การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)  (อ่าน 242937 ครั้ง)

ninaprake

  • บุคคลทั่วไป
ดีจังๆๆๆที่ทุกอย่างดูลงตัวเริ่มเข้าที่เข้าทางและ .....  :m4: ..... ตอนนี้ก็ได้แต่หวังว่ามันจะพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น อยากให้พีมีความสุขมากๆเลยนะ  :m1:

เย้ๆ ขอบคุณต้นที่มาต่อด้วยความรวดเร็วคร้าบบบ

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนที่ 40 (เรื่องเล่าของไคล์ : ก็แค่ความรักของเด็กคนหนึ่ง)


แม่ของผมเคยเล่าให้ฟังว่าตั้งแต่ผมยังเล็ก ผมก็เป็นเด็กยิ้มง่าย อารมณ์ดี และร้องไห้ยากมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่ว่าจะตั้งแต่เป็นเด็กทารกจนกระทั่งโตจนรู้ความ ผมก็ยังคงเป็นเด็กซนๆที่ร่าเริงและมีคนรักและให้ความสนใจเยอะมาตลอด อาจจะเป็นเพราะนอกจากการที่ผมเป็นเด็กซนๆน่าเอ็นดูคนหนึ่งแล้ว ผมยังเป็นลูกผสมของพ่อที่มีเชื้อฮิสแปนนิค และแม่ที่เป็นคนไทยแต่ก็ยังมีเชื้อสายจีนอยู่อีกหนึ่งในสี่อีกด้วย เพราะเหตุนี้ผมถึงมีหน้าตาและบุคลิกที่โดดเด่นกว่าเด็กคนอื่นๆและผมยังสามารถพูดได้ถึงสามภาษาโดยแทบไม่ต้องพยายามเลย ส่วนนอกจากเรื่องของลักษณะทางกายภาพของผมแล้ว ผมยังได้รับการปลูกฝังแนวความคิดแบบของคนไทยอยู่เยอะพอสมควรอีกด้วย เพราะแม่ของผมอยากให้ผมนั้นมีความเป็นสุภาพบุรุษแบบตะวันออกมากกว่าแบบตะวันตก และพ่อของผมเองก็ชอบวัฒนธรรมของคนไทยมากด้วยเช่นกัน ดังนั้นผมจึงมีโอกาสเดินทางไปเยี่ยมญาติของแม่ของผมที่ประเทศไทยบ่อยพอสมควร

ก็เหมือนๆกับการเดินทางไปเยี่ยมญาติๆทางฝ่ายพ่อที่อเมริกา ทุกๆปีผมจะมีโอกาสได้ไปประเทศไทยสองครั้งเป็นอย่างน้อย และบางปีผมก็ได้ไปถึงสามครั้งหรือมากกว่านั้น แต่ถ้าให้เลือก ผมก็ชอบที่จะไปประเทศไทยมากกว่าการไปเยี่ยมญาติของทางฝ่ายพ่อที่แอลเอเยอะ เพราะผมชอบวัฒนธรรมของประเทศไทยมากกว่า ผมชอบแนวความคิดที่ว่าผู้ที่มีอายุน้อยต้องเคารพผู้ที่มีอายุสูงกว่า ผมชอบความอ่อนน้อมและการปลูกฝังให้เด็กรู้จักรู้คุณของพ่อแม่ และนอกเหนือจากนั้น ผมยังมีญาติผู้พี่อยู่คนหนึ่งที่ผมทั้งรักและก็เคารพเขามากด้วย ต่างจากที่แอลเอที่มีแค่เพียงปู่ ย่า และลุงของผมเท่านั้น

ซันคือพี่ชายเพียงคนเดียวของผม เขาเป็นน้องชายของน้าของผมและอายุมากกว่าผมสามปี เพราะฉะนั้นเมื่อตอนที่ผมอายุได้ราวๆสิบปี ซันก็อายุสิบสามแล้ว และช่วงนั้นยังเป็นช่วงที่เขามีการเปลี่ยนแปลงทั้งร่างกายและจิตใจเยอะมากอีกด้วย ตั้งแต่ผมจำความได้ ทุกครั้งที่ผมไปประเทศไทยผมก็จะสนิทกับซันมากที่สุด เขาช่วยให้ผมรู้สึกคลายกังวลและยังมอบความรักความเอ็นดูให้แก่ผมมาก พ่อของผมบอกว่าเป็นเพราะซันเองก็ไม่มีน้องชายและต้องโตขึ้นมาเป็นลูกชายคนเดียวในครอบครัวเช่นกัน นั่นจึงน่าจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เขารักและเอ็นดูผมมากราวกับผมเป็นน้องชายแท้ๆของเขา แต่ต่อมาพ่อก็บอกผมว่าเมื่อซันอายุได้สักสิบสองหรือสิบสามแล้ว เขาก็จะมีความเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่าง พ่อบอกผมว่าเขาอาจจะโตขึ้น เป็นผู้ใหญ่ขึ้นและคงจะเริ่มสนใจเพศตรงข้าม ซึ่งอาจทำให้เขาไม่มาเล่นหรือหยอกล้อกับผมเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้วก็ได้ ครั้งแรกที่ผมได้ยินอย่างนั้นผมก็รู้สึกกังวลอยู่บ้างเล็กน้อย ถึงปากผมจะบอกพ่อว่าผมไม่แคร์ก็เถอะ แต่หลังจากที่ผมได้เจอกับซันหลังจากที่ผมไม่ได้เจอเขามาแค่ปีกว่าๆ ผมก็ต้องทึ่งกับการเปลี่ยนแปลงของเขามากทีเดียว เขาโตขึ้นมากอย่างที่พ่อบอกผมเอาไว้จริงๆ เขาทั้งสูงขึ้น และหล่อขึ้นมาก ทั้งหมดนั่นเป็นความประทับใจที่ผมมีให้เขาทันทีที่ผมพบหน้ากับเขาเลยทีเดียว

แต่พ่อของผมก็ไม่ได้พูดถูกไปหมดเสียทุกอย่าง อาจจะใช่ที่ซันเปลี่ยนไปมาก แต่ทว่าสิ่งหนึ่งที่เขาไม่เคยเปลี่ยนเลยนั่นก็คือ ความรักและความเอ็นดูที่เขามอบให้แก่ผม ผมเป็นลูกคนเดียวและไม่เคยมีพี่น้อง เพราะฉะนั้น ซันจึงเป็นคนๆเดียวที่ดุและสั่งสอนผมได้ในแบบพี่ชายกับน้องชาย และแน่นอน ว่าเขายังคงอ่อนโยนกับผมมากด้วย มันก็ใช่ที่บางทีเขาก็เป็นคนดุและจริงจัง แต่สิ่งนั้นมันกลับยิ่งทำให้ผมรู้สึกชื่นชมเขามากยิ่งขึ้นไปอีก เพราะไม่ว่ากี่ครั้งที่ผมได้อยู่ใกล้ๆกับเขา ผมก็จะรู้สึกอบอุ่นและพึ่งพาเขาได้ตลอดเวลา และไม่ใช่แค่ผมรู้สึกไปเองเท่านั้น เพราะซันก็คอยปกป้องดูแลผมอยู่ตลอดเวลาจริงๆ เขาไม่ใช่แค่เพื่อนเล่นของผม แต่ผมยังรู้สึกว่าเขาเป็นพี่ชายของผมที่ผมต้องเคารพและนับถือเขาอีกด้วย

หลังจากกลับมาอังกฤษจากการไปเยี่ยมที่ประเทศไทยและได้เห็นความเปลี่ยนแปลงครั้งนั้นของซัน ผมก็บอกกับตัวเองไว้ว่าผมจะต้องโตขึ้นเป็นผู้ชายแบบซันให้ได้ เป็นผู้ชายที่เข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว แต่ก็อ่อนโยน และเป็นที่พึ่งพิงให้แก่คนที่อายุน้อยกว่าได้ และหลังจากนั้นเป็นต้นมา ทุกครั้งที่ผมมีโอกาสได้กลับไปเยี่ยมซัน ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปมากแค่ไหน ไม่ว่าผมจะรู้สึกว่าผมโตขึ้นมากเพียงใด ผมก็จะยังคงมองเห็นแต่แผ่นหลังของเขาอยู่ตลอด เขาสอนให้ผมรู้ว่า ไม่ว่าผมจะคิดว่าตัวเองโตขึ้นมากขนาดไหน แต่แท้จริงแล้วผมมันก็ยังคงเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆคนหนึ่งเท่านั้นเอง

ทุกๆปีทุกๆครั้งที่ผมกลับไปที่นั่น ผมก็จะเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของเขาไปเรื่อยๆ เขาดูดีขึ้นมากจริงๆ จนเมื่อผมโตพอที่จะเรียนรู้อะไรบางอย่างข้างในตัวของผมแล้ว ความรู้สึกหลงใหลและชื่นชมก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความรัก ผมรู้สึกว่าตัวเองหลงรักพี่ชายคนนี้เกินคำว่าพี่ไปแล้วก็เมื่อตอนผมอายุได้สิบเอ็ดปี

แน่นอนว่าชีวิตของผมเองนั้นก็ไม่ได้มีแต่ซันหรอก เมื่อผมอายุสิบสองผมก็มีจูบแรกกับเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักคนหนึ่งที่ชื่อ โอลิเวีย หลังจากนั้นผมเมื่อตอนผมอายุสิบสามผมก็ยังได้คบกับเด็กคนหนึ่งที่ชื่อ แซนดร้า อีกด้วย ตอนนั้นผู้ใหญ่หลายๆคนรวมทั้งพ่อและแม่ของผมต่างก็คิดว่ามันเป็นเพียงปั๊ปปี้เลิฟ แต่ผมไม่คิด ผมเชื่อว่านั่นคือความรักจริงๆ ถึงแม้ว่าในส่วนลึกของจิตใจของผมมันจะบอกผมว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการและตามหาอยู่........ หลายครั้งที่ผมได้สัมผัสตัวและจูบกับผู้หญิงคนอื่น ผมก็มักจะนึกไปถึงใบหน้าของซันและสงสัยว่ารสสัมผัสของเขานั้นจะเป็นยังไง และผมจะรู้สึกอย่างไรนะ ถ้าคนที่โอบกอดผมอยู่นั้นไม่ใช่ผู้หญิงคนนี้แต่เป็นพี่ชายของผมที่ผมรู้สึกอบอุ่นและถูกปกป้องทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้กับเขา

ตลอดสองสามปีนั้นผมได้เจอกับซันอีกเพียงสามสี่ครั้ง และทุกครั้งที่ผมกลับมาอังกฤษผมก็จะรู้สึกสับสนทุกครั้งไป จนกระทั่งวันหนึ่งผมได้ข่าวจากทางประเทศไทยว่าซันประสบอุบัติเหตุถูกรถชน ถึงพวกเขาจะบอกว่าซันไม่เป็นอะไรมากแล้ว แต่นั่นมันทำให้ผมรู้ตัวได้ทันทีว่าผมรักและต้องการเขามากแค่ไหน ผมอยากจะอยู่กับเขา ผมเป็นห่วงเขา และผมกลัวว่าสักวันผมจะสูญเสียเขาไปทั้งๆที่เรายังต้องอยู่ห่างไกลและเขายังไม่เคยได้รู้เลยว่าผมรักเขามากเพียงใด...........

และนั่นทำให้ผมเลิกคบกับแซนดร้า และไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิง...... หรือแม้แต่ผู้ชายคนไหนอีกเลย

สองปีถัดมาผมโตขึ้นมาก มีคนหลายคนเข้ามาพูดคุยกับผมเพื่อจุดประสงค์ส่วนตัวของพวกเขา ไม่ว่าจะต้องการแค่ร่างกายหรือแม้แต่จิตใจของผม แต่ว่าผมไม่เคยให้พวกเขาได้ล่วงล้ำผมมากไปกว่าการจูบเลย ผมพยายามจะลองคบหากับคนอื่นแต่ผมก็ทำไม่ได้ เมื่อผมลองปล่อยให้ตัวเองได้มีความสัมพันธ์กับใครคนใดถึงแค่ในระดับหนึ่ง และหลังจากแค่การจูบ ผมก็ไม่เคยถลำลึกไปมากกว่านั้นอีก ผมไม่เคยตกหลุมรักใคร นั่นเป็นเพราะว่าผมไม่สามารถสัมผัสได้ถึงสิ่งที่ผมเฝ้าใฝ่หาและเฝ้ารอคอยได้เลยแม้สักครั้งจากสักคน....... ผมเฝ้ารอคอยคนที่จะมาเติมเต็มผมได้อยู่จริงๆ

ไม่ถึงหนึ่งปีถัดมา ซันก็มาเรียนต่อที่อังกฤษ ผมดีใจมาก ดีใจจริงๆ ดีใจที่ในที่สุดผมก็จะได้เจอเขาบ่อยขึ้นและได้ใช้เวลาอยู่กับเขาในแบบที่ผมเคยทำเมื่อตอนผมยังเป็นเด็กอีกครั้ง แต่ทว่าซันที่ผมพบนั้นกลับเป็นคนละคนกับที่ผมเคยมีภาพของเขาเอาไว้อยู่ในจินตนาการอย่างสิ้นเชิง ภายนอกเขาดูดีมากก็จริง แต่ทว่าเขาก็ดูเศร้าและบอบบางอย่างที่สุด และที่ยิ่งไปกว่านั้นนั่นก็คือ ผมรู้สึกว่าเขานั้นอ่อนแออย่างไม่น่าเชื่อ มันช่างขัดกับหน้าตา บุคลิก และการแสดงออกของเขาจริงๆ เขาทำตัวเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาทำตัวเหมือนเขาปกติดีทุกอย่าง แต่หลายครั้งที่ผมได้อยู่ใกล้กับเขา หรือแม้แต่ทุกครั้งที่เขาอยู่คนเดียวและผมบังเอิญไปพบเข้า เขาจะดูเหงา เศร้า และน่าสงสารมาก........... ภาพของพี่ชายคนที่เคยเข้มแข็งและเป็นที่พึ่งให้แก่ผมได้นั้นดูราวกับจะจากผมไปแล้ว แต่ผมก็ไม่ได้เลิกรักเขาเลย กลับกัน คราวนี้ผมกลับรู้สึกว่ามันเป็นหน้าที่ของผมบ้างแล้วที่จะตอบแทนความรักความเอ็นดูที่เขาเคยมอบให้แก่ผมตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา

โชคดีที่ผมเป็นคนยิ้มเก่ง และผมคิดว่าบางทีอาจจะเป็นรอยยิ้มของผมนั่นเองที่ช่วยฟื้นฟูสภาพจิตใจเขาได้บ้าง ผมเริ่มเห็นรอยยิ้มและได้ยินเสียงหัวเราะของเขาที่มาจากภายในจริงๆไม่ใช่แค่เพียงฉาบหน้ามากขึ้น ผมสงสัยว่ามันจะดีหรือไม่ถ้าผมบอกเขาออกไปซะว่าผมคิดยังไงกับเขากันแน่ ผมรักเขามากจริงๆ และผมก็ไม่อยากจะเก็บความรู้สึกเหล่านี้เอาไว้นานเกินกว่านั้นแล้ว เพราะผมรู้ว่าถ้าเรายังเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ สักวันผมคงต้องระเบิดออกมาเพราะความอัดอั้นแน่ๆ........

ผมรู้ว่ามันเป็นความรักที่ต้องห้ามและเป็นไปไม่ได้ และผมก็ไม่รู้ด้วยว่าซันนั้นชอบผู้ชายรึเปล่า แต่เมื่อดูจากสิ่งที่ซันปฏิบัติกับผมและช่วงเวลาที่เราอยู่ด้วยกันแล้ว ถึงผมไม่อยากจะคิดเข้าข้างตัวเอง แต่ผมก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าผมคงจะพอมีความหวังอยู่บ้าง..........

จนกระทั่งสี่เดือนถัดมา.......... วันที่ผมมีโอกาสได้พูดมันออกไปก็มาถึง

วันนั้นผมกับซันนั่งเล่นกันอยู่ที่ห้องนั่งเล่นที่บ้านของเขา เรากำลังนั่งดูทีวีและก็พูดคุยกันถึงเรื่องต่างๆทั่วไป มีเสียงหัวเราะและรอยยิ้มมากมาย และสุดท้ายหัวข้อสนทนาก็วกเข้ามาถึงเรื่องหนึ่งที่ผมสงสัยมาตลอด

“นี่ ซัน ทำไมพี่ถึงตัดสกินเฮดอยู่ตลอดเลยล่ะ ไม่คิดจะเปลี่ยนเป็นทรงอื่นบ้างรึไง...... แบบว่า ผมก็อยากเห็นน่ะนะ” ผมถามเขา

รอยยิ้มที่มีอยู่บนใบหน้าของเขามาตลอดที่เราคุยกันเหือดหายไปแทบจะทันที ซันยกมือขึ้นลูบบนหัวของตัวเองช้าๆจากนั้นก็หันหน้าหนีไปทางอื่น เขาเงียบไปสักพักจนผมเริ่มรู้สึกไม่ดีและกำลังคิดจะเปลี่ยนหัวข้อคุย แต่จู่ๆเขาก็หันกลับมาสบตากับผมอีกครั้ง

“มันเป็นทรงที่คนที่พี่เคยรักมากชอบน่ะ” เขาตอบ และไม่มีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าเลย “ไม่สิ........ ต้องพูดว่า ‘คนที่พี่รัก’ ชอบต่างหาก”

ผมถึงกับอึ้งไปชั่วขณะหนึ่งและไม่อยากจะยอมรับความจริงที่ผมเพิ่งได้ยินออกมาเลย เขาเพิ่งแก้ไขจากคำว่า ‘เคยรัก’ เป็น ‘รัก’ นั่นแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าเขานั้นยังรู้สึกอย่างไรกับคนๆนั้นอยู่ และที่สำคัญประโยคเมื่อกี๊อาจจะเป็นคำตอบที่ผมสงสัยมาตลอดด้วยว่าตอนแรกๆที่เขามาถึงที่นี่ ทำไมเขาถึงได้มีสภาพจิตใจเช่นนั้น แปลว่าความเศร้าความทุกข์ของเขาในตอนนั้นมันไม่ใช่แค่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงที่เข้าต้องจากบ้านและจากเพื่อนของเขามาเท่านั้นสินะ....... แต่มันเป็นความเศร้าที่เขาต้องจาก ‘คนรัก’ ของเขามาด้วย.........

ผมเริ่มจะรู้สึกขึ้นมาแล้วว่าผมกำลังจะเสียเขาไป........ มันเป็นความกลัวคนละอย่างกับเมื่อตอนที่ผมรู้ว่าเขาถูกรถชน แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดผมจึงรู้สึกว่าความรู้สึกตอนนี้นั้นมันช่างน่ากลัวกว่าเมื่อหลายปีก่อนนี้มากจริงๆ

เราสองคนเงียบกันไปอยู่ครู่หนึ่ง บางอย่างในใจของผมบอกผมว่าผมควรจะถามต่อสิ ผมควรจะอยากรู้ว่าในใจของเขานั้นเป็นอย่างไรและมันจะมี ‘ที่ว่าง’ เหลือให้สำหรับผมบ้างหรือไม่ แต่อีกใจก็บอกผมว่าประโยคที่เขาเพิ่งพูดออกมาเมื่อครู่นั้นมันก็ชัดเจนมากพออยู่แล้ว ผมไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องหาเรื่องเจ็บปวดอีก

“แล้ว........ ตอนนี้พี่ยังรักเขาอยู่รึเปล่า” ผมหลุดถามออกไปโดยที่ไม่รู้ตัว เพราะจริงๆผมก็รู้คำตอบนั้นดีอยู่แล้ว

ซันพยักหน้าช้าๆให้กับผม “รักสิ รักมากด้วย แต่ว่าจนถึงตอนนี้มันก็คงทำอะไรไม่ได้อีกแล้วล่ะ ทุกอย่างมันสายเกินไปแล้ว และบางที....... ไม่รู้สินะ มันอาจจะจบลงไปแล้วก็ได้”

เราสองคนสบตากันและกัน และผมแทบจะหัวใจสลายเมื่อเห็นแววตานั้นของเขา แววตาที่เต็มไปด้วยความเศร้าและสะท้อนความอ่อนแอจากภายในจิตใจของเขาออกมาอย่างชัดเจน

ถึงแม้ประโยคที่เขาพูดออกมานั้นจะแปลว่าผมเองก็คงมีโอกาสได้เอื้อมไปถึงหัวใจของเขาได้ แต่ผมกลับไม่รู้สึกยินดีเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่เลย..........

“มัน....... มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ครับ” ผมถามเขา ไม่ใช่เพราะความอยากรู้อีกต่อไป แต่หากเป็นเพราะความห่วงใยต่างหาก ผมมีความรู้สึกลึกๆว่าเขาเองก็คงอยากจะระบายมันออกมาบ้างเช่นกัน

ซันนิ่งเงียบไปพักหนึ่งเหมือนจะชั่งใจว่าควรจะพูดออกมาดีหรือไม่ แต่สุดท้ายเขาก็หันมาสบตากับผมอีกครั้ง เราสองคนนั่งห่างกันไม่มาก และคราวนี้ ผมก็สามารถเห็นซันคนเดิมได้ชัดเจน ซันคนที่ผมเคยชื่นชมและเคารพนับถือเมื่อตอนผมเป็นเด็ก....... สายตาที่ทะลุทะลวงราวกับไม่มีใครสามารถที่จะโกหกเขาได้เลย

“ทำไมไคล์ถึงอยากรู้เรื่องนี้ล่ะ” เขาถาม

“ผม........ ผม” ผมอ้ำอึ้ง บางทีอาจจะเป็นเพราะผมเองก็คงยังไม่รู้ตัวเองเหมือนกันก็ได้ “ผมเป็นห่วงพี่น่ะสิครับ ผมเห็นพี่ดูเศร้าแล้วก็ไม่มีความสุขเลยตั้งแต่ที่พี่มาถึงที่นี่ใหม่ๆแล้ว....... และ คือ ผมก็อยากจะรู้ด้วยว่ามันเคยเกิดอะไรขึ้นกับพี่มาบ้าง” ผมตอบออกไปตามความเป็นจริง “แต่ถ้าพี่ไม่อยากบอกก็ไม่เป็นอะไรนะครับ ผมเข้าใจ”

ซันยังคงมองตาของผมอยู่ แววตาแบบนั้นของเขายังคงไม่หายไป

“พี่จะตอบคำถามของไคล์ทุกอย่างถ้าไคล์ตอบคำถามพี่มาตามความเป็นจริงเช่นกัน” เขาพูด

“ครับ” ผมตอบกลับ รู้สึกหวั่นเกรงสายตาของเขาเล็กน้อย “แต่ซัน พี่ก็รู้ว่าผมไม่เคยโกหกพี่เลยสักครั้งเดียวในชีวิต ใช่มั๊ยครับ”

เขาพยักหน้าและมีความอ่อนโยนฉายอยู่ในแววตาคู่นั้นเพิ่มขึ้นมาอีกเล็กน้อย “ใช่ และพี่เองก็ไม่เคยโกหกไคล์เลยสักครั้งเหมือนกัน ไคล์คือน้องชายคนเดียวของพี่ แล้วพี่ก็รักเรามากด้วย แต่ไคล์แน่ใจนะ ว่าพร้อมที่จะตอบคำถามของพี่จริงๆ”

“ครับ ผมแน่ใจ” ผมยืนยัน สายตาของผมก็จับจ้องไปยังดวงตาสีดำเข้มอันแน่วแน่คู่นั้นเช่นกัน เราเงียบกันไปครู่หนึ่งก่อนที่ซันจะพูดประโยคที่แทบจะทำให้หัวใจของผมหยุดเต้นไปชั่วขณะออกมา

“ไคล์คิดยังไงกับพี่กันแน่” เขาถามสั้นๆ แต่มันกลับทำให้ผมชาไปทั้งตัว


ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ผมรู้สึกว่าร่างกายของผมเริ่มสั่นเทาขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าของผมก็ร้อนผ่าวจนผมไม่สามารถสบตากับเขาอีกต่อไปได้ หัวใจของผมเต้นแรงและสมองของผมก็เหมือนกับจะหยุดทำงานไปชั่วขณะหนึ่ง ผมรู้สึกว่าน้ำตาของผมมันเริ่มไหลเอ่อรื้นขึ้นมาที่ขอบตาพร้อมๆกับความจริงที่ถูกเก็บไว้มานาน และบัดนี้มันกำลังจะถูกพูดออกไปแล้ว

“ผมรักพี่ครับ........” ผมตอบ ไม่สามารถควบคุมเสียงของตัวเองไม่ให้สั่นได้ น้ำตาของผมมันเริ่มจะไหลออกมาโดยที่ผมไม่สามารถจะห้ามมันได้เช่นกัน “รักมากกว่าความเป็นพี่เป็นน้องด้วย......... ผมรักพี่ เคารพพี่ แล้วก็อยากจะให้พี่รักผมแบบที่ไม่ใช่แค่น้องชายด้วยเหมือนกัน......... ผมรู้ว่าผมไม่ควรจะคิดแบบนั้น ผมรู้ว่าผมไม่ควรจะรู้สึกแบบนั้น แต่ผมก็ห้ามตัวเองไม่ได้จริงๆ ผมทำอะไรไม่ได้เลย.........” ผมก้มหน้าแล้วเริ่มสะอื้น น้ำตาที่ไหลออกจากดวงตาของผมค่อยๆหยดลงบนพื้นช้าๆ

ซันนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืน ผมคิดว่าเขาคงจะเดินเลยผมแล้วหนีขึ้นห้องไปเลยเสียอีก แต่ทว่าเท้าของเขากลับมาหยุดอยู่ตรงหน้าของผม จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกมา ผมสะดุ้งจนสุดตัวเพราะคิดว่าเขาจะต่อยหรือตบผมหรือทำอะไรสักอย่าง อะไรที่เขาจะทำเพื่อระบายความโกรธและความเกลียดในตัวของผม ในตัวน้องชายที่มันเป็นเกย์คนนี้ออกมา แต่ทันใดนั้นเอง เขากลับวางมือลงบนแก้มของผมอย่างอ่อนโยนแล้วค่อยๆดันให้ผมเงยหน้าขึ้นช้าๆจนกระทั่งผมสบตากับเขา

“ไม่เป็นไร ไคล์ พี่เข้าใจ” แววตาของซันเปลี่ยนไปแล้ว จากสายตาแน่วแน่ทะลุทะลวงที่ต้องการความจริงทุกอย่าง เปลี่ยนเป็นสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความอบอุ่น ความรัก และความอ่อนโยน แต่มันกลับทำให้ผมยิ่งไม่สามารถที่จะกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้มากขึ้นไปอีก

“ผม....... ผมขอโทษ........ ซัน พี่จะเกลียดผมมั๊ย......... ผมขอโทษจริงๆครับ ผมขอโทษ.......” ผมสะอื้นอย่างห้ามตัวเองไม่ได้

ซันดึงตัวผมเข้าไปกอดและวางหน้าของผมลงบนหน้าอกของเขา เขาเอามือลูบหัวของผมช้าๆเหมือนเมื่อครั้งตอนที่ผมเป็นเด็กๆ และผมก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่ผมเฝ้าค้นหามาตลอด ณ ชั่วเวลานั้นเอง

“ก็บอกว่าไม่เป็นอะไรไง ไคล์ เลิกร้องไห้ได้แล้ว ไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ” เขาบอกผมโดยไม่มีน้ำเสียงแสดงคำสั่งเลยแม้แต่น้อย หากแต่เป็นความอ่อนโยนและความอบอุ่นที่ผมไม่ได้รู้สึกและไม่ได้สัมผัสมานานแสนนานเหลือเกิน “พี่ต่างหากที่ต้องขอโทษที่พี่ไม่สามารถตอบรับความรู้สึกนั้นของไคล์ได้.........”

ผมพยายามกลั้นน้ำตาแล้วดันตัวเองออกมาสบตากับเขาอีกครั้ง

“ผมรู้ครับ....... พี่ยังรักคนรักของพี่อยู่ และพี่ก็ไม่ใช่เกย์ด้วย พี่ไม่มีทางคิดอะไรกับผมหรอก” ผมพูดออกไป

“ผิดแล้ว” เขาตอบ

ผมมองหน้าเขาด้วยความประหลาดใจ เราสองคนมองตากันและกันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ซันจะใช้นิ้วเช็ดน้ำตาให้ผมแล้วเดินกลับไปนั่งที่เดิมอีกครั้ง แต่คราวนี้เขานั่งหันหน้ามาทางผมทั้งตัวแล้ว

“พี่........ พี่จะบอกพ่อกับแม่ของผมหรือคนอื่นๆมั๊ย....... ว่า ว่าผมเป็นเกย์น่ะครับ” ผมถามเขา แต่แทบจะไม่ได้ยินเสียงของตัวเองออกมาเลยด้วยซ้ำ

ซันส่ายหน้าช้าๆ “ไม่หรอก......... ถ้าไคล์ไม่บอกคนอื่นเรื่องของพี่เหมือนกัน”

ผมแน่ใจเลยว่าเขาต้องเห็นสีหน้าประหลาดใจของผมแน่ เพราะว่าเขาหัวเราะในลำคอออกมาเบาๆ แต่ไม่มีอะไรในใบหน้าของเขาที่บ่งบอกว่ามันเป็นเรื่องตลกเลย

“ใช่...... พี่บอกแล้วไงว่าไคล์เข้าใจผิดแล้ว เรื่องแรกก็คือ พี่ไม่คิดกับเราแบบนั้น พี่ไม่สามารถรักเราแบบที่เราต้องการได้ก็เพราะว่าเราน่ะเป็นน้องของพี่ ไคล์ เราน่ะโตขึ้นมากจริงๆนะ โตมาเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดี มีเสน่ห์ และยังตัวใหญ่กว่าพี่เสียอีก แต่ว่าถึงยังไงพี่ก็ยังคงเห็นเราเป็นเด็กตัวเล็กๆคนที่เคยขี่หลังพี่เหมือนเมื่อก่อนอยู่ดีนั่นแหละ พี่รักเรามากก็จริง แต่ยังไงๆมันก็ไม่สามารถที่จะเกินเลยไปกว่านั้นได้........ ใช่ พี่พยายามที่จะไม่ให้มันเกินเลยไปกว่านั้นจริงๆ” เขาอธิบายด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนกับเขากำลังเอามือมาบีบและบิดหัวใจของผมเพื่อคั้นเอาเลือดหยดสุดท้ายออกมา

“ผมเข้าใจครับ......” ผมตอบกลับไป ไม่สามารถบังคับน้ำเสียงของตัวเองไม่ให้ฟังดูเหมือนผมกำลังเศร้าใจหรือเสียใจอยู่ได้

ซันมองหน้าผมด้วยแววตาที่ทำให้ผมรู้สึกว่าเขาเองก็คงไม่สบายใจเช่นกัน “แต่เรื่องนั้นมันยังไม่สำคัญเท่าไหร่หรอก....... เพราะว่าอย่างที่ไคล์เข้าใจนั่นแหละ ใช่แล้ว พี่ยังรักคนที่พี่เคยรักอยู่......... เพียงแต่ว่าคนที่พี่รักคนนั้นก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน”

ผมนั่งมองซันด้วยความตกใจ ไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ผมเพิ่งได้ยินมาแม้แต่น้อย

“ว่ายังไงนะครับ” ผมถาม

“ใช่ พี่เองก็เป็นเกย์........ ไม่รู้สิ อย่างน้อยๆพี่ก็คิดว่าน่าจะเป็นแบบนั้นน่ะนะ แต่พี่ไม่เคยมีความรู้สึกให้กับผู้ชายคนไหนเหมือนกับคนๆนี้เลย”

“ซัน..... งั้นพี่ก็.......”

“ก็คงอย่างนั้นแหละ..........” เขาถอนหายใจเบาๆ “เอาล่ะ พร้อมจะฟังเรื่องของพี่รึยังล่ะ ยังจะอยากรู้อยู่มั๊ยว่าพี่กับเขาคนนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง และทำไมพี่ถึงยังไม่คิดจะไปรักใครคนอื่นในตอนนี้อีกเลย” เขาถาม

ผมพยักหน้าช้าๆ ตอนนี้ผมไม่สนใจ ไม่คิด หรือไม่ได้นึกถึงอะไรอย่างอื่นอีกแล้วนอกจากความอยากรู้ว่าเคยเกิดเรื่องราวอะไรขึ้นกับซันในอดีตมาบ้าง อยากรู้ว่าเรื่องอะไรและใคร ที่สามารถทำให้พี่ชายผู้เข้มแข็งของผมคนนี้เปลี่ยนแปลงไปได้มากถึงเพียงนี้

“คนที่พี่รัก........ พี่คิดว่าเผลอๆเขานั่นแหละที่เป็น ‘รักแรก’ ของพี่ด้วยซ้ำ และเขายังเป็นคนที่ช่วยชีวิตพี่เอาไว้อีกด้วย เขามีชื่อว่าเมฆ.............” ซันเริ่มต้นเล่าเรื่องทั้งหมด

ผมนั่งฟังซันเล่าอย่างตั้งใจ และแทบจะไม่ได้พูดอะไรแทรกออกไปเลย เขาเล่าเรื่องทั้งหมดออกมาราวกับว่าเขากำลังระบายมันออกมามากกว่า และก็น่าจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะขณะที่เขากำลังระบายความในใจทั้งหมดของเขาที่เขาคงเก็บมันเอาไว้มานานและไม่สามารถพูดออกมากับใครได้นั้น น้ำใสๆก็เริ่มหยดลงมาจากตาของเขาทีละน้อย บางครั้งเขาก็ห้ามมันเอาไว้ได้ แต่เมื่อจนถึงท้ายที่สุดแล้ว เขาก็ร้องไห้ออกมาโดยที่ไม่คิดจะห้ามมันเอาไว้อีกต่อไป

ผมเดินเข้าไปหาเขาแล้วกอดเขาเอาไว้ในอ้อมแขน เมื่อผมทำแบบนี้แล้วมันทำให้ผมรู้สึกว่าผมนั้นเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหนจริงๆ จากเด็กตัวเล็กๆที่เคยอยู่ในอ้อมแขนที่ดูแข็งแรงของเขา บัดนี้ผมโตขึ้นมาก ผมสูงกว่าเขาเล็กน้อยและยังมีกล้ามเนื้อมากยิ่งกว่าเขาอีกด้วย ผมไม่ใช่เด็กตัวเล็กๆอีกต่อไปแล้ว และตอนนี้ผมก็กำลังสวมกอดพี่ชายอันเป็นที่รักของผมเอาไว้และปล่อยให้เขาได้ระบายความรู้สึกออกมาอย่างเต็มที่ ตอนนี้ผมได้สัมผัสกับความอบอุ่นของเขาอีกครั้ง แต่ทว่าคราวนี้ความรู้สึกมันเปลี่ยนไป มันเป็นความรู้สึกที่บอกว่าผมเองก็โตขึ้นและสามารถเป็นที่พึ่งพิงให้แก่คนอื่นได้เช่นกัน และคนที่ผมกำลังปกป้องและปลอบโยนเขาอยู่ในตอนนี้นั้นก็คือพี่ชายของผมนี่เอง....... เมื่อคิดอย่างนั้น น้ำตาของผมมันจึงเริ่มไหลออกมาอีก

ขณะที่ผมฟังเขาเล่าเรื่องทั้งหมดนั้นผมก็บอกและเตือนตัวเองเอาไว้ไม่ให้ร้องไห้ออกมาและพยายามทำใจกับสิ่งที่ผมกับเขาจะเป็นต่อไปในอนาคตให้ได้ ใช่แล้ว....... ผมกำลังยอมรับความจริงในใจอยู่เงียบๆ แต่ทว่าน้ำตาที่ถูกอดกลั้นมานานนั้นก็ไม่สามารถถูกห้ามอีกต่อไปได้ เขากำลังอ่อนแอ....... พี่ชายของผมกำลังอ่อนแอและบอบบางอย่างที่สุด และผมก็ไม่สามารถทำอะไรให้เขาได้เลย ผมไม่สามารถทำอะไรให้เขาหายจากความเศร้าที่กัดกินหัวใจของเขานี้ได้เลยแม้แต่นิดเดียว

เรื่องราวทั้งหมดที่ผมได้ฟังมามันเป็นคำตอบสำหรับทุกๆสิ่ง มันชัดเจนอย่างที่ผมไม่ต้องแปลหรือพยายามจะตีความอีกต่อไป ถึงผมจะเสียใจที่ผมคงไม่มีวันได้เข้าถึงหัวใจของผู้ชายคนนี้แน่ๆแล้ว แต่ผมก็ดีใจ ที่เขายังคงนั่งอยู่ตรงนี้กับผม และผมรู้ว่าความรักของเขาที่มีให้กับผมนั้นก็จะยังคงอยู่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง...........

ซันร้องไห้เบาๆต่ออีกไม่นาน จากนั้นเขาก็ดันตัวเองออกแล้วก็เช็ดน้ำตาด้วยปลายแขนเสื้อเบาๆ

“ขอโทษที พี่ไม่น่าทำตัวอย่างนั้นเลย” เขาบอกผม

“ไม่หรอกครับ ผมต่างหากที่ต้องขอโทษ” ผมเองก็เช็ดน้ำตาของตัวเองเช่นกัน

“ไคล์เข้าใจใช่มั๊ย ว่าเพราะอะไรพี่ถึงไม่คิดจะมีความรู้สึกอย่างอื่นให้กับใครได้เลย........ แม้แต่กับไคล์”

“ผมเข้าใจครับ........” ผมพยักหน้าช้าๆ “แต่ผมรักพี่มากจริงๆนะ..... ผมอยากให้พี่มีความสุขและอยากจะเป็นคนที่ทำให้พี่ลืมเขาให้ได้ แต่ผมรู้ว่าพี่ไม่อยากจะลืมเขาหรอก ผมเองก็ไม่อยากให้พี่ลืมเขาด้วยเหมือนกัน ผมคงทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว...... มันคงจะเจ็บนะครับ แต่ผมก็จะทนต่อไป........ ผมเองก็ไม่รู้ว่าผมควรจะทำยังไงต่อไปดี ผมไม่คิดว่าผมจะทำใจได้เร็วขนาดนั้นด้วย....... คือ........ ผมไม่อยากจะทำให้พี่ลำบากใจหรอกนะครับ แต่ว่า.........แต่ว่า ผมเองก็คงจะยังรู้สึกรักพี่แบบนี้อยู่ต่อไปเรื่อยๆแน่ๆ..........” ผมบอกเขาไปอย่างที่ผมคิด ไม่แน่ใจว่าเขาจะเข้าใจในคำพูดวกๆวนๆของผมมั่งหรือเปล่า

ซันไม่ตอบอะไรกลับมานอกจากพยักหน้าออกมาช้าๆ

“ซันไม่ว่าอะไรเหรอ ไม่ลำบากใจเหรอกับเรื่องนั้น.....” ผมถามเขา

“แน่นอน ลำบากใจสิ แต่พี่พูดตรงๆนะ........ ถ้าเราไม่ใช่พี่น้องกันและถ้าเราได้เจอกันเร็วกว่านี้ล่ะก็........” เขาถอนหายใจและไม่ได้พูดต่อประโยคจนจบ เราสองคนเงียบกันไปอีกพักหนึ่งจากนั้นเขาจึงเริ่มต้นพูดต่อ “แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ พี่รักเมฆมาก พี่รักมันมากจริงๆ และพี่ไม่คิดว่าจะมีใครมาแทนที่เขาได้ด้วย......... อย่างน้อยๆพี่ก็ยังไม่ตัดใจในเรื่องนี้ พี่ยังไม่ตัดใจในความรักของพี่ พี่คิดอยู่เสมอว่าสักวัน พี่คงทำอะไรได้บ้าง และทรงผมของพี่ก็คือสิ่งที่ยืนยันและเตือนใจพี่ในเรื่องนั้นมาตลอด พี่จะเปลี่ยนไปไว้ผมทรงอื่นก็ต่อเมื่อเขาบอกพี่ด้วยตัวเองเท่านั้น”

“ถ้าผมมีคนที่รักผมได้แบบที่ซันรักเขาคนนั้นล่ะก็ ผมคงต้องดีใจมากแน่ๆ” ผมพูดแล้วยิ้มออกมาเล็กน้อย

ซันส่งยิ้มอย่างอ่อนโยนมาให้แก่ผม เขาช่างเปลี่ยนไปมากจริงๆ........ เขาในตอนนี้ดูราวกับเป็นซันที่อ่อนโยนกว่าเมื่อปีก่อนๆเยอะมากทีเดียว และผมก็มีความเชื่อลึกๆอยู่ในใจว่าคงต้องเป็นเพราะเขาคนนั้นแน่ๆที่มีอิทธิพลต่อผู้ชายคนนี้ได้มากมายถึงเพียงนี้

“มีสิ เชื่อพี่ว่ามันจะต้องมีแน่ๆ......... แต่ตอนนี้พี่อยากให้เราสองคนเป็นแค่พี่และน้องกันเท่านั้น เข้าใจมั๊ย เพราะยังไงๆระหว่างเรามันก็เป็นไปไม่ได้อยู่ดี”

“ผม........ ผมจะพยายามครับ” ผมตอบเขากลับไป “แต่ว่า........ ผมก็ไม่รู้ว่าผมจะทำได้ขนาดไหนนะครับ” ผมก้มหน้า

และอีกครั้งที่ซันใช้มือจับที่ใบหน้าของผมอย่างอ่อนโยนและเชิดมันขึ้นให้ผมสบตากับเขาอีกครั้ง คราวนี้เขามองผมด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหมายและไร้รอยยิ้มอยู่บนใบหน้า แต่ทว่าผมกลับรู้สึกได้ถึงความรักและความอบอุ่นที่ถูกแผ่ออกมาอย่างเต็มเปี่ยม

“สิ่งที่รู้แต่ไม่สามารถทำอะไรได้......... นั่นแหละคือความรัก น้องชาย”



(จบเรื่องเล่าของไคล์ตอนที่หนึ่ง – ตอนหน้า พรหมลิขิตของสายน้ำ)

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-09-2007 01:09:46 โดย ExecutioneR »

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page


ทำไมเดี๋ยวนี้มีแต่ตอนยาวๆที่โพสลงครั้งเดียวไม่ได้ทั้งนั้นเลยหวา  :o

ปล. คิดถึงไอ้เบียร์  o7


chonrapee

  • บุคคลทั่วไป
เพิ่งตามอ่านค้าบ ยาวจริงๆ แต่ก็จะพยายามอ่านจนจบนะค้าบผม o2 o2

ninaprake

  • บุคคลทั่วไป
Re: การเดินทางของŪ
«ตอบ #395 เมื่อ21-09-2007 23:09:25 »

ไม่ยาวจนเกินไหรอกคร้าบบบต้น  :m18:  แฟนๆหลายๆคนคงอยากให้ยาวววววกว่านี้ด้วยซ้ำ อิอิ

ดีจัง .... คราวนี้ได้มามอง ได้มารับรู้ความคิดความรู้สึกทางด้านของไคล์บ้าง .....

เหมือนกับการมองด้วยตาข้างเดียว มัน  ก็ทำให้เรารับรู้แค่กว้างและยาว หรือเป็นเพียงภาพ 2 มิติเท่านั้น หากแต่ถ้าเรามองด้วยตาทั้ง 2 ข้าง  ภาพที่เราเห็นก็จะมีทั้งกว้าง ยาว แล้วก็ลึก ... มันจะได้ ภาพที่ครบถ้วนสมบูรณ์ทั้ง 3 มิติ

... การมองรอบด้านจากทุกๆมุมและจากดวงตาทุกข้าง ทุกดวงก็ทำให้เราได้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นและมีมิติเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน ...... ตอนนี้ตัวละครหลักๆทุกตัวของต้นต่างก็มีมิติและความลึกซึ้งกันทั้งนั้น .... ดีจัง .... ยิ่งมีมุมให้เรามอง มีเหลี่ยมให้เราเห็นมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งเป็นการง่ายที่จะทำให้เราเข้าใจในตัวละครหรือ "คน" นั้นๆมากขึ้น และจะทำให้เราซาบซึ้งหรือ "อิน" ไปกับการอ่านได้มากขึ้น ...... 

มิน่า ยิ่งอ่านเรื่องของต้นยิ่งสนุกเนอะ อ่านไปก็อินไป ฉากที่เศร้าก็เป่าปี่เลยทีเดียว  :m30: (เออ...หมายถึงร้องไห้นะ ไม่ใช่ทำอย่างอื่น) ... ฉากที่  :m10: หุหุหุ ก็ทำให้เหนื่อยได้เลยนะ อิอิอิ   :m25:  o17

มาต่อรวดเร็วตามเคยนะ มาเป็นกำลังใจให้ค้าบบผม  :m4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-09-2007 23:11:55 โดย BlueWizard »

น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
เห็นด้วยกะคุณบลูค่ะ ลงไม่ยาวหรอก อยากอ่านให้มากกว่านี้อีก
อ่านแล้วซาบซึ้งตลอดเลย  แสดงมุมมองความคิดของแต่ละคนได้อย่างละเอียดลึกซึ้งมาก
คือชอบอ่านเรื่องแบบนี้อ่ะ  อ่านแล้วอิน  ตอนเศร้าก็น้ำตาคลอ ตอนสุขก็นั่งอมยิ้ม
อยากให้เขียนเรื่องนี้ต่อไปเรื่อยๆ เขียนตอนเมฆกะซันเรียนมหาวิทยาลัย
แล้วทำงานต่ออีก คือเขียนเป็นไดอารีเลยละกัน ดีมั้ยต้น

~Brand New Beat~

  • บุคคลทั่วไป
ไม่ได้เข้ามาอ่านไม่กี่วันเอง ก็มาลงเยอะแยะเลย

ไม่เป็นไรผมชอบ อิอิ นึกว่าจะไม่มีตอนเศร้าอีกแล้ว

ในที่สุดก็ยังมีจนได้  :o12:

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
ว้าว พรหมลิขิตของสายน้ำ ..... มากันครบเลย  :impress:  :impress:  :impress:

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
เพิ่งตามอ่านค้าบ ยาวจริงๆ แต่ก็จะพยายามอ่านจนจบนะค้าบผม o2 o2

ขอบคุณมากค้าบบบบ  o1 พยายามเข้าเน้ออ  :impress: รีบ่อยๆนะคับ เม้นหน่อย จะได้เอาไว้ปรับปรุงต่อ  o14


พี่น้ำค้างคับ ถ้าเกิดเขียนยาวขนาดนั้น ผมตายแหน่คับ 555  :m2:
แต่ยังไงก็ขอบคุณมากนะคับ ที่ชอบกัน  o14

วันนี้เอาเพลงมาแถม คลิกจิ ฟังตอนอ่านเรื่องของพีก็ซึ้งโคด
และถ้าใช้ฟังในอีกสองตอนข้างหน้า ก็น่าจะทำให้อินและเข้าใจอารมณ์ของพีได้มากขึ้นอีกหนา
ซึ้งโคดดดดดดด โดนใจปฐพีสุดๆแล้วเนี่ย T__T

ปล. เนื้อเพลงหาได้ในกูเกิ๋นคับ  o13 เพลงเพราะจิงๆจัง แนะนำๆ


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
ชอบยาวๆจะคุณต้น ลงยาวๆมะมีปัญหาในการอ่าน เอิ๊กๆๆ  :m11:  :m11:

sun

  • บุคคลทั่วไป
:m17:   ได้อ่าน ความรู้สึกของไคล์แล้ว น่า สงสารเนอะ
แต่มันเป็นความรักที่บริสุทธิ์ ดีจัง ทำไมซินรู้สึกอย่างนั้นหว่า .. แหะๆ     :m23:

ดีแล้ว ไคล์ได้เจอคนดีๆ แบบ พี   น่ารักทั้งคู่ ชอบๆ     :m1:

ยาวๆชอบ ค่ะคุนต้นนุ่ม อิอิ 
ลงเท่าไหร่อ่านโม๊ดดดด      :m3:

ออฟไลน์ ~ScAreD:SAcreD~

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1811
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-2
 :m3: โอยยย ชอบจัง

นี่เราพลาดเรื่องนี้ไปได้ยังไงเนี่ย

ทั้งแอบยิ้ม ทั้งน้ำตาซึมไปกับเรื่องนี้หลายรอบมากๆ  :m1:

ชอบที่มีมุมของแต่ละคน ทุกอย่างที่ทำมันดูมีที่มาและมีเหตุผลสนับสนุนในสิ่งที่ทำ

ปลื้มมากมายครับ กับเรื่องนี้  :give2:

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนที่ 41 (เรื่องเล่าของไคล์ : พรหมลิขิตของสายน้ำ)


ในที่สุดผมก็ได้พบกับเขาคนนั้น........ คนๆเดียวที่สามารถครอบครองหัวใจของพี่ชายของผมไปได้

ก่อนหน้าที่เมฆ หรือ ศิลา จะมา ซันได้เข้ามาคุยกับผมเป็นครั้งสุดท้ายในเรื่องของเราสองคน และผมก็ต้องยอมรับว่า เวลามันช่วยได้จริงๆ บวกกับความรู้สึกลึกๆของผมที่มีมาตั้งนานแล้วว่าความรักครั้งนี้คงจะไม่มีวันได้สมหวัง ทำให้ผมไม่ได้คาดหวังและไม่เจ็บปวดกับผลลัพธ์มันมากนัก เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ผมรักซัน ผมได้บอกเขาออกไปแล้วว่าผมรักเขา และเขาเองก็ยังคงรักผมอยู่เช่นเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้น ผมจึงค่อนข้างจะสบายใจกับสถานะของตัวเองอยู่พอสมควร

แต่เมื่อถึงเวลาที่เขาคนนั้นใกล้จะมาเข้าจริงๆ ผมกลับรู้สึกกังวลและวุ่นวายใจอย่างบอกไม่ถูก ผมอยากเจอเขา แต่ผมก็กลัวว่าผมจะรับเขาไม่ได้ ผมรักพี่ชายของผมมาก และผมก็ไม่อยากจะยอมรับความเป็นจริงว่าคนๆนั้นคือคนที่เกิดมาเพื่อคู่กับเขา

วันแรกที่ผมได้เจอกับศิลานั้นเปิดตัวไม่ค่อยจะสวยนัก เพราะผมพบเขาสองคนกำลังนอนอยู่บนเตียงเดียวกัน ถึงแม้ผมจะเห็นมันแค่ไม่กี่วินาทีและค่อนข้างมั่นใจว่าเขาไม่ได้มีอะไรกัน แต่ผมก็รู้สึกว่าหัวใจของผมมันเต้นไม่เป็นจังหวะไปแล้ว.........

แต่เมื่อผมได้มานอนอยู่บ้านเดียวกับเขาสองคนเพื่อที่จะเตรียมตัวสำหรับการเดินทางไปแกรนด์ แคนยอน ผมก็ได้รู้จักนิสัยของศิลามากขึ้น ให้ตายสิ! ผมต้องยอมรับเลยว่าเขาเป็นคนดีมาก และเราสองคนก็เข้ากันได้ดีมากจริงๆ นอกจากหน้าตาของเขาแล้ว เขายังมีบุคลิกที่โดดเด่นอีกด้วย เขาเป็นคนร่าเริงและยิ้มเก่ง เขารักสนุกและเข้ากับคนอื่นได้ง่าย นอกจากนั้นเขายังเป็นคนที่มีมารยาทดีและเป็นคนที่เห็นอกเห็นใจคนอื่นมากอีกด้วย เขากับผมมีอะไรคล้ายกันหลายอย่างจริงๆ ทั้งเรื่องของความสนใจและเสียงหัวเราะ รวมถึงรอยยิ้มและทัศนคติ

ถึงแม้มันจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆเพียงไม่กี่วัน แต่ผมก็คิดว่าผมรู้จักนิสัยของเขาได้ค่อนข้างดีทีเดียว นั่นก็เพราะเขาเป็นคนที่เปิดเผยมาก และมันยังช่วยทำให้ผมทำใจในเรื่องของซันได้ดีขึ้นอีกด้วย

และสุดท้ายก็ถึงวันที่เขาต้องเปิดเผยความจริงออกมา ความจริงที่ผมเคยกลัวและเฝ้านึกถึงมาตลอด นั่นก็คือการที่เขาสองคนนั้นเคยมีอะไรกันไปแล้ว....... แต่ว่าผมก็ไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้นมากนักอย่างที่ผมเคยกลัว อาจจะเป็นเพราะผมก็เติบโตมากับสังคมที่เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่ค่อนข้างธรรมดาจริงๆ ถึงแม้ผมจะอดคิดไม่ได้ว่ามันจะรู้สึกยังไงนะถ้าคนๆนั้นไม่ใช่ศิลาแต่เป็นผม........ แย่แล้ว นี่ผมชักจะเพ้อเจ้อเกินไปซะแล้วสิ!

ถึงอย่างไรก็ตาม ผมก็รู้สึกเข้ากับเขาทั้งสองคนได้ดีมาก เวลาที่เขาอยู่ด้วยกัน ผมไม่รู้สึกถึงช่องว่างที่ทำให้ผมเป็นส่วนเกินเลย ศิลาปฏิบัติกับผมดีมากจริงๆ แต่บางครั้งผมก็อดคิดไม่ได้ว่าอาจจะเป็นเพราะซันยังไม่ได้บอกเขาในเรื่องของเราสองคนตอนก่อนที่เขาจะมาที่อังกฤษนั่นเอง และถ้าวันนั้นมาถึงเมื่อไหร่ ผมก็ไม่รู้ว่าเขาจะยังคงปฏิบัติกับผมได้ดีอย่างนี้อีกหรือเปล่า แต่ผมก็มีความมั่นใจในตัวเองว่าผมจะไม่ทำให้ซันต้องเดือนร้อนอย่างแน่นอน ไม่ใช่แค่เพื่อตัวของซัน แต่ยังเพื่อความสัมพันธ์ของผมกับศิลาอีกด้วย เพราะเขาก็เป็นเหมือนกับพี่ชายคนหนึ่งของผมไปแล้วเช่นกัน และเชื่อผมเถอะ ผมไม่เคยคิดอยากจะทำให้พวกเขาแตกแยกกัน ทะเลาะกัน หรือมีปัญหากันเลยจริงๆ............ นอกเสียจากผมอดที่จะมีข้อสงสัยบางอย่างในตัวของศิลาบ้างไม่ได้เท่านั้นเอง

และในที่สุดวันที่เราได้คุยกันเรื่องนี้ก็มาถึง........ เมื่อเรามาถึงแกรนด์ แคนยอนและได้อยู่กันตามลำพังอีกครั้ง แต่ทว่าครั้งนี้ต่างจากเมื่อครั้งที่ผมได้เล่นบาสกับเขาสองคนที่อังกฤษมาก เนื่องจากผมรู้สึกได้เลยว่าบรรยากาศของคนทั้งสองคนนั้นแปลกไปขณะที่เรากำลังขับรถมายังที่นี่กัน ผมรู้สึกว่าศิลามีเรื่องไม่ค่อยจะพอใจเท่าใดนัก และนั่นก็คงเป็นไปได้อยู่เพียงเรื่องเดียวเท่านั้น นั่นก็คือเรื่องของผมกับซันนั่นเอง........ แต่ทว่าผมไม่อยากจะเชื่อเลย ศิลาเป็นคนที่ดีมากเกินกว่าที่ผมคิดเอาไว้เสียอีก เขาไม่ได้ทำตัวแปลกหรือแสดงความไม่พอใจกับผมเลยแม้แต่นิดเดียว ตรงกันข้าม เขายังคงปฏิบัติกับผมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และไม่ใช่แค่ท่าทางภายนอกเท่านั้นด้วย ผมรู้สึกได้เลยว่าเขายังคงรู้สึกเช่นเดิมกับผมมาจากข้างในจริงๆ ส่วนระหว่างเขากับซัน เขาก็รับมือมันได้ดีมากๆเช่นกัน ผมไม่เห็นเขาทำท่าไม่พอใจหรือมีปากเสียงกับซันเลย นอกจากที่เขาดูมีท่าทางลำบากใจและเหมือนกับอยู่ในวังวนความคิดของตัวเองไปช่วงหนึ่งตอนอยู่บนรถเท่านั้นเอง......... ให้ตายสิ! ผมชื่นชมในตัวของผู้ชายคนนี้จริงๆด้วย ผมไม่สงสัยเลยว่าทำไมซันถึงได้รักเขานัก และมันก็ช่วยสอนให้ผมได้รู้ด้วยว่าความรักที่แท้จริงนั้นมันควรจะเป็นอย่างไร

ผมกับเขายืนอยู่กันสองคนบนริมผาของจุดชมวิวแห่งหนึ่ง....... เอาล่ะ.......จริงๆแล้วมันก็ไม่ใช่แค่เราสองคนเท่านั้นหรอก แต่ในช่วงเวลานั้นทั้งผมและเขาต่างก็คงรู้สึกว่ามีเพียงเราสองคนเท่านั้นในสถานที่แห่งนั้นไปแล้ว ลมที่โหมพัดแรงกระหน่ำเป็นเหมือนดั่งสัญญาณเตือนผมว่า ผมไม่ควรที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความรักของเขาสองคนนี้....... ความรักของท้องฟ้าและก้อนเมฆที่ไม่ใช่เรื่องของคนนอกอย่างผมจะเข้าไปแทรกแซงได้

ถ้าเขาคือก้อนเมฆ ซันคือท้องฟ้า ผมก็คือสายน้ำ......... ผมคงไม่สามารถที่จะเอื้อมมือไปสัมผัสเขาสองคนได้เลย

แต่ผมก็ไม่หยุด ผมไม่คิดจะหยุดจนกว่าผมจะได้คำตอบที่ผมพอใจมากที่สุด ผมไม่ได้มีเจตนาที่จะทำร้ายพวกเขาหรือทำให้เขาต้องไม่สบายใจเลยจริงๆ แต่เขาล่ะ จะเข้าใจความรู้สึกของเด็กคนหนึ่งคนนี้บ้างไหม ความรู้สึกของคนที่รู้ทั้งรู้ว่าต้องผิดหวังและเสียใจแต่ก็เฝ้าต่อสู้และยืดหยัดในความรัก....... ยืนหยัดในสิ่งที่ตัวเองเชื่อมาตลอด

“ทำไมพี่ถึงมาที่อังกฤษ ทำไมต้องมาเรียนต่อที่นั่น และทำไมถึงต้องมาอาศัยอยู่ที่บ้านของซันด้วย” ผมถามเขาออกไปด้วยความรู้สึกที่เต็มเปี่ยม แน่นอนว่าผมรู้คำตอบอยู่แล้ว ซันเคยบอกผมหลายต่อหลายครั้งแล้ว และผมก็พอจะรู้ด้วยว่าเขาจะตอบกลับมาว่ายังไง แต่ผมก็อยากจะได้ยินออกมาจากปากของเขาเองมากกว่า....... นี่เป็นทั้งคำถามและการเดิมพันครั้งสุดท้ายของผม

แต่ก็ผิดคาด ศิลามีท่าทีที่ยอมแพ้และเหนื่อยอ่อนออกมาอย่างเห็นได้ชัด มันเกือบจะคล้ายๆกับเมื่อตอนที่ผมเคยเห็นซันตอนที่เขาย้ายมาที่อังกฤษใหม่ๆเลยทีเดียว

“ถ้าไคล์คิดว่าการที่พี่มาที่นี่ก็เพียงเพื่อมาหาไอ้ซันล่ะก็ มันก็เป็นความจริง พี่ไม่ปฏิเสธและโกหกหรอก” เขาตอบออกมาและมันก็ทำให้ผมถึงกับประหลาดใจมาก ผมไม่ได้คาดหวังเอาไว้ว่าเขาจะตอบออกมาแบบนี้เลย และมันเกือบที่จะทำให้ผมจะรู้สึกผิดหวังในตัวของเขาไปเสียแล้ว แต่สุดท้ายเขาก็เริ่มอธิบายออกมา “พี่มาเรียนที่อังกฤษก็เพราะว่าพี่มาได้น่ะ พ่อของพี่ก็สนับสนุนให้มาเพราะว่าญาติของพี่ก็เคยมาเรียนที่นั่น แล้วพอเขารู้ เขาก็ยิ่งเห็นดีเห็นชอบด้วยใหญ่ ถ้าเรื่องที่พัก บอกตรงๆตอนแรกพี่ก็ไม่ได้คิดจะพักที่บ้านของไอ้ซันหรอก แค่นี้พี่ก็รู้สึกเกรงใจครอบครัวของมันจะแย่อยู่แล้ว แต่พอพ่อกับแม่ของซันรู้ พวกท่านก็คุยกับพ่อของพี่แล้วก็ตัดสินใจกันว่าให้มาพักอยู่ด้วยกันน่าจะดีที่สุด”

ใช่แล้ว....... นั่นแหละ คือสิ่งที่ผมต้องการ ผมต้องการจะได้ยินมันออกมาจากปากของเขาด้วยตัวเอง ทั้งความจริงในเรื่องอื่นๆและข้อเท็จจริงที่ว่าเขามาหาซันเพราะความรักด้วย ไม่ใช่แค่เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือที่แย่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือการที่เขาโกหกสร้างเรื่องขึ้นมาเพื่อให้มันฟังดูดีเกินจริง......... แต่สุดท้ายเขาก็พูดทุกสิ่งทุกอย่างออกมา เขาเป็นคนที่เด็ดเดี่ยวและมั่นคงต่อตัวเองมากจริงๆ

เขาบอกผมว่า ซันบอกเขาว่าผมกับเขาไม่เคยคบกันเกินเลยไปกว่าคำว่าพี่น้องเลย แต่ผมกลับบอกเขาออกไปก่อนหน้านี้แล้วว่าผมกับซันเคยคบกัน........ ผมเผลอทำพลาดออกไปอย่างใหญ่หลวงซะแล้ว แต่ที่น่าเสียใจมากกว่านั้นนั่นก็คือ สิ่งที่ซันพูดและสิ่งที่ศิลาเข้าใจนั้นมันคือความจริง เรื่องทั้งหมดมันก็เป็นเพียงความฝันลมๆแล้งๆของผมว่าการที่ซันไม่ได้ปฏิเสธความรักที่ผมมีให้เขานั้นจะทำให้เขาลืมคนๆนี้ไปได้และหันมามองผมในฐานะอื่นนอกจากน้องชายบ้างสักเล็กน้อย........ แต่สุดท้ายแล้วมันก็แค่ความหวังที่ไม่เคยและไม่มีวันเป็นจริงได้ของผมเท่านั้นเอง

ผมบอกความจริงกับเขาไป บอกให้เขาเชื่อในสิ่งที่ซันพูด และหวังว่าผมจะไม่เป็นตัวการที่ทำให้เขาสองคนต้องมีปัญหากันเพราะความงี่เง่าในครั้งนี้ของผม ความงี่เง่าและความรักโง่ๆของเด็กคนหนึ่งเท่านั้นเอง........... ผมเริ่มต้นเล่าเรื่องของผมกับซันให้เขาฟัง เล่าถึงความรักที่ไม่มีวันสมหวังนี้ออกไป และในที่สุดผมก็เข้าใจความรู้สึกของซันในวันที่เขาเล่าเรื่องของเขากับศิลาให้ผมฟังแล้วว่ามันเป็นอย่างไร ความรู้สึกของการที่ได้ระบายความในใจที่ไม่เคยบอกใครออกไป และสุดท้ายก็ต้องเสียน้ำตาเมื่อเล่าเรื่องทั้งหมดจบลง และน่าแปลก ที่แม้แต่ผมเองยังอดรู้สึกดีและรู้สึกอบอุ่นเมื่อได้พูดคุยกับศิลาอีกด้วย เขาคนนี้ช่างเป็นคนที่อบอุ่น เต็มไปด้วยความรักที่พร้อมจะมอบมันให้แก่คนรอบข้างอยู่ตลอดเวลาจริงๆ.......

“ไคล์ยังรักซันอยู่ใช่มั๊ย” เขาถามผมหลังจากที่เราจบการสนทนาทั้งหมดลงแล้ว และนั่นก็เป็นคำถามเดียวกับที่ผมเฝ้าถามตัวเองมาตลอดเช่นกัน แต่มันต่างกันนิดหน่อยตรงสิ่งที่ผมคิดอยู่ตลอดนั้นจะเน้นไปที่ว่า ‘ผมจะยังรักเขาแบบนี้ไปอีกนานเท่าไหร่’ ต่างหาก แต่ผมรู้ว่าความรักของผมที่มีให้ซันนั้นมันเริ่มจะเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ผมไม่คิดที่จะยึดติดอยู่กับเขาคนเดียวอีกต่อไป แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่สามารถโกหกตัวเองได้ และผมก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมจะต้องโกหกเขาด้วยเช่นกัน เพราะผมเชื่อว่าถึงยังไงก็ไม่มีอะไรจะมาทำลายความรักที่เขาสองคนนั้นมีให้แก่กันได้อยู่แล้ว.......

ผมหันไปยิ้มให้กับเขาและตอบออกไปอย่างที่ผมคิด “แล้วมันยังไม่ชัดเจนอีกหรือ...........”

และสุดท้ายหลังจากที่เราสองคนลงจากรถชัตเติ้ลบัสเพื่อกลับไปยังห้องพัก ผมก็ขอแยกกับเขาที่ป้ายหยุดรถเพราะผมไม่อยาก และยังไม่พร้อมที่จะไปอยู่พวกเขาทั้งสองคนในเวลานี้ได้ ผมอยากจะอยู่คนเดียวเพื่อคิดถึงเรื่องอะไรบางอย่างบ้าง และผมก็เชื่อว่าศิลาเองก็คงต้องการสิ่งนี้เช่นเดียวกัน

ผมเดินไปยังร้านขายของที่ระลึกที่อยู่ติดกับคาเฟทีเรีย ขณะที่ผมกำลังเดินเลือกซื้อของอยู่นั้นผมก็อดคิดถึงประโยคที่ศิลาบอกกับผมหลังจากที่ผมถามเขาว่ามันสำคัญมั๊ยที่เขาจะต้องรับรู้อดีตทุกอย่างของคนที่เขารักไม่ได้.........

“ตราบเท่าที่เขาไม่ได้โกหกอดีตของตัวเองเพื่อทำให้ตัวเองต้องสบายใจและทำให้คนที่รักเขาต้องเจ็บปวดและทรมานกับความหลอกลวง มันอาจจะฟังดูน่าฟังน่าเชื่อถือแต่จริงๆแล้วมันคือพิษร้ายที่ทำลายความเชื่อใจของคนสองคนนะ”

ให้ตายสิ! เขาช่างเป็นผู้ใหญ่และมีความคิดที่ลึกซึ้งจริงๆ ถึงแม้มันจะเป็นความจริงง่ายๆที่ใครๆต่างก็น่าจะรู้ แต่เมื่อเขาพูดมันออกมา มันก็อดไม่ได้ที่จะทำให้ผมต้องรู้สึกอึ้งและทำให้ผมได้ใคร่ครวญกลับมาถึงตัวของผมเองอีกครั้งเช่นกัน........

และระหว่างที่ผมกำลังเดินดูเสื้อยืดที่เป็นของที่ระลึกอยู่นั้น ผมก็เดินไปชนเข้ากับคนๆหนึ่ง และคนๆนั้นก็คือเด็กหนุ่มที่ชื่อพีทที่เราเพิ่งรู้จักกันที่ร้านอาหารเมื่อไม่กี่ชั่วโมงมานี้เอง แต่ทว่าครั้งนี้เขาใส่ชุดไปรเวทและดูดีมากจนทำให้ผมเกือบจะจำเขาไม่ได้ทีเดียว


ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page

ครั้งแรกที่ผมเจอเขาที่ร้านอาหารนั้นเขากำลังทำงานอยู่ และเมื่อเขามานั่งพูดคุยกับพวกเรา ผมก็รู้สึกว่าเขาคนนี้มีอะไรบางอย่างที่แตกต่างไปจากวัยรุ่นคนอื่นๆอย่างเห็นได้ชัด เขาดูเป็นคนพูดน้อย ยิ้มน้อย และที่สำคัญ เขาดูเป็นคนขี้อายมากๆต่างจากคนหลายคนในวัยนี้ที่ผมเคยเจอมาทีเดียว....... ผมก็ไม่รู้นักหรอกว่าคนนิสัยแบบเขาคนนี้ที่ประเทศไทยจะเรียกว่าแปลกรึเปล่า แต่ว่าสำหรับในสังคมเพื่อนๆของผมแล้วต้องบอกเลยว่ามันค่อนข้างจะแตกต่างมากทีเดียว และที่สำคัญ เมื่อดูจากหน้าตาภายนอกแล้ว เขาดูมีอายุน้อยยิ่งกว่าผมเสียอีก ผมจึงตกใจมากเมื่อรู้ว่าเขาคนนี้นั้นอายุพอๆกับซันและศิลาเลย

“อ้าว..... พีทใช่มั๊ยครับ” ผมถามเขาเป็นภาษาไทย และเขาแค่พยักหน้าตอบผมแล้วก็ยิ้มกลับมาเท่านั้น เมื่อผมเห็นรอยยิ้มของเขานั้นมันทำให้ผมรู้สึกปั่นป่วนข้างในเล็กน้อย...... มันเหมือนกับรอยยิ้มที่ศิลาเพิ่งยิ้มให้ผมตอนที่เราคุยกันเมื่อครู่เลย รอยยิ้มเศร้าๆของคนที่เหนื่อยอ่อน แต่ผมไม่เข้าใจว่าเขากำลังเหนื่อยกับอะไรอยู่กันแน่ ผมไม่เข้าใจว่าเขากำลังมีเรื่องไม่สบายใจอยู่อย่างนั้นหรือ

“เป็นอะไรรึเปล่าครับ มีเรื่องไม่สบายใจอะไรรึเปล่า” ผมถามเขา

เขามีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยก่อนตอบออกมา “เปล่านี่ครับ”

“อ้าวเหรอครับ ขอโทษที คือ ผมเห็นเมื่อกี๊คุณยิ้มแบบเศร้าๆเหมือนมีเรื่องเครียดหรือกำลังคิดมากอะไรอยู่น่ะครับ ก็เลยลองถามดู” ผมบอกเขา

เขาก้มหน้าลงเล็กน้อยก่อนจะส่ายหัว “คือ..... ปกติผมก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้วน่ะครับ ผมยิ้มไม่ค่อยเก่ง ยิ้มไม่ค่อยสวยนักหรอก.......”

“พูดอะไรแบบนั้นครับ” ผมบอกเขา แล้วก็เดินไปตบบ่าเขาเบาๆ “ยิ้มๆไว้น่ะดีแล้วครับ อะไรๆมันก็ดีขึ้นได้เพราะรอยยิ้มนะครับ” ผมส่งยิ้มกว้างให้กับเขา เขาหันมามองผมด้วยสีหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ผมเพิ่งพูดไป แต่ต่อจากนั้นเขาก็ยิ้มให้กับผมเช่นกัน

“ขอบคุณครับ แต่ถ้าผมยิ้มได้เก่งแบบคุณก็คงจะดีนะ” เขาพูด

ผมมองหน้าเขาแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ ผมไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ผู้ชายคนนี้พูดและเป็นเลย เขาดูน่ารักมาก ถึงผมจะรู้ว่าเขาอายุมากกว่าผมก็เถอะ แต่ผมก็อดรู้สึกแบบนั้นไม่ได้จริงๆ

“ยิ้มแบบผมมากๆคนเขาก็หาว่าผมบ้าครับ อย่าเลย ไม่ดีหรอก” ผมหัวเราะ

เราสองคนคุยกันอีกนิดหน่อยทั้งเรื่องสินค้า เรื่องการทำงานของเขา และเรื่องเที่ยวในแกรนด์ แคนยอนขณะที่เดินดูของที่ระลึกด้วยกันไปด้วย นอกเหนือจากการที่ผมเป็นคนเข้ากับคนอื่นได้ง่ายแล้ว ผมยังรู้สึกอีกด้วยว่าคนๆนี้มีอะไรบางอย่างที่แตกต่างออกไปจากคนอื่นๆ เขาดูเป็นคนเงียบๆแต่ว่าภายในนั้นผมรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่ร่าเริงและชอบการหัวเราะไปไม่น้อยกว่าผมเลย เขาเป็นคนที่พูดจาตรงไปตรงมาและสุภาพมากๆ ผมรู้สึกถูกชะตากับเขามากจริงๆ และอะไรบางอย่างบอกกับผมว่าผมควรจะใช้เวลากับเขาให้มากกว่านี้เพื่อที่จะได้รู้จักตัวตนของเขามากขึ้น เพราะในเมื่อผมรู้แล้วว่าจริงๆลึกๆแล้วเขาน่าจะเป็นคนยังไง ผมก็อยากจะพิสูจน์ อยากจะเห็นและรู้สึกได้ด้วยตาและจิตใจของผมเองจริงๆว่าผมคิดไม่ผิด นอกเหนือไปจากนั้น ผมเองก็รู้สึกว่าเขาเองก็รู้สึกสบายใจและเข้ากันกับผมได้ดีด้วยเช่นกัน ดังนั้นผมจึงตัดสินใจชวนเขากลับไปที่ห้องของเราพร้อมๆกับผมด้วย

ขณะที่เราสี่คนนั่งคุยกันอยู่ในห้องนั้น ซันก็ทำเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิดขึ้น นั่นก็คือก็เขาชะโงกหน้าเข้าไปหอมแก้มศิลาต่อหน้าพวกเราทุกคน ศิลาเองก็ดูมีท่าทีตกใจและไม่พอใจเขาอยู่ไม่น้อยเช่นกัน เขายังหันมามองผมและถามผมด้วยความเป็นห่วงด้วย แต่ซันนี่สิ ผมคิดว่าเขาคงรู้เรื่องที่ผมกับศิลาคุยกันแล้ว แต่เขาก็กลับทำแบบนั้นต่อหน้าผมได้หลังจากที่เรื่องนั้นมันเพิ่งผ่านมาเมื่อไม่กี่นาทีนี้เองนี่น่ะหรือ ตอนแรกผมรู้สึกน้อยใจและเสียใจมากที่ซันดูไม่แคร์ผมเลย แต่เมื่อผมคิดไกลออกไปอีกนิดหน่อย ผมก็รู้ว่านี่แหละ คือสิ่งที่ซันทำเพื่อผมจริงๆ เพราะอีกสี่วันที่ผมต้องอยู่กับเขาสองคน เราทุกคนต่างก็คงต้องอึดอัดแน่ถ้าต้องนอนด้วยกันและใช้เวลาแทบจะทุกๆชั่วโมงอยู่ด้วยกันอย่างเกรงใจและไม่เป็นตัวของตัวเอง ซันเองคงไม่ต้องการให้ผมรู้สึกเป็นส่วนเกินจึงได้ทำแบบนั้นลงไป และผมรู้........ ว่านั่นคือการแสดงออกถึงความอ่อนโยนและความรักในแบบของซันนั่นเอง

เมื่อผมคิดได้ดังนั้นแล้วความคิดถัดมาที่วิ่งเข้ามาในหัวของผมนั่นก็คือพีทที่นั่งอยู่คนเดียวและไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย ผมเห็นสีหน้าประหลาดใจของเขาและคิดว่าเขาคนนี้จะชอบผู้ชายด้วยหรือเปล่านะ ผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่ผมกลับมีความรู้สึกว่ามันคงจะดีไม่น้อยเลยถ้าเขาคนนี้เองก็ชอบผู้ชายเช่นเดียวกัน และหน้าตาตกใจที่เขามองซันกับศิลาตอนนั้นก็ดูน่ารักมากๆเลยด้วย

หลังจากที่เราวางแผนเรื่องเที่ยวกันเรียบร้อยแล้ว ผมก็ขอที่จะแยกไปกับพีทสองคนและปล่อยให้ซันกับศิลาได้อยู่กันตามลำพัง แน่นอนไม่ใช่แค่เพื่อพวกเขาหรอก แต่เพราะผมเองก็อยากจะพิสูจน์ความรู้สึกบางอย่างที่ผมมีต่อเขาคนนี้ด้วยเช่นกัน

ผมถามตัวเองว่าผมคิดยังไงกับเขากันแน่ และคำตอบที่ได้ก็คือผมมีความรู้สึกสบายใจที่ได้อยู่กับเขา เขาเป็นคนสุภาพและนิสัยดี นอกจากนั้นสำหรับผมที่เป็นคนค่อนข้างจะพูดเก่งและกระตือรือร้นอยู่แทบตลอดเวลา การได้อยู่กับเขามันทำให้ผมรู้สึกสบายใจขึ้น สงบมากขึ้น และเขายังเป็นผู้ฟังที่ดีมากอีกด้วย

เราสองคนตัดสินใจจะลงรถกันที่ป้ายเฮอร์มิทเพื่อชมวิวข้างทางกันก่อน และเพื่อไปดูตารางการเดินรถด้วยว่ารถเที่ยวที่จะออกไปดูพระอาทิตย์ตกนั้นออกตอนเที่ยวสุดท้ายกี่โมง เขาพาผมเดินไปตามทางเรื่อยๆและยังพาเดินลงไปดูเส้นทางที่ใช้สำหรับการไฮค์อีกนิดหน่อยด้วย พีทบอกข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องเส้นทางที่เราจะเดินลงไปข้างล่างให้ผมฟังแล้วผมก็อดทึ่งไม่ได้จริงๆ  เห็นทีผมต้องคุยกับอีกสองคนที่เหลือเพื่อความแน่ใจอีกทีซะแล้วสิว่ายังมั่นใจที่จะไปไฮค์กันแน่อยู่หรือเปล่า

หลังจากเดินเล่นอยู่บนทางที่ใช้ไฮค์ได้สักประมาณสิบนาที เราสองคนก็เดินกลับขึ้นมาและเดินต่อไปยังแมสวิค คาเฟทีเรีย เราเดินผ่านป้ายรถเฮอร์มิท ข้ามทางรถไฟ และเดินผ่านเคบินขอพีทด้วย ขณะที่เราอยู่ด้วยกัน เขากับผมคุยกันหลายเรื่องมากและเขายังแสดงถึงความอ่อนโยนข้างในตัวออกมาให้ผมเห็นอีกหลายต่อหลายครั้งด้วย ไม่ว่าจะตอนที่ผมเดินไปอยู่ที่ริมหน้าผาแล้วเขาเดินมาจับบ่าเอาไว้เพราะกลัวว่าผมจะตกลงไป ตลอดเวลาที่ผมเดินตอนขึ้นและลงเขา เขาก็จะคอยเดินตามหลังผมอยู่ตลอดเพื่อคอยระวังไว้ให้ และอีกหลายๆอย่างที่เขาแสดงออกมาโดยที่เขาไม่จำเป็นต้องพูดด้วยคำพูด ทำให้ผมรู้สึกว่าภายใต้ความขี้อายและบุคลิกที่ดูอ่อนแอภายนอกของเขาที่ผมเห็นนั้น ข้างในกลับเต็มไปด้วยความเข้มแข็ง จิตใจที่ดี ความฉลาดเฉลียว และสามารถพึ่งพาได้มากทีเดียว ไม่ใช่ว่าเขามีร่างกายที่อ่อนแอหรือบอบบางหรอก เขาเองก็มีหุ่นแบบนักกีฬาเช่นกัน เพียงแต่เขาค่อนข้างจะตัวเล็กกว่าพวกเราสามคนนิดหน่อยเท่านั้นเอง แต่เพราะความที่เขาเป็นคนไม่ค่อยพูด ยิ้มน้อย ขี้อาย และดูเป็นคนที่จะมีความเหงาความเศร้าลึกๆอยู่ตลอดเวลานั้นมันจึงทำให้เขาดูเป็นคนที่ต้องการคนดูแลและคอยปกป้อง ดูราวกับเขาต้องการที่พึ่งอยู่ตลอดเวลา แต่ว่าตอนนี้ผมรู้แล้วว่าที่จริงเผลอๆเขาคนนี้นั้นอาจจะเข้มแข็งกว่าผมเสียอีกด้วยซ้ำ

ขณะที่เรากำลังนั่งกันอยู่ในคาเฟทีเรียพร้อมขนมเค้กและผลไม้อีกนิดหน่อย ผมกับเขาต่างก็คุยกันถึงเรื่องการเรียนในมัธยมปลายของเราสองคน ผมมีความสนใจในเรื่องชีวิตการเรียนของเด็กไทยมากจริงๆ เพราะผมคิดว่ามันค่อนข้างจะต่างไปจากชีวิตของผมเยอะทีเดียว

“ตอนเรียนไฮสคูล คุณเคยเป็นนักกีฬาอะไรรึเปล่าครับ” ผมถามเขา

“ผมเคยเล่นบาสอยู่บ้างน่ะครับ” เขาตอบ

“ผมว่าแล้วเชียว” ผมหัวเราะ “เพราะผมว่าพีทมีหุ่นแบบนักกีฬาอยู่เหมือนกันนะ และผมเองก็เล่นบาสเหมือนกัน”

เขายิ้มอายๆแล้วก็พยักหน้า “แต่ว่าผมอยู่ชมรมบาสได้แค่ปีเดียวครับ เพราะว่าผมย้ายโรงเรียนมากลางคัน ส่วนมากผมจะออกกำลังที่ฟิตเนสของคอนโดมากกว่า”

“หมายความว่ายังไงครับ ผมไม่เข้าใจ ที่ว่าอยู่ชมรมบาสแค่ปีเดียว” ผมถาม

“อ๋อ คือ ตอนที่ผมเรียนอยู่เกรดสิบเอ็ด ผมลาออกจากโรงเรียนเดิมตอนกลางเทอมไปโรงเรียนใหม่น่ะครับ แล้วผมก็เลยอยู่ชมรมบาสได้แค่ตอนอยู่เกรดสิบสองที่โรงเรียนใหม่แค่ปีเดียว” เขาอธิบาย

“อ้าว ทำไมย้ายโรงเรียนล่ะครับ.... ย้ายกลางเทอมแบบนั้นคงเหงาแย่” ผมถาม

ทันใดนั้นแววตาของเขาก็ฉายแววความเศร้าออกมาอีกครั้งทันที เขาก้มหน้าหลบผมคงเพื่อพยายามที่จะซ่อนความรู้สึกนั้นเอาไว้ ผมเริ่มรู้สึกแย่กับตัวเองมากๆ ผมไม่รู้หรอกว่าผมถามอะไรไม่ดีหรือทำอะไรผิดไปตรงไหน แต่ผมรู้สึกว่าผมไม่อยากจะเป็นต้นเหตุที่ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเลยจริงๆ

“ผมขอโทษนะครับ พีท” ผมบอกเขาหลังจากเราเงียบกันไปพักหนึ่ง

เขาสบตากับผมอีกครั้งและส่งยิ้มให้ผม....... ผมไม่อยากจะเชื่อความรู้สึกของตัวเองตอนนี้เลย รอยยิ้มนั่นของเขา ความรู้สึกทั้งหมดที่ผมรู้สึกได้จากตัวของเขา ความรู้สึกเหงา เศร้า และความอ่อนแอของเขาเหล่านั้น มันทำให้ผมรู้สึกว่าผมอยากจะอยู่กับเขา อยากจะเป็นเพื่อนของเขา อยากจะสามารถทำให้เขายิ้มได้ ทำให้เขาหัวเราะ และผมอยากจะเป็นคนที่คอยปกป้องเขา ถึงผมจะไม่รู้ว่าเขาเคยผ่านอะไรมาหรือทำไมเขาถึงเป็นแบบนี้ ที่จริงเขาอาจจะไม่ได้เป็นอะไรก็ได้ ผมอาจจะคิดบ้าๆไปเอง แต่ผมก็อยากจะทำให้เขาสว่างสดใสขึ้น อยากจะเป็นส่วนหนึ่งในความสุขของเขา และอยากจะทำให้เขานั้นหัวเราะและรู้สึกมีความสุขได้เมื่อมาอยู่ใกล้ๆกับผมด้วย

“จริงๆแล้วผมไม่ได้ชื่อพีทหรอกครับ” เขาพูดขึ้น

“อ้าว” ผมอุทานออกมาด้วยความแปลกใจ

“ครับ........ มันเป็นชื่อที่ผมเพิ่งเปลี่ยนตอนทำป้ายชื่อน่ะครับ เพราะพนักงานทุกคนต้องติดป้ายชื่อเอาไว้ตลอด........ และชื่อจริงๆของผมชื่อว่าพีครับ ผมรู้ว่ามันฟังดูไม่ดี ก็เลยเปลี่ยนนิดหน่อยเพื่อไม่ให้ฝรั่งเขาขำกัน...... แบบที่ไคล์กำลังหัวเราะอยู่นี่ไง”

ผมหยุดหัวเราะแล้วมองหน้าเขา “ขอโทษครับ ขอโทษจริงๆ ผมไม่ได้ตั้งใจจะขำชื่อของพีทหรอกนะ แต่ผมชอบที่พีทเข้าใจเปลี่ยนชื่อของตัวเองต่างหาก จากพีเป็นพีท เพราะถ้าภาษาไทยมันดูต่างกันไม่มาก แต่สำหรับภาษาอังกฤษแล้ว มันต่างกันเยอะอยู่ทีเดียว”

เขาหัวเราะเบาๆแล้วก็ส่ายหน้า “ไม่เป็นไรครับ ผมรู้ว่ามันก็คงตลกจริงๆ”

“แล้วทำไมถึงบอกผมล่ะครับ เพราะชื่อพีทก็ดีอยู่แล้วนี่นา หรือว่าอยากจะให้ผมเรียกว่าพีมากกว่า เพราะมันเป็นชื่อจริงๆของคุณ” ผมถาม

“เปล่าหรอกครับ ไคล์จะเรียกผมยังไงก็ได้ แต่ว่า....... ผมแค่อยากให้ไคล์รู้เรื่องจริงๆของผมทุกเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องโกหกน่ะครับ แม้จะเป็นแค่ชื่อก็ตาม........” เขาหลบสายตาผมแล้วก้มหน้าเล็กน้อย

ผมเองก็รู้สึกแปลกใจที่เขาพูดแบบนั้นเหมือนกัน เพราะมันเหมือนกับว่าเขายอมรับผมมากขึ้นอีกในระดับหนึ่งแล้ว และถ้าเป็นไปได้...... ผมก็อยากจะให้เขายอมรับผมทั้งหมดเลยจริงๆ

“ผมขอเรียกว่าพีทดีกว่าครับ......... ว่าแต่แล้วจะบอกศิลากับซันเรื่องนี้ด้วยรึเปล่า” ผมถามเขา

เขาทำท่าคิดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าออกมาช้าๆ

“นั่นแหละเรื่องสำคัญครับ....... คือจริงๆแล้ว ผมเคยอยู่โรงเรียนเดียวกับทั้งสองคนนั้นด้วย คือ โรงเรียนใหม่ของผมนั่นแหละครับ”

“อ้าว จริงเหรอครับเนี่ย”

“ครับ”

“แล้วพีทรู้จักสองคนนั้นอยู่แล้วรึเปล่า” ผมถามอย่างกระตือรือร้น “เอ๊ะ แต่ดูท่าทางแล้วเหมือนสองคนนั้นจะไม่รู้จักพีทนี่ครับ อ้าว เดี๋ยวก่อนนะ แต่ว่าถ้าทั้งสามคนไม่ได้รู้จักกันมาก่อน แล้วทำไมพีทถึงรู้ล่ะว่าเคยอยู่โรงเรียนเดียวกันกับพวกเขา หรือว่าจำหน้าพวกเขาได้”

“ใช่ครับ คือ ผมเคยอยู่โรงเรียนเดียวกับพวกเขาก็จริง แต่ว่าผมเข้าไปเรียนแค่ครึ่งเทอมพวกเขาก็เรียนจบกันไปแล้วครับ และที่ผมจำพวกเขาได้ก็เพราะผมเคยอยู่ชมรมบาสเดียวกับพี่เมฆ คือจริงๆแล้วผมเข้าชมรมไปตอนเขาออกไปแล้วน่ะนะครับ แต่ว่าอาจารย์ที่ประจำชมรมเขาก็สนิทกับพี่เมฆแล้วก็ชอบเล่าเรื่องของพี่เขาให้ผมฟัง และผมเองก็เคยเจอเขาด้วย แต่ก็ไม่กี่ครั้งน่ะครับ เขาสองคนคงจำผมไม่ได้หรอก” เขาอธิบาย

“อืมมมม ไหนๆพีทก็พูดเรื่องชื่อของตัวเองออกมาแล้ว งั้นผมก็บอกเรื่องของผมบ้างดีกว่า” ผมยิ้มกว้าง แต่พีทมีสีหน้าแปลกใจ ผมจึงเริ่มพูดต่อ “ไม่ใช่ว่าไคล์ไม่ใช่ชื่อจริงของผมหรอกครับ อย่าเพิ่งทำหน้าแบบนั้น แต่ว่าผมขอถามอะไรหน่อยสิ พีทรู้เปล่าว่าชื่อศิลากับฟ้าครามแปลว่าอะไรน่ะ”

เขาพยักหน้างงๆ แต่ก็ดูจะเข้าใจความหมายที่ผมพูด “ครับ ถ้าหมายถึงเรื่องชื่อของพี่สองคนนั้น ผมก็เคยรู้สึกแปลกใจเหมือนกันครับ....... ก้อนเมฆกับท้องฟ้า”

“นั่นสินะ ดูเหมือนเขาเกิดมาเพื่อคู่กันจริงๆ แต่ก็ช่างเถอะ คือซันเคยบอกผมเรื่องความหมายของชื่อของเขาสองคนเหมือนกัน ผมทึ่งมากๆเลยที่ชื่อของคนไทยเป็นแบบนั้นนะ เพราะภาษาอังกฤษไม่มีแบบนี้เลยจริงๆ ไคล์เองก็ไม่มีความหมาย ตอนเด็กๆผมก็เลยบอกแม่ว่าผมอยากมีชื่อไทยบ้าง ผมขอให้เขาตั้งชื่อไทยให้ผมแบบของซันเหมือนกัน แต่แม่ก็ไม่ได้ตั้งให้ เพราะว่าผมมีชื่อกลางแล้ว และมันก็มีความหมายด้วย”

“ชื่ออะไรเหรอครับ”

ผมยิ้ม “พีทบอกผมก่อนสิ ว่าชื่อของพีทมีความหมายรึเปล่า ผมหมายถึง ชื่อจริงน่ะครับ”

“ชื่อจริงของผมคือ ปฐพีครับ แปลง่ายๆว่าพื้นดิน หรือ ผืนดินก็ได้” เขาตอบ ส่วนผมเองก็นั่งอึ้งไปเลย มันไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ ปกติผมไม่เคยเชื่อเรื่องโชคชะตาหรือพรหมลิขิตอะไรนักหรอก มันเป็นอะไรที่ค่อนข้างจะเป็นความฝันเกินไปสักหน่อยสำหรับผม แต่ว่าการที่ผมได้มาเจอเขาและนั่งอยู่กับเขาแบบนี้ และโดยเฉพาะยิ่งการที่ได้มาเจอเขาพร้อมๆกับซันและศิลา รวมทั้งการที่เขาสามคนเคยเจอกันมาก่อนและยังได้กลับมาเจอกันอีกครั้งแบบนี้อีกแล้วด้วย ผมเชื่อว่ามันคงไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญอีกต่อไปแล้วแน่นอน

“เป็นอะไรไปครับ ท่าทางเหมือนตกใจ” เขาถาม

“เปล่าครับ คือ ผมรู้สึกทึ่งๆนิดหน่อยน่ะ” ผมมองตาเขาแล้วก็เกิดความรู้สึกผูกพันแปลกๆกับเขาขึ้นมาทันที ไม่ใช่ว่าเพราะเรื่องชื่อของเขาที่ผมเพิ่งได้ยินไปหรอก แต่เมื่อมันมารวมกับความรู้สึกดีๆที่ผมมีให้เขาอยู่แล้ว มันก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกท่วมท้นมากขึ้นไปอีก “ผมหมายถึงว่า พื้นดินกับสายน้ำนี่น่ะนะ แถมยังท้องฟ้าและก้อนเมฆอีก.......... ให้ตายสิ”

“สายน้ำเหรอครับ” พีทถามด้วยสายตาสงสัย

“ไคล์ ริเวอร์ ไรออซ คือชื่อของผมครับ ผมได้ชื่อกลางมาจากแม่ของผมที่ชื่อ ชลลดา และเขาเคยบอกผมว่ามันแปลว่าสายน้ำเหมือนกัน ส่วนนามสกุลของผม........ ผมไม่แน่ใจว่าภาษาไทยแปลว่าอะไรนะครับ แต่ความหมายของมันก็ราวๆว่าแม่น้ำเหมือนกัน แปลเป็นภาษาอังกฤษก็คือ ‘ดเวลเลอร์ ออฟ เดอะ ริเวอร์’ เพราะงั้นผมจึงค่อนข้างจะภูมิใจกับชื่อกลางของผมมาก เพราะมันมาจากทั้งชื่อของแม่ของผมและยังมาจากนามสกุลของพ่อของผมอีกด้วย”



(จบเรื่องเล่าของไคล์ตอนที่สอง – ตอนหน้า ที่ว่างกับสิ่งที่ดีที่สุด)


ออฟไลน์ ~ScAreD:SAcreD~

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1811
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-2
ศิลา กับ ฟ้าคราม
ปฐพี กับ สายน้ำ

ขอให้อยู่คู่กันอย่างนี้นะครับ สมหวังกันทั้งสองคู่นะค๊าบ  :m1:

อ่านเรื่องนี้แล้ว รู้สึก "อิ่ม" ดีจัง เพราะความรู้สึกดีๆ มันลอยอยู่เต็มไปหมดเลยทุกบรรทัด

ช๊อบบบบบบบบบบ ชอบ :m3:

น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
คิดเหมือนคุณป้อมไม่มีผิดเพี้ยนเลยซักกะนิด
อ่านแล้วมีความสุขสุดๆ :m18:

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10

sun

  • บุคคลทั่วไป

ninaprake

  • บุคคลทั่วไป

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
อ่ะ ปฐพี และสายน้ำ
 :m3: :m3: :m3: :m3:


อยู่คู่เคียงกัน ตราบฟ้าดินสลาย

 :m11: :m11: :m11: :m11:

nartch

  • บุคคลทั่วไป
 :o8:
เหลือแค่หน้าสุดท้ายก็จะจบแล้วววว ใช้เวลาอ่านสองวันเต็ม แรก ๆ อ่านไปกลุ้มไป  :เฮ้อ:
หลัง ๆ ยิ่งอ่านยิ่งหวานนนน ถ้าไม่มีอะไรหักมุม กระชากใจผู้อ่านอย่างเรา เรื่องราวก็น่าจะจบลง
ด้วยความสวยงามมมมมม.... :give2:
 :m4:
เนื้อเรื่องเป็นการทำความเข้าใจถึงความผิดพลาดในชีวิตที่ทำให้ต่างคนต้องเสียใจ
เดินเรื่องได้เรื่อยๆ ชวนติดตาม ภาษาก็สละสลวยดีนะครับ แม้จะมึงกรูมั่ง ก็ได้รสชาติของความเป็นเพื่อนดี
ยิ่งหลัง ๆ มีภาคอัศจรรย์ด้วยนี่ยิ่งไปกันใหญ่ เรตติ้งกระฉูดดดด  :m25:
เรื่องนี้น่ารักดีครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะอ่านให้จบหน้าสุดท้ายละ เอาใจช่วยและเป็นกำลังใจให้ครับ
ผลิตผลงานออกมาให้เพื่อน ๆในบอร์ดได้ติดตามกันต่อไปนะครับบบบบ  :a2:
 :bye2:

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนที่ 42 : (เรื่องเล่าของไคล์ : ที่ว่างกับสิ่งที่ดีที่สุด)


หลังจากนั้นเราก็นั่งคุยเรื่องอื่นๆกันอยู่อีกสักพัก พีทเองก็ถามผมถึงเรื่องโรงเรียนและชีวิตประจำวันของผมเช่นกัน มันทำให้ผมรู้สึกดีมากๆที่เขาเองก็ให้ความสนใจและอยากรู้เรื่องราวของผมไม่แพ้ที่ผมอยากรู้เกี่ยวกับตัวเขา นึกๆแล้วผมก็แปลกใจเหมือนกันว่าทั้งๆที่ผมเพิ่งจะเจอกับเขาวันนี้เป็นวันแรก แต่ทำไมผมถึงได้มีความรู้สึกดีๆให้กับเขามากถึงขนาดนี้

ไม่นานต่อมาเพื่อนของพีทก็เดินเข้ามานั่งคุยกับเราด้วย เธอก็คือผู้หญิงที่ชื่อนกที่เราเคยพบกันแล้วเมื่อตอนกลางวันนี่เอง แต่คราวนี้เธอมากับเพื่อนของเธออีกอีกสามคนด้วย ผู้หญิงคนหนึ่งนั้นเป็นคนไทย แต่ว่าผู้ชายกับผู้หญิงอีกคนเป็นคนฟิลิปปินส์ทั้งคู่ ผมก็ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า แต่ว่าผมรู้สึกว่าเด็กฟิลิปปินส์สองคนนี้จะดูสนใจผมมากเป็นพิเศษจริงๆ โดยเฉพาะผู้ชายคนนั้นที่ชอบมองผมด้วยสายตาแปลกๆแล้วบางทีก็หันไปซุบซิบกับเพื่อนผู้หญิงของเขาอีกคนอยู่เรื่อย ผมรู้สึกไม่ชอบอะไรแบบนี้เลยจริงๆ

หลังจากที่พวกเขาเดินจากไปไม่กี่นาที ซันกับศิลาก็เดินเข้ามาหาพวกเรา เราคุยกันแค่ไม่กี่ประโยคก็ลุกขึ้นเดินออกจากร้านไปเพื่อไปชมพระอาทิตย์ตกดินด้วยกัน จริงๆตอนแรกผมก็ตั้งใจไว้ว่าจะให้ศิลากับซันไปด้วยกันตามลำพังอยู่หรอก แต่ว่าตอนนี้ผมเองก็รู้สึกอยากจะใช้เวลาอยู่กับพีทบ้างเช่นกัน เพราะเวลาที่อยู่กับเขาแล้วผมรู้สึกดีมากจริงๆ

ผมบอกพีทให้บอกสองคนนี้ว่าจริงๆแล้วเขาชื่ออะไรและเคยอยู่โรงเรียนเดียวกันกับทั้งสองคนด้วย แต่แล้วกลับกลายเป็นผมได้ทำพลาดไปอีกสองอย่าง อย่างแรกที่ผมรู้ก็คือผมเผลอพูดไม่ดีกับพีทไปเสียแล้ว ผมไม่ได้ตั้งใจแบบนั้นเลยจริงๆ เขาดูหน้าเสียลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อผมเผลอหลุดปากขำเรื่องชื่อออกไปอีกครั้ง ผมขอโทษเขาและอยากจะให้เขายกโทษให้แก่ผมจริงๆ ซึ่งพีทเองก็บอกว่าไม่เป็นอะไรและไม่คิดอะไรมาก ถึงผมจะไม่ได้มีเจตนาไม่ดี แต่ผมก็สัญญากับตัวเองแล้วว่าผมจะไม่ทำอะไรแบบนั้นลงไปอีกแน่นอน และเรื่องที่สองที่ผมคิดว่าผมทำพลาดแต่ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร นั่นก็คือ ทันทีที่ศิลาได้ยินว่าจริงๆแล้วพีทมีชื่อว่าพีและเคยอยู่โรงเรียนและ ชมรมบาสเดียวกับเขามาก่อน เขาก็ดูประหลาดใจและนิ่งไปเลย เหมือนกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ซันก็บอกผมให้เดินไปกับพีทก่อนแล้วเดี๋ยวเขาสองคนขอคุยกันสักพักแล้วอีกไม่นานจึงจะตามไป ผมกังวลใจเล็กน้อยว่าที่ผมพูดอะไรออกไปนั้นมันจะทำให้เขาทะเลาะกันรึเปล่า และมันเกี่ยวอะไรกับพีทด้วยกันแน่

สุดท้ายเมื่อเขาสองคนเดินตามพวกเรามาทัน ซันก็ดึงตัวผมออกจากศิลาและพีทเพื่อปล่อยให้เขาอยู่กันสองคน และซันก็เล่าให้ผมฟังว่าจริงๆแล้วศิลาเคยเจอกับพีทมาก่อน แต่อาจจะเป็นเพราะอุบัติเหตุรถชน จึงทำให้เขาลืมเรื่องในตอนนั้นไป มันทำให้ผมแปลกใจเหมือนกันที่เขาสามคนเคยมีความเกี่ยวข้องกันมาก่อน และผมก็อดรู้สึกแปลกแยกนิดหน่อยไม่ได้จริงๆ.............

เราสี่คนขึ้นรถไปดูพระอาทิตย์ตกกันในจุดชมวิวที่พีทแนะนำ มันสวยมากจริงๆ คนก็น้อย และยังอากาศที่เย็นกำลังดี ผมได้ใช้เวลาอยู่กับเขาสองคนตามลำพังอีกครั้ง แต่คราวนี้ ผมกับเขานั่งกันอยู่เงียบๆ ถ่ายรูป และดื่มด่ำกับความงดงามของธรรมชาติเบื้องหน้ามากกว่าเสียเวลาพูดคุยกันเหมือนเมื่อตอนที่อยู่ในคาเฟทีเรีย นอกจากนั้นเขายังสัญญากับผมด้วยว่าเขาจะพาผมมาดูพระอาทิตย์ตกอีกครั้ง และครั้งหน้าเขาจะพาผมไปจนถึงสุดปลายทางเลย

หลังจากที่เรากลับกันมายังคาเฟทีเรียอีกครั้งเพื่อทานอาหารเย็น และพอผมรู้ว่าเขาจะต้องนอนคนเดียวอยู่ทุกๆคืน ผมจึงลองเสี่ยงถามเขาออกไปว่าเขาอยากจะไปนอนที่ห้องเดียวกับพวกเราหรือเปล่า และผมก็ต้องดีใจมากเมื่อซันเองก็อนุญาตและพีทยังตอบตกลงอีกด้วย จนถึงตรงนี้ผมก็เริ่มมั่นใจแล้วว่า เขาเองก็คงต้องรู้สึกชอบผมอยู่บ้างเหมือนกันนั่นแหละ

ซันชวนผมออกไปเติมน้ำอัดลมและบอกกับผมว่าเขาอยากมีเวลาอยู่กับศิลาสองคนสักราวๆหนึ่งชั่วโมง เขาต้องการให้ผมไปอยู่กับพีทและถ่วงเวลาเขาไว้สักพักก่อนจะกลับไปที่ห้อง แน่นอนว่าผมย่อมยินดีทำเพื่อเขาด้วยความเต็มใจทีเดียว หลังจากเรากลับมานั่งที่โต๊ะ ศิลากับพีทก็คุยกันเรื่องที่มีคนบางคนไม่ชอบเขาเพราะว่าเขาเป็นลูกเจ้าของบริษัท และคิดว่าเขาได้อภิสิทธิ์ ไม่ต้องจ่ายเงินเพื่อมาทำงานที่นี่ พวกนั้นหาว่าเขาหยิ่งและยังเรื่องอื่นๆอีกเท่าที่จะหาเรื่องได้ ผมรู้สึกฉุนมากจริงๆ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคนดีๆอย่างเขาถึงต้องโดนอะไรแบบนี้ด้วย ปกติเขาเองก็เป็นคนที่ดูค่อนข้างจะชอบคิดมากอยู่แล้ว และยังมามีเรื่องงี่เง่าๆที่คนอื่นป้ายสีมาให้เขาต้องคิดอีก ถ้าผมรู้ว่าไอ้คนพวกนั้นมันเป็นใครนะ ผมตามไปเตะก้นมันถึงที่แน่ และขณะที่ผมกำลังรู้สึกไม่พอใจอยู่นั้น จู่ๆศิลาก็พูดออกมาว่าผมนั้นชอบพีท แถมซันยังพยักหน้าเห็นด้วยอีกด้วย ผมเขินมากจริงๆ ผมไม่คิดเลยว่าเขาสองคนจะดูออกและที่สำคัญ ในที่สุดพีทก็รู้แล้วว่าผมนั้นชอบเขา แต่ว่าผมก็รู้สึกสบายใจมากขึ้น และพูดตามตรง ผมคิดว่าผมรู้สึกดีมากๆเลยด้วยซ้ำ ที่พีทไม่ได้มีสีหน้าหรือท่าทางลำบากใจเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม เมื่อเขาได้ยินศิลาพูดแบบนั้นเขากลับหน้าแดงและมีท่าทีที่เขินอายออกมาอย่างเห็นได้ชัด........ ให้ตายสิ! ผมอยากจะอยู่ใกล้ๆกับเขาคนนี้ตลอดเวลาเลยจริงๆ

หลังจากสองทุ่ม เราทั้งสี่คนก็แยกกัน ผมกลับไปยังเคบินของพีท และซันกับซิลาก็กลับไปยังห้องพักของเราก่อน ผมรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยที่จะได้อยู่กับเขาสองคนในที่ของเขา ผมไม่รู้ว่าผมเป็นอะไรหรือเกิดอะไรขึ้นกับผมกันแน่ เพราะทุกครั้งที่ผมเคยอยู่กับผู้หญิงสองต่อสอง ผมยังไม่เคยรู้สึกกังวลแบบนี้มาก่อนเลย แต่นี่ทั้งๆที่ผมก็รู้ว่ามันจะไม่มีอะไรเกินเลยเกิดขึ้นแน่ๆ แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกประหม่าขึ้นมาเสียอย่างนั้น

พีทพาผมเดินไปยังเคบินหมายเลข 211 ที่เป็นห้องพักของเขาเพียงคนเดียวแล้วตอนนี้ เมื่อเขาเปิดประตูเข้าไป ผมก็เห็นว่าในเคบินนี้เป็นห้องไม่ใหญ่มาก มีตู้เสื้อผ้าเตี้ยๆสูงประมาณระดับอกอยู่สามตู้ มีเตียงเดี่ยวหนึ่งเดียง และเตียงสองชั้นอีกหนึ่งเตียง และมีห้องน้ำในตัวด้วย ในห้องของเขาเรียบร้อยมาก ผมคิดว่าอาจจะเป็นเพราะเพื่อนของเขาอีกสองคนต่างก็ขนของออกไปจนหมดแล้วก็ได้ เหลือเพียงของใช้นิดหน่อยบนตู้เสื้อผ้ารวมทั้งลำโพงที่เสียบต่ออยู่กับไอพอดอีกหนึ่งเครื่อง และกระเป๋าเดินทางใบใหญ่สามใบตั้งอยู่ตรงมุมห้อง ซึ่งแน่นอนว่าคงมีของพีทรวมอยู่ด้วย แต่ผมก็ไม่รู้หรอกว่าภายในตู้เสื้อผ้าเหล่านั้นจะยังคงมีเสื้อผ้าของสองคนนั้นอยู่อีกหรือเปล่า

เมื่อพีทเดินเข้าห้องไปเปิดโคมไฟและทำให้ห้องสว่างขึ้นแล้ว ผมจึงปิดประตูลง เขาเดินไปเปิดฮีทเตอร์แล้วก็แง้มหน้าต่างที่หัวเตียงไว้เล็กน้อย

“เพื่อนๆขนของออกไปหมดแล้วเหรอครับ ห้องสะอาดมากเลย” ผมถามเขา

“ครับ หมดทุกอย่างเลย เหลือเสื้อผ้าที่พวกเขาเองก็ไม่ค่อยใส่อยู่นิดหน่อย แล้วก็ของใช้ที่ไม่ได้จำเป็นอะไรที่เห็นวางๆอยู่นี่แหละครับ” เขานั่งลงบนเตียง

ผมเองก็เดินไปนั่งลงบนเตียงตัวล่างของเตียงสองชั้นเช่นกัน “นั่นเตียงของพีทเหรอครับ” ผมชี้ไปยังเตียงที่เขานั่งอยู่

“ครับ เอ่ออ งั้นผมขอเก็บเสื้อผ้าก่อนนะครับ จะได้รีบไปกัน” เขาพูดขึ้นแล้วก็ลุกขึ้นยืน

“ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องรีบหรอก” และผมก็หมายความว่าแบบนั้นจริงๆ ผมลุกขึ้นเดินตรงไปยังที่เตียงของเขา มีกีตาร์ตัวหนึ่งวางพิงอยู่ข้างๆตู้เสื้อผ้าที่ผมเดาเอาว่าน่าจะเป็นตู้ของพีท เพราะบนนั้นมีป้ายชื่อของเขาวางอยู่ข้างๆหมวกพนักงาน และของกระจุกกระจิกอีกหลายอย่าง “นี่กีตาร์ของพีทเหรอครับ”

พีทเดินใกล้เข้ามาหาผมแล้วหยิบกีตาร์ตัวนั้นออกมาจากตรงซอกเตียง จากนั้นเขาก็นั่งลงบนเตียงอีกครั้ง

“ครับ........ จะว่าอย่างนั้นก็ได้” เขาตอบขณะที่ก้มมองดูมันและจับมันอย่างเบามือด้วยความทะนุถนอม “ว่าแต่เราไม่รีบไปจะดีเหรอครับ...... เดี๋ยวพี่สองคนเขาจะเป็นห่วงเอารึเปล่า” เขาเงยหน้าขึ้นมาถามผม

ผมหัวเราะแล้วนั่งลงข้างๆเขา “ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมว่าคุณไม่อยากกลับไปเจอเขาสองคนในตอนนี้หรอก”

พีททำหน้าเหมือนไม่เข้าใจอยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อเขาเห็นรอยยิ้มของผมเขาก็เข้าใจและหัวเราะออกมาบ้าง

“พี่สองคนนั้นเขาคบกันมานานรึยังครับ” เขาถาม

“อืม...... ถ้าคบเป็นเพื่อนก็คงนานล่ะครับ แต่กว่าจะได้คบกันเป็นแฟน ก็เพิ่งจะตอนที่ศิลามาที่อังกฤษนี่เอง”

“เหรอครับ........” เขาตอบแล้วก้มหน้าลงไปมองดูที่กีตาร์ตัวเองอีกครั้ง

“ว่าแต่ พีทมีแฟนรึยังครับ” ผมถามเขาด้วยน้ำเสียงที่ถูกบังคับให้เป็นปกติและไม่ฟังดูตื่นเต้นจนเกินไปมากที่สุด

“ไม่มีหรอกครับ” เขาส่ายหน้า “แล้วไคล์ล่ะ”

ผมมองหน้าเขานิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ชั่งใจหาคำพูดเหมาะๆเพื่อที่จะพูดออกไป

“ไม่มีเหมือนกันครับ...... แต่ก็หวังอยู่ว่าจะได้มีเร็วๆนี้” ผมมองตาเขาอย่างสื่อความหมาย ดูท่าทางพีทเองก็จะเข้าใจเหมือนกันเพราะเขาสบตากับผมตอบด้วยแววตาที่ทำให้หัวใจของผมต้องสั่นไหว แต่แล้วเขาก็ก้มหน้าลงไปอีกครั้ง

“ครับ” เขาพูดออกมาสั้นๆ

เราสองคนเงียบกันไปอยู่อึดใจหนึ่ง ผมจึงเป็นฝ่ายพูดออกมาก่อน

“พีทครับ....... วันนี้ผมขอบคุณมากนะครับที่พาผมไปเที่ยวซะหลายที่เลย” ผมบอกเขา

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเต็มใจ” เขายิ้มให้กับผม และมันกำลังทำให้ผมละลาย........

“ผมมีความสุขมากนะครับ ที่ได้เจอและได้ใช้เวลาอยู่กับพีท” ผมเขยิบเข้าไปใกล้เขามากขึ้น รู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองเริ่มร้อนผ่าว และตอนนี้แขนของผมกับเขาก็ชนกันแล้ว “แล้วคุณคิดยังไงมั่งครับ ที่อยู่กับผมวันนี้”

เขาหันหน้าหนีไปทางอื่นอีกครั้ง หน้าของเขาเองก็แดงขึ้นมากเช่นกัน

“ตอบผมหน่อยสิครับ ผมอยากรู้จริงๆนะ” ผมถามอีกครั้ง

เขาก้มหน้าแล้วใช้นิ้วชี้เขี่ยแก้มของตัวเองเบาๆ “ครับ ผมก็รู้สึกดีเหมือนกัน” เขาตอบออกมาเบาๆ

และก่อนที่ผมจะรู้ตัว ผมก็ชะโงกหน้าเข้าไปใกล้กับเขามากขึ้น พีทหันกลับมาสบตากับผม ตอนนี้ใบหน้าของเราสองคนอยู่ห่างกันแค่ไม่ถึงหนึ่งนิ้วแล้ว และสุดท้าย อะไรบางอย่างในร่างกายของผมก็เป็นแรงผลักดันให้ผมเขยิบเข้าไปใกล้เขามากขึ้นอีก และสิ่งต่อมาที่ผมรู้สึกก็คือ ริมฝีปากของผมที่กำลังประทับอยู่บนริมฝีปากเรียวบางสีชมพูของเขา

ราวๆสามวินาทีถัดมาแต่ผมรู้สึกยาวนานราวกับสามชั่วโมง ผมก็ถอนปากออก มันเป็นเพียงจูบสั้นๆและไม่มีการล่วงล้ำอย่างอื่นแต่อย่างใด แต่ผมรู้สึกว่ามันเป็นจูบที่ดีที่สุดในชีวิตของผมเลยทีเดียว ผมไม่เคยจูบใครด้วยความรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลย เมื่อผมสบตากับเขา ผมก็เห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจของเขา จากนั้นเขาก็ก้มหน้าลงและหันหน้าหนีผมไปทางอื่น

“เอ่ออ คือ.... ผม ผมขอโทษครับ” ผมบอกเขา ผมลืมไปเสียสนิทว่าธรรมเนียมเรื่องการจูบของคนไทยกับของคนตะวันตกมันต่างกัน “พีท........”

เขาค่อยๆหันมาหาผมช้าๆแล้วก็ส่งยิ้มออกมา “ไม่เป็นไรครับ” เขาเอื้อมมือมาจับมือของผมอย่างแผ่วเบา

ทันทีที่เขากุมมือของผมเอาไว้ ผมก็ยิ้มกว้างออกมาพร้อมๆกับโหมตัวเข้าไปกอดเขาอย่างเต็มวงแขน เมื่อผมคลายแขนออก ผมก็จูบเขาอีกครั้ง และคราวนี้มันเป็นจูบที่ดูดดื่มกว่าครั้งที่แล้วมาก ผมไม่ได้สอดลิ้นเข้าไป แต่มันก็เป็นจูบที่ลึกซึ้งและโรแมนติกที่สุดเท่าที่ผมเคยรู้สึกมาเลยทีเดียว แต่ทันทีที่ผมถอนปากออก ผมก็เห็นน้ำตาที่ค่อยๆไหลลงมาอาบแก้มของเขา

“พีท..... ผม...... ผมขอโทษครับ ถ้าคุณไม่ชอบแบบนี้ ผมก็จะไม่ทำอีกแล้วครับ ผมสัญญา” ผมรีบพูดออกมาเพราะความกลัว...... กลัวว่าเขาจะเกลียดผม

“เปล่าครับ เปล่า” เขาส่ายหน้า “เพียงแต่ว่า...... มีบางอย่างที่ผมต้องบอกไคล์นะครับ....... เพราะว่า..... เพราะว่าผมไม่รู้ว่าผมจะทำมันได้ดีแค่ไหน.........”

“ผมไม่เข้าใจครับ พีท......” ผมขมวดคิ้วอย่างสงสัย “คุณหมายถึงทำอะไรเหรอครับ”

เขาก้มหน้าลงไปมองกีตาร์ที่วางอยู่ข้างกายอีกครั้ง จากนั้นก็หันมาสบตากับผม น้ำตาของเขาหยุดไหลแล้ว แต่ผมกลับมองเห็นความเศร้าและความเจ็บปวดในดวงตาคู่นั้นมากกว่าตอนที่เขากำลังร้องไห้เสียอีก

“จริงๆแล้วกีตาร์นี่........ เคยเป็นของคนๆนึงที่ผมรักมากครับ” พีทพูดขึ้น เขาเอามือลูบไปบนตัวกีตาร์ช้าๆและแผ่วเบา ราวกับกลัวว่ามันจะพังหรือแตกหักไปอย่างไรอย่างนั้น “ผมรักมันมากเลยล่ะครับ แต่ที่ผมอุตส่าห์เอามันมาถึงที่นี่ด้วย ก็เพราะผมอยากจะรู้สึกเหมือนมีเขาคนนั้นอยู่กับผมตลอดเวลา....... ฟังดูตลกใช่มั๊ยล่ะครับ” เขาเงยหน้าขึ้นมายิ้มเศร้าๆให้กับผม

ผมเอื้อมมือออกไปบีบมือของเขาเบาๆ เพราะไม่รู้จะทำอะไรได้มากกว่านั้นแล้วจริงๆ

“ผมกับเขาเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เกรดแปดครับ ผมเป็นคนเงียบๆแล้วก็ไม่มีเพื่อนมากนัก แต่เขาเป็นคนเดียวที่เข้ามาคุยกับผมแล้วก็เปลี่ยนโลกของผมไปเลย........” เขาเล่าช้าๆและกำลังพยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเองเอาไว้อย่างเห็นได้ชัด ราวกับว่าการที่ต้องนึกถึงความทรงจำของเก่าๆเหล่านั้นและต้องบรรยายมันออกมาเป็นคำพูด อาจจะทำให้เขาแตกออกเป็นเสี่ยงๆได้ในทุกๆขณะเลยทีเดียว “เขาคนนั้นมีชื่อว่าภูครับ.........”

เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ผมก็ต้องถึงกับสะอึกและชักมือกลับมาโดยไม่รู้ตัว ผมเพิ่งจะหัวเราะเยาะชื่อของคนที่มีความสำคัญกับเขามากๆไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนนี้เอง

“ผม.... พีทครับ ผมขอโทษ........”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ......” เขาตอบแล้วเริ่มต้นเล่าต่อ “ภูเป็นคนที่ร่าเริงมาก เขายิ้มเก่ง และมีเพื่อนเยอะ ต่างจากผมทุกๆอย่างเลยล่ะครับ แต่ว่าผมกับเขาก็เข้ากันได้ดีมากจริงๆ........” เขาพูดและพยายามที่จะควบคุมตัวเองไม่ให้ร้องไห้ออกมาอีกครั้งไปด้วย “เราสองคนรักกันมากจริงๆครับ ผมคิดว่าเราต่างก็รู้ว่าเราสองคนนั้นรักกันเกินเพื่อนไปแล้ว แต่สุดท้ายเราก็ไม่เคยได้พูดออกมาว่าเรานั้นรักกันมากแค่ไหน ไม่สิ ผมเองต่างหาก ที่ไม่เคยบอกเขาเลยว่าผมรักเขามากแค่ไหน” น้ำตาของพีทเริ่มไหลออกมาช้าๆ แต่เขาก็พยายามจะห้ามมันและเอามือปาดมันออกไปทุกๆครั้งที่มันหยดออกมาจากหางตาของเขา เขานิ่งเงียบไปนานราวกับไม่สามารถที่จะพูดมันต่อไปจนจบได้ ผมจึงคิดว่าเขาคงต้องการความช่วยเหลือบ้างเล็กน้อยเพื่อที่จะสามารถเล่าเรื่องในความทรงจำนั้นออกมาได้อีก

“แล้ว...... มันเกิดอะไรขึ้นครับ” ผมถามออกไปเบาๆ

“วันนั้นเป็นวันที่ผมกับเขาสอบวันสุดท้ายเสร็จครับ” เขาเริ่มเล่าต่อ “เราสองคนคุยกันว่าผมจะไปนอนค้างที่บ้านของเขาตามคำเชิญ ผมคิดว่าวันนั้นนั่นเองที่จะเป็นโอกาสที่เราสองคนจะได้บอกความรู้สึกของกันและกันออกไป.......... แต่สุดท้าย มันก็เป็นเพราะผมเองนั่นแหละที่เอาแต่เป็นฝ่ายรอมาตลอดและไม่เคยได้บอกอะไรเขาออกไปเลย” เขาเงียบลงอีกครั้ง ผมสังเกตว่าเมื่อถึงช่วงท้ายประโยค เสียงของเขาก็สั่นมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเขาไม่สามารถห้ามน้ำตาของตัวเองได้อีกต่อไป “วันรุ่งขึ้นเขาก็ประสบอุบัติเหตุและตายจากไปครับ เขาตายไปโดยที่ผมยังไม่เคยได้แม้แต่บอกเขาออกไปเลยว่าเขามีความสำคัญกับชีวิตของผมมากแค่ไหน....... เขาไม่เคยรู้เลย และก็จะไม่มีวันได้รู้อีกต่อไปแล้ว เพราะว่าเขาตายไปแล้ว” เขาสะอื้น ผมรู้สึกเหมือนกับหัวใจของผมเองก็ร่วงหล่นลงไปอยู่บนพื้นแล้วด้วยเช่นเดียวกัน “ตอนนั้นเราอยู่เกรดสิบเอ็ดครับ และน่าตลกมั๊ยล่ะ ที่เขาจากผมไปก่อนที่ผมจะทันได้บอกกับเขาว่าผมรักเขาแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้นเอง....... และบางที ก่อนที่เขาจะทันได้บอกผมด้วยเหมือนกัน”

ผมนั่งมองหน้าของเขาที่กำลังร้องไห้และก็รู้สึกถึงน้ำตาของผมเองที่เริ่มรื้นขึ้นมาช้าๆเช่นกัน แต่ผมไม่อยากให้เขาเห็นน้ำตาของผม ผมจึงโผเข้าไปกอดเขาเอาไว้

“พีท ผมเสียใจครับ.......... ผมเสียใจจริงๆ”

เขากลืนน้ำตาของตัวเองลงไปแล้วก็ดันตัวเองออก “ขอบคุณครับ........ และนั่นแหละ ที่เป็นสาเหตุให้ผมย้ายโรงเรียน เพราะว่าผมไม่สามารถทนอยู่ในที่ๆผมเคยใช้เวลาอยู่กับเขามาตลอดได้อีกต่อไป ผมอยากจะก้าวเดินไปข้างหน้าและเลิกที่จะจมปลักอยู่กับความเศร้าเสียที”


ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page

ผมพยักหน้าช้าๆและมองไปในดวงตาของเขา เท่านี้ผมก็พอรู้แล้วว่าทำไมเขาถึงได้เป็นคนที่ดูเหงาและให้ความรู้สึกเศร้าสร้อยอย่างประหลาด และเมื่อผมเห็นเขาเป็นแบบนี้แล้ว ผมยิ่งรู้สึกมั่นใจในตัวของผมเองมากขึ้นไปอีกว่าผมอยากจะอยู่กับเขาและคอยเป็นกำลังใจให้เขาได้

“แต่ว่านั่นไม่ใช่เรื่องที่ผมอยากจะบอกกับไคล์ทั้งหมดหรอกครับ........” เขาพูดต่อ “ผมยอมรับครับ ว่าผมรู้สึกดีกับคุณมากจริงๆ คุณมีรอยยิ้มที่ทำให้ผมนึกถึงเขา คุณเป็นคนยิ้มเก่งและร่าเริงเหมือนกับเขาเลย และนอกจากนั้น........” เขาเงียบไป ผมนั่งรอให้เขาพูดต่อ “แต่ว่า ผมก็ไม่รู้ว่าผมจะทำยังไงเหมือนกัน” เขาเริ่มร้องไห้ออกมาอีกครั้ง “ผมไม่รู้ผมควรจะทำยังไง ผมรู้สึกดีกับคุณมากก็จริง ถึงเราจะเพิ่งรู้จักกันแค่วันเดียว แต่ผมก็มีความสุขมาก มากเสียจนผมไม่อยากจะถลำลึกลงไปมากกว่านี้อีกแล้ว......... ผมกลัวว่าผมจะสูญเสียใครไปอีก ผมกลัวว่าผมจะหลงรักคุณ ผมกลัวว่าผมจะไม่สามารถลืมเขาได้ และที่สำคัญ ในขณะเดียวกัน ผมกลัวว่าผมจะลืมเขาไปมากที่สุดเลยด้วย” เขาสะอื้นออกมาหนักขึ้นเรื่อยๆ “ผมไม่อยากจะลืมเขา ผมรักเขามากจริงๆ ไม่ว่าจะตอนนี้หรือตอนไหน และผมก็ไม่คิดว่าจะมีใครเข้าใจผมและให้โอกาสกับผมในเรื่องนี้หรอก....... ใครจะมาอยากคบกับคนที่ลืมคนรักเก่าไม่ได้กัน ผมไม่อยากจะทำให้ใครต้องเสียใจกับการที่ผมเป็นแบบนี้ ผมไม่อยากจะทำให้คุณต้องเสียใจ..........”

ผมนั่งนิ่งเพราะคำพูดของเขา ไม่ใช่เพราะว่าผมไม่เข้าใจความรู้สึกของเขา แน่นอน ผมเข้าใจมันได้ดีทีเดียว ความรู้สึกของคนที่ยังคงรักคนที่อยู่ในความทรงจำของเขาอยู่ แต่มันก็เป็นความรักที่ไปไม่ได้อีกต่อไป และในขณะเดียวกัน เขาก็ดันไปหลงรักคนอีกคนที่กำลังอยู่ใกล้ๆกับเขาในตอนนี้ด้วย........ ใช่ ถึงเรื่องของเขานั้นมันค่อนข้างจะร้ายแรงมากกว่าที่ผมจะเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งถึงความรู้สึกของการสูญเสียแบบนั้น แต่ผมว่าผมก็เข้าใจเขาจริงๆ

ผมดึงตัวเขาเข้ามากอดอีกครั้ง แต่คราวนี้ผมกอดเขาแนบแน่นยิ่งกว่าเดิม ยาวนานกว่าเดิม พยายามทำทุกอย่างเพื่อที่จะสื่อความในใจและความอบอุ่น ความรักและความห่วงใยของผมออกไปให้เขาได้รับรู้ผ่านทางอ้อมกอดนี้ให้มากที่สุด ผมดึงตัวเองออกมาช้าๆแล้วก็เขยิบลงไปนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นตรงหน้าของเขา

“ฟังผมนะครับ พีท ตอนแรกผมก็คิดว่าผมเองคงแค่จะชอบคุณ และมันคงไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป ถึงจะแค่วันเดียว แต่ตลอดเวลาทุกๆนาทีที่ผมใช้เวลาอยู่กับคุณ จนกระทั่งมาถึงตอนนี้ ผมรู้ตัวแล้วว่าผมรักคุณ ผมรักคุณจริงๆนะ ผมอยากจะอยู่กับคุณ อยากจะใช้เวลาอยู่กับคุณด้วย อยากจะกอด อยากจะมอบความรักและมอบรอยยิ้มให้กับคุณได้ตลอดไป บางทีผมอาจจะรักคุณมานานแล้วก็ได้ เพียงแต่ว่าผมรอคอยว่าพระเจ้าจะตัดสินใจให้เราได้มาเจอกันก็เท่านั้นเอง ตอนนี้ผมก็รู้แล้วว่าอดีตของคุณป็นยังไง แต่พีทครับ ผมเองก็มีอะไรอยากจะบอกคุณเหมือนกัน......... คุณอยากจะลองฟังมันดูมั๊ยครับ” ผมพูดและกุมมือของเขาเอาไว้ด้วย ผมอยากที่จะพยายามบรรยายความรู้สึกของผมออกไปในภาษาของเขามากจริงๆ แต่ผมก็ทำมันได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก

เขาพยักหน้าออกมาช้าๆ

“ผมอยากบอกว่าผมเข้าใจความรู้สึกของคุณทุกอย่าง ทุกอย่างจริงๆ แต่ก่อนอื่นเชื่อผมนะครับ ว่าเขารับรู้ทุกอย่าง ภูรู้ถึงความรู้สึกของคุณทุกอย่างครับ ผมแน่ใจว่าเขารู้ว่าคุณรักเขาและมีความหมายสำหรับคุณมากแค่ไหน เพราะฉะนั้นคุณพยายามอย่าคิดว่าเขาไม่รับรู้ถึงความจริงในข้อนั้นนะครับ........” ผมยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตาสีดำใสของเขาอีกครั้ง “และในเมื่อพีทก็เล่าให้ผมฟังเรื่องของตัวเองบ้างแล้ว ผมก็จะเล่าเรื่องของผมให้ฟังเหมือนกัน........ แต่ก่อนจะถึงเรื่องนั้น ผมมีประโยคๆหนึ่งอย่างจะบอกพีทให้รู้ไว้นะครับ ผมเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า ‘ทุกสิ่งทุกอย่างผ่านมาเจอกันด้วยเหตุผลบางอย่างเสมอ’ ซันเป็นคนเคยสอนผมในเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นผมเชื่อว่าการที่ผมได้มาเจอกับคุณ ไม่สิ การที่เราได้มาเจอกันนี่ต่างหาก มันย่อมต้องมีเหตุผลในตัวของมันเองอย่างแน่นอน และผมก็หวังว่าเหตุผลนั้นก็คือ ‘ความรัก’ นะครับ.........” ผมเว้นช่วงแล้วหายใจเข้าลึกๆและพยายามเรียบเรียงคำพูดก่อนจะพูดต่อ “ผมเคยรักซันครับ ไม่ใช่สิ ที่ถูกต้องควรจะเป็น ‘ผมรักซัน’ ต่างหาก”

ผมเห็นเขามีสีหน้าประหลาดใจจึงหัวเราะออกมาเบาๆ

“เรื่องมันยาวน่ะครับ แต่ก็อย่างที่พีทน่าจะรู้ มันเป็นความรักที่เป็นไปไม่ได้ ผมเองก็ยังรักเขาอยู่ ผมเองก็เคยคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะไปรักคนอื่นได้ในแบบที่ผมรักเขา แต่ผมคิดผิดอยู่อย่างหนึ่งครับ ใช่ ผมไม่สามารถรักคนอื่นได้อย่างที่ผมรักเขาจริงๆ เพราะความรักแบบนั้นผมมอบให้เขาได้แค่คนเดียว แต่ว่าผมสามารถรักคนอื่นในแบบที่คนๆนั้นเป็นได้ อย่างเช่นตอนนี้ไง......... ผมรักคุณจริงๆ ผมอยากจะเป็นคนที่ดูแลคุณได้บ้าง ไม่ใช่คนที่ถูกดูแลอีกต่อไป และผมก็อยากจะมีคุณคอยดูแลผมด้วยเช่นกัน และสิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้สำคัญที่สุดนะครับ พีท ผมอยากให้คุณสัญญา...... จะสัญญากับผมหรือกับตัวคุณเองก็ได้ สัญญาว่าคุณจะรักภูและคิดถึงเขาตลอดไปไม่มีวันเปลี่ยน ผมไม่อยากให้คุณลืมเขาไปครับ เพราะผมรู้ว่าความรักของคุณที่มีให้เขามันก็เป็นความรักเฉพาะของคุณกับเขาเท่านั้น ผมไม่ต้องการมัน........ และผมไม่ต้องการจะมาแทนที่เขาด้วย ผมหมายความว่าแบบนั้นจริงๆ แต่ว่าสักวันหนึ่ง ถ้ามันจะเป็นไปได้ ผมก็อยากให้คุณรักผมด้วยความรักที่เราต่างก็มีให้กันในอีกรูปแบบหนึ่งต่างหากน่ะครับ........”

ทันใดนั้นเอง พีทก็ร้องไห้ออกมาอีกครั้ง เขาร้องไห้หนักมากจนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อยู่ครู่หนึ่ง ผมจึงต้องโอบกอดเขาไว้เพื่อให้ตัวของเขานั้นหยุดสั่นลง

“ทำไมกัน........ ผมไม่เข้าใจจริงๆ” พีทพูดขึ้นเมื่อเขาเริ่มควบคุมตัวเองได้แล้ว ผมมองเขาด้วยความแปลกใจ สงสัยว่าผมเพิ่งจะพูดอะไรไม่ดีออกไปอีกหรือเปล่า แต่เมื่อเขาอธิบายออกมาผมถึงได้เข้าใจ “ทำไมคุณถึงต้องเหมือนกับเขาขนาดนี้ด้วย ทำไมคุณถึงได้ทำตัวและพูดอะไรหลายๆอย่างเหมือนกับที่เขาเคยบอกกับผมมากขนาดนี้”

พีทเริ่มร้องไห้อีกครั้ง ผมเชื่อว่าคงเป็นเพราะคำพูดของผมไปสะกิดอดีตของเขาให้ย้อนกลับมาอีกครั้งนั่นเอง ผมไม่รู้หรอก และผมก็ไม่รู้จะทำอย่างไรด้วย และที่สำคัญก็คือ ผมไม่รู้ว่าผมควรจะตอบคำถามนั้นของเขายังไง เพราะฉะนั้นผมคิดว่ามันคงจะดีกว่าถ้าผมเริ่มต้นพูดต่อ

“พีทครับ ผมไม่อยากเห็นพีทเสียใจนะครับ ผมอยากให้คุณมีความสุขเวลาที่คุณอยู่กับผม........ ผมเองก็ไม่รู้อนาคตหรอก เราเพิ่งได้เจอกันแค่วันเดียวเท่านั้นเอง ถ้าเพื่อนๆของผมรู้ว่าผมคิดจะจริงจังกับคนที่ผมเพิ่งพบแค่วันเดียว พวกนั้นต้องว่าผมบ้าไปแล้วแน่ๆ และอีกอย่าง หลังจากนี้เราก็มีเวลาอยู่ด้วยกันอีกแค่สี่วันเท่านั้น........ แต่ผมไม่สนใจหรอก ผมชอบคุณ ผมรักคุณ และผมจะทำช่วงเวลาตรงนี้ให้ดีที่สุด หลังจากนี้ผมถึงจะค่อยคิดว่ามันควรจะเป็นยังไงต่อไป” ผมบอกเขา “ฟังนะครับ พีท ผมจะไม่ขอให้คุณลืมเขา ไม่มีทางเด็ดขาด เพราะเขาคือคนที่เคยทำให้คุณมีความสุข และเป็นบุคคลที่จะยังคงงดงามอยู่ในใจของคุณตลอดไป แต่ว่าคุณรู้มั๊ย ซันเคยพูดประโยคๆหนึ่งกับผมตอนที่เขาบอกให้ผมตัดใจเรื่องของเขาไปซะว่า ‘คนเราทุกคนมีที่ว่างสำหรับสิ่งที่ดีที่สุดเสมอ’ ผมไม่ได้บอกว่าผมเป็นคนที่ดีที่สุดสำหรับคุณหรอก แต่ผมอยากบอกให้คุณรู้ว่า ผมจะพยายามเป็น ‘คนที่ดีที่สุด’ เพื่อคุณให้ได้ และคุณเองก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่จะมาเติมเต็มในช่องว่างของผมที่ผมเฝ้ารอมานานแล้วด้วยเช่นกัน.........” ผมพูดทุกสิ่งที่ผมคิดและรู้สึกออกไป ถึงผมอยากจะพูดกับเขาในภาษาไทยมากกว่า แต่สุดท้ายมันก็กลายเป็นภาษาอังกฤษไปซะเกือบหมด แต่ผมก็หวังว่าเขาจะเข้าใจความรู้สึกของผมนะ

“ไคล์ไม่คิดว่ามันเร็วเกินไปเหรอครับ สำหรับคำที่เรียกว่า ‘รัก’ ทั้งๆที่เราเพิ่งรู้จักกันนี้เองนะ” เขาถามหลังจากที่เราเงียบกันไปพักหนึ่ง

“คิดครับ แต่ผมไม่สนใจ จะมาช้าหรือมาเร็ว จะใช้เวลามากหรือน้อยแค่ไหน ความรักก็คือความรัก ผมเคยผ่านมาทั้งความรักที่บ่มเพาะมานานหลายปี และความรักที่ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ทุกอย่างก็ไม่เคยเป็นสิ่งที่เรียกว่า ‘รักแท้’ หรือ ‘รักสมหวัง’ เลยสักครั้ง เพราะฉะนั้นผมจะไม่พูดว่าเวลาหนึ่ง ณ วันนี้มันจะเป็นไปไม่ได้ที่ทำให้คนสองคนรักกัน....... แต่มันสำคัญที่เราจะรับโอกาสนี้ไว้ และพร้อมที่จะพิสูจน์ความรู้สึกลึกๆที่เราทั้งสองคนต่างก็มีตรงกันนี้หรือเปล่าเท่านั้นเอง.......... พีท คุณพร้อมที่จะลองเดินไปพร้อมๆกับผมดูมั๊ยครับ” ผมถามเขาและเอาหัวใจทั้งดวงของผมลงเดิมพันด้วย

เขานิ่งเงียบไปพร้อมกับสีหน้าที่กำลังใช้ความคิด เราสองคนมองตาของกันและกันอยู่นานมาก จนในที่สุดเขาก็พูดออกมา

“แล้วไคล์ล่ะ พร้อมที่จะเดินไปบนเส้นทางที่คงจะเดินได้ลำบากหน่อยของผมรึเปล่าครับ” เขาถามผมขึ้นพร้อมรอยยิ้ม

ผมยิ้มกว้างจากนั้นก็ลุกขึ้นยืนและดึงตัวของเขาขึ้นมากอดอีกครั้ง เมื่อเราสองคนผละออกจากกัน ผมก็จูบลงบนริมฝีปากของเขาอีกหน แต่คราวนี้ผมสามารถถ่ายทอดความรู้สึกของผมออกไปได้อย่างเต็มที่ แน่นอน พร้อมกับลิ้นอีกนิดหน่อยด้วย และเขาเองก็จูบตอบผมกลับมาด้วยความรักมากเท่าๆกันอีกเช่นกัน

“พีท......... คุณคิดยังไงเกี่ยวกับเรื่องของโชคชะตาหรือพรหมลิขิตบ้างครับ” ผมถามเขาหลังจากที่เราถอนปากออก

“ไม่รู้สิครับ ผมไม่ค่อยได้คิดถึงเรื่องนั้นเลย.......... โดยเฉพาะหลังจากที่ภูตายจากไป ผมก็ไม่เคยคิดว่าผมจะได้พบกับใครที่ผมจะมีความรู้สึกด้วยเลยจริงๆ”

“ผมเสียใจจริงๆนะครับ เรื่องของภู แต่ว่า แล้วผมล่ะครับ...... ผมพอจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของพีทได้มั๊ย ผมหมายถึง ถ้าผมเป็นแม่น้ำ ผมก็อยากจะอยู่คู่กับพื้นดินของผมนะ ผมอยากจะเป็นรอยยิ้มที่สดใสให้กับคุณ”

พีทดูมีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อผมพูดถึงเรื่องชื่อของเราสองคน

“ผมไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลยแฮะ........ แต่ไม่ว่ามันจะเป็นโชคชะตา หรือพรหมลิขิตอะไร ผมคิดว่าผมก็คงพร้อมที่จะก้าวเดินก้าวสำคัญของผมอีกครั้งครับ ถึงผมจะประหลาดใจนิดหน่อยเรื่องชื่อของเรา แต่พูดจริงๆ ผมก็ไม่ได้คิดจะยึดติดกับมันมากนักหรอก ไม่สำคัญว่ามันจะเป็นโชคชะตาหรือพรหมลิขิตที่จะขีดให้เรามาเจอกัน แต่ถ้าผมจะมีสายน้ำมาหล่อเลี้ยงผมอีกครั้ง และถ้าหากเขาคิดว่าจะอยู่คู่กับผมจริง ผมก็ยินดีที่จะอยู่คู่กับเขาไปนานที่สุดเท่าที่จะนานได้เหมือนกันครับ ถึงแม้ว่าภูเขาของผมนั้นจะพังทลายไปจากผมแล้วก็ตาม.............”

ผมไม่ค่อยเข้าใจที่เขาพูดมากนัก แต่ผมก็เห็นความเศร้าในแววตาของเขาอีกครั้งหนึ่ง ผมจึงดึงตัวของเขาเข้ามากอดพร้อมกับลูบผมของเขาเบาๆไปด้วย

“รู้อะไรมั๊ยครับ มันอาจจะฟังดูตลกและแปลกนะ แต่ผมอยากจะอยู่กับพีทแบบนี้ได้ตลอดไปจริงๆ ผมไม่ค่อยเข้าใจที่คุณพูดเมื่อกี๊นักหรอก แต่ผมก็อยากจะเป็นแม่น้ำที่มอบความสดใสให้แก่ผืนดินของผมได้นานๆตลอดไปครับ” ผมพูดเบาๆใส่หูของเขา “ผมอยากให้คุณมีความสุขครับ.......”

เราสองคนยืนกอดกันอยู่เงียบๆครู่หนึ่ง

“รู้อะไรมั๊ยครับ........” เขากระซิบตอบใส่หูของผมเช่นกัน “คุณได้จูบแรกของผมไปถึงสามครั้งเลยนะ”

ผมดึงตัวเขาออกแล้วหัวเราะเบาๆ “ผมได้จูบแรกเหรอเนี่ย........ ดีใจจังเลย” ผมหอมแก้มเขา ส่วนเขาก็ยิ้มอายๆ “ผมคิดอยู่แล้ว่าคุณเป็นคนน่ารักและมีอารมณ์ขันจะตายไป ผมชอบรอยยิ้มของคุณจริงๆนะ”

“พูดจริงๆแล้วผมไม่รู้นะครับ ว่าผมจะทำได้ดีขนาดไหน ผมไม่อยากให้ไคล์ต้องมารับผิดชอบกับความรู้สึก และอดีตที่ติดตัวมาของผมนะครับ” เขาพูดออกมา

“ผมจะไม่รับผิดชอบอะไรทั้งนั้นครับ แต่ผมจะยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างเอง ในเมื่อช่องว่างของผมได้ถูกเติมเต็มแล้ว ผมก็จะดูแลไม่ให้มันต้องกลับไปว่างเปล่าและเดียวดายอีกต่อไป แน่นอน ไม่ใช่เพื่อผมและของตัวผมเอง แต่ทั้งหมดนี้มันรวมทั้งเพื่อคุณด้วยครับ พีท...... มันจะเป็นทุกสิ่งสำหรับ ‘เรา’” ผมใช้นิ้วโป้งเช็ดคราบน้ำตาบนแก้มของเขาช้าๆ “ผมอยากจะขอบคุณภูจังครับ ที่เขาเคยมอบความรักให้พีทมากขนาดนี้ ผมเชื่อว่าเขาต้องยังคงมองดูพีทอย่างมีความสุขอยู่แน่ๆ”

“ผมก็คิดว่าแบบนั้นเหมือนกัน........” พีทตอบและพยักหน้าออกมาช้าๆ “อยากจะรู้เรื่องทั้งหมดของเขามั๊ยครับ...... อยากจะดูรูปเขามั๊ย เดี๋ยวผมจะเล่าทุกอย่างให้ฟังเอง” เขาถาม

ผมพยักหน้าช้าๆ “คือ ผมก็ไม่แน่ใจนะครับ เพราะถ้ามันจะทำให้พีทต้องเจ็บปวด ผมก็ไม่อยากจะฝืนคุณ แต่ว่าถ้ามันจะทำให้ผมรู้จักพีทมากขึ้นและไม่ทำให้พีทลำบากใจล่ะก็ ผมยินดีครับ........ และผมเองก็จะเล่าเรื่องของผมให้พีทฟังเหมือนกัน”

หลังจากนั้น เราที่ยังมีเวลาก่อนจะต้องกลับไปยังห้องพักของพวกเราเพื่อผมซันกับศิลาอีกราวๆสามสิบนาที ผมกับเขาก็นั่งคุยกันบนเตียงถึงเรื่องในอดีตของเราทั้งสองคน เราต่างแลกเปลี่ยนอดีตและปัจจุบันของกันและกัน และภายในใจของผมก็หวังอยู่เงียบๆว่านับจากนี้ไป ผมกับเขาก็จะได้ใช้เวลาในการคุยถึงเรื่องในอนาคตที่เราสองคนจะมีร่วมกันด้วยเช่นกัน

คนเราทุกคนล้วนมีที่ว่างสำหรับสิ่งที่ดีที่สุดเสมอ....... ผมเพิ่งเข้าใจสิ่งที่ซันเคยบอกผมเอาไว้ก็ตอนนี้เอง ผมเคยคิดว่าช่องว่างของผมนั้นมันเกิดขึ้นเมื่อครั้งแรกที่ผมมีความรู้สึกให้แก่ซัน และเคยหวังว่าเขาจะเป็นคนๆนั้นที่มาเติมเต็มในส่วนที่เขาเองเป็นคนก่อให้มันเกิดขึ้น แต่ทว่าตอนนี้มันไม่สำคัญอีกแล้ว มันไม่สำคัญว่าช่องว่างนั้นมันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่หรือเพราะใคร แต่มันสำคัญที่สุดท้ายแล้วเราจะหาชิ้นส่วนที่มาเติมเต็มนั้นเจอได้หรือเปล่า....... และมันคงสำคัญยิ่งกว่าถ้าเราจะรักษาสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเราชิ้นนั้นเอาไว้ได้หรือไม่ ผมไม่เคยคิดที่จะยึดติดกับความสัมพันธ์แบบฉาบฉวย และผมก็ไม่เคยที่จะเพิกเฉยต่อความสัมพันธ์ใดๆที่เข้ามาเลยสักครั้งเช่นกัน แต่ว่าผมให้ความสำคัญกับความรู้สึกจริงๆของผมต่างหาก และในตอนนี้ ผมมีคนที่ผมมีความรู้สึกให้แล้วและเขาเองก็มีสิ่งๆเดียวให้กับผมด้วยเช่นกัน มันเป็นความรู้สึกลึกๆที่เราต่างก็รู้สึกกันอยู่ข้างในโดยไม่จำเป็นต้องพูดออกมา เพราะอย่างนั้น ผมก็พร้อมที่จะเก็บส่วนที่ดีที่สุดนั้นของผมเอาไว้ตลอดไป และผมก็พร้อมที่จะเป็นส่วนที่เติมเต็มช่องว่างของเขาคนนั้นด้วยเช่นกัน



(จบเรื่องเล่าของไคล์ – ตอนหน้ากลับสู่บทเรื่องเล่าของเมฆ)


nartch

  • บุคคลทั่วไป
 :impress:
อ้าววว ยังไม่จบหรอกรึเนี่ยยยย แป่วววว  :m29:
ยังไงซะก็หวังว่าจะไม่มีเรื่องราวร้าย ๆ ระหว่างศิลากับฟ้าคราม และระหว่างผืนน้ำกับแผ่นดิน...
เอาใจช่วยให้คู่รักทั้งสองได้พบรักที่สวยงาม  :o8:
จะติดตามผลงานกันต่อไปครับบบบบ...หยุดไม่ได้ ขาดใจ
 :bye2:

ออฟไลน์ ~ScAreD:SAcreD~

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1811
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-2
โอ๊กกกกกกกกกกกกกกกกกกก  :m3: สำลักความสุขไปกับเรื่องนี้จริงๆ

อ่านจนจบเลยอยากให้มีคนมาเติมช่องว่างของเรามั่งจัง  :m3:

จากนี้อยากให้น้ำตาไหลเพราะอิ่มกับความรักที่เกิดขึ้นจากเรื่องนี้นะครับ
ไม่อยากให้มีเรื่องร้ายๆเกิดขึ้นเลยจริงๆ ให้ตายสิ

sun

  • บุคคลทั่วไป
:m1:    "ที่ว่าง สำหรับสิ่งที่ดีที่สุด ของไคล์ กับ พี...ในที่สุดก้อถูกเติมเต็ม"     :m1:


 :m3:   :m3:   :m3:   :m3:   :m3:   :m3:   :m3:   :m3:   :m3:   :m3:

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
ผืนดินกับสายน้ำ  :m1:  :m1:  :m1: แล้วเราก็หากันจนเจอ  :m1:  :m1:

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
อ่านแล้วยิ้มไปด้วย ชอบจังเลยคู่นี้  :m3:  :m3:

ninaprake

  • บุคคลทั่วไป
Re: การเดินทางของŪ
«ตอบ #419 เมื่อ27-09-2007 01:41:06 »

โห...... อิจฉาโชคชะตา ..... คนเราถ้าจะคู่กันอ่ะเนอะ  o9  ..... ทั้งๆที่คนที่อยู่ใกล้ๆตัวเรามีอยู่เป็นล้าน กลับไม่ "spark" แต่นี่เราเดินทางข้ามโลกมายังบังเอิญได้มาเจอกัน ..... เฮ้ออออ... :เฮ้อ: .... น้อยใจในชะตาตัวเองเจงๆๆๆ หรือว่าต้องลองออกเดินทางไปไหนดูซักที? หึหึหึ

เอา MV เพลงประกอบเรื่องตอนนี้มาให้ฟัง+ดูกันครับ ผมว่ามันก็เข้ากันดีกับตอนนี้นะ ..... 

http://truemusic2.truelife.com/home/player/player_mv.php?songguid=20050730203231123413

ผมว่าการที่คน 2 คนจากคนเป็นล้านคน ได้ "หากันจนเจอ" จนได้มารู้จักกัน เป็นเพื่อนกัน .. หรือถ้าโชคดีมากๆคือ ...จนได้มารักกัน ..... มันเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์มากเลยนะครับ .... ไม่รู้คนอื่นคิดงี้รึเปล่า   :impress:

โอ๊กกกกกกกกกกกกกกกกกกก  :m3: สำลักความสุขไปกับเรื่องนี้จริงๆ
อ่านจนจบเลยอยากให้มีคนมาเติมช่องว่างของเรามั่งจัง  :m3:
จากนี้อยากให้น้ำตาไหลเพราะอิ่มกับความรักที่เกิดขึ้นจากเรื่องนี้นะครับ
ไม่อยากให้มีเรื่องร้ายๆเกิดขึ้นเลยจริงๆ ให้ตายสิ

ไม่รู้ว่าผมพอจะเต็มช่องว่างให้เฮียได้มั๊ยครับ อิอิ  :m19:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด