การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)  (อ่าน 242970 ครั้ง)

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
คนที่เรารักบางทีก็อยู่แค่ใกล้ๆตัว
พอหันมองแบบตั้งใจอีกครั้ง
เอ่อ ใช่นี่หวา
 o17 o17 o17 o17

ยังไงซะ อดีตก็มีผลต่อความรู้สึกเสมอ
เวลาจะช่วยเยียวยามันได้
 :m18: :m18: :m18:

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
ดีใจกับคู่ของพีกับไคล์จิงๆเลยคับ ซึ้งๆๆๆๆๆ

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนที่ 43


ผมตื่นขึ้นมาพร้อมๆกับเสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์มือถือของพี พอหันไปมองไอ้ซันก็เห็นมันยังคงหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ ผมจึงหันหน้าไปยังเตียงของไคล์กับพีและเห็นพีรีบกดปุ่มปิดเสียงจากนั้นก็ลุกขึ้นนั่ง แต่ว่าผมกำลังมองเขาทั้งสองคนอยู่ด้วยตาที่เกือบจะไม่ได้เปิดขึ้นมาเลย ทำให้ไคล์ที่เหลือบหันมามองผมและคิดว่าผมคงยังหลับอยู่ดึงตัวพีลงมาจูบลงที่ริมฝีปากเบาๆ เมื่อผมเห็นดังนั้นผมจึงแกล้งกระแอมออกมาดังๆ พีและไคล์ต่างก็สะดุ้งและหันมามองทางผม ผมจึงลืมตาขึ้นแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ

“อืมมมมมมม อิจฉาจริงว้อยยยย” ผมพูดค่อยๆ ไม่อยากปลุกให้ไอ้ซันตื่น “ดีนะที่เป็นพี่เห็น ถ้าเป็นไอ้แสบนี่ เราสองคนต้องโดนมันแซวแน่ๆ” ผมหัวเราะ

“นี่ก็โดนไปแล้วครับ” ไคล์ตอบกลับมา พียิ้มกว้างจากนั้นก็ก้มลงไปหยิบยูนิฟอร์มของตัวเองออกมาจากกระเป๋าแล้วเดินไปเข้าห้องน้ำ

ทั้งผมและไคล์ต่างก็มองพีเดินเข้าห้องน้ำไป เมื่อผมหันมาสบตากับไคล์ ผมก็ยิ้มกว้างแล้วก็พยักหน้าให้กับเขา ไคล์เองก็ยิ้มกว้างอย่างรู้ทันเช่นกัน เขาพยักหน้าเหมือนจะบอกว่าขอบคุณ จากนั้นจึงลุกขึ้นยืนแล้วก็เดินไปเคาะที่ประตูห้องน้ำ จากที่ๆผมนอนอยู่ตรงนี้ผมจะไม่สามารถเห็นหน้าประตูห้องน้ำได้ แต่เมื่อผมได้ยินเสียงประตูถูกเปิดออกและปิดลง ไคล์ก็ไม่ได้กลับมานอนที่เตียงอีก

“ทำตัวเป็นพ่อสื่อเหรอมึง” ไอ้ซันถามขึ้นทั้งๆที่ยังหลับตาอยู่

ผมหันไปหัวเราะให้กับมัน “ก็แค่อยากให้น้องๆสมหวังในความร๊ากกก”

“กูจะอ้วกกก” ไอ้ซันพูดแล้วพลิกตัวขึ้นมาคร่อมผม “กูพี่ชายมันนะ ทำไมไม่เห็นมึงถามกูก่อนเลย” มันยิ้มที่มุมปาก

“กูก็พี่เขยมันเหมือนกันนี่ กูต้องขอมึงด้วยรึไง” ผมหัวเราะในลำคอเบาๆ

“ไม่ต้องหรอก ถ้ากูได้ของตอบแทนจากการกระทำของมึงที่ไม่ยอมปรึกษากูก่อนน่ะนะ” เมื่อพูดจบไอ้ซันก็ก้มหน้าลงมาจูบกับผมทันที มือของมันป่ายลงไปยังเป้ากางเกงของผมแล้วก็ขยำเบาๆ

“เช้าๆหน่อยนี่ไม่ได้เลยนะ” ผมพูดขึ้นหลังจากที่ถอนปากออก

“ก็คงงั้น.......... แต่นี่มันเช้าเกินว่ะ ขอกูนอนต่อก็แล้วกัน” มันพูด แล้วก็พลิกตัวลงกลับไปนอนเหมือนเดิม แต่มือของมันก็ยังคงกุมที่เป้ากางเกงของผมอยู่

“นอนไปเหอะ สายๆค่อยตื่นไปกินข้าวเช้ากัน” ผมบอกมัน จากนั้นก็หลับตาลงเช่นเดียวกัน

หลังจากที่ผมนอนหลับตาอยู่สักพักก็ได้ยินเสียงประตูห้องน้ำถูกเปิดออก และได้ยินเสียงคนคุยกันเบาๆรวมทั้งเสียงของประตูห้องที่ถูกเปิดออกและปิดลง และหลังจากนั้นเมื่อทุกอย่างกลับสู่ความเงียบลงอีกครั้ง ผมก็ไม่ได้ยินเสียงหรือรู้สึกถึงอะไรอีกเลยนอกจากความอบอุ่นของผ้าห่มที่ผมซุกตัวนอนอยู่และไอ้ซันที่กำลังนอนเบียดอยู่ข้างๆผมเท่านั้น

เมื่อผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นเวลาเจ็ดโมงเช้าแล้ว และไคล์ก็ไม่อยู่บนที่นอนแล้วด้วย ผมคิดว่าเขาคงจะไปหาพีแน่ๆ ผมหันไปปลุกไอ้แสบของผมให้ตื่นขึ้น มันลืมตาขึ้นช้าๆแล้วก็บิดขี้เกียจอยู่บนเตียง

“อ้าว ไคล์ไปไหนวะ” มันถามเมื่อไม่เห็นไคล์นอนอยู่บนเตียง

“ไม่รู้ว่ะ คงไปหาพีมั๊ง”

“เหรอ...... อืมมมมม” ไอ้ซันบิดขี้เกียจอีกครั้งก่อนลุกขึ้นนั่ง “แม่ง ยังกะตัวมันติดกันแน่ะ ห่างกันหน่อยไม่ได้เลย”

“มึงจะไปรู้เขาได้ไง บางทีอาจจะไม่ใช่แค่ตัวแล้วก็ได้มั๊ง หรือบางทีต้องพูดเจาะจงว่า ตัว ‘ส่วน’ ไหนของเขาสองคนที่ติดกันน่ะนะ” ผมหัวเราะ

ไอ้ซันยิ้มแล้วเคาะหัวผมเบาๆ “ทะลึ่ง”

“น้อยกว่ามึงหน่อยนะ” ผมชะโงกไปหอมแก้มมันเบาๆ “ว่าแต่....... มึงคิดว่าไงวะ เรื่องของสองคนนั้นน่ะ”

“คิดว่าไงยังไงล่ะ”

“ก็...... ไม่รู้ว่ะ อย่างเช่น เขาจริงจังกันมากแค่ไหน แล้วตั้งใจจะคบกันจริงๆรึเปล่าอะไรแบบนั้นน่ะ”

“ถ้าเรื่องนั้น มึงคิดว่าไงล่ะ”

“กูก็ไม่รู้ว่ะ...... แต่ถ้าดูจากสายตาของกูและจากที่กูคิดนะ กูว่าดูทั้งสองคนก็มีความรู้สึกให้กันอยู่มากเลยว่ะ ไม่น่าจะแค่ชั่วครู่ชั่วคราว” ผมบอก

“อืมม งั้นมึงก็คงคิดเหมือนกู แต่ว่ากูอยากรู้เหตุผลว่าทำไมมึงถึงคิดอย่างนั้นนะ กูอยากรู้ว่ามึงคิดตรงกับกูรึเปล่า”

“กูคิดว่า กูดูจากสายตาของไคล์เอานะ แล้วก็ของพีด้วย คือ พีดูเปลี่ยนไปมากเลยจากในความทรงจำของกูอ่ะ หรืออย่างน้อยๆ กูว่าก็ดูต่างไปจากเมื่อตอนที่เราเจอเขาครั้งแรกเมื่อวานมากเลยด้วยซ้ำ” ผมพูด

“กูก็คิดคล้ายๆกับมึงเหมือนกัน แต่ว่ากูดูจากปฏิกิริยาของไคล์มันมากกว่า ที่ผ่านมามันไม่เคยสนใจหรือทำอะไรแบบนี้กับใครเลยจริงๆ คือ ก็เท่าที่กูรู้และมันเล่าให้ฟังน่ะนะ ตั้งแต่ก่อนที่กูจะคุยกับมันเรื่องที่มันชอบกูอีก มันเคยบอกกูว่ามันไม่เคยสนใจจะคบกับใครเลยจริงๆ น่าแปลกใช่มั๊ยละ คนหน้าตาดีระดับมัน แต่มันบอกว่า ถึงมันจะเคยมีคนอื่นๆอยู่บ้าง แต่อย่างมากมันก็แค่ออกเดทด้วยแค่สองสามครั้งแล้วก็คุยกันอยู่ช่วงหนึ่ง แต่พอรู้สึกว่าไม่ใช่ มันก็ไม่สานต่อเลย และที่สำคัญคือมันไม่เคยเข้าหาใครก่อนด้วย...... อืมมม จากนั้นกูก็มารู้ทีหลังน่ะนะว่าเป็นเพราะมันชอบกู และพอหลังจากที่กูเคลียร์กับมันแล้ว มันก็ยังไม่เคยคบใครอยู่ดีนั่นแหละ แต่พอตอนนี้ ดูมันมีความสุขแล้วก็จริงจังมากจริงๆ มันทั้งเริ่มเข้าหาก่อนและแสดงออกมาอย่างชัดเจนเลยด้วยว่ะ กูผิดสังเกตมาตั้งแต่ที่มันพาเขากลับมาเมื่อวานแล้ว แต่ถ้าพูดถึงดูออกชัดๆเลยก็ต้องตอนที่มันเดินเข้ามาพร้อมกันสองคนเมื่อคืนน่ะนะ มึงเห็นสายตาที่มันมองกันมั๊ยล่ะ”

ผมหัวเราะ “เห็นดิ่ และดูท่าว่าคนบางคนจะอิจฉาพวกเขาด้วยใช่มั๊ย”

“ใครอิจฉา มึงล่ะสิ ไอ้ตัวดี” ไอ้ซันพูดจากนั้นก็ขึ้นคร่อมผมอีกครั้ง ผมกับมันสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง มันจึงค่อยๆพูดออกมาเบาๆ “ไปอาบน้ำกันเถอะ”

“เดี๋ยวก่อน ว่าแต่ที่มึงเล่ามาเมื่อกี๊ มันแปลว่าไคล์ไม่เคยมีอะไรกับใครเลยเหรอวะ” ผมอดสงสัยไม่ได้ “แบบว่าหน้าตาระดับเขาเนี่ยนะ”

“กูก็ว่างั้น เพราะงั้นกูคิดว่ามันคงเคยมีเซ็กส์แหละ หรืออาจจะไม่เคย ไม่รู้เหมือนกันว่ะ ไม่อยากเดาไปเองเพราะมันไม่ใช่เรื่องของกู แต่ถึงมันจะเคยมีมันก็คงไม่บอกกูหรอก โธ่ มึงคิดว่ามันจะพูดเรื่องแบบนั้นกับกูเหรอวะ กูหมายถึง มึงคิดว่ามันจะ ‘กล้า’ เล่าให้กูฟังเรอะ”

“มันก็จริงของมึง” ผมยิ้ม “แต่ขอกูถามอีกเรื่อง”

“อะไรล่ะ”

“ถ้ามึงคิดว่าพวกเขาจริงจังกันจริง หมายถึงไคล์กับพีน่ะ แต่ว่าอีกไม่กี่วันเดี๋ยวเราก็ต้องกลับกันแล้วนะ มึงคิดว่าพวกเขาสองคนจะเป็นยังไงกันต่อไป” ผมถามความเห็น

“กูก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ที่แน่ๆ กูคิดว่าไอ้ไคล์มันก็รู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว และพีเองก็ต้องรู้ด้วยเหมือนกันนั่นแหละ มึงจำประโยคที่กูบอกไคล์มันเมื่อคืนได้มั๊ยล่ะ”

ผมพยักหน้า “ที่มึงบอกว่า ‘รู้ใช่มั๊ยว่าอะไรควรไม่ควร และรู้ใช่มั๊ยว่าอะไรจะเกิดขึ้น’ อะไรนั่นใช่มะ”

“ใช่ กูไม่จำเป็นต้องพูดมันออกไปตรงๆและไม่จำเป็นต้องพูดจบประโยดด้วยซ้ำ ไคล์มันก็เข้าใจความหมายของกูแล้ว และอีกอย่างนะ มันเป็นเรื่องของเขาสองคนว่ะ เขาต้องหาทางจัดการกันเอง เอาเถอะ ถึงจะอยู่กันไกล มันก็ไม่ใช่ว่าจะรักกันไม่ได้นี่นา”

“ก็คงทั้งใช่ และไม่ใช่มั๊ง....... กรณีของเรามันก็อีกอย่าง แต่นี่ถ้าไคล์กลับอังกฤษ และพีกลับไทย เขาคงไม่ได้เจอกันอีกเลยนะเว้ย เพราะไคล์ไม่จำเป็นต้องกลับไปเยี่ยมมึงที่ไทยแล้วนี่”

“ไม่รู้เหมือนกัน........ แต่ก็ไม่แน่หรอกนะ” มันยิ้มมุมปาก “เอาเหอะน่า ปัญหาของเขาก็ให้เขาจัดการกันเองเถอะ เราทำอะไรไม่ได้หรอก มึงอย่าคิดมากเลย”

“อืมมม” ผมพยักหน้า “กูก็ไม่ได้คิดมากหรอก แค่ไม่อยากให้เขาทั้งคู่รู้สึกแย่หรือผิดหวังอะไรแบบนั้นมั๊ง”

“กูเข้าใจ....... แต่ว่าตอนนี้เราไปอาบน้ำกันก่อนดีกว่า กูอยากอาบน้ำโคตรๆแล้ว” มันยิ้มกว้าง

“ก็ได้ แต่อาบอย่างเดียวนะ เดี๋ยวไม่มีแรงเดิน” ผมยิ้ม

“กูไม่สัญญานะ” มันหัวเราะ จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินจูงมือผมเข้าไปในห้องน้ำ

เราสองคนเดินเข้าไปในห้องน้ำพร้อมๆกัน หลังจากที่เราแปรงฟันเสร็จและต่างก็ถอดเสื้อผ้าออกกันออกจนหมด ผมก็เริ่มต้นโดยการเปิดน้ำและปรับให้อุ่นจนพอดีๆจากนั้นจึงค่อยๆผลักไอ้ซันให้เข้าไปอยู่ใต้สายน้ำช้าๆ ผมพลิกมันให้หันหลังให้กับผมแล้วจึงค่อยๆใช้สบู่ลูบไล้ไปตามแผ่นหลังของมันจนทั่ว ผมนวดที่หัวไหล่เบาๆ และไล่ลงมาล้างที่ก้นและน่องขาของมันด้วย มันส่งเสียงครางในลำคอออกมาอย่างพอใจตลอดเวลาที่ผมใช้มือลูบไล้ไปตามร่างกายส่วนต่างๆและออกแรงนวดไปพร้อมๆกันด้วย จนเมื่อด้านหลังของมันสะอาดดีแล้วผมจึงพลิกตัวมันให้หันกลับมาหาผม ทันทีที่มันหันกลับมา มันก็ประกบปากเข้ากับผมทันที เราแลกลิ้นกันอยู่ครู่หนึ่งจึงถอนปากออก และหลังจากนั้นผมก็ทำความสะอาดด้านหน้าให้กับมันเช่นกัน แต่แน่นอนว่ามันต้องแข็งรอผมอยู่แล้ว ผมจึงนั่งคุกเข่าลงแล้วใช้ปากให้กับมันจนเสร็จ จากนั้นจึงกลับมาเริ่มต้นทำความสะอาดร่างกายของมันต่ออีกครั้ง

เมื่อผมล้างสบู่ออกจากตัวของมันจนเสร็จหมดแล้ว ไอ้ซันก็ทำแบบเดียวให้กับผมบ้าง แต่มันเริ่มต้นที่ทางด้านหน้าของผมก่อน มันใช้สบู่ทำความสะอาดส่วนนั้นของผมอย่างอ้อยอิ่งจนผมพร้อมที่จะไปเต็มที่ มันถึงค่อยใช้ปากทำแบบเดียวกันกับผมจนเสร็จเช่นเดียวกัน และเมื่อล้างด้านหน้าเรียบร้อยแล้ว มันก็พลิกตัวผมให้หันหลังและทำความสะอาดร่างกายของผมอย่างแผ่วเบา โดยที่มันจะเน้นบริเวณแก้มก้นของผมนานเป็นพิเศษ

“ชอบรึไง” ผมหัวเราะออกมาเบาๆแล้วก็หันไปมองหน้าของมัน

“เด้งยังกะปีโป้แน่ะ” มันหัวเราะแล้วตีลงมาเบาๆ

เราสองคนหัวเราะขึ้นพร้อมๆกัน จากนั้นมันก็ล้างสบู่ออกจากตัวของผมจนหมด เราสองคนเช็ดตัวให้กันและกันแล้วจึงออกมาแต่งตัวด้านนอกห้องน้ำ เมื่อเราทั้งคู่ต่างก็พร้อมเรียบร้อยแล้ว เราจึงเดินออกจากห้องฝ่าอากาศเย็นยามเช้าไปยังคาเฟทีเรียเพื่อทานอาหารเช้ากันทันที

และก็เป็นอย่างที่เราสองคนคิดไว้ ไคล์กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะโซฟาตรงมุมร้าน ส่วนพีเองก็กำลังเดินเก็บจานอยู่ใกล้ๆนั้นด้วยเช่นกัน เมื่อเขาเห็นเราสองคนเดินเข้าไปหา ทั้งคู่ก็หันมายิ้มให้กับเราทันที

“กะไว้แล้วไม่ผิด” ผมหัวเราะขณะที่เดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงกันข้ามกับไคล์ ไอ้ซันเองก็มานั่งลงข้างๆผมเช่นกัน

“กินอะไรแล้วรึยังล่ะ” ซันถามไคล์ และเงยหน้าขึ้นไปถามพีด้วย “แล้วพีล่ะ กินข้าวเช้ารึยัง”

“ยังครับ” ทั้งคู่ตอบขึ้นพร้อมๆกัน

“พีทจะได้เบรคตอนเก้าโมงน่ะครับ ผมก็กะว่าจะกินข้าวตอนนั้นพร้อมๆเขาเหมือนกัน” ไคล์พูดขึ้น

“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ คนกำลังเยอะเลย เดี๋ยวจะโดนผู้จัดการออกมาด่าเอา” พีบอกพวกเรา จากนั้นก็เข็นรถที่ใช้ใส่จานเดินจากไป

ผมหันไปมองรอบๆตัวแล้วก็เห็นว่าตอนนี้มีลูกค้าเยอะจริงๆด้วย และพนักงานที่คอยเก็บโต๊ะก็มีแค่พีกับป้าแก่ๆอีกคนหนึ่งเท่านั้นเอง

“เฮ้ย เรามานั่งโต๊ะว่างๆแบบนี้มันไม่น่าเกลียดเหรอวะ กูว่ามันเบียดเบียนคนอื่นที่เขากำลังหาที่นั่งกันอยู่นะ” ผมหันไปพูดกับไอ้ซัน

“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน” มันพูดกับผม แต่ตากลับมองอยู่ที่ไคล์พร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก “ตอนนี้กูอยากรู้ว่าไอ้น้องชายกูคนนี้มันออกจากห้องมาตั้งแต่เมื่อไหร่มากกว่า”

“เอ่ออ คือ ผมก็ออกมาตอนทั้งคู่หลับนั่นล่ะครับ” ไคล์หัวเราะเบาๆ “ก็แปรงฟันเปลี่ยนเสื้อผ้าทำทุกอย่างเสร็จตอนที่ทั้งสองคนยังหลับอยู่นั่นแหละ........ แต่เห็นนอนเอามือกุมเป้ากันท่าทางจะอุ่นก็เลยไม่อยากกวน”

ผมกับไอ้ซันมองหน้ากันแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆเป็นการกลบเกลื่อนความเขิน จากนั้นเราสองคนก็ลุกไปซื้ออาหารเช้ามาทานกัน ผมซื้อเฟรนช์ โทสต์ ไอ้ซันซื้อเบรคฟาสต์ เบอริตโต และเรายังซื้อผลไม้มาให้ไคล์ทานเล่นเพื่อรองท้องไปก่อนด้วย นอกจากนั้นก็มีกาแฟสามถ้วยแล้วก็นมอีกกล่องหนึ่ง

“เอ้านี่ กินซะ ต้องรออีกตั้งชั่วโมงกว่า เดี๋ยวจะไม่ไหวซะก่อน” ซันบอกไคล์

“ขอบคุณมากครับ” เขาบอก จากนั้นเราสามคนก็นั่งทานอาหารด้วยกันพร้อมๆกับคุยเรื่องโปรแกรมการไฮค์ที่เราวางแผนเอาไว้ด้วย ดูท่าทางเรื่องการวางแผนเที่ยวในแกรนด์ แคนยอนนี่จะมีเรื่องให้เราคุยกันได้ไม่จบไม่สิ้นสักทีจริงๆ

“อ้าว ไคล์ได้เดินลงไปดูที่ไบรท์แองเจิ้ล เทรลล์มาแล้วเหรอ” ผมถาม

“ครับ ก็ตรงเฮอร์มิทนั่นแหละ พีทบอกผมว่ามันเป็นทางไฮค์ที่ง่ายและมีคนนิยมมากที่สุดด้วย” เขาตอบ

“แล้วเป็นไงมั่งล่ะ น่าสนใจมั๊ย” ซันถามขึ้นบ้าง

ไคล์ส่ายหัวแล้วก็หัวเราะเบาๆ “มันก็ขึ้นอยู่กับมุมมองของคนนะครับ”

“หมายความว่าไง” ผมถาม

“ก็..... น่าสนใจมันก็คงน่าสนอยู่ เพราะว่ามันเดินไปกลับเป็นระยะทางประมาณเกือบๆสิบไมล์ หรือถ้าไปจนสุดริมหน้าผาก็บวกเพิ่มไปอีกสามไมล์ แล้วก็เดินลงไปประมาณสามพันฟิตได้มั๊ง ใช้เวลาราวๆสองถึงสามชั่วโมงตอนลง และอาจจะมากกว่านั้นตอนขึ้น นอกจากนั้นก็คือ จนกว่าจะถึงปลายทาง มันจะไม่มีอะไรเลยนอกจากทราย หิน ดิน แล้วก็ขี้ล่อน่ะครับ”

ผมกับซันมองหน้ากันแล้วหันไปหาไคล์อีกครั้ง

“ล่อเหรอ” ผมพูดขึ้นอย่างสงสัย

“มันคืออะไรวะ” ไอ้ซันถามบ้าง

“หืมมม ไอ้ควาย” ผมหันไปด่ามัน “ล่อก็ตัวล่อไงมึง ลูกของม้ากะล่าน่ะ ไอ้บ้า”

“เออๆ กูรู้ ไอ้ห่า กูหมายถึงว่ามันเอาไว้ใช้ทำอะไรต่างหาก” มันหันมาด่าผมบ้าง

“แหม ไปได้น้ำขุ่นๆเลยนะครับ ไอ้แสบบบ”

ไคล์หัวเราะขึ้นอีกครั้งที่เห็นเราสองคนทะเลาะกัน

“ขำอะไร แหมเว้ย ดูท่าทางจะอารมณ์ดีจังนะครับ น้องชาย ตั้งแต่มีแฟนเนี่ย” ไอ้ซันหันไปกัดไคล์บ้าง

ไคล์หน้าแดงขึ้นมาทันที แต่ก็ยังคงมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าอยู่ และเขาก็ไม่ปฏิเสธคำพูดของซันด้วย

“มันเอาไว้ให้คนขี่ลงไปข้างล่างน่ะครับ สำหรับคนที่ไม่อยากเดิน” เขาตอบ “แต่แพงครับ แล้วก็ต้องจองล่วงหน้าเป็นปีเลย...... เห็นว่างั้นนะครับ”

“ยังไงๆพี่ก็ไม่คิดจะใช้มันหรอก มีขาก็ใช้ขาของตัวเองสิ อยากจะลงไปข้างล่างเองแต่ดันไปเบียดเบียนสัตว์อื่นอีกเนี่ยนะ” ผมพูด

“งั้นแปลว่ามึงคิดจะไปไฮค์แน่ใช่มั๊ย” ไอ้ซันถามย้ำ

“อื้ออ มึงไปมั๊ยล่ะ”

“ไปดิ่ มึงไปไหนกูก็ไปนั่นอยู่แล้ว” มันยิ้มให้ผมจากนั้นก็หันกลับไปหาไคล์ “ว่าแต่ไคล์กับพีล่ะ มีแผนจะไปรึเปล่า”

“ไปครับ ก็ไปกับพวกพี่นั่นแหละ” เขาตอบ

“อ้าว ไม่อยากไปด้วยกันแค่สองคนเหรอ” ซันถาม

“ไม่ล่ะครับ อยากไปกับทุกคนมากกว่า และพีทก็บอกว่ามันปลอดภัยดีกว่าด้วย ไปหลายๆคนก็สนุกดีออก หรือว่าพี่อยากไปกันแค่สองคนรึเปล่าล่ะครับ”

“ไม่อ่ะ ไปด้วยกันหลายๆคนนั่นแหละ สนุกดีแล้ว ไอ้ซันมันแค่อยากจะแน่ใจว่าพีกับไคล์อยากจะใช้เวลาอยู่กันตามลำพังรึเปล่าน่ะ” ผมตอบ

เรานั่งทานอาหารแล้วก็ดื่มกาแฟกันอีกนิดหน่อย ผมกับซันก็ลุกขึ้นเพื่อจะเดินไปดูของที่ร้านขายของที่ระลึก เราชวนไคล์ไปด้วยแต่เขาบอกว่าเขาอยากจะนั่งรอพีอยู่ที่นี่มากกว่า เพราะจากตรงนี้เขาสามารถมองเห็นพีได้เกือบตลอดเวลาไม่ว่าพีจะเดินไปส่วนไหนของร้านเลย เราสองคนจึงปล่อยให้เขาทำตามใจและเดินออกไปยังร้านขายของที่ระลึก แล้วก็เป็นอย่างที่ผมคาดเอาไว้ สินค้าแทบทุกชิ้นนั้นไม่ต่างจากร้านที่แมสวิคเลย ผมเดินไปหยุดอยู่ตรงมุมขายโปสการ์ดแล้วก็คิดว่าจะเลือกมาทั้งหมดสามแผ่นเพื่อจะส่งกลับไปให้พ่อของผมที่ประเทศไทยหนึ่งแผ่น ส่งไปให้พ่อและแม่ของไอ้ซันหนึ่งแผ่น และอีกหนึ่งแผ่นนั้น ผมคิดว่าผมจะส่งไปให้กับนัท

“มึงจะส่งโปสการ์ดเหรอ” ไอ้ซันเดินมาถามผมจากทางด้านหลัง

“ใช่ ส่งกลับไปบ้านกู บ้านมึง แล้วก็..... ให้นัทน่ะ” ผมตอบ

“อืมมมม........ ก็ดีนะ งั้นกูเขียนลงแผ่นเดียวกับมึงให้พ่อกับแม่กูด้วยเลยดีกว่า ไม่เปลืองดี”

“มึงจะไม่ถามกูเรื่องนัทเลยเหรอ”

“จะให้ถามว่าอะไรล่ะ”

“ก็อย่าง ส่งไปทำไม ทำไมถึงต้องส่ง และทำไมถึงคิดจะส่งอะไรแบบนั้นน่ะ”

 “นี่สรุปคือจริงๆแล้วมีแค่คำถามเดียวคือคำว่า ‘ทำไม’ ใช่มั๊ย แล้วมึงจะถามหลายๆอย่างให้มันฟังดูต่างกันหาพระแสงอะไรวะ” ไอ้ซันหัวเราะ แล้วเอามือมาวางลงบนหัวของผม “กูไม่ถามหรอกว่ะ เพราะถ้ามึงตัดสินใจแล้วล่ะก็ กูก็ไม่สงสัยเรื่องที่มึงคิดจะทำหรอก เพราะกูรู้ว่ามันไม่ได้มีความหมายอะไรที่จะมีผลต่อเราสองคนเลยแม้แต่นิดเดียว ใช่มั๊ย มันเรื่องส่วนตัวของมึงนี่ กูไม่เกี่ยว”

ผมยิ้มให้มันแทนคำตอบ แต่จากนั้นมันก็ดันตัวของผมให้หมุนไปหันหลังให้กับมัน

“ทำไรวะ” ผมถาม

“อยู่เฉยๆเหอะ” มันพูด จากนั้นก็อ้อมแขนมาทางด้านหน้าของผม มันกำลังจะใส่สร้อยคอให้ผมนั่นเอง “กูเพิ่งซื้อมาเมื่อกี๊ ไม่ต้องคิดจะถามมากหรอกน่า”

ผมหยิบจี้ที่สร้อยคอออกมาดู มันคือสร้อยแบบเดียวกับที่ผมชี้ให้มันดูเมื่อวาน แต่ที่จี้ของผมนั้นเป็นรูปเหมือนคนที่กำลังเป่าปี่และเต้นรำอยู่ ผมคุ้นๆว่ามันคือสัญลักษณ์ของแกรนด์ แคนยอนนี่เอง เมื่อพลิกดูด้านหลังก็เห็นตัวหนังสือถูกสลักเอาไว้ว่า ‘จอย’ ซึ่งแปลได้ว่า ‘ความสนุกสนาน’ หรือ ‘ความร่าเริง’ นั่นเอง

“กูก็คิดหนักเหมือนกันนะ ว่าจะให้มึงใส่อะไรดี กูเองก็อยากให้มึงมีความแข็งแรงหรือความสมบูรณ์อะไรพวกนั้นอยู่หรอก แต่คิดๆแล้ว กูชอบมึงที่ความร่าเริงและอยากให้มึงมีความสุขที่ได้อยู่กับกูไปตลอดเวลามากกว่าว่ะ”

ผมหันกลับไปมองหน้ามันแล้วก็แอบส่งจูบผ่านทางสายตาออกไป เพราะถ้าหากเราเผลอทำอะไรพิลึกๆตรงนี้ออกไปตอนนี้ล่ะก็ คนอีกกว่าสามสิบคนในร้านได้กรี๊ดกันจนร้านแตกแน่ และไอ้ซันเองก็ดูเข้าใจความหมายของผมดีด้วย เพราะมันเองก็ยิ้มกว้างและส่งสายตาแบบเดียวกันกลับมาให้แก่ผมเช่นกัน

เราสองคนเลือกซื้อโปสการ์ดและของฝากอื่นๆกันอีกสักพัก จากนั้นก็จ่ายเงินแล้วก็ข้ามไปยังที่ทำการไปรษณีย์ฝั่งตรงข้ามทันที เมื่อเรากลับเข้ามาในคาเฟทีเรียอีกครั้ง ผมก็เห็นพีกำลังยืนคุยกับผู้ชายคนหนึ่งอยู่ เมื่อดูจากบุคลิกและรวมกับการที่เขาติดป้ายชื่อเอาไว้ด้วย ผมจึงคิดว่าเขาน่าจะเป็นผู้จัดการของที่นี่แน่นอน เมื่อเราเดินเข้าไปใกล้พวกเขามากขึ้น ผู้ชายคนนั้นก็คุยกับพีเสร็จและเดินจากไปพอดี

“เกิดอะไรขึ้นรึเปล่าพี นั่นผู้จัดการใช่มั๊ย” ผมถามเขา

“ใช่ไอ้คนที่กวนตีนๆนั่นรึเปล่า” ซันถามขึ้นบ้างเช่นกัน

“อ๋อ ไม่ใช่ครับ คนนี้นิสัยดี เขามาบอกผมว่าผมไม่จำเป็นต้องทำสองกะก็ได้ครับถ้าผมไม่อยากทำ เพราะผู้จัดการอีกคนที่บอกให้ผมทำเมื่อวานนี้ วันนี้เขามาไม่ได้น่ะครับ และคนนี้เขาก็รู้ว่าผมทำแบบนี้มาบ่อยแล้ว เขาเลยอนุญาตให้ผมกลับบ้านได้ทันทีหลังจากหมดกะเช้านี่น่ะครับ” พีบอกพวกเรา

“อ้าว อย่างนี้ก็ดีน่ะสิ ไคล์รู้รึยัง” ไอ้ซันถาม เพราะว่าจากที่ๆเรายืนคุยกันอยู่นี่จะอยู่ทางฝั่งด้านหลังกำแพงที่ไคล์กำลังนั่งอยู่ และเขาก็คงไม่เห็นว่าผู้จัดการเดินมาคุยกับพีแน่นอน

“ก็ต้องยังอยู่แล้วล่ะ ไอ้บ้า ก็ผู้จัดการคนนั้นเขาเพิ่งจะเดินไปตอนเราเดินมาถึงนี่เองนะ ส่วนไคล์ก็นั่งอยู่หลังกำแพงนั่น เขาจะรู้ได้ไงล่ะ” ผมตอบแทนพี และไอ้ซันก็หันมาทำหน้าเซ็งใส่ผมทันที “ครับๆ ผมขอโทษครับ..... อย่าโกรธผมน้าาา” ผมรีบเดินเข้าไปโอบเอวมันแล้วทำเสียงอ้อน

“ระวังนะมึง เดี๋ยววันไหนกูงอนขึ้นมาจริงๆจะจับจูบปากแม่งต่อหน้าไอ้ฝรั่งพวกนี้ให้หมดเลย” มันบอกผม

“กูชักอยากจะเห็นมึงงอนขึ้นมาจริงๆซะแล้วสิวะเนี่ย” ผมหัวเราะ แต่จู่ๆไอ้ซันก็ทำท่าชะโงกเข้ามาจะจูบผมจริงๆทำเอาผมผงะหนีแทบไม่ทัน แม้แต่พีเองก็ยังหัวเราะออกมาเมื่อเห็นเราสองคนแบบนั้น ดูท่าทางเขาจะอยู่ในช่วงที่กำลังมีความสุขมากจริงๆ

“เอ่อ พี่เมฆ พี่ซันครับ ผมขออะไรพี่อย่างนึงได้มั๊ยครับ.......” เขาถามพวกเราสองคน

“อะไรล่ะครับ” ผมตอบ

“คือ ถ้าวันนี้ผมเลิกงานเร็ว พี่สองคนสนใจจะไปไฮค์ตั้งแต่วันนี้เลยมั๊ยครับ หรือว่าอยากจะไปวันอื่น.......”

เราสองคนมองหน้ากัน แต่ไอ้ซันก็ทำอย่างที่มันชอบทำเป็นประจำเวลาที่เราต้องตัดสินใจอะไร นั่นก็คือการยักไหล่ ซึ่งมีความหมายว่าให้ผมเป็นคนตัดสินใจเอาเอง

“มันจะทันเหรอครับ เห็นไคล์บอกว่ามันใช้เวลานี่นา” ผมถาม

“จะให้ทันก็ทันครับ แต่ว่า เรื่องนี้เอาไว้ก่อนก็ได้....... คือ พี่อย่าเพิ่งบอกไคล์ได้มั๊ยครับ ว่าผมไม่ต้องทำงานตอนบ่ายแล้วน่ะ แบบว่า ผมอยากจะบอกเขาด้วยตัวเองน่ะครับ” เขาก้มหน้าอายๆ

ผมกับซันมองหน้ากันอีกครั้งแล้วก็หัวเราะเบาๆ จากนั้นก็รับปากกับพีว่าเราจะไม่บอกไคล์ ไอ้ซันบอกเขาว่าเชิญเขาไปเซอร์ไพรส์ที่รักของเขาได้ตามสบายเลย และหลังจากที่ซันพูดออกไปแบบนั้น พีก็อายจนหน้าแดงขึ้นมาอีกครั้ง แต่ก็เหมือนกับไคล์ นั่นก็คือ เขาไม่คิดจะแก้คำพูดของไอ้ซันที่มันพูดไปว่า ‘ที่รัก’ เลยแม้แต่น้อย



ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
อยากกินปีโป้ อิอิ :laugh:

sun

  • บุคคลทั่วไป
o14      ปีโป้  เด้งดึ๋ง เด้งดึ๋ง... อิอิ   

คู่ไคล์ กะ พี ท่าจะไปกันได้สวยโนะ

คู่ ศิลา ก่า ฟ้าคราม     อย่าให้ต้องลุ้น อะไรที่ ทำให้หัวใจ ห่อเหี่ยวเลยนะ     :o11:

ตอนนี้ หนุ่มๆ ความมีความสุขดีจัง ชอบๆ   :m1:

เก็บความสุข กันให้เยอะๆ    :m26:

ออฟไลน์ ~ScAreD:SAcreD~

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1811
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-2
ไปปีนเขากัน ..... จากนั้นก็ฝนตก ..... จากนั้นก็เจอกระท่อมปลายนา

จากนั้นก็ ............... :m10:


เง้อ ฟุ้งซ่านล่ะ เรา  :try2: ก็คนมันมีความสุขเวลาอ่านเรื่องนี้นี่หน่า

มาต่อเร็วๆนะครับ ต้น

เด๋วซื้อปีโป้ให้กิน อิอิ

nartch

  • บุคคลทั่วไป
 :-[
เขินจังงงงง เห็นศิลากับฟ้าครามมีความสุข คนอ่านก็พลอยสุขไปด้วย แถมตอนนี้แผ่นดินกับผืนน้ำ
ก็ทำท่าจะไปด้วยกันได้ดี Happy คูณสองเลยยยยยยย  :m4:
คนธรรมดาเนาะ เวลามีความสุขก็ดีใจ อ่านไปแล้วก็กลัวววววว คนเขียนจะพรากมันไปเมื่อไรก็ไม่รู้
ยังคงติดตามต่อไปอย่างต่อเนื่อง....  :เฮ้อ:   
 :bye2:

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
เหมือนมาฮันนีมูนกันเลย
แรงดีไม่มีตก
 :m3: :m3: :m3:

แล้วไคล์เมื่อไหร่จะกิ๊กกะพีมั่งอ่ะ
 :m11: :m11: :m11:

Givesza

  • บุคคลทั่วไป
Re: การเดินทางของŪ
«ตอบ #428 เมื่อ28-09-2007 00:10:28 »

มาโพรสแล้วค่ะ ติดตามอ่านตั้งแต่หน้าแรกเลย บทแรกเลยด้วย เหนื่อย..... :เฮ้อ:

กิฟ๊มีอารัยจาถามพี่หน่อยอ่ะค่ะ (ถ้าหนูคิดผิดขอโทษน่ะคิด อินมากไปหน่อย)

ถ้าเป็นเรื่องแต่งก็หน้าแตกอ่ะน่ะ ถ้าเป็นเรื่องจริง ก็...........ดีจัยด้วยน่ะค่ะ

พี่เมฆ กับ พี่ซัน (ตอนนี้ยังคบกันอยู่ป๊ะ)  อย่าหาว่าละลาบละล้วงเลยน่ะ หรือว่าเราอ่านไม่ครบน่ะ

ถ้าตอบ ขอบคุณมากน่ะค่ะ (นะค่ะ.....หนูก็เหมือนเจ๊จืดที่เขียนเกลียดตุ๊ดพูดมาได้อ่ะ อย่าว้ากานน่ะ ^ - ^)
อยากมีคู่อย่างนี้บ้างๆๆๆๆ อ่ะ เหงา...อิอิ  อ่านแล้วก็รักทั้ง สามคนอ่ะน่ะ ทั้งไคล์ ทั้งซัน ทั้งเมฆ ^ - ^

คู่นี้ น่ารักที่สุดอ่ะ ตอนนี้กอปทำเป็นเรื่องไว้ที่บ้านหละ เรียบร้อย เอาไว้อ่านแก้เหงา ขอบคุณน่ะคะ
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่กิฟ๊ชอบมากกกกกก สุดเลย ต่อๆๆๆ ค่ะ ขุดดๆๆๆ อิอิ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-09-2007 00:16:16 โดย Givesza »

ninaprake

  • บุคคลทั่วไป
อยากกินปีโป้  o17   :m10:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






~Brand New Beat~

  • บุคคลทั่วไป
จากนี้ไปก็คงมีแต่คนสวีทกันอะจิ หมั่นไส้+อิจฉาจังอ่า

โดยเฉพาะพีกับไคล์ มีความสุขกันจังน้า

ต่อไปก็ปีนเขาแล้วก็ไปกิ๊กๆกัน อิอิ

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
Re: การเดินทางของŪ
«ตอบ #431 เมื่อ28-09-2007 11:57:37 »

มาโพรสแล้วค่ะ ติดตามอ่านตั้งแต่หน้าแรกเลย บทแรกเลยด้วย เหนื่อย..... :เฮ้อ:

กิฟ๊มีอารัยจาถามพี่หน่อยอ่ะค่ะ (ถ้าหนูคิดผิดขอโทษน่ะคิด อินมากไปหน่อย)

ถ้าเป็นเรื่องแต่งก็หน้าแตกอ่ะน่ะ ถ้าเป็นเรื่องจริง ก็...........ดีจัยด้วยน่ะค่ะ

พี่เมฆ กับ พี่ซัน (ตอนนี้ยังคบกันอยู่ป๊ะ)  อย่าหาว่าละลาบละล้วงเลยน่ะ หรือว่าเราอ่านไม่ครบน่ะ

ถ้าตอบ ขอบคุณมากน่ะค่ะ (นะค่ะ.....หนูก็เหมือนเจ๊จืดที่เขียนเกลียดตุ๊ดพูดมาได้อ่ะ อย่าว้ากานน่ะ ^ - ^)
อยากมีคู่อย่างนี้บ้างๆๆๆๆ อ่ะ เหงา...อิอิ  อ่านแล้วก็รักทั้ง สามคนอ่ะน่ะ ทั้งไคล์ ทั้งซัน ทั้งเมฆ ^ - ^

คู่นี้ น่ารักที่สุดอ่ะ ตอนนี้กอปทำเป็นเรื่องไว้ที่บ้านหละ เรียบร้อย เอาไว้อ่านแก้เหงา ขอบคุณน่ะคะ
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่กิฟ๊ชอบมากกกกกก สุดเลย ต่อๆๆๆ ค่ะ ขุดดๆๆๆ อิอิ

ขอบคุณมากค้าบบบ  o14
เรื่องนี้เรื่องแต่งคับ แต่อ้างอิงจากสถานการณ์จริงส่วนตัวบ้างแค่นิดๆหน่อยๆน่ะคับ
ส่วนที่ว่าตอนนี้ยังคงคบกันอยู่รึเปล่านี่ ต้องลองอ่านจนจบนะคับ........ ใกล้แล้วล่ะ

ปล. อยากกินปีโป้กันเป็นแถบเลยนะคับพี่น้อง แหมๆ


ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนที่ 44


“ผมมีเรื่องสำคัญจะบอกกับซันนะครับ” ไคล์พูดขึ้นหลังจากที่เราสองคนกลับไปนั่งที่โต๊ะแล้ว

“ว่าไง ใช่เรื่องของพีรึเปล่า” ไอ้ซันถาม

“ก็....... ไม่เชิงหรอกครับ คือ ผมคิดว่าจะเลื่อนตั๋วเครื่องบินขากลับน่ะครับ” เขาบอกพวกเราสองคน

ผมกับไอ้ซันหันมามองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ แต่ก่อนที่เราจะได้พูดอะไรออกมา ไคล์ก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน

“ไม่ใช่อย่างที่คิดนะครับ คือ เมื่อเช้าผมโทรหาพ่อ และพ่อบอกว่าถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้ผมแวะไปที่แอลเอเพื่อไปเยี่ยมปู่กับย่าด้วยน่ะ เพราะงั้นผมก็คงต้องเลื่อนตั๋วเครื่องบินเป็นกลับคนเดียว”

“แล้วจะกลับยังไงล่ะ คนเดียวเนี่ยนะ” ผมถาม

“ครับ ไม่ต้องห่วงหรอก ผมบอกแล้วไงว่าผมเดินทางบ่อย แค่นี้ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว” เขาตอบ

“อันนั้นพี่ก็รู้ แต่พี่สงสัยเรื่องที่จะไปแอลเอยังไงมากกว่า” ผมยังคงสงสัยอยู่

“แอมแทร็คไงครับ จำที่ผมบอกได้มั๊ย สถานีรถไฟที่เราเคยเห็นตอนแวะที่แฟล็กสต๊าฟน่ะ จริงๆผมก็เคยขึ้นแอมแทร็คมาก่อนเหมือนกันครับ ไม่น่ามีปัญหาหรอก หรือไม่ก็ขึ้นเครื่องบินก็ได้”

“แล้วจะกลับเมื่อไหร่” ไอ้ซันถามขึ้นบ้าง

“นี่แหละครับ ที่ผมอยากจะปรึกษาซัน แล้วก็ศิลาด้วย” เขาพูด จากนั้นก็เหลือบหันไปมองทางพีที่กำลังยืนเช็ดโต๊ะอยู่ไกลๆ “คือ ผมพูดตามตรงเลยนะ ผมจริงจังกับพีทมากจริงๆ และผมก็ไม่ยากให้เวลาของผมกับเขาเหลือเพียงแค่สามวันกว่าๆแบบนี้เลยด้วย เพราะงั้น ผมคิดว่า ผมคงจะขออยู่ที่นี่ต่ออีกสักสองวันน่ะครับ นอนที่เคบินพีทนั่นแหละ จากนั้นผมจึงค่อยกลับไปแอลเอ ทั้งหมดนั้นมันก็น่าจะกินเวลาราวๆประมาณสี่ห้าวันได้มั๊งครับ”

“เรื่องนั้นพี่เข้าใจ แต่ว่าไคล์จะบอกพ่อกับแม่ยังไง ช่วงสองวันที่ไคล์อยู่ที่แกรนด์นี่น่ะ” ซันถาม

“ก็นั่นแหละครับ ที่ผมกังวล ผมอยากจะอยู่กับเขาจริงๆ ผมคิดว่าคงมีแค่พี่สองคนที่เข้าใจผม แต่ผมก็ไม่อยากจะโกหกพ่อกับแม่ด้วย”

“แล้วเรื่องโรงเรียนล่ะ” ผมถาม

“เรื่องนั้นไม่มีปัญหาจริงๆครับ ผมรับประกัน ผมมีเพื่อนที่ไว้ใจได้ และผมก็ทำเรื่องหยุดไปก่อนแล้ว ขาดเพิ่มอีกไม่กี่วันไม่มีปัญหาแน่ๆ” เขารับประกัน

“โอเค แล้วตกลงอยากให้พี่ทำอะไร” ซันพูด

“ไม่ใช่อยากให้ทำอะไรครับ แต่อยากจะขอคำปรึกษา ว่าผมควรจะทำยังไงดี” ไคล์พูดด้วยสีหน้าลำบากใจ

ผมกับซันมองหน้ากันครู่หนึ่ง จากนั้นผมจึงยิ้มออกมาและหันไปหาไคล์อีกครั้ง

“ไคล์รู้ใช่มั๊ย ว่าพี่น่ะยังว่างอยู่ ส่วนไอ้ซันเองก็ไม่มีเรียนแล้วในช่วงนี้” ผมยิ้ม ส่วนไอ้ซันพยักหน้าเหมือนพอจะเข้าใจที่ผมกำลังคิดอยู่แล้วด้วยเช่นกัน ผมหันไปหาซันแล้วยิ้มกว้าง “ซัน มึงอยากไปดิสนี่ย์แลนด์มั๊ย”

ไคล์หันมามองหน้าผมสองคนงงๆ จากนั้นจึงมีรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า “หมายความว่าทั้งสองคน......”

“ใช่ พี่คิดว่าพี่มีเวลาไปเที่ยวได้อีกนิดหน่อยนะ และพี่คิดว่าพี่เองก็ยังไม่ได้เที่ยวช็อปปิ้งหรือซื้อของฝากอะไรเลยด้วย ที่ฟินิกซ์ก็น่าสนใจดีนะ แถมจะหาตั๋วเครื่องบินไปแอลเอก็ไม่น่ายากด้วยสิ” ผมยิ้ม

“แล้วดูซิว่าคราวนี้ใครเป็นไอ้จอมวางแผนกันแน่” ไอ้ซันหัวเราะเบาๆ

“ก็กูบอกมึงแล้วไง กูอยากให้น้องๆสมหวังในความร๊ากกกกก”

ไคล์เองก็หัวเราะออกมาเช่นกัน “ขอบคุณมากเลยครับทั้งสองคน ขอบคุณจริงๆ”

“อย่าเพิ่งขอบคุณเลย เรามาวางแผนดีๆกันอีกทีดีกว่า” ไอ้ซันพูด “สรุปก็คือ ไคล์จะอยู่ที่นี่ต่อไปอีกสองวันใช่มั๊ย” ไคล์พยักหน้า จากนั้นไอ้ซันจึงเริ่มพูดต่อ “เอาล่ะ เมฆ กูเอาที่มึงพูดมาทั้งหมดมารวมๆกัน นั่นก็แปลว่า ระหว่างที่ไคล์อยู่ที่นี่ เราจะไปที่ฟีนิกซ์กัน และไปเจอไคล์ที่แอลเออีกที โดยที่ปล่อยให้ไคล์ไปเยี่ยมปู่กับย่าของเขา ส่วนมึงกับกูก็ปลิวเข้าดิสนี่ย์แลนด์ไปเลย อย่างนั้นรึเปล่า” มันหันมาถามผม

ผมพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม “กูก็สงสัยมานานแล้วนะ ว่ามึงอ่านความคิดกูได้ดีหรือว่ากูมันเป็นคนที่ดูออกได้ง่ายกันแน่เนี่ย”

ไอ้ซันยิ้มแล้วยักไหล่ ในขณะที่ไคล์หัวเราะเบาๆ

“แต่ก็ไม่เชิงถูกทั้งหมดหรอก เพราะกูคิดว่า ไคล์จะไปเจอเราฟีนิกซ์แล้วนั่งเครื่องไปแอลเอพร้อมกันรึเปล่า แต่กูก็ยังไม่รู้ว่าไคล์จะไปฟีนิกซ์หรือแม้แต่แฟล็กสต๊าฟเองยังไงอยู่ดี”

“จากนี่ไปแฟล็กสต๊าฟมีแท็กซี่ครับ พีทบอกผมเมื่อเช้า แต่ถ้าให้ไปถึงฟีนิกซ์นี่ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน” ไคล์บอก

“โอเค งั้นเรื่องต่อไปก็คือ พอไปถึงแอลเอแล้วจะทำยังไงต่อ ไคล์จะไปหาปู่กับย่าเลย แล้วเราก็แยกไปดิสนี่ย์แลนด์แล้วค่อยมาเจอกัน หรือว่าเราจะรอไปพร้อมๆกัน และอีกเรื่องก็คือเรื่องของวันเวลาที่ต้องคำนวณดูดีๆน่ะ เพราะเราก็ยังไม่รู้ว่านั่งรถไฟจากแฟล็กสต๊าฟไปแอลเอใช้เวลากี่ชั่วโมง แล้วก็เครื่องบินจากฟีนิกซ์ไปแอลเอกี่ชั่วโมงด้วย เราต้องดูเวลาให้มันตรงกันจริงๆถ้าเราคิดจะแยกกันเดินทางน่ะนะ” ผมพูด

“อืมมม...... ง่ายที่สุดเลยก็คงต้องแคนเซิ่ลตั๋วขากลับซะ แล้วไปขึ้นเครื่องกลับบ้านจากแอลเอเลยดีกว่า จะได้ไม่เสียเวลามากเกินไป และไคล์ก็ไม่ต้องหยุดเรียนหลายวันเกินด้วย” ไอ้ซันเสนอความคิด

“เฮ้ย อย่างนั้นมันจะดีเหรอวะ” ผมถาม

“อืมมม...... กูก็ไม่รู้ว่ะ แต่น่าจะดีที่สุดแล้ว เอาเป็นว่าเราไปเช็คดูก่อนก็แล้วกัน ว่ารายละเอียดของไฟลท์เป็นยังไงบ้าง จากนั้นก็ค่อยตัดสินใจ ตอนนี้เราก็แค่คิดทางเลือกเอาไว้เท่านั้นก็พอ”

“ผมขอโทษด้วยนะครับที่ทำให้ต้องลำบากกัน” ไคล์พูด

“ช่างเถอะ พวกพี่ไม่ซีเรียสอยู่แล้ว แต่จะทำอะไรก็ต้องรีบลงมือแล้วล่ะ ไม่งั้นมันจะสายเกินไปเอา แล้วก็ต้องโทรไปบอกพวกพ่อกับแม่ด้วย”

“นั่นสิ” ผมเห็นด้วย

“แต่ผมก็ยังไม่รู้อยู่ดีครับว่าเราจะหาข้อมูลเรื่องพวกนั้นยังไง นอกจากต้องใช้โทรศัพท์สาธารณะโทรไป ไม่งั้นก็ใช้อินเตอร์เน็ทแบบตู้ หักเงินจากบัตรเครดิต แต่มันก็แพงเป็นบ้าเลย” ไคล์พูด

“เรื่องนั้นไม่น่ามีปัญหานะ.......” ผมยิ้มแล้วหันไปพนักหน้าให้พีที่กำลังเดินมาพอดี “ลองถามคนๆนั้นดูดีกว่า”

เราสามคนหันไปมองพีเป็นตาเดียวกัน เขาเดินเข้ามาหาเราแล้วก็ทำหน้างงๆ แต่แล้วเขาก็ยิ้มออกมาแล้วก็นั่งลงข้างๆไคล์

“ผมเบรคแล้วคับ ครึ่งชั่วโมง ไปหาอะไรกินกันดีมั๊ย” เขาหันไปถามไคล์

ไคล์ยิ้มตอบ จากนั้นก็หันมาหาผมสองคน ผมและซันต่างก็พยักหน้าให้เขาจากนั้นทั้งคู่ก็ลุกขึ้นยืนแล้วก็เดินจากไป

“หมายความว่าไงวะ ที่ให้ถามพี” ซันหันมาถามผม

“ก็เรื่องเล่นเน็ตไง มึงคิดว่าเขาอยู่ที่นี่กันแล้วจะไม่ได้เล่นเน็ตเลยรึไง เมื่อวานที่กูคุยกับพี เขาบอกว่ามันมีที่เล่นเน็ตได้ แต่แขกทั่วไปที่มาพักไม่รู้จัก มีแค่พนักงานกับคนที่อาศัยอยู่ที่นี่เท่านั้นที่รู้” ผมเล่าให้มันฟัง

อีกไม่นาน ไคล์กับพีก็เดินกลับมานั่งที่โต๊ะของเรา ไคล์มีเวลาพักแค่ครึ่งชั่วโมงซึ่งหักเวลาที่ใช้ซื้ออาหารไปเมื่อครู่อีกเกือบสิบนาทีก็เท่ากับตอนนี้เราเหลือเวลาแค่ราวๆยี่สิบนาทีเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นเราจึงเล่าให้พีฟังย่อๆเกี่ยวกับการตัดสินใจของไคล์และเรื่องการวางแผนว่าเราจะทำยังไงกันต่อไปดี พีดูท่าทางจะดีใจมาก เพราะเขายิ้มกว้างและหันไปสบตากับไคล์อยู่แทบจะตลอดเวลา และเมื่อพีบอกไคล์ว่าตอนบ่ายวันนี้เขาไม่จำเป็นต้องทำงานแล้ว ไคล์ก็ดีใจมากเช่นกัน เขายิ้มกว้างแล้วก็แสดงออกมาให้เห็นได้อย่างชัดเจน นอกจากนั้นเมื่อซันบอกไคล์ว่าไคล์สามารถไปนอนกับพีได้ในคืนนี้ ทั้งสองคนก็ยิ่งดูมีความสุขมากขึ้นไปอีก

จนเมื่อได้เวลาที่พีต้องกลับไปทำงาน ผู้หญิงหน้าตาดีในชุดพนักงานแบบเดียวกับพีคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหาเขาแล้วถามเขาเป็นภาษาอังกฤษว่าพร้อมหรือยัง พีหันไปบอกเขาว่าเขาเวลาอีกสามนาทีแล้วจะตามไป จากนั้นเธอถึงได้เดินจากไป แต่ก่อนที่เธอคนนั้นจะไปก็ยังหันมายิ้มให้ผมกับไอ้ซันอีกคนละครั้งด้วย

“ใครน่ะ” ไอ้ซันถาม

“ชื่อเจนครับ เป็นฟิลิปปินส์” พีตอบ

“หน้าตาเหมือนคนไทยเลยนะ สวยด้วยสิ”

“มึงชอบอ่ะดิ่ แบบนั้นน่ะ สเป๊กมึงเลยนิ” ผมหันไปมองหน้ามัน “ผมยาว ตาหวาน ตัวเล็ก หุ่นดี เอ๊กซ์นิดๆ”

ไอ้ซันหันมายิ้มให้กับผม “รู้ดีไปหมดเลยนะมึงเนี่ย”

“มึงคิดว่ากูคบกับมึงมานานขนาดไหนแล้วล่ะ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชันเล็กน้อย

ผมสังเกตเห็นพีกับไคล์มองหน้ากันเล็กน้อยก่อนที่พีจะขอตัวกลับไปทำงานต่อ แต่ก่อนหน้าที่เขาจะลุกไปเขาก็บอกพวกเราว่าตอนบ่ายเดี๋ยวเขาจะพาพวกเราไปเล่นคอมที่เรคเซ็นเตอร์เอง เพื่อที่เราจะได้เสิร์ชหาข้อมูลเรื่องตั๋วเครื่องบิน ที่พัก และอะไรอย่างอื่นอีก ดังนั้นพวกเราจึงตัดสินใจจะกลับไปรอพีที่ห้อง และพอตอนบ่ายโมงค่อยกลับมาทานข้าวกลางวันที่เดิมแล้วกลับไปเคบินของพีพร้อมๆกับเขา

บ่ายวันนั้นเราทั้งสามคนไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นเลยนอกจากไปเยี่ยมพีที่ห้องของเขาแล้วก็เดินลัดป่าผ่านหมู่บ้านเป็นระยะเวลากว่าสิบห้านาทีเพื่อไปเล่นเน็ตที่เรคครีเอชั่น เซ็นเตอร์ ซึ่งตั้งอยู่ติดกับโรงเรียนแห่งหนึ่ง ระหว่างทางเราสี่คนคุยกันมากมายหลายเรื่อง โดยส่วนมากแล้วจะเน้นไปถึงเรื่องของแผนการที่เราคิดจะทำกันหลังจากจบทริปการท่องเที่ยวห้าวันสี่คืนของพวกเรานี่แล้วมากว่า โดยเฉพาะไคล์กับพีที่ดูกังวลว่าจะหาทางออกยังไงกันต่อไปดี

เมื่อเราเข้าไปข้างในเรคเซ็นเตอร์ พวกเราก็เป็นเป้าสายตาของบรรดาเด็กไทยที่มาทำงานที่นี่ทุกคนทันที พีอธิบายให้ทุกคนฟังว่าพวกเราเป็นแขกที่มาพักที่นี่ ซึ่งตอนแรกผมก็ไม่ค่อยจะสบายใจนักเพราะดูมันจะเป็นการเอาเปรียบพวกพนักงานหรือเปล่าที่เราได้มีอภิสิทธิ์มาเล่นอินเตอร์เน็ตฟรีที่นี่ แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครใส่ใจในเรื่องนั้นเลย ตรงกันข้าม หลังจากที่เราถูกแนะนำตัวและพูดคุยกับเพื่อนของพีสามสี่คนแล้ว เราต่างก็แยกย้ายกันไปประจำที่เก้าอี้หรือโซฟาหน้าคอมพิวเตอร์แลปท็อปของตัวเองและไม่มีใครเข้ามาพูดคุยหรือวุ่นวายกันและกันอีกเลย ซึ่งทำให้เราสี่คนได้มีเวลาค้นหาข้อมูลเรื่องของการเดินทางและการวางแผนวันเวลาที่จะใช้ในแกรนด์ แคนยอนของไคล์ และที่ฟินิกซ์ของผมกับไอ้ซัน และรวมถึงที่แอลเอของเราสามคนด้วย เมื่อได้ข้อมูลทุกอย่างครบหมดแล้ว พวกเราสามคนก็จัดการโทรไปขออนุญาตทางบ้าน จากนั้นก็โทรไปแคนเซิ่ลตั๋วเครื่องบินและจัดการจองตั๋วใหม่จนเสร็จเรียบร้อย และก็ไม่น่าเชื่อมากๆที่ทุกอย่างมันช่างง่ายดายและลงตัวไปเสียหมด

เนื่องจากว่าเรายังไม่มีโปรแกรมที่จะไปทำอะไรต่อ พวกเราสี่คนจึงยังนั่งเล่นเน็ตอยู่ต่ออีกสักพัก และมันทำให้พวกเราได้รู้จักคนไทยที่เป็นเพื่อนๆหรือรุ่นพี่ของพีมากขึ้นอีกสามสี่คนด้วย

“วันนี้พวกเราจะทำอาหารกินกันนะครับ สนใจไปมั๊ย” อาร์ม ผู้ชายคนหนึ่งที่ทำงานเป็นเฮาส์คีปเปอร์ให้กับยาวาพาย เวสต์ที่พวกเราพักถามขึ้นหลังจากที่เราคุยกันอยู่ได้สักพัก

“ปกติทำอาหารกันเองด้วยเหรอครับ” ผมถาม

“ใช่ครับ ก็อยู่ที่นี่นานๆ ถ้าไม่ได้กินอาหารไทยบ้าง พวกผมต้องตายแน่ๆ”

“ยิ่งไอ้นี่มันคนอีสานด้วย ถ้าไม่ได้กินอะไรแซ่บๆมันต้องลงแดงตายแน่ๆล่ะค่ะ” เอ๋ เพื่อนของเขาที่ทำงานด้วยกันพูดเสริม

“ก็แน่นอนล่ะ หรือมึงบ่นมากแล้วมึงจะไม่กิน อีนี่” อาร์มหันไปแหวใส่เอ๋ และตอนนั้นเองที่ผมเห็นว่าผู้ชายคนนี้ไม่ได้แมนร้อยเปอร์เซ็นต์แน่ๆ “พีไปกินด้วยกันสิ ซัน เมฆ แล้วก็ไคล์ ด้วยนะครับ ไม่ต้องเกรงใจไม่ต้องเกร็งหรอก ก็น่าจะมีคนไทยสักเจ็ดแปดคน แล้วก็พวกฟิลิปปินส์อีกสามสี่คนแค่นั้นเองมั๊ง”

“ฟิลิปปินส์พวกไหนครับพี่” พีถาม

“ก็พวกๆที่ทำงานที่ยาวาพายนั่นแหละ......” จากนั้นอาร์มก็อธิบายและพูดถึงเรื่องของปาร์ตี้คืนนี้กับบรรดาชื่อคนที่จะมาและชื่องานของพวกเขาซึ่งผมฟังไม่เข้าใจเลยแม้แต่นิดเดียว

ผมกับซันนั่งมองหน้ากันเงียบๆเพราะไม่รู้จะมีความเห็นในเรื่องนี้ยังไง อย่างแรกเลยคือถ้าพวกเราไป เราก็คงคุยอะไรกับเขาไม่รู้เรื่องเพราะไม่ได้รู้จักใครเป็นพิเศษเลยนอกจากพี และที่สำคัญ ถึงเราจะสนใจอยากไปยังไง แต่เรื่องนี้ผมรู้สึกว่าพีน่าจะเป็นแปรสำคัญที่ตัดสินใจและออกความเห็นมากกว่าคนอื่นๆ พีหันไปมองหน้าไคล์แบบลำบากใจเล็กน้อยก่อนที่จะหันมาหาเราสองคนแบบขอความเห็น แต่ถ้าดูดีๆมันเกือบจะเรียกได้ว่าเป็นสายตาแบบขอความช่วยเหลือมากกว่าขอความเห็นธรรมดาๆเสียด้วยซ้ำ

“พวกพี่สนใจมั๊ยครับ” พีถามพวกเรา

เราสามคนมองหน้ากันครู่หนึ่ง “ถ้าพีอยากไปพีก็ไปเถอะ ไม่ต้องเกรงใจพวกพี่หรอก ยังไงๆพวกพี่ก็มาแบบแขกอยู่แล้ว พี่ว่าพี่รู้สึกเกรงใจว่ะ” ผมตอบ

“เอางี้ก็ได้ครับ พีรู้เคบินพี่อยู่แล้วนี่ ถ้างั้นคืนนี้ถ้าจะไปก็ไปได้เลยแล้วกัน ทุกๆคนด้วยนะครับ อยากให้ไปจริงๆ นานๆทีจะได้เจอคนไทยมาเที่ยวทั้งที เนอะ” อาร์มหันไปหาเอ๋

“ใช่ค่ะ ไม่ต้องเกรงใจหรอก อาร์มมันทำกับข้าวอร่อยนะคะ ลองไปกินดู รับรองเด็ด” เธอยิ้มกว้าง

“แต่ตอนนี้พวกเราต้องไปแล้วล่ะครับ” อาร์มยกข้อมือขึ้นมาดูเวลา “สามโมงกว่าแล้ว ต้องไปซื้อของเตรียมไว้ก่อน ถ้ายังไง เอาไว้ค่อยเจอกันอีกทีนะครับ พี่ไปก่อนแล้วกันนะพี คืนนี้ สองทุ่ม อย่าลืม” อาร์มหันไปย้ำกับพีอีกครั้ง จากนั้นก็หันมาโบกมือให้พวกเราเช่นเดียวกับเอ๋ แล้วก็เดินจากไป

“พีอยากไปรึเปล่าล่ะ” ผมถามพีเมื่อเขาสองคนนั้นเดินออกจากเรคเซ็นเตอร์ไปแล้ว “ถ้าอยากไปก็ไปก็ได้นะ ไม่ต้องเกรงใจพวกพี่”

“เปล่าหรอกครับ คือสำหรับผมแล้ว ไอ้จะกินน่ะ กินเมื่อไหร่ก็ได้ครับ พวกเขาทำกินกันสองสามครั้งต่อสัปดาห์เป็นอย่างน้อยอยู่แล้ว แต่ผมแค่คิดว่า ถ้าพวกพี่จะเบื่อๆเพราะไม่มีอะไรทำคืนนี้ พวกพี่จะอยากไปกันมั๊ยเท่านั้นเอง”

“ไม่เบื่อหรอกน่า มาที่นี่มันก็สงบดีออก สบายใจดี และสำหรับพี่แล้วแค่ได้อยู่กับไอ้เมฆมันก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้วว่ะ เนอะ” ไอ้ซันหันมายักคิ้วให้ผม “แต่ที่สำคัญน่ะ คืนนี้เป็นคืนของเราสองคนนะ พี ไม่คิดอยากจะอยู่กับไคล์แค่สองคนตามลำพังมั่งรึไง”

“เปล่าครับเปล่า ไม่ใช่แบบนั้น” พีรีบปฏิเสธและหันไปมองไคล์ “ผมอยากจะอยู่กับไคล์เหมือนกันครับ แต่ก็ไม่รู้ว่าไคล์จะอยากอยู่กับผมแค่สองคนรึเปล่า หรือว่าอยากจะไปปาร์ตี้นั่นกับพวกพี่เมฆและพี่ซันด้วยน่ะครับ”

“ผมอยากอยู่กับพีทครับ” ไคล์ตอบอย่างหนักแน่น “ไปกินข้าวฟรีแบบนั้นมันก็ไม่เลวหรอก แต่ถ้าซันกับศิลาไม่ไป ผมก็ไม่เห็นมีเหตุผลที่ผมจะต้องไป สำหรับผมมันมีแค่สองอย่างเท่านั้นแหละ คืออยู่กับพวกเราทุกคนพร้อมหน้า กับ ผมอยู่กับพีทสองคนตามลำพัง และในเมื่อซันกับศิลาไม่ไปปาร์ตี้นั่นแน่ๆแล้ว ก็เหลือตัวเลือกแค่ว่าเราจะใช้เวลาคืนนี้อยู่ด้วยกันหมดทั้งสี่คน หรือว่าพีทจะอยากอยู่กับผมสองคนมากกว่าน่ะครับ” ไคล์พูดแบบจงใจกดดันพีอย่างเห็นได้ชัดจนผมทั้งรู้สึกขำและสงสารพีอยู่ในใจ

“จะไปทำอะไรก็ไป ไป๊ ไม่ต้องมาทำเป็นพูดกดดันพีเขาหรอก ไอ้น้องชาย” ไอ้ซันพูดขึ้นบ้าง “คืนนี้ไม่ต้องกลับมาที่ห้องเลยนะ นี่เป็นคำสั่ง”

ไคล์หัวเราะ ส่วนพีก็ยิ้มอายๆ “งั้นเรากลับไปเก็บเสื้อผ้าของใช้ผมสำหรับคืนนี้กันเถอะครับ แล้วจากนั้นก็ไปนั่งเล่นที่ห้องพีทกันมั๊ย กินข้าวเย็นด้วยกัน แล้วพี่สองคนก็ค่อยกลับไปนอนที่ห้อง ส่วนผมก็อยู่กับพีทคืนนี้”


ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
เราสี่คนตกลงจะทำอย่างที่ไคล์พูดจึงเก็บของบนโต๊ะและหิ้วแล็ปท็อปเดินออกจากเรคเซ็นเตอร์กลับไปยังแมสวิคคาเฟทีเรียเพื่อขึ้นรถชัตเติ้ลบัสกลับไปเก็บของยังห้องพักของเรา และเมื่อไคล์จัดของเรียบร้อยแล้ว เราสี่คนก็นั่งรถกลับมาลงที่ป้ายแมสวิคอีกครั้ง จากนั้นเราก็มุ่งหน้าไปยังเคบินของพี

ทันทีที่พีเปิดประตูเข้าไป ไคล์ก็เดินตรงไปนั่งและวางกระเป๋าลงบนเตียงที่ตั้งอยู่ฟากหนึ่งของห้อง ส่วนพีก็เดินไปเปิดไอพอดที่เสียบต่อเข้ากับลำโพงอยู่ ผมกวาดสายตามองไปรอบๆห้องก็ไม่เห็นมีที่นั่งที่อื่นนอกจากเตียงสองชั้นอีกตัวที่ตั้งอยู่อีกฟากหนึ่งของห้อง แต่ก่อนที่ผมจะได้ตัดสินใจอะไร ไอ้ซันก็ชิงเดินปีนขึ้นไปนั่งอยู่บนเตียงชั้นที่สองก่อนแล้ว

“เอ้า มาเร็วๆ” มันนอนลงบนเตียงแล้วก็ตบที่ว่างข้างๆเรียกให้ผมขึ้นไปหา

“มึงจะบ้าเรอะ เดี๋ยวเตียงก็หักหรอก”

“ไม่หักหรอกน่า มาเหอะ เร็วๆเข้า”

เมื่อผมหันมามองหน้าพีแล้วเขาไม่ได้ทักท้วงอะไร ผมจึงปีนขึ้นไปนั่งอยู่กับไอ้ซันบนเตียงชั้นสอง ดูจากสภาพของเตียงแล้วท่าทางจะไม่มีคนนอนมาสักพักใหญ่แล้วแน่ๆ

“ตกลงคืนนี้เราไม่ไปปาร์ตี้ที่เค้าเชิญใช่มั๊ย” ไอ้ซันถามขึ้น

“ก็คงงั้นแหละ ยกเว้นแต่ว่าถ้าพีอยากไปก็ไปได้นะครับ ตกลงกับไคล์เอาเอง ไม่ต้องกังวลพวกพี่ เออ ว่าแต่มึงล่ะอยากไปรึเปล่า กูไม่เห็นมึงพูดอะไรเลยนี่” ผมหันไปถามไอ้ซัน

“เฉยๆว่ะ กูไม่ได้รู้จักใครด้วย และมึงก็รู้ว่ากูไม่ค่อยชอบไปเป็นจุดสนใจในท่ามกลางคนที่กูไม่รู้จักเท่าไหร่หรอก กูไม่ได้ทำตัวง่ายๆสบายๆได้เหมือนมึง และอีกอย่าง กูไม่จำเป็นต้องมากินอาหารไทยที่นี่ก็ได้นี่ กูอยู่อังกฤษมาตั้งปีนึงแล้ว ชินซะแล้วว่ะกับอาหารฝรั่งเนี่ย แถมจากนี้ไปถ้ากูเกิดอยากกินอาหารไทยขึ้นมา กูก็มีพ่อครัวส่วนตัวแล้วด้วย ใช่มั๊ย” มันยิ้ม

“ค้าบบบ ดีเน้อออ คุณชายดีจริงๆ” ผมบีบจมูกโด่งๆของมันเบาๆ

“แม่ของผมก็บอกเหมือนกันว่าศิลาทำอาหารได้ แถมยังเคยบอกว่าอยากให้พี่มาช่วยทำงานที่ร้านเลยนะครับ”

“พี่ก็อยากอยู่นะ” ผมหันไปพยักหน้าให้ไคล์ “แต่คงต้องดูเรื่องเรียนให้เรียบร้อยก่อนน่ะ”

หลังจากนั้นเราก็คุยกันเรื่องอื่นๆทั่วๆไป เป็นการทำความรู้จักกันและกันให้มากขึ้น เพราะเมื่อคืนนี้เราก็แทบไม่ได้คุยกับพีเลยเพราะว่าเขาต้องรีบนอนและตื่นไปทำงานแต่เช้า เพราะฉะนั้นตอนนี้เราจึงมีเวลาเหลือเฟือที่จะทำความรู้จักความเป็นมาของแต่ละคนให้มากขึ้น แต่สุดท้ายผมกับซันก็ตกเป็นเป้าความสนใจมากกว่า ทั้งๆที่ผมกับมันก็อยากจะรู้เรื่องของพีมากกว่านี้แท้ๆ แต่ทั้งพีและไคล์ต่างก็ไซร้ถามถึงเรื่องราวความเป็นมาของเราสองคนตอนเรียนด้วยกันแทบจะทุกซอกทุกมุมทีเดียว โดยเฉพาะไคล์ที่ดูจะรุกเร้ามากกว่าปกติในเรื่องที่ทำให้ผม ซัน และพีได้เจอพร้อมหน้ากันเป็นครั้งแรก

“ก็อย่างนั้นแหละ พอมันกับพี่ไม่ได้คุยกัน และพอปิดเทอมแล้วก็ยังดูไม่มีอะไรคืบหน้าอีก พี่ก็เลยเซ็งๆ วันนั้นก็เลยตัดสินใจไปเดินเล่นนั่งเล่นที่โรงเรียน แล้วก็เลยได้เจอกับพี....... ไม่เหมือนใครบางคนหรอกที่ยังมีกะใจจะชวนเพื่อนไปเล่นเกมที่บ้าน”

“ปากดีนะมึง พูดเหมือนมึงไม่รู้เลยใช่มั๊ยว่ากูคิดมากเรื่องของมึงขนาดไหนน่ะ” ไอ้ซันพูดแล้วโหมตัวมาดึงตัวของผมลงไปนอนกอด เราสองคนนอนปล้ำกันอยู่พักหนึ่งจนดูเหมือนเตียงจะรับน้ำหนักไม่ไหวแล้วจึงหยุด

“แต่หลังจากนั้นพอพี่ตัดสินใจที่จะคืนดีกับมันในวันที่จะไปเที่ยวทะเลกับเพื่อนๆ พี่ก็ซื้อหนังสือเล่มนึงเอาไว้เป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายที่พี่คิดว่าพี่จะมอบให้แก่มันได้.......” ผมลุกขึ้นมานั่งแล้วเล่าต่อ “แต่สุดท้ายพี่ก็ไม่ได้มอบให้กับมันเพราะว่ารถแท็กซี่ที่พี่นั่งถูกรถอีกคันหนึ่งชนแล้วพี่ก็เลยหลับยาวไปเลย พอตื่นมาขึ้นมาอีกทีมันก็ไม่อยู่กับพี่แล้ว เหลือทิ้งไว้แค่หนังสือเล่มที่พี่ตั้งใจซื้อให้เล่มนั้นพร้อมที่คั่นหนังสืออันเล็กๆไว้อันนึงเท่านั้นเอง” ผมหันไปยิ้มให้กับไอ้ซัน มันเองก็ยิ้มตอบกลับมาเช่นกัน และผมรู้ดีว่ารอยยิ้มที่ผมมอบให้มันครั้งนี้นั้นไม่ใช่รอยยิ้มของความสุข ไม่ใช่รอยยิ้มของความเศร้า แต่เป็นรอยยิ้มของความทรงจำที่ทำให้รู้สึกอบอุ่นทุกครั้งที่นึกถึง ถึงแม้ว่ามันจะเป็นความทรงจำที่แสนเศร้าก็ตาม....... และรอยยิ้มของไอ้ซันที่มีให้ผมตอบกลับมานั้นก็คงจะเป็นเช่นเดียวกัน เพราะนอกจากรอยยิ้มอบอุ่นเศร้าๆนั้นแล้ว ผมยังมองเห็นความอบอุ่นฉายออกมาจากนัยน์ตาดำขลับของมันอีกด้วย

“แต่ที่ตลกก็คือ หนังสือเล่มที่มันตื่นมาเห็นนั่นน่ะ ไม่ใช่หนังสือของมันหรอก แต่เป็นเล่มที่พี่ซื้อให้มันเองต่างหาก เพราะพี่เองก็ตั้งใจจะคุยกับมันและเคลียร์ทุกอย่างในวันที่เราจะไปเที่ยวด้วยเหมือนกัน แต่กลายเป็นว่าหนังสือที่พี่ซื้อให้กับมันนั้นก็คือหนังสือเล่มเดียวกับที่มันตั้งใจจะซื้อให้กับพี่ด้วย” ไอ้ซันดึงตัวผมเข้าไปกอดและเล่าเรื่องที่เหลือต่อ ทั้งไคล์และพีมีสีหน้าประหลาดใจทันทีเมื่อได้ยินอย่างนั้น “สรุปก็คือพี่เอาหนังสือของมันติดตัวมากับพี่ ส่วนมันก็เก็บหนังสือที่พี่ซื้อให้มันเอาไว้ ทั้งๆที่มันต่างก็เป็นหนังสือเรื่องเดียวกัน”

“หมายความว่า พี่ทั้งสองคนใจตรงกันที่คิดจะซื้อของขวัญให้กันและกัน แล้วพอซื้อ ก็เลือกซื้อเป็นหนังสือเหมือนกัน แถมยังอุตส่าห์เป็นเรื่องเดียวกันอีกด้วยเพราะความบังเอิญอย่างนั้นเหรอ” ไคล์ถาม

ผมกับซันมองหน้ากันก่อนจะหันไปหาไคล์แล้วตอบออกไปพร้อมๆกัน “ใช่”

“ให้ตายสิ!” ไคล์พูดออกมาเบาๆ “ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ”

ในแว่บหนึ่งในสายตาของเขานั้นผมรู้สึกว่าเขากำลังคิดถึงเรื่องซันอยู่ แต่ไม่กี่เสี้ยววินาทีถัดมา แววตานั้นก็หายไปเมื่อเขาหันไปสบตากับพีแล้วก็ยิ้มกว้างให้แก่เขา

“เหมือนพรหมลิขิตเลยเนอะ” ไคล์พูด จากนั้นก็หันกลับมาหาผมสองคน “พี่สองคนเชื่อเรื่องนั้นมั๊ย”

ผมกับซันมองหน้ากันอีกครั้งก่อนที่ผมจะหันไปตอบ “พี่ว่าพี่สองคนมีความคิดเรื่องนี้เหมือนๆกันนะ ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเรียกว่าพรหมลิขิตรึเปล่า แต่พี่เชื่อว่าถ้าคนสองคนเกิดมาเพื่อได้คู่กันจริง ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องหากันจนเจอและได้อยู่ด้วยกันจนได้ มันไม่จำเป็นต้องเป็นรักแรกพบหรอก และไม่จำเป็นต้องเป็นความรักที่สวยงามไปตลอดจนบทสุดท้ายด้วย แต่มันต้องเป็นคนสองคนที่มาเจอกันและสามารถฟันฝ่าทุกๆสิ่งไปด้วยกันได้และยังคงมีกันและกันอยู่จนกระทั่งถึงวันสุดท้ายของชีวิตได้ต่างหาก เพราะงั้น พี่คิดว่า ‘พรหมลิขิต’ ของพี่สองคนก็คือ ‘เส้นทางที่เราเลือกจะเดินไปพร้อมๆกัน’ มากกว่า ‘เส้นทางที่ขีดให้เรามาเจอกัน’ น่ะ”

“ต้องนี่สิ ถึงจะเป็นแฟนกู” ไอ้ซันพูดพลางชะโงกหน้ามาหอมแก้มผม “เข้าใจมั๊ย ไคล์ พี ความรักของคนสองคนน่ะ มันไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นได้ในชั่วข้ามคืนได้หรอก แต่ก็ใช่ว่ามันจะเป็นไปไม่ได้ และไม่ใช่ว่ามันจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเราใช้เวลาเรียนรู้กันเป็นเดือนๆหรือเป็นปีๆ แต่ก็ใช่ว่าแบบนั้นมันจะเป็นไปไม่ได้อีกเช่นกัน เพราะว่าความรักคือสิ่งที่เราไม่สามารถทำอะไรได้ถึงแม้ว่าเราจะรู้จักมันดี ทุกสิ่งทุกอย่างมันเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว สำคัญแค่ที่ว่าเราจะเลือกเส้นทางเดินที่ถูกต้องและคล้องจองกันได้หรือไม่เท่านั้นเอง และเรื่องนี้เท่านั้นที่เป็นปัจจัยสำคัญของสิ่งที่เรียกว่าเวลา”

“ใช่ พี่จะไม่พูดหรอกนะว่า พี่กับไอ้ซันเป็นตัวอย่างของความรักที่ดีและสมบูรณ์แบบ เพราะถ้าให้พี่เดาจากสิ่งที่ไคล์หรืออาจจะพีด้วยคิดว่าพี่สองคนเหมือนจะถูกพรหมลิขิตชักพาให้มาเจอกัน ให้มาคู่กัน อืมมมม พี่ก็ยอมรับในจุดหนึ่งว่าพี่ ‘รู้สึก’ จริงๆว่าคนๆนี้คือคนของพี่ แต่ก่อนหน้านั้นพี่ก็เคยเจ็บปวดและสูญเสียมันไปแล้วเหมือนกัน และแน่นอน ไอ้ซันเองก็รู้สึกแบบเดียวกันกับพี่ เราต่างก็สูญเสียกันไปแล้วครั้งหนึ่ง หรือบางทีอาจจะสองครั้งหรือมากกว่านั้นอีกด้วยซ้ำ แต่ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือตัวของเราเอง อย่างเช่นพี่เองที่เริ่มต้นออกเดินทางไปบนเส้นทางที่พี่เชื่ออีกครั้ง พี่เดินไปบนเส้นทางที่ไคล์อาจจะเรียกว่า ‘พรหมลิขิต’ นั้นอีกหน และเพราะเหตุนี้พี่ถึงได้มานั่งมานอนอยู่กับมันตรงนี้ตอนนี้ได้ไง เพราะถ้าพี่มัวแต่รอโชคชะตาให้พี่ได้เจอกับมันโดยที่พี่ไม่ทำอะไรเลย พี่ก็คงไม่มีวันนี้แน่นอน”

“จริงๆแล้วไอ้เมฆมันอาจจะไม่ใช่เนื้อคู่ของพี่ก็ได้ ใครจะไปรู้ บางทีคบๆกันไปเราอาจจะเลิกกันก็ได้เนอะ และถ้าเป็นอย่างนั้น การที่ไอ้เมฆอุตส่าห์หอบผ้าหอบผ่อนมาตามหาพี่ถึงที่อังกฤษก็คงเป็นหมันแน่”

“ตลกแล้ว ให้มันน้อยๆหน่อย” ผมหยิกแก้มไอ้ซันเบาๆ “ใครบอกว่ากูหอบผ้าหอบผ่อนมาตามหามึงถึงที่นี่ ฮึ กูบอกแล้วไงว่ากูมาเรียน มึงน่ะ มันก็แค่ของแถม”

“แล้วถ้าเป็นอย่างนั้น เราจะรู้ได้ยังไงล่ะครับว่าเขาคือคนที่เราควรจะร่วมทางเดินไปด้วย” พีถามขึ้น ผมกับซันหันไปมองหน้าเขาพร้อมๆกันด้วยความแปลกใจ และพีก็เริ่มมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาอีกครั้งแล้ว “เราจะรู้ได้ยังไงครับว่าเขาคนนั้นจะคุ้มค่ากับการที่เราฝากหัวใจไปให้เขา อย่างที่พี่ซันพูด เราไม่รู้หรอกว่าคนๆนั้นจะเป็นคนที่ใช่รึเปล่า ถ้าอนาคตเราต้องเลิกกันและถ้าเกิดผมมอบหัวใจให้เขาไปแล้ว ถ้าเกิดผมทุ่มเทให้เขาไปมาก แต่สุดท้ายผมก็ต้องผิดหวัง แบบนั้นมันจะไม่เจ็บปวดเกินไปเหรอครับ อย่างพี่เมฆไงครับ ถ้าเกิดพี่ต้องผิดหวังขึ้นมา มันไม่เท่ากับพี่ทิ้งทุกอย่างที่ประเทศไทยไปเพื่อมาเจ็บปวดมากกว่าเดิมหรอกเหรอ”

ไคล์หันไปมองหน้าพีอย่างกังวล เขาเอื้อมมือออกไปเล็กน้อยเหมือนอยากจะกุมมือของพีเอาไว้ แต่สุดท้ายเขาก็หยุดอยู่ที่กลางทางเมื่อพีเริ่มพูดต่อ

“เหมือนกับที่คนเขาพูดกัน รักใครอย่าให้ใจไปเต็มร้อย จงเผื่อใจไว้ให้ตัวเองเจ็บด้วย เหมือนกับที่ใครๆก็รู้กันว่าทุกๆวันนี้มีคนต้องผิดหวังเสียใจและเจ็บปวดเพราะความรักไม่สมหวังเนื่องจากเรารักเขามากเกินไปแต่สุดท้ายก็ต้องจากกัน และถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว ผมจะทำยังไงล่ะครับ จะให้ทำแบบพี่สองคน ให้ทำแบบพี่เมฆที่ยอมเสี่ยงถึงขนาดบินไปถึงอังกฤษโดยที่ไม่รู้ว่ามันจะเป็นยังไงต่อไปในอนาคตเนี่ย ผมจะทำได้ยังไงกันครับ” พีพูดออกมาด้วยสีหน้ากังวลและสับสน นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเคยเห็นเขาเป็นแบบนี้ทีเดียวและมันทำให้ผมรู้สึกไม่สบายใจเลย ไม่ใช่เรื่องที่เขาพูดหรอก แต่เป็นสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่ต่างหาก.......... ดูท่าทางเขาคงจะเคยมีบาดแผลจากความรักอยู่ข้างในใจมาแล้วจริงๆด้วย

“พี่บอกแล้วไงครับว่าพี่สองคนไม่ใช่คู่ที่เพอร์เฟ็กต์หรอก อย่างที่พีพูดว่าคนข้างนอกห้องนี้หลายต่อหลายคนที่ทุ่มเทให้ความรักแล้วสุดท้ายก็กลายเป็นสูญเปล่า จนบางคนถูกเรียกว่ากลายเป็นคนโง่ก็เพราะทำทุกอย่างให้คนรักมากจนเกินไป แต่พี่ไม่ใช่ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือสติ เราต้องรู้จักตัวเองและสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ พี่ทุ่มเทให้ความรักก็จริง แต่พีฟังพี่ดีๆนะครับ ไคล์ก็ด้วย........ พี่น่ะ รู้จักกับไอ้ซันมานานแล้ว ครั้งแรกที่เราเจอกันเราก็ไม่ใช่ว่าปิ๊งปั๊งกันทันทีหรอก ก็ใช่ที่พี่ยอมรับว่าพี่ประทับใจในตัวมันตั้งแต่แรกพบ แต่นั่นมันก็ยังไม่ใช่ความรัก เราใช้เวลาเรียนรู้กัน เป็นเพื่อนกัน จนเราทั้งคู่ต่างก็เริ่มรู้สึกถึง ‘สิ่งๆนั้น’ ข้างในใจมากขึ้นเรื่อยๆ เราใช้เวลาในการบ่มเพาะจนแน่ใจว่ามันคือ ‘ความรัก’ จริงๆและจนมีความกล้ามากพอที่จะแสดงออกออกไป เราเองก็เคยทะเลาะกันมีปัญหากัน แน่นอนอยู่แล้ว และพี่เองก็ทุ่มเทความรักความหวังดีทุกๆอย่างให้มันมากด้วย แต่ขอย้ำว่าไม่มากจนเกินไป เข้าใจมั๊ยครับ พี่ไม่ทำร้ายตัวเอง พี่รักมันแต่พี่ก็ยืนอยู่บนความเป็นจริงด้วย พี่รู้ว่ามันเป็นคนยังไงดีพอที่จะไม่หน้ามืดตามัว พี่ฟังคำของคนรอบข้าง พี่ฟังเพื่อน ไม่ใช่ไม่รับรู้อะไรเลย เราไม่สามารถรักกันอยู่แค่สองคนบนโลกได้ นั่นแหละ คือเหตุผลที่พี่สองคนสามารถฟันฝ่าอะไรด้วยกันมาหลายต่อหลายอย่าง ทั้งๆที่เรานั้นก็รักกันแต่เราไม่เคยพูดออกไปให้กันและกันได้รู้ สุดท้ายมันก็ถูกบีบอยู่ภายใต้กรอบของคำว่า ‘เพื่อน’ และเชื่อพี่เถอะ ว่าตอนนั้นน่ะ มันไม่ง่ายเลยจริงๆ”

“ไอ้เมฆพูดถูกแล้ว และสิ่งที่มันพยายามจะบอกก็คือ การที่มันเลือกพี่นั้น มันไม่ได้เลือก ‘พี่’ จริงๆหรอก แต่มันเลือก ‘ตัวมันเอง’ ต่างหาก มันเลือกที่จะทำตามความตั้งใจของมันเอง มันเลือกที่จะเดินไปในเส้นทางของมันที่จะทำให้มันมีความสุขและไม่เสียใจกับสิ่งที่มันทำหรือไม่ได้ทำลงไปมากที่สุด เข้าใจมั๊ย”

“ใช่ครับ ที่พี่ตัดสินใจมาเรียนที่อังกฤษ พี่ไม่ได้มาเพราะความหวังที่พี่จะได้กลับมาเจอไอ้ซันหรือได้คบเป็นคนรักกับไอ้ซันหรอก แต่พี่มาพร้อมกับความกังวลในใจแบบสุดๆเลยต่างหาก ตอนนั้นพี่แทบไม่ได้คุยกับมันเลย อะไรทำให้พีคิดว่าพี่จะกลับมาแล้วแฮปปี้เอ็นดิ้งกับมันล่ะ พี่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคิดยังไงกับพี่กันแน่ แต่พี่รู้อยู่อย่างเดียวว่าพี่รู้สึกยังไงกับมันและพี่ก็ซื่อสัตย์กับหัวใจของพี่เองพอด้วย พอจะนึกออกมั๊ยครับ พี่เองก็เผื่อใจเอาไว้เช่นกันอย่างที่พีบอกนั่นแหละ ตอนก่อนที่จะมาอังกฤษน่ะ ทางเดินของพี่มันก็ไม่มีไอ้ซันอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นพี่ไม่ได้คิดว่าพี่จะต้องได้กลับมาเดินเคียงคู่กับมันอีก พี่แค่เลือกเดินไปในเส้นทางที่พี่คิดว่าพี่จะเดินได้อย่างมีความสุขที่สุดเท่านั้นเอง และพี่ก็เผื่อใจเอาไว้แล้วด้วยว่าพี่คงไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนเดิมกับมันได้แน่นอน ไม่ต้องนับว่าให้มาเป็นแฟนกันหรอกครับ พี่ไม่ได้หวังเลย เพราะอย่างที่บอกไง ไม่มีใครรู้อนาคตหรอก แต่พี่แค่มีความหวังที่ว่า ‘ขอแค่พี่ได้เจอมันและเห็นมันมีความสุข เท่านี้ความรักของพี่ก็สมหวังแล้ว’ เข้าใจมั๊ยครับพี พี่อยู่ที่ไทยพี่ก็ไม่มีความสุขแม้แต่นิดเดียวอยู่แล้ว และพี่มาที่นี่พี่มาเพื่อเรียนต่อจริงๆ แต่พี่ขอแค่ได้เห็นหน้าไอ้ซัน พี่ก็พอใจมากแล้ว ไม่จำเป็นเลยที่ต้องได้รักเขาหรือถูกเขารัก และถึงแม้พี่อาจจะต้องเจ็บหนักอย่างที่พีบอกในภายหลัง แต่ว่ามันก็เป็นทางที่พี่เลือกเอง เพราะงั้น พี่มีความสุขกับการตัดสินใจของพี่ครับ สิ่งนี้เท่านั้นที่พี่สามารถพูดได้เต็มปาก......... เลือกเดินในเส้นทางที่เราจะไม่เสียใจไปกับมันมากที่สุด”

“เฮ้ย....... นี่มึงคิดอย่างนั้นจริงๆน่ะเหรอ” ไอ้ซันถามผมบ้างเมื่อผมพูดจบ “ที่ว่ามึงมาโดยไม่ได้คิดว่าเราจะได้คบกันเลยแม้แต่นิดเดียว ที่ว่าแค่มึงได้เห็นหน้ากูมึงก็มีความสุขแล้ว.........”

“ใช่ ซัน กูไม่เคยคิดแม้แต่นิดเดียวว่ากูกับมึงจะได้มามีวันนี้ กูขอแค่ว่ากูได้เจอหน้ามึงและเห็นมึงสบายดี หรืออย่างน้อยๆ ได้เป็นเพื่อนกับมึงอีกครั้ง กูก็พอใจแล้ว” ผมจูบลงบนหน้าผากของมันเบาๆ จากนั้นก็หันมาหาพีกับไคล์อีกครั้ง “พี่เผื่อหัวใจเอาไว้นานแล้วครับ เผื่อไว้ตั้งแต่วินาทีแรกที่พี่รู้ว่าพี่รักมันแล้ว เพราะมันเป็นความรักของชายกับชาย ใครจะรู้ว่าความรักแบบนี้มันจะมีวันสมหวังได้ด้วยล่ะ ถ้าจะเปรียบเทียบกับที่พีพูด เผื่อหัวใจไว้ห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ตอนนั้นพี่ก็เผื่อไว้ครับ แต่พี่ไม่ได้เผื่อไว้สำหรับเจ็บ พี่เผื่อไว้สำหรับรักตัวพี่เองต่างหาก และถึงพี่จะเหลืออีกห้าสิบเปอร์เซ็นต์นั้นไว้รักมัน แต่มันก็เป็นห้าสิบเปอร์เซ็นต์ที่พี่ให้มันไปเต็มๆ เข้าใจมั๊ยครับ พี่ให้มันเต็มร้อยในหัวใจครึ่งดวงของพี่นั้น และความรักครึ่งดวงๆนั้น มันก็มีให้ไม่น้อยกว่าคนอื่นๆที่รักใครๆแบบหัวใจทั้งดวงด้วย”

เมื่อผมพูดจบไอ้ซันก็คว้ามือผมไปกุมเอาไว้ทันที

“ถ้างั้นแล้วความตายล่ะครับ.........” พีพูดขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เสียงของเขาสั่นไหว และมีน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาของเขาด้วย “ถ้าคนที่เพอร์เฟ็กต์ทุกอย่างแบบที่พี่พูดมีอยู่จริง และผมก็รู้สึกแบบที่พี่พูดทุกอย่างให้กับเขาคนนั้น และเขาคนนั้นก็รู้สึกแบบเดียวกันกับผมด้วย แต่สุดท้ายความตายก็มาพรากเราให้จากกัน แล้วผมจะทำยังไงครับ ผมจะรู้ได้ยังไงว่าเขาคนนั้นคือคนสุดท้ายหรืออาจจะไม่ใช่คนสุดท้ายสำหรับผม และถ้าหากว่าเขาคือคนที่เกิดมาเพื่อคู่กับผมจริง ทำไมเขาถึงต้องมาตายจากผมไปด้วย หลังจากนั้นแล้วผมจะสามารถมีคนที่ดีกับผมได้เท่ากับเขาและคนที่ผมสามารถมอบความรักให้ไปได้แบบที่ผมเคยรักคนๆนั้นเหรอครับ พี่เมฆ ผมควรจะรู้สึกยังไงดี............” พีพูดออกมาพร้อมๆกับน้ำตาที่ไหลลงมาอาบแก้มของเขามากขึ้นเรื่อยๆ เสียงของเขาสั่นเครือและตัวของเขาก็สั่นเทาเพราะความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ภายในใจ ไคล์เขยิบเข้าไปหาพีแล้วกอดเขาไว้ในวงแขนเบาๆโดยที่ไม่พูดอะไรออกมาเลย

ผมรู้สึกตื้อแน่นข้างในหน้าอกอย่างบอกไม่ถูก เมื่อได้ยินเรื่องนั้นและเห็นพีเป็นแบบนี้แล้ว ผมเองก็เริ่มรู้สึกถึงความเจ็บปวดและความรู้สึกผิดที่เป็นคนเริ่มพูดเรื่องพวกนี้ขึ้นมาทันที ผมอยากจะหาคำพูดออกมาบรรยายความรู้สึกออกไปและอยากจะช่วยพูดให้พีรู้สึกดีขึ้น แต่ผมก็ไม่สามารถทำได้ อะไรบางอย่างมันมาจุกอยู่ที่คอหอยของผมทำให้ผมได้แต่นั่งนิ่งพร้อมๆกับความรู้สึกเลวร้ายนั่นอยู่อย่างนั้น........... ผมไม่เคยรู้เลยว่าคนๆหนึ่งจะสามารถแบกรับความรู้สึกเจ็บช้ำและความสับสนเอาไว้ได้มากถึงเพียงนี้

“คนเราทุกคนมีที่ว่างสำหรับสิ่งที่ดีที่สุดเสมอ พี” ไอ้ซันชันตัวขึ้นนั่งแล้วก็พูดขึ้น ผมหันไปมองมันด้วยความประหลาดใจ “เขาคนนั้นคงเป็นคนที่ดีที่สุดสำหรับพีจริงๆ และพีเองก็เป็นคนที่ดีที่สุดสำหรับเขาด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย แต่นอกเหนือจากเส้นทางที่เราเลือกจะเดินแล้ว ความตายเป็นเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่เราไม่สามารถทำอะไรได้ พี่บอกแล้วไงครับว่าพี่ไม่เชื่อเรื่องพรหมลิขิตหรือเนื้อคู่ ของสองสิ่งนั้นมันจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อคนสองคนร่วมมือกัน อย่างเช่นตอนนี้พี่ถึงจะเชื่อว่าไอ้เมฆคือเนื้อคู่ของพี่และการที่เราสองคนได้มาคบกันแบบนี้ก็เป็นเพราะพรหมลิขิตจริง แต่นั่นคือหลังจากที่เราฟันฝ่าอะไรมาด้วยกันแล้วต่างหาก เพราะฉะนั้น ฟังพี่ให้ดีๆนะครับ ช่วงเวลาในอดีตนั้นก็คือช่วงเวลาในอดีต มันผ่านพ้นไปแล้ว มันคือทางเดินที่ถูกทิ้งเอาไว้ข้างหลังแล้ว และไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันคือสิ่งที่สวยงามที่สุดในชีวิตของพีด้วย แต่ตอนนี้พีต้องเดินต่อไปข้างหน้า พีไม่สามารถเดินคนเดียวได้ เขาไม่ใช่คนสุดท้ายสำหรับพีหรอก พียังอายุน้อยเกินไปกว่าจะยึดติดกับคนๆนั้นให้เป็นคนสุดท้าย พีต้องได้เดินร่วมทางเดินกับเขาก่อน ได้ใช้ชีวิตกับเขา ได้ทุกข์ได้สุข ได้ฝ่าฟัน และแน่นอน ได้วางแผนอนาคตที่จะมีร่วมกันด้วย พี่ไม่รู้หรอกว่าพีได้ทำเรื่องแบบนั้นกับเขาหรือยัง แต่ถ้าเขามาด่วนจากพีไปก่อนแบบนี้ และถ้าเกิดว่าตอนนี้หรือตอนไหน ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่พี ‘บังเอิญ’ มีความรู้สึกดีๆให้กับคนๆหนึ่งขึ้นมา ก็ลองเปิดใจดูสิ ถ้าคนๆนั้นที่จากไปเขาไม่สามารถจะใช้ชีวิตและอนาคตร่วมกับเราได้ แต่เขาก็ให้อดีตกับเรามากเกินพอที่จะใช้มันเป็นพื้นฐานของปัจจุบันและอนาคตของเราได้ไม่ใช่เหรอ เพราะงั้นก็ลองเปิดใจและเชื่อหัวใจของตัวเองดูอีกสักครั้งสิว่าคนอีกคนหนึ่งที่เข้ามานั้นจะสามารถใช้ชีวิตร่วมกับเราและดูแลรักษาบาดแผลที่เราเคยมีในอดีตได้หรือเปล่า พี่ขอย้ำอีกครั้งนะครับ ว่าคนเรามีที่ว่างสำหรับสิ่งที่ดีที่สุดเสมอ...... ไม่มีคำว่าสายเกินไปที่จะเริ่มต้นใหม่ในทุกๆอย่าง และไม่ได้หมายความว่าพีจะต้องพุ่งเข้าหาคนทุกคนที่ตรงมาหาพี แต่พี่เชื่อในตัวของพีว่าพีสามารถรู้สึกและแยะแยะได้เอง ของแบบนี้มันอยู่ที่จิตใจจริงๆ” ไอ้ซันอธิบายออกมาด้วยน้ำเสียงที่ผมรู้สึกเหมือนกับเป็นการ ‘สอน’ ซึ่งเป็นบุคลิกที่ขนาดผมยังไม่ค่อยจะได้สัมผัสบ่อยนักเลย เพราะส่วนมากแล้วมันจะคุยกับผมแบบเพื่อนหรือไม่ก็ ‘สั่ง’ เพื่อที่จะเอาในสิ่งที่มันอยากได้เลยมากกว่า

“ใช่ครับ พี่เองก็เชื่อแบบนั้น และจะบอกให้ว่าพี่ก็ไม่ได้คิดว่าไอ้ซันจะเป็นคนสุดท้ายของพี่เหมือนกันหรอกนะครับ” ผมพูดขึ้นบ้าง “ไอ้ซันเองก็คงคิดแบบนั้นเช่นเดียวกัน เพียงแต่เราไม่กลัว และเราไม่มองไปข้างหน้าที่มันไกลเกินไปนัก เราแค่ทำวันนี้ๆให้ดีที่สุดก็พอแล้ว เรารักกันและดูแลกันในทุกๆวัน เราวางแผนถึงอนาคตที่จะใช้ชีวิตด้วยกัน แต่ไม่ใช่อนาคตว่าเราจะเลิกกันแบบไหน และที่สำคัญ เราไม่เคยคิดถึงวันสุดท้ายของเราสองคนหรือคิดถึงว่าเราจะมีคนที่ดีกว่านี้เข้ามารึเปล่า เรารู้แค่ว่าตอนนี้เรารักกันและเราจะดูแลความรักนี้ให้มันยาวนานไปได้มากที่สุดก็เพียงพอแล้ว นั่นคือสิ่งที่แสดงออกมาเพราะความที่เรา ‘อยาก’ จะเป็นคนสุดท้ายของกันและกันไงครับ เพราะถ้าเรามัวแต่กลัวอนาคตมันก็จะเท่ากับเราได้แต่ย่ำอยู่กับที่และจมอยู่กับความกลัวจนไม่สามารถไปถึงไหนได้สักที”

ไคล์เงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมและซันครู่หนึ่ง ก่อนจะก้มลงกลับไปหาพีและค่อยๆใช้นิ้วมือลูบไล้ไปบนเส้นผมของเขาช้าๆ เราทั้งสี่คนนิ่งเงียบกันไปอยู่พักหนึ่งจนไอ้ซันเป็นคนแรกที่เริ่มต้นพูดออกมา

“พี........ ความตายนั้นมันไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆและบ่อยๆหรอกนะครับ โศกนาถกรรมนั้นมันไม่สามารถทำร้ายเราได้บ่อยหรือมากเกินไปกว่าจิตใจของเราทำกับตัวเราเองหรอก เพราะฉะนั้น จงอย่ามีชีวิตที่ยึดติดอยู่กับความตาย แต่จงใช้ชีวิตให้กับการมีอยู่ จงมองเห็นความหวัง ความฝัน และความรัก นั่นคือความหมายของชีวิตที่เราเกิดมาและเป็นสิ่งที่เราทำได้เพื่อคนที่จากไปแล้ว...... หรือแม้แต่เพื่อคนที่เขายังคงยืนอยู่ข้างๆเรา” ซันพูดด้วยน้ำเสียงเข้มแข็ง เฉียบขาด แต่ก็อบอุ่นมากในขณะเดียวกัน มันเป็นซันในแบบที่ผมไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนเลย และนี่ก็คงเป็นซันคนที่ไคล์เคยบอกผมว่าเขาชื่นชมมันมากแค่ไหนนั่นเอง และแน่นอนว่าตอนนี้ผมเองก็รู้สึกชื่นชมและเคารพมันมากด้วยเช่นกัน

ไคล์กอดพีที่กำลังร้องไห้อยู่อย่างแนบแน่น และเขาเองก็ร้องไห้ไปพร้อมๆกันด้วย ส่วนไอ้ซันเองก็บีบมือของผมแน่นราวกับมันกลัวว่าผมจะทิ้งมันไป และที่สำคัญ มันคงกลัวว่าถ้ามันปล่อยมือผมออก มันเองก็จะเผลอแสดงความอ่อนแอภายในใจของมันออกมาไปกับสองคนนั้นด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นผมจึงบีบมือของมันให้แน่นขึ้นเพื่อบอกให้มันรู้ว่าผมยังคงอยู่กับมันตรงนี้ และเพื่อบอกว่าผมเองก็รู้ว่ามันเองก็ยังคงอยู่เคียงข้างผมด้วยเช่นเดียวกัน


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-09-2007 12:21:34 โดย ExecutioneR »

น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
แต่งเก่งจริง ๆ นับถือ นับถือ
เขียนได้งัยเนี่ย ... o15
เห็นภาพพจน์ของซันกะเมฆเลย

jammy

  • บุคคลทั่วไป
เยี่ยมครับ o13

ออฟไลน์ ~prince™~

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1116
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +161/-2





.......................สุดยอดเลยคับเรื่องนี้..........................

Jingjoh

  • บุคคลทั่วไป
"Best Adult Fiction of the Year 2007" from the award auther "Best Young Adult Fiction of the Year 2006"  :a2:


ป.ล. ไม่ได้เข้ามาอ่านหลายวัน มึนไปเลยครับ  o2 แต่อ่านแล้วได้ความมั่นคงในความรักของทั้ง 4 คนมาทำให้ยังประคับประคองตัวอยู่ได้  o13

sun

  • บุคคลทั่วไป
o13    o13    o13     "ซู๊ดดดดดดดดดดดดยอดดดดด"     o13   o13   o13

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
เห็นด้วยกับทุกรีเลย  สุดยอดมากกกกกก  :a2:  :a2:  :a2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






nartch

  • บุคคลทั่วไป
 :impress:
ถือเป็นบทที่แสดงถึงทัศนแห่งรักและปรัชญาการดำเนินชีวิตได้อย่างดีทีเดียว  :amen:
ถ้านำไปใช้ นำไปปฏิบัติได้จริง ชีวิตรักแต่ละคนคงสวยงามได้แน่นอน... แต่...
กี่คนที่จะทำได้ ตัวแปรต่าง ๆ ในชีวิตที่จะทำให้ทุก ๆ ชีวิตผกผันมีน้อยอยู่เสียเมื่อไร  :m28:
 o16
บทนี้บรรยายไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร มันปน ๆ กันไปหมด จะสุข เศร้า เหงา รัก เพราะนั่นละคือชีวิต...
ชีวิตจริงยุ่งยากและลำบากกว่านิยายมากนัก... แต่กระนั้นก็ยังหวังให้ทุกคนพบรักที่สวยงาม :give2:
ข้ามผ่านอุปสรรค และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข..... เป็นกำลังใจให้ทุกคนครับ....
 :bye2:

ninaprake

  • บุคคลทั่วไป
ความทรงจำดีๆในอดีต เก็บไว้ให้ได้รู้สึกดีๆเมื่อยามนึกถึงมันขึ้นมา ... อดีตก็คืออดีต เราไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงอะไรมันได้ ..... เพียงแต่เราจะสามารถใช้มันเพื่อเป็นบทเรียน เป็นพื้นฐาน ในการกระทำหรือตัดสินใจอะไรต่อไปในอนาคตได้ ....

ก็นะ .... ก็ต้องมีความสุขกับปัจจุบันและทำมันให้ดีที่สุดแหละ  o13 .... และอนาคตที่น่าจะสดใสคงตามมาเองหล่ะ   :a2:

ออฟไลน์ ~ScAreD:SAcreD~

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1811
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-2
ขอบคุณมากๆครับ ต้น ที่แต่งเรื่องนี้ออกมา

หลังจากที่อ่านตอนนี้แล้ว มันทำให้ผมรู้คำตอบเรื่องคำถามที่เกิดขึ้นมาในใจตอนนี้

"ผมจะกลับไปหาคนที่เคยทำให้ผมเจ็บเจียนตายดีมั๊ย?"

ก็ลองเปิดใจดูสิ ถ้าคนๆนั้นที่จากไปเขาไม่สามารถจะใช้ชีวิตและอนาคตร่วมกับเราได้ แต่เขาก็ให้อดีตกับเรามากเกินพอที่จะใช้มันเป็นพื้นฐานของปัจจุบันและอนาคตของเราได้ไม่ใช่เหรอ เพราะงั้นก็ลองเปิดใจและเชื่อหัวใจของตัวเองดูอีกสักครั้งสิว่าคนอีกคนหนึ่งที่เข้ามานั้นจะสามารถใช้ชีวิตร่วมกับเราและดูแลรักษาบาดแผลที่เราเคยมีในอดีตได้หรือเปล่า พี่ขอย้ำอีกครั้งนะครับ ว่าคนเรามีที่ว่างสำหรับสิ่งที่ดีที่สุดเสมอ...... ไม่มีคำว่าสายเกินไปที่จะเริ่มต้นใหม่ในทุกๆอย่าง

ต้นตอบแทนผมแล้วทุกอย่าง ครั้งนี้ผมจะรักตัวเองให้มากขึ้น และทุ่มใจรักเค้าเต็มที่ในส่วนที่เค้าได้ไปทั้งครึ่งใจของผม

ขอบคุณจากใจ จริงๆครับ  o1
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-09-2007 23:13:13 โดย ~ScAreD:SAcreD~ »

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
เอาไปเลย +1  o13  o13 เยี่ยมมากๆ ถ้าทำเป็นหนังสือจะซื้อเป็นคนแรกเลย  :m3:  :m3:

gobgab

  • บุคคลทั่วไป

............ทำตามที่ใจต้องการ........แล้วพร้อมยอมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้น...... o13 o13

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
อ้างถึง
“ถ้างั้นแล้วความตายล่ะครับ.........” พีพูดขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เสียงของเขาสั่นไหว และมีน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาของเขาด้วย “ถ้าคนที่เพอร์เฟ็กต์ทุกอย่างแบบที่พี่พูดมีอยู่จริง และผมก็รู้สึกแบบที่พี่พูดทุกอย่างให้กับเขาคนนั้น และเขาคนนั้นก็รู้สึกแบบเดียวกันกับผมด้วย แต่สุดท้ายความตายก็มาพรากเราให้จากกัน แล้วผมจะทำยังไงครับ


บทนี่สะเทือนอารมณ์ดีจริงๆ
ทั้งๆที่ได้พบกับมันแล้ว ซึ่งบางคนได้ชื่อว่ามีมัน แต่แล้วก็อาจไม่ใช่มันจริงๆ
 :o12: :o12: :o12:

เขายังคงสวยงามในความทรงจำเราเสมอ ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่
ให้ดีใจว่าชีวิตนี้เราเคยได้รับความรักอย่างหาอะไรมาเปรียบไม่ได้
แต่เราก็ต้องเดินต่อไป เขาคงดีใจที่จะเห็นเราใช้ชีวิตที่เหลืออย่างมีความสุข
ชีวิตที่เหลืออยู่นี้ก็ให้รักตัวเองและรักคนอื่นได้เท่าที่เราจะทำได้
อย่างน้อยเราก็อาจได้เจอคนที่เขาจะได้ความรักจากเราไปเป็นพลังชีวิตต่อไป
 :m1: :m1: :m1:

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนที่ 45


พีเล่าเรื่องราวในอดีตของเขาให้เราฟังไปพร้อมๆกับไคล์ที่คอยเป็นกำลังใจให้เขาอยู่ข้างๆ เมื่อผมได้ฟังเรื่องนั้นแล้วก็ทำให้ผมรู้สึกตัวได้เลยว่าผมนั้นโชคดีขนาดไหนที่มีไอ้ซันอยู่ข้างกายผมอยู่แบบนี้ และที่สำคัญที่สุดก็คือความกลัว........ ความกลัวที่ว่าสักวันหนึ่งมันจะเป็นยังไง ถ้าผมจะต้องสูญเสียไอ้ซันแบบที่พีเคยสูญเสียภูไป ผมจะยังพูดแบบที่ผมเพิ่งพูดกับพีไปได้มั๊ย ผมจะยังสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้และสามารถเปิดใจรับคนอื่นได้อยู่อีกหรือเปล่า และดูท่าทางไอ้ซันเองก็คงจะรู้สึกแบบเดียวกับผมเช่นด้วยเดียวกัน เพราะภายใต้ใบหน้านิ่งเฉยของมันนั้น ผมรู้สึกได้ถึงความเศร้า ความไม่สบายใจ และความกังวลส่งผ่านมาทางมือของมันที่กำลังบีบมือของผมแน่นอยู่ได้อย่างชัดเจนทีเดียว

“ผมขอโทษนะครับ ที่ทำให้พวกพี่ลำบากใจ” พีพูดขึ้นหลังจากที่เล่าเรื่องทั้งหมดจบและเราทุกคนต่างก็เงียบกันไปพักหนึ่งแล้ว

ผมกระโดดลงจากเตียงสองชั้นแล้วก็เดินตรงเข้าไปนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าของพี ไคล์เองก็ก็เขยิบถอยออกไปนิดหน่อยเพื่อเปิดทางให้แก่ผมเช่นกัน “ฟังนะครับพี พี่รู้สึกเสียใจกับเรื่องราวทั้งหมดของพีจริงๆ และต่อให้เป็นพี่เอง พี่ก็คงไม่รู้ว่าพี่จะทำยังไงเหมือนกัน คนอื่นที่ได้แต่พูดกับการลงมือทำเอง หรือการได้เจอเข้ากับตัวน่ะ มันไม่เหมือนกันหรอก ไม่เหมือนกันจริงๆ พี่ต่างหากที่ต้องขอโทษที่พูดให้พีไม่สบายใจ แต่สิ่งหนึ่งที่พี่รู้แน่ๆสำหรับพีก็คือ พีเป็นคนเข้มแข็งมาก มากจริงๆ เผลอๆจะมากกว่าพี่และไอ้ซันเสียด้วยซ้ำ เพียงแต่พีไม่รู้ตัวหรอก แล้วก็ไม่ต้องพยายามจะปฏิเสธด้วย” ผมส่งยิ้มให้กับเขาขณะที่คว้ามือของเขามากุมเอาไว้ “บางทีกระจกมันก็ไม่สามารถสะท้อนภาพออกมาได้ทุกสิ่งหรอก เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญก็คือเพื่อนหรือคนที่เราไว้วางใจได้ยังไงล่ะครับ ขอบคุณมากนะครับพี ที่เล่าเรื่องทั้งหมดให้พวกเราฟัง และนี่มันอาจจะมากเกินไปสักหน่อย แต่พี่ก็ยังอยากจะขออะไรพีอีกอย่างหนึ่งนะครับ จะได้มั๊ย”

พีพยักหน้าช้าๆ ผมบีบมือของเขาแน่นขึ้นอีกเล็กน้อย

“จงเชื่อใจพวกพี่นะครับ พี จงเชื่อใจไคล์........ และที่สำคัญจงเชื่อใจหัวใจของตัวเอง และสักวัน พีจะมีความสุขแน่นอนครับ พี่ให้สัญญา”

พีเริ่มต้นร้องไห้เบาๆออกมาอีกครั้ง “ผมมีครับ มันอาจจะฟังดูแปลกนะครับ แต่ตั้งแต่ผมได้เจอกับพวกพี่ ผมมีความสุขมากจริงๆ.........” เขาเอาปลายนิ้วมาเช็ดน้ำตาออก ไคล์หันมามองผมด้วยสายตาที่มีความหมายบางอย่างที่ผมไม่สามารถจะอธิบายได้แต่ผมเข้าใจ ผมจึงพยักหน้าให้เขาแล้วเดินกลับไปหาไอ้ซันตามเดิม

“พีทครับ.......” ไคล์จับมือที่กำลังเช็ดน้ำตาของพีออก แล้วใช้มือของตัวเองประคองที่แก้มทั้งสองของเขาอย่างแผ่วเบา เขาใช้นิ้วโป้งทั้งสองข้างปาดน้ำตาออกเบาๆ จากนั้นก็ชะโงกเข้าไปประทับริมฝีปากลงบนปากของพีอย่างนุ่มนวล “ผมคงไม่สามารถจะพูดอะไรได้มากกว่าคำว่า ‘ผมรักคุณ’ จริงๆนะครับ และซันกับศิลาก็รักคุณด้วยเช่นกัน คุณไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวอีกต่อไปแล้ว พีท...... คุณไม่จำเป็นต้องทนเก็บความเหงาและความเศร้าเอาไว้คนเดียวอีกต่อไป ผมจะแบ่งเบามันออกมาเอง และแน่นอนว่าผมเองก็จะแบ่งความสุขของผมให้กับคุณด้วยเช่นกัน ผมอยากให้คุณหัวเราะและมีความสุข เพื่อที่เราทั้งสองคนจะได้ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขได้แบบคู่ของซันกับศิลายังไงครับ” ไคล์ยิ้ม

“ไคล์รู้ได้ยังไงครับ ว่าเราจะสามารถคบกันได้จริงๆ....... ผมหมายถึง มันจะไม่ยากเกินไปหน่อยเหรอครับสำหรับเราสองคน”

ผมอ้าปากจะพูดอะไรบางอย่างออกไป แต่ไอ้ซันรู้ทันจึงรีบคว้ามือของผมเอาไว้และส่ายหัวเบาๆ ผมถึงได้รู้ตัวว่ามันไม่ใช่เรื่องของผมอีกต่อไปแล้ว ผมทิ้งตัวนอนลงข้างๆมันและรอฟังสิ่งที่สองคนนั้นจะคุยกันต่อไป ไอ้ซันกอดผมแล้วขมุบขมิบปากบอกผมว่าผมทำดีมากแล้วและบอกว่ารักผม ผมจึงบอกกลับไปว่าผมเองก็รักมันเช่นเดียวกัน

“เรื่องนั้นผมก็ไม่รู้หรอกครับ แต่สำหรับผมแล้วไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้แน่นอน และเราก็ยังไม่ได้พยายามเลย เรายังไม่ทันได้เริ่มต้นเลยด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นอย่างที่พี่ทั้งสองคนบอกนั่นแหละ ผมว่าเราไม่ควรจะมองไปยังจุดจบนะครับ พีท....... ผมขอถามอีกครั้งนะครับ คุณพร้อมที่จะลองเดินไปพร้อมๆกับผมมั๊ย ผมไม่ได้จะรวบรัดหรือเร่งรัดคุณนะครับ ถ้าคุณไม่พร้อมก็บอกผมมาได้เลย ผมเข้าใจจริงๆ ผมเข้าใจว่าสิ่งนี้มันไม่ง่าย แต่ผมอยากได้ยินคำตอบอีกสักครั้งครับ คิดให้ดีก่อนนะครับที่จะตอบ........”

พีเงียบไปพักหนึ่ง ผมกับไอ้ซันเองก็นอนฟังอย่างตั้งใจเช่นกัน ใช่แล้ว อย่างที่ไอ้ซันเคยพูดไว้ มันคือเรื่องของเขาสองคน จะดีร้ายท้ายที่สุดยังไง คนที่ตัดสินใจก็คือเขาเท่านั้น ไม่ใช่พวกเรา และผมก็ต้องยอมรับเลยว่า ไคล์รับมือกับสถานการณ์ทั้งหมดนี้ได้ดีมากจริงๆ เพราะถ้าผมต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับของไคล์ ผมเองก็คงจะทำอะไรไม่ถูกหรือรู้สึกแย่แบบสุดๆไปเลยเหมือนกัน

“ผมพร้อมครับ ผมไม่อยากจะจมอยู่กับความเศร้าและอดีตของตัวเองอีกต่อไปแล้ว ผมมีอนาคตรออยู่ข้างหน้า และไม่ว่ามันจะเป็นยังไง ผมก็จะต้องออกไปเผชิญกับมันอยู่ดี และตอนนี้ผมมีคนที่อยากจะเดินไปกับผมและผมเองก็อยากจะเดินไปกับเขาแล้ว เพราะงั้นผมจะไม่ทำร้ายตัวเองอีกต่อไปแล้วครับ” พีตอบออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจนผมเองยังอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ “ขอบคุณมากครับ ไคล์ ผมจะไม่กังวลอีกแล้วครับว่าอนาคตของเราสองคนเราจะเป็นยังไงต่อไป”

พีดึงตัวของไคล์เข้ามากอดแล้วก็จูบลงบนริมฝีปากของเขา ผมเองยังอดตกใจไม่ได้ที่คนเรียบร้อยและขี้อายอย่างเขาจะกล้าทำขนาดนี้ แต่ผมก็ยิ้มกว้างออกมาเพราะความยินดีที่ในที่สุดเขาก็สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ หรืออย่างน้อยๆ เขาก็คิดที่จะเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่างในตัวเองแล้ว

“ขอบคุณพี่ซันกับพี่เมฆมากๆด้วยเหมือนกันนะครับ ขอบคุณจริงๆ” พีหันมาพูดกับเราสองคน ทั้งผมและซันต่างก็ส่งยิ้มกว้างไปให้แก่เขาแทนคำพูด “ทุกคนมีความหมายกับผมมากจริงๆ ผมไม่เคยคิดเลยว่าในชีวิตของผม ผมจะรู้สึกผูกพันกับใครได้มากและรวดเร็วเท่าๆกับทุกๆคนในห้องนี้ ตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมเจอพี่เมฆ พี่ก็ทำให้ผมประทับใจได้ตั้งแต่รอยยิ้มแรกของพี่แล้ว และมันก็ทำให้ผมนึกถึงภูขึ้นมาในทันที พี่เป็นคนที่อ่อนโยนแล้วก็อบอุ่นมากจริงๆ และพี่ซัน พี่เป็นคนที่ทั้งเข้มแข็งแต่ก็อ่อนโยนมากด้วย ผมรู้สึกถึงมันได้ไม่ว่าจะจากความรักที่พี่มีให้พี่เมฆ สิ่งที่พี่ปฏิบัติกับไคล์ ตอนที่พี่กอดผมเมื่อวาน และยังเรื่องที่พี่พูดกับผมในวันนี้อีกด้วย ความรู้สึกมันเหมือนกับว่าผมมีพี่เป็นพี่ชายของผมจริงๆเลยครับ....... ส่วนไคล์” เขาหันกลับไปสบตากับไคล์อีกครั้ง “คุณคือคนที่เปลี่ยนแปลงผมได้มากที่สุดจริงๆ...... ถึงตอนแรกคนที่ทำให้ผมนึกถึงภูและทำให้ผมประทับใจได้ก็คือพี่เมฆ แต่ว่าคนที่ตอกย้ำให้ผมรู้ว่าจริงๆแล้วผมเป็นอย่างไรและควรจะเป็นยังไงต่อไป รวมทั้งมีความรักในแบบที่เหมือนกับที่ผมเคยได้รับจากภูมามอบให้กับผมนั้นก็คือคุณ และที่สำคัญที่สุดก็คือคุณไม่ใช่ภาพซ้อนทับของภูอีกด้วย คุณไม่ใช่เป็นแค่หรือเป็นตัวแทนของความรักของภูที่เขาเคยมอบให้กับผม แต่คุณเป็นตัวของคุณเอง และมีความรักในแบบของคุณเท่านั้นที่มอบให้ผมได้........ มันอาจจะเร็วไปที่พูดแบบนี้ แต่ผมก็รักคุณครับ ไคล์” เมื่อพูดจบพีก็จูบลงบนริมฝีปากของไคล์เบาๆอีกครั้ง

ไคล์หันมายิ้มกว้างให้พวกเราสองคน “ซัน ศิลา รู้อะไรมั๊ย ทั้งๆที่เมื่อวานคนๆนี้ยังไม่เคยจูบใครมาก่อนเลยนะ ทั้งๆที่เมื่อวานผมเป็นคนได้จูบแรกของเขาไปแท้ๆ แต่ดูตอนนี้สิ เขากลายเป็นคนจูบผมก่อนถึงสองครั้งเลยเชียวนะ แน่ใจเหรอว่าจะปล่อยน้องชายให้มานอนที่นี่ได้จริงๆน่ะ ซัน” เขาหัวเราะ

เมื่อพีได้ยินดังนั้นก็เหมือนเขาจะเพิ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองทำอะไรหรือพูดอะไรออกไปบ้าง เมื่อนั้นเขาถึงได้กลับมาเป็นพีที่ขี้อายคนเดิมอีกครั้ง เขาหน้าแดงแล้วก็ก้มหน้านิ่งแต่ก็มีรอยยิ้มกว้างพลางใช้นิ้วชี้เกาที่แก้มเบาๆ

“แล้วไม่อยากนอนรึไง” ไอ้ซันหัวเราะ “อย่ามาทำเป็นพูดดีไป ไอ้น้องชาย พี่ว่าเผลอๆถ้าพี่สองคนไม่อยู่ตอนนี้น่ะนะ คนที่จะเป็นฝ่ายเริ่มก็คือเรามากกว่ามั๊ง ไคล์ เพราะงั้นพีต้องขอบคุณพวกพี่นะที่มานอนเฝ้าอยู่อย่างนี้ให้น่ะ ไม่งั้นได้เสียสิ่งสำคัญยิ่งชีพให้ไอ้ไคล์มันแน่ๆ”

“โถ ไอ้ปากดี” ผมพูดขึ้นบ้าง “เมื่อกี๊ว่าไงนะ ‘สิ่งสำคัญยิ่งชีพ’ งั้นเหรอ แล้วใครวะ ที่เสียมันให้กูได้ง๊ายง่ายเพียงแค่ปิดไฟน่ะ” ผมหัวเราะ

คราวนี้ไอ้ซันเป็นฝ่ายที่หน้าแดงขึ้นมาบ้างแล้ว มันรีบดึงตัวผมเข้าไปกอดแล้วขึ้นคร่อมทันที แต่ก่อนที่มันจะได้ทำอะไรมากไปกว่านั้น เสียงลั่นของเตียงก็ร้องเตือนให้พวกเราหยุดเล่นอะไรแผลงๆก่อนที่จะทำให้เตียงหักจนตกลงมาคอหักตายทั้งคู่เสียดีกว่า

“แล้วเมื่อเช้าในห้องน้ำล่ะ เกิดอะไรขึ้น” ไอ้ซันหันไปถามไคล์กับพี

ไคล์มีสีหน้าตกใจขึ้นมาทันที เขาหันมาสบตากับผมแต่ผมก็ทำได้แค่ยักไหล่แล้วก็หัวเราะเบาๆเท่านั้นเอง

“ไม่มีอะไรหรอกครับ ก็แค่อาบน้ำให้กันเฉยๆเอง” ไคล์รีบตอบพร้อมรอยยิ้มกว้าง “แต่ทำไมซันรู้ล่ะ ศิลาบอกเหรอ”

“เปล่า แต่เห็นด้วยตาของตัวเองเลยต่างหาก แต่ก็แปลกนะ ไอ้นิยามของคำว่าอาบน้ำ ‘เฉยๆ’ เนี่ย เพราะเมื่อเช้าพี่กับเมฆก็อาบน้ำ ‘เฉยๆ’ เหมือนกัน แต่สุดท้ายมันก็ยังต้องระบายอะไรบางอย่างออกไปมั่งเหมือนกันอยู่ดีนั่นแหละ”

“มึงพอได้แล้ว ไอ้ทะลึ่ง” ผมหยิบหมอนขึ้นมาอุดปากมันเอาไว้ “กูบอกมึงแล้วใช่มั๊ย ว่ามันเรื่องของเขา ไปยุ่งกับเขาทำไม พีเค้าเขินจนเลือดจะออกหูแล้วนะมึง”

เราทุกคนหันไปมองพีที่กำลังอายม้วนหน้าแดงอยู่บนเตียง แต่ว่าคราวนี้ไคล์มีวิธีทำให้เขาหายเขินได้ด้วยการเขยิบเข้าไปกอดเขาเอาไว้ในอ้อมแขนแล้วก็หอมแก้มเบาๆทั้งสองข้าง ทั้งสองคนยิ้มและหัวเราะเบาๆให้กันและกัน ทำให้ผมที่เป็นคนดูยังอดรู้สึกอิจฉาในความหวานของเขาทั้งคู่ไม่ได้

“ว้อยยยย อิจฉาเว้ยยย กูเปลี่ยนใจแล้วซัน” ผมหันกลับไปมองหน้าไอ้แสบของผม “ไปเหอะ กูว่าเรากลับห้องไปสะเมิ๊ฟๆกันมั่งดีกว่า ปล่อยเขาสองคนไว้นี่แหละ ให้เด็กๆเค้าสนุกกัน ส่วนเราก็ไปสนุกของเรากันมั่งเหอะ”

“เมื่อกี๊มึงว่าไงนะ!!” ไอ้ซันหัวเราะจนท้องแข็ง “ไป ‘สะเมิ๊ฟ’ งั้นเหรอ แล้วเมื่อกี๊ไหนใครบอกว่ากูทะลึ่งวะ ห๊ะ”

“กูล้อเล่นเว้ย ขำๆน่า เห็นเค้าหวานกันเกินไป กลัวว่าเดี๋ยวมดมันจะขึ้น”

ทั้งพีและไคล์ต่างก็หัวเราะและเขินจนหน้าแดง เราสี่คนจึงนั่งพูดคุยและหยอกล้อกันเล่นเรื่อยเปื่อยจนเวลาผ่านไปได้อีกราวๆสองชั่วโมง ไคล์ก็เป็นคนแรกที่ร้องเรียกหาอาหารเย็น พวกเราสี่คนจึงตัดสินใจออกไปทานข้าวเย็นกันที่แมสวิคคาเฟทีเรียเหมือนกับเมื่อวาน และกว่าเราจะออกมาจากคาเฟทีเรียก็เป็นเวลาทุ่มครึ่งพอดี อากาศภายนอกก็เริ่มเย็นลงและมืดลงเร็วมาก เราสี่คนเดินกลับไปที่เคบินของพีอีกครั้ง และคราวนี้ไอ้ซันก็เกิดให้ความสนใจกับกีตาร์ที่วางเอาไว้ตรงข้างเตียงของพีขึ้นมา

“นี่คือของๆภูครับ....... แม่ของเขาเอามาให้ผมที่บ้านหลังจากที่ผมย้ายโรงเรียนได้ไม่นาน เพียงแต่ว่าภูเขาไม่เคยเป็นคนยกมันให้กับผมด้วยตัวเอง ผมเลยไม่อยากจะเรียกว่ามันเป็นของๆผมนัก” พีอธิบายเมื่อซันถามว่ามันคือกีตาร์ของพีหรือเปล่า

“เอ่ออ ขอโทษทีนะพี พี่ไม่น่าพูดถึงเรื่องนี้เลย” ไอ้ซันขอโทษ

“ไม่เป็นไรหรอกครับ มันผ่านไปนานแล้วล่ะ นอกจากรูปถ่ายแล้ว สิ่งนี้มันก็เป็นเหมือนตัวแทนของเขาเพียงสิ่งเดียวที่ผมมีอยู่ครับ”

คำพูดของเขาทำให้ผมนึกขึ้นมาถึงสิ่งๆเดียวที่เคยเป็นตัวแทนของไอ้ซันที่ผมมีเหลืออยู่เมื่อครั้งลืมตาตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาลเป็นครั้งแรกเช่นกัน ตอนนั้นผมเองก็พกหนังสือเล่มนั้นไว้กับตัวแทบไม่เคยห่างกายเลยเหมือนกับที่พีที่พกรูปและกีตาร์ของภูมาที่นี่ด้วยนั่นเอง ย้อนไปในช่วงหนึ่งปีนั้น ผมไม่เคยไปต่างจังหวัดหรือไปไหนไกลๆโดยที่ทิ้งมันเอาไว้ที่บ้านเฉยๆเลยสักครั้ง และหลายครั้งหลายคืนที่ผมเฝ้าหยิบมันมาอ่านซ้ำแล้วซ้ำอีก อ่านทั้งตัวหนังสือเองและอ่านที่คั่นหนังสืออันนั้นด้วย มันเป็นสิ่งๆเดียวที่ช่วยให้ผมนึกถึงน้ำเสียงและรอยยิ้มของไอ้ซันเอาไว้ได้ในตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่ผมไม่ได้พูดคุยกับมันเลย

“แต่จะว่าไป....... กูเองก็ไม่ค่อยรู้เลยนะว่าตอนที่กูหลับอยู่ในโรงพยาบาลน่ะ มึงทำอะไรบ้าง” ผมหันไปถามไอ้ซัน “กูหมายถึง พ่อของกูก็ไม่ค่อยจะบอกกูเรื่องนี้เท่าไหร่ แต่จะว่าไปจริงๆแล้วก็คงเป็นเพราะกูไม่ค่อยได้ถามท่านด้วยนั่นแหละนะ เพราะตอนนั้นกูไม่รู้นี่ว่ามึงสนิทกันมากขนาดไหน”

“มึงหมายความว่าไง ที่ว่า ‘ทำอะไรบ้าง’ ตอนมึงนอนโรงบาล”

“ก็หมายความทั่วๆไปนั่นแหละ เพราะพ่อกูบอกว่ามึงมาหากูทุกวันเท่าที่มึงจะทำได้ แล้วก็ยังนอนกับกูอีกด้วย แต่กูนึกไม่ออกไงว่ามึงจะมาทำอะไรบ้างทั้งๆที่กูก็ได้แต่นอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวน่ะ คือ มึงไม่เบื่อรึไง มึงทำอะไรแก้เซ็งบ้างตอนกูหลับ อะไรแบบนั้นน่ะนะ”

ผมเห็นไอ้ซันหน้าแดงขึ้นมาแว่บหนึ่งทันที และไคล์เองก็ดูจะจับสีหน้าเมื่อครู่นั้นของไอ้ซันได้ด้วยเช่นกัน เราสองคนสบตากันแล้วก็หัวเราะจากนั้นก็รีบพูดขัดไอ้ซันขึ้นมาก่อนที่มันจะทันได้แก้ตัวอะไรอีก

“ผมก็อยากรู้ครับ ซัน ไม่ต้องพยายามจะเปลี่ยนเรื่องแล้วนะ พวกเราดูออกกันหมดแล้วว่าพี่เขินน่ะ”

“มึงจะเขินทำไมว้า ก็แค่บอกว่ามึงทำอะไรบ้างตอนกูหลับอยู่เท่านั้นเอง”

“เออๆ ก็ไม่มีอะไรนี่....... กูก็แค่นั่งเฝ้ามึง ดูแลมึงเวลาที่พ่อมึงต้องไปทำงาน ดูทีวี ฟังเพลง อ่านหนังสือ ก็แค่นั้นเอง ไม่ได้มีอะไรพิเศษ” มันตอบแบบปัดๆ

“ดูแลกูเนี่ยนะ ดูแลอะไรวะ ก็กูหลับอยู่ มึงจะต้องมาดูแลอะไรกูอ่ะ” ผมสงสัย

ไอ้ซันยิ้มเจ้าเล่ห์แบบนั้นอีกแล้ว “แล้วมึงคิดว่ามึงไม่ต้องเช็ดตัวหรือทำความสะอาดอะไรเลยรึไง” เมื่อได้ยินอย่างนั้น คราวนี้จึงเป็นคราวของผมที่ต้องรู้สึกอายขึ้นมาบ้าง “ใช่แล้ว ไอ้ตัวดี กูน่ะ เห็นของมึงมาหมดทุกอย่างตั้งแต่ก่อนที่มึงจะทันได้ฝันถึงของๆกูเสียอีก คราวนี้รู้รึยังล่ะว่ากูทำอะไร ‘แก้เซ็ง’ บ้าง” มันหัวเราะ รวมทั้งไคล์แล้วก็พียังร่วมหัวเราะไปกับมันด้วย

“ไอ้สัตว์! ไอ้เลว ทะลึ่ง!” ผมด่ามัน แต่ยังไงๆก็ไม่สามารถห้ามตัวเองไม่ให้หน้าแดงได้จริงๆ “รู้งี้ตื่นมากูน่าจะลืมมึงไปเลยมากกว่าลืมเรื่องของพีนะเนี่ย............ เอ๊ะ เดี๋ยวก่อนนะ” ผมคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “ทำไมพีไม่แปลกใจเลยล่ะ เรื่องที่พี่เข้าโรงพยาบาล”

ทั้งไคล์และซันต่างก็มองหน้าของผมงงๆสลับกับมองหน้าของพี

“แปลกใจอะไรของมึงวะ ก็เขาก็รู้อยู่แล้วนี่ว่ามึงเข้าโรงบาล ก็มึงเป็นคนบอกเค้าเองนี่”

“ไม่ใช่ กูหมายถึงตอนแรกหลังจากที่กูนึกออกว่ากูเคยเจอน้องเขามาก่อน....... เมื่อวานตอนก่อนที่เราจะขึ้นรถไปดูพระอาทิตย์ตกกันน่ะ พี่พูดกับพีใช่มั๊ยล่ะครับ ว่าพี่ขอโทษที่ลืมเรื่องของพีไปหมด อาจจะเป็นเพราะว่าพี่ถูกรถชนด้วย แต่พีกลับไปมีท่าทางแปลกใจเลยแถมยังบอกด้วยว่าไม่เป็นอะไร พีเข้าใจอะไรสักอย่างนี่แหละ หรือว่านั่นมันแปลว่าพีรู้อยู่แล้วเหรอครับว่าพี่เคยถูกรถชน”

“ครับ ผมรู้อยู่แล้ว” พีตอบ ทำให้ไคล์กับซันยังต้องกับประหลาดใจ พวกเราทุกคนนั่งเงียบและรอให้เขาเริ่มเล่าต่อ “ผมไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังนะครับ แค่ไม่รู้จะเริ่มต้นพูดยังไงมากกว่า คือตอนนั้นเท้าของผมยังเจ็บอยู่นิดหน่อยน่ะครับ จากที่ล้มตอนช่วยงานอาจารย์หนุ่มวันนั้น ผมดีขึ้นก็จริง แต่ว่าถัดจากนั้นราวๆสามสี่วัน ผมก็เกิดล้มซ้ำที่แผลเดิมเข้าอีก พอวันถัดมาผมไปโรงพยาบาล ผมก็บังเอิญเจอเข้ากับพวกเพื่อนๆของพี่น่ะครับ ก็เลยรู้ว่าพี่เมฆนอนโรงพยาบาลอยู่.......” เขาหันไปมองหน้าของไอ้ซัน “ตอนนั้นผมตกใจมากครับ แล้วก็อยากจะเข้าไปเยี่ยมพี่เมฆด้วยเหมือนกัน แต่ว่าพอเห็นพี่ซันมาเฝ้าอยู่ทุกวัน แถมยังตลอดทั้งวันเลยด้วย ก็เลยไม่กล้า เพราะกลัวว่าพี่จะเข้าใจผิดอีกน่ะครับ”

“ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ” ไคล์พูดขึ้นด้วยสีหน้าประหลาดใจ “ทำไมคนสามคนถึงได้โคจรมาเจอกันได้มากขนาดนี้นะ ผมว่าพวกพี่เกิดมาเพื่อได้อยู่ด้วยกันจริงๆนั่นแหละ นึกๆแล้วก็อิจฉานิดๆนะครับเนี่ย ที่ผมเหมือนเป็นคนนอกไปเลย เพราะเพิ่งจะได้มารู้จักกับทุกคนนอกจากซันก็เมื่อไม่นานมานี้เอง.......”

“พูดอะไรแบบนั้นล่ะน้องชาย ถ้าจะพูดว่าพวกเราเกิดมาเพื่อได้อยู่ด้วยกันได้รู้จักกันจริงๆล่ะก็ ไคล์เองก็ด้วยไม่ใช่รึไง” ไอ้ซันพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้ม

“หมายความว่ายังไง” ผมถาม “มึงอย่าบอกนะว่ากูเองก็เคยเจอกับไคล์ที่ประเทศไทยมาก่อน หรืออย่าบอกนะว่าพีกับไคล์จริงๆแล้วเคยเป็นเพื่อนเล่นกันตอนสมัยเด็กๆอะไรแบบนั้นน่ะ”

“นั่นมันก็เกินไป” ไอ้ซันหัวเราะ “แต่กูหมายความว่าทุกอย่างมันต้องมีจุดเริ่มต้นไม่ใช่รึไง มึงนึกดูดีๆสิ กูกับไคล์น่ะรู้จักกันมาก่อนอยู่แล้ว และต่อมากูก็ได้รู้จักมึง ก็เท่ากับเราสามคนมีความเชื่อมโยงกันอยู่แล้วเพียงแต่ภาพมันยังไม่สมบูรณ์ ต่อมาก็มีพี จากสามคนก็กลายเป็นสี่ และการที่มึงมาเรียนต่อที่อังกฤษกับการที่เราได้มาเที่ยวที่นี่ ก็เป็นชิ้นส่วนสุดท้ายที่ทำให้ภาพต่อมันสมบูรณ์ แต่ก็นะ อย่างที่กูบอกว่าทุกอย่างมันต้องมีจุดเริ่มต้น จะเจอกันเมื่อไหร่มันก็ไม่สำคัญหรอก มันสำคัญที่อนาคตต่างหาก ก็เหมือนที่มึงพูดไปตอนก่อนออกไปกินข้าวไงว่า ถ้าคนเราถูกขีดให้มาคู่กัน ยังไงก็ต้องได้เจอกันอยู่ดีไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว ซึ่งตอนนี้เวลานี้เราสี่คนได้มาพบกันพร้อมหน้า แถมยังมีความรู้สึกผูกพันให้แก่กันกันจริงๆด้วยไม่ใช่รึไง มึงไม่รู้จริงๆน่ะเหรอ ว่าอะไรในตัวของพวกเราที่ทำให้มันเป็นสิ่งที่พิเศษขึ้นมาน่ะ” มันยิ้ม

ผมขมวดคิ้วเพราะความไม่เข้าใจ ไคล์เองก็เช่นกัน แต่ไม่นานเขาก็ยิ้มกว้างออกมาเหมือนรู้คำตอบแล้ว และพีเองก็ด้วย

“ไคล์บอกไอ้เมฆมันซิว่า ชื่อเต็มๆของเราชื่อว่าอะไร”

“ไคล์ ริเวอร์ ไรออซครับ ทั้งชื่อกลางและนามสกุลของผมต่างก็แปลได้ว่า ‘น้ำ’ ทั้งคู่”

“ไง คราวนี้มึงเข้าใจรึยัง.......... ถึงกูจะไม่เชื่อเรื่องพรหมลิขิตหรือโชคชะตาชักพาให้คนสองคนได้มา ‘รัก’ และครองคู่กันไปตลอดชีวิตกันก็จริง แต่กูเชื่อว่าคนเราทุกคนผ่านมาเจอกันด้วยเหตุผลบางอย่างเสมอ และกูเชื่อว่าโชคชะตาก็คือส่วนสำคัญในเรื่องนั้นด้วย เพราะฉะนั้นแล้ว การที่เราสี่คน ศิลา ฟ้าคราม ปฐพี สายน้ำ ได้มานั่งกันอยู่ตรงนี้ กูว่ามันต้องมีความหมายอะไรบางอย่างที่พิเศษไปกว่าทั่วๆไปแน่นอน”


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-10-2007 12:29:24 โดย ExecutioneR »

น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
นึกว่าวันนี้จะไม่ได้อ่านซะแล้ว
น่ารักจังเลย สี่คนเนี่ย :m3:

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
พรมลิขิต  :m3:  :m3: ทำให้ทั้งสี่มาครองคู่กัน  :m11:  :m11:

nartch

  • บุคคลทั่วไป
 :impress:
โรแมนติกจังเลยยยย การรวมตัวของศิลา ฟ้าคราม ปฐพี และสายน้ำ  :o8:
จะเป็นยังไงต่อไปละเนี่ยยยยย การเดินทางจะสิ้นสุดรึยังงงง  หรือจะมีเหตุอะไรเกิดขึ้นอีก
โหหหหหหห รอต่อไปปปปป  :serius2:
 :m7:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด