การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)  (อ่าน 243005 ครั้ง)

sun

  • บุคคลทั่วไป
อ่ะหุๆ   เจ๋งเป้ง     o13
ให้มันได้งี๊จิ ซันเอ๊ย...     o7

ทายถูกด้วยวุ้ย...ไคล์ มากับพีท เอิ้กๆ
แย้วก้ออย่าบอกว่าว่า..พีทจะเป็น ยา สมานแผลใจ ให้ไคล์ นะ  คิคิ      :m1:
ถ้าคู่นี้ .. ลงตัวได้ ก้อดีโนะ    :m4:

jedi2543

  • บุคคลทั่วไป
ชอบทั้งเหตุผลของซันในเรื่องการแสดงออก

และมุมมองความรักของเมฆ

เราว่าเมฆเป็นผู้ใหญ่มากๆ เลยและอ่อนโยนด้วย

เจอคนแบบนี้อยู่ใกล้ๆ เป็นเราก็ต้องหลงรักล่ะนะ


วันก่อนจะหาภาคก่อนของเรื่องนี้มาอ่าน ดันจำไม่ได้ว่าชื่ออะไร ใครก็ได้บอกชื่อหน่อยค่ะ :m5: :m5:

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ชอบทั้งเหตุผลของซันในเรื่องการแสดงออก

และมุมมองความรักของเมฆ

เราว่าเมฆเป็นผู้ใหญ่มากๆ เลยและอ่อนโยนด้วย

เจอคนแบบนี้อยู่ใกล้ๆ เป็นเราก็ต้องหลงรักล่ะนะ


วันก่อนจะหาภาคก่อนของเรื่องนี้มาอ่าน ดันจำไม่ได้ว่าชื่ออะไร ใครก็ได้บอกชื่อหน่อยค่ะ :m5: :m5:

ขอบคุณมากๆคับ

ผมยังอยากได้แฟนอย่างไอ้ซันและกิ๊กอย่างไอ้เมฆเลย (อ้าว)

ภาคก่อนๆอยู่หน้าหนึ่งคับผม http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2104.0

ปล. ตั้งแต่ตอนที่สามสิบเอ็ดไปจะต่างออกไปนิดหน่อยนะครับ เตรียมตัวกันได้เลย....... และผมอยากบอกว่ามีหลายตอนที่ผมตั้งใจทำงานออกมามากๆๆๆอยู่ด้วยแหละ ขอให้สนุกนะคับ


jedi2543

  • บุคคลทั่วไป
โหย มีspoil ล่วงหน้าด้วย

อืม จำได้ว่าคนเขียนมีแฟนแล้วนา

ยังเคยอ่านเรื่องอยู่เลย

เห็นคบกันนานแล้วใช่มั้ย อืมๆๆๆ น่าเอาไปกระซิบบอกเด็กซะหน่อย

แต่ไม่เป็นไร เราก็ชอบปันใจให้นักเรียนในคลาสตัวเองเหมือนกัน

อยากลองกินเด็กเหมือนคนเขียน

Jingjoh

  • บุคคลทั่วไป
น่าฮักจางง
 :m11:

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
ตอนนี้ซึ้งจังเลย ... :m1:  :m1: แต่เจอคนแต่งสปอยซะน่ากลัวเชียะ  :a5:

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
อ้างถึง
อีกอย่าง กูกับมึงต้องอยู่กันแบบนี้ไปตลอดชีวิตนะ

 :m3: :m3: :m3: :m3:


อย่างนี้รักตายเยย
 :m18: :m18: :m18:

น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
ซันน่ารักจริง ๆ ทำตัวดีขึ้นมาก ๆ เลย

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนที่ 30


ผมพาไอ้ซันเดินดูรอบๆริมผานั้นเหมือนกับที่ผมเดินกับไคล์ เพียงแต่ครั้งนี้ ไอ้ซันจับมือของผมเอาไว้เกือบจะตลอดเวลายกเว้นเวลาถ่ายรูป ผมอายนะครับ อายมากด้วย แต่ไม่ใช่ว่าอายสายตาของคนอื่นที่มองเราสองคนหรอก แต่เป็นอายที่มันกำลังทำแบบนี้ต่างหาก

“ซัน ปล่อยมือกูเหอะ กูเขินว่ะ” ผมบอกมันหลังจากเราเดินกันอยู่ได้ราวๆสิบนาทีแล้ว

“เขินทำไม ไม่มีใครเขารู้จักเราสักหน่อย เจอกันครั้งเดียว เดี๋ยวพวกมันก็ลืมเราไปหมดแล้ว” มันพูด

“เรื่องนั้นมันก็ใช่ แต่เรื่องบางเรื่องเราเก็บไว้รู้กันแค่สองคนมั่งก็ได้นี่หว่า”

ไอ้ซันมองหน้าผมแล้วเงียบไปพักหนึ่งจากนั้นมันก็ปล่อยมือออก

“ที่มึงพูดมันก็จริง” มันยิ้มกว้าง

ใช่แล้ว การได้แสดงความรักน่ะมันก็ดีอยู่หรอก แต่มันก็ไม่จำเป็นที่เราจะต้องโพนทะนาบอกคนทั้งโลกให้รู้ว่าเรารักกัน ถ้ามันอยากจะจับมือผมเมื่อไหร่นั่นก็ได้เลย และถ้าผมอยากจะจับมือของมันเมื่อไหร่เวลาไหน ผมเองก็จะจับเช่นกัน ผมไม่มีปัญหาในเรื่องนั้นอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเราไม่ได้มีกันอยู่แค่สองคนในโลกนี้ และคนอื่นๆในโลกก็ไม่จำเป็นที่จะต้องรู้ว่าเราคบกันอยู่ ถึงเขาจะเห็นเราจับมือกัน ใช่ บางคนอาจไม่คิดอะไร บางคนอาจเห็นว่าเรารักกันดี และบางคนก็อาจจะไม่ชอบ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครสักคนที่รู้ว่าเราสองคนต้องผ่านต้องประสบกับอะไรมาบ้างถึงจะได้มายืนจับมือกันอยู่แบบนี้ ไม่มีสักคนในพวกนั้นที่จะเข้าใจ และเราก็ไม่จำเป็นต้องไปบอกพวกเขาทุกคนเรื่องนั้นด้วย ถ้ามันเป็นความรักของเราสองคน นั่นก็คือเรื่องของเราสองคนเท่านั้น ไม่จำเป็นว่าใครจะรู้ ใครจะเห็น หรือใครจะต้องเข้าใจ

“อืมมมม สดชื่นดีว่ะ” ไอ้ซันพูดพลางเหยียดแขนออกกว้าง

“ช่ายยย” ผมยืนเท้าแขนลงบนราวเหล็กข้างๆมัน

“นั่งเครื่องบินกับขับรถมาตั้งนาน ได้มาเจอความรู้สึกแบบนี้มันก็ดีนะ สบายใจดี แล้วดูท่าทางที่นี่จะเงียบสงบดีด้วย”

“นั่นสินะ แต่จะว่าไป มึงสนใจจะไปไฮค์รึเปล่า” ผมถามแล้วชี้ลงไปยังเส้นสีขาวๆข้างล่างเหล่านั้น “ไอ้ทางที่มึงเห็นนั่นน่ะ มึงคิดว่าไง สนใจจะเดินลงไปมั๊ย”

“อืมมมม” ไอ้ซันทำท่าครุ่นคิด “มึงอยากรึเปล่าล่ะ” มันหันมาถามผม

“พอแล้วซัน พอได้แล้วกับการตามใจกูน่ะ กูถามมึงก่อนนะ ว่ามึงอยากไปรึเปล่า ถ้ามึงไป กูก็ไปกับมึง แค่นั้นเอง” ผมบอก

“ก็กูอยากจะตามใจมึง กูรู้ตัวว่าปกติกูมันเอาแต่ใจมาหลายต่อหลายหนแล้ว” มันพูดด้วยน้ำเสียงแสดงความขอโทษและอยากจะเอาใจผมเต็มที่ “ไหนๆมึงก็ได้มาในที่ๆมึงอยากมา กูก็อยากให้มึงมีความสุข อย่าลืมสิว่าเรามาฮันนีมูนกันอยู่นะ กูบอกไอ้เด็กนั่นไปอย่างนั้นแล้วด้วย” มันยิ้มกว้าง

“อย่างแรกเลย เขาชื่อพีท ไม่ใช่ ‘ไอ้เด็กนั่น’ เรียกเขาให้มันดีๆหน่อย” ผมดุ “อย่างที่สอง ถ้าเรามาฮันนีมูนกันจริง กูก็อยากจะมีความสุขกับมึง อยากจะให้มึงมีความสุขกับกู ไม่จำเป็นว่ามึงต้องตามใจกูทุกอย่าง กูเองก็อยากจะเอาใจมึงด้วย และถ้าเราจะมาพบกันครึ่งทาง นั่นก็คือเราก็จะทำในเรื่องที่เราชอบและจะมีความสุขเหมือนๆกันด้วยกัน เข้าใจมั๊ย”

“โอเค ถ้าอย่างนั้น มึงอยากจะไปไฮค์รึเปล่า” มันถาม

“อยาก ถ้ามาแล้วก็อยากอยู่เหมือนกันแหละ แถมได้ทดสอบตัวเองดูด้วย” ผมหัวเราะเบาๆ

“แน่ใจนะ ว่ามึงไหว” มันถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงที่ซ่อนไว้ไม่มิด

“หมายความว่าไง มึงคิดว่ากูอ่อนแอขนาดนั้นเลยเหรอ ไอ้ซัน” ผมหันไปถามมัน

“เปล่า กูรู้ ว่ามึงแข็งแรง เรื่องนั้นน่ะกูไม่สงสัยหรอกน่า แต่ว่าไม่ใช่สุขภาพภายในของมึงหรอกที่กูเป็นห่วง” มันมองตาผมอย่างทะลุทะลวง

“งั้นมึงหมายความว่ายังไง” ผมถาม

“หัวเข่ากับข้อเท้าของมึงยังไงล่ะ” มันตอบด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด

ผมยืนนิ่งเพราะความประหลาดใจ นี่มันรู้ด้วยเหรอ นี่มันรู้ได้ยังไงกัน!

“มึงรู้ได้ไง” ผมอ้าปากค้าง

“ทำไมกูจะไม่รู้ล่ะ แฟนกูทั้งคนนี่หว่า” มันพูด

“มึงพอเลย ไม่ต้องมาโยกโย้ มึงบอกกูมาตามความเป็นจริง ซัน มึงรู้ได้ยังไง”

ไอ้ซันเงียบไปพักหนึ่งแล้วจึงพูดออกมา “กูเคยบอกมึงแล้ว ว่ากูคุยกับพ่อของมึง”

“พ่อกูบอกมึงเหรอ” ผมยังคงแปลกใจอยู่ “ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”

“อืมมมม เรื่องนี้มันก็พูดยากนะ” มันยิ้มเจ้าเล่ห์.......... อีกแล้ว

“มึงไม่ต้องมายิ้มแบบนี้ บอกกูมาเลย มึงชอบมีความลับกับกูมากจังนะ เรื่องที่มึงคุยกับพ่อแม่ของมึงก็ทีนึงแล้ว แถมนี่ยังเป็นพ่อ ‘ของกู’ อีกต่างหาก” ผมเน้น

“โอเคๆ ใจเย็นๆน่า มึงจะกินเลือดกินเนื้อแฟนตัวเองได้ลงคอเลยเหรอวะ” มันหัวเราะเบาๆ

“กูกัดมึงหัวกุดแน่ แล้วจะโยนกะโหลกกับกระดูกที่เหลือของมึงลงไปให้อีแร้งยักษ์กับไคโยตี้แถวนี้มันแทะเล่นด้วยถ้ามึงไม่บอกกู” ผมขู่

“เออน่า ก็ พ่อของมึงเขากำชับกูให้กูช่วยดูแลมึงเรื่องนี้ตอนก่อนเราจะมาที่นี่น่ะนะ” มันบอก

“มึงหมายความว่ายังไง ‘กำชับ’ มึงอย่าคิดว่ากูโง่นะไอ้ซัน มึงไม่ต้องมาทำเล่นลิ้นกับกู”

“โห มึงนี่ เออๆ ก็พ่อมึงเก็บอกกูมานานนนนแล้วล่ะ” มันลากเสียง “นานนน ประมาณว่า......... ตั้งแต่มึงยังไม่ฟื้นเลยล่ะมั๊ง”

“มึงว่าไงนะ!” ผมคำรามออกไปในลำคอเพื่อไม่ให้มันกลายเป็นเสียงตะโกน

“เอออ ก็ตอนที่มึงยังไม่ตื่นหมอก็บอกว่าหัวเข่าขวากับข้อเท้าซ้ายของมึงอาการรุนแรงอยู่เหมือนกัน แต่กูก็ไม่คิดหรอกว่ามันจะร้ายแรงมาก จนกระทั่งกูมาอยู่ที่อังกฤษแล้ว........”

“นี่มึงหมายความว่า พอมึงมาที่อังกฤษแล้ว มึงก็ยังคุยกับพ่อกูอยู่อีกเหรอ” ผมอ้าปากค้าง

“ช่ายย ก็เรื่อยๆน่ะนะ จริงๆแล้วก็ทั้งพ่อทั้งแม่ของกูเลยด้วยแหละ” มันยิ้ม

ผมตะลึงที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ ผมไม่คิดมาก่อนเลยว่าลับหลังผมมันจะเป็นแบบนี้ ผมไม่เคยรู้เลยว่าขณะที่ผมกำลังคิดถึงมันแทบตายขนาดไหน พ่อของผมกลับรู้เรื่องนี้ดีมาตลอด

“ก่อนที่มึงจะพูดอะไร ไอ้เมฆ มึงฟังกูนะ” ไอ้ซันพูดขึ้น “เราสองคนทั้งๆที่สามารถจะคุย จะติดต่อกันก็ได้ แต่เราก็ไม่เคยได้ทำมันเลย มึงคิดว่าเพราะอะไร.......”

ผมอ้าปากจะพูด แต่ก็ไม่มีเสียงใดๆหลุดออกไป เพราะผมคิดว่าผมรู้คำตอบอยู่แล้ว และมันเองก็คงรู้ด้วยเช่นกัน

“ใช่แล้ว มึงไม่จำเป็นต้องตอบหรอก เราต่างก็รู้ว่าทำไม เพราะงั้นมึงไม่ต้องโทษพ่อมึงเลยว่าทำไมเขาไม่บอกมึงเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ คือ มึงก็คงรู้อยู่แล้วว่าพ่อของมึงคุยกับพ่อแม่ของกู แต่มึงไม่รู้ว่าเขาคุยกับกูด้วย มึงรู้มั๊ยว่าเพราะอะไร เพราะว่าพ่อของมึงบอกกูเองน่ะสิ ว่าเขาจะไม่บอกมึงเรื่องนี้ เขาบอกว่าเขารู้ว่าถึงบอกไปมันก็ช่วยอะไรไม่ได้ อาจจะทำให้มึงแย่ลงด้วยซ้ำ แต่ว่ากูก็ไม่ได้คุยกับเขาบ่อยนักหรอก มึงไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น กูก็แค่ถามไถ่ว่ามึงเป็นยังไงและทำอะไรอยู่บ้างเท่านั้นเอง”

“แปลว่ามึงรู้เรื่องของกูมาตลอดเลยงั้นเหรอ” ผมถาม

“ก็ไม่เชิงหรอก ก็รู้เหมือนๆที่มึงรู้เรื่องของกูนั่นแหละ รู้ผ่านเพื่อนคนอื่นๆซะมาก แต่ที่รู้จากพ่อของมึงก็จะเป็นเรื่องที่คนอื่นๆไม่รู้ อย่างเช่นเรื่องขาของมึงไง” มันลดเสียงต่ำลงแสดงถึงความซีเรียส

“ตลอดเวลาเลยเหรอวะ ปีนึงเนี่ยนะ” ผมถาม ยังคงแปลกใจกับเรื่องที่เพิ่งรู้มาอยู่

“ใช่” มันพยักหน้า “และมึงอาจจะอยากรู้อะไรมากกว่านี้อีกนิดหน่อยด้วยนะ” มันยิ้ม

“อะไรวะ ยังมีอะไรอีก” ผมทำใจรอรับเรื่องที่กำลังจะได้ยินต่อไปเอาไว้

“พ่อของมึงเตรียมการให้มึงมาเรียนที่นี่ก่อนที่มึงจะขอเขาอีกด้วยซ้ำ” ไอ้ซันคงเห็นสีหน้าของผม มันจึงหัวเราะแล้วคว้าผมเข้าไปกอดแล้วตบบ่าเบาๆ จากนั้นก็คลายตัวผมออก “ใช่แล้ว ไอ้ตัวดี ถ้ามึงไม่บอกพ่อของมึงเรื่องที่จะมาหากู........ เอ๊ย มาเรียนที่อังกฤษล่ะก็ พ่อของมึงก็ต้องถามมึงเรื่องนั้นอยู่แล้วเหมือนกัน”

ทันใดนั้นความจริงทุกสิ่งทุกอย่างก็เหมือนจะกระแทกเข้าที่หน้าของผมแล้วทำให้ผมได้เห็นภาพอะไรหลายๆอย่างชัดเจนขึ้นมาเลยทีเดียว

พ่อของผมเคยพูดกับผมเรื่องของไอ้ซันหลายครั้งมากจริงๆนั่นล่ะ ถึงตอนนั้นผมจะคบอยู่กับนัท แต่พ่อของผมก็มองออกว่าผมไม่ได้มีความสุขกับเรื่องนั้นเลย ตอนที่ผมชอบฟังเพลงลึกสุดใจนั่น พ่อก็ชอบพูดบ่อยๆว่าให้เลิกฟังได้แล้ว นั่นมันหมายความว่าพ่อต้องรู้อยู่แล้วว่าสุดท้ายผมจะต้องได้มาพบกับไอ้ซันแบบนี้อยู่ดีน่ะเหรอ และมิน่าล่ะ ว่าทำไมพอผมคุยกับพี่ที่เป็นญาติของผมว่าผมจะมาเรียนต่อที่นี่ เขาถึงได้เห็นดีเห็นชอบและทำเหมือนกับว่ารู้อยู่แล้วว่าผมจะต้องมา แถมที่สำคัญ ทำไมผมไม่คิดมาก่อนเลยนะ ทำไมพ่อและแม่ของไอ้ซัน รวมทั้งพ่อของผมเองด้วย ถึงได้เตรียมพร้อมอะไรหลายๆอย่างไว้ให้ผมได้มากและเร็วขนาดนี้ แถมท่านทั้งสองคนก็ยังเคยบอกผมหลายต่อหลายหนแล้วว่าพวกท่านได้คุยกับพ่อของผมมานานและหลายครั้งแล้ว

ทำไมผมมันโง่ขนาดนี้เนี่ย!!

“คิดไม่ถึงสินะ” ไอ้ซันพูดขึ้น

“หุบปากไปเลยมึง!!” ผมหันไปตะคอกใส่มัน “มึงจะเข้าใจกูรึไง ว่ากูรู้สึกยังไงน่ะ! กูต้องอยู่กับความรู้สึกเหงาที่ต้องทนคิดถึงมึงมามากแค่ไหน! กูคิดว่ากูมีพ่อแค่เพียงคนเดียวที่กูรักและเชื่อใจได้ กูคิดว่าพ่อเองก็เข้าใจกู! แต่สุดท้ายมึงก็ไปคุยกับท่านลับหลังกู ทำเรื่องนั้นเรื่องนี้กันโดยที่กูไม่รู้เลย! กูต้องคิดอยู่คนเดียวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ร้องไห้คนเดียวไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่หน ไม่รู้กี่คืนต่อกี่คืนที่กูต้องตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วก็นอนร้องไห้เพราะความฝัน ความเหงาและความคิดถึงมึง! ความรู้สึกของคนที่ฟื้นขึ้นมาในโรงพยาบาลแล้วคลาดกับคนที่เขารักและรอคอยมาตลอดน่ะมันเป็นยังไง! ตอนนั้นกูไม่ได้คุยกับมึง กูรอคอยที่จะได้บอกมึงว่ากูขอโทษ รอคอยที่จะได้บอกมึงว่ากูรักมึง! แต่แล้วพอกูตื่นขึ้นมามึงก็ไม่อยู่แล้ว กูไม่ได้แม้แต่พูดคุยเพื่อจดจำเสียงหรือได้เห็นใบหน้าของมึงเป็นครั้งสุดท้าย! กูต้องทนอยู่กับความจริงที่ว่ากูจะไม่ได้เจอมึงอีกแล้วไปตลอดชีวิต ต้องทนเศร้าอยู่กับความรู้สึกที่เหมือนกับกูสูญเสียอะไรที่สำคัญมากๆในชีวิตกูไปหลายสัปดาห์! มึงจะรู้เรื่องนั้นบ้างมั๊ยเล่า! ไม่เลย มึงไม่เข้าใจเลยสักนิด ไอ้ซัน! มึงที่รู้ว่าจะได้เจอกูมาตลอดในขณะที่กูได้แต่ฝันว่าจะได้เจอมึงอีกครั้ง! ไม่มีใครเข้าใจกูสักคนแล้วยังทำแบบนี้กับกูได้!” ผมพูดออกมาเสียงดังพร้อมๆน้ำตาที่หลั่งไหลออกมาเป็นสาย ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าตัวเองเป็นอะไร แต่ผมหยุดมันไม่ได้ ผมไม่สามารถห้ามตัวเองไม่ให้คิดถึงเรื่องในตอนนั้น ห้ามไม่ให้รู้สึกแบบนี้ และไม่สามารถห้ามน้ำตาของตัวเองได้เลย

ไอ้ซันเองก็ผงะไปเหมือนกันเมื่อเห็นผมเป็นแบบนี้ มันคงไม่คิดว่าเรื่องที่มันเห็นว่าเป็นเรื่องตลกจะทำให้ผมต้องเจ็บปวดมากขนาดนี้

“เมฆ กูไม่รู้เลย ว่ามึงจะเสียใจมากขนาดนี้ กูขอโทษจริงๆว่ะ” พูดจบมันก็คว้าตัวผมเข้าไปกอด

ผมพยายามห้ามน้ำตาแล้วประคองตัวเองให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม เมื่อผมหยุดร้องไห้ได้แล้วผมจึงดันตัวออกจากอ้อมแขนของมัน

ไอ้ซันยังคงจับมือผมเอาไว้

“เมฆ มึงฟังกูบางอย่างนะ ไม่ว่ามึงจะพูดยังไงก็ตาม ไม่ว่ามึงจะคิดอะไรยังไง กูก็ขอยืนยันว่ากูเข้าใจความรู้สึกของมึง” ซันพูดเสียงเข้ม เน้นในประโยคที่ควรจะเน้น แต่ผมกลับส่ายหัว “มึงอย่าเพิ่งส่ายหัวสิ มึงเองก็คงคิดว่ากูไม่เข้าใจมึง หรือไม่มีใครเข้าใจมึงเลย แต่มึงคิดว่าตัวมึงเองเข้าใจกูและพ่อของมึงมั่งรึเปล่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่พ่อของมึงทำลงไปก็เพื่อตัวมึงทั้งนั้น”

ผมเงยหน้าขึ้นสบตากับมัน ไอ้ซันเอานิ้วมาปาดน้ำตาที่ค้างอยู่ตรงหางตาของผมออกเบาๆ

“กูเองก็เจ็บปวดมากเหมือนกันเมื่อตอนที่กูตัดสินใจว่ากูจะไม่บอกมึงเรื่องที่กูต้องมาเรียนที่อังกฤษน่ะ เอาล่ะ สำหรับเรื่องนั้นกูจะไม่ฟื้นฝอยแล้วก็ได้ เว้นแต่ว่าเมื่อไหร่ที่มึงถามกูถึงเหตุผลนั้น กูก็จะเล่าให้มึงฟัง แต่ตอนนี้มึงฟังถึงเรื่องที่มึงไม่เข้าใจทั้งหมดเสียก่อน” ไอ้ซันกุมมือของผมแน่นราวกับว่ากลัวว่าผมจะวิ่งหนีมันไปยังไงยังงั้น “กูเองก็เสียใจไม่น้อยกว่ามึงหรอกนะ หลังจากเรื่องที่กูทำพลาดลงไปทั้งหมดนั่นน่ะ กูจะบอกให้มึงรู้ไว้ และมึงเองก็คงรู้เรื่องนั้นดีอยู่แล้ว แต่ที่แย่ยิ่งกว่าทั้งหมดมันคืออะไรรู้มั๊ย มันคือการที่กูต้องเห็นหน้าของคนที่กูรักหลับอยู่โดยที่ไม่รู้ว่าเขาจะฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่ต่างหาก มึงรู้มั๊ย ทุกๆวันที่กูไปเยี่ยมมึง ทุกๆวันที่กูต้องเห็นใบหน้าของมึง เวลายิ่งผ่านไปๆมากเท่าไหร่ ความหวังที่ว่ากูจะได้เห็นมึงตื่นขึ้นมามันก็ยิ่งน้อยลงทุกทีๆ ไม่ใช่ว่ามึงอาการแย่ลงแล้วกำลังจะตายหรอก แต่เวลาของกูต่างหากที่กำลังจะหมดไป ตอนแรกกูกลัวมากแค่ไหนมึงไม่รู้หรอก กลัวว่ามึงจะไม่มีวันฟื้นขึ้นมาอีกเลย กูกลัวว่ามึงจะเป็นเจ้าชายนิทรา ถึงแม้หมอจะบอกกูว่ามึงไม่เป็นอะไรก็ตาม แต่คนที่รอน่ะ เมฆ ทั้งลุงเอกพ่อของมึง ทั้งกู และเพื่อนๆคนอื่นๆอีก คนที่รออย่างไม่รู้ว่าจะต้องรอจนถึงเมื่อไหร่ มันยากนะเมฆ ถึงหมอจะการันตี แต่ความกลัวของกูกับพ่อของมึงน่ะ มันไม่หมดไปง่ายๆหรอก และที่สำคัญ อย่างที่กูบอกไปแล้วว่าตอนนั้นเวลาของกูกำลังจะหมดลง กูกำลังจะต้องจากไปทั้งๆที่กูไม่อยากไป........ ทั้งๆที่กูไม่อยากทิ้งมึงไปไหนเลย.......... มึงคิดว่ากูจะรู้สึกยังไงกัน” ไอ้ซันเล่าและพยายามจะควบคุมน้ำเสียงของตัวเองให้เป็นปกติ ผมเห็นความหวาดกลัวในแววตาของมันได้อย่างชัดเจน

ผมไม่เคยรู้ ไม่เคยคิดเรื่องอะไรแบบนี้เลยจริงๆ สุดท้ายแล้วก็เป็นผมเองที่เอาแต่ใจตัวเองและเห็นแก่ตัวมาตลอด ผมไม่เคยเข้าใจความรู้สึกของมันเลยจริงๆด้วย..........

ผมเริ่มจะร้องไห้ออกมาเบาๆอีกครั้ง

ไอ้ซันหายใจเข้ายาวๆเพื่อควบคุมตัวเองไม่ให้ร้องไห้ไปกับผมด้วยและเอามือมาปาดน้ำตาออกให้ผมอย่างอ่อนโยน น้ำเสียงที่มันพูดออกมาต่อไปก็อ่อนโยนมากด้วยเช่นกัน

“กูไม่ได้พูดเพื่อให้มึงร้องไห้นะ เมฆ กูพูดเพื่อให้มึงมั่นใจว่าต่อจากนี้ไป เราสองคนจะมีอนาคตที่มั่นคงไปพร้อมๆกัน....... เอาล่ะ งั้นกูจะเล่าเลยต่อนะ ถ้ามึงยังอยากฟัง”

ผมกลืนน้ำลายและน้ำตาลงคอไปแล้วพยักหน้า

“กูได้เห็นหน้าของมึงก็จริง ใช่มึงพูดถูก กูอาจไม่รู้ว่ามึงเจ็บปวดขนาดไหนที่ต้องตื่นมาแล้วก็พบว่ากูจากไปแล้วและคงไม่มีวันได้พบกันอีก กูไม่เข้าใจตรงจุดนั้นเพราะกูได้เห็นหน้ามึงอยู่เกือบจะทุกวัน กูเสียใจที่มึงต้องตื่นขึ้นมาพบกับเหตุการณ์แบบนั้น แต่ว่า กูจะบอกให้ ศิลา......” ไอ้ซันเรียกผมด้วยชื่อจริง ซึ่งไม่บ่อยนักหรอกที่มันจะเรียกผมแบบนี้ “กูเองก็ต้องจากไปโดยที่ไม่ได้เห็นมึงตื่นขึ้นมาอย่างปลอดภัยเช่นเดียวกัน กูเองก็ไม่ได้ยินเสียงของมึงเป็นครั้งสุดท้าย และไม่ได้พูดคำว่าขอโทษและบอกรักมึงออกจากปากของกูเองเหมือนกัน แต่สุดท้ายแล้วเราเป็นยังไง เราต่างก็รู้ว่าเราสองคนควรทำยังไง เราต่างก็ไม่ได้ติดต่อกันเพราะคิดว่าแบบนั้นมันอาจจะดีที่สุดแล้วก็ได้ ต่างคนต่างทำใจและเดินต่อไป แต่กูล่ะ กูก็คงไม่รู้อะไรเลยถ้ากูไม่ได้คุยกับลุงเอก ตอนแรกๆกูก็ไม่ยอมคุยหรอก กูก็ถามเรื่องราวของมึงเอาจากพ่อแม่ของกูที่ได้คุยกับลุงเอกอีกทีเท่านั้น เพราะอะไรมึงรู้มั๊ย ถึงแม้ตอนแรกกูจะคุยกับลุงเอกเรื่องที่ว่ามึงฟื้นแล้ว และต่อมาก็ได้รู้ว่ามึงออกจากโรงพยาบาลแล้วก็เถอะ แต่ก็เพราะกูคิดว่ามันไม่แฟร์กับมึงนั่นแหละ กูถึงบอกเขาว่ากูอยากให้เขาบอกมึงด้วยว่ากูคุยกับเขาอยู่ ไม่อย่างนั้นกูก็ขอไม่คุยกับเขาเลยดีกว่า ซึ่งพูดตรงๆกูก็ไม่รู้หรอกนะว่ากูทำแบบนั้นทำไม กูไม่รู้ว่ากูมีเหตุผลอะไรนะ มันเป็นแค่วามรู้สึกของกูเท่านั้นเอง แต่สุดท้ายลุงเอกก็บอกกูว่าไม่เป็นอะไรหรอก แล้วอีกอย่าง จริงๆกูก็ไม่ได้คุยกับเขาบ่อยด้วย ลุงเอกบอกกูว่า เขารู้ว่าเรื่องทั้งหมดมันเป็นยังไง เขาถึงขนาดเล่าให้กูฟังเรื่องที่เขาเคยเจอและต้องผ่านพ้นอะไรมาบ้างกับแม่ของมึงด้วยซ้ำ”

เมื่อไอ้ซันเล่าถึงตอนนี้ผมก็ต้องแปลกใจอีกครั้ง นี่พ่อผมเล่าเรื่องตอนที่พ่อกับแม่ของผมคบกันให้มันฟังด้วยเหรอเนี่ย

“เขาเข้าใจว่า ไม่สำคัญหรอกว่าเราจะเป็นผู้ชายทั้งคู่ แต่ความรักก็คือความรัก พ่อของมึงบอกเหตุผลที่เขาไม่ยอมบอกมึงว่าเขาคุยกับกูว่า การที่เอาบาดแผลที่มึงอยากจะลืมไปตอกย้ำให้มึงในขณะที่มึงกำลังเจ็บช้ำและพยายามรักษาตัวด้วยตัวเองอย่างลูกผู้ชายอยู่แล้วนั้นมันไม่ใช่สิ่งที่ควรทำเลย ตอนแรกกูก็ไม่เข้าใจนักหรอกว่ามันหมายความว่าอะไร แต่ตอนหลังกูถึงได้เข้าใจเมื่อตอนที่ลุงเอกมาปรึกษาพ่อแม่ของกูเรื่องจะส่งมึงมาเรียนที่นี่ แน่นอน พ่อของมึงเขาทำเพื่อมึงคนเดียวเลยจริงๆ พ่อของมึงรักมึงมากที่สุดจริงๆ ไม่ใช่แค่เพราะเขาเห็นมึงไม่มีความสุขเรื่องของกูหรอกนะ แต่ลุงเอกเขารู้เลยว่าถ้ามันเป็นแบบนี้ต่อไป ชีวิตมึงต้องพังลงแน่”

ผมยืนฟังอย่างตั้งใจ และก็อดไม่ได้ด้วยที่จะรู้สึกประหลาดใจและสับสนกับเรื่องที่ได้ยินทั้งหมดนี้

“กูบอกแล้วว่ากูไม่ได้คุยกับลุงเอกบ่อยนัก ที่กูรู้ว่าพ่อของมึงวางแผนจะให้มึงมาเรียนที่นี่กูก็รู้มาจากแม่ของกูอีกที พ่อของมึงไม่ได้บอกกูด้วยตัวเอง มึงเห็นมั๊ย เราไม่ได้คุยกันมากไม่ได้สนิทกันมากและทำอะไรลับหลังมึงอย่างที่มึงเข้าใจหรอก ลุงเอกบอกกูว่าเขารู้ว่าสักวันมึงก็จะต้องขอมาเรียนที่นี่เอง และถ้าไม่ เขาก็ตั้งใจจะส่งมึงมาอยู่ดี แต่เขารู้ว่าสุดท้ายแล้วมึงก็ต้องตัดสินใจที่จะเติบโตขึ้นและเข้มแข็งขึ้นได้เอง”

“เดี๋ยวก่อน ซัน การที่กูมาหามึงเนี่ยนะ แปลว่ากูเติบโตขึ้นและเข้มแข็งขึ้น นั่นมันไม่ใช่เท่ากับว่ากูแก้ปัญหาไม่ได้ เอาชนะตัวเองไม่ได้ ไม่สามารถจะเติบโตต่อไปได้เองหรอกเหรอ”

“ผิดแล้ว” ไอ้ซันส่ายหน้า “พ่อของมึงเป็นคนที่สุดยอดมากๆเลยเมฆ กูจะบอกให้ เขาบอกกูว่าการที่มึงจะเติบโตและเข้มแข็งขึ้นได้เองนั้นก็คือการที่มึงสามารถ ‘ตัดสินใจได้เอง’ ว่ามึงเลือกที่จะมีความสุขในเส้นทางไหนต่างหาก ไม่ใช่ว่ามึงเลือกที่จะทนทุกข์ผ่านมันไปโดยไม่ทำอะไรเลย และสุดท้ายก็พลาดสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของมึงไป........ ก็ นี่คือสิ่งที่พ่อมึงพูดน่ะนะ”

ผมนั่งอึ้ง คราวนี้อึ้งที่สุดของที่สุดในชีวิตเลยจริงๆ! ในวันนี้ ในสองสามวันมานี้ ในหลายๆวันมานี้ ที่จริงแล้ว ในทั้งชีวิตของผมเลยด้วยซ้ำ ผมเจออะไรน่าเซอร์ไพรส์และน่าตกใจมามาก รวมทั้งเหตุการณ์ตอนที่ผมตื่นขึ้นมาบนเตียงของโรงพยาบาลด้วย แต่ผมสาบานเลยจริงๆว่าไม่มีครั้งไหนรวมทั้งครั้งนั้นจะทำให้ผมช็อคได้มากเท่านี้อีกแล้ว

น้ำตาของผมเริ่มไหลออกมาอีกครั้ง เป็นครั้งที่สามของครึ่งชั่วโมงนี้แล้วด้วย

“มึงร้องไห้อีกทำไม” ไอ้ซันพูดพร้อมดึงตัวผมเข้าไปกอด

“กูไม่ได้ร้องไห้ กู.... กูแค่...... กูก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่น้ำตามันไหลออกมาเองน่ะ” ผมพูดลงบนบ่าของมัน จากนั้นก็ดึงตัวเองออก “กูรักพ่อของกูมากๆเลย มึงรู้มั๊ย”

“กูรู้ พ่อของมึงเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมากที่สุดคนนึงเลย กูเองก็รักเขามากเหมือนกัน เพราะเขาเป็นคนที่ทำให้มึงเป็นมึงที่กูรักและยังทำให้กูได้กุมมือของมึงเอาไว้ได้แบบนี้ด้วย”


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-10-2007 16:38:19 โดย ExecutioneR »

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
เหมือนพ่อจะรู้มาตลอดสินะว่าลูกคิดอะไรอยู่

แปลกเหมือนกันที่ยอมรับการตัดสินใจของลูก

ให้ก้าวเดินด้วยตัวเอง และคอยเป็นกำลังให้ห่างๆ
 :m1: :m1:

ต้องใช้เวลากันเนิ่นนานเหลือเกิน กว่าจะเข้าใจกัน

 :m29: :m29:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
อ่านรวดเดียวจบ ยันสว่างเลย  :m11:  :m11:

ตอนนี้ความรักคงจะไม่เศร้าแล้วนะ

อุปสรรค์ก็ผ่านด้วยกันมาเยอะแระ

ผู้ปกครองก็เป็นใจ สู้ๆ ต่อไปจ๊ะ

รออ่านตอนต่อไปนะ  :m3:  :m3:





ปล. ขอตอนพิเศษด้วยนะจ๊ะ  :m26:

sun

  • บุคคลทั่วไป
:o11:    ความเป็นพ่อ..เป็นแม่.... สิ่งสำคัญสุดในชีวิต

ลึกๆ คือได้เห็น ลูกมีความสุข  เติบโตได้ด้วยตัวของเขาเอง      o7

ไม่ว่าเขาจะเลือกเส้นทางแบบไหนก้อตาม    :m1:


ป๋อล๋อ*.... อ่านตอนนี้แล้ว "คิดตึ๋งพ่อจังเลย"    :m17:

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
โชคดีนะคับที่มีคุณพ่อที่เข้าใจหัวอกแบบนี้

หลายคนที่ไม่ดชคดีแบบนี้ คิดย้อนไปแล้วก็สงสาร

jedi2543

  • บุคคลทั่วไป
พอรู้ว่ารอตอนที่ 31 คนเขียนก็เลิกอัพต่อซะงั้น

รออยู่ค่ะ

ตอนแรกของเรื่องนี้ที่หารู้สึกจะเป็นเรื่องสั้นก่อนรถชนซันและเมฆน่ะค่ะ

จำได้ว่าเคยอ่าน แต่สงสัยไม่ใช่เวปนี้ เป็นไปได้ขอหลังไมค์นะคะ

นั่งคิดดู สองคนนี้ไม่รู้ว่าซวยหรือโชคดีที่เป็นแบบนี้

อะไรจะเจอรถชนหนักทั้งคู่ แถมรอดทั้งคู่อีก

ถ้าอย่างนั้น ขอให้รักกันยาวๆ นะ


Jingjoh

  • บุคคลทั่วไป
ปัญหาเรื่องที่บ้านเคลียร์แล้ว
ที่นี้ก้อเหลือแค่เรื่องเดียวแล้วซิ

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
ชอบพ่อเมฆจัง  :m13:  :m13:  :m13:

ปล.คุณ jedi2543 ภาคแรกของเรื่องนี้มี 2 ตอนค่ะ
ตอนแรก [เรื่องสั้น-จบแล้ว] เวลาที่ถูกหยุดเอาไว้
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=1060.0
ตอนสอง [เรื่องสั้น รับวันแห่งความรัก] เวลาที่เริ่มเดินอีกครั้ง...ภาคต่อ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=1127.0

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนที่ 31


ผมไม่ชอบเวลาตัวเองอ่อนแอเลยจริงๆ ผมไม่เคยชอบเลยที่รู้สึกว่าตัวเองกำลังอ่อนไหว แต่ก็คงไม่มีผู้ชายคนไหนชอบที่จะเป็นอย่างนั้นหรอก ถึงอย่างไรก็ตาม ผมก็ไม่อายที่จะแสดงมันออกมา โดยเฉพาะคนที่เขากำลังปลอบโยนผมอยู่ก็คือมัน และที่สำคัญ ผมรู้ว่ามันเองก็รู้สึกอ่อนไหวไปกับผมมากด้วยเช่นกัน

เมื่อผมเริ่มรู้สึกดีขึ้น ภาพของสถานที่ที่ผมกับซันกำลังยืนอยู่ก็กลับมาอยู่ในสายตาของผมอีกครั้ง คนหลายคนที่เดินผ่านเราไปและหลายคนที่กำลังมองมาที่เรา ผมลืมไปเสียสนิทเลยว่าผมเพิ่งจะตะโกนและร้องไห้ใส่มันออกไปในที่สาธารณะ และที่สำคัญ ผมยังทั้งกอดและจับมือกับมันอีกด้วย

“ช่างมันเถอะ กูไม่แคร์หรอก” ไอ้ซันพูดขึ้นเหมือนจะอ่านใจผมออก “แต่กูว่ามึงรีบๆเช็ดน้ำตาให้หมด ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วเรารีบออกไปจากที่นี่ซะก็คงจะดีเหมือนกัน”

ผมมองหน้ามันแล้วก็เห็นว่ามันเองก็กำลังหน้าแดงอยู่เหมือนกัน ถึงปากมันจะพูดอย่างนู้นอย่างนี้แต่มันก็เป็นมนุษย์ธรรมดาๆคนนึงที่รู้จักอายคนอื่นเขาเหมือนกันนั่นแหละ เราสองคนหัวเราะเบาๆขึ้นพร้อมๆกัน

“ขอโทษทีว่ะ เลยพลอยทำมึงอายคนอื่นเขาไปด้วย” ผมพูดขณะที่กำลังเดินเร็วกว่าจำเป็นนิดหน่อยกลับไปยังรถของเรา

“ช่างเถอะ ความผิดกูเองแหละ กูไม่น่าทำให้มึงเสียใจเลย”

“ใครบอกมึงว่ากูเสียใจ กูดีใจต่างหาก ดีใจที่ได้รู้ความจริง และดีใจที่กูรู้ว่ากูมีคนหลายคนที่รักกูมากขนาดไหน และที่สำคัญที่สุด กูดีใจที่กูไม่ผิดหวังเลยที่เกิดมาเป็นลูกของพ่อกู”

“คิดได้อย่างนั้นก็ดี” ไอ้ซันเปิดประตูรถ และผมเองก็เช่นกัน

“แต่กูเสียใจอยู่อย่างเดียว......” ผมพูดเมื่อสอดตัวเข้าไปนั่งในรถและปิดประตูลงแล้ว

“อะไรวะ”

“กูเสียใจที่ทำให้มึงไม่ได้อยู่ชมวิวมากกว่านี้น่ะสิ มัวแต่มาคุยกับกูเลยเสียเวลาไปตั้งสิบห้านาทีเปล่าๆปลี้ๆ”

“ไม่สำคัญหรอก ยังมีเวลาอีกตั้งเยอะที่จะได้เที่ยว และที่สำคัญ ยังไงเดี๋ยวเราก็ได้เดินลงไปสัมผัสมันข้างล่างนั่นอยู่แล้วนี่” ไอ้ซันหันมายิ้มให้ผมก่อนสต๊าร์ทเครื่อง ผมเองก็ยิ้มตอบให้มันไปเช่นกัน

“ให้ตาย! วันนี้วันเดียวกูเสียน้ำตาไปกี่หนวะเนี่ย” ผมโอดครวญ ยกมือขึ้นปิดหน้าแล้วแหงนไปพิงพนักพิง

เมื่อไอ้ซันได้ยินอย่างนั้นมันก็หัวเราะออกมา แล้วเราสองคนก็หัวเราะไปพร้อมๆกัน

เราใช้เวลาเพียงแค่ไม่ถึงสิบนาทีขับรถไปยังลานจอดรถของแมสวิคตามที่พีทบอกพวกเราไว้ เมื่อเราขับรถผ่านโค้งตรงที่เห็นป้ายรถเฮอร์มิท เรสท์ที่นัดกับไคล์และพีทเอาไว้ และข้ามทางรถไฟไป เราก็เห็นเคบินมากมายหลายหลังตั้งเรียงรายอยู่ริมถนนด้านซ้ายมือ ส่วนเบื้องหน้าของเราคือแมสวิค คาเฟทีเรียตามที่พีทเคยบอก ซันเลี้ยวขวาเข้าลานจอดรถแล้วก็ดับเครื่องลง

“นี่กูคิดไปเองรึเปล่าวะ ว่าที่นี่มันดูดีกว่าที่ๆเราอยู่น่ะ” ไอ้ซันพูดขึ้นหลังจากเราลงจากรถแล้ว

ผมหันไปรอบๆก็เห็นว่าเบื้องหน้าของเราคือคาเฟทีเรียและกิ๊ฟท์ช็อปของแมสวิค ด้านหลังมีห้องพักลักษณะคล้ายๆกับที่ๆพวกเราพัก แต่ว่าสั้นกว่า มีจำนวนห้องน้อยกว่า และมีสองชั้น ดูลักษณะคล้ายๆกับบังกะโลริมหาดมากกว่าที่พักบนภูเขาแบบนี้ และยังมีอยู่หลายอาคารอีกด้วย ส่วนฝั่งตรงข้ามถนนก็คือเคบินหลายหลังที่พวกเราเห็นกันไปแล้วเมื่อครู่

“มึงก็พูดไป มันก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่หรอกกูว่า” ผมพูด “แต่กูว่าที่เป็นเคบินนี่น่าสนใจดีว่ะ”

“เคบินพนักงานที่พีทบอกน่ะเหรอ” มันมองตามสายตาของผมไปยังเคบินที่ตั้งเรียงรายกันแน่นขนัด

“ช่าย กูว่าน่านอนดีออก”

“ก็คงงั้น ตรงฝั่งนี้มีเคบินหลังใหญ่ๆด้วยนะ” ไอ้ซันชี้ไปอีกทางหนึ่งด้านข้างของลานจอดรถ

ผมหันไปมองตามทิศที่มันชี้แล้วก็เห็นเด็กไทย น่าจะใช่นะ จำนวนหนึ่งเดินเข้าเดินออกบ้านหลังหนึ่งอยู่ รวมทั้งเมื่อหันไปมองที่ป้ายรถหน้าคาเฟทีเรียก็เห็นเด็กวันรุ่นกลุ่มหนึ่งหลายคนทั้งคนไทยและคนชาติอื่นๆนั่งคุยยืนคุยรอรถกันอยู่ด้วย

“แล้วไงต่อดี เราจะไปไหนดี จะไปที่ๆนัดไอ้สองคนนั้นไว้เลย หรือว่าเราจะเข้าไปเดินเล่นในแมสวิคก่อนดี” ไอ้ซันถามความเห็นผม

“อืมมม มึงว่าไงอ่ะ”

“ไปเดินเล่นแถวๆนี้ดูก่อนดีกว่า ยังมีเวลาอีกตั้งเกือบครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงเวลานัด”

“โอเค” ผมตกลง จากนั้นเราสองคนก็เดินออกจากลานจอดรถตรงไปยังคาเฟทีเรีย เมื่อเราเดินผ่านกลุ่มคนที่ยืนอยู่ที่ป้ายรถบัส ผมสังเกตเห็นเด็กวัยรุ่นสองสามคนที่เป็นคนไทยมองมาที่ผมกับไอ้ซันแล้วหันไปซุบซิบกันบางอย่าง ผมเดาว่าเขาก็คงคิดว่าผมกับไอ้ซันเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทยหรือเปล่าอะไรพวกนั้นอีกตามเคย

เมื่อเราเดินผ่านประตูเลื่อนเข้าไป ด้านซ้ายมือของเราก็คือฟรอนท์เดสค์ของแมสวิค ส่วนทางขวามือมีโต๊ะทรานสปอตเทชั่น เดสค์สำหรับบริการข้อมูลนักท่องเที่ยวในเรื่องของการเดินทางและการท่องเที่ยวภายในแกรนด์ แคนยอนโดยมีพนักงานที่เป็นชาวอินเดียนแดงอย่างเห็นได้ชัดยืนประจำอยู่ เขามีผิวสีคล้ายๆคนไทยแต่ออกจะคล้ำกว่าจนคล้ายๆสีแดงนิดๆ โครงหน้าออกเหลี่ยมๆ จมูกโตๆ ผมยาวถักเปีย ดูเหมือนกับหัวหน้าเผ่าอะไรสักอย่างตามที่เรามักเห็นในหนังการ์ตูนบ่อยๆทีเดียว ส่วนทางด้านหลังของเขาก็คือประตูทางเข้าไปสู่ร้านกิฟท์ช็อป

“ไง เข้าไปดูมั๊ย” ซันถามผม

“ก็ ไปดิ่ เดินเข้าไปข้างในมันก็มีแต่ร้านอาหารไม่ใช่เหรอ เข้าไปเดินดูของเล่นๆก็ได้ ก่อนหน้านี้ที่ยาวาพายกูก็ยังไม่ได้ดูเลย” ผมตอบ จากนั้นเราสองคนก็เดินเข้าไปข้างในร้านด้วยกัน

ภายในร้านก็ออกแนวสีแดงๆส้มๆทึมๆ แน่นอนว่าถูกตบแต่งและออกแบบมาให้มีลักษณะเป็นแนวเนทีฟอเมริกันจริงๆ ของที่วางขายอยู่นั้นก็มีเยอะมากเหมือนกับที่ผมเห็นที่ยาวาพายเลย ผมและไอ้ซันเดินตรงไปหยุดอยู่ที่ๆเดียวกัน นั่นคือเคาน์เตอร์กระจกที่ตั้งอยู่กลางร้าน ข้างในตู้นั้นจะมีสินค้าจำพวกของทำมือ แหวน กำไล ของประดับตกแต่งบ้านชิ้นเล็กๆ หรือเครื่องประดับทั้งหลายแหล่ที่ค่อนข้างจะมีราคาแพง ไม่ว่าจะแหวน หรือตุ้มหู ยันไปจนถึงกำไล ของแทบทุกชิ้นจะทำมาจากหินชนิดต่างๆและบางชิ้นจะมีเอกลักษณ์มากโดยการมีสัญลักษณ์ของแกรนด์ แคนยอนสลักเอาไว้ อย่างเช่น สร้อยคอที่ผมกำลังสนใจอยู่นี้ ที่จี้มีรูปคล้ายอุ้งเท้าสัตว์สลักเอาไว้ และด้านหลังของจี้เขียนเอาไว้ว่า ‘สเตรงธ์’ หรือ ‘ความแข็งแรง’ นั่นเอง

“สนใจเหรอ” ไอ้ซันถามขึ้น

“อืมม สวยดี กูว่ามันเจ๋งดี มึงดูนี่ดิ่” ผมหยิบสร้อยคอออกมาจากชั้นที่ตั้งอยู่อีกสองสามเส้น “แต่ละรูปมันก็มีความหมายต่างๆกัน เห็นป่ะ”

“รูปนี้อะไรวะ” มันชี้ไปที่จี้อันที่มีรูปเขาวงกตและมีคนตัวเล็กๆอยู่ตรงกลาง จากนั้นก็พลิกดูด้านหลังของมัน “อืมมม ‘การผจญภัย’ งั้นเหรอ”

“เฮ้ย กูว่าเราไปกันเถอะ เดี๋ยวจะสายว่ะ จากที่ขับรถผ่านมาเมื่อกี๊ กูว่ามันก็ต้องใช้เวลาเดินอยู่เหมือนกันนะ” ผมเรียกมัน

“ก็จริง งั้นไปกันเถอะ” ไอ้ซันตอบตกลงแล้วก็แขวนสร้อยคอพวกนั้นกลับไปไว้ที่เดิม

แต่พอทันทีที่เราสองคนเดินออกมาจากประตูของร้าน เราก็ได้ยินเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งทักเราขึ้น

“อ้าว สวัสดีค่ะ”

ผมและซันหันไปตามที่มาของเสียง นก ผู้หญิงที่เราเจอพร้อมกับพีทที่ร้านอาหารของโรงแรมของเราเมื่อกลางวันนี่เอง เธอกำลังเดินออกมาจากทางร้านอาหารและตรงมาหาเราพร้อมเพื่อนของเธออีกสามคน เป็นผู้ชายหนึ่งคนและผู้หญิงอีกสองคน

“ครับ” ผมและซันพยักหน้าตอบเธอเกือบจะพร้อมๆกัน

“น้องอีกคนนึงที่ชื่อไคล์กำลังนั่งอยู่กับพีด้านในน่ะค่ะ” เธอชี้และหันไปทางด้านในของคาเฟทีเรีย “เห็นว่าจะไปดูพระอาทิตย์ตกกันเหรอคะ” เธอหันกลับมาถามเรา

“ครับ ใช่ครับ” ผมตอบ หันไปมองหน้ากับไอ้ซัน เพราะคิดว่าเราทั้งคู่ต่างก็คงสังเกตเห็นสายตาของเพื่อนๆของเธอที่มองมายังเราสองคน ไม่ใช่สายตาที่มองอย่างสงสัยในเรื่องความสัมพันธ์ของเราสองคนหรอก...... แต่ผมคิดว่าเป็นสายตาที่มองอย่าง ‘แทะโลม’ มากกว่า

“เมื่อกี๊บอกว่าสองคนนั่นอยู่ข้างในเหรอครับ” ไอ้ซันถามขึ้นบ้าง

“ใช่ค่ะ กำลังนั่งกินเค้กกินขนมกันอยู่” นกหัวเราะคิกคัก

ผมกับซันสบตากันอีกครั้ง ไอ้ซันยักไหล่ “งั้นไปหามันกันเถอะ ดีซะอีก ไม่ต้องไปคอยมันที่นั่น” มันพูด

“งั้นผมสองคนขอตัวก่อนนะครับ” ผมหันไปบอกนก จากนั้นเราก็เดินจากพวกเธอมา

ผมและซันกลับหลังหันแล้วเดินตรงเข้าไปในคาเฟทีเรีย เรามองหาสองคนนั้นอยู่ครู่หนึ่งก็เห็นไคล์และพีทนั่งกันอยู่สองคนที่โต๊ะตัวหนึ่งบริเวณมุมด้านในของร้าน เราสองคนเดินเข้าไปหาเขา และเมื่อไคล์เป็นคนเห็นเราก่อน เขาก็ยกมือขึ้นเรียก

“เฮ้ ศิลา ซัน มาที่นี่ได้ไงเนี่ย” ไคล์ร้องทัก ขณะที่เราเดินเข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดผมกับซันก็นั่งลงบนเก้าอี้ ผมนั่งข้างพีทส่วนซันนั่งข้างๆไคล์

“ขับรถมา” ไอ้ซันตอบ

“ตลกมากนะ ไอ้ซัน” ผมหันไปพูดกับมัน จากนั้นก็หันไปหาไคล์ “ส่วนพี่นั่งรถที่มันขับมาครับ”

เราทั้งสี่คนหัวเราะขึ้นพร้อมๆกัน

“ล้อเล่นๆ คือ ก็มาจอดรถอยู่ตรงนี้ไง แล้วเห็นมันมีเวลาก็เลยเข้ามาเดินดูของเล่นๆ พอดีเจอนกเพื่อนของพีทน่ะ” ผมหันไปหาพีท “แล้วเขาบอกว่าพีทอยู่กับไคล์ในนี้ ก็เลยเดินมาหา”

“เจอพี่นกด้วยเหรอครับ” พีทถาม

“ใช่ครับ” ผมพยักหน้า

“เมื่อกี๊พี่นกกับเพื่อนๆผมยังเพิ่งมานั่งกินด้วยกันอยู่เลยเหมือนกัน” พีทบอก

ผมมองจานเปล่าที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วก็ไม่สงสัยเลยว่าที่เขาเล่ามาเป็นความจริง เพราะบนโต๊ะมีแก้วน้ำวางอยู่หลายใบ รวมทั้งจานขนมและจานผลไม้อีกอย่างละสองใบด้วย

“งั้นเราจะไปกันเลยมั๊ย สองคนนี้กินกันเสร็จรึยังล่ะ” ซันถาม

“เสร็จนานแล้วครับ นั่งรอเวลาอยู่” ไคล์ตอบ

“งั้นเราก็ไปกันเลยเถอะ”

ผมและพีทพยักหน้าจากนั้นก็ลุกขึ้นยืนตามซันและไคล์ไป

เราสี่คนเดินออกจากแมสวิคแล้วตรงไปตามทางเดินเล็กๆเรียบถนนที่จะพาเราข้ามทางรถไฟที่ผมกับซันขับรถผ่านมาเมื่อครู่และเราก็จะเจอป้ายรถบัสที่ใช้เปลี่ยนสายสีน้ำเงินเป็นสายสีแดงที่จะพาเราไปดูพระอาทิตย์ตกดินในที่สุด

ระหว่างที่เราเดินคุยกันอยู่นั้น ไคล์ก็พูดเรื่องหนึ่งขึ้น

“พีท ทำไมไม่บอกสองคนนี้ไปล่ะ เรื่องนั้นน่ะ” ไคล์หันไปยิ้มกว้างให้พีท

ผมกับซันมองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็หันไปมองเขาเป็นตาเดียวกัน

“อ๋อ ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ” พีทพูดขึ้นเมื่อเห็นสายตาที่ผมกับซันมองเขาอยู่ “ก็แค่จริงๆแล้วผมไม่ได้ชื่อพีทเท่านั้นเอง แต่ชื่อพีต่างหาก คือ ชื่อพี มันตลกน่ะครับถ้าเป็นภาษาอังกฤษ มันฟังดูไม่ดี” พีทยกมือขึ้นเกาแก้มแล้วหันหันไปมองไคล์ที่กำลังหัวเราะเบาๆ

“ตอนทำป้ายชื่อผมก็เลยเติมลงไปอีกนิดหน่อยให้กลายเป็น พีท น่ะครับ เพื่อนผมหลายคนเล่นเปลี่ยนชื่อกันไปเลยก็มี อย่างเปลี่ยนเป็น พอลล่า หรือ ไม่ก็ ไมเคิล หรือ สเตฟานี่ยังมีเลย”

ซันหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินอย่างนั้น “เออ ฮาดีว่ะ อย่างนี้ก็เจ๋งดีนะ”

แต่ผมรู้สึกเหมือนกับโดนอะไรบางอย่างกระแทกเข้าที่หัวอย่างจัง

“ผมว่าชื่อคนไทยตลกดี ตั้งชื่อลูกว่า ‘พี’ เนี่ยนะ” ไคล์หัวเราะ “ผมจำได้ว่าตั้งแต่ผมเด็กๆแล้วที่ซันเคยบอกผมว่าเพื่อนของซันคนนึงชื่อ ‘พู’ น่ะ ตอนนั้นผมขำกลิ้งเลย”

ผมเห็นพีทหน้าเสียขึ้นมาทันที

“พอๆ พอได้แล้ว ไคล์ เสียมารยาทนะ” ไอ้ซันหันไปปรามไคล์

“ครับ ขอโทษที” ไคล์หยุดหัวเราะลงแล้วหันมาหาพีท “ผมขอโทษนะครับ พีท ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆนะ ผมมันชอบหัวเราะเล่นสนุกจนเกินเลยอยู่เรื่อย” ไคล์พูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่แสดงความเสียใจจริงๆ

“ไม่หรอกครับ ไม่เป็นอะไรหรอก” พีทบอกไคล์

“แล้วยังมีอีกนี่ ที่ว่าพีทเคยเรียนโรงเรียนเดียวกับซันกับศิลาน่ะ แถมเขายังเคยอยู่ชมรมบาสเหมือนศิลาด้วยนะ”

พีทหันมาสบตากับผมครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าช้าๆ “ใช่ครับ ผมเคยเรียนที่เดียวกับพี่ทั้งสองคน”

ผมหันไปมองหน้าไอ้ซันเพื่อดูว่าปฏิกิริยาของมันจะเป็นยังไง แต่สิ่งที่ผมเห็นก็คือสายตาของมันที่ไม่แสดงความรู้สึกใดๆออกมาเลย ไม่มีแววของความประหลาดใจ แปลกใจ หรือแม้แต่สัญญาณอะไรที่บ่งบอกว่ามันรู้อยู่แล้วด้วยซ้ำ แต่เป็นสายตาที่ผมรู้สึกว่ามันค่อนข้างจะเย็นชาและกำลังมองผมมาอย่างทะลุทะลวงทีเดียว

“มึงรู้อยู่แล้วเหรอ” ผมหยุดเดินแล้วถามไอ้ซัน ไคล์กับพีทก็หยุดแล้วหันมามองผมสองคนด้วยเหมือนกัน

“ทั้งสองคนเดินไปกันก่อนเถอะ เดี๋ยวอีกไม่เกินสิบนาทีพี่จะตามไป” ซันหันไปบอกทั้งคู่ ทั้งสองคนมีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย แต่พีทเท่านั้นที่ดูออกจะกังวลใจด้วย แต่ผมก็อาจคิดไปเองก็ได้เพราะปกติเขาก็มีสีหน้าเครียดๆแบบนี้เป็นปกติอยู่แล้ว

“มึงจำได้มาตลอดเลยงั้นเหรอ” ผมถามไอ้ซัน

“ถ้าจะพูดให้ถูกก็แค่คุ้นๆมากกว่า แต่ตอนนี้มึงนึกออกแล้วใช่มั๊ยล่ะ....... เรื่องของเด็กที่ชื่อพีในตอนนั้น”



ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
นั่นปะไร ตาพีทมีอดีตกับสองคนนั่นด้วยวุ้ย ชักยุ่งไปกันใหญ่แล้ว  :a6:  :a6:  :a6:

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22

sun

  • บุคคลทั่วไป
...การเดินทางของหนุ่มๆ เหมือนเดิน อยู่ บนเส้นรอบวงกลมเลยเนอะ    o15

 :a9:   โชคชะตา   หรือ ว่า โลกมันกลม   อย่าง หนึ่ง ว่า   หรือเปล่าน่อ...    :a11:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
 :o :o :o :o
พีท่านคือใคร
 :m27: :m27: :m27:
เคยมีความรักความแค้นกันมาก่อนนี่เอง

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนที่ 32


สิ่งที่กระแทกเข้าที่หัวของผมอย่างจังเมื่อครู่นี้มันก็คือ “ความทรงจำ” นี่เอง ทั้งรอยยิ้มของพีท หรือถ้าจะเรียกให้ถูกก็คือ พี ทั้งบุคลิกและหน้าตาของเขาที่ทำให้ผมรู้สึกสะดุดตาเขามาตั้งแต่แรก รวมทั้งความรู้สึกเหงาๆและความรู้สึกเศร้าๆเล็กน้อยที่ปั่นป่วนอยู่ในอกของผมที่ผมเคยรู้สึก ทั้งหมดนั่นก็เป็นเพราะผมเคยรู้จักเขามาก่อนนั่นเอง

“ตอนแรกกูก็ไม่แน่ใจหรอกว่าใช่รึเปล่า แต่ยังไงกูก็คิดว่าน่าจะใช่” ไอ้ซันพูดขึ้น

“แล้วทำไมมึงไม่บอกกูวะ...... เดี๋ยวซิ....” ผมนึกถึงครั้งแรกที่ผมได้เจอกับพีท “ตอนนั้นที่มึงบอกว่า มึงรู้อยู่แล้วว่าเขาเป็นคนไทยตอนที่กูบอกมึง...... แปลว่านี่มึงรู้มาตั้งแต่ตอนนั้นเลยเหรอ”

“ใช่ ก็คงอย่างนั้นแหละ” ไอ้ซันพยักหน้า

“ก็แล้วทำไมมึงไม่บอกกู” ผมถาม

“ก็กูไม่แน่ใจ และอีกอย่างกูเองก็มีหลายๆเหตุผลว่ะ อย่างเช่น กูไม่เห็นว่ากูจำเป็นต้องพูด ถ้ามึงนึกออก มึงก็คงนึกออกเองนั่นแหละ กูไม่อยากจะเป็นคนไปกระตุ้นมึงเรื่องนี้ อีกอย่าง กูไม่เห็นว่ามันจะสำคัญเท่าไหร่ด้วยว่ามึงจะจำเรื่องตอนนั้นได้รึเปล่า และที่สำคัญที่สุด กูไม่อยากจะให้มึงจำมันได้ด้วย” ไอ้ซันสบตากับผมนิ่ง “กูหึงมึง มึงเข้าใจมั๊ย”

“มึงหึงกูเหรอ” ผมยิ้มออกมาเล็กน้อย “เรื่องเมื่อตอนนั้นเนี่ยนะ”

ไอ้ซันทำท่าอึกอักเล็กน้อย “เออ ก็ใช่ คือ กูคิดว่าถ้ามึงจำเรื่องนั้นไม่ได้ไปเลย และถ้าพีมันไม่พูดอะไร มันก็คงจะดีกว่า แต่ถ้ามึงจำได้ คือ กูก็ไม่คิดว่ามึงจะคิดมากอะไรเกินเลยไปนักหรอกนะ แต่กูไม่รู้ว่าพีมันคิดยังไงนี่ คือ.... กูสับสนว่ะ กูขอโทษก็แล้วกัน ที่กูไม่ได้บอกมึงตั้งแต่แรก โอเคมั๊ย เมฆ” ไอ้ซันพูดโดยมีท่าทีลำบากใจ

ผมมองหน้ามันเฉยๆอยู่สักพักจากนั้นจึงยิ้มออกมา “ช่างเถอะ กูเข้าใจมึง” ผมตบบ่ามันเบาๆ “กูคิดว่า ถ้ากูนึกออกมันก็ดี มันเป็นความทรงจำของกูนี่ กูก็ต้องดีใจที่ได้มันกลับคืนมาบ้างอยู่แล้วล่ะ แต่ถ้ากูนึกไม่ออก กูก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร เพราะตอนนี้กูมีมึงอยู่แล้วนี่นะ ใช่ป่าว”

“มึงไม่โกรธกูเหมือนที่มึงโกรธตอนเรื่องพ่อของมึงแน่นะ”

“ไม่อ่ะ เรื่องนี้มันเล็กน้อยมากๆเลย มึงคิดดู มันเป็นแค่เศษเสี้ยวของความทรงจำที่พอกูถูกรถชนเบาๆเข้าทีเดียวกูก็ลืมมันไปเลยนะ” ผมหัวเราะ

“เบามากเลยนะมึง หลับไปตั้งหลายสิบวัน แถมพอตื่นขึ้นมาก็มีความทรงจำบางส่วนหายไปพร้อมๆอาการเจ็บหัวเข่ากับข้อเท้าอีก”

“แต่กูก็ไม่ได้ลืมมึงนี่” ผมจ้องมองดวงตาสีดำสนิทของมัน “สิ่งแรกที่กูนึกถึงตอนตื่นขึ้นมาก็คือวันที่ที่มึงต้องขึ้นเครื่องไป.......”

“ใช่ กูรู้แล้ว ในสมุดของมึง.....”

เราสองคนเงียบกันไปพักหนึ่ง จากนั้นผมก็พูดขึ้น

“เอาเหอะ ไปหาสองคนนั้นกันดีกว่า เดี๋ยวพวกเขารอนานแล้วเดี๋ยวจะพลาดรถไปซะก่อน” ผมบอก

“แล้วมึงจะทำยังไงต่อไป” ไอ้ซันถามผมขณะที่เราออกเดิน

“ไม่ทำไงอ่ะ ดูท่าทางแล้วพีก็คงจะจำกูได้เหมือนกัน แล้วพอกูนึกออกแล้วแบบนี้ ก็แค่คุยเป็นปกติไป ไม่เห็นจำเป็นต้องคิดมากเลย กูบอกแล้วไง ว่าเรื่องตอนนั้นมันไม่ได้สำคัญอะไรสำหรับกูเท่าไหร่หรอก”

ระหว่างที่เรากำลังเดินไปหาไคล์และพี ผมก็พยายามนึกและเรียบเรียงเรื่องราวที่ผมเคยลืมเลือนมันไปแล้วครั้งหนึ่งขึ้นมาอีกครั้ง.........


.
.
.


วันนั้นเป็นเช้าวันเสาร์ที่อากาศไม่ค่อยจะดีนัก ผมเองก็ไม่รู้ว่าผมมาทำอะไรที่นี่ในเวลานี้อยู่แบบนี้ แต่ผมรู้อยู่อย่างหนึ่งคือผมไม่อยากจะอยู่ที่บ้านเฉยๆ ไม่อย่างนั้นพ่อของผมต้องถามแน่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม

ผมรักพ่อของผมนะ รักมากด้วย แต่ผมก็ไม่คิดว่าท่านจะเข้าใจผมในเรื่องนี้

วันนี้เป็นวันเสาร์แรกของการปิดภาคเรียนของโรงเรียนของเรา แต่ถ้าจะพูดให้ชัดเจน มันก็คือการปิดเรียนมัธยมปลายของผมทั้งชีวิตเลยด้วย ผมนั่งอยู่ในศาลาเล็กๆใต้ตึกเรียนคนเดียว มองดูความเหงาและความว่างเปล่าของสถานที่ที่ผมจะไม่ได้มาเหยียบมันทุกๆวันอีกต่อไป ผมเพิ่งจะสอบเสร็จวันสุดท้ายเมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมา ส่วนชั้นปีอื่นๆที่เหลืออยู่ก็สอบวันสุดท้ายไปเมื่อวานนี้ เพราะฉะนั้นวันนี้จึงเป็นวันแรกที่เด็กนักเรียนทุกคนได้พักผ่อนและมีอิสระของการปิดเทอมอย่างเต็มที่

“อ้าว เมฆนี่นา มาทำอะไรล่ะเนี่ย” เสียงๆหนึ่งดังขึ้นทางด้านหลังของผม ผมจำเสียงนั้นได้ทันที

“หวัดดีครับ ลุง” ผมหันไปยกมือขึ้นไหว้ลุงกิตติ หรือที่พวกผมเรียกกันว่าลุงยาม ลุงคนนี้คือคนที่อยู่กับผมตอนที่เคยช่วยไอ้ซันเอาไว้เมื่ออุบัติเหตุครั้งนั้นนั่นเอง และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ผม ซัน และลุงก็กลายเป็นคนรู้จักที่ค่อนข้างสนิทกันไปโดยปริยาย

“เออๆ หวัดดี ว่าแต่มาทำอะไรล่ะเรา คิดถึงโรงเรียนรึไง เรียนจบแล้วนี่ ใช่มั๊ย” ลุงยามเดินตรงเข้ามาหาผมแล้วหัวเราะเบาๆ

“ก็ประมาณนั้นมั๊งลุง” ผมหัวเราะ “ว่าแต่เงียบจังเลยนะครับเนี่ย”

“ก็แหงล่ะ ขนาดอาจารย์ยังไม่ค่อยมากันเลย ว่าแต่ทำไมไม่ไปที่อื่นล่ะ มาทำอะไรที่โรงเรียน”

“ผมรักโรงเรียนไงลุง” ผมหัวเราะ

“เออๆ เข้าใจพูดเว้ย ก็แปลกคนดี แทนที่จะไปเที่ยวไปเดินห้างตามแบบวัยรุ่นคนอื่นๆกลับมานั่งอยู่คนเดียวในโรงเรียนแบบนี้ แถมนี่ฝนก็ท่าทางจะตกอีกต่างหาก”

“ก็เพราะฝนจะตกนั่นแหละ ผมถึงได้มาไงลุง อากาศแบบนี้คงไม่มีใครอยากออกจากบ้านหรอก”

ลุงยามมีสีหน้าแปลกใจกับคำพูดของผม แต่เขาก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรมากเพราะคงรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องที่เขาอยากจะรู้หรือควรจะสนใจ

“เออๆ เอาเถอะ งั้นลุงไปแล้วนะ ถ้าฝนตกก็หาที่หลบให้ดีก็แล้วกัน แล้วก่อนกลับแวะมาบอกลุงด้วยล่ะ”

“ครับลุง หวัดดีครับ” ผมยกมือขึ้นไหว้ จากนั้นลุงยามก็หันหลังเดินกลับไปพร้อมกับหัวเราะแล้วก็พูดออกมาดังๆ

“มันแปลกดีเว้ย เด็กพวกนี้ ไปเที่ยวไหนไม่ไป กลับชอบมานั่งเล่นอยู่ในโรงเรียนกัน”

ผมหันหลังกับไปมองลุงยามอีกครั้งเพราะคิดว่าตัวเองตีความหมายของคำพูดเมื่อครู่ไม่ผิด ทั้งคำว่า ‘พวกนี้’ และ ‘กัน’ ที่ลุงยามพูด มันหมายถึงว่าไม่ใช่มีแต่ผมคนเดียวสินะ แวบหนึ่งที่ผมคิดว่าอาจจะเป็นไอ้ซัน แต่สุดท้ายผมก็สะบัดหัว สลัดความคิดงี่เง่าๆ ความหวังล้มๆแล้งๆนั่นทิ้งไป ก่อนจะลุกขึ้นยืนและเดินออกจากศาลาตรงยังสนามบาส

ผมทะเลาะกับไอ้ซันมาหลายวันแล้ว นับตั้งแต่ที่เรามีปากเสียงกันเรื่องที่มันจะไปเรียนต่อที่อังกฤษและมันปิดบังผม ผมก็ไม่ได้คุยกับมันอีกเลย ที่ลุงยามเดาว่าผมมาที่นี่เพราะคิดถึงโรงเรียนนั้นมันก็ถูก แต่สิ่งที่ผมอยากจะคิดถึงมากที่สุดก็คือความทรงจำของไอ้ซันและผมในสถานที่แห่งนี้ต่างหาก ผมอยากจะจดจำเอาความทรงจำทั้งหมดตั้งแต่จุดเริ่มต้นไปจนถึง........ ให้ตายสิ ผมไม่อยากจะยอมรับเรื่องนี้เลย........ ไปจนถึงจุดสุดท้ายของผมกับมันเอาไว้ให้ได้ดีและยาวนานมากที่สุด

ผมเดินมาหยุดอยู่ที่สนามบาสแล้วก็ทิ้งตัวลงนั่ง ผมเงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้าก็เห็นว่าท้องฟ้ามันเริ่มครึ้มมากขึ้นเรื่อยๆทุกขณะ ลมก็เริ่มพัดแรงขึ้น แต่ก็ยังไม่ถึงกับที่ผมจะน่ากังวลนัก ผมเดาว่าอย่างน้อยๆก็น่าจะอีกราวๆชั่วโมงนึงฝนถึงจะเริ่มเทลงมา

“อ้าว ไอ้เมฆ มาทำอะไรวะน่ะ” เสียงอีกเสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางห้องพละ

ผมหันไปตามเสียงนั้นแล้วก็พบกับอาจารย์หนุ่มกำลังเข็นตะกร้าเก็บลูกบาสออกมาจากห้องเก็บของสำหรับวิชาพละ อาจารย์หนุ่มเป็นอาจารย์สอนวิชาพละและเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาชมรมบาสเก็ตบอลของผมด้วย

“อาจารย์ หวัดดีครับ” ผมลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงไปหาเขา “พอดีเลยอาจารย์ ผมขอยืมลูกบาสลูกนึงดิ่” ผมหัวเราะแหะๆ

“เฮ้ย เอ็งจะเอาไปทำอะไร ครูกำลังจะเก็บแล้วเนี่ย”

“เก็บอะไร อาจารย์ ผมเห็นอาจารย์กำลังเข็นมันออกมานะ” ผมเถียง

“ก็เออดิ่ เมื่อกี๊ก็มีเด็กคนนึงมาขอยื้มแล้วเพิ่งจะคืนได้แค่สิบห้านาทีเองมั๊ง ครูก็เพิ่งจะล็อกกุญแจไปเนี่ย”

“อ้าว มีคนมายืมไปแล้วด้วยเหรอ” ผมแปลกใจ

“ก็เออน่ะสิ จริงๆแล้ววันนี้ ผอ. ท่านสั่งให้ครูมาเก็บของในห้องพละนี่ให้เรียบร้อย นี่ก็กำลังจะจัดเรียงอะไรใหม่อีกนิดหน่อย ครูจะได้ไปเคลียร์เอกสารในห้องพักครูแล้วก็จะกลับบ้านสักที”

“น่านะ อาจารย์ ขอผมยืมแปบหนึ่ง ไหนๆผมก็เรียนจบแล้วนะครับ ขอแค่ครั้งสุดท้ายเองน่า ว่าแต่อาจารย์จะกลับกี่โมงอ่ะครับ เดี๋ยวผมเอามาคืนก่อนหน้านั้นให้เอง” ผมเริ่มทำอ้อน

อาจารย์หนุ่มทำท่าคิดอยู่พักหนึ่ง “เออๆ ก็ได้วะ เสร็จแล้วก็เอาไปคืนครูที่ห้องพักครูแล้วกัน เดี๋ยวครูต้องตรวจข้อสอบ เก็บรายงานอะไรอีกหลายอย่าง คงอีกนานแหละกว่าจะเสร็จ” พูดจบอาจารย์ก็ก้มลงไปไขกุญแจ แล้วโยนลูกบาสออกมาให้ผมลูกหนึ่ง “เอ้า นี่ถ้าเอ็งไม่ใช่นักกีฬา ไม่สนิทกับครู แล้วยังไม่ใช่เด็กที่เรียนจบจากที่นี่ไปแล้วนะ ไม่ได้อภิสิทธ์แบบนี้หรอกนะเว้ย”

ผมยิ้มกว้าง “ขอบคุณมากครับ อาจารย์” ผมยกมือไหว้เขาหนึ่งทีจากนั้นก็วิ่งเหยาะๆกลับไปยังสนามบาส

ผมยังจำประโยคที่มันเคยพูดกับผมเอาไว้ได้..... “ถ้าการเล่นบาสทำให้มึงมีความสุข และถ้าเวลาที่มึงมีเรื่องไม่สบายใจ ทำไมมึงก็ไม่เล่นมันซะล่ะ”

ผมย่อตัวต่ำลงเล็กน้อยแล้ววิ่งออกไปจนสุดฝีเท้าจากนั้นก็กระโดดลอยตัวสูงขึ้นแล้วก็กระแทกลูกบาสลงห่วงไปอย่างแรง!

ผมกลับมายืนบนสองเท้าแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ

แน่นอน ผมไม่ได้จำคำพูดของมันได้เพียงแค่นั้นด้วย ผมยังจำน้ำเสียง ท่าทาง และสัมผัสของมันในวันนั้นได้ดี..... “ถ้ามึงหายใจด้วยรูจมูกข้างเดียวไม่ถนัดล่ะก็....... กูจะเป็นจมูกอีกข้างให้มึงเอง”

แต่ตอนนี้ผมไม่เหลือรูจมูกจะเอาไว้หายใจอีกแล้ว! ไอ้คนที่เคยสัญญาว่าจะเป็นจมูกอีกข้างให้กับผมมันผิดคำพูดของมันไปแล้ว

ผมคว้าลูกบาสแล้วออกวิ่งอีกครั้ง จากกนั้นกระโดดตัวลอยแล้วปล่อยลูกบาสให้ลอดผ่านห่วงไป ผมทำแบบนี้อยู่อีกห้าหกครั้งทั้งสองแป้นของในสนาม ผมวิ่งไปกลับเต็มความยาวสนามเพื่อเรียกเหงื่อและออกแรงให้ได้มากที่สุด ผมกระโดดสุดแรง ผมวิ่งอย่างไม่หยุดพักขา ผมพยายามจะทำให้ตัวเองเหนื่อยให้มากที่สุดเพื่อที่จะได้ “หายใจ” และสูดเอาอากาศเข้าไปในปอดมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ หายใจเอาความจริงที่ผมต้องเผชิญเข้าไปซะ พยายามหายใจให้ได้ด้วยตัวเองตามลำพัง....... เพราะคนที่จะคอยช่วยเหลือผมอยู่ข้างๆนั้นมันไม่มีอีกแล้ว!

ผมหยุดยืนแล้วหอบแรงๆ เหงื่อที่ไหลออกมาเต็บใบหน้าของผมไหลลงมารวมกันที่ปลายคางแล้วก็หยดลงพื้นไปทีละหยด

ใบหน้าของมันเฝ้าลอยวนเวียนเข้ามาในหัวของผมอยู่ตลอดเวลา รอยยิ้มของมัน ใบหน้าของมันยามที่กำลังเขินอาย น้ำเสียง และเสียงหัวเราะของมัน..........

ผมหยิบลูกบาสขึ้นแล้วตั้งท่าจะออกวิ่งกลับไปยังแป้นบาสอีกฝั่งอีกครั้ง........

แต่ผมก้าวขาไม่ออกแล้ว

น้ำตาของผมมันเริ่มไหลรินออกมา...... ขาของผมไม่มีแรง แขนของผมเมื่อยล้า และหัวใจของผมมันก็เหนื่อยอ่อนเหลือเกินแล้วด้วย

“ไหนมึงบอกว่าถ้ากูเล่นบาสแล้วจะช่วยให้กูมีความสุขขึ้นได้ไง ซัน....... ไหนมึงบอกว่ามึงจะอยู่เป็นคนที่ช่วยกูหายใจในเวลาที่กูกำลังจะขาดอากาศไง.......” ผมพูดออกมาเบาๆและปล่อยให้น้ำตาค่อยๆไหลรินลงมาอาบแก้ม วาดหวังลมๆแล้งๆว่ามันจะได้ยิน........

สายฝนที่ตั้งเค้ามานานเริ่มโปรยปรายลงมา....... ผมเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าช้าๆ หยดเม็ดฝนเม็ดเล็กๆจากเพียงไม่กี่หยด เริ่มจะแปรเปลี่ยนเป็นสายฝนที่กำลังชำระล้างทุกสิ่งบนพื้นโลก รวมทั้งน้ำตาบนใบหน้าของผมด้วย

ผมเลี้ยงลูกบาสลงบนพื้นอีกสามสี่ครั้งจากนั้นก็วิ่งออกไปยังแป้นบาสแล้วก็กระโดดลอยตัวขึ้นชู๊ต ไม่รู้ว่าเพราะความลื่นของสนามบาสที่เริ่มเปียกแฉะ เพราะมือของผมที่เปียกน้ำ หรือเป็นเพราะตาของผมที่เริ่มพร่ามัวเพราะทั้งน้ำตาและหยดน้ำฝนกันแน่ แต่ลูกชู๊ตง่ายๆที่ผมไม่น่าจะพลาดก็กลับพลาดไป

ผมเดินไปหยิบลูกบาสที่กระดอนอยู่บนพื้นขึ้นมากอดแล้วทิ้งตัวลงนั่งชันเข่าอยู่ใต้แป้นบาส

น้ำตาที่ไหลอาบแก้มของผมไหลรวมปนไปกับสายน้ำที่ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า

ก้อนเมฆร่วงหล่นตกลงมาสู่พื้นดินแล้ว และนับจากนี้ ก้อนเมฆก็คงไม่มีทางได้ลอยเคียงคู่อยู่กับท้องฟ้าอีกต่อไป


ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ผมนั่งกอดเข่าของตัวเองแล้วก็ร้องไห้ออกมาเบาๆอยู่ครู่หนึ่ง เสียงของสายฝนที่เทลงมาและสายฟ้าที่ร้องและพาดผ่านอยู่ด้านบนก็ช่วยกลบเสียงสะอื้นอันน่าเวทนาของผมเอาไว้ได้

ห้านาทีผ่านไป สิบนาทีผ่านไป ผมไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ ผมรู้สึกเหมือนกับผมเป็นคนๆเดียวที่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ไม่มีใครมองเห็นผม ไม่มีใครสนใจผม มีแค่ผม ลูกบาส และสายฝนเท่านั้น ผมเหงา ผมหนาว และผมเปียกปอน ผมเหนื่อย ผมท้อแท้ และผมไม่มีทางออก....... ผมค่อยๆชันตัวขึ้นช้าๆ ถือลูกบาสเอาไว้ในมือ จากนั้นก็ออกวิ่งอีกครั้ง............

สายฝนยังคงตกโปรยปรายอยู่อีกเป็นเวลานาน ผมเองก็ยังคงถือลูกบาส วิ่ง แล้วก็กระโดดอยู่คนเดียวแบบนั้นไปอีกนานเช่นกัน ผมไม่เคยคิดที่จะหลบฝน จะหลบไปทำไมล่ะ ในเมื่อมันก็เป็นแค่หยดน้ำที่ตกลงมาจากฟากฟ้าเท่านั้นเอง เป็นก้อนเมฆที่กลั่นตัวเป็นหยดน้ำลงมาสู่ผืนดิน เพราะงั้นแล้วทำไมผมถึงต้องเกรงกลัวมันด้วย เสียงฟ้าร้องฟ้าผ่า มันก็แค่เสียงร้องไห้และความเศร้าใจของก้อนเมฆที่ต้องลาจากท้องฟ้าอันเป็นที่รักของมันก็เท่านั้นเอง

ผมยังคงวิ่งและกระโดดอยู่ต่อไปจนฝนเริ่มจะซาลง ผมเหนื่อย หอบ และหมดแรง แต่ก่อนที่ฝนจะหยุดนั้น ผมจะขอชู๊ตลูกสุดท้ายลูกนี้ให้ลง ขอเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อเป็นการพิสูจน์ว่า ถ้าผมได้เล่นบาสในยามที่ผมไม่สบายใจแล้วนั้น มันจะทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นได้จริงๆหรือเปล่า..... เป็นการพิสูจ์คำพูดของมันคนนั้น.......

ผมก้มหน้า ค่อยๆอ้าปากสูดหายใจเข้าปอดเป็นจังหวะ หยดน้ำที่ไหลลงมาอาบแก้ม หยดน้ำที่ไหลอยู่ที่ปลายจมูก และปลายผมของผมค่อยๆหยดลงพื้นไปทีละหยดช้าๆ ผมเลี้ยงลูกบาสลงบนพื้นอีกสามสี่ครั้ง แต่ละครั้งที่ลูกบาสกระดอนลงกับพื้น น้ำที่เจิ่งนองอยู่บนพื้นก็กระเด็นมาโดนขาของผมด้วย ผมค่อยๆออกตัววิ่งอย่างช้าๆจากนั้นก็เร่งจนเร็วขึ้นเรื่อยๆๆ ผมย่อเข่าลงแล้วกระโดดด้วยขาขวาจนตัวลอยอยู่บนอากาศ จากนั้นก็เหยียดแขนออกไปจนสุดแล้วก็กระแทกลูกบาสลงห่วงไปอย่างรุนแรง

ลูกบาสที่ถูกกระแทกลงไปนั้นไหลลงห่วงลงไปอย่างรวดเร็ว ผมยิ้มออกมาให้กับตัวเองในจังหวะเดียวกับที่เท้าของผมกำลังจะแตะพื้น เมื่อเท้าของผมสัมผัสกับพื้นทั้งสองข้างแล้ว ผมก็วิ่งไปคว้าลูกบาสนั้นมาหนีบเอาไว้ในวงแขนพร้อมๆกับรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า

อย่างน้อยๆมันก็ไม่ได้ไร้ความหมายซะทีเดียวหรอกนะ

ผมยิ้มให้กับตัวเองได้จริงๆเป็นครั้งแรกของวัน ไม่หรอก ผมยังไม่คงรู้สึกสบายใจขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว ปัญหาทั้งหมดมันก็ยังคงไม่ได้ถูกแก้ไข แต่ว่านะ สำหรับการดั๊งค์ครั้งสุดท้ายเมื่อครู่นี้ มันมีอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกพอใจจริงๆ

ผมทิ้งตัวนั่งลงบนพื้นเปียกๆแล้วก็ยิ้มให้กับตัวเองท่ามกลางเม็ดฝนที่ยังคงโปรยปรายลงมาเบาๆ

“ไอ้เมฆ!!” เสียงของอาจารย์หนุ่มดังขึ้นอีกครั้งจากทางห้องเก็บอุปกรณ์

ผมหันกลับไปมองที่อาจารย์ช้าๆแล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่านี่ผมกำลังเปียกโชกเลย แถมยังทำลูกบาสของอาจารย์เลอะอีกต่างหาก

“เอ็งมานี่เลย! นี่เอ็งทำอะไรของเอ็งวะ!” อาจารย์หนุ่มกวักมือเรียกให้ผมเข้าไปหาด้วยสีหน้าไม่พอใจ

“ขอโทษทีครับ อาจารย์” ผมทำคอย่น

“เดี๋ยวก็ฟ้าผ่าตายหรอก ไอ้ห่า ทำไมไปเล่นอยู่ทั้งๆที่ฝนตกแบบนั้น”

“คือ..... มันติดลมน่ะครับ ขอโทษทีครับ เดี๋ยวผมเช็ดลูกบาสให้อาจารย์ก่อนแล้วกันนะครับ”

“เออ แต่เรื่องนั้นน่ะเอาไว้ก่อน แล้วนี่จะทำยังไง ตัวเปียกไปหมดแบบนี้แล้วเนี่ย” อาจารย์หนุ่มพูดพลางทำท่าฟึดฟัด ผมรู้ว่าเขาไม่ได้โกรธอะไรผมนักหรอก แต่เขาเป็นคนที่มีท่าทีแบบนี้อยู่แล้วต่างหาก ที่จริงเขาคงจะเป็นห่วงผมด้วยซ้ำ ไม่ใช่ไม่พอใจอะไรเลยแม้แต่น้อย

“ไม่เป็นไรหรอกครับ นั่งผึ่งลมนิดหน่อยเดี๋ยวก็แห้ง”

“เอ็งจะบ้ารึไง! หวัดกินกันพอดี เอางี้ มีผ้าขนหนูสะอาดๆอยู่ที่ห้องพักครูพละน่ะ เอ็งเอาไปใช้ก็ได้ อย่างน้อยๆก็เช็ดตัวให้มันแห้งก่อน ส่วนเสื้อผ้า........”

“เสื้อผ้านี่ไม่ต้องก็ได้ครับ แค่ผ้ามาเช็ดหัวเช็ดตัวหน่อยก็พอ ขอบคุณมากครับอาจารย์” ผมตั้งท่าจะเดินไปยังห้องพักครู แต่ก็ถูกห้ามเอาไว้เสียก่อน

“เดี๋ยว นั่นเอ็งจะไปไหน”

“อ้าว ก็ไปห้องพักครูไงครับ”

“จะบ้ารึไง เอาตัวเปียกๆเดินเข้าไปได้ยังไงกัน แล้วใครมันจะถู! ไม่ต้องๆ รออยู่นี่แหละ” อาจารย์หนุ่มสั่งผมแล้วก็หันไปหาห้องเก็บอุปกรณ์แล้วก็ร้องเรียก “พี! ออกมานี่ซิ ครูมีเรื่องจะวานหน่อย”

ไม่กี่วินาทีถัดมา เด็กหนุ่มคนหนึ่งในชุดนักเรียนคนหนึ่งก็เดินออกมา เขามีผมสั้นเกรียนตามแบบคนที่เรียนรด. ผิวขาวและโครงหน้าแบบมีเชื้อจีน แต่ที่สำคัญ ผมไม่คุ้นหน้าเขาเลย

“พี ครูวานไปหยิบผ้าขนหนูในห้องพักของครูพละบนตึกมาให้ไอ้รุ่นพี่เราหน่อยซิ”

“ครับ” เขารับคำสั้นๆจากนั้นนั้นออกวิ่งเหยาะๆไป

“ลูกอาจารย์เหรอครับ” ผมถามอาจารย์หนุ่ม

“ทะลึ่ง!” อาจารย์หนุ่มเขกหัวผมแรงๆหนึ่งที “เด็กใหม่น่ะ เพิ่งเข้ามากลางเทอม วันนี้ก็มาขอยืมลูกบาสไปเล่นเมื่อตอนเช้าเหมือนกัน”

“อ๋อ คนเนี๊ยเหรอครับ”

“ใช่ มีแววเหมือนกันนะ ครูว่าจะปั้นมันแทนเอ็งนั่นแหละ แต่ต้องจับมันเข้าชมรมให้ได้ก่อน” อาจารย์หนุ่มหัวเราะ

“แล้วเขามาทำไรที่โรงเรียนอ่ะ อาจารย์”

“อย่าไปถามถึงคนอื่นเลย ทีเอ็งยังมาได้”

“โถ่ อาจารย์ก็ ผมเรียนจบแล้วนะ เดี๋ยวก็ต้องลาจากโรงเรียนนี้ไปแล้ว ขอผมมาสร้างความหลังหน่อยไม่ได้รึไงครับ”

“สร้างความหลังโดยการเล่นบาสตากฝนเนี่ยนะ อกหักรึไงวะ”

“อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง อาจารย์ ตกลงเขามาทำไรที่นี่แต่เช้าล่ะ” ผมต่างหากที่พยายามเปลี่ยนเรื่อง

“ก็มาทำงาน ช่วยงานอาจารย์ท่านอื่นๆด้วยน่ะ ครูก็ไม่แน่ใจหรอก แต่เห็นว่าเพราะย้ายมากลางเทอมก็เลยต้องทำงานบางอย่างของบางวิชาเพื่อเป็นคะแนนเก็บน่ะ”

“อ๋ออ ครับ ว่าแต่น้องเขาชื่ออะไรนะครับ” ผมถาม

“ปฐพีน่ะ ชื่อเล่นชื่อ พี เอาล่ะ เอ็งถอดเสื้อออกซะ ไปผึ่งไว้ตรงมานั่งนั่นก่อน จะได้ไม่เป็นหวัด แล้วก็มาช่วยครูเก็บของหน่อยซิ”

ผมยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง เขาชื่อว่า ปฐพี อย่างนั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นแล้ว ก้อนเมฆที่กลายเป็นหยดน้ำแล้วร่วงหล่นมาสู่พื้นดินอย่างผมก็.......... หรือนี่มันหมายความว่า..........

ผมสลัดความคิดนั่นทิ้งไปซะ เขาจะเป็นพื้นดิน หรือ ปฐพีอะไรก็ไม่เกี่ยวกัผบมสักหน่อยนี่นา

ผมทำตามที่อาจารย์สั่งแล้วก็หันมาช่วยเขาย้ายของในห้องเก็บอุปกรณ์เข้าบ้างออกบ้างเพื่อจัดระเบียบแล้วก็ทำความสะอาดด้วย อีกไม่นาน เด็กหนุ่มคนนั้นก็วิ่งเหยาะๆกลับมา

“นี่ครับ” เขายื่นผ้าขนหนูให้แก่ผม

“ขอบคุณครับ” ผมรับผ้ามาแล้วก็หันไปหาอาจารย์ “อาจารย์งั้นผมขอเช็ดหน้าเช็ดหัวก่อนนะครับ เดี๋ยวกลับมาช่วย”

อาจารย์หนุ่มไม่ตอบแต่แค่โบกมือไปมาเท่านั้น ผมเดินถอยออกมาแล้วก็หลีกทางให้พีเดินเข้าห้องไปช่วยอาจารย์ทำงานต่อ ผมเดินมานั่งลงบนม้าหินใกล้ๆแล้วก็เช็ดหัวเช็ดตัวให้แห้ง อีกแค่ครู่หนึ่ง อาจารย์หนุ่มก็เดินออกมาแล้วสั่งงานให้กับผม

“เอาล่ะ เดี๋ยวครูกลับไปทำงานต่อก่อนนะ ครูสั่งงานไว้ที่พีแล้ว เดี๋ยวเมฆมาช่วยน้องเขาหน่อยก็แล้วกัน เหลืออีกไม่มากหรอก”

“ครับ ได้ครับ แล้วเดี๋ยวผมเอาผ้าไปคืนนะครับ”

“ไม่ต้องๆ” อาจารย์หนุ่มโบกมือ “เอากลับบ้านไปเหอะ กะอีแค่ผ้าผืนเดียว ถือว่าเป็นของขวัญเรียนจบจากครูก็แล้วกัน” เขาหัวเราะ

“โห ขอบคุณจริงๆครับอาจารย์” ผมยกมือขึ้นไหว้ จากนั้นอาจารย์หนุ่มก็เดินจากไป

ผมยืนขึ้นแล้วเดินเข้าไปหาพีในห้อง เมื่อเห็นหน้าเขาชัดๆผมถึงได้เห็นว่าเขาหน้าเด็กมากเลยจริงๆ แถมยังหล่อไม่เบาเลยด้วย

“มีอะไรให้ทำมั่งครับ” ผมถามเขา

พีหันมามองผมที่กำลังยืนอยู่หน้าห้องและแถมยังไม่ได้ใส่เสื้ออีกต่างหาก “อ๋อ ก็แค่ยกนี่ออกไปแล้วก็ทำความสะอาด ขนตะกร้าลูกบาสเข้ามา ตามด้วยยกไอ้นั่นกลับสู่ที่เดิมก็เสร็จแล้วครับ” เขาตอบหลังจากมองหน้าผมนิ่งๆอยู่ครู่หนึ่ง

“โอเคเลย” ผมตอบแล้วก็ช่วยเขาขนของจัดของ ถึงงานที่เหลืออยู่จะมีไม่มากนักแต่ก็ต้องใช้แรงงานพอดูเลยเหมือนกัน ผมกับเขาต่างคนต่างยกของกันอยู่เงียบๆ ไม่ได้มีใครพูดคุยอะไรกัน สำหรับเขาผมไม่รู้หรอก แต่สำหรับผมตอนนี้ ผมไม่มีอารมณ์อยากจะทำความรู้จักใครทั้งนั้น และยิ่งเป็นคนที่ผมเพิ่งจะเลยเถิดอะไรบ้าๆแบบนั้นออกไป

ผมเดินสวนกับพีที่กำลังเข็นตะกร้าใส่ลูกวอลเลย์ออกมาจากนอกห้องเพื่อที่จะทำความสะอาดพื้น แต่ทันใดนั้นเอง ล้อเล็กๆของตะกร้าก็สะดุดเข้ากับรอยแตกบนพื้น พีจึงเสียหลักและล้มลง

“โอ๊ยยย!” เขาร้องออกมาเขาล้มลง ผมหันไปเห็นหัวเข่าของเขากระแทกเข้ากับขอบยกพื้นที่ต่างระดับ ซึ่งตรงนั้นเป็นคอนกรีตหยาบล้วนๆ และข้อเท้าของเขาก็ยังพลิกผิดท่าตอนที่เขาล้มอีกด้วย

“เฮ้ย เป็นอะไรรึเปล่าครับ” ผมถามแล้ววิ่งเข้าไปหาเขา

“ไม่เป็นอะไรหรอกครับ แค่สะดุดนิดหน่อยน่ะ” เขาเอามือจับที่หัวเข่า

“เลือดออกด้วยนี่ เอางี้ ไปนั่งพักก่อนดีกว่า เดี๋ยวพี่ไปขอยามาให้” ผมยืนขึ้นแล้วส่งมือให้เขา เขามีท่าทางลังเลเล็กน้อยที่จะจับมัน และสุดท้ายเขาก็เลือกที่จะลุกขึ้นยืนด้วยตัวเอง ทว่าเมื่อเขาค่อยๆพยุงตัวขึ้นเขาก็เซจนล้มลง ผมรีบเข้าไปสอดแขนของเขาเอาไว้เพื่อไม่ให้เขาล้มลงไปหน้ากระแทกกับพื้นเอาอีก

“ก็บอกแล้ว ว่าจะช่วย ไหนเอาเข่ามาดูหน่อยซิ” ผมพยุงเขาขึ้นยืนแล้วก็ก้มลงไปดูที่หัวเข่าของเขา “เหมือนจะช้ำนะ จะเป็นห้อเลือดรึเปล่าก็ไม่รู้ แถมข้อเท้าอาจจะแพลงอีก อย่างนี้เจ็บแหงๆ มานี่เถอะครับ เดี๋ยวพี่พาไปนั่ง” คราวนี้ผมจับแขนเขาพาดรอบคอโดยไม่ต้องรีรอขออนุญาตเขาอีกเลย ผมพยุงเขาให้ค่อยๆเดินช้าๆไปยังม้านั่งตัวที่ใกล้ที่สุดตรงด้านหน้าสนามบาส ซึ่งก็คือม้านั่งตัวเดียวกับที่ผมผึ่งเสื้อเอาไว้นั่นเอง

“เฮ้ย ไอ้เมฆ” อีกครั้งที่มีคนเรียกชื่อของผม แต่คราวนี้มันเป็นสียงของไอ้วิท เพื่อนยากผมนี่เอง

“อ้าว นี่มึงมาทำอะไรวะเนี่ย” ผมหันไปถามมันที่กำลังเดินตรงเข้ามา

“กูนัดเจอคนอื่นๆที่นี่น่ะ ว่าแต่มึงเถอะ มาทำอะไรวะ เปียกไปหมด แล้วยังน้องคนนี้อีก เขาเป็นอะไร” ไอ้วิทหันไปมองยังพีที่กำลังนั่งก้มหน้าอยู่

“เจ็บที่หัวเข่าน่ะ แล้วก็ข้อเท้าด้วย ไม่รู้แพลงหรือซ้นหรือจะเป็นอะไรรึเปล่า เออ มึงยุ่งอยู่ป่าววะ กูวานมึงไปตามอาจารย์หนุ่มให้หน่อยดิ่ บอกเขาว่าเด็กที่ชื่อพีเจ็บข้อเท้าเพราะล้ม ให้อาจารย์มาช่วยดูหน่อย”

“เอออ....... ก็ได้วะ” วิทมีท่าทางลังเลเล็กน้อยก่อนจะตอบออกมา “แต่ว่า ถ้ามึงเจอพวกไอ้ป๋อม ก็บอกมันด้วยนะว่าเดี๋ยวกูมา”

“เออๆ ได้ เดี๋ยวกูจะไปขอยาที่ห้องพยาบาล ส่วนมึงไปตามอาจารย์ จะได้ไม่เสียเวลา” ผมบอกไอ้วิท มันพยักหน้ารับแล้วก็หันหลังออกเดินไปยังห้องพักครูทันที จากนั้นผมก็หันมาหาพี “เดี๋ยวพี่มาแล้วกันนะครับ รออยู่นี่ก่อน”

“เอ่อ พี่ครับ ผมไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ แค่นี้เอง” เขาพูด

“ช่างเหอะน่า เป็นแผลก็ใส่ยาไว้ก่อนก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย แถมดูซิเนี่ย แผลสกปรกจะตายไป ฝนมันเพิ่งตก ดินเลยติดเต็มหัวเข่าไปหมด เดี๋ยวพี่มานะครับ” ผมยิ้มให้เขาแล้วก็ออกวิ่งเหยาะๆไปยังห้องพยาบาล

โชคดีที่ห้องพยาบาลมีคนอยู่ ผมจึงขอแอลกอฮอล์ ยาใส่แผล สำลี และพลาสเตอร์มาหนึ่งอัน จากนั้นก็วิ่งกลับไปหาพีที่นั่งรออยู่ แต่เมื่อผมกลับไปถึงที่นั่น ผมก็พบกับไอ้ป๋อมตามที่ไอ้วิทบอกเอาไว้ว่า ‘คนอื่นๆ’ จะมาหา แต่คนที่อยู่กับไอ้ป๋อมด้วยนั้นก็คือไอ้ซัน

พวกไอ้ป๋อมที่ไอ้วิทเพิ่งบอกผมเมื่อกี๊นี้ก็คือ ไอ้ซันนี่เอง

“ไอ้วิทบอกว่าเดี๋ยวมันมาน่ะ กูใช้ให้มันไปตามอาจารย์หนุ่มมาดูอาการข้อเท้าน้องเขาอยู่” ผมบอกไอ้ป๋อมเมื่อผมกลับไปถึงม้านั่งแล้ว

“เออๆ ไม่เป็นไร ว่าแต่ทำไมมึงไม่ใส่ๆเสื้อสักทีวะ” ไอ้ป๋อมพูด

“ก็มันเปียกนี่ ช่างมันเหอะ ขอกูใส่ยาให้น้องเขาก่อนแล้วกัน” ผมนั่งคุกเข่าลงตรงหน้าของพีพูดกับไอ้ป๋อมโดยที่ไม่ได้สบตากับมัน และแน่นอนไม่ได้มองหน้าของไอ้ซันด้วย

“ไม่เป็นไรครับพี่ ผมทำเองก็ได้” พีพูดขึ้น

“ไม่เป็นไรน่า ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ” ผมเงยหน้าขึ้นไปยิ้มให้กับเขา แล้วก็ลงมือทำแผลให้เขา พีมีอาการสั่นเล็กน้อยเมื่อผมเอาแอลกอฮอล์เช็ดลงบนแผล ท่าทางจะแสบมาก จากนั้นผมก็ใส่ยาแล้วก็ปิดแผลอย่างเบามือ “เอาล่ะ เรียบร้อยแล้ว” ผมพูดแล้วลุกขึ้นยืน

“ขอบคุณมากครับพี่” เขาส่งยิ้มให้ผม เป็นครั้งแรกตั้งแต่ผมเจอเขามาเลยทีเดียวที่ผมเห็นเขายิ้มออกมา และมันดันทำให้ผมรู้สึกแปลกๆขึ้นมาข้างในอกทั้งๆที่ไอ้ซันก็ยืนอยู่ตรงนี้ด้วยนี่สิ

รอยยิ้มของปฐพี........

“นั่นไง อาจารย์มาแล้วน่ะ” ไอ้ป๋อมชี้ไปทางที่อาจารย์หนุ่มกับไอ้วิทกำลังเดินมา

“เป็นยังไงบ้าง พี” อาจารย์หนุ่มนั่งลงแล้วจับข้อเท้าของพีพลิกไปพลิกมา หลังจากเขาตรวจดูอยู่ครู่หนึ่งก็พูดขึ้น “ไม่เป็นอะไรหรอก แค่เจ็บน่ะนะ ไม่แพลง ไม่ซ้น อีกไม่กี่วันก็คงหาย”

“ขอบคุณครับ อาจารย์” พีพูด

“เออๆ ไม่เป็นไร ว่าแต่ไปทำอีท่าไหนล่ะเนี่ย”

“ตอนเลื่อนไอ้ตะกร้าลูกวอลเลย์น่ะครับ แล้วสะดุดไอ้รอยแตกตรงนั้นเข้า” ผมชี้ไปที่จุดเกิดเหตุ “แล้วก็หน้าคะมำสะดุดตรงพื้นต่างระดับนั่นอีก”

“ช่ายย ไอ้ตรงนั้นน่ะ เคยทำผมล้มมาแล้วเหมือนกันตอนมอสาม เมื่อไหร่จะซ่อมๆซะก็ไม่รู้” ไอ้ป๋อมพูดขึ้น

“จะซ่อมไม่ซ่อมพวกเอ็งก็เรียบจบกันหมดแล้วนี่ ว่าแต่นี่มาเพิ่มกันตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ มาทำอะไรกันวะ” อาจารย์หนุ่มถาม

“พวกมันตั้งใจจะไปเล่นเกมที่บ้านของผมกันน่ะครับ”ไอ้ซันตอบ

ผมรู้สึกว่าหัวใจของผมกระตุกเมื่อได้ยินมันพูดขึ้น

“เออๆ ก็ดี แต่ตอนนี้ครูรบกวนมาช่วยเก็บของนี่ก่อนซิ ไอ้พีมันก็ท่าจะไม่ไหวแล้ว ดีจริงเว้ย โผล่มาได้จังหวะพอดี”

“นั่นไง กูว่าแล้ววว” ไอ้ป๋อมร้อง “รู้งี้เมื่อกี๊กู........” มันพูดไม่จบประโยค

“รู้งี้มึงจะทำไมวะ” ผมหันไปถามมัน ไอ้วิทมีสีหน้าปรามไอ้ป๋อมเอาไว้ ส่วนไอ้ซันกลับทำสีหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“เปล่าๆ ไม่มีอะไร ช่างเหอะ มาเร็วๆ ทำงานๆๆๆ” ไอ้ป๋อมถกแขนเสื้อขึ้นแล้วก็เดินตรงไปยังห้องเก็บอุปกรณ์พละ ผม วิท และซันก็เดินตามไปเช่นเดียวกัน และเนื่องจากคราวนี้มีคนทำงานถึงสี่คนและงานก็เหลือไม่มากแล้วด้วย พวกเราจึงจัดเก็บของทั้งหมดได้อย่างรวดเร็ว โดยมีอาจารย์หนุ่มนั่งคุยและคอยมองอยู่กับพีที่ม้านั่ง

“อาจารย์ เสร็จแล้วครับ” ไอ้วิทร้องบอกอาจารย์หนุ่ม

“เออๆ ดี ขอบใจมาก คราวนี้พวกเอ็งจะไปไหนก็ไปกันเถอะ แล้วว่างๆก็อย่าลืมมาเยี่ยมครูบาอาจารย์เก่าๆมั่งก็แล้วกัน”

“คร้าบ ผมไม่ลืมหรอกครับ ‘จารย์” ไอ้ป๋อมยอกมือไหว้อาจารย์หนุ่ม

“แล้วก็เรา พี เอาไงดี เดี๋ยวต้องขึ้นไปหาอาจารย์ท่านอื่นอีกใช่มั๊ย” อาจารย์หนุ่มหันไปหาพี

“ครับ” เขาพยักหน้าตอบเบาๆ

“ไหวรึเปล่า”

“ไหวครับ ผมไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกครับ ขอบคุณมากครับอาจารย์”

“เออๆ ไม่เป็นไร งั้นครูไปก่อนนะ โชคดีหนุ่มๆ” พูดจบอาจารย์หนุ่มก็หันหลังเดินกลับไป

ส่วนผมก็หันมาหาไอ้วิทกับไอ้ป๋อม และแน่นอน พยายามอย่างที่สุดที่จะไม่สบตากับไอ้ซัน “เดี๋ยวมึงต้องไปกันต่อใช่มั๊ย มึงไปกันเหอะงั้น เดี๋ยวกูเอายาไปคืนที่ห้องพยาบาลก่อน เที่ยวให้สนุกนะเว้ย แล้วก็ขอบใจมากที่มาช่วย”

“แล้วมึงจะเอาไงต่อ ไอ้เมฆ เปียกเป็นลูกหมาตกน้ำเลยมึง เดี๋ยวก็หวัดแดกหรอก ระวังจะหายไม่ทันไปเที่ยวทะเลนะเว้ย” ไอ้วิทพูด

“เออน่า หายไม่ทันกูก็คงไม่ไปว่ะ......” ผมพูดเบาๆ

“มึงหมายความว่ามึงจะไม่ไปเหรอ” ไอ้ป๋อมถามขึ้นบ้าง

“กู....... กูก็ไม่รู้ว่ะ กูไม่รู้ว่าตอนนี้กูควรจะไปรึเปล่า” ผมพูดอย่างมีความหมายแอบแฝง และแน่นอน ว่าพวกมันทั้ง ‘สาม’ คนก็คงเข้าที่ผมพูด

“รีบไปเหอะ ไอ้ป๋อม ไอ้วิท” ไอ้ซันพูดขึ้นทันทีด้วยน้ำเสียงรำคาญใจจากนั้นก็ออกเดินไปทันที ทั้งสองคนมีท่าทางตกใจเล็กน้อยแต่ไอ้ป๋อมก็รีบวิ่งเหยาะตามไอ้ซันไปติดๆ ส่วนไอ้วิทยังคงมองหน้าผมอยู่ด้วยสายตาตำหนิ

“อะไร” ผมถาม ทั้งๆที่ก็รู้อยู่แก่ใจ

“มึงไม่น่าพูดแบบนั้น ไอ้เมฆ” ไอ้วิทพูด “ถ้ามึงไม่ไปทะเลนะ มีเคืองจริงๆแน่ ไอ้สัตว์”

“แล้วถ้ากูไปทั้งๆแบบนี้มันจะไม่ทำให้พวกมึงกร่อยกันรึไง”

“เรื่องนั้นกูไม่สน กร่อยไม่กร่อยกูไม่รู้ มันยังเป็นอนาคต กูรู้แต่ถ้ามึงไม่ไป กูกับมึงมีเคืองกันจริงๆแน่ เรื่องนี้ต่างหากที่รับประกันได้ และเผลอๆจะไม่ใช่กูคนเดียวด้วย.......”

ผมหันหน้าหนีไปทางอื่น เข้าใจความหมายองมันทุกอย่าง “เออๆ กูรู้”

“และอีกอย่างนะ.......” ไอ้วิทลดเสียงลง “จริงๆแล้ว ไอ้ซัน ไอ้ป๋อม รวมทั้งกู เห็นมึงช่วยอาจารย์ยกของกับน้องเขามาตั้งนานแล้วด้วย คือเผลอๆกูว่าโดยเฉพาะไอ้ซันน่ะนะ.......” ไอ้วิทกระซิบแล้วเหมือนจะเหม่อ คิดอะไรกับตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง “เออ ช่างเหอะ เอาเป็นว่าถ้าพูดกันตรงๆก็ตั้งแต่แรกเลยด้วยซ้ำ และกูไม่รู้นะว่ามันคิดยังไง คือตอนแรกมันก็ไม่ได้มีอะไรหรอก แต่พอมึง.........” มันชำเลืองมองไปทางพีที่นั่งอยู่ข้างหลังผม “เออๆ ช่างแม่งวะ เอาเป็นว่ามันไม่ค่อยจะชอบใจนักหรอก แบบว่าอยู่ดีๆมันก็อารมณ์เสียขึ้นมาเลยซะด้วยซ้ำ มึงก็คิดเอาเองก็แล้วกัน” เมื่อพูดจบมันก็วิ่งออกไปทันที ทิ้งผมให้ยืนงงจากคำพูดของมันอยู่แบบนั้น

เมื่อเหลือเพียงผมกับพี เขามองหน้าผมอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็ขอตัวกลับไปหาอาจารย์บนตึกต่อ ส่วนผมก็แยกจากเขามาและเอายาไปคืนที่ห้องพยาบาล

เมื่อผมอยู่คนเดียว ผมก็อดคิดถึงเรื่องที่ไอ้วิทบอกผมไม่ได้จริงๆ มันมีความหมายยังไงกันแน่นะ ผมพยายามเฝ้าหาคำตอบ แต่ก็คิดไม่ออกจริงๆว่ามันจะสื่ออะไรกับผม ไอ้ครั้นจะโทรถามมันก็คงทำไม่ได้ เพราะมันอยู่กับไอ้ซัน แต่แล้วความคิดอื่นก็แล่นเข้ามาในหัวของผม นั่นก็คือ การตัดสินใจเรื่องไปเที่ยวทะเลและความอยากจะคืนดีกับไอ้ซัน เพราะเมื่อครู่ผมเพิ่งทำให้ทั้งไอ้ซันและไอ้วิทไม่พอใจ และแน่นอน ถ้าผมตัดสินใจทำอะไรผิดไปแม้แต่นิดเดียว ผมก็คงทำให้เพื่อนอีกหลายๆคนไม่พอใจเป็นแน่

และนั่นคือสิ่งที่ทำให้ผมกังวลมากกว่าสิ่งอื่นเลยในตลอดเวลาสองสามวันถัดมา.................


.
.
.


“หลังจากนั้นกูก็ลืมเขาไปเลย คือ จริงๆก็ไม่ได้ลืมหรอก แต่เป็นเพราะกูมีอะไรอย่างอื่นให้คิดมากกว่าน่ะ” ผมบอกไอ้ซันขณะที่เรากำลังเดินตามไคล์และพีไป “ว่าแต่มึงเถอะ จำเขาได้ขนาดไหนวะ”

“ก็ ถ้าพูดถึงเรื่องในวันนั้นกูก็พอจำได้อยู่หรอก แต่ว่าถ้าหน้าตาของเขาล่ะก็ ไม่เลยว่ะ คือถ้าจู่ๆจะให้กูนึกถึงหน้าของเด็กคนนั้นเลยก็คงไม่มีทาง แต่พอได้เห็นหน้าเขาแล้วกูถึงนึกออกน่ะ แต่ที่กูคิดว่าแปลกน่ะ ก็คือมึง”

“กูเนี่ยนะ” ผมหันไปมองมันด้วยความสงสัย

“ใช่ มึงนั่นแหละ กูแปลกใจว่าทำไมมึงถึงได้จำเขาหรือเหตุการณ์ในวันนั้นไม่ได้เลย แต่อยู่ๆพอจะจำได้ก็จำได้เสียเฉยๆ ถ้าบอกว่าเป็นเพราะอุบัติเหตุครั้งนั้นล่ะก็ มึงมีลืมหรือสูญเสียความทรงจำเรื่องอื่นๆไปอีกบ้างรึเปล่า” มันพูดด้วยความเป็นห่วง

“เฮ้ย ไม่มีๆ คือ แรกๆก็มีบ้าง ที่กูเบลอๆอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่ถึงกับลืมอะไรไปเลยนะ”

“ก็นั่นน่ะสิ แล้วทำไมมึงถึงลืมเรื่องของพีไปได้”

“อืมมมม...... กูก็ไม่รู้หรอก แต่กูคิดว่ากูพอจะรู้นะ.........” ผมยิ้มที่มุมปาก

“อะไรวะ”

“เพราะตอนนั้นกูมีเรื่องอื่นให้ต้องคิดมากกว่าไง ก็อย่างที่กูบอก หลังจากตอนนั้นกูกังวลเรื่องของคนบางคนมากกว่าอย่างอื่น และอาจจะประกอบกับการถูกรถชนด้วย กูก็เลยยิ่งคิดถึงแต่เรื่องของมึงเข้าไปอีก เพราะงั้นพอตื่นขึ้นมา เรื่องราวในวันนั้นก็เลยหายไปจากหัวของกูหมดเลย”

“หลังจากตอนนั้นแล้วมึงกังวลเรื่องอะไรวะ” ไอ้ซันถาม

ผมหันไปยิ้มให้กับมัน

“กังวลว่าจะทำยังไงให้เขาคนนั้นรักกูล่ะมั๊ง.......”

แต่แทนที่ไอ้ซันจะส่งเสียงล้อเลียนหรือทำเหมือนจะอ้วกอย่างที่ผมคิด มันกลับส่งยิ้มกว้างกลับมาให้ผมแทน

“งั้นมึงก็คงกังวลเรื่องเดียวกับคนๆนั้นนั่นแหละ กูว่า”



ออฟไลน์ ~prince™~

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1116
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +161/-2
............ออ........เรื่องราวมันเป็นแบบนี้เองหรอ.......

..............อืม...อืม................................... :m18:

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
เป็นอดีตที่น่ารักมาก ที่กังวัลเรื่องเดียวกันน่ะ อิอิ

sun

  • บุคคลทั่วไป
:m1:   :m1:   :m1:   ที่แท้ ก้อเป็น แบบนี้ นิเอง    :m1:   :m1:   :m1: 

 :impress:    กังวลเรื่องเดียวกันอีกนะ เอิ้กๆ  ใจมันช่างตรงกันเสียนี่กระไร   :impress:

 :m3:    โลกมันกลม  เส้นทางเดิน มันก้อกลม แล้ว ใจ มันก้อตรงกันอีก     :m3:


ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
อืม ศิลา ฟ้าคราม ปฐพี .... แล้วจะมีสายน้ำมารึเปล่าน้า  :m13:  :m13:

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
ยังไม่ค่อยเข้าใจซันแหะ

ไม่รักแล้วหวงทำไม

 :m28: :m28: :m28:

ไม่เกิดวันนี้ คนนี้ ก็ต้องเกิดจนได้
เมื่อรักก็บอกออกมาสิ
 :m18: :m18: :m18:

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนที่ 33 : ความทรงจำเมื่อหนึ่งปีก่อนของซัน


“ซัน มึงว่าคนนั้นคนเอเชียรึเปล่า” เมฆชี้ไปที่ผู้หญิงที่ยืนขายอาหารอยู่แล้วกระซิบถามผม

“คนอินเดียนว่ะ พวกอินเดียนแดงน่ะ มึงดูเค้าไว้เปียสิ” ผมบอกมัน เพราะผมรู้มาว่าแถวนี้เป็นที่ๆมีชนเผ่าพื้นเมืองอยู่เยอะ

ไอ้เมฆดูจะสนใจกับเรื่องเชื้อชาติของคนที่ขายของอยู่ที่นี่แต่ละคนไม่น้อยทีเดียว มันเองก็เหมือนกับเด็กๆล่ะนะ ไอ้ความเป็นคนอารมณ์ดีและชอบแสดงความรู้สึกออกมาของมันยังไงๆก็ถูกปกปิดด้วยท่าทางและบุคลิกหลอกๆนั่นได้ไม่มิดสักทีหรอก บางครั้งมันก็ชอบวางท่านิ่งทำตัวเป็นผู้ใหญ่ ทั้งๆที่จริงๆแล้วข้างในของมันก็ยังมีความเป็นเด็กอยู่ค่อนข้างเยอะทีเดียว แต่ก็ใช่ ที่ว่ามันนั้นก็มีความคิดความอ่านและความเป็นผู้ใหญ่อยู่สูงมากด้วย เวลาอยู่กับมัน ไม่ว่าจะใครก็ตามก็คงต้องรู้สึกแบบนั้นและต้องรู้สึกว่ามันเป็นที่พึ่งพาได้อย่างแน่นอน ผมว่านั่นก็คงเป็นเพราะพ่อของมันนี่แหละที่เลี้ยงดูมันได้อย่างนี้

ผมเองก็รู้สึกดีที่ได้อยู่กับมันแบบนั้นเช่นกัน แต่ตอนนี้ ผมชอบที่จะได้เห็นความเป็นเด็กของมันอย่างนี้มากกว่า

ถึงมันจะตบตาใครๆเรื่องที่มันตื่นเต้นที่จะได้มาเที่ยว หรือแสร้งทำเป็นวางมาดยังไง มันก็ใช้ไม่ได้ผลกับผมหรอก ผมมองหน้ามันที่กำลังหันไปมองรอบๆตัวอยู่แล้วก็รู้สึกขำขึ้นมา ผมชอบเวลาที่มันทำตัวเป็นเด็กๆแต่ก็ยังอุตส่าห์เก็บความรู้สึกเอาไว้แบบนี้จริงๆ ผมว่ามันดูน่ารักดีเวลาที่เป็นแบบนี้

“แล้วคนนั้นล่ะ” เมฆชี้ให้ผมหันไปมองเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังยืนขายอาหารอยู่ที่สเตชั่นไก่ทอด

ผมหันไปมองตามที่มันชี้แล้วก็ต้องรู้สึกประหลาดใจกับสิ่งที่ผมเห็น เด็กหนุ่มคนที่กำลังยืนขายของให้ลูกค้าต่างชาติอยู่นั่นคือคนที่ผมคิดว่าผมรู้จักนะ...........

หน้าตาดี ผิวขาว หน้าเด็ก ดูมีเชื้อจีน....... ความทรงจำในวันนั้นที่ผมเองก็เกือบจะลืมมันไปแล้วเริ่มวิ่งกลับเข้ามาในหัวของผมทันที

 “เฮ้ย มองอะไรนานนักวะ” ไอ้เมฆกระทุ้งที่สีข้างของผม

“โอ๊ย” ผมร้องแล้วเอามือถูที่สีข้างเบาๆ นี่มันจำเด็กคนนั้นไม่ได้หรือเนี่ย

“กูรู้ว่าเขาหน้าตาดี แต่มึงจะมองนานไปหน่อยไหม” มันแซวผม

“เปล่าๆ กูไม่ได้มองเขาเพราะหน้าตาดี......” ผมหันไปมองยังเด็กหนุ่มคนนั้นอีกครั้ง “แต่ว่า......”

แต่ว่ามันคุ้นมากจริงๆ ผมหันกลับมามองหน้าของไอ้เมฆที่ดูจะจำเขาคนนั้นไม่ได้เลยจริงๆและกำลังจะอ้าปากถามมันขึ้น แต่ปรากฏว่าไคล์ก็เข้ามาขัดจังหวะเอาไว้เสียก่อน

ผมขอตัวเดินไปซื้ออาหารที่อังเทร่เพราะคิดว่าเด็กคนนั้นก็คงจะจำไอ้เมฆได้แน่ๆ แต่ผมไม่รู้ว่าเขาจะจำผมได้รึเปล่า ผมยังไม่อยากให้เขาเห็นหน้าผมในตอนนี้ แต่เมื่อซื้ออาหารเสร็จ ผมก็ถึงคิดได้ว่าแล้วทำไมผมจะต้องหลบหน้าหลบตาเขาด้วย ถ้าเขาจำไอ้เมฆได้แล้วพูดอะไรขึ้นมา ยังไงเดี๋ยวไอ้เมฆมันก็ต้องนึกออกขึ้นมาอยู่ดีนั่นแหละ ผมจึงเดินตรงไปหาไอ้เมฆที่กำลังยืนคุยกับเขาอยู่พอดี........... ถ้าจำไม่ผิด รู้สึกว่าเขาจะชื่อ พี รึไงนี่แหละนะ

“ซัน นี่คนไทยจริงๆด้วยว่ะ ชื่อ...... พีท” ไอ้เมฆบอกผม เมื่อผมเดินเข้าไปหามันและได้เห็นหน้าของเด็กคนนี้ชัดๆ

ชื่อพีทอย่างนั้นเหรอ......... ชื่อคล้าย แต่หน้านี่ใช่แน่ สงสัยว่าคงจะเปลี่ยนชื่อเอารึเปล่า เพราะว่าชื่อพีมันคงฟังดูไม่ดีเท่าไหร่ถ้าให้ฝรั่งเรียกน่ะนะ

แต่ไอ้เมฆนี่สิ ดูท่าจะจำเขาไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียวจริงๆ นี่มันเพราะอะไรกัน

“เออ กูรู้อยู่แล้ว” ผมพูด จากนั้นก็หันไปพูดสวัสดีกับเขา สายตาที่เขามองผมอยู่นั่น....... ชัดเลย เขาจำผมสองคนได้จริงๆนั่นแหละ

“มึงรู้ได้ไง ว่าเขาเป็นคนไทย” ไอ้เมฆหันมาถามผม

ทำไมมันเซ่อขนาดนี้วะเนี่ย

“ก็กูไม่เซ่อเหมือนมึงนี่ ไอ้เมฆ” ผมพูดแล้วก็เดินไปจ่ายเงินทันที ดูท่าทางพีก็จะยังไม่ได้พูดอะไรกับเมฆที่เป็นการเตือนความทรงจำของมันไป แล้วผมล่ะ ผมควรจะบอกมันหรือเปล่า ถ้าเกิดมันลืมเรื่องของวันนั้นไปแล้วจริงๆ ผมควรจะบอกมันมั๊ยว่าเราสามคนเคยเจอกันมาก่อน

ขณะที่นั่งกินข้าวผมก็นั่งมองหน้าของไอ้เมฆ คิดถึงช่วงเวลาที่ผมกับมันเคยทะเลาะกันเมื่อปีก่อนไปด้วย ในตอนนั้นเราไม่ได้คุยกันนานมากจริงๆ และยิ่งปกติเราจะคุยกันทุกๆวันอยู่แล้วด้วย ไอ้ความรู้สึกของความเหงามันก็ยิ่งต้องมีมากขึ้นเป็นของธรรมดาๆ ไม่ได้คุยกันสามวันก็รู้สึกเหมือนกับสามสัปดาห์ และตอนนั้นเราไม่ได้คุยกันราวๆสามสัปดาห์ มันทำให้ผมรู้สึกยาวนานราวกับสามเดือนเลยทีเดียว ตอนนั้นผมต้องทนอยู่กับความรู้สึกผิดและความทรมานใจอย่างไร้ที่สิ้นสุด

เราสามคนนั่งคุยกันเรื่องแผนการที่จะเที่ยวอยู่ครู่ใหญ่ๆ พีก็เดินมาและเมฆก็เรียกเขาให้นั่งลงด้วย

ผมรู้สึกไม่สบายใจเลยจริงๆ ผมนั่งมองพีด้วยความไม่ค่อยจะชอบใจเท่าใดนัก ดูเขาเป็นคนเงียบๆ พูดไม่เก่ง ซึ่งก็น่าจะเป็นอย่างนั้นเท่าที่ผมจำได้ เพราะงั้นระหว่างที่คุยกันอยู่นี้ผมไม่คิดว่าเขาคงจะรื้อฟื้นเรื่องเก่าๆนั่นอะไรขึ้นมาหรอก มีอยู่แวบหนึ่งผมยังคิดว่าเขาอาจจะลืมมันไปแล้วเสียด้วยซ้ำ แต่เมื่อผมได้เห็นแววตาที่เขามองไอ้เมฆแล้ว ผมรู้ได้ชัดเจนเลยว่ามันเองก็ชอบไอ้เมฆ และเผลอๆ คงจะต้องใช้คำว่า ‘ยังชอบ’ ไอ้เมฆอยู่ด้วยซ้ำ

และนอกจากตอนนี้ไอ้เมฆมันจะไม่รู้ตัวแล้ว.......... ผมว่าในตอนนั้นมันก็คงไม่เคยรู้ตัวด้วยเช่นกัน

นี่มันบ้าอะไรกันวะ! ตอนนั้นได้เจอกันแค่แปบเดียว ไอ้เมฆก็ทำคนอื่นตกหลุมรักมันได้แล้วอย่างนั้นเหรอ!

ผมล่ะเซ็งกับไอ้ความมีเสน่ห์ของแฟนตัวเองจริงๆ!


.
.
.


เมื่อปีก่อนหลังจากเราสอบวันสุดท้ายเสร็จแล้ว คืนนั้น ผมก็ได้รับโทรศัพท์จากไอ้เพื่อนตัวดีของผม

“ไอ้ซัน พรุ่งนี้กูกับไอ้ป๋อมจะไปบ้านมึงนะ” ไอ้วิทพูดขึ้นหลังจากผมรับโทรศัพท์

“เออ ก็ได้” ผมตอบกลับไปสั้นๆ

“เฮ้ย มึงจะไม่ถามหน่อยเหรอวะ ว่าจะไปทำไม” มันถาม

“ไม่อ่ะ มึงจะมาก็มากันดิ่ กูก็ไม่ได้ว่าอะไร”

“เออๆ คือ กูจะว่าจะไปเล่นเกมบ้านมึงว่ะ ไอ้ป๋อมมันเพิ่งโทรมาชวนกูเมื่อกี๊ แล้วก็กูเลยว่าจะไปคุยกับมึงเรื่องไปทะเลด้วย ตกลงมึงไปชัวร์นะ”

“เออ ก็คงงั้น”

“อะไรของมึงวะ ‘ก็คงงั้น’ นี่มึงอย่าบอกนะว่ามึงไม่ชัวร์ว่าจะไปรึเปล่าน่ะ” ไอ้วิทถามเสียงหงุดหงิด ซึ่งผมก็พอรู้ว่าเพราะอะไร

“เปล่า กูไปแน่ เออ มึงไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” ผมย้ำ

“เออ เพื่อนๆกันทั้งนั้น มึงจะคิดมากทำไมวะ แล้วอีกอย่างเดี๋ยวมึงก็จะไม่อยู่แล้ว ถ้ามึงไม่ไป ได้มีเจ็บก่อนขึ้นเครื่องแน่มึง!” มันย้ำผมด้วยเสียงที่เหมือนเกือบจะเป็นเสียงขู่

“กูรู้น่า มึงไม่ต้องห่วงหรอก ว่าแต่จะเข้ามากี่โมง” ผมถาม

“น่าจะประมาณสายๆเที่ยงๆว่ะ มึงมารับพวกกูหน่อยดิ่”

“รับทำห่าอะไร มึงก็เข้ามาเองดิ่วะ” ผมบอกปัดไปอย่างรำคาญ

“ไม่เอาอ่ะ ไอ้สัตว์ บ้านมึงลึกโคตร กูจำทางไม่ได้ เอาเป็นว่ากูกับไอ้ป๋อมจะไปรอมึงที่โรงเรียนก็แล้วกัน เพราะงั้น มึงไปเจอกูสองคนที่โรงเรียน โอเค ขอบใจมากเว้ย ไปและ” พูดจบมันก็วางสายไปเลยทันที

ผมเองก็ไม่ได้คิดอะไรมากกับเรื่องที่มันจะมาที่บ้านผมหรือที่มันจะให้ผมไปรับที่โรงเรียนหรอก แต่ผมคิดมากในเรื่องที่มันเพิ่งจะย้ำผมไปต่างหาก มันทำให้ผมคิดถึงเรื่องของไอ้เมฆ.......... รู้ทั้งรู้ว่าผมเป็นคนเลือกทางเดินนี้เอง รู้ทั้งรู้ว่ามันก็คงจะโกรธและไม่อยากคุยกับผม แต่ผมก็ยังคงเจ็บปวด ยังคงรู้สึกเสียใจทุกครั้งที่ต้องรับรู้ความเป็นจริงว่าผมกับมันคงจะต้องเป็นแบบนี้ไปจน ‘วันสุดท้าย’ ของเราทั้งสอง

แต่ผมก็แอบหวังอยู่ในใจนะว่า เมื่อเราได้ไปทะเลกัน ผมจะหาทางใช้โอกาสนี้เพื่อคุยกับมัน และขอให้มันเข้าใจผม........ ไม่ใช่สิ ผมขอแค่ได้คุยกับมันและได้บอกกับมันไปว่าจริงๆแล้วผมรู้สึกยังไงกับมันก็พอ ไม่สำคัญว่ามันจะยกโทษให้ผมหรือจะยังคงโกรธเกลียดผมต่อไปหรือเปล่าก็ตาม

นั่นคือสิ่งเดียวที่ผมรอคอยและภาวนาให้มันเป็นจริง........ ภาวนาให้ทุกสิ่งออกมาได้ดีอย่างที่ผมต้องการ

วันรุ่งขึ้นฝนก็เกิดตกหนัก จนกระทั่งถึงเวลานัดที่เลื่อนออกไปเป็นตอนสิบเอ็ดโมงแล้วฝนก็ยังคงตกโปรยๆอยู่ ผมจึงต้องออกจากบ้านไปรับพวกมันสองคนทั้งๆอย่างนั้น

เมื่อไปถึงที่โรงเรียนผมก็เดินไปยังตึกเรียนที่นัดไอ้สองคนนั้นเอาไว้ เรานัดกันที่ตึกเรียนก็เพราะเพื่อที่จะหลบฝนได้ และจากตึกนี้ที่ผมอยู่มันจะอยู่ฝั่งตรงข้ามกับสนามบาสและตึกเรียนอีกตึกหนึ่งพอดี เมื่อผมนั่งอยู่ที่ริมระเบียงชั้นสอง ผมก็เห็นกับคนๆหนึ่งที่อยู่บนชั้นสามของตึกฝั่งตรงข้าม เขากำลังยืนมองลงมาที่สนามบาสอยู่ จริงๆแล้วผมเห็นเขามองอยู่อย่างนั้นมาครู่หนึ่งตั้งแต่ผมยังไม่ได้เดินขึ้นตึกมาแล้ว แต่เมื่อผมเข้ามาในตึกผมจึงสามารถมองเห็นได้ว่าจริงๆแล้วเขากำลังมองอะไรอยู่กันแน่ ผมก้มมองลงไปยังที่ๆเขามองอยู่แล้วก็เห็นคนๆหนึ่งที่กำลังเลี้ยงลูกบาสและวิ่งอยู่คนเดียวในสนามทั้งที่ฝนก็ยังคงไม่หยุดตก

เพราะระยะทางที่ค่อนข้างจะไกลและจากสายฝนที่โปรยปราย ทำให้ในครั้งแรกผมมองไม่ออกว่าคนที่กำลังเล่นบาสอยู่นั้นเป็นใคร แต่เมื่อผมเห็นท่าวิ่ง ท่าเลี้ยงลูก และท่าทางการกระโดดของเขา ผมก็รู้ได้ทันทีเลยว่านั่นคือไอ้เมฆ!

ผมเงยหน้าขึ้นไปมองหาเด็กผู้ชายที่ใส่ชุดนักเรียนเมื่อครู่ ก็เห็นว่าเขาหายไปแล้ว ผมจึงก้มลงมามองยังคนที่ผมคิดว่าใช่ไอ้เมฆแน่ๆนั่นอีกครั้ง

และทันใดนั้นเองฝนก็เริ่มซาลงจนเกือบจะหยุดสนิท ผมเห็นหน้าของมันได้ชัดเจนมากขึ้น และคนที่นั่งอยู่บนพื้นนั่นก็คือไอ้เมฆไม่ผิดแน่

หัวใจของผมหล่นวูบเมื่อคิดว่าทำไมมันมาอยู่ที่นี่และทำไมมันถึงได้มาเล่นบาสทั้งๆที่ฝนตกแบบนี้

ผมกดโทรศัพท์หาไอ้วิททันที

“ไอ้วิท มึงนัดใครมามั่งเนี่ย” ผมถามด้วยหัวใจสั่นเทา

“ก็แค่มึงกับไอ้ป๋อมแค่นั้นเอง ทำไมวะ ไอ้ป๋อมไปถึงแล้วเหรอ”

“เปล่า ยังหรอก เออๆ ฝนหยุดแล้วว่ะ งั้นกูไปรอมึงที่ศาลาใต้ตึกนะ” ผมบอกมัน “มึงบอกไอ้ป๋อมด้วยล่ะ ว่ากูไปรออยู่ที่นั่น” ผมกดวางสายแล้วก็กึ่งวิ่งกึ่งเดินลงไปยังที่นัดหมายใหม่ทันที

เมื่อผมเดินลงไปยังชั้นล่างนอกอาคารเรียน จากจุดนี้ผมจะไม่สามารถมองเห็นทั้งสนามได้ชัดเหมือนเมื่อตอนที่ผมอยู่บนตึกเพราะจะถูกบังด้วยต้นไม้ใหญ่หลายต้นแต่ก็ยังพอมองเห็นอยู่บ้าง และจากสนามบาสมาก็จะมองไม่เห็นผมเช่นกัน ผมจึงเลือกที่จะนัดไอ้สองคนนั้นที่นี่ ผมนั่งลงในศาลาแล้วก็กวาดสายตามองหาไอ้เมฆ แต่ผมก็มองไม่เห็นมันแล้ว

ทันใดนั้นเองเสียงของไอ้ป๋อมก็ดังขึ้นจากทางด้านหลังผม

“เฮ้ย ไอ้ซัน”

ผมหันไปตามเสียงเรียกแล้วก็พบกับไอ้ป๋อมกำลังเดินตรงเข้ามาพร้อมกับไอ้วิทด้วย

“กูเจอมันที่หน้าโรงเรียนพอดีน่ะ” ไอ้วิทบอก “ว่าแต่ทำไมมานั่งที่นี่วะ”

“ก็ ไม่มีอะไรหรอก กูว่าฝนมันหยุดแล้วน่ะ ก็เลยไม่เห็นว่ามึงสองคนต้องเดินขึ้นๆลงๆบันได” ผมพูด

ไอ้วิทกับไอ้ป๋อมมองหน้ากันครู่จากนั้นก็หันมาพยักหน้าเห็นด้วยกับผม

“ก็จริง” ไอ้วิทพูดขึ้น “งั้นไปกันเลยมั๊ย”

ผมอึกอักเล็กน้อย จากนั้นก็รีบพูดเพื่อกลบเกลื่อนไม่ให้มันเห็นอาการผิดสังเกตของผม “เออ พวกมึง กูอยากเข้าห้องน้ำว่ะ มึงจะรออยู่นี่กันก่อนมั๊ย หรือจะไปกับกูด้วย”

“เออๆ ไปด้วยก็ได้ กูก็อยากเข้าเหมือนกัน” ไอ้ป๋อมพูดขึ้น

ผมแอบยิ้มอยู่ในใจ แต่อีกใจก็แอบกังวลว่านั่นจะเป็นไอ้เมฆจริงๆรึเปล่า แล้วทำไมผมถึงจำเป็นจะต้องไปพิสูจน์เพื่อให้เห็นกับตาด้วยนะ แต่ถ้านั่นเกิดใช่ไอ้เมฆขึ้นมาจริงๆ มันมาทำอะไรที่นี่เอาตอนนี้และยังเปียกฝนไปหมดเลยด้วย ผมอดเป็นห่วงมันไม่ได้จริงๆ

“อ้าว นั่นมึงจะไปไหนวะ” ผมหันไปถามไอ้ป๋อมที่เดินไปอีกทางนึง

“มึงนั่นแหละ จะไปไหน ห้องน้ำทางตึกหนึ่งนี่ดิ่ ใกล้ๆ”

“กูจะไปเข้าตรงห้องพละว่ะ มันสะอาดกว่า” ผมยกเหตุผลขึ้นมาบอกพวกมัน ทั้งๆที่ในใจของผมกำลังปั่นป่วนไปหมดแล้ว

ผมไม่รู้เลยจริงๆว่าผมกำลังรู้สึกอะไรอยู่และผมกำลังจะทำอะไรลงไป แต่สิ่งที่ผมรู้แน่นั้นมีเพียงอย่างเดียวนั่นก็คือ ถ้าคนที่ผมเห็นเล่นบาสท่ามกลางสายฝนเมื่อครู่นั้นคือไอ้เมฆจริงล่ะก็ ผมก็อยากจะพิสูจน์ให้รู้ด้วยสายตาของผมเองเท่านั้นจริงๆ........

เพราะถ้าคนๆนั้นคือไอ้เมฆจริงๆล่ะก็ ผมคิดว่าผมพอรู้เหตุผลที่มันมาเล่นบาสทั้งๆที่ฝนตกแบบนี้แน่ๆ

ทั้งหมดมันเป็นเพราะที่ผมเคยบอกมันไปเมื่อตอนที่ผมเล่นบาสกับมันนั่นเอง....... ผมที่เคยบอกมันว่า ถ้ามันไม่มีความสุข ก็เล่นบาสซะสิ........

เพราะฉะนั้นผมพอรู้อยู่อย่างหนึ่งแน่ๆนั่นก็คือ ถ้าคนๆนั้นคือไอ้เมฆจริง นั่นแปลว่ามันต้องกำลังไม่มีความสุขอยู่แบบสุดๆแน่ๆ

และผมจะทำยังไงดี ผมจะเดินเข้าไปคุยกับมัน หรือไปให้มันเจอหน้าดีมั๊ย หรือว่าผมจะปล่อยให้มันผ่านไปแล้วค่อยไปหาทางเคลียร์ทีหลังเมื่อเราไปทะเลกันแล้วดี

และเมื่อผมเลี้ยวตรงมุมตึกไป ผมก็พบกับมันเข้าจริงๆ

“อ้าว นั่นไอ้เมฆนี่หว่า” ไอ้ป๋อมพูดขึ้นจากทางด้านหลังของผม

“เดี๋ยว ไอ้ป๋อม!” ผมหันไปห้ามมันที่กำลังจะเดินออกไปทักไอ้เมฆ

“ทำไมวะ” ไอ้ป๋อมถาม แต่ผมไม่ได้ตอบ

ผมหันกลับไปมองมันที่กำลังขนของออกมาจากห้องอุปกรณ์กีฬาพร้อมๆกับเด็กในชุดนักเรียนคนหนึ่ง นั่นมันเด็กคนที่ผมเห็นบนตึกเมื่อครู่นี้นี่ นี่มันสองคนรู้จักกันอย่างนั้นเหรอ แล้วทำไมจู่ๆมันถึงได้มาทำอะไรแบบนี้กับเด็กคนนั้นสองคนได้

“นี่ มึงสองคนคิดว่ากูควรจะ.........” ผมหันหลับไปหามันสองคนเพื่อถามความเห็นว่าผมควรคุยกับไอ้เมฆตอนนี้เลยดีหรือเปล่า แต่ทว่าทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นทำให้ผมต้องรีบหันกลับไปมองที่เดิม

“อ้าว เฮ้ย!” ไอ้วิทร้องขึ้นเมื่อเห็นเด็กคนนั้นล้มลง

“หวายยย ท่าทางจะเจ็บ จริงๆไอ้ตรงนั้นกูก็เคยสะดุดล้มเหมือนกันว่ะ เมื่อตอนมอสาม.....” ไอ้ป๋อมพูด

“เดี๋ยว มึงเงียบๆก่อนเหอะ” ผมหันไปปรามมัน

“นี่ ไอ้ซัน มึงจะมายืนดูพวกนั้นอยู่ทำไมวะ กูไม่เข้าใจ กูรู้นะว่ามึงสองคนยังไม่ได้คุยกัน แต่นี่มันก็ไม่มีเหตุผลที่มึงจะมาทำอะไรแบบนี้เลยนี่หว่า” ไอ้วิทพูด

แต่ผมไม่ได้ฟังมัน สายตาของผมกำลังมองไอ้เมฆที่ลำตัวท่อนบนเปลือยเปล่าแล้วกำลังรีบเข้าไปพยุงเด็กคนนั้นทันทีตอนที่เขากำลังจะลุกขึ้นยืน ผมรู้สึกไม่ชอบใจขึ้นมาทันที ผมไม่รู้ว่าทำไม มันอาจจะเป็นคำว่าหึงก็ได้ แต่ผมรู้สึกมันมีอย่างอื่นมากกว่านั้น อย่างเช่น ทำไมมันถึงได้มาอยู่กับเด็กคนนี้สองคนได้ ทำไมไอ้เด็กคนนี้ถึงได้ยืนมองไอ้เมฆเล่นบาสอยู่เมื่อครู่ ทำไมจู่ๆมันถึงได้มาทำงานอะไรก็ไม่รู้นี่อยู่ด้วยกัน มันรู้จักกันมาก่อนอย่างนั้นเหรอ แล้วทำไมผมไม่เห็นรู้เลยว่ามันรู้จักกัน ไอ้เด็กคนนี้มันเป็นใครแน่ และทำไมไอ้เมฆถึงต้องเข้าไปประคองเขาแบบเป็นห่วงและใกล้ชิดขนาดนั้นด้วย

ก็ใช่ ที่ไอ้เมฆมันเป็นคนที่เป็นห่วงคนอื่นมากๆแบบนี้อยู่แล้ว แต่ตอนนี้ผมรู้สึกไม่สบอารมณ์มันเลยสักนิด

“มึงพูดถูก ไอ้วิท เพราะงั้นมึงไม่ต้องบอกมันนะว่ากูก็มาด้วย ส่วนมึง ไอ้ป๋อม ไปห้องน้ำกับกูเหอะ” ผมหันไปบอกเพื่อนของผมทั้งสองคน

“อ้าว อะไรของมึงเนี่ย” ไอ้ป๋อมถามด้วยความสงสัย

“มึงไม่ปวดเยี่ยวแล้วรึไง ตกลงจะไปหรือไม่ไป ถ้ามึงไม่ไป กูไปนะ” ผมพูดอย่างไม่ค่อยพอใจ

“เดี๋ยวไอ้ซัน ตกลงมึงจะให้กูออกไปหาไอ้เมฆใช่มั๊ย” ไอ้วิทถามผม “แล้วมึงจะให้กูไปหามึงที่ไหน”

“เออ มึงไปช่วยๆมันเหอะ ท่าทางไอ้เด็กเหี้ยนั่นจะเจ็บไม่เบานี่” ผมพูด

“แล้วตกลงมึงจะให้กูไปหามึงที่ไหน” มันถามย้ำ

ผมคิดอยู่พักหนึ่งแล้วก็ตัดสินใจว่ามาหามันที่นี่แหละดีที่สุดแล้ว ผมจะได้รู้ๆไปเลยว่าไอ้สองคนนั้นมันยังไงกันแน่

“รอกูอยู่ที่นี่แหละ เดี๋ยวกูมาหาก็ได้” ผมบอกออกไป จากนั้นก็ออกเดินไปยังห้องน้ำโดยมีไอ้ป๋อมเดินตามมาติดๆทันที

“เดี๋ยวสิ มึงไม่สบอารมณ์เรื่องอะไรของมึงวะ อยู่ดีๆก็หงุดหงิดซะอย่างนั้น ไอ้สัตว์” ไอ้ป๋อมถาม

“เปล่า ไม่มีอะไร กูก็แค่ไม่อยากจะเจอหน้ามันตอนนี้เท่านั้นแหละ” ผมตอบออกไป ซึ่งนั่นมันไม่จริงเลย

“แล้วตอนมึงเห็นมันตอนแรกมึงยังไม่เป็นแบบนี้เลยนะ แต่จู่ๆมึงก็.........”

“พอได้แล้ว” ผมหันไปบอกมัน “กูไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้นแหละ” ผมตัดบท ไอ้ป๋อมเองก็เงียบไปเหมือนกัน ถึงแม้มันมีท่าทีอยากจะเถียงกับผมต่อก็ตาม

ถึงจะเห็นมันบ้าๆบอๆ แต่ไอ้ป๋อมเองก็ไม่ใช่คนโง่เลยจริงๆ แต่ถ้าจะพูดให้ถูกต้องก็ต้องบอกว่ามันเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ดูผมออกมากที่สุดเช่นกัน

เมื่อผมกับไอ้ป๋อมออกจากห้องน้ำและกำลังจะเดินกลับไปหาไอ้วิท ไอ้ป๋อมก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้

“เออ ใช่ เด็กคนนั้นมันเด็กมอห้าใหม่ที่เพิ่งเข้ามาเมื่อไม่นานนี้นี่หว่า” มันพูดขึ้น

“มึงรู้ได้ไง” ผมหันไปถามมัน

“ก็น้องกูอยู่มอห้า และมันเคยบอกกูว่ามีเด็กคนนึงเข้ามาแล้วดังพอควรเลย เพราะหน้าตาดี รวย แต่เห็นว่าไม่ค่อยจะสุงสิงกับใครเท่าไหร่ เห็นว่ามันเป็นคนเงียบๆเก็บตัวรึไงนี่แหละ” มันอธิบาย

ผมไม่ได้พูดอะไรตอบ แค่รับฟังข้อมูลเอาไว้เฉยๆ งั้นนี่ก็น่าจะแปลว่ามันสองคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อนสินะ

ผมและไอ้ป๋อมเดินกลับไปยังจุดที่นัดไอ้วิทเอาไว้อย่างช้าๆ ไม่ได้รีบร้อนเหมือนเมื่อตอนผมเดินออกมาเพื่อไปเข้าห้องน้ำ

“มึงยอมรับมาเหอะ ไอ้ซัน” ไอ้ป๋อมพูดขึ้นเมื่อเรากลับมาถึงจุดเดิมที่ยืนดูพวกนั้นเมื่อครู่

“ยอมรับอะไร”

“ว่ามึงไม่สบายใจที่เห็นสองคนนั้นน่ะ”

ผมรู้สึกว่าใบหน้าของผมร้อนผ่าวขึ้นมาทันที ผมไม่ค่อยเคยชินกับการมีใครมาพูดจี้ใจดำแบบนี้นักหรอก โดยเฉพาะถ้าคนๆนั้นไม่ใช่ไอ้เมฆ

“มึงอยู่เฉยๆเหอะ กูเองก็ยังไม่รู้ตัวกูเองเลย” ผมพูดแบบไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก แต่ดูเหมือนไอ้ป๋อมจะฟังออกว่านั่นก็ไม่ใช่ความรู้สึกจริงๆของผมร้อยเปอร์เซ็นต์เช่นกัน

“เออ กูยอมแพ้........ ว่าแต่นั่นไอ้วิทกับไอ้เมฆหายไปไหนวะ” ไอ้ป๋อมเดินตรงเข้าไปหาเด็กคนนั้นแล้วทักเขา “หวัดดีครับน้อง เห็นเพื่อนพี่รึเปล่า พี่ว่าเมื่อกี๊พี่เห็นมันอยู่แวบๆนะ”

“อ๋อ คือ พี่เมฆไปเอายาที่ห้องพยาบาลมาให้ผมน่ะครับ ส่วนเพื่อนพี่อีกคนนึงกำลังไปตามอาจารย์หนุ่มมา” เด็กคนนั้นตอบ

เมื่อผมเดินเข้าไปใกล้ๆจึงได้เห็นหน้าของเขาชัดๆ จริงอย่างที่ไอ้ป๋อมพูด เด็กคนนี้นี่หน้าตาดีจริงๆนั่นล่ะ และไม่รู้ทำไม มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกไม่ค่อยชอบใจไอ้เมฆมากเข้าไปอีก

แต่อีกแค่พักเดียว ไอ้เมฆก็วิ่งกลับมาพร้อมกับขวดยาที่ถือเต็มอยู่ทั้งสองมือ

หัวใจของผมเต้นแรงขึ้นเล็กน้อย แต่ทว่าผมรู้สึกได้เลยว่าใบหน้าของผมมันกลับด้านชาและนิ่งเฉยอย่างที่สุด

ทันใดนั้นเอง ไอ้เมฆก็นั่งคุกเข่าลงตรงหน้าของเด็กคนนั้นแล้วเริ่มทำแผลให้เขาอย่างเบามือ เมื่อเห็นอย่างนั้นแล้วผมอยากจะรีบๆเดินหนีไปให้ไกลอย่างที่สุด ทำไมมันต้องทำถึงขนาดนี้ด้วยวะ ในเมื่อแผลแค่นี้ไอ้เด็กคนนี้มันจะทำเองก็ทำได้ ก็ใช่ ที่ไอ้เมฆมันเป็นคนชอบดูแลคนอื่น แต่นี่มันเกินไปรึเปล่า หรือว่ามันเองก็รู้สึกชอบเด็กคนนี้ขึ้นมาเหมือนกัน

ผมหันหน้าหนีจากไอ้เมฆไปมองยังเด็กคนนี้แทน ทันใดนั้นเองผมก็รู้เลยว่าเด็กคนนี้คิดยังไงกับไอ้เมฆ...... สายตาของเขาที่มองมายังใบหน้าของไอ้เมฆที่กำลังทำแผลให้เขาอยู่มันกำลังจะฉีกหัวใจของผมออกเป็นชิ้นๆ

นี่ผมกำลังหึงอยู่จริงๆด้วย

หลังจากนั้นอาจารย์หนุ่มก็มาถึงพร้อมกับไอ้วิท ผมเห็นสายตาของไอ้วิทที่เหลือบมองผมมาครู่หนึ่งแต่ผมก็กลับหลบสายตาของมันไปเสีย ผมรู้ว่ามันคงรู้แล้วว่าผมรู้สึกยังไง

และ อีกครั้ง ผมไม่ชอบให้ใครมามองผมออกแบบนี้นักหรอกนะ

“ว่าแต่นี่มาเพิ่มกันตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ มาทำอะไรกันวะ” อาจารย์หนุ่มถามขึ้น

“พวกมันตั้งใจจะไปเล่นเกมที่บ้านของผมกันน่ะครับ” ผมชิงตอบขึ้นมาก่อน อะไรก็ไม่รู้ในใจของผมมันสั่งให้ผมเป็นคนพูด เพราะคิดว่าอาจจะทำให้ไอ้เมฆรู้สึกไม่สบายใจที่ได้ยินอย่างนั้นขึ้นมาบ้างก็ได้

“เออๆ ก็ดี แต่ตอนนี้ครูรบกวนมาช่วยเก็บของนี่ก่อนซิ ไอ้พีมันก็ท่าจะไม่ไหวแล้ว ดีจริงเว้ย โผล่มาได้จังหวะพอดี”

“นั่นไง กูว่าแล้ววว” ไอ้ป๋อมร้อง “รู้งี้เมื่อกี๊กู........”

ผมรีบส่งสายตาไปหามันทันที มันเป็นความสามารถพิเศษของผมอย่างหนึ่งที่จะสามารถใช้สายตาสื่อความหมายที่ผมอยากสื่อออกไปได้โดยที่ไม่ต้องแสดงสีหน้าอะไรเลย และมักจะไม่มีใครจับได้ด้วย

“รู้งี้มึงจะทำไมวะ” ไอ้เมฆถามไอ้ป๋อม แต่ไอ้วิทก็รีบหันมาปรามไอ้ป๋อมเอาไว้อีกคนทันที

“เปล่าๆ ไม่มีอะไร ช่างเหอะ มาเร็วๆ ทำงานๆๆๆ” ไอ้ป๋อมถกแขนเสื้อขึ้นแล้วก็เดินตรงไปยังห้องเก็บอุปกรณ์ จากนั้นเราสี่คนก็ช่วยกันทำงานตามที่ไอ้เมฆบอก แต่จริงๆแล้วเราก็พอรู้กันอยู่แล้วว่ามันต้องทำยังไงบ้าง เพราะพวกเราก็เห็นมันทำกันมาเกือบจะตั้งแต่แรกแล้ว เมื่อพวกเราทำงานเสร็จและอาจารย์หนุ่มเดินกลับไป ไอ้วิทก็หันมาคุยกับไอ้เมฆเรื่องไปเที่ยวเกือบจะทันที

“แล้วมึงจะเอาไงต่อ ไอ้เมฆ เปียกเป็นลูกหมาตกน้ำเลยมึง เดี๋ยวก็หวัดแดกหรอก ระวังจะหายไม่ทันไปเที่ยวทะเลนะเว้ย” ไอ้วิทพูด

ผมเห็นไอ้เมฆเหลือบมองหน้าผมไวๆแว่บหนึ่งจากนั้นก็หันไปหาไอ้วิท

“เออน่า หายไม่ทันกูก็คงไม่ไปว่ะ......”

“มึงหมายความว่ามึงจะไม่ไปเหรอ” ไอ้ป๋อมถามขึ้น

ผมรู้สึกหน้าของผมร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง และคราวนี้ผมรู้สึกเหมือนกับมันเป็นความโกรธ ความไม่พอใจ และความผิดหวังผสมปนเปกัน

“กู....... กูก็ไม่รู้ว่ะ กูไม่รู้ว่าตอนนี้กูควรจะไปรึเปล่า” ไอ้เมฆตอบ และถ้าไม่ใช่ควายก็คงรู้สิ่งที่มันพยายามสื่อออกมาแน่นอนอยู่แล้ว ผมรู้สึกผิดหวังและเสียใจมากจริงๆ รู้สึกหงุดหงิดกับตัวเองมากกว่าอย่างอื่น ผมไม่อยากจะอยู่ที่ตรงนี้อีกต่อไปแล้ว ผมไม่อยากจะอยู่ทนฟังความจริงที่เป็นความหวังเพียงหนึ่งเดียวของผมมานานแสนนานว่าผมจะได้กลับไปคืนดีกับมันพังลงไปต่อหน้าต่อตา

“รีบไปเหอะ ไอ้ป๋อม ไอ้วิท” ผมพูดขึ้นแล้วก็เดินหนีออกมาทันที ไอ้ป๋อมวิ่งตามผมออกมาเหยาะๆแล้วก็พยายามจะพูดอะไรกับผมบ้างแต่ผมไม่ได้ฟัง ไอ้วิทที่ตามมาสมทบทีหลังก็เช่นกัน แต่ผมก็ไม่รับรู้ไม่ใส่ใจอะไรแล้ว

วันนั้นทั้งวันที่ทั้งสองคนขลุกอยู่ที่บ้านของผม เราไม่คุยเรื่องนี้กันอีกเลย ผมคิดว่าเพราะพวกมันคงรู้ว่าถึงพูดไปผมก็ไม่ฟัง และถึงฟังไปก็คงทำอะไรไม่ได้อยู่ดี แต่จนเมื่อมันสองคนกลับบ้านไปแล้ว ผมถึงได้มีโอกาสอยู่เงียบๆและคิดถึงตัวเองที่ผมเป็น เรื่องที่ผมทำลงไปแล้วและกำลังจะทำ เรื่องที่ผมต้องการ และเรื่องที่ผมปรารถนาให้มันเป็น

คืนนั้นก่อนจะหลับตาลงแค่ไม่กี่นาที ผมรู้ตัวแล้วว่าไม่ว่าจะเป็นยังไงหรือมันจะทำอะไร คนที่ผิดตั้งแต่แรกก็คือผมเอง ถึงมันจะน่าหงุดหงิดนิดหน่อยก็เถอะที่ผมต้องคิดแบบนั้น แต่ว่าผมจะขอชดใช้ความผิดที่ผมทำลงไป ไม่ว่ามันจะให้อภัยผมหรือไม่  แต่ผมก็จะขอโทษมัน มันคือคนที่ผมรัก และผมก็คิดไว้แล้วว่าที่ผมทำตัวแบบนั้นลงไป ที่ผมโกหกปิดบังมันอาจจะทำให้มันเกลียดผม ใช่ ผมทำใจเอาไว้แล้วนี่นะ เพราะงั้นถ้ามันจะเกลียดผมขึ้นมาจริงๆล่ะก็ ผมก็จะไม่เกลียดไม่โกรธมันหรอก ผมสมควรแล้ว........... เพราะฉะนั้นผมจึงตั้งใจไว้ว่าวันแรกก่อนที่เราจะออกเดินทาง ผมจะหาซื้อของขวัญชิ้นสุดท้ายที่ผมจะสามารถมอบให้แก่มันได้ และผมก็จะบอกมันออกไปด้วยว่าผมขอโทษ

แต่สุดท้าย มันก็ไม่ได้มาตามเวลาที่พวกเรานัดกันไว้ เพื่อนคนอื่นๆพยายามติดต่อเท่าไหร่ก็ไม่ได้ ผมเองก็พยายามโทรหามันด้วยตัวเองด้วยเช่นกัน แต่โทรศัพท์ของมันก็ปิดสนิท......... ผมคิดว่านั่นคงเป็นคำตอบสำหรับทุกๆอย่างของมันแล้ว

แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่เลย..........

พวกเราทุกคนเข้าใจผิดหมด ที่ไอ้เมฆปิดโทรศัพท์และไม่ติดต่อมาหาพวกเรานั้นไม่ใช่เพราะมันตัดสินใจว่าจะไม่ไปเที่ยวกับทุกๆคนเลยแม้แต่น้อย และไม่ใช่แม้แต่มันอยากจะปิดโทรศัพท์เพื่อหนีพวกเราหรือเพราะมันเกลียดผมเลยด้วย

โชคชะตาช่างกล้าเล่นตลกกับเราสองคนได้ถึงเพียงนี้เชียว...................


.
.
.


หลังจากที่พวกเราสามคนกลับมายังห้องพักแล้ว ไอ้เมฆก็ถามผมเรื่องที่ว่าผมหึงมันกับพีทเหรอ มันถามว่าผมหึงคนที่เราเพิ่งเจอกันแค่ไม่กี่นาทีอย่างนั้นน่ะหรือ

ผมไม่รู้จะตอบมันยังไงจริงๆ จะให้ผมตอบว่า ‘ใช่ เมื่อหนึ่งปีก่อนกูหึง แต่ตอนนี้กูงง ว่ามึงจำเขาไม่ได้จริงๆน่ะเหรอ และถ้ามึงจำเขาได้ขึ้นมามึงจะไปตกหลุมรักมันเข้ารึเปล่าวะ’ แบบนี้น่ะหรือ

แต่ก็ช่างเถอะ ผมคิดว่าผมไว้ใจมันได้มากพอ ถ้าเกิดมันจำได้ขึ้นมาเมื่อไหร่ เมื่อถึงตอนนั้นผมก็ค่อยมาคุยกับมันเรื่องนี้อีกครั้งก็พอ.......... และแน่นอน นั่นหมายถึงว่า ถ้ามันพร้อมและอยากที่จะคุยนะ ผมจะไม่เร่งรัดและบังคับมันให้มันคิดและเดินไปในเส้นทางเดียวกับผมอีกแล้ว แต่ผมจะขอและจะรอให้มันพร้อมมาเดินอยู่เคียงข้างกับผมเอง

เพราะว่าผมในตอนนี้รักมันมากเหลือเกิน



(จบความทรงจำเมื่อหนึ่งปีก่อนของซัน – ตอนหน้า เรื่องเล่าในอดีตของปฐพี)


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด