก ทั้งเพราะไม่อยากปล่อยให้ความอ่อนแอครอบงำจนหมกมุ่นแต่กับเรื่องที่อกหักด้วย

ในเมื่อไรอันเองก็ไม่เคยแสดงท่าทีว่าได้รับผลกระทบจากการแยกทางครั้งนี้สักนิด

ช่วงวันแรกๆ หลังจากที่บอกเลิกเขา ไรอันจะทำเหมือนมองไม่เห็นณรงค์ในสายตาเวลาอยู่ที่บริษัท ต่อให้มีเหตุต้องประชุมร่วมกันหรือเดินสวนกันก็จะพยายามอยู่ให้ห่างจากเขาที่สุดและไม่สบตาด้วยสักแวบ ณรงค์เคยพยายามจะมองหาสัญญาณที่บ่งบอกว่าไรอันเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นและอยากปรับความเข้าใจกับเขาบ้าง แต่อีกฝ่ายกลับสามารถทำเหมือนย้อนคืนไปสู่ช่วงก่อนที่จะเริ่มสนิทสนมกับเขาได้อย่างไม่ยากเย็น ราวกับเวลาร่วมครึ่งปีที่เคยมีร่วมกันถูกตัดออกจากความทรงจำโดยสิ้นเชิง และแล้วโดยที่ได้แต่ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไป เขาก็ยิ่งพบว่าตัวเองถูกไรอันกีดกันออกห่างมากขึ้นโดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย


++------++


ตลอดสัปดาห์นี้ พนักงานของแต่ละแผนกต่างพยายามสะสางงานที่คั่งค้างให้มากที่สุด เพราะว่าบริษัทของณรงค์จะจัดทริปพาพนักงานไปเที่ยวภูเก็ตช่วงสุดสัปดาห์ตั้งแต่วันศุกร์เป็นต้นไป พวกพนักงานใหม่ถูกมอบหมายให้เตรียมการแสดงสำหรับปาร์ตี้ซึ่งจะมีขึ้นในคืนที่สอง ขณะที่ฝ่ายบุคคลต้องประสานงานกับโรงแรมและบริษัททัวร์เพื่อจัดตารางกิจกรรมต่างๆ บรรยากาศในบริษัทจึงคึกคักเพราะทุกคนต่างทำงานไปด้วยและพูดคุยกันเรื่องเตรียมตัวไปเที่ยวด้วยอย่างชื่นมื่น

ทีมของณรงค์ได้รับยกเว้นไม่ต้องส่งการแสดง แต่ได้รับมอบหมายให้ออกแบบเวทีและธีมการตกแต่งเพื่อส่งให้ทางโรงแรมนำไปจัดทำ โดยประวิตรให้แก้วกานต์ซึ่งเป็นเลขาของทีมทำหน้าที่ประสานงาน ณรงค์อาสาเป็นคนออกแบบเพราะเขาเคยร่างภาพร้านอาหารไว้เล่นๆ และไม่ได้ใช้ จึงสามารถนำมาดัดแปลงให้เข้ากับธีมของงานเลี้ยงได้ไม่ยาก ส่วนอิสรากับยุพดีก็แบ่งกันทำงานประจำของลูกค้าไป งานของสมาชิกในทีมจึงแบ่งกันได้อย่างลงตัว

เวลาผ่านไปจนถึงช่วงเช้าของวันพฤหัสบดี ณรงค์ออกไปรับบรีฟงานจากลูกค้าในช่วงเช้าก่อนจะแวะกินข้าวแล้วกลับมาถึงออฟฟิศในช่วงบ่าย เขาเดินขึ้นบันไดจากชั้นจอดรถใต้ดินเพื่อจะไปขึ้นลิฟต์ที่ชั้นหนึ่ง แต่พอพบว่าใครยืนรออยู่หน้าลิฟต์ก่อนแล้ว ณรงค์ก็สะดุดลมหายใจตัวเอง

คนที่ทำให้เขานอนหลับไม่สนิทสักคืนตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา...

ไรอันเหลือบมองณรงค์นิดหนึ่งก่อนจะเบนสายตากลับไปทางแผงไฟข้างประตูลิฟต์ ในมือของหนุ่มลูกครึ่งถือแก้วกาแฟเย็นซึ่งคงซื้อมาจากร้านด้านหน้าอาคาร และณรงค์ก็เกือบจะยิ้มเมื่อเดาได้ว่ากาแฟแก้วนั้นคงเป็นคาปูชิโนแบบไขมันต่ำและไม่เติมน้ำเชื่อมอย่างไม่ต้องสงสัย ในเมื่ออีกฝ่ายสั่งแบบนี้ทุกครั้งไม่ว่าจะดื่มกาแฟร้านไหนก็ตาม

บริเวณทางเดินหน้าลิฟต์ไม่มีใครเดินผ่านไปมาเลย อาจเพราะว่าเกินเวลาพักเที่ยงมานานแล้วก็เป็นได้ ทว่าระหว่างชายหนุ่มทั้งสองก็ไม่มีคำพูดทักทายใดหลุดออกจากปากเลยสักคำ

ท่าทีของผู้บริหารหนุ่มที่วางเฉยได้ราวทั้งคู่ไม่เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งใดมาก่อนทำให้ณรงค์รู้สึกถึงความโกรธที่ผุดขึ้นมาเช่นเดียวกับความน้อยใจ

คุณอยากให้พวกเราจบกันแบบนี้จริงๆ หรือ...

พอประตูลิฟต์เปิดออก ณรงค์ก็รอจนไรอันเดินเข้าไปก่อนจึงค่อยเดินตามหลัง แต่เขาเลือกยืนลึกเข้าไปด้านในขณะที่อีกฝ่ายยืนใกล้ประตู ความเงียบภายในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ทำให้ณรงค์มองแผ่นหลังของไรอันไปพร้อมกับความรู้สึกราวกับมีอะไรบีบในช่องอกจนเจ็บ

ลิฟต์ยิ่งเคลื่อนสูงขึ้น ความร้อนรนของณรงค์ก็ค่อยๆ ขยายตัวมากขึ้น ชายหนุ่มยังจดจำรายละเอียดในคืนสุดท้ายที่เขามีโอกาสใกล้ชิดกับไรอันได้อย่างแม่นยำ ทั้งอุณหภูมิและความเนียนลื่นของผิวยามที่เขาเช็ดตัวให้ ทั้งกลิ่นเหงื่ออ่อนๆ ปนกับโคโลญจน์ที่เจ้าตัวชอบใช้ และแล้วโดยที่ไม่รู้ตัว ณรงค์ก็ขยับเข้าใกล้คนที่ยืนตรงหน้ามากขึ้นทุกที มากจนเขาจะไม่แปลกใจเลยหากไรอันสัมผัสได้ถึงลมหายใจของเขาบนต้นคอด้านหลัง

“Don’t.”

เสียงนั้นเบาแต่มั่นคง และนั่นก็ราวกับระฆังลั่นสัญญาณให้ณรงค์ชะงักการเคลื่อนไหว เขาไม่รู้ตัวเลยว่ายกแขนทั้งสองขึ้นจับไหล่กว้างของอีกฝ่ายตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ก็ทำได้เพียงค่อยๆ ลดมือทั้งสองลงพร้อมๆ กับที่ลิฟต์หยุดเมื่อถึงชั้นที่กดไว้

“ขอโทษ”

ณรงค์เอ่ยเสียงเบา และทันทีที่ประตูเปิดออก ไรอันก็ก้าวออกจากลิฟต์โดยไม่ชายตามามองด้านหลังอีก ส่วนเขาได้แต่กำหมัดแน่นและแหงนหน้าสูดหายใจลึกเพื่อรวบรวมสติก่อนจะก้าวตามออกไป ร่างสูงใหญ่เดินตรงไปที่โต๊ะโดยพยายามไม่เหลียวไปทางห้องทำงานของหนุ่มลูกครึ่ง หัวใจของเขายังคงรัวเร็วเหมือนกลองเพราะความตื่นเต้นจากการที่ได้ใกล้ชิดอีกฝ่ายเมื่อครู่นี้ และณรงค์ก็รู้สึกว่ากำลังใกล้จะเป็นบ้าเนื่องจากต้องคอยควบคุมตัวเองยามอยู่ใกล้ไรอันเข้าไปทุกที

ชายหนุ่มนั่งลงบนเก้าอี้แล้วสูดหายใจเข้าออกยาวๆ เพื่อระบายความแน่นหน้าอก จากนั้นก็พยายามรวบรวมสติเพื่อทำงานที่ยังคงคั่งค้าง เขาเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อเช็คอีเมล์และคีย์ตารางงานล่วงหน้าสำหรับสัปดาห์ถัดไปโดยพยายามชวนอิสรากับยุพดีคุยไปด้วย โชคดีว่าทั้งสองงานไม่ยุ่งจึงคุยเล่นกับเขาได้โดยไม่มีใครบ่น

ขณะที่กำลังแซวรุ่นน้องสาวเรื่องชุดว่ายน้ำที่เจ้าตัวบ่นว่ากลัวจะใส่แล้วอ้วน เสียงโทรศัพท์มือถือที่ณรงค์วางไว้บนโต๊ะก็ดังขึ้น เขาดูชื่อคนโทรเข้าแล้วก็ลุกไปคุยตรงมุมสงบบริเวณทางเดินหน้าห้องครัว

“ว่าไงตี้? เลิกเรียนแล้วเหรอ?”

ณรงค์ถามเพราะจำได้ว่าอีกฝ่ายเลิกเรียนเร็วในวันพฤหัสบดี ธีระจึงตอบกลับด้วยเสียงสดใสที่ติดแหบนิดๆ อันเป็นเอกลักษณ์

“เลิกแล้ว แต่ตี้กะว่าคืนนี้จะเข้าไปกินข้าวเย็นแล้วก็ค้างที่ห้องพี่รงค์ เลยโทรมาถามว่าเย็นนี้พี่รงค์เลิกงานกี่โมง”

ณรงค์ยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา “วันนี้เหรอ? ไม่ถึงหกโมงก็คงออกได้แล้วล่ะ แต่พรุ่งนี้พี่ไปส่งตี้ที่มหา’ลัยไม่ได้นะเพราะต้องไปสนามบินแต่เช้า”

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวตี้นั่งแท็กซี่ไปเองก็ได้ ตี้อยากกินข้าวกับพี่รงค์ก่อนไปภูเก็ตนี่นา”

เด็กหนุ่มทำเสียงงอนๆ ช่วงท้ายประโยค ณรงค์จึงหัวเราะเพราะนึกหน้าอีกฝ่ายออก “ถ้างั้นเดี๋ยวไปหาอะไรกินกันแถวๆ คอนโดพี่ก็แล้วกัน พอตี้ใกล้ถึงห้องแล้วโทรมาก็ได้ พี่จะได้กะเวลาออกจากที่นี่ถูก...”

รอยยิ้มของณรงค์สะดุดเมื่อเหลือบเห็นคนที่กำลังเดินมาทางห้องครัว ดูเหมือนไรอันคงตั้งใจมาเติมน้ำดื่มเพราะถือกระติกน้ำประจำตัวมาด้วย อีกฝ่ายไม่ได้ชะลอฝีเท้าลงและเพียงเลื่อนบานประตูครัวที่อยู่ข้างๆ เขาออกเท่านั้น

“...อืม...แล้วไว้เจอกันเย็นนี้”

ณรงค์วางสายพลางมองผ่านช่องว่างของประตูที่ปิดไม่สนิทเข้าไปเห็นหนุ่มลูกครึ่งกำลังยืนรองน้ำจากคูลเลอร์ เขาจึงหันหน้าหนีและรีบเดินเร็วๆ กลับไปที่โต๊ะของตัวเอง

ไม่มีประโยชน์ที่จะหาเรื่องให้ตัวเองทรมานอีก...ในเมื่ออีกฝ่ายยังไม่อยากมองหน้าเขาเลยด้วยซ้ำ...

ชายหนุ่มคิดในใจอย่างขมขื่นโดยไม่หันกลับไป แต่หากเมื่อครู่เขายังยืนที่เดิมนานอีกสักนิด ณรงค์อาจจะเอะใจกับเสียงน้ำที่ไหลลงแก้วจนล้นไม่หยุด และนัยน์ตาของหนุ่มลูกครึ่งที่ยืนมองนิ้วตัวเองซึ่งออกแรงกดอยู่บนปุ่มของคูลเลอร์จนขาวซีดด้วยแววตาว่างเปล่า

พอใกล้จะถึงเวลาเลิกงาน หลายคนในบริษัทก็เริ่มจับกลุ่มคุยกันเรื่องทริปวันรุ่งขึ้นเพราะเคลียร์งานกันไปได้มากแล้ว ส่วนณรงค์ก็เก็บของเตรียมจะกลับหลังจากธีระโทรมาบอกว่าอีกราวครึ่งชั่วโมงจะถึงคอนโด ยุพดีเหลือบเห็นเขาปิดคอมพิวเตอร์จึงถามพร้อมกับยิ้มเจ้าเล่ห์

“จะไปดินเนอร์กับสุดที่รักเหรอคะพี่รงค์”

คนถูกถามเลิกคิ้ว “อะไรของเธอยายผึ้ง?”

“แหมมมมมม ทีกับน้องนุ่งล่ะทำเสียงห้วนเชียว ทีตะกี้ตอนคุยโทรศัพท์ยังทำเสียงหวาน ‘เดี๋ยวพี่รีบออกไป’ อยู่เลย จริงๆ พวกเราก็ทำงานด้วยกันมาตั้งนานแล้วน้า กะอีแค่มีแฟนเด็กเนี่ยพี่รงค์ไม่ต้องปิดพวกผึ้งก็ได้”

คำว่า ‘พวก’ ทำให้ณรงค์ปรายตามองอิสราซึ่งนั่งอยู่ข้างตัวเอง หนุ่มรุ่นน้องจึงยิ้มยิงฟัน

“เมื่อวันเสาร์ผมกับผึ้งไปเดินดูของด้วยกันที่จตุจักร เลยเห็นพี่รงค์เดินจูงมือกับใครอยู่ก็ไม่รู้แหละ แต่ที่แน่ๆ ผึ้งมันกรี๊ดกร๊าดใหญ่เลย พวกผมเกือบจะเข้าไปทักแล้วแต่เห็นดูท่าทางรีบร้อนกันเลยไม่อยากกวน”

ณรงค์ถึงบางอ้อทันที และค่อยเข้าใจว่าทำไมตอนที่เขาคุยโทรศัพท์เมื่อกี้ถึงเห็นรุ่นน้องสาวที่นั่งเยื้องกันทำนัยน์ตากรุ้มกริ่มนัก

“หน้าตายังเด็กอยู่เลยพี่รงค์ เรียนอยู่หรือทำงานแล้วอะนั่น?”

ยุพดีถามอย่างใคร่รู้ ณรงค์จึงได้แต่ยิ้มจืดๆ เพราะตอนที่เขาคบกับไรอันกลับไม่เคยมีใครเห็นตอนพวกเขาไปเดินเที่ยวในวันหยุดด้วยกันสักคน

“ยังเรียนอยู่ แต่ก็ปีสามแล้วล่ะ”

ยุพดีทำตาโตแล้วเอามือปิดปากราวกับอยากกรี๊ดเสียเต็มประดา ณรงค์จึงยื่นมือไปเคาะปากกาบนศีรษะเบาๆ จนเจ้าตัวแกล้งร้องอูย

“เก็บท่าทีหน่อยแม่คุณ แค่พี่มีแฟนเด็กมันไม่ได้ประหลาดมหัศจรรย์ขนาดนั้นหรอกน่ะ”

“อุ้ย! ทำไมจะไม่แปลก ก็ตั้งแต่ผึ้งกับอ๋องทำงานมาไม่เห็นเคยได้ยินพี่รงค์พูดถึงสเป็คคนที่ชอบให้ฟังสักที จู่ๆ พี่ชายมีแฟนก็ต้องอยากรู้จักสิ”

รุ่นน้องสาวออกตัว ส่วนอิสราเพียงแต่ยิ้มยิงฟันโดยไม่ปฏิเสธ ณรงค์มองหน้าทั้งสองคนแล้วก็ยิ้มพลางส่ายหน้า

“เอาไว้กลับจากภูเก็ตจะนัดให้ออกมากินข้าวด้วยก็แล้วกัน”

ณรงค์บอกก่อนจะขอตัวกลับ วูบหนึ่งก็ไม่แน่ใจนักว่าทำถูกหรือเปล่าที่ไปสัญญาเช่นนั้น เพราะดูเหมือนยิ่งมีคนรู้ว่าเขาคบกับธีระมากขึ้นแค่ไหน เขาก็ยิ่งผูกมัดตัวเองกับเด็กหนุ่มจนสลัดไม่หลุดมากตามไปด้วย

แต่ว่า...เขาก็ไม่มีโอกาสแนะนำไรอันในสถานะคนพิเศษให้คนอื่นได้รู้อีกต่อไปแล้วนี่...

ชายหนุ่มคิดด้วยหัวใจที่เริ่มจะด้านชา ความจริงเขาควรจะทำใจเสียทีกับความเมินเฉยที่ไรอันมอบให้ และยอมรับปัจจุบันที่มีร่วมกับธีระแม้อีกฝ่ายจะยังวุฒิภาวะน้อยเสียจนณรงค์กังวล เกรงว่าต่อไปเขาเองที่จะเป็นคนทำให้เด็กหนุ่มต้องเจ็บจากการที่เขาไม่ยอมลืมคนในหัวใจคนก่อนเสียที

พอออกจากออฟฟิศ ณรงค์ก็ขับรถขึ้นทางด่วนเพื่อจะได้กลับถึงคอนโดเร็วขึ้น พอรับธีระที่นั่งรอในล็อบบี้เรียบร้อยก็พาไปทานมื้อเย็นที่สวนอาหารซึ่งอยู่เลยคอนโดเขาไปไม่ไกล ซึ่งนี่ก็เป็นหนึ่งในร้านที่เขาเคยวางแผนไว้ว่าจะพาหนุ่มลูกครึ่งมาทานแต่ไม่ได้มาสักที

ลูกค้าภายในร้านวันนี้ค่อนข้างแน่นแต่ก็ยังพอจะมีโต๊ะว่าง ณรงค์กับธีระจึงไม่ต้องรอคิวแต่ก็ต้องรออาหารนานพอสมควร ชายหนุ่มพอใจที่อีกฝ่ายดูจะเพลิดเพลินกับบรรยากาศและวงดนตรีของทางร้านมากทีเดียว หลังจากบริกรนำอาหารมาเสิร์ฟก็ต่างคนต่างทานกันด้วยความหิว แต่ยังไม่ทันจะได้สั่งของหวาน โทรศัพท์ของณรงค์ก็ดังขึ้น และคนที่โทรมาก็คือแก้วกานต์ซึ่งเป็นเลขาของทีม

“ว่าไงกานต์?”

ณรงค์ถามพลางยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม คู่สนทนาได้ยินเสียงดนตรีในร้านอาหารจึงถามอย่างเกรงใจ

“พี่รงค์กินข้าวอยู่เหรอ กานต์ขอโทษนะ แต่มีเรื่องจะรบกวนน่ะค่ะ”

ณรงค์เลิกคิ้ว ส่วนธีระที่นั่งฝั่งตรงข้ามก็มองเขาด้วยนัยน์ตามีคำถามเช่นกัน “อื้อ มีอะไรเหรอ?”

“คือกานต์ลืมแนบไฟล์ภาพบางตัวให้ที่โรงแรมค่ะ ผู้จัดการก็เลยโทรมาขอให้ส่งไฟล์ให้ใหม่เพราะกลัวทีมงานที่นั่นจะเตรียมสถานที่ไม่ทัน ตอนแรกกานต์ก็ว่าจะกลับเข้าไปส่งไฟล์ที่บริษัทเอง แต่ทีนี้เจ้าตัวเล็กเกิดไม่สบายต้องรีบพาไปหาหมอ กานต์ก็เลยคิดว่าคงจะไม่ไปภูเก็ตพรุ่งนี้แล้วด้วย เป็นห่วงลูก”

“อ้าว แล้วน้องเดย์เป็นอะไรมากมั้ย?”

ณรงค์ถามอย่างเป็นห่วง เพราะแก้วกานต์ทำงานกับเขามานาน ตอนหญิงสาวคลอดลูกเขาก็ยังถือกระเช้าไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลด้วย

“ก็ไข้ขึ้นสูงแล้วผื่นขึ้นเต็มตัวเลยค่ะ กานต์ก็ไม่รู้ว่าแพ้อะไรเหมือนกัน นี่พ่อเขากำลังขับรถพาไปโรงพยาบาลอยู่”

“เข้าใจแล้ว งั้นเดี๋ยวพี่เข้าออฟฟิศไปส่งอีเมล์ให้ ถ้าหากพรุ่งนี้กานต์ไปภูเก็ตไม่ได้จริงๆ ก็โทรบอกพี่วิตรด้วยแล้วกัน แต่กรณีนี้พี่เขาคงไม่ว่าหรอก”

“ขอบคุณมากนะคะพี่รงค์”

ณรงค์วางสายแล้วก็รวบช้อนส้อมไว้กลางจาน ธีระที่ได้ยินบทสนทนาจึงถามขึ้น “พี่รงค์ต้องกลับไปออฟฟิศเหรอ?”

“อืม ต้องไปส่งอีเมล์ให้โรงแรมที่ภูเก็ตน่ะ พอดีน้องที่รับผิดชอบเขาต้องพาลูกไปโรงพยาบาลเลยเข้าไปส่งเองไม่ได้ เดี๋ยวกินข้าวเสร็จพี่จะไปส่งตี้ที่ห้องก่อนแล้วค่อยเลยไปออฟฟิศ”

“ตี้ไปด้วยไม่ได้เหรอ?” เด็กหนุ่มถามพลางทำปากยื่น ณรงค์จึงยกมือขึ้นยีผมอีกฝ่ายเบาๆ

“พี่แค่ไปส่งอีเมล์แป๊บเดียวน่า ตี้รอที่ห้องแล้วช่วยจัดกระเป๋าไปภูเก็ตให้พี่ก็แล้วกัน จะไปพรุ่งนี้อยู่แล้วยังไม่ได้เตรียมอะไรเลย”

เมื่อได้รับมอบหมายหน้าที่สำคัญให้ สีหน้าของเด็กหนุ่มที่ดูหงอยๆ จึงแจ่มใสขึ้นบ้าง หลังจากสั่งของหวานมาทานจนเสร็จและจ่ายเงินแล้ว ณรงค์ก็ขับรถไปส่งธีระที่คอนโดก่อนจะวกกลับเข้าออฟฟิศซึ่งอยู่กลางใจเมืองอีกครั้ง เขาชะล่าใจไปหน่อยที่ไม่ได้ส่งไฟล์เข้าอีเมล์ส่วนตัวไว้ด้วยตั้งแต่แรก ไม่เช่นนั้นก็คงฟอร์เวิร์ดออกจากมือถือได้เลยโดยไม่ต้องเปลืองเชื้อเพลิงรถ

กว่าณรงค์จะไปถึงอาคารสำนักงานก็สามทุ่มแล้ว เขาเลือกจอดรถตรงที่ว่างด้านหน้าเพราะตั้งใจจะขึ้นไปทำธุระแค่แป๊บเดียว ชายหนุ่มเลิกคิ้วเมื่อมองขึ้นไปยังชั้นออฟฟิศและเห็นว่ามีแสงสว่างลางๆ ลอดออกมาจากมุมหนึ่งทั้งที่ส่วนอื่นมืดสลัว ซึ่งหมายความว่ายังมีคนนั่งทำงานอยู่ทั้งที่ดึกป่านนี้

พนักงานรักษาความปลอดภัยที่อยู่ชั้นล่างทักทายณรงค์อย่างคุ้นเคยเมื่อเห็นเขากลับเข้ามาในตึก พอณรงค์ขึ้นลิฟต์มาถึงชั้นออฟฟิศแล้วก็ใช้บัตรพนักงานแตะที่เครื่องแสกนเพื่อเปิดประตู ร่างสูงใหญ่ชะงักฝีเท้าเมื่อพบว่าแสงที่ตนเห็นว่าลอดจากหน้าต่างเมื่อครู่มาจากทางห้องของไรอันซึ่งอยู่ด้านใน แต่ดูจากความสว่างแล้วคงเป็นแค่โคมไฟมากกว่าจะเป็นไฟดวงใหญ่บนเพดาน

หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคปลาย 21/11/11 P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 21-11-2011 13:00:55
ยังไม่กลับอีกรึ...

ณรงค์พยายามระงับความสงสัยและเดินไปที่โต๊ะเพื่อทำภารกิจให้เสร็จก่อน เขาเปิดคอมพิวเตอร์ของแก้วกานต์และโทรถามพาสเวิร์ดรวมทั้งไฟล์ที่จำเป็นต้องส่งเพื่อให้แน่ใจ จากนั้นก็โทรเช็คกับทางโรงแรมด้วยตัวเองว่าปลายทางได้รับไฟล์ครบถ้วน เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงปิดคอมพิวเตอร์และเลื่อนเก้าอี้เข้าใต้โต๊ะให้ตามเดิม

ความมืดสลัวอันเงียบงันปกคลุมไปทั่วชั้นสำนักงาน ณรงค์ไม่ได้เปิดไฟตอนที่เดินเข้ามาเพราะแสงจากอาคารข้างๆ ยังพอส่องเข้ามาให้เห็นเค้าโครงว่าโต๊ะใครอยู่ตรงไหน และเมื่อครู่ก็อาศัยแต่แสงจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ในการมองแป้นคีย์บอร์ดเท่านั้น ชายหนุ่มยืนนิ่งอยู่กับที่ครู่หนึ่งเพื่อจับว่ามีเสียงการเคลื่อนไหวใดๆ หรือไม่ แล้วก็ให้นึกขึ้นได้ว่าตั้งแต่เดินเข้าบริษัทมาก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรจากห้องของผู้บริหารหนุ่มลูกครึ่งเลย ทั้งที่หากเจ้าตัวอยู่ในนั้นก็น่าจะได้ยินเสียงเขาเปิดประตูและเสียงตอนที่คุยโทรศัพท์จนเดินออกมาดูแท้ๆ และท้ายที่สุดณรงค์ก็ถูกความอยากรู้อยากเห็นดึงให้เดินไปทางห้องนั้นเพื่อให้หายสงสัย

แค่อยากรู้ว่าลืมปิดไฟหรือเปล่าเท่านั้นแหละน่า...

ณรงค์บอกตัวเอง แต่แล้วภาพที่รอเขาอยู่เมื่อมองผ่านประตูกระจกเข้าไปก็คือเจ้าของห้องที่กำลังนั่งฟุบหน้าอยู่บนโต๊ะ แขนทั้งสองข้างประสานกันโดยมีศีรษะที่ปกคลุมด้วยผมหยักศกหนุนอยู่และตะแคงหน้าเล็กน้อย ไฟจากหน้าจอคอมพิวเตอร์กับโคมไฟบนโต๊ะทาบลงบนผมจนเหลือบเป็นเฉดอ่อนกว่าสีผมจริง

ณรงค์สูดหายใจเข้าลึกกับภาพตรงหน้า ตั้งแต่ห่างเหินกันไปเมื่อหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เขาก็ได้เจอไรอันแค่ตอนกลางวันเท่านั้น แถมบางครั้งยังแค่ไม่กี่นาทีเพราะอีกฝ่ายไม่ค่อยอยู่ที่บริษัท การได้เห็นหนุ่มลูกครึ่งในช่วงเวลาที่ไร้การป้องกันตัวเช่นนี้จึงปลุกความโหยหาถึงช่วงเวลาที่เคยใกล้ชิดกันอย่างห้ามไม่ได้

ก่อนจะทันได้หยุดยั้งตัวเองเนื่องจากความไม่เหมาะสม มือใหญ่ก็ผลักประตูกระจกและก้าวเข้าไปด้านในอย่างเงียบเชียบ ไรอันสะดุ้งนิดหนึ่งเมื่อได้ยินเสียงคลิกของประตูที่ปิดลง แต่แล้วก็เพียงระบายลมหายใจยาวและไม่ได้แสดงท่าทางว่าจะตื่น

ณรงค์เดินเข้าไปใกล้มากขึ้นพอที่จะเห็นใบหน้าซึ่งโดนท่อนแขนบดบังเสี้ยวหนึ่งไว้ เขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะแสงเงาที่สลัวภายในห้องหรือว่าคิดไปเอง แต่แก้มของไรอันราวกับจะซูบลงนิดหน่อย ส่วนเสื้อเชิ้ตตัวเก่งสีครีมก็ดูหลวมกว่าที่เคยบนช่วงบ่ากว้าง

แววตาของร่างสูงใหญ่อัดแน่นด้วยความรู้สึกที่พลุ่งพล่าน ความเป็นห่วงในสุขภาพของอีกฝ่ายล้นเอ่อจนเขาอยากจะปลุกให้ไรอันกลับไปนอนพักผ่อนเพราะวันรุ่งขึ้นยังต้องไปสนามบินแต่เช้า แต่ก็รู้ว่าหากเจ้าตัวตื่นมาเห็นเขาอาจจะโกรธก็เป็นได้ จึงเพียงยื่นมือออกไปสางผมสีน้ำตาลอ่อนหยักศกที่เริ่มยาวขึ้นจากเดือนที่แล้ว จากนั้นก็ย่อตัวลงและแนบริมฝีปากบนขมับอย่างแผ่วเบา

ได้แค่นี้ก็อาจจะดีมากแล้ว...

“หืม...เจมส์?”

 ณรงค์กลั้นลมหายใจเมื่อคนตรงหน้าค่อยๆ ปรือตาขึ้น นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนยามครึ่งหลับครึ่งตื่นดูไร้เดียงสาราวกับเด็กน้อย ไรอันกะพริบตาช้าๆ พร้อมกับสติสัมปชัญญะที่ค่อยๆ ตื่นตัว กระทั่งเมื่อรับรู้ว่าคนที่ก้มตัวอยู่ข้างๆ คือณรงค์ ผู้บริหารหนุ่มลูกครึ่งก็ดีดตัวขึ้นนั่งตรงและดันเก้าอี้ออกห่างทันที

ณรงค์ยืดตัวขึ้นยืนตรงเช่นกัน ริมฝีปากของชายหนุ่มเหยียดยิ้มขณะที่นัยน์ตาอ่อนแสงด้วยความเจ็บช้ำ ทั้งที่เขาเคยวางใจว่าเจมส์กับไรอันคงเป็นเพียงลูกพี่ลูกน้องที่สนิทกัน แต่การที่อีกฝ่ายหลุดชื่อญาติผู้พี่ของตัวเองออกมาเมื่อครู่ก็ตอกย้ำให้ความเชื่อของณรงค์ว่าทั้งสองเป็นมากกว่านั้นหนักแน่นขึ้น

“ขอโทษนะที่ผมไม่ใช่เจมส์ ถ้าหากรู้ว่าคุณรอเขาอยู่ผมคงไม่เข้ามาในนี้”

อะไรบางอย่างในน้ำเสียงของณรงค์ทำให้ไรอันที่กำลังนวดขมับอยู่หันขวับมา และเมื่อเห็นแววตาของเขา เรียวคิ้วเหนือดวงตาสีน้ำตาลอ่อนก็ขมวดมุ่นยิ่งกว่าเดิม

“What was that supposed to mean?”

ร่างสูงใหญ่เท้ามือหนึ่งลงกับโต๊ะของไรอัน ขณะที่มืออีกข้างเท้าลงบนพนักเก้าอี้และโน้มตัวลงหา ตอนนี้ร่างกายของณรงค์จึงคร่อมหนุ่มลูกครึ่งเอาไว้ทั้งตัว

“คุณก็รู้ว่าผมหมายความว่ายังไง ทำไมไม่บอกตั้งแต่แรกล่ะว่าจริงๆ แล้วคุณกับเจมส์ไม่ได้เป็นแค่ญาติกัน ถ้าแบบนั้นยังจะฟังขึ้นกว่าที่คุณบอกว่าผมน่ารำคาญตั้งเยอะเลย”

น้ำเสียงของชายหนุ่มชุ่มโชกด้วยความโกรธและหึงหวง ความเจ็บใจที่รู้สึกเหมือนโดนสวมเขาทำให้ณรงค์ควบคุมอารมณ์ได้ยากขึ้นทุกที และอาการนั้นก็ลามต่อไปยังไรอันราวกับมีใครมาราดน้ำมันบนตัวทั้งคู่แล้วจุดไฟ

“You don’t know a bloody thing! James is my cousin and there’s no way in hell I’m gonna fuck or date him!!”

“ถ้างั้นกับผมก็ได้สิ”

ร่างสูงใหญ่เอ่ยเสียงต่ำพลางกวาดกองเอกสารลงจากโต๊ะจนเกิดเสียงดังระนาว ไรอันส่งเสียงอย่างตกใจเมื่อจู่ๆ ก็ถูกจับตัวขึ้นจากเก้าอี้แล้วผลักให้หงายหลังลงบนโต๊ะอย่างแรง หนุ่มลูกครึ่งเบิกตากว้างเมื่อณรงค์ก้มลงจูบปิดเสียงร้องและแทรกร่างเข้าตรงหว่างขาจนส่วนอ่อนไหวของทั้งคู่เบียดกันผ่านเนื้อผ้า

ณรงค์หน้ามืดตามัวจนไม่สนใจว่าตัวเองกำลังทำอะไร เขาบังคับจูบไรอันอย่างรุนแรงโดยไม่สนใจอาการดิ้นพล่านขัดขืนของคนในอ้อมแขนแม้แต่น้อย เมื่อโดนมือหนึ่งของไรอันตะกุยข่วนหน้าจนเป็นรอยเล็บ ความโมโหก็ทำให้ณรงค์รวบจับมือทั้งสองข้างของอีกฝ่ายไว้สูงเหนือศีรษะแล้วก้มลงจูบต่อ ส่วนมืออีกข้างก็กระชากเสื้อเชิ้ตที่ไรอันใส่จนกระดุมสามเม็ดแรกกระเด็นออกไปคนละทิศละทาง

“หยุดบ้าเดี๋ยวนี้นะ!!!”

ไรอันอาศัยจังหวะสั้นๆ ที่ณรงค์ถอนริมฝีปากออกตะคอกเสียงดังและยกเท้าขึ้นถีบอย่างแรงจนณรงค์หลังกระแทกกับตู้เอกสาร โชคดีที่ตู้นั้นเป็นแบบผิวเรียบและมีฝาเลื่อนปิด แต่กระนั้นข้าวของที่วางอยู่ด้านบนก็ร่วงหล่นลงใส่จนณรงค์เสียหลักล้มลงไปนั่งกับพื้น

ร่างสูงใหญ่ส่งเสียงลอดไรฟันเมื่อพบว่าข้อมือขวาเคล็ดจากการกระแทกเมื่อครู่ ฝ่ายไรอันก็รีบยันตัวขึ้นจากโต๊ะด้วยท่าทางยังไม่หายตกใจ เสียงหอบหายใจแรงดังจากทั้งสองจนสะท้อนก้องในห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าแคบๆ ครู่ใหญ่เจ้าของห้องก็ตั้งสติได้และเอ่ยขึ้นก่อน

“ผมจะถือว่าเรื่องเมื่อกี้ไม่เคยเกิดขึ้น คุณเองก็เลิกทำตัวบ้าบอแบบนี้ได้แล้ว คิดถึงใจแฟนคุณบ้างว่าเขาจะคิดยังไงถ้ารู้ว่าคุณทำตัวแบบนี้!” ไรอันพูดพลางเสยผมที่ปรกหน้าผากขณะที่มืออีกข้างกุมปกคอเสื้อเข้าหากัน ท่าทางดูเหมือนยังไม่อยากเชื่อว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อครู่ ฝ่ายณรงค์ได้ยินก็แค่นหัวเราะ

“แฟน?”

ชายหนุ่มทวนคำพลางค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้น “คุณเคยถามผมหรือเปล่าว่าผมอยากเลิกกับคุณไหม ถ้าไม่ใช่เพราะคุณบอกว่าผมน่ารำคาญก่อน ผมก็คงไม่ต้องไปหาคนอื่นมาคบให้หายเหงาหรอก”

นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนที่กำลังมองณรงค์หรี่ลงทันที “I don’t need to talk about this. We’re through and that’s the end of the story.”

เสียงโทรศัพท์มือถือของไรอันดังขึ้น พอหนุ่มลูกครึ่งเห็นว่าใครโทรมาก็เหลือบมองณรงค์ก่อนจะกดรับ

“James? Yes, I’m at the office…alright, I’ll go down now.”

บทสนทนานั้นทำให้ณรงค์พ่นหัวเราะทางจมูกจนไรอันทำตาเขียวใส่ แต่แล้วหนุ่มลูกครึ่งก็เอะใจเมื่อเห็นชายหนุ่มกุมข้อมือข้างที่เคล็ดพลางส่งเสียงลอดไรฟัน ประกายในดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจึงลดความกร้าวลงขณะที่กดวางสาย

“...You alright?”

น้ำเสียงนั้นมีกังวานที่เกือบจะใกล้เคียงกับความเป็นห่วง แต่ณรงค์ก็เตือนตัวเองว่าอย่าเผลอได้ใจและเพียงแต่ส่ายหน้า

“ไกลหัวใจ”

ณรงค์เดินผ่านไรอันออกจากบริษัทและกดลิฟต์ลงชั้นล่างโดยไม่รอ ตอนที่เขาเดินออกจากอาคารก็เห็นเจมส์นั่งอยู่ในรถสปอร์ตสีแดงซึ่งจอดอยู่ด้านหน้า แต่เขาก็ไม่ได้สนใจแม้อีกฝ่ายจะบีบแตรทักทายและเดินตรงไปยังรถของตัวเองก่อนจะขับออกมาโดยเร็วที่สุด

การจราจรบนทางด่วนในยามดึกค่อนข้างจะโล่ง ณรงค์จึงเหยียบคันเร่งด้วยความเร็วร้อยยี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงและกลับมาถึงคอนโดในเวลาเพียงไม่กี่นาที ตอนที่เขาขึ้นไปถึงห้องก็พบว่าธีระกำลังนั่งดูโทรทัศน์อยู่ในห้องนั่งเล่น

“กลับมาซักที ไหนบอกว่าไปแป๊บเดียวไง...พี่รงค์ หน้าโดนอะไรมา?”

ธีระเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นตื่นตกใจทันทีที่เห็นหน้าของณรงค์ถนัดตา ชายหนุ่มจึงเลิกคิ้วและหันไปมองกระจกเหนือชั้นวางรองเท้า และพบว่าบนแก้มด้านหนึ่งมีรอยข่วนสี่ขีดชัดเจนแถมมีเลือดซึมออกมานิดๆ ด้วย

“พี่ซุ่มซ่ามเองน่ะ ไม่เป็นอะไรมากหรอก เดี๋ยวพี่อาบน้ำก่อนนะ”

ณรงค์ตอบแล้วก็เลี้ยวเข้าห้องนอนเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าอาบน้ำ พอแผลบนหน้าโดนน้ำอุ่นที่วักขึ้นลูบ ชายหนุ่มก็แสบจนต้องกัดฟัน แถมข้อมือขวาที่เคล็ดยังทำให้ลำบากเวลาจะบิดก๊อกน้ำหรือหยิบเสื้อผ้ามาสวมด้วย

นี่คงเป็นบทลงโทษที่ริทำตัวเป็นผู้ร้ายหื่นกามสินะ...

ณรงค์คิดแบบขำไม่ออก หลังจากแปรงฟันเรียบร้อยและเดินออกมาจากห้องน้ำ ธีระที่นั่งรออยู่แล้วก็เข้ามาจูงมือเขาไปนั่งบนเตียง

“ขอดูแผลหน่อยนะพี่รงค์ ตี้จะได้ทายาให้”
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคปลาย 21/11/11 P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 21-11-2011 13:02:39
ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะลงไปซื้ออุปกรณ์ทำแผลจากร้านสะดวกซื้อมาระหว่างที่ณรงค์อาบน้ำ เด็กหนุ่มใช้สำลีชุบยาแล้วซับบนแผลให้อย่างเบามือ จากนั้นก็ตัดผ้าก๊อซมาพับแล้วใช้เทปปิดแผลปิดให้ พอรู้ว่าข้อมือเขาเคล็ดก็รีบกระวีกระวาดไปหาผ้าขนหนูผืนเล็กห่อน้ำแข็งแล้วเอามาประคบให้ด้วย ฝ่ายณรงค์เพียงแต่นั่งให้อีกฝ่ายดูแลนิ่งๆ โดยไม่พูดอะไรสักคำ ตอนนี้ใจเขาชาพอๆ กับแผลบนหน้าและข้อมือไปแล้ว

“ตี้จัดกระเป๋าให้พี่รงค์เสร็จแล้วนะ มีพวกเสื้อผ้าสำหรับเดินเที่ยวกับเล่นน้ำ แต่พี่รงค์จะเช็คอีกรอบก็ได้ว่าอยากเอาอะไรไปเพิ่มหรือเปล่า”

ธีระเอ่ยขึ้นในที่สุด ร่างผอมบางนั่งอยู่บนเตียงข้างๆ ณรงค์ขณะที่ประคบน้ำแข็งบนข้อมือให้ ณรงค์จึงตอบเนือยๆ อย่างไม่ใส่ใจ

“ไม่ต้องหรอก พี่เชื่อใจตี้”

เด็กหนุ่มเหลือบตาขึ้นยิ้มให้ก่อนจะเบนสายตาลงมองข้อมือของณรงค์อีกครั้ง ภายในห้องอวลไปด้วยความเงียบอยู่ครู่ใหญ่ แต่แล้วณรงค์ก็เอะใจเมื่อมีหยดน้ำเล็กๆ ตกลงบนข้อมือ

“ตี้..น้ำอะไร...”

เขายังถามไม่ทันขาดคำ ณรงค์ก็เสียงหายเมื่อพบว่าไหล่ของคนตรงหน้าสั่น ชายหนุ่มนั่งนิ่งเมื่อธีระเงยหน้าขึ้นมองเขาพร้อมกับน้ำตาที่อาบเต็มสองแก้ม

“พี่รงค์ ตี้รักพี่รงค์นะ นอกจากพี่รงค์แล้วตี้ไม่เคยรักใครมากขนาดนี้เลยนะ”

“ตี้...”

คำสารภาพเหล่านั้นแทงทะลุจิตใจราวกับมีคนปาลูกดอกนับสิบเข้ามาบนหน้าอก น้ำเสียงและใบหน้าของอีกฝ่ายทำให้ณรงค์เจ็บปวดไปด้วย ร่างผอมบางวางผ้าห่อน้ำแข็งลงก่อนจะโผเข้ามากอดคอเขาไว้แน่น

“พี่รงค์ไม่ต้องอธิบายก็ได้ว่าไปทำอะไรมาถึงได้แผลพวกนี้ แต่ขอให้พี่รงค์รู้ว่าตี้รักพี่รงค์ที่สุดก็พอแล้ว”

เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงสะอื้นอยู่บนบ่าของเขา ร่างที่สั่นเทิ้มในอ้อมแขนทำให้ณรงค์ได้แต่หลับตาแล้วกัดฟัน เขาเข้าใจดีว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้พูดแบบนั้น แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากกอดร่างผอมบางตอบและพร่ำพูดซ้ำๆ ด้วยความรู้สึกจากส่วนลึกในใจ

“ขอโทษนะตี้ ทุกอย่างเป็นเพราะพี่เอง พี่ขอโทษ”



++------++



คืนนั้นณรงค์ปลอบธีระที่ร้องไห้ทั้งคืนด้วยการนอนกอดไว้แนบอกกระทั่งเด็กหนุ่มเพลียจนหลับไปเอง เขามั่นใจว่าอีกฝ่ายคงเดาได้ว่าสาเหตุที่เขาเจ็บตัวเมื่อคืนเป็นเพราะใคร ถึงได้ไม่ถามอะไรทั้งสิ้นและเพียงพูดย้ำความรู้สึกที่มีให้เขาราวกับกลัวว่าจะไม่มีโอกาสได้บอกอีก

เช้าวันถัดมาณรงค์รีบตื่นมาอาบน้ำแต่งตัวตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เขาเข้าครัวทำอาหารเช้าให้ธีระตั้งแต่หกโมงครึ่งแล้วเอาพลาสติกแร๊ปปิดไว้เพราะต้องรีบเตรียมตัวไปสนามบิน พอจัดการทุกอย่างเสร็จและกำลังจะออกจากห้อง เด็กหนุ่มก็รู้สึกตัวตื่นและเดินออกมาส่งเขาที่หน้าประตู

“เที่ยวให้สนุกนะพี่รงค์”

ธีระยิ้มให้เขาผ่านนัยน์ตาที่บวมช้ำเพราะหลับไปทั้งที่ร้องไห้หนัก ณรงค์จึงยิ้มตอบและยีผมอีกฝ่ายเบาๆ

“ดูแลตัวเองดีๆ นะ”

“อื้อ ตี้รักพี่รงค์นะ”

ธีระเอ่ยกับเขาอีกครั้ง ทั้งสองมองสบตากันนิ่งนาน ก่อนที่ณรงค์จะก้มลงจูบอีกฝ่ายเพื่อบอกลา ส่วนเด็กหนุ่มเองก็คล้องแขนรอบคอเขาและจูบตอบอย่างกระตือรือร้นเช่นกัน ราวกับสังหรณ์ว่านี่อาจจะเป็นจูบสุดท้ายที่ณรงค์จะได้มอบให้ ครู่หนึ่งร่างสูงใหญ่จึงผละริมฝีปากออกและมองเข้าไปในแววตากลมโตของคนในอ้อมแขน

“พี่ก็รักตี้”

...น้องชายคนดีของพี่

ณรงค์สวมรองเท้าและเดินออกจากห้องโดยไม่หันหลังกลับไปอีก เขารู้ว่าเมื่อธีระได้เห็นโน้ตที่เขาเสียบไว้ใต้ถาดอาหารเช้า เด็กหนุ่มคงจะต้องเสียน้ำตาครั้งใหญ่อีกอย่างแน่นอน แต่ณรงค์ก็คิดว่านี่เป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้วสำหรับทั้งคู่ เมื่อไม่ว่าจะทำอย่างไรเขาก็ไม่อาจตอบสนองความรู้สึกของธีระได้ การปล่อยให้เด็กหนุ่มได้มีโอกาสพบกับคนอื่นย่อมดีกว่าการรอคอยเขาไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย

และเขาจะได้ทุ่มเทใจให้กับการตามทวงความรักที่เคยทำหลุดลอยไปเสียที…

ณรงค์ขับรถไปจอดในอาคารจอดรถของสนามบินก่อนจะเดินเข้าไปยังประตูที่ทีมงานนัดไว้ เนื่องจากทางบริษัทมีสมาชิกร่วมแปดสิบกว่าชีวิต ทำให้ต้องแบ่งพนักงานเป็นสองกลุ่มและให้ออกบินกันคนละเที่ยว สำหรับทีมของณรงค์นั้นได้บินตั้งแต่เที่ยวแรก ทำให้ต้องมาเช็คอินกันตั้งแต่เช้าตรู่เช่นนี้

ชายหนุ่มแวะซื้อปลอกผ้าพันข้อมือจากร้านขายยาก่อนจะขึ้นไปจุดนัดพบที่ชั้นบน เมื่อเห็นผ้าก๊อซบนแก้มและปลอกผ้าบนข้อมือของเขา เพื่อนร่วมงานต่างพากันไถ่ถามว่าเป็นอะไรด้วยความเป็นห่วง แต่ณรงค์ก็เพียงตอบว่าถูกแมวของยามที่คอนโดข่วนตอนจะให้อาหาร และดูเหมือนนั่นจะช่วยปิดกั้นคำถามอื่นๆ ที่จะตามมาได้เป็นอย่างดี

หลังจากเช็คอินแล้วณรงค์ก็เข้าไปหาร้านนั่งทานอาหารเช้ากับยุพดีและอิสรา จนกระทั่งได้เวลาบอร์ดดิ้งก็เดินไปขึ้นเครื่องด้วยกัน เครื่องบินลำนั้นเป็นแบบลำเล็กที่มีแถวที่นั่งสองแถว แถวละสามที่นั่งและมีทางเดินคั่นกลาง เมื่อเดินไปถึงแถวที่ระบุไว้บนหางตั๋วเครื่องบิน ณรงค์ก็ชะงักเมื่อเห็นผู้โดยสารที่นั่งอยู่คนละฟากกับเขา

“Hey, what’s up mate?”

เจมส์ซึ่งนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างประวิตรที่นั่งริมหน้าต่างกับไรอันที่นั่งริมทางเดินยกมือทักทายเขาพร้อมกับยิ้มให้ ประวิตรทำหน้าแปลกใจเล็กน้อยก่อนจะหันมาหาณรงค์

“รู้จักกันอยู่แล้วเหรอ? ทุกคน นี่เจมส์เป็นลูกพี่ลูกน้องของไรอันนะ พอดีช่วงนี้เขามาทำธุระที่เมืองไทยแล้วว่างก็เลยจะไปภูเก็ตด้วย”

“อ้อ...ครับ/ ค่ะ”

ยุพดีกับอิสราไหว้สวัสดีเจมส์ขณะที่ณรงค์พยักหน้าทักอย่างเบลอๆ ชายหนุ่มเบี่ยงตัวให้รุ่นน้องสาวที่กรี๊ดกร๊าดอยากนั่งติดหน้าต่างได้เข้าไปก่อน ตามด้วยอิสราซึ่งนั่งตรงกลาง และหลังจากเขาเก็บกระเป๋าไว้บนชั้นด้านบนแล้วก็นั่งลงกับที่บ้าง

เนื่องจากทั้งณรงค์และไรอันนั่งติดทางเดิน ระหว่างทั้งสองจึงมีเพียงช่องทางเดินแคบๆ กั้นกลาง เขามั่นใจว่าอีกฝ่ายต้องเห็นผ้าก๊อซบนแก้มแน่นอนเพราะเป็นด้านที่เขาหันให้ แต่หนุ่มลูกครึ่งก็ไม่ได้แสดงท่าทางว่าสนใจจะไถ่ถามว่าเขาเป็นอย่างไรบ้างสักนิด และครู่หนึ่งก็หยิบแว่นกันแดดที่เสียบไว้บนคอเสื้อขึ้นมาสวมแล้วหลับตาลง

“What? You’re gonna sleep?” เจมส์เลิกคิ้วถาม ไรอันจึงตัดบทด้วยน้ำเสียงติดรำคาญ

“Yes, I’m tired so shut the fuck up.”

ณรงค์ได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่ แต่ก็พยายามไม่หันไปมองและหยิบนิตยสารที่เสียบอยู่ตรงหน้ามาอ่านเรื่อยเปื่อย กระทั่งได้เวลาเครื่องเทคออฟ เขาจึงเก็บนิตยสารไว้ที่เดิมและหันไปมองภาพนอกหน้าต่างบ้าง แม้ว่าจะค่อนข้างลำบากเพราะยุพดีนั่งบังและเอาแต่ถ่ายรูปจากกล้องมือถือก็ตาม

หลังจากเครื่องขึ้นสู่อากาศและไต่ระดับความสูงจนเสถียรได้สักครู่ พนักงานบนเครื่องก็เริ่มเอาน้ำดื่มกับของว่างมาเสิร์ฟ ณรงค์เพียงดื่มกาแฟและยกแซนด์วิชให้อิสราเพราะไม่รู้สึกอยากอาหาร ฝ่ายไรอันเองก็ดูเหมือนจะหลับจริงๆ เพราะไม่แม้แต่จะสนใจกล่องของว่างตรงหน้าจนเจมส์หยิบไปแบ่งกับประวิตรแทน

เนื่องจากเป็นสายการบินในประเทศที่ระยะทางไม่ได้ไกล เพียงชั่วโมงกว่าๆ เครื่องก็ลงจอดสู่ที่หมาย หลังจากพวกณรงค์เดินออกมาจากสนามบินก็พบกับไกด์ท้องถิ่นที่มารอรับพร้อมกับรถบัสอยู่แล้ว

ตามกำหนดการของวันแรก พนักงานที่มาถึงทั้งสองกลุ่มจะได้เที่ยวแยกกันโดยมีไกด์ที่คอยดูแลกลุ่มละคนและรถบัสคนละคัน โดยจะเริ่มจากการไปไหว้พระที่วัดฉลอม จากนั้นค่อยพาไปทานอาหารกลางวันและเดินทางต่อไปไหว้พระใหญ่บนยอดเขา ปิดท้ายด้วยการรอชมพระอาทิตย์ตกดินที่แหลมพรหมเทพโดยมีพนักงานอีกกลุ่มตามมาสมทบ ตกเย็นจึงค่อยพาไปเช็คอินเข้าที่พักและทานมื้อค่ำแบบบุฟเฟต์

เมื่อขึ้นรถบัส ที่นั่งจะถูกแบ่งเป็นสองฝั่งเหมือนตอนอยู่บนเครื่องบิน แต่ฝั่งหนึ่งนั่งได้สามคน อีกฝั่งนั่งได้สอง ณรงค์ยังคงนั่งกับยุพดีและอิสราเหมือนเดิม แต่คราวนี้เขาเลือกนั่งริมหน้าต่างค่อนไปทางด้านหลังโดยมียุพดีนั่งกลางและอิสรานั่งริมทางเดิน ส่วนไรอันกับเจมส์นั่งด้วยกันตรงที่นั่งสำหรับสองคนซึ่งค่อนไปทางด้านหน้า

“นี่ๆ ดูคุณไรอันกับคุณเจมส์เขาสนิทกันจังเลยเนอะ? แถมหล่อกันทั้งคู่ด้วย”

ยุพดีเอ่ยขึ้นระหว่างนั่งฟังไกด์บรรยายความเป็นมาของภูเก็ตและสถานที่ต่างๆ เนื่องจากสนามบินกับวัดที่จะไปอยู่ห่างกันมาก พวกเขาจึงต้องนั่งในรถนานพอสมควรทีเดียว

“อะไรของเธอน่ะผึ้ง ต่อจากพี่รงค์กับแฟนก็จะมาเชียร์เจ้านายต่อหรือไง?”

อิสรากระเซ้า ยุพดีจึงหันไปถลึงตาใส่ “ไม่ใช่ย่ะตาบ้า ฉันก็แค่ปลื้มที่มาเที่ยวคราวนี้ได้เจอฝรั่งหล่อๆ นอกจากเจ้านายเราต่างหาก ฉันไม่ใช่พวกสนับสนุนไม้ป่าเดียวกันสักหน่อย อ้อ...แต่เว้นพี่รงค์ไว้คนนึง”

ณรงค์ฟังแล้วก็กลอกตา ด้วยเพราะรุ่นน้องทั้งสองต่างรู้ว่าเขาเป็นเกย์ตั้งแต่รู้จักกันแรกๆ ดังนั้นจึงไม่ได้แปลกใจนักตอนที่เห็นณรงค์เดินจูงมือกับธีระที่ตลาดเมื่อวันหยุดสัปดาห์ที่แล้ว

ว่าแต่เจ้านายสุดหล่อของผึ้งก็โดนพี่จูบไปตั้งไม่รู้กี่ทีแล้วเหมือนกันล่ะน่ะ...

ณรงค์ได้แต่คิดพลางเท้าคางมองไปนอกหน้าต่าง เขาไม่มีเหตุผลที่จะต้องโอ้อวดเรื่องนั้นให้คนอื่นฟัง ในเมื่อยิ่งพูดไปก็มีแต่จะสะท้อนใจเองเสียเปล่าๆ และความที่มัวแต่สนใจทิวทัศน์ข้างทางจนไม่ได้รับรู้ว่าไกด์บนรถกำลังนำสมาชิกเล่นเกมอะไร เขาจึงหันกลับมาอย่างงงๆ เมื่อจู่ๆ ก็มีกระป๋องโลหะมาหล่นอยู่บนตักพร้อมกับเสียงหัวเราะและปรบมือจากคนอื่นๆ เกรียวกราว

“คุณเป็นผู้โชคดีค่า!! เดี๋ยวแกะคำถามออกมาอ่านแล้วตอบให้เพื่อนๆ ได้ฟังกันชัดๆ ด้วยนะค้า!!!”

ชายหนุ่มมองไมโครโฟนไร้สายที่ถูกยื่นมาตรงหน้าโดยไกด์สาวร่างเล็กแต่เสียงแปดหลอดด้วยสีหน้าจับต้นชนปลายไม่ถูก ยุพดีที่นั่งข้างๆ จึงหันมากระซิบ

“เขาเล่นเกมส่งคำถามในกระป๋องกันอยู่ ถ้าเกิดเพลงหยุดแล้วกระป๋องอยู่ที่ใครต้องหยิบคำถามออกมาตอบ แล้วค่อยเขียนคำถามของตัวเองใส่ในกระป๋องต่อ”

ณรงค์ค่อยพยักหน้าอย่างเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร ถึงแม้จะรู้สึกว่าเกมแบบนี้เหมาะจะเอาไปเล่นกับพวกนักศึกษามากกว่าพนักงานบริษัทก็ตาม แต่เขาก็เปิดฝากระป๋องขนาดเขื่องกว่ากระป๋องนมข้นเล็กน้อยออกและหยิบคำถามข้างในออกมาอ่าน

“ตอนนี้แอบชอบใครอยู่หรือเปล่า? ใครเขียนคำถามนี้เนี่ย?”

ณรงค์อ่านคำถามออกไมค์ที่ไกด์สาวยื่นมาจ่อให้ถึงปากอย่างเอื้อเฟื้อ สมาชิกในรถบัสได้ยินก็พากันส่งเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนาน ขณะที่ตัวคนเขียนคำถามซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่การตลาดหันมายกมือรับพลางฉีกยิ้มสะใจ ณรงค์จึงยิ้มตอบแกนๆ แล้วชูกำปั้นขึ้นเหมือนจะยกนิ้วกลางให้

ถามอะไรได้แทงใจกันเหลือเกิน...

“ว่าไงคะ? ตอนนี้มีคนที่แอบชอบอยู่ไหมคะ?”

ไกด์สาวยิ้มแย้มและถามออกไมค์เสียงดังก่อนจะยื่นไมค์มาให้เขาอีกครั้ง ทั้งที่ณรงค์คิดว่าต่อให้เจ้าหล่อนไม่ใช้ไมค์ก็เสียงดังฟังชัดทั้งคันรถอยู่แล้ว แต่คำถามนี้ไม่ใช่คำถามที่ตอบยากเลยสักนิด

“ก็...มีครับ”

ณรงค์ตอบเพื่อที่คุณไกด์เสียงแปดหลอดจะได้เลิกจู้จี้เสียที แต่ไม่รู้อะไรเข้าสิงให้เจ้าหล่อนถามต่ออีก

“โอ๊ะโอ๋! มีคนที่แอบชอบอยู่แล้วด้วย ถ้างั้นชื่ออะไรบอกหน่อยได้ไหมคะ?”

คราวนี้เสียงร้องแซวดังก้องรถมากกว่าเดิม อาจเพราะทุกคนในบริษัทคุ้นเคยกับณรงค์ดีอยู่แล้วและรู้ว่าเขายังไม่มีแฟน ชายหนุ่มเลยชักรู้สึกเหมือนหางคิ้วเต้นตุบๆ ขึ้นมาตงิดๆ

“ขอไม่ตอบคำถามนี้ได้ไหมครับ?”

ณรงค์พยายามไม่ทำหน้านิ่วใส่ไกด์สาวที่ละลาบละล้วงไม่เข้าท่า แต่อีกฝ่ายตีความว่าเขาไม่อยากบอกเพราะอาย

“อู๊ยยย แต่คนอื่นๆ อยากรู้กันเต็มรถเลยนะคะ จริงไหมคะทุกคน?”

เพื่อนร่วมงานของณรงค์ต่างส่งเสียงตอบรับกันอย่างพร้อมเพรียง ชายหนุ่มจึงยกมือขึ้นนวดขมับเมื่อรู้ว่ากำลังโดนแกล้ง ตอนนี้สายตาทุกคู่ในรถต่างมองมาที่เขาเป็นจุดเดียว ไม่เว้นแม้แต่เจมส์ที่นั่งค่อนไปข้างหน้าหลายแถว แต่หนุ่มลูกครึ่งอีกคนที่นั่งข้างกันกลับไม่หันมามองเลยสักแวบ

ณรงค์เห็นท่าทางอย่างนั้นก็ตัดสินใจได้ทันที...จะผิดอะไรถ้าเขาจะบอกชื่อคนที่รักออกไป ในเมื่อไม่มีอะไรจะต้องเสียอีกแล้ว

“ผมขอบอกแค่ตัวย่อก็แล้วกัน ชื่อเขาขึ้นต้นด้วย ร.เรือ ถ้าเขียนเป็นภาษาอังกฤษก็ขึ้นด้วยตัวอาร์ครับ”

เสียงโห่ร้องและผิวปากแซวจากเพื่อนร่วมงานที่คึกคะนองตามมา ขณะที่บางคนก็แซวที่เขาไม่ยอมบอกชื่อออกมาให้ชัดเจน ฝ่ายเจมส์นั้นอมยิ้มและหันกลับไปกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างกับไรอัน ส่วนยุพดีก็หันมาหาเขาแล้วถามอย่างสงสัย

“แฟนพี่รงค์ชื่อขึ้นด้วย ร.เรือเหรอ? แล้วตกลงน้องเขาชื่ออะไรอะ?”

“ยังไม่ต้องรู้หรอกตอนนี้”

ณรงค์ตอบพลางเอนเบาะลง ยุพดีจึงทำแก้มป่องแล้วหันไปเล่นเกมส่งกระป๋องกับอิสราและคนอื่นๆ ในรถต่อ ชายหนุ่มจึงถือโอกาสนั้นจับจ้องคนที่นั่งหันหลังให้อยู่ด้านหน้าซึ่งมีเพียงกลุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนที่โผล่ขึ้นมาพ้นเบาะ

ต่อให้คนอื่นไม่รู้...แต่แค่คุณรู้ว่าผมหมายถึงคุณก็พอแล้ว...



++---TBC---++


A/N: อนึ่ง แม้ภาคนี้จะจั่วหัวว่าภาคปลายแต่ก็หาใช่ตอนจบไม่ เพราะเดี๋ยวยังจะมีภาคปิดท้ายตามมา (และถ้าในภาคปิดท้ายยังไม่จบ ก็คงได้อ่านภาคบทสรุปกันต่อ เนื่องจากคนเขียนยังไปไม่ถึงตรงนั้นเลยคอนเฟิร์มไม่ได้ 555+) ไม่รู้ทำร้ายจิตใจแม่ยกน้องตี้กันไปแค่ไหนนะคะ เพราะทั้งที่น้องเปิดตัวช้าแต่กลับมีคนเอ็นดูเยอะเลย กลายเป็นว่าไรอันโดนหมั่นไส้หนักซะงั้น แต่อย่างว่า...ณรงค์เป็นพวกรักแล้วเลิกยาก สุดท้ายพ่อเจ้าประคุณก็เลยยังอยากรีเทิร์นอยู่ดีนั่นแล เหนื่อยแทนเฮียจริงๆ วุ้ย   o22
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคปลาย 21/11/11 P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 21-11-2011 13:19:21
อึมครึม อึดอัด หน่วงในอก หายใจไม่สะดวก
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคปลาย 21/11/11 P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: badcow ที่ 21-11-2011 13:27:02
เพลียอ่ะ
.
เอางี้ ให้เครื่องบินตกซะเลย จบเรื่องราวเจ็บปวดทุกอย่างที่มีของทุกคน!!!
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคปลาย 21/11/11 P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 21-11-2011 14:08:18
เพลียอ่ะ
.
เอางี้ ให้เครื่องบินตกซะเลย จบเรื่องราวเจ็บปวดทุกอย่างที่มีของทุกคน!!!

จว๊ายยยยย โหด!!
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคปลาย 21/11/11 P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: love2y ที่ 21-11-2011 14:20:11
สงสารตี้!!!!!!!!!!!!!!!!!

คุณรินคะ หาคู่ให้น้องตี้ของเค้าด้วย T^T



เอาเจมส์ก็ได้ ^^"
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคปลาย 21/11/11 P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 21-11-2011 14:52:27
อ่านแล้วซึ้งตอนนี้ชะมัด
แต่ก็อยากทืบณรงค์ ดีใจที่ปล่อยน้องตี้ซะที
ถึงจะเป็นการทำร้าย แต่ยึดไว้มันทำลายกันเกินไป
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคปลาย 21/11/11 P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 21-11-2011 14:55:33
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:


 :z3: :z3: :z3:


ไรอันทำตัวน่ารำคาญนะ
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคปลาย 21/11/11 P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 21-11-2011 16:41:41
หมั่นไส้รัก

ออกแนวรังเกียจรงค์

และสงสารตี้จับใจ
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคปลาย 21/11/11 P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: bluebird ที่ 21-11-2011 17:46:59
เชื่อว่าจุดนี้ทุกคนสงสารน้องตี้จริงจัง T.T
อ่านแล้วรู้สึกตลอดเวลาว่า ซักทีๆ 555+
คือจะอะไรก็ทำซักทีอิตาสองคนนี้ จะรักจะเลิก จะมีเยื่อใย อย่ามาหน่วงๆแบบนี้
อ่านแล้ว อินนนน+อึดอัดอภิมหา โฮ กรี๊ดๆๆ
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคปลาย 21/11/11 P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 21-11-2011 18:07:12
เพลียอ่ะ
.
เอางี้ ให้เครื่องบินตกซะเลย จบเรื่องราวเจ็บปวดทุกอย่างที่มีของทุกคน!!!

เม้นท์นี่สุดยอด
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคปลาย 21/11/11 P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: berlyn ที่ 22-11-2011 08:35:14
ปล่อยไปเถอะน้องตี้น่ะ
กลับมาคืนดีกับไรอันถูกแล้ว

ปล. แต่เราก็แอบเชียเจมส์อยู่ลึกๆนะ^^
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคปลาย 21/11/11 P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 22-11-2011 10:23:25
ปล่อยไปเถอะน้องตี้น่ะ
กลับมาคืนดีกับไรอันถูกแล้ว

ปล. แต่เราก็แอบเชียเจมส์อยู่ลึกๆนะ^^

เอ๋อ?? เชียร์เจมส์?? อะไรยังไงกับใครคะ คนเขียนอยากรู้ อิ๊ๆๆ
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคปลาย 21/11/11 P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: bellity ที่ 22-11-2011 12:01:59
สงสารน้องตี้มากๆ เลยนะ รู้สึกไม่ชอบตัวเอกแวปใหญ่ๆ เลยแฮะ
เฮ้อ แต่กับไรอันเป็นคนประเภทที่ทำให้ผมเคยเสียน้ำตามาปี๊ปใหญ่ๆ เลยนะ
ทั้งๆ ที่ก็ไม่ใช่ว่าเป็นคนที่อะไรกับแฟนมากๆ กินข้าวก็ตามโอกาส แต่เวลาเค้าป่วยเราก็เป็นห่วงไปดูแล
กลายเป็นว่าเราไปวุ้นวายกับชีวิตเค้าอีก เลยเลิกกัน อ่านแล้วสะท้อนใจแฮะ แต่ไรอันดูน่ารักกว่าแฟนผมเยอะ
เพราะแบบแฟนผมโคตรเอาแต่ใจเลย แบบมากจนบางทีรู้สึกว่าเห็นเราเป็นตัวอะไรซักอย่างที่ไม่แฟน
บางทีก็รู้สึกว่าเค้าแค่คบเราคลายเหงาหรือคบแก้ขัดเท่านั้นเอง -3-
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคปลาย 21/11/11 P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 23-11-2011 11:03:04
ยิ่งอ่านก็ยิ่งรู้สึกว่า "รัก" เป็นตัวละครที่ชอบน้อยที่สุดในบรรดาตัวละครที่ผ่านๆ มา   :serius2:

คุณริน อย่าเพิ่งโมโหข้าพเจ้านะ   :monkeysad:
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคก่อนส่งท้าย 23/11/11 P.6]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 23-11-2011 12:45:39
ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ Square One [ภาคก่อนส่งท้าย]

เมื่อรถบัสเดินทางมาถึงที่หมายแรกคือวัดฉลองหรือวัดไชยธาราราม ทุกคนก็ลงจากรถเพื่อไปสวดมนต์ขอพรในพระอุโบสถ บ้างก็เสี่ยงเซียมซีแล้วซื้อประทัดเพื่อจุดบวงสรวงอย่างสนุกสนาน หลังจากให้เวลาทุกคนได้ถ่ายรูปและเดินเล่นกันพอสมควร ไกด์สาวก็นำทุกคนไปทานมื้อกลางวันที่ร้านอาหารซึ่งจองไว้ล่วงหน้า ก่อนจะเดินทางต่อไปไหว้พระใหญ่ซึ่งประดิษฐานอยู่บนยอดเขา

พอมาถึงบริเวณฐานของพระใหญ่ซึ่งสูงเหนือน้ำทะเลหลายร้อยเมตร หลายคนก็ถ่ายรูปวิวอ่าวฉลองซึ่งเต็มไปด้วยเรือยอร์ชและเรือใบหลากสีสันแบบไม่กลัวเมโมรีการ์ดจะเต็ม จนกระทั่งแดดร่มได้ที่ ไกด์สาวจึงขานเวลาเพื่อพาทุกคนไปรอชมพระอาทิตย์ตกยามเย็นเหนือแหลมพรหมเทพ เนื่องจากเป็นจุดท่องเที่ยวสำคัญและอาจหาที่จอดรถลำบาก จึงต้องรีบไปจับจองที่ทางกันก่อนจะถึงเวลา

เมื่อรถจอดที่หน้าทางขึ้นจุดชมวิว ทุกคนก็ลงจากรถแล้วกระจัดกระจายกันไปคนละทาง บ้างก็ต่อคิวเข้าห้องน้ำหรือแวะดูร้านขายของที่ระลึก บ้างก็เข้าไปชมประภาคาร บ้างก็หามุมถ่ายรูปหรือชี้ชวนกันดูวิว เนื่องจากวันนี้ท้องฟ้าแจ่มใสและมีเมฆน้อยมาก ทำให้แดดยามบ่ายแก่ๆ ก่อนพระอาทิตย์จะตกดินค่อนข้างแรง สาวๆ หลายคนจึงต้องคว้าหมวกปีกกว้างมาสวมหรือหาผ้าคลุมไหล่กันแดดให้วุ่น

ณรงค์แยกตัวจากคนอื่นๆ และเดินถ่ายรูปเล่นไปเรื่อยเปื่อย สำหรับทริปนี้เขาพกกล้องถ่ายรูปดีเอสแอลอาร์ซึ่งนานๆ ครั้งจะใช้มาด้วย ความจริงแล้วสมัยเรียนเขาเคยเคยรับถ่ายรูปตามงานแต่งงานหรืองานรับปริญญาเพื่อหารายได้พิเศษด้วยซ้ำ แต่พอทำงานประจำก็เริ่มไม่มีเวลา แถมกล้องจากมือถือก็มีความละเอียดมากพอแล้วยังปรับแต่งรูปได้เลย ทำให้ห่างหายจากการเล่นกล้องไปนานพอสมควร

ลมที่โชยมาบริเวณเหนือแหลมที่ทอดยาวออกไปในทะเลสดชื่นและไม่เหนียวตัว ถึงแม้แดดจะแรงอยู่บ้างแต่ณรงค์ก็ไม่ยี่หระ อาจมีบางครั้งที่เขาต้องดึงปีกหมวกแก๊ปที่สวมลงเพื่อบังแสงที่ส่องเข้าตา แต่เมื่อเดินผ่านช่วงโค้งของเนินไปอีกฝั่งและเห็นร่างสูงโปร่งที่กำลังยกกล้องขึ้นถ่ายรูปทะเล ณรงค์ก็ลดกล้องในมือลงก่อนจะเดินเข้าไปหา

ผู้บริหารหนุ่มลูกครึ่งยืนถ่ายรูปอยู่ตามลำพังใต้ต้นไม้ใหญ่ แต่เนื่องจากแสงที่สาดเฉียงมาจากพระอาทิตย์ที่ใกล้จะตกดินทำให้ต้นไม้นั้นไม่ได้ให้ร่มเงาใดๆ เลย ไรอันอยู่ในเสื้อยืดแขนสั้นที่ไม่เข้ารูปมากนักกับกางเกงขาสามส่วนสีเขียว อุปกรณ์ที่ช่วยป้องกันแดดมีเพียงแว่นกันแดดเลนส์สีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำ พอเห็นอีกฝ่ายยืนถ่ายรูปนิ่งๆ อยู่กลางแจ้งโดยไม่คิดจะหาที่หลบแดด ณรงค์ก็เดินเข้าไปใกล้

“เดี๋ยวผิวคุณไหม้หมดนะ”

ณรงค์เอ่ยเมื่อเข้าไปในระยะที่ห่างจากอีกฝ่ายเพียงหนึ่งก้าว ไรอันจึงลดกล้องถ่ายรูปในมือลงและเหลือบมาทางเขา แต่เพราะเลนส์แว่นที่เป็นสีเข้มจัด ณรงค์จึงไม่อาจเห็นแววตาสีน้ำตาลอ่อนได้ว่ากำลังแสดงอารมณ์ใด

“I’m not a girl.”

ไรอันเอ่ยแล้วก็หมุนตัวหนี ณรงค์จึงรั้งไว้ด้วยคำถามที่ทำให้ฝีเท้าของหนุ่มลูกครึ่งชะงัก

“ใจคอคุณจะไม่ยอมคุยกับผมดีๆ ให้ผมได้มีโอกาสขอโทษเรื่องเมื่อคืนนี้เลยเหรอ?”

ณรงค์ถามอย่างตัดพ้อ เขาพยายามหาโอกาสที่จะได้คุยกับไรอันตามลำพังมาตั้งแต่เช้าเพราะอยากขอโทษกับความหุนหันพลันแล่นเมื่อคืน แต่พอสบจังหวะ เจ้าตัวก็ทำเหมือนอยากรีบหนีเขาไปไกลๆ เสียอีก

“Consider that done then.”

ไรอันตอบรับและตัดบทไปในทีเดียว ณรงค์จึงไม่รู้จะทำอย่างไรนอกจากมองแผ่นหลังของคนที่เดินหนีห่างไปเรื่อยๆ

“This is the most fucked up thing I’ve ever seen on earth.”

ณรงค์หันกลับไปตามเสียงและพบว่าเจมส์เดินมายืนกอดอกอยู่ข้างๆ ชายหนุ่มขมวดคิ้วก่อนจะหันกลับไปมองไรอันที่หยุดยืนถ่ายรูปห่างไปราวสิบเมตรอีกครั้ง

“คุณหมายถึงเรื่องอะไร?”

“เรื่องอะไรเหรอ? ก็เด็กที่อ้างว่าเป็นแฟนคุณกับท่าทางของคุณกับไรอันวันนี้น่ะสิ ตกลงนี่มันอะไรกันแน่?”

เจมส์ถามอย่างไม่เข้าใจ ณรงค์เห็นสาวๆ ในบริษัทพากันรี่เข้าไปขอถ่ายรูปกับไรอัน เขาจึงยกกล้องของตัวเองขึ้นมาปรับซูมแล้วเก็บภาพไว้บ้าง

“เขาไม่ได้อ้างหรอก ตอนที่เจอคุณเมื่ออาทิตย์ก่อนเรายังเป็นแฟนกันจริงๆ แต่ตอนนี้มันจบแล้ว”

ญาติผู้พี่ของไรอันเงียบไปพลางมองณรงค์ที่กำลังพยายามเก็บภาพอิริยาบถต่างๆ ของไรอันด้วยสีหน้าพิจารณา

“คุณอยากคืนดีกับไรอันใช่มั้ย?”

“ถ้าเขาจะยอมฟังผมบ้างล่ะก็นะ คุณเคยได้ยินสำนวนตบมือข้างเดียวไม่ดังไหมล่ะ?” ณรงค์ถามกลับพร้อมกับแค่นยิ้ม หนุ่มลูกครึ่งทำท่านึกแล้วก็ส่ายหน้า

“ไม่เคย But I think I’m looking at two clueless people who don’t know how to express their feelings.”

หนุ่มลูกครึ่งท่าทางอยากพูดอะไรต่อ แต่ก็ถูกขัดจังหวะเพราะมีคนร้องเรียกให้ทั้งคู่ไปถ่ายรูปหมู่รวมกับกลุ่มที่เพิ่งเดินทางมาทีหลัง ไกด์ทั้งสองคนรับกล้องของเหล่าพนักงานที่อยากจะฝากถ่ายรูปไปห้อยไว้เต็มมือจนต้องวางบางส่วนบนโต๊ะ พวกคนที่ยืนแถวหน้าต่างก็ช่วยกันกางผ้าใบผืนใหญ่ที่สกรีนชื่อบริษัทไว้เพื่อถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ณรงค์ตัวสูงจึงเลือกยืนด้านหลังเยื้องไปข้างๆ แต่พอไกด์สาวยกมือขึ้นเล็งกล้องแล้วก็ส่ายหน้า

“รบกวนทุกคนยืนชิดๆ กันหน่อยนะคะ คนเยอะล้นกล้องค่ะ คุณพี่เขยิบเข้ามาอีกหน่อยนะค้า”

หญิงสาวเจ้ากี้เจ้าการจัดตำแหน่งจนกระทั่งไกด์อีกคนยกนิ้วเป็นสัญญาณว่าโอเค และณรงค์ก็พบว่าตัวเองจับพลัดจับผลูได้มายืนข้างไรอันซึ่งอยู่แถวหลังสุดเพราะต่างก็ตัวสูงทั้งคู่ ส่วนเจมส์ยืนห่างไปอีกด้านใกล้กับผู้บริหารท่านอื่น

หนุ่มลูกครึ่งทำท่าไม่สนใจณรงค์ในทีแรก แต่แล้วก็ขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะเหลือบตาขึ้นมองผ่านเลนส์แว่นกันแดดเมื่อณรงค์สอดนิ้วมือเข้าประสานกับมือเขาแล้วกุมไว้

“ชู่วว์”

ณรงค์ส่งเสียงเตือนเบาๆ และกระชับมือแน่นขึ้นเมื่อไรอันทำท่าจะกระตุกมือออก และนั่นทำให้ข้อมือที่เคล็ดปวดระบมจนเผลอส่งเสียงลอดไรฟัน

หนุ่มลูกครึ่งจับอาการเจ็บของณรงค์ได้ จึงทำได้เพียงแสดงท่าทางฮึดฮัดไม่พอใจ แต่ว่าก็ไม่ได้สะบัดมือหนีอีกตลอดเวลาที่ไกด์ทั้งสองทยอยถ่ายรูปด้วยสารพันกล้องที่มีเยอะจนราวจะไม่หมดสักที กระทั่งไกด์ทั้งคู่กดชัตเตอร์ครบทุกกล้อง ทุกคนก็รีบฮือกันไปรับกล้องคืนเพื่อจะได้เก็บภาพพระอาทิตย์ลับลงหลังผืนทะเลให้ทัน

 ไรอันถือโอกาสนี้รีบชักมือออกจากอุ้งมือณรงค์แล้วหันไปคว้าแขนเจมส์เพื่อหาจุดถ่ายรูปที่ไกลจากเขาที่สุด แต่คราวนี้ณรงค์ไม่ได้เดินตามไป เขาเพียงมองตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ พลางยกมือขึ้นสูดกลิ่นโคโลญจน์บางเบาที่ตกค้างจากสัมผัสเมื่อครู่

อะไรบางอย่างที่ไรอันแสดงออกตอนเห็นเขาทำท่าเจ็บข้อมือทำให้ณรงค์รู้สึกเหมือนหัวใจที่เคยลีบเล็กได้รับน้ำหล่อเลี้ยง บางทีฝ่ายนั้นเองก็อาจจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเผลอแสดงสีหน้าเป็นห่วงออกมา แต่นอกจากนั้นยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ณรงค์สังเกตเห็น และสิ่งนั้นก็ทำเอาเขาเกือบจะแกล้งยกมือไปโอบไหล่อีกฝ่ายตอนถ่ายรูปไปแล้วหากไม่ใช่เพราะยังเกรงใจพนักงานคนอื่นๆ

เขาเห็นผิวแก้มสีงาช้างแดงเรื่อตลอดเวลาที่ถูกกุมมือเมื่อครู่...



++------++



พอขอบฟ้าสีหมากสุกเริ่มหม่นมัวด้วยพระอาทิตย์ที่ตกดินมากขึ้น ไกด์ทั้งสองก็รีบพาทุกคนขึ้นรถเพื่อเข้าเช็คอินที่โรงแรมก่อนที่ฟ้าจะมืดสนิท หลังจากทุกคนรับแจกคีย์การ์ดแล้วก็แยกย้ายกันไปเข้าห้องพักกับคู่ที่ถูกจัดให้ ณรงค์ได้พักห้องเดียวกันกับอิสรา และเขาก็ค่อยวางใจไปเปลาะหนึ่งเมื่อรู้ว่าเหล่าผู้บริหารจะได้พักห้องสวีทกันคนละห้องโดยไม่ต้องแชร์กับใคร เพราะนั่นหมายความว่าไรอันกับเจมส์จะไม่ต้องนอนห้องเดียวกัน

พนักงานทุกคนมีเวลาเข้าห้องพักและทำธุระส่วนตัวหนึ่งชั่วโมงก่อนจะไปรวมกันที่ห้องอาหาร ณรงค์อาบน้ำแล้วเปลี่ยนมาใส่เสื้อเชิ้ตแขนสั้นลายตารางกับกางเกงยีนส์ หลังจากรออิสราอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วก็เข้าไปที่ห้องทานอาหารด้วยกัน โดยระหว่างมื้อค่ำนั้นไกด์ทั้งสองออกมาเล่นเกมจับรางวัลเล็กน้อยก่อนจะขานเวลาสำหรับทำกิจกรรมในวันรุ่งขึ้น จากนั้นก็ปล่อยให้เหล่าพนักงานพักผ่อนยามค่ำคืนกันตามสบาย

ขณะที่คนอื่นๆ กำลังถามไถ่กันว่าจะออกไปเที่ยวเล่นที่หาดอื่นหรือไปดวลเพลงกันที่ห้องคาราโอเกะ ณรงค์ก็รีบมองหาว่าไรอันอยู่ไหน พอเห็นอีกฝ่ายเดินเลี้ยวออกจากห้องอาหารไปทางชายหาดตามลำพังก็รีบสาวเท้าตาม หนุ่มลูกครึ่งเหลือบเห็นเขาแต่ก็เพียงเม้มปากและเดินต่อ แต่สุดท้ายก็ดูเหมือนจะทนกับเสียงฝีเท้าที่เดินตามไม่ไหวจึงหันกลับมา

“Will you leave me the fuck alone? Or I won’t ever talk to you again in my entire life!”

ไรอันหันกลับมาแหวใส่ณรงค์เมื่อเขาไม่หยุดตามเสียที ร่างสูงใหญ่มองหน้าอีกฝ่ายที่แดงเพราะความโกรธแล้วก็เลิกคิ้ว อาจเพราะสัมผัสได้ว่าไรอันเองก็ยังหวั่นไหวตอนถูกเขาจับมือระหว่างถ่ายรูปเมื่อตอนเย็น ตอนนี้ณรงค์จึงฮึกเหิมขึ้นกว่าเดิม

“นี่คุณก็แทบจะไม่พูดกับผมอยู่แล้วนี่ อีกอย่างหาดนี้มันไม่ใช่หาดส่วนตัวนะ ผมไม่มีสิทธิ์ไปเดินเล่นเหรอ?”

ไรอันถลึงตาใส่ มือทั้งสองข้างกำแน่นอยู่ข้างตัว แต่ครู่เดียวก็หมุนตัวหนี

“ขอผมอยู่คนเดียวเถอะ”

หนุ่มลูกครึ่งเอ่ยเป็นภาษาไทยในที่สุด กังวานขอร้องในน้ำเสียงทำให้ณรงค์ชะงักฝีเท้าที่กำลังจะก้าวตาม และได้แต่มองแผ่นหลังที่อยู่ในเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนส์ซึ่งเดินห่างออกไปทีละน้อย

คุณจะไม่ยอมให้โอกาสผมแก้ตัวบ้างเลยหรือไง...

ณรงค์ตัดสินใจทำตามที่ไรอันขอ แต่ก็ไม่ได้เดินกลับห้องในทันที เขาเดินขึ้นไปยังบาร์ซึ่งอยู่บนชั้นลอยกลางแจ้งแล้วหามุมที่นั่งซึ่งสามารถมองออกไปเห็นหาดทรายหน้าโรงแรมได้ จากนั้นก็สั่งเบียร์ขวดหนึ่งมานั่งจิบพลางมองคนที่กำลังเดินเล่นบนหาดไปด้วย ถึงแม้จะเป็นระยะที่ค่อนข้างไกล แต่แสงจากโคมไฟริมหาดที่ส่องลงต้องเสื้อยืดสีขาวก็ทำให้ณรงค์มองเห็นไรอันจากบนบาร์ได้ไม่ยาก

ชายหนุ่มเลิกคิ้วเมื่อได้ยินเสียงเลื่อนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามออก ก่อนที่เจมส์จะนั่งลงและยกขวดเบียร์ที่ถือติดมาขึ้นดื่ม นัยน์ตาสีน้ำตาลอมเทาทอดมองออกไปยังคนที่กำลังเดินเล่นอยู่ริมหาดเช่นเดียวกับณรงค์

“Seriously, seeing you two is like I’m watching a soap opera.”

เจมส์เอ่ยก่อนจะหันมายิ้มอย่างหน่ายๆ กับณรงค์ คนถูกทักจึงแค่นหัวเราะพลางยกมือหนึ่งขึ้นแกะผ้าก๊อซที่ปิดแก้มออก พอได้เห็นรอยข่วนซึ่งเป็นขีดสีแดงสี่รอยถนัดตา ญาติผู้พี่ของไรอันก็หรี่ตาลงแล้วใช้นิ้วข้างที่ถือขวดเบียร์ขึ้นชี้ถาม

“ฝีมือไรอันสินะ?”

“...ผมสมควรโดนแล้วล่ะ”

ณรงค์ตอบพลางใช้ปลายนิ้วลูบบนรอยข่วนเบาๆ เจมส์จึงระบายลมหายใจยาวพลางยกเบียร์ขึ้นดื่ม

“ผมจะไม่ถามก็แล้วกันว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ผมคิดว่ามีอะไรบางอย่างที่คุณควรจะรู้ และมันอาจจะช่วยอะไรคุณได้บ้าง”

ณรงค์เลิกคิ้วเมื่อเจมส์ชูมือซ้ายขึ้นมาตรงหน้า เขามองหลังมือของอีกฝ่ายแล้วก็สบตาอย่างมีคำถาม สุดท้ายเจมส์จึงต้องบอกใบ้ให้ด้วยการใช้อีกมือหมุนแหวนทองคำเกลี้ยงบนนิ้วนางซ้ายไปมา และคราวนี้สายตาของณรงค์จับจ้องที่แหวนวงนั้นราวกับเห็นสิ่งแปลกประหลาดที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย

“เคยสังเกตแหวนของผมบ้างมั้ย? คุณคิดว่าผมใส่ไอ้นี่ไว้เล่นๆ เหรอ?” เจมส์ถามขึ้นในที่สุด ขณะที่ณรงค์ต้องใช้เวลาครู่ใหญ่กว่าจะประมวลข้อมูลในหัวได้

“คุณ....แต่งงานแล้ว?”

ชายหนุ่มตอบเหมือนคนเบื้อใบ้ ขณะที่เจมส์ยกสองมือกางออกแล้วมองฟ้าพลางขยับปากเป็นคำพูดว่า ‘Thank God.’

“Yes! ให้ตายเถอะ! ผมนึกว่าคุณรู้ตั้งแต่ตอนที่เราเจอกันครั้งแรกแล้วซะอีก ไม่นึกเลยว่าคุณจะตาถั่วจนไม่ได้สังเกตคนอื่นนอกจากไรอันขนาดนี้ ทีนี้ก็ฟังไว้นะ ไม่ว่าคุณจะคิดอะไรเรื่องของผมกับหมอนั่นก็เลิกคิดได้เลย ที่ผมคอยเป็นห่วงไรอันไม่ใช่เพราะเราเป็นญาติกันเท่านั้น แต่เพราะเมียผมเป็นเพื่อนสนิทสมัยเรียนของหมอนั่น แล้วเธอก็คอยขอให้ผมรายงานความเป็นไปของเพื่อนเธอให้ฟังทุกครั้งที่ผมมาเมืองไทยต่างหาก!”

เจมส์รัวคำอธิบายยาวเหยียดก่อนจะยกเบียร์ขึ้นดื่มอย่างกระหาย และสิ่งที่ได้ยินก็ราวกับแสงไฟที่ส่องตัดม่านหมอกในใจของณรงค์ ความรู้สึกผิดที่เคยเข้าใจว่าตัวเองโดนสวมเขาและปรักปรำไรอันไปจึงแล่นเข้ามาแทนที่จนจุก

มิน่า...ไรอันถึงได้โกรธเขามากขนาดนั้น...

“ผมขอโทษ ผม...ไม่เคยสังเกตเลยจริงๆ นั่นแหละ ถ้างั้นเมื่อคืนวานคุณไปรอไรอันที่ตึกทำไม?”

เจมส์วางขวดเบียร์ลงพลางขมวดคิ้ว “เมื่อคืนวาน? อ๋อ เพราะรถหมอนั่นมีปัญหาต้องส่งซ่อม แล้วพอดีผมไปกินข้าวเย็นกับเพื่อนแถวๆ นั้นก็เลยแวะเข้าไปรับ ไม่นึกเหมือนกันว่าจะเจอคุณเดินลงมาก่อน หลังจากนั้นไรอันไม่ได้เล่าให้ผมฟังหรอกนะว่าพวกคุณคุยอะไรกัน แต่ที่แน่ๆ สายตาคุณที่มองผมวันสองวันนี้ทำผมขนลุกเพราะนึกว่าจะโดนต่อยหลายครั้งแล้ว”

ณรงค์คลี่ยิ้มเจื่อนๆ เขาพอจะรู้ตัวว่าคงเผลอใช้แววตาไม่เป็นมิตรมองอีกฝ่ายในบางครั้ง แต่ไม่คิดว่าจะชัดเจนจนโดนจับสังเกตได้ 

“จริงๆ แล้วไม่ใช่แค่เรื่องนี้หรอกที่ผมอยากจะบอกคุณ อีกเรื่องก็เกี่ยวกับไรอันเองนั่นแหละ” เจมส์เอ่ยหลังจากทั้งสองนั่งเงียบกันครู่ใหญ่ ณรงค์ที่เพิ่งยกเบียร์ขึ้นจิบจึงเหลือบตาลงมองข้อมือที่สวมปลอกผ้าของตัวเอง

“…ถ้าหากเป็นเรื่องที่เขากลัวการมีความรัก ผมคิดว่าพอจะเดาได้แล้วล่ะ”

ถึงแม้จะใช้เวลาถึงหนึ่งเดือนรวมกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้กว่าจะได้ข้อสรุปนี้ออกมา แต่ณรงค์ก็คิดว่านั่นคงไม่คลาดเคลื่อนจากความจริงนัก เจมส์ทำหน้าแปลกใจเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้า

“Glad to hear you’ve figured it out. แต่ที่คุณไม่รู้คือสาเหตุว่าทำไมหมอนั่นกลัวการมีความรักขนาดนี้”

ณรงค์ดึงสายตากลับมาจากแผ่นหลังของคนที่กำลังนั่งกอดเข่าดูคลื่นอยู่บนหาดทราย เจมส์ยกเบียร์ขึ้นดื่มอีกอึกก่อนจะทำหน้าเหมือนกำลังคิดหนักว่าควรจะเล่าดีหรือไม่

“จริงๆ แล้วผมอาจไม่ควรเล่าเรื่องนี้ก็ได้ แต่ผมชักทนอาการปิดกั้นตัวเองของหมอนั่นไม่ไหวขึ้นทุกที ผมจะเล่าแบบย่อๆ เลยก็แล้วกันนะ พ่อของไรอันเคยนอกใจน้ารุ้งจนทั้งคู่แยกทางกันไปปีนึงเต็มๆ ระหว่างที่ไรอันอยู่โรงเรียนประจำ”

ณรงค์ทำตาโต เพราะไรอันแทบไม่เคยเล่าเรื่องที่บ้านให้ฟัง ดังนั้นแน่นอนว่าเจ้าตัวจึงไม่เคยปริปากเรื่องนี้ให้ได้ยินเลย

“ความจริงพวกเขาตั้งใจจะปิดเรื่องนี้จนกว่าไรอันจะเข้าไฮสคูล แต่ผู้หญิงที่คาร์ลไปมีความสัมพันธ์ด้วยกลับแอบไปหาไรอันที่โรงเรียนและบอกว่ากำลังจะมีน้องสาวให้ พอหมอนั่นรู้ก็อาละวาดยังกับพายุลงเลยล่ะ ตอนนั้นไรอันน่าจะอายุประมาณสิบสามได้”

“แล้วต่อจากนั้น?”

ณรงค์แทบไม่อยากคิดว่าการที่จู่ๆ ก็มีผู้หญิงแปลกหน้ามาหาและบอกว่าเป็นภรรยาใหม่ของพ่อ สำหรับจิตใจของเด็กชายอายุสิบสามที่นานครั้งจึงจะได้เจอผู้ปกครองเพราะเข้าโรงเรียนประจำตั้งแต่เด็กจะเจ็บปวดแค่ไหน

เจมส์ฟังคำถามแล้วก็ระบายลมหายใจยาว “ไรอันหนีออกจากโรงเรียนไปอยู่กับน้ารุ้งกับคุณยายที่บริสเบน คาร์ลเลยต้องไปตามกลับมา สุดท้ายทั้งสองคนก็คืนดีกันเพราะเห็นแก่ลูกชายคนเดียว ถึงตอนนี้พวกเขาจะรักกันดี แต่คาร์ลก็ยังต้องส่งค่าเลี้ยงดูให้ผู้หญิงคนนั้นกับลูกสาวที่เกิดด้วยกัน ผมคงไม่ต้องอธิบายนะว่าสำหรับไรอันที่โตมากับเรื่องนี้จะมีบาดแผลฝังใจแค่ไหน”
 
หนุ่มลูกครึ่งเล่าจบก็ยกเบียร์ขึ้นดื่มจนหมดขวด ความเงียบที่ตามมาทำให้เสียงคลื่นที่ม้วนซัดหาดทรายและเสียงลมกระทบยอดไม้ดังฟังชัด และณรงค์ก็ได้ตระหนักว่าความผิดหวังในวัยเด็กของไรอันมาบรรจบกับตัวเขาได้อย่างไร

เท่ากับว่า เขาเองที่เป็นคนทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลง ตอนแรกไรอันเพียงแต่สับสนเลยไล่เขาออกจากห้อง แต่ต้นเหตุที่ทำให้ฝ่ายนั้นตัดสินใจยุติความสัมพันธ์ก็เป็นเพราะเขาไปมีคนอื่นเอง ต่อให้เพราะเมาและไม่ตั้งใจก็ตามที

“นี่ผม...ทำเรื่องที่ไม่ต่างจากพ่อของไรอันเลยน่ะสิ”

ณรงค์เอ่ยขึ้นในที่สุด เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมคืนที่ไรอันไปเห็นเขาที่ผับ อีกฝ่ายถึงได้เดินมาสาดน้ำใส่เขากับธีระ แต่หลังจากนั้นก็บอกเลิกได้ราวไม่รู้สึกอะไรสักนิด

เพราะไม่เชื่อในความรักอยู่แล้ว...เมื่อถูกตอกย้ำรอยแผลจากคนที่คบด้วยก็เลยยิ่งปิดใจมากเข้าไปอีก...

“ข้อดีก็คือ...อย่างน้อยคุณยังมีโอกาสแก้ตัวโดยไม่ได้ทำร้ายครอบครัวใคร สำหรับคืนนี้ผมถือว่าผมพูดเยอะเกินไปแล้ว ต่อจากนี้คุณควรจะทำอะไรก็คิดเอาเองเถอะ”

เจมส์ลุกขึ้นแล้วเดินกลับเข้าไปในโรงแรม ส่วนณรงค์ยังคงนั่งที่บาร์และมองคนบนหาดทรายจนกระทั่งไรอันเดินกลับไปยังห้องพัก ชายหนุ่มแหงนหน้าขึ้นมองผืนฟ้าสีดำราวกำมะหยี่ที่มีแสงดาวพร่างพราย จากนั้นก็ยกเบียร์ขึ้นดื่มจนหมดขวดพร้อมกับไฟของความมุ่งมั่นที่ถูกจุดขึ้นในใจอีกครั้ง



++------++
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคก่อนส่งท้าย 23/11/11 P.6]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 23-11-2011 12:53:57
ช่วงเช้าตรู่วันถัดมา ทุกคนต่างมาถึงห้องอาหารตั้งแต่เวลาเปิดเพราะต้องเตรียมตัวข้ามฝั่งไปเที่ยวเกาะ หลายคนมีสีหน้าสะโหลสะเหลเหมือนนอนไม่พอ แต่ก็ยังยิ้มแย้มทักทายกันอย่างแจ่มใส สาวๆ หลายคนแต่งตัวแบบเตรียมพร้อมจะไปเล่นน้ำทะเลกันเต็มที่

ไรอันนั่งทานอาหารเช้าอยู่กับเจมส์ที่โต๊ะบริเวณชานด้านนอกห้องอาหาร บริเวณนี้ค่อนข้างเป็นส่วนตัวจากคนอื่นๆ เนื่องจากแสงแดดส่องถึงรำไรซึ่งทำให้ไม่มีใครอยากมานั่ง แต่ก็ไม่พ้นสายตาของณรงค์ที่พยายามมองหาหนุ่มลูกครึ่งจนเจอ

“ผมขอนั่งด้วยคนนะ”

ณรงค์เอ่ยพลางวางถ้วยข้าวต้มลงและลากเก้าอี้มานั่งอย่างไม่รอคำตอบ ไรอันชักสีหน้าทันทีและทำท่าจะถอยเก้าอี้เพื่อลุกหนี แต่เนื่องจากด้านหนึ่งของโต๊ะติดกับกำแพง และณรงค์ที่นั่งข้างๆ ก็กางขาคร่อมขาเก้าอี้เขาไว้จนถอยออกไม่ได้ หนุ่มลูกครึ่งจึงถลึงตามองเขาตาขุ่น ส่วนเจมส์กลั้นหัวเราะจนต้องกระแอมกลบเกลื่อน

“I’m gonna go get more coffee.”

ญาติผู้พี่รีบหาข้ออ้างเพื่อปลีกตัวออกจากโต๊ะ ทำให้เหลือเพียงไรอันกับณรงค์ตามลำพัง และณรงค์ก็ตักอาหารเช้าเข้าปากพลางทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับแววตาขุ่นเขียวที่กำลังมองเขาอย่างไม่พอใจ

“ไม่มีโต๊ะอื่นว่างให้คุณไปนั่งแล้วหรือไง?”

“มี แต่ผมอยากนั่งกับคุณมากกว่า”

ณรงค์ตอบแบบกำปั้นทุบดิน และทำเอาไรอันอึ้งไปเพราะนึกคำพูดโต้ตอบไม่ออก ณรงค์เห็นว่ากาแฟในถ้วยของหนุ่มลูกครึ่งพร่องลงจึงกวักมือเรียกพนักงานที่กำลังถือกาใส่ชากับกาแฟให้มาเติมให้

หลังจากพนักงานของห้องอาหารเดินจากไป ไรอันก็เหลือบตาลงมองกาแฟในถ้วยที่ร้อนจนมีควันสีขาวลอยกรุ่นแล้วมองหน้าณรงค์อีกครั้ง ตั้งแต่ได้เปิดผ้าก๊อซให้เจมส์ดูแผลเมื่อคืนแล้วเขาก็ไม่ได้ปิดผ้ากลับเข้าไปอีก ทำให้เห็นรอยถลอกจากปลายเล็บเป็นขีดสีแดงสี่ขีดอย่างชัดเจน

“ผมไม่เจ็บแล้วล่ะ ขอบคุณที่เป็นห่วง”

ณรงค์เอ่ยลอยๆ พลางตักข้าวต้มขึ้นทาน หนุ่มลูกครึ่งจึงรู้ตัวว่าเผลอมองรอยแผลบนหน้าเขานานไปจนโดนจับได้ เลยรีบหยิบโถครีมเทียมมาตักใส่กาแฟแทน

“What a shame.”

ไรอันเอ่ยพลางยกกาแฟขึ้นจิบ ใบหน้าหล่อเหลาหันมองไปทางอื่นจนณรงค์แอบยิ้ม ชายหนุ่มกวาดตามองรอบตัวเร็วๆ และเมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้น เขาก็เปลี่ยนมาใช้มือซ้ายตักข้าวต้มแทนแล้วเลื่อนมือขวาลงกุมมือซ้ายของไรอันไว้ หนุ่มลูกครึ่งหันกลับมาทันทีและพยายามจะชักมือหนี แต่ณรงค์ไม่ยอมปล่อย

“อย่าดื้อสิ ข้อมือผมเจ็บอยู่นะ”

ณรงค์พูดพลางตักข้าวต้มขึ้นทานต่อ ความจริงแล้วตั้งแต่มานั่งที่โต๊ะด้วย เขายังไม่เหลือบตามองหน้าไรอันสักครั้ง แต่การกระทำต่างๆ กลับขัดแย้งกับการแสดงออกทางสีหน้าและน้ำเสียงอย่างสิ้นเชิง  และณรงค์ก็เห็นได้จากหางตาว่าผิวแก้มของคนข้างตัวชักจะซับสีเลือดจนแดงก่ำขึ้นทุกที แต่เพราะอายหรือโกรธก็สุดที่จะเดา

“You are truly a pain in the ass.”

หนุ่มลูกครึ่งเค้นเสียงลอดไรฟัน พลันนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนก็เบิกกว้างเมื่อณรงค์ยกมือของเขาที่ถูกจับไว้ขึ้นจรดริมฝีปาก

“ขอบคุณนะที่ยอมกินมื้อเช้าวันนี้กับผม”

ณรงค์เอ่ยแล้วยิ้มให้ และคราวนี้หน้าของไรอันแดงเหมือนลูกตำลึงสุก หนุ่มลูกครึ่งบิดมือออกแล้วถอยเก้าอี้อย่างแรงจนณรงค์รีบชักขาหนีแทบไม่ทัน

“Don’t. Ever. Come. Near. Me. Again!!”

ไรอันกระแทกเสียงแล้วก็คว้าหมวกของตัวเองขึ้นสวมก่อนจะรีบเดินเร็วๆ ออกไป ณรงค์มองตามแล้วก็ได้แต่ยิ้มพลางยกกาแฟขึ้นจิบ อย่างน้อยตอนนี้เขาก็สามารถทำให้ไรอันแสดงปฏิกิริยาอย่างอื่นใส่นอกจากการเฉยเมยเหมือนเขาไม่มีตัวตนได้แล้ว

ไม่ให้เข้าใกล้เหรอ ถ้างั้นคุณจะโกรธหรือเปล่า ถ้ารู้ว่าหลังจากนี้ผมจะตื๊อไม่เลิกจนกว่าคุณจะยอมแล้วน่ะ...



++------++



เมื่อใกล้ถึงเวลาที่นัดไว้ พนักงานของบริษัทก็มารวมตัวกันในล็อบบี้เพื่อรอขึ้นรถที่จะมารับไปยังท่าเรือ คราวนี้ไกด์ทั้งสองคนสลับกันดูแลลูกทัวร์กลุ่มที่ตนไม่ได้ดูแลเมื่อวาน ณรงค์จึงค่อยรู้สึกว่าโล่งหูขึ้น เพราะไกด์สาวเสียงแปดหลอดคนนั้นได้ไปดูแลรถบัสอีกคัน ส่วนรถเขาได้ไกด์ซึ่งเป็นหนุ่มรูปร่างท้วมอัธยาศัยดีแต่ไม่ไฮเปอร์เท่าเพื่อนมาแทน

ณรงค์ตั้งใจรอให้ทุกคนขึ้นรถก่อนจึงค่อยก้าวขึ้นเป็นคนสุดท้าย พอมองเห็นว่าเจมส์กับไรอันนั่งอยู่ตรงไหนก็รีบเดินเข้าไปหา ฝ่ายเจมส์ก็เอื้อเฟื้อสละที่ให้อย่างรู้หน้าที่ ส่วนไรอัน...พอเห็นท่าทางของทั้งคู่ที่เข้าขากันขนาดนั้นก็โกรธจนควันแทบออกหู

“ไอ้ที่ผมบอกเมื่อเช้ามันไม่ได้เข้าไปในหัวคุณเลยใช่มั้ย?”

ไรอันเข่นเขี้ยวถามแม้จะต้องกดเสียงพราะไม่อยากให้คนอื่นได้ยิน และณรงค์ก็ลอบยิ้มอย่างพอใจ เพราะตราบใดที่ยังต้องอยู่ท่ามกลางเพื่อนร่วมงาน อีกฝ่ายก็ออกฤทธิ์ใส่เขาเต็มที่ไม่ได้

“คำขอของคุณมันขัดกับความต้องการของผมน่ะ แล้วผมก็อยากทำตามใจตัวเองมากกว่าคอยตามใจคุณด้วยสิ”

ณรงค์พูดพลางหันไปสบตากับหนุ่มลูกครึ่งตรงๆ และจับมือข้างหนึ่งไว้แน่น คราวนี้เขาไม่ได้ยิ้ม ไม่ได้แสดงท่าทางยียวนเหมือนที่ห้องอาหารอีก แต่นัยน์ตาที่มองลงไปในตาของอีกฝ่ายอย่างแน่วแน่ก็ทำให้ไรอันขมวดคิ้ว และวูบหนึ่งที่ณรงค์เห็นนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนมีประกายวูบไหวอย่างรุนแรงพาดผ่าน ขณะที่ริมฝีปากหยักได้รูปก็เม้มแน่นอย่างขัดใจ

แต่ครู่เดียวประกายนั้นก็หายวับราวกับณรงค์ตาฝาดไปเอง

หลังจากไกด์หนุ่มร่างสมบูรณ์เช็คชื่อว่าสมาชิกขึ้นรถครบแล้ว คนขับก็นำรถออกจากโรงแรมเพื่อมุ่งสู่ท่าเรือตามกำหนดเวลา ไรอันไม่หันมาสนใจณรงค์อีกเลยหลังจากนั้น หนุ่มลูกครึ่งเอาแต่เท้าคางมองออกไปนอกหน้าต่างรถทั้งที่แดดส่องเข้ามาเต็มๆ แต่ณรงค์ก็รู้ดีเกินกว่าจะแสดงท่าทางเป็นห่วงเป็นใยหรือใช้คำพูดจู้จี้จุกจิกในเวลาเช่นนี้ เขาเพียงแต่กุมมือของไรอันเอาไว้โดยใช้เสื้อเชิ้ตที่ติดมาด้วยคลุมทับเพื่อบังสายตาคนอื่น และทั้งสองก็ต่างคนต่างนั่งเงียบไปตลอดการเดินทางโดยไม่ได้สนใจฟังไกด์อธิบายกำหนดการของวันนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว

ดูเหมือนตั้งแต่ณรงค์ประกาศจุดยืนของตัวเองออกไป ท่าทีที่แข็งกร้าวของอีกฝ่ายก็เหมือนกับขี้ผึ้งที่ถูกลนจนเริ่มอ่อน หนุ่มลูกครึ่งไม่ได้แสดงท่าทางเกรี้ยวกราดหรือใช้วาจารุนแรงกับเขาอีก แต่ก็ไม่ได้โอนอ่อนเข้าหาหรือแสดงท่าทางยินดีที่เขามาคอยเอาใจใส่ หลายครั้งที่ไรอันขมวดคิ้วเมื่อณรงค์ทำอะไรดีๆ ให้ เช่นช่วยฉุดมือตอนจะก้าวขึ้นเรือ ตอนเปิดประตูในเรือให้เดินผ่านเข้าไปก่อน หรือแม้กระทั่งตอนที่เขาไปขอน้ำอัดลมยี่ห้อที่ไรอันชอบจากตู้แช่บนเรือมายื่นให้ หนุ่มลูกครึ่งรับไมตรีทุกอย่างโดยไม่ปฏิเสธ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยคำขอบคุณหรือยิ้มให้เลยสักครั้ง

แต่ณรงค์ก็มุ่งมั่นกับเป้าหมายจนไม่มัวมาคิดน้อยใจอีกแล้ว

หลังจากนั่งเรือกันสักพัก ทุกคนก็มาถึงหมู่เกาะตามตารางเที่ยวที่จัดไว้ นอกจากกรุ๊ปของบริษัทณรงค์แล้วก็มีนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นประปราย ไกด์คู่หูทั้งสองแจกอุปกรณ์สำหรับการดำน้ำตื้นและสอนวิธีใช้ให้กับผู้ที่สนใจจะดำน้ำ ส่วนใครที่อยากเดินเล่นชมเกาะหรือแค่เล่นน้ำบนหาดก็เลือกได้ตามอัธยาศัย

“ไปสนอร์กเกิ้ลกันมั้ย?”

ณรงค์ถามไรอัน แต่ในมือกลับถือหน้ากากดำน้ำกับเสื้อชูชีพอย่างละสองชุด หนุ่มลูกครึ่งเหลือบมองอุปกรณ์เหล่านั้นแล้วก็ขมวดคิ้วแต่ไม่ตอบ ณรงค์จึงดันอีกฝ่ายไปลงเรือเล็กซึ่งจอดรอรับคนที่ต้องการจะไปดำน้ำโดยไม่ถามซ้ำ

ดูเหมือนหลังจากรู้แล้วว่าใช้คำพูดแรงๆ แค่ไหนก็ไม่มีผล ไรอันเลยเปลี่ยนยุทธศาสตร์มาตั้งรับณรงค์ด้วยสงครามเงียบแทน แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้ย่อท้อ และคิดเข้าข้างตัวเองว่าดีเสียอีกที่ไม่ต้องมาคอยปะทะคารมให้ไรอันยิ่งอารมณ์เสียกับเขามากขึ้นไปอีก

เรือลำเล็กออกจากอ่าวที่เรือใหญ่ทอดสมอและพาผู้ที่ต้องการจะดำน้ำตื้นซึ่งมีประมาณสามสิบคนไปยังอีกอ่าวหนึ่งซึ่งเป็นอ่าวปิด จากนั้นก็ทอดสมอให้ผู้ที่ต้องการชมปะการังและสัตว์น้ำได้ลงไปชมความงามใต้ผิวน้ำ ไรอันเหลือบมองณรงค์ด้วยสีหน้าไม่ค่อยเต็มใจขณะเข้าแถวรอคิว แต่พอหย่อนตัวลงน้ำแล้วหนุ่มลูกครึ่งก็คว้าหน้ากากขึ้นสวมก่อนจะว่ายห่างออกไป ณรงค์จึงไม่รอช้าที่จะตามลงไปทันที

แสงแดดอันแผดร้อนยามสายตัดกับความเย็นของน้ำทะเลสีครามที่ใสราวกับแก้ว และความงามของธรรมชาติใต้บาดาลก็ดูเหมือนจะช่วยละลายอารมณ์ขัดเคืองของไรอันไปได้ไม่น้อย เพราะในไม่ช้าหนุ่มลูกครึ่งก็เพลิดเพลินไปกับการว่ายชมสีสันของดอกไม้น้ำและสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลจนลืมว่าณรงค์อยู่ข้างๆ ไปเสียสนิท

หลังจากดำน้ำชมปะการังกันได้ครู่ใหญ่ ณรงค์ก็เงยหน้าขึ้นจากน้ำแล้วมองไปรอบตัว และพบว่าเพื่อนร่วมงานต่างกำลังสนใจกับการดำผุดดำว่ายชมทิวทัศน์ใต้ท้องทะเล ส่วนคนขับเรือก็นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนเรือแถมหันหลังให้ เขาจึงว่ายเข้าไปหาไรอันแล้วฉุดข้อมือเบาๆ ให้ว่ายน้ำตามไปทางซอกโขดหินข้างหน้าผาไม่ห่างจากบริเวณที่ทุกคนกำลังดำน้ำกันอยู่มากนัก

เมื่อมาถึงมุมที่ค่อนข้างลับตาคนอื่นแต่ยังพอจะมองเห็นเรือได้ ณรงค์ก็ดึงไรอันเข้าไปหาแล้วจับให้อีกฝ่ายพิงหลังกับโขดหิน จากนั้นก็ปลดหน้ากากทั้งของไรอันและของตัวเองออก หนุ่มลูกครึ่งขมวดคิ้วเมื่อณรงค์ก้มลงหาและทาบทับริมฝีปากลงมา แต่ก็ไม่ได้ขัดขืนแม้เมื่อถูกปลายลิ้นอุ่นหยอกเย้าจนจั๊กจี้ และเผยอปากให้ณรงค์ได้ดื่มด่ำกับความหวานภายในในที่สุด ร่างสูงใหญ่ค่อยๆ ผละริมฝีปากออกอย่างเชื่องช้าเมื่อได้ยินเสียงร้องเรียกจากคนขับเรือว่าหมดเวลาดำน้ำแล้ว แต่กระนั้นก็ยังไม่ได้ถอยห่างและใช้ร่างตัวเองดันหนุ่มลูกครึ่งจนหลังติดโขดหินอยู่อย่างนั้น

ไรอันหน้าแดงก่ำเมื่อคนตัวใหญ่กว่าสบตาเขานิ่งพลางสอดมือเข้าใต้เสื้อชูชีพแล้วไล้นิ้วหัวแม่มือกับยอดอกข้างหนึ่งอย่างอ้อยอิ่ง ถึงแม้ว่าใต้เสื้อชูชีพจะยังมีเสื้อยืดอยู่อีกชั้น แต่เนื้อผ้าที่อุ้มน้ำจนแนบเนื้อก็ไม่ได้ช่วยลดความวาบหวามจากสัมผัสของนิ้วแข็งแรงได้เลย

“How old are you? Sixteen?”

หนุ่มลูกครึ่งปัดมือของณรงค์ออกและว่ายน้ำหนี ณรงค์จึงหัวเราะที่ในที่สุดไรอันก็ยอมพูดด้วยแม้จะเพื่อกระแนะกระแหน ร่างสูงใหญ่หมุนหน้ากากดำน้ำที่ห้อยคอไปไว้ด้านหลังพลางว่ายตามไปใกล้ๆ

“เฉพาะเวลาอยู่กับคุณเท่านั้นแหละ”

หลังจากสมาชิกทุกคนกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง ไกด์ก็นำขึ้นเรือใหญ่เพื่อเที่ยวชมรอบเกาะและพาไปทานอาหารกลางวันที่อีกเกาะหนึ่ง ช่วงนี้ณรงค์ปล่อยให้ไรอันนั่งทานข้าวกับพวกผู้บริหารโดยไม่ตามไปป้วนเปี้ยนเพื่อให้เจ้าตัวได้พักบ้าง แต่พอหมดเวลาอาหารและทุกคนสามารถเลือกพักผ่อนชมร้านค้าในหมู่บ้านชาวเลหรือเล่นน้ำตามอัธยาศัย ณรงค์ก็ตามประกบไรอันอีก ทั้งคู่เดินเข้าซอยนั้นออกซอยนี้ในตลาดด้วยกัน แต่ไรอันก็เพียงหยิบข้าวของบางชิ้นมาดูแต่ไม่ได้ซื้อ

“คุณไม่อยากได้อะไรเลยเหรอ?”

ณรงค์ถามหลังจากเห็นไรอันเดินผ่านร้านขายของที่ระลึกอีกร้านโดยไม่ซื้ออะไร หนุ่มลูกครึ่งยักไหล่แต่ก็ไม่ตอบ ดูเหมือนตอนนี้ความท้าทายของณรงค์ก็คือการพยายามทำให้อีกฝ่ายยอมสื่อสารกับเขาด้วยเสียงให้ได้ไปแล้ว ชายหนุ่มหยุดเดินที่หน้าร้านขายเครื่องประดับจุกจิกโดยปล่อยให้ไรอันเดินนำหน้าไปก่อน ครู่หนึ่งจึงค่อยเดินเร็วๆ ตามไปจนทันแล้วกระตุกข้อมือหนุ่มลูกครึ่งเบาๆ

ไรอันเอี้ยวคอมามองเขาพลางขมวดคิ้ว แต่ยังคงไม่พูดอะไรเช่นเดิม ณรงค์จึงยิ้มแล้วเอาของที่เพิ่งซื้อมาสวมลงบนคอให้

มันเป็นสร้อยใส่เล่นทำจากเส้นหนังสีดำที่ห้อยยาวลงจนถึงกลางอก ปลายด้านหนึ่งร้อยเข้ากับจี้ซึ่งทำจากเปลือกหอยสีขาวเหลือบประกายมุกที่แกะสลักเป็นรูปใบคลัฟเวอร์สี่แฉก สัญลักษณ์ที่ทางตะวันตกเชื่อว่าจะนำมาซึ่ง ‘ความโชคดี’ ให้แก่ผู้ที่พบหรือสวมใส่

ไรอันหยิบจี้ที่ห้อยคอขึ้นดูแล้วก็เม้มปากขณะที่ณรงค์อธิบาย “ผมจำได้ว่าคุณเคยบอกว่านับถือพุทธ แต่อย่างน้อยเครื่องรางพวกนี้มันก็เป็นสากล ผมอยากให้คุณใส่ไว้จะโชคดีนะ รัก”

ณรงค์เรียกไรอันด้วยชื่อเล่นที่ไม่ได้เรียกมานาน และเมื่อคำนั้นหลุดจากปาก เขาก็รู้สึกเหมือนได้พูดความในใจไปด้วย บางทีที่เขาชอบเรียกไรอันด้วยชื่อเล่นก็เพราะมันเป็นอีกวิธีหนึ่งที่เขาจะได้สื่อสารความในใจให้อีกฝ่ายรู้บ่อยๆ นี่เอง

“...ทำไม?”

“หือ?”

ไรอันถามเสียงเบาจนณรงค์ต้องเงี่ยหูฟัง หนุ่มลูกครึ่งจึงเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนมีประกายราวกับมีกองเพลิงเล็กๆ ที่สุมด้วยความโกรธอยู่ในนั้น

“ทำไมคุณไม่เลิกยุ่งกับผมเสียที! คุณมีเด็กคนนั้นแล้วไม่ใช่รึไง!? หรือว่าการมีคนรักหลายคนพร้อมกันมันสนุกนักถึงได้ตามรังควานผมอยู่ได้!??”

เสียงของไรอันเกือบจะเป็นตะเบ็งตอนท้ายประโยค ร่างของหนุ่มลูกครึ่งสั่นเทิ้มขณะที่ผิวหน้าแดงจัดด้วยอารมณ์อันคุกรุ่น คนรอบข้างที่เดินผ่านไปมารวมทั้งพ่อค้าแม่ค้าเหลือบมองพวกเขาแล้วต่างก็รีบหันหน้าหนีหรือทำเป็นไม่สนใจ หากแต่ยังเป็นโชคดีของทั้งคู่ที่เดินเข้ามาในตลาดลึกมากจนคนอื่นในบริษัทยังเดินมาไม่ถึง บริเวณนั้นจึงไม่มีใครที่รู้จักพวกเขาเลย

ณรงค์ยืนจ้องตากับไรอันนิ่งอยู่กลางทางเดินโดยไม่หลบตา เขามองใบหน้าที่ฉายชัดถึงความโกรธเกรี้ยวของอีกฝ่าย และสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่ถูกบดบังด้วยน้ำเสียงและท่าทางฉุนเฉียวเหล่านั้น แต่ก็ไม่ได้โกรธตอบและมีเพียงความเข้าใจที่สะท้อนอยู่ในแววตา

ไรอันไม่ได้เกลียดเขา ข้อนี้ณรงค์ไม่สงสัยเลย ไม่อย่างนั้นเขาคงโดนชกไปตั้งแต่ตอนที่นั่งจับมืออีกฝ่ายที่ห้องอาหารเช้าแล้ว แต่เพราะแผลในใจที่ฝังแน่นมาตั้งแต่เด็ก บวกกับความผิดของเขาเองที่ทำให้ไรอันปักใจว่าเขานอกใจไปมีคนอื่น ทำให้ไม่อาจยอมรับความรู้สึกของณรงค์ที่มาคอยตามงอนง้อได้อย่างง่ายดาย

และก็เป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องเรียกความมั่นใจนั้นคืนมา ไม่เช่นนั้นเขาจะไม่มีวันได้ใจของไรอันกลับมาอีกเลย

“มันไม่สนุกหรอกที่ต้องคอยปฏิเสธหัวใจตัวเองน่ะ และก็เพราะผมรู้แล้วว่ามันเจ็บแค่ไหน ผมถึงได้บอกเลิกเขาเพื่อจะมาตามง้อคุณคนเดียวนี่ไง”

“…ฮะ??”

ไรอันทำหน้าเหมือนหูฝาด และณรงค์ก็ชักจะเขินกับคำพูดเลี่ยนๆ ของตัวเอง แต่เมื่อมาถึงขั้นนี้เขาก็มีแต่ต้องเดินหน้าต่อเท่านั้น

“ผมกำลังบอกว่าคนที่ผมรักมีแต่คุณคนเดียวไงล่ะ ยกโทษให้ผมแล้วกลับมาดีกันเถอะนะ”

ณรงค์คิดว่าได้ยินเสียงกลั้นหายใจจากหลายคนที่เดินผ่านไปมาแถวนั้น...



++---TBC---++



A/N: ขนาดเขียนเองยังเหนื่อยตามณรงค์ไปด้วย ดูเหมือนพอพ่อคุณอยากง้อก็กลับเข้าโหมดหื่นใส่ไรอันทันทีทันใด แต่คนอ่านอาจจะบอกว่านี่แหละนิยายของ Bellbomb ก็ได้นะ เพราะถ้าพระเอกไม่หื่นแล้วจะเขียนไม่ออกพิกล

ตอนก่อนมีคนยุใ้ห้น้องตี้คู่กับพี่เจมส์ (ซึ่งก็เข้าใจได้ เพราะเรื่องนี้มีตัวละครเด่นน้อย) แต่ตอนนี้คงทำหลายคนอกหักดังเป๊าะเนื่องจากพี่เจมส์มีคู่เป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว แต่ไม่ต้องเสียใจแทนน้องตี้ค่ะ เพราะว่าเราก็คิดหาคนมาคู่ให้น้องแล้วเหมือนกัน แต่ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ว่าเป็นใคร อย่างไร อะไร ที่ไหน(?) เท่านั้นแล ขอเขียนเรื่องของคู่หลักให้จบก่อน แค่นี้ก็ปวดเศียรแทบแย่แล้ว อิอิอิ

สำหรับตอนนี้ก็ทิ้งท้ายแบบให้ลุ้นกันต่ออีกนิด สารภาพว่าคิดชื่อตอนนานมว้ากเพราะมันก็ยังไม่ใช่ตอนสุดท้าย เลยมาลงตัวที่ "ตอนก่อนส่งท้าย" นี่แหละ แล้วไว้มาติดตามคำตอบของไรอันในตอนหน้ากันนะคะ หวังว่าคงเป็นตอนสุดท้าย-ท้ายสุดเหมือนกัน โฮ่ๆๆ
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคก่อนส่งท้าย 23/11/11 P.6]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 23-11-2011 12:56:31
ยิ่งอ่านก็ยิ่งรู้สึกว่า "รัก" เป็นตัวละครที่ชอบน้อยที่สุดในบรรดาตัวละครที่ผ่านๆ มา   :serius2:

คุณริน อย่าเพิ่งโมโหข้าพเจ้านะ   :monkeysad:

คุณผึ้ง จว๋าย อ่านตอนนี้แล้วจะหมั่นไส้ไรอันน้อยลงไหมอ่า หนุ่มรักเขาก็มีความเป็นมาน่าเห็นใจอยู่เหมือนกันน้า ^___^"
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคก่อนส่งท้าย 23/11/11 P.6]
เริ่มหัวข้อโดย: berlyn ที่ 23-11-2011 15:04:11
โอ้ยเขินนน^^// ตอนที่ณรงค์พูดกับไรอันช่วงสุดท้าย ใจอ่อนสักนิดก็ดีนะ เค้าอุส่าห์รู้ใจตัวเองแล้วนะ
แต่ก็เข้าใจแหละนะว่า ไรอันมีเรื่องฝังใจมาก่อน

เจมส์ ไม่น่าแต่งงานแล้วเลย
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคก่อนส่งท้าย 23/11/11 P.6]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 23-11-2011 16:14:14
เจมส์ ไม่น่าแต่งงานแล้วเลย

คนนี้ taken แล้วค่ะ อิอิอิ
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคก่อนส่งท้าย 23/11/11 P.6]
เริ่มหัวข้อโดย: badcow ที่ 23-11-2011 17:50:26
โธ่ ไรอัน มีปมอดีต กลัวความรักนี่เอง ...........
...แล้วจะยอมคบกับรงค์ทำไมตั้งแต่แรกฟร่ะ นึกอยากจะรักก็ทำตัวน่ารัก พอนึกหวาดระแวงความรักก็บอกว่าน่ารำคาญงั่นเหรอว่ะ???
.
น่าจะจับกดน้ำหลังโขดหินนะ เห๊อะ!
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคก่อนส่งท้าย 23/11/11 P.6]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 23-11-2011 18:16:45
โธ่ ไรอัน มีปมอดีต กลัวความรักนี่เอง ...........
...แล้วจะยอมคบกับรงค์ทำไมตั้งแต่แรกฟร่ะ นึกอยากจะรักก็ทำตัวน่ารัก พอนึกหวาดระแวงความรักก็บอกว่าน่ารำคาญงั่นเหรอว่ะ???
.
น่าจะจับกดน้ำหลังโขดหินนะ เห๊อะ!

ป้าดดดดด โหดง่ะ XD
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคก่อนส่งท้าย 23/11/11 P.6]
เริ่มหัวข้อโดย: love2y ที่ 23-11-2011 21:10:49
ถึงว่า...ทำไมไรอันถึงโกรธรงค์มากมายขนาดนั้น ......ที่แท้ไรอันมีปมในอดีตนี่เอง

แอบเสียดายที่เจมส์แต่งงานแล้ว เฝ้ารอดูคู่น้องตี้ว่าจะเป็นใคร

เหมือนว่าอะไรๆมันจะดีขึ้นแล้วเนอะ แอบโล่งใจ ^^



ปล. คิดถึง~ คุณเชษฐ์กะภัทรจังเลย >_<
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคก่อนส่งท้าย 23/11/11 P.6]
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 23-11-2011 23:07:09
ตี้กลายเป็นคนดีไม่มีที่อยู่

(ซุ่มอ่านมานาน ขอเม้นท์ด้วยข้อความข้างบนนะคะ  :laugh:)
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคก่อนส่งท้าย 23/11/11 P.6]
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 24-11-2011 12:34:16
เอาใจช่วยคู่นี้มากถึงมากที่สุด เพราะอย่างน้อยๆ คู่นี้เขาก็มีมุมน่ารักๆๆ ในตัวของตัวเอง 

ถึงแม้จะไม่ค่อยปลื้มปนหมั่นไส้ ไรอัน ก็ตามเถอะ แต่ก็อยากให้เจ้าหนูรัก มีความสุขนะเนี่ย  :o8:

คุณริน เลิกแกล้งตาลุงณรงค์ กับ หนูรัก ได้แล้วนะ  o18
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคก่อนส่งท้าย 23/11/11 P.6]
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 24-11-2011 12:43:16
เป็นกำลังใจให้รงค์

ก็เข้าใจไรอันอยู่นะ กับบาดแผลในวัยเด็ก
แต่ก็นะ ตอนนี้โตแล้วนี้น่าจะแยกแยะได้

 :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคก่อนส่งท้าย 23/11/11 P.6]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 24-11-2011 13:11:25
คุณริน เลิกแกล้งตาลุงณรงค์ กับ หนูรัก ได้แล้วนะ  o18

แอร๊ยยย์ อัพเกรดให้เป็นคุณลุงแล้วเร้อออออ XD
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคก่อนส่งท้าย 23/11/11 P.6]
เริ่มหัวข้อโดย: badcow ที่ 02-12-2011 20:19:54
จะเป็นภาคส่งท้าย อีกที ปลายปีเลยป่าวครับ?
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคก่อนส่งท้าย 23/11/11 P.6]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 03-12-2011 15:09:39
จะเป็นภาคส่งท้าย อีกที ปลายปีเลยป่าวครับ?

ปลายปีมันเร็วไปเหรอคะ งั้งหลังปีใหม่ละกันเนอะ ไหนๆ ก็ไหนๆ ละ ^^a
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคก่อนส่งท้าย 23/11/11 P.6]
เริ่มหัวข้อโดย: badcow ที่ 04-12-2011 17:39:27
จากที่อ่านมาแต่ต้น เห็นว่ารงค์กะรักเค้าเริ่มต้นกันตอนช่วงคริสมาสต์
ก็เลยนึกเล่นๆว่าถ้าจะส่งท้ายในช่วงเวลาเดียวกันอ่านแล้วก็น่าจะรู้สึกว่าพิเศษดี
.
แต่ถ้าคนแต่งสะดวกเลยปีใหม่แล้วก็รออ่านช่วงนั้นแหล่่ะครับ
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคบทสรุป 8/12/11 P.6]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 08-12-2011 12:49:29
ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ Square One [ภาคบทสรุป]

"ผมกำลังบอกว่าคนที่ผมรักมีแต่คุณคนเดียวไงล่ะ ยกโทษให้ผมแล้วกลับมาดีกันเถอะนะ"

ณรงค์ไม่รู้ว่าควรคาดหวังอะไรหลังจากขอคืนดี แต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่ความเงียบงันของคนที่กำลังเม้มปากแล้วก็หรี่ตามองเขาท่ามกลางผู้คนที่เดินผ่านไปมาเหมือนตอนนี้แน่

ไรอันไม่ตีโพยตีพายอีก  เพียงแต่เดินผ่านเขาเพื่อกลับไปที่เรือใหญ่ ทำให้การเดินชมตลาดของสองหนุ่มจบลงก่อนถึงเวลาที่ไกด์นัดรวมตัวเป็นชั่วโมง และแม้ว่าหลังจากนั้นณรงค์จะตามเอาเครื่องดื่มไปให้หรือพยายามชวนคุยอย่างไร ไรอันก็ไม่ปริปากพูดด้วยอีกเลยแม้แต่คำเดียว กระทั่งทุกคนทยอยกลับมาที่เรือแล้ว ณรงค์จึงตัดใจปลีกตัวไปรวมกลุ่มกับรุ่นน้องในทีมเพราะสัมผัสได้ว่าหนุ่มลูกครึ่งอยากอยู่คนเดียว กระนั้นระหว่างที่เรือเบนหัวกลับสู่ฝั่ง มีบางครั้งที่เขาหันไปทางไรอัน ซึ่งพอสายตาประสานกัน อีกฝ่ายก็จะมุ่นหัวคิ้วแล้วหันมองไปทางอื่น ขณะที่นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนก็สะท้อนแววครุ่นคิดอันยากจะตีความอยู่ตลอดเวลา

ถ้าหากจะมีใครในโลกนี้ที่ทั้งเข้าใจยากและง้อยากกว่าจนน่าถอดใจ ณรงค์ก็เชื่อว่าคงไม่มีใครเกินผู้บริหารหนุ่มลูกครึ่งของเขาแน่ แต่แย่หน่อยที่เขารักไรอันไปแล้ว และต่อให้ฝ่ายนั้นทำตัวแย่กว่านี้อีกสักสิบเท่า ณรงค์ก็คงมองข้ามเรื่องเหล่านั้นและตั้งหน้าตั้งตาง้อเหมือนที่กำลังทำในตอนนี้อยู่ดี

อย่างน้อยหากไรอันแสดงออกว่ารับรู้ถึงความมุ่งมั่นของเขาและพูดอะไรออกมาบ้าง...ไม่ว่าจะในเชิงตอบรับหรือปฏิเสธ ณรงค์คงใจชื้นขึ้นกว่านี้...

เมื่อกลับมาถึงฝั่ง ไกด์ก็นำทุกคนขึ้นรถบัสเพื่อกลับโรงแรม เนื่องจากคืนนี้ทางบริษัทวางแผนจะจัดงานปาร์ตี้ แถมยังจะมีการแสดงและมอบรางวัลประจำปีด้วย ทีมงานที่เกี่ยวข้องจึงต้องเข้าไปซักซ้อมและเตรียมตัวกันก่อนจะถึงเวลา ขณะที่คนซึ่งไม่เกี่ยวข้องก็ได้มีเวลาพักผ่อนมากกว่าไปโดยปริยาย

เนื่องจากณรงค์เป็นคนออกแบบการตกแต่งห้องจัดเลี้ยง เมื่อถึงโรงแรมเขาจึงแวะตรวจความเรียบร้อยของสถานที่ก่อนจะกลับห้องพักไปอาบน้ำแต่งตัว ธีมของงานที่ค่อนข้างจะเป็นทางการ ทำให้เขาต้องใส่กางเกงแสล็คกับเสื้อเชิ้ตและเสื้อแจ็คเก็ตทับด้วย เพียงแต่แบะคอปกออกและไม่ได้ผูกเน็คไทหรือหูกระต่าย

“นานๆ แต่งตัวแบบนี้ทีไม่คุ้นเลยแฮะ ทำไมมาทะเลเขาถึงไม่จัดปาร์ตี้ให้มันเข้ากับธีมชายหาดหน่อยนะพี่รงค์?”

อิสราบ่นขณะทั้งสองเดินออกจากห้องพักด้วยกัน โชคยังดีที่พวกเขาทำงานอยู่ฝ่ายครีเอทีฟ อย่างน้อยแจ็คเก็ตที่ใส่จึงยังได้รับอนุโลมให้ออกแนวลำลองกว่าพวกผู้บริหาร

“ก็ผลโหวตของบริษัทดันออกมาแบบนี้นี่นา พวกสาวๆ คงอยากแต่งชุดค็อกเทลสวยๆ กันมากกว่าบีชปาร์ตี้ละมั้ง”

ณรงค์ตอบขณะที่เดินไปสมทบกับพนักงานคนอื่นๆ หน้าห้องจัดเลี้ยง ด้านในถูกตกแต่งตามที่เขาออกแบบไว้ แต่พนักงานจะถูกจัดให้นั่งโต๊ะแยกกันด้วยวิธีจับสลาก ซึ่งเป็นแผนของฝ่ายบุคคลที่ต้องการให้แต่ละแผนกได้กระชับความสัมพันธ์กันมากขึ้น

ณรงค์เข้าคิวเพื่อหยิบหมายเลขโต๊ะที่จะได้นั่งจากกล่องหน้าทางเข้างาน จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องจัดเลี้ยงเพื่อหาโต๊ะและนั่งลง สำหรับเขานั้นให้นั่งกับใครก็ไม่ต่างกันเพราะรู้จักทุกคนในบริษัทอยู่แล้ว จนกระทั่งใกล้จะได้เวลาเริ่มงานและทุกคนมารวมกันครบ ชายหนุ่มก็เลิกคิ้วเมื่อเห็นว่าสมาชิกคนสุดท้ายที่กำลังเดินมาที่โต๊ะคือใคร จากนั้นก็หุบยิ้มแทบไม่ลงกับความบังเอิญ

ไรอันชะงักเมื่อเห็นณรงค์นั่งอยู่ที่โต๊ะ นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเหลือบลงมองกระดาษในมือเพื่อเช็คหมายเลขอีกครั้ง ณรงค์ดูออกว่าเจ้าตัวคงไม่อยากนั่งข้างเขาในเมื่อตอนนี้ที่โต๊ะเหลือเก้าอี้ว่างที่เดียว แต่หากขอแลกกับคนอื่นก็คงทำให้ใครๆ เกิดคำถาม สุดท้ายหนุ่มลูกครึ่งจึงต้องยอมนั่งตรงนั้นเพื่อตัดปัญหาอย่างช่วยไม่ได้

งานเลี้ยงเริ่มขึ้นโดยทีมพนักงานใหม่เป็นผู้เปิดการแสดง จากนั้นพิธีกรก็ขึ้นไปเชิญผู้บริหารกล่าวเปิดงานและเริ่มพิธีมอบรางวัล ณรงค์เองก็ต้องลุกขึ้นไปรับรางวัลด้วยในฐานะซีเนียร์ดีไซเนอร์ที่ทำผลงานได้โดดเด่นที่สุดในปีที่ผ่านมา ขณะที่ไรอันก็ต้องผละจากโต๊ะไปมอบรางวัลสลับกับผู้บริหารรายอื่นเป็นบางครั้ง

แต่ทุกครั้งที่ทั้งคู่นั่งที่โต๊ะพร้อมกัน
สิ่งหนึ่งที่ไม่มีใครสังเกตเห็นเลย ก็คือ ณรงค์จะเลื่อนมือข้างหนึ่งลงไปวางทาบบนต้นขาไรอันไว้ตลอดเวลา

เขาไม่รู้ว่ากำลังล้ำเส้นหรือเปล่า แต่ณรงค์ก็คร้านจะสนใจ  ในเมื่อตั้งใจแล้วว่าจะใช้ทริปนี้ปรับความเข้าใจกับไรอันให้ได้ และโชคก็ช่างเข้าข้างเหลือเกินที่ทำให้ได้มีโอกาสใกล้ชิดอีกฝ่ายมากมายโดยไม่ต้องทำอะไรกระโตกกระตากให้คนอื่นเอะใจแม้แต่น้อย ถึงแม้เขาจะรู้ว่าคนข้างตัวเหล่ตามามองด้วยความหมั่นไส้อยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่มือเขาไม่ได้แค่วางเฉยๆ แต่ออกแรงบีบเบาๆ เป็นระยะอย่างเรียกร้องความสนใจด้วย

งานเลี้ยงดำเนินไปร่วมสองชั่วโมงโดยมีการแสดงจากพนักงานใหม่คั่นเวลาอีกสองชุด กระทั่งตกดึก พวกผู้บริหารที่อายุมากหน่อยก็ขอตัวลากลับห้องพัก เปิดทางให้พวกหนุ่มๆ สาวๆ เปิดฟลอร์แดนซ์กลางห้องจัดเลี้ยงกันได้เต็มที่

ไรอันซึ่งนั่งอยู่ข้างณรงค์ยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มจนหมดแล้วทำท่าจะกลับห้องเช่นกัน หนุ่มลูกครึ่งแทบไม่พูดกับใครเลยระหว่างมื้ออาหาร กลายเป็นณรงค์เสียอีกที่ชวนทุกคนคุยจนต่างค่อยคลายความอึดอัดกับท่าทางไม่รับแขกของผู้บริหารหนุ่มลงบ้าง แต่ไรอันยังไม่ทันจะได้ลุกก็มีพนักงานสาวๆ มารุมชวนให้ออกไปเต้นด้วยกัน

“I don’t dance.”

ไรอันขมวดคิ้วพลางตอบด้วยน้ำเสียงเฉื่อยนิดหน่อย เพราะระหว่างที่ณรงค์ชวนคนอื่นคุย หนุ่มลูกครึ่งก็เอาแต่ดื่มไวน์อย่างเดียวเพื่อปิดกั้นการสนทนา ตอนนี้ใบหน้าคนพูดจึงแดงเรื่อเพราะแอลกอฮอลล์

“แป๊บเดียวก็ได้ค่ะคุณไรอัน นานๆ จะได้มาสังสรรค์กันทั้งบริษัททั้งที นะคะๆๆ พลีสสสส”

ดูเหมือนเหล่าสาวๆ เองก็จะไม่ยอมแพ้เช่นกัน ณรงค์ได้แต่กลั้นหัวเราะเพราะสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของไรอัน ในเมื่อเขาก็รู้ว่าสาเหตุจริงๆ ที่เจ้าตัวปฏิเสธไม่ใช่เพราะเต้นไม่เป็นเสียหน่อย แต่หนุ่มลูกครึ่งได้ยินจึงเหลือบมองเขาตาขวาง

“Alright, if he goes, I’ll go.”   

ณรงค์เลิกคิ้วเมื่อโดนหนุ่มลูกครึ่งชี้นิ้วโป้งมาทางเขา เหล่าสาวๆ ที่กำลังพยายามยื้อไรอันจึงหันมารุมจ้องเขาตาวาว

“รงค์/ พี่รงค์ เห็นแก่เพื่อนๆ/ น้องๆ หน่อยนะ มาเต้นเป็นเพื่อนคุณไรอันหน่อยเร้ววววว”

“เฮ่ย! เดี๋ยวๆๆๆ”

ชายหนุ่มพยายามร้องห้ามแต่ก็ช้าไป เพราะเพื่อนร่วมงานทั้งสาวน้อยสาวใหญ่ต่างพากันลากและดันเขากับไรอันให้ออกไปร่วมวงจนได้ เนื่องจากไฟกลางในห้องจัดเลี้ยงถูกปิดและไฟดิสโก้หลากสีถูกเปิดขึ้นแทน เมื่อพนักงานหลายสิบคนมารวมกันเต้นตรงกลางฟลอร์ที่เป็นพื้นที่ว่างแคบๆ จึงแทบจะดูไม่ออกว่าใครเป็นใคร

ณรงค์ไม่ใช่นักเต้นเพราะปกติชอบนั่งดื่มอย่างเดียว แต่การเคลื่อนไหวของคนรอบข้างก็ทำให้ต้องขยับโยกตัวบ้างพอเป็นพิธี นัยน์ตาเฉียบคมพยายามมองหาไรอันเพราะทั้งคู่ถูกฉุดแยกไปคนละมุมของฟลอร์ เขาจึงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังโดนสาวๆ รุมล้อมอยู่ตรงไหน

โชคยังดีที่ไรอันไม่ใช่ไบเซ็กชวล แถมพนักงานของบริษัทก็มีผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ไม่อย่างนั้นณรงค์คงไม่วางใจจนปล่อยให้หนุ่มลูกครึ่งโดนลากออกมาเต้นตั้งแต่แรก แต่กระนั้นเขาก็ยังอดห่วงไม่ได้ว่าจะมีสาวใจถึงคนไหนเข้าไปเต้นรำใกล้ชิดแบบถึงเนื้อถึงตัวอีกฝ่ายหรือเปล่า

ไฟดิสโก้หลากสีบนเรือนร่างของผู้คนบนฟลอร์ผสานกับเสียงดนตรีสร้างบรรยากาศอันเย้ายวนใจ แต่ณรงค์ก็มีเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวคือร่างสูงโปร่งที่มีผมหยักศกสีน้ำตาลอ่อน และในชั่ววูบหนึ่งที่กำลังเบียดคนอื่นเพื่อหาหนุ่มลูกครึ่ง เขาก็รู้สึกราวได้ย้อนความทรงจำกลับไปสู่คืนคริสมาสต์อีฟที่เจอไรอันในผับอีกครั้ง

เพลงที่ถูกเปิดในห้องจัดเลี้ยงเร่าร้อนไม่ต่างจากคืนนั้น เพียงแต่เหล่าคนที่กำลังเต้นไม่ได้อวดลีลาเชิญชวนเท่าลูกค้าที่ผับ ไม่นานณรงค์ก็กวาดสายตาไปพบกับแผ่นหลังที่คุ้นเคย ถึงแม้ไรอันจะไม่ได้เต้นด้วยท่วงท่าสุดเหวี่ยงเหมือนในความทรงจำก็ตาม

แผ่นหลังที่ยามไร้อาภรณ์ปกปิดเคยทำให้เขาหลงใหลจนแทบคลุ้มคลั่ง

ณรงค์เดินเบียดเพื่อนร่วมงานที่กำลังเต้นกันเข้าไปหาร่างอันคุ้นตาที่กำลังมีสาวๆ รายล้อม เขาไม่ได้ขยับเข้าไปแทรกกับคนอื่นๆ แต่เพียงแค่ยืนซ้อนไรอันไว้และสอดมือทั้งสองเข้าใต้ชายเสื้อแจ็คเก็ตไปจับเอวสอบ ก่อนจะกระซิบเสียงเบาจากด้านหลังเพื่อไม่ให้ตกใจ

“ชู่วว์”

 ชายหนุ่มสัมผัสได้ว่าช่วงไหล่ของคนตรงหน้าเกร็งขึ้น แต่ไรอันก็ไม่ได้เบี่ยงตัวหนีหรือปัดป้อง อาจเพราะด้วยวางใจว่าเป็นเขา และไฟที่สลัวรวมทั้งเหล่าเพื่อนร่วมงานที่เบียดกันอยู่ก็ช่วยบังมือของณรงค์ที่สอดอยู่ใต้ชายแจ็คเก็ตก็เป็นได้ เพราะครู่เดียวไหล่ที่เกร็งของหนุ่มลูกครึ่งก็ค่อยผ่อนคลายลงตามเดิม

ณรงค์ขยับตัวตามการเคลื่อนไหวของคนตรงหน้า ซึ่งดูเหมือนจะเพียงแค่โยกตัวให้เข้ากับจังหวะเพลง โชคดีที่หลายคนซึ่งยืนอยู่รอบๆ ก็คงดื่มกันหนักจนค่อนข้างเมา เลยไม่ค่อยมีใครสนใจณรงค์ซึ่งยืนเบียดอยู่ด้านหลังของผู้บริหารหนุ่มลูกครึ่งสักเท่าไหร่

ลมหายใจของไรอันสะดุดเมื่อมือทั้งสองที่จับอยู่บนเอวเริ่มไม่อยู่นิ่ง แต่ค่อยๆ เปะป่ายสูงขึ้นบนแผ่นอกโดยอาศัยว่ามีแจ็คเก็ตช่วยบังไว้ หนุ่มลูกครึ่งสูดหายใจลึกเมื่อปลายนิ้วใหญ่กดลงนวดคลึงบนยอดอกทั้งสองข้างผ่านเสื้อเชิ้ต ขณะเดียวกันคนข้างหลังก็ยิ่งบดสะโพกเข้ากับบั้นท้ายเครียดเกร็งของเขาอย่างจงใจขึ้นทุกที แต่หนุ่มลูกครึ่งก็ควบคุมเสียงที่เกือบจะหลุดออกมาได้ด้วยการเม้มปากแน่นและไม่หันไปข้างหลังสักแวบเดียว กระนั้นณรงค์ก็มั่นใจว่าหากไม่ใช่เพราะไฟที่ค่อนข้างสลัวซึ่งบดบังไว้ ใบหน้าของไรอันที่คงแดงก่ำจากการถูกสัมผัสคงทำให้ใครต่อใครสงสัยแน่

และเขาเองก็กำลังจะควบคุมตัวเองให้หยุดแค่นี้ไม่ไหวแล้วด้วย

“...ผมจะออกไปรอตรงประตูด้านข้างเวที อีกสามนาทีคุณค่อยตามมา”

ณรงค์ก้มลงกระซิบเสียงต่ำแข่งกับดนตรีที่ดังกระหึ่ม ก่อนจะค่อยๆ ลดมือลงและเดินแยกไปทางจุดนัดพบที่เล็งไว้แล้วว่าไม่น่าจะมีใครเดินผ่าน หลังจากเปิดประตูและก้าวออกไปยืนรอในทางเดินแคบๆ ชายหนุ่มก็ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูแล้วพยายามสงบสติอารมณ์รอ

เขากำลังเดิมพันกับตัวเอง

ณรงค์รู้ว่าไรอันมีเหตุผลร้อยแปดที่จะไม่ออกมาเจอตามที่นัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากฝ่ายนั้นไม่พอใจกับสิ่งที่เขาเพิ่งทำในห้องจัดเลี้ยง แต่ถ้าหากยังเลือกที่จะตามออกมา ก็เท่ากับไรอันยอมรับคำขอคืนดีของเขา และทำใจแล้วว่าจากนี้ไปจะไม่มีวันสลัดณรงค์ออกจากชีวิตได้อีก

เสียงดนตรีในห้องจัดเลี้ยงดังแทรกประตูออกมาให้ได้ยินอย่างเบาบาง แต่ณรงค์ก็ยังอดทนยืนพิงผนังรอนิ่งๆ ไม่ไปไหน เขาพยายามไม่เหลือบลงมองนาฬิกาบ่อยๆ ด้วยรู้ว่ามีแต่จะเพิ่มความกระวนกระวายให้มากขึ้น แต่ละวินาทีที่ผ่านไปช่างยืดยาวในความรู้สึกเสมือนกับนานเป็นชั่วโมง

สามนาทีผ่านไปแล้ว...

ณรงค์จ้องนาฬิกาข้อมือที่เข็มยาวชี้เกินเวลาที่นัดไว้ ความรู้สึกสิ้นหวังพลันประดังขึ้นมาในอกจนเสียดแน่น เพราะดูเหมือนท้ายที่สุดแล้ว ความพยายามในการขอคืนดีก็สูญเปล่าโดยสิ้นเชิง

หรือเขาจะมั่นใจในตัวเองเกินไปว่าไรอันยังมีความรู้สึกให้? หรือเขาหวังมากไปว่าอีกฝ่ายยังมีเยื่อใยพอที่จะยอมคืนดี? หรือการที่เขาประกาศไปว่าเลิกกับธีระแล้วและต้องการจะตามง้ออีกฝ่ายอย่างเดียวไม่มีค่าอะไรเลย? ทั้งหมดนั้นเขาเพียงแต่คิดไปเองว่ามันเพียงพอที่จะสร้างความมั่นใจให้ไรอันมอบโอกาสให้อีกครั้ง?

ร่างสูงใหญ่เงยหน้าขึ้นจนท้ายทอยแตะผนังก่อนจะหลับตาแล้วแค่นยิ้ม เขาคงบ้าไปเองที่คิดว่าเวลาเพียงแค่วันสองวันจะช่วยเปลี่ยนความคิดของคนหัวดื้อคนนั้นได้ ที่สำคัญหลักฐานว่าเขาเลิกกับธีระแล้วก็มีแต่วาจาปากเปล่าเท่านั้น ไม่มีอะไรที่จะยืนยันให้อีกฝ่ายเชื่อได้อย่างเป็นรูปธรรมเลยสักอย่าง

แล้วทำไมไรอันจะต้องยอมเชื่อใจเขาด้วยล่ะ...

ความคิดอันชวนหดหู่นั้นไม่ต่างกับมีดที่กรีดลงบนอก แต่แล้วจู่ๆ ใจที่กำลังถูกความรู้สึกหนึบหน่วงบีบรัดก็ราวจะหยุดเต้นเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูด้านข้างเวที ณรงค์หันขวับไปมองคนที่กำลังแทรกตัวเข้ามาพร้อมกับเสียงดนตรีในห้องจัดงานที่ดังกระหึ่มตามขึ้นวูบหนึ่งก่อนจะแผ่วไปเมื่อบานประตูถูกปิดลง

ไรอันยืนนิ่งมองมือตัวเองที่จับอยู่บนลูกบิดประตู ครู่หนึ่งจึงค่อยๆ ผินหน้ามาสบตากับณรงค์ ผิวแก้มยังคงเรื่อสีเลือดฝาดเล็กน้อย อาจจะเพราะด้วยฤทธิ์ไวน์ที่ยังตกค้าง รวมทั้งความร้อนจากการไปเต้นเบียดกับเพื่อนร่วมงานอยู่กลางฟลอร์ แต่นั่นก็ไม่สำคัญต่อณรงค์เท่ากับว่า อีกฝ่ายยืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้วในนาทีนี้

ตามที่เขาเอ่ยขอเอาไว้จริงๆ

“I took more than 3 minutes…didn’t I?”

หนุ่มลูกครึ่งถามเสียงเบา ณรงค์จึงกะพริบตาปริบๆ แล้วก็พาซื่อยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู

“ก็...ไม่เท่าไหร่หรอก สายไปแค่สองนาทีเอง เมื่อกี้ผมนึกว่าคุณจะไม่ออกมาแล้วด้วยซ้ำ”

เฉดสีบนโหนกแก้มของหนุ่มลูกครึ่งพลันเข้มขึ้น ร่างสูงโปร่งทำท่าจะเปิดประตูเพื่อกลับเข้าไปในห้องจัดเลี้ยงอีกครั้ง ณรงค์จึงค่อยได้สติและรีบก้าวไปดันประตูกลับพร้อมกับดึงไรอันให้หันมาหา จากนั้นก็รีบก้มลงแนบริมฝีปากบนเรียวปากที่กำลังเผยอเตรียมจะว่าเขาทันที

“...ขอโทษ สำหรับคุณต่อให้สายกว่านี้ผมก็รอได้”

ณรงค์กระซิบชิดริมฝีปากได้รูป เขาใช้ร่างกายตัวเองและมือทั้งสองข้างยันผนังคร่อมหนุ่มลูกครึ่งไว้เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่หนี ก่อนจะไล่จุมพิตผะแผ่วไปตามคางและแก้มด้วยความรู้สึกโหยหาอย่างที่ไม่เคยมีให้ใครมาก่อน

ไรอันหลุบตาลงขณะที่มือทั้งสองข้างกำสาบเสื้อแจ็คเก็ตของณรงค์แน่น ร่างสูงโปร่งครางแผ่วเมื่อติ่งหูถูกขบเม้มเบาๆ กระทั่งดูเหมือนณรงค์จะจูบเขาจนพอใจและยอมถอยหน้าออกห่าง หนุ่มลูกครึ่งจึงค่อยช้อนตาสีน้ำตาลอ่อนขึ้น

“บางทีคุณก็ทำให้ผมอยากต่อยคุณจริงๆ รู้ตัวหรือเปล่า?”

ณรงค์ฟังแล้วก็ยิ้มอ่อนๆ พลางใช้ข้อนิ้วข้างหนึ่งไล้แก้มของคนตรงหน้าอย่างแผ่วเบา ตอนนี้ถึงจะโดนใช้วาจาคุกคามยังไงเขาก็ไม่คิดเล็กคิดน้อยอีกแล้ว เพราะความจริงก็คือไรอันยอมที่จะตามเขาออกมาด้วยตัวเอง ไม่ใช่เพราะว่าถูกบังคับหรือจำใจ

“ถ้างั้นก็ขอบคุณนะที่ยังไม่ต่อยผม”

ความดีใจที่อาบล้นไปทั้งอกทำให้ณรงค์ปากกล้าขึ้นโดยอัตโนมัติ ไรอันจึงหรี่ตาลงด้วยความหมั่นไส้ ก่อนจะเงียบไปจนคนตัวใหญ่กว่าขมวดคิ้ว

“รัก...เป็นอะไรไป?”

“พูดตามตรง...ผมไม่รู้ว่าตัวเองมาทำอะไรอยู่ตรงนี้”

คำตอบจากคนที่ทอดสายตาลงต่ำทำให้ณรงค์ใจหายวูบ นัยน์ตาสองข้างเบิกกว้างมองคนตรงหน้าราวกับไม่เชื่อหู มือข้างที่กำลังเกลี่ยไล้บนแก้มของไรอันหยุดชะงัก ส่วนภายในสมองก็ว่างเปล่าด้วยไร้ประโยคที่จะโต้ตอบ

ไรอันยังคงพูดต่อโดยไม่เลื่อนสายตาขึ้นสบกับเขา “หนึ่งเดือนที่ผ่านมา ผมเคยคิดว่าการตัดคุณออกจากชีวิตเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว เพราะในที่สุดคุณก็ทนผมไม่ได้จริงๆ ยิ่งพอคุณมีเด็กคนนั้น...ผมก็ตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับคุณอีก จนกระทั่ง....คุณมาทำบ้าๆ บอๆ ใส่ช่วงสองสามวันนี้ และมันน่าขำตรงที่...ลึกๆ ผมกลับดีใจ I’m such a hopeless bastard.”

ท้ายประโยคไรอันแค่นหัวเราะราวกำลังเยาะเย้ยตัวเอง นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนที่มองไปทางอื่นฉายแววรวดร้าวที่ยากจะปล่อยให้ใครเห็น แต่วินาทีนั้นเองที่ณรงค์รู้ว่าเขาไม่ใช่คนเดียวที่เจ็บปวดกับการแยกทางตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา

“ไรอัน....ฟังผมนะ”

ชายหนุ่มใช้มือสองข้างช้อนหน้าของหนุ่มลูกครึ่งให้เงยขึ้น และอธิบายด้วยความจริงใจที่สุดที่จะมอบให้ใครได้ผ่านคำพูดและนัยน์ตาที่มองลึกลงในตาอีกฝ่ายอย่างแน่วนิ่ง

“หนึ่งเดือนที่ผ่านมาระหว่างเราคือความผิดพลาด ผมยอมรับว่าไม่มั่นคงพอเองถึงทำให้เกิดเรื่องนั้น แต่ผมให้สัญญาได้ว่าจากนี้ไปมันจะไม่เกิดขึ้นอีก ดังนั้นผมขอแค่เรื่องเดียว ให้โอกาสผมได้แก้ตัวสักครั้ง คราวนี้ต่อให้คุณจะดื้อ จะไล่ผมยังไง ผมก็จะไม่ยอมทิ้งคุณไปไหนเด็ดขาด”

ไรอันสบตากับณรงค์นิ่ง ริมฝีปากเม้มแน่นเข้าหากันจนเป็นสีชมพูเข้ม และณรงค์ก็เชื่อว่าเขาตาไม่ฝาดที่เห็นร่องรอยของความหวั่นไหวในแววตาสีน้ำตาลอ่อนที่เจ้าตัวเคยพยายามซ่อนเร้นมาจนถึงบัดนี้

“ถ้าทำให้ผมผิดหวังอีก คราวนี้ผมจะเกลียดคุณไปตลอดชีวิตแน่”

ณรงค์รู้ได้ทันทีว่าความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำขู่นั้นคืออะไร มันไม่ใช่เพียงการขอความเชื่อมั่น หากแต่ยังมีความหมายแฝงที่ลึกซึ้งกว่านั้นด้วย

ทำให้ผมมั่นใจว่าคิดไม่ผิดที่รักคุณที...

ณรงค์เสยผมหยักศกบนหน้าผากไรอันขึ้น ก่อนจะค่อยๆ จรดริมฝีปากลงและกระซิบเสียงเบา

“ผมจะไม่ทำให้คุณผิดหวังอีก ผมสัญญา”

ชายหนุ่มกระชับอ้อมแขนรอบตัวหนุ่มลูกครึ่งแน่น ราวกับจะตอกย้ำน้ำหนักของวาจาที่เพิ่งได้ลั่นออกไป ต่อให้จากนี้ไรอันจะยังทำตัวเข้าใจยากจนน่าโมโหแค่ไหน เขาก็จะไม่น้อยใจอีกและยอมรับว่านั่นคือตัวตนที่ทำให้เขาหลงใหลตั้งแต่แรก และแขนสองข้างที่ค่อยๆ ยกขึ้นกอดเขาตอบก็ทำให้ณรงค์ดีใจจนยิ่งออกแรงกอดคนในอ้อมแขนแน่นขึ้น

“…Shall we go before everyone leaves?”

ไรอันถามหลังจากทั้งสองยืนซึมซับความอบอุ่นในอ้อมแขนของกันและกันครู่ใหญ่ ณรงค์จึงค่อยยืดตัวขึ้นจากไหล่ที่เมื่อครู่ก้มลงซบและมองไปทางประตูที่แม้จะปิดแต่ก็ยังพอได้ยินเสียงดนตรีเล็ดลอดออกมา

“จริงด้วยสิ ไม่รู้ว่าจะเลิกปาร์ตี้กันกี่โมง ขืนรอเดี๋ยวคนอื่นได้มาเห็นผมกับคุณกันพอดี”

“So, my room?”

ณรงค์หันกลับมาสบตาไรอันอีกครั้งเหมือนไม่แน่ใจว่าได้ยินถูก หนุ่มลูกครึ่งจึงยิ้มมุมปากน้อยๆ ก่อนจะโน้มคอเขาลงไปกระซิบที่ข้างหู

“ตอบแทนเรื่องสร้อยที่คุณให้ผมเมื่อตอนบ่ายก็แล้วกัน”

ชายหนุ่มมองลงไปในดวงตาสีน้ำตาลอ่อนแล้วก็ยิ้มตาม มือข้างที่ไม่ได้เคล็ดเลื่อนลงเกาะเกี่ยวมือของไรอันไว้ ก่อนจะจูงแล้วพาออกจากช่องทางเดินแคบๆ เพื่อไปยังทางเชื่อมระหว่างห้องพัก ในใจของเขาตอนนี้ลิงโลดไม่ต่างกับเด็กหนุ่มวัยรุ่น และคนข้างๆ ก็เป็นคนเดียวที่ทำให้ณรงค์รู้สึกเช่นนี้ได้ในรอบสิบกว่าปี

พอเข้ามาถึงห้องสวีทซึ่งอยู่คนละปีกอาคารกับห้องพักธรรมดา ไรอันก็หันไปล็อคประตูทันที ร่างสูงโปร่งยังไม่ทันจะหันกลับก็ถูกณรงค์รั้งตัวเข้าไปจูบและค่อยๆ ดันไปทางเตียง เมื่อทั้งสองล้มลงบนฟูก  ไรอันก็รีบพลิกตัวขึ้นเป็นฝ่ายทาบทับทั้งที่ริมฝีปากยังไม่ผละจากกัน แต่แล้วหนุ่มลูกครึ่งก็ชะงักเมื่อได้ยินคนข้างล่างส่งเสียงลอดไรฟันด้วยความเจ็บ

“ขอโทษ ผมลืมไป”

ไรอันคว้าข้อมือขวาของณรงค์ที่เมื่อครู่เผลอใช้กำลังกดขึ้นมาลูบเบาๆ ณรงค์จึงยิ้มเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจแล้วส่ายหน้า

“ไม่เป็นไรหรอก ผมสะเพร่าเองที่ไม่ได้ใส่แถบรัดข้อมือลงมา ไม่ต้องห่วง”
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคบทสรุป 8/12/11 P.6]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 08-12-2011 12:53:15
ณรงค์ดึงมือกลับแล้วค่อยๆ  ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตให้ไรอันที่กำลังถอดแจ็คเก็ตออกทั้งที่นั่งคร่อมเขาอยู่ จากนั้นก็ลูบไล้มือไปตามแผ่นอกเปลือยเปล่าที่มีกล้ามเนื้อตึงแน่น รอยยิ้มบนมุมปากของชายหนุ่มหยักลึกขึ้นเมื่อเห็นว่าไรอันใส่สร้อยที่เขาซื้อให้เมื่อตอนบ่ายไว้ใต้เสื้อเชิ้ต และเส้นหนังสีดำที่ห้อยยาวลงถึงกลางอกก็ตัดกับผิวเนียนลื่นสีงาช้างจนกลายเป็นภาพอันแสนจะเย้ายวนสายตา

ไรอันสูดหายใจลึกพร้อมกับแหงนเงยหน้าขึ้นเมื่อณรงค์ ไม่ละเลยที่จะบีบคลึงยอดอกสีชมพูเข้มทั้งสองข้าง ก่อนที่มือหนาจะเริ่มเลื่อนต่ำลงจากแผ่นอก ร่างสูงโปร่งกระตุกและเกร็งหน้าท้องเมื่อณรงค์รูดซิปกางเกงให้แล้วสอดมือเข้าไปเย้าแหย่กับส่วนที่ไวต่อการปลุกเร้า

“You bloody tease.”

ไรอันกระซิบเสียงหอบพลางก้มลงสบตากับเขา นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนที่ปกติสดใสเริ่มขุ่นมัวด้วยความปรารถนา ณรงค์จึงพลิกตัวให้หนุ่มลูกครึ่งนอนข้างล่างแล้วช่วยปลดเปลื้องอาภรณ์ที่เหลือของทั้งคู่จนผิวกายเปลือยเปล่าสัมผัสกันโดยตรง

“ผมคิดถึงคุณ”

ณรงค์พูดพลางก้มลงพรมจูบบนแผ่นอกที่หอบกระเพื่อม ขณะที่มือทั้งสองยังคงหยอกเย้าไปบนร่างกายที่อุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อยๆ ชายหนุ่มชะงักเมื่อถูกไรอันใช้สองมือประคองใบหน้าให้เงยขึ้นสบตา และได้พบว่านัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนก็สะท้อนถึงความรู้สึกที่อัดแน่นไม่ต่างกัน

“…Me too. อ๊ะ...”

ไรอันสำลักลมหายใจเมื่อมือของณรงค์เลื่อนลงช้อนส่วนอ่อนไหวขึ้นกอบกุม ร่างสูงใหญ่มองคนในอ้อมแขนที่ปิดตาแน่นและริมฝีปากเผยอโดยไร้เสียงร้อง ร่างกายสมส่วนราวนายแบบบิดเกร็งไปมาเพราะสัมผัสที่ได้รับ ณรงค์จึงยิ่งเร่งการเคลื่อนไหวของมือพร้อมกับก้มลงขบผิวตลอดแนวลำคอขาวเนียนไปด้วย

“ฮ้า....อื้มมมม!!”

ร่างของหนุ่มลูกครึ่งกระตุกอย่างแรงขณะลอยล่องสู่ห้วงแห่งความสุขสม ไหล่กว้างสั่นไหวอยู่ในอ้อมแขนของณรงค์พร้อมกับเสียงหอบหายใจที่ดังสะท้อน พลันนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนก็เบิกกว้างเมื่อรู้สึกถึงการรุกรานจากปลายนิ้วแข็งแรงซึ่งชุ่มด้วยหยาดหยดของตนเองที่ช่องทางด้านหลัง

“ผมพกถุงยางมา ไม่ต้องห่วง”

ณรงค์กระซิบเมื่อเห็นแววตาหวั่นเกรงของอีกฝ่าย ชายหนุ่มก้มลงล้วงเข้าไปในกระเป๋าด้านในของเสื้อแจ็คเก็ตที่หย่อนไว้ข้างเตียงก่อนจะหยิบถุงยางอันหนึ่งขึ้นมา ใบหน้าของไรอันเปลี่ยนเป็นสีแดงจัดเมื่อณรงค์ผละมือไปรูดรั้งส่วนไวสัมผัสของตัวเองก่อนจะครอบถุงยางที่ฉีกออกจากซองลงจนแนบสนิท

“นี่คุณพกไอ้นี่ติดตัวตลอดเวลาเลยหรือไง? อื้อ!!”

ไรอันถามไม่ทันจบประโยคก็เสียงสะดุดเมื่อณรงค์กลับมาใช้ปลายนิ้วสร้างความคุ้นเคยให้กับช่องทางอันคับแน่นอีกครั้ง และคราวนี้ชายหนุ่มสอดนิ้วเพิ่มเข้าไปด้วย หนุ่มลูกครึ่งส่งเสียงครางต่ำเมื่อนิ้วทั้งสองค่อยๆ ขยับไปมาเพื่อขยายช่องทางที่ไม่เคยถูกใครล่วงล้ำมาก่อนอย่างใจเย็น

“ก็ตั้งแต่วันวาเลนไทน์ที่โดนคุณถามนั่นแหละ รัก...อย่าเกร็งนะ”

ณรงค์ปลอบพลางใช้อีกมือหยอกเอินส่วนไวสัมผัสของไรอันเพื่อเบี่ยงความสนใจ หนุ่มลูกครึ่งปิดตาแน่นพลางเกร็งมือกำผ้าปูที่นอนจนข้อนิ้วซีดขาว เช่นเดียวกับเรียวขาที่แยกออกกว้างและจิกปลายเท้าลงบนเตียงด้วยความรัญจวน จวบจนณรงค์คิดว่าอีกฝ่ายน่าจะพร้อมรับเขาได้แล้ว จึงถอนนิ้วออกและแทรกตัวเข้าระหว่างช่วงขาแข็งแรง จากนั้นก็ค่อยดันส่วนปลายของแก่นกายที่สวมเครื่องป้องกันเข้าในช่องทางอันเล็กแคบช้าๆ

“…hurts…”

ไรอันเอ่ยลอดไรฟันที่ขบแน่น เรือนร่างที่กำลังรองรับความแข็งแกร่งเกร็งขึ้นโดยอัตโนมัติ ขณะที่ณรงค์ก็ต้องควบคุมกล้ามเนื้อทุกส่วนไม่ให้เผลอกระตุกแล้วเดินหน้าอย่างที่ใจต้องการ เขาไม่ต้องการให้คนในอ้อมแขนเจ็บหรือรู้สึกไม่ดีกับครั้งแรกจึงพยายามอ่อนโยนที่สุด ซึ่งกับธีระเขายังไม่ใส่ใจถึงขนาดนี้เลยด้วยซ้ำ

“ไม่เป็นไรนะ ผมจะทำช้าๆ เด็กดี หายใจลึกๆ ไว้”

ณรงค์ให้กำลังใจพร้อมกับลูบท่อนขาและปลุกเร้าส่วนอ่อนไหวให้ ขณะเดียวกันก็ก้มลงจูบบนยอดอกและซอกคอเพื่อให้ไรอันผ่อนคลายลงด้วย ชายหนุ่มพยายามแทรกกายให้ช้าที่สุดเพื่อให้เวลาอีกฝ่ายได้ปรับตัว กว่าเขาจะรู้สึกว่าร่างกายหลอมรวมกับหนุ่มลูกครึ่งอย่างสมบูรณ์ บนหน้าผากกับแผ่นหลังของณรงค์ก็มีเหงื่อซึมออกมาจนชุ่ม

ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าด้านในของไรอันกำลังบีบรัดเขาอย่างแรง จึงพยายามบังคับร่างกายให้อยู่นิ่งและก้มลงจูบแลกลิ้นกับคนในอ้อมแขนไปเรื่อยๆ จวบจนเขารู้สึกว่าช่องทางคับแน่นเริ่มคลายแรงบีบรัดสิ่งรุกรานลงบ้างแล้ว เช่นเดียวกับลมหายใจของไรอันที่เริ่มผิดจังหวะน้อยลง เขาจึงค่อยๆ ขยับสะโพกเข้าออกในช่องทางอุ่นแน่นช้าๆ

“ไรอัน...รัก...ผมรักคุณ”

ณรงค์พร่ำพูดพร้อมกับขยับกายด้วยจังหวะที่เร่งเร้าขึ้นเรื่อยๆ และเขาก็รู้สึกได้ว่าไรอันก็เริ่มขยับตัวตอบสนองแม้จะค่อนข้างช้าเพราะไม่ชิน กระทั่งท่วงทำนองของทั้งสองเริ่มปรับเข้าหากัน ณรงค์ก็คุกเข่าพลางรั้งขาของไรอันให้เกาะเกี่ยวเอวเขาไว้ ก่อนจะเท้ามือลงบนฟูกแล้วปลดปล่อยความต้องการออกมาเต็มที่โดยไม่ยั้งไว้อีก และความรุนแรงนั้นก็ทำให้ไรอันต้องคล้องแขนรอบคอแข็งแรงแน่นเพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวท่ามกลางเพลิงของดำฤษณาที่โหมเข้าแผดเผาทั้งคู่มากขึ้นทุกที

“ณรงค์...อ๊า!!”

เสียงกรีดร้องและจังหวะตอดรัดถี่ของร่างกายที่ประสานกันทำให้ณรงค์รู้ว่าไรอันกำลังบรรลุความสุขสมอีกครั้ง จึงก้มลงจูบผนึกเสียงของอีกฝ่ายเอาไว้ ขณะเดียวกันก็เร่งการเคลื่อนไหวของตัวเองและสอดมือลงเพื่อช่วยให้ไรอันถึงฝั่งเร็วขึ้น เมื่อเขาผงกหัวขึ้นก็เห็นสายสร้อยหนังสีดำกับจี้สีขาวมุกที่คล้องรอบคอหนุ่มลูกครึ่งถูกอาบด้วยหยาดเหงื่อบนแผ่นอกจนสะท้อนแสงไฟในห้องเป็นเงาวาว เกิดเป็นภาพอันยั่วยวนที่ดึงดูดสายตาของณรงค์ให้หรี่มองอย่างหลงใหล พร้อมๆ กับที่รู้สึกได้ถึงความปรารถนาของตัวเองที่กำลังจะแตกปะทุหลังจากเก็บกดมานานเช่นกัน

นี่คือวินาทีที่เขาใฝ่ฝันถึงมาตลอด วินาทีที่ได้หลอมรวมร่างกายและจิตใจกับคนที่กุมหัวใจเขาไว้อย่างแท้จริง และณรงค์ก็หลับตาขณะปล่อยให้ร่างกายขับเคลื่อนไปตามสัญชาตญาณจนสุดทางโดยไม่ควบคุมอะไรอีก

"Fuck...."

ไรอันครางเสียงต่ำหลังจากคลื่นพายุแห่งความปรารถนาหอบใหญ่พัดผ่าน เหลือไว้เพียงความอิ่มเอมผสานกับความเหนื่อยล้าที่โรยรายอย่างอ้อยอิ่งเป็นหลักฐาน แผ่นอกตึงแน่นกระเพื่อมถี่ตามลมหายใจที่ยังหอบระรัว ขณะที่ณรงค์จูบเคลียไปบนจมูกและตามผิวแก้มของไรอันที่กลายเป็นสีชมพูจากโลหิตที่สูบฉีด ร่างสูงใหญ่เท้าตัวบนศอกทั้งสองข้างและรอจนกระทั่งช่องทางด้านล่างคลายแรงบีบจึงค่อยถอนกายอย่างช้าๆ จากนั้นก็รูดถุงยางออกทิ้งในถังขยะซึ่งตั้งอยู่ไม่ห่าง

“...Shit!!”

ยังไม่ทันจะได้ปรับลมหายใจให้เป็นปกติ ไรอันก็สะดุ้งและพยายามจะผลักศีรษะณรงค์ออกเมื่อร่างสูงใหญ่ก้มลงเก็บกวาดหยาดหยดบนหน้าท้องของเขาด้วยปลายลิ้น แต่ณรงค์ก็ไม่สนและใช้มือยึดเอวสอบให้อยู่นิ่ง กระทั่งปลายลิ้นร้อนลามเลียต่ำลงถึงแก่นเนื้ออุ่นที่บัดนี้อ่อนตัวอยู่บนหน้าขา ไรอันก็ได้แต่ทิ้งตัวลงแล้วส่งเสียงครางหวิวอย่างสิ้นแรงจะห้าม

“ผมอยากทำแบบนี้กับคุณมานานแล้ว”

ณรงค์ใช้หลังมือปาดคราบที่หลงเหลือบนริมฝีปากแล้วค่อยเลื่อนตัวขึ้น แววตาที่จ้องมองนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนซึ่งปรือขึ้นช้าๆ นั้นไม่สะท้อนว่ากระดากปากกับสิ่งที่เพิ่งเอ่ยสักนิด  ใบหน้าของไรอันจึงเห่อแดงขึ้น เช่นเดียวกับนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนที่เบิกกว้างด้วยความเขินอายและคาดไม่ถึง

“You pervert!!”

หนุ่มลูกครึ่งยกหมอนตีไหล่ณรงค์แล้วรีบตะแคงตัวหนี การเปลี่ยนอิริยาบถอย่างฉับพลันกระเทือนช่องทางเบื้องล่างที่เพิ่งผ่านการช้ำจนเขาหลุดเสียงครางในคอ ณรงค์จึงรีบจับไหล่ไว้แล้วก้มลงถามอย่างเป็นห่วง

“คุณเจ็บเหรอ? เดี๋ยวผมดูให้นะว่าเป็นแผลหรือเปล่า”

“DON’T!!! I just…need to clean myself up!”

ไรอันรีบพลิกตัวกลับมาห้ามด้วยความตระหนก ทั้งหน้าและใบหูแดงยิ่งกว่ามะเขือเทศสุก ตอนแรกณรงค์ขมวดคิ้วด้วยไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายต้องอิดออด แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าคงเพราะอายที่เขาบอกว่าจะช่วยดูตรงที่เจ็บให้

ถึงยังไงก็เพิ่งจะครั้งแรกนี่นะ...

เมื่อตระหนักในข้อนี้ มุมปากของณรงค์ก็หยักขึ้นน้อยๆ อย่างห้ามไม่ได้ “เข้าใจแล้ว ถ้างั้นลุกไปห้องน้ำไหวมั้ย? หรือให้ผมอุ้มไปจะดีกว่า?”

ดูเหมือนไรอันจะอ่านรอยยิ้มของณรงค์ออก จึงปัดมือที่ยื่นมาช่วยด้วยความหมั่นไส้และพยายามลุกจากเตียงเองอย่างทุลักทุเล แต่พอออกเดินได้แค่สองก้าวก็ต้องรีบคว้าขอบโต๊ะเอาไว้เพราะเข่าอ่อนกะทันหัน ณรงค์จึงรีบลงจากเตียงไปช้อนตัวขึ้นอุ้มจนถูกโวยวายใส่

“Put me down! I’m not some bloody girl!!”

“รู้แล้วว่าไม่ใช่ แต่หลังครั้งแรกถ้าคุณยืนไม่ไหวก็ไม่แปลกหรอก ให้ผมช่วยพาไปอาบน้ำดีกว่าจะได้รีบออกมานอนพักไง”

ณรงค์ไม่ฟังอีร้าค่าอีรมแล้วก็อุ้มไรอันเดินเข้าไปในห้องน้ำเลย ฝ่ายหนุ่มลูกครึ่งแม้จะอยากแผลงฤทธิ์แต่ก็รู้ว่าตัวเองไม่มีแรงจริงๆ จึงต้องจำยอมให้ณรงค์อาบน้ำชำระร่างกายให้ พอเสร็จแล้วทั้งคู่ก็ใส่เสื้อคลุมที่ทางโรงแรมเตรียมไว้แล้วออกมานอนบนเตียงด้วยกัน

จากห้องพักของไรอันจะสามารถได้ยินเสียงคลื่นกระทบฝั่งได้อย่างชัดเจน ณรงค์นอนตะแคงแล้วใช้มือหนึ่งเท้าศีรษะไว้ ส่วนอีกมือม้วนผมไรอันเล่นไปเรื่อย ขณะที่อีกฝ่ายเพียงแต่นอนฟังเสียงคลื่นนิ่งๆ ถึงแม้จะยังมีท่าทางอ่อนเพลีย แต่นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนยังฉายประกายแจ่มใสว่าไม่ง่วง และบนคอก็ยังสวมสร้อยที่ณรงค์ซื้อให้อยู่ด้วย

ตอนอยู่ในห้องน้ำณรงค์ร่ำๆ จะชวนไรอันต่อรอบสองไปหลายครั้ง แต่ก็เห็นใจว่านี่เพิ่งเป็นครั้งแรกของอีกฝ่าย แถมพรุ่งนี้พวกเขายังต้องเดินทางกลับกรุงเทพฯ พร้อมเพื่อนร่วมงานอีก ถ้าเกิดผู้บริหารหนุ่มลุกเดินไม่ไหวโดยไร้คำอธิบายคงดูไม่ดีแน่ จึงทำได้อย่างมากเพียงชวนอีกฝ่ายสัมผัสร่างกายกันเหมือนครั้งที่กลับไปเยี่ยมบ้านช่วงสงกรานต์เท่านั้น

“James would have a field day tomorrow if he found out about this.”

ณรงค์เลิกคิ้วเมื่อจู่ๆ ไรอันก็เอ่ยถึงเจมส์ขึ้นมา หนุ่มลูกครึ่งเหลือบเห็นสีหน้าของเขาจึงรีบอธิบาย

“ขอบอกไว้ก่อนนะ ที่ก่อนนี้ผมโกรธที่คุณกล่าวหาเรื่องผมกับหมอนั่นก็เพราะเราเป็นแค่ญาติกันจริงๆ อีกอย่างเจมส์ก็แต่งงานแล้วด้วย แฟนเขา...จูเลียเป็นเพื่อนมหา’ลัยของผมเอง ที่พวกเขาได้เจอกันก็เพราะผมนี่แหละ หมอนั่นถึงได้รู้สึกว่าอยากเห็นผมมีคนรักบ้างล่ะมั้ง”

ณรงค์ยิ้มเมื่อเห็นไรอันพยายามเล่าความเป็นมาของตนกับญาติผู้พี่เพื่อให้เขาสบายใจ และที่ทำให้ใจเขาพองโตมากที่สุดก็คือคำว่า ‘คนรัก’ ที่ไรอันพูดออกมาโดยไม่มีอาการอึกอักเลยแม้แต่น้อย

“เจมส์บอกผมแล้วล่ะ เขาเป็นห่วงคุณมากจริงๆ นั่นแหละ ขอโทษด้วยนะถ้าหากผมทำให้คุณนึกถึงเรื่องที่พ่อคุณเคยทำ...ถ้าเจมส์ไม่บอก ผมคงไม่รู้ว่าตอนเด็กคุณต้องผ่านอะไรมาบ้าง”

ชายหนุ่มเอ่ยแล้วก้มลงจูบบนเรือนผมหยักศกที่สระและเป่าจนแห้งแล้ว แต่พอไรอันได้ยินก็ผุดลุกขึ้นนั่งทันที

“เจมส์บอกคุณ? เรื่องพ่อผม?”

น้ำเสียงและสีหน้าไม่พอใจของไรอันทำให้ณรงค์เอะใจว่าอาจไม่ควรพูดเรื่องนั้นขึ้นมา เขาก็ดันจำไม่ได้เสียด้วยว่าเจมส์ได้บอกให้เก็บเรื่องที่คุยกันเป็นความลับหรือไม่ แต่ดูท่าทางแล้วเขาคงทำพลาดไปแน่ๆ

“เอ่อ...ก็ใช่ เดี๋ยวสิรัก! คุณจะไปไหน?”

“I’m going to kill that bastard!!”

ณรงค์รีบรั้งเอวคนที่ทำท่าจะลุกลงจากเตียงไว้แล้วกดให้นอนอยู่กับที่ ไรอันจึงดิ้นขลุกขลักจนเสื้อคลุมหลุดลุ่ยไปหมด ดูเหมือนเรี่ยวแรงของหนุ่มลูกครึ่งจะกลับมาแล้วหลังจากได้นอนพักไปครู่ใหญ่จนณรงค์ต้องพลอยออกแรงตามไปด้วย

“เดี๋ยวสิ! ไม่เห็นต้องทำอะไรแบบนั้นก็ได้นี่ อย่างน้อยเจมส์ก็เป็นคนช่วยให้ผมกับคุณคืนดีกันนะ!!”

“ไม่ได้หมายความว่าต้องเล่าเรื่องพ่อแม่ผมให้คุณฟังนี่!! ปล่อย!!!”

หนุ่มลูกครึ่งยังพยายามจะดิ้นหนีไม่เลิก ณรงค์เลยต้องออกแรงกอดรัดเต็มที่เพื่อให้อยู่นิ่งๆ กว่าจะทำให้คนดื้อยอมสงบลงได้ก็ต่างฝ่ายต่างเสียเหงื่อกันอีกรอบ

“...ทำไมจะต้องห้ามผมด้วย!?”

ไรอันตะคอกถาม แต่ด้วยท่าทางที่ทำอะไรไม่ได้มากนักเพราะโดนณรงค์กอดไว้จากด้านหลัง แถมยังเอาขาเกี่ยวไว้อีกจนดิ้นหนีไม่สะดวก ณรงค์จึงยิ้มเหนื่อยๆ พลางถอนหายใจ

“ก็นี่มันดึกแล้วนี่นา ขืนปล่อยให้คุณไปเคาะประตูห้องเจมส์จะได้กลายเป็นขี้ปากคนอื่นน่ะสิ อีกอย่างที่เจมส์เล่าเรื่องนั้นให้ฟังก็เพราะอยากให้ผมกับคุณคืนดีกัน เขาทำให้ผมเข้าใจคุณมากขึ้นนะ”

ไรอันทำเสียงฮึดฮัดในคออย่างไม่ยอมลงให้ ณรงค์เห็นดังนั้นก็พอจะนึกออกว่าตอนเด็กๆ อีกฝ่ายคงทำให้คนรอบข้างปวดหัวน่าดู จึงพยายามใช้น้ำเย็นเข้าลูบด้วยการก้มจูบต้นคอเบาๆ

“ต่อจากนี้คุณก็เล่าเรื่องที่บ้านของคุณให้ผมฟังเองสิ นะ? ผมจะได้ไม่ต้องไปถามจากเจมส์อีกไง”

ร่างสูงใหญ่ค่อยคลายแรงกอดรัดเมื่อไรอันยอมสงบลง จากนั้นก็ใช้มือเสยผมที่ปรกบนหน้าผากให้แล้วเพียงนอนกอดเอวอีกฝ่ายหลวมๆ ทั้งสองนอนฟังเสียงคลื่นที่ดังลอดหน้าต่างเข้ามาครู่หนึ่ง ไรอันที่เงียบไปนานก็ถามขึ้น

“ตอนที่คบกับเด็กคนนั้น...คุณรักเขาบ้างหรือเปล่า?”

คำถามนั้นทำให้ณรงค์ขมวดคิ้ว เขาจับไหล่คนในอ้อมแขนให้พลิกกลับมาหา แต่ไรอันก็เอาแต่เม้มปากแน่นและไม่สบตาด้วย ชายหนุ่มจึงถอนหายใจก่อนจะลูบไหล่ใต้เสื้อคลุมไปมา

ไรอันยังไม่อาจเชื่อใจเขาได้เต็มที่ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้หากพิจารณาจากประสบการณ์วัยเด็กและบทเรียนที่เพิ่งผ่านไปไม่นาน แต่เขายินดีจะใช้เวลาต่อจากนี้ทำทุกอย่างจนกว่าคนที่รักจะเชื่อใจเขาเต็มร้อย ต่อให้นั่นจะรวมถึงการต้องคอยย้ำเรื่องเดิมซ้ำไปซ้ำมาก็ตามที

“กับเด็กคนนั้น...ผมเอ็นดูแล้วก็สงสาร รู้สึกผิดที่ดึงเขาเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ความรู้สึกที่ผมมีให้เขา...เป็นคนละอย่างกับที่ผมมีให้คุณ”

ณรงค์ใช้นิ้วโป้งลูบแก้มไรอันเบาๆ ขณะพูด ในที่สุดนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนก็ยอมเหลือบขึ้นมอง
และณรงค์ก็เห็นความหวั่นไหวที่สะท้อนในดวงตาคู่นั้นอย่างชัดเจน

“คุณก็เห็นแล้วว่าผมนิสัยเสียแค่ไหน ในอนาคตคุณอาจจะเสียใจก็ได้ที่ทิ้งเด็กคนนั้นมาหาผม”

ไรอันจับมือณรงค์ที่ลูบอยู่บนแก้มและวางลงบนที่ว่างระหว่างทั้งคู่ นัยน์ตาของทั้งสองสบกันนิ่งโดยไม่มีการแลกเปลี่ยนคำพูดอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่ณรงค์จะยิ้มและยกหลังมือไรอันขึ้นจูบ

เขากำลังโดนลองใจ....แต่นั่นก็เป็นเพราะไรอันกลัวว่าจะเจ็บจากความเสี่ยงที่อาจต้องเสียเขาไปอีกครั้ง ถึงได้รีบบอกเป็นนัยๆ ว่า ‘กลับใจตอนนี้ยังทัน’

ถ้าไม่เพราะรัก...จะกล้าพูดอย่างนี้ทั้งที่เพิ่งมีอะไรกันได้หรือ...

“ผมจะเสียใจมากกว่า ถ้าหากผมหลอกหัวใจตัวเองด้วยการไม่กลับมาหาคุณ”

ชายหนุ่มขยับเข้าไปแนบริมฝีปากลงบนริมฝีปากหยักได้รูปอย่างแผ่วเบา สัมผัสนั้นอ่อนโยน ปราศจากการรุกเร้า ราวกับเพียงเพื่อตอกย้ำความในใจที่เขาเพิ่งเอ่ย เมื่อณรงค์ถอนริมฝีปากออก ไรอันก็มองตาเขาเงียบๆ ก่อนจะขยับเข้ามากอดเอวไว้และซุกหน้าลง

“Promise me you’ll never take those words back.”

ลมหายใจอุ่นๆ ซึ่งรดเรี่ยอยู่บนแผ่นอก กอปรกับความอบอุ่นของร่างที่เป็นฝ่ายกอดเขาก่อนเป็นครั้งแรกทำให้นัยน์ตาของณรงค์เป็นประกายระยับ ไม่ต่างจากหัวใจที่เต้นรัวเร็วขึ้นด้วยความยินดีที่อาบเอิบจนชุ่มฉ่ำไปทั้งอก

จะมีอะไรที่น่ายินดีไปกว่านี้...เมื่อคนที่รักขอคำมั่นว่าไม่ให้ลืมเลือนคำบอกรักที่เขามอบให้เพราะหวั่นเกรงกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง และณรงค์ก็ยินดีจะมอบคำสัญญานั้นโดยไม่ต้องเสียเวลาคิดเลยสักกึ่งเสี้ยววินาที

ในเมื่อเขามั่นใจในคำตอบที่มีอยู่แล้ว

“I promise.”



++------++
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคบทสรุป 8/12/11 P.6]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 08-12-2011 12:55:12
เช้าตรู่วันถัดมา ณรงค์ตื่นแต่เช้าเพื่อออกไปถ่ายรูปและเล่นน้ำทะเลกับไรอันที่หาดหน้าห้องสวีท จนเมื่อพระอาทิตย์ลอยขึ้นพ้นขอบน้ำแล้วจึงกลับไปอาบน้ำแต่งตัวที่ห้องก่อนอิสราจะตื่น พอเขาแต่งตัวเสร็จและเดินไปยังห้องอาหารเช้าก็พบว่าไรอันยืนตักอาหารอยู่ก่อนแล้ว ส่วนเพื่อนร่วมงานส่วนใหญ่ยังไม่ลงมาเพราะเมื่อคืนคงจะปาร์ตี้กันหนัก เขาจึงเดินเข้าไปกระซิบถามข้างหูผู้บริหารหนุ่ม

“โต๊ะเดิมที่นั่งเมื่อวานนะ?”

ไรอันเหลือบตาขึ้นยิ้มและพยักหน้ารับ และณรงค์ก็รู้สึกราวกับรอยยิ้มของอีกฝ่ายวันนี้สดใสที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นตั้งแต่ทั้งคู่รู้จักกันก็ว่าได้

ชายหนุ่มแยกไปเดินตักอาหารของตัวเองบ้าง จากนั้นก็ถือไปนั่งรอที่โต๊ะตัวเดียวกับที่พวกเขาทานอาหารเช้ากันเมื่อวาน ไม่นานไรอันก็เดินตามมานั่งลง

“ผมสังเกตมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ดูคุณชอบกินคอร์นเฟล็กกับโยเกิร์ตมากกว่านมนะ?”

ณรงค์ทักขณะใช้มีดกับส้อมหั่นไส้กรอกในจาน ไรอันจึงเหลือบมองอาหารเช้าของตัวเองซึ่งมีเพียงคอร์นเฟล็ก ไข่ดาว ขนมปังหนึ่งชิ้นแล้วก็ผักอบก่อนจะยักไหล่ “เพราะแม่ผมก็ชอบกินแบบนี้ผมเลยกินตามล่ะมั้ง? อีกอย่างผมอ้วนง่ายเลยไม่ค่อยชอบอะไรมันๆ แบบนั้นเท่าไหร่”

หนุ่มลูกครึ่งพูดพลางใช้ปลายส้อมชี้มาทางเบคอนทอดที่กองพูนในจานของณรงค์ เขาจึงยิ้มแล้วชะโงกตัวเข้าไปกระซิบข้างหูอีกฝ่าย

“ก็เมื่อคืนใช้พลังงานไปตั้งเยอะ ผมก็ต้องกินชดเชยไอ้ที่เสียไปบ้างสิ อุ้ก!!”

ชายหนุ่มแกล้งงอตัวเมื่อโดนไรอันตุ๊ยท้องเบาๆ เข้าให้ หนุ่มลูกครึ่งตักอาหารเช้าทานต่อเหมือนไม่รู้สึกอะไร กระนั้นก็ปิดบังสีชมพูอ่อนๆ ที่เรื่อบนโหนกแก้มไม่ได้

น่ารักชะมัด...

ความคิดนั้นผุดขึ้นในหัวณรงค์ที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จนคนเห็นเริ่มจะหมั่นไส้ ทันใดนั้นเจมส์ก็เดินมาพร้อมกับถ้วยกาแฟและลากเก้าอี้มานั่งร่วมวงด้วย

“May I?”

เจมส์ถามยิ้มๆ แต่ณรงค์ก็เพียงยิ้มตอบและพยักหน้าให้ เพราะรู้แล้วว่าไม่มีความจำเป็นจะต้องระแวงญาติผู้พี่ของไรอันอีกแล้ว

“You look very good today if I might say, you too, bro.”

เจมส์ตบบ่าณรงค์ก่อนจะหันไปหาไรอันพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ หนุ่มลูกครึ่งที่อ่อนวัยกว่าจึงวางแก้วน้ำที่เพิ่งดื่มลงแล้วหยิบผ้าเช็ดปากขึ้นวางบนโต๊ะ

“Actually, I kinda have something to say to you too. Can we have a minute?”

ไรอันเอ่ยแล้วก็ลุกขึ้นยืน ส่วนเจมส์ได้แต่ยิ้มค้าง ณรงค์จึงมองทั้งคู่สลับกันอย่างไม่เข้าใจ

“ไม่ต้องห่วง ผมแค่จะคุยกับเขาเป็นการส่วนตัวแป๊บเดียวเท่านั้นแหละ”

ไรอันยิ้มให้ณรงค์ก่อนจะลากแขนเจมส์แล้วเดินหายไปทางมุมตึก ชายหนุ่มได้ยินเสียงคุยแว่วๆ เป็นภาษาอังกฤษที่จับความไม่ได้ ก่อนจะตามด้วยเสียงที่เหมือนกับ ‘Ouch!’ ครู่หนึ่งทั้งคู่จึงเดินกลับมาโดยที่ไรอันนำมาก่อน ส่วนเจมส์เดินตัวงอตามหลังมาช้าๆ โดยมีมือข้างหนึ่งกุมท้อง ใบหน้าหล่อเหลาเหยเกด้วยความเจ็บปวด

“ผมจะไปเอากาแฟเพิ่ม คุณจะเอาด้วยมั้ย?”

ไรอันเดินกลับมาถึงโต๊ะก็ถามณรงค์ด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พอเขาปฏิเสธด้วยแววตางุนงง อีกฝ่ายก็ฉวยถ้วยกาแฟกับจานรองแล้วเดินหายเข้าไปด้านใน ฝ่ายเจมส์ที่เดินมาถึงโต๊ะในที่สุดก็ค่อยๆ ทิ้งตัวลงนั่งพร้อมกับส่งเสียงอูยไปด้วย

“เกิดอะไรขึ้นน่ะ?”

ณรงค์ขมวดคิ้วถาม เจมส์ซึ่งยังลูบท้องไปมาจึงตอบเสียงค่อย “เอ่อ...ภาษาไทยคงเรียกว่าทำโทษมั้ง? หมอนั่นไม่พอใจที่ผมเล่าเรื่องพ่อกับแม่ให้คุณฟัง แล้วก็เลยสั่งสอนปิดท้ายมานิดหน่อย ผมคงยังไม่ได้บอกคุณล่ะสิว่าหมอนั่นเคยเรียนมวยไทยสมัยเด็กๆ หมัดยังหนักเหมือนเดิมเลยให้ตาย”

ณรงค์เดาได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อครู่ แล้วก็ได้แต่ยิ้มอย่างเห็นใจญาติผู้พี่ของไรอัน เพราะเขาเองก็เคยโดนฤทธิ์หมัดของหนุ่มลูกครึ่งมากับตัวตอนที่ขโมยจูบแรกในห้องน้ำ

เคยเรียนมวยไทยมาจริงๆ ด้วยสิ...สงสัยจะต้องหัดระวังตัวไว้บ้างแล้ว

“You still here?”

ไรอันเดินกลับมาถึงโต๊ะแล้วก็เลิกคิ้วถาม เจมส์จึงค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นอย่างลำบาก “Yeah yeah love birds. I’m just an eyesore now, alright. At least I have a new gossip to tell Julia this time.”

หนุ่มลูกครึ่งถลึงตาใส่ญาติผู้พี่ที่เดินสวนออกไป พอร่างสูงโปร่งนั่งลงก็เห็นณรงค์จ้องเขาอยู่โดยเท้าคางบนกำปั้นข้างหนึ่ง จึงหยิบโถครีมเทียมมาตักใส่กาแฟแล้วถามขึ้น

“What?”

ณรงค์ส่ายหน้ายิ้มๆ “ไม่มีอะไร ผมแค่กำลังคิดว่าถ้าต่อไปเกิดทำอะไรไม่เข้าตาคุณจะโดนต่อยหรือเปล่า”

“ผมไม่ใช่พวกใช้ความรุนแรงพร่ำเพรื่อหรอกน่ะ ถ้าหากว่าไม่จำเป็นจริงๆ”

ไรอันตอบพลางยกกาแฟขึ้นจิบ ณรงค์จึงยกมืออีกข้างของหนุ่มลูกครึ่งขึ้นมาประทับริมฝีปากลงไปเบาๆ “งั้นก็หวังว่าจากนี้คุณจะไม่จำเป็นต้องใช้ความรุนแรงกับผมก็แล้วกัน”

หนุ่มลูกครึ่งพ่นหัวเราะทางจมูกโดยไม่สัญญิงสัญญาด้วย นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเหลือบเห็นอะไรไหวๆ ทางหางตา จึงหันไปกระซิบข้างหูณรงค์ “ว่าแต่คุณอาจจะต้องอธิบายเรื่องของพวกเรากับรุ่นน้องคุณแล้วล่ะนะ สองคนนั้นยืนอยู่หลังพุ่มไม้โน่นแน่ะ”

ณรงค์เลิกคิ้วก่อนจะมองตาม แล้วก็เห็นเงาคนสองคนยืนหลบอยู่หลังพุ่มไม้ที่กั้นระหว่างห้องอาหารด้านในกับด้านนอกแวบๆ ซึ่งกระโปรงผ้าพลิ้วสีเขียวแปร๊ดพิมพ์ลายดอกสีแดงนั้นเป็นตัวเก่งที่ยุพดีใส่บ่อยจนเขายังจำได้ จึงถามหนุ่มลูกครึ่งโดยกระชับมือที่จับไว้แน่นขึ้น

“ผมบอกเรื่องของพวกเราได้ไหมล่ะ?”

“ก็ถ้าคุณไม่คิดว่าจะไปคบคนอื่นนอกจากผมอีกล่ะก็นะ”

ไรอันตอบหน้าตาย และถ้าไม่ติดว่ารู้ว่าอิสรากับยุพดีแอบยืนดูอยู่ ณรงค์คงดึงคนพูดมาหอมแก้มด้วยความมันเขี้ยวไปแล้ว

“I’ll see you at the lobby.”

หนุ่มลูกครึ่งเอ่ยก่อนจะเดินกลับไปห้องพักเพื่อเก็บกระเป๋าเตรียมเช็คเอ๊าท์ ณรงค์จึงพยักหน้าให้แล้วลุกเดินไปทางที่เห็นเงาของรุ่นน้องทั้งสอง

“ผึ้ง อ๋อง ไม่กินข้าวเช้าหรือไงถึงมายืนตรงนี้?”

พอถูกเรียกและมั่นใจว่าลับหลังไรอันแล้ว รุ่นน้องสาวก็รีบพุ่งออกจากที่ซ่อนตัวมาหาเขาทันที “พี่รงค์!!!! ตะกี้ๆๆๆ…ตะกี้มันอะไรอ้ะ!!?? บอกทีว่าผึ้งไม่ได้ตาฝาดใช่มั้ย???  พี่รงค์กับคุณไรอัน....โอ๊ย!! เป็นไปได้ไง!? ผึ้งไม่อยากจะเชื่อ!!!”

จากคำพูดโวยวายไม่ปะติดปะต่อ ณรงค์ก็เดาได้ว่าคงไม่ต้องอธิบายอะไรมากแล้ว จึงเพียงแต่เลิกคิ้วแล้วกอดอกถาม

“เราเห็นพวกพี่ตั้งแต่ตอนไหน แล้วนึกยังไงถึงมาแอบดู?”

“เฮ่ยพี่รงค์! พวกผมไม่ได้ตั้งใจนะ แค่จะเดินหาว่าพี่รงค์อยู่ไหนจะได้ชวนไปถ่ายรูปเล่นเท่านั้นเอง ก็ทันมาเห็นตอนพี่...ดึงมือคุณเขามาจูบน่ะ ดีนะว่ายายคนนี้ไม่เผลอกรี๊ดออกมา”

อิสราตอบพลางเหล่มองคนข้างๆ ส่วนยุพดีเอาสองมือกุมแก้มไว้แล้วทำตาโตเมื่อฉุกคิดได้

“คนที่แอบชอบมีชื่อขึ้นต้นด้วย ร.เรือ! ที่แท้ก็อย่างนี้เอง!! ว่าแต่ๆๆ พี่รงค์...แล้วน้องผู้ชายคนนั้นล่ะ? ตกลงน้องเขาไม่ใช่แฟนพี่รงค์หรอกเหรอ??”

คำถามนั้นทำให้รอยยิ้มของณรงค์แข็งค้าง ตลอดทริปนี้เขามัวแต่มุ่งมั่นกับการง้อไรอันจนลืมเรื่องธีระไปสนิท อิสราสังเกตเห็นแววตาของณรงค์จึงสะกิดเพื่อนให้เก็บปากเก็บคำ ส่วนณรงค์เสมองไปทางอื่น

“...เรื่องมันซับซ้อนน่ะ ที่เคยบอกว่าจะนัดมากินข้าวด้วยก็คงต้องแคนเซิลแล้วล่ะนะ ยังไงก็อย่ากระโตกกระตากเรื่องของพี่กับไรอันก็แล้วกัน ถ้าหากคนอื่นจะรู้ก็ปล่อยให้เขารู้กันเอง”

ยุพดีกับอิสรามองตากัน จากนั้นก็หันมาพยักหน้าขันแข็งให้ณรงค์แม้จะไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง แต่ทั้งคู่ก็เป็นผู้ใหญ่พอที่จะไม่เซ้าซี้หรือละลาบละล้วง ชายหนุ่มจึงยิ้มให้ก่อนจะเดินกลับไปทางห้องพักของไรอัน สีหน้าของเจ้าของห้องดูแปลกใจเมื่อพบว่าคนที่มาเคาะประตูคือเขา

“คุณจัดกระเป๋าเสร็จแล้วเหรอ?”

“อืม จริงๆ ก็ไม่มีของที่ต้องเก็บเยอะเท่าไหร่ เดี๋ยวผมโทรให้อ๋องจัดการให้ก็ได้ ตอนนี้ผมอยากอยู่กับคุณมากกว่า”

ณรงค์เอ่ยก่อนจะปิดประตูแล้วรั้งเจ้าของห้องมากอด ชายหนุ่มสูดกลิ่นตัวอ่อนๆ ที่ทำให้สบายใจพลางดันร่างอีกฝ่ายให้ถอยไปเรื่อยๆ จนทั้งสองล้มลงบนเตียง

หากไม่นับเสียงคลื่นเซาะหาดทรายที่ดังลอดเข้ามาทางหน้าต่าง ภายในห้องก็ไร้ซึ่งเสียงสนทนาหรือการเคลื่อนไหวใดๆ ไรอันมองเพดานพลางยกมือขึ้นสางผมณรงค์ที่นอนทับตัวเองอยู่เบาๆ

“….เสียใจที่บอกเรื่องของพวกเราให้รุ่นน้องคุณรู้เหรอ?”

คนถูกถามส่ายหน้า “เปล่า...ไม่ใช่ยังงั้นหรอก จริงๆ ผมอยากป่าวประกาศให้รู้กันทั้งบริษัทเลยด้วยซ้ำ เพียงแต่...ผมคงต้องเจอตี้อีกครั้งแล้วคุยกันให้เป็นเรื่องเป็นราว เพราะผมบอกเลิกเขาด้วยการเขียนโน้ตให้ก่อนจะมาภูเก็ตแค่นั้นเอง”

ณรงค์ระบายความในใจด้วยเสียงหนักหน่วง ก่อนจะรู้สึกได้ว่าไหล่ของคนในอ้อมแขนเกร็งขึ้น ชายหนุ่มจึงได้สติและรีบยันตัวขึ้นมองหน้าอีกฝ่ายทันที

“อย่าเข้าใจผิดนะ ผมแค่คิดว่ามันไม่ยุติธรรมที่จะจบความสัมพันธ์กับใครด้วยกระดาษแผ่นเดียว อีกอย่างเขาก็เป็นเด็กดี ผมไม่อยากให้มันจบไปแบบที่ยังมีเรื่องคาใจกันอย่างนั้น”

เหมือนตอนที่คุณบอกเลิกผมโดยไม่อธิบายเหตุผลเลยสักคำ..

ไรอันมองตาที่ฉายแววร้อนรนใจของณรงค์ ก่อนจะดันเขาให้ลุกออกแล้วยันตัวขึ้นนั่ง หนุ่มลูกครึ่งหลับตาพลางใช้มือหนึ่งนวดขมับ และณรงค์ก็ได้แต่มองท่าทีนั้นอย่างกระวนกระวาย เพราะเกรงว่าไรอันจะเข้าใจผิดว่าเขายังอยากสานสัมพันธ์กับธีระในรูปแบบที่เขาไม่ได้ต้องการ

“คุณเคยบอกว่ารักผมใช่มั้ย?”

ในที่สุดไรอันก็ลืมตาขึ้นและหันมามองเขา น้ำเสียงและแววตาไม่ได้สะท้อนความโกรธหรือหวั่นไหว แต่เปล่งประกายที่เรียกร้องขอคำตอบที่สัตย์จริงเพื่อตัดสินใจ ซึ่งณรงค์ก็ตอบรับหนักแน่นโดยปราศจากซึ่งเศษเสี้ยวของความลังเล “มากจนผมไม่อยากเชื่อว่าผมจะรักใครได้ขนาดนี้เลยล่ะ”

ณรงค์ตอบแทบจะทันที จริงอยู่ว่าเขาอยากพบกับธีระเพื่อบอกลาเป็นครั้งสุดท้าย แต่หากไรอันไม่สบายใจและไม่อยากให้เขาทำอย่างนั้น เขาก็ยินดีจะทำตามโดยไม่อิดออด

ต่อให้จะต้องเสียดายมิตรภาพฉันท์พี่น้องที่มีกับเด็กหนุ่มก็ตาม

ไรอันสบตาณรงค์อย่างค้นหา ครู่หนึ่งจึงขยับตัวเข้าใกล้และโน้มคอเขาลงไปจูบ ชายหนุ่มแปลกใจนิดหน่อย แต่ก็สอดแขนรอบเอวอีกฝ่ายและจูบตอบแต่โดยดี เมื่อผละริมฝีปากจากกัน ไรอันก็ยิ้มมุมปากอ่อนๆ ให้

“เข้าใจแล้ว แต่สัญญาก่อนว่าห้ามไปคุยกันนานนะ”

ณรงค์เลิกคิ้วอย่างไม่เชื่อหู “คุณโอเคจริงๆ นะ?”

ณรงค์ถามย้ำ ถึงแม้จะโล่งอกที่ไรอันไม่ได้โมโหจนหาเรื่องทะเลาะ แต่เขาก็ไม่ต้องการให้อีกฝ่ายเพียงแต่อนุญาตเพื่อให้เขารู้สึกดี แล้วปล่อยให้เรื่องนี้กลายเป็นเสี้ยนหนามที่ตำใจทั้งคู่ต่อไปในอนาคต

หนุ่มลูกครึ่งมองหน้าเขาแล้วก็ย่นจมูก “ผมยอมรับว่าก่อนหน้านี้ทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโต แต่ถึงยังไงผมก็เป็นผู้ใหญ่กว่าเขา อีกอย่างก็เพราะผมเชื่อใจคุณ ผมรู้ว่าคุณไม่มีวันทำร้ายผมอีกแน่ๆ ถูกไหมล่ะ?”

ไรอันตอบก่อนจะหันกลับไปเก็บเสื้อผ้าลงกระเป๋าต่อ ณรงค์จึงยิ้มแล้วขยับเข้าไปนั่งกอดอีกฝ่ายจากด้านหลังพร้อมกับฝังจมูกลงบนแก้ม

“ผมคิดถูกจริงๆ ที่รักคุณ”

“Don’t think I’ll always be this kind.”

หนุ่มลูกครึ่งตอบพลางรูดซิปปิดกระเป๋า ณรงค์จึงผงกหัวขึ้นแล้วยิ้มตอบ เขาเริ่มชินแล้วที่ไรอันจะตอบรับคำหวานด้วยการเฉไฉไปอีกทาง เพราะถึงอย่างไรนี่ก็เป็นวิธีแสดงออกถึงการรับรู้ในแบบของเจ้าตัว

“ถ้าเป็นคุณ ถึงโหดแค่ไหนผมก็รัก”

ไรอันเหลือบตามายิ้มให้อย่างหมั่นไส้ หนุ่มลูกครึ่งหย่อนกระเป๋าเสื้อผ้าที่เก็บเรียบร้อยแล้วลงข้างเตียงก่อนจะหันกลับมาหาณรงค์ทั้งตัว

“ไว้วันหยุดยาวเมื่อไหร่ไปบ้านคุณอีกดีมั้ย? ผมชักคิดถึงกับข้าวฝีมือน้าหนิงแล้วสิ”

ร่างสูงโปร่งเอ่ยพลางยกมือคล้องคอณรงค์และขยับขึ้นนั่งคร่อมตักเขา ณรงค์จึงยิ้มมากขึ้นพลางลูบหลังอีกฝ่ายไปมา “นั่นสินะ ไอ้เจ้าแฝดก็โทรมาถามเหมือนกันว่าเมื่อไหร่จะพาคุณไปเยี่ยมอีก อืม.....”

ณรงค์ส่งเสียงครางในคออย่างพอใจเมื่อไรอันเป็นฝ่ายจูบเขาก่อน ชายหนุ่มปล่อยให้คนบนตักดันเขาให้นอนลงบนเตียงและมองอีกฝ่ายปลดกระดุมเสื้อให้ยิ้มๆ

“ไม่รีบออกไปรอเช็คเอ๊าท์กับคนอื่นที่ล็อบบี้เหรอ?”

ไรอันยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูก่อนจะยิ้มให้คนถาม จากนั้นก็ลูบมือไปมาบนแผ่นอกของณรงค์จนชายหนุ่มสยิว ร่างสูงใหญ่มองคนที่นั่งคร่อมซึ่งกำลังถอดเสื้อยืดออกหย่อนลงข้างเตียงก่อนจะก้มลงกระซิบชิดริมฝีปาก

“We have 30 minutes. Let’s make it productive.”

ภายนอกห้องสวีทริมชายหาด แสงแดดยามสายส่องผ่านหมู่ต้นมะพร้าวจนพาดเงาสีเข้มยืดยาวลงบนตัวอาคารสีอ่อน เกลียวคลื่นสีเขียวมรกตม้วนตัวเข้ากระทบชายฝั่งครั้งแล้วครั้งเล่า ทิ้งคราบชื้นและฟองขาวเอาไว้บนผืนทรายเนียนละเอียดดุจฝุ่นแป้ง เสียงคลื่นแผ่วเบาและเสียงร้องของนกทะเลดังคละเคล้ากับเสียงหายใจหอบและคำบอกรักที่ชายหนุ่มสองคนมอบให้แก่กันผ่านการแสดงออกทางกายในห้องกว้างที่หันหน้าออกสู่ทะเล ไม่มีความกังขาใดหลงเหลือในความรู้สึกที่ต่างมีให้กันและกันอีก

หัวใจสองดวงที่เริ่มนับหนึ่งใหม่ได้โผบินไปด้วยกันแล้ว...



++---End Square One---++


หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคบทสรุป 8/12/11 P.6]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 08-12-2011 12:57:23
A/N: แทบอยากฉลองตอนจบของ Square One ด้วยการทิ้งงานไปทะเล นั่งเก้าอี้ริมหาดแล้วจิบเบียร์เย็นๆ แกล้มทะเลเผาแซ่บๆ (เฮ่ย! ไม่ใช่ละ) สารภาพว่าตอนเริ่มเขียนตอนนี้ไม่ได้กะจะลากยาวจนซอยย่อยได้ขนาดนี้ แต่พอเขียนไปๆ ก็อยากเติมรายละเอียดให้แน่นขึ้น ยิ่งเพราะเรื่องนี้เขียนแบบจบในตอน ความสัมพันธ์ของณรงค์กับไรอันที่ผ่านมาก็เอาแต่วนอยู่ในอ่าง อย่างน้อยเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนี้ก็ทำให้ทั้งสองคนเข้าใจกันมากขึ้นและมี “พัฒนาการ” อย่างที่หลายๆ ท่านรอคอยสักที แถมน้องตี้ซึ่งเป็นตัวละครใหม่ก็ทำเอาหลายเสียงเชียร์ให้ณรงค์เปลี่ยนใจจากหนุ่มลูกครึ่งเลยซะงั้น แต่ณรงค์เป็นพวกหน้ามืดได้แป๊บเดียว สุดท้ายเลยต้องกลับไปหาเจ้าของหัวใจตัวจริง ซึ่งถึงแม้นี่จะเป็นตอนจบของ Square One แต่เชื่อได้ว่าจะมีตอนอื่นมาให้อ่านกันอีกแน่นอน ไหนๆ คู่นี้ก็ทะเลาะผิดใจกันขั้นรุนแรงไปแล้ว ตอนต่อจากนี้คงมีแต่เนื้อหาหวานๆ จนพานให้เลี่ยนแล้วละมั้ง? (หรือเปล่าหว่า?)

ส่งท้ายสำหรับบทสรุปนี้ เพราะเชื่อว่ายังจะมีตอนต่อไปให้มาอ่านเล่นเพลินๆ กันอีกแน่นอน ก็ต้องขอบคุณทุกคนมากๆ ที่ติดตามเนื้อหาตอนนี้มาตลอด ทั้งตามทวงและถึงกับโป้งคนเขียนไปเลยที่หาเรื่องช้ำใจให้ตัวละคร ^^” เป็นตอนที่อ่านคอมเม้นต์แล้วเราสนุกมากเลยเพราะแตกต่างกันหลายสายดี ก็หวังว่าทุกคนจะมีความสุขและอิ่มเอมไปกับบทสรุปของสองหนุ่มไรอัน-ณรงค์ไปด้วย แล้วพบกันใหม่กับการอัพเดทครั้งต่อไปค่า~
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคบทสรุป 8/12/11 P.6]
เริ่มหัวข้อโดย: love2y ที่ 08-12-2011 14:54:01
อั๊ยยะ!!!!!!! ในที่สุดก็แฮปปี้

ว่าแต่...ณรงค์มั่นใจมากเลยนะ ว่าต้องได้คืนดีกัน ถึงได้พกถุงยางมาด้วยเนี่ย หุหุ

เห็นด้วยที่ควรจะไปเคลียกับตี้ซะ อย่าให้มีอะไรค้างคานานเกินไป

ขอบคุณคุณรินมากมาย มาแต่ละตอนยาวววววววววววววววววสะใจและเคลียเลยค่ะ ^^

หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคบทสรุป 8/12/11 P.6]
เริ่มหัวข้อโดย: badcow ที่ 08-12-2011 15:12:30
"Thank you very much"
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคบทสรุป 8/12/11 P.6]
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 08-12-2011 16:02:42
+1  จ้า

ในที่สุดก็กลับมารักกัน
 รัก ก็ดูโอเค  มากขึ้น

 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคบทสรุป 8/12/11 P.6]
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 08-12-2011 16:25:55
มาส่งสายตาวิ้งๆๆๆ  รอตอนพิเศษ 555555555555   :o8:
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคบทสรุป 8/12/11 P.6]
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 08-12-2011 18:56:31
กด+1 แทนเม้นท์นะคะ
เพราะแอบไปอ่านและเม้นท์ที่บล็อคไว้แล้ว
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคบทสรุป 8/12/11 P.6]
เริ่มหัวข้อโดย: Horizon ที่ 08-12-2011 19:28:29
ขอบคุณสำหรับ happy ending
+1
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคบทสรุป 8/12/11 P.6]
เริ่มหัวข้อโดย: kakuro ที่ 10-12-2011 09:32:11
สุขสันต์วันเกิดคุณริน :HBD5:
ในที่สุดรงค์ก็สามารถพิชิตใจ+กายดอกฟ้าอย่างรักสำเร็จ
สงสารก็แต่น้องตี้ ไม่เป็นไรนะคะ เดี๋ยวพี่แนะนำน้องอ้นเพื่อนน้องไผ่เจ้าของร้านอาหารญี่ปุ่นที่เชียงใหม่ให้ ช่วยกันดามใจ อิอิ
ปล.ลุงเชษฐ์คะจะปีใหม่แล้วนะคะ ติดใจหนุ่มเวียดนามไปยังคะ ลืมหนูภัทรหรือเปล่าคะ กะซิกกะซิก :impress:
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคบทสรุป 8/12/11 P.6]
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 10-12-2011 09:49:49
เคลียร์กับตี้ให้เข้าใจซะ สงสารน้อง
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคบทสรุป 8/12/11 P.6]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 11-12-2011 09:03:56
สุขสันต์วันเกิดคุณริน :HBD5:
ในที่สุดรงค์ก็สามารถพิชิตใจ+กายดอกฟ้าอย่างรักสำเร็จ
สงสารก็แต่น้องตี้ ไม่เป็นไรนะคะ เดี๋ยวพี่แนะนำน้องอ้นเพื่อนน้องไผ่เจ้าของร้านอาหารญี่ปุ่นที่เชียงใหม่ให้ ช่วยกันดามใจ อิอิ
ปล.ลุงเชษฐ์คะจะปีใหม่แล้วนะคะ ติดใจหนุ่มเวียดนามไปยังคะ ลืมหนูภัทรหรือเปล่าคะ กะซิกกะซิก :impress:

ขอบคุณค่ะคุณ Kakuro ไม่เห็นกันนานเลย ว่าแต่ไม่เคยนึกถึงคู่พี่อ้น+น้องตี้เลยแฮะ ส่วนคนที่เวียดนาม...สงสัยน้ำที่บ้านยังไม่ลดเลยยังไม่กลับน่ะค่ะ XD
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน Square One [ภาคบทสรุป 8/12/11 P.6]
เริ่มหัวข้อโดย: berlyn ที่ 11-12-2011 16:25:31
แสดงว่าจำขึ้นใจเลยเรื่องถุงยาง

อ่านตอนนี้แล้วเขินไงไม่รู้แฮะ

รอตอนพิเศษด้วยคน
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก แวะมาส่ง Merry X'Mas card ค่ะ [24/12/11 P.7]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 24-12-2011 17:24:03
แวะมาส่งพรวันหยุดเทศกาลค่ะ ตอนพิเศษกำลังปั่นอยู่แต่ไม่รู้จะได้มาลงก่อนปีใหม่หรือเปล่า ยังไงเอารูปสองหนุ่มที่จะทำปกไปดูพลางๆ ก่อนนะ หุหุหุ

(http://www.bloggang.com/data/b/bellbomb/picture/1324708542.jpg)

ปล. ห้ามนำรูปไปเผยแพร่นะเจ้าคะ เอาให้แฟนนิยายดูเท่านั้นเน้อ ^^
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก แวะมาส่ง Merry X'Mas card ค่ะ [24/12/11 P.7]
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 24-12-2011 17:27:04
คุณรักของเราดูราชินีเคะมากมาย หึหึ
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก แวะมาส่ง Merry X'Mas card ค่ะ [24/12/11 P.7]
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 24-12-2011 19:43:47
น่ารักดีอะ
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก แวะมาส่ง Merry X'Mas card ค่ะ [24/12/11 P.7]
เริ่มหัวข้อโดย: love2y ที่ 24-12-2011 22:10:44
อุ๊บกรี๊ดดดดดดดด ไหล่ณรงค์น่าซบสุดๆ >////<
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก แวะมาส่ง Merry X'Mas card ค่ะ [24/12/11 P.7]
เริ่มหัวข้อโดย: tippy ที่ 25-12-2011 00:00:40
น่ารักมากเลยค่ะ เหมือนจะจบ แต่ไม่จบ อยากอ่านตอนพิเศษด้วยจ้า ไรอัน่ารักมาก พี่แกซึนจริงๆ :z2:
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก แวะมาส่ง Merry X'Mas card ค่ะ [24/12/11 P.7]
เริ่มหัวข้อโดย: loveorlike ที่ 25-12-2011 00:39:45
(http://hilight.kapook.com/img_cms2/garddd_67382014.jpg)

Merry Christmas 2011
Season's Greetings-- May love and laughter fill your life at Christmas

พี่บีบี คิดถึงมากกกกกกกกก ไม่ได้คุยกันเลยนะ น้องนี้แหละที่ผิด ฮ่าๆๆ กอดดดดดดด
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก แวะมาส่ง Merry X'Mas card ค่ะ [24/12/11 P.7]
เริ่มหัวข้อโดย: entirom ที่ 25-12-2011 00:47:21
Merry X'Mas

หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ คุณค่าของความตั้งใจ [28/12/11 P.7]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 28-12-2011 15:45:29
ยินดีที่ได้รู้จัก…รัก ตอน คุณค่าของความตั้งใจ

ในเช้าวันศุกร์ของสัปดาห์หนึ่ง ในที่สุดบริษัทของณรงค์ก็เข้าสู่ช่วงปลายปีที่งานเริ่มงวดเข้ามาสำหรับหลายๆ แผนก ขณะที่บางคนก็วางแผนจะขอลาพักร้อนก่อนจะหมดสิทธิ์ ทำให้หลายคนต่างรีบเร่งทำงานที่คั่งค้างเพื่อจะได้ไปเที่ยวอย่างสบายใจ

ณรงค์หยิบแฟ้มสำหรับพรีเซนต์งานขึ้นมาหนีบไว้ใต้แขนหลังวางสายจากลูกค้า จากนั้นก็เดินตรงไปที่ห้องของไรอันแล้วเคาะกรอบประตูที่เปิดอ้าอยู่เบาๆ ส่วนเลขาของไรอันก็ขยิบตาให้เขาแล้วถือโอกาสลุกไปที่อื่นอย่างรู้กาลเทศะ

จริงๆ แล้วณรงค์กับไรอันไม่เคยปริปากเรื่องที่คบกันกับคนในบริษัท แต่หลังจากทริปภูเก็ตเป็นต้นมา หลายคนเริ่มสังเกตเห็นว่าหนึ่งในผู้บริหารซึ่งเป็นลูกครึ่งกับซีเนียร์ดีไซเนอร์มือดีของบริษัทมีการพูดคุยและแสดงความคุ้นเคยกันในที่ทำงานจนผิดสังเกตจากเมื่อก่อน ดังนั้นจึงพอจะอนุมานกันได้เองโดยไม่ต้องถาม

“เดี๋ยวผมจะออกไปเจอลูกค้านะ วันนี้นัดรวดเดียวสองรายเลยยังไม่รู้ว่าจะกลับมาออฟฟิศหรือเปล่า ไว้เดี๋ยวผมจะโทรบอกอีกที”

“OK. See you.”

ไรอันตอบโดยไม่ละสายตาขึ้นจากจอคอมพิวเตอร์ คิ้วเข้มเหนือดวงตาสีน้ำตาลอ่อนขมวดมุ่นขณะที่นิ้วชี้ข้างที่วางอยู่บนเมาส์ก็คลิกถี่อย่างขัดใจ ณรงค์เห็นดังนั้นก็รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายคงกำลังเจอปัญหากับงาน จึงเพียงยิ้มอ่อนๆ แล้วเดินออกมา เพราะทั้งคู่ตกลงกันแล้วว่าในระหว่างที่อยู่ออฟฟิศจะไม่ก้าวก่ายเรื่องงานกันเด็ดขาด

เวลาผ่านไปไม่นานก็ถึงช่วงพักกลางวัน ไรอันที่ทำงานติดพันจึงให้แม่บ้านไปซื้อกับข้าวและเอาใส่ถาดไปให้ในห้องทำงาน เพราะแค่มองออกไปจากหน้าต่างว่าด้านนอกแดดแรงแค่ไหนเขาก็ไม่อยากออกจากตึกแล้ว

ผู้บริหารหนุ่มนั่งกินข้าวมันไก่ในห้องประจำตำแหน่งที่เปิดโคมไฟบนโต๊ะเพื่อให้ความสว่าง เนื่องจากตอนเที่ยงนั้นทางบริษัทจะดับไฟเพื่อประหยัดพลังงานและบังคับเวลาพักกลางวันไปในตัว แต่เพราะความที่ไม่ค่อยหิวจึงทำให้กินได้เพียงครึ่งจานก็อิ่ม พอจะหันไปหยิบกระบอกใส่น้ำบนโต๊ะขึ้นมาเทใส่แก้วก็พบว่าไม่มีน้ำเหลือสักหยด เขาจึงตัดสินใจยกถาดกลับไปที่ครัวเองเพื่อจะได้เติมน้ำดื่มไปด้วย

ทางเดินจากในตัวออฟฟิศไปสู่ห้องครัวค่อนข้างสลัวเพราะไฟที่ปิดไว้ บวกกับผนังด้านนี้เป็นผนังทึบ กระนั้นไรอันก็พบว่ามีแสงไฟลอดออกมาจากช่องประตูห้องครัวที่ปิดไม่สนิท พอเดินเข้าไปใกล้ๆ ก็ได้ยินเสียงคนคุยกันแว่วๆ

“นี่...อ๋องคิดว่าพี่รงค์จีบคุณไรอันติดได้ไงอะ?”

ไรอันแทบสะดุดฝีเท้าเมื่อได้ยินคำถาม หนึ่งเพราะจำได้ว่าเสียงคนถามคือยุพดีซึ่งเป็นรุ่นน้องในทีมของณรงค์ สองก็เพราะชื่อของเขากับณรงค์ถูกรวมอยู่ในคำถามด้วย

“เฮ่ย!! แล้วฉันจะไปรู้ได้ยังไงเล่า ไม่เคยไปแอบดูตอนเขาจีบกันนี่!”

เสียงของอิสรามีกังวานกึ่งเอ็ดกึ่งระอา ไรอันจึงลองมองเข้าไปในครัวผ่านช่องประตูที่แง้มอยู่ และพบว่าทั้งสองกำลังนั่งทานข้าวกันที่โต๊ะโดยอิสราหันหลังให้ประตู ส่วนยุพดีนั่งหันข้าง และดูเหมือนจะต่างไม่รู้ตัวกันเลยว่ามีคนกำลังยืนแอบฟัง

ยุพดีทำปากยื่นและขมวดคิ้ว “อ้าว ก็นึกว่าพี่รงค์คงเล่าอะไรให้อ๋องฟังมั่งเพราะเป็นผู้ชายเหมือนกันนี่นา แต่ผึ้งว่าดูจากบุคลิกแล้วพี่ชายเราคงตามใจคุณไรอันอยู่ฝ่ายเดียวแน่เลยเนอะ? โอ๊ยนี่! อีตาอ๋อง!! มันเจ็บนะ!!!”

หญิงสาวร้องพลางยกมือขึ้นลูบจมูกเพราะโดนเพื่อนหนุ่มใช้นิ้วดีดแม้จะไม่แรงนัก ไรอันไม่เห็นว่าอิสราทำสีหน้าแบบไหนเพราะหันหลังให้ประตู แต่ก็อดนึกขอบคุณไม่ได้ เพราะถ้าเขาเป็นคนที่โดนถามก็คงทำอย่างเดียวกัน

“เธอนี่ชักจะเลื่อนเปื้อนใหญ่แล้ว ถ้าอยากรู้นักก็ไม่ลองสะกดรอยตามไปดูเวลาเขาอยู่ด้วยกันเลยล่ะ?”

พอโดนตอกกลับเช่นนั้น คนอยากรู้ก็ยอมสงบปากคำลงได้แม้จะยังทำหน้ายู่เพราะไม่ได้คำตอบที่ต้องการ ไรอันถือโอกาสที่บทสนทนาขาดช่วงสูดหายใจลึกก่อนจะดันประตูเลื่อนเปิดแรงๆ จนคนในห้องสะดุ้ง ยุพดีนั้นพอหันมาเห็นเขาก็ทำหน้าเหมือนเห็นผีทีเดียว

“ว้าย! อ่า...คุณไรอัน ง่า....จะมาทานข้าวเหรอคะ?”

หญิงสาวยิ้มแห้งๆ พลางลุกขึ้นถามด้วยเสียงตะกุกตะกัก ขณะที่อิสราได้แต่ยกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเองกับความเปิ่นเป๋อของเพื่อน ไรอันจึงตัดสินใจแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินเรื่องที่ทั้งคู่เพิ่งคุยกันเสีย

“No. I already finished.”

เขาไม่ค่อยชอบพูดภาษาไทยกับคนไม่สนิท อีกอย่างก็เพราะมันช่วยป้องกันการสร้างความสนิทสนมแล้วชวนคุยชวนถามเรื่องส่วนตัวได้ดี ผู้บริหารหนุ่มเดินถือถาดเข้าไปวางในอ่างล้างจานก่อนจะหันไปกดน้ำจากคูลเลอร์ใส่กระบอกที่ถือติดมา ยุพดีกับอิสราจึงรีบขอตัวอย่างว่องไว

“ถ้างั้นตามสบายนะครับ / นะคะ”

หางเสียงของทั้งคู่ติดจะร้อนรนอย่างปิดไม่มิด ไรอันยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นยุพดีกับอิสรารีบหนีออกจากห้องครัวและเลื่อนประตูปิดตามแทบไม่ทัน ชายหนุ่มยกกระบอกที่รองน้ำจนเกือบเต็มขึ้นดื่มพลางทอดสายตามองทิวทัศน์ซึ่งถูกอาบด้วยแดดจัดจ้านอกหน้าต่าง จากนั้นเรียวคิ้วดกหนาก็ค่อยมุ่นเข้าหากัน

ท่าทางเขาคงดูเป็นคนเอาแต่ใจมากกระทั่งกับคนที่ไม่สนิทกันเลยสินะ...


++------++



บ่ายวันนั้นณรงค์ไม่ได้กลับเข้าออฟฟิศ ชายหนุ่มจึงโทรนัดไรอันให้ไปทานข้าวเย็นด้วยกันที่ห้อง เนื่องจากตอนเย็นนั้นทั้งคู่จะสลับกันไปทานข้าวที่คอนโดของแต่ละฝ่ายในวันที่เลิกงานไล่เลี่ยกันอยู่แล้ว ส่วนจะมีการค้างอ้างแรมตามมาหรือไม่ก็แล้วแต่ แต่ส่วนใหญ่ถ้าไรอันเป็นฝ่ายมาที่ห้องของณรงค์ เขาจะเลือกขับรถกลับไปนอนคอนโดของตัวเองมากกว่า

“ตกลงผมไม่ต้องซื้ออะไรเข้าไปนะ? ....ก็ได้ ถ้างั้นขอเคลียร์อีเมล์อีกนิดแล้วจะออกไป See you.”

ไรอันวางสายก่อนจะเปิดอีเมล์อ่านและตอบในส่วนที่ต้องรับผิดชอบจนหมด เขาไม่ชอบทิ้งงานให้ค้างคาไปถึงวันรุ่งขึ้นโดยไม่จำเป็น เพราะการต้องรับตำแหน่งเป็นหนึ่งในผู้บริหารก็ทำให้มีเรื่องต้องคิดต้องเครียดมากกว่าพนักงานธรรมดาอยู่แล้ว เพียงแต่ช่วงหลังมานี้เขายอมอะลุ้มอล่วยกับตัวเองบ้างหลังจากกลับมาคบกับณรงค์ เพราะการใช้เวลาร่วมกันมากขึ้นก็เป็นเสมือนการชดเชยช่วงเวลาที่เคยเสียไประหว่างที่เลิกกันด้วย

ถึงแม้ว่าณรงค์จะบอกเขาว่าไม่ต้องแวะซื้อของเพื่อไม่ให้เสียเวลา แต่การจราจรอันติดขัดก็ไม่ได้ทำให้ไรอันไปถึงคอนโดที่อยู่ชานเมืองของอีกฝ่ายเร็วขึ้น เพราะขนาดเลี่ยงขึ้นทางด่วนแล้วก็ยังเจอรถราที่ติดกันยาวหลายกิโลเมตร อามณ์ที่ไม่ค่อยดีอยู่แล้วจึงยิ่งติดลบเข้าไปอีกกว่าเขาจะมาถึงที่หมาย

“ว่าไง ทำไมหน้ามุ่ยจัง?”

เจ้าของห้องถามยิ้มๆ หลังจากเห็นสีหน้าของคนที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้อง ไรอันปิดประตูตามหลังพลางถามณรงค์ด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดอย่างไม่ปิดบัง “บอกผมอีกทีซิว่าทำไมคุณถึงได้เลือกมาอยู่คอนโดไกลศูนย์กลางเมืองขนาดนี้? ไม่รำคาญเวลาต้องขับรถกลับมาบ้างหรือไง?”

คนถูกถามหัวเราะหลังรู้สาเหตุที่หนุ่มลูกครึ่งอารมณ์เสีย “เอ ผมว่าผมก็เคยบอกไปแล้วนะว่าชอบบรรยากาศชานเมืองเพราะมันไม่แออัดดี ถ้าจะติดที่ไม่สะดวกก็มีแค่เรื่องระยะทางนั่นแหละ เอาน่า คิดซะว่าคุณจะได้เปลี่ยนบรรยากาศจากที่เห็นแต่ตึกสูงๆ แถวคอนโดคุณไง”

ณรงค์ตอบพลางเดินกลับเข้าไปในครัว ไรอันจึงได้แต่แยกเขี้ยวตามหลังพลางถอดเน็คไทออกพาดบนโซฟาและม้วนแขนเสื้อเชิ้ตขึ้น เมื่อตามอีกฝ่ายเข้าไปในครัวก็พบว่าอาหารมื้อเย็นถูกจัดใส่จานไว้หมดแล้ว

“จะกินกันในนี้เลยหรือออกไปนั่งดูทีวีตรงโซฟาดี?”

ณรงค์ถามพลางเปิดตู้ด้านบนเพื่อหยิบจานชามกับช้อนส้อมออกมา ไรอันเหลือบมองบนโต๊ะและเห็นว่าอาหารเย็นประกอบไปด้วยผัดเปรี้ยวหวาน แกงจืดหมูสับใบตำลึงและผัดพริกแกงไก่ จากนั้นก็ปรายตากลับไปมองอีกฝ่ายเพราะสองในสามอย่างนั้นเป็นอาหารที่เขาเคยบอกว่าชอบตอนไปเที่ยวบ้านที่กาญจนบุรี

“อาจไม่อร่อยเท่าที่น้าหนิงทำนะ แต่อย่างน้อยผมก็เคยช่วยเป็นลูกมือตอนเด็กๆ เลยพอจะจำรสมือได้ ถ้าหากจืดหรือเค็มไปก็บอกก็แล้วกัน”

ณรงค์หันกลับมาบอกเมื่อเห็นแววตาของไรอัน หนุ่มลูกครึ่งเม้มปากนิดหนึ่งด้วยไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะจำได้ อารมณ์ที่ขุ่นมัวเพราะการเดินทางเมื่อครู่ค่อยลดเลือนลงไปบ้าง ทว่าใบหน้าหล่อเหลายังคงไม่ยิ้ม

“กินที่ห้องนี้เลยก็ได้ ผมไม่ชอบกินไปดูทีวีไป อีกอย่างเปิดทีวีตอนนี้ก็คงมีแต่ข่าว ผมนั่งฟังข่าวมาในรถจนเอียนจะแย่แล้ว”

ไรอันตอบพลางเปิดตู้เย็นเพื่อหยิบน้ำกับน้ำแข็งออกมา เรื่องที่ช่วงหลังนี้เขาพูดภาษาไทยกับณรงค์มากขึ้นก็เป็นอีกหนึ่งการแสดงออกถึงความสนิทสนมที่มากขึ้นเหมือนกัน ถึงแม้ณรงค์จะไม่เคยเอ่ยขอเลยก็ตาม และเขาก็ไม่เคยบอกด้วยว่านอกจากแม่กับยายแล้ว เขาก็แทบจะไม่พูดภาษาไทยกับใครตอนอยู่ที่เมลเบิร์นเลยด้วยซ้ำ

เจ้าของห้องหัวเราะแต่ไม่ได้คัดค้าน หลังจากจัดจานชามกับน้ำดื่มแล้วทั้งสองก็นั่งลงทานมื้อเย็นด้วยกัน ไรอันลองตักผัดพริกแกงไก่มากินได้คำหนึ่งแล้วก็ต้องรีบยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม ณรงค์เห็นเลยเลิกคิ้ว

“ขอโทษ ผัดพริกแกงเผ็ดไปเหรอ? คราวหลังผมจะได้ทำให้เผ็ดน้อยลงกว่านี้”

ไรอันส่ายหน้าพลางวางแก้วน้ำลง ความรู้สึกชานิดๆ ยังคงติดอยู่บนปลายลิ้น “ไม่ต้องหรอก ผมรู้ว่าคุณชอบกินเผ็ด ถ้าคุณอยากกินอะไรรสแบบไหนก็ทำอย่างที่ชอบนั่นแหละ อย่างน้อยมีของจืดๆ พอให้ผมกินได้ก็โอเคแล้ว”

หนุ่มลูกครึ่งตอบพลางตักข้าวทานต่อ แต่แล้วก็เหลือบตาขึ้นเมื่อเห็นณรงค์ใช้มือข้างหนึ่งเท้าคางแล้วมองเขายิ้มๆ จึงอดไม่ได้ที่จะถามอย่างขวางๆ “What?”

“…เปล่า ไม่มีอะไร”

ณรงค์ตอบพลางจัดการอาหารตรงหน้าต่อ ทว่ารอยยิ้มและนัยน์ตาเป็นประกายเมื่อครู่ทำให้ไรอันรู้สึกแปลกๆ เพราะว่ามันทั้งให้ความรู้สึกอบอุ่น ขณะเดียวกันก็ทำให้รู้สึกเหมือนมีอะไรแกว่งในใจจนจั๊กจี้

และตลอดชีวิตยี่สิบหกปี ไม่เคยมีใครทำให้เขารู้สึกแบบนี้ได้เลยสักคน...

หลังจากทั้งคู่ทานมื้อเย็นจนหมดเกลี้ยง ไรอันก็ช่วยหยิบจานชามไปวางในอ่างล้าง ห้องครัวของณรงค์ไม่มีเครื่องล้างจานเหมือนที่ห้องของเขาแถมยังขนาดเล็กกว่า แต่โดยรวมแล้วก็นับว่าสะอาดใช้ได้สำหรับห้องที่มีผู้ชายอยู่คนเดียวและไม่ได้จ้างแม่บ้านให้คอยดูแล

“เย็นนี้คุณจะกลับห้องหรือเปล่า?”

ณรงค์ถามขณะรับจานที่ไรอันล้างสะอาดแล้วมาวางเรียงในตะแกรงข้างอ่าง หนุ่มลูกครึ่งเหลือบมองคนถามแวบหนึ่งโดยไม่หันหน้าไปหา ก่อนจะส่งจานที่ล้างสะอาดแล้วให้อีกใบ

“ยังไม่รู้เหมือนกัน คุณอยากให้ค้างไหมล่ะ?”

ไรอันแกล้งถามรวนไปอย่างนั้น เพราะความจริงแล้ววันนี้เขาค่อนข้างเพลียจากงานที่ทำเอาเครียดมาตลอดทั้งวัน แล้วไม่นับความเหน็ดเหนื่อยจากการจราจรหลังเลิกงานที่กินเวลากว่าชั่วโมงครึ่งอีก ดังนั้นต่อให้อีกฝ่ายไม่ถามเขาก็ตั้งใจจะค้างอยู่แล้ว อีกอย่างเขาก็เคยทิ้งเสื้อผ้าลำลองไว้ที่นี่สองสามชุดจากการมาค้างครั้งก่อนๆ อยู่แล้วด้วย

“ถ้างั้นค้างนะ”

ณรงค์เอ่ยพลางขยับเข้ามาและฉวยกระทะที่ไรอันกำลังขัดไปถือไว้เอง จากนั้นก็พยักเพยิดหน้าไปทางห้องน้ำซึ่งอยู่ในห้องนอน

“คุณไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีกว่า ตรงนี้เดี๋ยวผมล้างต่อเอง จะได้ออกมานั่งดูทีวีด้วยกัน”

ไรอันเหลือบตามองกระทะและอุปกรณ์ทำครัวที่เหลืออยู่ในอ่างอีกไม่กี่ชิ้น ก่อนจะคิดว่าก็ดีเหมือนกันเพราะเขาก็ชักจะเพลียๆ แล้ว จึงพยักหน้าและเดินเข้าไปในห้องนอน ทำให้ไม่ทันได้เห็นว่าณรงค์มองตามหลังเขายิ้มๆ ด้วยนัยน์ตาเป็นประกายระยับ

ชายหนุ่มถอดเสื้อผ้าชุดทำงานโยนลงตะกร้าแล้วก็เดินเข้าไปในห้องน้ำ เขาตัวสั่นเล็กน้อยเมื่อน้ำเย็นจากฝักบัวหลั่งลงกระทบร่างกายเนื่องจากเครื่องทำน้ำร้อนยังไม่ทำงาน ก่อนจะค่อยถอนหายใจอย่างสบายตัวขึ้นเมื่อสายน้ำค่อยๆ อุ่นขึ้นจนได้ที่หลังจากผ่านไปสักครู่

ไรอันหันไปปั๊มแชมพูจากขวดที่วางอยู่บนตะแกรงใกล้ฝักบัวขึ้นมาขยี้ผมก่อนจะล้างออก ขณะที่กำลังจะหันไปปั๊มขวดสบู่เพื่อฟอกตัวหลังล้างผมเสร็จแล้ว ร่างสูงสมส่วนก็สะดุ้งเมื่อประตูกระจกฝ้าในส่วนของห้องอาบน้ำถูกเลื่อนเปิดออกอย่างกะทันหัน ก่อนที่เรือนร่างเปลือยเปล่าของเจ้าของห้องจะก้าวตามเข้ามาและเลื่อนประตูปิดยิ้มๆ

“ไหนๆ ก็เปิดน้ำแล้ว งั้นอาบพร้อมกันไปเลยก็แล้วกันนะ?”

ณรงค์เดินเข้ามายืนซ้อนหลังคนที่ยืนอยู่ก่อน จากนั้นก็โอบแขนสองข้างรอบเอวสอบแล้วก้มลงจูบเบาๆ บนซอกคอที่ฉ่ำเพราะน้ำจากฝักบัวที่ยังหลั่งลงมา ก่อนจะกระซิบเสียงนุ่มอีกประโยค

“วันนี้คิดถึงคุณทั้งวันเลย”

ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่เอ่ยก่อนจะไล้ริมฝีปากขึ้นไปบนแก้มและขมับของไรอัน ขณะเดียวกันก็ลูบฝ่ามือข้างหนึ่งบนหน้าท้องที่มีกล้ามเนื้อเล็กน้อยไปมา สัมผัสนั้นชวนหวามจนทำให้คนในอ้อมแขนแขม่วท้องโดยอัตโนมัติ

I should have known when he asked me to stay over tonight…

ไรอันหัวเราะเบาๆ ออกมาในที่สุดพลางหดคอด้วยความจั๊กจี้เมื่อถูกขบใบหูเบาๆ  ณรงค์จับตัวเขาให้หันไปหาก่อนจะประทับริมฝีปากลงมาอย่างหยอกเย้า ขนาดของห้องอาบน้ำที่ไม่ได้กว้างขวางนักทำให้ไรอันทำอะไรไม่ได้มากนอกจากยกสองแขนขึ้นคล้องคอณรงค์เอาไว้

“อารมณ์ดีขึ้นแล้วหรือยัง?”
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ คุณค่าของความตั้งใจ [28/12/11 P.7]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 28-12-2011 15:47:54
ณรงค์ถามหลังจากถอนริมฝีปากออก ไรอันจึงยิ้มอ่อนๆ พลางพยักหน้าเบาๆ ถึงแม้จะหมั่นไส้ แต่เขาก็คงทนกระฟัดกระเฟียดต่อไม่ได้ยามที่ร่างกายของทั้งคู่แนบชิดกันขนาดนี้ “...I guess so.”

“ถ้างั้นผมถูสบู่ต่อให้นะ”

คนตัวสูงกว่าหันไปปั๊มสบู่จากขวดก่อนจะชโลมไปทั่วผิวกายที่เนียนลื่นแต่มีกล้ามเนื้อกำลังดี ไรอันหันหลังเมื่อณรงค์ดันไหล่เขาเพื่อจะได้ถูสบู่ด้านหลังให้ หนุ่มลูกครึ่งระบายลมหายใจยาวและหลับตาลงเมื่อฝ่ามือใหญ่ลูบไล้ไปมาด้วยแรงพอที่จะทำให้ร่างกายของเขาคลายความเครียดเขม็งลงได้เป็นอย่างดี

หากจะมีอะไรที่ทำให้เขาพึงใจณรงค์นอกจากความพยายามในการตามง้อเขาจนถึงที่สุดทั้งที่เคยโดนแสดงความเย็นชาใส่ ก็เห็นจะเป็นความช่างดูแลและรู้ว่าจะสลายอารมณ์ที่ขุ่นมัวของเขาอย่างไรโดยไม่ต้องทำให้รู้สึกว่ากำลังพยายามมากจนน่ารำคาญกระมัง...

ไรอันลืมตาขึ้นพลางหันไปปั๊มสบู่ใส่ฝ่ามือแล้วหันกลับมาไล้ฟองครีมไปตามลาดไหล่ของณรงค์บ้าง ทั้งสองสบตากันยิ้มๆ ก่อนที่ณรงค์จะปล่อยให้ไรอันฟอกสบู่ให้ด้วยความยินดี พลันหนุ่มลูกครึ่งก็เลิกคิ้วข้างหนึ่งเมื่อลูบมือต่ำลงบนหน้าท้องแกร่งและพบอะไรบางอย่างที่กำลังตื่นตัวผิดปกติอยู่บนหน้าขาของอีกฝ่าย

“ขอโทษที ก็บอกแล้วนี่นาว่าผมคิดถึงคุณ”

ถึงปากจะบอกขอโทษ ทว่านัยน์ตาและรอยยิ้มของณรงค์กลับไม่สะท้อนสิ่งเดียวกับที่ปากพูดสักนิด ไรอันแกล้งทำหน้าระอาใจนิดหนึ่งขณะลูบฟองครีมออกจากแผ่นอกให้ และทำให้ณรงค์เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อเขาค่อยๆ คุกเข่าลงบนพื้นห้องน้ำ

“รัก...คุณจะทำ...อุ๊บ!”

ณรงค์สะดุ้งและรีบยันแขนสองข้างบนผนังด้านหน้าเพื่อกันไม่ให้ลื่นล้ม ไรอันจึงค่อยผละริมปากที่เพิ่งจุมพิตลงบนแก่นเนื้ออุ่นโดยไม่ปล่อยนิ้วมือที่โอบกุมรอบความรุ่มร้อนนั้น

“Or should I stop?”

ไรอันเงยหน้าขึ้นถามยิ้มๆ เหมือนจะถอนตัว แต่กลับแกล้งณรงค์ด้วยการใช้วงนิ้วรูดรั้งสิ่งที่อยู่ในมือเบาๆ เพื่อเร้าอารมณ์อีกฝ่ายจนคนถูกแกล้งหอบหายใจหนักหน่วง นัยน์ตาสีดำสนิทที่ก้มลงมองคนที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าคล้ายมีละอองไอของความปรารถนาจับจนขุ่นมัว

“...ไม่หรอก ทำต่อสิ”

ณรงค์เลื่อนมือหนึ่งลงจากผนังแล้วแทรกปลายนิ้วเข้าในกลุ่มผมสีน้ำตาลอ่อน แรงนวดคลึงจากปลายนิ้วแข็งแรงบนท้ายทอยรวมทั้งสายตาที่จ้องมาทำให้ไหล่ของหนุ่มลูกครึ่งสั่นอย่างห้ามไม่ได้ เมื่อมือข้างนั้นออกแรงดันเบาๆ ให้เขาเลื่อนศีรษะเข้าหา ไรอันก็ลังเลเพียงครู่เดียวก่อนจะค่อยๆ แลบลิ้นออกตวัดไล้ความแข็งแกร่งที่ชูชันอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง

ที่ผ่านมาไรอันไม่เคยปรนนิบัติณรงค์อย่างใกล้ชิดเช่นนี้ เพราะว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนที่คอยทำให้เขารู้สึกดีอยู่ตลอดเวลาโดยไม่เคยบังคับให้ต้องทำอย่างเดียวกันตอบ และเขาเองก็ไม่เคยมานั่งคิดเล็กคิดน้อยเหมือนกันว่าณรงค์จะน้อยใจหรือไม่ในเมื่อเจ้าตัวก็ดูจะเต็มใจทำให้เขามีความสุขเอง แต่ดูเหมือนบทสนทนาที่ไปแอบได้ยินเข้าเมื่อกลางวันจะทำให้เขาเริ่มคิดทบทวนความสัมพันธ์ของทั้งคู่อีกครั้ง

ณรงค์สูดหายใจลึกพลางแขม่วท้องเมื่อริมฝีปากของไรอันค่อยๆ ดูดกลืนความปรารถนาของเขามากขึ้น ชายหนุ่มมองคนที่กำลังหลับตาขณะพยายามจะรับความแข็งแกร่งของเขาเข้าไปให้ลึกที่สุดทั้งที่ไม่ชินแล้วก็ยิ้มบางๆ ก่อนจะกลั้นลมหายใจและแหงนเงยหน้าขึ้นเมื่อโพรงปากอันชุ่มฉ่ำได้รองรับความตื่นตัวของเขาเข้าไปจนมิด มือแข็งแรงที่กระชับบนท้ายทอยของหนุ่มลูกครึ่งออกแรงบีบมากขึ้นโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว

ไรอันหรี่ตาขึ้นมองณรงค์ขณะที่เลื่อนริมฝีปากเข้าออกรอบท่อนเนื้อแกร่งอย่างช้าๆ เรือนร่างแข็งแรงที่กล้ามเนื้อทั่วร่างเกร็งเพราะสัมผัสของเขาทำให้ชายหนุ่มภูมิใจว่าการพยายามจะเอาใจอีกฝ่ายครั้งแรกคงไม่ได้แย่จนเกินไป ภาพของแผ่นอกหนาและไหล่กว้างที่มองเห็นจากมุมต่ำ รวมทั้งรสสัมผัสของสิ่งที่กำลังปรนเปรอให้ด้วยริมฝีปากเป็นดั่งเชื้อไฟที่จุดเพลิงปรารถนาให้ลามเลียไปตามร่างกาย ทำให้หนุ่มลูกครึ่งเริ่มขยับศีรษะด้วยจังหวะที่เร่งเร้าขึ้นเพื่อตอบสนองสะโพกเพรียวของร่างสูงใหญ่ที่เคลื่อนไหวเข้าหา ขณะเดียวกันก็เลื่อนมือข้างหนึ่งลงฟอนเฟ้นความต้องการด้านล่างที่เริ่มมีสภาพไม่ต่างจากของอีกฝ่ายไปด้วย

เสียงหายใจหอบแรงผสานกับเสียงน้ำฝักบัวดังก้องภายในห้องอาบน้ำแคบๆ ที่กรุรอบด้านด้วยกระจกฝ้า ไรอันรู้สึกได้ถึงริ้วของคลื่นอารมณ์ที่กำลังม้วนตัวอย่างบ้าคลั่งในท้องน้อยและพร้อมจะปะทุออกมาได้ทุกขณะ แต่แล้วชายหนุ่มก็ปรือตาขึ้นอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงหมุนปิดก๊อกน้ำและสะโพกแกร่งที่หยุดขยับเข้าหาริมฝีปากของเขา

ใบหน้าของณรงค์เป็นสีแดงเข้มด้วยโลหิตที่สูบฉีด นัยน์ตาสีดำสนิทหรี่ลงสบตากับไรอันก่อนจะเลื่อนต่ำลงมองมือของเขาที่กำลังปรนเปรอส่วนอ่อนไหวของตัวเองที่ด้านล่าง ร่างสูงใหญ่ค่อยๆ สอดนิ้วโป้งข้างหนึ่งเข้าตรงมุมปากที่ยังคงดูดดุนลำเนื้อร้อนของเขาอย่างเผลอไผล ไรอันจึงค่อยรู้สึกตัวและยอมปล่อยให้ความแกร่งลื่นเลื่อนออกช้าๆ ตามด้วยการระบายลมหายใจยาวเมื่อสิ่งนั้นเป็นอิสระจากริมฝีปากของเขาในที่สุด

“...อื้ม อื๊อ”

หนุ่มลูกครึ่งทำได้เพียงส่งเสียงครางในคอเมื่อณรงค์รั้งไหล่เขาให้ยืนขึ้นพิงผนังและประทับจูบลงมาอย่างรุนแรงจนเจ็บ สัมผัสนั้นอัดแน่นไปด้วยความปรารถนาที่กำลังทลายลงจากเขื่อนที่กักเก็บไว้ยามทั้งสองอยู่ต่อหน้าคนอื่น และเขาก็ได้แต่ปล่อยให้ณรงค์สัมผัสร่างกายเขาไปทั่วทุกส่วนตามพายุอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่านโดยไร้เรี่ยวแรงจะหยุดยั้ง แม้เมื่อกระทั่งอีกฝ่ายสอดแทรกนิ้วที่ชุ่มด้วยสบู่เหลวเข้ามาในช่องทางเล็กแคบด้านหลังถึงสองนิ้วแล้วก็ตาม

“ไรอัน วันนี้...ผมไม่ใช้ถุงยางได้มั้ย?”

ณรงค์กระซิบเสียงต่ำเมื่อละริมฝีปากออกเพื่อเลาะเล็มบนผิวแก้มเนียน ไรอันซึ่งยังคงเคลิบเคลิ้มกับรสสัมผัสไม่อาจให้คำตอบได้ในทันทีและทำได้เพียงมองคนถามอย่างงุนงง

“...เอ๊ะ?”

นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนที่มองกลับดูเหมือนคนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเพราะณรงค์ไม่ยอมปล่อยร่างกายเขาให้เป็นอิสระนานพอจะคิดอะไรได้เลย กระทั่งเมื่อใจความของคำถามนั้นกระจ่างแจ้งในที่สุด ไรอันจึงกะพริบตาถี่เหมือนไม่แน่ใจว่าได้ยินถูก

“...เมื่อตอนบ่ายผมไปตรวจร่างกายมาแล้ว ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงหรอกนะ จากนี้ผมก็จะมีแต่คุณคนเดียว”

ณรงค์ขยายความต่อพลางขบกลีบปากที่บวมช้ำของไรอันเบาๆ เมื่อหนุ่มลูกครึ่งตระหนักได้ว่าสาเหตุที่อีกฝ่ายไม่กลับเข้าออฟฟิศช่วงเย็นเป็นเพราะอะไร ไรอันก็รู้สึกราวกับเลือดในกายพร้อมใจกันสูบฉีดไปรวมอยู่บนหน้าจนร้อนผ่าว

“รัก?”

ณรงค์ถามซ้ำเมื่อไรอันก้มหน้าลงซุกไหล่เขา ฝ่ามือใหญ่ลูบแผ่นหลังคนในอ้อมแขนไปมาและพยายามจะดันตัวออกเพื่อมองหน้า แต่หนุ่มลูกครึ่งกลับยิ่งส่ายหน้าแล้วกอดไหล่กว้างแน่นขึ้นอีก

บ้าจริง...ถึงกับต้องแอบไปขอคำยืนยันจากหมอเพื่อให้เขาสบายใจที่จะมีอะไรด้วยขนาดนั้นเลยหรือไง...

ไรอันไม่แน่ใจว่าจะฉุน จะขำ หรือจะหมั่นไส้คนที่กำลังกอดตัวเองดี แต่เมื่อณรงค์ประสบความสำเร็จในการแงะแขนเขาออกและเชยคางขึ้นเพื่อสบตาด้วยในที่สุด เขาก็รู้ว่าไม่จำเป็นจะต้องคิดมากเรื่องใดๆ อีกแล้ว

เมื่อนัยน์ตาคู่นั้นสะท้อนความปรารถนาในตัวเขาอย่างเด็ดเดี่ยวถึงเพียงนั้น...

“ไรอัน?”

ณรงค์ถามอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่เป็นการเป็นงานมากขึ้น และไม่ยอมให้หนุ่มลูกครึ่งหันหน้าหนีด้วยการยึดคางเรียวไว้แน่นเพื่อให้สบตากับตัวเอง ไรอันที่ไม่รู้จะมองที่ไหนจึงได้แต่หลุบตาลงด้วยไม่กล้าสบนัยน์ตาคมเข้มอันร้อนแรงคู่นั้น เพราะนี่เป็นครั้งแรกจริงๆ ตั้งแต่เริ่มคบกับณรงค์มาที่เขารู้สึกเขินอย่างจริงจัง

เขินเอามากๆ จนถ้าหากเป็นคนอื่นเขาคงต่อยแล้วเดินหนีไปแล้วโทษฐานที่มาเซ้าซี้เอาคำตอบจนน่าโมโหอย่างนี้...

“...จะทำอะไรก็ทำ”

เสียงนั้นแผ่วและงึมงำเพราะคนพูดก้มหน้า กระนั้นณรงค์ที่ตั้งใจฟังก็ได้ยินทุกพยางค์ไม่ตกหล่น ชายหนุ่มยิ้มก่อนจะรั้งตัวหนุ่มลูกครึ่งเข้าไปกอดแล้วจูบแรงๆ จนไรอันส่งเสียงอู้อี้ในคอ

“ผมรักคุณ”

ร่างสูงใหญ่เอ่ยคำรักชิดริมหูอีกครั้งจนไรอันใจเต้นรัว ชายหนุ่มสบตาอีกฝ่ายก่อนจะยอมหันหลังเมื่อถูกจับดันไหล่เข้าหาผนัง ร่างสมส่วนราวนายแบบกระตุกเกร็งเมื่อณรงค์อ้อมมือมาปลุกเร้าความตื่นตัวของเขาให้พร้อมกับใช้อีกมือสอดนิ้วเข้าด้านหลังเพื่อสร้างความคุ้นเคยให้อีกครั้ง

“That’s enough…”

ไรอันเอี้ยวหน้าไปบอกเสียงเบาด้วยใบหน้าแดงก่ำ ชายหนุ่มใช้แขนสองข้างยันผนังไว้ด้วยหากไม่ทำเช่นนั้นอาจยืนไม่อยู่ นาทีนี้ความต้องการในตัวณรงค์มีมากเกินกว่าที่เขาจะมัวแต่ไว้ท่าและรอให้อีกฝ่ายขออนุญาตก่อนดั่งเช่นทุกครั้งแล้ว

ณรงค์ยิ้มพลางก้มลงจูบขมับเขาเบาๆ ไรอันหันกลับเข้าหาผนังและพยายามระบายลมหายใจช้าๆ เมื่อรู้สึกถึงความแกร่งร้อนที่กำลังแทรกเข้ามาในช่องทางที่ถูกนิ้วมือและสบู่เหลวเบิกทางไว้ก่อนจนไม่เสียดสีมากนัก ถึงกระนั้นการที่ได้ตระหนักว่านี่เป็น ‘ครั้งแรก’ ที่ทั้งสองสัมผัสกันแบบแนบเนื้อโดยไร้สิ่งขวางกั้นก็ทำให้ไหล่กว้างของหนุ่มลูกครึ่งสั่นอย่างยากจะระงับ

“Good boy.”

นานครั้งเช่นกันที่ณรงค์จะพูดกับเขาเป็นภาษาอังกฤษ ไรอันห่อไหล่เมื่ออีกฝ่ายก้มลงจูบบนต้นคอและลาดไหล่พลางใช้ฟันขบไปทั่วจนเขามั่นใจว่าต้องเป็นรอยแน่ สัมผัสสากหยาบที่แนบบนบั้นท้ายรวมทั้งท่อนขาแข็งแรงที่ซ้อนอยู่ด้านหลังบอกให้ไรอันรู้ว่าได้รับณรงค์เข้ามาในตัวหมดแล้ว และเมื่อร่างกายของเขาบีบรัดสิ่งแปลกปลอมนั้นเองโดยไม่ตั้งใจ ณรงค์ก็สูดหายใจลึกราวจะพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้ล่วงหน้าไปก่อนเสียตรงนั้น

“แบบนี้รู้สึกดีกว่าตั้งเยอะ”

คนด้านหลังรำพึงเบาๆ ด้วยน้ำเสียงที่แหบและเข้มหนัก ไรอันไม่แน่ใจว่าณรงค์พูดกับตัวเองหรือตั้งใจพูดกับเขา แต่ยังไม่ทันจะหันหน้ากลับไปก็ต้องจิกเล็บลงบนผนังกระเบื้องพร้อมกับปล่อยให้เสียงครางหลุดลอดออกมาเมื่ออีกฝ่ายเริ่มขยับกายเข้าออกอย่างช้าๆ แต่หนักหน่วง

“ฮึก อะ อ๊ะ”

ไรอันห้ามเสียงร้องที่เริ่มดังขึ้นแข่งกับเสียงผิวกายที่กำลังกระทบกันไม่ได้เนื่องจากณรงค์เพิ่มจังหวะการเคลื่อนกายเร็วขึ้น ความรุมร้อนจากแรงเสียดสีในช่องทางเล็กแน่นและอุณหภูมิที่ถ่ายทอดมาจากด้านหลังทำให้หนุ่มลูกครึ่งอุ่นวาบไปทั้งตัว ร่างสูงสมส่วนสะดุ้งอีกครั้งเมื่อฝ่ามือใหญ่ที่รั้งสะโพกอยู่เลื่อนมาด้านหน้าและช่วยปลุกเร้าอารมณ์ของเขาให้โหมทะยานไปพร้อมกัน

“รัก...ผมออกข้างในนะ”

ไรอันได้ยินคำถามผ่านเสียงลอดไรฟันจากคนข้างหลังแว่วๆ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าตนเองตอบไปว่าอย่างไร สิ่งเดียวที่จำได้ก่อนที่จะเห็นหมอกขาวโพลนในหัวและเสียงหัวใจเต้นจนหูอื้อก็คือร่างกายที่สั่นสะท้านจากความหวามซ่านที่แตกปะทุ และความอบอุ่นจากวงแขนแข็งแรงที่กอดและพยุงเขาไว้หลังจากผ่านห้วงแห่งความสุขสมอันเร่าร้อนมาพร้อมกัน



++------++



นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนปรือขึ้นอีกครั้งและเห็นภาพเพดานห้องนอนแทนที่จะเป็นฝาผนังห้องน้ำ เมื่อเขาขยับตัวและมองไปข้างๆ ก็ไม่เห็นใครภายในห้องนอนที่สลัวเพราะเปิดแค่โคมไฟไว้ดวงเดียว ไรอันขมวดคิ้วก่อนจะยันตัวขึ้นนั่ง และเป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูห้องนอนเปิดออกพอดี

“รู้สึกตัวแล้วเหรอ เมื่อกี้คุณสลบไปแป๊บนึงผมเลยพาออกมาเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้น่ะ หิวหรือเปล่า? ผมจะได้ไปทำอะไรมาให้”

ไรอันส่ายหน้าพลางรับแก้วน้ำมาดื่ม จากนั้นจึงถามด้วยความสงสัย

“ผมหมดสติไปนานแค่ไหน?”

ณรงค์เหลือบมองนาฬิกาพลางกลอกตาอย่างคาดคะเน “ประมาณสิบนาทีได้มั้ง ไม่นานเท่าไหร่หรอก สงสัยคุณคงเหนื่อยมาก่อนอยู่แล้วน่ะ ขอโทษทีที่ผมรุนแรงไปหน่อย”

ถึงแม้จะขอโทษ แต่หน้าตาคนพูดกลับยิ้มแย้มเสียจนน่าโดนสอยเข้าให้สักหมัดในสายตาของไรอัน และหนุ่มลูกครึ่งก็ได้แต่เม้มปากแน่นเมื่อนึกย้อนไปถึงวินาทีที่ทั้งสองเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างแท้จริง เขายังจำได้ถึงความรู้สึกยามที่ณรงค์ถอนกายออกและมีหยาดหยดอุ่นข้นไหลซึมตามออกมา ก่อนที่อีกฝ่ายจะดึงเขาให้หันกลับไปจูบอย่างร้อนแรงจนแทบหายใจไม่ออก

ดูเหมือนเขาคงจะหมดสติไปตอนนั้นนั่นแหละ...

“รู้ตัวก็ดี”

ไรอันว่าแล้วก็ทรุดตัวลงนอนตะแคงหนีณรงค์และดึงผ้าห่มขึ้นคลุมโปงแทบมิดหัว จริงอยู่ว่าเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้นไปหาใช่ครั้งแรกของทั้งคู่ กระนั้นก็ยังนับได้ว่าเป็น ‘ครั้งแรก’ ในหลายๆ ความหมาย ไม่ว่าจะในสิ่งที่เขาเสนอตัวทำให้ หรือเรื่องที่เลิกใช้อุปกรณ์ป้องกันอย่างที่เขาเคยขอด้วย

หนุ่มลูกครึ่งได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มต่ำจากคนด้านหลัง ดูเหมือนพอคบกันนานขึ้น อีกฝ่ายก็จะเริ่มเดาความคิดเขาออกได้มากขึ้นตามไปด้วยจนน่าหวั่นใจ  ถ้าหากในอนาคตณรงค์รู้ว่าเขากำลังรู้สึกเช่นไรได้ทุกครั้งจะทำอย่างไรดี

“เดี๋ยวคุณนอนก่อนเลยก็ได้นะ พอดีผมเอางานกลับมาทำด้วย คงอีกสักพักถึงจะเข้ามานอน ถ้าหากอยากได้อะไรก็ตะโกนเรียกผมก็แล้วกัน”

“I’m not that helpless…”

ไรอันยังพูดไม่ทันจบประโยคก็โดนคนที่นั่งอยู่ข้างหลังก้มลงมาผนึกริมฝีปากเอาไว้ เรียวลิ้นอุ่นแลบออกเลียริมฝีปากเขาเบาๆ ก่อนณรงค์จะยืดตัวขึ้นแล้วใช้ข้อนิ้วไล้ไปบนผิวแก้ม

“I know…คุณนอนพักเถอะ ผมไม่กวนละ”

ณรงค์เอ่ยก่อนจะเดินออกจากห้องนอนไปแล้วงับประตูตามหลัง ส่วนไรอันยังคงนอนลืมตาโพลงอยู่ในความสลัว ชายหนุ่มใช้หลังมือข้างหนึ่งไล้บนผิวแก้มที่โดนสัมผัสเมื่อครู่ ก่อนจะค่อยๆ เลิกผ้าห่มขึ้นและลุกไปแง้มเปิดประตูเบาๆ พลางมองออกไปยังห้องนั่งเล่น

ณรงค์นั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะซึ่งตั้งอยู่ติดบานเลื่อนกระจกข้างระเบียง แผ่นหลังกว้างหันหลังให้กับประตูห้องนอน บางครั้งเจ้าตัวก็จะหันมองออกไปนอกหน้าต่างเวลาคิดงานไม่ออก จากนั้นถึงค่อยหันกลับไปยังหน้าจอคอมพิวเตอร์อีกครั้ง เสียงคลิกเมาส์สลับกับเสียงปากกาที่ขูดขีดบนกระดาษเป็นระยะบอกให้รู้ว่ากำลังขะมักเขม้นกับการทำงานอย่างที่บอกไว้

ไรอันมองภาพนั้นอยู่สักครู่ก่อนจะงับประตูปิด จากนั้นก็เลื่อนตัวลงนั่งชันเข่าขึ้นกอดพลางพิงผนังข้างประตู บางครั้งเขาก็อิจฉาณรงค์ที่แม้จะอายุมากกว่าเพียงสามปี แต่อีกฝ่ายกลับมีวุฒิภาวะสูงแถมยังรับมือกับความใจร้อนของเขาได้ดีกว่าคนที่บ้านเสียอีก

เวลาอยู่ที่บริษัท เขาอาจถูกมองว่าเป็นหนึ่งในผู้บริหารวัยหนุ่มที่เข้มงวด ขี้โมโห เอาแต่ใจ แต่เวลาที่อยู่คนเดียวหรือต่อหน้าณรงค์ เขาก็เป็นแค่ผู้ชายอายุยี่สิบกว่าคนหนึ่งที่มีอารมณ์หวั่นไหว ไม่แน่ใจกับการตัดสินใจหรืออนาคตของตัวเองเหมือนคนอื่นๆ เพียงแต่เขาปิดบังด้านนี้ไว้ได้ค่อนข้างมิดชิดสำหรับคนที่ไม่รู้จักเขาดีก็เท่านั้นเอง ทว่ากับณรงค์ เขากลับเปิดเผยด้านนี้ได้อย่างหมดเปลือกโดยที่ไม่ต้องหวั่นเกรงว่าอีกฝ่ายจะทำให้เสียใจหรือรับด้านนี้ของเขาไม่ได้เลยสักนิด

จริงอยู่ว่านิสัยเอาแต่ใจนั้นเป็นบุคลิกของเขาที่ฝังรากมาแต่เด็กและก็คงจะแก้ยากไปแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ไรอันรู้สึกว่าอยากลองเปลี่ยนนิสัยเพื่อใครสักคนดู ถึงแม้จะไม่อาจทำได้เต็มร้อย แต่เขาก็เริ่มจะเรียนรู้แล้วว่าการได้เห็นณรงค์ยิ้มเวลาเขาทำอะไรดีๆ ให้นั้นนทำให้หัวใจเขาเองพองโตได้แค่ไหน

บางที...พรุ่งนี้เขาจะชวนณรงค์ไปเดินเล่นที่ร้านขายเครื่องแต่งบ้านแล้วหาซื้ออะไรมาให้ประดับห้องเพิ่มอีกสักอย่างดีกว่า...

ไรอันคิดวางแผนสำหรับวันรุ่งขึ้นในหัว พร้อมกับความง่วงงุนและอ่อนเพลียที่คืบคลานขึ้นเกาะตามกล้ามเนื้อที่เมื่อยล้า ในที่สุดหนุ่มลูกครึ่งก็ฟุบหลับไปในท่าที่กำลังนั่งกอดเข่าพิงผนังข้างประตูนั่นเอง เขาจึงไม่ได้เห็นว่าในอีกหนึ่งชั่วโมงถัดจากนั้นมีคนมาเห็นเขานั่งหลับและช่วยอุ้มขึ้นไปนอนบนเตียง และคนคนนั้นยิ้มกว้างแค่ไหนเมื่อเขาเบียดซุกตัวเข้าหายามที่เจ้าตัวทอดกายลงนอนเคียงข้างกันใต้ผ้านวม

หนุ่มลูกครึ่งไม่ได้รู้ตัวเลย...ว่าหากเพียงอีกฝ่ายได้รู้ถึงความคิดที่อยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อเขา นั่นก็อาจเพียงพอที่จะทำให้ใครคนนั้นมีความสุขที่สุดในโลกแล้วก็เป็นได้...



++---End---++



จริงๆ แล้วเนื้อเรื่องตอนนี้ไม่ค่อยมีอะไร แต่พยายามจะเขียนเหมือนให้มีอะไร (งงไหม?) สารภาพว่าตอนแรกตั้งใจจะเขียนให้ออกมาขำ แต่ไปๆ มาๆ ไหงกลายเป็นโหมดนี้ก็ไม่รู้ เนื้อหาในตอนนี้จะตามหลังเหตุการณ์ที่เกิดในตอน Square One ภาคบทสรุปประมาณหนึ่งถึงสองเดือน ไรอันก็ยังคงเป็นไรอัน ถึงจะคืนดีกับณรงค์แล้วก็ยังมีเรื่องให้ต้องปรับตัวเข้าหากันอยู่ดี ความจริงตอนแรกตั้งใจว่าจะเขียนตอนพิเศษส่งท้ายปีใหม่เพราะมีไอเดียแล้ว ไปๆ มาๆ ไอเดียของตอนนี้ก็ดันแล่นเข้ามาจนต้องแทรกคิวก่อน ส่วนของตอนปีใหม่อาจได้เขียนตามมาให้หลังผ่านปีใหม่ไปแล้วนะคะ (คงกลายเป็นควันหลงยาว) ก็ขอถือโอกาสนี้ Happy Holiday แก่ทุกคนครั้งหลังแปะการ์ดไปในกระทู้ก่อน ขอให้ปีหน้าเป็นปีที่สุขสดชื่น สมหวังในสิ่งที่พยายามและมุ่งมั่น และเจอแต่เรื่องดีๆ กันถ้วนหน้าค่ะ

ปล. ไม่ได้แปะเตือนไว้ว่าตอนนี้เนื้อหาเรทร้อนแรงอีกแล้ว อ่านแล้วคงไม่ตกใจกันเนอะ เอิ้กๆๆ :L1:


หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ คุณค่าของความตั้งใจ [28/12/11 P.7]
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 28-12-2011 16:56:43
กรี๊ดดดดดด คุณริน หื่นอะ 55555  แต่ขอแบบนี้อีกได้มั้ย  :o8:

โห ไรอัน ทำตัวน่ารักขึ้นเยอะเลยนะเนี่ย  :a5:
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ คุณค่าของความตั้งใจ [28/12/11 P.7]
เริ่มหัวข้อโดย: maio2000 ที่ 28-12-2011 17:17:46
 :z13: พี่รินแอบมาลง  ตอนนี้บอกคำเดียวสุดยอด :jul1:
ขอเลือดมาเติมด่วนค่ะพี่  ตอนนี้ดีใจรักเริ่มที่จะยอมพี่ณรงค์มากขึ้น
คิดถึง เข้าใจพี่ณรงค์มากขึ้น เป็นปลื้มมากๆ
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ คุณค่าของความตั้งใจ [28/12/11 P.7]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 28-12-2011 19:44:45
กรี๊ดดดดดด คุณริน หื่นอะ 55555  แต่ขอแบบนี้อีกได้มั้ย  :o8:

โห ไรอัน ทำตัวน่ารักขึ้นเยอะเลยนะเนี่ย  :a5:

คนหื่นมันณรงค์ตะหาก เค้าไม่เกี่ยว กร๊ากกกกกกก
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ คุณค่าของความตั้งใจ [28/12/11 P.7]
เริ่มหัวข้อโดย: Cacao ที่ 28-12-2011 21:04:21
สวีทมากกกกกกก =////= อ่านฉาก ฉ ฉิ่งแล้วกรีดร้อง เืลือดระเหยออกมาเป็นไอ 5555555
คือแบบ อ๊ากกกกกก เขียนได้ต่อมจิ้นระเบิดมากๆคุณริ๊นนนน >///////<  แล้วยิ่งต้องกรี๊ด
เพราะเหมือนไรอันจะเริ่มเอาแ่ต่ใจน้อยลง คิดถึุงณรงค์มากขึ้น ทำอะไรที่เหมือนคนรักปกติเค้าทำกันหน่อย
แล้วยิ่งตอบสนองแล้วก้เอาใจณรงค์กับเรื่องบนเตียงมากขึ้น (จริงๆมันก็ไม่เชิงเรื่องบนเีตียงสินะ ฮ่าๆ)
ีนี่มันก็จะยิ่งน่าร๊ากก เข้าไปใหญ่ ตอนนี้ณรงค์ก็หลงไรอันจะแย่ละ เจอแบบนี้เข้าไปพลีชีพถวายกายหนักกว่าเดิมอีก ฮ่าาา
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ คุณค่าของความตั้งใจ [28/12/11 P.7]
เริ่มหัวข้อโดย: love2y ที่ 28-12-2011 21:18:52
กรี๊ดดดดดดดดดดด ไรอันน่ารักอ่ะ ชอบ!!!!!!!!
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ คุณค่าของความตั้งใจ [28/12/11 P.7]
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 28-12-2011 21:44:47
ไรอันเป็นแบบนี้ ณรงค์ยิ่งรักยิ่งหลง ไปไหนไม่รอดแล้ว
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ คุณค่าของความตั้งใจ [28/12/11 P.7]
เริ่มหัวข้อโดย: paradoxxx ที่ 30-12-2011 13:38:05


เพิ่งเข้ามาอ่าน ชอบมากกกกกกก  ><
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ คุณค่าของความตั้งใจ [28/12/11 P.7]
เริ่มหัวข้อโดย: berlyn ที่ 01-01-2012 19:06:47
น่ารัก^^//
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ คุณค่าของความตั้งใจ [28/12/11 P.7]
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 01-01-2012 19:52:55
ตอนนี่้ไรอันน่ารักมาก

 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ คุณค่าของความตั้งใจ [28/12/11 P.7]
เริ่มหัวข้อโดย: Horizon ที่ 01-01-2012 21:03:52
ความสัมพันธ์มีการพัฒนา :-[
 :mc1: :mc3: :mc2:
สวัสดีปีใหม่ ขอให้มีความสุขมากๆ นะคุณริน
+1
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ คุณค่าของความตั้งใจ [28/12/11 P.7]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 03-01-2012 11:51:02
ความสัมพันธ์มีการพัฒนา :-[
 :mc1: :mc3: :mc2:
สวัสดีปีใหม่ ขอให้มีความสุขมากๆ นะคุณริน
+1

ช่วงปีใหม่ไปตะลอนทัวร์เลยไม่ทันเห็นข้อความสวัสดีปีใหม่ งั้นขอสวัสดีปีใหม่ย้อนหลังคุณ Horizon  และทุกคนด้วยค่า ;-)
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ คุณค่าของความตั้งใจ [28/12/11 P.7]
เริ่มหัวข้อโดย: ASSASSIN ที่ 03-01-2012 13:16:46
อ่านรวดเดียวเลย  อิอิ  สงสารตี้จัง  ฝากคุณรินหาคนมาดามอกให้ตี้มั่งนะครับ อิอิ  o13
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ คืนพิเศษของคนพิเศษ [13/02/12 P.7]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 13-02-2012 20:22:50
ไหนๆ พรุ่งนี้ก็จะวันวาเลนไทน์แล้ว ก็เอาตอนพิเศษมาลงให้ก่อนวันนึง ไม่ผิดกติกาหรอกนะ มาเร็วดีกว่ามาช้า จริงมิ เอิ้กๆๆ  :m32:

ตอน คืนพิเศษของคนพิเศษ


อุณหภูมิจากเครื่องปรับอากาศในห้องเย็นกำลังพอดี หมอนและผ้าห่มก็นุ่มลื่นแถมยังกรุ่นกลิ่นอายที่คุ้นเคยจนชวนให้หลับสบาย แต่เมื่อวาดแขนออกไปและพบแต่ความว่างเปล่าใกล้ตัว ณรงค์ก็หรี่ตาขึ้นช้าๆ ท่ามกลางความงัวเงียเพราะยังไม่ตื่นเต็มที่ เสียงน้ำไหลแผ่วๆ จากในห้องน้ำก็ลอยมาเข้าหู

ชายหนุ่มเหลือบมองไปทางประตูห้องน้ำซึ่งเปิดอ้าไว้ บานประตูสีขาวบังคนที่กำลังยืนอยู่หน้ากระจกและหันหลังให้เขาไปกว่าครึ่งตัว กระนั้นก็เพียงพอจะเผยให้เห็นด้านหลังของเรือนร่างเย้ายวนแบบบุรุษเพศที่สวมเพียงกางเกงบรีฟแนบเนื้อสีเทาอ่อน ร่างสูงใหญ่ยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองทีหนึ่ง ก่อนจะสูดจมูกแล้วค่อยยันตัวขึ้นนั่ง

“คุณตื่นเช้าจัง”

เสียงณรงค์ยังสะลึมสะลือเล็กน้อยเมื่อเดินเข้าไปใกล้คนที่กำลังโกนหนวด ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้ก็สวมเพียงกางเกงบรีฟผ้ายืดตัวเดียวไม่ต่างกับไรอัน แต่เรือนผมหยักศกที่ชื้นนิดๆ กับกลิ่นสบู่ที่กรุ่นในห้องน้ำบอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว

ไรอันมองสบตาคนที่เพิ่งตื่นผ่านกระจก ขณะเดียวกันก็รูดใบมีดโกนไปบนแก้มที่โปะครีมโกนหนวดขาวฟูเอาไว้ เผยให้เห็นผิวเนียนสีงาช้างยามที่ใบมีดคมกริบลากผ่าน ราวกับใครเอานิ้วปาดวิปครีมจนเห็นเนื้อเค้กข้างใต้

“I didn’t go to bed at 2 o’clock like you.”

ณรงค์หัวเราะ เขาฉวยโอกาสตอนไรอันเคาะมีดโกนซึ่งเลอะครีมลงในอ่าง ก้มลงกดจมูกบนขมับอีกฝ่ายเบาๆ ก่อนจะหันไปหยิบแปรงสีฟันของตัวเองมาบีบยาสีฟันลงไป ไรอันจึงเบี่ยงตัวเพื่อให้ที่เขาได้ยืนและแปรงฟันได้ถนัดขึ้น

ที่นี่เป็นคอนโดของไรอัน ปกติแล้วในสัปดาห์หนึ่งๆ พวกเขาจะสลับกันไปนอนที่คอนโดของอีกฝ่ายบ้างตามแต่จะสะดวก บางคืนก็อาจจะนอนแยกคอนโดใครคอนโดมัน แต่เพราะเมื่อคืนนี้ณรงค์ต้องอยู่ทำงานที่ออฟฟิศถึงตีหนึ่งครึ่งเพื่อเตรียมแบบสำหรับไปเสนอลูกค้า เมื่อคืนเขาก็เลยมาค้างที่นี่เพราะเพลียจนไม่อยากขับรถกลับคอนโดของตัวเอง

“ถ้างั้นเดี๋ยวกินข้าวเช้าด้วยกันก่อนมั้ย? จะให้ผมต้มโจ๊กหรือทอดไข่ดี?”

ณรงค์ถามขณะแปรงฟันอย่างไม่รีบร้อน เพราะว่าจากคอนโดของไรอันไปบริษัทนั้นใช้เวลาเพียงสิบห้านาที ดังนั้นต่อให้เขาโอ้เอ้จนแปดโมงครึ่งก็ยังมีเวลาถมถืดสำหรับเดินทาง

ไรอันเลิกคิ้วข้างหนึ่ง ก่อนจะจรดมีดโกนลงเก็บรายละเอียดครั้งสุดท้ายแล้วก้มลงล้างหน้า

“วันนี้ผมมีนัดต้องไปสัมภาษณ์นิตยสารตอนเช้า เมื่อคืนผมก็บอกคุณไปแล้วไม่ใช่เหรอ?”

“หือม์?...อ้อ วันนี้หรอกเหรอเนี่ย”

ณรงค์กลอกตาพลางพูดงึมงำ ตอนมาถึงคอนโดของไรอันเมื่อคืนเขาทั้งเหนื่อยทั้งเพลีย ถ้าหากเป็นที่คอนโดตัวเองก็คงแค่ถอดเสื้อผ้าแล้วล้มตัวลงบนเตียงเลยด้วยซ้ำ แต่เพราะโดนไล่ให้ไปอาบน้ำก่อน ถึงได้ต้องข่มความง่วงทำตามที่เจ้าของห้องบอกก่อนจะมานอนด้วยกัน เขาคลับคล้ายคลับคลาว่าได้ยินเรื่อง ‘สัมภาษณ์’ แว่วๆ ตอนกอดเจ้าตัวจากข้างหลัง แต่เพราะผล็อยหลับไปก่อนจะฟังจบ เลยไม่ทันได้จำรายละเอียด

“คุณนี่นะ...แล้วหายไข้หรือยัง?”

ไรอันถามพลางอังมือลงบนต้นคอของณรงค์ ชายหนุ่มจึงก้มลงบ้วนปากก่อนจะหยิบผ้าขนหนูขึ้นซับหน้า

“ผมมีไข้ด้วยเหรอ?”

ไรอันฟังคำถามแล้วก็ทำหน้าหน่ายใจ แต่ประกายในดวงตากับมุมปากที่ยกขึ้นนิดๆ ทำให้ใบหน้าอ่อนโยนลง

“ก็เมื่อคืนคุณตัวอุ่นๆ แถมสูดน้ำมูกอีก แต่ท่าทางคงไม่เป็นไรแล้วมั้ง ตัวไม่ร้อนแล้ว”

หนุ่มลูกครึ่งยกมือขึ้นอังหน้าผากเขาอีกทีเพื่อให้แน่ใจ ณรงค์จึงหันไปเสียบแปรงสีฟันในที่เก็บก่อนจะหันกลับมาทั้งตัว

“โอเค ผมแปรงฟันเสร็จแล้ว มอร์นิ่งคิสผมล่ะ?”

ณรงค์พูดยิ้มๆ พลางกางแขนสองข้างออก ไรอันสบตากับเขา แล้วรอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลาก็ขยายกว้างขึ้นด้วยความหมั่นไส้

“Cheeky bastard.”

หนุ่มลูกครึ่งก้าวเข้ามายืนจนชิดและวางมือลงบนไหล่ ณรงค์จึงรวบเอวอีกฝ่ายเข้าหาก่อนจะก้มลงจูบกลีบปากได้รูปเบาๆ กลิ่นสบู่และครีมโกนหนวดอ่อนจางดึงดูดให้เขาเคลียจมูกไปบนผิวแก้มเกลี้ยงเกลาก่อนจะกดลงหอมแรงๆ อย่างมันเขี้ยว

ทั้งคู่อาจคบกันมาหลายเดือนแล้วก็จริง แต่เนื่องจากยังไม่ได้ย้ายมาอยู่ด้วยกัน สัปดาห์หนึ่งๆ จะได้นอนเตียงเดียวกันก็สามสี่วันเท่านั้น การจะได้สวีทหวานตอนเช้าจึงไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นบ่อย ดังนั้นในวันที่โอกาสเป็นใจแบบนี้ ณรงค์จึงขอตักตวงให้เต็มอิ่ม

รอยยิ้มสดใสบนหน้าหนุ่มลูกครึ่งหลังจากณรงค์ผละออกเป็นสิ่งที่เขาได้รับโดยไม่ต้องเรียกร้องมากขึ้นทุกที และหากก่อนหน้านี้ไรอันเคยทำให้เขาตกหลุมรักหัวปักหัวปำได้ทั้งที่เย็นชาใส่ การที่อีกฝ่ายโอนอ่อนเข้าหาก็ไม่ต่างจากการกลบฝังหลุมนั้นจนเขาปีนไม่ขึ้นเท่านั่นเอง

และโชคดีที่ณรงค์ก็ไม่เคยคิดอยากปีนขึ้นมาอยู่แล้วด้วย

“ถ้างั้นเดี๋ยวผมแต่งตัวออกไปก่อนก็แล้วกัน เย็นนี้เจอกันที่โรงแรม Ok?”

หนุ่มลูกครึ่งเอ่ยก่อนจะเดินออกจากห้องน้ำ ณรงค์จึงยิ้มพลางถอนหายใจเบาๆ วันนี้เป็นวันวาเลนไทน์ ซึ่งจะนับเป็นครั้งที่สองที่พวกเขาได้ฉลองวันแห่งความรักด้วยกัน เพียงแต่เมื่อปีที่แล้วนั้นความสัมพันธ์ของทั้งคู่ยังไม่มั่นคงแบบนี้ แถมยังเป็นมื้อที่ค่อนข้างฉุกละหุกอีกด้วย ปีนี้ก็เลยตกลงกันว่าจะหาสถานที่สำหรับทานอาหารค่ำในคืนพิเศษอย่างเป็นเรื่องเป็นราว โดยที่ไรอันเป็นคนตัดสินใจเลือกห้องอาหารในโรงแรมหรูด้วยตัวเอง แล้วยังบอกเขาว่าไม่ต้อง ‘เตรียมอะไรให้ก็ได้’ อีก

แต่จะให้เขาไม่ทำอะไรเลยได้ยังไงกัน...

“I’m going.”

“Ok.”

ณรงค์ร้องตอบจากในห้องน้ำเนื่องจากกำลังอาบน้ำอยู่ เสียงปิดประตูที่ด้านหน้าบอกให้รู้ว่าเจ้าของห้องออกไปทำงานแล้ว หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย เขาก็เดินเข้าไปหยิบมือถือซึ่งวางอยู่บนหัวเตียงมากดโทรออก

เขาก็อยากทำอะไรพิเศษให้คนรักใน ‘คืนพิเศษ’ นี้เหมือนกันนี่นา

“หวัดดีเหมย นี่ถึงออฟฟิศหรือยัง? แล้วตกลงเรื่องที่ให้ฝากให้ช่วยสำเร็จมั้ย?”



++------++



ไรอันถอยรถเข้าจอดในที่ว่างบริเวณชั้นใต้ดินของอาคารแห่งหนึ่ง โดยทางทีมงานของนิตยสารได้ติดต่อเขาผ่านทางเลขาว่าให้มาพบกันที่ร้านอาหารในตึกนี้เพื่อสัมภาษณ์และถ่ายรูป เมื่อเขาเหลือบมองเวลาที่หน้าปัดดิจิตอลก็พบว่าอีกตั้งยี่สิบนาทีกว่าจะถึงเวลานัดหมาย จึงตัดสินใจว่าจะยังไม่ดับเครื่องและนั่งฟังเพลงฆ่าเวลาต่ออีกสักพัก

ใจจริงแล้วผู้บริหารหนุ่มไม่เคยสนใจอยากให้สัมภาษณ์นิตยสารไม่ว่าจะหัวไหน แถมคราวนี้ยังเป็นนิตยสารแนวไลฟ์สไตล์สำหรับผู้หญิงซึ่งเขาไม่อ่านอีกด้วย แต่เพราะว่าบรรณาธิการใหญ่เป็นเพื่อนสนิทกับแม่ของเขาเอง พอโดนทาบทามมาก็เลยปฏิเสธไม่ได้

ไรอันอาศัยเวลาว่างนั่งเช็คอีเมล์ในมือถือไปพลางๆ ขณะนั้นเองก็มีรถสปอร์ตรูปร่างเฉี่ยวสีดำสนิทขับลงมาจอดคู่กันกับรถของเขา ไรอันปรายตามองก็รู้ทันทีว่ารถคันนั้นเป็นรถนำเข้าจากอิตาลีมูลค่าหลายสิบล้าน

แน่นอนว่าสำหรับผู้ชายแล้ว รถยนต์ก็ไม่ต่างจากเครื่องประดับชิ้นใหญ่ที่ใช้งานได้ด้วย แต่ถึงเขาจะชอบรถยนต์ที่สวยและดูดีแค่ไหนก็ไม่คิดจะละลายเงินไปกับยานพาหนะเพียงเพื่ออวดบัญชีในธนาคารเท่านั้น

ผู้ที่เดินลงมาจากรถอิตาลีคันนั้นคือชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่บึกบึน ใบหน้าโครงเหลี่ยมใต้คิ้วเข้มพาดเฉียงสวมแว่นกันแดดสีดำสนิท ร่างกายท่อนบนสวมเสื้อยืดสีดำแขนสั้นเข้ารูป เน้นให้เห็นเค้าโครงของมัดกล้ามที่ดันเสื้อจนเป็นเนินนูนชัดเจน ส่วนท่อนล่างสวมกางเกงยีนส์ลีวายส์กับรองเท้าบู๊ตหนังสูงปิดข้อเท้า ผมด้านบนที่ตัดสั้นนั้นใส่เยลและจัดทรงไว้อย่างดี ชายคนนั้นเบือนหน้ามามองเขานิดหนึ่งก่อนจะเดินไปทางลิฟต์ แต่ไรอันเพียงเหลือบตากลับลงอ่านอีเมล์ต่ออย่างไม่ใส่ใจ เขารอจนกระทั่งเหลืออีกสิบนาทีจะถึงเวลานัดจึงค่อยออกจากรถแล้วเดินไปขึ้นลิฟต์

เมื่อเดินออกจากลิฟต์ ไรอันก็เดินตามป้ายชี้บอกทางไปร้านอาหารซึ่งอยู่ไม่ไกลจากล็อบบี้ โดยร้านอาหารนี้แบ่งเป็นโซนในอาคารและกลางแจ้ง แต่บริเวณที่อยู่กลางแจ้งก็มีร่มผ้าใบและไม้ประดับเขียวชอุ่มตลอดแนวระเบียง ทำให้บรรยากาศยังคงร่มรื่นแม้แดดจะเริ่มแรงในยามสาย

เนื่องจากทั้งร้านมีคนจับกลุ่มนั่งกันอยู่โต๊ะเดียว แถมบนโต๊ะยังมีอุปกรณ์เช่นกล่องใส่เครื่องแต่งหน้าและอุปกรณ์สำหรับถ่ายรูปวางอยู่ ไรอันจึงผลักประตูแล้วเดินตรงเข้าไปหาอย่างไม่ลังเล หนึ่งในทีมงานซึ่งเป็นหญิงสาวผมตัดบ๊อบสั้น ใส่แว่นกรอบกลมกับชุดกระโปรงสีส้มลายจุดหันมาเห็นเขาก็ยิ้มแป้น

“คุณไรอันใช่มั้ยคะ? สวัสดีค่ะ นิ้งเป็น บก. ของนิตยสารที่จะสัมภาษณ์วันนี้นะคะ แล้วก็นี่ทีมงานของนิ้ง มีตากล้องกับช่างแต่งหน้าค่ะ เดี๋ยวรอคุณเคียวกลับจากห้องน้ำแล้วเราก็เริ่มแต่งหน้าถ่ายรูปได้เลย เสร็จแล้วค่อยเปลี่ยนชุดสำหรับถ่ายรูปนะคะ”

หญิงสาวเอ่ยทักทายพร้อมกับยื่นนามบัตรให้อย่างคล่องแคล่ว และแม้ว่าไรอันจะฟังภาษาไทยแตกฉาน แต่ก็แทบจะตามจังหวะการพูดที่รัวราวประทัดของเธอไม่ทัน ทว่าก็ยังจับข้อความช่วงท้ายๆ ได้ และนั่นทำให้คิ้วดกหนามุ่นขึ้น

“เปลี่ยนชุด?”

นัยน์ตามีคำถามของหนุ่มลูกครึ่งทำให้บรรณาธิการสาวหน้าเหลอ นัยน์ตาเรียวรีหลังแว่นกรอบกลมกะพริบปริบๆ ก่อนจะอธิบาย

“เอ่อ กำหนดการของเราวันนี้จะถ่ายแบบคุณไรอันกับคุณเคียว ในฐานะลูกครึ่งหนุ่มที่มีตำแหน่งสำคัญในแวดวงธุรกิจเหมือนกันค่ะ คุณเคียวเขาเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่น ลูกชายบริษัทอาหารกระป๋องรายใหญ่แล้วก็นายแบบโฆษณา ก่อนหน้านี้นิ้งเคยส่งรายละเอียดไปให้คุณเหมยแล้วนะคะ”

ไรอันยิ่งขมวดคิ้วแน่นขึ้น นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนกลอกน้อยๆ ขณะพยายามนึกว่าเลขาของเขาเคยบอกเรื่องนี้ไว้ก่อนหรือไม่ เป็นไปได้ว่าเมธาวีเคยบอกแล้ว แต่เพราะมัวแต่งานยุ่ง ประกอบกับไม่ได้สนใจการสัมภาษณ์ครั้งนี้เท่าไหร่ เขาเลยไม่ได้ใส่ใจฟังก็เป็นได้

“Ok then. แต่คงเสร็จก่อนเที่ยงใช่ไหม?”

ชายหนุ่มตั้งใจบอกเป็นนัยๆ ว่าเขาไม่มีเวลามากนัก การสัมภาษณ์และถ่ายรูปจะได้ไม่ยืดเยื้อ หญิงสาวจึงรีบกระวีกระวาดจัดให้เขานั่งที่เก้าอี้เพื่อให้ช่างเริ่มแต่งหน้าได้เลย ขณะที่ช่างกำลังหยิบของจากกล่องอุปกรณ์ออกวางเรียงบนโต๊ะ ไรอันก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาในร้าน การแต่งกายและรูปร่างเป็นเอกลักษณ์ทำให้จำได้ทันทีว่าเป็นคนเดียวกับเจ้าของรถราคาแพงที่จอดข้างกันในชั้นใต้ดิน เพียงแต่ตอนนี้แว่นกันแดดที่เคยสวมถูกพับและเสียบไว้บนคอเสื้อยืด และนัยน์ตาดำขลับใต้คิ้วพาดเฉียงที่มองมาทางเขาก็ฉายประกายระยับ

“อ้อ คุณน่ะเอง”

ไรอันตัดสินใจหยิบมือถือออกมาเช็คอีเมล์ทันที

ทีมงานตกลงกันว่าจะถ่ายภาพตรงมุมหนึ่งของห้องอาหารที่ติดกับกระจก และจะถ่ายทั้งรูปเดี่ยวและรูปคู่ จะได้มีคลังรูปไว้เลือกตอนนำไปตีพิมพ์ โดยระหว่างที่ทีมงานกำลังจัดแสงไฟและฉาก ช่างแต่งหน้าของไรอันก็ไม่ได้ชวนเขาคุย เนื่องจากชายหนุ่มเอาแต่จดจ่อกับการทำอะไรสักอย่างในมือถือ ในขณะที่อีกคนซึ่งนั่งแต่งหน้าอยู่ข้างกันนั้นสนทนากับช่างแต่งหน้าอย่างออกรส

“ช่วงนี้ที่ญี่ปุ่นหนาวมากเลยครับ หิมะยังตกอยู่ ยิ่งทางเหนือๆ ยิ่งหนาว อาทิตย์ก่อนผมก็เพิ่งไปสกีกับเพื่อนๆ ที่นิเซโก้ กะว่าเดี๋ยวช่วงเมษาจะกลับไปดูซากุระบานที่โตเกียว”

“ว้าย โรแมนติกจังเลย แพตตี้ก็อยากไปดูซากุระค่ะ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยไปเที่ยวญี่ปุ่นซักที" ช่างแต่งหน้าหญิงไม่แท้ที่กำลังทาแป้งให้เจ้าตัวพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน

“ถ้าคุณแพตตี้จะไปจริงๆ ลองโทรหาผมสิ เดี๋ยวผมพาเที่ยวเองก็ได้”

“อุ๊ย!! คุณเคียวพูดงี้เดี๋ยวแพตตี้ก็ไปจริงๆ หรอก”

เสียงหัวเราะคิกคักจากทั้งคู่ทำให้ไรอันรู้สึกเลี่ยนๆ พิกล แต่ก็พยายามไม่แสดงออกทางสีหน้า เขาเองก็เคยต้องไปทานข้าวกับลูกค้าหรือพบปะผู้คนในงานเลี้ยงบ้าง จึงใช่จะไม่เคยได้ยินบทสนทนาเกี้ยวพาหยอกล้อเช่นนี้ แต่ที่ทำให้เขาไม่ชอบใจยิ่งกว่าอะไร ก็เห็นจะเป็นสายตาจากหนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นที่เขารู้ว่าลอบมองมาหลายครั้งแล้วมากกว่า

โชคดีที่การแต่งหน้ากินเวลาไม่นานนัก เนื่องจากเพียงแค่ลงรองพื้น ทาแป้งแล้วก็ปัดคิ้ว ไรอันหยิบเสื้อผ้าที่ต้องเปลี่ยนเข้าไปในห้องที่ทางร้านจัดให้ใช้แต่งตัวก่อนจะเดินออกมาอีกครั้ง โดยชุดที่เปลี่ยนจะเป็นสูททางการ และถึงแม้เขาจะไม่ได้บึกบึนมาก แต่ก็สูงโปร่งและมีกล้ามเนื้อสมส่วนแบบคนที่ออกกำลังเป็นประจำ บวกกับเป็นคนที่ถูกสอนเรื่องการวางท่าและบุคลิกมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นถึงชุดสูทจะไม่เข้ารูปพอดี แต่ก็ไม่ได้กลบรัศมีผู้บริหารของเขาลง แถมยังทำให้ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นอีกด้วย

การถ่ายแบบเริ่มขึ้นโดยไรอันเข้าไปนั่งที่มุมของร้านซึ่งช่างภาพจัดแสงไว้แล้ว แต่เนื่องจากเขาไม่ได้เป็นนายแบบอาชีพ จึงต้องให้สไตลิสต์คอยแนะว่าต้องวางมือหรือหันหน้ามุมใดจึงจะดูดี และแม้จะพยายามไม่แสดงออกทางสีหน้า แต่ความรำคาญที่ต้องมาทำอะไรที่ไม่ชอบก็ทำให้หนุ่มลูกครึ่งขมวดคิ้วบ่อยๆ อย่างช่วยไม่ได้

“คุณเคียวแต่งหน้าเสร็จแล้วค่ะ ถ้างั้นเดี๋ยวถ่ายรูปคู่แล้วค่อยถ่ายรูปเดี่ยวคุณเคียวต่อนะคะ”

บรรณาธิการสาวเอ่ยพลางเดินนำหนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นมาที่ฉาก ดูเหมือนทีมงานคงเตรียมชุดที่ไซส์ค่อนข้างใหญ่ไว้สำหรับฝ่ายนั้นอยู่แล้ว กระนั้นเสื้อสูทแจ๊คเก็ตก็ยังบดบังความกำยำของไหล่หนาไม่ได้

กล้ามเยอะไปหน่อย...

ไรอันประเมินอีกฝ่ายผ่านๆ ด้วยแววตาเรียบเฉย ตัดกับนัยน์ตาสีดำเป็นมันที่จ้องเขาโดยมีประกายวิบวับภายใน เขาไม่รู้ว่าทางทีมงานจะมีใครสังเกตหรือไม่ แต่ไรอันก็ไม่ได้โง่ เขาเคยโดนมองด้วยสายตาแสดงความสนใจหรือแม้แต่กะลิ้มกะเหลี่ยจากเพศเดียวกันบ่อยพอจะรับรู้ได้ทันทีที่เห็น

“อย่าทำหน้าดุใส่ผมนักสิครับ"

แล้วถือสิทธิ์อะไรมาบอกเขาไม่ทราบ ไรอันอยากพูดแต่ก็เงียบไว้ เขาอาศัยความเงียบแทนการสื่อสารว่าไม่อยากยุ่งด้วย แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่รับสารนั้นง่ายๆ เพราะขณะที่ถ่ายรูปคู่กัน มีบางครั้งที่ช่างภาพบอกให้สลับที่ หนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นก็ดูเหมือนจะจงใจปัดมือให้มาโดนตัวเขาบ่อยๆ

ไรอันนึกอยากจะถอนหายใจแรงๆ แล้วหันไปต่อยอีกฝ่ายให้สักที

นิสัยชอบอาละวาดเวลาอารมณ์ไม่ดีของเขาไม่เคยหายไปไหน เวลาอยู่ที่ออฟฟิศ ถ้าเกิดเจอว่าใครทำงานผิดพลาด หรือมีเรื่องทำให้ไม่พอใจที่เกี่ยวกับงาน เขาก็ยังเป็นที่ขึ้นชื่อว่าอารมณ์ร้อนอยู่เหมือนเดิม แต่หากใครที่พอจะมีเวลาสังเกตหน่อยจะรู้ว่าเขาใจเย็นขึ้นมากแล้ว ประสบการณ์สอนให้เขาอดทนขึ้น เพียงแต่บางทีเมื่อทนไม่ไหวก็จำต้องระเบิดออกมาบ้าง

กรณีคนที่กำลังถ่ายรูปคู่กันอยู่นี่ก็เหมือนกัน ถ้าหากเอะใจก่อนว่าทางนิตยสารติดต่อคนอื่นไว้ด้วย ไรอันคงปฏิเสธไปแล้วเพราะแปลว่าไม่จำเป็นต้องเป็นเขาก็ได้ หากพูดอย่างเป็นกลาง เขายอมรับว่าเคียวนั้นมีรูปร่างหน้าตาดีเลยทีเดียว ทั้งผิวขาวจัด คิ้วที่หนาและพาดเฉียงเหมือนดาบ และยังเรือนร่างสูงใหญ่เหมือนเล่นกีฬาประเภทสร้างกล้ามเป็นประจำ แต่น่าแปลกที่ไรอันไม่คิดว่าอีกฝ่ายดึงดูดสายตาสักนิด เขากลับพบว่าโครงหน้าที่มีคางเหลี่ยมเป็นสันและร่างกายอุดมมัดกล้ามนั้นชวนให้นึกถึงหุ่นโชว์เสื้อผ้าตามห้าง แถมกลิ่นน้ำหอมที่เจ้าตัวใช้ยังฉุนเกินไปจนเขาเผลอย่นจมูกเสียหลายหน

กลิ่นมิ้นต์จากยาสีฟันยังจะหอมเสียกว่า...
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ คืนพิเศษของคนพิเศษ [13/02/12 P.7]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 13-02-2012 20:27:24
จู่ๆ จูบอรุณสวัสดิ์เมื่อเช้าก็ผุดขึ้นมาในหัว รวมทั้งใบหน้ายิ้มแย้มของคนที่กางแขนออกรอ ‘มอร์นิ่ง คิส’ จากเขาด้วย ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน ไรอันคงไม่คาดคิดว่าจะมีวันหนึ่งที่ปล่อยให้ใครได้ใกล้ชิดเขาขนาดนี้ และยิ่งไม่มีวันที่เขาจะมองเห็นใครคนนั้น ‘น่ารัก’ เวลาแสดงการออดอ้อนใส่โดยไม่นึกอยากผลักไสออกด้วย

และนอกจากณรงค์...ก็คงไม่มีใครที่เปลี่ยนมุมมองของเขาได้เช่นนี้อีกแล้ว

ภาพรอยยิ้มของณรงค์เมื่อเช้าจุดรอยยิ้มอ่อนๆ บนมุมปากของหนุ่มลูกครึ่ง กิริยาเล็กน้อยเพียงเท่านั้นช่วยจุดประกายสว่างไสวบนใบหน้าเขาจนคนที่ยืนถ่ายแบบข้างๆ กลั้นหายใจไปชั่วขณะ แต่ดูเหมือนปฏิกิริยานั้นจะรวดเร็วจนไม่มีใครทันสังเกต

หลังจากช่างภาพถ่ายรูปคู่ของพวกเขาได้พอสมควรก็ขอถ่ายรูปเดี่ยวของหนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นต่อ ไรอันจึงแยกมาให้สัมภาษณ์ที่อีกมุมหนึ่งของห้องอาหาร โดยที่ไม่ได้หันไปสนใจอีกฟากของห้องที่ยังถ่ายรูปกันอยู่สักนิด

การสัมภาษณ์กับบรรณาธิการสาวนับว่าราบรื่นพอสมควร ส่วนหนึ่งอาจเพราะไรอันก็ไม่ใช่คนชอบพูดมากอยู่แล้ว ส่วนคำถามไหนที่ไม่อยากตอบ เขาก็จะใช้คำบอกปัดอย่างแนบเนียน จนกระทั่งมาถึงคำถามช่วงท้าย

“ขอโทษที่ถามเรื่องส่วนตัวหน่อยนะคะ แต่คำถามนี้จะเกี่ยวกับมุมมองเรื่องความรักน่ะค่ะ ไม่ทราบตอนนี้คุณไรอันมีแฟนหรือเปล่าคะ?”

ไรอันกะพริบตาขณะทวนคำถามในหัว ถ้าหากเป็นไม่กี่เดือนก่อนเขาอาจลังเลที่จะตอบคำถามนี้ แต่ตอนนี้ ชายหนุ่มเพียงแต่พยักหน้าน้อยๆ

“มีครับ”

หญิงสาวทำตาแวววาวขึ้น ท่าทางดีใจที่จะได้มีอะไรให้เขียนในบทสัมภาษณ์ของเขานอกจากเรื่องงาน

“แล้วคบกันมานานเท่าไหร่แล้วคะ?”

“คง...ประมาณปีนึง”

ไรอันไม่แน่ใจว่าเขากับณรงค์เริ่มคบกันแน่นอนวันที่เท่าไหร่ แต่หากนับว่าวาเลนไทน์ปีที่แล้วพวกเขาก็เคยฉลองด้วยกัน การที่วันนี้เวียนมาบรรจบก็แปลว่าพวกเขาคบกันมาครบปีแล้ว

แถมเป็นหนึ่งปีที่มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายเหลือเกิน...

“พอจะพูดถึงคนพิเศษคนนี้ให้ฟังหน่อยได้ไหมคะ?”

โชคดีที่หญิงสาวไม่ได้ใช้คำว่า ‘สาวผู้โชคดีคนนั้น’ ไม่อย่างนั้นเขาคงกระอักกระอ่วน แต่ก็นั่นแหละ สมัยนี้ใครเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ การเลือกใช้คำให้กลางๆ ไว้ก่อนย่อมปลอดภัยกว่า ไรอันนึกชมเธอที่ช่างคิดถึงจุดนี้

“เป็นคนใจดี เข้ากับคนง่าย แต่เวลาที่โมโหก็น่ากลัวเหมือนกัน” ท้ายประโยคมีเสียงหัวเราะเจืออยู่แผ่วเบา ไรอันอดนึกถึงตอนที่ณรงค์เข้าใจเขากับเจมส์ผิดจนหน้ามืดไม่ได้ คืนนั้นทั้งบริษัทมีพวกเขาอยู่แค่สองคน นั่นเป็นครั้งแรกที่ความหึงหวงอย่างรุนแรงของอีกฝ่ายทำให้เขาหวั่นไหวจนเกือบจะใจอ่อน แต่จิตใต้สำนึกยั้งไว้ว่าถ้าไม่อยากเสียใจภายหลังก็ให้รีบตัดไฟแต่ต้นลม และเขาก็นึกขอบคุณตัวเองที่วันนั้นตัดสินใจเช่นนั้น เพราะเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นต่อมาช่วยพิสูจน์ว่าณรงค์จริงใจกับเขาจริงๆ

ซึ่งถ้าเป็นคนอื่น...ก็คงไม่มีใครตื๊อเขาต่อทั้งที่โดนทำแย่ๆ แบบนั้นใส่แล้ว

“อืม ถ้าอย่างนั้น...มีเวลาไหนที่เขาทำให้เรารู้สึกว่าเขาน่ารักมากๆ บ้างไหมคะ?”

หญิงสาวถามอีก ไรอันหลุบตาลงพลางยกมือหนึ่งขึ้นเท้าคางกับพนักเก้าอี้ขณะใช้ความคิด ก่อนจะตอบคล้ายรำพึงกับตัวเอง

“...คงตอนที่เขาทำงานเหนื่อยๆ แล้วมานอนกอดผมจนหลับล่ะมั้ง”

เมื่อคืนนี้ณรงค์คงไม่รู้ตัว แต่หลังจากอีกฝ่ายยอมไปอาบน้ำก่อนจะกลับมานอนกอดเขาอย่างง่วงๆ นั้น เนื่องจากรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิจากร่างกายที่อุ่นจัดกว่าปกติ ไรอันเลยนอนลืมตาโพลงอยู่ในความมืดตั้งนานเพราะความเป็นห่วง แต่สุดท้ายก็หลับตามคนข้างหลังไปเมื่อได้ยินเสียงหายใจสม่ำเสมอที่ขับกล่อม

ผู้บริหารหนุ่มไม่แน่ใจว่าตัวเองทำสีหน้าแบบไหนขณะตอบคำถาม แต่บรรณาธิการสาวทำตาโตขึ้นนิดหนึ่ง ก่อนที่แก้มสองข้างจะกลายเป็นสีเข้มขึ้น

“โห น่าอิจฉาผู้โชคดีคนนั้นจังเลยค่ะ ยังไงวันนี้ขอบคุณคุณไรอันมากนะคะที่มาให้สัมภาษณ์ ไว้เล่มนี้ทำเสร็จเมื่อไหร่นิ้งจะรีบส่งไปให้ที่ออฟฟิศเลยค่ะ”

หญิงสาวยกมือขึ้นดันแว่นก่อนจะก้มลงไหว้ขอบคุณ ไรอันจึงยกมือรับไหว้ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและล้างหน้า เขาลาทีมงานแล้วก็รีบเดินไปที่ลิฟต์เพื่อลงไปยังลานจอดรถ แต่พอมาถึงชั้นใต้ดินก็พบว่าเคียวกำลังออกมาจากลิฟต์ตัวข้างๆ กัน

เขาลืมเสียสนิทว่าเพิ่งได้ถ่ายแบบคู่กับผู้ชายคนนี้ไป แต่ก็คร้านจะถามว่าทำไมถึงสัมภาษณ์เสร็จเร็วนัก

“ทำไมดูรีบร้อนจัง คุณมีนัดต่อเหรอ?”

หนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นถามขณะเดินข้างเขากลับไปที่รถ ไรอันจึงยักไหล่โดยไม่หันไปมอง

“Not really.”

คำตอบแบบมะนาวไม่มีน้ำทำให้คนถามเลิกคิ้ว แต่เคียวก็เพียงแต่ยิ้มบางๆ พอเดินมาถึงรถ ไรอันยังไม่ทันจะเปิดประตูก็ถูกคนที่เดินมาด้วยเอามือยันประตูรถเอาไว้ พอเขาหันกลับมาก็เลยกลายเป็นว่าโดนยืนคร่อมไปโดยปริยาย

ไรอันรู้สึกว่าหางคิ้วเต้นตุบเพราะความไม่พอใจ เมื่อได้อยู่ในระยะประชิดเช่นนี้ เขาถึงเพิ่งสังเกตว่าเคียวน่าจะสูงพอๆ กับณรงค์ ซึ่งก็แปลว่าไม่ได้สูงกว่าเขามากเท่าไหร่ แต่วงกล้ามที่ดันเสื้อยืดสีดำขึ้นมาเป็นลูกนูนๆ นี่...ยิ่งดูก็ยิ่งขัดลูกนัยน์ตามากขึ้นทุกที

เป็นผู้ชายก็ควรจะมีกล้ามเนื้อไม่ป้อแป้ ข้อนั้นเขาเห็นด้วยและไม่เถียง แต่อะไรที่มันเยอะเกินไปก็ชวนให้เอียนได้เหมือนกัน ไม่ว่าจะท่าทางก้อร่อก้อติกเกินพอดี หรือการพยายามโปรยเสน่ห์ด้วยรูปร่างที่ชวนให้นึกว่าเจ้าของคงไม่ค่อยมั่นใจสรีระตัวเอง ถึงได้ต้องฟิตสร้างกล้ามจนปูดโปนเสียขนาดนั้น

“นี่เพิ่งจะเที่ยงเอง ไม่ไปหาร้านกินข้าวด้วยกันก่อนล่ะ? คุณทำบริษัทออกแบบตกแต่งไม่ใช่เหรอ? ผมว่ากำลังจะทำออฟฟิศใหม่อยู่พอดี เผื่อจะได้จ้างบริษัทคุณไง”

ไม่เลวที่คิดจะเอางานมาล่อ แต่น่าเสียดายที่ไรอันไม่ได้กระหายหิวโครงการใหม่ขนาดนั้น

“เดี๋ยวคุณติดต่อเลขาผมก็แล้วกัน แล้วถ้าอยากให้บริษัทผมออกแบบให้จริงๆ ค่อยนัดประชุมกันอีกที”

ไรอันเอ่ยพลางทำท่าจะหมุนตัวกลับไปเปิดประตูรถ แต่แล้วนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนก็เบิกกว้างเมื่ออีกฝ่ายรั้งแขนเขาไว้แล้วก้มลงกระซิบข้างหู

“ไม่เอาน่า เราไม่ต้องคุยกันแต่เรื่องงานก็ได้นี่ ผมดูออกนะว่าคุณก็เหมือนผม อึ๊ก!!”

ถ้าหากมีใครอยู่ในลานจอดรถใต้ดินในเวลานั้น คงจะไม่มีทางพลาดเสียง ‘พลั่ก!’ เหมือนอะไรโดนกระแทกอย่างแรงไปได้ แต่บังเอิญเหลือเกินที่นอกจากบรรดารถที่จอดเรียงรายก็ไม่มีใครอยู่ คนที่ได้ยินเสียงจึงมีเพียงชายหนุ่มสองคนที่กำลังยืนประจันหน้ากันอยู่เท่านั้น

ใบหน้าของหนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นบิดเบ้และซีดขาว ร่างสูงกำยำเหลือกตามองใบหน้าไร้อารมณ์ของคนตรงหน้า ขณะที่ค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งคุกเข่า สองมือกุมท้องไว้แน่นด้วยความเจ็บ พอเห็นเช่นนั้น ไรอันก็กระตุกยิ้มเย็น ขณะทรุดตัวลงนั่งยองๆ ตรงหน้าอีกฝ่าย

“แต่ดูเหมือนคุณจะอ่อนไปสำหรับผมนะ แฟนผมโดนชกแบบนี้ยังยืนได้อยู่เลย อีกอย่างคุณไม่ใช่สเป็คผมซะด้วยสิ Good luck charming someone else.”

ไรอันยังมีแก่ใจตบไหล่หนาเบาๆ อย่างมีน้ำใจ ก่อนจะขึ้นรถแล้วขับออกมาโดยไม่สนใจสายตาเอาเรื่องที่มองตามหลัง กระทั่งออกมาถึงถนนใหญ่แล้ว เขาจึงค่อยสะบัดมือข้างที่เพิ่งตุ๊ยท้องอีกฝ่ายไปแล้วสูดปากเสียงเบา

"Worthless piece of shit..."

นับว่าเขาโชคดีที่พ่อซึ่งเป็นคนชอบวัฒนธรรมไทยสนับสนุนให้เรียนมวยไทยตั้งแต่เด็ก ขณะที่บ้านอื่นส่งลูกไปซ้อมฟุตบอลหรือตีเทนนิส ดังนั้นไรอันจึงมั่นใจในพลังหมัดของตัวเองพอสมควร แถมเมื่อครู่เขายังโมโหจนไม่ออมแรงอีกต่างหาก แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็ไม่ชอบให้คนแปลกหน้ามาโดนเนื้อตัวอยู่แล้ว คิดจะมาตะล่อมเขาวิธีนี้ก็มีแต่จะโดนเล่นงานกลับเท่านั้นเอง

หรือเพราะเขาชินกับวิธีเข้าหาแบบไม่กดดันของณรงค์ก็ไม่รู้เหมือนกัน

จริงอยู่ว่าหากมองจากสายตาของคนภายนอก ถ้าใครได้มาเห็นเวลาที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน ทุกคนคงพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเขาเอาแต่ใจ ส่วนณรงค์ก็ดีแต่ให้ท้ายจนเหลิง แต่ใครจะรู้ว่าวิธีที่ณรงค์ใช้นั่นแหละ ที่ทำให้เขายอมโอนอ่อนผ่อนตามมากกว่าการถูกบังคับเสียอีก

แต่แน่นอนว่าปล่อยให้นั่นเป็นความลับของพวกเขาสองคนก็พอแล้ว

ไรอันแวะหาร้านทานข้าวกลางวันระหว่างทาง พอตอนบ่ายก็กลับไปร่วมประชุมกับพวกผู้บริหารที่ออฟฟิศจนเย็น เขารู้อยู่แล้วว่าตอนบ่ายณรงค์มีนัดกับลูกค้าถึงได้นัดไปเจอกันที่โรงแรมเลย ขณะที่กำลังเก็บของเพื่อออกจากห้อง เมธาวีก็เคาะประตูกระจกแล้วเอาช็อกโกแลตกล่องเล็กๆ เข้ามาวางบนโต๊ะให้ ไรอันมองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นของนำเข้าราคาแพงจากเบลเยียม

“Thanks. Sorry I don’t have anything for you.”

“ไม่เป็นไรค่ะคุณไรอัน ถ้างั้นเหมยขอตัวกลับก่อนนะคะ Happy Valentine’s Day ค่ะ”

วันนี้เลขาของเขาแต่งตัวและทำผมสวยกว่าทุกวัน จากที่ปกติสวมแว่นก็เปลี่ยนมาใส่คอนแทคต์เลนส์ด้วย การเปลี่ยนแปลงในช่วงหลังนี้ทำให้เขารู้ว่าเจ้าตัวก็คงกำลังคบหากับใครอยู่ หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงไม่สนใจนัก แต่ในเมื่อตอนนี้เขาเองก็นับได้ว่ามีความสุขกับคนพิเศษของตัวเอง จึงอดดีใจกับลูกน้องไม่ได้ที่ได้พบความสุขเช่นนั้นเหมือนกัน

“Happy Valentine’s Day.”

ไรอันเก็บของแล้วก็ล็อกประตูห้องก่อนจะลงลิฟต์ไปชั้นล่าง ระยะทางจากออฟฟิศของเขาไปโรงแรมนั้นไม่ไกล กระนั้นก็ยังไปถึงช้ากว่าณรงค์ที่เสร็จนัดจากลูกค้าก่อนจึงมารออยู่ที่ล็อบบี้แล้ว อีกฝ่ายสวมเสื้อยืดคอวีสีอ่อนกับกางเกงผ้าสีเข้ม เมื่อสวมแจ็คเกตลำลองกึ่งทางการทับก็ดูเหมาะกับการทานดินเนอร์ในห้องอาหารของโรงแรมดี รูปร่างสูงใหญ่แต่ก็สมส่วน ไม่ได้หนาตันเป็นยักษ์ปักหลั่นจนรกลูกตาทำให้ไรอันยิ้มบางๆ

ไม่รู้ว่าณรงค์ดูดีอยู่แล้วแต่เขาเพิ่งสังเกตเห็น หรือว่าดูดีเพราะว่าเป็น ‘ผู้ชายของเขา’ กันแน่

“รอนานมั้ย?”

“ไม่หรอก ผมก็เพิ่งมาถึงไม่นานนี่เอง ถ้างั้นขึ้นไปกันเลยดีกว่า”

ทั้งคู่ขึ้นลิฟต์ไปยังห้องอาหารซึ่งอยู่ชั้นบนสุดของโรงแรมที่ขึ้นชื่อว่าหรูและเก่าแก่ย่านใจกลางเมืองด้วยกัน ถึงแม้ห้องอาหารแห่งนี้จะไม่มีส่วนที่เปิดให้ออกไปรับอากาศภายนอก แต่ผนังกรุกระจกใสที่ช่วยให้ชมวิวได้รอบด้าน รวมทั้งรสชาติของอาหารและบรรยากาศที่ขึ้นชื่อก็ทำให้มีคนจองโต๊ะในคืนนี้จนเต็ม

โชคดีว่าเลขาของไรอันสนิทกับผู้จัดการห้องอาหารแห่งนี้ เธอจึงสามารถจองโต๊ะในมุมที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวให้ทั้งสองได้ โดยอาหารที่ถูกเสิร์ฟก็เป็นเมนูที่เชฟทำขึ้นสำหรับโอกาสนี้เท่านั้น และแทบทุกโต๊ะที่มาในค่ำคืนนี้ก็ล้วนแล้วแต่เป็นคู่รักกันทั้งสิ้น

หลังจากที่นั่งทานอาหารกันไปเรื่อยจนครบคอร์สโดยมีเสียงดนตรีขับกล่อม ณรงค์ก็ชวนไรอันคุยเรื่องที่ไปสัมภาษณ์นิตยสารขึ้นมา

“ที่ไปสัมภาษณ์เมื่อเช้าเป็นยังไงบ้าง?”

ไรอันนึกถึงหนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นขึ้นมาแวบหนึ่ง แต่แล้วความคิดนั้นก็ลอยผ่านหัวไปเหมือนละอองฝุ่นที่ไม่มีความหมาย “ก็ไม่ค่อยมีอะไร แค่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าถ่ายรูปในชุดที่เขาเตรียมให้ เสร็จแล้วก็ตอบคำถามเรื่องส่วนตัวอีกนิดหน่อย แต่ถ้ามีใครมาเชิญอีกผมคงไม่ไป น่าเบื่อ”

นัยน์ตาของณรงค์เป็นประกายขึ้นแวบหนึ่ง ชายหนุ่มยิ้มพลางวางแขนประสานกันบนโต๊ะ “หืม? ถ้าอย่างนั้นก็น่าเสียดายแย่สิ”

“Why?”

ไรอันเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ ณรงค์เลยอธิบายยิ้มๆ “ก็น่าเสียดายที่คนอื่นๆ จะไม่ได้เห็นว่าคุณหล่อแค่ไหนไง นี่น่ะผมรอซื้อเล่มนี้ไปให้น้าหนิงกับเจ้าแฝดดูเลยนะ”

หนุ่มลูกครึ่งยิ้มเมื่อได้ยินคำชม เขาย่อมตระหนักเรื่องรูปร่างหน้าตาของตัวเองดีอยู่แล้ว เพราะนั่นคือสิ่งที่ดึงดูดใครหลายคนให้พยายามเข้าหาตั้งแต่สมัยเขายังอยู่ที่ออสเตรเลีย แต่ทุกคนก็ถูกสกัดดาวรุ่งหมดด้วยนิสัยเอาแต่ใจแบบไม่ไว้หน้าใคร สุดท้ายคนพวกนั้นจึงล้มเลิกความคิดและขอชื่นชมจากระยะห่างกันไปหมด

จะมีก็แต่คนตรงหน้านี่...ที่ไม่ว่าจะพยายามสลัดออกจากชีวิตแค่ไหน สุดท้ายก็กลับยังพุ่งเข้าหาจนเขาแพ้ใจตัวเอง

นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเชื่อมลงเมื่อนึกย้อนไปถึงเรื่องราวที่ทำให้ทั้งคู่มีวันนี้ ทำให้ไม่ได้รู้สึกตัวเลยว่ากำลังจ้องริมฝีปากของณรงค์อย่างเผลอไผล ผิดกับคนถูกจ้องที่อ่านความหมายในแววตานั้นได้แทบจะทันที ชายหนุ่มจึงยิ้มพลางยกแก้วไวน์ที่เหลือขึ้นดื่มจนเกลี้ยง

“สามทุ่มกว่าแล้ว เรากลับกันดีไหม?”

คำถามของณรงค์ทำให้ไรอันหลุดจากภวังค์ หนุ่มลูกครึ่งกะพริบตาเหมือนจะประมวลคำถาม จากนั้นก็พยักหน้าพลางยกมือส่งสัญญาณให้บริกร ณรงค์รีบห้ามเมื่อคนร่วมโต๊ะหยิบบัตรเครดิตออกมา แต่ไรอันกลับปรายตาเข้มใส่

“ตามธรรมเนียมผู้ชายอาจจะต้องเป็นคนจ่ายให้ผู้หญิง แต่ผมไม่ใช่ผู้หญิง คุณเองก็ไม่ใช่ มื้อนี้ผมเป็นคนจอง ดังนั้นผมก็ควรจ่าย”

ณรงค์ทำหน้าลำบากใจนิดหน่อย แต่ไรอันไม่สนใจและเพียงลงชื่อในใบเสร็จเมื่อบริกรนำบัตรมาคืน ถึงแม้ในใจเขาจะรู้สึกว่าค่ำคืนนี้ยังเหลือเวลาอีกมาก แต่ในเมื่อณรงค์อยากกลับก็ช่วยไม่ได้

ที่สำคัญ...ตอนนี้เขาก็อยากไปที่ที่จะได้อยู่กับณรงค์ตามลำพังด้วย

“ให้คุณเลี้ยงผมฝ่ายเดียวก็ไม่แฟร์สิ”

“เมื่อกี้ผมก็บอกแล้วไงว่าผมอยากเลี้ยง จะทำเหมือนเป็นเรื่องใหญ่ทำไมกัน” ไรอันตัดบทด้วยอารมณ์หงุดหงิดหน่อยๆ ไม่เข้าใจว่าการที่เขาจ่ายค่าอาหารมื้อนี้จะทำให้ณรงค์รู้สึกเสียศักดิ์ศรีทำไมนักหนา แต่แล้วนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนก็เบิกกว้างเมื่ออีกฝ่ายยิ้มพลางหยิบอะไรบางอย่างขึ้นมาวางบนโต๊ะ

มันคือซองใส่คีย์การ์ดของโรงแรม

“งั้นไหนๆ คุณก็จ่ายค่าอาหารไปแล้ว ผมก็ขอจ่ายค่าห้องคืนนี้บ้างแล้วกัน แบบนี้คงไม่มีปัญหานะ?”

ณรงค์พูดยิ้มๆ พลางเท้าคางลงบนมือที่เท้าศอกไว้บนโต๊ะ ไรอันพยายามจับต้นชนปลายอยู่ครู่หนึ่งจึงค่อยเข้าใจ ความหงุดหงิดเมื่อครู่ค่อยๆ ละลายหายไปทีละน้อย

“คุณแอบไปจองห้องตั้งแต่ตอนไหน?”

“ก็ตั้งแต่วันที่คุณบอกว่าจะมาดินเนอร์ที่นี่นั่นแหละ จากนั้นก็ให้เหมยช่วยจองห้องสวีทให้เลย เห็นว่าต้องล็อบบี้ผู้จัดการกันยกใหญ่กว่าจะขอห้องนี้ได้”

ถึงกับต้องขอให้เลขาของเขาช่วยเลยหรือ หมอนี่...เหลือรับจริงๆ

ณรงค์สบตากับไรอันแล้วก็หัวเราะ “ถ้าจะว่าอะไรผมก็ไปว่าที่ห้องก็แล้วกัน ไปกันเถอะ”

ไรอันยิ้มอย่างหมั่นไส้พลางลุกตาม ทั้งสองเดินไปรอลิฟต์ที่หน้าห้องอาหารเพื่อจะลงไปยังชั้นห้องพัก เมื่อประตูลิฟต์เปิดออกก็มีชายหนุ่มกับหญิงสาวคู่หนึ่งเดินควงแขนกันออกมา แต่ฝ่ายชายชะงักทันทีที่เหลือบมาเห็นไรอัน

“โอ๊ะ”

“เคียว? มีอะไรเหรอคะ?”
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ คืนพิเศษของคนพิเศษ [13/02/12 P.7]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 13-02-2012 20:33:00
หญิงสาวในชุดกระโปรงเข้ารูปสีบานเย็นถามขึ้นเพราะจู่ๆ คนข้างกายก็หยุดเดิน ชายหนุ่มจึงรีบเบนสายตาจากไรอันกลับไปตอบ “เปล่าครับ ไม่มีอะไร เราไปทานอาหารกันเถอะ”

ถึงแม้จะไม่ได้อยากจำหน้าให้รกสมอง แต่ไรอันก็จำหนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นได้ทันทีเหมือนกัน ชายหนุ่มกระตุกยิ้มที่มุมปากก่อนจะทำสิ่งที่แม้แต่ตัวเองก็ไม่คิดมาก่อนว่าจะทำ คือยกมือขึ้นควงแขนของณรงค์แล้วดึงเข้ามาใกล้ ก่อนจะกล่าวอวยพรคู่หนุ่มสาวที่กำลังเดินผ่านไป

“Happy Valentine’s Day.”

“อุ้ย! Happy Valentine’s Day ค่ะ”

หญิงสาวยิ้มตอบ ท่าทางตื่นเต้นที่มีหนุ่มลูกครึ่งหน้าตาหล่อเหลาอวยพรให้ ฝ่ายชายหนุ่มร่างบึกบึนข้างๆ มองหน้าเขาสลับกับณรงค์ไปมา แต่ก็ไม่พูดอะไรตอบและเพียงเดินนำหญิงสาวเข้าไปที่ห้องอาหาร

ไรอันรู้สึกขยะแขยงผู้ชายคนนั้น ขณะเดียวกันก็ให้เห็นใจหญิงสาวที่อีกฝ่ายพามาด้วยขึ้นมาทันที

“ดูท่าเขาไม่ค่อยพอใจนะที่เห็นผมอยู่กับคุณ รู้จักกันเหรอ?”

ณรงค์ถามหลังจากทั้งคู่เข้ามาในลิฟต์แล้ว คิ้วดกหนามุ่นเข้าหากันอย่างไม่ค่อยพอใจ ท่าทางคงเพราะดูออกว่าสายตาของเคียวยามเหลือบมองตนเองเมื่อครู่มีประกายไม่เป็นมิตร ไรอันจึงยักไหล่

“ผมลืมบอกคุณว่าเมื่อเช้านิตยสารเชิญผมกับเขาไปถ่ายรูปพร้อมกันน่ะ แต่ที่เขาไม่ค่อยพอใจคงเพราะอิจฉาคุณมั้ง”

“อิจฉาผม?”

หนุ่มลูกครึ่งเห็นแววตาของณรงค์ชักดุขึ้นทุกที แต่ก็ไม่รู้สึกกลัวเลยสักนิด แถมในอกยังอิ่มเอมกับปฏิกิริยาเช่นนั้นเสียอีก และในเมื่อไหนๆ ในลิฟต์ก็ไม่มีคนอื่น เขาเลยถือโอกาสทำอย่างที่อยากทำตั้งแต่อยู่ที่ห้องอาหารสักที

“อื้ม”

ณรงค์เลิกคิ้วอย่างงุนงงเมื่อคนรักขยับเข้าใกล้แล้วโน้มคอเขาเข้าไปจูบ แต่ชายหนุ่มไม่ได้ปฏิเสธแล้วยังจูบตอบอย่างเต็มใจ ริมฝีปากและปลายลิ้นของทั้งคู่เคล้าเคลียกันราวจะชดเชยที่เมื่อครู่ไม่อาจทำเช่นนั้นในห้องอาหาร กระทั่งไรอันค่อยๆ ผละริมฝีปากออก ณรงค์ก็ยังไม่ปล่อยสองมือที่รั้งเอวสอบเอาไว้

“เขาพยายามจะจีบผม แต่ผมต่อยเขาไปแล้วก็บอกว่าเขาสู้คุณไม่ได้ สงสัยจะเจ็บใจตอนที่ได้เจอคุณน่ะ”

ไรอันเลียริมฝีปากพลางอธิบาย ช่วงอกกระเพื่อมเล็กน้อยเนื่องจากลมหายใจยังหอบรัวจากจูบเมื่อครู่ ณรงค์จึงค่อยยิ้มออกมาได้ ร่างสูงใหญ่รั้งเอวไรอันเข้าใกล้ตัวมากขึ้น

“แบบนี้ก็ต้องให้รางวัลกันหน่อยแล้วสิ”

“Uh oh.”

ชายหนุ่มทั้งสองหันไปทางต้นเสียงพร้อมกัน และพบว่าเสียงนั้นมาจากสามีภรรยาสูงวัยชาวต่างชาติซึ่งยืนอยู่หน้าลิฟต์ ดูเหมือนพวกเขาจะอยู่ในภวังค์ของกันและกันจนไม่ทันรู้สึกตัวว่าลิฟต์หยุด กระนั้นณรงค์กับไรอันก็ไม่ได้แสดงท่าทีว่าจะปล่อยแขนจากกันเลยสักนิด

ดูเหมือนคนที่ตั้งตัวได้ก่อนจะเป็นหญิงชราสูงวัย เธอรีบยิ้มพลางโบกมือให้เหมือนจะบอกว่า ‘ตามสบาย’ จากนั้นก็ลากแขนสามีที่ยังอ้าปากค้างออกห่าง ท่าทางคงเพื่อไปรอลิฟต์อีกตัวที่อยู่ข้างกันแทน

“โดนขัดจังหวะเลยแฮะ” ณรงค์หันกลับมาสบตาไรอันพลางหัวเราะเบาๆ ขณะเดียวกันก็คลายวงแขนไปด้วย เพราะกว่าจะถึงชั้นห้องพักของพวกเขาก็ยังอีกตั้งสี่ชั้น

“We’d better wait till we get to the room.”

ไรอันเข้าใจดีว่าณรงค์กำลังรู้สึกอย่างไร ถึงแม้จะเสียดายที่ถูกขัดจังหวะเมื่อครู่ แต่ถ้าไม่ใช่เพราะสามีภรรยาคู่นั้นหยุดลิฟต์ไว้ น่ากลัวว่าพวกเขาคงได้ทำอะไรที่น่าอายยิ่งกว่าจูบกันแน่ๆ

ณรงค์ดึงมือเขาไปจับไว้แน่นพลางเพ่งมองเลขบนแผงไฟ พอประตูลิฟต์เปิดออกบนชั้นที่ต้องการก็รีบฉุดเขาไปทางห้องพักทันที สถานการณ์เช่นนี้ทำให้หนุ่มลูกครึ่งนึกย้อนไปถึงวันที่ทั้งคู่เพิ่งปรับความเข้าใจกันระหว่างไปเที่ยวภูเก็ตกับที่บริษัท เพราะในคืนที่ได้หลอมรวมร่างกายและจิตใจด้วยกันเป็นครั้งแรก คืนนั้นณรงค์ก็จูงเขาไปที่ห้องด้วยท่าทางรีบร้อนแบบนี้ และนั่นทำให้เขาพลอยใจเต้นแรงไปด้วย ราวกับทั้งสองเป็นเด็กวัยรุ่นที่กำลังจะแอบทำเรื่องไม่ดีที่บอกคนอื่นไม่ได้ แต่เรื่องที่ว่าก็ช่างมีมนต์เสน่ห์อันเย้ายวนจนแทบอดใจรอลิ้มรสไม่ไหว

ไม่เคยมีใครทำให้เขารู้สึกเช่นนี้ได้...นอกจากคนที่กำลังกุมมือเขาแน่นคนนี้คนเดียว

หลังจากรูดคีย์การ์ดเข้าไปในห้อง ณรงค์ก็แทบจะไม่ปล่อยให้ไรอันได้มีเวลาชื่นชมกับห้องที่จุดเทียนหอมและโรยดอกไม้ประดับไว้ แต่กลับดึงเขาเข้าไปจูบแทบจะก่อนที่ประตูจะปิด และหนุ่มลูกครึ่งก็ไม่ได้ขัดขืนแม้ยามที่ฝ่ามือใหญ่พยายามจะทึ้งเสื้อผ้าเขาออกทั้งที่ยังเดินไปไม่ถึงเตียง เพราะเขาเองก็กำลังทำแบบเดียวกันกับเสื้อผ้าของอีกฝ่ายเช่นกัน

ไรอันไม่รู้ว่าทั้งคู่ทำอย่างไรถึงไปจบลงบนเตียงโดยต่างก็ไร้อาภรณ์ติดกายในเวลาสั้นๆ ได้ รู้แต่ว่าเมื่อแผ่นหลังสัมผัสผ้าปูเตียงซึ่งมีกลีบกุหลาบโรยเอาไว้ แรงขับในใจก็ทำให้เขารั้งคอณรงค์ลงจูบอย่างหิวกระหาย เช่นเดียวกับร่างสูงใหญ่ที่บรรจงมอบความรักและเก็บเกี่ยวความสุขจากการเคลื่อนไหวที่เขาเต็มใจมอบให้อย่างไม่รู้อิ่ม

เวลาล่วงเลยจนไรอันคร้านจะใส่ใจว่าพวกเขาแบ่งปันความหวานล้ำให้แก่กันไปกี่ชั่วโมงหรือกี่ครั้ง รู้แต่ว่าหลังจากณรงค์ยอมผละจากเขาแล้วล้มลงนอนข้างๆ ในที่สุด หนุ่มลูกครึ่งก็หันไปเกลี่ยปอยผมที่ชื้นติดหน้าผากให้ก่อนจะเอ่ยขึ้นทั้งที่ยังหายใจไม่ถูกจังหวะ

“I love you.”

เสียงของคนพูดหอบและแหบพร่า แต่นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้ณรงค์ยิ่มกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไรอันรั้งเขาเข้าไปจูบเบาๆ ราวจะช่วยยืนยันว่าไม่ใช่ความฝัน เมื่อหนุ่มลูกครึ่งผละริมฝีปากออกอีกครั้ง ณรงค์ก็ยกมือขึ้นลูบหน้าของเขาอย่างทะนุถนอม ก่อนจะก้มลงจูบบนหน้าผากชื้นเหงื่ออย่างอ่อนโยน

สัมผัสที่ถ่ายทอดมานั้นบ่งบอกได้อย่างดีว่าเจ้าตัวให้ความสำคัญกับเขาเพียงไร

“ผมก็รักคุณ”

ณรงค์เอ่ยพลางกอดเอวไรอันเอาไว้หลวมๆ แสงเทียนซึ่งถูกจุดไว้ในโถแก้วดับไปหลายดวงแล้ว กระนั้นกลิ่นหอมบางเบาก็ยังลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ

ไรอันสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะผ่อนลมหายใจยาวออกมา ขณะที่กำลังเคลิ้มๆ จะหลับก็ได้ยินเสียงจากคนที่กอดตัวเองไว้

“พรุ่งนี้คุณว่างทั้งวัน...งั้นตอนเช้าไปร้านแหวนกันมั้ย?”

“หือ? …Tomorrow?”

ไรอันทำท่าจะลุกขึ้นมองหาโทรศัพท์มือถือเพื่อเช็คตาราง แต่ไม่แน่ใจว่าเสื้อแจ็คเก็ตของเขาหล่นอยู่หน้าประตู หรือระหว่างทางเดินมาที่เตียงแน่ บางทีอาจจะเป็นบนเก้าอี้หน้ากระจกก็ได้ แต่ยังไม่ทันจะลงจากเตียงก็โดนฉุดลงไปนอนท่าเดิม

“ไม่ต้องเช็คหรอก ผมฝากเหมยให้ช่วยเลื่อนตารางประชุมวันพรุ่งนี้ของคุณให้หมดแล้ว สบายใจได้”

ณรงค์เอ่ยยิ้มๆ พลางช่วยสางผมหยักศกที่ยุ่งเหยิงให้ ไรอันจึงพยายามปะติดปะต่อเรื่องในหัว อีกฝ่ายบอกว่าฝากเลขาของเขาให้ช่วยเลื่อนประชุมให้แล้ว แปลว่าหมอนี่แพลนเรื่องนี้มาตลอด?

มีสิทธิ์อะไรกัน...

ไรอันอยากจะโกรธที่ณรงค์มายุ่มย่ามกับตารางงานของเขา เพราะถ้าหากนัดไหนเป็นเรื่องเร่งด่วนหรือนัดใหม่ยากจะทำอย่างไร แต่พอเห็นหน้าอีกฝ่ายก็ใจอ่อนจนให้นึกรำคาญตัวเอง

ว่าแต่เมื่อครู่...ณรงค์ชวนเขาไปที่ไหนนะ?

“เมื่อกี้คุณพูดถึงร้านแหวน?”

ไรอันถามอีกทีให้แน่ใจ เขาไม่ชอบให้อะไรคลุมเครือ ดังนั้นต่อให้เป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็ต้องถามให้กระจ่าง ณรงค์เห็นสายตาที่คนร่วมเตียงมองมา จึงหยุดมือที่กำลังเสยผมให้แล้วดึงมือข้างหนึ่งไปกุมไว้

“ร้านแหวนไง ผมคิดว่าหนึ่งปีที่ผ่านมาเราก็พิสูจน์อะไรกันมาเยอะแล้วนะ อีกอย่างผมอยากให้มีสัญลักษณ์อะไรที่เรามีเก็บติดตัวไว้เหมือนๆ กัน แต่ยังไงก็ต้องให้คุณเลือก เพราะถ้าผมเลือกคุณอาจจะไม่ชอบก็ได้”

ณรงค์พูดไปพลางโยกมือที่กุมกันไว้เบาๆ นัยน์ตาบ่งบอกว่าเอาจริงตามที่พูดทุกคำ และไรอันก็พบว่าเขาแพ้สายตาแบบนั้นมากขึ้นทุกที

ความรักทำให้เขากลายเป็นคนปวกเปียกไปแล้วหรือไงนะ

พอเห็นเรียวคิ้วของไรอันที่มุ่นขึ้น ณรงค์ก็ยิ้มพลางถอนหายใจเบาๆ ทีหนึ่ง

“อย่าคิดมากอย่างนั้นสิ ถ้าคุณไม่สะดวกพรุ่งนี้ผมก็ไม่อยากบังคับหรอก”

ประโยคนั้นบอกให้รู้ว่ายินดียกอำนาจให้เขาตัดสินใจ ไรอันมองสบตาณรงค์ในความสลัวอย่างใช้ความคิด จากนั้นจึงตอบอย่างมุ่งมั่น “ถ้างั้นก็ยังไม่ต้องไปวันพรุ่งนี้ เพราะว่าผมไม่สะดวก”

น้ำเสียงเฉียบขาดนั้นทำเอาณรงค์ใจหายวูบ เขานึกว่าได้พิสูจน์ให้ไรอันเห็นความจริงใจจนไม่มีคำถามเกี่ยวกับความรู้สึกของเขาแล้วเสียอีก หรือว่าที่ผ่านมาเขายังแสดงออกน้อยเกินไปกันแน่

หนุ่มลูกครึ่งเห็นคนตรงหน้าเงียบไปก็เดาความคิดได้ทันที ถ้าไม่ติดว่านี่คือณรงค์ เขาคงได้ทุบเข้าให้โทษฐานที่คิดเรื่องง่ายๆ แค่นี้ไม่ออก “เวลาเลือกแหวนใครเขาเลือกส่งๆ กัน อีกอย่างพรุ่งนี้มันวันทำงานนะคุณ รอให้วันหยุดก่อนค่อยไปเลือกก็ได้ It’s not like I don’t see you on weekends.”

ณรงค์เลิกคิ้ว ถึงแม้ว่าแสงไฟในห้องจะสลัวเพราะโคมไฟอยู่ห่างจากเตียงพอสมควร แต่ท่าทางของไรอันที่เหลือบตาลงต่ำแถมหางเสียงงึมงำ ทำให้รู้ได้ทันทีว่าตอนนี้ ‘รัก’ ของเขาคงกำลังหน้าแดงอยู่แน่ๆ

แค่นี้ณรงค์ก็รู้สึกเหมือนกับได้ของขวัญที่รอมาทั้งชีวิตแล้ว...

“ผมรักคุณนะ”

ชายหนุ่มขยับเข้าแนบริมฝีปากบนกลีบปากนุ่มเบาๆ ก่อนจะกระซิบ ทำเอาไรอันรู้สึกราวกำลังโดนขอแต่งงานก็ไม่ปาน แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้เขารู้สึกร้อนที่ผิวหน้าไปหมด

“I know.”

ไรอันตอบเสียงเบาและหลุบตาลงต่ำ ตอนที่บอกรักณรงค์ไปเมื่อครู่ยังไม่รู้สึกเขินเท่าตอนที่ได้ยินอีกฝ่ายพูด ตอนที่เริ่มคบกันได้ไม่นาน เขาเคยรู้สึกแปลกๆ เวลาได้ยินคำนี้ เขายอมรับว่ามันทำให้รู้สึกอบอุ่น แต่ขณะเดียวกัน นิสัยที่ไม่ไว้ใจใครง่ายๆ ก็ทำให้เขาไม่ได้ยึดถือน้ำหนักในคำพูดของอีกฝ่ายมากนัก และนั่นช่วยให้เขาสามารถควบคุมท่าทีทุกครั้งที่ได้ยินคำนั้นได้

แต่นับตั้งแต่ทั้งสองเลิกกันและกลับมาคืนดีกันอีกครั้ง เวลาได้ยินคำว่า ‘รัก’ ความรู้สึกที่ซ่านขึ้นจนฉ่ำไปทั้งอกกลับเป็นความภูมิใจ เพราะเขามั่นใจแล้วว่าณรงค์ยกพื้นที่ในใจให้เขาครอบครองเพียงคนเดียว ซึ่งนั่นทำให้เขาตระหนักถึงความรู้สึกเป็นเจ้าข้าวเจ้าของอันไม่คุ้นเคย เลยกลายเป็นว่าเมื่อณรงค์กระซิบคำนี้ข้างหูทีไร โดยเฉพาะเวลาที่ร่างกายแนบชิดกัน เขาจะเขินจนไม่รู้จะพูดตอบว่าอย่างไรอยู่บ่อยครั้ง

นี่มันสวนทางกับปฏิกิริยาที่คู่อื่นเขาควรจะเป็นกันชัดๆ

ณรงค์ลูบต้นแขนไรอันขึ้นลงอย่างอ้อยอิ่ง ท่ามกลางเสียงหายใจที่เริ่มเป็นปกติและไออุ่นของร่างกายที่ถ่ายทอดให้กันและกัน ชายหนุ่มค่อยๆ เชยคางคนรักขึ้นจูบช้าๆ

“คุณยังไม่ง่วงใช่มั้ย?”

ไรอันเหลือบตาขึ้นและเห็นแววตาที่เป็นประกายพราวของคนถาม แถมยังความตื่นตัวของร่างสูงใหญ่ที่กำลังเรียกร้องความสนใจอยู่ด้านล่างอีก ท่าทางค่ำคืนนี้คงจะไม่ปิดฉากลงง่ายๆ อย่างที่เขานึกไว้เสียแล้ว

หนุ่มลูกครึ่งกระถดตัวลงแหย่ปลายลิ้นบนแผ่นอกของณรงค์ ขณะเดียวกันก็ลากนิ้วลงสัมผัสความแข็งแกร่งและรูดรั้งอย่างหยอกเย้า เรือนร่างสมส่วนยกขาขึ้นเกี่ยวบนต้นขาอีกฝ่ายแล้วใช้แรงพลิกให้ตัวเองขึ้นนั่งคร่อม ริมฝีปากได้รูปยิ้มอย่างพอใจกับเสียงคำรามต่ำของณรงค์ยามเขาบดบั้นท้ายลงบนความตื่นตัวที่กำลังร้อนรุ่มเต็มที่

อยากมายั่วให้เขาต้องการก่อนเองทำไม...

“You asked for it.”

ในค่ำคืนกลางเดือนกุมภาพันธ์ซึ่งท้องฟ้าปลอดโปร่งและดาราน้อยใหญ่ฉายแสงสุกสกาว ภายในห้องพักของโรงแรมหรูที่ถูกประดับด้วยเทียนหอมและกลีบกุหลาบจนกลิ่นอายแห่งรักอวลกรุ่น ชายหนุ่มคู่หนึ่งต่างแบ่งปันและแลกเปลี่ยนความในใจอันลึกซึ้งที่มีให้แก่กันอย่างไม่รู้หน่ายจนกระทั่งฟ้าสาง

Happy Valentine’s Day…


++--- End คืนพิเศษของคนพิเศษ---++



A/N: เป็นตอนที่ตั้งใจเขียนมารับกับวาเลนไทน์โดยเฉพาะ ที่ผ่านมาไม่ค่อยเขียนเทศกาลซ้ำๆ สำหรับคู่ใดคู่หนึ่ง เพิ่งมีคู่นี้นี่แหละที่ปีที่แล้วเคยเขียนตอนวาเลนไทน์ให้แล้ว ปีนี้ก็ยังอุตส่าห์มีวาเลนไทน์ให้ซ้ำอีก  แต่ก็ตั้งใจจะนำเสนอว่าตอนก่อนที่จะใจตรงกัน กับหลังใจตรงกันแล้ว บรรยากาศในคืนพิเศษสำหรับทั้งคู่มันจะได้ฟีลต่างไปน่ะค่ะ ถ้าหากอ่านแล้วหวานเกินไป แนะนำให้ชงกาแฟดำขมๆ มาจิบระหว่างอ่านได้ รับรองว่าจะได้กาแฟที่หวานพอดีแน่นอน หุหุหุ

ขอให้วันแห่งความรักนี้เป็นวันที่ดีสำหรับทุกคนนะคะ ถึงจะไม่มีแฟนหรือคนพิเศษ ก็มอบความรักให้เพื่อนๆ หรือคนในครอบครัวได้เหมือนกันนะ Happy Valentine's Day อีกครั้งค่ะ :D
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ คืนพิเศษของคนพิเศษ [13/02/12 P.7]
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 13-02-2012 20:53:52
พิเศษจริงๆค่ะ
รู้สึกได้เลยว่าไรอันรักณรงค์มากขึ้นกว่าที่แล้วๆมา
แต่ณรงค์ทั้งรักทั้งหลง
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ คืนพิเศษของคนพิเศษ [13/02/12 P.7]
เริ่มหัวข้อโดย: badcow ที่ 13-02-2012 20:54:19
Happy Valentines Day ณรงค์ รัก เเละ คนเเต่ง นะครับ
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ คืนพิเศษของคนพิเศษ [13/02/12 P.7]
เริ่มหัวข้อโดย: himecrazy ที่ 13-02-2012 21:28:38
 :m25: :o8: :-[ :กอด1:  อ่านแล้วสำลักความหวานมากๆเลยค่ะ ชอบมากๆเลย ขอบคุณค่ะที่แต่งออกมาได้น่ารัก+หวานขนาดนี้ o13 :L2:
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ คืนพิเศษของคนพิเศษ [13/02/12 P.7]
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 13-02-2012 23:01:21
+1   ให้ไรอัน กับ รงค์


 :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ คืนพิเศษของคนพิเศษ [13/02/12 P.7]
เริ่มหัวข้อโดย: Horizon ที่ 13-02-2012 23:45:19
 o13 รสละเมียดมากๆ
+1+เป็ด
Happy Valentine's Day  :L2: :L1:
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ คืนพิเศษของคนพิเศษ [13/02/12 P.7]
เริ่มหัวข้อโดย: paradoxxx ที่ 13-02-2012 23:48:19


อ่านแล้วมีความสุขจังๆ
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ คืนพิเศษของคนพิเศษ [13/02/12 P.7]
เริ่มหัวข้อโดย: tippy ที่ 14-02-2012 05:40:03
รักกับณรงค์ ยิ่งนานวันยิ่งหวาน ยิ่งเข้าใจกัน นี่แหละนะ รักที่ค่อยเป็นค่อยไป ไม่รวดเร็ว ช้าๆ แต่มั่นคง และมีแต่เพิ่มมากขึ้น น่ารักมากเลยจ้า
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ คืนพิเศษของคนพิเศษ [13/02/12 P.7]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 14-02-2012 11:40:00
HAPPY VALENTINE'S DAY!!
(http://a2.sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash4/400252_10150667478961528_678756527_11287013_998666199_n.jpg)

ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์จากทุกท่านค่า แวะมาส่งการ์ดวาเลนไทน์ซะหน่อย ขอให้มีความสุขทุกคนนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ คืนพิเศษของคนพิเศษ [13/02/12 P.7]
เริ่มหัวข้อโดย: @BUA@ ที่ 14-02-2012 14:22:55
ตอนนี้ไรอันดูหวานขึ้นเยอะเลย  :-[
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ คืนพิเศษของคนพิเศษ [13/02/12 P.7]
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 15-02-2012 11:19:10
หวานเจี๊ยบเลย
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ คืนพิเศษของคนพิเศษ [13/02/12 P.7]
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 16-02-2012 10:22:43
ความรักของคู่นี้ ยิ่งนับวันยิ่งหวานมากขึ้น อ่านแล้วเขินๆ เหมือนกันนะเนี่ย   :o8:
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก เปิดจองรวมเล่มถึง 30 กย.นี้!!! [28/07/12 P.1]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 28-07-2012 10:49:33
ประกาศครั้งที่ 1 (ละมั้ง?) เปิดจอง "ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก" = "บริบทแห่งรัก" ฉบับรวมเล่มแล้วจ้า!!!
+ รีปรินท์เรื่องก่อนๆ ด้วย ถึง 30 กันยายนนี้

หลังจาก Bellbomb ห่างหายการรวมเล่มมาปีกว่าๆ ก็ได้ฤกษ์เปิดจองรวมเล่มเรื่องใหม่ทีเดียวสองเรื่องเลย ก็คือ “ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก” กับ “บริบทแห่งรัก” (ลำนำรักสีรุ้ง Side Stories) รายละเอียดตามด้านล่างค่ะ

เรื่องที่ 1: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก

(http://i1095.photobucket.com/albums/i474/bellbomb/Cover-02-8croppedteaser.jpg)


คำโปรยหลังปก: ณรงค์เป็นซีเนียร์ดีไซเนอร์ในบริษัทรับออกแบบและก่อสร้างแห่งหนึ่ง เขาไม่เคยคิดเรื่องอยากมีคนรัก จนกระทั่งในคืนที่ได้เข้าไปช่วยชายหนุ่มผู้เมามายจนมีเรื่องวิวาทในบาร์ และพบว่านั่นคือไรอัน บอสหนุ่มลูกครึ่งไทย-ออสเตรเลียที่เพิ่งมาประจำตำแหน่งเมื่อปีที่แล้ว หรือนี่จะนำไปสู่ความสัมพันธ์อันน่าระทึกระหว่างเจ้านายกับลูกน้องที่บุคลิกต่างกันสุดขั้ว??

“บางทีคุณก็ทำให้ผมอยากต่อยคุณจริงๆ รู้ตัวหรือเปล่า?”
-ไรอัน

“ถ้าเป็นคุณ ถึงโหดแค่ไหนผมก็รัก”
-ณรงค์


ข้อมูลหนังสือ:

• ราคา 360 บาท
• ไซส์ A5 พิมพ์ด้วยกระดาษถนอมสายตา
• ตอนพิเศษเฉพาะในหนังสือ
• ของแถม 1: ที่คั่นหนังสือ
• ของแถม 2: ปกพลาสติก ปั๊มทองลายเซ็นต์ของ Bellbomb จะได้เอาไว้หุ้มหนังสือกันเลอะค่ะ :)


++++++++++++


เรื่องที่ 2: บริบทแห่งรัก (ลำนำรักสีรุ้ง Side Stories)

(http://www.bloggang.com/data/b/bellbomb/picture/1343230903.jpg)


คำโปรยหลังปก: เรื่องราวของเป้กับวิวที่เคยทำให้คนอ่านอมยิ้ม ห่วงใย และเอาใจช่วยใน "ลำนำรักสีรุ้ง" ได้กลับมาถ่ายทอดความเป็นไปของทั้งคู่อีกครั้ง

"บริบทแห่งรัก" จะพานักอ่านไปทำความคุ้นเคยกับ "คนน่ารักของเป้" และ "คนเจ้าเล่ห์ของวิว" ให้ลึกซึ้งยิ่งกว่าที่เคย กับแต่ละบทตอนซึ่งถักทอขึ้นจากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำให้ทั้งสองมีกันและกันเช่นในวันนี้...


ข้อมูลหนังสือ:

• ราคา 220 บาท
• ไซส์ A5 พิมพ์ด้วยกระดาษถนอมสายตา
• ตอนพิเศษเฉพาะในหนังสือ + ตอนโบนัสที่เคยล็อกพาสเวิร์ดไว้ที่บล็อก
• ของแถม 1: ที่คั่นหนังสือ
• ของแถม 2: ปกพลาสติก ปั๊มทองลายเซ็นต์ของ Bellbomb
• สามารถอ่านตัวอย่างได้ที่นี่ -> [คลิก] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=6982.0)

Special Note:

สำหรับเล่มนี้ แต่ละตอนจะไม่ซ้ำกับลำนำรักสีรุ้งเล่มแรกเพราะเขียนขึ้นทีหลัง เนื้อหาส่วนใหญ่จะย้อนกลับไปสมัยเป้กับวิวยังเรียนอยู่ สำหรับใครที่ยังไม่เคยอ่านเล่มแรก แนะนำให้ซื้อเล่มนั้นไปอ่านคู่กันเพื่อจะได้ไม่สับสนถึงที่มาของตัวละครในเรื่องค่ะ


**สำคัญมาก**

1. ดาวน์โหลดแบบฟอร์มสำหรับสั่งนิยายได้ที่นี่ <<คลิก>> (http://www.mediafire.com/?320e6162t6mech9)  แล้วกรอกจำนวนเรื่องที่ต้องการในแบบฟอร์ม แล้วก็โอนเงินตามยอดหนังสือ + ค่าส่ง เสร็จแล้วอีเมล์แบบฟอร์มมาที่ bellbomb[at]hotmail.com
 
2. เปิดจองถึง 30 กย. และเริ่มส่งหนังสือต้น ตค. หลังจากนั้นจะเริ่มวางที่ร้านประจำ (เล่มที่วางตามร้านจะไม่แถมปกพลาสติก และอาจปรับราคาขึ้น)
 
3. ถ้าหากสั่งทั้งสองเรื่องพร้อมกัน คิดค่าส่งลงทะเบียน 40 บาท (ตัวอย่างคำนวน ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก 360 + บริบทแห่งรัก 220 + ค่าส่ง 40 = 620 บาท)
 
4. ถ้าไม่แน่ใจว่าต้องโอนเท่าไหร่แน่ อีเมล์มาถามหรือแปะถามที่หน้าแฟนเพจ http://www.facebook.com/BellbombNovels (http://www.facebook.com/BellbombNovels) ก็ได้

5. โปรโมชั่น ท่านที่สั่งนิยายของเราทั้ง 5 เรื่องงวดนี้ ไม่คิดค่าส่งจ้า


เรื่องที่เคยรวมเล่มแล้วและจะรีปรินท์ในครั้งนี้

- ลำนำรักสีรุ้ง
- เมื่อหัวใจเราใกล้กัน
- แม้นมั่นคำสัญญา

(http://www.bloggang.com/data/b/bellbomb/picture/1343321652.jpg)

จบประกาศคับผ้ม


****************************************************
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก เปิดจองรวมเล่มถึง 30 กย.นี้!!! [28/07/12 P.1]
เริ่มหัวข้อโดย: badcow ที่ 28-07-2012 12:35:05
ดีใจ
.
เปิดลิงค์ใบจองจากมือถือไม่ได้ เเต่ไม่สะดวกทำจากคอมครับ
เเจ้งบ/ชให้โอนเลยไม่ได้เหรอครับ
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก เปิดจองรวมเล่มถึง 30 กย.นี้!!! [28/07/12 P.1]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 28-07-2012 14:08:32
ดีใจ
.
เปิดลิงค์ใบจองจากมือถือไม่ได้ เเต่ไม่สะดวกทำจากคอมครับ
เเจ้งบ/ชให้โอนเลยไม่ได้เหรอครับ

 เดี๋ยวดูจากด้านล่างนี้นะคะ โอนเสร็จแล้วอีเมล์มาที่ bellbomb[at]hotmail.com พร้อมหัวข้อว่าจองนิยายค่ะ

*******************

ส่วนที่ 2 รายละเอียดของผู้สั่ง (ถ้าไม่แน่ใจว่าต้องโอนกี่บาท ส่งอีเมล์พร้อมรหัสเรื่องที่จะซื้อมาถามก่อนได้ค่ะ พอได้ยอดแล้วค่อยไปโอนและกรอกแบบฟอร์มส่งมาอีกที) 
ชื่อ + ที่อยู่ (ขอชื่อ-นามสกุลเต็ม):



Email:

บัญชีที่เลือกโอน (พิมพ์ X ในช่องว่าง) 

 [     ]  ธ.กรุงเทพ สาขาสะพานพระปิ่นเกล้า บัญชีสะสมทรัพย์ 162-413857-2 ชื่อ SIRIN SIRIMONTRI
 [     ]  ธ.ไทยพาณิชย์ สาขาเซ็นทรัลปิ่นเกล้า บัญชีออมทรัพย์ 183-239347-1 ชื่อ SIRIN SIRIMONTRI
วัน/เวลาที่โอนเงิน: __________________________________________________________________
ยอดที่โอน (ขอให้โอนแบบมีจุดทศนิยม จะได้เช็คง่ายค่ะ เช่น 290.01 บาท):_________________________

หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก เปิดจองรวมเล่มถึง 30 กย.นี้!!! [28/07/12 P.1]
เริ่มหัวข้อโดย: sembia ที่ 28-07-2012 15:09:11
เข้ามาแสดงตัวเป็นแฟนคลับคุณ bellbomb  จ้า :mc4:

ซื้อ+อ่านเรื่องเมื่อหัวใจเราใกล้กันจบแล้ว   ชอบมากๆเลยค่ะ   คิดถึงพี่อ๊อฟน้องนะ :-[

ส่วนเรื่องใหม่นี่จะติดตามแน่นอค่ะ  :impress2:

เป็นกำลังใจให้นักเขียน   :กอด1:
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก เปิดจองรวมเล่มถึง 30 กย.นี้!!! [28/07/12 P.1]
เริ่มหัวข้อโดย: Dark_Noah ที่ 03-08-2012 05:32:50
อ๊าย เพิ่งเห็นกระทู้นี้ง่า :z3: ไม่เปิดคอมห้าวันชีวิตเป็นอย่างนี้นี่เอง :sad4:
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก เปิดจองรวมเล่มถึง 30 กย.นี้!!! [28/07/12 P.1]
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 03-08-2012 21:07:11
ขอไปเก็บตังก่อนนะจ้ะ อิอิ
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก เปิดจองรวมเล่มถึง 30 กย.นี้!!! [28/07/12 P.1]
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D lufy ที่ 04-08-2012 23:55:56
เป็นเรื่องที่น่าัรักมากเลยอ่ะ

ชอบค่ะ
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก เปิดจองรวมเล่มถึง 30 กย.นี้!!! [28/07/12 P.1]
เริ่มหัวข้อโดย: NewYearzz ที่ 08-08-2012 21:20:25
เรื่องนี้น่ารักมากๆนะครับ ในขณะเดียวกันนิยายเรื่องนี้ทำให้ผมไปเรียนทั้งที่ตาเจ็บมากๆ

เพราะอะไรหน่ะหรอ? ผมร้องไห้ไง คนเขียนคงกำลังงงว่าผมร้องทำไมเรื่องนี้ออกจะหวาน

แต่ผมอยากบอกว่า สงสัยมากว่าคนเขียนคิดตัวละครชื่อ "ตี้" มาได้อย่างไร?

ผมอ่านแล้วเหมือนส่องกระจกเห็นตัวเอง แล้วไง? สิ่งที่ตี้โดน สิ่งที่ตี้ทำ คำพูดตี้ ความคิดตี้

มันเป็นสิ่งที่เหมือนกับนิสัยของผมมากๆ ผมเลยอินจัดไง เหมือนตัวเองเป็นคนโดนอย่างไรอย่างนั้น

ผมเล่าให้เพื่อนฟัง เพื่อนถามว่า "คนเขียนเค้ารู้จักแกหรอวะนิว?"  :laugh: นั่นสินะ หรือนี่เป็นนิสัยที่หลายๆคนก็เป็น

จะบอกว่าคำพูดของตี้จากเรื่อง รู้สึกว่าผมจะคิดไปก่อนว่าถ้าเป็นผม ผมจะพูดแบบนั้น แล้วตี้ก็พูดแบบนั้น

ฉากที่ตี้ร้องไห้ ผมครับ ร้องไปก่อนแล้ว แม้กระทั่งฉากที่เค้ามีความสุขกัน ผมก็ร้อง

ตั้งแต่มีตี้เข้ามา ผมก็ไม่ได้ยิ้มอย่างปรีดาไปกับตัวละครเอกอีกเลย ตอนนี้ยังเจ็บตาไม่หาย :laugh:

แต่ก็นะ...เรื่องนี้เป็นนิยายที่น่ารัก ภาษาสวย ดีทุกอย่างอ่าครับ ผิดที่ผมเอง :o8:


ขอบคุณมากสำหรับนิยายเรื่องนี้ครับ :pig4:

ปล.ไม่รู้คนเขียนจะได้เข้ามาอ่านมั๊ย? อายตัวเองจัง :m29:
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก เปิดจองรวมเล่มถึง 30 กย.นี้!!! [28/07/12 P.1]
เริ่มหัวข้อโดย: aezac ที่ 21-08-2012 16:30:01
รักณรงค์เลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก เปิดจองรวมเล่มถึง 30 กย.นี้!!! [28/07/12 P.1]
เริ่มหัวข้อโดย: obab ที่ 10-09-2012 21:36:06
รักตี้ <3
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก เปิดจองรวมเล่มถึง 30 กย.นี้!!! [28/07/12 P.1]
เริ่มหัวข้อโดย: threetanz ที่ 19-09-2012 19:40:36
ลุ้นตั้งนานกว่าจะลงเอยกันได้ อิอิ สนุกมากเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก เปิดจองรวมเล่มถึง 30 กย.นี้!!! [28/07/12 P.1]
เริ่มหัวข้อโดย: ขนมสัมปันนี ที่ 04-10-2012 19:38:28
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก เปิดจองรวมเล่มถึง 30 กย.นี้!!! [28/07/12 P.1]
เริ่มหัวข้อโดย: Magis ที่ 26-10-2012 01:40:52
ชอบชื่อเล่นของไรอันอะ "รัก" ยิ่งฉากต้องร่วมรัก ให้ความรู้สึกว่าเป็นการ เมคเลิฟ จริงๆอะไม่ใช่แค่ เมคเซ็กส์
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก เปิดจองรวมเล่มถึง 30 กย.นี้!!! [28/07/12 P.1]
เริ่มหัวข้อโดย: litlittledragon ที่ 26-10-2012 05:27:56
อ่านแล้วสงสารตี๋ชะมัด...
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก เปิดจองรวมเล่มถึง 30 กย.นี้!!! [28/07/12 P.1]
เริ่มหัวข้อโดย: keem ที่ 28-10-2012 01:19:54
แล้วน้องตี้เป็นอย่างไรบ้างเนี่ย เฮ้อสงสาร
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก เปิดจองรวมเล่มถึง 30 กย.นี้!!! [28/07/12 P.1]
เริ่มหัวข้อโดย: vevi ที่ 04-11-2012 20:27:09
กว่าจะรักกันได้  :เฮ้อ:

สงสารน้องตี้ อ่านแล้วน้ำตาไหลเลย น้องไม่ได้ผิดอะไรเลย
ผิดที่มารักคนที่เค้ารักเราไม่ได้  :monkeysad:
จะมีตอนพิเศษของน้องตี้หรือป่าวเอ่ย  รอนะคะ  :pig4:

หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก เปิดจองรวมเล่มถึง 30 กย.นี้!!! [28/07/12 P.1]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 28-12-2012 10:26:47
เรื่องนี้น่ารักมากๆนะครับ ในขณะเดียวกันนิยายเรื่องนี้ทำให้ผมไปเรียนทั้งที่ตาเจ็บมากๆ

เพราะอะไรหน่ะหรอ? ผมร้องไห้ไง คนเขียนคงกำลังงงว่าผมร้องทำไมเรื่องนี้ออกจะหวาน

แต่ผมอยากบอกว่า สงสัยมากว่าคนเขียนคิดตัวละครชื่อ "ตี้" มาได้อย่างไร?

ผมอ่านแล้วเหมือนส่องกระจกเห็นตัวเอง แล้วไง? สิ่งที่ตี้โดน สิ่งที่ตี้ทำ คำพูดตี้ ความคิดตี้

มันเป็นสิ่งที่เหมือนกับนิสัยของผมมากๆ ผมเลยอินจัดไง เหมือนตัวเองเป็นคนโดนอย่างไรอย่างนั้น

ผมเล่าให้เพื่อนฟัง เพื่อนถามว่า "คนเขียนเค้ารู้จักแกหรอวะนิว?"  :laugh: นั่นสินะ หรือนี่เป็นนิสัยที่หลายๆคนก็เป็น

จะบอกว่าคำพูดของตี้จากเรื่อง รู้สึกว่าผมจะคิดไปก่อนว่าถ้าเป็นผม ผมจะพูดแบบนั้น แล้วตี้ก็พูดแบบนั้น

ฉากที่ตี้ร้องไห้ ผมครับ ร้องไปก่อนแล้ว แม้กระทั่งฉากที่เค้ามีความสุขกัน ผมก็ร้อง

ตั้งแต่มีตี้เข้ามา ผมก็ไม่ได้ยิ้มอย่างปรีดาไปกับตัวละครเอกอีกเลย ตอนนี้ยังเจ็บตาไม่หาย :laugh:

แต่ก็นะ...เรื่องนี้เป็นนิยายที่น่ารัก ภาษาสวย ดีทุกอย่างอ่าครับ ผิดที่ผมเอง :o8:


ขอบคุณมากสำหรับนิยายเรื่องนี้ครับ :pig4:

ปล.ไม่รู้คนเขียนจะได้เข้ามาอ่านมั๊ย? อายตัวเองจัง :m29:

คนเขียนได้เข้ามาอ่านแล้วนะคะ ขอโทษค่าที่มาเห็นช้ามาก (4 เดือนแน่ะ ^^'') ชีวิตรักของน้องตี้นี่เป็นเรื่องที่เกิดได้จริงกับหลายๆ คน แต่ก็ยังอยากให้มีความหวังกันนะคะ สำหรับในเรื่องนี้น้องตี้อาจต้องเจ็บ แต่ก็คิดไว้ว่าจะเขียนเรื่องแยกออกมาเต็มๆ ให้น้องมีความสุขบ้างเหมือนกันค่ะ ถ้าหากติดตามเรื่องนั้นด้วยจะดีใจมากเลยค่ะ (แต่ยังไม่ได้เริ่มเขียนน้า ติดภารกิจเรื่องอื่นอยู่ค่ะ)
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษรับวันปีใหม่ 2013 [31/12/12] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 31-12-2012 02:28:37
ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ A New Year's Lullaby

เทศกาลปีใหม่เป็นเวลาที่ใครๆ ควรได้ร่วมฉลองกับครอบครัว เพราะโรงเรียน ห้างร้านและบริษัทต่างพากันปิดทำการหลายวัน เปิดโอกาสให้คนที่ต้องไปทำงานหรือเรียนในต่างถิ่นได้กลับบ้านไปใช้เวลากับคนสำคัญก่อนจะกลับมาสู่วิถีชีวิตเดิมๆ ต่อไป

และนั่นเป็นสิ่งที่ณรงค์กับไรอันวางแผนไว้เช่นกัน เนื่องจากไรอันตั้งใจจะไปเยี่ยมพ่อกับแม่ที่เมลเบิร์นหลังจากในที่สุดก็ได้เซ็นสัญญากับลูกค้าด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่เมื่อกลางปี ทว่าเมื่อโทรคุยกับพ่อและแม่ที่ออสเตรเลีย กลับกลายเป็นว่าทั้งสองได้ซื้อแพคเกจเพื่อเดินทางไปเที่ยวยุโรปช่วงวันหยุดคริสต์มาสไว้แล้ว เขาจึงล้มเลิกแผนการกลับบ้านและรอให้สบจังหวะวันหยุดยาวครั้งต่อไปก่อน

ส่วนฝ่ายณรงค์ ตอนแรกเขาก็ตั้งใจว่าจะติดตามไรอันไปเยี่ยมบ้านตามที่พ่อของไรอันเคยชวนไว้ แต่เมื่อแผนการเดินทางไกลต้องล้มเลิก เขาจึงวางแผนจะพาไรอันไปฉลองกับครอบครัวที่กาญจนบุรีแทน แต่พอโทรไปถามพ่อก็ได้ความว่าทางนั้นนัดจะไปเที่ยวกับครอบครัวของพวกเพื่อนๆ ช่วงหยุดปีใหม่ สุดท้ายณรงค์กับไรอันจึงตกลงกันว่าจะไม่ไปไหนและเพียงแต่ฉลองกันสองคนที่กรุงเทพฯ

"I'm home."

ขณะที่ไรอันเปิดประตูเข้ามาในห้องพร้อมกับเอ่ยประโยคนั้น เข็มนาฬิกาก็ชี้บอกเวลาห้าโมงเย็นแล้ว ณรงค์ที่กำลังม้วนสายไฟหลังจากดูดฝุ่นเสร็จจึงเดินเข้าไปช่วยรับถุงหลายใบในมือหนุ่มลูกครึ่งมาถือเอง

"หนักมั้ย? น่าจะให้ผมไปด้วยตั้งแต่แรกจะได้ไปช่วยถือ"

ณรงค์เอ่ยเมื่อรับถุงมาเปิดดู และพบว่านอกจากอาหารกับของหวานที่ไรอันขับรถไปรับมาจากร้านของเพื่อนที่โทรสั่งไว้ ยังมีไวน์ แชมเปญและเสบียงอย่างอื่นที่เจ้าตัวคงแวะซื้อระหว่างทางกลับบ้านอีก

ไรอันเหลือบมองเขาแวบหนึ่งก่อนจะถอดแจ็คเก็ตออกระหว่างเดินเข้าไปในห้องนอน "If you had come with me, who would be here to clean the house?"

"ฮะๆ ก็จริง"

ณรงค์หัวเราะขณะเดินเอาถุงพวกนั้นไปวางบนเคาน์เตอร์ในครัว แต่ก็ไม่ได้คิดมากกับคำพูดของคนรัก เขาชินแล้วกับนิสัยพูดตรงๆ ไม่ประดิษฐ์ตกแต่งให้หวานหูของไรอัน อีกอย่างที่เจ้าตัวพูดก็เป็นความจริง เนื่องจากแม่บ้านของไรอันลางานกลับบ้านที่ต่างจังหวัดช่วงปีใหม่ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องทำความสะอาดบ้านกันเองในระหว่างนี้ บังเอิญว่าณรงค์ค่อนข้างถนัดงานพวกนี้มากกว่า เขาก็เลยรับหน้าที่พ่อบ้านเองด้วยความเต็มใจ

"คุณจะให้ผมจัดอาหารพวกนี้ใส่จานเลยมั้ย?"

ณรงค์ร้องถามจากในครัว และได้ยินเสียงตอบ "Yes!" ดังมาจากในห้องนอน ตามด้วยเสียงสายน้ำกระทบพื้นกระเบื้อง ร่างสูงใหญ่จึงชะงักมือที่กำลังหยิบกล่องอาหารออกจากถุง จากนั้นก็สาวเท้าตามเข้าไปในห้องนอนซึ่งมีห้องน้ำในตัวแทน

ไรอันเป็นคนไม่ล็อคประตูเวลาอาบน้ำ ซึ่งคงจะติดนิสัยมาจากช่วงที่ใช้ชีวิตคนเดียว ยิ่งพักหลังนี้เจ้าตัวไม่แม้แต่จะงับประตูเสียด้วยซ้ำ หลายครั้งที่ณรงค์ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะหนุ่มลูกครึ่งเคยชินกับการใช้ชีวิตร่วมกันแล้วเลยเห็นว่าไม่จำเป็นต้องอาย หรือว่าจริงๆ แล้วตั้งใจจะยั่วเขากันแน่

"นี่..."

"หือ?"

ไรอันซึ่งกำลังยืนเปลือยอยู่ใต้ฝักบัวเอี้ยวคอมามองเมื่อได้ยินเสียงทัก ณรงค์ที่กำลังยกแขนเท้ากรอบประตูจึงอดไม่ได้ที่จะกวาดสายตาลงมองผิวเนียนสีงาช้างที่กำลังโดนสายน้ำโลมเลีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบั้นท้ายตึงแน่นเคร่งครัดที่ทำเขาคันไม้คันมืออยู่บ่อยๆ แม้แต่เวลาที่เจ้าตัวสวมกางเกงมิดชิด พอไล่สายตากลับขึ้นสบตากับหนุ่มลูกครึ่งอีกครั้ง เขาก็ไม่มั่นใจว่าประกายท้าทายในดวงตาสีน้ำตาลอ่อนนั้นเป็นเพียงภาพลวงตาหรือไม่

"ผมก็อยากอาบน้ำเหมือนกันนะ วันนี้ทำงานบ้านจนเหงื่อออกไปหมดแล้ว"

ไรอันทำเสียงหึก่อนจะหันกลับไปปั๊มแชมพูมาขยี้ผม "อยากอาบก็อาบสิ ไม่มีใครห้ามคุณนี่"

ณรงค์มองคนที่หันกลับไปอาบน้ำโดยไม่สนใจเขาอีกแล้วก็ได้แต่หัวเราะเบาๆ ก็เล่นเป็นเสียอย่างนี้...แล้วเขาจะไม่มันเขี้ยวอยากจับตีก้นได้ยังไงล่ะ ถึงจะรู้ว่าขืนทำจริงคงมีหวังโดนไล่ให้นอนนอกห้องก็เถอะ

"ผมถูหลังให้"

ร่างสูงใหญ่เดินเข้าไปยืนซ้อนหลังร่างสูงสมส่วนพลางปั๊มสบู่จากขวดมาลูบไล้ไปบนแผ่นหลังกว้าง เมื่อไรอันหันกลับมาก็ขมวดคิ้วเนื่องจากณรงค์เข้ามาในห้องอาบน้ำทั้งที่ยังสวมเสื้อผ้าครบทุกชิ้น ตอนนี้เสื้อกับกางเกงขาสั้นที่ใส่จึงเปียกน้ำจนลู่ติดตัวไปหมด

"ไหนบอกว่าจะอาบน้ำ แล้วทำไมไม่ถอดเสื้อผ้า?"

ณรงค์ยิ้มเจ้าเล่ห์ "ผมก็หวังว่าใครบางคนจะช่วยถอดให้เป็นรางวัลที่ทำงานบ้านวันนี้น่ะ"

ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือเป็นไปเอง แต่ดูเหมือนการพยายามยั่วอีกฝ่ายเพื่อดูว่าใครจะแพ้ก่อนได้กลายเป็นกิจวัตรของทั้งคู่ไปแล้ว ช่วงแรกๆ ณรงค์นึกว่าเขาคงคิดมากไป แต่พออยู่ด้วยกันนานเข้าและเริ่มอ่านแววตาของไรอันออกมากขึ้น เขาก็เริ่มสังเกตได้ว่าเวลาไหนที่หนุ่มลูกครึ่งอยากได้เวลาส่วนตัวจริงๆ และเวลาไหนที่ตั้งใจจะเล่นตัว

"Lazy bastard."

ไรอันเอ่ยยิ้มๆ ขณะดึงชายเสื้อที่เปียกชุ่มของณรงค์ขึ้น ผ้ายืดที่อุ้มน้ำทำให้ถอดลำบากกว่าปกติเล็กน้อย ณรงค์สูดหายใจลึกเมื่อโดนปลายนิ้วของหนุ่มลูกครึ่งป่ายไปโดนยอดอก แต่ใบหน้าเยือกเย็นของคนถอดทำให้ยากจะฟันธงว่าเมื่อครู่ตั้งใจหรือไม่

กระทั่งเมื่อกางเกงถูกถอดออกและโยนไว้มุมห้องน้ำ ณรงค์จึงรั้งเอวไรอันเข้าใกล้ร่างเปลือยเปล่าของตัวเองแล้วก้มลงแนบริมฝีปากร้อนผ่าวบนต้นคอและลาดไหล่กว้าง เสียงจูบบนผิวที่เปียกเพราะสายน้ำดังสะท้อนในห้องอาบน้ำกรุกระจกสี่เหลี่ยม มือใหญ่ทั้งสองข้างลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังเนียนแน่นที่มีมัดกล้ามกำลังดี จวบจนมือข้างหนึ่งเลื่อนลงไปขยุ้มหนั่นเนื้อด้านหลังพร้อมๆ กับที่ณรงค์เลื่อนใบหน้าเข้าหาริมฝีปากของหนุ่มลูกครึ่ง ร่างสูงใหญ่ก็ขมวดคิ้วเมื่อถูกไรอันใช้ปลายนิ้วชี้แตะบนริมฝีปากของเขาเป็นเชิงห้าม

"Not now. I'm hungry."

ไรอันยิ้มจนนัยน์ตาเป็นประกายเมื่อณรงค์ทำหน้าขัดใจ แต่ก็ไม่ได้สนใจเขาอีกและหันกลับไปเงยหน้ารับน้ำจากฝักบัวเพื่ออาบน้ำต่อ คนที่ยืนอยู่ด้านหลังจึงได้แต่พยายามข่มช่วงล่างที่ร้อนรุ่มและช่วยไรอันถูหลังต่อจนทั้งคู่อาบน้ำเสร็จ

ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้เขาเคยทำผิดเรื่องของธีระจนไม่กล้าขัดใจไรอันกันเล่า...

กว่าทั้งสองจะอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ท้องฟ้าภายนอกก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเทาสลัว ไรอันเปิดเครื่องปรับอากาศก่อนจะเข้าห้องครัวไปช่วยณรงค์จัดอาหารใส่จาน ไม่นานนักบนโต๊ะก็เรียงรายไปด้วยชุดอาหารสำหรับสองคน ซึ่งประกอบด้วยสลัดผัก สเต็กซี่โครงแกะ ซุปฟักทอง ขนมปังฝรั่งเศส ไวน์แดง ส่วนของหวานเป็นเค้กมิลเฟยซึ่งณรงค์เคยเห็นผ่านๆ แต่เพิ่งจะได้ชิมเป็นครั้งแรก

ถึงแม้อาหารมื้อนี้จะมีเพียงไม่กี่อย่าง แต่ก็รสชาติดีทุกจานสมกับที่มาจากร้านโปรดของไรอัน โดยส่วนตัวแล้วณรงค์ชอบอาหารไทยรสจัดจ้านมากกว่าอาหารตะวันตก แต่เขาก็พยายามปรับตัวให้เรียนรู้รสชาติใหม่ๆ เพิ่มขึ้นเพราะรู้ดีว่าไรอันทานอาหารแบบเขาไม่ค่อยได้

หลังจากทานมื้อเย็นกันจนหมดเกลี้ยงเพราะความหิว สองหนุ่มก็ย้ายที่มาดูหนังในห้องนั่งเล่นโดยดื่มไวน์กับแชมเปญไปพลางๆ เนื่องจากปีที่ผ่านมานั้นต่างคนต่างงานยุ่งจนไม่ค่อยได้เข้าโรงภาพยนตร์บ่อยนัก ทั้งสองจึงมักซื้อหรือเช่าดีวีดีเรื่องที่สนใจมานั่งดูด้วยกันในเวลาว่าง

ระหว่างที่นั่งดูหนังด้วยกันบนโซฟา มีบางครั้งที่ณรงค์จะวาดแขนอ้อมไปวางบนไหล่คนข้างตัวบ้าง บางครั้งไรอันก็วางมือลงบนขาของเขาแล้วเอนตัวมาพิงไหล่บ้าง กิริยาแสดงความสนิทสนมเหล่านั้นล้วนเป็นไปเองจากความคุ้นเคยที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกัน แต่พอหนังเข้าสู่ช่วงไม่กี่นาทีสุดท้าย ณรงค์ก็ชักรู้สึกว่านั่งไม่สบายตัวขึ้นทุกที

เปล่า...ไม่ใช่ว่าหนังบีบคั้นอารมณ์หรือน่าเบื่อจนทำให้ง่วง แต่เพราะว่ายิ่งได้นั่งใกล้ไรอันนานขึ้น สูดกลิ่นแชมพูหอมๆ จากเรือนผมนุ่มสีน้ำตาลอ่อนมากขึ้นเท่าไหร่ ความอัดอั้นที่เขายังไม่ได้ระบายออกตั้งแต่ตอนอาบน้ำก็โดนก่อกวนให้ฟุ้งจนแสร้งทำเพิกเฉยไม่ได้สักทีต่างหาก!

"รัก..."

ไรอันเอียงหน้าขึ้นจากไหล่ของณรงค์พลางเลิกคิ้ว เมื่อได้เห็นผิวแก้มอมชมพูเพราะดื่มไวน์ไปมากในระยะประชิด แถมริมฝีปากสีสดยังดูฉ่ำชื้นชวนให้ลิ้มรสอีก ณรงค์ก็ชักจะควบคุมตัวเองไม่ไหว

"หนังยังไม่จบเลย"

ไรอันเอ่ยพลางยกมือขึ้นมาปิดปากณรงค์ไว้ก่อนจะทันได้จูบ เท่ากับนี่เป็นอีกครั้งที่เขาโดนปฏิเสธ ชายหนุ่มขมวดคิ้วมองรอยยิ้มของคนข้างตัวอย่างไม่เข้าใจ แต่พอไรอันเบนสายตากลับไปสนใจจอโทรทัศน์อีกครั้ง ณรงค์ก็ชักจะฉุนเพราะความน้อยใจขึ้นมา

ตกลงตอนนี้เขาสำคัญน้อยกว่าหนังเรื่องนี้รึนี่...

ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นแล้วเดินหายเข้าไปในห้องนอนโดยมีสายตาที่อ่านไม่ออกของไรอันมองตามไป ไม่นานณรงค์ก็เดินกลับออกมาด้วยสีหน้ามุ่ยนิดๆ ก่อนจะนั่งลงบนโซฟาอย่างเดิม แต่คราวนี้วางกล่องทรงยาวสีดำผูกริบบิ้นสีแดงขลิบทองไว้บนโต๊ะด้วย

ไรอันนึกอยากจะหัวเราะให้ดังๆ เมื่อเห็นณรงค์นั่งกอดอกแล้วหันหน้าไปทางอื่นโดยแสดงออกชัดเจนว่าไม่สนใจจะดูหนังอีกแล้ว ใจหนึ่งเขาก็นึกอยากแกล้งต่ออีกหน่อยเพราะไหนๆ หนังก็ใกล้จบเต็มทีแถมกำลังสนุกเสียด้วย แต่อีกใจก็เห็นใจณรงค์เพราะวันนี้เขาก็แกล้งอีกฝ่ายมากไปจริงๆ

หนุ่มลูกครึ่งหยิบรีโมทมากดปุ่ม pause ก่อนจะใช้เข่าข้างหนึ่งกระทุ้งเข่าณรงค์เพื่อเรียกความสนใจ ณรงค์จึงหันกลับมาหาด้วยท่าทางเหมือนยังพยายามจะรักษามาดงอนอยู่ แต่ก็ห้ามตัวเองไม่ให้กลืนน้ำลายไม่ได้เมื่อสังเกตเห็นว่าเสื้อเชิ้ตสีขาวที่ไรอันใส่นั้นเหมือนจะถูกปลดกระดุมลงมากกว่าตอนที่นั่งทานข้าวกันในครัว ผลคือผิวเนื้อเนียนสีอ่อนถูกเผยสู่สายตาเขามากขึ้นไปโดยปริยาย

"What is that box?"

ไรอันเท้าศอกข้างหนึ่งบนพนักโซฟาพลางบุ้ยคางไปทางกล่องบนโต๊ะ ความจริงเขาพอจะเดาได้อยู่แล้วแต่อยากให้ณรงค์พูดเองมากกว่า พอโดนถามเช่นนั้น ณรงค์ถึงเพิ่งนึกได้และดึงสายตาขึ้นมาจากแผ่นอกของหนุ่มลูกครึ่งสำเร็จ ชายหนุ่มกระแอมเมื่อเห็นรอยยิ้มของไรอันที่ราวจะแทนคำพูดว่า 'รู้นะว่ามองอะไรอยู่'

"ของขวัญปีใหม่ ผมซื้อให้คุณ"

ชายหนุ่มพบว่าเสียงตัวเองแหบแห้งจนต้องกระแอมอีกครั้งขณะหยิบกล่องนั้นมาส่งให้ไรอัน หนุ่มลูกครึ่งจึงเลิกคิ้วพลางรับกล่องนั้นไปแล้วใช้นิ้วลูบไปตามผิวกระดาษแข็งของกล่องอย่างช้าๆ ซึ่งภาพที่เห็นทำให้ณรงค์รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะคลั่งซะให้ได้

กล่องที่ณรงค์ให้มามีขนาดกว้างประมาณฝ่ามือและยาวประมาณหนึ่งฟุต ตัวกล่องทำจากกระดาษแข็งเนื้อหนาสีดำอย่างดีและไม่ได้ห่อกระดาษห่อของขวัญทับ มีเพียงริบบิ้นสีแดงขลิบทองที่ผูกไว้ซึ่งทำให้รู้สึกว่าเป็นของในโอกาสพิเศษ หนุ่มลูกครึ่งเหลือบมองณรงค์ที่ยังไม่ยอมหันมาสบตาด้วย ก่อนจะค่อยลงมือแกะริบบิ้นและดึงกล่องด้านในซึ่งเป็นแบบสอดออกมาอย่างไม่รีบร้อน

หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษรับวันปีใหม่ 2013 [31/12/12] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 31-12-2012 02:30:31
"นี่มัน?"

คราวนี้ไรอันเลิกคิ้วอย่างแปลกใจเมื่อเห็นของด้านใน น้ำเสียงที่บอกให้รู้ว่าแปลกใจจริงๆ ทำให้ณรงค์ค่อยยิ้มออกและหันกลับมาหา

"ชอบมั้ย? พอดีผมเห็นว่าช่วงนี้คุณต้องไปตีกอล์ฟกับพวกลูกค้าบ่อยๆ ก็เลยปรึกษาเจมส์ว่าจะให้ถุงมือกอล์ฟคุณเป็นของขวัญ เขาบอกว่าที่ออสเตรเลียมีถุงมือหนังจิงโจ้ที่คุณภาพดีกว่าที่อื่น ผมเลยขอให้เขาซื้อมาให้โหลนึงเลย"

ในกล่องทรงยาวบนตักของไรอันมีถุงมือข้างซ้ายอยู่ทั้งสิ้นสิบสองอันจริงๆ ทุกอันเป็นสีดำล้วนและทำจากหนังจิงโจ้ซึ่งเป็นยี่ห้อที่เขาเองก็รู้จักดี เขาหยิบถุงมืออันหนึ่งขึ้นมาสวมลงบนมือซ้ายซึ่งขนาดพอดีเป๊ะราวกับถูกวัดมาก่อน

"อ้อ..."

"หือ?"

ณรงค์ทำเสียงในคออย่างแปลกใจเมื่อไรอันทำเสียงพึมพำเหมือนนึกอะไรได้ แต่หนุ่มลูกครึ่งเพียงแต่ยิ้มแล้วส่ายหน้า เพราะเขาเพิ่งนึกได้ว่าเมื่อต้นเดือนณรงค์เคยทำทีเป็นสนใจอุปกรณ์ตีกอล์ฟของเขาแล้วถามนั่นถามนี่ คงจะอาศัยช่วงนั้นแอบดูว่าเขาใส่ถุงมือเบอร์อะไรนี่เอง

"ขอบคุณนะ That's so sweet of you."

คำชมจากปากคนรักทำให้ณรงค์ยิ้มออก และรอยยิ้มนั้นยิ่งขยายกว้างขึ้นเมื่อคนพูดขยับตัวมานั่งคร่อมตักเขาพลางยกสองมือมากอดไหล่และแนบริมฝีปากลงบนแก้มเบาๆ แต่ณรงค์ไม่พอใจกับรางวัลเพียงเท่านั้น เขาใช้สองมือรั้งเอวไรอันเข้าหามากขึ้นพลางทำปากยื่น

"ผมขอมากกว่าหอมแก้มได้มั้ย ไอ้นี่น่ะกว่าผมจะขอให้เจมส์ช่วยซื้อให้ได้ก็ลำบากเหมือนกันนะ เกือบได้มาไม่ทันวันหยุดปีใหม่ด้วยซ้ำ"

ไรอันแทบหัวเราะพรืดเมื่อโดนอ้อน แต่ก็ยิ้มและโน้มตัวลงจูบริมฝีปากของคนขอโดยไม่อิดออด ทันทีที่กลีบปากฉ่ำนุ่มและหวานไปด้วยรสไวน์สัมผัสกับริมฝีปากตนเอง ณรงค์ก็รู้สึกราวกับความกระหายหิวที่อดรนทนเก็บไว้ได้รับการตอบสนองเสียที

"อืม..."

เสียงครางแผ่วดังในลำคอของทั้งคู่ขณะที่ลมหายใจคลุกเคล้าเป็นหนึ่งเดียว ณรงค์ดูดดุนรสหวานหอมจากช่องปากและปลายลิ้นอุ่นไปพลางปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของไรอันจนหมดแผง จากนั้นก็ควานมือทั้งสองข้างไปทั่วผิวกายตึงแน่นและกล้ามท้องน้อยๆ ที่ชวนให้สัมผัสแล้วสัมผัสอีกไม่รู้เบื่อ ฝ่ายไรอันเองก็โยกกายบนตักแกร่งราวจะปลุกเร้าอารมณ์ของณรงค์ที่กำลังพลุ่งพล่านอยู่แล้วให้เดือดมากขึ้นอีก ร่างสูงสมส่วนผละจากจูบที่ชวนให้มึนเมาเพื่อดึงเสื้อยืดของณรงค์ออก แต่แล้วเมื่อได้เห็นแผงอกอันเปลือยเปล่า หนุ่มลูกครึ่งก็ชะงักไปนิดหนึ่ง

"I'll be back. ...Wait here."

ไรอันวางมือลงบนอกณรงค์แล้วเอ่ยสำทับเมื่อเห็นเขาทำหน้างุนงงและพยายามจะลุกตาม ชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่นขณะมองไรอันเดินหายเข้าไปในห้องนอน แม้จะไม่ค่อยชอบใจที่ถูกขัดอารมณ์หวานๆ แต่ก็นั่งรอตามที่โดนบอกแต่โดยดี ไม่นานนักหนุ่มลูกครึ่งก็เดินกลับออกมา เสื้อเชิ้ตที่ถูกปลดกระดุมทั้งแผงเผยโครงร่างที่ชวนให้คนเห็นหวั่นไหวไม่ว่าจะชายหรือหญิง

หนุ่มลูกครึ่งเอามือข้างหนึ่งซ่อนไว้ข้างหลังขณะเดินกลับมานั่งคร่อมตักณรงค์เหมือนเดิม แต่พอเขายื่นแขนไปเพื่อจะรั้งเจ้าตัวเข้าหา ไรอันกลับเอามืออีกข้างขึ้นมาปิดตาเขาไว้

"Close your eyes."

"เอ๊ะ?"

"เชื่อผมเถอะน่า หลับตาก่อน"

ณรงค์เม้มปากอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย แต่ก็ยอมวางมือทั้งสองข้างลงบนขาของไรอันแล้วหลับตานิ่งตามที่โดนบอก ไรอันโบกมือตรงหน้าอีกฝ่ายเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้แอบดูจริงๆ จากนั้นจึงยื่นมือไปคล้องรอบคอของณรงค์พร้อมกับของที่หยิบมาด้วย

สัมผัสเย็นๆ รอบลำคอทำให้ณรงค์ค่อยๆ ลืมตาขึ้น เขาสบตากับไรอันที่กำลังยิ้มให้ก่อนจะก้มลงมองสิ่งที่ห้อยอยู่กลางอก มือใหญ่หยิบจี้รูปเขี้ยวทรงเรียวแหลมขึ้นมา น้ำหนักของจี้บอกให้รู้ว่าไม่ใช่โลหะธรรมดาทั่วไป

"สร้อยเงินของ David Yurman ผมซื้อตอนไปประชุมที่ฮ่องกงคราวก่อน เหมาะกับคุณจริงๆ ด้วย"

ไรอันเลือกจะไม่อธิบายว่า David Yurman เป็นยี่ห้อเครื่องประดับหรูของอเมริกาที่ดาราฮอลลีวู้ดหลายรายเป็นลูกค้า และราคาเครื่องประดับแต่ละชิ้นนั้นไม่ใช่ว่าใครจะยอมควักเงินซื้อง่ายๆ แต่ณรงค์กลับไม่สะกิดใจกับชื่อยี่ห้อแปลกหูมากเท่ากับที่ได้ยินว่าไรอันซื้อสร้อยเส้นนี้ให้ตั้งแต่ทริปฮ่องกงครั้งล่าสุด

การเดินทางไปประชุมที่ฮ่องกงครั้งนั้นผ่านมาสองเดือนแล้ว หมายความว่าไรอันคิดถึงเทศกาลปีใหม่และเลือกซื้อของขวัญไว้ให้เขาตั้งแต่ตอนนั้น ทั้งที่เขาเพิ่งจะเริ่มหาซื้อของขวัญให้อีกฝ่ายเมื่อต้นเดือนนี่เอง...

ทำไมเขาถึงได้ซื่อบื้ออย่างนี้นะ

"...ผมรักคุณ"

ณรงค์พูดอะไรไม่ออกนอกจากคำนั้น เขาไม่เคยเชื่อว่าตัวเองคิดผิดที่มอบหัวใจให้ไรอันทั้งที่การเริ่มต้นของทั้งคู่นั้นแสนจะลุ่มๆ ดอนๆ แถมกว่าหนุ่มลูกครึ่งจะเปิดใจให้ก็ทำเอาต้องแยกทางกันไปเป็นเดือน แต่ความเชื่อมั่นก็ทำให้เขาเลือกจะเดินตามหัวใจของตัวเองโดยย้อนกลับมาหาคนตรงหน้าอีกครั้ง และการได้ใช้ชีวิตด้วยกันทุกวันนี้คือหลักฐานสำคัญว่าเขาตัดสินใจถูกต้อง

"I know. Me too."

ไรอันตอบพร้อมกับใช้สองมือประคองหน้าเขาเอาไว้และเคลื่อนใบหน้าเข้าหา มือซ้ายยังคงสวมถุงมือที่ณรงค์ให้เป็นของขวัญโดยไม่ได้ถอดออก เช่นเดียวกับณรงค์ที่สวมสร้อยซึ่งเพิ่งได้รับเช่นกัน

ร่างสูงใหญ่ดึงเสื้อเชิ้ตสีขาวออกจนพ้นเรือนร่างสมส่วน จากนั้นก็ดันตัวหนุ่มลูกครึ่งลงนอนหงายบนโซฟาและเข้าทาบทับ ชายหนุ่มพรมจูบไปทั่วลำคอและแผ่นอกขาวเนียนอย่างหิวกระหาย เมื่อริมฝีปากสัมผัสกับตุ่มเนื้อสีชมพูเข้ม เขาก็ขบเม้มแล้วดูดอย่างแรงจนหนุ่มลูกครึ่งแอ่นหลังขึ้นจากโซฟาและใช้สองมือจิกไหล่กว้างแน่น

ไรอันหอบหายใจแรงเมื่อถูกเล้าโลมอย่างไม่บันยะบันยัง ใบหน้าหล่อเหลาแดงก่ำขณะที่ริมฝีปากเผยอเพื่อช่วยสูดอากาศเข้าปอด นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนหรี่ลงมองกลุ่มผมดำสนิทของคนที่กำลังคลอเคลียอยู่บนหน้าท้อง ขณะเดียวกันก็รู้สึกได้ว่าความเป็นชายของตนกำลังตื่นตัวมากขึ้นทุกที สัมผัสเย็นๆ จากจี้เงินบนคอของณรงค์ที่ห้อยลงมาโดนหน้าท้องยิ่งสร้างสัมผัสอันขัดแย้งกับปลายลิ้นอุ่นจนกระตุ้นให้อารมณ์เตลิดมากขึ้นไปอีก

"Hey..."

"หืม?"

ณรงค์ขานรับในคอเมื่อไรอันใช้สองมือประคองหน้าเขาให้เงยขึ้น นัยน์ตาสองคู่จึงสบประสานก่อนที่ไรอันจะเอ่ยยิ้มๆ โดยที่แก้มเรื่อสีเลือดฝาดและนัยน์ตาฉ่ำเยิ้มเป็นประกายวาว

"สร้อยนั่นน่ะ...มีชื่อด้วยนะ" 

ร่างสูงใหญ่เลิกคิ้ว เขาค่อยๆ ยันตัวขึ้นจนกระทั่งสายตาอยู่ระดับเดียวกับไรอัน นัยน์ตายั่วยวนที่มองกลับมาทำเอาณรงค์อยากจะจูบปิดปากหนุ่มลูกครึ่งให้เลิกคุยเพื่อที่ทั้งคู่จะได้เริงรักกันจนเข้าวันใหม่เสียที แต่ก็พยายามข่มใจแล้วถามเสียงแหบพร่า

"ชื่ออะไรเหรอ?"

ไรอันเหลือบตาลงมองจี้เงินรูปเขี้ยวที่ห้อยอยู่ระหว่างทั้งคู่ จากนั้นก็ใช้มือซ้ายที่ยังสวมถุงมือหนังสีดำกุมจี้นั้นไว้แล้วดึงให้ณรงค์ก้มลงหาอย่างช้าๆ ลมหายใจหอมหวานเจือกลิ่นไวน์กรุ่นจากริมฝีปากบางเมื่อเขาเอ่ยเสียงเบา

"Predator. That's what you are."

ริมฝีปากสองคู่แนบประทับ จากนั้นก็ไม่มีเสียงพูดคุยอีกภายในห้องที่เงียบสนิทนอกเหนือจากเสียงหอบครางและเสียงเรียกชื่อกันและกันอย่างเร่งเร้า เครื่องปรับอากาศดูจะไม่ช่วยให้ความเย็นใดๆ แก่ร่างทั้งสองที่บดเบียดและเคลื่อนไหวด้วยจังหวะซึ่งมีเพียงณรงค์และไรอันเท่านั้นที่บรรเลงร่วมกันได้ ความโหยหิวในเรือนร่างของกันและกันถูกเติมเต็มคราแล้วคราเล่าเสมือนว่าความหมายของชีวิตคืออ้อมแขนของคนที่กำลังกอดรัดตนอยู่เท่านั้น จวบจนเวลาล่วงผ่านสู่วันใหม่และความเหนื่อยอ่อนมีอำนาจเหนือความต้องการทางกาย ณรงค์จึงยอมปล่อยให้คนที่ต้องรองรับความต้องการซึ่งไม่สิ้นสุดของเขาได้นอนพัก กระนั้นชายหนุ่มก็ยังคงกอดเอวอีกฝ่ายไว้พร้อมกับซุกใบหน้าลงตรงซอกคอชื้นเหงื่อ เขาค่อยหลับตาลงเมื่อได้ยินเสียงหายใจสม่ำเสมอและสูดกลิ่นกายอันคุ้นเคยเพื่อให้หัวใจที่เต้นถี่สงบลง

ผมโชคดีจริงๆ ที่ได้รักคุณ...

ณรงค์คิดขณะที่ความอ่อนเพลียเริ่มซึมซ่านไปตามกล้ามเนื้อจนชวนให้อยากหลับไหล ชั่วเสี้ยววินาทีก่อนที่จะดำดิ่งสู่ห้วงนิทราและไม่รับรู้อะไรอีก เขาคล้ายจะสัมผัสได้ถึงอ้อมแขนที่โอบเอวกลับและเสียงกระซิบแผ่วเบาหวานหูชวนให้ฝันดีว่า 'สวัสดีปีใหม่ ณรงค์'


++---End---++



A/N: เป็นตอนที่ปุบปับนึกได้ว่าอยากเขียนอะไรสักอย่างสำหรับปีใหม่ พอได้ไอเดียนี้ปุ๊บก็รีบเขียนให้จบในวันเดียวเลยค่ะ (เดี๋ยวนี้แม้แต่เรื่องสั้นยังใช้เวลาเขียนนานกว่า 1 วัน ถ้าเรื่องไหนเสร็จไวกว่านั้นได้จะ amazing สุดๆ *__*) ไอเดียตอนนี้ก็ไม่มีอะไรมาก เนื่องจากคนเขียนเองก็ไม่ได้ไปไหน ใช้เวลาปีใหม่อยู่กับบ้านเหมือนกัน เลยหามุกให้สองคนนี้ได้ฉลองกันทั้งที่ไม่ได้ออกไปไหนนี่ล่ะ ระหว่างเขียนตอนนี้ไปก็รู้สึกว่าณรงค์หื่นตลอดเวลา ส่วนไรอันนี่...เป็นครั้งแรกที่รู้สึกเอ็นดู สงสัยเพราะว่าพอให้อยู่กับณรงค์นานเข้า นิสัยด้านน่ารักๆ เลยได้ออกมาเยอะขึ้นล่ะมั้ง

สำหรับเครื่องประดับยี่ห้อ David Yurman นี่มีจริงนะคะ เป็นแบรนด์ระดับ hi-end ของอเมริกา ตอนเขียนเรื่องนี้ก็ทำรีเสิร์ชประมาณหนึ่งว่าถ้าสองคนนี้จะซื้อของขวัญให้กันน่าจะเป็นของแบบไหน ส่วนถุงมือกอล์ฟหนังจิงโจ้ก็มีจริงๆ เจ้านายที่บริษัทเก่าเรามีธุรกิจเสริมนำเข้าและเป็นตัวแทนจำหน่ายเจ้าถุงมือนี่ด้วย ส่วนเวลาเล่นกอล์ฟนั้นคนเล่นจะใส่ถุงมือข้างเดียวคือข้างตรงข้ามกับมือที่ถนัด กรณีนี้ไรอันถนัดมือขวาก็เลยได้ถุงมือซ้าย และถุงมือนี่พอใช้ไปนานๆ มันจะมีอายุงานของมันเอง ณรงค์เลยซื้อยกโหลให้ซะเลยน่ะค่ะ ที่แน่ๆ ราคารวมกันแล้วก็ยังไม่เท่าสร้อยที่ไรอันซื้อให้ XD ความจริงสร้อยนี้มีต้นแบบจากของจริงของ David Yurman ด้วย แต่ชื่อจริงๆ ว่า Claw Amulet เรามาเปลี่ยนให้เป็น Predator จะได้รู้สึกเท่ๆ ประมาณว่า "ผู้ล่า" น่ะค่ะ

ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นต์ที่จะมีให้ณรงค์กับไรอันล่วงหน้า ขอถือโอกาสนี้สวัสดีปีใหม่ทุกคนด้วยนะคะ  :3123:
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษรับวันปีใหม่ 2013 [31/12/12] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: Dark_Noah ที่ 31-12-2012 02:47:59
อ๊าย ตอนแรกเห็นชื่อกระทู้ก็แปลกใจ เอ๊ะ เราดูผิดรึป่าว แต่ดูอีกทีไม่ผิดนี่หว่า
ตอนพิเศษน่ารักจัง ถ้าจะขอเก็บไว้แล้วปริ้นท์เอาไปแนบกับหนังสือได้มั้ยคะ  :o8:
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษรับวันปีใหม่ 2013 [31/12/12] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 31-12-2012 09:56:25
อ๊าย ตอนแรกเห็นชื่อกระทู้ก็แปลกใจ เอ๊ะ เราดูผิดรึป่าว แต่ดูอีกทีไม่ผิดนี่หว่า
ตอนพิเศษน่ารักจัง ถ้าจะขอเก็บไว้แล้วปริ้นท์เอาไปแนบกับหนังสือได้มั้ยคะ  :o8:

ได้เลยค่า ^^
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษรับวันปีใหม่ 2013 [31/12/12] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 31-12-2012 19:26:53
ชอบตอนจบที่สุดเลยค่ะ รู้สึกว่าไรอันน่ารักมาก
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษรับวันปีใหม่ 2013 [31/12/12] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: tiktok ที่ 31-12-2012 22:10:17
น่ารักมากค่ะ
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษรับวันปีใหม่ 2013 [31/12/12] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 01-01-2013 02:13:31
สนุกมากๆค่่ะ นับวันไรอันยิ่งจะน่ารักนะคะ ส่วนพี่ณรงค์ก็หื่นขึ้นทุกวันจริงๆค่ะ ฮ่าๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษรับวันปีใหม่ 2013 [31/12/12] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: NewYearzz ที่ 01-01-2013 14:47:15
ตอนนี้อบอุ่น เต็มไปด้วยความอ่อนโยนอ่อนหวาน น่ารัก...แต่

อ้างถึง
ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้เขาเคยทำผิดเรื่องของธีระจนไม่กล้าขัดใจไรอันกันเล่า...
   :o11:

ผมผิดเองครับ  o1

+1 ขอบคุณสำหรับตอนพิเศษแสนวิเศษนะครับ  :pig4:

ขอให้คนเขียนมีความสุขมากๆ และสำหรับเรื่องของตี๋...ผมแอบกลัวนะครับ

....แต่ถ้ามีผมจะตามไปติดตามผลงานแน่นอนครับ  :L2:
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษรับวันปีใหม่ 2013 [31/12/12] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: badcow ที่ 01-01-2013 15:05:17
รัก เรื่องนี้โคตรๆ
ขอปริ๊นเก็บแนบหนังสือด้วย
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษรับวันปีใหม่ 2013 [31/12/12] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 01-01-2013 18:13:24
รัก เรื่องนี้โคตรๆ
ขอปริ๊นเก็บแนบหนังสือด้วย

Ok ค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษรับวันปีใหม่ 2013 [31/12/12] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 02-01-2013 00:44:43
กรี๊ดดดดด
อ่านรวดเดียวจบแล้ว
น่ารักมากเลยค่ะ

ขอบคุณมากนะคะ
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษรับวันปีใหม่ 2013 [31/12/12] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 02-01-2013 10:19:34
กรี๊ดดดดด
อ่านรวดเดียวจบแล้ว
น่ารักมากเลยค่ะ

ขอบคุณมากนะคะ

ขอบคุณมากค้าบน้องมน :)
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษรับวันปีใหม่ 2013 [31/12/12] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: Horizon ที่ 02-01-2013 19:48:42
Happy New Year 2013
 :mc4: :mc4:
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษรับวันปีใหม่ 2013 [31/12/12] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 03-01-2013 11:25:43
น่ารักอ้ะ  o13
บทจะบีบหัวใจ ก็บีบแบบสุดๆ แต่พอบทจะหวาน ก็หวานกันซะ  :o8:
แอบสงสารตี้เหมือนกัน แล้วตี้จะได้เจอคนอื่นมั๊ยน๊าาาา
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษรับวันปีใหม่ 2013 [31/12/12] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D lufy ที่ 03-01-2013 17:19:15
อ๊ากกกกกกกกกก

หวานมากอ่ะ  อิอิ

สวัสดีปีใหม่ค่ะ
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ ไม่อยากขัดใจ [17/02/13] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 17-02-2013 18:23:44
ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ ไม่อยากขัดใจ

"เดี๋ยวขากลับแวะซุปเปอร์กันก่อนดีไหม? เจมส์บอกว่าคืนนี้อาจจะแวะมาไม่ใช่เหรอ?"

"He might, he might not. Can never be sure with this guy."

เสียงสนทนาระหว่างชายหนุ่มสองคนดังสลับกับเสียงหายใจรัวเร็วและเสียงสายพานของลู่วิ่งไฟฟ้า รอบตัวมีชายหนุ่มและหญิงสาวหลายคนที่รักการดูแลสุขภาพกำลังออกกำลังกายกับอุปกรณ์ต่างๆ ในฟิตเนสขนาดใหญ่ สถานที่แห่งนี้จัดเป็นคลับออกกำลังกายชื่อดังที่มีสาขาทั่วกรุงเทพฯ ซึ่งความจริงแล้วณรงค์กับไรอันไม่ต้องมาถึงที่นี่ก็ได้เพราะที่คอนโดของทั้งคู่ก็มีฟิตเนสที่เปิดให้ใช้บริการฟรี แต่เนื่องจากบริษัทมีสวัสดิการสมัครสมาชิกที่ฟิตเนสแห่งนี้ให้พนักงานทุกคน บางครั้งทั้งสองจึงขับรถมาที่นี่เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง

ภายนอกฝาผนังกระจกบานใหญ่สามารถมองออกไปเห็นทิวทัศน์ของท้องถนนและสวนสาธารณะ แต่แม้กระจกจะติดฟิล์มสีเข้มเพียงใด ภาพท้องฟ้าที่โปร่งโล่งและเงาของอาคารที่ทอดลงบนพื้นก็บ่งบอกว่าแดดภายนอกคงแรงไม่ใช่เล่น

"คุณนี่อึดชะมัด"

ณรงค์ทักขณะเหลือบมองตัวเลขแสดงความเร็วและระยะทางบนลู่วิ่งของหนุ่มลูกครึ่ง ไรอันเคยเล่าให้ฟังว่าสมัยยังเรียนอยู่ที่ออสเตรเลียก็มักลงแข่งขันวิ่งมาราธอนเป็นประจำ แม้ว่าจะไม่เคยติดอันดับต้นๆ ทว่าก็พอจะอธิบายได้ถึงที่มาของเรือนร่างแข็งแรงสมส่วน ไหนยังจะกล้ามเนื้อที่ได้มาตั้งแต่สมัยที่เรียนมวยไทยตอนเด็กอีก

โดยเฉพาะสะโพกตึงแน่นที่โค้งงอนได้รูปนั่น...ยิ่งเวลาอยู่ใต้กางเกงผ้าร่มที่เปียกเหงื่อจนแนบลู่กับสัดส่วนก็ยิ่งดึงดูดสายตาคนที่ได้เห็นในระยะใกล้อย่างเขา ถึงแม้หนุ่มลูกครึ่งจะใส่กางเกงแนบเนื้อสีดำไว้ข้างใต้อีกชั้นก็ตาม

"คุณก็เหมือนกัน"

ไรอันเหลือบมองตัวเลขบนลู่วิ่งของณรงค์ก่อนจะเอ่ยกลับ ทว่าน้ำเสียงกับแววตาเหน็บแนมชัดเจนเพราะรู้ว่าสายตาของคนข้างกายกำลังจับจ้องส่วนไหนของตัวเองอยู่ นี่ยังไม่นับที่บ่อยครั้งเขามักโดนกวนใจตอนดึกดื่นจนกว่าจะได้นอนพักจริงๆ ก็ล่วงเข้าวันใหม่อีก

ณรงค์หัวเราะพลางยื่นมือไปกดปุ่มเพื่อลดความเร็วลง จากนั้นก็เปลี่ยนจากวิ่งเหยาะๆ มาเดินเพื่อให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายหลังจากออกกำลังมานาน ครู่หนึ่งเขาก็หันไปหาไรอันที่เริ่มปรับลดความเร็วลงแล้วเช่นกัน

"เอาเกเตอเรดหน่อยมั้ย? เดี๋ยวผมลงไปซื้อมาให้"

ความจริงแล้วทั้งคู่มีกระติกน้ำพลาสติกที่นำติดตัวมาด้วย แต่ณรงค์รู้ดีว่าหลังออกกำลังกายหนักๆ แล้วไรอันจะชอบดื่มเครื่องดื่มเกลือแร่ที่เย็นจัดๆ จึงหันไปเสนอตัว ไรอันจึงพยักหน้า

"Get the blue one. Thanks."

ณรงค์พยักหน้ารับก่อนจะเดินออกไปจากห้องออกกำลังกาย ไม่นานหลังจากนั้นไรอันก็เดินไปนั่งพักบนม้านั่งตัวหนึ่งริมห้องซึ่งติดกับกระจกบานใหญ่ ร่างสูงแข็งแรงยกผ้าขนหนูขึ้นซับเหงื่อซึ่งเกาะพราวเต็มหน้าผาก เรือนผมหยักศกสีน้ำตาลอ่อนเปียกชุ่มจนเจ้าของต้องสางมือขึ้นขยี้เพื่อระบายความร้อน จากนั้นก็ถอดเสื้อกล้ามที่ใส่อยู่ออกเพราะรำคาญเสื้อที่เปียกเหงื่อจนแนบติดตัวไปหมดแล้ววางไว้ข้างๆ

สายตาหลายคู่ชำเลืองมองมาทางหนุ่มลูกครึ่งที่นั่งอยู่มุมห้องหลายหน เนื่องจากไม่เพียงใบหน้าหล่อคมและคิ้วดกเข้มที่ดูโดดเด่น ยังมีผิวกายสีงาช้างซึ่งเผยกล้ามเนื้อได้สัดส่วนกำลังดีทั่วเรือนร่าง หยาดเหงื่อที่ยังเกาะบนเนื้อตัวและไหลลงบนลำคอและแผงอกยิ่งดึงดูดคนที่ได้เห็นให้ยากจะละสายตาอย่างร้ายกาจ ไรอันรับรู้ได้ถึงการเป็นเป้าสายตาของตน แต่ก็ไม่ได้อินังขังขอบเพราะชินกับการจุดสนใจมาตั้งแต่สมัยยังเด็กที่แม่พามาเที่ยวเมืองไทยและใครต่อใครชอบเข้ามาทักทาย เขาเพียงแต่นั่งทอดสายตาไปข้างนอกขณะรอณรงค์เพื่อจะได้ไปอาบน้ำพร้อมกันและกลับ 'บ้าน' เสียที

"ขอโทษนะฮะน้อง ไม่คุ้นหน้าเลย ไม่ค่อยได้มาที่นี่เหรอ?"

What the fuck...ไรอันสบถในใจขณะเงยหน้าขึ้นมองคนถาม ผู้มาทักมีใบหน้าที่ไม่อาจเรียกได้ว่าหล่อเหลาเพราะโครงหน้าเหลี่ยมกับจมูกที่ค่อนข้างแบน หนวดหรอมแหรมเล็กน้อยเหนือริมฝีปากทำให้ดูมีเอกลักษณ์เฉพาะที่ใครเห็นก็คงยากจะลืมได้ ทว่าคำพูดเชิงเกี้ยวพาเช่นนี้ก็ใช่ว่าเขาจะเพิ่งประสบพบเจอเป็นครั้งแรก

"Excuse me?"

ไรอันจงใจไม่ให้รู้ว่าเขาเข้าใจภาษาไทยด้วยการแกล้งขมวดคิ้วแล้วถามกลับเป็นภาษาอังกฤษ เพราะอย่างไรเสียเขาก็ได้เปรียบที่โครงหน้าค่อนไปทางตะวันตกมากกว่าอยู่แล้ว คำถามของเขาทำให้อีกฝ่ายทำหน้าเหลอไปนิดหนึ่งก่อนจะรีบยิ้ม

"Oh sorry! I asked if you come often. Do you want to be a model? Fashion show, you know?"

ระหว่างอธิบายเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงแปร่งหูไป เจ้าตัวก็ใช้ภาษามือประกอบเหมือนพยายามจะช่วยให้เขาเข้าใจง่ายขึ้น ไรอันจึงค่อยเข้าใจว่าชายแปลกหน้าผู้นี้คงเป็นแมวมองในบริษัทจัดหานายแบบ แต่พอเห็นลักษณะการเคลื่อนไหวมือและได้ยินพูดประโยคยาวๆ เขาก็สรุปได้เช่นกันว่าหมอนี่คงเป็นพวกชายใจสาวที่พบเห็นได้ทั่วไปในวงการ

"Nah, I'm not interested in modeling."

ไรอันตอบพลางเท้าคางลงบนแขนข้างหนึ่งที่ชันไว้บนเข่า ขณะเดียวกันนั้นณรงค์กลับจากไปซื้อเครื่องดื่มแล้วและกำลังเดินกลับเข้ามาในฟิตเนส ชายหนุ่มเลิกคิ้วเมื่อเห็นใครก็ไม่รู้กำลังยืนคุยกับไรอันซึ่งกำลังนั่งทำหน้าเบื่อหน่าย เนื่องจากชายแปลกหน้าคนนั้นยืนหันหลังให้จึงไม่เห็นเขา ณรงค์นึกสนุกจึงเดินเข้าไปในระยะที่พอจะได้ยินบทสนทนาพลางวางถุงเครื่องดื่มลงบนพื้น จากนั้นก็ยืนพิงผนังกอดอกเพื่อรอฟังว่าทั้งคู่กำลังคุยเรื่องอะไร

หนุ่มลูกครึ่งเห็นณรงค์ตั้งแต่เดินกลับเข้ามาในฟิตเนสแล้ว แต่พอเห็นอีกฝ่ายยืนทิ้งระยะเหมือนตั้งใจมาแอบฟังแถมยังส่งยิ้มขี้เล่นให้เขาอีก ใบหน้าหล่อเหลาก็ชักจะมุ่ยขึ้นมา

"Why???? But you are so handsome. If you be a model, you will very ป๊อปปูล่าร์นะ"

น้ำเสียงของคนพูดที่พยายามตื๊อด้วยภาษาอังกฤษแบบไม่ค่อยถูกไวยากรณ์เริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จนไรอันกลอกตา ฝ่ายณรงค์ที่จับความได้แล้วว่าทั้งคู่กำลังถกกันเรื่องอะไรก็ได้แต่กลั้นหัวเราะ ไรอันมองข้ามไหล่คนตรงหน้าไปยังร่างสูงที่กำลังยืนขำแล้วก็หรี่ตาลง

"That bastard..."

"หือ??"

แมวมองหนุ่มใหญ่ที่น่าจะอายุมากกว่าเขาพอสมควรเอามือทาบอกอย่างตกใจเมื่อได้ยินเสียงเหี้ยมเย็น ไรอันขมวดคิ้วมองท่าทางสาวแตกของอีกฝ่ายแล้วก็ยิ่งรำคาญมากขึ้น

"I didn't mean you. Anyway, I don't think my boyfriend would be happy if I become a model."

คราวนี้คิ้วที่กันจนบางของแมวมองหนุ่มใหญ่ยิ่งเลิกสูงจนแทบชนไรผม ไรอันตวัดเสื้อกล้ามที่ถอดออกขึ้นพาดบ่าก่อนจะเดินผ่านอีกฝ่ายซึ่งสูงกว่าไหล่เขานิดเดียวและตรงไปหาณรงค์ด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์

"Are you planning to just stand there and watch?"

ไรอันเอ่ยเสียงต่ำลอดไรฟัน รอยยิ้มบนมุมปากของณรงค์จึงยิ่งขยายกว้างขณะตอบด้วยเสียงเบาไม่ต่างกัน

"ถ้าคุณสนใจจะทำอาชีพเสริมผมก็ไม่ขัดนะ แฟนผมออกจะหล่อนี่นา"

ณรงค์อาจจะขี้หึง แต่ก็ใช่ว่าจะไม่รู้จักความพอดี อีกอย่างหลังจากคบกันมาได้พักใหญ่จนเขารู้แล้วว่าในใจไรอันไม่มีใครอื่น นับแต่นั้นเขากลับภูมิใจมากกว่าที่เวลาไปไหนด้วยกันแล้วได้เห็นว่าคนข้างกายดึงดูดสายตาคนรอบข้างเพียงไร เพราะตระหนักดีว่าทุกตารางนิ้วบนร่างกายของไรอันนั้นมีเพียงเขาคนเดียวที่มีสิทธิ์ได้ครอบครอง

"อ๋า คุณพี่เป็นแฟนน้องเขาเหรอคะ น้องเขาหล่อแถมหุ่นเป๊ะขนาดนี้น่าจะเป็นนายแบบนะ ลุคแบบลูกครึ่งคมๆ อย่างนี้น่ะรับรองว่าแบรนด์ไหนก็อยากแย่งกันเอาไปเป็นพรีเซนเตอร์ค่ะ คุณพี่ช่วยอธิบายกับแฟนหน่อยสิ"

พอเห็นณรงค์ซึ่งเป็นคนไทยเหมือนกัน คราวนี้แมวมองหนุ่มใหญ่จีบปากจีบคอพูดแบบไม่เก็บอาการทันที แม้จะเสียดายอยู่บ้างที่ได้รู้ว่าหนุ่มหล่อที่หมายตาไว้กลับมีแฟนหนุ่มเสียแล้ว แต่ก็ไม่ถอดใจที่จะดึงหนุ่มลูกครึ่งมาเข้าสังกัดให้ได้

ณรงค์ได้ยินคำชักชวนของอีกฝ่ายก็ได้แต่กลั้นหัวเราะสุดความสามารถ เพราะตอนนี้ใบหน้าของไรอันซึ่งจ้องเขาอยู่ดูจะกำลังหงุดหงิดมากขึ้นเรื่อยๆ โดยที่คนพูดซึ่งยืนห่างไปด้านหลังไม่รับรู้แม้แต่น้อย

ขืนไม่รีบตัดบทเสียก่อนล่ะแย่แน่

"อย่าดีกว่าครับ แฟนผมเป็นพวกไม่ชอบโดนบังคับ ถ้าเขาอยากเป็นนายแบบจริงๆ ก็คงไม่ปฏิเสธอย่างนี้หรอก"

ร่างสูงใหญ่ยกมือสองข้างขึ้นจับไหล่ของไรอันไว้ หนึ่งเพื่อป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายหันกลับไปอาละวาดคนที่มาตื๊อ สองเพื่ออวดความเป็นเอกสิทธิ์เพื่อตอกย้ำว่าคนนี้น่ะ 'ของเขา' จริงๆ

"เหรอ แหม...แต่น้องเขาหล่อจริงๆ นะ คุณพี่ล่ะเสียด๊ายเสียดาย หน้าตาแบบนี้ต้องขายดีแน่ๆ"

ไรอันไม่หันกลับไปมองคนพูดเพราะจับได้ถึงสายตาหวานเยิ้มที่จับจ้องแผ่นหลังเปลือยเปล่าของตัวเอง แต่หนุ่มลูกครึ่งก็ขบกรามกรอดจนณรงค์ชักเหงื่อตกแทนคนที่ไม่รู้ตัวว่าปากกำลังจะพาจน

"เอางี้แล้วกันครับ พี่ก็ให้นามบัตรผมไว้ ถ้าเกิดวันไหนเขาเปลี่ยนใจแล้วผมจะติดต่อไปหา"

หนุ่มลูกครึ่งตวัดสายตามองณรงค์อย่างฉุนๆ แต่คนตัวสูงกว่าได้แต่ขยิบตาให้ หลังจากรับนามบัตรมาเรียบร้อยแล้วทั้งสองก็เดินออกจากห้องออกกำลังกายเพื่อไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยกัน หลังจากออกมาขึ้นรถและขับออกสู่ถนนใหญ่ได้สักครู่ ไรอันก็หันไปแบมือตรงหน้าณรงค์ขณะรถติดไฟแดง

"เอามานี่"

"หือ?"

ณรงค์แกล้งทำเสียงสูงในคอเหมือนไม่เข้าใจ แต่ไรอันรู้ว่าเขารู้ จึงกดเสียงต่ำอย่างข่มขู่มากขึ้น "นามบัตรที่เพิ่งได้เมื่อกี้น่ะ เอามานี่"

"อ้อ..."

ชายหนุ่มยิ้มพลางล้วงมือลงหยิบนามบัตรในกระเป๋าเสื้อออกมาช้าๆ ราวกับต้องการจะยั่วโมโห ซึ่งก็ได้ผลเพราะไรอันรีบฉวยกระดาษสี่เหลี่ยมแผ่นเล็กๆ ใบนั้นไปฉีกจนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้วยัดคืนกระเป๋าเสื้อณรงค์ด้วยความหมั่นไส้

"รู้ทั้งรู้ว่าผมไม่ชอบเป็นนายแบบ ไปให้ความหวังเขาทำไม"

ไรอันเอ่ยอย่างมีน้ำโห แต่น้ำเสียงผ่อนคลายลงจากเมื่อครู่ก่อน อาจเพราะหลังจากฉีกกระดาษไปแล้วจึงได้ระบายอารมณ์ไปบ้างก็เป็นได้

"ก็ผมเห็นเขาอยากให้คุณเข้าสังกัดเสียขนาดนั้น อีกอย่างไม่แน่ว่าเราอาจช่วยแนะนำคนอื่นให้ก็ได้นี่นา วงการนี้เขาก็คงต้องการคนใหม่ๆ ไปสลับหน้ากับพวกเดิมๆ อยู่แล้วล่ะ"

หนุ่มลูกครึ่งเอามือเท้าคางแล้วมองไปนอกหน้าต่างเหมือนไม่อยากฟัง ณรงค์จึงได้แต่ยิ้มแล้วส่ายหน้า ชายหนุ่มหรี่เสียงเพลงในรถลง จากนั้นก็ใช้วิธีงอนง้อแบบสาวน้อยด้วยการยื่นนิ้วก้อยไปเกี่ยวกับนิ้วก้อยข้างที่วางอยู่บนตักของอีกฝ่าย

"หายโกรธเถอะนะ ผมไม่ยุคุณแล้วก็ได้ เดี๋ยวเราไปหาซื้อของที่ซุปเปอร์แล้วกลับบ้านกันดีกว่า เจมส์เพิ่งเมสเสจมาบอกผมว่าคืนนี้จะมากินข้าวด้วย"

ณรงค์ลอบถอนหายใจเมื่อคิดถึงหนุ่มลูกครึ่งอีกคนซึ่งมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องของไรอัน ดูเหมือนขานั้นก็จะชอบแวะเวียนมาสืบข่าวคราวความเป็นอยู่ของพวกเขาทั้งคู่เสียจริง แต่ณรงค์ก็ให้การต้อนรับอย่างดีเพราะรู้ว่าเจมส์ต้องคอยกลับไปรายงานทั้งพ่อและแม่ของไรอันและยังภรรยาที่เป็นเพื่อนสมัยเรียนของไรอันอีก

หนุ่มลูกครึ่งหันกลับมาจากหน้าต่างและปรายตามองนิ้วก้อยของทั้งคู่ที่เกาะเกี่ยวกัน จากนั้นก็เหลือบตาขึ้นสบกับแววตาของณรงค์ที่กำลังยิ้มให้ ถึงแม้จะไม่ค่อยอยากยอมรับ แต่พอโดนง้อด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนที่คุ้นหูมากเข้า ต่อให้หัวแข็งอย่างไรเขาก็ดื้อดึงได้ไม่ได้นาน

"เอาเศษกระดาษพวกนั้นมานี่ซิ"

คราวนี้ณรงค์เป็นฝ่ายแปลกใจเมื่อหนุ่มลูกครึ่งยื่นมือมาล้วงเศษนามบัตรจากกระเป๋าเสื้อของเขา แผ่นกระดาษแข็งสีดำพิมพ์อักษรสีเงินโดนฉีกจนแทบต่อให้เป็นสภาพเดิมไม่ได้ แต่ดูเหมือนว่าชิ้นส่วนที่ระบุหมายเลขโทรศัพท์จะยังพออ่านได้อยู่

"คุณจะทำอะไรเหรอ?"

ณรงค์ถามอย่างไม่เข้าใจเมื่อเห็นไรอันกดบันทึกหมายเลขโทรศัพท์เข้าเครื่อง หนุ่มลูกครึ่งจึงยิ้มก่อนจะกอบเศษนามบัตรเหล่านั้นคืนใส่กระเป๋าเสื้อให้เขาเช่นเดิม หากเป็นคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อน เมื่อได้เห็นรอยยิ้มของไรอันอาจจะเผลอตัวหลงใหลไปกับความพร่าพรายบนใบหน้าหล่อเหลาก็เป็นได้ ทว่าณรงค์คุ้นเคยกับอีกฝ่ายมากพอที่จะสังเกตเห็นประกายเจ้าเล่ห์ร้ายกาจหลังแววตาสีน้ำตาลอ่อนได้ดี

"That guy wants a model. I'll introduce him to someone I know."

ณรงค์ฟังแล้วก็เลิกคิ้ว "คุณหมายถึง? ...อ้อ เข้าใจละ"

ชายหนุ่มแทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่เมื่อรู้ว่าไรอันตั้งใจจะส่งใครไปแทน ก็น่าอยู่หรอกที่อีกฝ่ายจะหมั่นไส้เจมส์ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องแท้ๆ เพราะนอกจากจะชอบแวะมาเยี่ยมเยียนฝากท้องที่คอนโดของพวกเขาสองคนบ่อยๆ แล้ว ทุกครั้งที่มานั้นเจมส์ก็มักหาโอกาสยั่วโมโหไรอันอย่างเพลิดเพลินอยู่เสมอ ญาติผู้น้องคนนี้ก็เลยรอจังหวะที่จะแก้เผ็ดมานานแล้วกระมัง

ณรงค์มองไรอันที่กำลังเปิดมือถือหารูปของเจมส์ในเครื่องอย่างนึกสนุกเพื่อจะได้ส่งไปให้แมวมองคนนั้น โดยที่ดูจะไม่รู้สึกแม้แต่น้อยว่าตัวเองยังเกี่ยวนิ้วก้อยกับเขาอยู่โดยไม่คิดจะดึงออก ส่วนเขาเองก็ไม่คิดจะทักท้วงและเพียงแต่หันกลับไปมองถนนด้านหน้ายิ้มๆ เพื่อรอสัญญาณไฟเปลี่ยนสี ในหัวก็นึกไปด้วยว่าคืนนี้ควรจะทำเมนูอะไรที่คนข้างตัวชอบทานดี

พอมาคิดดูอีกที ณรงค์ก็สงสารเจมส์นิดหน่อยที่คราวนี้จะต้องเป็นฝ่ายโดนไรอันแกล้งบ้าง แต่เมื่อนึกว่าถ้าหากทำให้ฝ่ายนั้นเข็ดจนลดความถี่ในการมายุ่มย่ามกับพวกเขาลงก็คงดีเหมือนกัน และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น ถ้าหากไรอันทำอะไรแล้วมีความสุข เขาก็ไม่คิดอยากจะขัดใจเจ้าตัวทั้งนั้นแหละ...



++---End---++



A/N: ช่วงนี้เทรนด์ดูแลสุขภาพกำลังมาแรง ไหนๆ คู่นี้เขาก็ชอบดูแลตัวเองกัน เลยพาไปออกกำลังที่ฟิตเนสเสียเลย เป็นไอเดียที่ปุบปับก็ได้มาเพราะนึกภาพไรอันเวลาออกกำลังจนเหงื่อไหลไคลย้อยแล้วอดใจไม่เขียนถึงไม่ได้ (คนเขียนหื่นนิ =..=) ส่วนตัวชอบความตรงไปตรงมาของไรอันมาก เขียนทีไรเหมือนได้ปลดปล่อยทุกที คงช่วยให้แฟนๆ ของคู่นี้หายคิดถึงกันได้บ้างนะคะ ^^   
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ ไม่อยากขัดใจ [17/02/13] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: Dark_Noah ที่ 17-02-2013 18:59:00
รักนิยายเรื่องนี้ รักคนแต่งเรื่องนี้  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ ไม่อยากขัดใจ [17/02/13] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: punchnaja ที่ 17-02-2013 20:40:50
แมะ น่ารักจริงคุ่นี้ เอาอีกๆ อิอิ
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ ไม่อยากขัดใจ [17/02/13] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: Magis ที่ 17-02-2013 22:45:47
โดนแกล้งแบบนี้บ้าง เจมส์คงเข็ดไปอีกนานเลยอะ อิอิ
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ ไม่อยากขัดใจ [17/02/13] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: litlittledragon ที่ 18-02-2013 02:56:16
555 โดนเอาคืน เจมส์จะตั้งรับไหวเหรอเนี้ย
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ ไม่อยากขัดใจ [17/02/13] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 18-02-2013 10:04:06
จะสงสารเจมส์ดีไหมเนี่ย 55555  :m20:
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ ไม่อยากขัดใจ [17/02/13] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: NewYearzz ที่ 18-02-2013 11:22:39
น่ารักมากๆไม่เปลี่ยนครับคู่นี้ :กอด1:


ขอบคุณมากๆสำหรับตอนพิเศษครับ :pig4:
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ ไม่อยากขัดใจ [17/02/13] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 18-02-2013 19:13:44
ฮ่าๆ
ขอบคุณที่มาต่อตอนพิเศษให้นะคะ น่ารักมากเลย
อิอิ
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ ไม่อยากขัดใจ [17/02/13] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 18-02-2013 21:07:34
 :z1: แค่เผลอนึกถึงตอนไรอันถอดเสื้อก็ใจสั่นแล้ว 555 แอบหื่นตามคนเขียน
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ ไม่อยากขัดใจ [17/02/13] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: NumPing ที่ 18-02-2013 22:04:05
อ่านแล้วเขินอ่ะ

 :o8:
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ ไม่อยากขัดใจ [17/02/13] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 18-02-2013 22:51:08
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ ไม่อยากขัดใจ [17/02/13] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: Syntyche ที่ 18-02-2013 23:33:34
เรื่องน่ารักมากเลย ^^
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ ไม่อยากขัดใจ [17/02/13] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D lufy ที่ 19-02-2013 08:38:59
  เจมส์ท่าจะแย่แล้วล่ะ  555  ไรอันน่ารักไม่เปลี่ยนเลยนะ  ตรงไปตรงมาตลอด  อิอิ
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ ไม่อยากขัดใจ [17/02/13] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 19-02-2013 12:22:25
น่ารักอะ เจมส์สงสัยจะไม่แวะมาบ้านนี้อีกนานแนน่ แบบนี้ ฮร่าๆๆ
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ ไม่อยากขัดใจ [17/02/13] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: samsung009 ที่ 21-02-2013 03:08:25
 o13 :L2: o13
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ ไม่อยากขัดใจ [17/02/13] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: josephine ที่ 23-02-2013 04:25:46
ขอบคุณสำหรับเรื่องสนุก ๆ  อ่านแล้วอินมาก ๆ
เลยค่ะ อารมณ์แบบว่าเหมือนเล่าจากเรื่องจริง
เลย  ชอบมาก ๆ  รักคนเขียนจ้า
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ ไม่อยากขัดใจ [17/02/13] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: both^^ ที่ 24-02-2013 07:19:43
นีึกว่าคนแต่งแต่งจบละ มาตามอ่านเอาหลายตอนเลย
หลงรักดรามาคุณรินมากกกกกกกก บีบหัวใจจะเป็นลม
งานนี้โทษใครไม่ได้จริง คนมีปมกับคนที่พลั้งพลาด
แต่แอบสงสารณรงค์เล็กๆ ทำความดีแค่ไหนพอเค้าคิดจะสร้างกำแพงเค้าสร้างคิดมา
รุ้สึกว่ามันเหนื่อยจริงๆ
สงสารน้องตี้...แต่คิดว่าตี้รุ้มาตลอดนะว่าณรงค์ยังรักและคิดถึงไรอันอยุ่มาก
ชอบในความพยายามของพระเอก ตัดสินใจเด็ดขาดละลุยเลย
ตอนง้อกันนี่เอาใจช่วยมากอะ 555
มาตอนหลังนี่หวานไม่สนใจใครเลย ผลตอบแทนคุ้มค่าจริงๆเนอะ


ขอบคุณคนแต่งนะค้าาาาา
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ ไม่อยากขัดใจ [17/02/13] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: $VAN$ ที่ 06-03-2013 12:36:43
จบในตอนเป็นระยะๆแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน
ไม่ค้าง แต่ก็ต่อเนื่องกันดี
ณรงค์มีบุคลิกเป็นผู้ใหญ่พึ่งพาได้ ใจเย็น แล้วก็อ่อนโยน
สมกับไรอันที่ค่อนข้างใจร้อนขี้หงุดหงิด แต่เวลายั่วก็เซ็กซี่มาก
เรื่องราวก็น่ารัก อ่านแล้วสุขใจค่ะ

บวกๆ^^
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ ไม่อยากขัดใจ [17/02/13] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: envylover ที่ 28-04-2013 16:42:29
คู่นี้หวานกันสุดๆเลย ชอบบบ >< อ่านแล้วฟิน ถึงจะเศร้าเรื่องน้องตี้ จะรอให้น้องตี้มีความสุขน้า
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ ไม่อยากขัดใจ [17/02/13] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: reborn ที่ 29-04-2013 23:54:57
หวานไม่แคร์สื่อเลยอ่ะน่ารัก
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ ไม่อยากขัดใจ [17/02/13] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: NIMME ที่ 06-05-2013 00:14:57
สนุกมาก เป็นเรื่องสั้นที่อ่านแล้วรู้สีกคุ้ม เพราะตอนหนึ่งนี่ยาวได้ใจเลย ฮี่ๆ
แอบหน่วงๆในใจตอนที่มีตี้เข้ามา สงสารตี้ แต่ก็ดีใจที่ได้กลับมาคบกันอีกครั้ง
หวานมากๆๆๆๆๆ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ ไม่อยากขัดใจ [17/02/13] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: mm03 ที่ 12-05-2013 20:41:31
น่ารักทั้งคู่เลยค่ะ :o8:
ชอบตรงที่ไรอันเปิดใจให้ณรงค์มากขึ้น มากขึ้น
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ ไม่อยากขัดใจ [17/02/13] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: iammz ที่ 13-05-2013 14:21:50
เคะราชินีจริง ๆ 555+ สำหรับไรอัน

ขอบคุณมากนะคะ สนุกมาก ๆ เลยค่ะ
ณรงค์ก็รักไรอันสุดหัวใจจริง ๆ ~^^
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ ไม่อยากขัดใจ [17/02/13] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: na-au ที่ 13-05-2013 20:12:53
miss you คู่นี้มาก ๆ เลย

 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ ไม่อยากขัดใจ [17/02/13] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 13-05-2013 20:26:57
ตามมาอ่านเพราะเห็นจำนวนหน้าที่น้อยและเรื่องจบแล้วค่ะ ^^
สนุกมาก ชอบที่ทั้งสองมีบุคลิกที่เป็นจริงได้
มีรักมีเลิกแล้วก็คืนดีกัน มีทะเลาะกันบ้าง สมจริงดีค่ะ
แต่สงสารน้องตี้ ถ้ามีตอนที่ตี้โชคดีมีคนรักจริงก็อย่าลืมส่งข่าวนะคะ
ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆภาษาสวยๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ ไม่อยากขัดใจ [17/02/13] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 13-05-2013 21:03:22
นานน้านจะแวะเข้ามาในเล้าที วันนี้เอะใจว่ามีคนแวะมาคอมเม้นต์นิยายให้เลยเข้ามาดู แล้วก็โป๊ะเชะจริงๆ ด้วย ^^ ขอบคุณมากสำหรับทุกคอมเม้นต์ทั้งที่เคยติดตามกันมาตั้งแต่แรกและเพิ่งมาอ่านด้วยนะคะ ดีใจมากๆ ที่ทำให้มีความสุขจากเรื่องนี้ได้ค่ะ
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ ไม่อยากขัดใจ [17/02/13] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: Pam_ban ที่ 23-07-2013 18:07:49
คู่นี้น่ารักเร้าใจดี ชอบอ่ะ  :katai3:
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ หวานรักวันที่ 12 สิงหา [12/08/13] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 12-08-2013 22:01:01
วันแม่ทั้งที ไม่มีตอนพิเศษมากำนัลนักอ่านได้ไงเนาะ ว่าแล้วก็พาณรงค์กับไรอันมาเซย์เฮลโหลซะหน่อยดีกว่า ^^

++------++

ตอนพิเศษ หวานรักวันที่ 12 สิงหา

ากาศเย็นสบายจากเครื่องปรับอากาศทำให้ณรงค์ไม่อยากลุกจากเตียงแม้จะรู้ว่าสายแล้ว สมองอันงัวเงียของเขาจำได้รางเลือนว่าวันนี้เป็นวันหยุดราชการ จึงคิดว่าจะกอดคนร่วมเตียงแล้วหลับต่ออีกสักพัก แต่พอตะแคงกลับไปอีกด้านเพื่อรวบตัวใครบางคนมากอด เขากลับพบแต่เตียงโล่งๆ พร้อมกับเสียงคุ้นหูที่ดังแว่วๆ มาจากทางห้องนั่งเล่น

"ยังไม่มีแพลนจะทำอะไรวันนี้เลยครับแม่...ก็คงอย่างนั้น...ครับ ก็ดีเหมือนกัน...งั้นผมไม่กวนแล้ว สุขสันต์วันแม่ครับ แล้วคุยกันใหม่"

น้ำเสียงทุ้มนุ่มหูเป็นท่วงทำนองที่ใครได้ยินก็ต้องสัมผัสได้ถึงความรักและเทิดทูนของคนพูดที่มีให้คู่สนทนาเต็มเปี่ยม น่าเสียดายที่เจ้าตัวจะใช้น้ำเสียงอ่อนโยนเช่นนี้กับมารดาเพียงคนเดียว

ก็ดูขนาดเขาที่คบกันมาปีกว่าแล้วนี่สิ ยังไม่เคยได้ยินไรอันคุยด้วยเสียงอ่อนเสียงหวานแบบนี้ด้วยสักครั้ง

ไม่นานหลังเสียงคุยโทรศัพท์เงียบไป เสียงเปิดประตูห้องก็ดังขึ้นพร้อมกับที่หนุ่มลูกครึ่งร่างสูงเดินเข้ามาในห้อง ไรอันขมวดคิ้วมองณรงค์ที่ปรือตาขึ้นมองเขาก่อนจะหลับตาลงอีกครั้งพลางดึงผ้าห่มไปกอด

"Are you planning to sleep all day?"

"เปล่า...แต่วันนี้วันหยุดนี่นา ผมก็อยากพักผ่อนสบายๆ บ้างสิ"

ไรอันไม่ต่อบทสนทนาด้วย เพียงแต่เดินไปเปิดม่านหน้าต่างแล้วมองออกไปยังภายนอกที่แสงแดดจัดจ้า ณรงค์หรี่ตาขึ้นอีกครั้งพลางยื่นมือหนึ่งออกไปหา

"รัก...มานี่หน่อย"

เจ้าของชื่อหันกลับมาพร้อมกับปิดม่านลง จากนั้นก็หย่อนตัวลงนั่งบนขอบเตียงแล้วกอดอกมองท่าทางเกียจคร้านของณรงค์ด้วยแววตาเรียบนิ่ง

"Well?"

"เมื่อกี้คุณโทรหาแม่เหรอ?"

"ใช่ ก็วันนี้วันแม่นี่ ผมก็ทำแบบนี้ทุกปี แล้วคุณไม่โทรหาน้าหนิงรึไง?"

ไรอันรู้ดีว่าแม่แท้ๆ ของณรงค์เสียตั้งแต่เจ้าตัวยังเด็ก ดังนั้นผู้ที่คอยเลี้ยงดูมานอกจากพ่อก็คือน้าหนิงซึ่งเป็นแม่เลี้ยง และแม่ของน้องๆ ฝาแฝด

"ไว้บ่ายๆ เย็นๆ ค่อยโทรหาก็ได้ เห็นว่าพ่อพาน้าหนิงกับไอ้ลูกลิงสองตัวไปเยี่ยมยาย ตอนนี้ถึงผมโทรไปก็คงคุยไม่ค่อยสะดวกหรอก"

น้ำเสียงของณรงค์ไม่ได้แสดงอาการน้อยอกน้อยใจ เขารู้ว่าน้าหนิงและแม่ของน้าหนิงก็มองเขาเหมือนลูกหลาน เพียงแต่ญาติคนอื่นๆ ของบ้านนั้นไม่ได้สนิทสนมกับเขานัก และด้วยอายุสามสิบเข้าไปแล้วเช่นนี้ เขาก็ไม่ได้อยากเรียกร้องหาที่ยืนในครอบครัวใหม่สักเท่าไหร่ ซึ่งพ่อเขาก็เข้าใจจึงไม่ได้ออกปากชวนให้ไปหา

ไรอันไม่ได้ถามต่อ นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนหลุบลงอย่างแสดงความเข้าใจ ณรงค์จึงถือโอกาสจับมือของอีกฝ่ายมาคลึงเล่น

"ว่าแต่...น่าอิจฉาแม่คุณจังเลยนะ เวลาคุณเดินทางไปไหนก็โทรรายงานตัวกับแม่ก่อนค่อยโทรหาผมทุกที แถมเวลาคุยกับแม่ยังเสียงหวานกว่าคุยกับผมตั้งหลายเท่า"

หนุ่มลูกครึ่งเหลือบตาขึ้นมองณรงค์ที่กำลังดึงมือของตนไปจูบไล่ทีละนิ้ว ในใจเขานึกขัน แต่กลับแกล้งมุ่นคิ้วแล้วย้อนถามเสียงขรึม

"I didn't know you wanted to be my mother."

เอ่อ...เขาว่าเขาไม่ได้พูดว่าอยากเป็นแม่ของไรอันนะ แล้วทำไมโดนตีความไปแบบนั้นล่ะนี่

ณรงค์มองหน้าหนุ่มลูกครึ่งอย่างงุนงง สมองที่ยังไม่แจ่มใสทำให้เขาคิดอะไรได้ช้า ไรอันมองสีหน้าของคนที่ยังนอนมองเขาแล้วก็แสร้งถอนหายใจพลางดึงมือออก

"Forget it. ถึงคุณเป็นแม่ผมจริงก็เอาผมไม่อยู่หรอก"

ประกายหยอกเย้าในแววตาของไรอันทำให้สมองของณรงค์ปลอดโปร่งขึ้น อยู่กินกันร่วมชายคามาก็หลายเดือน ทำไมเขาจะอ่านภาษากายของคนรักไม่ออก

"แต่ผมว่าผมเอาคุณทางอื่นได้นะ"

ณรงค์เอ่ยยิ้มๆ พลางดึงแขนไรอันให้ล้มตัวลงหา จากนั้นก็พลิกกายขึ้นคร่อมทับแล้วตะโบมริมฝีปากลงบนซอกคอซึ่งเป็นจุดอ่อนของอีกฝ่าย แผ่นอกของคนเบื้องล่างกระเพื่อมไหวจากการหัวเราะก่อนที่ณรงค์จะได้ยินเสียงพร่าข้างหู

"You pervert."


++---End---++
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ หวานรักวันที่ 12 สิงหา [12/08/13] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: Dark_Noah ที่ 12-08-2013 23:33:56
รักคู่นี้จังเลย ฟินทุกทีสิน่า  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ หวานรักวันที่ 12 สิงหา [12/08/13] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: NewYearzz ที่ 13-08-2013 00:11:45
น่ารักจัง ...แต่อ่านเรื่องนี้ทีไรนึกถึงตัวละครที่เป็นเงามืดทุกที  :o11:


ขอบคุณมากสำหรับตอนพืเศษที่น่ารักๆนี้ครับ  :L2:
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ หวานรักวันที่ 12 สิงหา [12/08/13] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: badcow ที่ 13-08-2013 11:13:37
อึ้ง นิ่งงันไปชั่วขณะ
You pervert… แล้วตัดจบ ยะ ยะ อยากอ่านต่อ
5555
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ หวานรักวันที่ 12 สิงหา [12/08/13] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: Pam_ban ที่ 13-08-2013 17:17:32
 :mew2: มาสั้นอ่ะ แต่หวานได้ใจอภัยให้ได้  :hao5:  ไว้มาทุกวันพิเศษอีกนะคะ  :katai3:
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ หวานรักวันที่ 12 สิงหา [12/08/13] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 13-08-2013 21:41:05
มาสั้นๆ แต่น่ารักอ้ะ
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ หวานรักวันที่ 12 สิงหา [12/08/13] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: monoo ที่ 13-08-2013 21:44:12
 :-[
 :L2:
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ หวานรักวันที่ 12 สิงหา [12/08/13] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: up2goo ที่ 14-08-2013 08:31:35
 :o8:

มาแค่นี้  แต่พาเขินอ่ะ
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ หวานรักวันที่ 12 สิงหา [12/08/13] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 14-08-2013 13:58:37
แอร๊ยยยยย ณรงค์ อ่ะ บ้าาาาาาาาาาาาา  :o8:
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ หวานรักวันที่ 12 สิงหา [12/08/13] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: tender ที่ 15-08-2013 02:28:53
น่ารักกกกกกกกกกกก~ :oo1:
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ หวานรักวันที่ 12 สิงหา [12/08/13] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: josephine ที่ 15-08-2013 08:25:18
"I didn't know you wanted to be my mother."  แสบจริง ๆ เล้ย คุณฝรั่ง  อ้อน ๆ หน่อยซิ
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ หวานรักวันที่ 12 สิงหา [12/08/13] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 15-08-2013 19:05:46
อ่านนิยายไปด้วยเรียนภาษาอังกฤษไปด้วยได้ประโยชน์หลายสถาน
หนุ่มลูกครึ่งช่างเหวี่ยงวีนได้โล่จริง ๆ พี่ณรงค์ก็แสนดี
สงสารก็แต่น้องตี้ป่านนี้มีใครปลอบใจหรือยัง
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ หวานรักวันที่ 12 สิงหา [12/08/13] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: TiwAmp_90 ที่ 16-08-2013 00:13:42
 :hao7:
ชอบคู่นี้มากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ก ค่า!
น่ารักดีอ่ะ...งอน ง้อ กันตลอด
ยิ่งหลังๆที่ณรงค์จับทางไรอันได้มากขึ้นก็ยิ่งน่ารักไปกันใหญ่
ชอบตอนไรอันเขิน กับตอนรงค์ยิ้ม
มันดูอบอุ่นจนน่าอิจฉาอ่ะ!  ^^'
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ หวานรักวันที่ 12 สิงหา [12/08/13] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: aisen ที่ 16-08-2013 20:24:00
ขอบคุณสำหรับตอนพิเศษน่ารักๆ ของคู่นี้
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ หวานรักวันที่ 12 สิงหา [12/08/13] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 17-08-2013 16:32:31
 อุ้ย มีตอนพิเศษวันแม่ ทำไมยังไม่ได้อ่าน
กดเข้ามา ออ อ่านและเมนท์ในเฟสแล้ว ^^
ไหนๆเข้ามาแล้ว อ่านอีกรอบเลยค่ะ เอิ้กๆ
 :katai5:
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ หวานรักวันที่ 12 สิงหา [12/08/13] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: skynotebook ที่ 17-08-2013 21:35:58
อ้าย!!!!! คิดถึง2คนนี้มากมาย
คนนึงก็ชอบกวน อีกคนก็ชอบงอนแต่เจ้าเล่ใส่ น่ารักซะไม่มีอะ
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ หวานรักวันที่ 12 สิงหา [12/08/13] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: GGG24 ที่ 17-08-2013 22:03:30
น่ารักมากๆๆ เลย o13
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ หวานรักวันที่ 12 สิงหา [12/08/13] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 18-08-2013 08:27:13
สนุกมากค่ะ แล้วมาต่อตอนพิเศษอีกนะคะ
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ หวานรักวันที่ 12 สิงหา [12/08/13] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: palm-metto ที่ 24-08-2013 22:46:57
ว๊าวววว
มาสั้นๆแต่ได้ใจความ...
หวานหยดเลยนะ
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก แจ้งภาคต่อ เรื่องของน้องตี้ [31/08/56] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 31-08-2013 12:42:20
**ประกาศเปิดเรื่องใหม่ค่า**

ใครที่อ่านเรื่องนี้แล้วบอกคิดถึงน้องตี้ สงสารน้องตี้ อยากรู้ว่าชีวิตน้องตี้จะเป็นอย่างไรต่อไป ได้มีความสุขและพบคู่ของตัวเองบ้างไหม ตอนนี้เราเปิดเรื่องใหม่ที่น้องตี้เป็นตัวเอกแล้วนะคะ ติดตามอ่านได้ที่นี่เลย>>  http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39059.0

ตอนนี้เพิ่งลงแค่แนะนำตัวละครและบทนำ แต่จะพยายามมาลงตอนใหม่ให้อย่างสม่ำเสมอค่ะ ฝากติดตามให้กำลังใจน้องตี้กันด้วยนะคะ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก แจ้งภาคต่อ เรื่องของน้องตี้ [31/08/56] P.11
เริ่มหัวข้อโดย: NewYearzz ที่ 31-08-2013 13:30:46
ตามไปๆ  :heaven
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก แจ้งภาคต่อ เรื่องของน้องตี้ [31/08/56] P.11
เริ่มหัวข้อโดย: Horizon ที่ 31-08-2013 20:15:38
ตามจ้าาา
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก แจ้งภาคต่อ เรื่องของน้องตี้ [31/08/56] P.11
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 31-08-2013 20:47:17
ขอบคุณค่า ^^
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก แจ้งภาคต่อ เรื่องของน้องตี้ [31/08/56] P.11
เริ่มหัวข้อโดย: Thep503 ที่ 03-09-2013 15:44:48
สนุกดีครับ อ่านเพลินมากๆๆ ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก แจ้งภาคต่อ เรื่องของน้องตี้ [31/08/56] P.11
เริ่มหัวข้อโดย: SmileCafe ที่ 03-09-2013 20:34:23
กรี๊ดดด เริดมากกกกก  :hao7:
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก แจ้งภาคต่อ เรื่องของน้องตี้ [31/08/56] P.11
เริ่มหัวข้อโดย: schneesturm_fubuki ที่ 26-09-2013 10:20:05
ตามอ่านย้อนมาจาก เล่ห์ลวงใจค่ะ เรื่องนี้ก็สนุกอีกแล้ว ถึงตอนแรกๆจะไม่ค่อยไรอันก็เถอะ
นางเล่นตัว ขี้โมโห เอาแต่ใจมากจนแอบเชียร์ให้ณรงค์สวมวิณญาณพิศาลจับกดไปซะหลายรอบ
แต่พออ่านมาเรื่อยๆก็เริ่มเข้าใจมากขึ้นว่านางมีปม นิยายของคุณผู้แต่งสนุกค่ะ
แต่ที่เราชอบมากๆคือการใช้ภาษาของคุณนี่แหละค่ะ ไหลลื่นดีจริงๆ o13
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก แจ้งภาคต่อ เรื่องของน้องตี้ [31/08/56] P.11
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 26-09-2013 21:13:29
ตามอ่านย้อนมาจาก เล่ห์ลวงใจค่ะ เรื่องนี้ก็สนุกอีกแล้ว ถึงตอนแรกๆจะไม่ค่อยไรอันก็เถอะ
นางเล่นตัว ขี้โมโห เอาแต่ใจมากจนแอบเชียร์ให้ณรงค์สวมวิณญาณพิศาลจับกดไปซะหลายรอบ
แต่พออ่านมาเรื่อยๆก็เริ่มเข้าใจมากขึ้นว่านางมีปม นิยายของคุณผู้แต่งสนุกค่ะ
แต่ที่เราชอบมากๆคือการใช้ภาษาของคุณนี่แหละค่ะ ไหลลื่นดีจริงๆ o13

ขอบคุณและดีใจมากค่ะที่ติดตามมาอ่านเรื่องนี้ด้วย ความจริงตอนเริ่มเขียนณรงค์กับไรอันนี่ไม่มีแพลนเกี่ยวกับน้องตี้เลยค่ะ ฟีลเหมือนเขียนไปเรื่อยๆ แบบไม่วางพล็อตล่วงหน้า พอตอนหลังน้องตี้โผล่เข้ามาแล้วอกหักจนนักอ่านหลายคนท้วงว่าอยากให้น้องตี้มีความสุขบ้าง ถึงค่อยได้ไอเดียให้ตากฤตภาสออกมานี่ละ จริงๆ อยากให้ทุกคนที่อ่านเล่ห์ลวงใจได้มาอ่านเรื่องนี้ก่อนเพราะจะได้รู้ว่าทำไมตี้ถึงฝังใจกับพี่รงค์มาก แต่ก็พยายามถ่ายทอดผ่านเรื่องนั้นให้คนอ่านเข้าใจแม้จะไม่เคยผ่านตาเรื่องนี้ค่ะ

ปล. ไรอันนี่เป็นตัวละครแรกในบรรดานิยายของเราที่ตัวเอกมีนิสัยเหวี่ยง วีนและเอาแต่ใจเลยค่ะ สงสัยพอเริ่มติดใจเลยไปพีคเอากับตากฤตในเล่ห์ลวงใจนี่ละ XD
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก แจ้งภาคต่อ เรื่องของน้องตี้ [31/08/56] P.11
เริ่มหัวข้อโดย: iamoumm ที่ 15-10-2013 15:16:02
อ่านจบแล้วชอบมากๆเลยคะ
คนเขียนเขียนเรื่องออกมาได้ดีมากๆเลย
ทั้งเนื้อหาและภาษาที่ใช้เขียน ชอบสุดๆ
ขอบคุณที่แต่งเรื่องดีๆมาให้ได้อ่านนะคะ และก็จะติดตามผลงานต่อๆไป
อย่าลืมเขียนผลงานดีๆออกมาให้ได้อ่านกันอีกนะคะ :L2:
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก แจ้งภาคต่อ เรื่องของน้องตี้ [31/08/56] P.11
เริ่มหัวข้อโดย: Kaewkaew ที่ 28-10-2013 20:54:40
ถึง one step closer
เข้ามาลงความเห็นไว้ +มาร์คตอนที่อ่านไว้ด้วย
น่ารักสุดๆ เลย
ไรอันนี่แอบเป็นหนุ่มซึนรึค่อยๆเปิดรับกันนะ
รงค์นี่ไม่รุกเลย เห็นแววเกียมัวมาแต่ไกลลล ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก แจ้งภาคต่อ เรื่องของน้องตี้ [31/08/56] P.11
เริ่มหัวข้อโดย: skynotebook ที่ 28-10-2013 22:31:53
เข้ามาเดินเล่นแล้วก็มาเจอเรื่องน้องตี้ ตามไปอ่านด้วยคนค่ะ
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก แจ้งภาคต่อ เรื่องของน้องตี้ [31/08/56] P.11
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 16-11-2013 20:29:55
อืมมม ในบรรดาสี่คนนี้ เราคงชอบตี้มากที่สุดล่ะมั้ง แต่ชอบเพราะน้องน่าสงสารนะ โดยส่วนตัว ไม่ชอบคนอ่อนแอ หรือ คนเห็นแก่ตัว ซึ่งตัวเอกสี่คน สองเรื่อง ดันเข้าข่ายหมดเลย เหอะๆ
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก แจ้งภาคต่อ เรื่องของน้องตี้ [31/08/56] P.11
เริ่มหัวข้อโดย: wargroup ที่ 07-01-2014 07:16:27
เห็นคุณกฤตภาสอยากรู้จักพี่ณรงค์ เลยอยากรู้จักบ้าง จนต้องมาตามหา 555
จากที่ไปโผล่ในเล่ห์ลวงใจ พี่ณรงค์กับไรอันดูเป็นตัวร้ายเอาแต่ใจ
แต่พอมาอ่านเรื่องราวทั้งหมด กลับถูกใจคู่นี้จนได้ สนุกมากค่ะ เขียนดีเช่นเคย
ยิ่งตอนที่มีตี้ธีระโผล่เข้าซีนมายิ่งมันส์ เพราะเรื่องราวจะเข้มข้นเป็นเท่าตัว สุดยอดตัวชง ส่งพล็อตมากๆ
เรื่องนี้ชอบที่ทั้งสองคนต้องค้นหาและเรียนรู้อีกฝ่าย งานยากทั้งคู่...ในช่วงแรก แต่หลังๆหวานและเฮฮาขึ้น สนุกดี
ส่วนเรื่องเล่ห์ลวงใจ ชอบโครงเรื่องที่สุด ชอบที่ต้องปกปิดความสัมพันธ์ ต้องล่อลวง และต้องเก็บงำความรู้สึก

 
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก แจ้งภาคต่อ เรื่องของน้องตี้ [31/08/56] P.11
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 15-01-2014 11:31:19
คือแบบ ไรอันโหดแบบมุ้งมิ้งมากอ่ะ >< งี้พี่รงค์หลงแย่เลยดิ  :hao6:
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก แจ้งภาคต่อ เรื่องของน้องตี้ [31/08/56] P.11
เริ่มหัวข้อโดย: badcow ที่ 15-01-2014 16:32:40
ไม่มี รงค์ ไรอัน สเปเชี่ยลอีกเหรอครับ
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก แจ้งภาคต่อ เรื่องของน้องตี้ [31/08/56] P.11
เริ่มหัวข้อโดย: paladin.kn ที่ 18-01-2014 21:05:40
น่ารักมว๊ากกก ไรอันดูซึนๆอ่ะ น่ารัก

 :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก แจ้งภาคต่อ เรื่องของน้องตี้ [31/08/56] P.11
เริ่มหัวข้อโดย: mammam ที่ 30-01-2014 22:03:40
สนุกมากเลยคะ เป้นแบบจบในตอนที่น่าติดตามมาก

เราชอบไรอันน่ะถึงจะแนวน่าหมั่น1ส้ก็เถอะ แต่รงค์เองก็ใจเด็ดมากที่ทิ้งคนที่รักตัวเองมากอย่างตี้กลับมารุกไรอันอคกรอ

หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก แจ้งภาคต่อ เรื่องของน้องตี้ [31/08/56] P.11
เริ่มหัวข้อโดย: nutty ที่ 19-02-2014 20:56:28
อ่านน้องตี้ก่อนอ่านเรื่องนี้ เรื่องนั้นน้องดูไม่เด็ก&ง้องแง้งขนาดนี้
แต่ชอบไรอันนะ เย็นชานิดๆ มีมาดดี สมกับพระเอกรักเดียว 555
เรื่องนี้จากพี่รงค์รักน้องรักม้าาาาากข้างเดียว
ดีใจที่ตอนจบ&ตอนพิเศษ มีโมเม้นหวานๆจากไรอันบ้าง
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก แจ้งภาคต่อ เรื่องของน้องตี้ [31/08/56] P.11
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 03-03-2014 15:35:40
ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก แจ้งภาคต่อ เรื่องของน้องตี้ [31/08/56] P.11
เริ่มหัวข้อโดย: Tinkerbell ที่ 23-03-2014 02:38:13
บอกตรงๆ เรื่องนี้ เกลียดรงค์เข้าไส้ ล้อเล่นกับความรู้สึกคนอื่น เห็นคนอื่นเป็นของคั่นเวลาไม่ชอบจริงๆ

(คือเป็นสาวกตี้อ่ะ T^T ขอไปติดตามน้องตี้และกัน อย่าจะฉุดรงค์มาตบๆๆๆๆๆ) :z6: :z6:
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก แจ้งภาคต่อ เรื่องของน้องตี้ [31/08/56] P.11
เริ่มหัวข้อโดย: Infinity 888 ที่ 10-06-2014 22:13:51
เพิ่งมีโอกาสได้อ่านค่ะ

สนุกมากๆ ชอบไรอันจริงๆ นายเอกแนวนี้แหล่ะที่ตามหา

หล่อ  แมน เพิ่งตัวเองได้ ทำไมต้องยอมใคร ในเมื่อเราก็มีดี ให้ความรู้สึกเท่าเทียมกันดีจัง

ดูเป็นคู่รัก ที่พร้อมก้าวไปด้วยกันได้

ส่วนรงค์ ทำตัวเองทั้งนั้น แอบสมน้ำหน้าจริงๆ ตอนที่เมาแล้วจัดตี้ไปแบบไม่รู้ตัว

วันรุ่งขึ้นโดนบอกเลิกเลย โครตสะใจ :laugh: แต่ก็ดีที่คิดได้ทัน เพราะคนไม่รักจะฝืนให้รัก มันไม่มีความสุขจริงๆ

ผิดกับคนที่เรารัก แค่เค้าหันมายิ้มให้ เราอิ่มเอิบใจมากๆแล้ว
 :pig4: นักเขียน

หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก แจ้งภาคต่อ เรื่องของน้องตี้ [31/08/56] P.11
เริ่มหัวข้อโดย: automaton ที่ 16-09-2014 21:39:03
เพิ่งได้อ่านเรื่องนี้ชอบมาก รู้สึกสองคนนี่ต่างกันมาก
แต่ก็สามารถไปด้วยกันได้ อีกคนแข็งอีกคนก็อ่อน
อีกคนรู้ว่าเขาไม่ชอบก็ไม่ทำ ทั้งสองเรียนรู้ว่าจะถนอมความรักนี้ต่อไปเรื่องได้อย่างไร
อ่านแล้วเห็นภาพการพัฒนาความสัมพันธ์ได้ชัดเจน
คนแต่งก็เก็บรายละเอียดของเรื่องราวได้ดีด้วย
แถมเนื้อหายังได้เห็นการใช้ภาษาอังกฤษในการพูดคุยในชีวิตจริง ๆ อีกด้วย ชอบจัง
ต้องมองหาแล้วว่ายังมีหนังสือให้ซื้อเหลืออยู่มั๊ย
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก แจ้งภาคต่อ เรื่องของน้องตี้ [31/08/56] P.11
เริ่มหัวข้อโดย: Y2Y ที่ 21-09-2014 14:14:03
**ประกาศเปิดเรื่องใหม่ค่า**

ใครที่อ่านเรื่องนี้แล้วบอกคิดถึงน้องตี้ สงสารน้องตี้ อยากรู้ว่าชีวิตน้องตี้จะเป็นอย่างไรต่อไป ได้มีความสุขและพบคู่ของตัวเองบ้างไหม ตอนนี้เราเปิดเรื่องใหม่ที่น้องตี้เป็นตัวเอกแล้วนะคะ ติดตามอ่านได้ที่นี่เลย>>  http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39059.0

ตอนนี้เพิ่งลงแค่แนะนำตัวละครและบทนำ แต่จะพยายามมาลงตอนใหม่ให้อย่างสม่ำเสมอค่ะ ฝากติดตามให้กำลังใจน้องตี้กันด้วยนะคะ  :katai2-1:



ใครๆเขาอ่านเรื่องนี้แล้วตามไปอ่านเรื่องของน้องตี้ 

แต่ว่าเราอ่านน้องตี้ก่อนแล้วค่อยมาตามอ่านคุ่ของพี่รงค์กะรัก  555
^
^
^
ไม่มีอะไรมากก  แค่จะบอกว่า  ยินดี (มว๊าก)ที่ได้อ่าน 
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก แจ้งภาคต่อ เรื่องของน้องตี้ [31/08/56] P.11
เริ่มหัวข้อโดย: poonparamount ที่ 06-10-2014 17:52:59
 :-[ ตามอ่านมาจากเล่ห์ลวงใจค่ะ ชอบภาษาคุณคนแต่งมากๆค่ะ ภาษาอังกฤษเป๊ะมากๆ อ่านแล้วไม่ค่อยขัดใจ ชอบๆ ตอนนี้ก็สอยเรื่องของคู่นี้เก็บเรียบร้อยแล้วค่ะ ขอบอกว่าฟินมากๆ  o13
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก แจ้งภาคต่อ เรื่องของน้องตี้ [31/08/56] P.11
เริ่มหัวข้อโดย: tamako ที่ 22-12-2014 11:14:08
เรื่องน่ารักแล้วก็สนุกมาก นานๆจะเจอเรื่องแบบผู้ใหญ่ที่อ่านแล้วไม่เครียด :mew1:
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก แจ้งภาคต่อ เรื่องของน้องตี้ [31/08/56] P.11
เริ่มหัวข้อโดย: แมลงมีพิษชนิดหนึ่ง ที่ 26-12-2014 05:53:47
อ่านสนุกมากครับ
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก แจ้งภาคต่อ เรื่องของน้องตี้ [31/08/56] P.11
เริ่มหัวข้อโดย: am_am ที่ 27-01-2015 12:41:56
สนุกมากเลยค่ะ ตอนแรกเคืองไรอันมากกกกกก
ถึงกับเลิกอ่านไปเลยทีเดียว พอไปเจอเรื่องน้องตี้
เลยกลับมาอ่านใหม่ น่ารักมาก ๆ ขอบคุณนะคะ
ตามไปอ่านตี้ต่อค่า :กอด1:
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก แจ้งภาคต่อ เรื่องของน้องตี้ [31/08/56] P.11
เริ่มหัวข้อโดย: Bear Company ที่ 04-03-2015 21:37:45
 :L1:
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก แจ้งภาคต่อ เรื่องของน้องตี้ [31/08/56] P.11
เริ่มหัวข้อโดย: AgotoZ ที่ 06-03-2015 10:59:55
อ่านจบแล้ววววว  ชอบๆๆๆๆๆๆๆ  :mew1:

จะตามไปอ่านน้องตี้ต่อจ้าาา  :กอด1:

หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก แจ้งภาคต่อ เรื่องของน้องตี้ [31/08/56] P.11
เริ่มหัวข้อโดย: duckka ที่ 11-04-2015 13:03:37
 o13 ตามมาจากเรื่องของภัทรค่า ยังสนุกเหมือนเดิม ลุ้นมาก
กว่าจะคืนดีกัน ไรอันใจแข็งแต่ก็ยอมแพ้ลูกตื้อของณรงค์จนได้
สงสารตี้นะ แต่ถ้าณรงค์ม่ตัดสินใจบอกเลิกตี้ ตี้ก็จะไม่ได้เจอกับคุณกฤต ลงตัวกันแล้ว โอเค บทหลังๆนี้ไรอันทำตัวน่ารักกว่าเดิม
ขอบคุณนักเขียนมากค่ะ
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก แจ้งภาคต่อ เรื่องของน้องตี้ [31/08/56] P.11
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 20-04-2015 21:02:09
ขอบคุณค่ะ เรื่องนี้สนุกมาก
แม้จะเสียน้ำตาไปมากโขก็ตาม 555 ^^
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก แจ้งภาคต่อ เรื่องของน้องตี้ [31/08/56] P.11
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กหญิงผมซอยปลาย ที่ 10-05-2015 20:49:52
อ่า.. ตามมาอ่านจนจบ.. ตอนแรกกะจะหยุดอ่านไอ้ตอนที่คุณรงค์ไปมีน้องตี้อ่าค่ะ คือเข้าใจว่าเสียใจ แต่ทำไมต้องทำแบบนั้น(อินๆ) มันเหมือนไปสานสัมพันธ์อ่ะ แต่ข่มใจไว้อ่านจนจบ แอบข้ามฉากเรียกน้ำตาไปเหมือนกัน แต่เรื่องน่ารักมากกก เลยพอจะกลบความเสียใจได้ ฮ่าา


แต่ทำไมเราอ่านๆไป รู้สึกสงสารไรอันผิดกับคนอื่นหว่า..  :o11: ตอนถัดๆมาก็หวาน น่าร๊ากกก มากค่ะ  :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก แจ้งภาคต่อ เรื่องของน้องตี้ [31/08/56] P.11
เริ่มหัวข้อโดย: z9_0 ที่ 23-02-2016 10:44:06
ลุ้นจะเป็นจะตาย กว่าน้องรักของเราจะยอมใจอ่อนกับพี่อ่ะน่ะ
แต่สุดท้ายต้องยอมเขาอ่ะน่ะ แอบรักเขาไปแล้วอะนะ
เรากำลังตามไล่อ่านหลายเรื่องของนักเขียนอยู่น่ะ
ชอบภาษาที่เขียนมากเลยค่ะ รู้สึกว่าอ่านแล้วมันสวย สบายตาเวลาได้อ่าน
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก แจ้งภาคต่อ เรื่องของน้องตี้ [31/08/56] P.11
เริ่มหัวข้อโดย: mucan99 ที่ 23-02-2016 14:49:36
น่ารักนะ ความรักหวานอย่างเดียวไม่ได้แต่แบบนี้รู้สึกดีจังเลย
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก แจ้งภาคต่อ เรื่องของน้องตี้ [31/08/56] P.11
เริ่มหัวข้อโดย: happy-jigsaw ที่ 17-05-2016 21:08:36
รอบที่สอง สนุกเหมือนเดิม :)
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก แจ้งภาคต่อ เรื่องของน้องตี้ [31/08/56] P.11
เริ่มหัวข้อโดย: KKKwanGGG ที่ 27-11-2016 17:02:20
สนุกมาก ๆ ครับ ณรงค์-ไรอัน น่ารักทั้งคู่เลย แม้ว่าตอนแรก ๆ จะไม่ชอบไรอันเลย

ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก แจ้งภาคต่อ เรื่องของน้องตี้ [31/08/56] P.11
เริ่มหัวข้อโดย: larynx ที่ 07-04-2017 17:35:26
น่ารักมาก  :man1:
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก แจ้งภาคต่อ เรื่องของน้องตี้ [31/08/56] P.11
เริ่มหัวข้อโดย: TheGraosiao ที่ 30-04-2018 08:33:54
 :mew2: อยากได้รูปเล่มจังเลย หาซื้อได้ที่ไหนเนี่ย
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก แจ้งภาคต่อ เรื่องของน้องตี้ [31/08/56] P.11
เริ่มหัวข้อโดย: popuri ที่ 09-12-2018 13:22:52
พลาดมาได้ไงตั้งหลายปี สนุกมากเลยค่า
หัวข้อ: Re: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก แจ้งภาคต่อ เรื่องของน้องตี้ [31/08/56] P.11
เริ่มหัวข้อโดย: samsung009 ที่ 11-12-2018 23:35:03
 :pig4: