การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)  (อ่าน 242885 ครั้ง)

ออฟไลน์ ~ScAreD:SAcreD~

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1811
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-2
มาลงชื่อเอาไว้ก่อน ยังไม่ว่างอ่านเลย

ชอบเรื่องนี้มากมายครับ  :a9:

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนที่ 48


เช้าวันรุ่งขึ้นผมตื่นขึ้นมาในอ้อมแขนของไอ้ซันอีกครั้ง และเมื่อผมพลิกตัวเพื่อหันหน้าไปหามันก็เห็นว่ามันกำลังนอนยิ้มรอผมอยู่แล้ว

“ไง” ไอ้ซันทักพร้อมกับจูบลงบนริมฝีปากของผมเบาๆ

“ไง”

“ตื่นรึยัง”

“ตื่นแล้ว”

“กูหมายถึงน้องชายมึงน่ะ”

“ตื่นพร้อมๆกันทั้งพี่ชายแล้วก็น้องชายเลยว่ะ”

“ดีๆ กูจะได้ไม่ต้องปลุก”

“ก็ตื่นเพราะน้องชายมึงมันมาดันที่ก้นกูเมื่อกี๊นั่นแหละ”

“งั้นทำไงดีล่ะ”

“กูจะสั่งสอนมันเอง ว่าอย่ามาปลุกกูโดยไม่ได้รับอนุญาตอีก” ผมเอื้อมมือไปคว้าเข้าที่เป้ากางเกงของมันแล้วก็ขยำเบาๆ จากนั้นเราสองคนต่างก็มอบความสุขให้กันและกันอย่างนุ่มนวลและยาวนานจนกระทั่งเสร็จสิ้น เราจึงลุกขึ้นไปอาบน้ำพร้อมๆกันอีกครั้ง เมื่อเราแต่งตัวเสร็จก็เป็นเวลาเกือบเก้าโมงเช้าแล้ว ผมกับไอ้ซันจึงขับรถไปจอดที่หน้าเจเนอรัล สโตร์และเดินเข้าไปในคาเฟทีเรียเพื่อถามถึงเรื่องราวของเมื่อคืนว่าคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว จริงๆแล้วไอ้ซันนั้นไม่ค่อยอยากจะยุ่งวุ่นวายอีกสักเท่าไหร่ แต่เมื่อผมอธิบายว่าผมอยากจะรู้ว่าทั้งสามคนนั้นมันคือใครและมันมายุ่งวุ่นวายกับเราก่อนทำไม นอกจากนั้นผมยังอยากรู้ด้วยว่าคนที่สามที่วิ่งหนีไปนั้นถูกจับได้รึยัง เพียงแต่ผมไม่ได้บอกไอ้ซันว่าผมอยากจะรู้อาการของสองคนนั้นด้วยว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว

เมื่อเราเข้าไปขอพบกับผู้จัดการ ผู้ชายใส่หมวกคนที่เราเคยพบเมื่อวานตอนที่เขาเข้ามาคุยกับพีก็เดินออกมาต้อนรับเราด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส แต่พอเราอธิบายถึงเหตุผลว่าเรามาธุระในเรื่องของอะไร สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที ไม่ใช่ว่าเขาทำสีหน้าไม่พอใจ แต่หากเป็นสีหน้าที่แสดงความกังวล ความห่วงใย และแสดงความรับผิดชอบออกมาแบบมืออาชีพจริงๆ

“เมื่อคืนผมได้รับโทรศัพท์จากแซนดร้าแล้วครับ และเมื่อเช้านี้ผมก็คุยกับคนอีกหลายๆคนแล้วด้วย ผมยังสงสัยเลยว่าพวกคุณจะเข้ามาที่นี่อีกครั้งรึเปล่า” เดฟพูดขึ้นหลังจากแนะนำตัวและเชิญเรานั่งลงที่โต๊ะแล้ว

“ผมไม่ได้อยากจะมาเอาเรื่องหรือวุ่นวายอะไรหรอกนะครับ แต่ที่เรามาที่นี่ก็เพราะว่าผมอยากจะรู้ความคืบหน้านิดหน่อยเท่านั้นเอง ผมอยากรู้ว่าตอนนี้ทั้งสามคนนั้นเป็นยังไงบ้างและพวกเขาคือใคร ทำไมถึงต้องมาทำร้ายพวกเราด้วยน่ะครับ”

“ผมต้องขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดอีกครั้งจริงๆครับ........ สองในสามคนนั้น ซึ่งก็คือคนที่เราไปพบบนถนนนั้นเป็นพนักงานของแซนเทอร่านี่เองครับ คนผิวขาวมีชื่อว่าเจฟฟ์ เคยเป็นกุ๊กอยู่ที่ไบรท์แองเจิ้ล ส่วนคนผิวดำตัวใหญ่นั่นมีชื่อว่าริชาร์ดเคยเป็นพนักงานล้างจาน แต่เพิ่งจะโดนไล่ออกไปเมื่อวานนี้เอง ข้อหาเมาและมีเรื่องวิวาทกับพนักงาน ส่วนคนผิวดำตัวเล็กกว่าอีกคนชื่อว่า ไมเคิล เป็นน้องชายของริชาร์ดที่เพิ่งจะเรียบจบไฮสคูลและมาหาพี่ชายที่นี่เพื่อจะหางานทำ แต่ก็ถูกปฏิเสธไปเมื่อวานอีกเช่นกันเพราะเราตรวจพบสารเสพย์ติดในตัวของเขา และตอนนี้ตำแหน่งงานของเราก็ค่อนข้างจะเต็มอยู่แล้วเพราะนักเรียนจากหลายๆประเทศที่มาช่วยเรานี่แหละครับ เมื่อเรื่องนี้มาบวกกับพี่ชายของตัวเองที่เพิ่งจะโดนไล่ออกไปด้วย ทำให้พวกเขาไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก เมื่อคืนนี้ทั้งสามคนก็คงจะนั่งกินเหล้ากันและเมื่อเห็นพวกคุณเดินอยู่แถวนั้น พวกนั้นก็คงจะเกิดอาการไม่พอใจขึ้นมาน่ะครับ เพราะว่าตัวริชาร์ดเองก็เพิ่งโดนไล่ออกเพราะไปหาเรื่องกับ...... เอ่ออ พนักงานที่มาจากประเทศไทยคนหนึ่งมานี่เอง แต่ไอ้หมอนั่นมันก็ชอบมีปัญหากับพนักงานคนอื่นอยู่แล้วด้วยครับ โดยเฉพาะเวลาที่มันเมาเหล้าเนี่ย เป็นตัวปัญหาของจริงเลย แต่ว่านี่เป็นครั้งแรกเลยที่มันกล้าหาเรื่องกับแขกที่มาพักนะครับ สุดท้ายมันก็เลยต้องชดใช้ไป”

“ผมพอจะเข้าใจแล้ว........” ผมพยักหน้า “แต่ไอ้คนน้องที่ชื่อว่าไมเคิลนั้นมันพยายามจะปล้นเงินของพวกเราด้วยนะครับ คุณพอจะนึกออกมั๊ยว่าทำไม”

“นั่นก็คงเป็นเพราะหมอนั่นขัดสนเรื่องเงินน่ะครับ ทั้งยาเสพย์ติดและเรื่องอื่นๆอีก” เดฟส่ายหน้า “แต่ตอนนี้เราก็พบตัวมันแล้วครับ ทั้งสามคนถูกส่งออกไปจากแกรนด์ แคนยอนแล้วเรียบร้อยเมื่อเช้านี้ ไม่ต้องกังวลนะครับ”

“ครับ ขอบคุณมาก แต่ผมก็ไม่ได้กังวลเท่าไหร่หรอกครับ ผมคิดว่าพวกเราดูแลตัวเองได้........ แต่ เอ่ออ คือเมื่อคืนหลังจากที่เรนเจอร์ไปพบสองคนนั้นแล้ว พวกเขามีอาการเป็นยังไงบ้างครับ”

เดฟหัวเราะท่าทางชอบใจ “ตอนนี้พวกเขาสบายดีแล้วครับ ไม่ต้องห่วง แต่ผมต้องยอมรับเลยนะครับเนี่ย ว่าคุณนี่ทั้งเก่งและกล้ามากจริงๆ ทั้งๆที่ตัวเล็กกว่าไอ้หมอริชาร์ดนั่นเยอะเลยทีเดียว เอาล่ะ ตอนนี้ผมก็มีข่าวดีมาให้คุณทั้งสองคนอีกสองอย่างด้วยครับ”

ผมกับซันสบตากันครู่หนึ่งก่อนที่ผมจะหันกลับไปถามเดฟว่าข่าวอะไร

“อย่างแรกเลยคือ ทางบริษัทของเรามีความยินดีและขอบคุณพวกคุณมากครับที่ไม่ต้องการเอาเรื่องกับพนักงานและบริษัทของเรา ทางเราก็เลยอยากจะตอบแทนและแสดงความเสียใจด้วยการคืนเงินค่าที่พักทั้งหมดให้กับพวกคุณ คุณจะได้รับเงินคืนเต็มจำนวนหลังจากที่เช็คเอ๊าท์ออกทันที แต่ผมต้องขอชื่อและขอรายละเอียดอื่นๆของคุณเอาไว้ตอนนี้ก่อนด้วยนะครับ”

ผมให้ไอ้ซันเป็นคนคุยและจัดการรายละเอียดเรื่องนี้แทน จนเมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมก็ถามเขาว่าข่าวดีอีกอย่างหนึ่งนั้นคืออะไร

“ข่าวดีอีกอย่างนั้นผมเพิ่งจะนึกออกเมื่อกี๊เองครับ” เดฟหัวเราะ “ให้เกียรติผมเลี้ยงค่าอาหารมื้อนี้ของพวกคุณก็แล้วกันนะครับ เพราะว่าผมชื่นชมกับการที่คุณจัดการเจ้าสองคนนั้นจริงๆให้ตายสิ ผมเองก็เป็นผู้จัดการคนนึงของที่นี่พูดแบบนี้อาจจะฟังดูไม่เหมาะท่าไหร่ แต่พนักงานเลวๆแบบนั้น เราก็ไม่อยากจะจ้างเอาไว้หรอกครับ คุณคือคนที่ช่วยตัดไฟแต่ต้นลมให้พวกเราได้ และที่สำคัญ ผมรู้สึกประทับใจในตัวของคุณสองคนเป็นพิเศษเลยด้วย ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆว่าผู้ชายตัวเล็กๆแบบคุณนี่กลับสามารถล้มไอ้ยักษ์สองคนนั้นได้ คุณกลายเป็นฮีโร่ของผมไปแล้วนะ” เขาหัวเราะแล้วชกลงบนบ่าผมแรงๆสองสามครั้งแบบเป็นมิตร

ผมหัวเราะแห้งๆ “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ เราสองคนก็อยากจะอยู่ทานอาหารนะครับ แต่ว่าเรานัดเพื่อนของเราเอาไว้แล้ว พีทน่ะครับ ที่ทำงานที่นี่ช่วงเช้า เราเพิ่งรู้จักกันตอนวันแรกที่เรามาถึงที่นี่ และวันนี้เราวางแผนกันว่าเราจะไปไฮค์ด้วยกัน” ผมบอกเขา

“พีทเหรอครับ” เดฟมีสีหน้าประหลาดใจ “พีทเด็กน้อยที่ทำงานที่นี่น่ะเหรอ โอ้ เยี่ยมเลย เขาเป็นคนที่เยี่ยมมากจริงๆ นิสัยดีและขยันมาก” เขาพยักหน้าอย่างพอใจ “ถ้าอย่างนั้นพวกคุณพร้อมแล้วรึยังครับ เตรียมสัมภาระพร้อมกันแล้วรึยัง”

พวกเราสองคนพยักหน้า “กระเป๋าเป้ของพวกเราอยู่ในรถน่ะครับ”

“งั้นเอาอย่างนี้ดีกว่า ผมขอจ่ายค่าอาหาร น้ำ หรือขนมอะไรก็ได้ให้พวกคุณต้องการติดตัวไปเพิ่มดีกว่า อยากได้อะไร เลือกเลยครับ แล้วเดี๋ยวเราใส่กล่องจัดให้เลย”

เมื่อถูกคะยั้นคะยอมากๆ เราสองคนจึงเดินตามเดฟไปที่ซุ้มขายอาหาร แต่เนื่องจากตอนนี้ยังเป็นเวลาขายอาหารเช้าอยู่ และเราต้องการอาหารที่จะไปทานตอนกลางวันหรืออาจจะตอนบ่ายๆ เพราะฉะนั้นสิ่งที่พวกเราพอจะนำติดตัวไปทานได้คงไม่ใช่พวกแพนเค้ก โอ๊ตมีล หรือ ฮัชบราวน์แน่นอน เดฟจึงตักไส้กรอก กับเบคอน ให้พวกเราอย่างละหกชิ้นและสิบชิ้นตามลำดับ นอกจากนั้นเขายังหยิบส้มสองผล และน้ำเกลือแร่ให้ผมกับซันอีกคนละขวดด้วย ตอนแรกผมก็รู้สึกเกรงใจเขามากจริงๆ แต่เมื่อถึงตอนจ่ายเงินและเดฟยื่นบัตรพนักงานให้กับแคชเชียร์ ผมถึงได้รู้ว่าผู้จัดการนั้นทานอาหารได้ฟรีไม่ต้องเสียเงินสักเซ็นต์เดียว

เดฟยืนคุยกับพวกเราอีกราวๆห้านาที เขาแนะนำและบอกข้อมูลเกี่ยวกับการลงไปไฮค์ให้พวกเราฟังเพิ่มอีกนิดหน่อย และก่อนเราจะเดินออกมาเขาก็ยังบอกกับพวกเราอีกด้วยว่าเขารู้สึกอยากจะไปเรียนกังฟูเอาไว้บ้างซะแล้ว

“พ่อฮีโร่ตัวน้อยยยย” ไอ้ซันพูดขึ้นเมื่อเราอยู่ในรถกันเรียบร้อยแล้ว

“อะไรของมึง จะประชดกูอีกรึไง”

“เปล่า กูแค่ขำว่ะ......” ไอ้ซันหัวเราะเบาๆ “เมื่อกี๊เดฟบอกว่าจะไปเรียนกังฟูด้วยนะ เค้าเห็นมึงเป็นลูกหลานของบรู๊ซ ลี รึไงวะ”

“เออ อันนั้นกูก็ฮาเหมือนกัน” ผมหัวเราะ “พวกฝรั่งนี่อะไรๆก็นึกถึงแต่กังฟูไปหมดเลยรึไงวะ”

“ก็คงงั้น......... ว่าแต่ มึงคงไม่ได้ไปหัดเรียนกังฟูมาจริงๆใช่มั๊ยวะ” ไอ้ซันหยุดหัวเราะแล้วหันมามองผมด้วยสีหน้าซีเรียส

“มึงจะบ้าเร้ออออออ” ผมร้องออกมา “มึงเอาอะไรมาพูดดดดด”

“ก็กูไม่รู้นี่ เหลือแค่ถ้ามึงปล่อยกำลังภายในได้ กูก็คงเชื่อว่ามึงไปฝึกวิชาเหี้ยอะไรพิลึกๆมาแน่ๆ” ไอ้ซันกลับมาหัวเราะเบาๆอีกครั้ง

“มันก็แค่ศิลปะการต่อสู่น่า ไอ้บ้า กูก็แค่ไม่กลัว มีสติ แล้วก็........ อาศัยพรสวรรค์อีกนิดหน่อย” ผมยิ้มมุมปากแล้วก็ยักไหล่ ไอ้ซันจึงหัวเราะชอบใจแล้วเอื้อมมือมาเคาะลงบนหัวผมเบาๆหนึ่งที

“เอออ มึงเก่ง แต่ก็ระวังตัวเอาไว้หน่อยก็แล้วกัน......... ถ้าเกิดมึงเป็นอะไรไปขึ้นมาจริงๆล่ะก็..........” ไอ้ซันเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงซีเรียสอีกครั้ง

“อือ กูรู้” ผมพยักหน้า “ความกล้ากับความบ้าน่ะ มันอยู่ห่างกันแค่พลิกหน้ากระดาษเท่านั้นเอง นี่มันชีวิตจริง ไม่ใช่ในหนัง ถ้าอีกฝ่าย มีปืน หรือท่าทางจะอันตราย...... กูหมายถึงว่า ที่ไอ้เหี้ยนั่นมันเล่นมีดมันก็อันตรายอยู่หรอก เมื่อคืนกูมันก็แค่โชคดี แถมมันยังขี้ขลาดจะตายห่าไปอีกด้วย ถ้าคนที่ถือมีดคือริชาร์ดล่ะก็ คงต้องแย่กว่านี้แน่ และตามปกติแล้ว กูก็ไม่พาตัวเองเข้าไปหาเรื่องหรอก มึงไม่ต้องห่วง คนจะเรียนรู้วิธีป้องกันตัวน่ะ มันก็ต้องรู้วิธี ‘ป้องกัน’ ตัวจริงๆ วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือพยายามไม่เข้าไปอยู่ในปัญหานั่นแหละ และถ้ามันเกิดมีอะไรผิดพลาดไป การรู้จักหนีเอาตัวรอดต่างหากคือการป้องกันตัวที่ดีที่สุด”

ไอ้ซันหันมามองผมด้วยสายตาทึ่งๆ “ไม่น่าเชื่อเลยว่ะ.........”

“อะไรไม่น่าเชื่อ” ผมหันไปถาม

“ก็กูไม่ได้เจอมึงแค่ปีเดียว มึงกลายเป็นปรมาจารย์ไท้เก๊กไปซะแล้ว”

เราสองคนหัวเราะขึ้นพร้อมๆกัน ซึ่งมันก็ทำให้ผมรู้สึกดีและโล่งใจมากด้วยที่ไอ้ซันไม่กลับมาคิดเล็กคิดน้อยแบบเมื่อคืนนี้อีกแล้ว เพราะตลอดเวลาที่ผมคุยกับเดฟ ผมก็แอบมีคิดและกังวลอยู่นิดหน่อยตลอดเวลาว่าไอ้ซันจะกลับมาคิดมากอีกรึเปล่า ซึ่งตอนนี้ก็เห็นได้ชัดเจนแล้วว่าผมคงไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นอีกแล้ว........ เหลือแค่เพียงอย่างเดียวว่าเราจะอธิบายให้พีกับไคล์ฟังเรื่องเมื่อคืนนี้ยังไงก็เท่านั้น

เมื่อเราสองคนจอดรถและไปเคาะประตูที่ห้องของพี เราทั้งคู่ก็ถูกตั้งคำถามเรื่องอาหารที่เราถือติดมาด้วยทันที แต่ซันบอกว่าจะอธิบายเรื่องทั้งหมดทีหลังขณะทานอาหารเช้าเอง รวมทั้งจะตอบคำถามที่ไคล์ถามว่าปากของซันไปโดนอะไรมาด้วย ดังนั้นพีจึงพาเราสามคนไปทานอาหารเช้าที่ อีแคฟ หรือ เอ็มพลอยยี่ คาเฟทีเรีย ซึ่งถ้าพูดกันจริงๆแล้วก็เรียกได้ว่าขี้โกงนิดหน่อยเพราะพวกเราสามคนไม่ใช่พนักงาน และราคาอาหารที่นั่นก็ถูกมากจริงๆ แถมยังไม่จำเป็นต้องแสดงบัตรพนักงานด้วย เพราะฉะนั้นเราสามคนจึงสามารถซื้ออาหารได้อย่างไม่มีปัญหาใดๆ

“สรุปเรื่องราวมันยังไงครับเนี่ย ทำไมต้องมาเล่ากันทีหลังแบบนี้ด้วย” ไคล์ถามขึ้นขณะที่เราทั้งสี่คนเริ่มลงมือกับอาหารตรงหน้าแล้ว

“ก็เพราะว่าเรื่องมันยาวน่ะสิ..........” ไอ้ซันตอบ

ผมกับซันเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้ไคล์และพีฟัง และเนื่องจากมันไม่ใช่ครั้งแรกที่เราต้องมาเล่าเรื่องให้คนอื่นฟังแบบนี้ รวมทั้งยังไม่ใช่เรื่องที่ผมอยากจะพูดบ่อยๆเพราะกลัวว่ามันจะเหมือนกับเป็นการตอกย้ำไอ้ซันมากไปนักอีกด้วย ผมจึงไม่ค่อยอยากจะเล่าเรื่องราวอะไรให้ละเอียดจนเกินไป ส่วนไอ้ซันเองก็ไม่ได้มีท่าทีอยากจะช่วยเหลือผมในการเล่าเรื่องเลยด้วยอยู่แล้ว ดังนั้นส่วนมากเราสองคนจึงปล่อยให้พีและไคล์เป็นฝ่ายตั้งคำถามและเราก็เป็นฝ่ายคอยตอบมากกว่าที่จะคอยเล่าและเจาะลึกไปถึงรายละเอียด

“ให้ตายสิ ซัน แล้วนี่จะบอกแม่รึเปล่า” ไคล์ถามด้วยสีหน้ากังวล

“ไม่ล่ะ ไม่จำเป็นต้องทำให้พวกเค้าเป็นห่วงโดยเปล่าประโยชน์หรอก แถมแผลนี่มันก็แค่แผลเล็กๆเท่านั้นเอง”

“จริงๆเมื่อวานเราก็เป็นห่วงทั้งสองคนอยู่เหมือนกันนะ แต่ไม่คิดเลยว่ามันจะเกิดเรื่องขึ้นจริงๆแบบนี้”

“หมายความว่าไง ทำไมต้องเป็นห่วงด้วยล่ะ” ผมถาม

พีกับไคล์หันไปสบตากันเล็กน้อยก่อนที่พีจะเป็นฝ่ายเริ่มเล่า

“ที่ผมบอกว่าผมคุ้นหน้าคนดำคนนั้นน่ะครับ........ จริงๆแล้วผมไม่เคยเจอเขามาก่อนหรอก แต่ว่าผมจำได้ว่ามีเพื่อนเคยเล่าให้ฟังว่ามีคนไทยที่มาทำงานนี่แหละมีปัญหากับคนดำตัวใหญ่ๆที่ทำงานด้วยกันเมื่อไม่นานมานี้เอง เพราะงั้นผมจึงได้รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาและไม่แน่ใจทั้งๆที่ไม่เคยเห็นหน้าหมอนั่น”

“และพอพีเล่าให้ผมฟังตอนที่เรากลับมาถึงเคบินแล้ว เราก็รู้สึกเป็นห่วงทั้งสองคนขึ้นมาทันที แต่ก็ไม่ได้คิดว่ามันจะกล้าทำอะไรแบบนั้นได้จริงๆ” ไคล์เสริม

“เอาเถอะๆ เราก็ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก ช่างมันเถอะนะ” ผมพูดตัดบท “ว่าแต่อีกไม่กี่นาทีเราก็จะได้ไปไฮค์แล้วนี่ พร้อมกันมั๊ย....... ไม่สิ สำหรับพีนี่ไม่ใช่ครั้งแรกแล้วนี่หว่า ไม่เบื่อแย่เหรอ”

“ครั้งแรกผมไปถึงแค่ที่อินเดียน การ์เด็นครับยังไม่เคยไปถึงพลาโต พ็อยท์ ส่วนครั้งที่สองก็ไปถึงแค่เรสท์เฮาส์เอง เพราะงั้นผมถึงได้อยากไปอีกไงครับ และที่สำคัญ ผมชอบด้วยล่ะครับ มันสนุกดี”

เมื่อเก็บจานบนโต๊ะเสร็จเรียบร้อยแล้วเราทั้งสี่คนก็เดินออกมานอกร้าน ที่ตั้งของอีแคฟนั่นอยู่ไม่ไกลจากปากทางเข้าไบรท์แองเจิ้ล เทรลล์เท่าไหร่นัก ใช้เวลาเดินแค่ราวๆห้านาทีเท่านั้น ส่วนสภาพอากาศของวันนี้ก็ดีมากทีเดียว ถึงจะเป็นเวลาสิบเอ็ดโมงกว่าแล้ว แต่แดดก็ยังไม่แรงมาก และที่สำคัญอากาศก็ค่อนข้างเย็นกำลังดีอีกด้วย เหมาะแก่การไปไฮค์จริงๆ แถมยังแสดงให้เห็นว่า ที่พีเคยบอกไว้ว่าหิมะใกล้จะตกนั้นก็ดูท่าทางจะเป็นความจริงด้วยซะแล้ว ไอ้ซันนั้นใส่เสื้อแขนสั้นกับกางเกงยีนส์ ผมเองก็เช่นกัน เพียงแต่ว่าผมมีเสื้อแขนยาวอีกตัวหนึ่งอยู่ข้างใต้เสื้อแขนสั้นนั้นด้วย เราสองคนแบ่งกันแบกกระเป๋าสะพายหลังที่บรรจุอาหารที่ได้มาจากเดฟ น้ำดื่ม น้ำเกลือแร่ และขนมเอาไว้อีกคนละใบ นอกจากนั้นผมก็ยังพกผ้าขนหนู กับเสื้อสเว็ตเตอร์ที่ไม่หนามากติดตัวไปเผื่อไว้ด้วย แต่ที่ทำให้ผมรู้สึกชอบใจมากๆก็คือไอ้ซันที่ใส่หมวกกับแว่นกันแดดและยังมีหูฟังวอร์คแมนคล้องคอเอาไว้อีก เพราะเวลาที่มันแต่งตัวแบบนี้มันหล่อมากจริงๆ ดูยังไงก็ไม่เหมือนคนที่กำลังจะไปเดินฝ่าแดดลุยฝุ่นเลยแม้แต่นิดเดียว แต่เหมือนกับคนกำลังไปเดินแบบมากกว่า สำหรับพีกับไคล์นั้นใส่กางเกงขาสั้นทั้งคู่ แต่ว่าไคล์เลือกที่จะใส่เสื้อบาสแต่ก็เอาเสื้อแขนยาวพันรอบเอวไว้ด้วย ส่วนพีก็ใส่เสื้อยืดแขนยาวสีครีมธรรมดาๆ แต่ก็ยังคงดูดีและเหมาะกับเขามากจริงๆ

ขณะที่เรากำลังเดินลงไปตามทางก็พบกับขี้ของล่อมากมายอย่างที่ไคล์บอกจริงๆ มีทั้งอึทั้งฉี่กระจายเป็นแอ่งๆอยู่เต็มไปหมด แถมกลิ่นก็ยังร้ายกาจมากอีกด้วย นอกจากพวกเราแล้วก็ยังมีนักท่องเที่ยวอีกหลายคนจริงๆที่ทั้งเดินลงและเดินสวนเราขึ้นมา นานๆทีเราก็จะเจอคนที่มีสภาพโทรมแบบสุดๆที่เดินแบกเป้และเต็นท์ขึ้นมาจากด้านล่างผ่านมาบ้าง และมันก็ทำให้พวกเราสามคนนอกจากพีอดรู้สึกทึ่งในสภาพของพวกเขาไม่ได้จริงๆ

เมื่อแรกเริ่มเดินเราทั้งสี่คนก็เดินไปคุยไปและยังถ่ายรูปวิวข้างทางต่างๆไปเรื่อยๆตลอดทาง ซึ่งพีบอกว่ามันอาจจะทำให้เราเสียเวลานิดหน่อยกว่าจะเดินไปจนถึงเป้าหมาย ผมจึงแนะนำให้เรารีบเร่งฝีเท้ามากขึ้น แต่พีก็ปฏิเสธว่าเราไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น เขาบอกว่าเดี๋ยวพอเราเดินกันลงไปเรื่อยๆก็จะรู้เองว่าทำไม จนกระทั่งเราเดินมาได้ประมาณครึ่งชั่วโมง ทางเดินบางส่วนก็ชันมากขึ้นเรื่อยๆและนอกจากนั้นเราทุกคนก็เลิกบ้าถ่ายรูปกันหมดแล้ว เพราะวิวทิวทัศน์ข้างทางมันไม่ค่อยมีอะไรเลยอย่างที่พีบอกจริงๆ

“ผมบอกแล้วไงครับ ว่าอยากจะถ่ายก็ถ่ายไปเถอะ เพราะเดี๋ยวหลังๆก็เลิกถ่ายเองนั่นแหละ” พีหัวเราะเบาๆ

“เหนื่อยกันรึยังเนี่ย จะพักกันก่อนมั๊ย” ผมถาม แต่ทุกคนบอกว่าไม่เหนื่อยและยังไหว เราจึงเดินกันต่อไปเรื่อยๆโดยพยายามไม่ทิ้งระยะห่างให้ไกลกันมากนัก

“อากาศมันแห้งมากนะครับ ตอนปกติแบบนี้จะไม่รู้ตัวหรอก แต่พอกลับขึ้นไปแล้วก็จะรู้ได้เลยล่ะ” พีบอก

“ยังไงล่ะ” ไอ้ซันถาม

“ก็พอผมกลับขึ้นไปผิวผมแห้งแตกหมดเลยครับ ทั้งๆที่อยู่มาหลายวันยังไม่เห็นเป็นอะไร และตอนนี้ทุกคนอาจจะยังไม่ค่อยหิวน้ำกัน แต่ผมแนะนำให้คอยจิบไปเรื่อยๆดีกว่านะครับ ไม่งั้นอาจจะเป็นลมล้มไปได้”

พวกเราจึงทำตามคำแนะนำของพี เพราะเขาเป็นผู้มีประสบการณ์ที่เคยไฮค์มาก่อนถึงสองครั้งนี่นะ หลังจากหยุดนั่งพักข้างทางและถ่ายรูปทิวทัศน์กันสักครู่ พีก็บอกว่าอีกไม่นานก็จะถึงห้องน้ำแล้ว และเป็นเพียงห้องน้ำเดียวที่มีอยู่ด้วย เมื่อเราออกเดินต่อได้ราวสิบนาทีก็มาถึงห้องน้ำอย่างที่พีบอกจริงๆ เราทั้งสี่คนต่างก็แวะทำธุระให้เรียบร้อย นั่งพักกันราวๆห้านาทีจากนั้นก็ออกเดินต่อ

ทางเดินหลังจากห้องน้ำลงไปนี่ก็เริ่มที่จะชันและคดเคี้ยวมากขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด ทางเดินบางช่วงนั้นทั้งหักโค้ง ทั้งวกวนจนราวกับเป็นเขาวงกตที่พาเราเดินอ้อมเขาอีกลูกเลยทีเดียว และพอสังเกตดีๆก็จะเห็นว่าคนที่เราเห็นมากมายเมื่อตอนแรกนั้นเริ่มจะบางตาไปมากแล้วด้วย เราทั้งสี่คนก็ยังคงหยุดแวะถ่ายรูปข้างทางตรงจุดที่คิดว่ามันสวยน่าจะเก็บภาพกลับไปไว้อยู่เรื่อยๆ ส่วนไอ้ซันก็จะคอยเดินอยู่ข้างๆหรือข้างหลังผมเอาไว้ตลอดเวลา และมันยังบอกให้ผมคอยระวังก้าวเดินอยู่เป็นระยะๆด้วย เพราะว่าทางเดินหลายส่วนนั้นจะมีแต่ฝุ่น ทราย และก็หิน ซึ่งหินบางก้อนนั้นจะใหญ่และกลิ้งได้ ถ้าเหยียบพลาด หรือทิ้งน้ำหนักตัวมากเกินไป ก็อาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุข้อเท้าพลิก หรือที่แย่ไปกว่านั้นคืออาจเสียหลักจนตกหน้าผาไปเลยก็ได้

หลังจากผ่านเวลาเริ่มต้นออกเดินทางมาได้ราวๆสองชั่วโมง เราทั้งสี่คนก็มาถึงจุดพักจุดสุดท้าย ที่นี่คือเรสท์เฮาส์ที่เป็นศาลาขนาดเล็กๆและมีก๊อกน้ำไว้บริการด้วย เราทั้งสี่คนเดินเข้าไปนั่งหลบแดดในศาลากันแทบจะทันที

“เหนื่อยมั๊ย ทุกคน” ไคล์ถาม

“พี่ว่าไม่นะ เมื่อยนิดหน่อยแต่ไม่ถึงกับเหนื่อยว่ะ” ไอ้ซันตอบพลางยกขวดน้ำขึ้นกระดก

“กูก็ว่างั้น แต่ว่าอากาศแห้งจริงๆด้วยนะ เหงื่อกูแทบจะไม่ออกเลยสักหยดนะเนี่ย ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม”

“มึงลืมอะไรไปรึเปล่า ไอ้เมฆ” ไอ้ซันพูด จากนั้นก็หันหลังของมันมาให้ผมดู เสื้อที่แผ่นหลังของมันเปียกเหงื่อจนชุ่มไปหมด “มึงน่ะมันเหงื่อออกยาก แต่ดูกูนี่สิ”

“ตอนนี้ยังไม่เท่าไหร่หรอกครับ แต่เดี๋ยวพอขากลับจะรู้สึกเป็นอีกอย่างนึงเลย” พีเดินกลับมาจากไปเติมน้ำที่ด้านหลังศาลาแล้วนั่งลงข้างๆไคล์

“หมายความว่าไงครับ พีท” ไคล์ถามพลางรับขวดน้ำที่พียื่นให้เก็บใส่กระเป๋าสะพาย

พีส่ายหน้าช้าๆ “พูดตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์หรอกครับ เดี๋ยวก็รู้” เขาลุกขึ้นยืนแล้วหยิบเศษขนมที่เรากินเหลือตอนเดินลงมาออกมาจากถุงพลาสติกในกระเป๋าแล้วโยนไปให้กระรอกที่วิ่งมานั่งรออาหารบนพื้น “จริงๆแล้วการให้อาหารสัตว์นี่ผิดกฎหมายนะครับ แต่ก็อดไม่ได้จริงๆ”

“เชี่ย ตัวใหญ่ยังกะแมวแน่ะ” ไอ้ซันพูด “อ้วนชิบหายเลย สงสัยวันๆนึงนี่ไม่รู้มันได้อาหารจากนักท่องเที่ยวกันไปเท่าไหร่มั่ง”

“ข้างล่างน่ะ ยิ่งกว่านี้อีกครับ มันแทบจะขึ้นมานั่งตักเลยล่ะ ไม่มีการกลัวคนเลยแม้แต่นิดเดียว”

“ว่าแต่อีกไกลมั๊ยครับ กว่าจะไปถึงอินเดียน การ์เด็น” ผมถาม

“จากนี่ก็อีกราวๆหนึ่งชั่วโมงครับ ไม่ไกลแล้ว แต่ถ้าเราจะไปให้ถึงพลาโต พ็อยท์เพื่อไปชมวิวที่หน้าผาล่ะก็ ผมว่าเราควรรีบออกเดินจากกันต่อเลยดีกว่าครับ เพราะว่าจากอินเดียน การ์เด็นไปที่นั่น มันน่าจะใช้เวลาอีกราวๆหนึ่งชั่วโมงมั๊ง ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน เพราะไม่เคยไปก็เลยกะเวลาไม่ค่อยถูกน่ะครับ”

ผมดูนาฬิกาข้อมือของตัวเอง ตอนนี้มันเป็นเวลาเกือบจะบ่ายสามแล้ว ผมรีบคำนวณเวลาในสมองอย่างรวดเร็ว ถ้าเอาเวลาที่พีบอกมาบวกรวมๆกันทั้งหมดแล้ว กว่าเราจะกลับขึ้นไปถึงด้านบนก็คงเป็นเวลาประมาณสามทุ่มเลยทีเดียว

“หวังว่าไปถึงด้านล่างนั่นแล้วจะคุ้มเหนื่อยนะ” ไอ้ซันพูดขึ้นก่อนจะลุกขึ้นยืน

เราสี่คนออกเดินต่อไปเรื่อยๆ และอย่างที่พีบอกจริงๆ ช่วงทางเดินคดเคี้ยวตรงส่วนที่เพิ่งเลยจากเรสท์เฮาส์มานี่มันชันมากจริงๆ แต่พอเลยส่วนที่ชันที่สุดมาแล้ว ทางเดินก็เริ่มเรียบและเดินง่ายมากขึ้น ไม่ต้องคอยยั้งเท้าระวังน้ำหนักตัวมากเหมือนเมื่อตอนแรกๆ แต่พอผมเงยหน้ากลับขึ้นไปดูจากจุดเริ่มต้นที่เราเดินมา ผมแทบไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆว่าเราจะสามารถเดินลงมาไกลได้ถึงขนาดนี้

เมื่อเราเดินมาจนถึงบริเวณพื้นราบ ซึ่งผมคิดว่ามันแสดงว่าน่าจะใกล้ถึงอินเดียน การ์เด็นเต็มทีแล้ว เราก็เดินผ่านป่ากระบองเพชรที่ตั้งอยู่เรียงรายริมข้างทาง ซึ่งนับเป็นทิวทัศน์ที่แปลกตาไปจากที่เราเดินผ่านกันมาตลอดสามชั่วโมงมากทีเดียว จริงอยู่ที่ข้างทางที่เราเดินผ่านกันมามันก็มีหญ้ามีต้นไม้ขึ้นอยู่บ้างเป็นเรื่องธรรมดา แต่เราก็ไม่เคยเห็นกระบองเพชรขึ้นจนแน่นเต็มไปหมดแบบนี้เลยจริงๆ จนกระทั่งไคล์เป็นคนแรกที่สังเกตเห็นธงชาติอเมริกาโบกสะบัดอยู่ไม่ไกล

“แปลว่าใกล้แล้วใช่มั๊ยครับ พีท”

“ใกล้แล้วครับ นี่ไง ทุกคนลองตั้งใจฟังดูดีๆสิ” พีบอก พวกเราจึงลองเงี่ยหูฟังอย่างที่เขาแนะนำ และสิ่งที่ผมได้ยินก็คือเสียงนกร้อง เสียงน้ำไหล และเสียงสายลมที่พัดลู่กับยอดไม้ มันช่างเป็นเสียงที่ไพเราะมากจริงๆเมื่อเทียบกับการเดินผจญความแห้งแล้งตลอดสามชั่วโมงของเราที่ผ่านมา



ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page


เมื่อมองจากด้านบน กระจุกเขียวๆนั่นล่ะ เป้าหมายแรก
ส่วนที่เดินเลยไปจนถึงมุมยอดนั่นเลยคือเป้าหมายที่สอง




เหม็นยังไม่พอ ยังต้องคอยหลีกทางให้เป็นระยะๆอีกต่างหาก




อีกมุมหนึ่งของ "ด้านบน" เมื่อมองจาก "ด้านล่าง"




พอเงยหน้าขึ้นไปมองแล้วก็ต๊กกะใจ !! กี๊ดดดด กุจะเดินกลับไหวมั๊ยนี่




จะถึง เรสท์เฮาส์ แล้ววว ขวามือบนๆ เห็นกันป่าว






เมื่อมองลงมาจากเรสท์เฮาส์......... โอย แม่จ้าววว เหนื่อยยย




เจ้าแห่งภูเขา สัตว์ที่ดุร้ายที่สุดในแกรนด์ แคนยอน  :m29:

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page


อินเดียน การ์เด็น




เมื่อเดินเลยออกมานิดหน่อย










เดินไป พลาโต พ็อยท์ ไปดูแม่น้ำโคโลราโด


ปล. ผมคัดๆเลือกๆย่อๆรูปมานะคับ ชัดมั่งไม่ชัดมั่ง หรืออาจจะน้อยไปหน่อย
อย่าว่ากันหนา แค่อยากให้เห็นภาพโดยรวม  o14

ปล.จ๋อง จะจบแล้วนะค้าบ เลยขอแปะสองตอนรวดเลยแล้วกัน

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-10-2007 12:17:31 โดย ExecutioneR »

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนที่ 49


เราทุกคนต่างก็ตื่นเต้นมากเมื่อเริมเดินเข้าใกล้หมู่ต้นไม้สีเขียวต้นใหญ่หลายต้นนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ ที่นี่ก็คืออินเดียน การ์เด็น ซึ่งก็คือกระจุกป่าสี่เขียวเล็กๆเมื่อเรามองลงมาจากทางด้านบนนั่นเอง หลังจากการเดินทางที่เห็นแต่หิน ดิน ทราย และต้นหญ้ามานาน ในที่สุดการได้เห็นต้นไม้ต้นใหญ่ๆที่ไม่ใช่ต้นสนเหมือนด้านบนนั้นขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น เขียวครึ้ม บวกกับมีเสียงนก เสียงน้ำ และเสียงลมทั้งหมดนี้ มันทำให้เรารู้สึกดีใจ ประทับใจ และตื่นเต้นมากจริงๆ

“เฮ้ออออออออออ” ไอ้ซันถอนหายใจเสียงดังและเหยียดขาวางลงบนม้านั่งเมื่อพีพาเรามาถึงที่หมายแล้ว เราทั้งสี่คนนั่งลงบนโต๊ะปิกนิกใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง นอกจากพวกเราแล้ว รอบข้างก็ยังมีนักท่องเที่ยวคนอื่นๆเดินและนั่งพักผ่อนกันอยู่อีกหลายคนด้วย แต่ก็ไม่หลายคนเกินไปจนเสียงดังและอึกทึก ทุกคนต่างก็นั่งพักผ่อน นอนหลับ หรือทานอาหารของตัวเองกันอยู่เงียบๆ โดยรวมแล้วช่างเป็นบรรยากาศที่เงียบสงบและสวยงามมากจริงๆ

“เหนื่อยแล้วใช่มั๊ยล่ะ” ผมหัวเราะเบาๆ

“มันบอกไม่ถูกว่ะ มึงคิดว่าไงอ่ะ”

“กูเมื่อยนะ แต่ก็ยังไม่เหนื่อยอยู่ดีนั่นแหละ คือ มันก็เหนื่อยนิดหน่อยว่ะ พอให้หอบ แต่ไม่เหมือนกับตอนออกกำลังหรือตอนเล่นกีฬา และถ้าเป็นแบบนี้กูว่ามันคงไม่มีปัญหาอะไรเท่าไหร่ แล้วไคล์ล่ะ เป็นไงมั่ง” ผมหันไปถามไคล์ขณะที่หยิบน้ำและขนมออกมาวางไว้บนโต๊ะด้วย

“ผมก็เหมือนกันครับ ไม่แย่เท่าไหร่”

“นั่นเป็นเพราะเราเดินลงเขาไงครับ แต่อย่าประมาทนะครับ แล้วก็ถ้าเราคิดจะเดินไปพลาโต พ็อยท์อีกล่ะก็ ผมว่าเราไม่ควรพักกันนานเกินไปด้วย” พีพูด และบอกให้ไคล์นั่งเหยียดขาออกมาแบบที่ซันทำเพื่อกันการเป็นตะคริว

“แต่ที่นี่ร่มรื่นดีจริงๆนะ ลมก็เย็นดีด้วย” ผมพูด

“ใช่ ถ้าได้แบบนี้ก็ยังโอเคหน่อย เออจริงสิ ที่นี่มีตั้งแคมป์ค้างคืนได้ด้วยนี่ ตอนเดินมาเมื่อกี๊เห็นมีป้ายชี้บอกว่าส่วนตั้งแคมป์ให้เลี้ยวไปทางซ้าย”

“ใช่ครับ ผมเองก็เคยคิดอยากมาเหมือนกัน เพราะที่นี่มันสวย ร่มรื่น แล้วก็สงบดีจริงๆ” พีบอก

เราทั้งสี่คนนั่งพักและกินอาหารกันนิดหน่อยเพื่อไม่ให้จุกจนเกินไปแล้วก็เก็บกระเป๋าและออกเดินกันต่อ เส้นทางที่เราเดินต่อจากนี้ จะพาเราเดินออกจากหมู่ไม้อันร่มรื่นและต้องเดินผ่านทะเลทราย “ของจริง” ไปอีกเป็นระยะทางหนึ่งไมล์ครึ่ง เมื่อตอนที่มองมาจากทางด้านบนนั้น พื้นที่บริเวณนี้ก็ดูราบเรียบและดูจะเดินได้อย่างไม่มีปัญหาอะไรอยู่หรอก แต่พอลองได้มาสัมผัสกับตัวเข้าจริงๆ ต้องยอมรับเลยว่ามันเดินยากยิ่งกว่าตอนลงเขามาเมื่อครู่เสียอีก ทั้งพื้นที่เป็นทรายล้วนๆ ทางเดินที่คดเคี้ยว และต้องเดินอ้อมหรือเดินผ่านขึ้นและลงเนินลูกเล็กๆมากมาย เส้นทางที่ยาวออกไปจนดูเหมือนกับไม่มีที่สิ้นสุด และยังความแห้งแล้งและความรุนแรงของแสงแดดที่ทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจจริงๆ ถึงด้านบนอากาศจะค่อนข้างหนาว แต่ด้านล่างนี่มันร้อนกว่าที่คิดไว้ไม่น้อยเลยจริงๆ โดยเฉพาะหลังจากที่เราเดินกันมาสามชั่วโมงและนั่งพักไปอีกครึ่งชั่วโมงแล้ว ผมถึงเข้าใจว่าที่พีพูดว่าเราไม่ควรนั่งพักนานเกินไปนั้นมันหมายความว่ายังไง เพราะเมื่อเราได้นั่งพักกันมาครั้งนึงแล้ว พอต้องมาออกเดินไกลๆในเส้นทางโหดๆแบบนี้แล้ว มันเหนื่อยมากกว่าปกติขึ้นกว่าสองเท่าเลยทีเดียว

ผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมง จนผมเริ่มรู้สึกถึงเหงื่อที่ไหลออกมาตามส่วนต่างๆของร่างกายมากขึ้น เราก็มาถึงเป้าหมายสักที ก่อนที่จะถึงจุดชมวิว เราก็แวะล้างหน้าล้างตาและเติมน้ำที่แท็งค์น้ำขนาดใหญ่ที่ถูกตั้งไว้บริการนักท่องเที่ยวอยู่กันจนเต็มที่ก่อน และเมื่อเราต่างก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมากแล้ว เราก็เดินไปชมวิวตรงบริเวณริมหน้าผากันทันที

“โอ้โห สุดยอดเลย” ผมร้องออกมาเมื่อชะโงกหน้ามองลงไปยังเบื้องล่างหน้าผาสูงและเห็นกระแสน้ำที่ไหลอย่างเชี่ยวกราดของแม่น้ำโคโลราโดอันลือชื่อ เป้าหมายที่นักไฮค์ทุกคนอยากจะลงไปสัมผัส

“นี่ ตรงนี้มันไม่มีรั้วกั้นนะมึง ไอ้เมฆ เกิดตกลงไป ตายแบบไม่ต้องสงสัยแน่ๆ” ไอ้ซันเดินมาจับหลังของผมเอาไว้

พวกเราสี่คนเดินชมวิวและถ่ายรูปเล่นกันอยู่พักหนึ่งจึงตัดสินใจกลับกัน เพราะนอกจากการถ่ายรูปท้าความกล้าโดยแข่งกันไปยืนอยู่กันที่ริมหน้าผาแล้วก็ไม่มีอะไรให้เราทำกันอีก พวกเราจึงลงความเห็นว่ากลับไปนั่งพักอยู่ใต้เงาไม้ร่มๆที่อินเดียน การ์เด็นกันน่าจะดีกว่า และขาเดินกลับนั้นก็ยิ่งยากลำบากกว่าตอนเดินมาเสียอีก เราทั้งสี่คนต่างก็เริ่มที่จะรู้สึกเหนื่อยและล้ามากกว่าก่อนหน้านี้ขึ้นมาก จนกระทั่งเรากลับมานั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิมแล้ว พวกเราก็เรียกได้ว่าแทบจะหมดแรงกันเลยทีเดียว มีเพียงพีเท่านั้นที่ยังคงดูสดชื่นกว่าคนอื่นๆหน่อย

“จะเรียกว่าผมชินแล้วก็ได้มั๊งครับ ก็ไฮค์ครั้งที่สามแล้วนี่” พีตอบหลังจากที่ผมถามออกไป

“เฮ้ย เมฆ....... กูสารภาพแบบไม่อายเลยนะ” ไอ้ซันพูดขึ้น “กูไม่อยากนึกถึงตอนเดินกลับขึ้นไปข้างบนนั้นเลยว่ะ” มันชี้ไปยังทิศทางที่เราเดินลงมาจากทางด้านบนแล้วทำหน้าเบ้

“มึงก็อย่าไปมองมันสิ” ผมเงยหน้ามองตามนิ้วของมันไปแล้วก็อดใจหายเหมือนกันไม่ได้จริงๆ ต้นสนที่สูงกว่าตึกสี่ชั้น เมื่อมองจากตรงนี้มันมีขนาดเล็กลงจนเหลือแค่เพียงพอๆกับหนึ่งในห้าของขนตาเท่านั้นเอง “แล้วก็เดินกลับอีกสี่ชั่วโมง...........”

“ไอ้เมฆ ไหนมึงบอกว่าอย่าไปมองมันไง” ไอ้ซันเคาะหัวผมเบาๆ “โดยเฉพาะห้ามพูดถึงเรื่องเวลาที่จะต้องใช้เดินกลับอีกเด็ดขาด เข้าใจมั๊ย”

“ขากลับมันจะยากหน่อยนะครับ แต่เราก็สามารถทำเวลาได้ เพราะงั้น คือ พยายามทำตามอย่างที่ผมบอกให้ได้นะครับ แต่ว่าถ้าไม่ไหวหรือรู้สึกไม่ดีขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ให้รีบบอกด้วยเลย เพราะถ้าเกิดเป็นตะคริวหรืออะไรขึ้นมากลางทางล่ะก็ แย่แน่” พีบอก และพวกเราทุกคนก็พร้อมยินดีที่จะทำตามที่เขาพูดทุกอย่าง

หลังจากเวลาหนึ่งชั่วโมงของการนั่งพัก พูดคุย กินขนม และเล่นกับกระรอกจนพอใจแล้ว เราก็เตรียมตัวเดินกลับขึ้นข้างบนกันอีกครั้งทันที และก็เป็นอย่างที่พีพูดเอาไว้อีกแล้ว แค่เราก้าวขาเดินพ้นออกมาจากเหล่าแมกไม้สีเขียวนั่นมาจนถึงบริเวณต้นกระบองเพชรที่ไคล์มองเห็นธงชาติเมื่อครั้งแรก พวกเราก็หมดแรงกันจนแทบก้าวขาไม่ออกกันเลยทีเดียว

“นี่กูเป็นคนเดียวรึเปล่าวะ ที่เหนื่อยและเมื่อยโคตรๆเลยเนี่ย” ผมหยุดพักเพราะไม่สามารถก้าวขาได้อีกต่อไปแล้ว “ทั้งๆที่เพิ่งจะเดินมาได้แค่ห้านาทีเองนะ”

“กูก็เหมือนกัน” ไอ้ซันตอบ

“ผมก็ด้วยครับ ไม่น่าเชื่อเลยนะเนี่ยว่ามันจะทรมานขนาดนี้” ไคล์เห็นด้วย จากนั้นก็ทิ้งตัวนั่งลงบนก้อนกินก้อนใหญ่ริมทาง

“อย่าเพิ่งนั่งนะครับ” พีรีบบอก “หยุดพักได้แต่อย่าเพิ่งนั่งนะ ไคล์ ทนอีกนิดนะครับ ช่วงนี้แหละที่จะยากที่สุด แต่เดี๋ยวก็ดีขึ้นครับ เอาไว้ผมจะบอกเองว่าถึงช่วงไหนที่เราควรจะนั่งพักได้แล้ว ช่วยทนไปอีกสักราวๆสิบหรือสิบห้านาทีนะครับ”

เวลาแค่สิบห้านาทีมันฟังดูไม่เท่าไหร่จริงๆ แต่ในขณะที่กำลังเดินไฮค์ขึ้นเขาอยู่แบบนี้ สิบห้านาทีนี่มันยาวนานราวกับชั่วชีวิตเลยทีเดียว ทั้งผมและซันต่างก็เคยเล่นกีฬา เคยวิ่ง และเคยกระโดดกันแบบสุดๆมาแล้ว แต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่ทำให้เรารู้สึกเหนื่อยได้มากถึงขนาดนี้

“นี่ขนาดยังไม่ถึงช่วงที่ขึ้นแบบชันๆนะ” ไอ้ซันพูด “มึงแบกกระเป๋าไหวมั๊ย เมฆ”

“ไหวๆ อาหารก็กินไปแล้ว มันเลยเบาลงเยอะ”

“แล้วเท้ากับเข่าล่ะ ไหวรึเปล่า”

“ไหว ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้าเจ็บเมื่อไหร่เดี๋ยวกูบอกมึงเอง”

“เออ ดีแล้ว มึงอย่าฝืนนะ”

“อืมม ไม่ต้องห่วงหรอก ขอบใจมาก ว่าแต่มึงเถอะ ลมแรงๆอากาศก็เริ่มเย็นลงแบบนี้แล้วเนี่ย จะเอาเสื้อรึเปล่า”

“ไม่หรอก ไม่ถึงขนาดนั้น แต่ดูๆแล้วมึงนี่เหงื่อแทบไม่ออกเลยนะ ไม่อึดอัดแย่เหรอวะ”

“ก็นิดหน่อยมั๊ง ไม่รู้สิ กูชินแล้วว่ะ เหงื่อกูมันออกยาก โดยเฉพาะอากาศแห้งๆลมแรงๆแบบนี้ พอเหงื่อออกปุ๊บมันก็ระเหยไปหมดแทบจะทันทีแล้วว่ะ”

“เดี๋ยวเราไปพักกันตรงหัวโค้งหน้านี้ก็แล้วกันนะครับ” พีที่เดินนำอยู่หน้าสุดหันมาบอกพวกเรา เมื่อเราทั้งสี่คนทิ้งตัวลงนั่งลงริมทางแล้ว พีก็หันไปก้มมองดูขาของไคล์ทันที “ไหวมั๊ยครับ ผมว่าคุณเอาเสื้อมาใส่ดีกว่านะ ไคล์ เดี๋ยวมันจะหนาว แถมตอนนี้ก็เริ่มมืดลงแล้วด้วย”

ไคล์ยิ้มรับแล้วก็ชะโงกหน้าไปหอมแก้มพีเบาๆ เห็นแล้วมันก็อดรู้สึกอิจฉานิดๆไม่ได้จริงๆนะเนี่ย

“เมฆ กูหนาวแล้ว เอาเสื้อมาใส่ให้กูมั่งดิ๊” เมื่อไอ้ซันเห็นเขาทำแบบนั้นมันก็หันมาบอกผมบ้าง แต่ทำไมมันถึงได้ไม่มีความรู้สึกโรแมนติกแบบอีกคู่ที่อยู่ตรงหน้านี้เลยแม้แต่นิดเดียวนะ

“อ่ะนี่ครับ ที่รัก ห่มซะนะ เดี๋ยวจะหนาวแล้วไข่มันจะหด” ผมหยิบเสื้อออกมาจากกระเป๋าแล้ววางพาดลงบนบ่าของไอ้ซัน

“ดีมากกก มานี่มา ขอจุ๊บทีนึง”

พอผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ไอ้ซันก็จุ๊บผมจริงๆ แต่เป็นจุ๊บที่ปลายจมูกแทน

หลังจากที่เราลุกขึ้นเดินต่ออีกครั้ง คราวนี้เราแทบจะไม่มีเสียงหัวเราะหรือการพูดจากันอีกเลยตลอดเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงจนเรากลับขึ้นมาถึงที่เรสท์เฮาส์อีกครั้ง จากตรงนี้ไปอย่างเร็วก็คือใช้เวลาอีกประมาณสองชั่วโมงถึงจะกลับขึ้นไปถึงด้านบน แต่ว่าขาของผมมันก็เริ่มร้องอุทธรณ์แล้วเหมือนกัน โดยเฉพาะที่บริเวณหัวเข่าข้างขวา ผมรู้สึกว่ามันเริ่มจะเจ็บเหมือนเมื่อตอนที่ผมเคยเจ็บอีกครั้งแล้ว ถึงจะยังไม่มากเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ใช่สัญญาณที่ดีเลยจริงๆ ซึ่งนั่นก็คงเป็นเพราะเวลาเดินขึ้นเขานั้นมันต้องใช้กำลังและใช้หัวเข่ามากกว่าตอนเดินลงมานี่เอง

“ไหวมั๊ย เมฆ เจ็บขารึเปล่า” ไอ้ซันถามผมอีกครั้ง

“ไม่เจ็บๆ ยังโอเคอยู่” ผมโกหกออกไปเพราะไม่อยากให้มันต้องเป็นห่วง เนื่องจากยังเหลือระยะทางที่ต้องเดินขึ้นไปอีกถึงสองในสามทีเดียว

“ยื่นขามานี่” ไอ้ซันออกคำสั่งแล้วก็จับขาของผมเหยียดออกไป จากนั้นมันก็เริ่มออกแรงนวดให้ผมเบาๆ

เมื่อผมมองหน้าของมันที่เต็มไปด้วยเหงื่อและกำลังก้มมองดูขาของผมอย่างตั้งใจอยู่นั้น ผมก็เกิดความรู้สึกทั้งรักและขอบคุณมันขึ้นมาเต็มภายในอกจริงๆ และในขณะเดียวกันก็รู้สึกผิดที่โกหกมันไปเมื่อครู่นี้ด้วย แต่ว่าผมรู้ตัวดีว่าผมยังไหวอยู่ ผมจะไม่ฝืนตัวเองหรอก ถ้าผมไม่ไหวขึ้นมาผมก็จะบอกมันไปตามความเป็นจริง แต่ตอนนี้ผมยังไม่อยากให้มันกังวลจนเกินเหตุไปก่อนเด็ดขาด เพราะถ้าผมบอกว่าผมเจ็บขาขึ้นมาเมื่อไหร่ ไอ้ซันเองนั่นแหละที่จะต้องเป็นฝ่ายฝืนตัวเองแทนเพื่อช่วยผม

“เฮ้ย ดูนั่นดิ่” ผมได้ยินเสียงดังแซ่กมาจากทางพุ่มไม้ด้านหลังของศาลาจึงรีบฉายไฟฉายไปยังบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว ทั้งไคล์ พี แล้วซันก็หันตามไปทันทีเช่นกัน “กวางว่ะ หลายตัวเลยด้วย”

“พอตกค่ำๆแบบนี้ พวกกวางพวกสัตว์มันก็ออกมาหากินกันน่ะครับ โดยเฉพาะกวางกับเอลค์ ที่ด้านบนนี่มีเยอะเลย” พีอธิบาย

“ไม่ใช่กวางธรรมดาๆด้วยนะ มึงดูสิ” ไอ้ซันชี้ไปที่ฝูงกวางป่าสี่ห้าตัวที่กำลังเล็มหญ้าอยู่อย่างสบายอารมณ์

“ไม่ใช่กวางธรรมดาๆยังไงวะ” ผมถาม

“ก็นั่นไง....... กวางเหลียวหลังซะด้วย”

ผมกับพีระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเพราะมุขใต้สะดือของไอ้ซัน มีแต่ไคล์คนเดียวเท่านั้นที่ไม่เข้าใจ เขาพยายามถามพีหลายต่อหลายหนว่ามันหมายความว่ายังไง แต่พีก็ไม่ยอมบอก รวมทั้งผมที่กำชับไอ้ซันไม่ให้บอกไคล์อีกด้วย

“เดี๋ยวพีก็ไปสอนภาคปฏิบัติให้เองนั่นแหละ” ไอ้ซันหัวเราะ ทำเอาพีหน้าแดงและไคล์ก็ยิ่งงงมากขึ้นไปอีก

และอีกครั้งที่เราลุกขึ้นเดินต่อ เพียงแค่เดินออกมาจากเรสท์ เฮาส์ได้ห้านาทีผมก็หอบหนักแล้ว บางช่วงของทางเดินนั้นจะทำเป็นลักษณะของขั้นบันได ซึ่งก็สูงแค่ราวๆคืบหนึ่งเท่านั้น ทั้งๆที่ตอนขาเดินลงเราแทบไม่ได้สังเกตเลย แต่พอเดินขึ้นแบบนี้ จะยกขาขึ้นก้าวข้ามมันแต่ละก้าวนี่มันช่างแสนสาหัสจริงๆ และถ้ามีคนบอกว่าการเดินขึ้นภูกระดึงนั้นโหดสุดๆและเป็นการพิสูจน์รักแท้ ผมก็ขอบอกเลยว่าการเดินขึ้นแกรนด์ แคนยอนนี่ก็ไม่แพ้กันเลยจริงๆ เผลอๆอาจจะโหดกว่าด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเรื่องเส้นทาง สภาพอากาศ และสภาพภูมิประเทศที่พวกเราไม่ชิน และผมก็รู้สึกดีมากจริงๆ ที่พวกเราทั้งสี่คนนั้นคอยห่วงใย เดินรอ และสอบถามสภาพร่างกายของกันและกันเป็นระยะๆอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะคู่ของซันกับผม และคู่ของไคล์กับพีก็จะต่างคนต่างดูแลคนรักของกันและกันเป็นอย่างดี และไม่ว่ายังไงหรือเมื่อไหร่ พีเองก็เป็นคนเดียวที่ในหมู่พวกเรายังคงดูมีสภาพที่ดีที่สุด เขาคอยบอกเราว่าเราควรจะพักนานเท่าไหร่และควรจะพักตรงไหนอยู่ตลอดเวลา เพราะถ้าเสียเวลาพักมากเกินไปหรือพักบ่อยเกินไปก็จะทำให้เสียเวลาและทำให้ร่างกายมันล้าจนลุกขึ้นมาเดินต่อไม่ไหวด้วย

“อีกราวๆสิบนาทีก็น่าจะถึงห้องน้ำแล้วครับ” พีหันกลับมาบอกพวกเรา “ยังไหวอยู่ใช่มั๊ยครับ”

“ยังสบายดีอยู่ครับ ว่าแต่พีเหอะ ไม่เหนื่อยมั่งเลยเหรอ” ผมถาม

“เหนื่อยสิครับ แต่ยังพอไหวอยู่ และที่สำคัญ มันเป็นเพราะว่าผมพอจำทางได้มั๊งครับ มันก็เลยพอรู้ว่าควรจะคาดหวังหรือไม่คาดหวังอะไรบ้าง”

“นั่นสินะ...... เพราะพี่รู้สึกว่าการไฮค์แบบนี้นี่มันวัดใจมากจริงๆเลยว่ะ ถ้าไม่มีพีคอยบอกทางคอยบอกว่าอีกนานแค่ไหนถึงตรงไหนล่ะก็ กูคงรู้สึกสิ้นหวังกว่านี้แน่ๆเลย”

“ทำไมพูดจาอ่อนแอแบบนั้นล่ะวะ ไอ้เมฆ ไม่สมกับเป็นมึงเลยนะ”

“ค้าบบบ แล้วมึงไม่เหนื่อยมั่งรึไง ไอ้แสบเอ๊ยย”

“แหะ เหนื่อยดิ่ เหนื่อยเหี้ยๆเลยด้วย สงสัยกลับขึ้นไปถึงข้างบนกูหลับเป็นตายแน่ๆ”

“ฟังดูดีสำหรับศิลานะครับ เพราะแบบนี้ศิลาก็คงไม่ต้องเหนื่อยไปอีกหนึ่งคืน” ไคล์หันมาแหย่พวกเราและช่วยทำให้พวกเราหัวเราะกันได้อีกครั้ง

“มันเป็นเรื่องธรรมดานะครับถ้าจะรู้สึกไม่ไหวกัน เพราะตอนแรกที่พวกผมมาไฮค์กัน เพื่อนผมคนนึงที่เป็นนักกีฬามาตลอดตอนมอปลาย พอเดินขึ้นแบบนี้นี่ยังบ่นว่าจะตายๆอยู่หลายรอบเลย....... และที่แน่ๆคือวันรุ่งขึ้นมีปวดกันไปอีกหลายวันเลยล่ะ” พีเล่าให้พวกเราฟังถึงการไฮค์ครั้งแรกของเขากับเพื่อนๆ

หลังจากที่เราหยุดพักกันที่ห้องน้ำประมาณห้านาทีแล้ว พวกเราก็ออกเดินกันต่อ ตอนนี้รอบตัวของเรานั้นมืดสนิทหมดแล้ว อากาศก็เริ่มหนาวมากด้วยเช่นกัน โชคดีที่เรามีไฟฉายติดตัวมาด้วยสองกระบอกจึงแบ่งกันไปคู่ละหนึ่งกระบอกได้พอดี แต่ถึงอย่างนั้น เราทั้งสี่คนก็แทบจะเดินห่างกันไม่เกินสามเมตรเลย

“ระวังหินแถวนี้ด้วยนะครับ มันกลิ้งได้” พีที่เดินนำอยู่หน้าสุดเตือน

ผมที่ถือไฟฉายส่องทางอยู่ก็คอยฉายแสงไปบนพื้นเพื่อให้ไอ้ซันเดินได้สะดวกๆ และผมก็คงมัวแต่ห่วงทางเดินของมันมากเกินไป จนกระทั่งผมเองที่เป็นฝ่ายเหยียบก้อนหินพลาดและล้มลง

“ไอ้เมฆ!!” ไอ้ซันร้องและรีบเข้ามาประคองผมทันที

“แม่งเอ๊ยยยย” ผมร้องอย่างเจ็บปวดที่ข้อเท้าของตัวเอง “ตอนล้มเมื่อกี๊ข้อเท้ามันพลิกเข้าจังๆเลยว่ะ”

ทั้งไคล์และพีต่างก็รีบเดินมาดูอาการของผมเช่นกัน

“เป็นอะไรรึเปล่าครับ” พีถาม

“พีท จากตรงนี้ไปเหลือระยะทางอีกไกลมั๊ยครับ”

“ก็ราวๆสี่สิบนาทีน่ะครับ แต่พี่เมฆลุกขึ้นไหวรึเปล่าครับเนี่ย”

ผมค่อยๆลุกขึ้นยืนช้าๆและไอ้ซันก็คอยประคองผมเอาไว้ด้วย “ช้าๆ เมฆ ไม่ต้องฝืน”

“ไม่เป็นไร กูยังไหว” ผมค่อยๆวางเท้าข้างที่เจ็บลงบนพื้นช้าๆแล้วก็ค่อยๆออกแรงทิ้งน้ำหนักตัวลงไปทีละน้อย “ไม่เจ็บเท่าไหร่ว่ะ น่าจะโอเคนะ”

“มึงแน่ใจนะว่าข้อเท้าไม่เป็นอะไร”

“อืม แน่ใจ ยังเดินไหวสบายมาก ไม่มีปัญหาอะไร ไม่ต้องห่วง”

“โอเคครับ งั้นเราก็ไปต่อกันเถอะ เดี๋ยวมันจะดึกเกินไป พี่เมฆครับ ถ้าไม่ไหวพี่ก็อย่าฝืนนะ....... เอางี้ดีกว่า พี่เอากระเป๋ามาให้ผมช่วยถือก็แล้วกันนะครับ มันจะได้ไม่หนักมาก”

“ไม่เป็นไร พี พี่ยังไหว ขอบใจมากครับ ถ้าไม่ไหวเมื่อไหร่เดี๋ยวพี่บอกเองแล้วกัน ไปกันต่อเถอะ เดี๋ยวมันจะมืดเกินอย่างที่เราบอกจริงๆ”

เราสี่คนเริ่มต้นออกเดินกันต่ออีกครั้ง และไคล์กับพีก็ยังคงเดินนำหน้าเราอยู่เช่นเคย

“มึงส่งกระเป๋ามา” ไอ้ซันพูดกับผมจนเกือบเหมือนจะเป็นการออกคำสั่ง

“กูบอกกูยังไหวไง” ผมยืนกราน

“มึงเจ็บเข่าใช่มั๊ย”

ผมรู้สึกใจหายวาบขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินไอ้ซันพูดอย่างนั้น และที่สำคัญกว่าก็คือน้ำเสียงของมันที่พูดออกมาต่างหาก มันเป็นน้ำเสียงที่แสดงความไม่พอใจออกมาจริงๆ “กูไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ มึงไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” ผมหันไปยิ้มให้กับมัน

“ตั้งแต่เมื่อไหร่” ไอ้ซันยังคงถามเสียงแข็ง

“มึงหมายความว่ายังไง”

“กูถามว่าตั้งแต่เมื่อไหร่แล้ว”

ผมก้มหน้าเล็กน้อยเพราะไม่กล้าสบตากับมัน “ตั้งแต่ตอนอยู่ที่เรสท์เฮาส์แล้ว....... แต่ตอนนี้กูไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ มันก็แค่ลั่นๆแปล๊บๆนิดหน่อยเท่านั้นเอง ไม่ได้เป็นอะไรมากขนาดนั้นหรอก” ผมเงยหน้าขึ้นไปสบตากับมันอีกครั้ง

ไอ้ซันเดินนำหน้าและมาหยุดยืนขวางอยู่ตรงหน้าของผม ตอนแรกผมคิดว่ามันจะว่าหรือโกรธใส่ผมเสียอีก แต่ผมกลับคิดผิดหมดทุกอย่างเมื่อไอ้ซันใช้มือทั้งสองข้างวางลงบนบ่าของผมทำให้ผมต้องมองตรงเข้าไปในดวงตาของมัน

“ถ้ามึงเกิดเจ็บหนักไป........ แล้วกูจะทำยังไง เมฆ” มันพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยนและเป็นห่วงเป็นใยอย่างที่สุด มันเป็นน้ำเสียงที่ทำให้ผมเกือบจะต้องร้องไห้ออกมาเพราะความรู้สึกผิดเลยทีเดียว

“กูขอโทษ...... กูแค่คิดว่ากูไม่เป็นอะไรจริงๆเท่านั้นเอง”

“ส่งกระเป๋ามาซะ กูถือไหวน่า มึงไม่ต้องห่วงหรอก” ไอ้ซันยื่นมือมาแกะสายสะพายลงจากบ่าของผม ผมจึงปล่อยให้มันดึงกระเป๋าออกไป

“แบ่งมาให้กูด้วยนะ ถ้ามึงเมื่อยน่ะ กูรู้ว่าตอนนี้มึงเองก็เหนื่อยมากแล้วเหมือนกัน” ผมพูดขณะที่เราออกเดินกันต่อ

“อืมมม ถ้ากูไม่ไหวเดี๋ยวกูบอกเอง”

“แล้ว....... มึงรู้ได้ยังไงว่ากูเจ็บเข่า” ผมถาม

“กูเดินอยู่ข้างหลังมึงนะ กูก็เห็นสิว่าเวลามึงเดินขึ้นเนินหรือขึ้นขั้นบันได มึงจะใช้แต่ขาซ้ายเป็นหลักตลอด เพราะงั้นเมื่อกี๊มึงถึงได้เหยียบก้อนหินพลาดด้วยขาซ้ายไง”

ผมถึงกับอึ้งไปเลยอีกครั้ง นี่ไอ้ซันมันคอยสังเกตผมมากถึงขนาดนี้เลยหรือ........

“กูขอโทษ ซัน” ผมไม่รู้จะพูดอะไรออกไปได้มากกว่าคำๆนี้อีกแล้ว ผมไม่สามารถพูดคำอื่นได้นอกจากคำว่าขอโทษที่ผมต้องทำให้มันเป็นห่วงและคอยระวังผมอยู่มากขนาดนี้

“ช่างมันเถอะ มึงจะขอโทษทำไม....... คราวหลังมีอะไรก็บอกกู เข้าใจมั๊ย อย่ามัวแต่ปิดบังเพราะกลัวว่ากูจะต้องเป็นห่วงอีก เพราะถ้ามึงมีอะไรแล้วไม่บอกกูน่ะ มันยิ่งจะทำให้กูไม่สบายใจและไม่ชอบใจมากขึ้นไปอีกด้วยซ้ำ รู้รึเปล่า กูไม่อยากต้องมารู้สึกเสียใจและเสียอารมณ์ทีหลังนะเว้ย แล้วก็........ กูก็ขอบใจมึงมากด้วย ที่อุตส่าห์คอยส่องทางให้กูตลอดจนมึงต้องมาเป็นฝ่ายล้มไปเองแบบนี้.......” ถึงผมจะมองหน้ามันไม่ชัด แต่ผมก็รู้สึกได้เลยว่ามันกำลังเขินอยู่ และนี่ก็ทำให้ผมต้องยิ้มกว้างออกมาอย่างห้ามตัวเองไม่ได้

ตลอดเส้นทางที่เหลือนี่นับเป็นหายนะสำหรับพวกเราทุกคนอย่างแท้จริง ทั้งความชันของเส้นทางและกำลังใจหลอกๆที่คอยบอกว่า “โค้งหน้าก็จะถึงแล้วๆ” แต่ความเป็นจริงก็คือการได้เห็นเส้นทางคดเคี้ยวเบื้องหน้าที่ดูทอดยาวขึ้นไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด นี่เองที่คือความหมายของสิ่งที่พีบอกเอาไว้ว่ามันเป็นอะไรที่เขารู้อยู่แล้วว่าควรจะคาดหวังและไม่คาดหวังอะไร มันเป็นเรื่องของการบริหารกำลังใจจริงๆ ส่วนตัวของผมเองนั้นก็ไม่ได้รบกวนไอ้ซันมากนักหรอก เมื่อได้พักและได้ปลดน้ำหนักลงไปบ้างแล้วผมก็รู้สึกว่าหัวเข่าและข้อเท้าของผมดีขึ้นมาก ทั้งไคล์และพีต่างก็ช่วยกันแบ่งกระเป๋าของผมไปสะพายกันแทบจะทุกๆห้านาที จนเมื่อผมรู้สึกดีขึ้นมากกับขาของตัวเองแล้วผมจึงขอรับกระเป๋ากลับมาอยู่ในความรับผิดชอบของผมเองอีกครั้ง

จนท้ายที่สุด หลังการผจญภัยทั้งหมดทั้งปวง ทั้งคำพูดและการกระทำของพวกเราทุกคนที่คอยให้กำลังใจซึ่งกันและกันมาตลอดทาง รวมทั้งความพยายามอันแรงกล้าที่ไม่มีใครสักคนพูดว่า “ไม่ไหวแล้ว” เลยสักครั้งก็ตอบแทนพวกเราด้วยการที่พาเรากลับขึ้นมาถึงปลายทางได้สำเร็จ

เมื่อเราทั้งสี่คนเดินออกมาจากปากทางลงที่พวกเราเพิ่งเดินผ่านไปเมื่อตอนกลางวัน ทุกคนยกเว้นพีก็ทรุดตัวลงนั่งบนพื้นกันทันที

“อ้ายเหี้ยยยยย ถึงแล้วว้อยยยย” ไอ้ซันร้องตะโกนออกมา

“เหนื่อยชิบหายเลยยยย กูจะตายแหล่วววว อยากอาบน้ำ อยากนอน หิวข้าวววววว” ผมร้องโอดครวญออกมา

“ผมก็หิวมากเลยเหมือนกัน หวังว่าแมสวิคจะยังไม่ปิดนะครับ พีท”

“ตอนนี้เพิ่งจะสามทุ่มครึ่ง ยังไม่ปิดครับ แต่ว่าเราคงต้องรีบแล้วล่ะ ไม่อย่างนั้นคืนนี้คงไม่มีอะไรกินกันแน่ๆ”

“งันก็ไปกันเถอะ ไปกินข้าวมื้อใหญ่ฉลองชัยชนะอันยิ่งใหญ่และฉลองที่ไม่ต้องเสียค่าโรงแรมสี่คืนห้าวันของพวกเรากันหน่อยเว้ย” ไอ้ซันพูดขึ้นพลางลุกขึ้นยืนแล้วก็ดึงตัวผมกับไคล์ให้ลุกตามไปด้วย

“นี่ ซัน กูรู้แล้วล่ะ ว่าทำไมที่นี่ถึงมีชื่อว่า ‘ไบรท์ แองเจิ้ล’” ผมพูดออกมาขณะที่เรากำลังค่อยๆคืบไปที่ป้ายรถบัสอย่างอ่อนแรง

“ทำไมวะ” ไอ้ซันหันมาถามผม

“ก็ตอนเดินกลับขึ้นมานี่กูเห็นนางฟ้าน้อยๆบินมารอรับกูตั้งหลายองค์แน่ะมึง กูเกือบจะเดินตามแสงนั่นไปซะแล้ววว”

และพวกเราทั้งสี่คนก็หัวเราะออกมาพร้อมๆกัน.......... อย่างเหนื่อยอ่อน


tonsai_2520

  • บุคคลทั่วไป


เรียบร้อย . . .  สามวันติดเลยวุ้ย


ปล .  ฝนตกอ่ะ


น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
มาลงสองตอน อ่านซะสะใจ
สนุกมากจ้า เสียดายจังใกล้จะจบแล้วเหรอ

nartch

  • บุคคลทั่วไป
 :m4:
เก่งกันจังเลยยยยยย ชนะเลิศศศศศ... :a1:
สองคู่ชู้ชื่นนน เป็นห่วงเป็นไยกันดีจังเลยยย ถึงจะเหนื่อย แต่ก็หวานนนนซะ
ความผูกพันธ์ของปฐพี สายน้ำ ฟ้าครามและศิลา.... ประทับใจจัง
มาต่ออีกนะครับบบบ เรื่องนี้คงเป็นอีกเรื่องที่จะจบแบบ Happy นะ...หวังว่าเช่นนั้นนนน
 :bye2:

Givesza

  • บุคคลทั่วไป
Happy Ending น่ะค่ะ ลุ้นๆๆๆ

sun

  • บุคคลทั่วไป
กี่ตอนก้อมิรู้...รู้ตะว่าอ่านจุใจ เอิ้กๆ   :laugh:
ตั้งก่าเลือดสาด..บู๊แหลกลาญ แหะๆ      :m23:

โห... ไม่คิดว่า เมฆ จะฝีมือดีเข้าขั้นอย่างนี้ ล้ม ยักษ์ได้ด้วย อิอิ    :m3:

เฮ้อ... ซิน แอบจิตตกไปก่อนแย้ว เอิ้กๆ

แบบนี้ค่อยโล่งหน่อย....ที่ไม่เป็น อย่างที่  แอบจิตตกไปก่อนหน้านี้    :m26:


ขอแบบหวานๆส่งท้ายนะคะ คุนต้นนุ่ม   :a2:
ไหนๆ ก้อ ตะลุย แกรนด์  มาซะเหนี่อยแล่ะ
ฉลองตบท้าย ด้วยความหวานเย๊อะๆ ฮี่ๆ     :m1:
 

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






Jingjoh

  • บุคคลทั่วไป
น่ารักกันจริงๆ เลย >.<

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
จะจบแล้ว คงจะแฮปปี้น้า  :m18:  :m18:  :m18:

graydragon

  • บุคคลทั่วไป
ในที่สุดก็สามารถเดินมาถึงกันจนได้  :m19: :m4: ซันกะเมฆน่ารักดีจัง  พีกะไคล์ก็ไม่น้อยหน้าแฮะ :o8: :give2:

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนที่ 50


ถึงผมจะรู้อยู่ก่อนแล้วว่าการไฮค์ครั้งนี้มันจะไม่ง่ายและไม่หมูเลยเมื่อตัดสินจากระยะทางที่เรามองเห็นจากทางด้านบนนี้ แต่เมื่อได้ไปสัมผัสกับตัวเองผมถึงได้รู้อย่างชัดแจ้งเลยว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการดูแลตัวเอง การยอมรับตัวเอง และการเข้าใจถึงสภาพร่างกายและจิตใจของตัวเองอย่างแท้จริง แน่นอนว่าเส้นทางและระยะทางที่เราเดินกันนั้นมันโหดมากจริงๆ ไม่ว่าจะเส้นทางคดเคี้ยวที่ดูแทบไม่มีที่สิ้นสุด ความท้อแท้และเกือบจะสิ้นหวังว่าเราคงไม่สามารถจะกลับมาถึงปลายทางได้ สภาพร่างกายที่ร้องโอดครวญแข่งกับสภาพของจิตใจอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะที่ต้นขาและสะโพก ซึ่งเป็นส่วนสำคัญมากที่สุดของการเดินขึ้นเขา แต่ผมกลับมีปัจจัยเรื่องหัวเข่าและข้อเท้าเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอีก มันจึงยากยิ่งกว่าคนอื่นๆมากเป็นสองเท่าเลยทีเดียว

“ไง คิดว่าไงกันมั่ง ทุกคน” ผมถามขึ้นเมื่อเราทั้งสี่คนนั่งล้อมรอบอยู่ที่โต๊ะอาหารพร้อมกับมื้อเย็นที่วางอยู่จนเต็มโต๊ะแล้ว

“เหนื่อยอ่ะดิ่ ไอ้เหี้ย ถามได้ แม่งงง พูดตามตรงเลยนะ กูนับถือคนที่เดินขึ้นมาจากด้านล่างสุดจริงๆเลยว่ะ แม่งทำกันได้ไงวะ” ไอ้ซันตอบทั้งๆที่ยังเคี้ยวอาหารอยู่เต็มปาก

“เพราะงั้นสำหรับคนที่จะลงไปให้ถึงแม่น้ำโคโลราโดนั่นจึงต้องค้างคืนสินะครับ” ไคล์หันไปถามพี

“ใช่ครับ เคยมีคนหลายคนที่พยายามจะไฮค์ไปให้ถึงด้านล่างสุดและกลับขึ้นมาภายในวันเดียว แต่สุดท้ายก็ไม่ไหวจนต้องให้คนไปกู้ภัยกลับมา”

“กูไม่สงสัยเลยจริงๆ นี่ขนาดเราไปกันแค่ครึ่งทางนะ ลองนึกๆดูว่าที่เราเห็นคนหลายคนที่เค้าโทรมกันแบบสุดๆที่เราเจอเค้าเดินแบกเป้แบกเต็นท์กันขึ้นมาน่ะ เค้าเดินกันมาแล้วกี่ชั่วโมงวะเนี่ย”

“นั่นสินะ....... แต่ถ้าสมติว่ามีโอกาส มึงจะยังอยากไปอีกมั๊ย” ผมถาม

“ถ้าให้ไปอีกเหรอ...... อืมมม ก็คงไปมั๊ง เพราะยังไงๆกูก็อยากลองลงไปให้ถึงข้างล่างดูนะ”

“กูก็เหมือนกัน ถึงมันจะดูเป็นการเอาตัวเองไปทรมานก็เหอะ แต่กูก็ชอบว่ะ และที่สำคัญ มันเหมือนเป็นการวัดใจมากกว่าอย่างอื่นด้วย แต่สำคัญที่สุดคงต้องรู้ก่อนว่าสภาพร่างกายของเราไหวรึเปล่าน่ะ”

“นั่นแหละ ประโยคที่เพื่อนของผมคนนึงที่เคยลงไปถึงล่างสุดเคยพูดครับ” พีพูดขึ้น

“แล้วเค้าเป็นไงกันมั่งล่ะ หลังจากขึ้นมาแล้วน่ะนะ”

“เกือบตายครับ ไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชาย พอขึ้นมาถึงข้างบนนี่ยังกับซอมบี้กันเลยทีเดียว ตอนนั้นเค้าไปกันสี่คน ชายสองหญิงสอง ผู้หญิงก็ร้องไห้ ผู้ชายก็สาบานเลยว่าไม่เอาอีกแล้ว คนนึงนั้นกำลังใจดีครับ ไม่บ่นเท่าไหร่ เค้ายังบอกว่าอยากไปอีกเลยเพราะข้างล่างนั้นสวยมาก มากกว่าที่เราไปมาเยอะจริงๆ แต่อีกคนนี่สิ พูดไปทั่วเลยว่าเอาตัวเองไปทรมานชัดๆ แล้วก็แนะนำคนอื่นๆว่าไม่ต้องไปเลยด้วย”

“นั่นไง มันเป็นเรื่องของความเข้มแข็งของจิตใจจริงๆเลยนะเนี่ย........”

“ว่าแต่มึงเถอะเมฆ ขาเป็นยังไงบ้าง มึงพูดออกมาเองนะว่าเราต้องรู้สภาพร่างกายของตัวเองน่ะ แล้วตอนนี้หัวเข่าเป็นยังไงบ้างแล้ว”

“หัวเข่าเหรอครับ ใช่ข้างที่ศิลาเคยบอกผมรึเปล่า” ไคล์ถามผมด้วยความแปลกใจ “ผมนึกว่าพี่เจ็บข้อเท้าข้างที่พลิกนั่นซะอีก”

“ก็นิดหน่อยน่ะ พักหน่อยก็คงดีขึ้น พี่รู้สึกว่ามันคงเป็นอุปาทานด้วยแหละ มันไม่เจ็บเหมือนเมื่อก่อนแล้วหรอก พรุ่งนี้เช้าก็คงดีขึ้น”

“แล้วข้อเท้าล่ะ นั่นน่ะ ปัญหาใหญ่เลยไม่ใช่รึไง” ไอ้ซันยังคงถามต่อ

“เจ็บน้อยกว่าหัวเข่าอีก มันแค่รู้สึกตึงๆน่ะ บอกไม่ถูกเหมือนกัน กูบอกแล้วไงว่าไม่ต้องกังวลหรอก กูไม่ฝืนตัวเองให้กลับไปเจ็บเหมือนกับเมื่อตอนที่ออกจากโรงพยาบาลใหม่ๆหรอก” ผมยืนยันให้ไอ้ซันสบายใจขึ้น แต่เมื่อเห็นไคล์กับพีมีสีหน้าประหลาดใจ ผมจึงอธิบายให้เขาสองคนฟังเรื่องอาการเจ็บข้อเท้าและหัวเข่าที่ผมเคยเป็นอยู่ช่วงหนึ่ง ซึ่งไคล์นั้นรู้เรื่องหัวเข่าอยู่แล้วแต่ก็ไม่รู้เรื่องข้อเท้าของผม ผมจึงต้องเล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟังอีกครั้ง

หลังจากทานอาหารเสร็จ เราสี่คนก็เดินกลับไปที่เคบินของพีอีกครั้ง อากาศคืนนี้นั้นหนาวมากจริงๆ มากกว่าเมื่อสองคืนก่อนนี้เยอะมากทีเดียว

“สงสัยพรุ่งนี้หิมะตกแน่ๆ” ไคล์พูดขึ้นขณะที่พีกำลังไขกุญแจเข้าไปในห้อง

“ผมก็ว่าอย่างนั้นเหมือนกัน แต่ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากให้ตกหรอกครับ”

“อ้าว ทำไมล่ะ”

“ผมว่ามันเปียก แฉะ แล้วก็หนาวด้วยน่ะสิครับ สำหรับคนไปทำงานตีห้าอย่างผมนี่มันคือนรกเยือกแข็งชัดๆเลย”

เราทั้งสี่คนก้าวเข้าไปในห้องและไคล์กับซันก็ทิ้งตัวนอนแผ่ลงบนเตียงทันที

“เฮ้อ พอกันเลยพี่น้องคู่นี้ ตัวสกปรกน่า ซัน อย่าขึ้นไปบนเตียงเลย กลับไปอาบน้ำนอนที่ห้องเราเหอะ” ผมดึงตัวมันขึ้นมานั่ง แต่ไอ้ซันก็ทิ้งตัวกลับลงไปอีกครั้ง

“กูเหนื่อยนี่หว่า ไม่อยากเดินแล้ว ไม่อยากยืนแล้วด้วย ขากูจะลากอยู่แล้ว” ไอ้ซันโอดครวญ

“ไม่เป็นไรครับพี่เมฆ จริงๆแล้วพี่สองคนนอนที่นี่ก็ได้นะครับ เตียงก็ยังว่าง ผ้าห่มผ้าปูหมอนก็มีครบ ผ้าเช็ดตัวผมก็มีให้ จะได้ไม่ต้องเหนื่อยขับรถกลับไปอีก”

“ใช่ๆ ทั้งสองคนนอนนี่กันเถอะนะครับ” ไคล์รีบลุกขึ้นนั่งทันที “นะนะ จะได้มีเพื่อนคุยกันไง”

“แต่ว่าเราสองคนไม่มีเสื้อผ้ามาเปลี่ยนนะครับ”

“ใช้ของผมก็ได้ครับ แต่ผมมีแปรงสีฟันอีกแค่อันเดียว คือ....... สงสัยพี่สองคนคงต้องใช้แปรงอันเดียวกันแล้วล่ะครับ”

“มีปัญหามั๊ย ซัน” ผมหันไปถามมัน

“ไม่มีแน่นอนอยู่แล้ว” ไอ้ซันยิ้มกว้าง “ว่าแต่ใครจะอาบน้ำก่อนละเนี่ย”

เราสี่คนเงียบและมองหน้ากันและกันอยู่อึดใจหนึ่ง สุดท้ายพีก็เป็นฝ่ายพูดออกมาว่าถ้าอย่างนั้นเขาเข้าไปอาบก่อนก็ได้ และหลังจากที่พีอาบน้ำเสร็จก็เป็นผม ไคล์ แล้วก็ไอ้ซันเป็นคนสุดท้าย เมื่อเราทุกคนต่างก็รู้สึกสบายตัวกันดีแล้ว สิ่งถัดมาที่เราทำก็คือ จัดสรรที่นอนว่าเราจะนอนกันยังไง สรุปสุดท้าย ผมกับไอ้ซันก็ได้นอนในเตียงสองชั้นที่ชั้นล่าง ส่วนพีกับไคล์นั้นนอนด้วยกันที่เตียงของพีเอง

“ไหนเมฆ เอาขามาดูก่อนซิ” ไอ้ซันบอกผม จากนั้นมันก็นั่งลงบนพื้นข้างเตียงแล้วก็ยกเท้าของผมไปวางไว้ที่หน้าตักของมัน “มึงคิดว่าทายาหน่อยจะดีมั๊ยวะ”

“ผมมียาครับ” พีลุกขึ้นมาจากเตียงและเดินไปเปิดลิ้นชักหยิบเคาน์เตอร์เพนออกมา “มีอันนี้น่ะครับ ไม่รู้ใช้ได้กับอาการของพี่เมฆรึเปล่า แต่ก็คงดีกว่าไม่ได้ใช้อะไรเลย”

“โอเคครับ เอาล่ะ ถ้ากูนวดแรงไปแล้วเจ็บ มึงก็หัดบอกด้วยนะ” ไอ้ซันออกแรงนวดที่ข้อเท้าของผมเบาๆ จากนั้นก็เริ่มออกแรงเน้นมากขึ้นเรื่อยๆ ผมไม่รู้สึกเจ็บเท่าไหร่หรอก แต่ตรงกันข้าม มันรู้สึกดีมากๆเลยต่างหาก ทั้งความรู้สึกร้อนๆจากเจลที่ข้อเท้า ความรู้สึกอบอุ่นทางใจที่ได้รับจากสัมผัสของไอ้ซัน และการได้ถูกมันนวดตามจุดต่างๆทั้งที่ข้อเท้าและหัวเข่า มันช่างทำให้ผมรู้สึกดีมากจริงๆ......... ดีมากเกินไปจนผมรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวของน้องชายที่เริ่มจะตื่นขึ้นมาภายใต้กางเกงขาสั้นนี่ซะแล้ว และที่สำคัญ ผมไม่ได้ใส่กางเกงในอยู่ด้วยนี่สิ

“ซัน พอแล้วเหอะว่ะ กูไม่เจ็บแล้ว” ผมบอกมันและพยายามเอามือมากดตรงเป้ากางเกงเอาไว้ด้วยเพราะไม่อยากให้คนอื่นๆสังเกตเห็น

“ทำไมวะ........” ไอ้ซันเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผม และแน่นอนว่าเมื่อมันเงยหน้าขึ้นมา มันก็ต้องเห็นเข้ากับส่วนนั้นของผม “โถ ไอ้เมฆเอ๊ยยยยยย” มันทิ้งตัวลงไปขำกลิ้งอยู่บนพื้นทันที ทำให้ทั้งไคล์และพีต่างก็หันมาสนใจที่เราสองคนทันทีเช่นกัน

“เกิดอะไรขึ้นล่ะครับเนี่ย” ไคล์ถาม

“เปล่าๆ ไม่มีอะไรหรอก” ผมตอบด้วยใบหน้าที่แดงก่ำแล้วก็รีบทิ้งตัวลงนอนหันหลังให้สองคนนั้นก่อนที่เขาจะสังเกตเห็นความผิดปกติที่ส่วนล่างของผม

ไอ้ซันที่ยังคงหัวเราะชอบใจอยู่ค่อยๆคลานขึ้นมานอนอยู่ข้างๆผม แล้วกอดผมเอาไว้จากทางด้านหลัง

“มึงไม่ต้องมากอดเลย ถ้ามึงยังไม่หยุดขำนะ กูถีบมึงตกเตียงแน่” ผมหันไปพูดกับมัน “และถ้ามึงพูดมากล่ะก็ มึงโดนยิ่งกว่าถูกถีบตกเตียงแน่ กูสาบานได้เลย ไอ้ซัน” ส่วนประโยคที่สองผมกระซิบเพื่อให้เราได้ยินกันแค่สองคน

แต่สุดท้ายไอ้ซันก็ยังคงหัวเราะในลำคออยู่ดี “มีดีก็เอาไว้โชว์ มึงจะอายทำไม”

“พอๆ หุบปากไปเลย นอนกันดีกว่า” ผมยกหัวขึ้นไปมองไคล์กับพีก็เห็นเขาสองคนยังคงนอนมองเราทั้งคู่อยู่ “ทั้งสองคนจะนอนกันรึยัง”

“นอนเลยก็ได้ครับ ผมเองก็ง่วงแล้วเหมือนกัน” ไคล์ตอบ ส่วนพีก็แค่พยักหน้า

“ถ้างั้นก็ ฝันดีนะครับ ทุกคน” ผมชันตัวขึ้นนั่งแล้วก็ปิดสวิตช์โคมไฟ จากนั้นห้องทั้งห้องก็มืดลงทันที

ผมสอดตัวลงใต้ผ้าห่มกับไอ้ซันอีกครั้ง ลมเย็นๆที่พัดลอดเข้ามาจากทางที่ผนังด้านข้างเตียงที่พีเปิดแง้มเอาไว้ช่วยให้ผมไม่รู้สึกร้อนและอึดอัดจนเกินไป เพราะเตียงของผมนั้นอยู่ติดกับฮีทเตอร์พอดี และยังต้องนอนเบียดกับไอ้ซันสองคนด้วย แต่ถึงอย่างนั้น ความรู้สึกอบอุ่นและสบายใจมันก็ยังคงมีมากกว่าอยู่ดี และผมก็ไม่คิดจะเอาความรู้สึกนี้ไปแลกกับอะไรทั้งนั้นด้วย สิ่งที่ไอ้ซันมันทำให้กับผมในวันนี้ ความห่วงใยที่มันแสดงออกมาเมื่อตอนที่เรากำลังไฮค์อยู่ด้วยกัน ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นบอกผมได้อย่างเหลือเฟือว่ามันนั้นรักและห่วงใยผมมากแค่ไหน และมันทำให้ผมรู้ว่าต่อจากนี้ไป ไม่ว่าจะเป็นยังไง ไอ้ซันก็จะยังคงรักและอยู่เคียงข้างผมไปตลอดเวลาไม่ว่าจะยามทุกข์หรือยามสุขก็ตาม......... ซึ่งผมเองก็มีความรู้สึกแบบเดียวกันนั้นให้กับมันด้วยเช่นเดียวกัน

“ศิลา ซัน วันนี้ขอบคุณมากนะครับ” เสียงของไคล์ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบหลังจากที่ผมปิดไฟไปได้ราวๆห้านาที

“สำหรับอะไรครับ” ผมตอบหลังจากสบตากับไอ้ซันเงียบๆอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เราทั้งคู่จะหันไปหาเขา

ไคล์เองก็พลิกตัวนอนตะแคงหันมาทางพวกเราเช่นกัน “สำหรับทุกอย่างครับ ผมขอบคุณซัน สำหรับสิ่งที่ซันเคยสอนผมมาทั้งหมด ขอบคุณสำหรับความรักที่ซันเคยมอบให้แก่ผม ผมขอบคุณศิลา สำหรับมิตรภาพ ความรัก และความห่วงใยที่พี่มีให้แก่พวกเราครับ แล้วก็ขอบคุณทั้งคู่มากด้วยสำหรับเรื่องเมื่อวานนี้.........”

“พี่ว่าพี่ไม่ได้ทำอะไรเลยนะ” ไอ้ซันถามออกไป

“พี่ก็เหมือนกัน เมื่อวานมันทำไมเหรอ”

“เมื่อวานหลังจากที่พี่สองคนกลับไป ผมกับพีท........ เราได้คุยกันอีกนิดหน่อยน่ะครับ ศิลา ผมอยากจะบอกพี่ว่า ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งที่พี่ทำให้กับซันจริงๆนะครับ ตลอดเวลาที่พี่รู้จักกันมา และความรักที่พี่มีให้แก่เขา ทำให้เขาเปลี่ยนไปและเป็นพี่ชายที่ผมรักมากจริงๆ มันอาจจะไม่ใช่ธุระของผมที่มาพูดแบบนี้ แต่ว่าเรื่องทั้งหมดนั้นมันก็ทำให้ผมได้มีวันนี้ แล้วก็เพราะความรักที่พี่ทั้งสองคนมีให้แก่กันนั่นแหละ ที่ทำให้ผมรู้ตัวว่าความรักที่ผมมีให้ซันนั้นมันเป็นไปไม่ได้ และในขณะเดียวกันก็ทำให้ผมได้เรียนรู้ถึงสิ่งที่เรียกว่า ‘ความรัก’ มากขึ้นอีกด้วย ผมรู้สึกว่าผมโชคดีที่ได้รักซัน และยิ่งโชคดีมากขึ้นไปอีกที่ความรักของผมมันไม่สมหวัง เพราะมันทำให้ผมเรียนรู้เกี่ยวกับความรักของตัวเองและได้ทำให้ผมมาพบกับพีทด้วย........” ไคล์อธิบาย ส่วนพีนั้นก็นอนฟังอย่างเดียวโดยที่ไม่ได้พูดอะไรเลย “ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงยังไม่เข้าใจว่าตัวผมเองต้องการอะไรและคาดหวังอะไร แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าการที่ผมได้รักและได้เจ็บ ได้มีซันคอยสั่งสอนทั้งทางตรงและทางอ้อม และการได้เห็นความรักที่ซันกับศิลามีให้แก่กัน มันทำให้ผมรู้จักตัวตนของตัวเองดีขึ้นอีกมาก”

ผมกับซันมองหน้ากันด้วยความรู้สึกประหลาดๆข้างในใจ สำหรับมันนั้นผมไม่รู้หรอกว่ามันคิดยังไงอยู่ แต่สำหรับตัวผมแล้ว ผมรู้สึกแปลกใจและสับสนนิดหน่อยอย่างบอกไม่ถูก เพราะว่าผมเพิ่งรู้จักไคล์ได้ไม่นาน และผมเองก็ไม่เคยคิดว่าผมจะทำอะไรที่เป็นสิ่งพิเศษและฟังดูดีมากอย่างที่ไคล์พูดมาก่อนเลย ถึงผมจะรู้สึกดีใจนิดๆที่ถูกเขาชมแบบนั้น แต่ว่ามันก็รู้สึกกระอักกระอ่วนมากด้วยเช่นกัน

“จริงๆแล้วเมื่อวานนี้......... สิ่งที่ซันพูดไปเกือบทั้งหมดนั้นน่ะ ผมเองก็เคยคุยกับพีทมาก่อนแล้วเหมือนกันครับ” ไคล์เริ่มต้นพูดต่อหลังจากที่เขาเห็นเราสองคนเงียบกันไปพักหนึ่ง “แต่ว่า เมื่อได้ยินทั้งหมดออกมาจากปากของซันอีกครั้ง และได้ฟังสิ่งที่ศิลาพูด....... คือ ผมต้องบอกเลยว่า พี่ทั้งสองคนทำให้ผมรู้สึกทึ่งไปเลย ทั้งคู่เป็นคนที่สุดยอดมากจริงๆ ผมรู้สึกโชคดีมากๆที่ได้มีทั้งสองคนเป็นพี่ชายของผมนะครับ”

“เดี๋ยวนะครับ ไคล์........” ผมทักขึ้นเพราะไม่แน่ใจสิ่งที่ตัวเองเพิ่งได้ยินไป “เมื่อกี๊ไคล์เพิ่งพูดว่า ไคล์เห็นพี่เป็น ‘พี่ชาย’ ของเราอย่างนั้นเหรอครับ”

“ใช่ครับ ผมหมายความว่าแบบนั้นจริงๆ......” เขาหันมายิ้มให้กับผมในความมืด ถึงผมจะไม่แน่ใจ แต่ผมก็เห็นลางๆว่าเขากำลังยิ้มอยู่จริงๆ

“เอ่ออ คือ พี่ไม่รู้จะพูดยังไงดีนะครับ แต่พี่ก็ขอบคุณมากจริงๆ มันมีความหมายสำหรับพี่มากเลยครับ ไคล์” เพราะการที่ไคล์ยอมรับผมให้เป็นพี่ชายของเขานั้น ก็เท่ากับเขายอมรับผมในฐานะคนๆหนึ่งของครอบครัวของเขาแล้วด้วยเช่นกัน และที่สำคัญ การที่เขาเคยมีพี่ชายแค่คนเดียวนั่นก็คือไอ้ซันมาตลอด แต่ตอนนี้เขารับผมให้เป็นพี่ชายของเขาอีกคน นั่นก็หมายความว่าผมมีความสำคัญสำหรับเขามากเท่าๆกับไอ้ซันเลยนั่นเอง ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่วิเศษมากจริงๆ เพราะสำหรับเขาที่ต้องอกหักจากซันเพราะผมเป็นต้นเหตุ ถึงแม้ว่าผมจะรู้ว่าเขาไม่ได้โกรธหรือเกลียดผมก็ตาม แต่ผมก็หวังเอาไว้แค่ว่าผมจะได้เป็นเพื่อนของเขาเท่านั้น ผมไม่เคยคาดคิดเลยว่าเขาจะยอมรับในตัวของผมมากถึงขนาดนี้

“ไม่เป็นไรหรอกครับ เพราะผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ เมื่อก่อนผมเคยมีซันเป็นต้นแบบของผม แต่ตอนนี้ ทั้งสองคนยิ่งทำให้ผมรู้สึกนับถือและชื่นชมมากขึ้นไปอีก ไม่ว่าจะจากการกระทำและคำพูด หรือแม้แต่ความรู้สึกที่พวกเรารู้สึกได้จากทั้งคู่ ทุกๆอย่างนั้นมีความหมายสำหรับเราสองคนมาก และผมขอบอกตามตรงเลยนะครับว่า ผมรักทั้งสองคนมากจริงๆ และทั้งสองคนก็จะเป็นเป้าหมายและบุคคลที่ผมนับถือมากที่สุดตลอดไปด้วย”

เมื่อไคล์พูดจบผมก็รู้สึกหลงทางไปเลย ผมไม่เคยคิดเลยว่าในชีวิตของผมจะมีคนมาพูดกับผมแบบนี้ ไม่เคยคิดว่าจะมีใครรู้สึกชื่นชมและนับถือผมมากเท่านี้มาก่อน ยิ่งใครจะมาเห็นผมเป็นแบบอย่างนั้นผมยิ่งไม่เคยนึกไม่เคยฝันถึงเลย และที่สำคัญ ผมไม่เคยคิดว่าจะมีใครเห็นคุณค่าความรักของผมที่ผมมีให้กับคนที่ผมรักได้มากเท่านี้ด้วย........ ผมไม่เคยคิดว่าผมจะสามารถเป็นต้นแบบให้ใครได้มาก่อนเลยจริงๆ

“เราน่ะโตแล้วจริงๆ ไคล์......” ไอ้ซันเป็นฝ่ายพูดขึ้นบ้าง “เราไม่ใช่เด็กๆอีกต่อไปแล้ว ถึงพี่จะเคยพูดว่ายังไงๆพี่ก็เห็นเราเป็นเด็กตัวเล็กๆของพี่อยู่ตลอดเวลานั้นก็จริงอยู่ และพี่ก็ยังคงเห็นเราเป็นน้องชายคนเล็กของพี่อยู่ดีไม่ว่าจะยังไงก็ตามด้วย แต่ว่าพี่เองก็รู้อยู่แก่ใจมาตลอดว่าเราน่ะมีความคิดที่เป็นผู้ใหญ่มากกว่าใครๆในวัยเดียวกับเราที่พี่รู้จักเสียอีก และพี่ก็เชื่อมาตลอดด้วยว่าสักวันนึง เมื่อเราโตขึ้นและเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างที่พี่พูดออกไปล่ะก็ มันก็คงจะดีไม่น้อยเลย....... พี่หมายความว่า มันเป็นความรู้สึกภูมิใจและชื่นชมในตัวของน้องชายที่พี่ชายคนหนึ่งจะสามารถเห็นเขาเติบโตขึ้นจากเด็กคนหนึ่งเป็นลูกผู้ชายที่เข้มแข็งได้อย่างเช่นที่ไคล์กำลังเป็นอยู่ตอนนี้ไง......... พี่กับไอ้เมฆรู้สึกขอบคุณไคล์มากจริงๆที่คิดกับพวกเรามากถึงขนาดนั้น คนทุกคนต่างก็มีบุคคลที่เขาชื่นชมและนับถือเป็นแบบอย่างด้วยกันทั้งนั้น และพี่ก็อยากจะบอกว่า ถ้าไคล์คิดอย่างที่ไคล์พูดออกมาจริงๆล่ะก็ พี่อยากเห็นไคล์ใช้สิ่งที่ไคล์เรียนรู้มาหรือสิ่งที่ไคล์เพิ่งรู้สึกตัวว่าจริงๆแล้วความรักของตัวเองนั้นเป็นอย่างไรอย่างที่บอกมาเมื่อกี๊ให้แก่คนที่ไคล์รักให้ดีที่สุดเท่านั้นล่ะ....... นั่นคือคำสั่งและคำสอนอย่างสุดท้ายที่พี่ชายคนนี้อยากจะขอจากน้องชายของเขา น้องชายของพี่ที่พี่นับถือเขาในฐานะลูกผู้ชายคนหนึ่ง”

“ขอบคุณมากครับ ซัน........ ขอบคุณจริงๆ” ไคล์ตอบกลับมาด้วยเสียงอันสั่นเครือ ทำให้ผมรู้ว่าเขาเองคงกำลังร้องไห้อยู่แน่ๆ และแม้แต่ผมเองก็ยังอดรู้สึกหวั่นไหวไปกับคำพูดของไอ้ซันด้วยไม่ได้เลย ผมไม่เคยได้สัมผัสถึงความรักของพี่ชายที่มีต่อน้องชาย หรือถ้าพูดให้เจาะจงก็คือ ความรักของไอ้ซันที่มีต่อไคล์แบบนี้มาก่อนเลย ผมไม่เคยรู้และเข้าใจมาก่อนว่าความรักของสองคนนี้ที่เขามีให้กันนั้นมันเป็นยังไง ผมไม่เคยแม้แต่จะเข้าใจความรักของพี่น้องแบบลึกซึ้งได้เลยด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายแล้ว วันนี้ คืนนี้ ในเวลาเพียงแค่สิบกว่านาทีนี้ผมก็ได้รู้แล้วว่าทั้งคู่นั้นมีความรักและความผูกพันมอบให้แก่กันมากจริงๆ มากกว่าคู่พี่น้องแท้ๆที่เจอหน้ากันทุกวันมาตลอดสิบกว่าปีเสียอีก.......... ส่วนหนึ่งนั้นคงเป็นเพราะความรักของไคล์ที่มีให้พี่ชายของเขานั้นมันเคยแปรเปลี่ยนรูปแบบไปเป็นแบบอื่น แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ การที่เขาทั้งสองคนยังคงรักษาความรักและความสัมพันธ์แบบดั้งเดิมเอาไว้ได้ในเมื่อความสัมพันธ์ในแบบใหม่นั้นมันพังลงไปแล้วนี่ต่างหาก.........

ผมอดรู้สึกอิจฉาไคล์....... ไม่สิ อดรู้สึกอิจฉาทั้งคู่ไม่ได้จริงๆ เพราะว่าตลอดชีวิตยี่สิบปีของผมนั้น คำว่าครอบครัวสำหรับผมแล้วก็หมายถึงผมกับพ่อเพียงแค่สองคนเท่านั้นเอง

“เฮ้อออ จะซึ้งกันไปถึงไหนวะ แล้วจะนอนหลับกันมั๊ยเนี่ย” ไอ้ซันพูดออกมาดังๆหลังจากที่เราเงียบกันไปพักหนึ่งจากนั้นก็หันกลับมาซุกหน้าลงตรงหน้าอกของผมเหมือนเดิม “พี่นอนแล้วนะ แล้วคุยกันใหม่อีกทีพรุ่งนี้เช้า” มันพูดตัดบท ทำให้ผมอดรู้สึกขำไม่ได้

เมื่อทั้งห้องกลับสู่ความเงียบอีกครั้งแล้ว ผมก็กระซิบกับไอ้ซันเบาๆเพื่อให้มันได้ยินเพียงแค่คนเดียว “มีคนบางคนรู้สึกเขินเว้ยเฮ้ย” ผมหัวเราะเบาๆในลำคอ “เนี่ยเหรอ..... พี่ชายคนโตของน้องๆ”

ไอ้ซันยกมือขึ้นมาบีบจมูกของผมทันที จากนั้นมันก็กระซิบตอบกลับมา “กูไม่เคยคิดว่ากูเป็นที่พึ่งหรือเป็นแบบอย่างให้ใครได้มากขนาดนั้นหรอก เพราะเท่าที่ผ่านมา กูก็ยังคงทำได้แค่เรียนรู้ความนึกคิดและมองเห็นแต่แผ่นหลังของคนๆเดียวอยู่ตลอดเวลา.......... ซึ่งคนๆนั้นก็คือมึงนั่นแหละ ศิลา”



ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page

จะจบแว้วว นับถอยหลังกันได้เลยยย  :a11:


อีกจ๋องตอน


รีบๆแปะดีกว่าเนอะ


 o14


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-10-2007 23:03:53 โดย ExecutioneR »

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนที่ 51


เช้าวันรุ่งขึ้น ผมตื่นขึ้นมาเพราะแสงแดดที่สาดส่องลอดผ้าม่านเข้ามาแยงตาของผม บวกกับความหนาวเย็นที่มีมากกว่าปกติจนผมรู้สึกได้ ผมรู้สึกถึงมือของไอ้ซันที่ยังคงพาดอยู่บนตัวของผมและหัวของมันที่กำลังวางอยู่บนหน้าอกของผมด้วย ผมพลิกตัวช้าๆเพื่อมองไปยังเตียงของพีก็เห็นว่าเขาทั้งคู่ก็ยังคงหลับอยู่เช่นกัน ผมค่อยๆยกมือของไอ้ซันออกพร้อมๆกับลุกขึ้นช้าๆ พยายามส่งเสียงออกมาให้น้อยที่สุด นาฬิกาบนตู้เสื้อผ้าบอกเวลาสิบโมงครึ่งแล้ว และเมื่อผมมองออกไปนอกหน้าต่าง ผมก็เห็นว่าวิวทิวทัศน์ภายนอกนั้นมันมีบางอย่างที่แตกต่างไปจากเมื่อวานที่ผมจำได้อยู่นิดหน่อย และสิงนั้นนั่นก็คือหิมะสีขาวโพลนที่ฉาบเคลือบไปทั่วทั้งบริเวณ ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เห็นว่าทั้งพื้นดิน ต้นไม้ และใบหญ้าล้วนแต่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวบริสุทธิ์ทั้งสิ้น

“ทำอะไรอยู่วะ” เสียงงัวเงียของซันดังขึ้นเบาๆจากทางด้านหลังของผม ผมจึงหันหลังเดินไปหอมแก้มของมัน

“ตื่นแล้วเหรอ จะนอนต่อมั๊ย”

“ไม่แล้วดีกว่า........” มันลุกขึ้นนั่ง อ้าปากหาวพร้อมๆกับบิดขี้เกียจ จากนั้นก็หันไปทางเตียงของพี “สองคนนั่นก็ยังไม่ตื่นเลยนี่ กี่โมงแล้ววะ”

“สิบโมงครึ่งแล้ว นี่ไอ้ซัน หิมะตกด้วยว่ะ มึงมาดูสิ” ผมเรียกให้มันลุกขึ้นมาดูข้างนอกหน้าต่าง ซึ่งมันก็ลุกเดินตามผมมาอย่างว่าง่าย “มึงดูดิ่ ขาวไปหมดเลย สงสัยเมื่อคืนคงจะตกหนัก”

“ยังไม่หยุดตกเลยด้วยนี่หว่า มึงว่ามันจะตกอีกนานมั๊ยวะเนี่ย”

“กูว่าไม่แล้วมั๊ง ดูท่าทางจะตกมานานแล้ว และนี่มันก็ดูเหมือนตกแค่ปรอยๆแล้วด้วย”

“ว่าแต่ว่า....... วันนี้น้องมึงตื่นด้วยรึเปล่า” ไอ้ซันถามผมพร้อมรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า

“วันนี้ไม่ว่ะ” ผมหัวเราะเบาๆแล้วก็ดึงมันกลับไปนั่งลงบนเตียง “สงสัยเมื่อเช้าหนาวจัด หรือไม่ก็เพราะไม่มีอะไรมาดุนก้นอีกล่ะมั๊ง” เมื่อพูดจบผมถึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าผมเพิ่งจะพูดเหมือนกับว่าผมชอบให้มีอะไรมาแหย่ก้นซะอย่างนั้น นอกจากนั้นแล้วหน้าตาของไอ้ซันก็ยังบ่งบอกอย่างชัดเจนด้วยว่ามันตีความหมายสิ่งที่ผมพูดไปว่าอย่างไร “เฮ้ย นี่กูไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น มึงไม่ต้องมาทำเป็นยิ้มไป”

“ตื่นกันแล้วเหรอครับ.......” เสียงของพีดังขึ้น และเขาก็ลุกขึ้นมานั่งอยู่บนเตียงเช่นกัน

“สิบโมงครึ่งแล้วครับ แต่ถ้าพีจะนอนต่อก็นอนได้นะ พวกพี่ขอโทษทีที่เสียงดัง” ผมบอกเขา

“ไม่หรอกครับ นี่ผมก็ตื่นสายมากแล้วล่ะ.......... อ้าว หิมะตกนี่” พีอุทานขึ้นเบาๆเมื่อเขาหันไปมองยังนอกหน้าต่างที่หัวเตียงของเขาเอง

“ใช่ครับ โชคดีนะที่พีไม่ต้องทำงานวันนี้น่ะ ไม่งั้นได้ฝ่าหิมะไปทำงานแน่ๆ”

“นั่นสิครับ........” เขาตอบ จากนั้นก็ก้มลงไปมองดูไคล์ที่ยังคงหลับอยู่

“ขี้เซาจะตายห่าไป ไอ้นั่นน่ะ” ไอ้ซันพูดขึ้น “ปลุกยากยิ่งกว่าอะไรอีก เหมือนเด็กๆน่ะ หลับง่ายตื่นยาก”

“พีจะปลุกเค้าเหรอ” ผมถามพี

“ไม่ล่ะครับ” เขาส่ายหน้า “ปล่อยให้เค้านอนไปเถอะ เดี๋ยวก็คงตื่นเองแหละครับ”

“งั้นพี่ขอไปอาบน้ำก่อนก็แล้วกันนะ” ผมพูดขึ้นพลางเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัว จากนั้นก็หันไปหาไอ้ซัน “มึงจะอาบรึเปล่า ไอ้แสบ หรือว่าจะกลับไปอาบที่ห้อง หรือไม่คิดจะอาบเลย” ผมยิ้มกว้าง และไอ้ซันก็ยิ้มตอบกลับมาเช่นกัน “มึงไม่ต้องมายิ้มแบบนั้น กูรู้นะว่ามึงกำลังคิดอะไรอยู่น่ะ อาบเองคนเดียวเว้ย ไม่มีการอาบด้วยกัน”

“ปากดีนะมึงงงง ทำเป็นรู้ว่ากูคิดอะไรอยู่”

“แล้วกูพูดผิดมั๊ยล่ะ”

“ไม่รู้เว้ย ตกลงมึงจะอาบมั๊ยเนี่ย ไม่งั้นกูจะเข้าไปอาบก่อนนะ” ไอ้ซันยื่นมือมาจะคว้าผ้าเช็ดตัวไปแต่ผมชักมือหลบทัน

“อาบดิ่ ขอเวลาสิบนาที” ผมพูด จากนั้นก็เดินเข้าห้องน้ำไป และเมื่อผมทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมก็นึกขึ้นมาได้ว่าผมไม่มีเสื้อผ้าที่จะใช้ใส่กลับไปที่ห้องของตัวเองนอกจากกางเกงขาสั้นของพีตัวที่ใส่นอนเมื่อคืนนี้เอง ผมจึงจำต้องใส่กางเกงตัวเดิมเดินออกมาจากห้องน้ำอีกครั้ง และเมื่อผมเปิดประตูห้องน้ำออก ผมก็เห็นว่าไคล์เองก็ตื่นขึ้นมาแล้วเช่นกัน

“อรุณสวัสดิ์ ศิลา”

“อรุณสวัสดิ์ครับ ไคล์” ผมหันไปยิ้มให้กับเขา จากนั้นก็หันไปหาไอ้ซัน “เฮ้ย ไอ้ซัน ไม่มีเสื้อผ้าใส่กลับห้องว่ะ ทำไงดี”

“ใส่ของผมกลับไปก่อนก็ได้นี่ครับ” พีพูดขึ้น

“อืมมม ถ้างั้นกูแปรงฟันอย่างเดียวดีกว่า แล้วค่อยกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องทีเดียว” พอไอ้ซันพูดจบ มันก็เดินเข้าห้องน้ำไปทันที

เมื่อพีที่เข้าห้องน้ำต่อจากไอ้ซันอาบน้ำเสร็จ เราทั้งสี่คนก็เดินฝ่าหิมะที่ยังคงตกปรอยๆไปยังรถของพวกเรา จากนั้นไอ้ซันก็รับหน้าที่ขับรถพาเรากลับไปยังที่พัก เมื่อรถจอดสนิทแล้ว หิมะก็หยุดตกพอดี และทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเราก็กลายเป็นสีขาวโพลนไปหมด ช่างเป็นภาพที่งดงามมากจริงๆ

“วันนี้ทำอะไรกันดี” ไอ้ซันถามขึ้นหลังจากที่มันกับไคล์อาบน้ำแต่งตัวเสร็จกันหมดแล้ว

“กินข้าวกันก่อนเหอะ กูหิวแล้ว” ผมตอบ จากนั้นก็หันไปถามไคล์กับพี “ทั้งสองคนหิวกันรึยังครับ”

“มึงถามไคล์ว่าหิวรึยังเนี่ยนะ กูว่ามันกินกวางได้ทั้งตัวแล้วมั๊งเนี่ย” ไอ้ซันหัวเราะ

พวกเราทั้งสี่คนจึงขับรถไปจอดไว้ยังลานจอดรถที่มาร์เก็ตพลาซ่าแทนที่จะเดินด้วยเท้าเปล่าไปกันเอง เพราะความหนาวเย็นของอากาศตอนนี้นี่ไม่ใช่เล่นเลยจริงๆ เมื่อเราเข้าไปในคาเฟทีเรีย พวกเราก็เจอเข้ากับเดฟที่กำลังยืนคุยอยู่กับแคชเชียร์ และเมื่อเขาเห็นพวกเราสี่คน เขาก็เดินยิ้มแย้มเข้ามาทักทันที เขาถามพวกเราถึงเรื่องการไฮค์เมื่อวานและถามว่าวันนี้รู้สึกยังไงบ้าง ซึ่งพวกเราก็ต้องรู้สึกปวดขาแน่นอนอยู่แล้ว

ขณะที่เราต่างคนต่างแยกย้ายกันไปเลือกซื้ออาหาร ผมก็สังเกตเห็นความผิดปกติอย่างหนึ่งของพี เขาดูค่อนข้างจะเงียบและดูเหมือนกำลังมีเรื่องให้คิดหรือไม่สบายใจอะไรสักอย่างอยู่ตลอดเวลา ซึ่งปกติเขาก็เป็นคนไม่ค่อยพูดอยู่แล้ว แต่พอมาวันนี้เขายิ่งดูผิดปกติมากขึ้นไปอีก และสิ่งที่ผมหมายความว่าผิดปกตินั้นก็คือ ดูเหมือนว่าไคล์จะไม่ได้สังเกตสิ่งนี้เลยแม้แต่นิดเดียว เพราะดูพีจะคอยปกปิดความรู้สึกส่วนนั้นเอาไว้ตลอดเวลาเมื่อเขาอยู่ต่อหน้าไคล์ แต่เมื่อไคล์ไม่ได้อยู่ใกล้ๆหรือไม่ได้มองเขาอยู่ เขาก็จะกลับมาเป็นเหมือนคนที่กำลังมีเรื่องไม่สบายใจขึ้นมาอีกทันที

“เป็นอะไรรึเปล่า พี” ผมเดินไปถามเขาขณะที่ซันกับไคล์เดินแยกไปเลือกอาหารอยู่

“ไม่ได้เป็นอะไรหรอกครับ........” เขาตอบออกมาขณะที่หันไปมองยังสองคนนั้น จากนั้นก็หันกลับมาหาผมอีกที “เอ่ออ....... พี่เมฆครับ........”

“พีทจะกินอะไรดีครับ ผมได้ของผมมาแล้วนะ” ไคล์เดินเข้ามาขัดจังหวะสนทนาของเราเข้าเสียก่อน จากนั้นก็ตามมาด้วยไอ้ซัน

“รีบๆไปซื้อสิ ไอ้เมฆ กูรอจ่ายเงินพร้อมมึงนะ”

ผมกับพีสบตากันอยู่แว่บหนึ่งก่อนที่เราจะต่างคนต่างต้องแยกย้ายไปซื้ออาหารโดยที่เขามีไคล์ตามประกบ ส่วนผมก็มีไอ้ซันยืนอยู่ข้างๆไม่ห่าง จนกระทั่งเราทั้งสี่คนจ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็เดินไปนั่งลงบนโต๊ะที่อยู่ติดกับกระจกใสที่สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์สีขาวโพลนด้านนอกได้

“ถ้าจะพูดกันจริงๆ วันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายแล้วนี่นะที่เราจะได้อยู่ที่แกรนด์นี่” ไอ้ซันพูดขึ้นหลังจากที่เรากำลังจัดการกับอาหารเช้ามื้อเที่ยงของพวกเรากันอยู่

“ก็แค่สำหรับเราสองคนเท่านั้นแหละว่ะ ไม่ใช่สำหรับไคล์สักหน่อย”

“ก็นั่นสินะ ว่าแต่ สรุปแล้ววันนี้เรามีแผนจะทำอะไรกันรึเปล่า”

พวกเราสามคนที่เหลือนั่งเงียบ ต่างคนก็ต่างมองหน้ากันไปมาเพื่อรอให้มีคนอื่นเสนอความคิดออกมา

“สำหรับกูนะ....... อืมมม หิมะตก หนาว ปวดขา เหนื่อย เพราะงั้น กูไม่มีแผนอะไรเป็นพิเศษว่ะ ถ้าจะให้ไปไหนก็ไปได้ แต่ถ้าไม่ไปและให้นอนอยู่ในห้องเฉยๆก็คงไม่มีปัญหาเหมือนกัน เอาไว้เย็นๆค่อยว่ากันอีกทีอะไรแบบเนี๊ย”

“ไอ้ขี้เกียจเอ๊ยยย อุตส่าห์มาถึงที่นี่แล้ว จะนอนเฉยๆรึไง”

“งั้นมึงจะทำอะไรล่ะ ไอ้ตัวแสบ ไหนลองบอกมาซิ” ผมหันไปถามมัน

“แหะ กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ” ไอ้ซันยิ้มแห้งๆ

“ผมกำลังคิดว่าผมอยากไปดูพระอาทิตย์ตกอีกครั้งน่ะครับ แต่คราวนี้จะไปให้ถึงปลายทางเฮอร์มิทเรสท์เลย แต่ว่ามันก็ต้องเป็นตอนเย็นๆอยู่ดี บ่ายๆแบบนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำอะไร แล้วก็คงต้องภาวนาไม่ให้เย็นนี้หิมะตกอีกรอบด้วย เพราะดูแล้วท้องฟ้ายังครึ้มๆอยู่เลย” ไคล์พูดขึ้น “ศิลากับซันไม่ไปด้วยกันเหรอครับ”

“ไม่ล่ะครับ” ผมรีบตอบออกไป “มันก็น่าสนใจดีอยู่หรอกนะ แต่ไหนๆวันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายของพี่สองคนทั้งที พี่ว่าพี่อยากลองไปเดินเล่นในที่ๆพี่ยังไม่เคยไปมากกว่า ไคล์กับพีไปเที่ยวกันให้สนุกเถอะ”

เราสี่คนนั่งทานอาหารกันต่อจนใกล้จะเสร็จและพูดคุยย้ำถึงเรื่องหลังจากวันพรุ่งนี้ไปอีกครั้ง สรุปแล้วผมกับซันก็จะได้ไปใช้เวลาอยู่ที่ฟีนิกซ์อีกสองวันหนึ่งคืนก่อนที่จะนั่งเครื่องไปเจอไคล์ที่แอลเอ และให้เขามาหาพวกเราที่โรงแรมที่เราจะพักกันด้านหน้าดิสนี่ย์แลนด์พอดีหลังจากที่เขาเสร็จธุระที่บ้านปู่กับย่าของเขาแล้ว ตลอดเวลาที่เราสามคนคุยกันนั้น พีก็นั่งฟังเพียงอย่างเดียวแล้วก็คอยตอบคำถามหรือโต้ตอบบ้างเป็นระยะๆ แต่สิ่งที่สะกิดใจผมมากที่สุดก็คือเขาจะคอยมองมาที่ผมอยู่ตลอดเวลา จนสุดท้ายผมคิดว่าผมคงต้องลองตัดสินใจทำอะไรสักอย่างดูซะแล้ว

“เดี๋ยวพี่ขอตัวไปห้องน้ำหน่อยนะครับ” ผมพูดขึ้นแล้วก็หันไปสบตากับพี จากนั้นก็หันไปบอกไอ้ซัน “เดี๋ยวกูมานะซัน”

ผมลุกออกจากโต๊ะและเดินตรงไปยังห้องน้ำชาย เมื่อผมเข้าไปถึงในห้องน้ำแล้วผมก็ล้างมือ แล้วก็ยืนส่องกระจกอยู่ได้ราวๆสองนาที พีก็เดินตามเข้ามาตามที่ผมคิดเอาไว้ และโชคดีที่ไม่มีแขกคนอื่นอยู่ในนั้นเลยด้วย

“ว่าไงครับ มีเรื่องอะไรไม่สบายใจงั้นเหรอ” ผมถามเขา

“ก็ไม่เชิงหรอกครับ........ แต่ว่าผมไม่อยากจะทำให้ไคล์คิดมากตอนนี้เท่านั้น”

“นั่นสินะ พอมานึกๆดูแล้ว เราไม่ค่อยจะได้อยู่กันสองต่อสองเท่าไหร่เลยเนอะ ไปไหนก็ไปกันสี่คนหรือไม่พี่ก็อยู่กับไอ้ซันตลอด”

“ผมเองก็อยากจะคุยกับพี่เมฆสองคนมาตั้งนานแล้วล่ะครับ แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงดี” พีก้มหน้า ท่าทางรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าใดนัก

“ไม่ต้องกังวลหรอกครับ คราวหน้าถ้าอยากจะคุยกับพี่สองคนหรืออะไรล่ะก็ พูดขึ้นมาได้เลย ไอ้ซันมันไม่ว่าอะไรหรอก แล้วก็ไม่ต้องกังวลว่าพี่จะเอาไปบอกใครด้วย เรื่องของเราก็จะเป็นเพียงเรื่องของเราสองคนเท่านั้น”

ผมได้ยินเสียงคนกำลังเดินตรงเข้ามาในห้องน้ำ เราทั้งสองคนจึงหันไปมองทางประตูทันที และคนที่เดินเข้ามาก็เป็นฝรั่งอ้วนๆคนหนึ่งที่พาลูกชายอายุไม่น่าจะเกินสิบขวบมาด้วย

ผมกับพีหันกลับมาสบตากันอีกครั้ง

“ถ้ามันมีครั้งหน้าก็คงจะดีนะครับ.......” พีพูดขึ้นจากนั้นก็หลบสายตาผมหันไปมองทางอื่น

“ว่ายังไงนะครับ” ผมถามเขาด้วยความสงสัย แต่เมื่อผมเห็นสีหน้าลำบากใจของเขาแล้ว ผมก็พอเข้าใจได้ทันทีว่าเขากำลังหมายถึงเรื่องอะไร

“ผมเพิ่งจะได้เจอไคล์เขาแค่ไม่กี่วันก็จริงนะครับ พี่เมฆ แต่ว่าผมกลับรู้สึกดีกับเขามาก ผมคิดว่าบางทีเราทั้งคู่อาจจะรอคอยใครสักคนแบบนี้มานานแล้ว และพอเรามาเจอกัน เราก็เข้ากันได้ดีมากจริงๆ....... มันอาจฟังดูตลกนะครับ ผมรู้ แต่ว่าผมก็รู้สึกแบบนั้นจริงๆ”

ผมส่ายหน้า “ไม่ตลกเลยแม้แต่นิดเดียวครับ บางทีมันอาจจะฟังดูตลกกว่าด้วยซ้ำถ้าพี่บอกว่า พี่เข้าใจความรู้สึกนั้นจริงๆ” ผมเดินเข้าไปวางมือบนไหล่ของเขา แต่พีกลับเบือนหน้าหนีผมไปอีกครั้ง “พีมีเรื่องอะไรอยู่ในใจกันแน่ครับเนี่ย บอกพี่ได้นะครับ พีบอกพี่ได้ทุกเรื่องจริงๆ ถ้าพี่พอจะช่วยได้ล่ะก็.......”

พีสูดหายใจเข้าลึกๆหนึ่งครั้งก่อนจะหันกลับมาสบตากับผมอีกครั้ง

“ผมมีเรื่องอยากจะปรึกษาพี่เมฆครับ..........”



ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
ทำไมยิ่งจะจบยิ่งลุ้นหว่า  :m3:  :m3:  :m3: พีมีอะไรน้อ  :impress:  :impress:

nartch

  • บุคคลทั่วไป
 :impress:
จบสวย ๆ น๊า อย่าหักมุมมมม กลัวใจนักเขียนบอร์ดนี้กันจิง ๆ เล๊ยยยยย :try2:
ยิ่งหวาน ๆ ซึ้ง ๆ ประทับใจมาก ๆ แบบนี้.....ผ่านเรื่องร้าย ๆ มากันก็มากแล้ววววว
เอาใจช่วยให้ทั้งสองคู่ ประสบความสำเร็จในความรักกกกกกกก.... :call:
เผื่อมาถึงคนอ่านบ้างก็ดี   :m4:
 :catrun:

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนที่ 52


ผมเดินตรงเข้าไปหยุดอยู่ตรงรั้วเหล็กที่เย็นเฉียบเนื่องจากความหนาวเย็นของอากาศและหิมะที่เกาะอยู่เต็ม ผมใช้มือที่สวมถุงมืออยู่ปัดหิมะออก จากนั้นก็เท้าแขนลงไป โชคดีที่เสื้อแจ็กเก็ตของผมหนามากพอที่จะกันความเย็นเอาไว้ได้ ผมหันกลับไปมองยังรอบข้างของตัวเอง นอกจากผมแล้ว ก็ยังมีคนที่กำลังเดินสวนไปมาอีกเพียงสามคนแล้วก็มีผู้ชายอีกหนึ่งคนที่กำลังยืนถ่ายรูปอยู่ห่างๆเท่านั้น....... หิมะตกแบบนี้ ก็คงไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวคนไหนอยากจะออกมาจากห้องพักเท่าใดนักหรอก

หลังจากที่เราทานข้าวกันเสร็จแล้ว ไอ้ซันก็ขับรถพาพวกเรากลับกันไปที่ห้อง หลังจากที่เรานั่งคุยกันอีกพักหนึ่ง ไคล์ก็บอกว่าเขาอยากให้ซันขับรถไปส่งเขากับพีกลับไปที่เคบินให้หน่อย เพราะเขาอยากจะอยู่กันตามลำพังสักพัก ผมกับไอ้ซันก็ไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว ดังนั้นเราจึงขับรถพาเขากลับไปส่งที่เคบินของพีอีกครั้ง และเมื่อเราอยู่กันตามลำพังแล้ว ไอ้ซันก็เอ่ยปากขอยืมสมุดที่มันให้ผมมาเล่มนั้นคืนแป๊บหนึ่ง ตอนแรกผมก็ไม่เข้าใจสิ่งที่มันกำลังคิดอยู่ แต่ไม่ว่าผมถามยังไงถามเท่าไหร่มันก็ไม่ยอมบอกอยู่ดีว่ามันจะเอาไปทำอะไร มันแค่บอกผมว่าเดี๋ยวมันจะคืนให้ตอนเย็นนี้แน่ๆก็เท่านั้น และหลังจากที่ผมยื่นสมุดคืนให้กับมัน ไอ้ซันก็ขอตัวไปทำธุระส่วนตัวสักพัก มันบอกให้ผมนั่งเล่นนอนเล่นรออยู่ในห้องไปก่อน แต่ผมไม่อยากจะอยู่เฉยๆคนเดียวโดยที่ไม่ได้ทำอะไร ในเมื่อวันนี้เป็นวันสุดท้ายของผมที่อุตส่าห์ได้มายังสถานที่ที่ผมอยากมามานานแล้ว และเมื่อบวกกับความรู้สึกแปลกๆที่มันก่อตัวขึ้นมาในใจหลังจากที่คุยกับพีในห้องน้ำ ผมจึงตัดสินใจทิ้งโน๊ตเอาไว้ในห้องแล้วขึ้นรถชัตเติ้ลบัสมาที่นี่ทันที

ที่ๆผมนึกถึงขึ้นมาเป็นที่แรกก็คือทางด้านหลังของโรงแรมคาชินาและธันเดอร์เบิร์ด มันเป็นจุดชมวิวส่วนหนึ่งของไบรท์แองเจิ้ลเช่นกัน เมื่อวานตอนที่เราแวะมาทานข้าวกันที่อีแคฟตอนก่อนที่จะไปไฮค์ ผมก็รู้สึกสนใจบริเวณนี้และตั้งใจไว้ว่าถ้าเกิดมีหิมะตกขึ้นมาจริงๆเมื่อไหร่ผมจะต้องมาที่นี่ให้ได้ เพราะบรรยากาศโดยรอบและวิวทิวทัศน์ของแกรนด์ แคนยอนที่เราสามารถมองเห็นได้จากที่นี่มันสวยงามมากจริงๆ

ผมมองเห็นอินเดียน การ์เด็นอยู่ไกลๆเบื้องล่างนั่นแล้วก็ยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนเราจะสามารถใช้ขาสองข้างของตัวเองคู่นี้เดินไปได้ไกลถึงขนาดนั้น นอกจากการได้ไปเห็นและได้ไปสัมผัสกับแกรนด์ แคนยอนด้วยตัวเอง บวกกับอาการปวดขาจากการไฮค์แล้วนั้น การที่เราได้ลองไปไฮค์และพิสูจน์ในสิ่งที่เราสามารถทำได้เมื่อวานนี้ มันยังสอนอะไรผมได้อีกหลายๆอย่างด้วย........ ผมรู้สึกว่าผมได้ประสบการณ์ที่ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้อีกเยอะแยะมากมายเลยทีเดียว

“มาทำอะไรอยู่ที่นี่วะ” เสียงของไอ้ซันดังขึ้นทางด้านหลังของผม

เมื่อผมหันกลับไปมอง ก็เห็นมันกำลังเดินตรงเข้ามาพร้อมกับถือสมุดเล่มนั้นของมันเอาไว้ในมือข้างซ้ายทั้งๆที่มันก็สะพายกระเป๋าอยู่เหมือนกัน

“ก็ไม่อยากอยู่ในห้องเฉยๆน่ะ ก็เลยออกมาเดินเล่น” ผมหันกลับไปมองยังทิวทัศน์เบื้องหน้าอีกครั้ง “ตอนหิมะตกนี่มันก็สวยดีนะ”

ไอ้ซันเดินมาหยุดอยู่ข้างๆผม “อืมม แน่นอนอยู่แล้วว่ะ หิมะที่ตกแล้วไม่สวยน่ะ ไม่มีหรอก”

“ก็นั่นสิเนอะ.........”

“วันนี้วันสุดท้ายแล้วจริงๆสินะ”

“ใช่....... วันสุดท้ายแล้ว”

เราสองคนยืนกันอยู่เงียบๆแบบนั้นอีกสักพัก จากนั้นไอ้ซันก็ชี้ให้ผมมองขึ้นไปบนท้องฟ้า “มึงดูนั่นสิเมฆ........”

“อืมมมม” ผมเงยหน้าขึ้นไปแล้วส่งเสียงในลำคอออกมาเบาๆ “มึงให้กูดูอะไรวะ” ผมถามออกไปเพราะว่าท้องฟ้าตอนนี้มีเมฆหนามากจนมองแทบไม่เห็นท้องฟ้าและพระอาทิตย์เลยทีเดียว นอกจากนั้นตัวก้อนเมฆเองมันก็ไม่ได้ก่อตัวเป็นรูปทรงแปลกๆอะไรอีกด้วย

“กูไม่ได้ให้มึงดูอะไรเป็นพิเศษหรอก แต่แค่อยากให้มึงเห็นว่า ก้อนเมฆเวลาที่ตกลงมาสู่พื้นดินน่ะ มันไม่จำเป็นต้องกลายเป็นเม็ดฝนเหมือนกับหยดน้ำตา ไม่จำเป็นต้องมีเสียงฟ้าร้องและฟ้าผ่า และไม่จำเป็นต้องเป็นเมฆสีดำครึ้มที่ดูชวนให้หดหู่เสมอไปหรอก แต่มันก็สามารถที่จะตกลงมาเป็นหิมะที่ขาวสะอาดและสวยงามมากได้เหมือนกัน”

ผมหันกลับไปมองหน้าของมันด้วยความรู้สึกทึ่งและประหลาดใจแบบสุดๆ เมื่อไอ้ซันหันมาเห็นผมทำสีหน้าแบบนั้นอยู่มันก็เลยหัวเราะออกมาเบาๆ

“ทำไมวะ นานๆทีกูจะขอมีอารมณ์สุนทรีย์บ้างไม่ได้เลยรึไง........” มันเขยิบเข้ามาล็อคคอของผมอาไว้ “กูรักมึงนะเมฆ”

ผมรู้สึกว่าความรู้สึกและอารมณ์ของผมมันท่วมท้นขึ้นมาทันที จนผมต้องกลืนน้ำลายลงคอไปอึกหนึ่งก่อนจะพูดประโยคๆนั้นที่ผมเคยพูดออกไปไม่รู้กี่ร้อยหนแล้วแต่ผมก็ยังไม่เคยเบื่อที่จะพูดมันออกไปเลยออกมา

“กูก็รักมึงเหมือนกัน”

ไอ้ซันยืนกอดคอของผมนิ่งอยู่สักพักมันก็เปลี่ยนเป็นคว้ามือของผมแล้วก็พาผมเดินไปยังจุดชมวิวอีกจุดหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากตรงที่ที่เรายืนอยู่เมื่อครู่ เพียงแต่ว่าบริเวณนั้นมันจะไม่มีรั้วกั้นเอาไว้เท่านั้นเอง

“ว่าแต่ไคล์กับพีล่ะ มึงรู้มั๊ยว่าเขาทำอะไรกันอยู่” ผมถามออกไปขณะที่เรากำลังเดินผ่านผู้คนจำนวนหนึ่งช้าๆ คนบางคนเมื่อเห็นเราเดินจูงมือกันเขาก็มองเราด้วยสายตาแปลกๆตามเคย

“ก็คงอยู่ในเคบินเขาล่ะมั๊ง อีกราวๆสองชั่วโมงก็คงได้เวลาออกไปดูพระอาทิตย์ตกกันแล้วนี่ แต่เราก็นัดกันไว้เรียบร้อยแล้วนี่ว่าให้ไปเจอกันที่ยาวาพายหลังจากมันกลับมาจากดูพระอาทิตย์เรียบร้อยแล้วน่ะ”

ผมกับไอ้ซันหยุดอยู่ตรงขอบหน้าผาจากนั้นก็นั่งชันเข่าลงบนพื้นทั้งคู่โดยไม่ได้สนใจกับผู้คนที่เดินวนไปเวียนมาเลย เพราะว่าบริเวณนี้มันก็เป็นจุดชมวิวที่เราจะนั่งกันตรงไหนก็ได้อยู่แล้ว ขอแค่เราไม่ไปขวางทางเดินของเขาก็พอ และนอกจากเราสองคนแล้วก็ยังมีคู่ชายหญิงอีกคู่หนึ่งที่นั่งลงบนพื้นแบบเราด้วย เพียงแต่เขาทั้งคู่อยู่ห่างออกไปอีกนิดหน่อยเท่านั้นเอง

“ไม่น่าเชื่อเลยเนอะว่าจะสี่วันแล้ว” ผมพูดขึ้น “มีไอ้นู่นไอ้นี่เกิดขึ้นเยอะแยะเลย พอวันนี้ได้มาอยู่สงบๆไม่มีอะไรทำในบรรยากาศแบบนี้ ก็เลยรู้สึกแปลกๆเหงาๆขึ้นมาทันทีเลยว่ะ”

“ก็คงงั้นแหละมั๊ง” ไอ้ซันตอบ “ว่าแต่มึงสนุกรึเปล่าที่ได้มาที่นี่น่ะ”

ผมหันไปยิ้มให้กับมัน “สนุกที่สุดเลย ได้เจอได้รับรู้เรื่องราวอะไรหลายๆอย่าง แต่มันก็เป็นความทรงจำที่กูคงไม่มีวันลืมไปตลอดชีวิตแน่ๆ......... นอกจากนั้นนะ ถึงช่วงเวลานับตั้งแต่ที่กูได้กลับมาเจอมึงอีกครั้งจะเป็นช่วงเวลาที่พิเศษที่สุดแล้ว แต่ตลอดสี่วันมานี้ การที่กูได้มีมึงอยู่เคียงข้างและได้ทำอะไรๆแบบคนที่เป็นคนรักเขาทำกัน มันจึงเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของกูเท่าที่กูเคยมีมาเลยทีเดียว”

“ถ้าอย่างนั้น.........” ไอ้ซันยิ้มกว้างตอบให้กับผม “กูก็อยากจะทำให้มันเป็นช่วงเวลาที่ดีที่มึงจะประทับใจและไม่มีวันลืมได้จริงๆนะ”

“มึงหมายความว่าไง” ผมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

“ก็นั่นสินะ..........” ไอ้ซันยิ้มแล้วหันหน้ากลับไปมองยังทิวทัศน์เบื้องหน้าอีกครั้งทำเอาผมอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ว่ามันกำลังคิดอะไรอยู่อีกกันแน่นะ

แต่ก็ช่างเถอะ เพราะแค่เพียงตอนนี้ผมมีมันอยู่ข้างๆกายแบบนี้ผมก็พอใจแล้ว........... ตลอดสี่ปีที่ผ่านมาผมไม่เคยนึกไม่เคยฝันเลยว่าผมจะได้มีวันนี้กับมัน วันที่ได้เดินจูงมือกัน ได้พูดคำว่ารัก และได้แสดงออกให้ใครคนอื่นๆนอกตัวเราสองคนเองเห็นและรับรู้ว่าเราสองคนนั้นรักกันมากขนาดไหน โดยเฉพาะหลังจากที่เราทั้งสองคนต้องห่างกันไปครั้งนั้น ผมก็ไม่เคยคิดอีกเลยว่าชีวิตของผมจะมีวันไหนที่ผมสามารถมีความสุขได้มากเท่ากับตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี่ แต่เมื่อคิดๆดูแล้ว การที่เราต้องห่างกันไปนั้นมันก็อาจจะเป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้เราได้กล้าพูดและกล้าแสดงความรู้สึกของเราทั้งคู่ออกมาก็ได้ เพราะถ้าไม่เป็นอย่างนั้นแล้ว จนถึงบัดนี้ ผมกับมันก็อาจจะยังคงเป็นแค่เพื่อนกันอยู่ก็ได้ ใครจะไปรู้............ บางที ผมคงต้องขอบคุณโชคชะตาอันโหดร้ายที่กล้าเล่นตลกกับเราสองคนเมื่อตอนนั้นสักหน่อยแล้ว

“เสียเวลาไปตั้งนานเนอะ.........”

“อืมม เสียเวลาไปตั้งนานจริงๆ” ไอ้ซันพยักหน้า จากนั้นเราสองคนก็เงียบลงไปอีกครั้ง

ลมเย็นๆพัดผ่านมาเบาๆพาเอาความหนาวแทรกซึมเข้าไปได้ถึงภายในร่างกายของผม แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังคงไม่สามารถพัดพาเอาความอบอุ่นในใจที่ผมกำลังมีอยู่ให้สูญหายไปได้

“นี่ ซัน.......... มึงเคยคิดถึงเรื่องของอนาคตมั๊ยวะ”

“คิดสิวะ คิดหลายอย่างด้วย”

“แล้วมีเรื่องของกูอยู่ในนั้นด้วยรึเปล่า”

“ถามอะไรโง่ๆนะมึง” ไอ้ซันหันมามองผมพร้อมกับคว้ามือของผมเอาไว้ “มึงคือชีวิตของกูนะ ถ้ากูไม่คิดถึงมึงแล้วกูจะไปคิดถึงใครวะ ฮึ”

ผมบีบมือของมันให้แน่นขึ้นพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นก็หันกลับไปมองยังทิวทัศน์รอบข้างอีกครั้ง ลมเย็นๆที่ยังคงพัดมาพาให้ผมรู้สึกสบายและสงบมากจริงๆ ถึงจะหนาวกาย แต่ก็อุ่นใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีคนที่ผมทั้งรักและฝากชีวิตเอาไว้ได้อยู่กับผมแบบนี้ด้วยแล้ว......... ไม่มีช่วงเวลาไหนในโลกนี้ที่จะมีค่าและสวยงามมากไปกว่าช่วงเวลาที่ผมมีมันอีกต่อไป

“จริงๆแล้วกูเองก็เคยมีคิดอะไรอยู่เรื่องนึงเหมือนกันนะ...... อย่างมึงอาจจะคิดว่ามันไร้สาระก็ได้ แต่บางทีกูก็รู้สึกสับสนเหมือนกันว่ะ” ผมพูดขึ้นหลังจากที่หันไปเห็นคู่ชายหญิงคู่นั้นที่นั่งมองเราแล้วหันไปหัวเราะคิกคักกัน จากนั้นผู้หญิงก็หันมายิ้มกว้างแล้วชูนิ้วโป้งให้ผม ผมจึงส่งยิ้มกลับไปให้เขา

“เรื่องอะไรวะ”

“กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ...... คือ ซัน มึงก็รู้ใช่มั๊ยว่ากูรักมึงมาก และกูก็ไม่เคยรู้สึกอะไรแบบนี้ให้กับคนอื่นมาก่อนเลย โดยเฉพาะกับผู้ชายน่ะ”

“อืมม แล้วไง”

“แล้วมึงล่ะ เคยคิดอะไรแบบที่มึงคิดกับกูให้กับผู้ชายคนอื่นรึเปล่า......... กูหมายถึง แบบว่า คือ เราสองคนนี่เป็น ‘เกย์’ กันใช่มั๊ยวะ” ผมพูดออกไปจากนั้นก็หันไปมองหน้าไอ้ซัน แต่มันกลับมองหน้าผมด้วยสีหน้าแปลกๆจนผมต้องรีบพูดอธิบายสิ่งที่ผมคิดออกไปอีก “กูรู้ว่ากูพูดอะไรแปลกๆ คือ กูหมายถึงว่า กูก็ไม่รู้ตัวเองเหมือนกันอ่ะ กูไม่เคยรู้สึกอะไรแบบนี้กับผู้ชายคนอื่นเลยจริงๆไม่ว่าจะทางร่างกายหรือจิตใจ คือก็มีบ้างที่กูเห็นว่า คนนู้นหน้าตาดีคนนี้หล่อดีนะ อะไรแบบนั้น แต่ว่ามันก็แค่นั้นไง ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น กูก็เลยสงสัยว่ามึงคิดยังไงเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้าง มึงเคยสงสัยตัวเองมั่งรึเปล่าอะไรแบบนั้นน่ะ มึงคิดมั๊ยว่าตัวเองเป็นเกย์ไปแล้ว แล้วยังเรื่องที่คนอื่นๆเขาจะคิดเกี่ยวกับตัวของเรา....... ตัวของมึงอีก...... โอ๊ย ไอ้เหี้ย กูพูดห่าอะไรไม่รู้เรื่องเลยว่ะ ช่างมันเหอะ”

แต่เมื่อผมพูดจบไอ้ซันกลับหัวเราะออกมาจากนั้นก็จับหน้าของผมให้หันกลับไปสบตากับมันอีกครั้ง “ช่างหัวคนอื่นสิ กูไม่แคร์เรื่องที่คนอื่นคิดอยู่แล้ว กูแคร์แค่มึงคนเดียว ถ้าความรักที่เรามีมันเป็นเกย์ งั้นก็ช่างแม่ง กูเป็นเกย์สำหรับมึง และจะเป็นเพื่อมึงตลอดไป”

ผมไม่สามารถหาคำพูดอะไรมาบรรยายความคิดหรือความรู้สึกของผมได้อีกต่อไป คำพูดประโยคนั้นของมันตอบผมหมดทุกอย่าง ตอบทั้งคำถามและความรู้สึกของผมที่มีให้แก่มันด้วย ผมรู้สึกว่าน้ำตาของผมมันเริ่มรื้นมาที่ขอบตาเล็กน้อยแล้ว และไอ้ซันก็ดูจะสังเกตเห็นสิ่งนั้นด้วยเช่นกัน มันจึงหัวเราะและใช้มือข้างที่จับหน้าของผมนั้นตบแก้มผมเบาๆสามสี่ที

“อ่ะนี่ มึงเอาสมุดคืนไป” ไอ้ซันยื่นสมุดที่ถืออยู่ในมือคืนให้แก่ผม “มึงพร้อมจะอ่านรึยัง”

ผมมองหน้าของมันด้วยความประหลาดใจ “มึงหมายความว่ากูอ่านมันได้แล้วเหรอ”

“อ้าว ก็กูบอกมึงแล้วไงว่ามึงพร้อมจะอ่านเมื่อไหร่ก็แล้วแต่มึง”

“ไม่ใช่ๆ กูหมายถึงว่าถ้ากูอยากจะอ่านตอนนี้โดยที่มีมึงอยู่ด้วยเนี่ยนะ มึงยอมให้กูอ่านเหรอ”

“อืออ ใช่” ไอ้ซันพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มเล็กน้อย “จริงๆแล้วกูอยากให้มึงอ่านตอนที่มีกูอยู่ตอนนี้แล้วก็ที่นี่เลยด้วยซ้ำ...... มึงอยากมั๊ยล่ะ”

ผมพยักหน้าตอบกลับไปอยากรวดเร็วจากนั้นก็ค่อยๆเปิดมันออกช้าๆ ในที่สุดผมก็จะได้รู้สักทีแล้ว ว่าสิ่งที่ไอ้ซันมันตั้งใจทำและเขียนให้กับผมนั้นคืออะไรกันแน่ ตลอดเวลาที่ผ่านมา......... มันคิดอะไรอยู่ในใจบ้างนะ

“เดี๋ยวก่อน” ผมหยุดมือและเงยหน้าขึ้นไปสบตากับมัน “สมุดเล่มนี้นี่มึงเริ่มเขียนมันตั้งแต่เมื่อไหร่วะ”

“ตั้งแต่กูมาถึงที่อังกฤษ”

ผมพยักหน้าช้าๆแล้วก็หันกลับไปจะเปิดหน้าปกของสมุดเล่มนั้นออก แต่แล้วก็เกิดนึกอะไรขึ้นมาได้อีกและหยุดมือลงอีกครั้ง

“อีกอย่างนึง” ผมหันไปมองหน้ามันอีกครั้ง “กู........ คือไอ้สมุดเล่มนี้มันก็อีกเรื่องนึงนะ แต่ตั้งนานมาแล้ว ตั้งแต่ที่กูมาถึงอังกฤษแล้วว่ะ กูสงสัยว่า....... กูสงสัยว่าหนังสือที่กูซื้อให้มึงแต่ก็ไม่ได้มอบให้กับมึงด้วยตัวกูเองเล่มนั้นน่ะ มึงเก็บไว้ที่ไหนวะ”

ไอ้ซันยิ้มแล้วหัวเราะเบาๆ “ถ้ากูบอกมึง แล้วมึงจะหัวเราะมั๊ยวะ”

ผมส่ายหน้า “กูจะหัวเราะทำไมวะ อย่าบอกนะว่ามึงทิ้งมันไปแล้ว” ผมรู้สึกใจหายขึ้นมาทันทีว่ามันจะบอกว่ามันทิ้งหนังสือเปื้อนเลือดเล่มนั้นไปแล้วเพราะว่ามันไม่อยากจะเก็บเอาไว้หรือเก็บเอาไว้ไม่ได้ ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม

“เฮ้ย จะบ้าเหรอ กูจะทิ้งได้ยังไง” ไอ้ซันยิ้มแล้วส่ายหน้าเบาๆ “มึงก็รู้ว่าหนังสือเล่มนั้นน่ะ มันเปื้อนเลือดเยอะมากแล้วก็เยินแบบสุดๆเลยด้วย ตอนแรกพ่อกับแม่กูเขาไม่รู้ว่ามันคืออะไรเขาก็เกือบจะเอามันไปทิ้งทีนึงแล้ว โดยเฉพาะริต้านี่ตัวดีเลยล่ะ กูก็เลยต้องป่าวประกาศตั้งแต่ตอนก่อนที่มึงจะมาว่าห้ามมายุ่งกับหนังสือเล่มนี้ของกูเด็ดขาด เพราะว่ากูวางมันเอาไว้อย่างเห็นได้ชัดมากเลยไง” ผมเชื่อว่าไอ้ซันคงมองเห็นสีหน้าประหลาดใจของผมแน่เพราะมันยิ้มกว้างจากนั้นก็เริ่มเล่าต่อ “นั่นสิ กูเองก็แปลกใจเหมือนกันนะ เพราะขนาดมึงเองที่มาอยู่ห้องกูตั้งหลายหน มานอนห้องกูตั้งหลายคืน มึงยังหามันไม่เจอเลย”

ไอ้ซันเงียบไปพักหนึ่งจนผมทนไม่ได้ “เอ้า มึงก็รีบๆบอกมาสิวะว่ามึงเอาไปวางไว้ที่ไหน มันจะมีที่ไหนที่ ‘วางไว้อย่างเห็นได้ชัด’ แต่กูเป็นคนเดียวที่มองไม่เห็นวะ”

ไอ้ซันหัวเราะในลำคอเบาๆ “กูวางมันไว้ใต้หมอนของกูเอง”

ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังอ้าปากค้างเพราะความประหลาดใจ มันเป็นที่ๆเห็นได้ชัดแต่ก็ไม่แปลกเลยถ้าจะหาไม่เจอจริงๆด้วย เพราะใครจะคิดว่ามันจะเอาหนังสือเล่มนั้นไปเก็บไว้ใต้หมอนที่ตัวเองนอนอยู่ทุกคืน และถ้าแม่ของไอ้ซันหรือริต้าซึ่งเป็นคนทำความสะอาดจะเจอมันเข้าก็คงไม่แปลกเพราะทั้งคู่ต่างก็เคยเป็นคนที่เปลี่ยนผ้าปูที่นอนให้ไอ้ซันเป็นปกติอยู่แล้ว แต่ผมเองนี่สิที่ไปขลุกอยู่ห้องมันตั้งไม่รู้กี่หน แต่ก็ไม่เคยได้นึกถึงใต้หมอนใบนั้นที่ผมยังเคยแม้แต่นอนหนุนนอนมันมาแล้ว แถมนี่ก็หมายความว่า มันนอนโดยที่มีหนังสือเล่มนั้นอยู่ใต้หัวของมันทุกคืนเลยอย่างนั้นน่ะหรือ

“แล้ว แล้วทำไมกูถึงได้ไม่เคยเห็นมันเลยวะเนี่ย...... นี่กูเซ่อขนาดนี้เลยเหรอวะ”

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกน่า แต่กูก็คิดอยู่เหมือนกันนะ ว่ามึงจะเจอมันเข้ารึเปล่า โดยเฉพาะหลังจากวันที่กูเจอสมุดของมึงอยู่บนเตียงมึงวันนั้น.........”

ผมยิ่งรู้สึกช็อคมากขึ้นไปอีกเมื่อมันพูดออกมาแบบนั้น ความทรงจำเมื่อวันนั้นมันก็วิ่งกลับเข้ามาหาผมทันที

“มึงสังเกตด้วยเหรอ วันนั้น........” ผมอ้าปากค้าง

“ก็นิดหน่อยว่ะ” ไอ้ซันยักไหล่ “ก็ตอนแรกมันยังวางอยู่ข้างๆหัวกูอยู่เลย แต่พอมึงลุกไปมันก็หายไปอยู่ใต้หมอนซะอย่างนั้นเนี่ยนะ” มันหัวเราะเบาๆ “แต่กูไม่ได้เปิดอ่านหรอก วางใจเถอะ กูน่ะ สังเกตเห็นมันวางอยู่บนชั้นหนังสือของมึงข้างๆกับ เดอะ มิซซิ่ง พีซ มีทส์ เดอะ บิ๊ก โอ ที่กูซื้อให้มึงมาตั้งนานแล้ว แต่วันนั้นพอกูเข้าไปในห้องของมึง มันก็ดันมาวางอยู่บนเตียง และพอมึงเดินออกจากห้องไปผัดผักให้กูกิน กูก็เลยลองเปิดหมอนขึ้นมาดู แล้วมันก็อยู่ที่นั่นจริงๆด้วย........ ตอนนั้นกูก็แค่สงสัยเท่านั้นแหละว่ามันคืออะไร และแอบคิดว่ามึงจะมีมันไว้เพื่อมอบให้กับกูเหมือนสมุดเล่มนี้ที่กูตั้งใจมอบให้กับมึงรึเปล่าก็เท่านั้น และพอกูรู้ว่ามึงตั้งใจจะให้กูจริงๆกูก็ดีใจมากเลย........ เอาล่ะ คราวนี้ถึงตาของมึงที่จะได้อ่านสมุดของกูมั่งแล้วนะ ยังจะอยากอ่านมันอยู่รึเปล่าเนี่ย”

ถึงผมจะยังคงงงๆและปรับความคิดให้กลับมาเป็นปัจจุบันไม่ทัน แต่ผมก็พยักหน้าแล้วก็ก้มลงมองไปยังสมุดเล่มหนาบนมือของผมอีกครั้ง ผมค่อยๆเปิดมันออกช้าๆ

หน้าแรกนั้นมีวันที่เขียนเอาไว้ที่มุมบนขวา ผมจำลายมือนั้นได้อย่างดีทีเดียว

“อันนั้นเป็นวันที่วันแรกที่กูเริ่มเขียน และเป็นวันแรกที่กูมาถึงที่อังกฤษเลยด้วย” ไอ้ซันพูดออกมา “มึงอ่านไปแล้วกันนะ อ่านจบแล้วก็ค่อยเรียกกูก็แล้วกัน”

ผมเงยหน้าขึ้นมาพยักหน้าให้มันช้าๆ แต่ไอ้ซันไม่ได้กำลังมองหน้าผมอยู่ ผมสังเกตเห็นว่าหน้ามันแดงมากทีเดียว และเมื่อมันเห็นด้วยหางตาว่าผมกำลังอมยิ้มอยู่มันก็หันหลังให้ผมทันที

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ผมก้มลงไปอ่านสมุดในมือของผมอีกครั้ง ในหน้าแรกที่มันบอกเมื่อครู่นี้นอกจากวันที่ที่ด้านมุมบนขวาแล้ว ตรงกลางกระดาษก็ถูกเขียนประโยคสั้นๆเอาไว้ว่า..........


“ความยิ่งใหญ่ของท้องฟ้าจะมีค่าอะไร ถ้าไม่มีคนเข้าใจ และ แหงนมองดู”


เมื่อผมนึกถึงความรู้สึกของมันในวันที่มันต้องเขียนประโยคๆนี้ออกมา ความรู้สึกเจ็บแปลบภายในอก ความเหงา และความเศร้าที่มันต้องเคยรู้สึกก็วิ่งผ่านเข้ามาในใจของผมทันที ทุกๆลายเส้นในประโยคสั้นๆนั้นมันสื่อความหมายออกมาได้ทุกอย่างจริงๆ

ผมต้องพยายามควบคุมความรู้สึกของตัวเองไว้อย่างมากทีเดียวเพื่อที่จะไม่เผลอร้องไห้ออกมา ผมจึงตัดสินใจรีบพลิกเปิดสมุดหน้าต่อไป

หน้าต่อมาก็ยังคงมีวันที่ถูกเขียนเอาไว้อีก ซึ่งเป็นวันถัดมาจากวันแรกนั้น คราวนี้หน้ากระดาษถูกเขียนเอาไว้จนเกือบเต็มเลยทีเดียว.......


“รู้สึกเหมือนไม่ใช่ตัวของตัวเองเลยว่ะ ความรู้สึกแม่งเหี้ยมากๆ นี่กูจะต้องทนเป็นแบบนี้ไปอีกสักเท่าไหร่วะ เหี้ยเอ๊ย!! แค่ไอ้การมานั่งเขียนอะไรแบบนี้มันก็ไม่ใช่ตัวกูแล้ว แล้วนี่กูจะเขียนห่าอะไรดีวะเนี่ย ไอ้สัตว์ เขียนๆอยู่ก็ยังบ่นๆไปอีก สงสัยบ่นๆงงๆไปก็คงเขียนได้หน้านึงแล้วมั๊งเนี่ย.........


เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ผมก็อดหัวเราะออกมาเบาๆไม่ได้ เพราะผมรู้ว่าไอ้การที่มานั่งเขียนอะไรแบบนี้มันไม่ใช่นิสัยไอ้ซันจริงๆนั่นแหละ


“.........แต่จะบ่นไปหาอะไรวะ อย่างน้อยๆก็ได้ระบายมันออกมามั่งก็คงดีแล้วล่ะมั๊ง คิดถึงไอ้เมฆว่ะ คิดถึงไอ้เมฆมาก คิดถึงโคตรๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ไอ้เหี้ยเอ๊ยย!! ทำไมกูเหี้ยแบบนี้วะ ไอ้สัตว์!! ไอ้เมฆ กูคิดถึงมึง!! ทำไมกูถึงต้องทำตัวให้มันเสียใจด้วยวะทำไมกูถึงได้เลือกทางเดินที่กูคิดว่ากูพอใจและน่าจะดีที่สุดสำหรับเราทั้งคู่แล้วแต่กูกลับต้องมานั่งเสียใจอยู่แบบนี้ ทำไมถ้ากูไม่มีมันแล้วกูก็คงไม่สามารถตัดสินใจทำอะไรที่ถูกต้องได้กับเขาบ้างเลยรึไง ทำไมกูถึงได้เป็นคนที่น่าสมเพชขนาดนี้ ทำไมกูต้องทำร้ายมันด้วย ทำไมกูต้องทำร้ายตัวเอง จะมีวันไหนที่กูจะได้เจอกับมันอีกมั๊ยวะ จะมีวันไหนที่กูได้มีโอกาสบอกมึงว่ากูรักมึงมั๊ยวะ เมฆ......... จะมีวันไหนที่มึงจะได้ยินคำว่า ‘รัก’ ออกมาจากปากของกูมั๊ย”


ผมรู้สึกน้ำตามันเริ่มไหลออกมาอีกครั้ง ผมเงยหน้าขึ้นไปมองไอ้ซัน แต่มันก็ยังคงนั่งหันหลังให้กับผมอยู่ดี ผมจึงก้มลงไปอ่านสมุดของมันต่อ


“ถ้าย้อนเวลาได้กูคงย้อนกลับไปแก้ไขมันแล้ว แต่นี่กูทำไม่ได้ แล้วมึงจะทำเหี้ยอะไรได้มั่ง ไอ้ซัน ไอ้ควาย เอาแต่พร่ำเพ้อไปไอ้เมฆมันก็ไม่รู้ แต่ถึงมันรู้ มันก็คงไม่ให้อภัยมึงอีกแล้ว มึงสมควรที่จะต้องทนอยู่กับความรู้สึกนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ ไอ้สัตว์!! จำเอาไว้ จงเดินต่อไป เดินต่อไป เดินต่อไปข้างหน้า มึงเลือกทางเดินนี้แล้ว มึงต้องเดินต่อไปให้ได้ และถ้ามีโอกาสเมื่อไหร่ มึงค่อยทำมันครั้งหน้าให้ดีที่สุด อย่าได้ทำพลาดแบบเดิมอีก

จะมีวันที่ไอ้เมฆมันจะได้อ่านสมุดเล่มนี้รึเปล่าวะ มึงจะได้อ่านลายมือของกูนี่มั๊ย มึงจะมีวันได้รับรู้ว่ากูเคยตั้งใจที่จะ “ทำ” สมุดเล่มนี้ให้กับมึงรึเปล่า ถ้าเมื่อไหร่ที่มึงกับกูได้มีโอกาสกลับมาเจอกันอีกครั้งนะ เมฆ กูจะต้องมอบสมุดเล่มนี้ให้แก่มึงให้ได้เลย”



หน้าแรกไอ้ซันเขียนจบลงเพียงเท่านี้ ผมจึงพลิกอ่านหน้าต่อไป แต่ทว่าหน้าถัดไปนั้นไม่มีวันที่เขียนเอาไว้ แต่มีเพียงประโยคสั้นๆถูกเขียนเอาไว้กลางหน้ากระดาษเท่านั้น ผมอ่านออกเสียงออกมาดังๆ

“ตะวันเอย ขอจงสดใสเรื่อยไป เรื่อยๆไป  ทั้งเธอและฉันตราบแม้สักวัน เราต้องจากกัน  หากถึงวันนั้น อย่าลืมสายใยผูกพัน - - ระหว่างเรา”

ไอ้ซันหันกลับมามองผมทันที “มึงอ่านถึงนั่นแล้วเหรอ”

“ไอ้นี่นี่มัน.........”

“ใช่ ประโยคหนึ่งจากหนังสือที่มึงเคยซื้อให้กูเมื่อตอนนู้นนั่นแหละ”

ผมพยักหน้าช้าๆ จากนั้นก็กำลังจะก้มอ่านหน้าต่อไปต่อ แต่ก็ไม่ลืมที่จะหันไปกำชับบางอย่างกับมันไว้ด้วย “ต่อจากตรงนี้มึงห้ามหันหนีกูไปอีกนะ ไม่งั้นมึงจะให้กูอ่านตอนที่มึงยังอยู่ตรงนี้กับกูทำไมวะถ้ามึงไม่ยอมมีส่วนร่วมด้วยเลยเนี่ย”

ไอ้ซันทำหน้านิ่วแต่ก็ยอมพยักหน้าออกมาแต่โดยดี

ผมพลิกดูหน้าต่อไป และมันก็มีรูปของท้องฟ้ากับก้อนเมฆแปะเอาไว้พร้อมกับวันที่และเขียนบรรยายสภาพอากาศของวันๆนั้น พร้อมกับประโยคสั้นๆว่า


“อยากให้มึงเป็นแบบนี้ได้ตลอดไป”


และอีกห้าหน้าถัดมาก็เป็นแบบนี้ตลอด มันเป็นภาพท้องฟ้าที่สวยมาก ทั้งก้อนเมฆที่ลอยอยู่เคียงคู่ท้องฟ้าสีคราม และบางครั้งก็เป็นรูปพระอาทิตย์ที่มีก้อนเมฆมาบดบังเอาไว้เล็กน้อย แต่เมื่อมาถึงรูปที่หกมันกลับกลายเป็นรูปท้องฟ้าที่มืดครึ้มและมีฝนกำลังตกอยู่อย่างรุนแรง และทางด้านล่างของรูปนั้นก็เขียนเอาไว้ว่า


“มึงจะกำลังร้องไห้เหมือนกับกูอยู่รึเปล่า”


ผมเงยหน้าขึ้นไปสบตากับมันทันที และไอ้ซันก็หลบสายตาผมพร้อมกับใบหน้าที่แดงก่ำ ผมหัวเราะออกมาเบาๆจากนั้นก็พลิกหน้ากระดาษต่อไป หลายๆหน้าหลังจากนั้นก็เป็นรูปของท้องฟ้ากับก้อนเมฆทั้งที่มันถ่ายเอง และไปตัดมาจากที่อื่นบ้างอีกสิบกว่ารูปสลับกับการที่มันเขียนบรรยายความรู้สึกต่างๆลงไปสั้นบ้างยาวบ้าง มีทั้งความดีใจท้องฟ้าแจ่มใส วันที่แดดแรงและรู้สึกร้อนใจ รวมไปถึงความเศร้าใจที่มีเมฆมืดครึ้มด้วย วันที่ที่มุมบนกระดาษก็บอกเวลาว่าผ่านมาได้ราวๆหกเดือนแล้ว จนกระทั่งมาถึงหน้าหนึ่งที่เป็นลายมือของมันล้วนๆเขียนเอาไว้ตัวโตกลางหน้ากระดาษโดยไม่มีรูปถ่ายของท้องฟ้าอีกครั้ง


“ครั้งนี้กูจะไม่ทำพลาดอีกแล้ว!!!”


ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะไม่เข้าใจความหมายของมัน แต่เมื่อพลิกไปอ่านหน้าต่อไป ผมก็เข้าใจแล้วว่าหน้าที่ผ่านมาเมื่อครู่นั้นหมายถึงอะไร............


“ในที่สุด ความหวังของกูมันก็คงจะได้เป็นจริงสักทีสินะ ในที่สุดกูก็จะได้เจอมันอีกครั้งแล้ว ไอ้เมฆ!! มึงจะรู้มั๊ยนะ ว่ากูคิดถึงมึงมากแค่ไหน มึงจะรู้มั๊ย ว่ากูรักมึงมากจริงๆ กูเฝ้ารอคอยและยึดมั่นในตัวของมึงมาตั้งนาน ไม่สิ กูคิดผิดไปหน่อย กูเฝ้ายึดถือในความรักที่กูมีให้มึงมานานแสนนาน กูไม่เคยยอมแพ้ในสายสัมพันธ์ที่กูมีให้กับมึง กูก็ไม่รู้หรอกว่ามึงจะยังคงรักกูอยู่มั๊ย กูไม่รู้ว่ามึงจะให้อภัยกูและพร้อมจะเริ่มต้นกับกูใหม่รึเปล่า กูคงต้องเจ็บปวดอีก แต่กูจะไม่ยอมทำให้มึงต้องเสียใจอีกต่อไปแล้ว เมฆ....... สักวันนึง กูจะทำให้มึงเป็นผู้ชายที่มีความสุขที่สุดในโลกให้ได้ กูสัญญา

ปล. พอกันทีกับความเจ็บช้ำ”



ผมยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดน้ำตาบนใบหน้าเบาๆ เพราะความรู้สึกเมื่อหนึ่งปีก่อนมันย้อนกลับมาวิ่งวนเวียนอยู่ในใจของผมอีกครั้ง ความรู้สึกเหงา เศร้า และเจ็บปวด ความรู้สึกรัก คิดถึง แต่ก็ท้อแท้...... น้ำตาของผมมันไหลออกมาเพราะจากความทรงจำของตัวผมเอง และจากความรู้สึกของไอ้ซันที่มันถ่ายทอดออกมาจากทุกๆตัวหนังสือที่มันเขียนนี่ด้วย....... ผมพลิกหน้ากระดาษต่อไป แต่ทว่ามันกลับว่างเปล่า ผมพลิกดูหน้าถัดไปอีก ก็เห็นว่ามันก็ยังคงไม่มีอะไรเขียนเอาไว้อยู่ดี

“หมดแล้วว่ะ ตั้งแต่พอกูรู้ว่ามึงจะมาที่อังกฤษกูก็เลิกเขียนเลิกแปะรูปไปเลย เพราะกูรู้ว่าก้อนเมฆของกูกำลังจะกลับมาหากูแล้ว กูก็ไม่จำเป็นที่ต้องคอยมองดูก้อนเมฆที่กูเอื้อมไม่ถึงอีกต่อไป........ แต่ว่าหน้าสุดท้ายของสมุดยังมีอยู่อีกหน่อยนึงนะ” ไอ้ซันพูดขึ้น

ผมรีบเปิดไปยังหน้าสุดท้ายอย่างที่ไอ้ซันบอกทันที ผมเห็นลายมือของมันเขียนประโยคที่มาจากหนังสือเล่มนั้นที่ผมเคยซื้อให้มันอีกเช่นกัน และวันที่บนมุมขวาก็บอกถึงวันที่ผมมาถึงที่อังกฤษเป็นวันแรกด้วย


“วันต่อไปจะมีกันหรือไม่ ไม่สำคัญ  วันนี้เป็นเวลาที่ดีที่สุด ที่เรา - - มีกันและกันก็พอ”


“ตอนแรกกูตั้งใจจะเอาสมุดเล่มนี้ไปแปะรูปเพิ่ม เพราะที่เจเนอรัลสโตร์มันมีอัดรูปน่ะ แต่ว่าพอมานึกๆดู กูก็เขียนปิดท้ายเล่มเอาไว้แล้วในวันที่มึงมาถึงที่อังกฤษเป็นวันแรก เพราะงั้นกูก็เลยคิดว่ากูไม่น่าจะไปยุ่งอะไรเกี่ยวกับมันอีกดีกว่าเพราะว่ากูยกมันให้มึงไปแล้ว....... ดังนั้นกูก็เลยซื้อสมุดเล่มนี้มาแทนและทำอะไรเพิ่มลงไปอีกนิดหน่อย” ไอ้ซันหยิบสมุดเล่มหนึ่งที่มีลายของแกรนด์ แคนยอนอยู่บนปกออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นมาให้แก่ผม “สมุดเล่มนี้จะเป็นของเราสองคน เมฆ”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-10-2007 11:58:27 โดย ExecutioneR »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ผมรับสมุดเล่มนั้นมาแล้วก็เปิดออกดูรูปที่ถูกแปะเอาไว้ข้างใน เมื่อผมเห็นรูปๆแรกผมก็จำได้ทันทีว่ามันคือรูปที่ไหนและเมื่อไหร่ มันเป็นรูปตอนที่เราไปไฮค์กันเมื่อวานตรงช่วงที่กำลังจะเดินไปยังพลาโตพ็อยท์ และมันคือรูปของก้อนเมฆที่มีรูปทรงแปลกประหลาดและสวยงามที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมาเลยทีเดียว

“ไอ้ซัน นี่มึงถ่ายไว้เมื่อไหร่วะเนี่ย” ผมเงยหน้าขึ้นมาสบตากับมัน

“ตอนเรากำลังจะเดินกลับน่ะ กูหันหลังกลับไปเห็นมันพอดี ก็เลยถ่ายเอาไว้ได้” ไอ้ซันยิ้มกว้าง

ผมหันกลับมาดูรูปถ่ายในมือนั้นอีกครั้ง มันเป็นรูปของก้อนเมฆสีขาวที่สยายเป็นแฉกออกไปจากด้านหลังของภูเขาคล้ายกับปีกของนางฟ้าอย่างไรอย่างนั้น มันช่างเป็นรูปทรงราวกับปาฏิหาริย์จริงๆ ผมไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย ผมไล่สายตาลงไปยังด้านล่างของรูปมีลายมือของไอ้ซันเขียนเอาไว้สั้นๆว่า.......




"you're my angel"



 ผมเงยหน้าขึ้นมาสบตากับไอ้ซันก็เห็นมันยิ้มเขินๆรอผมอยู่แล้ว

ผมพลิกหน้ากระดาษหน้าถัดไป รูปนี้ก็เป็นรูปตอนที่เราไปไฮค์กันอีกเช่นกัน ทางด้านหลังของภูเขาแกรนด์ แคนยอนนั้นเป็นรูปก้อนเมฆที่โค้งยาวขึ้นไปเป็นรูปทรงคล้ายกับพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว ผมแทบไม่อยากจะเชื่อว่าเลยสิ่งเหล่านี้มันจะเกิดขึ้นได้จริง มันเป็นความงดงามที่ธรรมชาติรังสรรค์ให้เกิดขึ้นเพียงแค่ชั่วเวลาไม่กี่วินาทีเท่านั้น และไอ้ซันก็ยังอุตส่าห์เก็บภาพพวกนี้เอาไว้ได้......... แถมยังทำโดยที่ผมไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ ถัดจากนั้นมาอีกสี่รูปก็เป็นภาพของก้อนเมฆรูปทรงแปลกที่สวยมากๆเช่นกัน ผมจำได้ทันทีว่ามันเป็นรูปที่ถูกถ่ายบริเวณลานจอดรถที่มาร์เก็ตพลาซ่านั่นเอง









“กูอยากให้มึงดูรูปสุดท้ายนะเมฆ” ไอ้ซันเอื้อมมือมาพลิกหน้ากระดาษไปยังรูปสุดท้าย มันเป็นรูปของท้องฟ้าที่ถูกถ่ายเหนือขึ้นไปจากป้ายรถบัสทางด้านหลังของยาวาพาย คาเฟทีเรีย และบนท้องฟ้านั่นก็ไม่มีก้อนเมฆลอยอยู่เลยสักก้อนเดียว “มึงจะคิดว่ายังไงกูก็ไม่รู้หรอกนะ แต่ว่ากูไม่อยากจะเป็นแบบนี้อีกแล้ว....... ครั้งแรกที่กูเห็นท้องฟ้าแบบนี้กูก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาทันที มันเป็นภาพของท้องฟ้าที่เหงาและเศร้าสร้อยที่สุดสำหรับกูจริงๆ ท้องฟ้าที่ไร้เมฆ.......” ไอ้ซันค่อยๆปิดสมุดเล่มนั้นลง ดึงมันไปจากมือของผมแล้ววางมันลงบนพื้น จากนั้นมันคว้ามือของผมทั้งสองข้างไปกุมเอาไว้ “มึงจะสัญญาได้มั๊ย ว่ามึงจะไม่ทำให้ท้องฟ้าของมึงเป็นท้องฟ้าสีครามที่ปราศจากก้อนเมฆอีกต่อไป.........”



ผมมองหน้ามันนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบออกไป “มึงมีปากกามั๊ย ซัน”

ไอ้ซันปล่อยมือของผมออกแล้วล้วงลงไปในกระเป๋าของมันทันที เมื่อมันหาของที่ผมต้องการเจอมันก็ยื่นปากกาด้ามหนึ่งมาให้ผม ผมรับมันมาจากนั้นก็เปิดไปยังหน้าถัดไปจากรูปท้องฟ้าสีครามรูปนั้นแล้วก็เริ่มต้นเขียนคำตอบของผมลงไป........


“Cloud belongs to the Sky, just like I belong to you, and I always will. I already knew I love you with all my heart and I know you feel the same way too. I can’t promise you a ‘forever’ but I can give you my ‘tomorrows’ my love. I love you”



ผมยื่นสมุดคืนให้ไอ้ซัน และเมื่อมันอ่านประโยคของผมจบลง มันก็เงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมพร้อมน้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตาของมันช้าๆ

“กูก็รักมึงเหมือนกัน เมฆ.........”

“กูรู้อยู่แล้ว.........” ผมยิ้มตอบแล้วคว้ามือของมันมากุมเอาไว้

“กลับห้องกันเถอะ กูชักหนาวแล้วว่ะ” ไอ้ซันพูดกลับมาพร้อมกับใช้แขนเสื้อของตัวเองเช็ดน้ำตาเบาๆ

เราสองคนถอดถุงมือออกแล้วเดินจูงมือกันไปขึ้นรถบัสกลับไปยังห้องของเราโดยที่ไม่ได้ปล่อยมือออกจากกันและกันเลย แน่นอนว่าเราทั้งคู่ตกเป็นเป้าสายตาของคนหลายคน แต่ผมไม่สนใจ และไอ้ซันก็ไม่สนใจด้วย จนเมื่อเรามาถึงยังห้องพักและเปิดประตูเข้าไปแล้ว ไอ้ซันก็จูบลงปากของผมอย่างดูดดื่มทันที เมื่อเราทั้งสองคนถอนปากออกจากกันและกัน ผมก็มองลึกลงไปยังดวงตาสีดำขลับคู่นั้นแล้วก็เอามือลูบหัวเกรียนๆของมันช้าๆ ผมรักมันมากเหลือเกิน ผมไม่เคยคิดเลยว่าผมจะรักใครได้มากถึงเพียงนี้ และจากสายตาของมันที่กำลังมองผมอยู่นั้น ผมก็บอกได้ด้วยว่ามันก็รู้สึกแบบเดียวกันกับผมเช่นกัน.........

“กูอยากจะรักมึงให้ตลอดไปจริงๆ ซัน แต่กูก็ไม่รู้ว่าอนาคตมันจะเป็นอย่างไร กูไม่รู้ว่ากูจะออกแบบความรักของกูให้มึงได้อย่างที่มึงต้องการรึเปล่า แต่กูสัญญาว่ากูจะรักมึงมากเท่าที่หัวใจของกูดวงนี้จะมอบให้แก่มึงได้ ซัน ในเมื่อกูรู้แล้วว่ามึงเองก็รักกูมากขนาดไหน กูจึงไม่สามารถรักมึงได้แค่หัวใจครึ่งดวงของกูอีกต่อไป....... กูพร้อมจะเดิมพันหัวใจทั้งดวงของกูเพื่อมอบความรักที่ไม่มีวันหมดนี้ให้แก่มึงคนเดียว ตลอดไป.......”

“ทำไมความรักถึงจะออกแบบไม่ได้ เมฆ สำหรับกูแล้ว กูออกแบบให้มันได้แน่นอน มึงรู้มั๊ยว่าเพราะอะไร....... เพราะความรักที่เรามีนั้นมันคือความรักของ ‘เรา’ สองคน เราสร้างมันขึ้นมาพร้อมๆกัน แล้วทำไมเราถึงจะออกแบบให้มันเป็นอย่างที่เราอยากให้มันเป็นไม่ได้ล่ะ อย่างน้อยๆ แค่การที่กูตั้งใจว่ากูจะรักมึงไปตลอดทั้งชีวิตของกูนั้นก็เท่ากับกูออกแบบให้มันเป็นความรักที่สวยงามที่สุดสำหรับมึง........ สำหรับเราสองคนไปแล้ว.......” ไอ้ซันลูบผมของผมช้าๆ เราสองคนสบตากันและกัน และผมก็เห็นน้ำตาหยดเล็กๆที่กำลังจะไหลออกมาจากดวงตาของมันอีกครั้ง “เมฆ มึงคือหัวใจของกูไปแล้ว เพราะฉะนั้นกูก็จะอยู่กับมึง อยู่เคียงคู่กับมึงไปตลอดเวลา”

ไอ้ซันจูบลงริมฝีปากของผมอย่างแผ่วเบา และครั้งนี้ผมก็รู้สึกถึงน้ำตาที่กำลังไหลลงมาอาบแก้มของผมเองด้วยเช่นกัน


.
.
.


ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมเฝ้าแหงนมองท้องฟ้าของผมอยู่เสมอๆ ทุกๆครั้งที่ผมได้แหงนหน้ามองขึ้นไปยังเบื้องบนนั้น ความสวยงามและความยิ่งใหญ่นั่นมันช่างดูเกินจริงและห่างไกลเกินกว่าที่คนตัวเล็กๆอย่างผมจะจับต้องและรู้สึกได้เหลือเกิน แต่ทว่าผมก็ยังคงพยายามเอื้อมมือและไขว่คว้าหามันไว้อยู่ตลอดเวลา........... และบัดนี้ หลายปีผ่านไป ผ่านช่วงเวลาที่ทั้งดีที่สุดและเลวร้ายที่สุดมาแล้ว ผมเดินผ่านความเหงา ความเศร้า และความเจ็บปวด ผมเก็บความทรงจำของเสียงหัวเราะ ความอบอุ่น และความรักเหล่านั้นเอาไว้ในใจ และเฝ้าภาวนาว่าผมคงไม่มีวันลืมเลือนและสูญเสียมันไปเด็ดขาด แต่ในที่สุด เวลานี้ผมก็มีท้องฟ้าที่จะคอยโอบอุ้มและปกป้องผมเอาไว้แล้ว เป็นท้องฟ้าที่ให้คำสัญญาว่าจะไม่มีวันลาจากก้อนเมฆไปไหน เป็นท้องฟ้าที่สวยงามและยิ่งใหญ่ที่สุดเพื่อคนตัวเล็กๆอย่างผม และเป็นท้องฟ้าที่สัญญาว่าจะรักก้อนเมฆของเขาไปตราบจนวันสุดท้ายของลมหายใจ เพราะฉะนั้น ผมเองก็จะเป็นก้อนเมฆที่จะรัก และไม่มีวันทรยศท้องฟ้าของเขาด้วยหัวใจดวงใหม่ทั้งดวงนี้ด้วยเช่นกัน ผมไม่ต้องจมปลักอยู่กับอดีต และไม่ต้องกังวลว่าผมจะไม่ได้เห็นรอยยิ้มและลืมเลือนความอบอุ่นของเขาในอนาคตอีกต่อไป เพราะว่านับจากนี้ เราสองคนจะโอบอุ้มซึ่งกันและกันไปจนถึงวินาทีสุดท้ายที่เข็มนาฬิกาหยุดเดิน...............


นับต่อแต่นี้ เวลา และ ทุกๆนาทีของเราจะไม่เหลื่อมล้ำกันอีกต่อไป


กูรักมึง ท้องฟ้าสีคราม...........



(จบ)

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-10-2007 12:07:40 โดย ExecutioneR »

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
จบแล้วครับ........  :undecided:

หวังว่าจะชอบใจกันนะครับ ขอบคุณที่ติดตามอ่านมาตลอด

จริงๆตอนแรกตั้งใจไว้ว่าแค่ยี่สิบห้าตอนนะครับเนี่ย แต่ไปๆมาๆก็กลายเป็นมากกว่าที่ตั้งใจไว้ตั้งสองเท่ากว่าๆ

ผมพยายามจะแปะให้ได้เกือบทุกวันเพื่อที่จะไม่ให้ทุกคนต้องรอนานกันเกินไปอ่ะคับ ก็หวังว่าจะสนุกไปกับศิลากับฟ้าครามนะคับผม
เพราะผมตั้งใจเอาไว้แล้วว่าอยากให้เรื่องนี้เป็นเรื่องราวความรักอบอุ่น ให้อ่านแล้วมีความสุขกัน (เศร้ามามากและ)
ถ้าทุกคนอ่านแล้วมีความสุขตาม ผมก็พอใจมากแล้วล่ะคับ

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านและเป็นกำลังใจให้ผมนะคับ
ขอบคุณมากๆๆๆๆจริงๆ ทุกๆรีพลายมันมีค่ากับผมมากเลยค้าบบบ

 o14

ปล. รอบทสรุปส่งท้ายความรักของทั้งสองคนเร็วๆนี้นะคับ  :bye2:

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-10-2007 23:52:22 โดย ExecutioneR »

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
......แถมด้วยบรรยากาศหนาวๆเหงาๆของหิมะสีขาวๆ......








« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-10-2007 00:54:46 โดย ExecutioneR »

ninaprake

  • บุคคลทั่วไป
Re: การเดินทางของŪ
«ตอบ #503 เมื่อ05-10-2007 01:19:19 »

 o7  แง่มๆๆๆๆ จบได้ประทับใจมากๆเลยยยยยยยย  :m1:  คุ้มค่ากับการที่ติดตามอ่านมาตั้งแต่ภาคแรกเลยนะค้าบบบบ

กับเรื่องราวในครั้งแรก ที่จบลงด้วยความรู้สึกที่เศร้าหม่นหมองด้วยความรู้สึกของความรักที่ไม่มีวันสมบูรณ์หรือถูกเติมเต็มได้ ......  :undecided:

กับครั้งต่อมาที่ให้ความรู้สึกของการมีความหวัง ความรู้สึกของการที่จะต้องตัดสินใจที่จะต้องการก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่คิดยอมแพ้หรือท้อถอยอะไร ......  :a2:

และกับครั้งนี้ .... กับความรู้สึกอบอุ่น ... ได้รู้สึกเหมือนถูกเติมเต็มกับความรักความผูกพันธ์ ความหวังต่างๆที่เคยได้คาดหวังและรอคอยก็กลับมาเป็นภาพที่เห็นได้ชัดเจน ไม่ได้เป็นเพียงความฝันอีกต่อไป ...... เมื่ออ่านจบเรื่องราวในภาคนี้อย่างสมบูรณ์แล้วนั้น .... ผมก็รู้สึกอุ่น ... รู้สึกอิ่มไปทั้งใจเลยครับ ....

ถ้าใครได้อ่านเรื่องราวไปเพียงแค่ภาคนี้ ผมขอแนะนำ .... highly recommend เลยครับว่าควรไปเริ่มอ่านตั้งแต่ภาคแรก .... จะได้ความรู้สึกที่เหมือนกับแบบ .... จากความรู้สึกโหวงๆ เหมือนหัวใจมันมีอะไรขาดๆหายไป เหมือนมีหมอกสีเทาๆแผ่ปกคลุมความรู้สึกอยู่  :sad2: ..... ก็จะเริ่มรู้สึกถึงแสงสว่างและภาพที่ชัดเจนมากขึ้นๆเรื่อยๆ ... พร้อมทั้งความอบอุ่นที่ค่อยๆแผ่ซ่านเข้ามาในหัวใจเลยครับ  :m1:

ขอบคุณต้นนะครับที่แต่งเรื่องดีๆแบบนี้มาให้พวกเราได้อ่าน  o13 ให้พวกเราได้อ่านเรื่องที่ทำให้รู้สึกดีๆ อบอุ่น และมองเห็นความสวยงามและความเป็นไปได้ในชีวิต .... ได้เห็นถึงความฝันและมีความหวังที่จะให้เกิดความรักดีๆแบบนี้ในชีวิตของตัวเองบ้าง .....  และขอขอบคุณต้นที่อุตส่าห์เสียสละเวลาทุกวันๆมานั่งโพสเรื่องให้พวกเราอ่าน และคอยตอบ reply พวกเราด้วยนะครับ  o15

........  :m11:

รอคอยเรื่องต่อไปของต้นอยู่นะครับ สำหรับเรื่องนี้ ลองรวมเล่มขายเลยมั๊ยครับ  o17 ผมว่ามีคนซื้อหลายคนแน่ อิอิ แบบว่า พิมพ์ขำๆ เอารายได้ส่วนหนึ่งไปทำบุญก็ได้ค้าบ  :m4:

------------------

ปล. ไหนๆก็จะเดินทางไปถึง California <Los Angeles> แล้ว ลองเขียนภาคพิเศษให้เมฆกะซันไปเถลไถลแถวๆ CA <Sanfrancisco> หรือ CA <Las Vegas> มั๊ยครับ แบบไปแอบจดทะเบียนสมรสกันอ่ะ อิอิ ไปตีตราจองกันไว้เลย .... 2 ที่นี้เค้ายอมให้ชาย-ชายจดทะเบียนกันได้แล้วนี่ใช่มะครับ  :m3:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-10-2007 01:46:40 โดย BlueWizard »

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
บทลงท้ายที่ประทับใจมากๆ  :m3:  :m3: ขอบคุณ คุณต้นที่เขียนเรื่องราวสวยงามให้อ่าน

จะติดตามผลงานต่อไปจ้า  :give2:

sun

  • บุคคลทั่วไป
^
ชอบที่BlueWizard รีข้างบน จังเลย  รีไว้หมดแย้ว เราจะรี..อะไรล่ะเอิ้กๆ 

ใช้เวลาอ่านอยู่นานเหมือนกัน 
ไม่เคยอ่านอะไรที่รู้สึกว่า  บางช่วง อ่านไปยิ้มไป
บางช่วงอ่านไป ใจโหวงๆ เหงาๆไป ทั้งๆที่ มันเป็นตอนที่อ่านแล้ว

เนี่ย อย่างรีข้างบนบอกเลย
 (.... จากความรู้สึกโหวงๆ เหมือนหัวใจมันมีอะไรขาดๆหายไป เหมือนมีหมอกสีเทาๆแผ่ปกคลุมความรู้สึก)     :sad2:
อ่านไปมันเป็นอย่างนั้นจริงๆนะ เอิ้กๆ
แต่พออ่านนจบนะ....มันโล่งหมดเลย       :give2:

ที่ว่าง...ของความรู้สึก ที่ถูกเติมเต็ม ด้วยความรักของกันและกัน
จบลงได้อย่างประทับใจ จริงๆ ค่ะ
ประทับใจ ทั้งเนื้อเรื่อง  ทั้งภาพ ทั้งคนแต่งเลยค่ะ  ยกนิ้วให้เลยจริงๆ   o13

แต่ถ้าจะมี  SP  ก้อดีนะค๊า...แฮ่ๆ      :m3:   :m3:   :m3:
ขอบคุณมากค่า... สำหรับนิยายดีๆ     o1
จะรออ่านเรื่องต่อๆไป ของคุณต้นนะคะ     o15

***เห็นภาพ "you're my angel"  เหมือนปีก แองเจิล จริงด้วยๆ
เหมือนกำลัง  คลี่ปีก เพื่อโอบอุ้ม ท้องฟ้าเลยเนอะ ดูแล้วขนลุก  สวยจริงๆ

ออฟไลน์ Ex'ecuzě

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1016
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-1
ในที่สุดก้อได้อ่านของพี่ชายจนจบแร้น o7
ชอบมากมายเรยอ้ะ พี่ต้น ๆ คิดถึงน้า ๆ
ไว้ปายเที่ยวกานเท้อ (หลังสอบอ่ะ)
น้า ๆ ชวนพี่ปืน พี่วิก ปายด้วย น้า ๆ ๆ ๆ อยากเที่ยว (อยากมีคนเลี้ยง)  :o8:

ปล.หนึ่ง จามีใครในโลกนี้ เป็นแบบ ไคลน์ บ้างป่าวหว่า .... อยากเจอจางเร้ย  :undecided:
ปล.จ๋อง คุณ BlueWizard คับผม พี่ต้น แกทำบุญไม่ได้หรอกคับ หึหึ  :m19:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-10-2007 03:54:33 โดย EnvyElric »

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
แหม ชมกันจนผมขนลุกเลยคับ คงม่ายขนาดนั้นมั๊งคับ แต่แค่ถ้าอ่านแล้วมีความสุขกันผมก้อดีใจคับ
 o14

ปล. sp นี่ไอ้ต้นไม่รู้จักอ่ะคับ  :m17: รู้จักแต่ sm  :m30:
ปล. ปากดีนะไอ้น้องชาย ว่าแต่สอบเสดเมื่อไหร่หวา กว่าจะมารีของกรูได้ จบพอดี  :angry2: เจอหน้าจะจับไปตัดสกินเฮดให้เข็ด



น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
จบซะแล้ว อ่านแล้วซาบซึ้งชะมัด
จะรอบทสรุปนะจ๊ะ :m18:

graydragon

  • บุคคลทั่วไป
จบได้ประทับใจมากเลยงับ ซึ้งมากเลย อ่านจบน้ำตาซึมตามเลยอะ o7

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด