ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก แจ้งภาคต่อ เรื่องของน้องตี้ [31/08/56] P.11
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก แจ้งภาคต่อ เรื่องของน้องตี้ [31/08/56] P.11  (อ่าน 185348 ครั้ง)

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
ประกาศครั้งที่ 1 (ละมั้ง?) เปิดจอง "ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก" = "บริบทแห่งรัก" ฉบับรวมเล่มแล้วจ้า!!!
+ รีปรินท์เรื่องก่อนๆ ด้วย ถึง 30 กันยายนนี้

หลังจาก Bellbomb ห่างหายการรวมเล่มมาปีกว่าๆ ก็ได้ฤกษ์เปิดจองรวมเล่มเรื่องใหม่ทีเดียวสองเรื่องเลย ก็คือ “ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก” กับ “บริบทแห่งรัก” (ลำนำรักสีรุ้ง Side Stories) รายละเอียดตามด้านล่างค่ะ

เรื่องที่ 1: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก


ข้อมูลหนังสือ:

• ราคา 360 บาท
• ไซส์ A5 พิมพ์ด้วยกระดาษถนอมสายตา
• ตอนพิเศษเฉพาะในหนังสือ
• ของแถม 1: ที่คั่นหนังสือ
• ของแถม 2: ปกพลาสติก ปั๊มทองลายเซ็นต์ของ Bellbomb จะได้เอาไว้หุ้มหนังสือกันเลอะค่ะ :)


++++++++++++


เรื่องที่ 2: บริบทแห่งรัก (ลำนำรักสีรุ้ง Side Stories)



ข้อมูลหนังสือ:

• ราคา 220 บาท
• ไซส์ A5 พิมพ์ด้วยกระดาษถนอมสายตา
• ตอนพิเศษเฉพาะในหนังสือ + ตอนโบนัสที่เคยล็อกพาสเวิร์ดไว้ที่บล็อก
• ของแถม 1: ที่คั่นหนังสือ
• ของแถม 2: ปกพลาสติก ปั๊มทองลายเซ็นต์ของ Bellbomb
• สามารถอ่านตัวอย่างได้ที่นี่ -> [คลิก]

Special Note:

สำหรับเล่มนี้ แต่ละตอนจะไม่ซ้ำกับลำนำรักสีรุ้งเล่มแรกเพราะเขียนขึ้นทีหลัง เนื้อหาส่วนใหญ่จะย้อนกลับไปสมัยเป้กับวิวยังเรียนอยู่ สำหรับใครที่ยังไม่เคยอ่านเล่มแรก แนะนำให้ซื้อเล่มนั้นไปอ่านคู่กันเพื่อจะได้ไม่สับสนถึงที่มาของตัวละครในเรื่องค่ะ


**สำคัญมาก**

1. ดาวน์โหลดแบบฟอร์มสำหรับสั่งนิยายได้ที่นี่ <<คลิก>>  แล้วกรอกจำนวนเรื่องที่ต้องการในแบบฟอร์ม แล้วก็โอนเงินตามยอดหนังสือ + ค่าส่ง เสร็จแล้วอีเมล์แบบฟอร์มมาที่ bellbomb[at]hotmail.com
 
2. เปิดจองถึง 30 กย. และเริ่มส่งหนังสือต้น ตค. หลังจากนั้นจะเริ่มวางที่ร้านประจำ (เล่มที่วางตามร้านจะไม่แถมปกพลาสติก และอาจปรับราคาขึ้น)
 
3. ถ้าหากสั่งทั้งสองเรื่องพร้อมกัน คิดค่าส่งลงทะเบียน 40 บาท (ตัวอย่างคำนวน ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก 360 + บริบทแห่งรัก 220 + ค่าส่ง 40 = 620 บาท)
 
4. ถ้าไม่แน่ใจว่าต้องโอนเท่าไหร่แน่ อีเมล์มาถามหรือแปะถามที่หน้าแฟนเพจ http://www.facebook.com/BellbombNovels ก็ได้

5. โปรโมชั่น ท่านที่สั่งนิยายของเราทั้ง 5 เรื่องงวดนี้ ไม่คิดค่าส่งจ้า


เรื่องที่เคยรวมเล่มแล้วและจะรีปรินท์ในครั้งนี้

- ลำนำรักสีรุ้ง
- เมื่อหัวใจเราใกล้กัน
- แม้นมั่นคำสัญญา


จบประกาศคับผ้ม


****************************************************

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2. ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

เวปไซต์ แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่าง ประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0


****************************************************

*ทักทาย*
สำหรับนักอ่านที่ติดตามนิยายเรื่องอื่นของป้า อย่าเพิ่งเขวี้ยงหม้อชามรามไหมาหาป้านะคะ ป้าไม่ได้จะเริ่มเรื่องยาวเรื่องใหม่น้า (หรือเปล่าฟะ? ชักไม่กล้าเดาตัวเอง) แต่พอดีเรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นที่ส่งร่วมเทศกาลคริสต์มาสที่บอร์ดแห่งหนึ่ง ก็เลยยังโพสต์ที่อื่นไม่ได้จนกว่าแอดมินจะเฉลยว่าคนไหนเขียนเรื่องอะไรค่ะ ทีนี้มันพ้นวันเฉลยและประกาศผลแล้ว ก็เลยเพิ่งได้ฤกษ์เอามาลงที่เล้านี่แล ถือว่าเป็นของขวัญ + เรื่องสั้นอ่านเล่นระหว่างรอป้าปั่นตอนต่อของเรื่องยาวแล้วกันนะค้า
  :call:


++------++

ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก

“พี่รงค์ เดี๋ยวมีประชุมทีมที่ห้องขาวนะพี่”

เสียงเนือยๆ จากด้านหลังทำให้ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ชะงักมือที่กำลังขยับเม้าส์ ใบหน้าคมคายละสายตาเพื่อหันไปทางคนเรียก ทำให้เห็นอิสรา รุ่นน้องในทีมกำลังยืนพิงขอบโต๊ะทำงานของเขาพร้อมสีหน้าเซ็งๆ

“อ้าว นี่เขาเรียกตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่เห็นมีใครอีเมล์มาบอกพี่เลยล่ะ?”

ณรงค์ซึ่งเป็นซีเนียร์ดีไซเนอร์ถามอย่างแปลกใจพลางเซฟงานที่ทำค้างไว้ ก่อนจะหยิบสมุดบันทึกและปากกาแล้วลุกตามรุ่นน้องเพื่อไปที่ห้องประชุมด้วยกัน เนื่องจากบริษัทที่เขาทำงานอยู่เป็นบริษัทรับออกแบบตกแต่งและก่อสร้าง ดังนั้นแม้แต่ในออฟฟิศซึ่งอยู่ชั้นบนสุดของอาคารก็จะมีห้องประชุมหลายห้องหลายขนาดซึ่งได้รับการออกแบบด้วยธีมสีต่างกัน ‘ห้องขาว’ ที่เขากำลังจะไปนั้นเป็นห้องที่เอาไว้สำหรับการประชุมภายในและตั้งอยู่ด้านในสุด ส่วนห้องที่เอาไว้รับรองลูกค้าหรือแขกทั่วไปจะสีสันจัดจ้านกว่าและตั้งอยู่ด้านหน้าบริษัท

“พอดีไรอันเพิ่งกลับจากฮ่องกงก็เลยเรียกประชุมด่วน ก็คงไอ้โครงการรีโนเวทโรงพยาบาลที่คู่แข่งเรามันได้ไปน่ะแหละ เห็นพี่วิตรบอกว่าไรอันหัวเสียน่าดูเพราะตอนแรกเหมือนทางลูกค้าเปรยๆ ว่าจะเอาแบบของเราอยู่แล้ว นี่ก็คงเรียกไปฟังแกระเบิดลงเพราะช่วงนี้เราไม่ค่อยมีโปรเจ็กต์ใหญ่กันเลยนี่นา”

รุ่นน้องหนุ่มอธิบายยาวเหยียดด้วยน้ำเสียงที่บ่งให้รู้ว่ากำลังเบื่อจัด ณรงค์จึงยักไหล่ เนื่องจากเขาทำงานที่นี่มานาน ทำให้ได้ยินเสียงลือด้านความเจ้าอารมณ์ของหนึ่งในผู้บริหารลูกครึ่งไทย - ออสเตรเลียซึ่งเพิ่งมาประจำตำแหน่งได้เพียงหนึ่งปีพอสมควร เพียงแต่ตามหน้าที่แล้วเขาไม่ค่อยจะได้เจอระเบิดที่ว่าโดยตรงนัก และที่สำคัญไรอันก็ไม่ค่อยอยู่เมืองไทย แต่ต้องเดินทางไปๆ มาๆ เนื่องจากต้องคอยตรวจตราโครงการและลูกค้าทั้งในและต่างประเทศอยู่เสมอ

เมื่อมาถึงห้องประชุม ณรงค์ก็พบว่าสมาชิกคนอื่นๆ มานั่งรอกันพร้อมแล้ว เนื่องจากบริษัทของเขาใช้นโยบายแบ่งทีมงานเป็นหลายทีมย่อยๆ เพื่อรองรับลูกค้าที่ต่างกัน ในทีมของณรงค์นั้นนอกจากเขาซึ่งเป็นซีเนียร์ดีไซเนอร์ก็มีประวิตร หัวหน้าทีมวัยกลางคนซึ่งรั้งตำแหน่งผู้จัดการด้านการพัฒนาธุรกิจของบริษัท ยุพดีและอิสราซึ่งเป็นจูเนียร์ดีไซเนอร์ และแก้วกานต์ซึ่งเป็นเลขาของทีมผู้คอยจดรายละเอียดการประชุมและประสานงานทั่วไป ณรงค์นั่งลงบนเก้าอี้ข้างประวิตรแล้วก็หันไปยิ้มให้ผู้สูงวัยกว่าอย่างเห็นใจ

“ท่าทางวันนี้จะยาวสินะครับ”

ประวิตรเบนสายตาจากหน้าจอโน้ตบุ๊คที่นำติดตัวเข้ามาแล้วยิ้มตอบอย่างเซียวๆ “ช่วยไม่ได้ว่ะ ตอนแรกไรอันนึกว่ายังไงก็ได้โครงการนี้แน่ๆ นี่นา พอโดนคู่แข่งฉกไปก็ต้องแค้นเป็นธรรมดา”

ณรงค์พยักหน้าอย่างเข้าใจ ความจริงแล้วบริษัทของเขามีผู้บริหารดั้งเดิมทั้งสิ้นสามคนก่อนที่สำนักงานใหญ่ที่เมลเบิร์นจะส่งไรอันเข้ามาเพิ่ม และคนที่ได้รับการติดต่อจากลูกค้ารายที่เพิ่งหลุดมือไปนี้คือหนุ่มลูกครึ่ง ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกที่เจ้าตัวจะหัวฟัดหัวเหวี่ยงกับการที่โปรเจ็กต์ในฝันถูกแย่งไปต่อหน้า เนื่องจากลูกค้ารายนี้เป็นโรงพยาบาลเอกชนซึ่งมีชื่อในหมู่คนไข้ชาวต่างประเทศที่กำลังวางแผนจะปรับปรุงภายในครั้งใหญ่ ดังนั้นหากได้โครงการนี้มาก็หมายถึงเงินก้อนโตและชื่อเสียงที่จะช่วยเบิกทางให้ลูกค้ารายอื่นๆ สนใจติดต่อเข้ามาเพิ่มขึ้นด้วย

หลังจากนั่งรอกันครู่หนึ่ง ทุกคนก็ได้ยินเสียงสืบฝีเท้าเร็วๆ ตรงมาทางห้องประชุม จากนั้นตัวเจ้าของเสียงก็ผลักประตูกระจกเข้ามาด้วยใบหน้าถมึงทึงราวกับพร้อมจะงับหัวคนใกล้ตัวได้ทุกเมื่อ ทุกคนที่นั่งอยู่ยกเว้นประวิตรกับณรงค์ต่างสะดุ้งและนั่งตัวตรงขึ้นโดยอัตโนมัติเพราะสัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิตที่แผ่ซ่านจากผู้มาใหม่ ฝ่ายประวิตรเพียงแต่ปิดฝาเครื่องโน้ตบุ๊คลงพลางกลอกตา (แบบแอบๆ) ส่วนณรงค์เพียงแต่ยกมือหนึ่งขึ้นเท้าคางแล้วยิ้มเล็กน้อย สองตาของเขาจับจ้องที่การเคลื่อนไหวของผู้ที่เพิ่งเดินเข้ามาอย่างไม่สะทกสะท้าน

ไรอันเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งแต่ไม่ได้ผอมแห้ง นัยน์ตาที่กลมโตและผมหยักศกซึ่งสั้นเพียงต้นคอเป็นสีน้ำตาลอ่อนคล้ายสีอำพัน จมูกที่โด่งกำลังดีรับกับริมฝีปากที่ไม่บางเฉียบแต่ก็ไม่ถึงกับอิ่มเต็ม เรียวคิ้วที่อยู่เหนือดวงตาเข้มหนาแต่ก็ไม่ถึงกับรก เครื่องหน้าและรูปร่างดูแล้วเหมาะจะไปเป็นนายแบบได้อย่างสบายๆ ประวิตรเคยเล่าให้ณรงค์ฟังว่าแม่ของไรอันเป็นอดีตนางงามการประกวดเวทีหนึ่งเมื่อสมัยสาวๆ จึงไม่น่าแปลกที่เจ้าตัวจะได้รับการถ่ายทอดเครื่องหน้าที่ดูคมเข้มแบบไทยมาหลายส่วนเช่นนี้ แม้ว่านิสัยโผงผางพูดตรงและบางครั้งก็ลืมตัวเปลี่ยนภาษาพูดจากไทยกลับไปเป็นอังกฤษคงจะได้รับมาจากพ่อ สาวๆ หลายคนในบริษัทยังเคยแอบบ่นกันด้วยความเสียดายหน้าตาและฐานะของเจ้าตัว ค่าที่ไรอันค่อนข้างจะทำตัวเย็นชาและห่างเหินกับคนอื่นๆ จนยากจะทำความสนิทสนมด้วย

ทันทีที่ผู้บริหารหนุ่มวางแฟ้มในมือลงบนโต๊ะและหันไปเปิดเครื่องโปรเจคเตอร์ ภาพสไลด์พรีเซนเทชันของแบบโครงการที่บริษัทของเขาเคยยื่นให้ลูกค้าไปก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนจอไวท์บอร์ด ร่างสูงโปร่งกวาดตามองใบหน้าของทุกคนที่นั่งอยู่รอบโต๊ะประชุมอย่างช้าๆ จากนั้นก็เอ่ยถามเสียงต่ำเหมือนพูดลอดไรฟัน

“เอาล่ะ...พวกคุณอธิบายให้ผมฟังซิว่าสาเหตุที่พวกเราพลาดโปรเจ็คต์ครั้งนี้มันเกิดจากอะไร?”

ณรงค์รู้สึกเหมือนได้ยินความเงียบดังไปทั่วห้องแทนคำตอบ (ถ้าความเงียบสามารถดังได้) ก่อนที่เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนจะกวาดตามองไปทั่วโต๊ะอีกครั้ง ต่อจากนั้นการประชุมที่น่าจะเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นก็แปรเปลี่ยนเป็นห้องระบายอารมณ์ของผู้บริหารหนุ่มที่พร่ำสาธยายถึงความเป็นไปได้และสิ่งที่พวกเขาควรจะทำล้านแปดประการที่น่าจะช่วยให้จับโปรเจ็คต์นี้ได้อยู่หมัด มิไยว่าประวิตรจะพยายามช่วยกล่อมให้สงบลงด้วยการอ้างถึงเหตุผลที่เกี่ยวข้องอย่างไรก็ตาม และเนื่องจากไรอันเปลี่ยนกลับไปพูดภาษาอังกฤษหลังผ่านไปสิบนาทีซึ่งสมาชิกทีมส่วนใหญ่ก็ฟังกันไม่ค่อยแตกฉานอยู่แล้ว แถมนี่ยังเป็นสำเนียงออสเตรเลียจ๋าเสียอีกด้วย หลายคนจึงยิ่งนั่งเอ๋อกันมากเข้าไปอีก ฝ่ายณรงค์เองไม่ถึงกับฟังไม่ทันเพราะเขาเคยทำงานกับชาวต่างชาติมาบ้าง แต่กระนั้นสกิลด้านภาษาของเขาก็ยังนับได้ว่าห่างจากความสามารถด้านการออกแบบหลายขุม และต่อให้เขาคิดคำโต้แย้งให้กับข้อกล่าวหาบางข้อของไรอันได้จริงๆ เขาก็คิดว่าคงพูดแทรกไม่ทัน หรือทันแต่ไม่เข้าหูเจ้าตัวเป็นแน่

สุดท้ายการประชุมในเช้าวันนั้นก็ผ่านไปอย่างตึงเครียด ถ้าหากไม่ใช่เพราะเลขาฯ ของไรอันเข้ามาลั่นระฆังช่วยด้วยการเตือนเจ้านายว่ามีนัดทานข้าวกับลูกค้าในตอนบ่าย ณรงค์คาดว่าพวกเขาก็คงยังต้องทนนั่งฟังการอบรม (และใส่อารมณ์) อย่างถึงพริกถึงขิงจากผู้บริหารหนุ่มไปอีกไม่ต่ำกว่าหนึ่งชั่วโมง และถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีงานเร่งด่วนให้ต้องรีบทำให้เสร็จในวันนี้ แต่ถ้าต้องให้มานั่งเสียเวลาทนฟังหนุ่มลูกครึ่งบ่นเอานานๆ ก็คงไม่ไหวเหมือนกัน

“โอย...แค่นั่งฟังไรอันบ่นชั่วโมงเดียวนี่รู้สึกเหมือนถูกดูดพลังชีวิตออกไปเกลี้ยงเลย พี่รงค์ทนได้ไงฟังไปยิ้มไป ผึ้งเห็นเขาเหล่มองพี่รงค์เหมือนจะกินหัวให้ตั้งหลายที”

ยุพดีเอ่ยขึ้นระหว่างที่ทุกคนกำลังทานข้าวกลางวันด้วยกัน เนื่องจากประวิตรเห็นว่าลูกทีมทำท่าละเหี่ยใจกันมากหลังประชุมเสร็จ จึงหยิบเงินส่งให้ณรงค์เพื่อพาเหล่าสมาชิกมาเลี้ยงข้าวโดยที่ตัวเองแยกไปทำธุระ

ณรงค์ยกแก้วน้ำขึ้นดื่มแล้วก็ตอบยิ้มๆ “ก็คิดว่านั่งฟังเขาให้พรไปเสียสิ พวกเราก็ไม่ได้ฟังเขารู้เรื่องกันทุกคำไม่ใช่หรือไง อีกอย่างเรื่องนี้ไรอันแค่คิดไปเองว่าเราน่าจะได้โปรเจ็คต์เพราะสนิทกับลูกค้า ไม่ได้หมายความว่าลูกค้าจะต้องเลือกงานของเราแหงๆ นี่นา ดีเสียอีกที่จะได้บทเรียนเสียบ้างว่าโลกธุรกิจมันก็ไม่แน่ไม่นอนแบบนี้แหละ”

ยุพดีกับอิสราสบตากันไปมา อาจเพราะทั้งสองยังผ่านการทำงานมาไม่นานจึงยังไม่ค่อยเข้าใจความหมายของธุรกิจดีนัก และคิดว่าใครจะไปรู้ดีกว่าผู้บริหารได้ (แม้ทุกคนในบริษัทจะรู้ว่าไรอันเพิ่งอายุแค่ยี่สิบหก) แต่ณรงค์ที่อายุยี่สิบเก้าแล้วและผ่านโลกมาพอสมควรมองออกว่าไรอันเพียงแต่ผิดหวังที่ไม่ได้โปรเจ็คต์ที่เล็งไว้ ก็เลยมาระบายอารมณ์เอากับพวกเขาเหมือนเด็กที่ขัดใจเมื่อไม่ได้ของที่ต้องการ

“จริงสิ พี่กานต์จะลาไปเที่ยวลำปางตั้งแต่พรุ่งนี้ใช่หรือเปล่า? ถ้างั้นก็อดมาปาร์ตี้คริสต์มาสกับพวกผมสิ”

อิสราเปลี่ยนเรื่องแล้วหันไปถามแก้วกานต์ คนถูกถามจึงเงยหน้าจากจานข้าวขึ้นพยักหน้า “อื้ม พี่ก็เสียดายเหมือนกัน แต่แฟนพี่เขาอยากพาลูกไปเยี่ยมปู่กับย่าช่วงปีใหม่ ปีที่แล้วยังอ่อนอยู่เลยพาไปไม่ได้ ตอนนี้ขวบกว่าแล้ว พาไปเที่ยวไกลๆ ได้เสียที”

“นี่ๆ...ผึ้งเคยได้ยินพี่สาวเล่าให้ฟังว่างานเลี้ยงบริษัทเขาทีไร พวกผู้บริหารที่ปกติดุนักหนาเขายอมแต่งหน้าแต่งตัวแปลกๆ แล้วมาแสดงอะไรตลกๆ ให้ลูกน้องดูด้วยล่ะ ทำไมของบริษัทเราไม่มีแบบนั้นบ้างน้า”

ยุพดีเอ่ยพลางจุ๊ปากอย่างเสียดาย อิสราจึงยิ้มแยกเขี้ยว “อยากได้แบบนั้นเธอคงต้องย้ายบริษัทแล้วล่ะผึ้ง เจ้านายเราแต่ละคนทั้งเขี้ยวทั้งสุขุมกันจะตาย ขนาดไรอันแก่กว่าเราแค่ไม่กี่ปียังทำอย่างกับเป็นตาแก่ไปแล้วเลย เขาคงยอมมาเล่นปาหี่ให้เธอดูหรอกนะ”

ณรงค์ทานข้าวต่อโดยไม่ใส่ใจฟังบทสนทนาที่เหลือของรุ่นน้องนัก เพราะเขาคิดว่าพอจะเข้าใจไรอันอยู่เหมือนกันที่จำเป็นต้องทำงานหนักเพื่อให้ได้รับการยอมรับ เนื่องจากที่เจ้าตัวถูกส่งมารับตำแหน่งที่เมืองไทยนี่ก็เพราะพ่อเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมลเบิร์นนั่นเอง จึงไม่แปลกหากเขาจะถูกมองว่าเป็นคุณหนูที่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อเพราะเป็นลูกครึ่งซึ่งเติบโตในเมืองนอก ในขณะที่ผู้บริหารที่เหลืออีกสามคนต่างเป็นชาวไทยและอายุสี่สิบกว่ากันแล้ว และร่วมหัวจมท้ายผลักดันบริษัทตั้งแต่เริ่มตั้งสาขาที่เมืองไทยจนกระทั่งไต่ขึ้นมามีชื่อเสียงในระดับหนึ่งอย่างเช่นทุกวันนี้

เมื่อนึกถึงผู้บริหารหนุ่ม ภาพใบหน้าของเจ้าตัวก็แวบเข้ามาในหัวของณรงค์โดยอัตโนมัติ เขายอมรับว่าชอบมองหน้าของไรอันเวลาที่เจ้าตัวไม่รู้ตัว ตอนแรกๆ นั้นก็ตามประสาอยากรู้อยากเห็นเพราะอีกฝ่ายไม่ค่อยอยู่ที่ออฟฟิศ แต่ผ่านไปนานเข้าเขาก็ยิ่งชอบที่จะมองอีกฝ่ายให้นานขึ้น อาจเพราะเมื่อเทียบกับเขาที่ใจเย็นและไม่ค่อยถูกกระตุ้นให้โมโหง่ายๆ จนเคยมีเพื่อนแซวว่าเป็นพวก ‘ตายด้าน’ ไรอันกลับเต็มไปด้วยพลังและความมีชีวิตชีวาถึงแม้จะหนักไปทางร้อนแรงและเอาแต่ใจ ความแตกต่างนี้ทำให้เขานึกเอ็นดูอีกฝ่ายเหมือนกำลังมองน้องชายซนๆ คนหนึ่ง แต่เขาก็คิดว่าไรอันอาจจะรับรู้ได้ถึงสายตาของเขาอยู่เหมือนกัน เพราะบางโอกาสเขาก็เห็นเจ้าของนัยน์ตาคมสีน้ำตาลอ่อนส่งประกายหาเรื่องมาให้ยามที่เขาแอบมอง ซึ่งเวลาที่ถูกจับได้เขาก็จะเพียงแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วหันไปทางอื่นเท่านั้น

ความที่มัวแต่ใช้ความคิดเพลิน ณรงค์จึงไม่ทันรู้สึกตัวว่าถูกถามจนกระทั่งยุพดีเขย่าแขนเขาเบาๆ ชายหนุ่มจึงหันไปยิ้มให้ “อะไรเหรอผึ้ง?”

“พี่รงค์นั่งเหม่อไปไหนแล้วเนี่ย เมื่อกี้พวกหนูคุยกันว่าวันนี้วันศุกร์ทั้งทีเลยจะไปเดินเล่นหลังเลิกงานที่ข้าวสาร สนใจจะมาปล่อยแก่กับพวกหนูป่าว?”

“ไอ้นี่ปากเสีย...เชิญไปกันเองเหอะ พี่ไม่ค่อยนิยมแถวนั้น”

“แหมพี่รงค์ ทำงานเหนื่อยๆ มันก็ต้องไปเฮฮาปาร์ตี้กันมั่งสิ พี่ก็ชอบบอกปัดพวกผมเรื่อยเลย คราวหน้าชวนแล้วต้องไปนา”

อิสราเอ่ยพลางห่อปากพ่นลม ณรงค์จึงตบหลังรุ่นน้องอย่างเอาใจ “เออๆ เอาไว้คราวหน้าถ้าหาร้านที่ถูกรสนิยมพี่ได้แล้วจะพิจารณา คืนนี้ก็ไปเที่ยวกันเองก่อนแล้วกัน เดี๋ยวไว้โบนัสออกเมื่อไหร่พี่จะพาไปเลี้ยง”

คำสัญญานั้นตามมาด้วยเสียงเฮรอบโต๊ะ เมื่อทานอาหารกลางวันกันเสร็จแล้วทุกคนก็ต่างกลับขึ้นไปทำงานต่อ หลังจากเลิกงานเล็กน้อยณรงค์ก็ลาเพื่อนร่วมงานก่อนจะกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่คอนโด ชายหนุ่มนั่งดูโทรทัศน์พลางรอเวลาไปเรื่อยๆ เมื่อดึกพอสมควรจึงคว้าแจ็คเก็ตหนังมาสวมแล้วออกจากห้อง สาเหตุที่เขาปฏิเสธคำชวนของรุ่นน้องเมื่อตอนกลางวันก็เพราะว่าคืนนี้เขามีสถานที่ที่อยากไปอยู่แล้ว

ชายหนุ่มขับรถออกจากคอนโดไปยังถนนแห่งหนึ่งย่านใจกลางเมือง หลังจากครึ่งชั่วโมงผ่านไปก็มาถึงที่หมาย ณรงค์จอดรถที่ลานจอดก่อนจะเดินเข้าไปในผับขนาดใหญ่ซึ่งประดับแสงไฟเป็นชื่อผับอยู่เหนือประตูทางเข้า ความจริงแล้วเขาไม่ถึงกับเป็นขาเที่ยว และก็ไม่ค่อยได้มาที่นี่บ่อยครั้งนัก แต่ถ้าหากเทียบกับผับบาร์ย่านข้าวสารที่รุ่นน้องของเขาชวนเมื่อตอนบ่ายแล้ว ที่นี่ ‘ตรง’ กับรสนิยมของเขามากกว่าอย่างเทียบกันไม่ได้

ณรงค์ไม่ได้ชอบผู้หญิง เขารู้ตัวมานานแล้วและไม่ได้พยายามจะปกปิด แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ได้เที่ยวป่าวประกาศถึงรสนิยมของตัวเอง ดังนั้นคนที่ไม่ได้สนิทกันจริงๆ ก็จะไม่รู้เรื่องนี้ ประกอบกับเขาเป็นคนรักอิสระและไม่เคยคิดผูกมัดตัวเอง ทำให้ไม่เคยเริ่มสานสัมพันธ์กับใครก่อนอย่างจริงจัง และนานทีปีหนเท่านั้นที่จะนึกอยากออกไปเที่ยวผับ ‘เฉพาะรสนิยม’ เช่นในคืนนี้

สงสัยเพราะเมื่อกลางวันได้สบตาหนุ่มลูกครึ่งถี่ไปหน่อย...เลยนึกอยากมาส่องเด็กเป็นอาหารตาเล่นๆ ล่ะมั้ง...

ณรงค์คิดกับตัวเองยิ้มๆ ขณะแสดงบัตรประชาชนกับยามหน้าประตูเพื่อเป็นหลักฐานว่าเขาบรรลุนิติภาวะแล้ว (แถมยังเกินไปหลายปี) ถึงแม้ผับที่เขามาจะค่อนข้างชัดเจนว่ารองรับลูกค้าแนวไหนเป็นพิเศษ แต่ก็มีลูกค้าชายหญิงหรือหญิงล้วนเข้ามาเที่ยวเหมือนกัน และคงเพราะราคาเครื่องดื่มและอาหารที่ถือว่าค่อนข้างสูงสำหรับผับแนวนี้ ดังนั้นจึงเหมือนเป็นการกลั่นกรองลูกค้าที่มาใช้บริการไปกลายๆ ว่าไม่ใช่วัยรุ่นรักสนุกทั่วไปก็เข้ามาเที่ยวได้

เนื่องจากเขาไม่ใช่นักเต้นเท้าไฟและไม่ชื่นชอบการเบียดเสียดร่างกายกับคนไม่รู้จัก ณรงค์จึงตรงไปสั่งเบียร์ที่เคาน์เตอร์แล้วก็ยืนจิบพลางดูบรรยากาศรอบตัวอยู่ตรงนั้น เสียงดนตรีในผับค่อนข้างดังจนลูกค้าที่มากันเป็นคู่หรือเป็นกลุ่มต้องตะโกนคุย แต่เพราะณรงค์มาคนเดียวจึงไม่เดือดร้อน ชายหนุ่มเพียงโยกศีรษะและเคาะนิ้วเบาๆ บนหลังเคาน์เตอร์ตามจังหวะเพลงที่ดีเจเปิด ระหว่างที่สอดส่ายสายตาไปทั่วฟลอร์เผื่อว่าจะมีอะไรน่ามอง นัยน์ตาคมกริบก็สะดุดเข้ากับชายหนุ่มร่างสูงโปร่งคนหนึ่งซึ่งกำลังเต้นอยู่กลางฟลอร์ท่ามกลางทะเลของนักเต้นอย่างเมามัน แต่เนื่องจากร่างนั้นไม่ได้หันมาทางเขา เขาจึงเห็นเพียงแค่แผ่นหลังของเจ้าตัวท่ามกลางแสงไฟหลากสีที่สาดส่ายไปมาทั่วฟลอร์เท่านั้น

รูปร่างไม่เลว...ไรอันก็น่าจะสูงประมาณนี้...

เขาเคยขึ้นลิฟต์พร้อมกับผู้บริหารหนุ่มลูกครึ่งตอนอยู่ที่บริษัท ทำให้รู้ว่าไรอันสูงประมาณปลายจมูกเขาพอดี ณรงค์ยกเบียร์ขึ้นจิบอีกอึกโดยไม่ละสายตาจากร่างที่กำลังเคลื่อนไหวยักย้ายไปตามจังหวะดนตรีอย่างเร่าร้อน ไม่แน่ถ้าหากเขามีหนุ่มน้อยหน้าตาถูกใจมาเต้นยั่วแบบนี้ต่อหน้า แม้แต่คนตบะแข็งอย่างเขาก็อาจจะเผลอปล่อยตัวปล่อยใจไปได้ง่ายๆ เหมือนกัน

ร่างสูงโปร่งที่เขาจับจ้องนั้นใส่แจ็คเก็ตผ้าบางค่อนข้างเข้ารูปและไว้ผมสั้น ถึงแม้ว่าแสงไฟหลากสีที่สาดส่องไปมาจะทำให้ไม่สามารถระบุสีผมได้ว่าเป็นสีดำหรือสีอะไรก็ตาม วูบหนึ่งณรงค์เผลอคิดไปว่าเจ้าของร่างที่กำลังดึงดูดสายตาเขาคือผู้บริหารหนุ่มที่เพิ่งทำตาดุใส่ที่ห้องประชุมเมื่อกลางวัน แต่แล้วก็ส่ายหน้าแล้วยกเบียร์ในมือขึ้นจิบ คงยากที่จะจินตนาการว่าคนที่กำลังวาดลวดลายในฟลอร์นั้นเป็นไรอันไปได้...ถึงแม้หนุ่มลูกครึ่งจะดูแล้วเป็นคนเจ้าอารมณ์ก็ตาม แต่นอกจากจะดุแล้วยังเอาจริงเอาจังเวลางานขนาดนั้น คงจะมาเต้นสะบัดแถมยั่วขนาดนี้ไม่ได้หรอก

ไม่มีทาง...

“เฮ่ย!”

ณรงค์แทบสำลักเบียร์ที่เพิ่งกรอกเข้าปากเมื่อได้เห็นใบหน้าของชายหนุ่มร่างสูงโปร่งที่หมุนตัวกลับมา และแสงไฟที่สาดผ่านไปวูบหนึ่งก็ทำให้เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายได้ถนัด ถึงแม้จะแค่วูบสั้นๆ แต่เขาก็มั่นใจว่าไม่มีทางจำผู้บริหารของตัวเองผิดแน่

ชายหนุ่มใช้มือหนึ่งถือขวดเบียร์ขณะอีกมือยกขึ้นเช็ดคราบเบียร์ที่เลอะอยู่บนปาก ความบังเอิญที่ไม่ทันตั้งตัวทำให้ณรงค์ช็อคตาแทบค้างที่ได้เห็นผู้บริหารหนุ่มที่นี่ เพราะจริงอยู่ที่ผับแห่งนี้ต้อนรับลูกค้าทุกประเภท แต่พวกชายแท้จะไม่นิยมลงไปเต้นกลางฟลอร์เพราะรู้กันดีว่าเป็นพื้นที่สงวนสำหรับใคร ดังนั้นคนที่จะกล้าไปยืนอยู่บริเวณนั้นได้นอกจากพวกผู้หญิงก็เท่ากับประกาศกลายๆ ว่า ‘ฉันเป็นอะไร’ แล้วเท่านั้น

ณรงค์พยายามบังคับริมฝีปากที่อ้าค้างเพราะความคาดไม่ถึงให้หุบลง ขณะเดียวกันก็ยิ่งไม่อาจละสายตาจากร่างตรงกลางฟลอร์ที่เดี๋ยวก็ผลุบเดี๋ยวก็โผล่ท่ามกลางฝูงคนที่เต้นโยกย้ายไปมามากเข้าไปอีก ใจหนึ่งเขาให้นึกสงสัยว่าไรอันเพิ่งมาที่นี่ครั้งแรกหรือเปล่าเพราะเขาไม่เคยเจออีกฝ่ายมาก่อน และอีกใจก็เกิดคำถามว่าเจ้าตัวมากับใคร แต่จากท่าเต้นสุดเหวี่ยงที่ดูเหมือนไม่ได้หันไปหาใครเป็นพิเศษก็ทำให้เขาสันนิษฐานเอาเองว่าหนุ่มลูกครึ่งน่าจะมาคนเดียว

หลังจากความช็อคระลอกแรกผ่านไป ณรงค์ก็ส่ายหน้าแล้วเริ่มสงบสติอารมณ์ได้ ไม่เห็นมีอะไรจะต้องตกใจนี่นา...หากจะว่ากันแล้วผู้บริหารของเขาก็อายุเพียงยี่สิบหกเท่านั้นเอง ซึ่งหนุ่มๆ วัยนี้หากจะยังออกเที่ยวผับบาร์ตอนกลางคืนบ้างก็เป็นเรื่องปกติมาก เผลอๆ ตอนอยู่ที่เมลเบิร์นไรอันอาจจะยิ่งปาร์ตี้หนักกว่านี้เสียด้วยซ้ำ เพียงแต่เพราะหน้าที่การงานที่เมืองไทยทำให้เจ้าตัวต้องรักษาภาพพจน์ และคงเพราะเรื่องเครียดที่เพิ่งเจอก็เลยทำให้อยากมาปลดปล่อยบ้างก็เท่านั้นเอง ถ้าอย่างนั้นเขาก็ควรจะเคารพความเป็นส่วนตัวนอกเวลางานของอีกฝ่ายและทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไปเสียจะดีกว่า
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-08-2013 12:43:01 โดย bellbomb »

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
ยังไม่ทันที่ณรงค์จะคิดตกและตั้งใจว่าจะเพียงแต่แอบมองไรอันไปเงียบๆ จู่ๆ ก็เกิดความวุ่นวายขึ้นตรงกลางฟลอร์ที่ผู้บริหารหนุ่มของเขาเต้นอยู่จนคนที่อยู่รอบๆ พากันหยุดเต้นและหันไปมองเป็นตาเดียว ณรงค์เลิกคิ้วด้วยความสงสัยเพราะร่างสูงโปร่งที่ควรจะอยู่ตรงกลางฟลอร์หายไปไหนก็ไม่รู้ ความเอะใจทำให้เขารีบวางขวดเบียร์ซึ่งยังดื่มไม่หมดลงบนเคาน์เตอร์แล้วก็รีบแหวกฝูงคนเข้าไปตรงกลางทันที

“Don’t you ever dare touch my ass again, you son of a bitch!”

ทันทีที่แหวกคนเข้าไปถึงตรงกลางได้ (เพราะดูทุกคนจะตกใจจนไม่มีใครขวาง) ณรงค์ก็ได้ช็อคอีกรอบเมื่อเห็นว่าผู้บริหารหนุ่มของเขากำลังนั่งคร่อมเอวผู้ชายคนหนึ่งแล้วก็ตะบันกำปั้นลงไปบนหน้าของหมอนั่นอย่างไม่ออมแรง ฝ่ายคนถูกต่อยซึ่งคงจะเมาหนักพยายามจะยกมือขึ้นปัดป้องอย่างไม่เป็นผลพลางส่งเสียงครางอย่างน่าสงสาร ณรงค์จึงรีบสาวเท้าเข้าไปแล้วล็อคแขนร่างสูงโปร่งจากด้านหลังให้ลุกขึ้นและออกห่างจากอีกฝ่าย

“Who the fuck are you? Fucking let me go you motherfucker!!”

กลิ่นแอลกอฮอลล์ที่ฟุ้งจากลมหายใจของคนพูดทำเอาณรงค์นิ่วหน้า เมื่อประกอบกับน้ำเสียงที่ไม่ได้อ้อแอ้แต่ฟังแล้วพันกันจนแทบไม่เป็นคำก็ยิ่งทำให้รู้ว่าไรอันเมามาก และในอีกทางหนึ่งเขาก็นึกขอบคุณตัวเองที่แกะความสิ่งที่อีกฝ่ายพูดไม่ออกทุกคำ ไม่อย่างนั้นความรู้สึกอยากช่วยเหลือของเขาอาจจะลดน้อยลงกว่านี้ ชายหนุ่มรีบเอามือหนึ่งรวบเอวสอบของหนุ่มลูกครึ่งมาใกล้ตัวแล้วหันไปขอโทษขอโพยชายหนุ่มผู้น่าสงสารที่กำลังถูกคนช่วยให้ลุกขึ้นนั่ง

“ขอโทษนะครับ แฟนผมคงจะเมามากไปหน่อย เดี๋ยวผมจะรีบพากลับเดี๋ยวนี้เลยครับ”

“ใครเป็นแฟนแก? I’m not your bloody boyfriend you shit hole!”

ดูเหมือนว่าถึงจะเมามาก แต่สติสัมปชัญญะของหนุ่มลูกครึ่งก็ยังทำงานเต็มประสิทธิภาพ เพราะนอกจากจะฟังเขาออกท่ามกลางเสียงดนตรีกระหึ่มแล้วยังสามารถโต้ตอบได้อย่างถึงใจทั้งสองภาษา ทว่านัยน์ตาที่หยีมองเขาเหมือนมองคนแปลกหน้าก็ทำให้ณรงค์มั่นใจว่าไรอันคงเมาจนจำเขาไม่ได้

“Come on honey, you always say that when you’re angry.”

สกิลภาษาอังกฤษของณรงค์ดูจะพัฒนาขึ้นแบบปุบปับ ชายหนุ่มแสร้งเล่นบทคู่รักของเจ้าตัวต่อขณะกึ่งลากกึ่งประคองไรอันออกมาจากผับอย่างทุลักทุเล เพราะดูเหมือนหนุ่มลูกครึ่งจะไม่อยากให้ความร่วมมือด้วยสักเท่าไหร่ และจากรูปการณ์แล้วหากพวกเขายังอยู่ต่อคงไม่ดีเพราะไม่รู้ว่าพ่อหนุ่มโชคร้ายเมื่อครู่จะไปตามพรรคพวกมารุมประชาทัณฑ์พวกเขาหรือไม่ ณรงค์จึงคิดว่าน่าจะพาไรอันกลับไปส่งที่บ้านเลยจะปลอดภัยที่สุด

“เดินดีๆ สิ คุณเมามากแล้วรู้มั้ย? เดี๋ยวผมจะพาไปส่งที่บ้านให้”

“ปล่อย...”

จู่ๆ คนที่ถูกรั้งเอวให้เดินมาด้วยก็ชะลอฝีเท้าลงกะทันหันและพยายามจะดันตัวออกจากอกเขา แต่เพราะณรงค์คิดว่าไรอันเพียงแกล้งทำเป็นหมดฤทธิ์เพื่อจะได้กลับเข้าไปด้านใน จึงไม่ยอมปล่อยแล้วก็ยิ่งรัดแขนข้างที่โอบเอวอีกฝ่ายแน่นขึ้น

“ไม่ได้ ขืนปล่อยคุณก็ได้หนีกลับเข้าไปในผับอีกล่ะสิ โตป่านนี้แล้วอย่าทำตัวเป็นเด็กช่างงอแงน่า”

นัยน์ตาคมสีน้ำตาลอ่อนตวัดขึ้นมองเขาอย่างฉุนเฉียว แต่ยังไม่ทันที่เจ้าตัวจะอ้าปากพูด ณรงค์ก็ยืนตัวแข็งเมื่อมือเรียวสองข้างคว้าจับสาบเสื้อเขาแน่นก่อนไรอันจะก้มหน้าลงแล้วโก่งคออาเจียนอย่างแรง ครู่หนึ่งกลิ่นบูดเฉพาะตัวของอาหารที่ยังย่อยไม่หมดคละเคล้ากับกลิ่นแอลกอฮอลล์ก็ลอยฟุ้งขึ้นช้าๆ จากจุดที่เสื้อของเขาถูกกระทำชำเรา ชายหนุ่มทำตาโตขณะที่ตัวต้นเหตุค่อยๆ ผงกศีรษะขึ้นมองเขาด้วยใบหน้าซีดเซียวแล้วเอ่ยเสียงอ่อย (แต่ดูเหมือนไม่สำนึกผิดแม้แต่น้อยสำหรับคนฟัง)

“See? …I told ya.”


++------++


ณรงค์ถอนหายใจขณะปล่อยให้สายน้ำอุ่นจากฝักบัวไหลลงบนร่างกายและเรือนผม มือแข็งแรงหยิบสบู่แบบก้อนขึ้นมาขยี้ฟองแล้วถูไปตามตัวเพื่อชำระคราบไคลและกลิ่นตัวที่ติดมาจากผับและอ้วกของใครบางคน สายน้ำอุ่นๆ ที่ไหลลงมากระทบผิวช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่เหนื่อยล้าหลังจากที่เขาต้องลากใครคนนั้นขึ้นรถและพากลับมาที่คอนโดได้เป็นอย่างดี

ตอนแรกณรงค์ไม่ได้ตั้งใจจะพาไรอันกลับมาด้วย แต่เพราะหลังจากอาเจียนจนหมดตับไตไส้พุง ผู้บริหารหนุ่มลูกครึ่งก็หมดสติแล้วไม่สามารถชี้บอกเขาได้อีกว่าจะให้ไปส่งที่ไหน ครั้นจะไปเปิดโรงแรมให้นอน ณรงค์ก็คิดว่านอกจากจะดูไม่ดีแล้วเขายังไปขอเบิกค่าห้องกับใครไม่ได้ จึงถือวิสาสะพาอีกฝ่ายกลับมาที่คอนโดเพราะถึงอย่างไรพรุ่งนี้ก็วันเสาร์ หากไรอันอยากจะนอนตื่นสายแค่ไหนก็ไม่ต้องกังวลว่าจะเลยเวลาเช็คเอ๊าท์แน่นอน

หลังจากอาบน้ำเสร็จ ณรงค์ก็เอาเสื้อคลุมอาบน้ำมาสวมแล้วใช้ผ้าขนหนูขยี้ผมขณะเดินกลับเข้าไปในห้องนอน กลางเตียงขนาดดับเบิ้ลเบดในห้องที่เปิดไว้เพียงโคมไฟคือร่างของหนุ่มลูกครึ่งที่กำลังนอนหลับสนิทอย่างไม่รับรู้เรื่องราวใดๆ เจ้าของห้องจึงลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียงโดยยังขยี้ผมไปด้วย

เนื่องจากตอนที่อาเจียนนั้นไรอันเล็งไม่ค่อยดี ดังนั้นนอกจากจะทำเสื้อและกางเกงของเขาเลอะแล้วก็ยังทำให้ทั้งเสื้อและกางเกงของตัวเองเปรอะไปด้วย ตอนแรกณรงค์ก็คิดว่าถ้ากลับมาถึงห้องแล้วหนุ่มลูกครึ่งได้สติก็จะปล่อยให้อาบน้ำเอง แต่ปรากฏว่าอีกฝ่ายไม่หือไม่อือทั้งสิ้นไม่ว่าเขาจะจับเดินไปทางไหน แถมพอเห็นเตียงก็ทำท่าจะล้มลงนอนทันทีอีกต่างหาก ร้อนถึงเขาต้องรีบรั้งให้มานั่งกับพื้นพรมแล้วจับปอกเปลือก เอ๊ย ถอดเสื้อผ้าที่เลอะเทอะออกให้ก่อน แต่เนื่องจากเสื้อผ้าที่ไรอันใส่มีเนื้อผ้าค่อนข้างบาง ตอนที่นั่งมาในรถจึงถูกอาเจียนที่เลอะซึมเข้าไปถึงกางเกงชั้นในเรียบร้อย ณรงค์จึงไม่มีทางเลือกนอกจากจับผู้บริหารของเขาถอดเสื้อผ้าเปลือยล่อนจ้อนแล้วเช็ดตัวให้อย่างกับเด็กทารก จากนั้นก็หยิบเสื้อยืดสีขาวสำหรับใส่นอนกับกางเกงบ็อกเซอร์ของเขาให้ใส่เพื่อจะได้ไม่เป็นหวัด เสร็จเรียบร้อยแล้วถึงค่อยอุ้มคนที่หลับไม่รู้เรื่องราวขึ้นนอนบนเตียงก่อนจะไปอาบน้ำบ้าง

แสงสีส้มอ่อนจากโคมไฟตั้งพื้นตรงมุมห้องส่องสะท้อนผิวสีงาช้างของคนที่กำลังหลับใหล ใบหน้าที่ไร้การป้องกันตัวเองทำให้หนุ่มลูกครึ่งดูเด็กลงกว่าอายุจริงราวกับเป็นหนุ่มแรกรุ่น ณรงค์นั่งเท้าคางมองใบหน้าที่ผิวใสเกลี้ยงจนเหมือนจะเปล่งแสงได้เองแล้วก็ยกมือขึ้นเสยผมให้ และพบว่าเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนหยักศกที่เขาเคยคิดว่าน่าจะสากกลับลื่นนิ้วจนทำให้ไม่อยากหยุดสาง เมื่อครู่ตอนที่ช่วยเช็ดตัวนั้นเขามีเวลาให้พินิจพิจารณาเรือนร่างเปลือยเปล่าของอีกฝ่ายอย่างเหลือเฟือ แต่ณรงค์เพียงแต่รีบทำทุกอย่างให้เสร็จเร็วที่สุดเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายไม่สบาย สำหรับเขาการแอบดูเรือนร่างของคนที่ไม่รู้ตัวก็ไม่ต่างอะไรกับคนโรคจิต มิสู้ให้เจ้าตัวมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ดี และเป็นฝ่ายเชื้อเชิญให้เขาเชยชมร่างกายอย่างเต็มใจยังจะน่าตื่นเต้นมากกว่า

ชักจะฟุ้งซ่านไปใหญ่แล้ว...รีบๆ ไปนอนจะได้ล้างหูไว้รอฟังคำโวยวายพรุ่งนี้ดีกว่ามั้ง...

คิดได้ดังนั้นณรงค์ก็ลุกขึ้นหยิบเสื้อกล้ามกับกางเกงขายาวมาสวม จากนั้นก็ปิดโคมไฟในห้องแล้วเดินออกไปนอนที่โซฟาในห้องนั่งเล่น ถึงแม้ว่าการนอนร่วมเตียงกับหนุ่มลูกครึ่งหุ่นสูงโปร่งหน้าตาดีจะเย้ายวนแค่ไหน แต่เขาก็ไม่คิดสั้นถึงกับจะปล่อยให้ตัวเองถูกบีบคอตายบนเตียงหลังจากเจ้าตัวตื่นขึ้นมาหรอก

++------++


ค่ำคืนนั้นผ่านไปอย่างราบรื่นเกินคาด ณรงค์ถึงกับแปลกใจด้วยซ้ำที่หลังจากตื่นขึ้นมาแล้วไม่ได้ยินเสียงโคร้งเคร้งหรือเสียงบริภาษเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงออสซี่ของคนในห้องนอน เมื่อลองแง้มประตูดูก็พบว่าไรอันยังหลับไม่ตื่น เพียงแต่จากท่านอนหงายธรรมดาที่เขาจัดให้เมื่อวาน เช้านี้หนุ่มลูกครึ่งนอนงอตัวและดึงผ้าห่มไปคลุมจนเป็นก้อนกลมปุ๊ก เห็นเพียงปอยผมสีน้ำตาลอ่อนยุ่งเหยิงที่โผล่ออกมาด้านบนเท่านั้น ดูแล้วเหมือนก้อนขนมปังไส้หมูหยองที่เขาชอบซื้อจากร้านใต้คอนโดไม่มีผิด

ณรงค์ถือโอกาสที่อีกฝ่ายยังไม่ตื่นเอาเสื้อผ้าซึ่งใส่เครื่องซักและอบแห้งไว้ตั้งแต่เมื่อคืนออกมาวางพาดบนเก้าอี้ให้ จากนั้นก็เดินย่องกลับไปที่ครัวเพื่อทำอาหารเช้าทาน ปกติเขาจะยอมให้ตัวเองนอนตื่นสายได้เล็กน้อยเมื่อถึงวันหยุด แต่ต่อให้นอนเพลินแค่ไหนเขาก็ไม่ค่อยตื่นสายกว่าเก้าโมงเช้า เนื่องจากเสียดายเวลาที่จะได้เอาไปทำอย่างอื่น และหลังจากจัดการธุระเสร็จเรียบร้อยก็กลับมานั่งดูโทรทัศน์ที่โซฟาเช่นเดิม

เวลาผ่านไปจนเกือบบ่ายสามจึงมีเสียงความเคลื่อนไหวจากในห้องนอน ณรงค์ที่กำลังนั่งดูการแข่งฟุตบอลอยู่หันหลังกลับไปเมื่อได้ยินเสียงประตูเปิด ใจหนึ่งก็ตุ๊มๆ ต่อมๆ ว่าจะโดนด่าว่าอะไร แต่อีกใจหนึ่งก็เฉยๆ เพราะเขานั่งรอให้อีกฝ่ายตื่นมานานหลายชั่วโมงจนเริ่มไม่ตื่นเต้นแล้ว ทว่าสิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มแปลกใจคือภาพของหนุ่มลูกครึ่งที่เดินขยี้ผมสีน้ำตาลอ่อนยุ่งๆ ของตัวเองออกมาจากในห้องแล้วมองซ้ายขวาอย่างงงๆ จากนั้นก็หยีตามองเขาเหมือนกำลังเพ่งอะไรที่อยู่ไกลมากๆ และนั่นก็ทำให้ณรงค์นึกไม่ออกว่าควรจะพูดอะไรอยู่หลายวินาที

“เอ่อ...ตื่นแล้วเหรอครับ?”

หลังจากตั้งสติได้ ณรงค์ก็ลุกจากโซฟาแล้วเอ่ยทักทายก่อน แต่ว่าไรอันก็เพียงแต่มองตามการเคลื่อนไหวของเขาโดยไม่หยุดหยีตา หนุ่มลูกครึ่งเอียงคอพร้อมกับประกายในแววตาที่บ่งว่าเหมือนจะนึกอะไรออก แต่ก็เหมือนไม่แน่ใจเสียทีเดียว

หรือว่า...ไม่จริงน่ะ...

ณรงค์เริ่มเดาได้เลาๆ ว่าสาเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายมองเขาอย่างกับเขาอยู่ห่างไปสักห้าร้อยเมตรแทนที่จะเป็นสองเมตรอย่างในความจริงนั้นเพราะอะไร จึงลุกเดินเข้าไปหาใกล้ๆ และทันทีที่เขาอยู่ห่างในระยะไม่ถึงเมตร นัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลอ่อนก็เบิกกว้างทันที

“นาย! นายณรงค์!!”

สายตาสั้นขั้นรุนแรงจริงๆ ด้วย ไม่อยากจะเชื่อ...

ชายหนุ่มพยายามบังคับตัวเองไม่ให้หัวเราะเมื่อได้ค้นพบความลับอีกอย่างของผู้บริหารหนุ่มลูกครึ่ง แต่แล้วก็ต้องรีบเบี่ยงตัวหลบเมื่อจู่ๆ ร่างสูงโปร่ง (แต่เตี้ยและผอมกว่า) พุ่งหมัดมาโดยเฉียดปลายจมูกเขาไปนิดเดียว ณรงค์อาศัยความไวรีบคว้าจับข้อมือข้างนั้นแล้วก็ยึดไว้แน่น

“เฮ่ย! เดี๋ยวก่อนสิ! จะไม่ฟังก่อนหรือไงว่าทำไมคุณถึงมาอยู่ที่ห้องผมน่ะ!?”

“ไม่ฟัง! ไอ้โรคจิต! What the hell did you do to me!?”

เมื่อหมัดหนึ่งไม่ได้ผล หมัดสองก็ตามมา ณรงค์จึงต้องคว้าจับมืออีกข้างไว้ด้วย ทั้งสองยักแย่ยักยันกันครู่หนึ่งอย่างไม่มีใครยอมใคร และสัญชาตญาณก็บอกณรงค์ว่าไรอันต้องยกเข่าขึ้นมาอัดท้องเขาแน่ จึงอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายเหลือบตาลงรีบบิดแขนเรียวข้างหนึ่งแล้วดึงตัวเข้ามากอดโดยให้แผ่นหลังชนกับอกของเขา จากนั้นก็ใช้แขนอีกข้างล็อกตัวเอาไว้แน่นเพื่อให้อยู่นิ่งๆ

“You fucking pervert!! Let go of me!!”

“นี่! ฟังกันให้รู้เรื่องก่อนได้มั้ย? ผมไม่มีอารมณ์ทำอะไรกับคนเมาที่อ้วกใส่ผมแล้วยังต้องให้พากลับมาที่ห้องอีกหรอกนะ รู้ตัวซะบ้างว่าถ้าเมื่อคืนผมไม่ช่วยล่ะก็คุณมีหวังโดนลากไปรุมกระทืบแล้ว!”

ดูเหมือนสิ่งที่ณรงค์พูดไปจะกระตุ้นต่อมความทรงจำซึ่งยังไม่ตื่นขึ้นมา ไรอันจึงค่อยๆ หยุดดิ้นรนในวงแขนของเขา และความเงียบที่ตามมาก็ทำเอาณรงค์แทบจะคิดว่าสามารถได้ยินเสียงฟันเฟืองในหัวของคนตรงหน้าเลยทีเดียว

“Oh…”

เสียงอุทานเบาๆ เหมือนเจ้าตัวระลึกความได้แล้วทำให้ชายหนุ่มถอนหายใจก่อนจะยอมปล่อยมือ แต่พอร่างกายเป็นอิสระ ร่างสูงโปร่งก็รีบดีดตัวออกห่างแล้วหันมามองเขาพร้อมกับคิ้วที่ขมวดแน่น

“แล้วทำไมผมถึงมาอยู่ที่ห้องคุณได้?”

สงสัยจะจำได้แต่ไม่หมด...ณรงค์คิดในใจ จากนั้นก็มองคนผมยุ่งตรงหน้าที่ดูแล้วเหมือนเด็กกำลังจ้องจะหาเรื่องด้วยนัยน์ตายิ้มปนเอือมหน่อยๆ

“เดี๋ยวผมเล่าให้ฟังก็แล้วกัน ยังไงไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะ เดี๋ยวผมทำข้าวเช้าให้ทาน”

ถึงจะบอกว่าเป็นข้าวเช้า แต่โดยเวลาแล้วก็นับว่าเลยมื้อกลางวันมามากโข แถมเพราะเมื่อคืนนี้ไรอันอาเจียนออกไปชุดใหญ่ ณรงค์จึงตัดสินใจต้มโจ๊กซองใส่ไข่ให้สำหรับมื้อแรกของวัน เมื่อหนุ่มลูกครึ่งเดินกลับมาหลังจากอาบน้ำเสร็จและเปลี่ยนไปใส่เสื้อผ้าชุดเดิมที่ซักสะอาดแล้ว นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนก็หรี่ลงมองถ้วยโจ๊กตรงหน้า

“นี่มันบ่ายสามแล้วนะ จะให้ผมกินแค่นี้เหรอ?”

ณรงค์เลิกคิ้ว “นี่คุณ เมื่อคืนคุณอ้วกหนักแค่ไหนรู้ตัวหรือเปล่า ถึงจะหิวก็กินของอ่อนๆ เข้าไปก่อนดีกว่า เกิดคลื่นไส้หรือท้องเสียขึ้นมาไม่คุ้มกันหรอก ถ้าหากกินแล้วยังไม่อิ่มเดี๋ยวผมต้มเพิ่มให้อีกซองก็ได้”

พูดจบแล้วเจ้าของห้องก็นั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม และจากระยะที่ห่างกันเพียงเส้นผ่านศูนย์กลางของโต๊ะกลมตัวเตี้ย ไรอันจึงเห็นนัยน์ตาคมกริบของณรงค์ที่จ้องมาเหมือนรอให้เขาทานอาหารที่ทำให้ได้อย่างชัดเจน หนุ่มลูกครึ่งจึงยอมนั่งแล้วยกช้อนขึ้นมาตักโจ๊กร้อนๆ ขึ้นทานแต่โดยดี และณรงค์ก็เพียงแต่มองอีกฝ่ายทานอาหารมื้อแรกอย่างเงียบๆ

เวลาดูแบบนี้แล้วเหมือนเด็กจริงๆ ด้วย...

ณรงค์คิดขณะมองคนตรงหน้าก้มลงเป่าโจ๊กซึ่งร้อนจนเห็นไอสีขาวลอยกรุ่น และไรอันก็ดูเหมือนจะจับได้ถึงรอยยิ้มในแววตาของคนจ้อง นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนจึงตวัดขึ้นมองเขาอย่างระวังระไว

“ไหนว่าจะเล่าเรื่องเมื่อคืนให้ฟังไง ทีนี้ก็เล่าเสียทีสิ”

“อ้อ ครับๆ”

ชายหนุ่มตอบรับแล้วก็เริ่มเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้ฟัง เริ่มตั้งแต่ตอนที่เขาเข้าไปในผับและเริ่มสังเกตเห็นอีกฝ่ายอยู่กลางฟลอร์ ยิ่งพอเล่าถึงตอนที่ไรอันเมาจนชกคนแปลกหน้าและอ้วกใส่เสื้อเขาตอนเดินออกมาจากผับ สีหน้าของคนฟังก็ซีดเผือดลงเรื่อยๆ พอณรงค์เล่าถึงตอนที่พาขึ้นมาถึงบนห้องแล้วและกำลังจะถอดเสื้อผ้าเช็ดตัวให้ หนุ่มลูกครึ่งก็รีบยกมือขึ้นปิดปากเขาทันที

“พอแล้ว! I get it! ไม่ต้องเล่าแล้ว!”

ณรงค์กะพริบตา จากนั้นก็หัวเราะหึๆ คนที่ใช้มือปิดปากเขาอยู่จึงสะดุ้งแล้วก็รีบชักมือกลับ พลันใบหน้าเนียนที่เมื่อครู่ซีดเผือดก็เริ่มมีสีเลือดฝาดขึ้นอีกครั้ง เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อน (และตอนนี้ผมไม่ยุ่งแล้ว) ก้มลงตักโจ๊กทานต่อโดยดูจะหลีกเลี่ยงการสบตากับเขาอย่างเห็นได้ชัด ชายหนุ่มเจ้าของห้องเห็นท่าทางแบบนั้นจึงตัดสินใจไม่แซวอีก

“ว่าแต่ผมเพิ่งรู้นะว่าคุณสายตาสั้นมากขนาดนี้ ตอนอยู่ที่ออฟฟิศไม่เห็นเคยใส่แว่นสักครั้ง”

ณรงค์ทักขึ้น จึงได้รับคำตอบกลับแทบจะทันควัน “รู้จักคอนแทคต์เลนส์มั้ย? ผมไม่ชอบใส่แว่นก็เลยใส่คอนแทคต์ประจำ แต่ที่เมื่อเช้าตื่นมาเห็นคุณไม่ชัดคงเพราะมันหลุดไปตอนต่อยไอ้หมอนั่นเมื่อคืน”

“อ้อ...ก็เป็นไปได้”

ชายหนุ่มเจ้าของห้องพยักหน้าหงึกๆ จากนั้นก็ไม่ถามอะไรอีกและปล่อยให้อีกฝ่ายทานโจ๊กต่ออย่างสงบ

รู้สึกแปลกๆ ดีเหมือนกันแฮะ...ความจริงมีคนมานั่งกินข้าวในห้องเดียวกันก็ไม่เลวนี่นะ...

ณรงค์จับจ้องสายตาบนปลายนิ้วเรียวที่กระชับอยู่รอบช้อนสแตนเลส มองตามมือนั้นที่ลดลงใช้ช้อนตักโจ๊กสีขาวขุ่นขึ้นเป่า ไล่สายตาตามไปจนโจ๊กคำนั้นถูกส่งเข้าไปในริมฝีปากได้รูปสีสดที่เผยออ้า รวมทั้งช่วงคอเรียวที่ขยับยามกลืนโจ๊กอุ่นๆ ลงไป และเฝ้ามองการเคลื่อนไหวที่ซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างเผลอไผลโดยไม่รู้เบื่อ

“แค่คนนั่งกินโจ๊ก จะมองอะไรกันนักกันหนา?”

คำถามนั้นทำให้ณรงค์ตื่นจากภวังค์ ชายหนุ่มกะพริบตาแล้วก็รู้สึกตัวว่าคนพูดยังถือช้อนอยู่แต่หยุดตักโจ๊กแล้ว ตอนแรกเขานึกว่าคงเผลอทำให้อีกฝ่ายรำคาญที่เอาแต่จ้องอย่างเสียมารยาท แต่เมื่อเหลือบตาขึ้นก็เห็นผิวแก้มอีกฝ่ายเป็นสีสุกปลั่ง แล้วยังไม่นับรวมนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนที่จดจ่ออยู่กับชามโจ๊กโดยไม่สบตาเขานั่นอีก

กำลังเขินงั้นเหรอ...

ณรงค์อ่านท่าทางของอีกฝ่ายออกอย่างง่ายดาย บางทีการได้พูดคุยกันเมื่อครู่อาจทำให้ไรอันรู้ตัวแล้วว่าการที่ทั้งสองไปเที่ยวผับเดียวกันเมื่อคืนหมายความว่าอย่างไร แล้วนี่เขายังมานั่งจ้องอีกฝ่ายเอาแบบไม่เกรงใจกันอีก ไม่รู้ว่าจะทำให้พาลนึกไปถึงเรื่องที่เมื่อคืนเขาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ด้วยหรือเปล่า

เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ ณรงค์ก็ชักรู้สึกร้อนๆ หน้าขึ้นมาเหมือนกัน ความจริงแล้วเมื่อคืนนี้ก็ใช่ว่าเขาจะทำทุกอย่างด้วยใจบริสุทธิ์ผุดผ่องไปเสียหมด เพราะยอมรับว่าบางขณะที่เอาผ้าชุบน้ำเช็ดไปตามผิวกายของอีกฝ่าย เขาก็อดจะห้ามความคิดของตัวเองไม่ได้ว่า...ผู้ชายอะไรผิวเนียนลื่นมือชะมัด

ชายหนุ่มกระแอมแล้วก็ลุกขึ้น จากนั้นก็ชงกาแฟแล้วเอามาวางบนโต๊ะพร้อมกระปุกน้ำตาลทรายและครีมเทียม เขาไม่พูดอะไรสักคำแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ว่าชงมาให้จึงพยักหน้าขอบคุณ ณรงค์จึงเดินออกจากครัวแล้วก็รีบอาศัยเวลานี้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เมื่อเขาแต่งตัวเสร็จและเดินกลับออกมาอีกครั้งก็พบว่าหนุ่มลูกครึ่งกำลังเก็บล้างชามโจ๊กกับถ้วยกาแฟอยู่หน้าอ่างล้างจาน ร่างสูงโปร่งใช้เท้าข้างหนึ่งเขี่ยข้อเท้าอีกข้างเหมือนจะเกา ณรงค์เห็นท่าทางดังนั้นก็เผลอหัวเราะจนอีกฝ่ายสะดุ้งแล้วหันมาหยีตามองเขาตาขุ่น (แต่หยีตาแล้วยังทำตาขุ่นได้ยังไงณรงค์ก็จนปัญญาจะเลียนแบบ)

“ผมเพิ่งนึกได้ว่าวันนี้วันคริสต์มาส ถ้าคุณไม่รีบกลับจะไปเดินเล่นดูไฟในเมืองด้วยกันไหม?”

“หา?...ผมกับคุณ?”

หนุ่มลูกครึ่งเลิกคิ้วถามเหมือนไม่เชื่อหู ณรงค์จึงพยักหน้า แล้วก็ย้ำคำชวนด้วยการชี้นิ้วไปที่อีกฝ่ายแล้วชี้กลับหาตัวเองอยู่สองสามครั้ง

“I haven’t got my contact lens today…”

จู่ๆ ไรอันก็ตอบเป็นภาษาอังกฤษ แต่นับตั้งแต่เมื่อคืนณรงค์จึงรู้แล้วว่าอีกฝ่ายจะกลับไปพูดภาษาที่ถนัดเวลาที่โมโหหรือประหม่า และเขาเชื่อว่ากรณีนี้น่าจะมีสาเหตุมาจากข้อหลังมากกว่าข้อแรก

“ไม่เป็นไรหรอกน่า แสงไฟเขาติดแผงใหญ่เบ้อเริ่ม ต่อให้สายตาสั้นยังไงก็ดูไม่ลำบากหรอก หรือถ้าคุณกลัวจะเดินชนอะไรเดี๋ยวผมคอยจูงมือก็ได้”

“That’s not fucking funny, but...ไปก็ได้”

หลังจากผ่านไปชั่วอึดใจณรงค์ก็ได้คำตอบ ชายหนุ่มจึงยิ้มกว้างแล้วก็เดินเข้าไปหยิบชามที่ยังเปียกโชกในมือของอีกฝ่ายขึ้นวางที่ตะแกรงพักข้างอ่าง จากนั้นก็วางมือลงบนไหล่ผอมทั้งสองข้างแล้วดันให้เดินไปทางห้องนอน

“งั้นคุณเอาแจ็คเก็ตกับข้าวของคุณออกมาก่อนแล้วกัน ผมวางโทรศัพท์มือถือกับกระเป๋าเงินของคุณไว้ที่โต๊ะหน้ากระจก เดี๋ยวไปนั่งรถเล่นกันก่อนแล้วค่อยไปดูไฟ”

ร่างสูงโปร่งขมวดคิ้วเหมือนไม่พอใจที่ถูกสั่งอย่างกับเป็นเด็กๆ แต่พอเห็นนัยน์ตาวาววับของณรงค์ก็รีบเบี่ยงตัวออกแล้วเดินเข้าไปในห้อง ณรงค์หัวเราะในคอก่อนจะเดินไปที่ตู้เก็บรองเท้าข้างประตูแล้วหยิบรองเท้าหนังหุ้มข้อทรงคล้ายรองเท้าคอมแบทขึ้นมาสวม จากนั้นก็หยิบแจ็คเก็ตหนังที่แขวนอยู่บนขอข้างประตูขึ้นมาพาดบ่า ถึงแม้อากาศยามค่ำในกรุงเทพฯ จะไม่ถึงกับหนาว แต่การเตรียมตัวไว้ก่อนย่อมดีกว่า ชั่วอึดใจไรอันก็เดินออกมาโดยสวมแจ็คเก็ตเนื้อบางของตัวเองทับเสื้อเรียบร้อย ร่างสูงโปร่งเลิกคิ้วเมื่อเดินเข้ามาใกล้แล้วเห็นเขายิ้ม

“ยิ้มทำไม?”

“เปล่าครับ...ไปกันเถอะ”

ณรงค์เอ่ยแล้วก็เปิดประตูค้างไว้เหมือนรอให้หนุ่มลูกครึ่งออกไปก่อน ไรอันจึงสวมรองเท้าแล้วก็หันมามองเขาพร้อมกับทำสายตา...เหมือนจะค้อนก็ไม่เชิง แต่ก็สรุปได้ว่าแสดงถึงความหมั่นไส้อย่างแน่นอน แต่เจ้าของห้องก็เพียงแต่ยิ้มอย่างไม่นำพาก่อนจะล็อกห้องแล้วเดินตามอีกฝ่ายไปที่ลิฟต์

เนื่องจากคอนโดของณรงค์อยู่ชานเมือง บวกกับเขาคำนวณผิดว่าบ่ายวันเสาร์รถไม่น่าจะติดจึงไม่ขึ้นทางด่วน กลับกลายเป็นว่าเส้นทางที่เขาเลือกนั้นรถติดสนั่น แถมมีแยกไฟแดงแทบจะทุกๆ หนึ่งกิโลเมตร ดังนั้นแม้คนขับจะใจเย็นแค่ไหน แต่คนที่นั่งอยู่ข้างๆ กลับกอดอกแล้วเคาะนิ้วไปมาอย่างไม่สบอารมณ์

“ทำไมไม่เลือกขึ้นทางด่วนแต่แรกนะคุณ ถ้าไม่อยากจ่ายค่าผ่านทางก็ให้ผมออกก็ได้ แต่ค่าน้ำมันที่มาติดแหง็กอยู่แถวนี้น่ะผมไม่รับผิดชอบด้วยหรอกนะ”

ไรอันหันมาบ่นอย่างชัดถ้อยชัดคำ ซึ่งนานครั้งที่ณรงค์จะได้ยินผู้บริหารหนุ่มลูกครึ่งพูดภาษาไทยฉะฉานเป็นประโยคยาวแบบนี้โดยไม่มีภาษาอังกฤษเจือปน ชายหนุ่มจึงหรี่เสียงวิทยุแล้วหันไปตอบ

“ก็มองในแง่ดีว่ากว่าเราจะไปถึงเขาก็คงเปิดไฟพอดีไงคุณ โชคดีว่าหน้าหนาวฟ้ามืดเร็วอยู่แล้วด้วย หรือนั่งในรถกับผมสองคนนานๆ แล้วอึดอัดมากเหรอ?”

ดูเหมือนคำถามสุดท้ายจะเป็นหมัดเด็ดเพราะไรอันทำท่าผงะไป จากนั้นก็หันไปเท้าคางมองหน้าต่างอีกด้านแล้วบ่นพึมพำเป็นภาษาอังกฤษซึ่งณรงค์ฟังไม่ออก แต่ก็พอจะเดาได้ว่าคงไม่ใช่คำดีๆ แน่ ทว่าเขากลับไม่รู้สึกหงุดหงิดที่ไม่รู้ว่าโดนแขวะว่าอะไรบ้าง ตรงกันข้าม ชายหนุ่มกลับอารมณ์ดีจนฮัมเพลงตามวิทยุเสียด้วยซ้ำ

กว่าทั้งสองจะมาถึงสี่แยกที่ประดับประดาด้วยไฟนีออนหลากสีเพื่อฉลองเทศกาลส่งท้ายปีก็กินเวลาไปเกือบสองชั่วโมง (โดยที่ไรอันไม่รู้ว่าณรงค์แกล้งขับรถอ้อม) แสงอาทิตย์ถูกฟ้ายามเย็นดูดซับจนเหลือเพียงสีส้มจางที่พร้อมจะกลืนไปกับความมืดสลัวของยามสนธยา ณรงค์เลือกจะไม่เข้าไปหาที่จอดในห้างสรรพสินค้าเพราะรู้ดีว่าคงหายากและเสียเวลานาน จึงเลี้ยวเข้าไปในโรงแรมแถวนั้นแทนแม้ว่าค่าจอดจะแพงก็ตาม จากนั้นจึงค่อยเดินนำหนุ่มลูกครึ่งขึ้นบันไดไปชั้นบนเนื่องจากเขาจอดรถไว้ที่ชั้นใต้ดิน

ตอนเดินขึ้นบันไดนั้นณรงค์เดินนำไปก่อน จึงไม่ทันได้สังเกตว่าคนข้างหลังค่อนข้างประสบความลำบากในการคลำทางเนื่องจากไม่ได้ใส่คอนแทคต์เลนส์และแสงในลานจอดใต้ดินก็ค่อนข้างสลัว เขาได้ยินเสียงอุทานเบาๆ ที่ฟังคล้าย “Shit!” ครั้งหนึ่งจึงหันหลังกลับไปมอง แต่ก็เห็นอีกฝ่ายเพียงแต่จับราวบันไดแล้วเดินตามเขามาอย่างไม่มีปัญหา แต่พอจะหันกลับไปด้านหน้าอีกครั้งก็ได้ยินเสียงหกล้มชัดเจน คราวนี้เขาจึงรีบถอยลงไปหาทันที

“สะดุดขั้นบันไดเหรอ? ทำไมไม่บอกผมก่อนล่ะว่ามองทางไม่เห็น ปล่อยให้ตัวเองลำบากอยู่ได้”

ณรงค์ลืมไปชั่วขณะว่าเขาเป็นลูกน้องและไรอันเป็นผู้บริหาร เพราะจากท่าทางดื้อแพ่งและลักษณะการช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ตอนนี้มันทำให้เขารู้สึกเหมือนอีกฝ่ายเป็นน้องเป็นนุ่งที่ต้องคอยดูแลเสียมากกว่า พอเขาเห็นว่าไรอันเม้มปากแล้วเอามือหนึ่งลูบมืออีกข้างจึงรีบคว้ามือนั้นมาดู ทำให้เห็นว่าฝ่ามือข้างที่เจ้าตัวใช้ยันพื้นบันไดตอนสะดุดเมื่อครู่เป็นรอยถลอกบางๆ

“Shut up.”

ไรอันตอบพลางดึงมือตัวเองกลับโดยไม่สบตาเขา ยิ่งณรงค์เห็นท่าทางแบบนั้นก็ยิ่งรู้สึก...เอ็นดูแกมมันเขี้ยว ดูเหมือนว่ายิ่งเขาได้ใช้เวลาใกล้ชิดกับหนุ่มลูกครึ่งมากเท่าไหร่ ภาพของผู้บริหารขี้โวยวายเมื่อวานก็ยิ่งดูจะห่างไกลจากคนตรงหน้ามากขึ้นทุกที

“เอางี้ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้นอีกแล้วเดี๋ยวคุณจะมาฟ้องร้องผม ผมจะจูงมือคุณเดินตลอดทางก็แล้วกัน เพราะข้างนอกพอยิ่งมืดคงยิ่งเดินลำบากเข้าไปใหญ่ ว่าแต่ตอนนี้ขึ้นไปหาห้องน้ำแล้วล้างมือกันก่อนดีกว่า จะได้ดูให้ชัดด้วยว่าเลือดออกหรือเปล่า”

ดูเหมือนไรอันจะไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอเท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธความช่วยเหลือเมื่อถูกณรงค์ฉุดแขนให้ลุกขึ้นแล้วประคองขึ้นบันได พอขึ้นมาถึงชั้นล็อบบี้แล้วหนุ่มลูกครึ่งก็รีบสะบัดมือเพราะไฟสว่างพอที่เขาจะเดินเองได้ แต่ก็ยังต้องก้าวช้าๆ และระมัดระวังอยู่ดีเพื่อไม่ให้ชนอะไรก่อนจะถึงห้องน้ำ ฝ่ายณรงค์ก็พอจะเข้าใจว่าอีกฝ่ายคงอยากรักษาศักดิ์ศรีที่เหลืออยู่บ้าง จึงไม่เอ่ยขัดและเพียงแต่เดินช้าๆ เคียงข้างอีกฝ่ายไปที่ห้องน้ำแต่โดยดี

โชคดีว่ารอยครูดบนฝ่ามือของไรอันไม่หนักหนา เมื่อล้างมือแล้วก็แทบจะไม่เห็นรอยแม้เจ้าตัวจะทำท่าเหมือนแสบอยู่บ้างตอนฟอกสบู่ หลังจากเช็ดมือแห้งแล้วทั้งสองจึงเดินออกมาจากโรงแรมทางด้านหน้าด้วยกัน และคราวนี้ถึงเวลาที่หนุ่มลูกครึ่งต้องยอมลดศักดิ์ศรีให้คนตัวสูงกว่าจูงจริงๆ เนื่องจากภายนอกสลัวจนเขาแทบจะมองทางเดินที่ต่างระดับไม่เห็น

ชายหนุ่มรูปร่างค่อนข้างสูงสองคน คนหนึ่งสูงโปร่ง หน้าตาคมเข้มแต่ผิวสีอ่อนและผมหยักศกแบบลูกครึ่ง ขณะที่อีกคนคมคายแบบชายไทย ผิวคล้ำกว่าเล็กน้อย ส่วนสูงและช่วงตัวกว้างกว่าที่เดินจูงมือกันดูจะเรียกความสนใจของคนทั่วไปพอสมควร ถึงแม้ไรอันจะไม่เห็นสายตาเหล่านั้นได้ถนัด แต่เงาลางๆ ของคนที่มองมาก็ทำให้หนุ่มลูกครึ่งพอจะเดาปฏิกิริยาของคนรอบตัวได้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-01-2011 17:13:49 โดย bellbomb »

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
“ถ้าเกิดเจอคนที่บริษัท สัญญานะว่าคุณต้องปล่อยมือผม”

ไรอันเอ่ยขึ้นหลังจากออกเดินกันได้สักครู่ ณรงค์จึงเหลือบตาลงมองคนข้างตัวแล้วก็พึมพำรับในคอ แต่ว่ามือที่กุมมืออีกฝ่ายไว้กลับกระชับแน่นมากขึ้น ชายหนุ่มเหลือบไปเห็นแผงขายของข้างทางแล้วก็เกิดความคิดขึ้นมา จึงฉุดไรอันให้เดินตามไป

“เอางี้แล้วกัน เอ้านี่...ทีนี้ถึงใครเห็นก็จำไม่ได้หรอกว่าเป็นคุณ”

ณรงค์ยอมปล่อยมืออีกฝ่ายชั่วคราวเพื่อหยิบเลือกของที่ต้องการและจ่ายเงินให้แม่ค้า จากนั้นก็สวมสิ่งที่ได้มาลงบนหน้าของไรอัน เมื่อหนุ่มลูกครึ่งยกมือขึ้นคลำจึงรู้ว่ามันคือแว่นตัวตลกแบบไม่มีเลนส์และมีจมูกพลาสติกอันใหญ่ยื่นต่อลงมา ความโมโหทำให้เขากระชากแว่นนั้นออกแล้วก็ตวาดใส่ณรงค์ทันที

“มันจะมากไปแล้วนะ! ผมบอกแค่ว่าถ้าเจอคนรู้จักให้ทำเหมือนเราไม่ได้มาด้วยกัน ไม่ได้หมายความว่าผมอยากเล่นปลอมตัวปัญญาอ่อนแบบนี้!”

ชายหนุ่มร่างสูงเลิกคิ้ว “เอ้าๆ ใจเย็นๆ ไม่เอาก็ไม่เอา ผมแค่เห็นคุณไม่อยากให้คนที่ออฟฟิศรู้นักว่ามากับผมก็เลยกะให้คุณใส่บังหน้าไว้แค่นั้นเอง งั้นเปลี่ยนเป็นแบบอื่นก็ได้ ขอโทษนะครับป้า ขอเปลี่ยนอันแล้วกันครับ”

ณรงค์คืนแว่นที่เพิ่งซื้อให้แม่ค้าแล้วขอเปลี่ยนเป็นแว่นพลาสติกกรอบหนาไม่มีเลนส์แทน แล้วก็ซื้อผ้าพันคอแบบลายตารางมีพู่ห้อยแบบที่วัยรุ่นชอบใช้กันมาพันคอให้ด้วย ถึงแม้หนุ่มลูกครึ่งจะบอกเขาเมื่อตอนบ่ายว่าไม่ชอบใส่แว่น แต่ดูเหมือนการปลอมตัวนี้จะช่วยเปลี่ยนภาพลักษณ์หนุ่มนักบริหารให้กลมกลืนกับเหล่าวัยรุ่นที่มาเดินเล่นย่านนั้นได้พอสมควร สุดท้ายไรอันจึงยอมแม้จะดูไม่ค่อยเต็มใจก็ตาม

เวลายิ่งเย็นย่ำ ท้องฟ้าก็ยิ่งมืดลงเช่นเดียวกับอากาศที่เย็นสบายขึ้นกว่าช่วงบ่าย และความมืดก็ยิ่งช่วยขับให้แสงไฟที่ประดับประดาเป็นรูปร่างต่างๆ ตามถนนและห้างสรรพสินค้าสว่างจับตายิ่งขึ้น ผู้คนมากมายที่หลั่งไหลกันออกมาเดินเล่นและถ่ายรูปดูไฟในค่ำวันเสาร์ทำให้พวกเขาสองคนไม่ค่อยต้องกังวลเรื่องการกุมมือกันเดิน และพอผ่านไปครู่หนึ่งก็ดูเหมือนไรอันจะชินกับการถูกจูงมือจนเผลอกุมมือณรงค์กลับ เวลาเห็นอะไรที่อยากดูเป็นพิเศษก็จะกระตุกมือเขาแล้วบอกให้พาไปทางนั้น แต่ณรงค์สังเกตว่าหนุ่มลูกครึ่งจะไม่แสดงท่าทางตื่นเต้นออกนอกหน้าเมื่อเห็นอะไรถูกใจ เพียงแต่นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนจะเบิกกว้างขึ้นและริมฝีปากสีสดเผยอขึ้นเล็กน้อย จนเมื่อได้ดูสิ่งที่ต้องการจนพอใจแล้วก็จะกระตุกมือเขาเหมือนเป็นสัญญาณว่าให้พาไปจุดอื่นได้ และทั้งๆ ที่เขากำลังถูกทำเหมือนเป็นสุนัขนำทาง แต่ณรงค์กลับไม่รำคาญเลยสักนิดที่ถูกกระตุกมือให้หมุนไปทางนั้นทางนี้ ตรงกันข้าม เขากลับรู้สึกสนุกและกระตือรือร้นตามไปด้วยเมื่อเห็นไรอันแสดงความสนใจในสิ่งไหน

หลังจากดูไฟบริเวณสี่แยกหมดแล้ว ณรงค์ก็พาไรอันขึ้นทางเดินลอยฟ้าเพื่อไปดูไฟที่ประดับตรงจุดอื่นๆ ต่อ ลมกลางคืนที่เย็นสดชื่นทำให้ทั้งคู่ไม่เหน็ดเหนื่อยและเดินเคียงกันบนทางเดินไปได้เรื่อยๆ ระหว่างทางณรงค์มองลงไปเห็นเหล่าแผงขายของที่เรียงกันแน่นขนัดอยู่บนฟุตปาธตรงข้ามห้างสรรพสินค้าใหญ่ จึงนึกสนุกพาไรอันลงไปเดินดูของด้วยกัน ถึงแม้ว่าข้าวของที่นำมาขายส่วนใหญ่จะหนักไปทางสินค้าสำหรับผู้หญิง แต่ณรงค์ก็สังเกตได้ว่าคนที่กุมมืออยู่กับเขาเหลือบมองนั่นนี่รอบตัวด้วยความสนใจเหมือนกับไม่เคยได้มาเดินตลาดกลางคืนเช่นนี้มาก่อน

กว่าทั้งคู่จะเดินย้อนกลับทางเดิมหลังจากดูไฟที่ประดับประดากันจนอิ่มและไรอันเริ่มบ่นว่าร้อน เวลาก็ผ่านไปมากกว่าสองชั่วโมง เมื่อกลับไปถึงโรงแรมณรงค์จึงพาอีกฝ่ายไปนั่งที่เล้าจน์ด้วยกันก่อนเพื่อพักเหนื่อยและสั่งเครื่องดื่มมาแก้กระหาย

หลังจากต่างได้เครื่องดื่มที่สั่งและซดกันเข้าไปอึกใหญ่เพื่อชดเชยที่ไม่ได้ดื่มน้ำเสียนาน ความเงียบก็โรยตัวลงมาคลี่คลุมทั้งสองอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าไม่ใช่ความเงียบที่ทำให้รู้สึกอึดอัดเพราะไม่รู้จะพูดอะไรกัน สำหรับณรงค์ เขาคิดว่าความเงียบนี้มาจากความรู้สึกสบายใจที่จะเป็นตัวของตัวเองกับคนที่นั่งอยู่ด้วยโดยไม่ต้องสื่อออกมามากกว่า

“Thank you. วันนี้ผมสนุกมาก”

ไรอันเอ่ยพลางถอดแว่นพลาสติกออกวางบนโต๊ะ จากนั้นก็แกะผ้าพันคอแล้วม้วนลงวางทับ ชายหนุ่มยกมือหนึ่งขึ้นสางผมหยักศกสีน้ำตาลอ่อนที่ยุ่งเหยิงหลังจากไปเดินโต้ลมมาจนกลับเป็นทรง และวูบหนึ่งที่ณรงค์อยากจะยื่นมือออกไปขยี้ให้มันยุ่งเหมือนเมื่อครู่ก่อนมากกว่า

แต่ก็แค่วูบเดียวเท่านั้น...

“ไม่เป็นไร ผมดีใจที่วันนี้ได้พาคุณออกมาเที่ยว ตอนคุณอยู่เมลเบิร์นน่าจะมีงานฉลองใหญ่กว่านี้ล่ะสิ?”

ณรงค์เอ่ยพลางยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม เขาไม่ค่อยชอบใช้หลอดมาแต่ไหนแต่ไรเพราะรู้สึกว่าทำให้ลิ้นไม่ทันได้ละเลียดรสของเครื่องดื่มเท่าที่ควร ไรอันมองสบตาเขาครู่หนึ่งก็หลุบตาลง

“ปกติครอบครัวผมก็ไม่ค่อยได้ฉลองวันคริสต์มาสหรอก พ่อผมเป็นพุทธถึงจะเป็นคนออสซี่ก็เถอะ แต่อย่างน้อยพวกเราก็จะทานดินเนอร์ด้วยกันเป็นประจำ ปีนี้เป็นปีแรกที่พวกเราไม่ได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา”

ณรงค์ได้ฟังก็เลิกคิ้ว “ความจริงคุณใช้สิทธิ์ลาพักร้อนบินกลับไปเยี่ยมก็ได้นี่ ถึงยังไงช่วงนี้ก็เป็นช่วงเทศกาลอยู่แล้ว ชาวต่างชาติคนอื่นเขาก็ลางานกลับไปบ้านเกิดกันเยอะแยะ”

หนุ่มลูกครึ่งส่ายหน้า “ที่นี่มีอะไรให้ต้องดูแลเยอะมาก พ่อวางใจให้ผมมาทำหน้าที่ที่นี่ ผมเลยสัญญากับตัวเองว่าจะต้องทำผลงานให้ได้สำเร็จสักชิ้นก่อนจะยอมบินกลับไปเยี่ยม ผมอยากให้พ่อกับแม่ภูมิใจว่าผมโตแล้ว ไม่ใช่เด็กน้อยที่ฝากฝังอะไรไม่ได้”

สิ่งที่ได้ยินทำให้ณรงค์รู้สึกเหมือนเพิ่งได้รู้จักชายหนุ่มตรงหน้าเป็นครั้งแรก ถึงแม้ใบหน้าที่ดูอ่อนเยาว์และวิธีทำงานที่ดูโผงผางเจ้าอารมณ์ รวมทั้งการวางตัวที่ห่างเหินเย็นชาจะทำให้ใครๆ เข้าใจว่าไรอันเป็นหนุ่มน้อยที่ดวงหนุนจึงได้มารับตำแหน่งสำคัญนี้ แต่เบื้องหลังนั้นเจ้าตัวมีความมุ่งมั่นและทุ่มเทให้กับหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาก ถึงกับสัญญากับตัวเองว่าจะไม่กลับไปเยี่ยมบ้านถ้ายังไม่ได้สร้างผลงานเพื่อกลับไปเล่าให้ฟัง และเขาก็รู้สึกราวกับถูกความมุ่งมั่นในแววตาสีน้ำตาลอ่อนที่ทอดมองมานั้นดึงดูดให้จมดิ่งลงไปทุกที

ความรู้สึกนี้...มันคืออะไรกัน...

ทั้งสองนั่งดื่มเครื่องดื่มแกล้มกับคุ้กกี้ที่พนักงานนำมาเสิร์ฟจนหมดโดยไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีก เพียงแต่นั่งเงียบๆ มองทิวทัศน์ภายนอกซึ่งเต็มไปด้วยแสงไฟประดับประดาและเสียงเพลงที่บรรเลงโดยนักเล่นเปียโนตรงบริเวณเล้าจน์เท่านั้น จวบจนเวลาผ่านไปได้ครู่ใหญ่ ไรอันจึงโบกมือเรียกพนักงานให้มาคิดเงิน ณรงค์จึงรีบห้ามไว้

“ไม่ต้องหรอก ผมจ่ายเอง”

ไรอันเพียงเหลือบตาขึ้นมองเขาก่อนจะหยิบบัตรเครดิตกับบัตรอีกใบยื่นส่งให้พนักงาน เมื่อลับหลังบริกรสาวจึงค่อยเอ่ยขึ้น

“It’s nothing. ถือว่าเป็นค่าตอบแทนที่ผมทำให้คุณต้องลำบากช่วยดูแลเมื่อคืนกับที่พาออกมาเที่ยวก็ได้ อีกอย่างผมมีบัตรสมาชิกของโรงแรมนี้อยู่แล้วด้วย”

ณรงค์อยากจะแย้ง แต่ติดที่พนักงานสาวคนเดิมเดินนำบิลกลับมาให้ไรอันเซ็นต์ชื่อแล้ว เขาจึงได้แต่เก็บความไม่พอใจเอาไว้ และเมื่อไรอันลุกขึ้นเขาก็หยิบผ้าพันคอกับแว่นพลาสติกบนโต๊ะมาถือในมือหนึ่งแล้วลุกเข้าไปยืนข้างๆ หนุ่มลูกครึ่งที่กำลังเก็บกระเป๋าสตางค์ลงกระเป๋ากางเกงจึงเหลือบตาขึ้นมองเขาอย่างแปลกใจ

“คุณยังไม่ต้องจูงผมตรงนี้ก็ได้ ไฟตรงล็อบบี้สว่างพอ”

“เดี๋ยวพอไปถึงบันไดคุณก็ต้องให้ผมช่วยอยู่ดี งั้นก็จูงตั้งแต่ตรงนี้เลยดีกว่า”

ผู้บริหารหนุ่มเผยอริมฝีปากเหมือนจะปฏิเสธ แต่อาจเพราะเห็นอะไรบางอย่างในแววตาของณรงค์ ชายหนุ่มจึงยอมปิดปากและส่งมือให้อีกฝ่ายจับแต่โดยดี แต่แทนที่ณรงค์จะกุมมือนั้นไว้เฉยๆ แล้วออกเดิน เขากลับจับมือข้างนั้นขึ้นมาให้คล้องไว้กับศอกของเขา ร่างสูงรู้สึกเหมือนคนข้างตัวสะดุดฝีเท้าในก้าวแรก แต่หลังจากนั้นไรอันก็เพียงแต่ปล่อยให้เขาเดินนำเงียบๆ โดยไม่แสดงท่าทางต่อต้านหรืออยากดึงมือออกจากท่อนแขนของเขาอีก

ตอนขับรถออกจากโรงแรม แม้ว่าจะมีตราประทับแล้วแต่ณรงค์ก็ยังต้องเสียค่าจอดในส่วนของเวลาที่เกินขึ้นมา และเขาก็หยิบเงินออกจ่ายเองทันทีโดยไม่ฟังเสียงคัดค้านของคนข้างตัวสักนิด จวบจนออกมาถึงถนนใหญ่แล้ว ไรอันจึงถามเขาเสียงอ่อน

“ผมทำอะไรให้คุณโกรธเหรอ?”

เสียงนั้นสะท้อนถึงความสำนึกผิดโดยที่เจ้าตัวก็ไม่รู้ว่าทำอะไรพลาดไป และเมื่อณรงค์ชำเลืองมองเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนที่กำลังมองเขาอย่างขอคำตอบ คราวนี้เขากลับเป็นฝ่ายรู้สึกผิดจนต้องรีบเบนสายตาหนีเสียเอง

“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก ดึกแล้วคุณหิวหรือเปล่า? จะว่าไปเรายังไม่ได้ทานมื้อเย็นกันเลยนี่”

ณรงค์ถามโดยทำทีเป็นพูดเปรยๆ ทั้งที่ในใจอยากให้อีกฝ่ายตอบรับ ยังสั้นเกินไป...ค่ำคืนนี้ดูเหมือนกำลังจะจบเร็วเกินไปทั้งที่เขาก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังคาดหวังอะไรอยู่ รู้แต่ว่าอยากจะยืดเวลาที่ได้ใช้กับคนข้างตัวให้มากขึ้น ใครจะรู้ว่าพอค่ำคืนนี้จบลงแล้วจะเป็นอย่างไร พวกเขาสองคนก็จะกลับไปเป็นแค่ผู้บริหารกับลูกน้องที่นานๆ จะได้คุยกันสักคำอย่างนั้นนะหรือ

“...ผมไม่หิว ผมอยากกลับไปนอนพักผ่อนมากกว่า ถ้าไม่รบกวนก็ไปส่งผมที่คอนโดหน่อยก็แล้วกัน จากนี่ไปไม่ไกลหรอก”

ดูเหมือนคนพูดจะไม่ได้รับรู้เลยว่าที่คนข้างตัวชวนไปทานข้าวต่อนั้นเพราะมีความหมายอย่างไร หรือเพราะรู้จึงได้บอกปัดก็สุดที่ณรงค์จะเดา แต่ประโยคสุดท้ายที่บอกว่า ‘จากนี่ไปไม่ไกล’ ก็เท่ากับบอกกลายๆ ว่าเวลาที่พวกเขาจะได้ใช้ด้วยกันกำลังจะหมดลงแล้ว

ณรงค์หักเลี้ยวรถไปตามทิศทางที่ไรอันบอก แต่นอกจากการสอบถามเส้นทางแล้วทั้งสองก็ไม่พูดคุยถึงเรื่องอื่นแม้แต่คำเดียว กระทั่งเสียงเพลงแผ่วหวานจากแผ่นซีดีที่ณรงค์เปิดไว้ก็ไม่อาจช่วยสลายบรรยากาศอึมครึมได้ เมื่อเขาเทียบรถเข้าจอดที่ด้านหน้าคอนโดแล้วไรอันจึงเพียงกล่าวขอบคุณสั้นๆ แล้วรีบลงจากรถ แต่แล้วเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนก็เลิกคิ้วอย่างประหลาดใจเมื่อณรงค์ก็เปิดประตูลงมาด้วย

“ผมจะขึ้นไปส่ง จะได้แน่ใจว่าคุณถึงห้องแน่”

หนุ่มลูกครึ่งอ้าปากจะแย้ง แต่พอเห็นประกายตาแน่วแน่ของณรงค์ที่เหมือนจะบอกว่าห้ามปฏิเสธก็เลยหุบปากเงียบ ร่างสูงโปร่งอาศัยแสงสว่างจากด้านหน้าทางเข้าและความคุ้นเคยเดินตรงไปที่ประตูด้วยตัวเอง และณรงค์ก็เพียงแต่สาวเท้าตามไปโดยไม่เสนอความช่วยเหลือหรือเซ้าซี้ จนกระทั่งทั้งคู่ขึ้นลิฟต์ไปถึงชั้นที่ต้องการและไรอันเดินนำไปถึงหน้าประตูห้องพักแล้ว หนุ่มลูกครึ่งจึงค่อยหันกลับมาหาเขา

“ขอบคุณที่มาส่ง ขอโทษด้วยที่ผมคงเชิญคุณเข้าห้องไม่ได้”

ณรงค์เลิกคิ้ว แต่ดูเหมือนไรอันจะอ่านความหมายในแววตาเขาออก โหนกแก้มของอีกฝ่ายจึงเป็นสีเข้มขึ้นเล็กน้อยก่อนที่เจ้าตัวจะหลบตา

“ผมไม่เคยให้ใครเข้าห้องผมมาก่อนนอกจากแม่บ้าน ต่อให้วันนี้คุณดีกับผมมากก็เถอะ ขอโทษด้วยจริงๆ”

เมื่อได้ยินคำตอบ ร่างสูงใหญ่จึงค่อยระบายลมหายใจที่กลั้นไว้ออกมา อย่างน้อยเขาก็ได้รับการยืนยันที่ทำให้สบายใจขึ้นเปลาะหนึ่งแล้วในตอนนี้

“งั้นก็ช่างมันเถอะ ได้เห็นว่าคุณมาถึงห้องเรียบร้อยดีก็พอแล้ว แล้วก็นี่...ถือว่าเป็นของขวัญคริสต์มาสจากผมก็แล้วกัน”

ไรอันเลิกคิ้วเมื่อณรงค์ยื่นผ้าพันคอลายตารางกับแว่นพลาสติกที่ซื้อให้เขาปลอมตัวเมื่อช่วงค่ำมาให้ เมื่อเหลือบตาขึ้นสบกับนัยน์ตาของเขา หนุ่มลูกครึ่งก็คลี่ยิ้มออกมาบางๆ

“ขอบคุณมาก ผมจะเก็บไว้อย่างดีเลย”

เป็นครั้งแรกที่ณรงค์รู้สึกว่าชอบนิสัยพูดจาตรงไปตรงมาของไรอัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันมาคู่กับนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนที่เป็นประกายยิ่งกว่าแสงไฟประดับดวงไหนๆ ยามที่อีกฝ่ายยิ้มให้เขา ชายหนุ่มยืนมองเจ้าของห้องไขประตูเงียบๆ จนเมื่ออีกฝ่ายเดินเข้าไปและจะปิดประตูแล้ว ร่างสูงใหญ่จึงยื่นแขนข้างหนึ่งออกดันประตูที่กำลังจะปิดไว้จนเจ้าของห้องตกใจ

“ไรอัน คุณมีชื่อเล่นภาษาไทยหรือเปล่า?”

“หะ...หา?”

หนุ่มลูกครึ่งแสดงสีหน้าว่าจับต้นชนปลายไม่ถูก ณรงค์จึงอธิบายโดยที่ยังใช้มือยันประตูเอาไว้ แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทางว่าจะบุกรุกเข้าไปในห้อง “ชื่อเล่นภาษาไทยไง ไรอันนี่ชื่อจริง แต่อย่างน้อยแม่คุณก็น่าจะตั้งชื่อเล่นภาษาไทยให้คุณด้วยใช่ไหมล่ะ?”

ณรงค์พยายามระงับความตื่นเต้นที่กำลังหมุนวนราวกับพายุในอก เขายังอยากรู้จักคนคนนี้มากกว่านี้ อยากรู้ความลับที่คนอื่นไม่รู้เกี่ยวกับไรอันมากกว่านี้ อย่างน้อยเขาจะได้รู้สึกว่าช่องว่างระหว่างทั้งคู่หดแคบลงมากกว่าที่เป็นอยู่บ้าง

ไรอันกะพริบตาปริบๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหายไปด้านหลังประตูเหมือนกำลังวางของขวัญที่ได้รับลงบนพื้นหรือโต๊ะใกล้มือ จากนั้นร่างสูงโปร่งจึงก้าวออกมายืนหน้าห้องอีกครั้งแล้วพิงหลังกับประตูเอาไว้ นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนที่เชื่อมแสงมองเขาด้วยประกายเขินอายก่อนจะหลุบตาลง

“...รัก”

“หือ?”

ณรงค์คิดว่าตัวเองหูฝาด หนุ่มลูกครึ่งหลับตาเหมือนทำใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลืมตาแล้วสบตาเขาตรงๆ อีกครั้ง

“It’s Rak. แม่ตั้งชื่อเล่นให้ผมว่ารัก นอกจากพ่อกับแม่แล้วก็คุณยายแล้วไม่มีใครรู้ว่าผมชื่อเล่นชื่อนี้”

ไรอันพูดจบแล้วก็ก้มลงหลบตาเขาอีก และคราวนี้สีชมพูจางๆ ซึ่งอยู่แค่บนโหนกแก้มในตอนแรกดูเหมือนจะซ่านไปทั่วทั้งผิวหน้า และภาพที่เห็นก็ทำเอาณรงค์ต้องใช้ความควบคุมตัวเองอย่างมหาศาลที่จะไม่รวบคนตรงหน้าเข้ามากอดให้แน่นๆ เพราะความน่ารักที่แม้แต่เจ้าตัวเองก็คงไม่รู้ว่ากำลังแสดงออกมา ร่างสูงใหญ่กำมือแน่นสลับคลายพลางหายใจเข้าออกยาวๆ เพื่อระงับหัวใจที่เต้นถี่จนเกินพอดีให้สงบลง

“รัก...แม่คุณเข้าใจคิดนะ”

หนุ่มลูกครึ่งยังคงไม่เหลือบตาขึ้นมองเขา ร่างสูงโปร่งเพียงแต่หันกลับไปเปิดประตูแล้วก็ทำท่าจะเดินเข้าไป และคราวนี้ณรงค์ก็ผลักประตูที่กำลังจะปิดลงอีกครั้งจนเจ้าของห้องขมวดคิ้ว

“มีอะไรอีก?”

“เอ่อ...คืนนี้คุณไม่หิวก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าพรุ่งนี้เราไปทานข้าวกลางวันหรือข้าวเย็นด้วยกันมั้ย? คราวนี้ผมจะเลี้ยงเอง ตอบแทนที่คุณเลี้ยงผมที่โรงแรมวันนี้”

คราวนี้ไรอันมองสบตากับเขาตรงๆ และคราวนี้ดูเหมือนนัยน์ตาคู่นั้นจะฉาบไปด้วยประกายขำปนระอาทั้งที่สีเลือดฝาดบนแก้มยังไม่จางลง

“ผมจะลองคิดดูก็แล้วกัน แต่ยังไม่สัญญานะ คืนนี้คุณกลับได้แล้วล่ะ ดึกแล้วขับรถระวังด้วย Good Night and Merry Christmas.”

ณรงค์ยอมปล่อยมือและให้เจ้าของห้องปิดประตูโดยไม่ขัดขวางอีก คลื่นกระแสความอบอุ่นค่อยๆ ก่อตัวในอกและกำจายไปทั่วร่างจนเขารู้สึกเหมือนแทบจะเดินบนอากาศได้ ณรงค์จำไม่ได้แล้วว่าเคยมีความรู้สึกแบบนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ หรือแม้แต่ความรู้สึกอิ่มเอมที่ทำให้หุบยิ้มไม่ลงนี้เคยเกิดกับเขามาก่อนบ้างไหม แต่รอยยิ้มที่ไรอันมอบให้ก็ยังติดตาจนเขามั่นใจว่าคืนนี้คงจะเก็บภาพนั้นไปฝันถึงทั้งคืนอย่างแน่นอน ร่างสูงใหญ่ค่อยๆ ทาบมือลงบนประตูไม้สีขาวตรงที่ใครบางคนเคยยืนอยู่ก่อนจะแนบหน้าผากลงแล้วเอ่ยเสียงเบา ถ้าหากใครบางคนยังยืนอยู่อีกฟากของประตูและได้ยินเสียงของเขาก็คงดี

“ราตรีสวัสดิ์...รัก...ยินดีที่ได้รู้จัก”


++--- End ---++


A/N:  ขอทอล์คเพิ่มอีกหน่อย สารภาพว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่ป้าถูกใจชื่อเรื่องมาก ไม่ใช่ว่าไม่ชอบชื่อนิยายเรื่องอื่นนะ แต่เพราะชื่อเรื่องอื่นที่เคยคิดมาจะไม่มีความหมายซ้อนเหมือนชื่อเรื่องนี้น่ะค่ะ แบบว่าป้าเป็นคนชอบอะไรสองแง่สองง่าม 555

สาเหตุที่ไม่ถอดความประโยคภาษาอังกฤษของไรอันให้เป็นภาษาไทย เนื่องจากเกรงว่าจะทำให้คนอ่านไม่ได้อรรถรสเต็มที่ (แต่คาดว่าคงไม่มีปัญหากันอยู่แล้วเนอะ? XD) สารภาพว่าตอนแรกกะให้ณรงค์กับไรอันอายุเยอะกว่านี้อีกนิด แต่ประเดี๋ยวคนอ่านที่วัยละอ่อนจะรู้สึกว่า...ตัวละครอายุเยอะจัง เลยปรับให้ลงมาอยู่ในพิกัดยี่สิบกว่ากันทั้งคู่ และไปๆ มาๆ ก็รู้สึกว่าเข้ากับโทนเรื่องมากกว่า เพราะถ้าเขียนโดยให้ตัวละครอายุเท่าที่คิดไว้ตอนแรกจริงๆ คาดว่าการดำเนินเรื่องคงต่างไปจากนี้พอสมควรเลยค่ะ

ปล. มีคนอ่าน 2-3 ท่านของอีกบอร์ดคอมเม้นต์ว่าอ่านจนจบแล้วเดาไม่ถูกว่าใครพระ-ใครนาย ความจริงป้าก็อยากเขียนเรื่องที่ตัวเอกทั้งคู่ดูแมนเท่าๆ กันเหมือนกันนะ แต่ที่ผ่านมายังทำไม่สำเร็จสักกะเรื่อง แล้วสำหรับคู่นี้ก็คิดว่าเขียนออกมาค่อนข้างชัดเจนว่าคนไหนน่าจะเป็นอะไร หรือมีใครที่อ่านจบแล้วเกิดคำถามนี้กันอีกไหมคะ? สงกะสัยจริงๆ ให้ดิ้นตาย
   :m28:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-01-2011 17:20:12 โดย bellbomb »

tonight

  • บุคคลทั่วไป
ขอบคุณมากนะคับสำหรับเรื่องนี้อ่านแล้วแบบน่ารัก แอบโรแมนติก เนื้อเรื่องอ่านสบายๆลื่นไหลดีคับ ชอบมาก o13

แล้วก็ชอบชื่อเรื่องเช่นกันคับ แฝงนัยยะจริงๆ "ยินดีที่ได้รู้จักรัก" รู้จักรักไรอันและรู้จักชื่อเล่นของไรอันที่ชื่อรัก

ชอบคับแนวคิดดีมาก แล้วตัวเอกทั้งคู่ก็ดูแมนๆเท่ห์ๆ แต่ก็รู้คับว่าใครฝ่ายไหน  :laugh:

และก็อยากรู้หลังจากนั้นอีกอ่ะคับว่าจะรักกันยัง ออกมาเป็นแบบไหนอีก ถ้ามีก็ต่อให้ด้วยนะคับ ถือว่าเป็นตอนพิเศษ ^^

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
น่าจะรวมเล่มพวกเรื่องสั้นที่เขียนไว้นะคะ
อย่าลืม อีกเรื่องที่จะต้องมาต่อตอนจบนะจ๊ะ :laugh:

ขอบอกอย่างจริงใจเลยว่า เรื่องลำนำสีรุ้ง เป็นเรื่องที่หยิบมาอ่านบ่อยมากค่ะ o18

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
น่าจะรวมเล่มพวกเรื่องสั้นที่เขียนไว้นะคะ
อย่าลืม อีกเรื่องที่จะต้องมาต่อตอนจบนะจ๊ะ :laugh:

ขอบอกอย่างจริงใจเลยว่า เรื่องลำนำสีรุ้ง เป็นเรื่องที่หยิบมาอ่านบ่อยมากค่ะ o18

แอร๊ยย์ ไม่ลืมเด็ดขาดค่า นี่ก็กำลังกุมหัวไปปั่นไป หวังว่าจะได้ลงวันพรุ่งนี้ละค่า (แต่ท่าทางก็คงยังไม่ใช่ตอนจบแหละ วะฮะฮ่า) แล้วก็ขอบคุณมากที่บอกว่ายังหยิบลำนำรักสีรุ้งมาอ่านบ่อยๆ นะคะ ดีใจที่คนอ่านยังผูกพันกับเป้และวิวเหมือนกับเราค่ะ ส่วนรวมเรื่องสั้น คิดอยู่ แต่ขอเขียนอีกหลายๆ เรื่องก่อน  :laugh:

ขอบคุณคุณ tonight และ allaboutmyfav ด้วยนะคะ ว่าแต่สั้นไปเหยอ...ก็มันเป็นเรื่องสั้นอ้ะตัวเอง (ตอบแบบนี้โดนโบกซะดีมั้ย?) เอาไว้ถ้าขยายต่อจริงๆก็จะมาลงให้อ่านกันนะคะ แต่คงมิใช่เร็วๆนี้เน้อ
   o13
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-01-2011 18:49:40 โดย bellbomb »

ออฟไลน์ •ไนท์คลุง•

  • Night ♥ .....
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 862
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
    • http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?action=profile
จบแล้วหรอ น่าจาต่ออีกนะครับ
เรื่องน่ารักๆโรแมนติกแบบนี้หายาก
+1เป็นกานขอบคุณครับ

samsoon@doll

  • บุคคลทั่วไป
แวะมากอดป้าก่อนค่ะ เดี๋ยวแวะมาอ่านอีกรอบ

คิดถึง เรื่อง แค่สบตาก็รู้ว่ารักอ่ะค่ะ ใช่ไหมน๊าเหมือนจะจำได้ว่าเคยอ่านแต่พอเอาคอมไปทำมาใหม่ก็หาเรื่องนี้ไม่เจอแล้วอ่ะ :o8:

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
^
^
คาดว่าตอนนี้เรื่องนั้นตกไปอยู่หน้าท้ายๆค่ะ ต้องลองคลิกหาดู พอดีไม่ได้อัพนานจัด แหะๆ
  :z6:

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
หุๆๆๆ คู่นี้มีลุ้นนะเนี่ย แต่ดูท่า พี่รงค์ คงเหนื่อยอยู่ไม่น้อย  :laugh:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






kakuro

  • บุคคลทั่วไป
น่ารักดีคุณริน
เรื่องต่อจากต้น-ไผ่ เชษฐ์-ภัทร ก็เป็นณรงค์-ไรอัน
ต่อทุกวันจันทร์ไง ดีมั้ย ทำแบบตารางเรียนเลย อิอิ :z2:

ออฟไลน์ roseen

  • เก็บความทรงจำที่ดีๆของวันวาน เพราะมันคือกำลังใจของวันนี้
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8646
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +947/-16

samsoon@doll

  • บุคคลทั่วไป
แอร๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย รัก ชื่อน่ารักจังเลย อยากอ่านต่ออะไค่ะป้า หุหุ

ว่าแต่นายคุณรักเรี้ย รับชิมิคะ อ่านแล้วในความรู้สึกหนู๋ว่าแกก็ยังไม่ค่อยแมนนะคะ อิอิ ภาพในหัวเนี้ยออกทางฝรั่งหน้าคมๆดวงตาเล็กๆหวานๆผมหยักโศกหน่อยๆสีต่ำตาลเข้มปนทอง ผิวสีงาช้าง ถ้าปั้นออกมาเป็นคนต้องน่าักแน่เลยอ่ะ

อยากอ่านอีก อยากอ่านอีก

+1ก่อนไปจ่ะ

จุ๊บุจุ๊บุ :-[

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
น่ารักดีคุณริน
เรื่องต่อจากต้น-ไผ่ เชษฐ์-ภัทร ก็เป็นณรงค์-ไรอัน
ต่อทุกวันจันทร์ไง ดีมั้ย ทำแบบตารางเรียนเลย อิอิ :z2:

เยี่ยม! กร๊ากกก อ่า....ต่ออารมณ์ไม่ถูกกันเลยทีเดียวค่ะคุณ kakuro ขา ดูเป็นตารางที่เข้มงวดๆ นะคะเนี่ย ฮ่าๆๆ (แซวนะแซว)  :man1:

แอร๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย รัก ชื่อน่ารักจังเลย อยากอ่านต่ออะไค่ะป้า หุหุ

ว่าแต่นายคุณรักเรี้ย รับชิมิคะ อ่านแล้วในความรู้สึกหนู๋ว่าแกก็ยังไม่ค่อยแมนนะคะ อิอิ ภาพในหัวเนี้ยออกทางฝรั่งหน้าคมๆดวงตาเล็กๆหวานๆผมหยักโศกหน่อยๆสีต่ำตาลเข้มปนทอง ผิวสีงาช้าง ถ้าปั้นออกมาเป็นคนต้องน่าักแน่เลยอ่ะ

อยากอ่านอีก อยากอ่านอีก

+1ก่อนไปจ่ะ

จุ๊บุจุ๊บุ :-[

ฮ่าๆๆ ถ้ามีคนปั้นไรอันมาตามแบบที่ว่าก็จะน่ารักนะคะ แต่สงสัยคราวนี้ตาณรงค์ได้มีคู่แข่งเพียบแหง สำหรับตอนต่อก็คิดเล่นๆ อยู่ค่ะ แต่ขอเคลียร์ทีละเรื่องก่อน ตอนนี้เริ่มมึนแระ  :t3:

ออฟไลน์ evilheart

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-3
ตามมาอ่าน
ติดผลงานของน้องคนนี้ซะแล้ว
พี่รงค์กะน้องรักแน่ๆ ใช่ป่าว :impress3:

Little Devil

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
ตามมาอ่าน
ติดผลงานของน้องคนนี้ซะแล้ว
พี่รงค์กะน้องรักแน่ๆ ใช่ป่าว :impress3:


คิดว่าตามนั้นค่า หุหุ  :z13:

OhJa

  • บุคคลทั่วไป
น่ารักสุดๆอ่ะ
อ่านเพลินจนไม่อยากให้จบเลย  อยากอ่านต่อๆๆๆ :o8:

ออฟไลน์ Goodfellas

  • magKapleVE
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1828
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +384/-2
    • Adult games: dating for spicy meetups
เฮ้อ ตั้งแต่ตามอ่านมาก็ชอบภาษาที่ใช้เขียนจริงๆเลยครับผม

เพราะไรเตอร์เขียนได้เคลียร์ดีมากๆ  บรรยายทุกอย่างได้เห็นภาพและต่อเนื่อง

ขอจดจำเทคนิคนี้ไปใช้บ้างนะครับผม  อยากฝากตัวเป็นศิษย์จัง 555 o13

namtaan

  • บุคคลทั่วไป
น้องรินจ๋าาาาาาาาาาาาาาาา
เรื่องรัก ที่น่ารักมาก เป็นความรู้สึกดีๆที่ค่อยๆแทรกซึมเข้่าในใจของแต่ละฝ่าย จนอยากอ่านต่อ หุหุ

ชื่อเรื่องเก๋ไก๋ รงค์ได้รู้จักความ "รัก" ในคราวเดียวกันกับที่รู้จักคุณ "รัก" แล้ว รัก ก็น่าจะรู้จัก รัก เช่นกันเนอะ

พี่อ่านแล้วชัดเจนนะจ๊ะ  พระเอกคือผู้ที่ได้รู้จัก "รัก" นี่ละ ไม่สับสนนะ หรือว่าเราเข้าใจผิด  :laugh:

บวก 1 แต้มจ้า ขอบคุณนะจ๊ะ

ปล คิดถึงอีกสองหนุ่มจัง ^^

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
น้องรินจ๋าาาาาาาาาาาาาาาา
เรื่องรัก ที่น่ารักมาก เป็นความรู้สึกดีๆที่ค่อยๆแทรกซึมเข้่าในใจของแต่ละฝ่าย จนอยากอ่านต่อ หุหุ

ชื่อเรื่องเก๋ไก๋ รงค์ได้รู้จักความ "รัก" ในคราวเดียวกันกับที่รู้จักคุณ "รัก" แล้ว รัก ก็น่าจะรู้จัก รัก เช่นกันเนอะ

พี่อ่านแล้วชัดเจนนะจ๊ะ  พระเอกคือผู้ที่ได้รู้จัก "รัก" นี่ละ ไม่สับสนนะ หรือว่าเราเข้าใจผิด  :laugh:

บวก 1 แต้มจ้า ขอบคุณนะจ๊ะ

ปล คิดถึงอีกสองหนุ่มจัง ^^

ระดับพี่น้ำตาลแล้วจะเดาพลาดได้ยังไงละเน้อ หุหุ
ส่วนชื่อเรื่องก็ตามนั้นเลยค่ะ เห็นฟีดแบ็คดีก็อยากเขียนต่อเหมือนกันนะ
แต่ก่อนอื่น ต้องเอาคู่ใน ปล กลับมาลงต่อก่อนละมั้งนี่
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์ด้วยนะค้าพี่สาว
  :impress2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-01-2011 10:17:02 โดย bellbomb »

kakuro

  • บุคคลทั่วไป
 :z13:คุณริน
เชียร์ให้เขียนต่อจากต้นไผ่เชษฐ์ภัทร
ยืนยันกดหนึ่ง อิอิ
ปล.หวังว่าจะยุขึ้น :really2:

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
^
^
คุณ kakuro ถ้าไม่ยืนยันกดอะไรอะคะ? แฮ่ (ไม่ได้เล่นตัวนะ เขาแค่ไม่ชัวร์อะตัวเอ๊งงงงงงงง)
  :o12:

ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6

anajulia

  • บุคคลทั่วไป
>///////<

อ่านจบแล้วอยากกรีดร้องดังๆมากค่ะป้า
แต่ก็กลัวจะทำลายบรรยากาศอุ่นๆหวานๆไปจากกระทู้

โอย....น่ารักจริงๆนะรัก
คิดว่าจะเป็นณรงค์หรือไรอัน คืนนี้ก็เห็นจะหลับไปพร้อมกับความฝันหวานๆกันทั้งคู่แน่ๆ

ปล.เรื่องใครเป็นฝ่ายไหน อิอิ ชัดเจนแล้วค่ะ ชัดมากด้วยสิ ฮี่ๆๆๆๆๆๆ

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
จากที่เคยคิดว่าเรื่องนี้คงจะตอนเดียวจบเพราะเขียนเพื่อคริสต์มาสโดยเฉพาะ ตอนนี้เกิดอยากจะเขียนเรื่องรับวันวาเลนไทน์แต่คิดคู่ใหม่ไม่ออก จะเขียนของคู่อื่นก็หัวไม่แล่นชอบกล งั้นก็ขอดันคู่พี่รงค์กับน้องรักอีกทีก็แล้วกันนะคะ พอดีเขียนได้ครึ่งเดียวเลยมาแปะก่อนเพราะตาจะปิดแล้ว ยังไงจะมาลงครึ่งหลังให้ในไม่เกินวันวาเลนไทน์ก็แล้วกันนะ

Happy Valentine's Day แก่ทุกคนค่า
 :L1:


++------++


ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ในวันวาเลนไทน์

ภายในห้องประชุมสีสดใสที่อยู่ถัดเข้ามาจากด้านหน้าของบริษัทรับออกแบบและก่อสร้างแห่งหนึ่ง ผู้เข้าร่วมประชุมทั้งหกต่างเริ่มปิดสมุดบันทึกหลังจากการประชุมสิ้นสุดลง โดยที่สองในหกคนเป็นลูกค้าซึ่งมาว่าจ้างให้ทางบริษัทออกแบบร้านอาหารให้

“ถ้างั้นก็ตามนั้นนะครับคุณประวิตร ถ้าหากได้แบบที่แก้ไขแล้วรบกวนส่งไปให้ผมดูด้วย”

“ได้ครับคุณดนัย ถ้าระหว่างนี้มีอะไรก็ติดต่อกับณรงค์เขาได้เลยครับ แล้วเดี๋ยวเขาจะมาอัพเดทผมทีหลังเอง”

สายตาของชายหนุ่มที่ชื่อ ‘ดนัย’ เบนจากประวิตรซึ่งเป็นผู้จัดการด้านการพัฒนาธุรกิจมาที่ณรงค์ซึ่งเป็นซีเนียร์ดีไซเนอร์แทน จากนั้นก็หยักมุมปากขึ้นยิ้มให้ ประกายหยาดเยิ้มในแววตาของอีกฝ่ายทำเอาณรงค์ขนลุกซู่ แต่ด้วยมารยาทก็ทำให้ชายหนุ่มร่างสูงยิ้มแห้งๆ กลับ

“สิบเอ็ดโมงครึ่งแล้วสิ เดี๋ยวพวกผมขอตัวก่อนดีกว่า วันนี้ขอบคุณคุณประวิตรมากนะครับ”

ชายหนุ่มอีกคนที่มากับดนัยและเป็นหุ้นส่วนธุรกิจเอ่ยขึ้น อิสราซึ่งเป็นจูเนียร์ดีไซเนอร์และนั่งใกล้ประตูที่สุดจึงลุกไปเปิดประตูให้ลูกค้าทั้งสองได้เดินออกไปก่อน ส่วนประวิตรและสมาชิกทีมที่เหลือค่อยเดินตามออกมา แต่ก่อนที่จะออกจากบริษัท ดนัยก็ยังหันกลับมาทางณรงค์อีกครั้งและยื่นมือมาลูบต้นแขนเขาเบาๆ เล่นเอาชายหนุ่มแทบสะดุ้ง

“เอาไว้เดี๋ยวเราโทรคุยกันอีกทีนะครับคุณณรงค์ หรือว่าจะนัดปรึกษานอกเวลางานก็ได้ เย็นนี้ผมก็ว่าง เราจะได้มีเวลาคุยกันเยอะหน่อย”

ถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่ได้พูดเสียงดัง แต่สมาชิกที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็ได้ยินกันทุกคน ยุพดีกับอิสราเหลือบตามองกันแล้วก็กลั้นยิ้ม ขณะที่ประวิตรซึ่งอาวุโสกว่าตีหน้าตายและทำเหมือนไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น ฝ่ายณรงค์นั้นไม่อยากคิดว่าถ้าหลวมตัวตอบรับไปแล้วทั้งสองจะได้ใช้เวลา ‘คุย’ หรือว่าทำอะไรกันแน่ จึงพยายามกลบอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแล้วยิ้มตอบสุดชีวิต

“เดี๋ยวผมจะรีบแก้แบบแล้วอีเมล์ไปให้ก็แล้วกันนะครับ แล้วตอนนั้นเราค่อยนัดประชุมทีมกันอีกที”

ดนัยแสร้งทำริมฝีปากยื่นเล็กน้อยเหมือนขัดใจ แต่แววตายังคงลามเลียจนณรงค์แทบจะอยากเดินหนีให้รู้แล้วรู้รอด ใช่ว่าเขาจะไม่เคยโดนเกย์ด้วยกันส่งสายตาเชิญชวนมาก่อน แต่อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในเวลากลางวันและระหว่างที่กำลังทำงานแบบนี้ นี่ถ้าหากอีกฝ่ายจะตรงสเป็คเขาอย่างน้อยสักเจ็ดในสิบส่วน ณรงค์ก็คงไม่ตะขิดตะขวงใจมากนัก แต่โชคร้ายที่เขาไม่ได้ชอบเกย์ที่ออกท่าทางตุ้งติ้งชัดเจนแบบนี้เสียหน่อย

ประวิตรดูจะอ่านความกระอักกระอ่วนของลูกน้องหนุ่มออก จึงยื่นมือเข้าช่วยด้วยการกระแอมและตัดบท “ผมจะเดินไปส่งคุณดนัยกับคุณโรจน์ที่ชั้นล่างก็แล้วกันนะครับ พวกลูกทีมผมจะได้เริ่มแก้แบบตามที่คุยกันไว้เดี๋ยวนี้เลย”

ณรงค์ค่อยระบายลมหายใจยาวด้วยความโล่งอกเมื่อลับหลังคนทั้งสามแล้ว แต่แล้วเสียงหัวเราะคิกคักของยุพดีกับอิสราก็ดึงให้เขาหันไปขมวดคิ้ว

“ผึ้ง อ๋อง หัวเราะอะไรกัน?”

“หูยยยย ไม่ยักรู้ว่าพี่ชายเราก็เนื้อหอมเนอะผึ้ง ว่ามั้ย?”

อิสราหันไปถามเพื่อนที่ยืนอยู่ข้างๆ พร้อมกับยิ้มยิงฟัน ยุพดีจึงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย นัยน์ตากลมโตเป็นประกายวิบวับด้วยความขำ “นั่นสิ ผึ้งว่าถ้าเมื่อกี้พี่รงค์ยอมเออออไปกับเขาเย็นนี้นะ เผลอๆ พวกเราอาจจะไม่ต้องมานั่งหลังขดหลังแข็งแก้แบบร้านกันใหม่ก็ได้นา”

ณรงค์นึกถึงสายตาของดนัยตอนทำตาเยิ้มมองเขาทั้งในห้องประชุมและเมื่อไม่กี่นาทีก่อน จากนั้นก็ขนลุกเกรียวขึ้นมาอีก

“คงไม่ไหวมั้งผึ้ง แล้วพี่ก็ไม่ชอบพวกที่ออกสาวชัดแบบนั้นซะด้วยสิ…”

ชายหนุ่มไพล่นึกไปถึงใครอีกคนซึ่งเป็นแบบที่เขา ‘ชอบ’ มากกว่า ไม่ว่าจะนัยน์ตาคมดุที่มักทำให้คนมองไม่กล้าสบตา ผมสั้นหยักศกสีน้ำตาลอ่อนที่ลื่นนิ้วยามได้สัมผัส แล้วยังท่าทางเอาจริงเอาจังเวลาทำงานจนคนในบริษัททั้งนับถือและขยาดไปพร้อมกัน จากนั้นริมฝีปากบางก็ผุดยิ้มขึ้นมา

ทั้งสามเดินกลับไปที่โต๊ะทำงานโดยที่ยุพดีซึ่งเดินนำหน้ายังไม่หยุดหันไปแซวณรงค์ “แหมพี่รงค์ก็ ออกสาวนิดหน่อยแต่หน้าตาเขาก็ใช้ได้อยู่นา อีกอย่างไหนๆ วันนี้ก็วันวาเลนไทน์ทั้งที เผื่อคืนนี้พี่รงค์จะได้ไม่ต้องหง่าวอยู่ที่ห้องคนเดียวไง อุ๊บ!”

สาวน้อยอุทานอย่างตกใจเพราะชนเข้ากับแผ่นอกของคนที่เดินสวนมาอย่างจัง เมื่อจะหันไปขอโทษ นัยน์ตากลมโตก็เบิกกว้างเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายคือใคร ณรงค์ซึ่งเดินตามหลังยุพดีมาพร้อมกับอิสรารู้สึกว่าลมหายใจสะดุดเมื่อเห็นชายหนุ่มในชุดสูทที่กำลังขมวดคิ้วมองสาวน้อย

“...You alright?”

เสียงถามเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงออสเตรเลียชัดแจ๋วทำเอาสาวน้อยยิ่งหน้าตื่น  ร่างเล็กบางรีบชักเท้าถอยจนเกือบเหยียบเท้าอิสราที่ยืนอยู่ข้างหลัง “คุณไรอัน! ขอโทษค่ะ ผึ้งไม่ทันมองทางก็เลยชนเข้า ขอโทษจริงๆ นะคะ”

“It’s ok. But watch where you go next time.”

ไรอันเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ซึ่งความจริงแล้วนั่นเป็นเสียงปกติของเขายามที่ไม่ได้ใช้อารมณ์ แต่กลับยิ่งทำให้ยุพดีกับอิสราเกร็งมากขึ้นอีก ทั้งสองจึงก้มศีรษะแล้วสาวเท้ากลับไปที่โต๊ะทำงานของตัวเองอย่างรวดเร็ว ไรอันเหลียวมองตามทั้งสองด้วยแววตาที่แฝงเศษเสี้ยวของความงุนงง จากนั้นก็หันกลับมาสบตากับณรงค์ที่ยิ้มให้อยู่ก่อนแล้ว

คราวนี้ใบหน้าของหนุ่มลูกครึ่งขมวดคิ้วคล้ายจะถามคนตัวสูงกว่าว่า ‘ยิ้มทำไม?’ ณรงค์จึงตอบให้โดยไม่ต้องรอให้เปล่งเสียงถาม

“เวลาพูดยิ้มมั่งสิคุณ พวกเด็กๆ จะได้ไม่กลัว อีกอย่างเล่นพูดภาษาอังกฤษใส่เขาก็ยิ่งไม่กล้าตอบเข้าไปใหญ่สิ”

ไรอันเพียงแต่ทำเสียงหึขึ้นจมูกเมื่อได้ยินคำแนะนำ จากนั้นก็เดินผ่านคนตัวสูงกว่าเพื่อไปที่ประตู “What I do or say is none of your business.”

ณรงค์มองตามหลังผู้บริหารหนุ่มลูกครึ่งที่เดินออกไปจากบริษัท จากนั้นก็ทำเสียงขึ้นจมูกบ้าง แต่ด้วยท่าทางเหมือนน้อยใจมากกว่าอย่างอื่น

เขาก็แค่พูดแนะนำดีๆ เท่านั้นเอง ทำไมจะต้องตัดบทกันอย่างเย็นชาแบบนี้ด้วยล่ะ นี่พวกเราสองคนกำลังคบกันอยู่นะ

...ต่อให้เวลาอยู่นอกบริษัทก็ใช่ว่าจะสวีทหวานแหวใส่กันก็เถอะ...

ณรงค์ส่ายหน้าแล้วก็เดินกลับไปที่โต๊ะทำงาน กระเป๋าเอกสารที่ไรอันถือติดตัวเมื่อครู่ทำให้เขาเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงกำลังจะออกไปประชุม และหากโชคดี บ่ายๆ ไรอันก็อาจจะกลับมาบริษัทให้เขาได้เห็นหน้าสักแวบก่อนกลับบ้าน หรือไม่ก็อาจจะต้องเป็นช่วงหลังเลิกงานเลยเพราะไรอันอาจติดประชุมสองหรือสามที่ซ้อนก็เป็นได้  

ยุพดีซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามชะเง้อข้ามพาร์ติชันมาส่งเสียงถามเมื่อเห็นณรงค์ที่โต๊ะ “เมื่อกี้พี่รงค์คุยกับไรอันด้วยเหรอ? โดนว่าอะไรหรือเปล่าพี่? ทำไมหน้าหงอยอย่างนั้นล่ะ?”

ชายหนุ่มเลิกคิ้ว ไม่คิดว่าสีหน้าเขาจะแสดงออกชัดเจนจนรุ่นน้องสังเกตได้ทันทีแบบนั้น

“เขาจะว่าพี่ทำไมล่ะ พี่ไม่ได้ทะเล่อทะล่าเดินไปชนเขาเหมือนใครบางคนนี่”

ยุพดีทำแก้มอูด “แง้...พี่รงค์อ้ะ อย่ามาแซวน้องนุ่งสิ ก็ที่ผึ้งเดินชนเขาก็เพราะมัวแต่คุยกับพี่รงค์นั่นแหละ”

ณรงค์นึกอยากยื่นมือไปยีหัวรุ่นน้องสาวด้วยความหมั่นไส้ขึ้นมาติดหมัด “เราซุ่มซ่ามเองจะมาโทษพี่ได้ไง รีบๆ ทำงานไปเลย เราน่ะมีโปรเจ็กต์ค้างอยู่ไม่ใช่หรือไง?”

ยุพดีทำปากยื่นก่อนจะยอมนั่งลงและเริ่มทำงานแต่โดยดี แต่ณรงค์ก็รู้ว่าที่อีกฝ่ายยังแสร้งทำสีหน้ากระเง้ากระงอดเพราะอยากแหย่เขาเล่นมากกว่า นี่ถ้าหากยุพดีรู้สาเหตุที่แท้จริงที่เขาทำหน้าไม่สบอารมณ์เมื่อครู่ว่าเป็นเพราะอะไร ไม่แคล้วเขาคงโดนถามโน่นถามนี่ไม่หยุดแน่

...เพราะพี่เพิ่งโดนแฟนทำท่าเย็นชาใส่มาน่ะสิผึ้งเอ๊ย เฮ่อ...

ณรงค์ผ่อนลมหายใจแล้วก็แสร้งทำเป็นพลิกดูสมุดจดบันทึกการประชุม เขากับไรอันอาจจะไม่เคยบอกใครในบริษัทก็จริง แต่ว่าทั้งคู่ก็เริ่มสนิทสนมกันมากกว่าฐานะเพื่อนร่วมบริษัทมาได้พักสั้นๆ แล้ว โดยที่จุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์นี้ก็มาจากคืนคริสต์มาสอีฟของปีก่อนนั่นเอง

เมื่อหนึ่งปีก่อนหน้านั้น ไรอันถูกส่งมาจากบริษัทแม่ที่เมลเบิร์นให้ทำหน้าที่ผู้บริหารร่วมกับหุ้นส่วนชาวไทยอีกสามคนที่ประจำตำแหน่งอยู่แล้ว ความที่ยังหนุ่มและมีบุคลิกที่ค่อนข้างใจร้อนและขี้โวยวายหากไม่ได้งานตามที่ต้องการ ทำให้พนักงานในบริษัทไม่ค่อยกล้าเข้าหน้าด้วยนัก อีกอย่างไรอันเองแม้จะฟังและพูดภาษาไทยได้แต่ก็ชอบสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงออสเตรเลียที่ถนัดมากกว่า ถึงแม้ณรงค์จะต่างจากคนอื่นๆ ตรงที่เขาไม่ได้กลัวไรอันและออกจะชอบมองเวลาอีกฝ่ายแสดงท่าทางหัวฟัดหัวเหวี่ยงด้วยซ้ำไป แต่ก็ไม่เคยมองอีกฝ่ายมากไปกว่า ‘ผู้บริหารหนุ่มหน้าตาดีที่บุคลิกน่าสนใจ’ ก็เท่านั้น

แต่แล้วจุดเปลี่ยนก็เกิดขึ้นเมื่อณรงค์ไปเที่ยวผับเดียวกับไรอันโดยบังเอิญในคืนคริสต์มาสอีฟเมื่อปลายปีที่แล้ว เขาได้เข้าไปช่วยเหลืออีกฝ่ายที่เมามายจนมีเรื่องทะเลาะวิวาทและพากลับไปที่ห้อง แต่ถอไรอันสร่างเมาในตอนเช้าก็เข้าใจผิดว่าโดนเขาทำมิดีมิร้ายจนต้องอธิบายอยู่เป็นนาน การพบกันในผับเฉพาะทางแห่งนั้นทำให้ทั้งคู่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นเกย์เหมือนกัน ณรงค์จึงถือโอกาสชวนไรอันไปดูไฟเทศกาลในเมืองด้วยกันในตอนหัวค่ำก่อนจะพาไปส่งที่คอนโด และตั้งแต่วันนั้นมา เขาก็จะคอยโทรไปชวนอีกฝ่ายออกไปทานข้าวหรือดูหนังด้วยกันทุกวันหยุด ดังนั้นถึงแม้จะยังพูดไม่ได้เต็มปากว่าทั้งคู่ตกลงคบกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว แต่ณรงค์ก็คิดว่าการที่ไรอันไม่ได้ปฏิเสธเวลาเขาชวนไปไหนมาไหน และบางทียังยอมให้เขาดูแลเทคแคร์ได้คือการรับรู้ว่าเขา ‘คิดยังไง’ กับเจ้าตัว และยอมรับน้ำใจของเขาไปกลายๆ แล้ว เพราะโดยนิสัยที่เป็นคนตรงๆ อย่างไรอัน ถ้าหากไม่ชอบตัวเขาหรือสิ่งที่เขาทำให้ก็คงจะบอกออกมาตรงๆ แล้วอย่างแน่นอน

แม้ว่าเวลาที่ไรอันอยู่นอกบริษัทจะไม่ถึงกับเปลี่ยนบุคลิกจนเป็นคนละคน แต่อีกฝ่ายก็ดูจะผ่อนคลายขึ้นเวลาอยู่ใกล้เขา เพราะถึงอย่างไรณรงค์ก็รู้แล้วว่าเขาก็เป็นเกย์ รวมทั้งความลับอื่นๆ ที่เจ้าตัวพยายามปกปิดไว้แต่เขาดันไปรู้เข้าอีก ทั้งเรื่องที่ไรอันสายตาสั้นมากหากไม่ใส่คอนแทคต์เลนส์ เรื่องที่มีชื่อเล่นซึ่งรู้กันเฉพาะในครอบครัวว่า ‘รัก’ หรือเรื่องที่เวลาโมโหหรือประหม่าแล้วจะแทบไม่ยอมพูดภาษาไทยทั้งที่พูดได้และชัดด้วย และก็เพราะความน่ารักเหล่านี้ที่เขาได้รู้อยู่คนเดียวนี่แหละ ณรงค์ถึงได้รู้สึกว่าถูกหนุ่มลูกครึ่งดึงดูดให้หลงเสน่ห์มากขึ้นทุกวัน

แต่ว่า...ไรอันจะรู้สึกอย่างเดียวกับเขาบ้างหรือยังนี่สิ...

ชายหนุ่มคิดแล้วก็ได้แต่ละเหี่ยใจ ไม่เคยนึกมาก่อนว่าจะต้องมารู้สึกว้าวุ่นกับปัญหาหัวใจเหมือนวัยรุ่นเอาตอนที่อายุกำลังจะขึ้นเลขสามแบบนี้ แถมอีกฝ่ายยังอายุน้อยกว่าและมีตำแหน่งสูงกว่าเขาในบริษัทเสียอีกด้วย อย่างน้อยถ้าไรอันแสดงออกให้รู้ว่าเขาไม่ได้หลงคิดเรื่องของทั้งคู่ไปคนเดียว ณรงค์ก็คงไม่รู้สึกโหวงๆ ในอกขนาดนี้ ถึงแม้ว่าเขาเองก็จะปกปิดอาการได้ดีจนคนรอบตัวดูไม่ออก ยกเว้นเมื่อครู่ก่อนที่ยุพดีเพิ่งทักไปก็ตาม


++------++


ช่วงพักกลางวันณรงค์ออกไปกินข้าวกับยุพดีและอิสราซึ่งเป็นรุ่นน้องในทีมเช่นเคย เมื่อหมดเวลาพักก็กลับขึ้นมานั่งทำงานกันต่อ เนื่องจากงานที่ทีมเขาต้องรับผิดชอบในตอนนี้ไม่ได้มีแค่โปรเจ็กต์ร้านอาหารของดนัยเพียงงานเดียว ณรงค์จึงต้องเรียกยุพดีกับอิสรามาคุยกันก่อนจะแบ่งงานให้ช่วยทำ โชคดีของเขาที่รุ่นน้องทั้งสองค่อนข้างจะหัวไวและสู้งาน ทำให้เขาไม่ค่อยต้องปวดหัวเหมือนเพื่อนร่วมบริษัทคนอื่นที่มีลูกทีมให้ต้องดูแลเหมือนกัน

ณรงค์นั่งทำงานไปเรื่อยๆ จนสี่โมงกว่าก็ยังไม่เห็นไรอันกลับเข้ามา ชายหนุ่มจึงปลงว่าสงสัยเย็นนี้คงไม่มีหวังได้ชวนไปดินเนอร์ด้วยกันแน่แล้ว เขารู้ดีว่าตัวเองไม่ได้เตรียมตัวอย่างที่ควรทำสักเท่าไหร่ทั้งที่วันนี้เป็นวันวาเลนไทน์ ขนาดเพื่อนร่วมบริษัทบางคนที่มีคนรักทำงานอยู่ที่อื่นยังได้รับเค้กหรือดอกไม้ที่มีเมสเซนเจอร์วิ่งมาส่งให้ ทำให้เขานึกอยากเตะตัวเองที่ไม่ทันคิดได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ว่าน่าจะเตรียมหาอะไรให้ไรอันบ้าง อย่างน้อยก็เพื่อตอกย้ำให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขา ‘จริงจัง’ กับความสัมพันธ์ในตอนนี้

แต่เลิกคิดเรื่องจะโทรไปสั่งเค้กหรือดอกไม้ให้มาส่งเอาป่านนี้ได้เลย...นอกจากจะเสี่ยงที่เจ้าของจะไม่ได้รับเพราะไม่กลับเข้าบริษัทแล้ว ถ้าเกิดมีใครในนี้รู้ว่าเขาเป็นคนส่งให้เอง มีหวังโดนหนุ่มลูกครึ่งเล่นงานปางตายแน่...

ณรงค์พักมือที่กดเมาส์จนเมื่อยไหล่แล้วก็บิดคอไปมาเพื่อคลายกล้ามเนื้อ จู่ๆ ก็นึกถึงสมัยเพิ่งเรียนจบใหม่ๆ ที่ยังติดบุหรี่ขึ้นมา ตอนแรกเขาก็แค่ลองสูบตามเพื่อนที่คณะเวลาไปกินเหล้าด้วยกัน แต่ไปๆ มาๆ ก็เริ่มสูบเองจนกระทั่งชิน นี่ถ้าหากเขาไม่ได้เลิกบุหรี่ตั้งแต่เมื่อสี่ปีที่แล้ว สงสัยวันๆ คงได้ลงไปสูบบุหรี่คลายเครียดเวลาคิดงานไม่ออกที่หน้าตึกวันละหลายรอบแหงๆ

ชายหนุ่มร่างสูงตัดสินใจลุกไปเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าให้สดชื่น และบางทีอาจจะลงไปหาซื้อน้ำอัดลมเย็นๆ จากร้านสะดวกซื้อใต้ตึกขึ้นมาดื่ม โชคดีที่บริษัทของเขาไม่ค่อยเข้มงวดกับพนักงานเรื่องทานขนมหรือน้ำที่โต๊ะทำงานนัก เพียงแต่อย่าให้เลอะเทอะหรือเป็นอาหารที่ส่งกลิ่นรบกวนคนอื่นเป็นใช้ได้

ภายในห้องน้ำชายซึ่งมีห้องน้ำย่อยอยู่สี่ห้องนั้นว่างโล่ง อ่างล้างหน้าและโถสุขภัณฑ์ทั้งสามที่ตั้งอยู่คนละฟากของผนังสะอาดเอี่ยมไร้คราบราวไม่เคยถูกใช้ นอกจากนี้ในห้องน้ำยังมีกลิ่นหอมของสเปรย์ดับกลิ่นเพราะแม่บ้านจะคอยเข้ามาทำความสะอาดทุกสองชั่วโมง กลิ่นหอมที่เข้มข้นจนเกือบฉุนทำให้ณรงค์รู้ว่าแม่บ้านคงเพิ่งจะทำความสะอาดเสร็จไปหมาดๆ นี่เอง ชายหนุ่มเดินไปที่อ่างล้างหน้าแล้วก็รองน้ำจากก๊อกขึ้นลูบไปบนหน้าและลำคอ ความเย็นของกระแสน้ำทำให้เขาค่อยรู้สึกว่าความอ่อนเพลียเมื่อครู่ก่อนลดเลือนลงบ้าง

เสียงประตูห้องน้ำด้านหน้าที่ถูกผลักเข้ามาทำให้ณรงค์เหลือบตาขึ้นดูว่าเป็นใคร และเมื่อสบตากับเขา หนุ่มลูกครึ่งที่เพิ่งเดินเข้ามาก็ชะงักฝีเท้านิดหนึ่ง จากนั้นก็เดินมาล้างมือที่อ่างข้างๆ กัน

ณรงค์ยืดตัวตรงขึ้นพลางดึงกระดาษจากม้วนที่แขวนอยู่ใกล้ตัวขึ้นมาซับน้ำบนหน้า นัยน์ตายังคงจับจ้องคนข้างตัวไม่วางตา แต่ว่าไรอันก็ไม่ได้หันกลับมาสบตาเขาสักแวบเดียว อีกฝ่ายเพียงแต่สะบัดมือที่ล้างเรียบร้อยแล้วก่อนจะยกขึ้นเสยผมที่ยุ่งเพราะออกไปโต้ลมข้างนอกมาให้กลับเป็นทรงเท่านั้น เสื้อแจ็คเกตสูทสีเข้มยังไม่ถูกถอดออก แต่ว่าเนคไทถูกถอดเก็บไปแล้วและกระดุมเชิ้ตเม็ดแรกถูกปลดจนเห็นแอ่งไหปลาร้าได้ ผิวบริเวณโหนกแก้มและคอซึ่งปกติเป็นสีงาช้างเรื่อสีเลือดฝาดจางๆ ซึ่งณรงค์เดาว่าคงเพราะแดดภายนอกที่แรงมากนั่นเอง แต่นั่นก็ช่วยทำให้ใบหน้าคมเข้มที่ปกติดูเย็นชาของหนุ่มลูกครึ่งมีชีวิตชีวามากขึ้น

“กลับมาแล้วเหรอ?”

“...ก็อย่างที่เห็น”

ในที่สุดวันนี้ไรอันก็ยอมพูดกับเขาเป็นภาษาไทยเสียที ถึงนั่นจะแสดงออกถึงความสนิทสนมในระดับที่มากกว่ากับพนักงานคนอื่น แต่ณรงค์ก็ยังรู้สึกว่าน้ำเสียงนั้น ‘เย็นชา’ เกินไปสำหรับเขาอยู่ดี

ชายหนุ่มยืนเอามือข้างหนึ่งยันอ่างล้างหน้าไว้พลางหันไปหาไรอันทั้งตัว ส่วนอีกมือยกขึ้นเท้าเอว ไรอันจึงเหลือบตามองเขาแล้วก็เลิกคิ้วเหมือนไม่แน่ใจว่าเขาจะทำอะไร ณรงค์จึงค่อยก้มหน้าแล้วถอนหายใจ

“ถึงจะอยู่ในบริษัทก็จริง แต่เวลาที่อยู่กับผมสองคนแล้วไม่มีคนอื่นแบบนี้ คุณไม่ต้องเล่นบทผู้บริหารกับผมก็ได้นี่ รัก”

ไรอันเกร็งไหล่ขึ้นทันทีเมื่อได้ยินชื่อเล่นของตัวเอง “How many times have I told you not to call me by that name?”

ณรงค์ขมวดคิ้ว กลับไปใช้ภาษาอังกฤษอีกแล้ว...นี่เขาพูดอะไรผิดตรงไหนละเนี่ย...

“ก็นี่มันชื่อเล่นจริงๆ ของคุณนี่นา อีกอย่างเราเป็นแฟนกันแล้วนะ ผมเรียกคุณด้วยชื่อเล่นไม่ได้หรือไง?”

หนุ่มลูกครึ่งขมวดคิ้วและหันกลับมาหาคนตัวสูงกว่าทั้งตัว “That doesn’t mean you can say it so freely.”

คราวนี้ณรงค์ชักจะอารมณ์ขึ้นบ้าง ถึงแม้ปกติเขาจะใจเย็นแค่ไหน แต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่รู้สึกอะไรเวลาคนที่ชอบพูดจาไม่มีเหตุผลหรอกนะ

“ผมไม่อยากทะเลาะกับคุณเพราะเรื่องนี้นะ ผมแค่อยากจะบอกว่าไหนๆ เราก็กำลังคบกันอยู่ คุณทำตัวตามสบายมากกว่านี้เวลาอยู่กับผมที่บริษัทก็ได้”

ไรอันอ้าปากเตรียมจะโต้ตอบ แต่ณรงค์ได้ยินเสียงฝีเท้าสองคู่ที่เดินมาทางห้องน้ำเสียก่อน ชายหนุ่มจึงรีบฉุดหนุ่มลูกครึ่งให้เข้าไปหลบในห้องน้ำที่อยู่ด้านในสุดด้วยกันแล้วก็ล็อกประตูทันที แต่เมื่อเหลือบตาลงมองก็เห็นไรอันถลึงตาเหมือนอยากจะกัดคอเขาให้รู้แล้วรู้รอด

“What the hell are you doing!?”

อีกฝ่ายคำรามโดยกดเสียงไว้ในคอ แต่ว่านัยน์ตาก็ไม่ได้คลายดีกรีความดุดันลงเลย ณรงค์จึงเพิ่งนึกได้ว่าไม่มีเหตุผลที่เขาสองคนจะต้องเข้ามาหลบในห้องน้ำเสียหน่อยในเมื่อไม่ได้ทำอะไรนอกจากคุยกัน ต่อให้มีคนที่ไม่รู้เรื่องเดินเข้ามา ใครคนใดคนหนึ่งก็แค่ทำหน้าตายแล้วเดินออกไปจากห้องน้ำก่อนซะก็สิ้นเรื่อง

เมื่อไม่รู้ว่าจะแก้ตัวอย่างไรดี ณรงค์จึงทำได้เพียงยักไหล่ราวจะตอบว่า ‘ช่วยไม่ได้’ แต่พอเห็นอีกฝ่ายเผยอริมฝีปากเหมือนจะพูดอะไรอีก ณรงค์ก็รีบห่อปากทำเสียง ‘ชู่’ เบาๆ ขณะเดียวกันก็ยกนิ้วชี้ข้างหนึ่งขึ้นทำสัญญาณให้เงียบไปด้วย ไรอันจึงต้องยอมหุบปากอย่างไร้ทางเลือก

“ห่าแม่ง ผ่านปีใหม่มาได้ไม่เท่าไหร่งานยุ่งฉิบหาย สงสัยคืนนี้ต้องอยู่ดึกอีกแหงๆ”

“อ้าว? แล้วพี่ดอนไม่ต้องกลับไปกินข้าวกับเมียเหรอ วันนี้วันวาเลนไทน์นา”

“พี่ก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่ะ แต่โดนสั่งมาว่าต้องทำแบบห้องให้เสร็จสำหรับพรีเซนต์ให้ลูกค้าพรุ่งนี้เช้า นี่ก็พยายามจะเร่งให้มันเสร็จก่อนหกโมงอยู่แต่ไม่รู้จะทันไหม นี่ถ้าวันนี้ต้องทำโอทีมีหวังโดนเมียงอนแหงๆ”

เสียงพูดคุยและเสียงการทำกิจกรรมที่โถสุขภัณฑ์ด้านนอกทำให้ณรงค์นึกขอบคุณแม่บ้านที่เข้ามาฉีดสเปรย์ดับกลิ่นชนิดเข้มข้นไว้ให้ก่อน เขากับไรอันที่อยู่ในห้องน้ำด้านในสุดจึงไม่ได้กลิ่นไม่พึงประสงค์ แต่ว่าบทสนทนาที่เพิ่งได้ยินก็กระทบใจเขาอย่างจัง จริงด้วยสิ เขาเองก็กำลังตั้งใจว่าจะถามไรอันเรื่องนี้อยู่พอดีเลยนี่นา ถ้าไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายพูดจาชวนทะเลาะเสียก่อนน่ะ

“เย็นนี้คุณว่างหรือเปล่า?”

ณรงค์กระซิบถามเสียงเบา ความที่ทั้งสองยืนเบียดกันชิดมากโดยหันหน้าเข้าหากัน ลมหายใจอุ่นๆ ของณรงค์จึงตกลงระหน้าผากของไรอันไปโดยปริยาย และเขาก็ไม่แน่ใจว่าผิวแก้มของไรอันยังไม่หายแดงเพราะการที่เพิ่งออกไปตากแดดมา หรือว่าเพิ่งจะแดงขึ้นมาใหม่กันแน่

“ถามทำไม?”

ณรงค์กลอกตา “ก็วันนี้วันวาเลนไทน์ ใครๆ ก็ไปดินเนอร์กับแฟนกันทั้งนั้น ผมก็อยากชวนคุณไปดินเนอร์ด้วยกันมั่งน่ะสิ”

คราวนี้หนุ่มลูกครึ่งหรี่ตาสีน้ำตาลอ่อนลงพลางจ้องเขาเขม็ง “แค่เพราะใครๆ ก็ทำกัน เราก็เลยต้องทำตามบ้างงั้นเหรอ?”

ณรงค์ไปต่อไม่ถูกเมื่อได้ยินคำถามนั้น หนุ่มลูกครึ่งจึงเพียงหันหน้าหลบสายตาเขาพร้อมกับขมวดคิ้วมุ่นเหมือนไม่พอใจ เสียงการเคลื่อนไหวจากด้านนอกบอกให้รู้ว่าเพื่อนร่วมบริษัททั้งสองที่เพิ่งทำธุระเสร็จได้ย้ายมาล้างมือที่อ่างแล้ว และโชคดีที่ขอบประตูด้านล่างของห้องน้ำที่เขากับไรอันยืนอยู่ต่ำพอจะบังรองเท้าของพวกเขาได้ แต่ณรงค์ก็ยังคิดว่าควรจะปลอดภัยไว้ก่อนด้วยการดันไรอันให้ขยับเข้าไปข้างในอีกนิดและและใช้ร่างตัวเองคร่อมบังอีกฝ่ายไว้

ไรอันตวัดสายตาขึ้นมองเขาแวบหนึ่ง แต่แล้วก็สะบัดหน้ากลับไปอย่างเดิมเพราะรู้ว่าหากส่งเสียงเดี๋ยวคนข้างนอกจะรู้ว่าในห้องน้ำไม่ได้มีคนอยู่แค่คนเดียว ณรงค์จึงได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ที่ทำให้อีกฝ่ายต้องมาลำบากกับเขาไปด้วยโดยไม่จำเป็น

ความใกล้ชิดชนิดที่อกชนอกทำให้ณรงค์เริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง ถึงจะเริ่มคบกันแล้วก็จริง แต่ทั้งคู่ก็ไม่เคย 'ใกล้ชิด' กันขนาดนี้มาก่อน เขารู้ดีว่าตอนนี้ไรอันพยายามดันตัวเองจนแทบจะกลืนเข้าไปในผนังแล้วถ้าทำได้ แต่ยิ่งเดาได้ว่าอีกฝ่ายทำอย่างนั้นเพื่อสร้างระยะห่าง ณรงค์ก็ยิ่งแกล้งด้วยการเบียดตัวเองเข้าหามากขึ้นอีก

ร่างกายท่อนล่างของณรงค์ที่กำลังบดเข้าหาสะโพกของเขาทำให้ไรอันตัวแข็งและทำตาโต ใบหน้าที่เมื่อครู่เริ่มคืนสีปกติกลับเรื่อสีแดงปลั่งขึ้นมาอีกครั้ง

“What the fuck are you…umph!!”

หนุ่มลูกครึ่งคำรามโดยไม่ลืมกดเสียง แต่ยังพูดไม่ทันจบประโยคก็ถูกณรงค์ก้มหน้าเข้าหาแล้วกลืนคำพูดที่เหลือไว้ด้วยริมฝีปากเสียก่อน ร่างสูงไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้ปฏิเสธด้วยการเบียดร่างกายเข้าหามากขึ้นและไล้เรียวลิ้นเข้าในริมฝีปากที่เผยออย่างไม่ได้ตั้งตัวอยู่แล้ว

หวาน...

ณรงค์คิดในใจ รสชาติที่ติดอยู่บนปลายลิ้นของไรอันซึ่งเขาสัมผัสได้จางๆ ให้ความรู้สึกเหมือนน้ำผึ้งมะนาว ทั้งหวานและอมเปรี้ยวอ่อนๆ ในคราเดียวกัน หากไม่ใช่เพราะไรอันเพิ่งดื่มเครื่องดื่มนี้มาก่อนเข้าบริษัท ก็คงจะเป็นเพราะเพิ่งอมลูกอมรสนี้มาอย่างไม่ต้องสงสัย

รสชาติหวานหอมที่ไม่คาดคิดและไม่เคยลิ้มลองทำให้ณรงค์เผลอไผล ชายหนุ่มเลื่อนมือข้างหนึ่งขึ้นช้อนท้ายทอยอีกฝ่ายไว้เพื่อให้แหงนหน้าขึ้นรับริมฝีปากเขาถนัดขึ้น ขณะที่มืออีกข้างเลื่อนลงไปรั้งเอวผอมเข้าหา ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าร่างในอ้อมแขนสั่นน้อยๆ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้จูบตอบเขาเสียทีเดียว แต่ความอบอุ่นจากร่างกายที่ได้สัมผัสก็ทำให้เขานึกถึงภาพเรือนร่างเปลือยเปล่าของอีกฝ่ายตอนที่เมาไม่ได้สติและต้องให้เขาเช็ดตัวให้เมื่อคืนคริสต์มาสอีฟที่ผ่านมา และภาพที่ผุดขึ้นมาในความทรงจำก็ทำให้เขารู้สึกว่าโลหิตในตัวสูบฉีดพลุ่งพล่านจนหัวใจเต้นแรงไปหมด

กระทั่งตรงนั้นของเขาก็ยังมีความรู้สึกตามไปด้วย...

ความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของณรงค์ทำให้ไรอันลืมตาโพลง ความเคลิบเคลิ้มที่ถูกปลุกปั่นจากริมฝีปากอันเร่าร้อนหายวับไปในพริบตาด้วยความตระหนก หนุ่มลูกครึ่งรวบรวมกำลังกลับคืนสู่ร่างกายที่อ่อนเปลี้ยแล้วก็รีบผลักณรงค์ออก จากนั้นกำปั้นเน้นๆ ก็ถูกซัดเข้าที่ท้องอีกฝ่ายเต็มแรง

"อุ๊บ!!!"


++---TBC---++


ค้างไว้ตรงนี้ไม่เป็นไรเนอะ เนอะๆๆ (อิป้าวอนซะแล้ว) :laugh:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-02-2011 09:10:40 โดย bellbomb »

Little Devil

  • บุคคลทั่วไป
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-02-2011 02:08:04 โดย Little Devil »

ออฟไลน์ roseen

  • เก็บความทรงจำที่ดีๆของวันวาน เพราะมันคือกำลังใจของวันนี้
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8646
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +947/-16

kakuro

  • บุคคลทั่วไป
คุณรินใจร้าย :sad4:
ตกลง Sweet Valentine หรือ Bitter Valentine  :serius2:

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
คุณรินใจร้าย :sad4:
ตกลง Sweet Valentine หรือ Bitter Valentine  :serius2:

จะ sweet หรือ bitter ต้องรอให้เขียนครึ่งหลังเสร็จก่อนนะค้าคุณ kakuro แต่ที่แน่ๆ คนเขียนชอบกิน bitter chocolate ค่ะ อิอิ  :haun5:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด