การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)  (อ่าน 243024 ครั้ง)

น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
ซันน่ารักจัง ว่าแต่คุณต้นจ๋า
เมฆหน้าตาเป็นไงเหรอ เคยบอกแต่ว่าซันหล่อ
ไม่เห็นอธิบายหน้าตาของเมฆมั่งเลย ช่วยบอกหน่อยจิ

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ซันน่ารักจัง ว่าแต่คุณต้นจ๋า
เมฆหน้าตาเป็นไงเหรอ เคยบอกแต่ว่าซันหล่อ
ไม่เห็นอธิบายหน้าตาของเมฆมั่งเลย ช่วยบอกหน่อยจิ

เชิญจิ้นตามสะดวกเลยคับ อิอิ
แหม จะให้ไอ้เมฆมันชมหน้าตาตัวเองก็ยังไงอยู่หนา

ปล. กำลังร้องไห้เลย T__T เศร้า


sun

  • บุคคลทั่วไป
อ้างถึง
เชิญจิ้นตามสะดวกเลยคับ อิอิ
แหม จะให้ไอ้เมฆมันชมหน้าตาตัวเองก็ยังไงอยู่หนา

ปล. กำลังร้องไห้เลย T__T เศร้า

หุหุหุ...    :a3: 

ซันน่ารัก...

แล้วเมฆล่ะ โฮ่ะๆ    :m3:

อ่า... งั้นก้อแปลว่า เมฆ ก่า คนเขียน ก้อคนเดียวกันอ่าจิ  คิคิ    :m3:   :m3:   :m3:
ป๋อล๋อ*.... แล้วเป็นไรอ่ะคะ ร้องไห้...   :m28:   

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ป่าวคับ คือ ก็เมฆเป็นคนเล่าเรื่อง
จะให้เมฆบอกว่า

"วันนี้หลังจากผมมีอะไรกบไอ้ซันเสร็จ ผมก็ลุกเข้าไปส่องกระจกในห้องน้ำ เลยเห็นว่าตัวเองเป็นคนหน้าตาดี คิ้วเบี้ยว จมูกบาน ปากแหว่ง......"

อะไรแบบนี้ก็คงไม่ได้ใช่แมะคับ

5555

ปล. โอ๊ยยยยยยยยย สาดดดดดดดดดดดด!!!! กูรักมึงง่า ไอ้เหี้ยเอ๊ยยยยยยยยยยย!!!!!! T___T กูเศร้า มึงเข้าใจกูมั่งมั๊ยยยย!!

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-09-2007 19:05:09 โดย ExecutioneR »

gobgab

  • บุคคลทั่วไป


.............มะได้อ่านซะหลายวัน.......ขอโทษด้วยคับ........ :m5: :m5:

.............แต่ตามอ่านทันแล้วแหละ..........ซันยังน่ารักเหมือนเดิมเลย.......... :m13: :m13:

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
ได้อ่านในมุมของซันแล้ว ชอบมั่ก ๆ   :m13:  :m13:
รออ่านตอนต่อปาย  :a1:  :a1:  :a1:

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนที่ 34 (เรื่องเล่าของปฐพี : รอยยิ้มที่ไม่มีวันลบเลือน)


ตั้งแต่เล็กจนโต ผมเติบโตขึ้นมาโดยมีความเหงาอยู่เป็นเพื่อนข้างกาย พ่อและแม่ของผมต่างก็ทำงานหนักเพื่อให้ผมมีความสุข แต่พวกท่านก็ไม่เคยรู้เลยว่าความสุขที่แท้จริงของผมนั้นถูกพวกท่านพรากมันไปจากผมนานมาแล้ว.......

เมื่อตอนผมยังเด็ก ผมเคยถูกผู้คนหลายคนห้อมล้อมและเอ็นดูเพราะความที่เป็นเด็กน่ารักและช่างพูด ผมเองก็ชอบที่จะส่งยิ้มและหัวเราะไปกับคนอื่นๆเช่นกัน มันทำให้ผมรู้สึกว่าผมเป็นเด็กที่โชคดีที่สุดในโลก ผมมีพ่อแม่ที่รักและมีเวลาให้แก่ผม ผมมีคนอื่นๆมารัก และผมก็รักคนอื่นๆรอบข้างผมมากด้วยเช่นกัน

แต่เมื่อผมโตขึ้นเรื่อยๆ หลายๆอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไปทีละน้อยๆ จนเมื่อผมอยู่ชั้นปอสี่ ผมก็แทบไม่เคยยิ้มหรือหัวเราะให้กับใครอีกเลย จากเด็กช่างพูดกลายเป็นเด็กเก็บตัว จากคนที่มีผู้คนมาห้อมล้อมก็กลายเป็นคนที่ทำให้เพื่อนๆวัยเดียวกันไม่เล่นด้วยและทำให้ผู้ใหญ่ต่างก็กังวล

พ่อและแม่ของผมต่างก็รักผมไม่เคยเปลี่ยนแปลง แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปนั้นมีอยู่สองอย่าง นั่นก็คือพวกท่านรักผมในแบบที่ต่างออกไป และพวกท่านไม่รักกันเองอีกแล้ว และสิ่งนั้นไม่ทำให้ผมรู้สึกเป็นคนที่ถูกรักอีกเลย

พวกท่านคิดว่าการที่เรามีเงินนั้นจะทำให้ผมมีความสุข พวกท่านทั้งสองต่างก็เฝ้าเพียรทำงานหนักเพื่อหาเงินมาให้ผมใช้และเพื่อประโยชน์ของตัวผมเองในอนาคต ทั้งสองคนทำงานหนักมากจนกระทั่งพวกเขาแทบไม่มีเวลาให้กับผมอีกต่อไป และแน่นอน ไม่มีเวลาดูแลความรักของกันและกันอีกเลยด้วย น่าเสียดาย ที่ผมเป็นเด็กที่ค่อนข้างจะฉลาดเกินวัย และนั่นมันทำให้ผมเรียนรู้บางสิ่งเช่นว่า ต่อให้ครอบครัวของผมมีเงินมากเท่าใด แต่ถ้าพ่อและแม่ไม่เคยใช้เวลาอยู่กับผมเลย นั่นมันก็ไม่ได้ทำให้ผมมีความสุขจริงๆเลยแม้แต่นิดเดียว และอีกอย่างที่ผมรู้ในเวลาต่อมาเมื่อผมโตมากขึ้นอีกหน่อยนั่นก็คือ ความรักที่ดูเหมือนจะหวานชื่น ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่จำเป็นต้องจบลงอย่างสวยงามตลอดไป

ผมไม่ใช่เด็กเก็บกดหรือเป็นเด็กมีปัญหาแต่อย่างใด ซึ่งนั่นก็คงเป็นเพราะถึงผมจะฉลาดแค่ไหนผมก็ยังคงเป็นเพียงแค่เด็กธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้น ผมยังคงหัวเราะ และมีความสุขกับเพื่อนๆตามประสาเด็กผู้ชายทั่วไป แต่เมื่อผมเริ่มเข้าเรียนชั้นมัธยมต้น การเปลี่ยนแปลงจากเด็กชายก็เริ่มพัฒนาไปสู่ชายหนุ่มอย่างช้าๆ ซึ่งรวมกับความที่ผมเป็นคนช่างคิดอยู่แล้วด้วยก็เลยยิ่งทำให้ผมเห็นการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในตัวของผมมากขึ้นเรื่อยๆ  อย่างเช่นถ้าภายนอกของผม ผมจะเป็นคนที่ยิ้มยากอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ตอนแรกผมไม่ค่อยจะมีเพื่อนมากนัก และบางครั้ง ต่อให้นานแค่ไหน ผมก็ยังคงไม่มีเพื่อนอยู่ดี แน่นอน ผมหมายถึงเพื่อนที่รักผมจริงๆไม่ใช่แค่ที่เงินทอง และไม่ใช่หมายถึงเพื่อนที่แค่เจอหน้ากันทุกๆวัน แต่ผมหมายถึง “เพื่อนแท้”........  ไม่ใช่ ผมไม่ใช่คนร่ำรวยแบบมหาเศรษฐีอะไรนักหรอก และผมก็ไม่เคยใช้ชีวิตแบบฟุ่มเฟือยเลยด้วย เพราะเงินทั้งหลายเหล่านั้นมันเป็นเงินที่พ่อและแม่หามาโดยแลกกับความสุขของลูกของเขา ซึ่งนั่นก็คือความสุขของผมนั่นเอง....... อย่างที่สองที่ผมรู้เกี่ยวกับตัวผมเองนั่นก็คือ ผมไม่มีความสนใจในเรื่องของความรักเลยสักนิด ผมแทบไม่เชื่อในเรื่องของความรู้สึกที่เรียกว่าความรักเลย แน่นอน ว่าตอนนั้นผมเพิ่งจะอยู่มอหนึ่ง ผมอาจจะยังเด็กเกินไปก็ได้ แต่ว่าในขณะที่เด็กผู้ชายคนอื่นๆเริ่มจะสนใจเพศตรงกันข้ามนั้น ผมกลับเลือกที่จะอยู่กับตัวผมเองคนเดียวแบบนั้นมากกว่า

จนเมื่อผมอยู่ชั้นมอสอง เราทุกคนต้องจับฉลากห้องใหม่อีกครั้ง และครั้งนี้ทำให้ผมได้พบกับคนๆหนึ่งที่ผมสามารถเรียกได้อย่างเต็มปากเลยว่าเขาเป็นเพื่อนที่ผมรักมากที่สุดในโลก..... ไม่ว่าจะในช่วงเวลานั้นหรือในปัจจุบันนี้

เขาคนนั้นมีชื่อว่า ภู บ้านของภูมีฐานะปานกลาง เขาไม่ได้มีอะไรโดดเด่นทั้งเรื่องหน้าตา การเรียน และกีฬา แต่อย่างหนึ่งที่โดดเด่นที่สุดในตัวของเขานั่นก็คือรอยยิ้ม เขาเป็นคนหนึ่งที่มีเพื่อนและมีคนรักมากที่สุดในชั้นเรียน และเขาก็สามารถที่จะเลือกใครมาเป็นเพื่อนหรือสามารถที่จะรวบรวมผู้คนให้มาห้อมล้อมเขาอยู่ได้โดยใช้เพียงอัธยาศัยบวกกับรอยยิ้มของเขาเท่านั้น แต่ทว่าเขากลับเลือกที่จะมาคบกับผม

ภูเป็นคนร่าเริงและยิ้มเก่งจนผมรู้สึกอิจฉาเขาในทุกๆครั้งที่ผมเห็นเขาส่งยิ้มให้คนอื่น เมื่อครั้งแรกที่ผมรู้จักกับเขานั้นผมก็คิดว่าเขาก็แค่ทำความรู้จักกับผมตามมารยาทเท่านั้น เพราะว่าเขาเป็นคนแบบนั้นนั่นเอง เขาเข้ากันได้ดีกับทุกๆคนและทำความรู้จักกับทุกๆคนที่อยู่รอบกายของเขา แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผมถึงได้รู้ว่าเขาไม่ใช่แค่คบกับผมในฐานะของคนรู้จักอย่างที่ผมคิด ไม่ใช่แม้แต่ในฐานะเพื่อน แต่หากเป็นในฐานะเพื่อนสนิทต่างหาก

หลังจากที่ผมรู้จักกับภูได้ราวๆเกือบสองเดือน วันนั้นเป็นวิชาพละที่พวกเราทุกคนต้องลงไปเรียนกันที่โรงยิม แต่ว่าผมรู้สึกไม่สบายและตัวร้อนมาก อาจารย์จึงอนุญาตให้ผมขึ้นมานอนพักบนห้องได้ เมื่อผมเดินขึ้นมาฟุบอยู่บนโต๊ะคนเดียวได้ราวๆห้านาที ผมก็รู้สึกว่ามีคนๆหนึ่งเดินเข้ามาหาผม

“เป็นไงมั่ง พี”

ผมเงยหน้าขึ้นไปมองเจ้าของเสียงช้าๆ ภูนั่นเอง ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ

“อืมม ก็ดีขึ้นนะ ไม่เป็นอะไรหรอก” ผมบอกเขา

“ดีขึ้นแล้วทำไมโทรมขนาดนี้วะเนี่ย ไหนมานี่หน่อยซิ” เขายื่นมือออกมาสัมผัสที่หน้าผากของผม “ตัวร้อนจี๋เลย กินยารึยัง”

ผมส่ายหน้า “ว่าแต่ทำไมมึงถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ ไม่ไปเรียนหรือไง” ผมถามเขา

“ไม่ล่ะ กูขออาจารย์แล้ว และอีกอย่าง วันนี้ก็ไม่ได้มีอะไรทำมากมายด้วย” เขาตอบแล้วลากเก้าอี้มานั่งลงข้างๆผม

“ทำไมมึงต้องทำแบบนี้ด้วยวะ” ผมถามเขา เพราะผมไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมเขาจึงต้องดีกับผมขนาดนี้ หลายครั้งที่ผมเห็นเพื่อนคนอื่นๆไม่สบายหรือได้รับบาดเจ็บ ทุกๆคนจะต้องเข้ามารุมดูแลและถามอาการด้วยความเป็นห่วง แต่มันแทบไม่เคยเกิดขึ้นกับผมเลย ถึงแม้ทุกคนจะเป็นห่วงผม แต่ผมก็รู้สึกได้เลยว่ามันแตกต่างกันออกไป แน่นอน ผมรู้อยู่แล้วว่าคงเป็นเพราะผมเอง ผมไม่เคยคิดร้ายอะไรกับใครก่อน แต่ผมก็ไม่เคยที่จะยิ้มหรือแสดงความเป็นมิตรออกมาก่อนเช่นกัน “คนอื่นๆเขายังไม่สนใจกูเลย ทำไมมึงต้องมาดูแลกูแบบนี้ด้วยวะ”

ภูหน้าเสียลงทันที “มึงไม่ชอบให้กูทำแบบนี้เหรอ...... คือ ถ้างั้นกูก็ขอโทษก็แล้วกัน” เขาก้มหน้า

“เปล่าๆ ไม่ใช่” ผมรีบชันตัวขึ้นนั่งตัวตรงทันที “กูขอโทษ ภู กูไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น........ กูแค่ คือ กูไม่คิดว่าคนอย่างกูจะมีใครมารักมาเอาใจใส่กูแบบนี้เท่านั้นเอง คือ กูไม่เห็นว่าทำไมมึงถึงต้องทำแบบนี้ด้วยในขณะที่คนอื่นเขายังไม่เห็นจะใส่ใจคนขวางโลกอย่างกูเลย” ผมพูด และน้ำตามันก็เริ่มไหลออกมาทีละน้อยโดยที่ผมไม่ได้ตั้งใจ

ภูเงยหน้าขึ้น และเมื่อเขาเห็นน้ำตาของผม แทนที่เขาจะปลอบใจผมหรือแสดงความเสียใจไปกับผมด้วย เขากลับทำให้ผมต้องแปลกใจด้วยการส่งยิ้มกว้างออกมา

“ก็เพราะกูเป็นเพื่อนมึงไง กูรักมึง โอเคป่าว” เขายิ้มแล้วก็เอามือมาเช็ดน้ำตาบนแก้มของผมออก “คราวนี้มึงฟังกูให้ดีๆ มึงไม่ใช่คนขวางโลกอย่างที่มึงคิดหรอก มึงแค่เป็นคนยิ้มยากเพราะอาจจะเคยเจออะไรมามากเท่านั้นเอง กูรู้ แต่จริงๆแล้วน่ะ มึงเป็นคนใจดีแล้วก็อ่อนโยน ไม่มีใครในห้องสักคนที่เกลียดมึงหรอก ไม่มีจริงๆ มึงเชื่อกูสิ เพียงแต่พวกเขา ‘ยัง’ ไม่เห็นมึงแบบที่กูเห็นเท่านั้นเอง เวลามันจะพิสูจน์ให้มึงรู้เองว่าคนอื่นๆเขาก็รักมึงเหมือนกัน พี”

เมื่อได้ยินอย่างนั้นน้ำตาของผมมันก็ไหลออกมาอีก

“ทำไมมึงถึงกล้าพูดได้ขนาดนั้นวะ” ผมถาม

“อืมมม นั่นสินะ” เขาทำท่าคิด จากนั้นก็ยิ้มออกมาอีกครั้งเมื่อได้คำตอบให้แก่ตัวเอง “อ๋อ กูว่านะ มันต้องเป็นเพราะกูรักมึงนั่นแหละ” พีหัวเราะออกมา แต่ผมกลับนั่งนิ่งเมื่อได้ยินอย่างนั้น ถึงตอนนั้นผมจะแค่อายุสิบสาม แต่ผมก็รู้นะว่าคนที่ชอบผู้ชายหรือที่เรียกว่าเกย์นั้นมันเป็นยังไง และทั้งหมดที่ผมได้ยินอยู่นี้มันมีความหมายว่า ภูเป็นเกย์และชอบผมอย่างนั้นเหรอ

แต่ที่ผมอึ้งนั้นไม่ใช่ความคิดที่ว่าภูเป็นเกย์หรืออะไรหรอก เพราะผมก็รู้ตัวว่าผมเองก็ชอบผู้ชายเช่นเดียวกัน และมันก็คงจะดีมากด้วยถ้าภูนั้นมาชอบผมจริง แต่สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกประหลาดใจมากที่สุดนั่นก็คือการที่ภูพูดว่า เขารักผม ถึงสองครั้งแล้วต่างหาก

เมื่อเห็นผมเงียบไปนาน ภูก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง “คนอื่นๆน่ะ เขาก็แค่ไม่กล้าคุยกับมึงก็เพราะมึงเป็นคนยิ้มยากต่างหาก มึงไม่ค่อยเปิดใจรับใครง่ายๆ แต่จริงๆแล้วมึงนั่นแหละที่เป็นคนรักเพื่อนมากกว่าใครๆ จริงป่าว”

ผมก้มหน้าเพราะความอาย ใบหน้าของผมร้อนผ่าว แน่นอนว่าเป็นเพราะพิษไข้ด้วยส่วนหนึ่ง และตอนนี้มันก็คงจะแดงมากด้วยแล้วเช่นกัน ต้องขอบคุณอาการไข้ของผมที่ช่วยปกปิดความเขินอายของผมได้เป็นอย่างดี

“อะไรๆ อายเหรอวะ” ภูหัวเราะแล้วก้มหน้ามามองผม

“กูเปล่าสักหน่อย หน้ากูมันแดงเพราะพิษไข้ต่างหาก” ผมเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา

“กูก็ไม่ได้บอกสักหน่อยว่ามึงหน้าแดง นั่นแน่ มึงเขินจริงๆใช่มั๊ยล่า ไอ้พี” ภูหัวเราะพร้อมๆกับขยี้หัวของผมเบาๆ และคราวนี้ผมก็ยิ้มออกมาด้วยพร้อมกับใบหน้าที่แดงก่ำมากขึ้นไปอีก

“นี่ไง เห็นมั๊ย เวลามึงยิ้มแล้วมึงน่ารักจะตาย มีลักยิ้มที่แก้มซ้ายด้วย” ภูพูดแล้วเอานิ้วมาชี้ที่รอยบุ๋มบนแก้มข้างซ้ายของผม “คราวหลังก็ยิ้มบ่อยๆนะ เข้าใจป่าว แล้วเดี๋ยวอะไรๆมันก็จะดีเองนั่นแหละ กูสัญญา และอีกอย่าง........ กูชอบด้วย” คราวนี้ภูหน้าแดงขึ้นบ้างแล้วเหมือนกัน เขาใช้นิ้วชี้เกาแก้มของตัวเองเบาๆและยังคงยิ้มกว้างอยู่เช่นเดิม

บทสนทนาของเราทั้งสองคนจบลงแค่นั้น เพราะหลังจากนั้นภูก็ปล่อยให้ผมได้นอนพักผ่อนไป ส่วนเขาก็นั่งอยู่ข้างๆผมตลอด ตั้งแต่นั้นมา ผมก็รู้แล้วว่าผมมีใจรักเพื่อนของผมคนนี้แบบไหน ผมอยากที่จะได้เห็นรอยยิ้มของเขาแบบนี้ตลอดไปจริงๆ

และวันนั้นก็เป็นวันแรกและวันเดียวที่เขาพูดว่าเขารักผม

จากนั้นถัดมา ผมกับภูก็สนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆ เราสองคนไปไหนมาไหนและทำอะไรด้วยกันตลอดเวลา เพื่อนๆบางคนก็แซวเราบ้างว่าเราตัวติดกันยิ่งกว่าปาท่องโก๋เสียอีก แต่ผมไม่สนใจ เพราะผมถือว่านั่นคือสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นกับผมที่ทำให้เพื่อนๆเริ่มสนิทและหยอกล้อเล่นกับผมมากขึ้น และทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะภูช่วยผมเอาไว้แท้ๆ หลังจากนั้นไม่นาน อย่างที่ภูเคยบอกเอาไว้ เวลามันจะพิสูจน์ให้ผมได้รู้เอง ผมเริ่มพูดคุยและหัวเราะกับคนอื่นมากขึ้น ซึ่งทำให้ผมมีเพื่อนสนิทมากขึ้นตามไปด้วย แน่นอน ว่าผมก็ยังคงเป็นคนพูดน้อยและยิ้มน้อยอยู่อย่างเคย เพียงแต่ว่าเมื่อมีภูอยู่ด้วย ผมก็รู้สึกว่าตัวเองมีความสุขมากกว่าช่วงเวลาไหนๆมากมายในชีวิตทีเดียว

เวลาผ่านไปสองปีจนเราสองคนได้ขึ้นมาอยู่ชั้นมัธยมปลายเป็นครั้งแรก ผมกับภูก็ได้อยู่ห้องเดียวกันอีก ผมกับเขาสนิทกันมากจริงๆ และใครๆก็รู้เรื่องนี้ จากตอนแรกแค่เพื่อนๆในห้องและห้องข้างๆ แต่จนถึงตอนมอสี่นี้ แทบจะทุกคนในระดับชั้นและยังรวมไปถึงอาจารย์หลายๆท่านด้วยที่รู้ว่าผมสองคนเป็น “คู่หู” ที่แทบจะแยกจากกันไม่ออกทีเดียว คนหนึ่งนั้นหัวไม่ดี แต่ร่าเริงและยิ้มเก่ง ใครๆก็รักและรู้จัก ส่วนอีกคน เป็นเด็กหัวดี แต่ขี้อาย และพูดน้อยยิ้มน้อย ทว่าคนสองคนที่แตกต่างกันในแทบจะทุกเรื่องนั้นกลับเป็นเพื่อนที่รักกันและสัญญากันว่าจะรักกันอย่างนี้ไปจนวันตาย

แต่สุดท้าย สัญญานั้นมันก็ไม่เป็นจริง เพราะผมเองนั่นแหละ ที่เป็นฝ่ายผิดสัญญา..........

วันนั้นเป็นวันก่อนวันสอบวันสุดท้ายของเทอมหนึ่งตอนที่เราอยู่ชั้นมอห้า หลังสอบเสร็จผมก็นั่งรอภูอยู่ที่ม้านั่งตัวเดิมพร้อมกับเพื่อนคนอื่นๆเหมือนทุกๆครั้ง แต่เมื่อภูออกมาจากห้องสอบและมาพบกับพวกเราทุกคน เขากลับบอกเพื่อนๆทุกคนว่าเขามีเรื่องอยากจะคุยกับผมแค่สองคน และอยากให้ทุกคนกลับไปก่อน

“มีอะไรเหรอวะ ทำไมต้องให้คนอื่นๆกลับไปก่อนด้วย” ผมถามเขาเมื่อเราอยู่กันสองคนแล้ว

“ก็ ไม่มีอะไรหรอก........” เขายิ้มกว้างในแบบฉบับของเขา ผมสังเกตเขามานานมากแล้วว่าเขาหน้าตาดีขึ้นกว่าเมื่อตอนเด็กๆเยอะเลยทีเดียว อาจจะเรียกว่า ‘หล่อ’ เลยไม่ได้ แต่เขาก็เป็นคนที่หน้าตาใช้ได้ทีเดียว แบบที่ใครๆควงก็ไม่ต้องรู้สึกอายแน่ๆ

และแน่นอนไม่ใช่ว่าเป็นเพราะผมนั้นชอบเขาอยู่แล้วถึงได้พูดแบบนั้นหรอกนะ

“ยิ้มอยู่ได้ ยิ้มทำไม มีอะไรก็พูดมาสิวะ กูล่ะเบื่อรอยยิ้มของมึงจริงๆ เห็นแม่งทุกวัน” ผมพูด แต่จริงๆแล้วผมโกหก ผมไม่เคยเบื่อรอยยิ้มของเขาเลยแม้แต่น้อย

“ง้านนเหรออ มึงเบื่อจริงอ่ะ” เขาฉีกยิ้มกว้างมากขึ้นอีก แล้วก็เลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ผมจนผมรู้สึกอายและยิ้มออกมา

“อะไรเล่า” ผมพูด พลางขยับตัวหนี

“แต่กูไม่เคยเบื่อรอยยิ้มมึงเลยนะ พูดจริงๆแล้ว กูโคตรชอบรอยยิ้มแล้วก็ลักยิ้มของมึงเลย” เขาหัวเราะเบาๆ

“พอๆ ตกลงมึงมีอะไรจะบอกกู........” ผมรีบเปลี่ยนเรื่อง รู้สึกว่าตัวเองหน้าแดง

“ก็ พรุ่งนี้สอบวันสุดท้ายแล้วใช่มั๊ยล่ะ” เขาขยับตัวกลับไปนั่งที่เดิมดีๆ “กูก็เลยอยากชวนมึงไปเที่ยวน่ะ หลังสอบเสร็จอ่ะนะ”

“งั้นเหรอ ไปไหนล่ะ แล้วคนอื่นๆอ่ะ ไม่ไปกับพวกมันเหรอ” ผมถาม

“หลังจากไปกินไปเที่ยวกับพวกมันก่อนก็ได้ กูแค่....... เอ่ออ...... คือกูอยากชวนมึงไปบ้านกูว่ะ” เขาพูดขึ้นแล้วยิ้มอายๆ

“ชวนกูไปบ้านมึงเนี่ยนะ” ผมแปลกใจ เพราะที่ผ่านมาผมไม่เคยได้ไปบ้านของภูเลย มีแต่ภูที่เคยมาบ้านของผมบ้างสี่ห้าครั้งเท่านั้นเอง

“ช่ายย กูจะชวนมึงไปนอนค้างที่บ้านกูว่ะ” เขาเกาแก้มแกรกๆด้วยนิ้วชี้ เขามักจะทำแบบนี้เสมอๆเวลาที่เขาอาย ส่วนผมก็ชอบเวลาที่เขาทำแบบนี้มากๆด้วยเช่นกัน

ผมแกล้งทำนิ่วหน้าแบบไม่ไว้ใจ “นี่มึงจะมาไม้ไหน อย่าบอกนะว่าวางแผนจะพรากพรหมจรรย์กู” ผมพูดแล้วยิ้ม

ภูหัวเราะ “โอ๊ยยยยย ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้ากูจะเอาไอ้นั่นของมึงน่ะนะ กูไม่ต้องวางแผนหรอก กูจะขอดีๆตรงๆเลยด้วยซ้ำ”

ผมหน้าแดงขึ้นมาอีกครั้งทันที เขาเป็นคนชอบพูดจาโผงผาง และตรงไปตรงมาเสมอๆ และที่สำคัญ เขาชอบพูดจาทีเล่นทีจริงแบบนี้มากๆ ทำให้ผมไม่รู้สักทีว่าครั้งไหนที่เขาพูดจริงและครั้งไหนที่เขาพูดเล่น

“นั่นแน่ เขินล่ะสิ คุณปฐพี” ภูยิ้มกว้างที่แกล้งผมได้สำเร็จอีกครั้ง “มึงคิดว่ามึงไปได้มั๊ยล่ะ”

“เอ่ออ.... กูก็ต้องถามที่บ้านดูก่อนว่ะ แต่กูคิดว่าไม่น่าจะมีปัญ..........”

“นายภูมิธร” เสียงๆหนึ่งดังขัดขึ้น

เราสองคนหันไปหาที่มาของเสียงทันที แล้วก็พบกับอาจารย์สอนวิชาภาษาอังกฤษยืนกวักมือเรียกภูอยู่

“เวรและไง กูจะโดนอะไรวะเนี่ย เอางี้ เอาเป็นว่ามึงตอบตกลงแล้วก็แล้วกันนะ แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้พอมึงไปบ้านกู กูจะบอกอะไรมึงบางอย่าง กูจะพูด.......... คร้าบๆๆ เดี๋ยวครับ อาจารย์ รอแปบนึงคร้าบบบบ!!” เขาหันไปตะโกนบอกอาจารย์ จากนั้นก็หันหลับมาหาผมอีกครั้ง “เออๆ ถึงไหนแล้วนะ เออใช่ คือพรุ่งนี้เนี่ย กูอยากจะคุยอะไรกับมึงหน่อย เพราะงั้นมึงต้องไปบ้านกูนะ กูจะบอกสิ่งที่กูไม่ได้บอกมึงมานานหลายปีแล้ว....... ก็ สามปีได้แล้วมั๊ง”

เราสองคนมองตากันนิ่งอยู่ราวๆสองวิ จากนั้นภูก็ชิงพูดขึ้นมาอีกครั้ง

“เออๆ กูไปและนะ เจอกันพรุ่งนี้ที่ห้องสอบ” เมื่อพูดจบเขาก็วิ่งออกไปทันที ผมเห็นตอนที่เขาวิ่งไปหาอาจารย์ เขาก้มหน้าวิ่งแล้วก็เอามือเกาแก้มไปด้วย

ผมนั่งอยู่ย่างนั้นอีกราวๆห้านาที คิดถึงสิ่งที่ภูเพิ่งพูดออกมา นี่เขาหมายความว่าอย่างที่ผมคิดรึเปล่านะ เพราะถ้าเขาหมายความว่าแบบนั้นจริงๆ ผมก็คิดที่จะเริ่มต้นเดินก้าวต่อไปด้วยแล้วเหมือนกัน  ไม่สิ ต่อให้เขาไม่พูดในสิ่งที่ผมคิดออกมา ซึ่งถึงแม้ผมค่อนข้างมั่นใจว่าต้องใช่แน่ ผมค่อนข้างมั่นใจมาตลอดว่าเขาเองก็คิดกับผมแบบเดียวกับที่ผมคิดกับเขา เพียงแต่เราสองคนไม่เคยพูดมันออกมาเลย แต่คราวนี้ผมก็พร้อมที่จะเป็นฝ่ายเริ่มพูดเองบ้างแล้ว ไม่เห็นมันจะมีอะไรเสียหายนี่

ถ้าหากใครสักคนมาขีดข้อกำหนดในเรื่องของความรักให้ผมฟังล่ะก็ ผมก็พร้อมจะตอกหน้าเขากลับไปทันทีเลย เพราะตัวอย่างที่ผมเห็นชัดๆมันก็มีอยู่ตรงหน้าผมนี่แล้วไง ผมและเพื่อนคนนี้รักกันและเราก็รักกันดีมากด้วยมาตลอดระยะเวลาหลายปี ถึงแม้ว่าเราสองคนจะเป็นผู้ชายเหมือนกันก็ตาม แล้วพ่อและแม่ของผมล่ะ พวกท่านไม่ได้เป็นตัวอย่างของความรักชายหญิงที่ล้มเหลวหรอกเหรอ ข้อจำกัดเรื่องเพศไม่ใช่สิ่งที่จะเอามาขีดกั้นผมได้เลยตั้งแต่ผมยังเล็กแล้วด้วยซ้ำ ผมเรียนรู้เรื่องพวกนี้ได้เองมาตั้งแต่ผมยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าผมเองนั้นชอบผู้ชาย


ใช่แล้ว......... ความรักของผมนั้นก็คงเป็นเหมือนดั่งผีเสื้อ

มันใช้เวลานานกว่าจะเติบโต มันสวยงาม และน่าทะนุถนอม
แต่สุดท้ายก็ มันจากเราไปอย่างง่ายดาย รวดเร็ว และช่างบอบบางเหลือเกิน..........


ผมรอคอยวันสอบวันสุดท้ายอย่างใจจดใจจ่อ ผมรอแทบไม่ไหวแล้วที่ผมจะได้พูดคำว่า “รัก” ออกไปให้คนที่ผมรักและรู้ว่าเขาก็รักผมเช่นเดียวกันฟัง

แต่สุดท้ายแล้ว ความฝันมันก็ยังคงเป็นแค่ความฝัน เช้าวันรุ่งขึ้นผมได้รับข่าวร้ายที่สุดในชีวิตเมื่อมีคนมาบอกทางโรงเรียนว่า นายภูมิธรเกิดประสบอุบัติเหตุ รถมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่เขาซ้อนท้ายเสียหลักและล้มลงในหมู่บ้านของตัวเองและเป็นเหตุให้เขาถึงแก่ชีวิต

หัวใจของผมแตกสลาย ผมนั่งทำข้อสอบอย่างไม่รู้เลยว่าตัวเองกาอะไรลงไปบ้าง น้ำตาของผมมันไหลไม่ยอมหยุด ผู้คนหลายคนทั้งนักเรียนและอาจารย์ต่างก็โศกเศร้าและเสียใจ เขาเป็นที่รักของทุกๆคนจริงๆ หลายคนพยายามเข้ามาปลอบผม แต่ผมก็ไม่ได้ยินอะไรที่พวกเขาพูดเลยสักนิด สิ่งที่ก้องอยู่ในหัวของผมตลอดเวลานั้นมีอยู่แค่เพียงอย่างเดียว นั่นก็คือเสียงใสๆของเขาตั้งแต่เขายังไม่แตกหนุ่ม ประโยคที่เขาบอกว่า เขารักผม เสียงที่หนักขึ้นทุ้มขึ้นของเขาที่บอกผมว่า เขามีอะไรบางอย่างจะพูดกับผมหลังจากที่เขาไม่ได้พูดมันมานานแล้วถึงสามปี และเสียงของเขาจากประโยคสุดท้ายที่เขาพูดกับผมว่า เขาจะมาเจอผมที่ห้องสอบในเช้าวันนี้...............

แต่ว่าสุดท้ายแล้วเขาก็ไม่มา และคงจะไม่มาให้ผมได้พบหน้าอีกต่อไปแล้ว..............

เขาคือคนๆเดียวที่ทำให้โลกของผมสว่างสดใสขึ้น เขาคือคนๆเดียวที่ทำให้ผมประทับใจได้ตั้งแต่รอยยิ้มแรกพบ และเขาคือคนๆเดียวที่สอนให้ผมรู้จักกับคำว่า “เพื่อนแท้” และ “ความรัก”

ท้ายที่สุดแล้วผมก็ไม่เคยได้ไปบ้านของเขา แต่ในงานศพ แม่ของเขาได้นำของสิ่งหนึ่งมามอบให้แก่ผม มันคือรูปถ่ายที่ผมถ่ายคู่กับเขาสองคนในห้องเรียนตั้งแต่เรายังอยู่ชั้นมอสอง ในรูปนั้น ใบหน้าที่ผมเกือบจะลืมเลือนมันไปแล้ว ใบหน้าตอนเด็กของเขาที่กำลังยิ้มกว้างอย่างที่เขาชอบทำเป็นประจำและกำลังกอดคอกับผมเองที่ก็กำลังยิ้มอยู่เช่นเดียวกัน ลักยิ้มข้างซ้ายของผมบุ๋มลงไปเล็กน้อย และเสียงของเขาก็ดังก้องขึ้นมาอีกครั้ง...........

“นี่ไง เห็นมั๊ย เวลามึงยิ้มแล้วมึงน่ารักจะตาย มีลักยิ้มที่แก้มซ้ายด้วย คราวหลังก็ยิ้มบ่อยๆนะ เข้าใจป่าว แล้วเดี๋ยวอะไรๆมันก็จะดีเองนั่นแหละ กูสัญญา และอีกอย่าง........ กูชอบด้วย”

“แต่กูไม่เคยเบื่อรอยยิ้มมึงเลยนะ พูดจริงๆแล้ว กูโคตรชอบรอยยิ้มแล้วก็ลักยิ้มของมึงเลย”


ผมร้องไห้ออกมาอีกครั้ง และคราวนี้มันมากกว่าครั้งไหนๆด้วย ผมพลิกดูด้านหลังของรูปช้าๆ และเห็นลายมือของเขาเขียนเอาไว้อยู่สองบรรทัด บรรทัดแรกเป็นลายมือตอนเด็กๆของเขา เขียนเอาไว้ว่า

“กูจะรักมึงอย่างนี้ไปจนวันตาย”

ส่วนอีกบรรทัดเป็นลายมือที่หวัดและเป็นผู้ใหญ่กว่าบรรทัดแรกอย่างเห็นได้ชัด ผมดูจากรอยหมึกแล้วเดาเอาว่าเขาน่าจะเพิ่งเขียนมันเมื่อไม่นานมานี้เอง มันถูกเขียนเอาไว้ว่า

“หนึ่งเดียว อันเป็นที่รัก และจะรักตลอดไปไม่มีวันเปลี่ยน”

เมื่ออ่านจบผมก็ร้องไห้จนตัวโยน ทั้งแม่ของภูและเพื่อนๆคนอื่นๆก็เข้ามาปลอบผมให้ผมสงบลง แต่ผมห้ามตัวเองไม่ได้ ผมห้ามตัวเองไม่ได้จริงๆ ในชีวิตของผมทั้งชีวิต ผมไม่เคยได้สัมผัสกับคำว่ารักแบบที่ภูเคยมอบให้ผมมาก่อนเลย การจากไปของเขาทำให้ผมรู้สึกโดดเดี่ยวอย่างที่สุด ผมรู้สึกราวกับไม่เหลือใครอีกแล้ว เขาเข้ามาในโลกของผมแล้วเปลี่ยนชีวิตผมไป เขามอบความรักให้ผมในแบบที่ผมไม่เคยได้รับจากใคร และไม่คิดว่าจะมีใครทำให้ผมได้ในแบบที่เขาทำด้วย ผมไม่รู้จริงๆว่าถ้าปราศจากเขาแล้ว ชีวิตของผมต่อจากนี้มันจะเป็นอย่างไร..............

จากนั้นผมก็ใช้ชีวิตอยู่ต่อมาโดยเฝ้าคิดถึงแต่เพียงเรื่องๆเดียว นั่นก็คือ แม้แต่คำว่ารัก ผมยังไม่เคยได้บอกเขาออกไปเลยสักครั้ง...........

เมื่อขึ้นเทอมใหม่ ผมก็ไปเรียนตามปกติ แต่ผมไม่รู้สึกปกติเลยแม้แต่น้อย ผมเศร้า และหดหู่ ผมกลับเป็นคนที่พูดน้อยและยิ้มน้อยเหมือนเดิม ผมไม่สุงสิงกับใคร และไม่เห็นว่าผมจะต้องทำแบบนั้นไปทำไมถ้าเมื่อผมทำไปแล้วและผมจะต้องเจ็บปวดเพราะการสูญเสียอีกครั้ง ผมใช้ชีวิตอยู่กับการคิดถึงเขาในทุกๆนาทีที่ผมหายใจ ทุกๆวันที่ผมใช้ชีวิต และทุกๆคืนที่ผมหลับตานอน

จนวันหนึ่ง ผมหยิบรูปของภูที่ถ่ายคู่กับผมรูปนั้นออกมาดูแบบที่ผมทำเป็นประจำ รอยยิ้มของเขามันบอกผมว่าผมควรเลิกที่จะเป็นแบบนี้ได้แล้ว ผมรู้ตัวว่าภูไม่ได้ต้องการให้ผมเป็นแบบนี้ เขาชอบรอยยิ้มของผม เขาชอบลักยิ้มของผม แต่ตอนนี้ผมกำลังจะสูญเสียสิ่งเหล่านั้นที่ทำให้ผมกับภูผูกพันกันไปเสียแล้ว......... วันนั้นผมร้องไห้อย่างรุนแรงกับตัวเองอีกครั้งหนึ่ง แล้วสัญญากับตัวเองว่าผมจะเข้มแข็งขึ้นเพื่อตัวของผมเองและคนที่กำลังหัวเราะมาให้ผมอย่างมีความสุขอยู่ที่โลกนู้น

ผมหยิบรูปถ่ายเดี่ยวล่าสุดของภูเท่าที่ผมมีออกมาดูอีกครั้ง ผมไม่เคยเบื่อรอยยิ้มของเขาเลยจริงๆ.........

ผมรู้ว่าสิ่งที่เขาปรารถนาดีต่อผมมากที่สุดก็คืออยากให้ผมมีความสุข เพราะฉะนั้นผมก็จะมีความสุข เพื่อที่เขาจะได้ยังคงมอบรอยยิ้มที่แสนประทับใจนั้นให้ผมได้ตลอดไปด้วย ผมบอกขอโทษเขา ว่าผมไม่สามารถรักษาสัญญาที่ผมกับเขาเคยมีให้กันว่าเราจะรักกันอย่างนี้ไปจนวันตายได้แล้ว..............

“ภู กูขอโทษนะ กูรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับมึงไม่ได้แล้ว.......” ผมพูดกับรูปถ่ายของเขาและร้องไห้ออกมาอย่างห้ามตัวเองไม่ได้ “.......เพราะถึงมึงจะจากไปแล้ว แต่กูก็ยังไม่หยุดรักมึง ภู...... กูขอโทษ....... ทั้งๆที่มึงทำตามสัญญาของเราแท้ๆ ทั้งๆที่มึงเองก็รักกูไปจนถึงวันตายของมึง....... แต่กูรักมึงมากจริงๆ และจะยังคงรักมึงไปตลอดกาลด้วย กูไม่สามารถหยุดรักมึงได้แม้ว่าความตายจะพรากมึงไปจากกูแล้ว กูสัญญา....... กูสัญญาว่าแม้แต่ความตาย ก็ไม่อาจพรากความจริงข้อนั้นไปจากเราสองคนได้........ ภูมิธร กูขอสัญญา ว่านับจากนี้ไป.............” แต่ผมไม่สามารถจะจบประโยคได้ ผมร้องไห้และร้องไห้ ร้องจนคิดว่าน้ำตาของตัวเองคงจะเปลี่ยนเป็นสายเลือด ผมร้องจนกระทั่งผมหลับไปทั้งๆที่มีน้ำตาอาบใบหน้า

วันรุ่งขึ้น ผมไปทำเรื่องลาออกจากโรงเรียนทันที เพราะผมไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่กับที่ๆเต็มไปด้วยความทรงจำของเขาและผมแบบนี้อีกต่อไปได้ ถ้าผมอยากจะก้าวเดินต่อไป สักวันหนึ่งผมก็ต้องเรียนจบจากที่แห่งนี้อยู่ดี เพราะฉะนั้นผมก็จะขอก้าวเดินต่อไปตอนนี้เลย และผมสัญญา ว่าผมจะไม่มีวันลืมเพื่อนรักของผมคนนี้เด็ดขาด เขายังคงมีชีวิตอยู่ในความทรงจำของผม และผมก็ยังคงสามารถเห็นรอยยิ้มและได้ยินเสียงหัวเราะของเขาได้ในทุกๆครั้งที่ผมหลับตาลง........

ต่อจากนี้ไป ผมจะทำตัวเองให้ดีขึ้นและมีความสุข เพื่อเขาที่ยังคงเป็นส่วนหนึ่งในใจของผมด้วยเช่นกัน



(จบเรื่องเล่าของปฐพีตอนที่หนึ่ง – ตอนหน้า รอยเท้าเก่าในผืนทราย)


น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
โธ่เอ๊ย  สงสารพีจังเลย :m15:
ทำไมให้เรื่องของเค้าเศร้าขนาดนี้นะ
ต้นนนน ใจร้าย

gobgab

  • บุคคลทั่วไป

............ความสุขในชีวิตคนเราทำไมมันสั้นนัก......... :o12: :o12:


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
ทำไมชีวิตพี่เศร้าอย่างนี้  o7  o7

ตอนนี้เรียกน้ำตาเราอีกแล้ว  :o12:

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10

ออฟไลน์ ~prince™~

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1116
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +161/-2

~Brand New Beat~

  • บุคคลทั่วไป
ตอนนี้เศร้าอีกแล้ว ผมก็เพิ่งอ่านนิยายทำนองนี้จบเหมือนกัน

อินได้ที่เลย น้ำตาไหลพรากๆ  :o12: :o12: :o12

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
ความทรงจำอันต่างกรรมต่างวาระ
แต่กลับซ้อนทับกันด้วยความไม่เข้าใจเพราะต่างคนต่างเก็บมันเอาไว้

บางครั้งเมื่อได้โอกาสก็พูดมันออกไป อย่างน้อยก็ไม่ต้องมาเสียใจภายหลังว่า ไม่ได้ทำมัน

คงไม่มีอะไรจะเสียกระมัง

 :a4: :a4: :a4:

t_warawut

  • บุคคลทั่วไป
ตัวละคร มีมิติมากๆๆ


มารอตอนต่อไปนะครับ

sun

  • บุคคลทั่วไป
:m17:    เศร้า อ่ะ  ทำไมชีวิต ความรัก ของ ปฐพี กับ  นายภูมิธร ถึงได้เศร้าขนาดนี้
ความรัก ที่ไม่มีวันสมหวัง
ไม่ใช่เพราะไม่ได้รักกัน
ไม่ใช่เพราะ อีกคนไม่ได้รัก
แต่เพราะ"ความรักยังคงอยู่"
แต่...อีกคนไม่อยู่แล้ว....   ต่างหาก     :monkeysad:

 :o12:        แง๊ๆ 

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586

จงทำสิ่งต่างๆ ซะ ก่อนที่เราจะไม่ได้ทำมันนะเคอะ

พูดไป  ใช่ว่าจะยาก  แต่มันก็ไม่ง่ายเหมือนกันเนอะ

เขียนเอง งงเอง  อิชั้นหละกลุ้มตัวเอง

จาก อิเจ้ คนซื่อ  :a14:

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนที่ 35 (เรื่องเล่าของปฐพี : รอยเท้าเก่าในผืนทราย)


โรงเรียนใหม่ของผมอยู่ไกลจากบ้านของผมมากกว่าเดิมเสียอีก แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาอยู่แล้วเพราะผมสามารถมีคนคอยรับคอยส่งผมได้ทุกเมื่อถ้าผมต้องการ แต่ผมปฏิเสธ ผมอยากจะขึ้นรถเมล์ไปเรียนแล้วก็กลับบ้านแบบปกติๆมากกว่า

ผมรู้ตัวว่าผมไม่ได้มีฐานะร่ำรวยอะไรขนาดนั้น แต่ทั้งพ่อและแม่ของผมนั่นเองที่ชอบทำให้มันดูเกินจริงอยู่เรื่อย หรือจริงๆแล้วก็คือ ท่านทั้งสองอยากให้ผมมีความสุขและอยู่อย่างสะดวกสบายมากกว่า

แต่ความสุขเพียงหนึ่งเดียวของผมนั้นก็ตายจากผมไปแล้ว.......... จริงๆ

แน่นอนว่าการเริ่มต้นใหม่ของผมนั้นมันไม่สวยงามนัก จะมีเด็กสักกี่คนในประเทศนี้ที่ต้องย้ายโรงเรียนเอากลางเทอมแบบนี้ล่ะ คนอื่นๆเขารู้จักกันมาแล้วอย่างน้อยๆที่สุดก็หนึ่งปีครึ่ง แล้วผมที่ย้ายมาใหม่แบบนี้ ผมจะทำตัวอยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมใหม่แบบนี้ได้ยังไง

แต่ถ้าเป็นภูก็คงไม่แน่....... ถ้าเป็นเขา เขาคงจะแนะนำตัวเองกับเพื่อนคนอื่นๆด้วยสีหน้าแย้มแย้มและก็หัวเราะเล่นตลกกับคนอื่นๆตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอกันแน่นอน

แต่สำหรับผมมันไม่ใช่ ผมไม่ใช่คนแบบเขาเลยจริงๆ ผมพยายามแล้วที่จะเป็นมิตรกับคนอื่น แต่ดีที่สุดเท่าที่ผมทำได้ก็คือ การนั่งยิ้มอยู่กับที่แล้วรอให้คนอื่นเข้ามาเป็นฝ่ายพูดคุยก่อนอยู่ดี และเมื่อมีใครเข้ามาคุยกับผม ผมก็จะยิ้มตอบพร้อมกับตอบคำถามหรือพูดคุยกับเขากลับไปเท่าที่ผมทำได้

มันทรมานมาก ทรมานมากจริงๆ ผมเห็นภาพของภูฉายซ้อนอยู่ในทุกๆที่ทุกๆใบหน้าที่ผมเห็น และที่แย่กว่านั้น ผมเห็นภูอยู่ในกระจกเงาในห้องของผมอยู่ทุกๆคืนที่ผมมองมัน ผมร้องไห้กับตัวเองคืนแล้วคืนเล่า ภาวนาให้เขาเป็นกำลังใจให้ผมสามารถเข้มแข็งขึ้นได้ด้วยเถอะ

วันเวลาผันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผมก็ยังคงไม่สามารถลืมเขาได้เลยแม้สักนาที ไม่มีมีวันไหนสักวันที่ผมจะไม่เคยคิดถึงเขา แต่ว่าความคิดถึงและความโหยหาเขานั้นก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความทรงจำที่แสนงดงามและตราตึงอยู่ในใจของผมไปทีละน้อยๆ เพื่อนๆที่โรงเรียนใหม่นี้ก็ไม่เลวนักหรอก บางทีผมอาจจะกลัวไปเองก็ได้ เพราะพวกเราทุกคนต่างก็โตๆกันแล้ว ไม่ใช่เด็กๆเหมือนเมื่อก่อน พวกเขาเป็นมิตรและดีกับผมมาก ผมเป็นที่ต้อนรับของพวกเขาทุกคนในห้องอย่างที่สุด ผมเองก็พยายามจะเป็นคนที่ดีขึ้นให้ได้อย่างที่ผมสัญญาไว้กับภู และผมก็พยายามที่จะรับเอาเขาเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของจิตใจและวิญญาณของผมเช่นเดียวกัน ผมอยากจะมีเขาอยู่กับผม ไม่ใช่แค่ในความทรงจำของผม แต่อยู่ภายในวิญญาณและในตัวตนของผมด้วย

ผมเริ่มพูดคุยกับคนอื่นมากขึ้น ไม่พูดน้อยเหมือนเมื่อตอนย้ายเข้ามาใหม่ๆ ผมเริ่มยิ้มให้กับคนอื่นมากขึ้นเรื่อยๆเพราะพวกเขาก็เป็นเพื่อนของผมแล้วไม่ใช่แค่คนแปลกหน้าอีกต่อไป แต่ทว่าผมก็ยังไม่เจอคนที่จะมาแทนที่ภูได้เลยสักคน แน่นอน ไม่ใช่ในความหมายเดียวกับที่ภูได้มอบให้กับผมหรอก แต่อย่างน้อย ก็ความหมายของคำว่าเพื่อนแท้ที่ผูกพันกันมานาน....... แต่ก็นั่นแหละนะ ผมจะมาหวังอะไรกับเพื่อน กับคนที่ผมเพิ่งรู้จักกันได้แค่สองสามเดือน

“พี ทำไมมึงไม่ไปเป็นนักบาสวะ” ป้อง เพื่อนใหม่ที่ค่อนข้างสนิทกับผมถาม “ตอนชั่วโมงพละกูก็เห็นมึงเล่นเก่งออก ทำไมไม่เข้าชมรมบาสล่ะ”

ผมมองหน้าเขาแล้วก็ส่ายหัวเบาๆ “กูก็ไม่รู้สิ ไม่ค่อยอยากว่ะ บ้านกูอยู่ไกลด้วย คงไม่มีเวลาให้ชมรมหรืออะไรเท่าไหร่หรอก”

“นี่ ไอ้พี มึงอย่าทำตัวมืดมนนักเลยสิวะ มีอะไรก็ระบายๆออกมาบ้าง สังสรรค์ คบหากับคนอื่นๆนอกจากคนในห้องบ้าง จะได้มีเพื่อนเยอะๆไง” เขาพูด

ผมปิดหนังสือที่กำลังอ่านอยู่ลงแล้วมองหน้าเขา “กูขอโทษจริงๆว่ะป้อม กูรู้ว่ามึงหวังดีกับกูนะ แต่กูยังไม่พร้อมจริงๆ และที่สำคัญ กูเชื่อว่าไม่มีใครพร้อมที่จะฟังอดีตของกูหรอก”

“มึงรู้ได้ไงว่าไม่มีใครพร้อม อย่างน้อยๆก็กูนี่ไง ที่พร้อมจะฟังมึง” เขายืนกราน

“ไม่หรอก....... บางทีมึงอาจจะพร้อม แต่กูคงจะไม่พร้อมเองนั่นแหละ และที่สำคัญ...... อดีตของกูมันน่าเศร้าและเจ็บปวดเกินไปสำหรับที่กูจะมาเล่าให้คนอื่นฟัง ยิ่งไปกว่านั้น มันก็ไม่ใช่อดีตของกูซะทีเดียวหรอก แต่มันยังคงเป็นปัจจุบันของกูด้วย” ผมบอกเขา ป้องมองหน้าของผมงงๆแต่สุดท้ายก็พยักหน้าออกมาช้าๆ ผมยิ้มตอบให้แก่เขา “ขอบใจมาก ป้อง”

เย็นวันนั้นผมกำลังจะกลับบ้าน แต่ว่าผมต้องเดินผ่านที่สนามบาสด้วย และตอนนั้นก็เป็นช่วงที่นักกีฬาต้องทำการฝึกซ้อมอยู่พอดี ผมไม่รู้ว่าผมคิดอะไรเหมือนกัน แต่ขาของผมมันกลับก้าวเดินเข้าไปที่นั่นแล้วยืนมองดูเด็กนักเรียนหลายคนที่กำลังฝึกซ้อมและเล่นบาสกันอยู่ ผมหยุดยืนดูอยู่ข้างหลังต้นไม้เงียบๆเป็นเวลาประมาณห้านาทีได้ และเมื่อผมหันหลังกลับเพื่อที่จะเดินไปขึ้นรถกลับบ้าน ลูกบาสลูกหนึ่งก็กลิ้งมากระแทกเข้าที่น่องขาของผมเข้าอย่างจัง ผมหันหลังกลับไปแล้วก็หยิบมันขึ้นมาถืออยู่ในมือ

ผู้ชายคนหนึ่งวิ่งหอบๆตรงเข้ามาหาผม “ขอโทษนะครับ” เขายิ้ม

ผมมองหน้าเขาอยู่ครู่หนึ่ง เขาค่อนข้างจะสูงกว่าผมนิดหน่อย ก็ดูเป็นนักกีฬาอย่างที่เขาน่าจะเป็นนั่นล่ะนะ คิ้วที่ขีดเป็นเส้นตรงเกือบจะขนานกับดวงตากลมโตที่สดใสและดูอ่อนโยนอย่างที่สุด ทั้งคิ้วและหางตาของเขาตกลงเล็กน้อย และคงเป็นเพราะสิ่งนี้เองที่ทำให้เขาดูเป็นคนใจดีและดูอ่อนโยนได้อย่างนั้น จมูกโด่งเรียวสวยกำลังดี ใบหน้ากลมเรียว ผิวสีแทนทั้งตัวที่ดูเรียบเนียน และที่สำคัญ เขามีรอยยิ้มที่ไม่ใช่แค่จากริมฝีปากของเขา แต่มันยังมาจากในแววตาของเขาอีกด้วย

“ไม่เป็นไรครับ” ผมตอบแล้วก็ยื่นลูกบาสคืนให้กับเขา

“เร็วๆเข้า ไอ้เมฆ!” เสียงตะโกนเรียกดังมาจากในสนามบาส

เขาหันกลับไปชูนิ้วกลางให้คนที่ตะโกนมาแล้วก็หันกลับมาหาผม

“ขอบคุณนะครับ” เขารับลูกบาสไปถือไว้ในมือ ยิ้มให้ผมอีกหนึ่งครั้งแล้วก็หันหลังวิ่งกลับไป

ที่จริง ผมยังไม่เห็นเขาหยุดยิ้มเลยนับตั้งแต่วินาทีแรกที่ผมเจอหน้าเขาด้วยซ้ำ

ผมตัดสินใจยืนดูเขาเล่นบาสพร้อมๆกับรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเขานั่นต่ออยู่อีกครู่ใหญ่ๆ จากนั้นจึงหันหลังแล้วก็เดินกลับบ้านพร้อมความรู้สึกแปลกๆเล็กน้อยที่ก่อตัวขึ้นข้างในใจ มันมีอะไรบางอย่าง ที่ทำให้ผมรู้สึกดีที่ได้เห็นรอยยิ้มของเขาคนนั้น ผมต้องยอมรับเลยว่าเขามีรอยยิ้มที่สดใสและเป็นประกายมากจริงๆ มันไม่ใช่รอยยิ้มที่เหมือนกับรอยยิ้มของภู แต่มันก็มีอะไรบางอย่างในรอยยิ้มนั่นที่ทำให้ผมนึกถึงเขา และไม่ใช่นึกถึงเขาในแบบที่ทำให้ผมรู้สึกเศร้าเสียใจด้วย

แต่เป็นบางอย่างที่ผมรู้สึกเหมือนกับผมลืมมันไปนานแล้ว...........

คืนนั้นผมนอนคิดถึงเรื่องบางอย่างที่ผมลืมคิดถึงมันไปเสียนาน ผมเอาแต่คิดว่าผมต้องยิ้มให้มากขึ้น มีความสุขให้มากขึ้น มันเหมือนกับนึกถึงแต่ปริมาณ แต่ไม่ใช่คุณภาพ ภาพรอยยิ้มของคนที่ชื่อเมฆคนนั้น มันฝังเข้าไปในใจของผมจนเป็นสิ่งที่เรียกว่าความประทับใจไปแล้ว ผมนอนคิดถึงเรื่องนี้อยู่พักใหญ่ๆ จึงตัดสินใจหยิบรูปของภูที่ผมไม่ค่อยได้หยิบออกมาบ่อยเหมือนเมื่อก่อนแล้วออกมาดูอีกครั้ง ทันใดนั้นเอง เมื่อผมได้เห็นรอยยิ้มของเขาในรูปทั้งสองใบ ถึงแม้เวลาจะผ่านไปนานหลายปี แต่รอยยิ้มของเขาก็ยังคงเหมือนเดิมทุกประการ มันมีรังสีแห่งความสุขฉายออกมาจากภูทั้งสองคนถึงแม้จะเป็นแค่เพียงรอยยิ้มในรูปถ่ายก็ตาม น้ำตาของผมเริ่มไหลลงมาอีกครั้ง ผมลืมไปเสียสนิทเลย ภูไม่ใช่แค่ยิ้มออกมาเท่านั้น แต่เขายิ้มออกมาก็เพราะเขามีความสุขและอยากจะยิ้ม เขายิ้มก็เพราะเขาอยากจะแบ่งปันความสุขของเขาให้แก่คนอื่นๆด้วยนั่นเอง.........

ผมนอนมองรูปของเขาแล้วก็ปล่อยให้น้ำตามันไหลอาบแก้ม ไม่ใช่ว่าผมคิดถึงและโหยหาเขาเหมือนเมื่อก่อนนั้นหรอก แน่นอน ว่าผมคิดถึงเขามาก แต่น้ำตาในครั้งนี้ เป็นน้ำตาแห่งความเสียใจและผิดหวัง........... ในตัวของผมเอง

“กูขอโทษ....... ภู สุดท้ายกูก็เพิ่งเข้าใจรอยยิ้มของมึงที่มึงคอยมอบมันให้แก่กูมาตลอด....... กูขอโทษจริงๆ แต่ต่อจากนี้ กูจะทำให้มันดีขึ้น กูสัญญา.......” ผมพูดกับเขา

ผมเก็บรูปของภูไว้ที่เดิมแล้วก็นอนหลับตาอยู่บนเตียง รอยยิ้มของเขาเฝ้าวนเวียนอยู่ในใจของผมอยู่ตลอดเวลา น้ำตาของผมก็ยังคงไหลออกมาเรื่อยๆ แต่ทันใดนั้นเอง จู่ๆรอยยิ้มของผู้ชายที่ผมเพิ่งจะเจอวันนี้ก็โผล่ขึ้นมา ผมลืมตาขึ้นและนึกถึงความรู้สึกที่ผมรู้สึกเมื่อตอนเห็นมันเป็นครั้งแรก ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าสิ่งนั้นนั่นก็คือรอยยิ้มของความสุขที่เขามอบให้แก่คนอื่นๆรอข้างเขานั่นเอง แน่นอน ว่าเวลาใครๆมีความสุขก็ย่อมต้องหัวเราะหรือยิ้มออกมากันทั้งนั้น แต่ว่าสำหรับคนบางคนนั้นมันจะต่างออกไป มันเป็นความรู้สึกลึกๆที่คงมีแค่ไม่กี่คนที่มี และมีน้อยคนยิ่งกว่าที่จะรับรู้มันได้จากคนเหล่านั้น มันคือความสุขจากใจจริงที่เขาเหล่านั้นอยากจะมอบให้แก่ผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา และหนึ่งในคนที่มีรอยยิ้มพวกนั้นนั่นก็คือภูนั่นเอง ส่วนคนอีกคนที่ผมยังไม่แม้แต่จะรู้จักเขาเลยแต่กลับให้ความรู้สึกนั้นแก่ผมได้ก็คือผู้ชายหน้าตาดีที่ชื่อเมฆคนนั้นนี่เอง

สุดท้ายก่อนที่ผมจะหลับตานอน ผมก็ปฏิญาณกับตัวเองเบาๆ ว่าจากนี้ไป ผมจะมีรอยยิ้มเพื่อผู้คนรอบข้าง ไม่ใช่รอยยิ้มที่มีแค่ประทับเอาไว้บนหน้าเพื่อจะระลึกถึงคนอันเป็นที่รักที่จากไปแล้วของผมเท่านั้น..........

เวลาผ่านไปอีกหนึ่งเดือน ระหว่างนั้นผมก็ได้รู้ว่าคนที่ชื่อเมฆนั้นเป็นรุ่นพี่ของผมปีนึง และผมก็เคยเดินสวนกับเขาบ้างครั้งสองครั้ง แต่อย่างหนึ่งที่ผมไม่เข้าใจนั่นก็คือ ผมไม่เคยเจอเขาที่สนามบาสอีกเลย ซึ่งผมเองก็ไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะอะไรและผมเป็นอะไรไปเหมือนกัน เพราะแทบทุกครั้งที่ผมเดินผ่านสนามบาส ผมก็จะต้องมองหาเขา ถ้าผมเดินผ่านชั้นเรียนของนักเรียนชั้นมอหก ผมก็จะมองหาเขา ตอนนั้นผมไม่รู้จริงๆว่าผมคิดอะไรอยู่ ผมบอกตัวเองว่ามันคงไม่มีอะไรมากเกินไปกว่าผมแค่อยากจะเห็นรอยยิ้มของเขาอีกครั้งก็เท่านั้น

จนเมื่อถึงการสอบไฟนอลผมก็ตัดใจ เขาจะเรียนจบในอีกไม่กี่วันนี้แล้ว ผมคิดว่าผมคงไม่มีโอกาสได้เจอกับเขาอีก ทั้งๆที่ผมตั้งใจเอาไว้ว่าจะขอเห็นรอยยิ้มของเขาเป็นครั้งสุดท้าย แล้วตัวผมเองก็อาจจะได้คำตอบในการก้าวเดินต่อไปอย่างเข้มแข็งมากขึ้น

และแล้วก็เหมือนฟ้ายังคงเห็นใจผมอยู่.........


ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page


วันเสาร์แรกของการปิดเทอม ผมต้องมาส่งรายงานและช่วยอาจารย์ทำงานของแต่ละวิชาอีกนิดหน่อยเพื่อเป็นคะแนนเก็บในส่วนที่ผมขาดหายไป วันนั้นเป็นวันที่อากาศไม่ดีมาตั้งแต่เช้า ยิ่งชวนให้ผมรู้สึกเหงาและหดหู่มากขึ้นไปอีก ผมไปถึงโรงเรียนเช้ามาก ยังไม่ถึงเวลาที่ต้องไปพบอาจารย์และผมก็ไม่มีไรทำด้วย ผมจึงเดินไปขอยืมลูกบาสที่อาจารย์พละที่สอนวิชาบาสเก็ตบอลผมมาเล่น และสัญญาว่าจะมาช่วยจัดของในห้องเก็บอุปกรณ์ตอนเที่ยง เมื่อได้ลูกบาส ผมก็เล่นอยู่คนเดียวราวๆครึ่งชั่วโมงผมก็เอาไปคืน จากนั้นก็ขึ้นตึกไปเพื่อพบกับอาจารย์ตามที่นัดไว้ หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมง อาจารย์ก็บอกให้ผมออกไปพักได้ แต่เมื่อผมเดินออกมากห้องพักครู จากระเบียงชั้นสามที่ผมเห็นอยู่นั้น ผมก็พบกับเขา รุ่นพี่ที่ชื่อเมฆคนนั้นกำลังเล่นบาสในสนามอยู่คนเดียว ผมดีใจมากจริงๆ ผมยืนมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง ในใจก็คิดอยากจะเดินลงไปข้างล่างเพื่อที่จะได้เห็นหน้าของเขาชัดๆหรือไม่ก็เพื่อที่จะคุยกับเขาไปเลย แต่ผมลืมไปหรือเปล่า คนอย่างผมนี่นะที่จะเข้าไปคุยกับเขาก่อน ผมเองยังไม่คิดว่าผมจะทำแบบนั้นเป็นเลย ผมจึงทิ้งตัวลงนั่งแล้วก็มองดูเขาอยู่อย่างนั้น.........

ถึงมันจะค่อนข้างไกล แต่ผมก็เห็นและรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเขาเล่นบาสอย่างรุนแรงมาก เขาวิ่งไปกลับทั้งสองฟากสนาม เขาดั๊งค์ และเขายังไม่ยอมหยุดพักเลยด้วย แต่ที่สำคัญที่สุดนั่นก็คือ เขาไม่มีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าเลยสักครั้งเดียว ไม่เหมือนกับเมื่อครั้งแรกที่ผมเห็นเขาเล่นบาสเมื่อครั้งนั้นสักนิด หากแต่คราวนี้มันกลับดูเต็มไปด้วยความเศร้า ผมนั่งดูเขาได้อีกไม่นานผมต้องกลับไปทำงานต่อ และเมื่อผมกลับเข้าห้องพักครู่ไปได้อีกแค่สักพัก ฝนก็เทลงมา ใจของผมพะวงไปถึงเขาว่าเขาจะเลิกเล่นและกลับไปแล้วรึยังนะ ผมไม่รู้ว่าทำไมผมถึงต้องคิดถึงเขาและกระวนกระวายมากขนาดนี้ แต่ผมก็ยังไม่อยากให้เขาหายไปไหนเลยจริงๆ ผมอยากจะเห็นรอยยิ้มของเขาอีกสักครั้ง

ผมรีบทำงานให้เสร็จจากนั้นก็รีบเดินออกมายืนที่หน้าระเบียงเหมือนเดิม เขายังคงอยู่ที่นั่น ผมไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเองเลย เขายังคงเล่นบาสอยู่ท่ามกลางสายฝน ผมนึกเป็นห่วงเขาขึ้นมาบ้างเช่นกัน ทำไมเขาถึงทำอะไรแบบนั้นนะ แล้วฝนที่กำลังตกอยู่นี่ก็ไม่ใช่เบาๆเลยด้วย แต่ผมก็ยังคงนั่งมองเขาอยู่ต่อไป จนเมื่อเวลาผ่านไปอีกแค่ราวๆห้านาที เขาก็หยุดวิ่งและทิ้งตัวนั่งกอดเข่าลงบนสนาม ผมแทบจะสาบานกับตัวเองได้เลยว่าผมได้ยินเสียงสะอื้นของเขา ถึงแม้ฝนจะตก ลมแรง และมีเสียงฟ้าร้องอยู่ก็ตาม เปล่า ไม่ใช่ว่าเขาร้องไห้เสียงดังหรอก เขาร้องไห้อยู่รึเปล่าผมยังไม่รู้เลย แต่อะไรบางอย่างทำให้ผมสามารถรู้สึกได้จริงๆว่าเขากำลังร้องไห้อยู่ ผมผุดตัวลุกขึ้นยืนทันทีเมื่อเห็นเขาทรุดลงไปแบบนั้น แต่สุดท้ายผมก็กลับนั่งลงเหมือนเดิม มันไม่ใช่เรื่องอะไรของผม มันไม่มีอะไรที่ผมจะทำได้ และก็จริงอย่างที่ผมคิด อีกไม่นานเขาก็ลุกขึ้นยืน แล้วก็ออกวิ่งอย่างเต็มกำลังอีกครั้ง

ผมมองเขาด้วยความทึ่งและความรู้สึกบางอย่างแปลกๆข้างใน ผมรู้สึกว่าถึงผมจะไม่รู้จักและไม่เคยคุยกับเขาคนนี้เลย แต่ผมก็รู้สึกนับถือเขาขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว เพราะเมื่อเห็นเขาในสภาพนี้ ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด เขาต้องกำลังมีเรื่องไม่สบายใจอยู่มากแน่ๆ แต่เขาก็กำลังต่อสู้อยู่กับมัน ใช่แล้ว ผมดูออกเลยว่าเขาเหนื่อยและท้อแท้ใจ แต่เขาก็ยังคงวิ่งต่อไปอย่างไม่หยุดพัก และยิ่งเมื่อผมคิดไปถึงรอยยิ้มของเขาที่ผมเคยเห็นในครั้งแรก มันก็ทำให้ผมนึกถึงภูขึ้นมาด้วย.......

ใช่แล้ว ภูเคยบอกบางอย่างกับผมเอาไว้..........

“ยิ่งมีแดดแรง และเจิดจ้ามากเท่าไหร่ ร่มเงาก็ยิ่งเข้มขึ้นเท่านั้น” เขาตอบออกมาหลังจากที่ผมถามเขาว่าทำไมเขาถึงได้ยิ้มเก่งนัก

“กูไม่เข้าใจว่ะ” ผมส่ายหน้า

เขาหัวเราะ “แหม จริงๆแล้วกูก็อยากจะพูดว่า ‘สักวันมึงจะเข้าใจเอง’ แบบเท่ๆแบบนั้นหรอกนะ” เขายิ้มกว้างแล้วมองตาผม “แต่กูว่ากูบอกมึงเลยดีกว่า เดี๋ยวมึงจะเสียใจที่กูทำเป็นเล่นตัว”

“เออๆ แล้วมันหมายความยังไงล่ะ” ผมนึกขำอยู่ในใจ

ภูยังคงยิ้มอยู่ แต่คราวนี้มันเป็นรอยยิ้มเศร้าๆแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนเลย และมันก็ทำให้ผมรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาในอกด้วย ผมไม่อยากเห็นเขามีรอยยิ้มแบบนี้เลยจริงๆ

“ถ้ากูพูดใหม่ว่า ‘มึงรู้มั๊ย ว่ายิ่งด้านหน้าของเรามีแสงแดดจ้ามากเท่าไหร่ เงาที่ทอดยาวไปยังด้านหลังของเราก็ยิ่งเข้มขึ้นตามไปมากเท่านั้น’ ล่ะ มึงเข้าใจมั๊ย”

ผมไม่ตอบ และภูเองก็คงรู้ว่านั่นแปลว่าผมยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี

“มันหมายความว่า การที่คนๆหนึ่งเขาเป็นคนร่าเริงและหัวเราะมีความสุขได้กับทุกสิ่งอยู่ตลอดเวลาน่ะ มันไม่ได้หมายความว่าเขาไม่เคยมีความทุกข์หรืออะไรเลยหรอก...... แต่มันก็คือเขานั่นแหละ ที่มีความทุกข์และความเศร้าในใจมากกว่าใครๆต่างหาก”

“นี่มึงหมายความว่ามึงเองก็.........” ผมรู้สึกแปลกใจ ประหลาดใจ และเริ่มรู้สึกกังวลด้วย

“เปล่าๆ ไม่ใช่ ไม่ใช่ว่ากูตีหน้ายิ้มเพื่อปิดบังความทุกข์ของกูอะไรหรอก แน่นอน กูก็คน กูก็รู้สึกเศร้าใจและเสียใจเหมือนคนอื่นๆนั่นแหละ แต่ว่ากูเป็นคนค่อนข้างคิดมากล่ะมั๊ง เพราะงั้นกูก็เลยรู้ว่าความเศร้าใจและความทุกข์ใจนั้นมันทรมานและเจ็บปวดมากขนาดไหน เพราะฉะนั้นกูจึงอยากที่จะเป็นคนยิ้มแย้มและทำให้คนอื่นมีความสุขได้ตลอดเวลา เพื่อที่ทั้งกูและคนอื่นๆรอบข้างกูจะได้ไม่ต้องทนเศร้ากับความมืดมนทางด้านหลังของตัวเองนั่นไง” เขายิ้มกว้างขึ้นมาอีกครั้ง.........

ตอนนั้นผมยังไม่รู้ว่าภูมีความเศร้าเรื่องอะไร แต่ต่อมาไม่นานผมถึงได้เข้าใจรอยยิ้มของเขามากขึ้น..........

ประโยคในวันนั้นมันทำให้ผมคิดอะไรได้ชัดเจนขึ้นมาในทันที ใช่แล้วล่ะ ที่ภูยิ้มแย้มตลอดเวลา นั่นก็คือเขาอยากจะมอบความสุขของเขาให้กับคนอื่นๆรอบกายเขาอย่างแท้จริง เพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องเห็นใครมีความทุกข์และความเศร้าที่เขาแสนจะเกลียด แต่ผมจำได้ ว่าเวลาที่เขามีเรื่องไม่สบายใจทีไร ภูจะกลายเป็นคนที่อ่อนแอได้อย่างถึงที่สุด......... และบางที รุ่นพี่ที่ชื่อเมฆคนนี้ก็อาจจะเป็นแบบนั้นด้วยเช่นกัน

เวลาผ่านไปอีกสักพักเมื่อฝนเริ่มซาลง อาจารย์หนุ่มก็เดินมาตามผม บอกผมให้ไปช่วยเขาเก็บของได้แล้ว ผมเดินตามเขาไปยังห้องเก็บอุปกรณ์พละ และแน่นอน ว่าผมก็จะต้องเดินผ่านเข้าไปใกล้กับสนามบาสด้วย พออาจารย์หนุ่มเห็นรุ่นพี่คนนั้นที่กำลังเล่นบาสอยู่ทั้งๆที่ฝนตก เขาก็ทำท่าไม่พอใจขึ้นมาทันที

“นั่นมันไอ้เมฆนี่หว่า ทำไมมันมาเล่นบาสทั้งๆที่ฝนตกแบบนี้วะ เปียกเป็นลูกหมาหมดแล้ว” เขาพูดแล้วทำท่าฟึดฟัด

 ผมมองไปยังพี่เมฆที่อยู่ในสนาม เขาหยุดยืนอยู่กับที่และเลี้ยงลูกบาสที่พื้นอีกสามสี่ครั้ง จากนั้นเขาก็ออกวิ่งเต็มฝีเท้าและกระโดดขึ้นดั๊งค์อย่างแรง และสิ่งที่สะดุดสายตาของผมก็คือ รอยยิ้มของเขา.......... นั่นไง คือรอยยิ้มของเขาที่ผมเคยเห็นเมื่อครั้งแรกที่ผมเจอกับเขาที่สนามบาสแห่งนี้ เขายิ้มออกมาแล้ว

“เออ มันเก่งเว้ย แรงขามันดีจริงๆ มีไม่กี่คนหรอกที่ตัวสูงไม่ถึงร้อยแปดสิบแบบมันแล้วจะดั๊งค์ได้ขนาดนั้นน่ะนะ” อาจารย์หนุ่มพูดอย่างพอใจในตัวลูกศิษย์ของเขา จากนั้นเขาก็หันมามองผม “เราก็คิดเหมือนกันใช่มั๊ยล่ะ ยืนมองยิ้ม ตาไม่กะพริบเลยนะ”

นี่ผมเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัวเหรอเนี่ย ผมก้มหน้าหลบสายตาของอาจารย์เพราะความอาย

“พี ครูว่าเราก็เก่งออกนะ ทำไมไม่เข้าชมรมบาสสักทีวะ เดี๋ยวครูจะปั้นเราแทนไอ้เมฆนั่นเอง........ อ้าวเฮ้ย!” อาจารย์หนุ่มร้องขึ้น ผมจึงหันไปมองในสนาม แล้วก็เห็นพี่เมฆนั่งลงบนพื้นสนามเปียกๆแล้วก็ยิ้มให้กับตัวเองอยู่คนเดียว

“อย่างนี้ มันต้องโดนด่าสักหน่อยแล้วมั๊ง พี เข้าไปเอานี่ไปวางไว้ในห้องเก็บอุปกณ์ก่อน เดี๋ยวครูตามไป” อาจารย์หนุ่มยื่นลังกระดาษที่ใส่อะไรไม่รู้อยู่เต็มให้แก่ผม จากนั้นผมก็เดินเข้าไปในห้องนั้นแล้ววางมันลงกับพื้น ผมได้ยินอาจารย์ตะโกนเรียกชื่อเขาแล้วก็คุยอะไรกันอีกเล็กน้อยที่หน้าห้อง จากนั้นอาจารย์ก็เรียกให้ผมออกไป

“พี ครูวานไปหยิบผ้าขนหนูในห้องพักของครูพละบนตึกมาให้ไอ้รุ่นพี่เราหน่อยซิ”

ผมมองหน้าของพี่เมฆชัดๆ แล้วก็เห็นเขาที่ยืนเปียกไปทั้งตัว ตาของเขาแดงเล็กน้อย แน่นอนว่าคงเป็นเพราะน้ำฝนนั่นล่ะ แต่ผมคิดว่ามันคงมีอะไรอย่างอื่นกว่านี้แน่ และผมก็คิดว่าผมรู้ด้วยว่ามันคืออะไร

ผมพยักหน้ารับ จากนั้นก็วิ่งกลับไปยังห้องพักครูของอาจารย์พละ

เมื่อได้ผ้าขนหนูและกลับมาถึงที่เดิม ผมก็เห็นพี่เขายืนเปลือยท่อนบนอยู่ เขามีหุ่นดีมากจริงๆ และยังหยดน้ำที่เกาะอยู่ตามร่างกายของเขานั่นอีก ทำเอาผมรู้สึกเขินโดยไม่มีเหตุผลไปด้วยเลยเหมือนกัน

“นี่ครับ” ผมยื่นผ้าให้แก่เขา

“ขอบคุณครับ” เขารับผ้าไป จากนั้นก็หันไปบอกอาจารย์หนุ่มว่าขอไปเช็ดตัวก่อนแล้วเดี๋ยวค่อยกลับมาช่วยทำงานด้วย

ผมกับอาจารย์จัดของในห้องกันอยู่พักหนึ่ง อาจารย์ก็บอกกับผมว่าต้องกลับไปทำงานในห้องต่อให้เสร็จ ให้ผมทำงานตรงนี้กับพี่เมฆไปก่อน แล้วเดี๋ยวเขาจะกลับมา เมื่ออาจารย์หนุ่มเดินออกไป พี่เมฆก็เดินกลับเข้ามาในห้อง ผมพยายามที่จะไม่มองร่างกายของเขานานเกินไปนักเพราะเดี๋ยวมันจะผิดสังเกต เขาช่วยผมทำงานอย่างเต็มที่ เราสองคนแทบจะไม่ได้คุยอะไรกันเลย ผมเองก็ไม่ใช่คนที่จะเริ่มพูดคุยก่อนอยู่แล้ว ส่วนเขาเอง ผมคิดว่าจริงๆแล้วเขาน่าจะร่าเริงและช่างพูดมากกว่านี้นะ แต่เมื่อผมเห็นเขาในสามบาสเมื่อครู่ ผมก็ไม่แปลกใจเลยที่ว่าเขาจะไม่มีอารมณ์อยากคุยอะไรกับใครเท่าไหร่นัก แต่ถึงอย่างนั้นก็น่าแปลกที่ไม่มีบรรยากาศของความอึดอัดอยู่ระหว่างเราสองคนเลยแม้แต่น้อย

แต่ผมเสียดายแค่เพียงอย่างเดียวจริงๆ........ ผมแค่จะอยากเห็นรอยยิ้มแบบที่ผมเห็นในสนามบาสเมื่อครู่นี้อีกสักครั้ง และคราวนี้ผมอยากได้รอยยิ้มแบบนั้นโดยที่เขาตั้งใจจะมอบให้ผม ไม่ใช่ยิ้มที่เขามีให้กับตัวเองแล้วผมบังเอิญไปเห็นเข้าอีกแล้ว

และขณะที่ผมคิดอยู่นั่นเองผมก็เกิดพลาดขึ้น ผมสะดุดรอยแตกบนพื้นและล้มหัวเข่าไปกระแทกเข้ากับตะกร้าเก็บลูกวอลเลย์ที่เป็นเหล็ก แถมยังเสียหลักล้มเอาหัวเข่าข้างเดิมกระแทกโดนขอบพื้นที่ต่างระดับอีกด้วย สุดท้ายตอนที่ผมล้มลง ผมยังรู้สึกข้อเท้าของตัวเองพลิกผิดท่าอีกต่างหาก ผมนั่งลงและเอามือกุมที่หัวเข่าอย่างเจ็บปวด

“เฮ้ย เป็นอะไรรึเปล่าครับ” พี่เมฆวิ่งเข้ามาถามอย่างตกใจ

“ไม่เป็นอะไรหรอกครับ แค่สะดุดนิดหน่อยน่ะ” ผมตอบ

“เลือดออกด้วยนี่ เอางี้ ไปนั่งพักก่อนดีกว่า เดี๋ยวพี่ไปขอยามาให้” เขายืนขึ้นแล้วยื่นมือมาให้ผมจับ ทำไมเขาต้องทำขนาดนี้ด้วยนะ ทั้งๆที่เรายังไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลยด้วยซ้ำ คือ จริงๆแล้วเขาสมควรที่จะคิดว่า ผมเองก็น่าจะสามารถยืนเองได้นี่นา ทำไมเขาต้องเป็นห่วงผมขนาดนี้ด้วย ถึงขนาดยื่นมือออกมาให้ผู้ชายอย่างผมจับนี่นะ......... มันทำให้ผมนึกถึงที่ภูที่เคยเป็นห่วงผมมากเมื่อตอนนั้นเลยทีเดียว

ผมพยายามจะลุกขึ้นด้วยตัวเอง แต่สุดท้ายข้อเท้าของผมก็ทำพิษ ผมเกิดเซถลาไปและกำลังจะล้มลง แต่เขาก็เข้ามาประคองผมเอาไว้ได้ก่อน

“ก็บอกแล้ว ว่าจะช่วย ไหนเอาเข่ามาดูหน่อยซิ” เขาพูดอย่างนั้น แต่ไม่มีความไม่พอใจอยู่ในน้ำเสียงของเขาเลยแม้แต่น้อย กลับกัน มันกลับเต็มไปด้วยความเป็นห่วงมากกว่า เขาก้มลงไปดูที่หัวเข่าของผม “เหมือนจะช้ำนะ จะเป็นห้อเลือดรึเปล่าก็ไม่รู้ แถมข้อเท้าอาจจะแพลงอีก อย่างนี้เจ็บแหงๆ มานี่เถอะครับ เดี๋ยวพี่พาไปนั่ง” เขาพูดและยังจับแขนของผมพาดบ่าเขาเอาไว้แล้วก็เข้ามาประคองโอบเอวผมอีกด้วย ผมรู้สึกตกใจนิดหน่อยที่เขาทำแบบนี้ แต่ผมก็ยอมเดินไปนั่งลงบนม้านั่งที่เขาถอดเสื้อวางเอาไว้แต่โดยดี

ทันใดนั้นเอง เพื่อนของพี่เมฆก็โผล่ออกมา พี่เมฆบอกให้เขาช่วยไปตามอาจารย์หนุ่มมาให้ดูอาการข้อเท้าของผมหน่อย ส่วนเขาจะไปหยิบยาที่ห้องพยาบาลมาให้ผมเอง

“เอ่อ พี่ครับ ผมไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ แค่นี้เอง” ผมรีบบอกเขา

“ช่างเหอะน่า เป็นแผลก็ใส่ยาไว้ก่อนก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย แถมดูซิเนี่ย แผลสกปรกจะตายไป ฝนมันเพิ่งตก ดินเลยติดเต็มหัวเข่าไปหมด เดี๋ยวพี่มานะครับ” เขายิ้มให้ผมแล้วก็วิ่งเหยาะๆออกไป

ผมนั่งนิ่งเพราะรอยยิ้มของเขาเมื่อครู่ ไม่เลย เขาไม่ได้มีรอยยิ้มอะไรที่เหมือนกับภูเลยแม้แต่น้อย แต่รอยยิ้มเมื่อครู่ของเขามันช่างทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นและรู้สึกราวกับผมกำลังถูกเป็นห่วงเป็นใยอยู่จริงๆ.........

จากนั้นไม่นานเพื่อนของพี่เมฆก็เดินมาอีกสองคนตามที่เขานัดกันเอาไว้ที่นี่ คนหนึ่งในนั้นหน้าตาดีมาก เขาตัดผมสกินเฮดและมีแววตาที่ดูแน่วแน่และค่อนข้างจะดุดัน ดูเขาเป็นคนดื้อๆที่กำลังไม่พอใจอะไรสักอย่างอยู่ และผมก็รู้สึกได้ว่าสิ่งที่เขาไม่พอใจนั้นก็คือผมนั่นเอง ซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม

เมื่อพี่เมฆกลับมา เขาก็ก้มลงทำแผลให้ผมทันที ผมก็ห้ามเขาแล้วว่าผมทำเองได้ แต่เขาก็ไม่ฟัง เขาเช็ดแผลและใส่ยาให้ผมอย่างเบามือและใส่ใจมากจริงๆ ผมจำไม่ได้เลยว่ามีใครคนอื่นเคยทำแบบนี้ให้กับผมนอกภู

“เอาล่ะ เรียบร้อยแล้ว” เขาลุกขึ้นยืน

“ขอบคุณมากครับพี่” ผมพูดและส่งยิ้มให้เขา เป็นรอยยิ้มที่มาจากใจของผมจริงๆ รอยยิ้มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความขอบคุณและความชื่นชม ผมหวังว่าเขาจะเข้าใจและยอมรับมันนะ

หลังจากนั้นอาจารย์หนุ่มก็เดินมาดูอาการของผมพร้อมกับพี่ที่มาถึงที่นี่เป็นคนแรก อาจารย์บอกผมว่าผมไม่เป็นอะไรมาก แค่เจ็บนิดหน่อย ทายาอีกไม่กี่วันก็คงหาย และเขาก็สั่งให้พวกพี่ๆทั้งสี่คนช่วยทำงานแทนผมต่อให้เสร็จ จากนั้นผมกับอาจารย์หนุ่มก็นั่งคุยกันเรื่องข้อเท้าของผมและก็นั่งดูพวกพี่เขาทำงานไปด้วย เท่าที่ผมสังเกต ผมไม่เห็นพี่เมฆกับพี่ที่ตัดผมสกินเฮดที่ชื่อซันนั่นคุยกันเลยแม้แต่ครั้งเดียว นอกจากนั้นยังมีบรรยากาศแปลกๆเกิดขึ้นระหว่างเขาสองคนอีกด้วย และเมื่อผมเอาทั้งหมดมาประมวลผลเข้ากับความรู้สึกแปลกๆที่เขามองผมเมื่อตอนที่พี่เมฆทำแผลให้ผมด้วยแล้ว ผมคิดว่าผมก็พอจะเข้าใจอะไรขึ้นมากแล้วคราวนี้...........

แน่นอนว่าผมรู้สึกแปลกใจถ้าเกิดมันเป็นแบบที่ผมคิดจริงๆ....... แต่ถ้าเขาจะเป็นอะไรกันจริงๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายนี่นา

เมื่องานเสร็จและอาจารย์หนุ่มเดินจากไป พวกเขาก็ดูเหมือนจะมีเรื่องผิดใจกันทันที ผมนั่งฟังอยู่อย่างไม่ค่อยจะเข้าใจและไม่สบายใจนัก ดูเหมือนว่าพี่เมฆกับพี่ซันจะมีเรื่องทะเลาะกันอยู่และทำให้พี่เมฆไม่อยากจะไปทะเลเพราะไม่อยากจะทำให้เพื่อนๆพลอยไม่สบายใจไปด้วย เขาคงต้องมีเรื่องทะเลาะกันแรงมากแน่ๆ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นแต่พี่เมฆอาจจะไม่เห็น นั่นก็คือ ผมรู้สึกได้เลยว่าพี่ซันนั้นกำลังหึงผมกับพี่เมฆอยู่ แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้ตัวเลยสักนิดเดียว

หลังจากที่ทุกคนต่างก็แยกย้ายกันกลับไป ผมเองก็กลับเข้าไปทำงานของอาจารย์ท่านอื่นต่อจนเสร็จ และเมื่อผมกลับถึงบ้านในเย็นวันนั้น ผมก็ขึ้นห้องไปหยิบเอารูปของภูออกมาดูทันที....... ผมมองรอยยิ้มของเขาและก็นึกถึงรอยยิ้มของพี่เมฆไปด้วย

ไม่เลย เขาสองคนไม่ได้ให้ความรู้สึกที่เหมือนกันออกมาเลยแม้แต่น้อย คือ มันก็แค่คล้ายๆกันเท่านั้น ผมไม่ได้รู้สึกชอบพี่เมฆแบบที่จะมาแทนที่ภูได้ แต่ผมก็ไม่ปฏิเสธว่าผมรู้สึกชอบเขาจริงๆ เขาดูเป็นคนอบอุ่นและห่วงใยคนอื่นมาก ซึ่งตรงนี้แหละ ที่คนที่ไม่ค่อยได้รับความรู้สึกแบบนั้นจากคนอื่นแม้แต่จากพ่อแม่ของตัวเองโหยหาและปรารถนามากที่สุด เขามีรอยยิ้มที่คล้ายกับรอยยิ้มของภู เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ผมประทับใจได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น และเป็นรอยยิ้มของคนที่ปรารถนาให้ทุกคนรอบกายของเขามีความสุขเช่นเดียวกัน

ผมไม่รู้หรอก ว่าผมคิดยังไงกับพี่เมฆ แต่ถ้ามีโอกาส ผมก็อยากจะรู้จักเขามากกว่านี้อีกสักหน่อย อยากจะได้พูดคุยกับเขามากขึ้นอีกนิด แต่ดูท่าทาง ผมกับเขาคงจะเจอกันช้าเกินไป........ ผมคงจะไม่มีวันได้เจอกับเขาอีกแล้ว

คืนนั้นผมนอนหลับและฝันเห็นภูยืนยิ้มให้แก่ผมอยู่

“ภู กูรักมึงจริงๆนะ และกูก็ไม่เคยลืมมึงเลย มึงโกรธกูมั๊ย ที่กูเกิดรู้สึกชอบรอยยิ้มของพี่เมฆเหมือนกับที่กูเคยชอบรอยยิ้มของมึงขึ้นมาแบบนี้.......” ผมถามเขาเบาๆราวกลับกลัวเขาจะโกรธและตะคอกใส่กลับมาเพราะสิ่งที่ผมเพิ่งพูดออกไป

ทว่าเขากลับยิ้มและส่ายหน้า และมันทำให้ผมเริ่มร้องไห้

“แล้วถ้าหากวันหนึ่ง กูเกิดไปหลงรักคนอื่นล่ะ ภู....... กูไม่อยากจะไปรักใครอีกแล้วจริงๆ กูอยากรักแค่มึงคนเดียวเท่านั้นนี่........ กูรักมึง กูไม่อยากจะลืมมึง กูไม่อยากจะไปรักใครคนอื่นเหมือนๆกับที่กูรักมึงอีกแล้ว......” ผมพูดไปสะอื้นไปด้วย

แต่ภูก็ยังคงยิ้มให้กับผมอยู่ เขาเดินเข้ามาหาผมช้าๆแล้วก็กอดผมเอาไว้ในอ้อมแขนของเขา ผมปล่อยตัวเองให้ร้องไห้ลงบนบ่าของเขา ผมไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นจากตัวของเขาเลย เขาจากผมไปแล้ว.......... เขาจากผมไปแล้วจริงๆ........ ผมกอดเขาแล้วก็ร้องไห้ เฝ้ารอให้เขาพูดว่าเขารักผมและก็อยากจะให้ผมรักเขาคนเดียวต่อไปเช่นกัน

เขาดันตัวผมออกช้าๆ วางมือลงบนแก้มทั้งสองของผมแล้วใช้นิ้วโป้งเช็ดน้ำตาให้ผมอย่างนุ่มนวล ผมไม่รู้สึกถึงสัมผัสของเขาเลย ผมไม่รู้สึกความความอบอุ่นแบบที่ผมโหยหาเลยสักนิด............ มันเตือนให้ผมรู้ว่าผมไม่มีเขาอีกแล้ว ผมไม่มีเขาอยู่ข้างกายอีกแล้ว......... เขาตายไปแล้ว........ เขาจากผมไปแล้วจริงๆ......... และมันทำให้ผมร้องไห้อย่างหยุดไม่ได้ ผมไม่สามารถยอมรับความจริงนี้ได้เลย ผมไม่สามารถหยุดน้ำตาที่กำลังไหลออกมาเรื่อยๆนี้ได้

“ร้องไห้บ่อยจังนะมึงเนี่ย” เขายิ้มอย่างอ่อนโยน

“แต่กูไม่เคยร้องไห้ให้ใครเห็นนี่นา” ผมบอกเขา

“กูนี่ไง ที่เห็น” รอยยิ้มของเขาหายไป เหลือเพียงความเศร้าและความเป็นห่วงที่ฉายอยู่ในแววตาของเขาเท่านั้น

ผมร้องไห้อย่างรุนแรงออกมาอีกครั้ง ภูจึงคว้ามือของผมไปกุมเอาไว้

“กูรักมึง พี รักมากด้วย รักมากยิ่งกว่าชีวิตของกูเองเสียอีก......” เขาพูดแล้วส่งยิ้มมาให้ผมอย่างอ่อนโยน “เพราะฉะนั้นมึงเชื่อกูเถอะ กูอยากให้มึงมีความสุขมากกว่าคนไหนๆในโลกเลย สักวันหนึ่ง มึงจะต้องเจอคนที่ใช่มากกว่ากู คนที่เขามีชีวิตอยู่กับมึงได้........ มึงจะรักเขา และเขาก็จะรักมึง มึงคงไม่รักเขาแบบที่มึงรักกูหรอก เรื่องนั้นกูขอให้มึงมีไว้สำหรับกูคนเดียวเท่านั้นพอ” เขาหัวเราะ “แต่มึงจะรักเขาในแบบที่เขาเป็น........... ส่วนกู ก็จะยังรักมึงตลอดไปไม่มีวันเปลี่ยนแปลง กูจะรักมึงที่เห็นมึงเป็นคนที่ถูกรัก และก็จะมีความสุขมากด้วยถ้ามึงมีความสุขเช่นกัน เพราะว่ากูน่ะ อยู่ตรงนี้ของมึงไง........” เขาเอื้อมมือมาแตะที่หน้าอกข้างซ้ายของผม “จำเอาไว้นะพี กูไม่คิดหรอกว่ามึงมีความสุขแล้วมึงจะลืมกูไป มึงไม่ต้องกังวลเรื่องนั้น เพราะฉะนั้น มึงก้าวเดินออกไปหาความสุขของมึงเถอะ สักวัน มึงจะเจอคนที่เขาสามารถมอบรอยยิ้มและความรักให้กับมึงได้อย่างที่มึงต้องการ และเมื่อนั้น กูก็จะดีใจมาก และกูก็จะรู้สึกขอบคุณเขาคนนั้นมากด้วยเหมือนกัน”

ผมดึงตัวของภูเข้ามากอดแล้วก็ปล่อยให้ตัวเองร้องไห้อย่างควบคุมไม่ได้ และปากก็พร่ำแต่ชื่อของเขาซ้ำไปซ้ำมา.............

เช้าวันรุ่งขึ้น ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบอยู่เต็มใบหน้าและความเหงาที่แทรกลึกเข้ามาอยู่เต็มภายในหัวใจของผม ผมหยิบรูปของภูที่ผมสอดเอาไว้ใต้หมอนก่อนนอนเมื่อคืนออกมาดูอีกครั้ง และผมยิ้มให้แก่เขา ผมพยายามที่จะไม่ร้องไห้อีกต่อไปแล้ว ผมไม่อยากจะทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ เพราะว่าเขามองเห็นน้ำตาของผมมาตลอด..........

นับจากนี้ไป ผมจะมอบรอยยิ้มให้แก่เขาในทุกๆครั้งที่ผมนึกถึงเขา

อย่างที่เขาพูดนั่นแหละ ผมจะไม่มีวันลืมเขาไปเด็ดขาด เขาคืออดีตของผมที่ผมเคยมี และสิ่งที่เรียกว่าอดีตนั้น มันก็คือเส้นทางที่เราเดินผ่านมาแล้วและอยู่เบื้องหลังของเรา เมื่อเราก้าวเดินต่อไป เมื่อเวลาผันผ่านไป รอยเท้าเหล่านั้นมันก็จะถูกทิ้งเอาไว้เบื้องหลังและอาจจะถูกคลื่นซัดหรือถูกลมพัดจนหายไปได้ แต่สิ่งที่ผมรู้และสิ่งที่สำคัญที่สุดนั่นก็คือ ผมไม่เคยลืม และจะไม่มีวันลืมว่าผมได้เคยเดินผ่านและก้าวผ่านอะไรมา ผมจะไม่มีวันลืมว่าผมเคยทิ้งรอยเท้าเอาไว้เบื้องหลัง ถึงแม้ว่าท้ายที่สุดแล้ว มันจะต้องถูกคลื่นซัดจนสูญหายไปเหลือเพียงความว่างเปล่าที่เดียวดายเท่านั้นก็ตาม..............



(จบเรื่องเล่าของปฐพี – ตอนหน้า กลับสู่บทเล่าเรื่องของเมฆ)


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
อ่า....ในที่สุดก็รู้แล้วละว่าเมฆหน้าตาเป็นไง ตามคำบรรยายของพีเนี่ย หล่อดีเนาะ
แถมเมฆก็มีเสน่ห์อย่างที่ซันว่าจริงซะด้วย พีเห็นปุ๊บชอบปั๊บ

Jingjoh

  • บุคคลทั่วไป

somtamman

  • บุคคลทั่วไป
อืม ชักอยากรู้แล้วสิเนี่ย

ตอนแรกก็คิดว่าเนื้อคู่ของเมฆ ก็คือ ซัน  แต่ว่าเมื่อภูพูดในความฝันอย่างนั้น

ทำให้คิดว่า รึว่า พีต่างหากที่เป็นเนื้อคู่ของเมฆ

ตกลงว่า ศิลา จะต้องคู่กับ ปฐพี หรือว่า เมฆ จะอยู่ คู่กับฟ้าครามกันนะ.........

sun

  • บุคคลทั่วไป
 :m17:    เงื้อๆ   อ่านความรู้สึกของ ภูแล้ว มันจี๊ดขึ้นใจชะมัด    :sad2:


อ้างถึง
  “ยิ่งมีแดดแรง และเจิดจ้ามากเท่าไหร่ ร่มเงาก็ยิ่งเข้มขึ้นเท่านั้น”
.................
....................
" ...การที่คนๆหนึ่งเขาเป็นคนร่าเริงและหัวเราะมีความสุขได้กับทุกสิ่งอยู่ตลอดเวลาน่ะ มันไม่ได้หมายความว่าเขาไม่เคยมีความทุกข์หรืออะไรเลยหรอก...... แต่มันก็คือเขานั่นแหละ ที่มีความทุกข์และความเศร้าในใจมากกว่าใครๆต่างหาก”
..................
............
" เพราะฉะนั้นกูจึงอยากที่จะเป็นคนยิ้มแย้มและทำให้คนอื่นมีความสุขได้ตลอดเวลา เพื่อที่ทั้งกูและคนอื่นๆรอบข้างกูจะได้ไม่ต้องทนเศร้ากับความมืดมนทางด้านหลังของตัวเองนั่นไง”

*
*
โฮกกกกกกกกส์!~     :o12:
ไม่มีคำพูด..........     :sad2:


ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
การที่คนๆหนึ่งเขาเป็นคนร่าเริงและหัวเราะมีความสุขได้กับทุกสิ่งอยู่ตลอดเวลาน่ะ มันไม่ได้หมายความว่าเขาไม่เคยมีความทุกข์หรืออะไรเลยหรอก...... แต่มันก็คือเขานั่นแหละ ที่มีความทุกข์และความเศร้าในใจมากกว่าใครๆต่างหาก

 :m8:  :m8:  :m8:

~Brand New Beat~

  • บุคคลทั่วไป
ทำไมมันเรื่องมันน่าเศร้าเช่นนี้  :o12:

สงสัยเรื่องนี้คงจะเศร้าได้อีก(มาก)แน่เลย T-T

ว่าแล้วก็...เฮ้อ ถอนหายใจ  :เฮ้อ:

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตัวละคร มีมิติมากๆๆ


ขอบคุณมากเลยครับ สำหรับคำพูดนี้
เพราะทั้งตอนนี้แล้วก็ตอนนั้นที่โพสไปก่อนหน้านี้ว่าร้องไห้
ก็เป็นเพราะภูมิธรด้วยเหมือนกันนั่นแหละ
ทั้งๆที่พิมไว้พักใหญ่ๆแล้วนะ แต่พอก่อนเอามาลงแล้วอ่านทวนอีกครั้ง
ทำเอาทำอะไรอย่างอื่นหรือเขียนตอนต่อๆไปไม่ได้เลย

เพราะว่าผมเป็นคนเขียนก็เท่ากับเป็นคนสร้างตัวละครขึ้นมา
และสุดท้ายก็เป็นผมเองที่ทำลายเขาไป
มันก็เลยเฮิร์ตอ่ะคับ T__T
ถึงบทเขาจะดูไม่มาก แต่สำหรับผมแล้ว ผมรู้อดีตของเขาทุกอย่าง
อย่างที่คุณ t_warawut ว่าแหละคับ ผมรู้อดีตของเขาตั้งแต่เกิดยันตายเลย ผมมีพล็อตทั้งหมดไม่ใช่แค่ให้เขาโผล่มาเฉยๆ
พูดง่ายๆคือ ถ้าเขียนนิยายเรื่องของเขากับพี ผมคงได้ร้องไห้ไม่เป็นอันทำมาหากินแน่

ตอนเขียนเวลาที่ถูกหยดเอาไว้ ผมก็ร้องไห้นะ ไอ้ทึ่มก็เห็น มันยังงงเลย
เขียนเองจบเองไม่ได้เพราะมันเศร้าไป จนสุดท้ายก็ได้ตอนจบแบบที่อ่านกันไปอ่ะคับ
ตอนอดีตของพีนี่ก็เหมือนกัน มีเปลี่ยวแอนด์น้ำตาซึมทุกครั้งที่อ่านเลย

ผมคิดว่านักเขียนคนอื่นๆก็เหมือนกันแหละคับ เราเขียนเราสร้างเขาขึ้นมา เราก็รักพวกเขาด้วย
และผมก็จะดีใจมากๆๆๆเลยถ้าคนอ่านก็รักพวกเขามากเหมือนๆกัน

แต่ตอนนี้ ตัวละครโปรดของผมที่ผมรักที่สุดคือ ภู ไปซะแล้วคับ T__T

สุดท้ายนี้แว้บมาบอกว่าขอบคุณทุกคนมากครับที่อ่าน ไม่ว่าคนที่รีหรือไม่รีหรือคนที่ส่งเมล์ไปหาผม
ขอบคุณจริงๆคับ

 :impress:

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
คนที่สร้างรอยยิ้มแก่เรา แม้จะยาวนาน ก็ยังเป็นความทรงจำที่ไม่จืดจาง
 :m1: :m1: :m1:

คนต่ายไปแล้วก็ไม่อาจฟื้นได้ เขาก็คงเหมือนเราอยากให้คนที่เรารักมีความสุข
เราก็เดินต่อไปด้วยปัจจุบันดีกว่า

เพราะเราอาจเป็นคนที่สร้างรอยยิ้มให้กับคนอื่นได้บ้าง
 :m15: :m15: :m15:

jedi2543

  • บุคคลทั่วไป
เข้ามาบอกขอบคุณคนเขียนที่โพสต์บ่อย

ยังไม่ได้อ่านละเอียดเลย มัวแต่อ่านคร่าวๆ

ช่วงนี้บ้าตี๋แพงอยู่ กำลังโหลดคลิปมือเป็นระวิง

ดูคลิปจบเมื่อไหร่เดี๋ยวกลับมาอ่านละเอียดต่อนะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด