พิมพ์หน้านี้ - การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: ExecutioneR ที่ 16-07-2007 14:51:09

หัวข้อ: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 16-07-2007 14:51:09
ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ (3)


บางครั้ง สิ่งที่คนเราคาดหวังไว้มันก็มักจะไม่เป็นไปตามที่ต้องการเสมอ
บางครั้ง สิ่งที่ไม่ได้คาดคิดก็กลับบังเกิดและอาจจะเล่นตลกกับโชคชะตาของมนุษย์เราได้อย่างไม่คาดฝัน
และถ้าหากมีเพียงสักครั้ง ที่ผมจะสามารถทำตามความปรารถนาของผมที่เคยตั้งใจเอาไว้ได้ ผมก็อยากจะให้เป็นครั้งนี้ ในช่วงเวลานี้เหลือเกิน................

ผมอยาก ที่จะรักมันได้เหมือนกับเมื่อคราวที่ผมไม่มีมันอยู่ข้างกาย..............

.
.
.

ไม่ง่ายเลย สำหรับการได้กลับมาพบกันและใช้เวลาอยู่ด้วยกันอีกครั้งหลังจากเวลาผ่านไปเนิ่นนาน ความรู้สึกนึกคิดทั้งหมดที่ผมเคยคิดเคยเข้าใจเกี่ยวกับความรู้สึกของตัวเองมันแทบจะไร้ซึ่งความหมายใดๆ แต่กลับกลายเป็นเพียงความฝันลมๆแล้งๆที่คงไม่มีวันที่จะเกิดขึ้นได้จริง

ทำไมผมถึงทำให้ความรัก ไม่ใช่ความต้องการที่จะครอบครองได้เหมือนที่ผมคิดว่าผมจะทำได้
และทำไม ผมถึงต้องถามคำถามโง่ๆคำถามนี้กับตัวเองไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งในเมื่อผมก็รู้คำตอบอยู่แก่ใจอยู่แล้ว

คำตอบมันก็ง่ายๆ

แค่เพราะ ผมรักมันมากเหลือเกินจริงๆ

.
.
.

ผมเคยคิดว่าความรักของผม ผมไม่จำเป็นที่จะต้องได้การแสดงความรักตอบกลับมา ผมขอแค่ได้รักและได้ทำให้คนที่ผมรักมีความสุขเท่านั้นก็คงเพียงพอ แต่เมื่อผมสามารถเอื้อมมือออกไปสัมผัสท้องฟ้าได้อีกครั้ง เมื่อผมสามารถรับรู้ถึงความสว่างสดใส ความสวยงาม และความอบอุ่นจากท้องฟ้าอันเป็นที่รักของผมได้อีก ตอนนี้ผมกลับมีความต้องการขึ้นมาบ้างเสียแล้ว........... ผมต้องการที่จะรู้จริงๆว่า ท้องฟ้านั้นแท้จริงแล้วคิดอย่างไรกับการที่ต้องมีก้อนเมฆมาคอยลอยเคียงคู่อยู่ข้างกาย.................


-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


แล้วพบกันกับฉบับนิยายในมุมมองที่ต่างออกไป เร็วๆนี้ครับ

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 16-07-2007 15:00:15
ยินดีต้อนรับกลับบ้านครับ

  :m4: :m4: :m4: :m4:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 16-07-2007 15:08:05
การปล่อยวางไงครับ
สิ่งต่างๆล้วนไม่ใช่ของเรา
 :m2: :m2: :m2:

ผมไล่ตามนี้ถูกปะ เพื่อนๆช่วยดูหน่อยอิอิ
 :m13:

ภาค1

[เรื่องสั้น - จบแล้ว] เวลาที่ถูกหยุดเอาไว้..................... 
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=1060.0

ภาค2
[เรื่องสั้น รับวันแห่งความรัก] เวลาที่เริ่มเดินอีกครั้ง............ (ภาคต่อ)
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=1127.0

ภาค3 คือกระทู้นี้
การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2104.0


หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ronger ที่ 16-07-2007 15:16:12
ภาคต่อมาแล้ว   เย้ :m1:
จะรอติดตามผลงานนะจ้ะ o17


มาตอบเพิ่ม รีบนของพี่เรย์
ตามที่ติดตามอ่านมา  เรียงตามนั้นถูกต้องแล้วค่ะ :m4:

 
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 16-07-2007 15:19:34
คิดถึงคุณ ExecutioneR  :m1: :m1: :m1:
ชอบเรื่อง เวลาที่ถูกหยุดเอาไว้ (ภาคแรก) มากๆๆๆๆๆๆๆๆ เลยครับ

 :m15: :m15: :m15:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 16-07-2007 15:29:25
 :seng2ped: :seng2ped: :seng2ped:   ยินดีต้อนรับกลับเล้าเป็ด ค่า 
"ท้องฟ้า กับ ก้อนเมฆ"  กลับมาแย้ว     :m4: :m4: :m4:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 16-07-2007 15:55:26
wow!!!  :m3:  :m3:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 16-07-2007 16:28:18
 :m4: ในที่ฉุดพี่ต้นนุ่มนิ่มก็กลับมา หายไปไหนมาน๊า.. นานจังเยย  :m1:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 16-07-2007 20:51:05
มาต้อนรับ ศิลากับฟ้าคราม ค่ะ  :m13:  :m13:
ชอบเรื่องนี้มาก  :m1:  :m1:  :m1:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 16-07-2007 20:55:22
มารอด้วยคน  :m1:  :m1:  :m1:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 17-07-2007 13:12:47
เย้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ   :m4:

ติดตามเสมอคับ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 17-07-2007 17:07:54

.............รอต่ออยู่นะคับ.........

............"ท้องฟ้า...กับก้อนเมฆ"........... :undecided: :undecided:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 18-07-2007 11:15:08
ตอนที่ 1


เป็นเวลาเกือบสองสัปดาห์แล้วที่ผมกับไอ้ซันได้พบกันอีกครั้ง และก็เป็นสองสัปดาห์ที่จะว่านานก็นานจะว่าสั้นก็สั้น และยังเป็นสิบวันที่ทำให้ผมรู้สึกลำบากใจไม่น้อยเลยกับการที่ต้องมาอยู่บ้านเดียวกับครอบครัวของมันและยังต้องคอยต่อสู้กับความรู้สึกของตัวเองอีกด้วย

ตลอดช่วงนี้จะเป็นช่วงที่ผมมีเวลาว่างค่อนข้างมากเนื่องจากอะไรๆมันยังไม่ลงตัวเสียทีเดียว ผมยังคงมีปัญหาเรื่องสถานที่เรียนและอื่นๆอีกหลายอย่างไม่ใช่ว่ามาถึงแล้วจะเรียนได้เลยทันที นอกจากนี้ผมยังอยากจะหางานเล็กๆทำคู่กับการเรียนไปด้วยเพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณและทดแทนน้ำใจที่พ่อกับแม่ของไอ้ซันมอบให้ ต่างจากไอ้ซันเองที่เริ่มเรียนมาได้จะครบปีนึงแล้ว แต่อีกไม่นานก็จะถึงช่วงหยุดของมันที่ผมกับมันเคยคุยกันไว้นานแล้วว่าเราสองคนจะทำอะไรกันดี

ความรู้สึกหวั่นไหวในใจของผมมันยังคงมีอยู่ตลอดเวลา ความทรมานใจที่ต้องคอยข่มกลั้นความอยากรู้เอาไว้ว่ามันจะยังรักผมอยู่มั๊ย มันจะจำสิ่งที่เราเคยมีระหว่างกันและกันได้รึเปล่า และที่สำคัญ มันจะจำคำพูดสุดท้าย........ หรือจะว่าไปจริงๆแล้วก็คือ ตัวหนังสือประโยคสุดท้ายที่มัน เขียน  ส่งให้ผมได้รึเปล่า............

.
.
.

วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ไม่มีใครอยู่บ้านอีกเช่นเคย แต่ก็นะ ยังเป็นตอนบ่ายอยู่แบบนี้มันก็เป็นเรื่องธรรมดา คุณลุงกับคุณป้าก็ออกไปทำงาน ส่วนไอ้ตัวแสบก็ยังอยู่ที่มหาลัยอีกสองสามชั่วโมงก็คงกลับ ผมเองหลังจากกลับจากออกไปซื้อของใช้นิดๆหน่อยๆเข้าบ้าน หรือออกไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะเล็กๆใกล้ๆนี้กลับมาก็มักจะช่วยทำความสะอาดบ้านเป็นการตอบแทนที่ต้องมาอาศัยเขาอยู่แบบนี้ทุกวัน ถึงแม้คุณลุงกับคุณป้าจะบอกว่าไม่จำเป็นต้องทำเพราะมีคนมาทำให้สัปดาห์ละหนอยู่แล้วก็เถอะ แต่ผมเองก็ทนอยู่เฉยๆไม่ได้หรอก

หลังจากเก็บกวาดบ้านเสร็จซึ่งก็ใช้เวลาไปแค่ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงเพราะทุกอย่างมักจะวางเป็นระเบียบและสะอาดสะอ้านอยู่แล้ว ผมก็เดินขึ้นห้องนอนเปิดแล็ปท็อปเพื่อเช็คเมล์และเสิร์ชอ่านนู่นนี่ไปเรื่อยเปื่อย เมื่อคอมพิวเตอร์เริ่มบู๊ทเครื่องผมก็เอนหลังบิดขี้เกียจหนึ่งที พลันสายตาก็ไปหยุดอยู่ที่สมุดโน้ตเล่มเล็กปกแข็งสีน้ำตาลแดงเล่มนั้นที่วางอยู่ข้างๆหนังสือที่ผมไม่ลืมที่จะหยิบติดมาด้วยจากประเทศไทยนั่นก็คือ เดอะ มิซซิ่ง พีซ มีทส์ เดอะ บิ๊ก โอ บนชั้นวางหนังสือเหนือโต๊ะทำงานของผม หนังสือและสมุดเล่มนี้รวมไปถึงที่คั่นหนังสืออันนั้นที่ยังคงสอดอยู่ที่หน้าเดิมตั้งแต่ผมจับมันเปิดอ่านเป็นครั้งสุดท้ายที่สนามบินสุวรรณภูมิ แต่นับตั้งแต่ผมมาถึงที่นี่ผมก็ไม่เคยจับมันเปิดขึ้นมาอีกเลย ผมไม่เคยหยิบที่คั่นหนังสือนั้นออกมาอ่านลายมือที่ผมเคยคุ้นเคยนั้นอีกแม้แต่ครั้งเดียว ถึงแม้ตอนอยู่ที่ไทยผมหยิบมันบ่อยมากจนแทบจะเอามันมาทำเป็นจี้ห้อยคอไปแล้วก็ตาม แต่นั่นก็ยังไม่เท่ากับสมุดเล่มนั้น เล่มที่ผมกำลังนั่งมองมันอยู่ด้วยความรู้สึกแปลกๆที่ก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง....... ความคิดความทรงจำหลายๆอย่างต่างพรั่งพรูเข้ามาในหัวของผมอีกครั้งเช่นเดียวกับทุกครั้งที่ผมหันไปมองเห็นมัน

มันคือสมุดเล่มที่ผมเขียนถึงไอ้ซันในตอนที่ผมนอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล

มันคือข้อความที่ผมอยากจะส่งไปให้ถึงมัน แต่สุดท้ายก็เป็นได้เพียงแค่ความรู้สึกของผมที่อยากจะบอกให้มันรู้ว่าผมรู้สึกกับมันเช่นไรในตอนที่ผมเพิ่งลืมตาตื่นขึ้นมาและรับรู้ความจริงทุกอย่างจากปากของพ่อในตอนนั้น ความรู้สึกตลอดสามปีที่ผมกับมันได้รู้จักกันและได้ทำอะไรร่วมกัน ความรู้สึกของผมที่มีต่อมัน และช่วงเวลาที่ความรู้สึกของผมนั้นแปรเปลี่ยนไปเป็นมากกว่าคำว่าเพื่อนนั้นคือตอนไหน.........

แต่สุดท้ายของท้ายที่สุดแล้ว สมุดเล่มนั้นก็ถูกปิดลงและไม่เคยถูกเปิดอ่านอีกเลยนับตั้งแต่วันที่ผมเขียนเสร็จ

ผมลุกขึ้นไปเอื้อมหยิบสมุดเล่นนั้นขึ้นมาพลิกหน้ากระดาษผ่านๆ ไล่สายตาผ่านลายมือของผมเองซึ่งผมเองยังแทบจะจำไม่ได้ว่ามันเป็นอย่างไร เพราะปกติแล้วผมเป็นคนไม่ชอบเขียนเลยจริงๆ นี่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกที่ผมเขียนอะไรยาวๆแบบนี้ และที่สำคัญ ผมตั้งใจจะเขียนให้คนอื่นอ่านเสียด้วย ถึงแม้ความต้องการนั้นจะกลายเป็นหมันไปแล้วก็ตาม

ผมโยนสมุดเล่มนั้นลงไปบนเตียงนอน และหันกลับมายังหน้าจอแล็ปท็อปที่มีรูปพื้นหลังเป็นรูปท้องฟ้าสุดท้ายในเมืองไทยที่ผมเห็นและถ่ายเอาไว้ด้วยมือของตัวเอง ถ้าเป็นทุกครั้งผมก็คงไม่ได้คิดอะไร แต่วันนี้ ณ เวลานี้ ภาพของท้องฟ้าที่ผมคิดว่าสวยที่สุดตั้งแต่ผมเคยเห็นมา แสงสีส้มจากพระอาทิตย์ในยามเย็นทอแสงตัดกับก้อนเมฆสีขาว......... ท้องฟ้ายามเย็นมักจะดูเศร้าสร้อยทุกครั้งสำหรับผม แต่ครั้งนั้น..... ท้องฟ้ายามนั้น..... รูปถ่ายนี้ กลับทำให้ผมรู้สึกเหงายิ่งกว่าครั้งไหนๆเสียอีก

แต่ก็เป็นความเหงาที่ทำให้ผมมีรอยยิ้มได้ทุกครั้งที่นึกถึง

การจากลา ที่กำลังจะเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ของชีวิตของผม

แต่เมื่อผมคิดถึงว่าในที่สุดผมก็นั่งอยู่ตรงนี้แล้ว วันเวลาผ่านมาแล้วเกือบจะครึ่งเดือน แต่ทำไมในใจของผมถึงยังสลัดความคิดเก่าๆออกไปไม่ได้สักที................

ขณะที่ผมกำลังติดอยู่กับห้วงคำนึงของตัวเองก็มีเสียงๆหนึ่งดังขึ้นจากข้างตัวของผม

“ว่าไง ทำอะไรอยู่ไอ้ตัวดี”

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 18-07-2007 11:23:37
เป็นกำลังใจให้เสมอนะครับ

สู้ๆ ครับ

 :yeb:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 18-07-2007 12:11:28

............ความทรงจำในหัวใจ...ลบเท่าไหร่..ไม่เคยเลือน.......... o7 o7
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 18-07-2007 15:18:58

คิดถึงจัง  :m1:

====================================================================
ใครอยากได้ "The Missing Piece and The Big O" ทิ้งเมลล์ไว้ได้เลยนะคับ เดี๊ยวจะส่งให้นะ
ถ้ายังไง ก็อย่าลืมไปอ่านเรื่อง "เวลาที่ถูกหยุดเอาไว้" กับ "เวลาที่เริ่มเดินอีกครั้ง" ด้วยนะคับ
 :m11:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: NewcoolstaR ที่ 18-07-2007 15:34:35
 o8 ปลอมตัวแอบเข้ามาอ่านเงียบๆ....ไม่ให้ใครรู้... :แปลงร่าง3:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 18-07-2007 16:52:39
อืม ยิ่งอ่านยิ่งงง
 :serius2: :serius2: :serius2: :serius2:
วันหลังสัมภาษณ์เจ้าตัวดีกว่า
 :m12: :m12:

หายปวดหัวอ่ะยัง
 :m13:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 18-07-2007 19:05:22
เรื่องราวยังอึมครึมอยู่  :m13:  :m13:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 18-07-2007 20:52:21
อืมม  ยังไม่รู้จาเมนต์อะไร  o6

รออ่านต่อก่อนน้า  เป็นกำลังใจให้  :m1:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: tonsai_2520 ที่ 18-07-2007 23:09:59


เหนื่อยยยยยยยยยยยยยยยยย


งานเยอะชิบ . . . ไม่แวะที่ไหนเลยนะ  มาหาไอ้น้องรักมันก่อน

ไม่ได้เล่นเน็ทหลายวันเพราะเล่นดัมมี่แทน . . . .

ปล.ท้องฟ้ายามค่ำ  ดื่มด่ำกับสายลมริมหาด  ที่ที่มีดวงดาวดารดาษ  สุขหัวใจจริง ๆ  หนอ  แรกเริ่มไม่อยากมา  แต่ตอนนี้  ไม่อยากกลับซะงั้น   

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 20-07-2007 09:50:02
ตอนที่ 2


เสียงของไอ้ซันดังขึ้นที่หน้าประตูห้องของผม ผมลืมปิดประตูนี่นา มันเดินเข้ามาในห้องและวางกระเป๋าลงบนเตียง พร้อมกับเดินมาหยุดอยู่ทางด้านหลังของผมและชะโงกข้ามไหล่มามองยังหน้าจอของแล็ปท็อป

“นึกว่าดูเว็บโป๊อยู่ซะอีก ว้า” พอพูดจบมันก็ผละลงไปนั่งอยู่บนเตียงของผมและล้มตัวลงนอน

“จะบ้าเรอะไง แล้วนี่กลับมาเมื่อไหร่ไม่ให้สุ้มให้เสียงวะ” ผมกวาดตามองไปยังด้านมุมล่างขวาของจอเพื่อดูเวลา “กลับมาเร็วนี่ นึกว่าอีกสักชั่วโมงจะมาถึงซะอีก” ผมหมุนเก้าอี้หันกลับไปคุยกับมัน

“อืม วันนี้อยากกลับเร็วน่ะ” มันตอบทั้งๆที่ยังหลับตาอยู่ ผมเองก็ไม่อยากซักไซ้อะไรมากมายเลยหันกลับมาที่หน้าจอคอมพิวเตอร์อีกครั้ง ปล่อยให้มันนอนอยู่บนเตียงของผมไป ผมกดเข้าไปเช็คอีเมล์ ไม่มีเมล์ใหม่เข้ามานอกจากฟอร์เวิร์ดเมล์สองสามฉบับจากเพื่อนๆ ฉบับแรกที่ผมเปิดอ่านก็เป็นเรื่องราวการ์ตูนเกี่ยวกับความรัก มิตรภาพของเพื่อนทั่วๆไป เป็นเมล์ความหมายดีๆที่คนชอบส่งให้กัน แต่เมื่ออ่านเสร็จผมกลับต้องถอนหายใจเบาๆและปิดหน้าต่างฮ็อทเมล์ทิ้งไป ความรู้สึกคิดถึงบ้าน คิดถึงเพื่อนเริ่มเอ่อล้นขึ้นมาอีกครั้ง แต่แล้วผมก็ต้องชาวาบไปทั้งตัว เมื่อเกิดฉุกใจคิดขึ้นมาได้ว่าสมุดเล่มนั้นที่ผมโยนทิ้งเอาไว้บนเตียงเดียวกับที่ไอ้ซันกำลังนอนอยู่ ผมรีบหันกลับไปมองไปยังตำแหน่งที่ผมโยนมันลงไป ปรากฏว่ามันวางอยู่ข้างๆหัวของไอ้ซันพอดี และดูเหมือนไอ้ตัวแสบเองก็ยังไม่ได้สังเกตเห็นหรือสนใจอะไรมันนัก ผมค่อยๆลุกขึ้นยืนพยายามทำตัวไม่ให้มีพิรุธที่สุดและเดินตรงไปที่เตียง ไอ้ซันยังคงหลับตาอยู่

“จะนอนเหรอ” ผมถามขณะที่ทิ้งตัวลงนั่งและค่อยๆเลื่อนสมุดเล่มนั้นออกไปห่างๆ

“ไม่หรอก นอนคิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะ” มันยังคงไม่ลืมตาขึ้นมา

“เป็นอะไรรึเปล่าวะ” ผมถามด้วยความเป็นห่วงเพราะรู้สึกว่าวันนี้มันจะมาแปลกไปจากทุกที

“เปล่าหรอก....... แต่หิวว่ะ ลงไปทำอะไรให้กูกินหน่อยดิ่ อยากกินผัดผักอ่ะ” มันเอียงตัวตะแคงมาสบตากับผมแล้วทำหน้าอ้อนแบบที่มันชอบแกล้งทำเวลาที่อยากให้ผมทำอะไรให้

“ไอ้ห่านี่ ข้าวก็ยังไม่ได้หุง แถมกลับมาก็ใช้กูทันทีเลยนะ”

“น่านะ หิวอ่ะ วันนี้ทั้งวันกินเบอร์เกอร์ไปชิ้นเดียวเอง” มันทำตาละห้อยพลางเอามือลูบพุงแสดงท่าทีขอความเห็นใจ

“เออๆ ก็ได้ แต่ต้องรอหน่อยนะ ต้องหุงข้าวอีก” ผมลุกขึ้นยืน แต่ก่อนหน้านั้นผมแกล้งทำเป็นเบี่ยงตัวเขยิบหลบมันแล้วสอดสมุดเล่มนั้นเข้าไปใต้หมอน

“อืม ไม่เป็นไร กูไม่รีบ เสร็จแล้วมาเรียกด้วยล่ะ”

“อะไร มึงจะนอนอยู่ในห้องกูเหรอ”

“อืม แปบเดียวเองน่า ทำไม หวงเหรอวะ” มันหันมาจ้องหน้าผม

“เปล่า ไอ้ห่า กูแค่ว่าทำไมมึงไม่ไปล้างหน้าล้างตาล้างตีนอะไรของมึงก่อนก็แค่นั้นเอง เออ ตามใจมึง เสร็จแล้วเดี๋ยวกูมาตามก็แล้วกัน” ผมเดินไปปิดฝาแล็ปท็อปโดยที่ยังไม่ได้ปิดเครื่องจากนั้นก็เดินออกจากห้องไป

ขณะที่กำลังจัดเตรียมวัตถุดิบทำอาหารทั้งหลายอยู่นั้นผมนึกไปถึงใบหน้าของมันที่ทำหน้าอ้อนตอนขอให้ผมลงมาทำอาหารให้ ผมสั้นเกรียนที่เคยเป็นยังไงก็ยังคงเป็นอย่างนั้น ใบหน้าที่ดูคมสันมากขึ้นกว่าเมื่อหนึ่งปีก่อนแต่กลับดูเรียวลง และยังน้ำหนักที่มันบอกว่าเพิ่มขึ้น แต่ผมคิดว่าน่าจะเป็นเพราะกล้ามเนื้อมากกว่าไขมันอย่างที่มันชอบบ่นว่าอ้วนขึ้นๆ ถ้าจะมีใครอ้วนขึ้นก็คงเป็นผมนี่แหละเพราะตั้งแต่มาที่นี่ ทั้งอาหารและปัจจัยหลายๆอย่างทำให้ผมกินจุขึ้นมากและยังแทบไม่ได้ออกกำลังกายเหมือนเมื่อก่อนเลยด้วย หนึ่งปีที่ผ่านมาที่ผมเริ่มกลับไปฝึกยูโดฆ่าเวลาและเพื่อทำให้ตัวเองไม่ต้องฟุ้งซ่านอีกครั้งหลังจากที่หยุดเล่นไปถึงปีกว่า แต่ว่าร่างกายที่ผมเคยอุตส่าห์ดูแลมามันจะมาพังเอาเสียหมดก็ตอนนี้นี่แหละ

ผมก้มลงมองหน้าท้องของตัวเอง นี่ถ้าผมไม่เริ่มออกกำลังอีกครั้งอย่างจริงๆจังๆไม่ใช่แค่ไปวิ่งวันละไม่กี่ชั่วโมงแบบที่เพิ่งเริ่มทำอยู่ได้แค่อาทิตย์เดียวแบบนี้ ผมคงโดนมันเรียกว่า “ไอ้ตัวอ้วน” แทน “ไอ้ตัวดี” ที่มันชอบเรียกผมแน่ๆ

ผมนึกถึงคำที่มันเรียกผม............

“ไอ้ตัวดี” งั้นเหรอ

ผมเพิ่งถูกมันเรียกแบบนี้ก็ตั้งแต่ผมมาที่นี่เป็นครั้งแรกนี่แหละ แรกๆก็ไม่บ่อยเท่าไหร่แต่มาช่วงหลังๆนี้ที่ผมเริ่มถูกเรียกแบบนี้บ่อยขึ้นจนแทบจะไม่เคยถูกมันเรียกว่า เมฆ อีกเลย

มันมีความหมายอะไรรึเปล่า

หรือว่ามันไม่อยากจะเรียกผมว่าเมฆอีกแล้ว ซึ่งก็แปลเป็นนัยๆได้ว่ามันไม่ได้อยากจะให้ชื่อของผมไปพ้องกับชื่อของมันอีกแล้วรึเปล่า พอคิดแบบนี้ขึ้นมาผมก็รู้สึกใจหายวาบ แต่ผมมันก็คงคิดมากเกินไปอีกตามเคย หนึ่งปีนี้มันทำให้ผมแทบจะเปลี่ยนเป็นคนละคนไปเลย ถึงอะไรหลายๆอย่างจะยังคงเป็น “ตัวผม” แต่สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปแน่ๆคือ ความคิดของผมนั่นแหละ ชอบคิดอะไรมากเกินไปเลยเถิดจนบางที ถึงผมจะรู้ตัว แต่ก็หยุดไม่ได้ที่จะไม่คิด

แต่ครั้งนี้ผมต้องหยุดคิดอะไรไร้สาระพวกนั้นซะ แล้วกดปุ่มสวิตช์หม้อหุงข้าวสักที

ผมเริ่มลงมือล้างและหั่นผักที่มีอยู่ในตู้เย็น โชคยังดีที่วันนี้ผมออกไปซื้อผักผลไม้เข้ามาเพิ่มเลยทำให้ตัวเลือกมีมากขึ้น ผมเลือกที่จะผัดกะหล่ำปลีม่วง บร็อคโคลี่ และเบบี้แครอท แค่สามอย่างเพราะไอ้ซันเคยบอกว่าชอบ เมื่อนึกมาถึงสิ่งที่มันชอบแล้วก็ทำให้ผมต้องถอนหายใจอีกหน เพราะมีหลายอย่างเหลือเกินที่ผมยังไม่รู้เกี่ยวกับมัน หนึ่งปีที่ผ่านไปมันชอบมันเกลียดอะไรต่างไปจากเดิมมั่งหรือเปล่าก็ไม่รู้ ผมพยายามเรียนรู้หลายๆสิ่งหลายๆอย่างจากตัวมันให้มากขึ้น พยายามสังเกตว่ามันมีบุคลิกหรือนิสัยความชอบอะไรที่เปลี่ยนไปบ้างมั๊ย แต่สุดท้ายผมก็ยังคงมองหาอะไรไม่เจออยู่ดี ไม่รู้อีกเหมือนกันว่าเป็นเพราะมันเองแทบไม่มีอะไรเปลี่ยนไป หรือผมหามันไม่เจอเอง........... หรืออย่างที่สามที่ผมเพิ่งฉุกใจคิดขึ้นมาได้ตอนกำลังหั่นบร็อคโคลี่ นั่นก็คือ มันไม่ยอมให้ผมได้เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับตัวมันรึเปล่า มันตั้งใจที่จะปิดกั้นตัวเองจากผมอย่างนั้นเหรอ

อีกครั้งที่ผมเริ่มฟุ้งซ่านไปเองอีกแล้ว

ขณะที่ผมกำลังจัดการผัดผักของไอ้ซันและกำลังคิดถึงเรื่องราวที่ผมผ่านมาในหนึ่งปีโดยไม่มีมันอยู่นั้นผมก็ได้ยินเสียงของมันเดินเข้ามาทางด้านหลัง

“วันนี้พ่อกับแม่กูเค้าไม่กลับนะ โทรมาเห็นว่าจะไปนอนที่บ้านป้ากูน่ะ”

“บ้านป้าแอ๊นท์น่ะนะ” ผมแปลกใจ และหยุดกิจกรรมที่ทำอยู่หันมามองหน้ามัน ไอ้ซันเดินเข้ามาในห้องครัวและมาหยุดอยู่ที่หม้อหุงข้าวพลางทำท่าตรวจสอบเหมือนกับเช็คสภาพว่าข้าวสุกแล้วหรือยัง ถึงแม้การที่มองจากฝาหม้อข้าว เห็นชัดๆว่าไฟยังไม่ตัด และการเอาเอานิ้วไปจิ้มๆที่สวิตช์ไฟจะไม่ได้ช่วยอะไรเลยก็ตาม

“อืม กลับพรุ่งนี้น่ะ” มันยังคงเอานิ้วเขี่ยหม้อหุงข้าวไม่เลิก ผมเลยเลิกสนใจสิ่งที่มันกำลัง เอ่ออ พยายามจะทำอยู่และหันมาปรุงผัดผักต่อให้เสร็จ

ป้าแอ๊นท์คือพี่สาวของแม่ของไอ้ซันที่ย้ายมาอยู่ที่นี่กับสามีได้เกือบสิบปีแล้ว บ้านของเขาอยู่เมืองถัดไปซึ่งคุณป้าเองก็ชอบแวะไปประจำ ผมเองยังไม่เคยไปหรอก แต่ว่าผมเคยเจอป้าเขาแล้วสองครั้งที่บ้านหลังนี้นี่แหละ ป้าแอ๊นท์ ผู้ซึ่งชอบให้คนเรียกว่า แอน มากกว่าเพราะแอ๊นท์มันแปลว่ามด แกไม่ชอบ แกบอกผมว่าแกชอบของใหญ่ๆ...... (อย่างน้อยแกก็เคยบอกผมแบบนี้จริงๆ) แกเป็นคนที่ร่าเริงเกินวัยมากๆ ชอบแต่งตัวเปรี้ยวกระชากหัวใจคนที่มองเห็น และยังเป็นคนที่อบอุ่นมากๆเช่นกัน ซึ่งผมไม่เคยคิดเลยว่าคนที่ร่าเริง หัวเราะ ตลก และเปรี้ยวได้แทบจะตลอดเวลานั้นจะสามารถเป็นคนที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นและดูเป็นที่พึ่งพิงได้ในเวลาเดียวกันแบบนี้ และยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่ผมรู้สึกได้จากตัวป้าแอ๊นท์นี้มาจากวันที่ผมรู้จักป้าเขาแค่วันเดียวในเวลาไม่กี่ชั่วโมงด้วยซ้ำ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่แกจะเป็นคนที่ใครๆก็รักได้เพียงนี้

ครั้งแรกที่ผมเจอป้าแอ๊นท์ แกก็แสดงความเอ็นดูผมราวกับผมเป็นหลานแท้ๆของแกเลยจริงๆ แกยังเสนอให้ผมไปเที่ยวที่บ้านของแกบ้างในช่วงที่ผมไม่มีอะไรทำ และยังบอกว่าถ้าอยากช่วยป้าเขาทำอาหารก็ยังทำได้อีกด้วย เพราะป้าเขาเปิดร้านอาหารไทยเล็กๆอยู่ที่ละแวกบ้านนั่นแหละ จริงๆแล้วผมก็สนใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ผมก็ต้องปฏิเสธไปก่อนและอ้างว่าขอเป็นโอกาสหน้า เพราะผมเองยังอยากปรับตัวให้ชินกับสภาพสังคมและการใช้ชีวิตที่นี่เสียก่อน ผมอยากให้ผมอยู่ตัวกับตัวเองได้เสียก่อนที่จะไปเริ่มทำอะไรๆเพื่อคนอื่นเขา เพื่อที่ว่าเขาจะได้ไม่ต้องลำบากถ้าผมทำอะไรผิดพลาดไปนั่นเอง

แต่การที่ทั้งคุณลุงและคุณป้าไปพร้อมๆกันทั้งสองคนเหมือนกับจะกะทันหันโดยที่ไม่ได้บอกไว้ล่วงหน้าแบบนี้ ผมเองยังรู้สึกว่ามันมีอะไรพิเศษหรือแปลกไปหรือเปล่า และไอ้ซันเองก็คงจะรู้สึกถึงความผิดปกตินี้ได้เช่นเดียวกัน

เมื่อผัดผักเสร็จ ผมกำลังจะเอื้อมมือไปหยิบจานที่วางอยู่ข้างๆ

“ถ้างั้นวันนี้........” ผมพูดขึ้น

“มึงก็อยู่กับกูสองคนไง” ไอ้ซันหยิบจานใบนั้นส่งมาให้ผม แต่ไม่รู้ทำไมเมื่อผมรับจานมาจากมันผมกลับหันหน้าหลบสายตามันซะอย่างนั้น

“กูจะพูดว่า ถ้างั้นวันนี้ตอนกลางคืนจะทำอะไรกันดี ไม่ใช่ กูหมายถึง ตอนกลางคืนเราจะทำอะไรกินกัน เราจะกินอะไรกันดีต่างหาก” ผมรีบพูดแก้ประโยคของตัวเอง และก็รู้สึกด้วยว่าตัวเองพูดเร็วเกินความจำเป็น

“กินกับข้าวฝีมือมึงนี่แหละ กูชอบ” ไอ้ซันเดินมาหยุดอยู่ข้างๆผมแล้วเอามือโอบเอวของผมไว้ ทำให้ผมรู้สึกร้อนฉ่าไปทั้งใบหน้าทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เราก็เคยทำแบบนี้กันมาเป็นล้านรอบแล้ว แต่ผมกลับไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลยจริงๆ

แต่จะว่าไป นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ผมกับมันได้สัมผัสตัวใกล้กันแบบนี้ตั้งแต่เราได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง

คราวนี้ผมจะหลบหน้ามันยังไงเพื่อไม่ให้มันเห็นว่าผมหน้าแดงดีล่ะเนี่ย

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 20-07-2007 09:52:03


เหนื่อยยยยยยยยยยยยยยยยย


งานเยอะชิบ . . . ไม่แวะที่ไหนเลยนะ  มาหาไอ้น้องรักมันก่อน

ไม่ได้เล่นเน็ทหลายวันเพราะเล่นดัมมี่แทน . . . .

ปล.ท้องฟ้ายามค่ำ  ดื่มด่ำกับสายลมริมหาด  ที่ที่มีดวงดาวดารดาษ  สุขหัวใจจริง ๆ  หนอ  แรกเริ่มไม่อยากมา  แต่ตอนนี้  ไม่อยากกลับซะงั้น   



^
^

ทำมาพูดดี ก็เห็นงี้ประจำอ่ะ  :o10:
ทำมาพูดแฝงความหมาย ผมล่ะเบื่อพี่จริงๆ  :seng2ped:


หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 20-07-2007 10:37:29
รอดูว่าคืนนี้จะทำอะไรกัน

กร้ากกกกกกกกกกกก

 :m11: :m11: :m11: :m11:

เป็นกำลังใจให้เหมือนเดิมครับ

 :yeb:




เหนื่อยยยยยยยยยยยยยยยยย


งานเยอะชิบ . . . ไม่แวะที่ไหนเลยนะ  มาหาไอ้น้องรักมันก่อน

ไม่ได้เล่นเน็ทหลายวันเพราะเล่นดัมมี่แทน . . . .

ปล.ท้องฟ้ายามค่ำ  ดื่มด่ำกับสายลมริมหาด  ที่ที่มีดวงดาวดารดาษ  สุขหัวใจจริง ๆ  หนอ  แรกเริ่มไม่อยากมา  แต่ตอนนี้  ไม่อยากกลับซะงั้น   



^
^

ทำมาพูดดี ก็เห็นงี้ประจำอ่ะ  :o10:
ทำมาพูดแฝงความหมาย ผมล่ะเบื่อพี่จริงๆ  :seng2ped:




สงสัยมียาดีอยู่ที่ภูเขาใหญ่

เหอเหอ

 :m14: :m14: :m14: :m14:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 20-07-2007 11:48:05
รอลุ้นอยู่เช่นกันคับ
 :o8:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 20-07-2007 14:54:31
เหมือนจะห่างกันไกล แต่ใจยังสื่อถึง
 :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 20-07-2007 16:03:32

...........ระวังความระแวงจะทำหั้ยเราต้องจบกัน........... :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: tonsai_2520 ที่ 20-07-2007 16:42:27


เหนื่อยยยยยยยยยยยยยยยยย


งานเยอะชิบ . . . ไม่แวะที่ไหนเลยนะ  มาหาไอ้น้องรักมันก่อน

ไม่ได้เล่นเน็ทหลายวันเพราะเล่นดัมมี่แทน . . . .

ปล.ท้องฟ้ายามค่ำ  ดื่มด่ำกับสายลมริมหาด  ที่ที่มีดวงดาวดารดาษ  สุขหัวใจจริง ๆ  หนอ  แรกเริ่มไม่อยากมา  แต่ตอนนี้  ไม่อยากกลับซะงั้น   



^
^

ทำมาพูดดี ก็เห็นงี้ประจำอ่ะ  :o10:
ทำมาพูดแฝงความหมาย ผมล่ะเบื่อพี่จริงๆ  :seng2ped:





อ้าว. . .

พูดจริง ๆ  หนา  อยู่ในที่ ที่รอบ ๆ  ตัวเป็นทะเล  ก็มีแต่ดวงดาวกับเกลียวคลื่นดิ๊


กว่าจะได้จับคอมพิวเตอร์  ก็หลาย ๆ  วันครั้ง . . . . จับไพ่เบามือกว่าจริง ๆๆ

ปล. ทะเลทางใต้ที่สวยจริง ๆ  กลางคืนมืดมิด  เห็นแต่ดวงดาราแข่งแสงจันทร์เสี้ยว
   
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 20-07-2007 21:55:07
ลุ้นคืนนี้ด้วยคน  :-[  :-[  :-[
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 21-07-2007 22:02:52
ตอนที่ 3


“แม่บอกว่าป้าแอ๊นท์ตกบันได ข้อเท้าแพลงน่ะ” ไอ้ซันบอกผมขณะที่กำลังนั่งกินข้าวกับผัดผักฝีมือผมอยู่ แถมยังนั่งกินอยู่ในห้องของผมอีกต่างหาก ผมเลยต้องยกแล็ปท็อปมานอนเล่นบนเตียงแทน

“อ้าว แล้วป้าเขาเป็นอะไรมากรึเปล่าเนี่ย”

“เห็นว่าไม่มากนะ ลื่นตกมาแค่สองสามขั้นน่ะ แต่แม่กูเค้าก็อยากจะไปดูอาการอยู่ดี และที่สำคัญเห็นแม่เขาบอกว่าป้าเค้ามีเรื่องอยากจะคุยด้วยด้วยว่ะ กูก็ไม่รู้เหมือนกัน”

“อืมมม” ผมไม่ได้พูดอะไรต่อ ทำให้ความเงียบเข้ามาปกคลุมทั่วทั้งห้องเอาไว้ ผมคลิกเมาส์ไปยังฟอร์เวิร์ดเมล์ฉบับสุดท้ายที่เพื่อนของผมส่งมา มันเป็นรูปของสถานที่แห่งหนึ่งที่ผมเคยคิดว่าอยากจะไปมาตลอด ความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติที่รังสรรค์ ความสวยงามที่แปรเปลี่ยนไปตามฤดูกาล และความงดงามที่น่าไปสัมผัสได้ด้วยตาของตัวเองไม่ใช่แค่ที่เห็นจากรูปถ่าย

“เมฆ” ไอ้ซันพูดขึ้น

“หืม” ผมขานรับโดยที่ยังไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาจากแล็ปท็อป สายตาของผมยังคงจับจ้องไปยังรูปถ่ายเหล่านั้น

“ไอ้เมฆ” คราวนี้มันเน้นเสียงหนักขึ้นกว่าเดิม

“ก็แล้วอะไรเล่า” ผมเงยหน้าขึ้นมามองหน้ามัน แต่มันกลับไม่ยอมพูดอะไร สายตาของมันที่มองมาเริ่มจะทำให้ผมรู้สึกหวั่นไหวขึ้นมาอีกครั้ง และในสายตาของมันยังทำให้ผมนึกไปถึงสมุดเล่มนั้นที่ผมซ่อนไว้ใต้หมอนในตอนนี้อีกด้วย

“กูอิ่มว่ะ”

“โธ่เอ๊ย ไอ้ห่า กูก็นึกว่าอะไร อิ่มก็เอาไปเก็บดิ่ ล้างเองด้วยนะมึง กูไม่ล้างให้นะ”

“เออๆ กูรู้แล้วน่า” มันลุกขึ้นยืนและหยิบจานกำลังจะเดินออกจากห้องไป แต่ก่อนที่มันจะออกไปพ้นประตู มันหมุนตัวหันมาหาผมแล้วพูดว่า “ขอบใจนะ ไอ้เมฆ”

ผมถึงกับนิ่วหน้างงไปกับคำพูดและท่าทางของมัน แต่แล้วก็ดูเหมือนมันจะชอบใจอยู่ไม่น้อยที่เห็นผมมีสีหน้าแบบนั้น มันถึงได้หัวเราะหึๆแล้วเดินออกจากห้องไป เมื่อมันออกจากห้องของผมไป ผมจึงรีบลุกขึ้นไปปิดประตูห้องและคราวนี้ผมไม่ลืมที่จะล็อคกลอนด้วย ผมหันกลับมาที่เตียงแล้วรีบหยิบสมุดใต้หมอนออกมาวางไว้บนชั้นวางหนังสือที่เดิม หนังสือ เดอะ มิซซิ่ง พีซ มีทส์ เดอะ บิ๊ก โอ ของผมที่ถูกวางอยู่บนชั้นอย่างนั้นมานานโดยที่ไม่มีการถูกจับขึ้นมาอีกครั้งเลย วันนี้มันช่างดูเชิญชวนให้ผมหยิบมันมาเปิดอ่านและหยิบดูของที่ถูกสอดอยู่ข้างในเสียเหลือเกิน และความคิดหนึ่งที่ผมเคยสงสัยมานานตั้งแต่วันแรกที่ผมมาถึงทีบ้านหลังนี้ นั่นก็คือ หนังสือเปื้อนเลือดของผมที่ผมตั้งใจจะมอบให้มันวันที่ผมเกิดอุบัติเหตุนั้น ตอนนี้มันอยู่ที่ไหนกันนะ

ผมเคยเข้าไปในห้องของไอ้ซันก็หลายรอบแล้ว ทั้งจงใจและไม่จงใจใช้สายตากวาดไปรอบห้องเพื่อหาหนังสือเล่มนั้นไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่ก็ไม่เคยเจอเลย

หรือว่ามันจะโยนส่งๆเก็บเอาไว้ในตู้ รึ ในลิ้นชัก
หรือว่า..... มันจะโยนทิ้งไปแล้วนะ

และอีกอย่างที่ผมสงสัยนั่นก็คือ ตอนนี้พ่อของผมก็รู้แล้วว่าผมคิดยังไงกับไอ้ซันและระหว่างเรามันเป็นยังไงและท่านก็ยอมรับมันได้ด้วย แต่ไอ้ซันล่ะ พ่อแม่ของมันคิดยังไงนะ คุณลุงกับคุณป้ารู้แล้วรึยัง ท่านจะรู้มั๊ยนะว่าตอนที่ไอ้ซันมันไปนอนเฝ้าผมทุกคืนก่อนที่มันจะมาที่นี่มันเพราะอะไร ทำไมลูกชายของเขาต้องทำถึงขนาดนั้นด้วย แต่ถ้ารู้ ท่านสองคนก็คงไม่ปล่อยให้ผมมานอนบ้านเดียวชายคาเดียวกับลูกชายเขาแบบนี้หรอก และที่สำคัญท่านทั้งคู่ก็ไม่เคยแสดงท่าทีอะไรที่ทำให้ผมต้องรู้สึกสะกิดใจเลยแม้แต่ครั้งเดียว แถมท่านยังเคยถามถึงนัทแฟนเก่าของผมอีกเสียด้วยซ้ำ

คนครอบครัวนี้นี่อ่านใจยาก เข้าใจยากกันทั้งครอบครัวเลยจริงๆ
แต่ก็ยังน่ารักและนิสัยดีกันทุกคนจริงๆด้วย..............
โดยเฉพาะลูกชายน่ะนะ

นึกแล้วก็อดหัวเราะให้กับความคิดบ้าๆบอๆของตัวเองไม่ได้จริงๆ
ไอ้เมฆขี้เพ้อเอ๊ยยยยย

“ไอ้ตัวดี ลงมานี่หน่อยดิ๊” เสียงของไอ้แสบตะโกนเรียกผมจากชั้นล่าง

“อารายย” ผมตะโกนกลับลงไป

“เออน่า ลงมาหากูหน่อยดิ่”

“มึงจะเอาอะไรเล่า”

“ลงมาเหอะน่า ไอ้เหี้ยนี่ เรียกแล้วทำมาต่อปากต่อคำ” มันยังตะโกนหลับมาไม่เลิก แถมทำยังกับผมเป็นคนรับใช้ของมันซะอย่างนั้นด้วยนะ

“เออๆ ไอ้เหี้ย เดี๋ยวกูลงไป ไอ้สัตว์นี่” ผมด่าสวนมันกลับ แต่ก็นึกขำอยู่ในใจ

ผมเดินไปปิดแล็ปท็อปและเอากระเป๋าสะพายยี่ห้อไนกี้ของมันที่วางอยู่ในห้องของผมไปเก็บไว้ที่ห้องของมันให้ ห้องของมันเป็นตัวอย่างของห้องที่ไม่เคยเป็นระเบียบของวัยรุ่นนักศึกษาชายได้เป็นอย่างดี หรือที่บางคนเรียกว่า ห้องของหนุ่มหอโสดอะไรแนวนั้น กองหนังสือที่ไม่ว่าจะเก็บสักกี่ทีแต่ไม่ถึงสิบห้านาทีถัดมาก็จะถูกรื้อลงมาอยู่ดี เตียงที่ไม่เคยเป็นระเบียบ และกองเสื้อผ้าที่กองสุมอยู่สองสามกองรวมทั้งกางเกงในของมันด้วย ขาดก็เพียงอย่างเดียวคือกองทิชชู่..........

แต่ก็ยังดีที่ห้องของมันไม่ได้รกและเน่าถึงขนาดนั้น เพราะมันเองก็มีความเป็นผู้ชายเจ้าระเบียบและเจ้าสำอางอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

“ไอ้เมฆฆฆฆ ทำอะไรของมึงอยู่วะ” มันตะโกนเร่งผมอีกครั้ง

ผมเดินออกจากห้องของมันและปิดประตูไว้ตามเดิม จากนั้นจึงเดินลงไปที่ห้องนั่งเล่นก็เห็นมันกำลังนอนเอกเขนกอยู่บนโซฟารับแขก มือขวากดรีโมทดูทีวี ส่วนมือซ้ายกำลังหยิบเลย์ที่ถุงเปิดอ้าอยู่ข้างตัวเข้าปาก

“มีอะไรวะ” ผมถาม

“ทำไมช้านักวะ” มันถามกลับ แต่สายตาก็ยังไม่ละไปจากทีวี

“กูก็ปิดแล็ปท็อปด้วยแล้วก็เอากระเป๋ามึงไปเก็บให้ที่ห้องไง มึงนั่นแหละที่มีอะไรถึงเร่งกูจัง” ผมยืนกอดอกอยู่ตรงบันได

“มานี่ๆ มาใกล้ๆนี่ ไม่ต้องไปยืนอยู่ตรงนู้นเลย”

“อะไรของมึงวะ” ผมยังไม่ยอมขยับตัวและชักจะเริ่มรู้สึกรำคาญขึ้นมาบ้างแล้ว

“เอาน่า มานี่หน่อยน้า มึงจะทำอะไรต่อล่ะ มีอะไรต้องไปทำรึไง” มันถามเสียงอ่อน

“ก็........ เปล่าหรอก”

“ไม่มีงั้นก็มานี่ดิ่ มาดูทีวีกับกูนี่เหอะมา”

“แค่เนี๊ยนะ ที่มึงเรียกกูจะเป็นจะตาย”

“อือ แค่เนี๊ยแหละ ทำไมอ่ะ กูอยากมีเพื่อนดูทีวีก็ไม่ได้เหรอไง” มันทำเสียงตัดพ้อ จนผมรู้สึกกลุ้มใจกับมันจริงๆ

“เออๆ กูก็ไม่ได้ว่าอะไร” ผมเดินเข้าไปหามันแล้วนั่งลงบนเก้าอี้นวมตัวที่ว่างอยู่ มันยื่นถุงเลย์มาให้ผมแต่ผมส่ายหัวปฏิเสธ มันจึงวางถุงขนมลงแล้วเดินไปหยิบดีวีดีกล่องหนึ่งมาจากชั้นเก็บซีดี

“เพื่อนกูให้ยืมมา มันบอกสนุก แต่กูยังไม่ได้ดูเลย มึงดูป่ะ” มันส่งกล่องดีวีดีมาให้ผม หนังเรื่องนั้นคือ โฮสเตล ผมเคยได้ยินชื่ออยู่เหมือนกันแต่ก็ไม่เคยดูหรอก เพราะเขาบอกกันว่าที่ไทยมันถูกหั่นถูกตัดถูกเซ็นเซอร์จนเหี้ยนไม่เหลืออะไรเลย เพราะเป็นหนังแนวฆาตกรโรคจิตเลือดสาดอะไรประมาณนั้น

“อ่อ มึงกลัวล่ะสิ” ผมยิ้ม และสาบานได้ว่าผมเห็นมันหน้าแดง

“ไอ้เหี้ย พูดอะไรบ้าๆ” มันหัวเราะเหมือนคนแก้เขินแล้วยื่นมือมาจะหยิบกล่องดีวีดีคืน แต่ผมชักมือหลบ

“มึงกลัวอ่ะดิ ใช่ป่าวไอ้ซัน มึงไม่กล้าดูคนเดียวใช่มั๊ยล่ะ สารภาพกับกูมาซะ”

“ก้อเออดิ่ ตกลงมึงจะดูไม่ดู” มันรีบคว้ากล่องหนังคืนแล้วหันกลับไปที่ชั้นเก็บซีดี

“ก็ดูดิ่ กูก็อยากดูมานานแล้วเหมือนกันเรื่องเนี๊ย แต่มึงจะดูตอนนี้เลยเหรอไม่เก็บไว้ดูดึกๆรึไง”

“ไอ้เหี้ย ดึกๆก็แย่สิครับ ดูสว่างๆนี่แหละดีแล้ว”

“ฮ่าๆๆ ไอ้ปัญญาอ่อน ดูก็ได้แต่กูจะดูดึกๆนะ ไม่งั้นไม่ดู มันไม่ได้บรรยากาศ ไม่มืด ไม่หลอน ไม่ดู ตอนนี้หาอะไรอย่างอื่นดูกันไปก่อนเหอะ” ผมเห็นมันมองมาที่ผมทำตาเขียวใส่ “อะไร มีปัญหารึไง ก็ดูกะกูไงจะไปกลัวอะไรเล่า แถมนี่มันไม่ใช่หนังผีสักหน่อยน่า”

“เออๆ ก็ได้ แต่ถ้ามีไรขึ้นมามึงรับผิดชอบเลยนะ”

“มีอะไรของมึงนี่มันหมายถึงมีอะไรวะ”

“ไม่รู้ไม่ชี้โว้ย งั้นมึงจะดูอะไร มาเลือกนี้มา กูมีหนังใหม่ที่ยังไม่ได้ดูอยู่สองสามเรื่อง”

ผมลุกขึ้นไปเลือกดีวีดีที่อยากดู แล้วเราก็เกิดการโต้คารมเรื่องหนังที่จะดูกันเล็กน้อย แต่สุดท้าย เรื่องที่พวกเราตัดสินใจจะดูกันก็คือเรื่อง วานิลลา สกาย ที่มี ทอม ครูซ เป็นพระเอก ซึ่งจริงๆแล้วเรื่องนี้ไม่ใช่หนังใหม่เลยจริงๆ แต่ก็เป็นหนังที่ทั้งผมและมันต่างก็ยังไม่เคยดู เราจึงตัดสินใจเปิดหนังเรื่องนี้ดูกัน

เชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่ ถึงแม้ตัวหนังจะเป็นเนื้อหาในแนวที่ผมไม่คิดเลยว่าไอ้ซันมันจะชอบดู แต่ผมกลับเห็นมันนั่งดูนิ่ง เงียบ และดูจะตั้งอกตั้งใจดูกว่าทุกครั้งเลยด้วย เรื่องราวดราม่าเข้มข้นที่เกี่ยวกับชีวิต ความรัก และยังแฝงปรัชญาไว้ให้ได้คิดเนี่ยนะที่คนอย่างไอ้ซันตั้งใจดู

อืมมม มันก็คงโตขึ้นแล้วจริงๆนั่นแหละ

แต่คิดอีกที จะพูดแบบนั้นก็ไม่ถูกซะทีเดียว เพราะมันเองบางทีก็เป็นคนเงียบๆ ที่เก็บความรู้สึกได้เก่งกว่าผมมาแต่ไหนแต่ไรแล้วเหมือนกัน

เข้าใจยากจริงๆ ฟ้าคราม............

ท้องฟ้าที่ปั่นป่วน เปลี่ยนสีทุกครั้งตามกาลเวลาและสภาพของภูมิอากาศ ไม่ต่างอะไรกับบุคลิกของมันที่ยากจะคาดเดาได้เลยจริงๆ ไม่ว่ากี่ครั้งที่ผมคิดถึงเรื่องนี้ผมก็ต้องยอมรับเลยว่า มันนี่แหละ เหมาะที่จะเป็น “ท้องฟ้า” จริงๆ

ท้องฟ้าครามผู้ยิ่งใหญ่และมีพลังอำนาจมากพอที่จะปกครองหมู่เมฆที่รายล้อมอยู่รอบกาย

ผมมองหน้าของมันแล้วเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจจนมันเหลือบมาสังเกตเห็น ผมรีบหลบสายตาและหัวเราะกลบเกลื่อน และมันก็หัวเราะหึๆไปกับผมด้วย

ช่วงเวลาดีๆที่ผมอยากจะหยุดมันลงอีกสักครั้ง............

อยากจะเก็บความรู้สึกอบอุ่นนี้ไว้ให้คงอยู่ในใจของผมได้ตลอดไป.....................

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 21-07-2007 22:12:44
อืม ถึงไม่มีอะไรให้ลุ้น แต่ก็อบอุ่นใจดีเนอะ   :m1:  :m1:  :m1:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ตามมาดู ที่ 21-07-2007 23:11:28
เฮ่อๆๆ รวดเดียง 3 ภาค... ขอต่ออีกนิดนะค้าบ...
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 22-07-2007 02:43:10
แค่นี้ก็รู้สึกดีแล้วหล่ะ
 :m1:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 22-07-2007 12:36:18
อืม ถึงไม่มีอะไรให้ลุ้น แต่ก็อบอุ่นใจดีเนอะ   :m1:  :m1:  :m1:

ดูท่าจะลุ้นอยากให้ x จังเลยนะคับเนี่ย  :o8:


หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 22-07-2007 12:37:30
ตอนที่ 4


คืนนี้ก็เป็นอีกคืนที่อากาศหนาว บรรยากาศนอกบ้านก็อึมครึมไม่ค่อยชวนให้รู้สึกสบายใจเท่าไหร่นัก ถึงจะเพิ่งหัวค่ำแต่อากาศกลับเย็นยะเยือก ลมพัดแรง แถมท้องฟ้าก็ดูมืดครึ้มกว่าปกติอีกต่างหาก

“กูว่ามึงโทรหาคุณลุงกับคุณป้าดูหน่อยดีกว่าว่ะ อากาศข้างนอกดูแปลกๆนะกูว่า” ผมหันมาบอกไอ้ซันหลังจากปิดหน้าต่างบานสุดท้ายลง

“อืม กูโทรไปแล้ว เพิ่งวางเมื่อกี๊นี้เอง” ไอ้แสบตอบ

“อ้าว ตอนไหนวะ กูไม่เห็นรู้เลย” ผมเดินถูแขนมานั่งอยู่ข้างๆเตาผิง “หนาวว่ะ กูล่ะไม่ชอบอากาศแบบนี้เลยจริงๆ”

“กูโทรไปตั้งแต่ตอนล้างจานเสร็จแล้ว” ไอ้ซันโยนผ้าห่มบนโซฟาข้ามมาให้ผม หลังจากที่เราดูหนังเรื่องแรกเสร็จ ผมก็จัดการทำอาหารง่ายๆกินกันกับไอ้ซันอีกรอบเป็นการคั่นเวลาช่วงของการดูหนังและทำให้เราได้คุยกันเรื่องหนังที่เพิ่งดูจบไปด้วย เราสองคนวิจารณ์หนังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างสนุกสนานแถมไอ้ซันยังมาเป็นลูกมือช่วยผมทำอาหารอีกต่างหาก หลังจากกินเสร็จก็เป็นหน้าที่ของไอ้ซันที่ต้องเก็บล้าง ส่วนผมก็ออกไปเก็บกวาด เก็บของนอกบ้านและปิดประตูลงกลอนหน้าต่างทั้งหมดของบ้านให้เรียบร้อย

“จริงดิ่ แล้วว่าไงบ้างล่ะ” ผมเดินไปนั่งชันเข่าอยู่บนโซฟาแล้วเอาผ้าห่มห่อตัวไว้

“ก็ไม่ว่าไงหรอก แต่พรุ่งนี้ป้าเค้าจะมากับพ่อแม่กูด้วย สายๆคงมาถึงนั่นและอีกอย่างคือ พรุ่งนี้กูไม่มีเรียนด้วยไง ป้าเค้าก็เลยอยากมาเยี่ยมน่ะ”

“มาเยี่ยมทั้งๆที่ขาเจ็บเนี่ยนะ”

“เท้า ไม่ใช่ขา” ไอ้ซันแก้ “แต่ก็ อืมใช่ ก็แม่กูเค้าว่างั้นนะ” ไอ้ซันเอนตัวลงนอนแล้วก็หันมาสั่งผม “พร้อมยัง กูไปหยิบขนมน้ำท่ามาเตรียมแล้วนะ มึงลุกไปเปิดหนังดูดิ่”

“กูเพิ่งจะได้นั่งเองนะ” ผมท้วง

“แล้วไง” มันชี้นิ้วไปที่ทีวี

“ครับๆ คุณชาย” ผมสะบัดผ้าห่มทิ้งแล้วลุกขึ้นไปสอดแผ่นดีวีดีเข้าไปในเครื่อง ไม่วายที่จะมีเสียงไอ้ซันดังขึ้นทางด้านหลังว่า “ดีมาก ว่าง่ายๆ ดีมากๆ”

ผมเดินกลับไปซุกตัวนั่งชันเข่าอยู่ในผ้าห่มท่าเดิม และพอหนังเริ่มไปได้สักสิบนาทีก็เริ่มมีฉากหวิวชนิดที่ว่าไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหนังเรื่องนี้ถึงได้ติดเรทนักและทำไมถึงไม่ได้เข้าฉายที่ไทย

“ไอ้เหี้ยยย นี่มันไม่เซ็นเซอร์หน่อยเหรอวะ” ไอ้ซันอุทานขึ้นเมื่อเห็นฉากผู้หญิงที่เปลือยทั้งตัวกำลังมีเซ็กส์อยู่กับผู้ชาย

“กูก็ถึงว่าเพื่อนกูมันถึงบอกถ้าคิดจะดูให้ไปหาแบบที่ไม่ตัดไม่เซ็นเซอร์มาดู”

“กูนึกว่ามันเพราะหนังมันจะออกแนวโหด วิตถาร เลือดสาดจออะไรแบบนี้ซะอีก นี่มันหนังโป๊ป่าววะ”

“ก็นั่นแหละ คงต้องรอดูกันต่อไปว่ะ ว่ามันจะโหดจริงรึเปล่า”

เราสองคนก็นั่งดูหนังกันไป กินขนมกันไปเรื่อยๆ แต่อีกไม่ถึงสิบนาทีไอ้ซันก็เริ่มบ่นขึ้นมาอีกครั้ง

“กูหนาวนะเนี่ย มึงไปเอาผ้าห่มมาให้กูอีกผืนเลย”

“เอ๊า เรื่องอะไรวะ มึงหนาวมึงก็ไปเอาเองดิ่”

“ก็นั่นน่ะผ้ากู” มันชี้มาที่ผ้าที่ผมกำลังใช้คลุมตัวอยู่ “มึงขึ้นห้องไปหยิบของมึงมาเองเลย”

“ไม่อาว กูก็ขี้เกียจเดิน วันนี้กูทำกับข้าวให้มึงกินตั้งสองหนแล้วนะ ถือว่าแลกเปลี่ยนกันไง” ผมหัวเราะในลำคอ

“ไม่ต้องมาหัวเราะ ถ้ามึงไม่อยากไปหยิบผ้าผืนใหม่มาเองล่ะก็ มานี่เลย” ไอ้ซันชันตัวขึ้นเป็นท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนและกวักมือเรียกผมหย็อยๆ

“อะไร” ผมถาม ทั้งๆที่ก็คิดว่ารู้ดีอยู่แล้วว่ามันหมายถึงอะไร

“มานั่งกับกูนี่ ผ้าผืนเบ้อเร่อ โซฟาก็ออกใหญ่ มึงมานั่งดูกับกูเลย”

“อารายของมึงงง อย่าบอกนะว่าเริ่มกลัวแล้วน่ะ”

“จะบ้าเหรอไง กูหนาวต่างหาก แถมหนังเพิ่งเริ่มได้ยังไม่ครึ่งชั่วโมง กูเห็นแต่นมกับหอยยังไม่เห็นจะมีเหี้ยอะไรให้น่ากลัวสักนิด”

“พูดเหมือนอยากเจอฉากหลอนๆไวๆนะมึงเนี่ย”

“แน่นอนอ่ะ กูออกจะแมนขนาดนี้ แค่นี้ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว พอๆ ไม่ต้องมาหัวเราะไม่ต้องมายิ้ม รีบๆเดินมาได้แล้ว กูพลาดหนังไปเยอะแล้วนะ”

ซึ่งก็จริงอย่างที่มันพูด ถึงเราจะเสียเวลาคุยกันไปแค่สองสามนาที แต่ด้วยความที่เป็นหนังที่ไม่มีซาวด์แทร็ค ไม่มีซับไตเติ้ลภาษาไทย เราจึงต้องใช้ความพยายามในการดูมากกว่าปกติหน่อย จนถ้าพลาดไปแค่ห้านาทีก็เหมือนจะทำให้ดูส่วนที่เหลือไม่รู้เรื่องแล้วว่าทำไมมันอยู่ดีๆถึงโผล่มาฉากนี้ได้ และอย่างเช่นทำไมตอนนี้ถึงได้มีผู้หญิงและผู้ชายแก้ผ้าเดินกันให้เต็มจอไปหมด

เป็นหนังที่เหมาะกับการดูพร้อมหน้าพร้อมตาทั้งครอบครัวจริงๆ เสียดายแค่พ่อกับแม่ของไอ้ซันไม่อยู่ดูด้วย

“โหยยย พลาดเลยๆเนี่ย นมทั้งนั้น มัวแต่คุยกับมึงเนี่ย ไอ้ตัวดีเอ๊ยยย” ไอ้ซันกดปุ่มย้อนหลังไปถึงฉากสุดท้ายตอนที่มันพูดว่ามันหนาวแล้วก็กดปุ่มพอสไว้ ผมเองก็ไม่อยากจะเถียงกับมันแล้วด้วย เลยลุกเดินไปเบียดตัวนั่งอยู่ข้างๆมัน

“ดีมาก ว่าง่ายๆ” ไอ้ซันเขยิบตัวให้ผมได้มีที่กว้างขึ้นอีกหน่อยแล้วก็ดึงผ้าห่มไปเกินกว่าครึ่งจากนั้นก็ล้มตัวลงนอนสบายอารมณ์ทันที

“เออ ดีเนอะ พอได้ไอ้ที่อยากได้ปุ๊บก็ไม่มีแคร์กูเลย” ผมทิ้งตัวลงนอนข้างๆมัน และเอื้อมมือไปหยิบรีโมทที่วางอยู่บนโต๊ะมากดปุ่มเพลย์อีกครั้ง และก็เป็นอย่างที่คิด อีกไม่ถึงห้านาทีถัดมาก็เป็นฉากสุดหวิวที่ไอ้ซันอยากดูนักดูหนาอีกครั้ง

“มึงว่าคนไหนพระเอกวะ” ไอ้ซันถามผม

“คนผมดำน่ะ”

“เหรอ อืม หล่อดี ดูดีกว่าอีกคนเยอะว่ะกูว่า”

“ช่ายยย” ผมพยักหน้าเบาๆ

ในที่สุดหนังก็ดำเนินเรื่องผ่านพ้นฉากสุดหวามจนเริ่มเปลี่ยนจากนมล้นจอเป็นเลือดท่วมจอได้สักที สำหรับผม เองผมรู้สึกเฉยๆนะ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเป็นคนจิตแข็งอยู่แล้วด้วยรึเปล่า เมื่อเห็นฉากเลื่อย เฉาะ ชำแหละอวัยวะอะไรแบบนี้ผมก็ไม่ได้รู้สึกพะอืดพะอมอะไรนัก ก็แค่ดูไปเรื่อยๆลุ้นตามหนังไปเรื่อย ดูว่าหนังมันจะพาเราไปในทิศทางไหน แต่ไอ้ซันกลับดูมีอาการขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด มันจะแอบทำหน้าพะอืดพะอมเล็กน้อยเป็นพักๆแบบคนไว้ท่า และชอบพูดว่า “แม่ง ทำไมทำเหมือนจริงจังวะ” อยู่เรื่อยๆ

“มึงไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอวะ” ไอ้ซันถามผมตอนถึงฉากที่พระเอกโดนจับมัด

“ก็ไม่นะ”

“ก็งี้แหละ ไอ้พวกไร้ความรู้สึกละเอียดอ่อน” มันทำเสียงเหมือนประชด ผมเลยดีดหูมันไปเบาๆหนึ่งที

“ครับ พ่อคนจิตใจละเอียดอ่อน แต่ว่ากูว่านะ.......”

“ว่าอะไร”

“อาจจะเป็นเพราะ........” ผมนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ในอดีต “เพราะกูเคยเห็นคนบางคนเลือดท่วมตัวมาต่อหน้าต่อตาแล้วก็ได้มั๊ง แถมไม่ใช่แค่เห็น แต่ยังเอาตัวไปคลุกกับกองเลือดนั้นมาด้วยอีกต่างหากน่ะสิ”

เมื่อผมพูดจบก็เกิดความเงียบขึ้นระหว่างเราสองคนขึ้นทันที ผมไม่รู้ว่าไอ้ซันมันกำลังคิดอะไรอยู่ แต่สิ่งที่ผมคิดอยู่ก็คือผมไม่น่าพูดเรื่องอุบัติเหตุครั้งนั้นขึ้นมาเลย แต่ไหนๆก็พูดไปแล้วมันก็ทำให้ผมคิดขึ้นมาได้ว่าทำไมผมถึงได้รับความรักจากพ่อแม่ของไอ้ซันมากขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะครั้งนั้นผมเป็นคนช่วยชีวิตลูกชายของเขาเอาไว้ ทว่าผมเองกลับไม่เคยคิดเลยว่าสิ่งที่ผมทำลงไปนั้นจะเป็นบุญคุณอะไรกับท่านทั้งสอง นอกจากนั้นยังทำให้ผมได้คิดถึงเวลาที่ผมเกือบจะสูญเสียไอ้ซันไป ช่วงเวลาที่ผมเคยสูญเสียมันไปแล้ว และนึกถึงตอนที่ผมได้ฟังทุกอย่างจากปากของพ่อตอนที่ผมเพิ่งฟื้นอีกด้วย

ทำไมวันนี้ผมถึงได้มีเรื่องให้คิดถึงอดีตเยอะนักนะ ผมกำหมัดของตัวเองแน่น พยายามข่มใจให้เลิกคิด แต่แล้วผมก็ต้องตกใจเมื่อรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นและความแข็งแรงจากมือของมันที่กำลังกุมอยู่ที่มือของผมภายใต้ผ้าห่ม ไอ้ซันกำลังกุมมือของผมอยู่และค่อยๆแกะมือที่กำหมัดแน่นของผมออกอย่างเบามือ ผมหันไปมองหน้าของมันด้วยความตกใจและก็พบกับสายตาของมันที่กำลังจ้องมองผมอยู่ก่อนแล้ว

“กูขอบใจมึงมากนะ เมฆ”

ผมคิดว่ามันคงหมายถึงเรื่องที่ผมช่วยชีวิตมันไว้ในครั้งนั้น ผมเองได้แต่พยักหน้าเบาๆ และขยับมือที่กำลังถูกกุมอยู่ในผ้าห่มอย่างอึดอัดใจ ไม่ใช่ไม่ชอบสิ่งที่มันกำลังทำอยู่ แต่เป็นเพราะรู้สึกแปลกใจต่างหาก ไอ้ซันคงรู้สึกได้ว่าผมขยับมือและอาจจะคิดว่าผมขยับมือหนีมันมันจึงรีบชักมือกลับทันที...........

“กูหนาวน่ะ จับต่อเถอะ” ผมพูด

คราวนี้ผมเป็นฝ่ายเอื้อมมือไปจับมือของมันเองบ้างแล้ว ผมรู้สึกได้ถึงใบหน้าของตัวเองที่ร้อนผ่าว และอุณหภูมิของห้องที่จู่ๆก็สูงขึ้นอย่างไม่ได้คาดคิด ไอ้ซันเองก็มีท่าทางเขินอายอยู่ไม่น้อยเหมือนกันแต่สุดท้ายมันก็กุมมือของผมไว้เหมือนเดิม

ตัวหนังก็ยังดำเนินเรื่องต่อไปจนถึงช่วงไคลแม็กซ์ ผมกับไอ้ซันพูดคุยวิจารณ์หนังกันมากกว่าปกติเพื่อที่จะปกปิดความเขินอายในสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่และสิ่งที่ผมกับมันกำลังทำอยู่ และสุดท้ายเมื่อเราทั้งคู่รู้สึกว่าเหงื่อในมือเริ่มไหลออกมา เราก็ค่อยๆคลายมือออกจากกันโดยอัตโนมัติโดยที่ไม่ได้มีใครทำท่าหรือพูดอะไรที่ผิดปกติเลย

ราวกับว่าเมื่อสิบนาทีก่อนนั้นไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นแม้แต่น้อย........................

.
.
.

ถึงแม้ภายนอกบ้านหลังนี้จะมืดครึ้มและหนาวเหน็บ แต่ว่าตอนนี้ในห้องนั่งเล่นห้องนี้กลับอบอวลและส่องสว่างไปด้วยความอบอุ่นจากแสงแดดอันอบอุ่นของดวงอาทิตย์ดวงเดิมที่ผมเคยได้สัมผัสและเคยวิ่งไล่ตามปรารถนาจะได้มาไว้ในครอบครองตั้งไหนแต่ไร และตอนนี้ผมมีโอกาสได้กุมพระอาทิตย์ดวงนั้นไว้ในมือของผมแล้ว...........................


หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 22-07-2007 14:29:29
ตอนนี้ผมมีโอกาสได้กุมพระอาทิตย์ดวงนั้นไว้ในมือของผมแล้ว..  :m13:  :m13:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 22-07-2007 16:18:29
อบอุ่นจังเลยครับ

เป็นกำลังใจให้ครับ

 o13
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 22-07-2007 23:14:49
จับมือกัวแว้ว
 :m11: :m11: :m11:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 23-07-2007 09:32:38
อิ่มอุ่น
 :m1:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ronger ที่ 23-07-2007 11:50:45
อ่านแล้วอบอุ่นๆ :-[
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 23-07-2007 11:56:12
ตอนนี้ผมมีโอกาสได้กุมพระอาทิตย์ดวงนั้นไว้ในมือของผมแล้ว...........................

.............กุมไว้ได้......แต่อยู่ที่ว่าจะกุมไว้ได้นานแค่ไหน.......... :undecided: :undecided:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: KevinKung ที่ 23-07-2007 18:11:50
ลืม สองภาคแรกไปแว้ว เด๋วย้อนกลับไปอ่านก่อนนะแฮะ ๆ  :m7:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: tonsai_2520 ที่ 24-07-2007 01:52:11
อืม

ไอ้ซัน . . .กวน ๆ  ดี  ไอ้เมฆก็ใช่ย่อย

รวมความแล้ว .  . .  น่าร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก


ปล. แอบมาอ่าน  งานเยอะโครต ๆๆ   
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 24-07-2007 02:42:11
^
^
^
(ชี้ๆ  ข้างบน...แอบมาอ่านได้ ...แล้วแอบต่อเรื่อง ก้อคงจะได้ เหมือนกัน ใช่ป่ะ   อิอิ)       o3
 o13    สู้ๆ ฮับ
------------------------------------- :>

กุมมือกันแย้ว.....อบอุ่นไปถึงข้างในเลยใช่ม๊า ....    :m4:
ความอบอุ่นที่เกาะกุม แปลเปลี่ยนเป็นเหงื่อได้..  สงสัย...จะอุ่นจนร้อน       :m3:

 :confuse:     แต่เอ?.. คิดอีกที  กุมพระอาทิตย์ดวงนั้นไว้ในมือ ได้แย้ว
...มันเหมือนกุม ของร้อนไว้ในมือป่ะ ...เพราะฟ้าคราม อารมณ์ปรวนแปรเหลือเกิน เนอะ

แต่ตอนนี้ น่าร๊ากกกกฉุดๆ   :m1: :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: kissazazel ที่ 24-07-2007 13:09:51
โฮกกกก เพิ่งจะรู้ว่าเป็นเรื่องที่ต่อมาจากเรื่องที่ชอบมากๆๆ 

ภาษาที่เขียนนุ่มนวลมากๆๆ อ่านแล้วอินเลย

ภาคแรกอ่านแล้วร้องไห้มาแล้ว :m15:

ภาคนี้อย่าทำให้ร้องไห้อีกนะครับ  :o11:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 25-07-2007 11:28:25
ก่อนจะลงตอนต่อไปผมมีของแถทท่มาฝากครับ
สำหรับเป็นตัวช่วยประกอบการอ่านตอนต่อไปเพื่อให้รู้ว่าบรรยากาศระหว่างสองคนนี้เขาเป็นยังไงกัน

ไม่จำเป็นต้องโหลดนะครับ ถ้าไม่อยาก เพราะมันสามารถกดฟังเฉยๆได้

i don't want to say goodbye (http://www.4shared.com/file/19969075/e2a44e92/I_Dont_Want_to_Say_Goodbye_-_Teddy_Thompson.htmlink)

suicide is painless (http://www.4shared.com/file/19969383/8e194931/Lady__Bird_Keren_Ann__Bardi_Johansson_-_suicide_is_painless.html)

thank god i found you (http://www.4shared.com/file/19968577/b2dd8a30/Thank_god_I_found_you.html)

.
.
.


หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 25-07-2007 11:46:05
นึกว่ามาต่อซะอีก

เป็นกำลังใจให้ครับ

 :yeb:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 25-07-2007 11:46:44
...........ขอบคุณคับ.......... o14 o15

...........เพลงเพราะมักๆ......... :m9: :m9:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 25-07-2007 12:36:44
ตอนที่ 5


ผมยืนมองที่ฝ่ามือของตัวเองและยังรู้สึกไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นระหว่างผมกับไอ้ซันเลย ผมปล่อยให้น้ำอุ่นชำระล้างร่างกายและปล่อยให้ความคิดอะไรหลายๆอย่างไหลไปพร้อมกับสายน้ำและฟองสบู่ที่ไหลผ่านตัวของผมไป เมื่อผมเดินออกมาจากห้องน้ำในสภาพที่ใส่กางเกงตัวเดียวและกำลังเอาผ้าเช็ดตัวเช็ดหัวให้แห้งอยู่นั้น ไอ้ซันเองก็กำลังจะเดินมาอาบน้ำพอดีเช่นกัน ผมเดินผ่านเลยมันไปโดยที่ไม่ได้พูดอะไร แต่มันกลับเอามือมาดึงผ้าเช็ดตัวหลุดจากมือของผมไป

“เฮ้ย ทำอะไรวะ” ผมหันไปจะแย่งผ้าเช็ดตัวกลับจากมือของมัน แต่มันกลับชักมือหนี ไอ้ซันยิ้มและเดินตรงเข้ามาหาผม ผมจึงฉวยโอกาสนั้นรีบคว้าผ้าเช็ดตัวคืนจากมือของมันทันทีก่อนที่มันจะแกล้งอะไรพิเรนทร์ๆกับผมอีก แต่ว่าไอ้ซันกลับทำในสิ่งที่ผมไม่ได้คาดคิด นั่นคือมันเอามือมาขยี้ที่หัวผมเบาๆสองสามทีจากนั้นก็เดินเข้าห้องน้ำไป ทิ้งให้ผมต้องยืนงงอยู่แบบนั้นว่ามันทำไปเพื่ออะไร

นี่มันจะทำให้ผมรู้สึกดีเกินไปแล้ว...............

ผมกลับขึ้นมาบนห้อง เช็ดหัวเช็ดตัวจนแห้งและใส่เสื้อผ้าแต่งตัวเรียบร้อยแล้วจึงเปิดแล็ปท็อปขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ผมไม่ได้เปิดเพื่อจะเล่นอินเตอร์เน็ต แต่ผมเปิดเพื่อจะฟังเพลงต่างหาก เมื่อเสียงเพลงเริ่มดังขึ้นผมก็เดินไปที่ตู้หนังสือและหยิบหนังสือที่ผมอ่านค้างไว้มานอนอ่านเล่นอยู่บนเตียง เพลงแรกที่ดังขึ้นก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก แต่เพลงถัดมาดันเป็นเพลง ไอ ด๊อนท์ ว๊อนท์ ทู เซย์ กู๊ดบาย ของ เท็ดดี้ ธ็อมป์สัน ที่ทำเอาผมถึงกับต้องวางหนังสือที่เพิ่งจะถูกกางออกลงบนเตียงและอดไม่ได้ที่จะตั้งใจฟังและร้องคลอไปด้วยอย่างทุกครั้งที่ผมได้ยินเพลงนี้ ซึ่งก็ทำได้ยากเหลือเกิน เพราะว่าผมฟังเพลงนี้มานับล้านรอบแล้ว และโดยเฉพาะเมื่อตอนที่ผมออกจากโรงพยาบาลใหม่ๆ ผมมักจะร้องเพลงนี้ตามไปด้วยได้สบายๆ แต่ใจมันก็มักจะเผลอนึกไปถึงไอ้ซันทุกครั้งไป...... ครั้งนี้ก็เช่นกัน ผมอดไม่ได้ที่จะคิดถึงความรู้สึกของตอนที่รู้ว่ามันจากผมไปแล้วและนั่นก็ทำให้ผมต้องพลาดที่จะตั้งใจฟังเพลงเพื่อซึมทราบความไพเราะของเพลงนี้เข้าไปให้ถึงขั้วกระดูกกันเลยก็ว่าได้ เพราะผมชอบเพลงนี้จริงๆให้ตายเถอะ และไม่ว่าจะตอนนั้นหรือตอนนี้ ผมก็ไม่อยากที่จะต้องบอกลากับมันอีกต่อไปแล้ว

ผมเดินไปกดปุ่มเพลย์เพื่อที่จะเล่นเพลงนี้ซ้ำอีกครั้ง และแค่อินโทรเพลงที่ดังขึ้นมาอีกรอบก็ทำให้ผมแทบจะน้ำตาคลอแล้ว จากนั้นก็เป็นเสียงของเท็ดดี้ที่สามารถแทงบาดลึกเข้าไปถึงขั้วหัวใจของคนฟังได้เลยจริงๆ

ฉันไม่อยากจะบอกคำว่าลาก่อน
ปล่อยให้ดวงดาวส่องแสงส่องลงมาเถอะ
ฉันไม่อยากจะเอ่ยคำว่าลาก่อน
สิ่งที่ฉันอยากทำคือการใช้ชีวิตอยู่กับเธอ.

เหมือนกับแสงสว่างของยามกลางวันเมื่อตอนที่ความมืดจากไปแล้ว
เงาของความรักของฉันทอดตัวลงในสถานที่ที่พระอาทิตย์สามารถส่องสว่างอยู่เสมอ
เธอไม่รู้หรอกหรือว่านั่นคือที่ๆเราควรได้อยู่ด้วยกัน

เพราะฉันไม่อยากจะบอกคำว่าลาก่อน
ปล่อยให้ดวงดาวส่องแสงส่องลงมาเถอะ
ฉันไม่อยากจะเอ่ยคำว่าลาก่อน
สิ่งที่ฉันอยากทำคือการใช้ชีวิตอยู่กับเธอ....................


ผมปล่อยให้อารมณ์และจิตใจล่องลอยไปกับเสียงเพลง พยายามที่จะไม่นึกถึงความสูญเสียและการจากลาในครั้งนั้น เมื่อเพลงจบผมก็ปล่อยให้โปรแกรมวินแอ็มป์สุ่มเล่นเพลงถัดไปขึ้นมาอีกและก็ตั้งใจอ่านหนังสือที่ผมหยิบมาอย่างจริงๆจังๆสักที เพลงหลายเพลงที่ดังผ่านหูผมไปแต่ก็ไม่ได้เข้าหัวไม่มีความหมายอะไรสักเท่าไหร่จนกระทั่งไอ้ซันมาเคาะที่ประตูห้องของผม

“ไอ้ตัวดี เปิดหน่อยดิ๊”

พอผมเปิดประตูห้อง มันก็แทรกตัวผ่านผมเดินเข้ามานอนลงบนเตียงและหยิบหนังสือที่ผมอ่านค้างไว้อยู่มาพลิกดู กลิ่นหอมจางๆจากโลชั่นทาผิวของมันลอยผ่านเข้าจมูกของผม

“อ่านหนังสืออยู่เหรอ”

“อืม อ่านไปด้วยฟังเพลงไปด้วยน่ะ”

“กูมากวนรึเปล่าเนี่ย”

“ทำไม ถ้ากูบอกว่ากวนมึงจะกลับไปห้องมึงมั๊ยล่ะ” พูดจบ ไอ้ซันก็ลุกตัวขึ้นนั่งและมองผมด้วยสายตาที่ทำให้ผมต้องรู้สึกผิดจนต้องรีบเอ่ยปากขอโทษ

“กูไม่ได้จะไล่มึง ขอโทษๆ แค่ล้อเล่นนะครับ” ผมเดินมานั่งอยู่ข้างๆมันและหยิบหนังสือเล่มนั้นให้พ้นทาง “ว่าแต่มีอะไรอ่ะ ยังไม่นอนเหรอ” ผมนอนคว่ำลงบนเตียงและเอาหนังสือมาเปิดผ่านๆเล่น หนังสือเล่มนี้ผมพยายามอ่านให้จบมานานกว่าสองสัปดาห์แล้ว แต่ทำยังไงผมก็อ่านให้จบไวๆเหมือนทุกครั้งไม่ได้สักที ไม่รู้ว่าเพราะอะไร

“อืมม นอนไม่ลง” มันพูดเสียงเซ็งๆ

“ทำไมวะ มีอะไรกวนใจหรือมีอะไรไม่สบายใจรึเปล่า”

“คือ........” มันทำท่าเหมือนไม่อยากจะบอก ผมเองก็รู้สึกติดใจมาตั้งแต่กลางวันแล้วว่าตกลงวันนี้มันเป็นอะไร มันมีอะไรไม่สบายใจจริงๆรึเปล่ากันแน่

“เฮ้ย มึงก็พูดๆออกมาเหอะน่า เป็นไรวะ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

“คือ.......... หนังมันติดตาว่ะ” ไอ้ซันก้มหน้าพูดทำท่าอายๆ จนผมต้องระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

“ขำอะไรนักหนาวะ ไอ้เหี้ยนี่” ไอ้ซันเอาหมอนมาปาใส่ผมแล้วก็โยนผ้าห่มมาคลุมหน้าผมไว้จนผมหายใจไม่ออก

“พอแล้วๆ กูขอโทษๆ หึๆๆ” ผมยังห้ามตัวเองไม่ให้หัวเราะไม่ได้

“ก็มึงอ่ะเสือกเอาหนังเหี้ยไรไม่รู้มาให้กูดูตอนก่อนนอน กูบอกแล้วๆว่าให้ดูตอนกลางวัน มึงก็เสือกบอกว่าดูตอนกลางคืนได้อารมณ์กว่า แล้วเป็นไงล่ะ”

“เออ กูผิดเลยนะที่กูไม่กลัวไม่หลอนเนี่ย”

“เออ ความผิดมึงหมดแหละ แล้วนี่ฟังเพลงเหี้ยอะไรเนี่ย ทำไมมันฟังดูหลอนจังวะ” ไอ้ซันโวย เพราะเพลงที่กำลังเล่นอยู่ตอนนี้คือเพลง ซุยซายด์ อีส เพนเลส หรือ “ฆ่าตัวตายนั้นไม่เจ็บปวด (หรอก)” ของ เลดี้ แอนด์ เบิร์ด แถมตอนจบของเพลงนี้ยังมีเนื้อหาในแนวเชิญชวนให้คนฟังมาฆ่าตัวตายก็ได้นะถ้าคุณอยากทำอีกด้วย จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ไอ้ซันมันจะบอกว่าทำไมเพลงนี้มัน “ฟังดู” หลอนๆน่ะ

“เออ เดี๋ยวกูเปลี่ยนให้” ผมลุกขึ้นจากเตียงไปกดปุ่มฟอร์เวิร์ด และเพลงที่ถูกสุ่มเล่นเป็นเพลงถัดไปคือเพลง แธ๊งค์ ก็อด ไอ ฟาวด์ ยู เวอร์ชั่นของ ไนน์ตี้เอ็ท ดีกรีส์ ที่ร้องคู่กับ มารายห์ แครีย์

ช่างบังเอิญได้เหมาะเจาะจริงๆ

ผมหมุนเก้าอี้คอมหันมาหาไอ้ซัน ความเงียบปกคลุมระหว่างเราสองคนอีกครั้ง มีเพียงเสียงของเจ๊มารายห์คลอไปด้วยเสียงของหนุ่มๆจากวงบอยแบนด์ดังออกมาจากลำโพงทางด้านหลังของผม

ขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้ฉันได้เจอเธอ
ฉันเคยสูญเสียทุกอย่างไปเมื่อไม่มีเธอ
ด้วยเหตุใดก็ตาม ความฝันและความหวังทุกอย่างของฉันพลันกลายเป็นจริงขึ้นมา
เมื่อเธอนำพาแสงสว่างมาเติมเต็มให้แก่ชีวิตของฉัน
ฉันตื้นตันไปด้วยความรู้สึกขอบคุณ
เพราะฉันรู้สึกขอบคุณจากใจจริงที่ได้พบเจอเธอ



ถ้าเป็นปกติผมก็คงจะเปลี่ยนทิ้งไปฟังเพลงแนวอื่นแล้วหรอกนะ แต่ ณ ช่วงเวลานี้ผมรู้สึกว่าเพลงนี้นี่แหละ คือเพลงที่ผมอยากให้มันได้ฟัง......... และหวังว่ามันจะรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของผมเช่นกัน

“กูชอบนะ เพลงนี้น่ะ” มันพูดขึ้น

“หืม มึงรู้จักด้วยเหรอ” ผมแปลกใจกับคำพูดของมัน ไม่ใช่แปลกใจที่ว่ามันรู้จักเพลงนี้ด้วยเหรออย่างที่ผมถามกลับไปหรอก แต่ผมคิดไปถึงในความหมายอื่นเสียมากกว่า..................

“รู้สิ ก็มึงก็เคยไรท์เพลงนี้ใส่ซีดีให้กูหนนึง”

“นั่นสินะ” จริงๆแล้วทำไมผมจะจำไม่ได้ ผมจำได้แทบทุกอย่างที่ผมกับมันเคยทำด้วยกันมา ทุกๆสิ่งที่ผมเคยทำให้มันนั่นแหละ แต่ว่ามันนั่นแหละที่จะจำได้มากน้อยขนาดไหน

“แล้วมึงรู้ความหมายของเพลงรึเปล่า” ผมถาม และลุกไปนั่งอยู่บนเตียงข้างๆกับมัน ไอ้ซันมองหน้าผมเป็นเชิงตำหนิ

“นี่ กูเรียนอยู่ที่อังกฤษมาจะปีนึงแล้วนะครับไอ้คุณเมฆ ถึงจะไม่ได้ชอบเพลงสากลแต่ยังไงๆมันก็ต้องได้ฟังอยู่ดีนั่นแหละครับ แถมไม่ได้ชอบไม่ได้หมายความว่ากูฟังไม่ออกนะ” มันทำเสียงประชด

“แหม กูล้อเล่นน่า กูก็แค่อยากถามเฉยๆ” ผมเริ่มรู้สึกว่าอากาศมันร้อนขึ้นมาอีกครั้ง และยังรู้สึกว่าลำคอเริ่มจะตีบตันและแห้งผากจนพูดจะไม่เป็นประโยคอยู่แล้ว

“ถามเฉยๆ หมายความว่าไงวะ....... ถามเพื่ออะไรล่ะ” ไอ้ซันถามกลับด้วยน้ำเสียงที่ฟังแล้วต้องบอกว่าทำให้ผมรู้สึกอยากจะบอกมันออกไปซะตั้งแต่ตอนนี้เหลือเกินว่า “กูรักมึง”

“เพื่อ.......... อยากรู้ไง ว่ามึงเข้าใจความหมายของเพลงจริงๆรึเปล่า” ผมพยายามบังคับน้ำเสียงไม่ให้ตะกุกตะกัก พยายามทำให้ฟังดูเหมือนการคุยแบบปกติเฉยๆที่สุด

“อื้ม...... รู้สิ” คราวนี้คำตอบและน้ำเสียงของมันทำให้ผมอยากจะบอกมันออกไปอีกว่า “นอกจากกูรักมึงแล้วกูยังรักมึงมากโคตรๆด้วย”

เพลงกำลังจะจบลงแล้ว ถ้าผมคิดจะพูดผมก็ต้องพูดตอนนี้ เดี๋ยวนี้แล้ว

“ซัน.........” ผมหยุด พยายามกลืนน้ำลายลงคอไปอย่างยากลำบากราวกับกำลังกลืนก้อนกรวดทั้งก้อนยังไงยังงั้น
“กูมีเรื่องอยากจะบอกมึงว่ะ”

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: kissazazel ที่ 25-07-2007 12:51:13
ขอโทษนะคร้าบบบบ ไม่รู้ว่าคุณ ExecutioneR จะต่ออีกตอนรึป่าว :amen:
 
แบบว่ากลัวจะคั่นอะ แต่ก็เม้นท์ละ :try2:

เคยกลัวเหมือนกัน กลัวว่าถ้าบอกความรู้สึกออกไปเนี่ย อะไรต่างๆ มันก็คงไม่เหมือนเดิม :m15:

แต่น่ารักดีนะ ซันกับเมฆเนี่ย  :m1:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 25-07-2007 12:53:37

...........บอกเลยคราบ...... :m13: :m13:

..........ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น.....อย่างน้อยก็ขอหั้ยเขาได้รับรู้บ้าง...... :impress: :impress:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 25-07-2007 13:00:07
อึดอัดแทน

 :serius2: :serius2: :serius2:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: tonsai_2520 ที่ 25-07-2007 13:04:41


“แหม กูก็ล้อเล่นน่า กูก็แค่อยากถามเฉยๆ” ผมเริ่มรู้สึกว่าอากาศมันร้อนขึ้นมาอีกครั้ง และยังรู้สึกว่าลำคอเริ่มจะตีบตันและแห้งผากจนพูดจะไม่เป็นประโยคอยู่แล้ว

“ถามเฉยๆ หมายความว่าไงวะ....... ถามเพื่ออะไรล่ะ” ไอ้ซันถามกลับด้วยน้ำเสียงที่ฟังแล้วต้องบอกว่าทำให้ผมรู้สึกอยากจะบอกมันออกไปซะตั้งแต่ตอนนี้เหลือเกินว่า “กูรักมึง”

“เพื่อ.......... อยากรู้ไง ว่ามึงเข้าใจความหมายของเพลงจริงๆรึเปล่า” ผมพยายามบังคับน้ำเสียงไม่ให้ตะกุกตะกัก พยายามทำให้ฟังดูเหมือนการคุยแบบปกติเฉยๆที่สุด

“อื้ม...... รู้สิ” คราวนี้คำตอบและน้ำเสียงของมันทำให้ผมอยากจะบอกมันออกไปอีกว่า “นอกจากกูรักมึงแล้วกูยังรักมึงมากโคตรๆด้วย”

เพลงกำลังจะจบลงแล้ว ถ้าผมคิดจะพูดผมก็ต้องพูดตอนนี้ เดี๋ยวนี้แล้ว

“ซัน.........” ผมหยุด พยายามกลืนน้ำลายลงคอไปอย่างยากลำบากราวกับกำลังกลืนก้อนกรวดทั้งก้อนยังไงยังงั้น
“กูมีเรื่องอยากจะบอกมึงว่ะ”



"อะไร  มึงจะบอกอะไรกู" . . . . มันมองหน้าอีกฝ่ายนิ่ง

"ให้กูนอนกับมึงนะคืนนี้  กูอยากนอนกอดมึง" . . . .


เพี้ยง . . . แบบที่กูคิดเหอะ


หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 25-07-2007 19:12:56
รักอย่างที่เราสมควรจะรัก
มีกันแค่สองคน อย่าให้ต้องเลือกที่จะไม่ได้เจอะเจอกันอีกเลย
 :o7: :dont2: :o7:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 25-07-2007 20:50:36
แวะมาบอก (ทั้งๆที่ตากำว่าลังจะบอด) ว่า ตอนนี้ตาอักเสบ (อีกแล้ว) คับ
ปวดที่สุดในโลก T__T

อาจจะเข้ามาไม่ได้สักพักนะครับ รอดูอาการก่อน

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 25-07-2007 21:01:07
สู้ๆ อย่าท้อนะครับ

เป็นกำลังใจให้เสมอ

 :yeb:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 25-07-2007 21:54:13
ตาอักเสบ  เป็นอะไรอ่า หาหมอละยัง  ดูแลตัวเองนะ  :m1:
ที่จริงสารภาพว่าเรื่องนี้อ่านตอนแรก ยังไม่ได้อ่านต่อเลย  ไม่มีเวลา แงแง
แต่ยังไงเรื่องนี้ตามอ่านมาแต่ตอนสั้นนู้นแล้ว  ยังไงไม่พลาดแน่นอน 

เป็นกำลังใจให้แล้วกันจ้า  หายไวๆ น้า   :m4:  :m4:  :m4:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 25-07-2007 22:06:42
 :o8:   บอกไปเล้ยยยย.....  :give2:

เด๋วเพลงจบ จะอดบอกพอดี อิอิ   :m4:

 :teach:     ไม่แน่น๊า... อีกคน อาจจะรอ ให้อีกคน เอื้อนเอ่ย...อยู่ก้อด๊ะเนอะ   :m1: :m1: :m1:



ป๋อล๋อ*  ตาอักเสบ  แบบนี้... พักรักษา สายตาก่อนดีกว่านะคะ
ให้หายก่อน แล้วค่อยมาต่อก้อได้ค่า   o15
รักษาสุขภาพค่า     :impress:

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 25-07-2007 22:23:12
พักผ่อนเยอะๆนะครับ
มีเพื่อนๆรออยู่เสมอครับ
 :m1: :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 25-07-2007 23:15:26
แวะมาบอก (ทั้งๆที่ตากำว่าลังจะบอด) ว่า ตอนนี้ตาอักเสบ (อีกแล้ว) คับ
ปวดที่สุดในโลก T__T

อาจจะเข้ามาไม่ได้สักพักนะครับ รอดูอาการก่อน


เป็นเหมือนกันเลยอ่ะคับ ตาข้างขวาบวม เหอๆ
แต่ขออ่านต่ออีกนิดนึงก่อนนะ อย่าเพ่งเป็นอะไรไปหล่ะ ตาจ๋า
 :m17:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 26-07-2007 15:35:25

.........เข้ามาหั้ยกำลังใจ......

.........หายเร็วๆนะคับ......... o15 o15
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 26-07-2007 20:44:33
พักผ่อนมาก ๆ หายไวไวน้า  :a2:  :a2:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ninaprake ที่ 27-07-2007 12:43:36

คิดถึงจัง  :m1:

====================================================================
ใครอยากได้ "The Missing Piece and The Big O" ทิ้งเมลล์ไว้ได้เลยนะคับ เดี๊ยวจะส่งให้นะ
ถ้ายังไง ก็อย่าลืมไปอ่านเรื่อง "เวลาที่ถูกหยุดเอาไว้" กับ "เวลาที่เริ่มเดินอีกครั้ง" ด้วยนะคับ
 :m11:

อยากอ่านด้วยยยยย  จิงโจ้น้อยชิวๆ  รบกวนส่งมาให้ด้วยสิคร้าบ นะนะ  :impress: ขอบคุณมากๆเลยยย ninaprakeอย่าแสดงเมลบนบอร์ด นะคร้าบบผม  :m5:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ninaprake ที่ 27-07-2007 13:00:59
อบอุ่นจังเลยครับ

เป็นกำลังใจให้ครับ

 o13

เห็นด้วยคับ .... ยิ่งอ่าน ยิ่งรู้สึกอบอุ่นจัง   :m18:

[attachment deleted by admin]
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 27-07-2007 13:51:11
ขอบคุณทุกคนมากครับ ตอนนี้เริ่มลืมตาได้บ้างแล้ว
แต่ส่วนมากก็ยังใช้ตาขวาได้ข้างเดียวอยู่ดี เลยยังพิมตอนต่อไม่ได้
โชคดีที่ผมพิมล่วงหน้าไว้ค่อนข้างเยอะ
โพสนี้เอาเพลงไปฟังก่อนและกันนะคับ ตอนต่อไปกำลังตามมาติดๆ

why (are we still friends?) (http://www.4shared.com/file/19968344/474f4fb/98_Degrees_-_Why.html)

better together (http://www.4shared.com/file/20609514/a0331e2c/Jack_Johnson-01_Better_Together.html)

something about us (http://www.4shared.com/file/19968263/a9e469ed/bmx_bandits_-_something_about_us.html)  << เพลงบังคับ  :m13:


หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 27-07-2007 14:04:26
สู้ๆๆๆๆ

เป็นกำลังใจให้นะครับ

 :a1: :a1: :a1: :a1: :a1:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 27-07-2007 14:10:16
ตอนที่ 6


เทอร์โมมิเตอร์ที่แขวนอยู่บนผนังวัดค่าอุณหภูมิภายในห้องตอนนี้ได้ ยี่สิบองศาเซลเซียส แต่ผมกลับรู้สึกว่าเหงื่อในกายของผมมันกำลังซึมออกจากทั้งทางฝ่ามือทั้งสองและแผ่นหลังจนชื้นไปหมด

แถมยังรู้สึกเหนอะๆที่รักแร้อีกด้วย

ผมยังคงมองหน้าของไอ้ซันราวกับว่ามันเป็นภาพเขียนในงานนิทรรศการภาพวาดและผมเป็นนักวิจารณ์ที่กำลังเพ่งมองหาความหมายของภาพเขียนภาพนั้นอยู่ หรือไม่ผมก็อาจจะกำลังเป็นเสือดาวที่เพิ่งไล่ต้อนกระต่ายมาจนมุมและกำลังจ้องรอจังหวะที่จะตะครุบเหยื่อ....... หรือไม่ก็ผมเองนั่นแหละที่เป็นกระต่าย

“เดี๋ยวกูมานะ” ไอ้ซันพูดขัดจังหวะผมขึ้นและจู่ๆก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปเลย ทำเอาผมงงจนแทบตั้งหลักไม่ทันว่าตกลงตอนนี้มันกำลังเกิดอะไรขึ้นอยู่กันแน่

ผมรวบรวมสมาธิใหม่อีกครั้ง สูดหายใจเข้ายาวๆหนึ่งทีและตัดสินใจว่าจะตัดใจไม่พูดสิ่งที่เกือบจะหลุดปากนั้นออกไปเสียแล้วดีกว่า บางทีการเก็บมันเอาไว้อาจจะดีกว่าก็ได้เพราะถ้าอีกฝ่ายไม่อยากได้ยินคำนั้นขึ้นมาและผลลัพธ์มันออกมาเลวร้ายเกินกว่าที่ผมเคยคาดคิดเอาไว้ล่ะก็ ผมคงต้องแย่ยิ่งกว่าเมื่อหนึ่งปีก่อนนั้นแน่ๆ

ผมเกิดอาการสะดุ้งโดนอัตโนมัติทันทีตอนที่ได้ยินเสียงไอ้ซันเปิดประตูห้องของผมกลับเข้ามา แต่ว่าคราวนี้มันกลับเข้ามาพร้อมกีตาร์อีกหนึ่งตัว และหมอนอีกหนึ่งใบด้วย ผมคิดว่าสีหน้าของผมคงบอกมันได้เป็นอย่างดี

“ไม่ต้องทำงง คืนนี้กูนอนนี่แหละ”

ผมแทบไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เพิ่งได้ยินไป พอไอ้ซันเห็นสีหน้าผมเข้ามันก็เลยพูดออกมาอีกว่า

“มึงไม่อยากให้กูนอนเหรอ”

ผมรีบส่ายหัวปฏิเสธอย่างรวดเร็ว

“ดีมาก แล้วก็.......... กูมีอะไรอยากให้มึงทำให้กูอย่างนึงด้วย” มันเดินตรงเข้าไปปิดเพลงที่แล็ปท็อปและหลังจากนั้นก็มานั่งลงบนเตียง ผมนั่งนิ่งรอฟังสิ่งที่มันกำลังจะพูด

“กูอยากให้มึงนั่ง และตั้งใจฟังเพลงนี้ให้ดีๆ เพราะว่า.......” มันทิ้งช่วง แต่ผมก็ยังคงไม่พูดอะไร “เพราะมันเป็นเพลงที่กูตั้งใจจะเล่นให้มึงฟังมาตั้งแต่ปีที่แล้วแล้ว แต่สุดท้ายมึงก็ดันเกิดอุบัติเหตุและเข้าโรงพยาบาลไปเสียก่อน”

ผมกลืนน้ำลาย ไม่สามารถเอ่ยคำพูดใดๆออกมาได้อีก หัวใจของผมเต้นรัว เหงื่อเริ่มซึมออกมามากขึ้น และรู้สึกเหมือนกับต่อมน้ำตาชักอยากจะทำงานแข่งกับต่อมเหงื่อบ้างแล้วด้วย

จะมาอยากแข่งกันขยันอะไรเอาตอนนี้

ความเงียบปกคลุมไปทั่วทั้งห้องอยู่ชั่วขณะหนึ่งจากนั้นไอ้ซันก็เริ่มลงมือดีดกีตาร์ พออินโทรขึ้นผมก็รู้เลยว่ามันเป็นเพลงที่ผมเองก็รู้จักดี มันคือเพลง วาย อาร์ วี สติล เฟนรด์ส ของ ไนน์ตี้เอ็ท ดีกรีส์ นั่นเอง

ไอ้ซันเริ่มต้นร้องเพลงเบาๆ..............

เราทำเกือบทุกอย่างเช่นเดียวกับที่คนรักเขาทำกัน และนั่นแหละที่ทำให้การเป็นแค่เพื่อนกับเธอมันยากเหลือเกิน
ทุกครั้งที่เธอต้องเจ็บปวดเพราะใคร รู้ไว้ว่าฉันเองก็เจ็บเช่นเดียวกัน................


สายตาของมันจับจ้องไปที่นิ้วมือของตัวเอง แต่บางครั้งมันก็เงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมด้วย แววตาของมันสื่อความหมายบางอย่างซึ่งถ้าผมไม่ได้เข้าใจผิดไป สิ่งๆนั้นก็คือสิ่งเดียวกับที่ผมพยายามจะบอกมันเมื่อห้านาทีที่แล้ว เมื่อสามวันที่แล้ว เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เมื่อสามเดือนที่แล้ว และเมื่อปีที่แล้วด้วยนั่นเอง........

มันคือความหมายเดียวกับสิ่งที่ผมรู้สึกอยู่ตลอดเวลา ทุกๆนาทีที่ผมหายใจ

ไอ้ซันยังคงร้องเพลงต่อไปผมเองก็นั่งตั้งใจฟังอย่างที่มันขอ และจนเมื่อมาถึงท่อนฮุคครั้งที่สองผมจึงเริ่มต้นร้องคลอไปพร้อมๆกับมันด้วย

บอกฉันที ว่าทำไมเราถึงยังคงเป็นเพื่อนกันอยู่ ในเมื่อทุกอย่างก็บ่งบอกอย่างชัดเจนแล้วว่าเราควรจะเป็นมากกว่าสิ่งที่กำลังเป็นอยู่ตอนนี้
และบอกฉันที ทุกครั้งที่ฉันตามหาคนที่ฉันรัก ทำไมเราจึงต้องจบลงด้วยคำว่า เพื่อนกัน..............


มันส่งยิ้มให้ผม ผมเองก็ยิ้มตอบให้มันด้วย คราวนี้ผมเริ่มร้องเพลงไปพร้อมๆกับมันจนมาถึงท่อนแยก ไอ้ซันกลับหยุดมือลง และเอานิ้วของมันมาจุ๊ปาก ผมมองมันด้วยความงุนงงแต่ก็ตัดสินใจที่จะนั่งเงียบและตั้งใจฟังมันร้องเพลงต่อเพียงอย่างเดียว แต่ทว่าคราวนี้ไอ้ซันกลับไม่ดีดกีตาร์ต่อและเริ่มต้นร้องท่อนต่อไปด้วยปากเปล่า

ฉันไม่อยากจะเป็นพี่ชายของเธอ
ฉันไม่อยากจะเป็นเพื่อนทีดีที่สุดของเธอ
ฉันอยากจะเป็นเพียงแค่คนรักเท่านั้น เมื่อไหร่เรื่องนี้มันถึงจะจบลงนะ
ถ้าหากฉันบอกเธอไปว่าฉันอยากจะอยู่ในชีวิตของเธอบ้าง จากนั้นเธอจะเป็นของของฉันได้รึเปล่า............


จากนั้นนิ้วของมันจึงเริ่มต้นดีดกีตาร์ต่ออีกครั้ง และมันก็เริ่มร้องต่อจนจบเพลง เมื่อสิ้นเสียงของมัน ทั่วทั้งห้องก็กลับมาเงียบลงอีกครั้ง ผมไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร ผมไม่รู้ว่าควรจะทำตัวยังไง ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมรู้สึกยังไงอยู่ในตอนนี้ เพราะทั้งหัวใจของผมตอนนี้มันเอ่อล้นไปด้วยน้ำตาแห่งความเสียใจที่ผมเคยหลั่งมาตลอดหนึ่งปี และ สมองของผมก็ท่วมท้นไปด้วยความคิดถึงเรื่องราวในอดีตที่เราสองคนเคยร่วมเดินผ่านด้วยกันมาจนเต็มไปหมด

ผมอยากจะหาคำพูดใดๆมาบรรยายความรู้สึกของผมออกไปให้มันได้รับรู้บ้าง แต่ผมก็ไม่สามารถทำได้เลย

“นั่นคือเพลงที่กูตั้งใจไว้นานแล้วว่าอยากจะเล่นให้มึงฟังเป็นเพลงสุดท้ายก่อนกูจากมา” ไอ้ซันพูดทำลายความเงียบขึ้น “และต่อจากนี้ จะเป็นเพลงที่กูตั้งใจไว้ว่าจะเล่นให้มึงฟังในวันนี้นี่แหละ”

ผมเผลอขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ

“ไม่ต้องทำหน้าอย่างนั้นหรอก พร้อมรึยัง”

ผมพยักหน้าช้าๆสองสามที ไอ้ซันเริ่มขยับตัวและประคองกีตาร์ให้อยู่ในท่าที่มันถนัดอีกครั้ง และอีกครั้งเมื่อมันเริ่มต้นดีดกีตาร์ เมื่ออินโทรเพลงนี้เริ่มดังขึ้น ผมก็รู้ได้เลยทันทีว่ามันตั้งใจจะร้องเพลงอะไรให้ผมฟัง  มันคือเพลง เบ็ทเทอร์ ทูเกตเตอร์ ของ แจ็ค จอห์นสัน เป็นเพลงที่ผมชอบมากและมีความหมายดีมากๆเช่นกัน ความหมายของเพลงก็ตรงตามชื่อเพลงนั่นแหละ นั่นคือ “ทุกสิ่งทุกอย่างมันดีขึ้น เมื่อมีเราสองคนอยู่ด้วยกัน”

ผมนั่งฟังมันร้องเพลง แต่คราวนี้ผมไม่ร้องตามไปกับมันอีกแล้ว ผมอยากจะฟังแค่เสียงของมันคนเดียวเท่านั้นจริงๆ บางครั้งผมกับมันก็สบตากัน บางครั้งผมกับมันก็ยิ้มให้กัน จนมาถึงช่วงท่อนสุดท้ายของเพลง

และไม่มีเพลงไหนที่ฉันสามารถร้องออกมาได้
และไม่มีคำพูดไหนที่ฉันสามารถเอื้อนเอ่ย
แต่ฉันมีสิ่งหนึ่งที่ยังคงอยากจะบอกเธอ
เราสองคนกำลังดีขึ้นไปพร้อมๆกัน


เมื่อเพลงจบลง ยังไม่ทันที่ผมจะพูดอะไร และผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอยากจะพูดอะไรออกไป และอีกครั้งที่ไอ้ซันชิงพูดขึ้นมาก่อน

“ถ้ามีอะไรสักอย่างในชีวิตของกูที่กูจะเรียนรู้ได้นะ ถ้ามีแค่ช่วงเวลาใดสักช่วงหนึ่งในชีวิตที่ทำให้กูได้เรียนรู้ และถ้ามีสิ่งๆนั้นที่กูสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเองจริงๆ ไอ้ทั้งหมดนั้นก็คงเป็น เมื่อตอนที่กูอยู่มอหกนั่นแหละ...........” มันหยุดมองหน้าของผม “กูเชื่อมาตลอดว่าคนเรามันก็ใช้ชีวิตไปตามปกติอย่างเดิมทุกๆวันเป็นเรื่องธรรมดา และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่สิ่งปกติธรรมดาที่เราทำอยู่ในทุกๆวัน มันอาจจะไม่ใช่เรื่องธรรมดาสำหรับคนอื่นๆ หรือ คนๆหนึ่งก็ได้ มึงเข้าใจที่กูพูดมั๊ย”

ผมพยักหน้าช้าๆ

“แต่ตอนนั้นกูรู้เลยว่า ถ้าเรามองให้ลึกลงไปอีกแค่นิดเดียวเท่านั้น นิดเดียวจริงๆ ว่าในระหว่างที่เราใช้ชีวิตธรรมดาๆของเราอยู่นั้น เราอาจจะเผลอไปทำให้ชีวิตของใครคนอื่นผิดไปจากธรรมดาโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจได้.......” ไอ้ซันเว้นช่วงแล้วสบตากับผมนิ่ง “ในช่วงที่กูใช้ชีวิตของกู กูหัวเราะ และพูดคุยอย่างปกตินั้น” ผมสังเกตว่ามันเปลี่ยนสรรพนามจากคำว่า เรา มาเป็น กู แสดงความเจาะจงยิ่งขึ้น “คำพูดของกู มันอาจจะไปทำให้รอยยิ้มของใครคนหนึ่งสูญหายไปโดยที่กูไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นอย่างนั้นก็ได้ และเมื่อรู้ตัวอีกทีว่ากูเป็นต้นเหตุที่ทำให้เขาคนนั้นไม่มีรอยยิ้มและต้องจมอยู่กับความเศร้า มันก็สายเกินไปซะแล้ว หลายครั้งที่กูอยากจะแก้ไขสิ่งที่กูทำลงไป แต่กูก็ได้เรียนรู้มาอีกว่า คนเราต่อให้พยายามแค่ไหนก็แก้ไขสิ่งที่ทำลงไปแล้วไม่ได้ไม่ว่ามึงจะพยายามอ้อนวอนต่อพระเจ้าหรือหลั่งน้ำตาจนเป็นสายเลือดแค่ไหน มึงก็ทำไม่ได้” ไอ้ซันเว้นช่วงอีกครั้ง และสูดลมหายใจเข้าช้าๆ

ผมรู้สึกว่าหัวใจของผมเต้นแรง

“กูเคยทำให้เขาต้องเจ็บปวด ต้องเสียใจ ถึงกูจะบอกตัวเองว่ากูไม่ได้ตั้งใจ แต่กูก็ทำลงไปแล้วจริงๆ มันเป็นความจริงที่กูไม่สามารถปฏิเสธหรือหลอกตัวเองได้”

หัวใจของผมเต้นแรงขึ้น

“กูมันคนหัวดื้อและทิฐิสูง กูมันคนปากไม่ดี พูดอะไรไปทำอะไรไปก็ไม่ค่อยจะคิดก่อน แต่ช่วงเวลาสั้นๆแค่ไม่กี่เดือนนั้นมันทำให้กูได้เรียนรู้ถึงสิ่งที่กูทำพลาดมาทั้งชั่วชีวิต มันทำให้กูได้รู้ถึงข้อผิดพลาด ข้อเสียของกูที่กูควรจะแก้ไข........... ถ้ากูไม่อยากจะสูญเสียคนที่กูรักไปอีก”

หัวใจของผมเต้นแรงขึ้นมากๆ

“กูอยากจะบอกมึงอย่างนึง เมฆ.......” มันเว้นช่วงและสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆอีกครั้ง

หัวใจของผมเต้นแรงขึ้นมากๆสุดๆเลย

“กูขอโทษนะ”

ตาของเราประสานกัน ความเงียบกลับเข้ามาปกคลุมภายในห้องอีกครั้ง ปลายนิ้วมือและนิ้วเท้าของผมที่รู้สึกชาและนิ่งจนไร้ความรู้สึกมานานเริ่มกลับมาทำงานได้อีกครั้ง หัวใจของผมเริ่มเต้นช้าลง หูที่รู้สึกตื้อตันเริ่มโล่งขึ้น คอที่เคยแห้งผากเริ่มมีน้ำมาหล่อเลี้ยงอีกครั้ง ผมละสายตาไปจากใบหน้าของมันและลุกขึ้นยืน ไอ้ซันขยับตัวเล็กน้อยแต่ผมไม่ได้ใส่ใจ ผมเดินไปที่แล็ปท็อป นั่งลงบนเก้าอี้ และเลือกเปิดเพลงๆหนึ่งขึ้นด้วยความรวดเร็วก่อนที่มันจะทันพูดอะไรขึ้นมาอีก

เมื่ออินโทรของเพลงดังขึ้น ผมจึงเริ่มพูดประโยคแรกหลังจากเป็นใบ้มานานหลายนาที

“กูเล่นกีตาร์ไม่เป็น แต่กูก็อยากให้มึงได้ฟังเพลงนี้เหมือนกัน” ผมพูดโดยที่ยังไม่ได้หันหน้าออกจากโต๊ะ

มันอาจจะไม่ใช่เวลาที่ถูกที่ควร
ฉันอาจจะไม่ใช่คนที่เหมาะสม
แต่มีบางอย่างระหว่างเราที่ฉันอยากจะบอก
เพราะมันมีบางสิ่งระหว่างเรานั่นเอง


ผมหันกลับมามองมองหน้าของมัน และเดินตรงไปที่เตียง

ฉันอาจจะไม่ใช่คนที่เหมาะสม
มันอาจจะไม่ใช่เวลาที่ถูกที่ควร
แต่มีบางอย่างระหว่างเราที่ฉันต้องทำ
บางสิ่งที่เหมือนจะเป็นความลับที่ฉันกำลังจะบอกกับเธอ


ผมนั่งลงข้างๆมัน

ฉันปรารถนาเธอมากกว่าสิ่งไหนในชีวิต
ฉันต้องการเธอมากกว่าสิ่งไหนในชีวิต
ฉันคิดถึงเธอมากกว่าสิ่งไหนในชีวิต
ฉันรักเธอมากกว่าใครๆในชีวิต.......................


ผมมองจ้องมองเข้าไปในดวงตาของมัน..........

“กูรักมึง”

ผมพูดขึ้นเมื่อสิ้นเสียงของนักร้อง และส่วนที่เหลือของเพลงอีกหนึ่งนาทีสี่สิบวินาทีจะเป็นเมโลดี้บรรเลงจนจบเพลงเพียงอย่างเดียวไม่มีเนื้อร้องอีก และผมหวังว่าสิ่งที่ผมจะได้ยินหลังจากนี้นั้นคงไม่ใช่มีแค่เสียงดนตรีของเพลงๆนี้อย่างเดียวจนจบเพลงหรอกนะ...............

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 27-07-2007 14:33:13

.............โรแมนติกมากมาย........ :give2: :give2:

.............แต่แอบปนเศร้าเล็กๆ........
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 27-07-2007 15:01:40
ทำไมฟ้าให้เรารักกัน
แต่ให้เราอยู่ด้วยกันไม่ได้
 :serius2: :serius2: :serius2: :serius2: :serius2:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: tonsai_2520 ที่ 27-07-2007 22:42:11


“ถ้ามีอะไรสักอย่างในชีวิตของกูที่กูจะเรียนรู้ได้นะ ถ้ามีแค่ช่วงเวลาใดสักช่วงหนึ่งในชีวิตที่ทำให้กูได้เรียนรู้ และถ้ามีสิ่งๆนั้นที่กูสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเองจริงๆ ไอ้ทั้งหมดนั้นก็คงเป็น เมื่อตอนที่กูอยู่มอหกนั่นแหละ...........” มันหยุดมองหน้าของผม

“กูเชื่อมาตลอดว่าคนเรามันก็ใช้ชีวิตไปตามปกติอย่างเดิมทุกๆวันเป็นเรื่องธรรมดา และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่สิ่งปกติธรรมดาที่เราทำอยู่ในทุกๆวัน มันอาจจะไม่ใช่เรื่องธรรมดาสำหรับคนอื่นๆ หรือ คนๆหนึ่งก็ได้ มึงเข้าใจที่กูพูดมั๊ย”

ผมพยักหน้าช้าๆ

“แต่ตอนนั้นกูรู้เลยว่า ถ้าเรามองให้ลึกลงไปอีกแค่นิดเดียวเท่านั้น นิดเดียวจริงๆ ว่าในระหว่างที่เราใช้ชีวิตธรรมดาๆของเราอยู่นั้น เราอาจจะเผลอไปทำให้ชีวิตของใครคนอื่นผิดไปจากธรรมดาโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจได้.......” ไอ้ซันเว้นช่วง “ในช่วงที่กูใช้ชีวิตของกู กูหัวเราะ และพูดคุยอย่างปกตินั้น” มันเปลี่ยนสรรพนามจากคำว่า เรา มาเป็น กู แสดงความเจาะจงยิ่งขึ้น “คำพูดของกู มันอาจจะไปทำให้รอยยิ้มของใครคนหนึ่งสูญหายไปโดยที่กูไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นอย่างนั้น และเมื่อรู้ตัวอีกทีว่ากูเป็นต้นเหตุที่ทำให้เขาคนนั้นไม่มีรอยยิ้มและต้องจมอยู่กับความเศร้า มันก็สายเกินไปซะแล้ว หลายครั้งที่กูอยากจะแก้ไขสิ่งที่กูทำลงไป แต่กูก็ได้เรียนรู้มาอีกว่า คนเราต่อให้พยายามแค่ไหนก็แก้ไขสิ่งที่ทำลงไปแล้วไม่ได้ไม่ว่ามึงจะพยายามอ้อนวอนต่อพระเจ้าหรือหลั่งน้ำตาจนเป็นสายเลือดแค่ไหน มึงก็ทำไม่ได้” ไอ้ซันเว้นช่วงอีกครั้ง และสูดลมหายใจเข้าช้าๆ

ผมรู้สึกว่าหัวใจของผมเต้นแรง

“กูเคยทำให้เขาต้องเจ็บปวด ต้องเสียใจ ถึงกูจะบอกตัวเองว่ากูไม่ได้ตั้งใจ แต่กูก็ทำลงไปแล้วจริงๆ มันเป็นความจริงที่กูไม่สามารถปฏิเสธหรือหลอกตัวเองได้”

หัวใจของผมเต้นแรงขึ้น

“กูมันคนหัวดื้อและทิฐิสูง กูมันคนปากไม่ดี พูดอะไรไปทำอะไรไปก็ไม่ค่อยจะคิดก่อน แต่ช่วงเวลาสั้นๆแค่ไม่กี่เดือนนั้นมันทำให้กูได้เรียนรู้ถึงสิ่งที่กูทำพลาดมาทั้งชั่วชีวิต มันทำให้กูได้รู้ถึงข้อผิดพลาด ข้อเสียของกูที่กูควรจะแก้ไข........... ถ้ากูไม่อยากจะสูญเสียคนที่กูรักไปอีก”

หัวใจของผมเต้นแรงขึ้นมากๆ

“กูอยากจะบอกมึงอย่างนึง เมฆ” มันเว้นช่วงและสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆอีกครั้ง

หัวใจของผมเต้นแรงขึ้นมากๆสุดๆเลย

“กูขอโทษนะ”


   o13

สุดยอดเลยมึ้งงงงงงงงงงง

ชอบจังเลย . . . สงสัยต้องหาคนเรียนรู้ซะแล้ว
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 28-07-2007 00:14:48
 :m15: :m15: :m15: :m15: :m15:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 28-07-2007 05:34:51
 o7    โดน คับ โดน  โดนใจอย่างแรง โฮกกส์!~      :m11:

 :monkeysad: :monkeysad: :monkeysad:   (อาฮึก อาฮึก)
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 28-07-2007 09:40:57
..
..
..
ไม่รู้จะพูดอะไร

บอกได้คำเดียว สุดยอดครับ

 :m11: :m11: :m11: :m11: :m11: :m11: :m11:





คนแต่งคร้าบบบบ

พักผ่อนเยอะๆ หายไวๆ นะครับ

เป็นกำลังใจให้ครับ

 :a1:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 28-07-2007 12:58:15
ซันเป็นคนละเอียดอ่อนจริง ๆ พูดความรู้สึกได้กินใจจังเลย
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 28-07-2007 19:45:49
ตอนที่ 7


“กูรักมึงนะ ไอ้ซัน มากกว่าคำว่าเพื่อนธรรมดาด้วย” ผมกลั้นหายใจและพูดย้ำออกไปอีกครั้ง

ผมกำลังสบตามันอยู่ก็จริงแต่ผมกลับรู้สึกว่าผมมองอะไรไม่เห็นเลยแม้แต่นิดเดียว เบื้องหน้าของผมตอนนี้มีเพียงแสงสว่างไฟจากหลอดนีออนบนเพดาน และอะไรสักอย่างที่ดูคล้ายๆกับมนุษย์แต่มีสี่ตา สามหู และสองจมูก......

ผมต้องรีบปรับโฟกัสสายตาของตัวเองใหม่เสียแล้ว

เมื่อภาพตรงหน้าเริ่มกลับมาชัดขึ้นอีกครั้ง ผมจึงมองเห็นใบหน้าของไอ้ซันอย่างชัดเจน ผมบอกไม่ได้ว่าในแววตาของไอ้ซันตอนนี้เป็นอย่างไร ผมบอกไม่ได้ว่าหน้ามันแดงหรือเปล่า และผมก็บอกไม่ได้ว่ามันกำลังคิดอะไรอยู่ เพราะผมเองยังไม่เลยรู้ว่าแววตาของผมสื่อความหมายใดออกไป ผมไม่รู้ว่าถ้าหน้าของมันจะแดงก็คงไม่แดงไปกว่าหน้าของผมหรอกหรือเปล่า และผมเองก็ไม่รู้แม้แต่ว่าตอนนี้ผมเองกำลังคิดอะไรอยู่ด้วยซ้ำ

“มึงแปรงฟันรึยัง” ไอ้ซันพูดขณะที่กำลังเอี้ยวตัวหันไปวางกีตาร์ลงข้างๆเตียงและแน่นอนว่าไม่ได้กำลังมองหน้าผมอยู่เลยแม้แต่น้อย

“หา เอ่อ แปรงแล้ว” ผมตกใจกับคำพูดและปฏิกิริยาที่คาดไม่ถึงของมัน นี่นะหรือคำตอบของประโยคที่ผมเพิ่งจะบอกมันออกไป แต่ทันใดนั้นเอง ไอ้ซันก็ขยับตัวเข้ามาจูบปากของผมทันที

ใบหน้าของผมร้อนผ่าว หัวใจของผมเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาจากหน้าอก และผมคิดว่าลูกตาของผมก็คงกำลังจะถลนออกมาจากเบ้าเหมือนกัน แต่สุดท้ายผมก็หลับตาลง..........

สัมผัสของไอ้ซันที่ผมรู้สึกได้ผ่านทางริมฝีปาก ลมหายใจอุ่นๆที่กำลังรดอยู่บนใบหน้าของผม จังหวะของชีพจรของมันที่ผมรู้สึกได้อย่างชัดเจนราวกับเป็นชีพจรของผมเองเลยทีเดียว...... ผมเองก็เคยจูบคนอื่นมาแล้วเหมือนกัน แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่...... ทั้งสัมผัสและความรู้สึกมันช่างแตกต่าง ราวกับว่าผมไม่เคยได้รู้สึกถึงรสสัมผัสอันนุ่มนวล อ่อนโยน และน่าปรารถนาเช่นนี้มาก่อนเลย ผมเริ่มจูบตอบมันกลับและยกมือขวามาสัมผัสแก้มของมันเบาๆเพื่อเป็นการยืนยันว่าผมสามารถรู้สึกถึงอุณหภูมิของร่างกายของมันได้จริงๆ เพื่อให้แน่ใจว่าผมไม่ได้กำลังฝันไป........

ไอ้ซันเริ่มถอนปากออก และขยับตัวถอยหลังออกไปเล็กน้อย “กูก็แปรงแล้วเหมือนกัน” มันพูดขึ้นหลังจากที่เราผละออกจากกัน

“อืม กูก็ว่าอย่างนั้น” ผมหันหน้าหลบไปอีกทาง ไอ้ซันเองก็ก้มหน้าหลบผมเหมือนกัน “แต่คราวหน้าไม่ต้องพิสูจน์ด้วยวิธีนี้ก็ได้มั๊ง กูว่า” ผมพูดต่อและหันหน้ามาพยายามจะสบตาของมัน แต่มันก็ยังคงก้มหน้าอยู่

ผมรู้สึกตลกกับท่าทางและสีหน้าของมัน เลยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “ทำเองแล้วอย่ามาเขินได้ป่าววะ” ผมเอามือชันคางของมันแหงนขึ้นเบาๆเพื่อให้มันสบตากับผม

“พูดมากน่า” มันปัดมือผมทิ้งและซุกตัวลงไปในผ้าห่ม “กูนอนแล้วนะ มึงไปปิดคอมปิดไฟด้วย” มันนอนตะแคงหันหลังให้กับผม ผมหัวเราะเบาๆและลุกขึ้นไปปิดแล็ปท็อปและปิดไฟ จากนั้นก็เดินมาที่เตียง

“แล้วใครวะ ที่จูบตอบ” มันพึมพำเบาๆ “โอ๊ย! ทับตีนกู” มันโวย และขยับตัวหนี

“ขอโทษๆ กูมองไม่เห็น” ผมรีบขอโทษ “ก็ปกตินอนคนเดียว คราวนี้มันก็เลยกะระยะไม่ถูกนี่หว่า”

ไอ้ซันสะดุ้งเล็กน้อยและตะแคงตัวเพื่อหันมาหาผม “แปลเป็นนัยๆว่าให้กูกลับไปนอนห้องกูเองใช่มะ”

“อยากกลับมั๊ยละ” ผมท้า

“อยากให้กูกลับก็บอกมาตรงๆเหอะ อย่ามาทำเล่นลิ้น” มันชันตัวขึ้นนั่ง

“ถ้ามึง ‘อยาก’ กลับน่ะนะ” ผมเน้นที่คำว่า อยาก “ก็กลับไปก็ได้ แต่ถ้าไม่อยาก.......” ผมจับมือฉุดมันที่กำลังทำท่าจะลุกขึ้นนั่งเอาไว้ “ก็บอกกูก่อน ว่ามึงรักกูมั๊ย........”

“ไอ้เหี้ย กูกลับและนะ” มันเขยิบตัวทำท่าจะลุกขึ้นจริงๆ ผมเลยออกแรงรั้งแขนมันไว้อีก

“ไม่เอาๆ นอนกะกูนี่แหละ ไม่งั้นกูไม่ยกโทษเรื่องเมื่อปีก่อนให้นะเว้ย” ผมใช้ไม้ตาย และก็ได้ผลจริงๆ มันสบถออกมาเบาๆแต่ก็กลับมาซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกับผมเหมือนเดิม มันและผมต่างก็นอนหันหลังให้แก่กัน ไม่มีคำพูดใดๆหลุดออกมาจากปากของเราทั้งสองอีกเป็นเวลาครู่หนึ่งที่ผมไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ แต่ก็รู้สึกราวกับมันนานมากเหลือเกิน เพราะผมเอาแต่คิดถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อสักครู่ ภาพใบหน้าของมันที่เขยิบเข้ามาใกล้ และสัมผัสที่ผมรู้สึกผ่านจากทางริมฝีปากของมัน.......

ผมยกมือขึ้นเอามือแต่ที่ริมฝีปากเบาๆ แต่แล้วผมก็ถูกปลุกจากภวังค์ด้วยเสียงของไอ้ซัน

“เออ กูรักมึง” มันพูดออกมาเบาๆ ห้วนๆ แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับวันนี้ ผมยิ้มกว้างให้กับตัวเองในความมืดและพลิกตัวตะแคงหันไปหามันจากนั้นก็เอื้อมแขนไปโอบรอบตัวมันไว้

ตอนนี้ผมรู้ตัวแล้วว่าผมคงจะไม่อาจรักมันได้เหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป ไม่สำคัญว่าก่อนนั้นผมจะเคยรักมันยังไงและรักมันมากเท่าใด จากวันนี้ไป ผมจะไม่พูดว่าผมจะรักมันเท่าเดิมและจะรักมันอย่างนี้ตลอดไปไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว

แต่ผมสัญญากับตัวเองอยู่เงียบๆ ว่าผมจะไม่ใช่แค่รักมันเท่าเดิมตลอดไป แต่ผมจะรักมันให้มากขึ้นกว่าเดิมในทุกๆวันที่ผมยังหายใจอยู่....................


หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 28-07-2007 19:50:15
ซึ้งเกินบรรยาย  :impress:  :impress:  :impress:  :impress:
ชอบมาก ๆ เลย คุณต้นแต่ง 2 ตอนนี้ได้เยี่ยมมาก  :m13:  :m13:

ตอนนี้ผมรู้ตัวแล้วว่าผมคงจะไม่อาจรักมันได้เหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป ไม่สำคัญว่าก่อนนั้นผมจะเคยรักมันยังไงและรักมันมากเท่าใด จากวันนี้ไป ผมจะไม่พูดว่าผมจะรักมันเท่าเดิมและจะรักมันอย่างนี้ตลอดไปไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว

แต่ผมสัญญากับตัวเองอยู่เงียบๆ ว่าผมจะไม่ใช่แค่รักมันเท่าเดิมตลอดไป แต่ผมจะรักมันให้มากขึ้นกว่าเดิมในทุกๆวันที่ผมยังหายใจอยู่


 :impress:  :impress:  :impress:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 29-07-2007 10:51:03
ฝีมือคุณต้นยังเฉียบเหมือนเดิมเลยนะคับ
อ่านแล้วประทับใจมากๆ
 o1
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 29-07-2007 11:56:53
แสดงความรู้สึกได้ลึกซึ้งอีกแล้ว  อ่านแล้วมีความสุขจัง :o8:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ninaprake ที่ 29-07-2007 12:52:00
โอ้ยยยยยยยยยย  อิจจจจจจจฉฉฉฉฉฉฉา o18

"..... จะมีไหมสักคน มาเปลี่ยนชีวิตของฉัน เธอคือใคร ที่จะรักจริง ไม่ทอดทิ้งกัน  อยากจะรู้ ......."

จะมีมั๊ยน้า .....  :undecided:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: tonsai_2520 ที่ 29-07-2007 13:58:38

อืม . . .

 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: aumzaa ที่ 29-07-2007 16:06:01
 o7 o7 o7
ชอบครับ...
ซึ้งมากมาย....
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 30-07-2007 13:54:28

.........อ่านแล้วอบอุ๊น..อบอุ่น...... o13 o13 o13

.........เขียนได้กินใจเหมือนเดิม........ :m13: :m13:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 31-07-2007 01:08:55
   :m1:   :m1:   :m1:       ดี๊ด๊า...หลั่นล้า...     :m1:   :m1:   :m1:

 :m3:   :m3:     อ่านแย้ว อบอุ่นหัวใจจังเลยค่ะ      :m3:  :m3:

  "กูรักมึง"  ห้วน...สั้น...แต่ได้ใจ   :m11:

 o13     ซู๊ดดยอดค่ะ   
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 01-08-2007 10:41:41
ตอนที่ 8


แสงแดดที่ลอดผ่านผ้าม่านที่เปิดแง้มไว้ส่องเข้ามาแยงตาของผม อากาศเย็นกำลังดีและแถมด้วยไออุ่นจากร่างกายของคนที่กำลังนอนหลับอยู่ข้างๆทำให้ผมไม่อยากจะลุกขึ้นจากเตียงเลยจริงๆ แต่แล้วสุดท้ายผมก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงของคนหลายคนดังมาจากชั้นล่าง

ผมลุกขึ้นและหันไปหยิบนาฬิกามาดู มันบอกเวลาเก้าโมงครึ่งแล้ว

“ไอ้ซันๆ ตื่นก่อน มึงบอกกูว่าพวกคุณป้าจะกลับกันมากี่โมงนะ” ผมเขย่าตัวมัน แต่มันก็ยังไม่ยอมตื่นขึ้นมาดีๆ

“อะไรวะ” มันทำเสียงงัวเงีย

“ก็พ่อกับแม่มึงนะ จะกลับมากี่โมง นี่มันเก้าโมงครึ่งแล้วนะ” ผมเอาเท้าถีบมันเบาๆ “กูว่าเค้ากลับกันมาแล้วด้วย กูได้ยินเสียงมาจากข้างล่างน่ะ มึงฟังสิ” ผมเอาเท้ายันก้นมันแรงๆอีกหนึ่งทีเพื่อให้มันตื่น แต่ยังไม่ทันที่มันจะโต้ตอบ เสียงเคาะประตูห้องของผมก็ดังขึ้น

“ซวยแล้วไงมึง” ผมสบถออกมาเบาๆ ไอ้ซันเองก็เด้งตัวลุกขึ้นมานั่งเช่นเดียวกัน ผมกับมันสบตากันอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายไอ้ซันก็เป็นคนลุกขึ้นยืนและมันทำท่าจะไปเปิดประตูห้อง ผมรีบห้ามแต่มันก็ไม่สนใจ และเมื่อประตูเปิดออกคนที่ยืนอยู่หน้าห้องของผมคือเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ผมไม่เคยเห็นหน้า เขาพูดทักทายเป็นภาษาอังกฤษกับไอ้ซันและพูดบอกว่า แม่ของเขารออยู่ข้างล่าง

เมื่อประตูปิดลง ไอ้ซันก็เดินมาหาผมและตอบคำถามโดยที่ผมยังไม่ต้องเริ่มถามเลยเสียด้วยซ้ำ

ยังไม่ทันได้คบกันถึงหนึ่งวันดี ก็รู้ใจขนาดนี้แล้ว คิดดู

“นั่น ไคล์ ลูกของป้าแอ๊นท์ พวกแม่ๆมาถึงแล้วว่ะ เดี๋ยวกูลงไปหาพวกเค้าก่อนแล้วกัน มึงรีบไปล้างหน้าแปรงฟันก่อนเหอะ” พูดจบมันก็เดินออกจากห้องไป ไม่มีเวลาให้ผมมายืนงงอยู่แล้ว ผมรีบเดินออกไปอาบน้ำแต่งตัวด้วยความรวดเร็ว.........

ผมก็อยากให้เป็นอย่างนั้นอยู่หรอก แต่ระหว่างที่ผมกำลังอาบน้ำผมก็อดคิดไปถึงเรื่องเมื่อคืนไม่ได้ เรื่องเมื่อคืนทำเอาผมนอนแทบไม่หลับจริงๆ ไม่รู้ว่ามันหลับลงไปได้ยังไง ผมคิดถึงแต่ว่านั่นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆน่ะหรือ มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆรึเปล่า ผมได้บอกมันออกไปว่าผมรักมัน แล้วมันก็จูบผมเนี่ยนะ.......... ต่อจากนี้ไปผมกับมันจะเป็นยังไงกันต่อไปล่ะ นี่ผมกับมันเป็นแฟนกันแล้วงั้นหรือ เราคบกันอยู่หรือยัง แล้วมันก็รักผมเช่นกันจริงๆใช่มั๊ย คำถามร้อยแปดผุดขึ้นมาในหัวของผม แต่ผมต้องรีบสะบัดมันทิ้งออกไปเพราะตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะมาคิด ผมมีเวลาให้คิดอีกเยอะ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ที่พ่อกับแม่ของมันกำลังรอผมอยู่ข้างล่าง

ทันทีที่ผมเดินเข้าไปในห้องรับแขกผมก็เห็นลุงสันต์กำลังนั่งคุยกับคาร์ลอส สามีของป้าแอ๊นท์ และเห็นป้าแอ๊นท์กำลังคุยอย่างออกรสกับป้ากุ้ง แม่ของไอ้ซันอยู่ และข้างๆป้าแอ๊นท์ เด็กหนุ่มคนนั้นที่ไอ้ซันบอกว่าชื่อไคล์ก็กำลังนั่งคุยอยู่กับไอ้ซันตรงมุมโซฟาที่ผมสองคนเพิ่งนอนดูหนังด้วยกันเมื่อคืน เมื่อไคล์เห็นผมเดินเข้าไปในห้องเขาก็ส่งยิ้มให้ ผมพยักหน้าเบาๆตอบกลับไป ส่วนไอ้ซันเมื่อเห็นผมก็ลุกขึ้นยืนขอตัวทุกคนไปอาบน้ำก่อน มันเดินผ่านผมออกไปโดยที่ไม่ได้มองหน้าผมเลยแม้แต่นิดเดียว

สงสัยเมื่อคืนผมคงจะฝันไปจริงๆ

“มานี่สิเมฆ มานั่งนี่” แม่ของไอ้ซันตบเบาะให้ผมไปนั่งข้างๆ ผมเดินไปไหว้ไปจนครบและนั่งลงบนโซฟาข้างๆป้ากุ้ง

“ทำไมวันนี้ตื่นสายได้แฮะ แปลกนะเรา ปกติเห็นตื่นเช้านี่นา” ป้ากุ้งยิ้มให้ แต่ผมกลับรู้สึกผิดจริงๆ

“ขอโทษครับ เมื่อคืนดูหนังกับไอ้ซันดึกไปหน่อย แล้วก็ผมลืมตั้งนาฬิกาปลุกน่ะครับ ไม่รู้ด้วยว่าควรจะปลุกตอนกี่โมง”

“อ้าว” ป้าแอ๊นท์ทำหน้างง “ซันไม่ได้บอกเหรอ ว่าพวกป้าจะมากันตอนกี่โมงน่ะ”

“เปล่าครับ” ผมรู้สึกแปลกใจ “มันบอกผมแค่ว่าพวกป้าจะมาถึงกันตอนสายๆ แต่ไม่ได้บอกว่ากี่โมง”

“เอ๊ะ แปลกคน ลูกคนนี้ แม่ก็บอกเค้าตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะ ว่าจะมาถึงตอนประมาณเก้าโมงเช้าน่ะ” คราวนี้แม่ของไอ้ซันหันมาพูดกับผมบ้าง “แล้วนี่ เจ้านั่นเค้าก็ไปนอนอยู่ห้องเมฆงั้นเหรอ” ผมใจหายวาบเมื่อคิดถึงว่าแม่ของมันจะรู้มั๊ยว่าผมกับไอ้ซันมีความรู้สึกยังไงต่อกัน

“เอ่อ ครับ เมื่อคืนดูหนังสยองขวัญกันน่ะครับ แล้วมันกลัวก็เลยมาขอนอนด้วย” ผมตอบตามความจริงไป แต่แค่ครึ่งหนึ่ง

“ต๊าย หลายชายชั้นคนนี้นี่ น่าไม่อายจริงๆ แล้วนอนกันได้มั๊ยน่ะ เตียงก็ไม่ได้ใหญ่โตเลยไม่ใช่เหรอ แถมเราสองคนก็ไม่ได้ตัวเล็กๆเลยนะ” ป้าแอ๊นท์ถาม

“ครับ ก็ได้อ่ะครับ ไม่ได้เบียดอะไรกันนักหนา” ผมหัวเราะแหะๆ

“แล้วนี่รู้จักไคล์เค้ารึยัง ลูกชายป้าเอง ยังไม่เคยได้เจอกันเลยนี่นา” ป้าแอ๊นท์ตบบ่าเด็กหนุ่มเบาๆ ผมเองก็ได้แค่พยักหน้าอีกครั้งส่วนอีกฝ่ายก็พยักหน้าตอบ

เด็กหนุ่มคนนี้ดูๆแล้วท่าทางจะอายุแค่สิบหกหรือสิบเจ็ดปีเท่านั้น แถมยังมีโครงหน้าที่หล่อแบบแปลกๆ ซึ่งนั่นก็อาจจะเป็นเพราะสามีของป้าแอ๊นท์เองก็เป็นลูกครึ่งอเมริกัน-เม็กซิกัน พอมาถึงที่ตัวของไคล์ เขาก็เลยได้รับเลือดผสมถึงสามส่วนนั่นคือ ไทย อเมริกัน และ เม็กซิกัน เพราะเหตุนี้ล่ะมั๊ง เขาถึงได้มีโครงหน้าของคนตะวันตก มีผิวสีแทน ผมสีน้ำตาล แต่กลับมีดวงตาสีเขียวเข้มสดใส ผมเผลอจ้องหน้าของเขาอาจจะนานเกินไปจนเขารู้สึกตัวไคล์ก็เลยหัวเราะออกมาเบาๆทำให้ผมรู้สึกตัวและต้องหัวเราะแก้เขินไปด้วย

“สวัสดีครับ” เขาพูดขึ้นเป็นภาษาไทย

“อ่ะ เอ่อ ครับ สวัสดีครับ” ผมแปลกใจที่ได้ยินภาษาไทยสำเนียงแปร่งๆออกจากปากของเขา เพราะเข้าใจไปเองว่าเขาพูดภาษาไทยไม่ได้

เขายิ้มอีกครั้ง

“ไม่ต้องแปลกใจหรอกจ๊ะ ป้าสอนเขาเองแหละ ให้ลูกชายพูดภาษาบ้านเกิดของแม่ตัวเองไม่ได้เนี่ย ไม่มีทางซะหรอก และเผื่อโตขึ้นจะพากลับไทยไปเป็นนายบ่งนายแบบ รึ ดารา อะไรเทือกนี้สักหน่อย พูดไทยได้จะได้ได้เปรียบไงจ๊ะ ลูกชายป้าเลยพูดได้สามภาษาเลยทีนี้ทั้งอังกฤษ ไทย แล้วก็สเปน” ป้าแอ๊นท์หัวเราะชอบใจ ผมแอบเห็นเด็กหนุ่มอมยิ้มอีกครั้งและแอบส่ายหน้าเบาๆเหมือนจะบอกเป็นนัยๆว่า เอือมกับแม่ของตัวเองเสียเหลือเกิน

“เอ่อ แล้วเท้าของคุณป้าเป็นยังไงบ้างแล้วครับ” ผมถามป้าแอ๊นท์

“ก็ไม่เป็นอะไรร้ายแรงหรอกจ๊ะ แต่เวลาเดินเหินก็ต้องระวังหน่อย สวยๆอย่างป้าถ้าล้มหน้าแหกไปคงแย่แน่เลย”

“อ่อ ครับ ช่วงนี้ก็คงต้องเดินน้อยๆหน่อยมั๊งครับ พักผ่อนเยอะๆ”

“ก็นั่นแหละ ป้ามาที่นี่ก็เพราะเรื่องนั้นแหละ” ป้าแอ๊นท์หันไปยิ้มกับป้ากุ้ง ยิ่งทำให้ผมรู้สึกแปลกใจเข้าไปอีก

“แล้วนี่ก็ยังไม่ได้กินข้าวกินปลากันเลยสิ ใช่มั๊ย” แม่ของไอ้ซันหันมาถามผมบ้าง

“ยังครับ แล้วพวกคุณป้าล่ะครับ”

“เรียบร้อยกันหมดแล้วล่ะ แล้วที่บ้านเรามีอะไรกินบ้างรึเปล่าเนี่ย เมื่อวานป้าโทรบอกซันเค้าให้รีบกลับบ้านแล้วแวะซื้อของกินมาไว้ด้วย เค้าซื้ออะไรมามั่งล่ะ”

“เอ่ออ ไม่มีอ่ะครับ แต่ผมซื้อไว้ก่อนแล้วครับ เดี๋ยวผมสองคนทำอะไรง่ายๆทานกันก็ได้ครับ ไม่ต้องเป็นห่วง”

“นั่นไง พูดถึงก็มาพอดี งั้นเราสองคนไปทานข้าวกันก่อนเลยแล้วกัน และเดี๋ยวค่อยมาคุยกัน” ป้ากุ้งกวักมือเรียกไอ้ซันที่กำลังเดินลงมาให้เข้ามาหา แล้วบอกให้มันกับผมไปหาอะไรกินกันก่อน

เมื่อผมกับไอ้ซันอยู่กันสองคนในครัวแล้วผมก็เริ่มต้นยิงคำถามใส่มันทันที

“มึงรู้อยู่แล้วนี่หว่า ว่าคุณลุงกับคุณป้าจะไปเมื่อไหร่น่ะ ไม่ใช่ว่าเพิ่งรู้เมื่อวานเย็นสักหน่อย” ผมเปิดตู้เย็นและหยิบนมสดออกมาสองขวด พอหันหลับมาไอ้ซันก็ยืนยิ้มอยู่และยื่นมือออกมาจะคว้าขวดนมไป แต่ผมชักมือหลบมัน

“ไม่เอาน่า กูก็แค่ล้อเล่นหน่อยเดียวเอง” มันโอดครวญ

“ล้ออะไร เล่นอะไรของมึง แล้วถ้ากูไม่ซื้อนมซื้อซีเรียลมาไว้ตั้งแต่เมื่อวาน ตอนนี้มึงจะมีอะไรกินมั๊ย”

“ก็ถ้าไม่มี กูก็กะจะพามึงออกไปกินข้างนอกอยู่แล้วนี่นา”

“หมายความว่ายังไง”

“ก็หมายความว่า ถ้าตอนแรกวันนี้ เช้านี้ ที่บ้านไม่มีของกิน กูก็จะขอแม่กูพามึงออกไปกินข้าวข้างนอกน่ะสิ แต่นี่มึงดันซื้อของมาตุนไว้ เลยอดไปเลยเห็นมั๊ยล่ะ” มันตบหัวผมเบาๆหนึ่งที

“กูผิดอีกงั้นสิ”

“ไม่รู้ คิดเอาเอง” มันคว้าขวดนมไปจากมือของผมแล้วก็เดินไปหยิบซีเรียลมาเปิดถุงจากนั้นก็เทลงในชามสองใบ

“เอ้า นี่” มันยื่นมาให้ผมหนึ่งใบ

“ครับ ขอบคุณครับ ฟ้าคราม” ทำไมผมถึงต้องรู้สึกว่าโดนมันนำและชักจูงอยู่ตลอดเวลาเลยด้วยนะ นี่หมายความว่าเรื่องทั้งหมดก็เหมือนกับมันเป็นคนคิดและเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าทั้งหมดแล้วน่ะสิ

“เจ้าเล่ห์นักนะมึง” ผมพูดเบาๆและนั่งลงบนเก้าอี้ตัวข้างๆกับมัน

“บ่นอะไร ไอ้ตัวดี”

“เปล่า กินๆไปเหอะ เดี๋ยวแม่มึงบอกว่ามีเรื่องจะคุยกับเราสองคนนี่”

ไอ้ซันเคี้ยวซีเรียลอยู่เต็มปากและพยักหน้าหงึกๆ

“มึงรู้รึเปล่า ว่าเรื่องอะไร” ผมถาม

“หึ ไม่รู้อ่ะ”

“นึกว่ารู้ซะอีก เห็นรู้ เห็นเตรียมวางแผนไว้แล้วซะทุกอย่างขนาดนั้น” ผมพูดขึ้นมาลอยๆ

“มึงหมายความว่าไง” ไอ้ซันหยุดกินแล้วมองหน้าผม

“เปล่านิ”

“อ้ออ....... มึงคิดว่า เรื่องเมื่อคืนกูวางแผนไว้ให้มันออกมาเป็นแบบนั้นใช่มั๊ย” ไอ้ซันพูดยิ้มๆ

“ไม่รู้โว้ย” ผมหยุด เริ่มรู้สึกลังเล “แล้วมันใช่มั๊ยล่ะ”

“หึหึหึ ก็ครึ่งนึง” มันทำเสียงหัวเราะอยู่ในลำคอ

“หมายความว่าไง ‘ครึ่งนึง’ ของมึงน่ะ” ผมนิ่วหน้า

“ก็หมายความว่า.....” ไอ้ซันหยุดกิน แล้วเงยหน้าขึ้นมามองผม ผมเห็นสีหน้าแบบเดียวกันกับตอนที่มันเล่นกีตาร์ให้ผมฟังเมื่อคืนอีกครั้ง “กูตั้งใจไว้ส่วนนึง เช่นตั้งใจไว้ว่าจะเล่นกีตาร์ให้มึงฟัง ตั้งใจจะพูดขอโทษมึง อะไรแบบนั้นน่ะ แต่อีกครึ่งหนึ่งที่เหลือ....... กูปล่อยให้มันเป็นไปตามสถานการณ์” มันพูดหน้าแดง จากนั้นก็ก้มหน้ากินซีเรียลในชามต่อ ผมเองก็อดเขินไปด้วยไม่ได้เลยได้แต่นั่งอมยิ้มให้กับคำพูดและท่าทางของมัน

“แล้ว...... ที่มึงบอกว่า ‘รักกู’ ล่ะ อันนั้นมาจากแผนของมึง หรือว่ามาจากความรู้สึก ณ ขณะนั้น” ผมแกล้งแหย่

“กูพูดไปด้วยเหรอวะ” มันกวาดซีเรียลช้อนสุดท้ายเข้าปากและลุกขึ้นหยิบชามไปวางไว้ในอ่าง “แต่ที่แน่ๆกูไม่คิดว่าจะมีใครบางคนบอกว่า ‘กูรักมึงนะ รักมากกว่าแบบรักเพื่อน’ กับกูน่ะสิ” พูดจบมันก็หัวเราะ ทำเอาผมหน้าแดงและรู้สึกอายมาก

“แล้วใครวะ ที่มาทำฟอร์มถามว่า ‘มึงแปรงฟันรึยัง’ แล้วมาขโมยจูบกูน่ะ” ผมสวนกลับ คราวนี้ไอ้ซันหยุดหัวเราะ และหันหน้ากลับมามองหน้าผม หน้าของมันแดงก่ำ

“ก็ กูไม่อยากจูบปากเหม็นๆนี่หว่า” มันรีบแก้ตัว

“หมายความว่ามึงหน้ามืดอยากจะจูบกูแต่ก็ยังพอมีสติอย่างนั้นสิ” ผมสวนกลับ

“ไอ้สัตว์ หยุดเลยมึง เลิกพูด เดี๋ยวข้างนอกเขาได้ยิน” มันปรามทำท่าทางไม่พอใจใส่ผม แต่ก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกขำเข้าไปใหญ่

“ก็มึงนั่นแหละ ตัวดี ไอ้จอมวางแผน” ผมลุกขึ้นเดินเอาชามซีเรียลของผมไปยื่นให้มันล้าง “แต่ก็นะ...........” ผมเว้นช่วง

“ก็นะอะไร”

“มึงรักกูจริงๆใช่มั๊ยวะ” ผมกระซิบถามมัน

“พอ เลิกพูดได้แล้ว” มันแสร้งทำหน้าเครียดแต่ใบหน้าแดงก่ำ

“นานยังวะ”

“กูบอกให้พอไง ไอ้เมฆ”

“ตั้งแต่ตอนก่อนเราไปเที่ยวทะเลกันสองคนหรือตอนเรากลับมากันแล้ววะ............ หรือระหว่างนั้น”

“ไอ้เหี้ยนี่ มึงมาล้างของมึงเองเลย” มันดีดน้ำใส่หน้าผม แล้วเดินหนีออกไป

“ไม่เอาๆน่า กูล้อเล่น มาล้างต่อๆ เร็วๆ” ผมหัวเราะแล้วรีบดึงเสื้อมันไว้ มันเองก็หัวเราะและเอามือเปียกๆมาเช็ดที่หน้าของผม

“ซัน” เสียงแหบห้าวที่ผมยังไม่คุ้นหูดังขึ้นด้านหลังเราสองคน จากนั้นก็ตามด้วยเสียงประตูครัวที่ถูกเปิดออก ไคล์นั่นเอง “น้ากุ้งให้มาตามน่ะ ถ้ากินกันเสร็จแล้ว” คราวนี้เขาพูดเป็นภาษาไทย

“ได้ เดี๋ยวออกไปแล้วล่ะ” ไอ้ซันตอบ จากนั้นไคล์ก็ปิดประตูหายไป

“มึงว่าเค้าได้ยินเราคุยกันป่าววะ” ผมถามไอ้ซัน

“ไม่รู้ คงไม่หรอก ช่างมันเหอะ รีบๆล้างจานให้เสร็จแล้วออกๆไปกันดีกว่า เดี๋ยวจะโดนแม่กูด่าเอา”

ไอ้ซันจึงรีบเก็บล้าง และเดินนำผมออกไปที่ห้องนั่งเล่น

“อ้าว พ่อกับลุงคาร์ลอสล่ะครับ” ไอ้ซันถามแม่ ผมเองก็สังเกตเห็นว่าทั้งสองคนไม่ได้อยู่ในห้องนี้แล้วเช่นกัน

“ขับรถออกไปทำธุระกันน่ะ เดี๋ยวสักพักก็กลับ มานี่สิ มานั่งนี่ทั้งสองคน”

“มีอะไรอ่ะ แม่”

“แม่น่ะไม่มีหรอก แต่ป้าแอ๊นท์เค้ามี” แม่ของไอ้ซันหันไปยิ้มให้กับป้าแอ๊นท์

“แอนนาย่ะ ไม่ใช่แอ๊นท์ บอกจนปากจะฉีกแล้ว เดี๋ยวหลานๆก็จำไปผิดๆหรอก” ป้าแอ๊นท์รีบท้วง แต่ก็คงจะช้าไปเสียแล้ว “ตอนนี้ซันใกล้จะได้หยุดแล้วใช่มั๊ย” ป้าแอ๊นท์หันไปถามไอ้ซัน

“ครับ ก็อีกสองสามวันก็หยุดแล้ว”

“แล้วเมฆล่ะ มีโปรแกรมไปไหนอยู่แล้วรึเปล่า” คราวนี้ป้าแอ๊นท์หันมาถามผม

“ก็ ไม่อ่ะครับ” ผมหันไปมองหน้าไอ้ซันด้วยความงุนงง

“มีอะไรเหรอครับ” ไอ้ซันชิงถามขึ้นเสียก่อน

“คืองี้ ป้าคนสวยของแกคนนี้เนี่ยนะ มีตั๋วเครื่องบินไป-กลับอเมริกาอยู่สามใบ ตั้งใจว่าจะไปเที่ยวกับกับคาร์ลกับไคล์ แต่ว่าขาสวยๆของคนสวยๆอย่างชั้นเนี่ย ดันมาเดี้ยงไปซะก่อนก็เลยคงไปไม่ได้ เพราะอย่างนั้น........” ป้าแอ๊นท์เว้นช่วง ผมกับไอ้ซันสบตากัน

“ป้าจะให้พวกผมไปแทนงั้นเหรอครับ”

“ถูกต้อง ฉลาดจริงๆหลานรัก และไม่ใช่แค่นั้นนะ ป้ายังจองที่พักเอาไว้เรียบร้อยแล้วด้วย เพราะงั้นก็เลยไม่อยากยกเลิกน่ะสิ เสียดายกะตังค์แถมช่วงนี้ที่นั่นก็กำลังสวยเลยด้วย พูดแล้วยังอยากไปเองเลยนะเนี่ย เสียด๊ายเสียดาย”

“เดี๋ยวๆ นี่ป้าจะให้ผมไปที่ไหนกันครับเนี่ย” ไอ้ซันรีบถาม

ป้าแอ๊นท์ยิ้มราวกับกำลังรอคำถามนี้อยู่แล้ว “อาริโซนา แกรนด์แคนยอนจ้ะ”


หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 01-08-2007 11:51:55

...........ปายเที่ยว...ปายเที่ยว..... :a4: :a3:  :a11:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 01-08-2007 12:15:19
อ้าววว มีตัวแปรมาซะง้านนน

เป็นกำลังใจให้ครับ

 :a2:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 01-08-2007 14:11:04
ฮันนีมูนสวีท...วี๊ดวิ๊ว
บรรยากาศเปลี่ยนไปจากสองภาคแรกเลยทีเดียว
 :m1:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: tonsai_2520 ที่ 01-08-2007 17:10:07


“คืองี้ ป้าคนสวยของแกคนนี้เนี่ยนะ มีตั๋วเครื่องบินไป-กลับอเมริกาอยู่สามใบ ตั้งใจว่าจะไปเที่ยวกับกับคาร์ลกับไคล์ แต่ว่าขาสวยๆของคนสวยๆอย่างชั้นเนี่ย ดันมาเดี้ยงไปซะก่อนก็เลยคงไปไม่ได้ เพราะอย่างนั้น........” ป้าแอ๊นท์เว้นช่วง ผมกับไอ้ซันสบตากัน “ป้าจะให้พวกผมไปแทนงั้นเหรอครับ”

“ถูกต้อง ฉลาดจริงๆหลานรัก และไม่ใช่แค่นั้นนะ ป้ายังจองที่พักเอาไว้เรียบร้อยแล้วด้วย เพราะงั้นก็เลยไม่อยากยกเลิกน่ะสิ เสียดายกะตังค์แถมช่วงนี้ที่นั่นก็กำลังสวยเลยด้วย พูดแล้วยังอยากไปเองเลยนะเนี่ย เสียด๊ายเสียดาย”

“เดี๋ยวๆ นี่ป้าจะให้ผมไปที่ไหนกันครับเนี่ย” ไอ้ซันรีบถาม

ป้าแอ๊นท์ยิ้มราวกับกำลังรอคำถามนี้อยู่แล้ว “อาริโซนา แกรนด์ แคนยอนจ้ะ”





 

ภาพแกรนด์แคนยอน . . . เคยเห็นแร่ะ

จากนี้จะเห็นมากกว่าภาพแล้ววุ้ยยยยยยยยยย


หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 01-08-2007 17:47:17
^
^

เขาเรียกว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว

ไปทั้งที ได้ข้อมูลกลับมาด้วยเห็นมั๊ย

ต่อจากนี้เลยจะเป็นการเล่าเรื่องโดยมีฉากของที่นั่นเป็นพื้น อ้างอิงมาจากประสบการณ์และควาทรงจำของคนเขียนเองจริงๆ

เจ๋งปะเล่า  :m13:

ปล. มีอะไรจะบอกแหละพี่ ไอ้รักครั้งแรกของผมน่ะ............ ตอนนี้ผมกับมันกำลัง................... หุหุหุหุ  :m26:


หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 01-08-2007 18:04:48
รอดูต่อปายยย

 :a2:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 01-08-2007 19:59:17
ไปเที่ยว ไปเที่ยว  :a4:  :a4:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 02-08-2007 01:55:29
แล้วนี่รักครั้งที่เท่าไหร่กันหนอ
 :m21: :m21: :m21:

แต่เหมือนเป็นความรักที่กว่าจะยอมลืมอดีต เพื่อที่จะก้าวต่อ มันดูยากจริงๆ

 :a3: :a3: :a3:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: tonsai_2520 ที่ 02-08-2007 01:59:30
^
^

เขาเรียกว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว

ไปทั้งที ได้ข้อมูลกลับมาด้วยเห็นมั๊ย

ต่อจากนี้เลยจะเป็นการเล่าเรื่องโดยมีฉากของที่นั่นเป็นพื้น อ้างอิงมาจากประสบการณ์และควาทรงจำของคนเขียนเองจริงๆ

เจ๋งปะเล่า  :m13:

ปล. มีอะไรจะบอกแหละพี่ ไอ้รักครั้งแรกของผมน่ะ............ ตอนนี้ผมกับมันกำลัง................... หุหุหุหุ  :m26:






เหรอ . . .ดีว่ะ

ไอ้รักครั้งแรกของผม . . . ก็เหมือนจะเดินผ่านเส้นบาง ๆ  วุ้ย

พอบอกจะลาออกจากงาน . . .มันบอกเอาเลยพี่  ไปหาที่ทำร้านอาหารกัน  นั่น . . . คิดไรของมัน . . . ไอ้เข้มหน้าหวาน
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 02-08-2007 02:46:16
 o7   ยิงนกนัดเดียว...เอ๊ย...ยิงปืนนัดเดียวได้นกตัวแน่ะ อิอิ    :a3:
ว่าตะ นกอีกตัว มาทำไมอ่ะ ... มานหารม่าลงตัว คิคิ
มีตัวแปรเพิ่มมางี๊... ว๊าๆๆ แย่ๆๆ     o16 

 :m1:   มาเล่านิยายมิพอ.. มาทิ้ง อะไรไว้ ให้อยากรู้อีกเนอะ คนแต่งเนี่ย    :m12:


 :m4:    รอไปเที่ยวแกรนแคนยอน  ด้วยคนค่ะ   :m4:



หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 02-08-2007 13:12:03
รอ รอ รอ

 :a3: :a3: :a3: :a3: :a3:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: aumzaa ที่ 02-08-2007 13:26:26
 :a11:

 :a11:

 :a11:

 :a11:

  รอครับ

พดถึงแกรน แคนย่อนแล้วอยากไป

 :a9: :a9:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 02-08-2007 14:17:03
ตอนที่ 9


“เฮ้ย มึงจะเอาไงวะ” ผมถามไอ้ซัน ที่กำลังนอนเล่นอยู่บนเตียงของผม ป้าแอ๊นท์กับป้ากุ้งรวมทั้งไคล์กำลังออกไปข้างนอกเพื่อซื้อของมาทำอาหารเที่ยงกับอาหารเย็นที่บ้านกัน จึงมีเวลาให้ผมกับไอ้ซันได้คุยกันเรื่องที่ป้าแอ๊นท์จะให้พวกเราไปเที่ยวที่อเมริกาแทนเพราะขาที่เจ็บทำให้ป้าเขาไปไม่ได้ “เดี๋ยวค่อยกลับมาคุยรายละเอียดกันทีหลัง” คือประโยคสุดท้ายที่แม่ของไอ้ซันเป็นคนพูดทิ้งเอาไว้ก่อนจะขับรถออกจากบ้านไป

“กูก็ไม่รู้” มันพูดเหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก

“มึงอยากไปมั๊ยล่ะ”

“ไม่รู้ว่ะ มันกะทันหันไปหน่อยมั๊ง เลยคิดอะไรไม่ค่อยออก” มันพลิกตัวเปลี่ยนเป็นนอนหงาย แล้วแหงนหน้ามามองผม “มันไม่ใช่ว่าถ้าอยากไป อยู่ดีๆก็จะไปเลยนี่หว่า ไปเที่ยวที่เมืองอื่นที่ต้องเดินทางนานเกินสองสามชั่วโมงกูยังคิดแล้วคิดอีกเลย แล้วนี่ให้ไปถึงนู่นนน” มันลากเสียงพลางชี้นิ้วขึ้นไปบนฟ้า ผมพยักหน้า แล้วลุกขึ้นมาเปิดแล็ปท็อป

“กูมีรูปของที่นั่นพอดี” ผมบอกมัน

“รูปอะไรวะ”

“รูปของแกรนด์แคนยอนไง กูได้เมล์มาจากเพื่อนน่ะ จะดูมั๊ยล่ะ”

“เออ ก็ดี กูไม่เห็นรู้จักเลย ที่นั่นมันมีอะไรมั่งวะ” ไอ้ซันลุกขึ้นและเดินมาหยุดอยู่หลังเก้าอี้ มันเอามือจับบนบ่าและเอาคางมาเกยไว้บนหัวของผม ผมขยับหัวเบาๆ และจากนั้นก็คลิกเลือกที่โฟล์เดอร์รูปภาพแล้วเลือกรูปแกรนด์แคนยอนที่เพื่อนผมส่งมาเปิดให้มันดู

“มีทั้งหมดห้าหกรูปได้มั๊ง นี่ไง” ผมเปิดให้มันดูทีละภาพ

“อืมมม ก็สวยดีนี่หว่า”

“อืม กูก็ว่างั้น........”

“มึงชอบเหรอ” มันถาม แล้วชะโงกหน้ามาโผล่ตรงเหนือไหล่ด้านขวาของผม

“ก็อืม มันก็สวยดีนี่ กูว่าก็น่าไปดีออก”

“ถึงขนาดเซฟรูปเก็บเอาไว้เนี่ย คงมีอะไรมากกว่า ‘สวย น่าไป’ มั๊ง กูว่า”

“เออ ก็ กูเองก็เคยคิดอยากไปมานานแล้วล่ะ พอใจยัง แล้วที่สำคัญได้ไปฟินิกซ์ด้วย มึงก็รู้ว่ากูชอบทีมบาสของฟีนิกซ์ กูก็เลยอยากไปในเมืองที่เป็นทีมบาสที่กูชอบโคตรๆเหมือนกันนั่นแหละ ก็นะ ใครๆมันก็ต้องอยากไปในเมืองที่เป็นทีมโปรดของตัวเองอยู่แล้วทั้งนั้นใช่มั๊ยล่ะ” ผมหันไปมองหน้าของมันที่กำลังยิ้มรออยู่แล้ว “นี่มึงยิ้มอะไรของมึง”

“เปล่า ถ้ามึงอยากไป ก็ไปดิ่” มันผละออกจากเก้าอี้ แล้วเดินไปนอนลงบนเตียงอีกครั้ง

“อ้าวอะไรวะ พูดง่ายๆ แล้วมึงล่ะ” ผมหันเก้าอี้มาถามมัน

“ไม่รู้ว่ะ คิดดูก่อน”

“ไอ้ซัน มึงอย่ามาทำแบบนี้ดิ่วะ พูดง่ายๆบอกว่าถ้ากูอยากไปก็ไป แล้วมึงกลับบอก ‘ไม่รู้ คิดดูก่อน’ เนี่ยนะ กูเองก็ต้องคุยกับพ่อกูด้วยเหมือนกันนะ แถมถึงกูอยากจะไปก็จริง แต่กูไม่ได้อยากไปแบบนี้........” ผมหยุด

“ไปแบบนี้ หมายความว่ายังไง” มันจ้องหน้าผม

“ซัน.......” ผมลุกขึ้นเดินตรงไปหามัน “กูรบกวนครอบครัวมึงมามากแล้วนะ แค่พ่อแม่มึงให้บ้านคุ้มหัวกูอยู่นี่ก็เป็นพระคุณไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว แล้วนี่ป้ามึงก็ยังจะเหมือนกับเอาเงินมาโยนให้กูเลยแบบนี้อีกเนี่ย กูรับไว้ไม่ได้หรอก กูพูดตรงๆ”

ไอ้ซันลุกขึ้นมานั่งมองหน้าผม มันเกาหัวแกรกๆ ทำหน้าเซ็งๆ

“ข้อแรก” มันชี้นิ้วชี้ขึ้นมา “มึงไม่ได้รบกวนอะไรครอบครัวกูเลย ข้อสอง มึงได้นอนบ้านหลังนี้ก็เพราะมึงจะได้เรียนที่เดียวกับกูและคอยดูแลกูได้ ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้น นี่คือสิ่งที่แม่กูเขาบอกกูมานะ ข้อสาม บ้านหลังนี้เดิมทีก็ไม่ใช่ของครอบครัวกู แต่เป็นของป้าแอ๊นท์ต่างหาก อันนั้นมึงก็รู้ ส่วนข้อสี่ ป้ากูเขาไม่ได้เอาเงินมาโยนให้มึง เขาไม่อยากให้เสียดายเงินที่จ่ายไปแล้วต่างหาก” ตอนนี้มันชูทั้งหมดสี่นิ้วแล้ว “จะเอาข้อห้าด้วยมั๊ย”

ผมยักไหล่เป็นเชิงว่า ก็พูดมาสิ

“ข้อห้า” ไอ้ซันกระดกโป้งนิ้วสุดท้ายขึ้นมา ฝ่ามือของมันชูอยู่ตรงหน้าของผม “มึงคือคนที่มีบุญคุณให้กับพ่อ แม่และครอบครัวของกูมากที่สุด กูบอกไม่ต้องมาทำหน้าแบบนั้นไง ป้าแอ๊นท์เขาก็รักกูเหมือนลูกแท้ๆของเขาเลยเหมือนกัน ใช่ ตั้งแต่กูยังเล็ก ตอนที่แกไม่มีลูก แกก็รักกูมากๆ พอแกย้ายมาที่นี่และมีลูกชาย แกก็ยังบินกลับไปเยี่ยมกูอยู่บ่อยๆเลย เพราะฉะนั้น..........” ผมยังคงไม่พูดอะไร รอให้มันเป็นฝ่ายพูดต่อเอง “เพราะฉะนั้น ถ้ามึงไม่อยากจะคิดว่ามึงกำลังรบกวนครอบครัวกู หรือครอบครัวกูมีพระคุณกับมึงมากเสียเหลือเกิน มึงก็ต้องคิดว่า ครอบครัวกูเป็นหนี้บุญคุณมึงและคราวนี้พวกกูก็กำลังจะทดแทนให้แก่มึง เข้าใจมั๊ย” ไอ้ซันจบท้ายประโยคเสียงเข้ม

“มีแค่สองตัวเลือกเองเหรอ” ผมถาม

“ใช่ แค่นั้น”

ผมนิ่วหน้า แสร้งทำท่าครุ่นคิด “ทวนอีกทีได้มั๊ยวะ”

“ได้แน่นอน กูให้เลือกระหว่าง......” ไอ้ซันยกนิ้วชี้ข้างซ้ายขึ้นมา “มึงคือผู้ที่มีพระคุณกับพ่อและแม่ของกูที่สุดในชีวิตของพวกท่าน หรือไม่ก็ ครอบครัวของกูช่างมีพระคุณให้กับมึงเสียเหลือเกินจนมึงรับไว้ไม่ไหวแล้ว” มันยกนิ้วชี้อีกข้างขึ้นมาชูไว้คู่กัน “มึงจะเลือกข้างไหน”

“โห เลือกยากนะเนี่ย” ผมขมวดคิ้ว แต่ไอ้ซันกลับมีรอยยิ้มที่มุมปาก

“งั้นกูให้ตัวเลือกที่สามกับมึง”

“ว่ามา”

ไอ้ซันเลื่อนนิ้วทั้งสองนิ้วมาชิดกัน แล้วพูดว่า “คิดซะว่ามึงเป็นครอบครัวเดียวกับกูไปแล้วไงล่ะ” มันฉีกยิ้ม

“งั้นสงสัยคำตอบของกู มันคงมีอยู่ทางเดียวแล้วล่ะมั๊ง” ผมหัวเราะ

“ทางไหน” ผมได้ยินความคาดหวัง ซึ่งน่าจะเป็นคาดหวังว่าจะได้ยินผมเลือกตัวเลือกที่สามออกมาจากน้ำเสียงของมัน

“ข้อสอง แต่แบบตัดส่วนที่ว่ากูรับไว้ไม่ไหวทิ้งไปนะเพราะกูจะเอามันมาผสมกับข้อหนึ่ง นั่นก็คือกลายเป็น กูกำลังรับน้ำใจของพ่อแม่ของมึงที่กูเคยช่วยลูกชายของท่านเอาไว้ เป็นตัวเลือกที่สี่ไง แบบนี้ดีมะ”

“แล้วข้อสามล่ะ ไม่เข้าเค้าเลยเหรอ” มันเริ่มชักสีหน้าไม่พอใจที่ผมไม่ได้ตอบอย่างที่มันคิดเอาไว้

“อืมมม งั้นกูมีตัวเลือกที่ห้าเหมือนกัน จะฟังมะ” ไอ้ซันทำท่าเอียงคอ ยักไหล่ “เอาตัวเลือกที่สี่มาทั้งตัวเลือก แต่ผสมกับตัวเลือกที่สามของมึง นั่นคือ พ่อแม่ของมึงกำลังตอบแทนกู และสักวันกูก็จะตอบแทนพ่อแม่ของมึงโดยเข้ามาเป็นครอบครัวเดียวกับมึงเพื่อลดช่องว่างระหว่างพวกเราออกไป”

ไอ้ซันฉีกยิ้มเมื่อได้ยินดังนั้น “ดีมาก คิดได้อย่างนี้สิ ค่อยฉลาดสมกับเป็นนักเรียนนอกหน่อย แต่ถ้าจะฉลาดกว่านี้ ก็น่าจะรู้ตัวนะ ว่ามึงน่ะเป็นครอบครัวเดียวกับกูไปแล้ว ไอ้เมฆ ไม่ใช่ ‘สักวัน’ มึงจะเป็น”

“ยัง มึงยังฟังไม่จบ” ผมแย้ง

“อะไรวะ” มันชะงัก รอยยิ้มเริ่มหุบลง

“มันขึ้นอยู่กับวิธีการ”

“วิธีการอะไรของมึง”

“การเป็นครอบครัวเดียวกับมึงไง” ผมหยุด ดูสีหน้าของไอ้ซัน รู้ได้เลยว่ามันไม่เข้าใจ ผมจึงอธิบายต่อ “ถ้าอยู่ดีๆกูเป็นครอบรัวเดียวกับมึงไปแล้วแบบนี้ ก็เหมือนกูกับมึงก็เป็นพี่เป็นน้องกันน่ะสิ เพราะงั้น กูต้อง ‘ได้’ มึงก่อน แบบนั้นถึงจะเรียกได้ว่าเราสองครอบครัวกลายเป็นทองแผ่นเดียวกันจริงๆไง” ผมหัวเราะ ไอ้ซันเองก็หัวเราะ แต่แค่แป๊บเดียวเท่านั้นมันก็รีบกระโจนเข้ามาใส่ผม แล้วคร่อมตัวผมเอาไว้ให้ถูกกดอยู่ข้างล่าง

“จะ ‘ได้’ กูงั้นเหรอ ง่ายไปมั๊ง ใครกันแน่ที่จะ ‘เสีย’ น่ะ” มันกดแขนสองข้างของผมเอาไว้แล้วก้มหน้าเข้ามาพูดเสียจนชิดกับใบหน้าของผม ผมรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆและเสียงหัวใจของมันที่กำลังเต้นแรงอยู่ตรงหน้าผมเหมือนกับเมื่อคืนไม่มีผิด แต่ว่าวันนี้ ตอนนี้ ไม่ใช่เวลาจะมาเคลิบเคลิ้มแล้ว ผมวาดขาขวากวาดอ้อมใต้ลำตัวตัวของมันจากนั้นก็ออกแรงดันขาและเกร็งแขนที่ถูกกดอยู่หมุนพลิกตัวให้ไปทางด้านขวา

คราวนี้ไอ้ซันกลายเป็นคนที่อยู่ข้างล่างบ้างแล้ว

“ไม่ง่ายนักหรอกน่า ถึงกูจะตัวเล็กกว่ามึง แต่ก็ไม่กระจอกเหมือนที่มึงคิดหรอกนะ” ผมฉีกยิ้ม อย่างน้อยๆการที่ผมไปเล่นยูโดมาตั้งนานจนได้สายดำก็ไม่ได้ไปเสียเงินเพราะแค่อยากใช้เงินหรอกนะ ไอ้ซันทำท่าจะขัดขืน ผมจึงเอาสองขาไขว้ล็อกขาซ้ายของมันเอาไว้ และออกแรงดึงแขนขวาของมันให้ชูขึ้นเหนือหัวและจับไขว้บิดข้อต่อล็อกเอาไว้ทันที ไอ้ซันหลุดปากร้องโอ๊ย ออกมาทันที

“เป็นยังไงมึง อย่าดิ้นนะ ไม่งั้นเจ็บไม่รู้ด้วย แล้วก็อย่าให้กูต้องเผลอออกแรงมากกว่านี้นะ ไม่งั้นข้อต่อหลุดไปจริงๆนะมึง” แต่ไอ้ซันยังคงมีท่าทางขัดขืน “ยอมแพ้ซะเถอะน่า มึงดิ้นไม่หลุดหรอก มีแต่เจ็บตัวเปล่าๆ” พอผมพูดจบมันจึงเริ่มสงบลง

“เออๆ กูยอมแล้วๆ” ไอ้ซันร้องออกมาแบบไม่ค่อยจะพอใจนัก ผมจึงปล่อยแขนของมันออก แต่ขาของผมยังคงล็อคเอาไว้อยู่อย่างเดิม เพราะฉะนั้นผมกับมันจึงอยู่ในท่าที่ผมนอนคว่ำทับตัวของมันอยู่ “กูบอกกูยอมแล้วไง ลุกไปได้แล้ว ไอ้เมฆ” มันหอบ

ผมค่อยๆพลิกตัวลงไปนอนหงายอยู่ข้างๆกับมัน แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้หยุดพักหายใจ ไอ้ซันก็พลิกกลับขึ้นมาบนตัวของผมอีกครั้ง คราวนี้มันล็อกขาของผมไว้ท่าเดียวแบบที่ผมทำกับมันและยังเอามือมาดึงแขนทั้งสองของผมออกไปในท่าขึงพืดอีกด้วย ไอ้ซันจับมือผมไว้แน่น ผมออกแรงดึงแต่ก็สู้แรงมันไม่ได้เพราะไม่ได้อยู่ในท่าที่ถนัด

“ไงมึง หายซ่ารึยัง ทีนี้รู้รึยังว่าใครแรงเยอะกว่า” ไอ้ซันแสยะยิ้ม

“กูก็ไม่ได้บอกว่ากูแรงเยอะกว่ามึงสักหน่อย” ผมยังดิ้นอยู่ จนแขนเกือบจะหลุดออกมาแล้ว แต่ไอ้ซันก็รวบกลับไปไว้ได้อีกครั้ง

“โอ๊ะๆ เกือบไปแล้ว” มันอุทาน ผมเห็นเหงื่อที่เริ่มผุดขึ้นมาบนใบหน้าของมัน

“ไง ปล้ำกับกู ไม่ง่ายใช่มั๊ยละ” ผมพูด และหยุดดิ้น

“เออ ไอ้เหี้ย แรงเยอะชิบหาย” เมื่อมันเห็นผมหยุดดิ้น ไอ้ซันจึงค่อยๆคลายมือของผมออกและลุกขึ้นยืนหันหลังให้ผม “พอๆ เลิกเล่นแล้ว เหนื่อย” มันหอบ

ผมลุกขึ้นนั่ง มองเห็นแผ่นหลังของมันมีเหงื่อซึมออกมาเล็กน้อย ผมลุกขึ้นยืนและเดินตรงเข้าไปกอดมันจากทางด้านหลัง ไอ้ซันสะดุ้งและเอามือมาจับที่แขนของผมทำท่าจะขัดขืน

“กอดเฉยๆน่า ไม่ได้รึไง” ผมเกยคางลงบนบ่าของมันและพูดออกมาเบาๆ

“ตกใจหมด ไอ้ห่า” ไอ้ซันคลายมือที่เคยจับแขนของผมไว้แน่นเปลี่ยนเป็นแค่กุมเอาไว้เบาๆแทน

“ถ้ากูจะปล้ำมึงนะ กูทำไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว” ผมกอดมันแน่นขึ้นและโยกตัวเบาๆ “กูรักมึงจริงๆว่ะ ไอ้ซัน” ผมพูด

“อืม กูรู้” มันตอบกลับมาเบาๆ

“แล้วมึงล่ะ รักกูมั๊ย”

“มึงก็รู้คำตอบอยู่แล้ว”

“แต่กูอยากได้ยิน......... อีก”

“ถ้าอย่างนั้น........” มันจับมือของผมเลื่อนไปวางไว้ที่หน้าอกของมัน จังหวะการเต้นตุบๆของหัวใจดังผ่านมาทางฝ่ามือของผม “ว่าไง มันพูดว่าไงบ้าง”

“มันบอกว่า ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ว่ะ กูเดาเอาว่า มันคงจะแปลว่า ‘รักไม่รักไม่รู้ รู้แต่ตอนนี้อยากเสียตัว’ มั๊งนะ”

“พอเลยมึง” ไอ้ซันสะบัดมือผมทิ้งทันที “ไอ้เหี้ยนี่ หมดอารมณ์เลยกู” ไอ้ซันแกะมือผมออกแล้วก็เดินไปนั่งบนขอบเตียง ผมยืนมองมันแล้วหัวเราะ

“อะไร อารมณ์อะไรของมึงวะ” ผมยื่นมือออกไป กวักมือให้มันยื่นมือมาให้ แต่มันกลับเฉย

“เปล่า ไม่มีอะไร พอๆ เลิกพูดเลย” มันโบกมือทำท่ารำคาญ ผมเลยเดินไปนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้ามัน

“กูรู้ไอ้ซัน ว่ามึงก็รักกู” ผมจับมือของมัน “งั้นกูกับมึง........ เราไปเที่ยวด้วยกันนะ”

ผมชะโงกหน้าเข้าไปใกล้แล้วหอมมันที่แก้มเบาๆ


หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 02-08-2007 14:46:50
ซันเนี่ยมะหวานเลย
เมฆต้องเติมลงไปเยอะๆ นะคับ
 :m1:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 02-08-2007 15:32:29

..........ให้วันพรุ่งนี้ช่วยพิสูจน์ความรัก....... :give2: :give2:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: tonsai_2520 ที่ 02-08-2007 16:24:36


อืม . . . .ชอบ

อยากโดนกอดมั่งจังวุ้ย . . . เราเก่งแค่มวยปล้ำ  ไม่ถนัดยูโดซะด้วยสิ

ได้หยุดยาวแร่ะ . . . . เจอกันเมื่อชาติต้องการ

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 02-08-2007 19:05:05
 :o8: ชอบตอนนี้จัง  :o8:  ถึงจะไม่หวานไม่ซึ้งแต่อบอุ่นด้วยความรักและมิตรภาพ  :a2:  :a2:
 :m1:  :m1:  :m1:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 02-08-2007 19:49:19
ตอนที่ 10


อากาศยามเย็นในสวนสาธารณะวันนี้ช่างสวยงามจริงๆ แดดที่ไม่แรงจนเกินไป ลมที่พัดแรงกำลังดี คนที่ไม่พลุกพล่าน และที่สำคัญ คนที่กำลังเดินอยู่ข้างๆ........

“อากาศดีนะ” ผมว่า

ไอ้ซันพยักหน้าตอบ

“กูยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่ะ ที่ป้ามึงเค้าตั้งใจแบบนั้นจริงๆน่ะ” ผมเดินนำมันไปที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง และทิ้งตัวลงนั่งใต้ร่มเงานั้น ไอ้ซันเดินตามมาติดๆแต่ยังคงยืนอยู่

“แกก็เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว” มันเหม่อมองออกไปยังทางเดินที่มีคนกำลังเดินและวิ่งเหยาะๆกันอยู่ ผมมองเลยไปยังสนามเด็กเล่น เห็นแม่ๆพาลูกชายและลูกสาวมาเล่นเครื่องเล่นกัน เป็นภาพเดียวกับที่ผมเคยเห็นในหนังไม่มีผิด

“ตั้งเจ็ดวันแน่ะ นานเหมือนกันนะเนี่ย” ผมเปรยขึ้นมาเบาๆ

“อืม กูก็ว่างั้น” ไอ้ซันทิ้งตัวลงนั่งข้างๆผม ส่วนผมก็เริ่มเอนหลังนอนลงบนพื้นหญ้า “เฮ้ย สกปรกน่า” ไอ้ซันปราม

“ช่างมันเถอะ ไม่เท่าไหร่หรอก นอนอย่างนี้กูเห็นท้องฟ้าถนัดกว่า” ผมชี้นิ้วขึ้นไปบนท้องฟ้า มันมองตามผมขึ้นไป

“เมฆสวยดีนะ วันนี้อากาศดีจริงๆ” มันว่า ตายังคงจับจ้องมองบนท้องฟ้าผืนเดียวกับผมอยู่

ผมอดอมยิ้มไม่ได้ เราสองคนนั่งเล่นนอนเล่นกันอยู่อย่างนั้นโดยไม่มีคำพูดใดๆระหว่างกัน แต่มีเพียงภาษาหนึ่งที่ถูกสื่อออกมาตลอดเวลา นั่นคือ ภาษาแห่งความเงียบ ผมได้ยินเสียงของผู้คนที่เดินและวิ่งสวนกันไปมา เสียงของเด็กที่กำลังร้องไห้และหัวเราะอย่างสนุกสนาน เสียงของคนที่กำลังคุยกัน เสียงของยานพาหนะที่แล่นอยู่บนถนน และเสียงของไอ้ซันที่กำลังพูดคุยกับผมอย่างเงียบงัน

ผมนึกไปถึงสิ่งที่ป้าแอ๊นท์เพิ่งบอกพวกเรา นั่นคือ เราจะต้องไปที่แกรนด์แคนยอน โดยพักที่นั่นถึงห้าวัน สี่คืน ส่วนคืนแรกและสุดท้ายนั้นเราต้องไปนอนที่ฟีนิกซ์ โดยคำว่า “เรา” นั้นก็ประกอบไปด้วย ไอ้ซัน ผม และไคล์ ทั้งหมดสามคน

“ไคล์เค้าอายุเท่าไหร่วะ” ผมถามไอ้ซันที่กำลังนั่งมองคนที่เดินผ่านไปผ่านมา

“สิบหก ไม่สิ สิบเจ็ดปีนี้แหละ อยู่เกรดสิบ กูเคยเจอเค้าบ่อยหน่อยก็ตอนเด็กๆเวลาป้าแอ๊นท์พาเค้ามาหาพ่อแม่กูที่ไทย แต่ตั้งแต่กูมาอยู่ที่นี่กูเองก็ได้เจอเค้าแค่สิบกว่าครั้งเองมั๊ง เห็นป้าแอ๊นท์บ่นว่าวัยกำลังติดเพื่อนน่ะ แต่กูว่า......... ถ้าเป็นกูกูก็ไม่อยากไปไหนมาไหนกับแม่แบบนั้นบ่อยๆหรอกว่ะ กูกลัวโดนหาว่ามากับพี่สาวน่ะ” ไอ้ซันหัวเราะหึๆ “แต่ยังไงก็ตาม เค้าก็เป็นเด็กนิสัยดีคนหนึ่งล่ะ กูคิดว่านะ ไม่เกเร ไม่หนีเที่ยว ไม่โกหกพ่อแม่แบบที่วัยรุ่นส่วนใหญ่ทำกัน” ผมมองหน้ามันด้วยสายตาเครื่องหมายคำถาม “อย่างน้อย...... กูก็คิดว่างั้นน่ะนะ มันก็คงมีโกหก มีหนีบ้างล่ะน่า แต่ก็คงไม่ถึงขั้นนั้น เข้าใจป่าว”

“เปล่า กูไม่ได้คิดเรื่องนั้น แต่กูคิดว่ากูถามมึงคำถามเดียวมึงตอบซะยาวเชียว แถมดูท่าทางจะรู้จักเค้าดีเชียวนะ” ผมพูด และไม่ได้คิดเลยด้วยว่าจะมีความหมายอะไรแฝงอยู่ในน้ำเสียงของผม แต่ไอ้ซันกลับมีอาการขึ้นมาทันที

“หมายความว่าไงวะ”

“เฮ้ย ก็ไม่ได้หมายความว่าอะไร กูก็คิดว่าเค้าก็ดูน่ารักดีจริงๆ แต่ยังไง........ ก็ไม่เท่าคนที่กูอุตส่าห์แอบชอบมาตั้งนานหรอก” ผมยิ้มให้มัน

“โฮ้ย จะอ้วก” ผมทำท่าขย้อนแล้วเบือนหน้าหนี ผมหัวเราะออกมาเบาๆ

ป้าแอ๊นท์บอกว่า เราสามคนต้องนั่งเครื่องไปลงที่ฟีนิกซ์ แล้วก็ไปเอารถเช่าขับไปที่เช็คอินที่พักในแกรนด์แคนยอนได้เลย (ไม่ใช่ใกล้ๆนะนั่น) จากนั้นห้าวันสี่คืน เราอยากจะทำอะไรก็ทำ ขากลับก็แค่ขับรถกลับมานอนโรงแรมที่ฟีนิกซ์หนึ่งคืนแล้วก็รอขึ้นเครื่องกลับบ้าน......... พูดซะฟังดูง่ายเชียว แต่ผมก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้าหากได้ไปกับป้าแอ๊นท์ อะไรๆก็คงดูง่ายไปเสียหมดจริงๆนั่นแหละ แต่ว่านี่เราต้องไปกันเองสามคนนี่สิ

“มึงขับรถไหวป่าววะ” ผมถาม

“พวงมาลัยซ้ายน่ะนะ”

“อืม”

“ก็น่าสนุกดี” ไอ้ซันหัวเราะหึๆ ท่าทางชอบใจ

“อย่าพาพวกกูไปตายนะมึง ถ้าไม่ไหวก็เปลี่ยนกันขับ”

“ยังกะแม่กูจะให้งั้นนี่ ก็คุยกันแล้วเมื่อกี๊นี้นี่ ว่าให้ใครคนใดคนหนึ่งเท่านั้นขับ และคนๆนั้นก็คือกู สิ่งที่มึงต้องทำคือมองแผนที่กับทำหน้าที่เอาใจกูเท่านั้น”

“โธ่ ไอ้เหี้ย แม่มึงไม่ได้บอกสักหน่อยว่าให้กูมีหน้าที่เอาใจมึงน่ะ เออๆ เอาไว้ไปถึงนู่นแล้วค่อยว่ากันก็ได้วะ”

หลังจากมื้อกลางวันและหลังจากที่เราคุยกันเรื่องแผนการเที่ยวทั้งหมดเสร็จ แม่ของไอ้ซันก็รีบต่อสายให้ผมได้คุยกับพ่อทันที และที่สำคัญคือเริ่มแรกป้ากุ้งเป็นคนคุยขออนุญาตให้ผมก่อนด้วยซ้ำแล้วจึงค่อยให้ผมคุยรายละเอียดจากนั้นป้าแอ๊นท์ก็รับหน้าที่ต่อไปคุยรายละเอียดของละเอียดอีกที สุดท้ายพ่อของผมก็ตอบตกลง สรุปแล้วการสนทนาครั้งนั้นผมมีหน้าที่แค่ส่งเสียงให้พ่อได้ยินว่านั่นไม่ใช่การลักพาตัวแค่นั้นเอง

“กูรู้สึกโชคดีนะ ที่กูได้มาอยู่ตรงนี้น่ะ” ผมพูดเปรยๆ

“หืม”

“กูหมายถึง กูรู้สึกขอบใจจริงๆ ที่ได้รับความรักจากพ่อกับแม่และก็ป้าของมึงขนาดนี้น่ะ”

“แล้วจากกูล่ะ” ไอ้ซันตัดพ้อ

“ไว้ทีหลัง” ผมโบกมือปัดในอากาศ ไอ้ซันเลยเอามือมาดีดหน้าผากผมเบาๆ จนผมต้องยกมือขึ้นมาลูบตรงนั้นช้าๆ “แต่กูต้องโทรคุยกับพ่ออีกทีว่ะ”

“อืม มึงก็ควรจะทำแบบนั้น”

“มึงก็คุยกับพ่อกูด้วยนะ”

“ทำไมวะ”

“พ่อกูเขาอยากกูกับมึงน่ะ เคยบอกกูนานแล้วล่ะ แต่กูยังไม่ได้บอกมึงสักที”

“อืมมม....... คุยเรื่องอะไรวะ” มันถาม

“ไม่รู้สิ ก็คงทั่วๆไปแหละ คงฝากมึงดูแลกูล่ะมั๊ง ทำไมวะ ไม่กล้าคุยกับพ่อกูหรือไง จำได้ว่าตอนกูหลับยาวไปคราวนั้นมึงคุยกับพ่อกูหลายเรื่องเลยนี่” ผมยิ้ม

“เปล่า ไม่ใช่ไม่กล้า แค่แปลกใจเฉยๆ”

“แต่กูว่า พ่อกูจะคุยอะไรกับมึงน่ะกูไม่รู้หรอก แต่มึงน่ะมีเรื่องคุยกับพ่อกูแน่ๆ” ผมเหม่อมองไปบนท้องฟ้าแล้วพูด

“เรื่องอะไร”

“เรื่องของเราไง” ผมเอียงหน้าไปหามัน แล้วหัวเราะเบาๆ “บอกพ่อกูไปนะ ว่าจะขอกูไปอยู่ครอบครัวเดียวกับมึงแล้วน่ะ”

“หึหึ อย่างนั้นเหรอ” มีบางอย่างในน้ำเสียงของมันที่ทำให้ผมต้องรู้สึกเสียใจที่ไม่น่าไปพูดท้ามันเลย

“เปล่าๆ ช่างมันเถอะ” ผมรีบบอกปัด

เราสองคนเริ่มต้นคุยภาษาแห่งความเงียบกันอีกครั้ง ผมรู้สึกมีความสุขมาก แต่ในขณะเดียวกันคำถามหลายอย่างก็เริ่มวนเวียนเข้ามาให้หัวของผมอีกครั้ง เป็นเพราะผมเริ่มต้นคุยเรื่องความสัมพันธ์ของเราก่อนแท้ๆเชียว ผมชันตัวขึ้นนั่งพิงต้นไม้ มองเห็นคู่รักคู่หนึ่งเดินจูงมือกันอยู่เบื้องหน้า รู้สึกอิจฉาเขาเล็กน้อยที่ผมไม่สามารถทำแบบนั้นได้บ้าง ตอนผมคบอยู่กับนัท เราสองคนก็จูงมือกันเป็นเรื่องธรรมดา ไอ้ซันกับแฟนเก่ามันเองก็คงเช่นเดียวกัน แต่ตอนนี้ผมกลับไม่สามารถจูงมือ จับมือ หรือแสดงความรักที่ผมมีต่อคนที่ผมรักในที่สาธารณะได้อีกเลย ผมไม่สามารถแสดงให้คนอื่นๆเห็นได้อีกแล้ว ว่าคนข้างๆผมนั้นคือคนที่ผมรัก พอคิดแล้วก็ทำให้ผมรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาข้างในอกทันที

ผมไม่เคยถามเรื่องแฟนเก่าของมันที่เพิ่งเลิกกันก่อนที่ผมจะมาที่นี่ มันเองก็ไม่เคยถามว่าช่วงที่ผมคบกับนัทหรือตอนที่เลิกกันนั้นเป็นอย่างไร เราสองคนเหมือนกับรู้กันว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่เราสองคนไม่ควรจะคุยกันจริงๆ เราจะเอาไปคุยกับใคร จะเล่าให้ใครฟังก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่ให้กันและกันฟัง............. อย่างน้อยๆก็ในตอนนี้

“มึงสนิทกับไคล์มั๊ยวะ” ผมถาม

“ก็ในระดับหนึ่งนะ ทำไมวะ” ไอ้ซันดูลังเลนิดหน่อยก่อนจะตอบออกมา

“เปล่า ก็กูไม่รู้จักเค้านี่ แล้วต้องไปเที่ยวกันไกลๆสามคนตั้งนาน กูก็กลัวเค้าจะอึดอัดอะไรแบบนั้นน่ะ”

“อืมม ไคล์ก็โอเคนะ มันเป็นเด็กดี มึงไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอก ยังไงๆเดี๋ยวมึงก็ได้รู้จักเค้าอยู่แล้ว เพราะตั้งแต่คืนพรุ่งนี้ไปเค้าก็มานอนกับเราแล้วนี่”

“ถูกของมึง” ตั้งแต่พรุ่งนี้ไคล์จะมานอนที่บ้านของไอ้ซัน หรือถ้าพูดให้ถูกก็คือบ้านเก่าของเขาเอง เพื่อเป็นการทำความรู้จักกับผมและเพื่อให้สนิทกับไอ้ซันมากขึ้นด้วย และแน่นอนว่านี่คือความคิดของป้าแอ๊นท์ แต่เท่าที่ผมสังเกต ตัวไคล์เองก็ไม่ได้มีท่าทางลำบากใจอะไรกับเรื่องนี้ กลับกัน เขาดูจะชอบใจเสียด้วยซ้ำ

“แล้วเค้าจะนอนไหนวะ” ผมถาม

“ไม่ใช่หรอก มึงเข้าใจผิดแล้ว”

“ว่าไงนะ”

“มึงนั่นแหละ ที่ต้องมานอนกับกู ส่วนไคล์น่ะนอนห้องมึง” ผมมองหน้ามันงงๆ ไอ้ซันจึงอธิบายต่อ “ก็นั่นน่ะมันเป็นห้องเก่าของเขา และเขาก็ยังมานอนที่ห้องนั้นประจำตอนก่อนมึงจะย้ายเข้าน่ะ เพราะงั้นมึงนั่นแหละที่คราวนี้ต้องย้ายมานอนกับกู มีปัญหากับเรื่องนี้มั๊ย”

“ไม่มีๆ จะบ้าเหรอ” ผมยกมือขึ้นประสานที่หลังท้ายทอยแล้วถอนหายใจเบาๆ

“ซัน.........” ผมเรียกมันหลังจากเราเงียบกันไปอีกพักหนึ่ง

“ไง”

“ไปเดินเล่นกันเหอะ”

ผมลุกขึ้นยืนและเริ่มออกเดินโดยมีไอ้ซันลุกเดินตามมาติดๆ อีกครั้งที่ผมมองเห็นคู่รักอีกคู่นั่งหนุงหนิงกันบนม้านั่ง ผมถอนหายใจเบาๆและชะลอฝีเท้าลงจนไอ้ซันเดินตามมาทัน

“มึงเป็นอะไรวะ”

“เปล่าหรอก........” ผมเหม่อมองไปยังคู่หนุ่มสาวคู่นั้นในขณะที่กำลังเดินใกล้พวกเขาเข้าไปเรื่อย จนเมื่อเดินเลยพวกเขาไป ผมถึงเบือนหน้าหันไปมองทางอื่น ไอ้ซันเองก็ดูท่าจะรู้ถึงความคิดของผมเช่นกัน

“มึงโกหกใครก็โกหกได้หรอกนะ แต่กูว่ามึงโกหกกูไม่แนบเนียนเลยว่ะ”

“งั้นเหรอ” ผมหัวเราะเบาๆ

“เออสิ”

“งั้นมึงรู้เหรอ ว่ากูคิดอะไรอยู่น่ะ”

“กูคิดว่ากูรู้นะ” ไอ้ซันพูดและคว้าหมับเข้าที่มือของผมทันที

“ทำอะไรของมึงน่ะ” ผมถามด้วยความตกใจ

“ทำอย่างที่กูอยากทำ” มันว่าและเริ่มเดินนำผมไปทำให้ผมต้องเร่งฝีเท้าขึ้นเล็กน้อย น่าแปลกที่เรื่องนี้ไม่ได้ยากอย่างที่ผมคิด ไม่มีใครมองแล้วแอบหัวเราะผมสองคน ไม่มีใครหันกลับมามองผมสองคนที่เพิ่งเดินผ่านไปอีกครั้ง ไม่มีแม้สักคนที่จะสนใจผู้ชายสองคนที่กำลังเดินจูงมือกันอยู่บนถนนในสวนสาธารณะแห่งนี้ นี่นับเป็นเรื่องแปลกสำหรับผมเลยทีเดียว

แต่ผมก็ยังรู้สึกเขินอยู่ดีนั่นแหละ

“ไอ้ซัน เอ่อออ.......” ผมอึกอัก

“อะไร”

“มึงดูชินจังนะ กับการทำแบบนี้น่ะ” ผมแกล้งเย้า

“ไอ้สัตว์ เขินจะตายห่าอยู่แล้วเนี่ย มึงมองกูนี่” มันหันหน้าแดงๆของมันมามองหน้าผม ทำเอาผมต้องระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

พอผมหัวเราะ ไอ้ซันก็เลยปล่อยมือทันที

“อะไรวะ แค่นี้ก็งอน” ผมหัวเราะเบาๆ

“ไม่ได้งอนเว้ย แต่เซ็ง มึงชอบทำกูเสียเส้น”

ผมถึงเพิ่งรู้ตัวว่าผมคงมีนิสัยแบบนั้นจริงๆ มานึกๆดู ผมก็ทำให้มันเซ็งแบบนี้มาหลายต่อหลายครั้งตั้งแต่เมื่อวานแล้วนี่นะ เมื่อคิดได้ดังนั้นผมเลยเป็นฝ่ายคว้ามือของมันไว้บ้าง ไอ้ซันเองก็มีท่าตกใจอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน คราวนี้ผมเป็นฝ่ายจูงมือมันไปเดินตรงไปที่ม้านั่งตัวที่ใกล้ที่สุด

เราสองคนทิ้งตัวลงนั่ง ผมนั่งชันเข่าสองข้างขึ้นแล้วหันหน้าไปหามัน ยังคงจับมือของมันเอาไว้

“กูมีเรื่องอยากคุยกับมึงว่ะ ตอนแรกว่าจะเดินไปคุยไป แต่ไม่เอาแล้ว”

“ทำไมวะ”

“นั่งคุยดีกว่า หนึ่ง ไม่เมื่อย สอง จับมือง่ายดี” ผมเขย่ามือมันเบาๆแล้วยิ้ม อีกครั้งที่ไม่มีคำพูดใดๆหลุดออกมาจากปากของเราทั้งสอง ผมคิดว่ามันคงรอให้ผมเป็นฝ่ายเริ่มพูดสิ่งที่ผมบอกว่าอยากจะพูดออกมาก่อน แต่ผมเองก็ยังไม่แน่ใจว่าผมพร้อมแล้วหรือยัง

ผมแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ผมรู้สึกว่าอะไรสักอย่างบนนั้นกำลังมอบกำลังใจและความกล้าให้กับผม............ เหมือนกับทุกๆครั้ง

“มึงดูนั่นซิ” ผมชี้ขึ้นไปบนฟ้า ไอ้ซันแหงนหน้ามองตามขึ้นไป “มึงเห็นอะไร” ผมถาม

“ก้อนเมฆ นก แล้วก็ เครื่องบิน”

“ก็ถูก แต่มึงลืมไปอย่างนึง”

“อะไรวะ”

“มึงลืมมองเห็นตัวมึงเอง.........” ผมส่งยิ้มให้กับมัน “ถ้ามึงถามกูนะ สิ่งที่กูมองเห็นเป็นสิ่งแรกเสมอนั่นคือ ท้องฟ้า พระอาทิตย์ และก้อนเมฆว่ะ”

ไอ้ซันพยักหน้าช้าๆ

“ตลอดเวลาตั้งแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่ก่อนที่กูจะรู้ซะอีกว่าท้องฟ้ากับก้อนเมฆนั้นมีความสำคัญยังไงต่อกัน กูก็ชอบที่จะมองขึ้นไปบนฟ้าอยู่แล้ว แต่มึงรู้มั๊ย ตั้งแต่วันที่กูได้รู้จักมึง มันทำให้กูได้เห็นความสวยงามของท้องฟ้ามากขึ้น ทำให้กูเรียนรู้อะไรมากขึ้น..........” ผมเว้นช่วง “มึงยังจำได้มั๊ย สิ่งที่เราเคยพูดกันตอนไปเที่ยวทะเลน่ะ”

มันพยักหน้าอีกครั้ง

“ที่มึงบอกกูว่า ถ้ามึงเป็นท้องฟ้าสำหรับกู กูก็จะเป็นก้อนเมฆที่ลอยอยู่เคียงคู่กับมึงตลอดไปน่ะ........ มึงยังจำได้รึเปล่า” อีกครั้งที่ไอ้ซันได้แต่พยักหน้า “กูอยากบอกให้มึงรู้อยู่อย่างนะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม กูก็คือก้อนเมฆ ถึงแม้กูจะไม่สามารถลอยคู่กับมึงได้ตลอด หรือถึงแม้บางเวลามึงอาจจะไม่ต้องการกู แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม ไม่ว่ายังไง.......... มึงก็คือท้องฟ้าสีครามสำหรับกูเสมอนะ ไอ้ซัน” ผมหยุดและกำมือของมันแน่นขึ้นก่อนจะปล่อยมือของมันออก

ความเงียบเข้ามาปกคลุมเราสองคนอยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง

“เมฆ กู........ ไม่รู้จะพูดยังไงดีเหมือนกันว่ะ” ผมคิดว่าน้ำเสียงของมันหมายถึง ไม่รู้จะพูดยังไงในความหมายว่าหาคำพูดออกมาบรรยายไม่ได้ มากกว่าไม่รู้จะพูดยังไงแบบที่จะไม่ทำให้ผมเสียใจ ซึ่งนั่นก็ถือว่าดี

“กูเคยเดินหนีจากคนที่รักกูไป และมันทำให้กูรู้ว่ากูรักเขามากกว่าที่กูคิด” ไอ้ซันเริ่ม “กูไม่รู้ว่ากูจะเป็นท้องฟ้าให้มึงได้ขนาดไหนนะ ฟังดูมันให้ความรู้สึกว่าช่างยิ่งใหญ่เหลือเกินว่ะ” มันหัวเราะแหะๆ “แต่อย่าลืม ว่ามึงก็คือศิลา มึงต่างหากที่คือคนที่เข้มแข็ง และสามารถอยู่ตัวคนเดียวได้ ไม่ใช่กู.......” ผมเงียบ รู้สึกไม่ดีอย่างไรไม่รู้กับสิ่งที่มันพูดและรู้สึกกังวลกับสิ่งที่มันกำลังจะพูดออกมา ผมอยากจะเอ่ยปากห้ามมันไว้ไม่ต้องพูดต่อ แต่ทว่าก็สายเกินไป

และผมก็เข้าใจผิดไปไกลเช่นกัน

“กูต่างหาก ที่เป็นท้องฟ้า และ พระอาทิตย์ มันอาจจะฟังดูยิ่งใหญ่นะ แต่กูก็ไม่สามารถนึกได้เหมือนกัน ว่ากูจะอยู่ได้ยังไง ถ้ากูไม่มีก้อนเมฆของกูลอยอยู่เคียงข้าง” มันคว้ามือของผมขึ้นมากุมอีกครั้ง ผมเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว

“กูต้องบอกมึงอย่างนึงนะ” ไอ้ซันพูดต่อ “กูมันแปรปรวน อารมณ์ร้อน มึงก็รู้ จากนี้ไปเราสองคนคงต้องผ่านอะไรอีกมาก กูคงทำร้ายความรู้สึกของมึงอีกเยอะ และมึงเองในบางครั้งก็อ่อนไหว กูรู้.........”

“เหมือนกับเมฆที่แตกสลายกลายเป็นสายฝนตกลงสู่พื้นดิน” ผมพูดต่อ

“อืมม ถ้ามึงว่าอย่างนั้นนะ”

“กูเคยเป็นแบบนั้นมาแล้ว” ผมกัดริมฝีปากล่าง นึกถึงตัวผมเองเมื่อในอดีต

“มันผ่านไปแล้วเมฆ” ไอ้ซันจับที่ใบหน้าของผม “ถึงต่อจากนี้ มึงอาจจะต้องร่วงหล่นลงไปอีก กูไม่รู้หรอก กูให้สัญญาอะไรกับมึงไม่ได้ทั้งนั้น กูสัญญาไม่ได้ว่ากูจะไม่ทำให้มึงต้องเจ็บปวดอีก แต่กูขอให้มึงรู้ไว้ว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ไม่ว่ากูจะเป็นยังไง กูจะยังต้องการให้มึงอยู่กับกูเสมอนะ เมฆ” มันชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ ผมรู้สึกหัวใจของผมเต้นแรง “มึงคือก้อนเมฆ กูคือท้องฟ้า.........”

“ถึงบางครั้ง ท้องฟ้าจะแปรปรวน พระอาทิตย์จะสาดแสงแรงกล้า..........” ผมพูดต่อ ไอ้ซันพยักหน้า

“ถึงบางครั้ง ก้อนเมฆจะกลายเป็นเม็ดฝนตกลงสู่พื้นดิน...........” มันว่า และรอให้ผมพูดต่ออีก

ผมยิ้มและพยักหน้าเบาๆแทนคำมั่นสัญญา “ก้อนเมฆก็จะกลับมาลอยอยู่เคียงคู่กับท้องฟ้าอีกครั้ง” เราสองคนกุมมือของกันและกันแน่นขึ้น

ผมรู้สึกว่าวันนี้ช่างเป็นวันที่สวยงามจริงๆ แดดที่ไม่แรงจนเกินไป ลมที่พัดแรงกำลังดี คนที่ไม่พลุกพล่าน และที่สำคัญ......... คนที่กำลังนั่งอยู่ตรงหน้าของผม..........

เมื่อพระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำ เมื่ออากาศเริ่มเย็นลง เราสองคนจึงตัดสินใจที่จะกลับบ้าน แต่ก่อนที่จะกลับ ผมก็ยังไม่ลืมที่จะถามสิ่งที่ยังคาใจผมอยู่ตลอดทั้งวัน

“นี่ ไอ้ซัน”

“ว่าไง”

“กูถามจริงๆนะ....... ตกลงมึงกับกูตอนนี้........ เราเป็นยังไงกันวะ........” ผมถามด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยมั่นใจ

“มึงยังไม่รู้อีกหรือวะ”

ผมไม่ตอบแต่นั่งอมยิ้มอยู่อย่างนั้น ไอ้ซันทำท่ารำคาญใจนิดหน่อย แต่ขณะที่มันกำลังจะอ้าปากพูดออกมานั้น ผมรีบเอามือไปปิดปากของมันไว้เสียก่อน

“มึงมาเป็นแฟนกับกูนะ” ผมว่า

ไอ้ซันดึงมือของผมออกช้าๆเผยให้เห็นใบหน้าของมันที่กำลังยิ้มให้ผมอยู่และพยักหน้าเบาๆ

เย็นนั้นผมเดินกลับบ้านกับไอ้ซันพร้อมด้วยหัวใจที่อบอุ่นและเปี่ยมไปด้วยความสุขอย่างที่สุด ถึงแม้พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า แต่ท้องฟ้าของผมก็จะยังคงเคียงคู่กับผมอยู่ตลอดไปไม่ว่าจะในเวลาใดก็ตาม.....................


หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 02-08-2007 20:13:40
 เป็นอีกตอนที่ประทับใจมั่ก ๆ  o7  o7  o7 เมื่อเธอพร้อมฉันก็พร้อมไปด้วยกัน  :m1:  :m1:

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ninaprake ที่ 03-08-2007 07:09:28
อ๊ากกกกกกซ์  :m3:

อุ่นจน (อิจฉาตา) ร้อนเลยยยยเนี่ยยยย  o18
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 03-08-2007 12:13:37
รู้สึกบรรยากาศเดิมๆ หวนคืนมา ชื่นอุราจริง
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 03-08-2007 12:30:58

..........."มึงมาเป็นแฟนกับกูนะ".............

........... :give2: :give2: :give2: :give2:.............
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: tonsai_2520 ที่ 03-08-2007 17:02:21

..........."มึงมาเป็นแฟนกับกูนะ".............

........... :give2: :give2: :give2: :give2:.............




จะดีเหรอ . . . ถุงขอเป็นแฟนจริงป่ะนี่

เหอะ ๆ ๆ ๆ  ว่าแล้วแว่บออกจากกระทู้อย่างรวดเร็ว

ปล.เจ๋งสุด ๆ  เลยว่ะ  ไอ้คนแต่ง  ภ.สำเภา
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 03-08-2007 19:44:51
เมฆน่ารักจังเลยนะ  :m3:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 03-08-2007 19:51:15
“กูอยากบอกให้มึงรู้อยู่อย่างนะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม กูก็คือก้อนเมฆ ถึงแม้กูจะไม่สามารถลอยคู่กับมึงได้ตลอด หรือถึงแม้บางเวลามึงอาจจะไม่ต้องการกู แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม ไม่ว่ายังไง.......... มึงก็คือท้องฟ้าสีครามสำหรับกูเสมอนะ ไอ้ซัน”

..........."มึงมาเป็นแฟนกับกูนะ".............
--------------------------------------------------------------------
^
^
 :m1:   เอาใจไปเลย ...โฮกกกกส์!~  :m1:
 :a3:
 :m3:
 :a3:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 06-08-2007 12:52:06
ตอนที่ 11


วันรุ่งขึ้นผมก็ต้องอยู่เฝ้าบ้านคนเดียวอีกครั้ง แต่ก็ไม่นานนักเพราะเมื่อเวลาย่างเข้าบ่ายสอง ลุงคาร์ลอสก็พาไคล์มาส่งถึงที่บ้าน เมื่อลุงคาล์ลอสกลับไปเราสองคนก็ช่วยกันขนเสื้อผ้าของเขาไปเก็บไว้ที่ห้องของผม

“แล้วศิลาจะต้องไปนอนไหนล่ะครับ” เขาถามขึ้นเมื่อผมวางกระเป๋าเสื้อผ้าอีกใบลงกับพื้น

“อ๋อ เดี๋ยวผมนอนกับไอ้ซันมันน่ะ” ผมตอบ

ผมเองเป็นคนที่บอกเขาให้เรียกผมว่า ศิลา แทนที่จะเรียกว่า เมฆ เพราะด้วยสำเนียงของเขาเวลาเขาพูดว่าเมฆทีไรมันจะออกมาเป็นคำว่า เมค ทุกที

“นอนกับซันเหรอ” เขาทวนประโยค ผมพยักหน้าแทนคำตอบ “ลำบากรึเปล่า” เขาถามออกมาสั้นๆ

“ไม่เลยๆ และที่สำคัญ นี่ก็เป็นห้องของไคล์อยู่แล้วด้วยนี่นา แค่พ่อแม่ของซันกับแม่ของไคล์ให้ผมมาอาศัยอยู่ที่นี่ได้ ผมก็ขอบคุณมากๆแล้ว แค่ผมต้องไปนอนกับไอ้ซันแค่ไม่กี่วันและยกห้องนอนคืนให้กับเจ้าของเดิมแบบนี้มันไม่ใช่ปัญหาอยู่แล้วล่ะ” ผมพูด แต่ก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองพูดเร็วไปรึเปล่าเพราะไคล์ดูจะมีสีหน้างงๆเล็กน้อย “เอ่อ นี่ผมพูดเร็วไปรึเปล่า” ผมถามเขา

“ไม่หรอกครับ” เขายิ้ม “ไม่เท่าแม่ผมหรอก แต่ว่าผมก็ไม่ค่อยได้ใช้ภาษาไทยเท่าไหร่น่ะครับ โดยเฉพาะกับคนอื่นที่ไม่ใช่แม่ด้วย”

ผมพยักหน้า แล้วความเงียบที่น่าอึดอัดก็เข้ามาปกคลุมเราทั้งคู่อยู่ชั่วขณะหนึ่ง

“ศิลา...... คุณรู้จักซันมานานแล้วเหรอ” เขาถามขึ้นในที่สุด

“อืม ก็ตั้งแต่ไฮสคูลน่ะ” ผมลากเก้าอี้มานั่งลง ไคล์เองก็ทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงเช่นกัน

“สนิทกันมั๊ย” เขาถาม

“ครับ” ผมพยักหน้า คิดถึงช่วงเวลาที่ผมกับมันเคยทำมาด้วยกันหลายๆอย่าง คิดถึงตอนที่ผมไปทะเลกับมันสองคนเพราะมันอกหัก คิดถึงตอนที่เคยทะเลาะกันเพราะเรื่องงี่เง่าๆ และคิดถึงวันที่ผมต้องเดินเลือกหาซื้อของไปให้มันเป็นวันๆจนสุดท้ายก็มาจบลงที่หนังสือเล่มนั้น

ผมเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว

“ท่าทางคุณจะรักซันมากเลยนะ” ไคล์ปลุกผมขึ้นมาจากความคิด ผมหันไปเห็นเขาที่กำลังมองผมอยู่พร้อมรอยยิ้มทำให้ผมต้องรีบแก้ตัวโดยอัตโนมัติ

“เปล่าหรอก ก็ สนิทกันน่ะ เคยทำอะไรๆด้วยกันมาเยอะ” ผมว่า

ไคล์ยืดตัวบิดขี้เกียจและและเริ่มมองสำรวจไปรอบๆตัว “ผมเอง........” เขาเว้นช่วง “ก็รักซันเหมือนกัน”

ผมรู้สึกตกใจเล็กน้อยกับคำพูดของไคล์เพราะไม่เข้าใจความหมายของคำว่า “รัก” ที่เขาพูดออกมา และในที่สุดเขาก็เริ่มพูดต่อ “ตั้งแต่ผมเด็กๆแล้ว เวลาที่ผมไปที่ประเทศไทย ก็... ไม่บ่อยนักหรอก ซันจะเทคแคร์ผมดีมาก ผมเองก็ไม่มีพี่ชาย และเวลาที่ต้องไปต่างประเทศไกลๆที่ๆคนไม่ได้พูดภาษาเดียวกับที่ผมถนัด ผมจะรู้สึกกลัวแล้วก็เหงามาก แต่ก็มีซันนี่แหละที่คอยเล่นเป็นเพื่อนคอยดูแลผมอยู่ตลอดเวลา” เขาอธิบายเป็นภาษาไทยบ้าง ภาษาอังกฤษบ้างปนๆกันไป “ครั้งล่าสุดที่ผมไปที่บ้านของซันที่นั่นก็ประมาณสามปีก่อนมั๊ง” เขาลุกขึ้นยืนและเดินไปรอบๆห้อง “ตอนนั้นผมอายุสิบสาม ซันเขาก็คงประมาณ........” ไคล์หันมาทางผม “ศิลาอายุเท่าซันรึเปล่า”

“ผมแก่กว่าเขาปีนึง” ผมตอบ

ไคล์พยักหน้า “ตอนนั้นซันก็คงอายุประมาณพอๆกับผมตอนนี้แหละมั๊ง กำลังจะเข้าเรียนไฮสคูล”

คงเป็นช่วงที่ผมยังไม่รู้จักมันนั่นเอง

“ผมไม่ได้เจอเขามาตั้งแต่ผมอายุแปดขวบได้ และพอเจออีกทีผมก็อายุสิบสามเข้าไปแล้ว เป็นช่วงกำลังมีการเปลี่ยนแปลงเลยทีเดียว พอนึกออกใช่มั๊ย” เขาหยุดไปช่วงหนึ่งแล้วจึงหันมาถามผมอีก “คุณมีพี่น้องรึเปล่า”

ผมส่ายหน้า

“ตอนนั้นผมไม่ค่อยอยากจะไปเลยรู้รึเปล่า ผมอยากอยู่ที่นี่กับเพื่อนมากกว่า ผมคิดว่าผมอยู่บ้านคนเดียวได้” เขาทำท่ายักไหล่ “ก็ความคิดแบบเด็กๆน่ะ พ่อแม่ก็ไม่ยอมอยู่แล้ว ผมเลยจำใจต้องไป และตอนนั้นแหละที่ซันทำให้ผมประทับใจมาก ตลอดเวลาสิบกว่าวันนั้นเขาปฏิบัติผมเหมือนกับผมเป็นน้องแท้ๆจริงๆ เขาทั้งดีใจที่ได้เจอผมและไม่ให้ความรู้สึกแปลกแยกกับผมเลยทั้งๆที่เราก็ไม่ได้เจอกันมาตั้งนานแล้ว มีแต่ผมคนเดียวนั่นแหละที่ตอนแรกคิดว่าไม่ได้อยากจะไปที่นั่น ผมเลยรู้สึกผิดมั๊งน่ะไม่รู้สิ ผมก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง” เขาหันมามองผม ผมรู้สึกว่าตาสีเขียวใสของเขาดูเป็นประกายกว่าทุกครั้ง “แบบว่า เขาทำให้ผมรู้สึกเป็นกันเองน่ะ คุณพอจะเข้าใจมั๊ย” ผมพยักหน้าตอบ ไคล์ยิ้ม “พอผมรู้ว่าเขาจะมาเรียนต่อที่นี่ ผมดีใจมากเลย คุณรู้รึเปล่า” เขานั่งลงบนเตียงอีกครั้ง รอยยิ้มของไคล์เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ผมรู้สึกได้ถึงความบริสุทธิ์ ความรู้สึกบางอย่างที่ผมก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร อาจจะเป็นเพราะว่าผมเองก็เป็นลูกคนเดียวจึงอาจจะไม่เข้าใจความรู้สึกของความรักแบบพี่ชายน้องชายแบบนี้ก็ได้ล่ะมั๊ง

“ผมคิดว่าผมเข้าใจนะ” ผมว่า “ถึงผมจะไม่รู้ว่าผมเข้าใจหรือรู้สึกแบบไหนก็เถอะ แต่ผมคิดว่าผมพอเข้าใจความรู้สึกของคุณนะ”

ไคล์ส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้มอีกครั้ง “ไม่ คุณไม่รู้หรอก”

คราวนี้รอยยิ้มนั้นไม่ใช่รอยยิ้มที่มีความสุขแบบคนที่กำลังนึกถึงเรื่องในอดีตแบบเมื่อสักครู่อีกแล้ว แต่เป็นรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความเศร้าที่ผมไม่สามารถเข้าใจได้ว่าว่ามันหมายถึงอะไรกันแน่ แต่ที่แน่ๆ มันไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีเลยแม้แต่นิดเดียว

เราสองคนเงียบกันไปสักครู่หนึ่ง ผมจึงเป็นฝ่ายเริ่มต้นพูดออกมาก่อน “แล้วนี่ไม่มีเรียนเหรอ”

ไคล์ส่ายหน้า “อีกสองวันข้างหน้าจะมีหยุดฉลองก่อตั้งโรงเรียนน่ะ ผมก็เลยลาหยุดยาวไปเลย เพราะจะไปเที่ยวกันสัปดาห์ถัดจากสัปดาห์หน้านี่แล้วด้วย”

“จริงด้วย ใกล้แล้วนี่นะ อีกแค่ไม่กี่วันเอง ผมยังไม่ได้เตรียมตัวเลย” ผมเริ่มรู้สึกกังวลขึ้นมาทันที ผมยังไม่รู้สึกว่าตัวเองพร้อมที่จะเดินทางไปไหนไกลๆแบบนี้อีกครั้งเลย คงเป็นเพราะว่าผมเพิ่งเดินทางจากบ้านคนเดียวมาที่นี่ได้แค่ครึ่งเดือนแต่ว่าตอนนี้กลับจะต้องเดินทางข้ามทวีปไปอีกซีกโลกหนึ่งอีกแล้ว แถมครั้งนี้จะไม่มีใครไปรอรับเราที่สนามบินอีกแล้วด้วย

“ไม่เป็นไรหรอกครับ อีกตั้งสิบวัน ก็เอาแค่เสื้อผ้า เอาเสื้อกันหนาวไปเผื่อด้วย แล้วก็รองเท้าไว้เดินลุยๆสักคู่หนึ่งแค่นั้นเอง ที่เหลือก็ค่อยไปหาเอาที่นู่นก็ได้” ไคล์ว่า

“นั่นมันก็ใช่ แต่จะว่าไป ดูไคล์สบายๆจังเลยนะ ไม่รู้สึกตื่นเต้นเลยเหรอ” ผมถาม

“ก็นิดหน่อยน่ะ แต่ก็ไม่ได้กังวลอะไรเท่าไหร่ เพราะผมเองก็เดินทางบ่อยอยู่แล้วด้วย” เขายิ้ม “ไปทั้งที่ไทย แล้วก็อเมริกา”

“อ้าว ไคล์ไปอมเริกาด้วยเหรอ”

“ครับ ครอบครัวของพ่อผมอยู่ที่แอลเอน่ะ”

“อืมมม ดีจังเลย”

“ไม่ดีหรอกครับ ไกลน่ะ ถึงอยากจะเจอก็ไม่ได้เจอบ่อยๆ เลยทำให้ผมไม่ค่อสนิทกับญาติๆคนอื่นๆเลยด้วย” เขาพูดด้วยสีหน้าเหงาๆ “แต่ผมก็ชินแล้วล่ะ”

เราสองคนเงียบกันไปพักหนึ่ง “เอ้อ นี่ไคล์พูดสเปนได้ด้วยรึเปล่า” ผมเปลี่ยนหัวข้อเรื่อง

“ครับ” เขาพยักหน้า

“เก่งเนอะ พูดได้ตั้งสามภาษาตั้งแต่เด็ก”

“แต่ก็ได้ดีสุดก็ภาษาอังกฤษนี่แหละครับ ก็พ่อกับแม่ได้มาคนละภาษา ยังไงก็ต้องพูดเป็นอยู่แล้ว และผมว่าภาษาไทยเนี่ยยากที่สุด” เขานิ่วหน้า “หรือไม่ก็คงเป็นเพราะผมไม่ค่อยได้ใช้ล่ะมั๊ง”

“นั่นสินะ แต่ไคล์พูดไทยเก่งมากเลยนะ” ผมชม

“ก็ลองดูแม่ผมซะก่อนสิครับ” เขาตอบ เราทั้งคู่หัวเราะขึ้นพร้อมๆกัน

เมื่อเสียงหัวเราะเงียบลง เราก็คุยกันสัพเพเหระมากขึ้น ผมถามเขาว่าทำไมเขาถึงอยากไปที่แกรนด์แคนยอน ทั้งๆที่ต้องไปกับผมคนที่เขาเองก็ไม่เคยรู้จักมาก่อน และคำตอบของเขาก็คือ “ก็ศิลาเป็นเพื่อนของซัน ผมไว้ใจซัน ผมก็ไว้ใจเพื่อนของซันด้วย” เขาเองก็ถามผมคำถามเดียวกัน ผมเองก็ตอบไปตรงๆ (แต่แค่ครึ่งเดียว) ว่าอยากไปที่นั่นมานานแล้ว (แต่ไม่ได้บอกว่าอยากไปฮันนีมูนกับแฟนใหม่สองต่อสอง) แล้วก็บอกเขาว่าเพราะครอบครัวของเขายื่นโอกาสให้ ถึงผมจะเกรงใจแต่ก็เพราะความอยากตอบแทนในน้ำใจผมจึงรับเอาไว้

เราคุยกันหลายๆเรื่องในขณะที่ไคล์เก็บของไปด้วยตั้งแต่เรื่องที่ไคล์ยังเป็นเด็ก เรื่องที่โรงเรียนของเขา และเรื่องของผมกับไอ้ซันที่โรงเรียนเช่นกัน ผมเองก็เล่าได้เท่าที่จะเล่า ตรงไหนที่คิดว่าไม่ควรเล่าก็จะเลี่ยงๆไว้ ไคล์เองก็ดูมีท่าทีสนใจชีวิตไฮสคูลของนักเรียนไทยมากๆเลยทีเดียว แต่ดูเขาจะสนใจโดยเฉพาะเรื่องอุบัติเหตุของไอ้ซันในคราวนั้นมากเป็นพิเศษ

“ตอนนั้นศิลาเป็นคนช่วยชีวิตซัน” ไคล์พูด

“ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก เขาเป็นเพื่อนผมและผมก็อยู่ตรงนั้น ยังไงๆเราก็ต้องช่วย ใช่มั๊ยล่ะ”

“ก็ใช่ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะทำขนาดนั้นหรอกนะ คุณเก่งมากๆ ที่ยังมีสติอยู่ได้ ผมว่าถ้าเป็นผม ผมคงทำอะไรไม่ถูก คงได้แต่ยืนโวยวายหรือไม่ก็ยืนร้องไห้อยู่ตรงนั้นแน่ๆเลย”

ผมเอามือเกาหัวแกรกๆ ไม่รู้จะพยายามพูดอย่างไรให้คนครอบครัวนี้รู้ว่าสิ่งที่ผมทำไปมันไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรนักหรอก ผมก็แค่ช่วยเพื่อนที่ผมรักอย่างเต็มความสามารถเท่านั้นเอง

“ผมต้องขอบคุณศิลาจริงๆ” เขายิ้ม “ที่ทำให้ซันยังอยู่ตรงนี้ได้ ที่ทำให้ผมยังสามารถเจอเขาอยู่ได้” ผมพยักหน้ารับ

“แต่รู้อะไรมั๊ย” เขาเว้นช่วงไป “อีกใจ ผมก็รู้สึกโกรธนะ” เขาหัวเราะในลำคอ

ผมรู้สึกแปลกใจกับคำพูดของเขา เลยหลุดปากถามออกไปว่า “หมายความว่ายังไง”

“อย่าเพิ่งเข้าใจผมผิดนะ” ไคล์ยกมือขึ้นกางออกทำท่าห้าม “ตอนนั้นผมยังเด็กอยู่เลย แถมเรื่องเกิดขึ้นแค่ไม่กี่เดือนหลังจากผมเจอกับซันครั้งล่าสุดด้วย พอผมรู้ว่าซันไม่สบายมากผมก็ตกใจมาก แม่ของผมเกือบจะบินไปที่ไทยแล้ว แต่พอรู้ว่าเขาสบายดีก็โล่งอก” เขาพยายามอธิบายเป็นภาษาไทยรวดเดียวจนจบ

“ตอนนั้นผมเองก็รักเขามาก ตอนนั้นเขาเป็นเหมือนพี่ชายของผม คุณรู้ ผมกลัวมากว่าผมอาจจะไม่ได้เจอเขาอีก แต่พระเจ้าก็ช่วยเขาไว้ ผมหมายถึง คุณเป็นคนช่วยชีวิตเขาไว้ แต่พระเจ้าที่ทำให้เขาไม่บาดเจ็บหนัก คุณเข้าใจที่ผมพูดมั๊ย” ผมพยักหน้า แต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมเขาถึงพูดว่าเขารู้สึกโกรธ ไคล์ยิ้มและเริ่มพูดต่อ “พอเขาหายดี พวกเราทุกคนก็สบายใจ แต่ผมกลับมีความคิดหนึ่งเกิดขึ้น นั่นคือ ถ้าผมอยู่ในตอนนั้นล่ะ ถ้าผมอยู่ตรงนั้นและได้เป็นคนช่วยเขาล่ะ” ไคล์หันหน้าไปทางอื่นแต่ยังคงมองผมด้วยหางตา “ถ้าไม่ใช่คนอื่น แต่เป็นผมที่ได้มีโอกาสช่วยเขา ได้มีโอกาสแสดงความรักความเป็นห่วงออกไปบ้าง........ มันจะเป็นยังไง”

ผมกลืนน้ำลายให้กับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน ถึงการใช้คำและสำเนียงภาษาไทยของเขาจะไม่ชัดเจนแต่น้ำเสียงที่เขาพูดออกมาก็สื่อความหมายออกมาได้อย่างเต็มเปี่ยม

“แต่ก็อย่างที่ผมบอก ผมอาจจะได้แค่ยืนร้องไห้อยู่ตรงนั้นและทำอะไรไม่ถูกก็ได้ แหม ก็ตอนนั้นผมเพิ่งจะสิบสามเองนะ” เขาหัวเราะ แต่ผมเองได้แค่หัวเราะเจื่อนๆ พยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่ผมเพิ่งได้ยินเมื่อสักครู่ พอนึกไปนึกมามันก็ไม่ได้มีความหมายอะไรที่ฟังดูไม่ดีแฝงอยู่ในสิ่งที่เขาเล่าออกมาหรอกนะ แต่ทว่าผมกลับมีความรู้สึกกังวลใจแปลกๆก่อตัวขึ้นอยู่ในอกเสียนี่

“คุณเองก็เคยเกิดอุบัติเหตุนี่” ไคล์ถาม

“อื้อ ใช่”

“เจ็บมากมั๊ย”

“ตอนนั้น....... ผมจำอะไรไม่ค่อยได้หรอก ถ้าถามว่าเจ็บมั๊ย ผมเองคงบอกว่าไม่เท่าไหร่ เพราะเมื่อผมฟื้นขึ้นมาทุกอย่างมันก็เหมือนจบลงหมดแล้ว” ผมนึกย้อนไปถึงวันแรกที่ผมฟื้นขึ้นมาในห้องสีขาวนั่น

“หมายความว่ายังไง” ไคล์มีสีหน้าสงสัย

“ผมหลับไปนานน่ะครับ” ผมยิ้ม “ก็เลยไม่รู้สึกว่าตัวเองเจ็บมากขนาดไหน มันจะต่างกับของไอ้ซันหน่อย ตรงที่ไม่ต้องตื่นมาแล้วทรมานกับความเจ็บปวดทางร่างกายเหมือนมันขนาดนั้น ตอนแรกก็มีต้องหัดเดินใหม่นิดหน่อย......... แต่ผมก็ยังคิดอยู่ดีนะว่าบางทีแบบนั้นผมอาจจะโชคดีกว่าก็ได้มั๊ง” ผมหัวเราะในลำคอ

“แต่ซันเป็นห่วงคุณมากเลย รู้มั๊ย” ไคล์พูด สีหน้าเคร่งเครียด ผมไม่ได้ว่าอะไรต่อ เมื่อเขาเห็นผมเงียบเขาจึงเริ่มต้นพูดต่ออีกครั้ง “ช่วงนั้นก่อนที่ครอบครัวของซันจะย้ายมาที่นี่พวกเขายุ่งกันมาก แต่ซันเองก็ยังไปเยี่ยมคุณทุกวันเลย พ่อกับแม่ของซันก็ไปหาคุณบ่อยนะ คุณรู้รึเปล่า”

ผมพยักหน้า “ไคล์รู้ละเอียดจังนะ” ผมพูดเป็นเชิงคำถาม

“ก็ประมาณนั้นมั๊ง” เขายักไหล่ “เพราะแม่ของผมก็ต้องเตรียมเรื่องอะไรหลายๆอย่างของที่นี่ไว้ด้วยเหมือนกันน่ะ ช่วงนั้นแม่ก็เลยต้องคุยกับป้ากุ้งบ่อย ผมก็เลยพอรู้เรื่องรู้ราวไปด้วย ทั้งจากแม่และก็จากซันเอง” เขาถอนหายใจ “ถึงตอนนั้นผมจะไม่รู้จักศิลา แต่ผมก็รู้ได้เลยว่าทุกคนเป็นห่วงคุณมากๆ” ใบหน้าของเขากลับมีรอยยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง “และตอนนี้ผมก็รู้แล้วด้วย ว่าทำไมทุกคนถึงรักคุณนัก”

“หมายความว่ายังไงน่ะ” ผมถาม

“ก็ศิลาเป็นคนดี” เขาหัวเราะและลุกขึ้นเดินไปรอบๆห้องจนไปหยุดอยู่ที่ชั้นหนังสือ หัวใจของผมกระตุกวูบ “ผมว่าศิลานิสัยดีนะ คุณมีแฟนอยู่ที่ไทยรึเปล่า” เขาหันหน้ามาทางผม

“เคยมีน่ะครับ แต่เลิกกันไปแล้วก่อนที่ผมจะมาที่นี่” ผมพยายามคิดด้วยความรวดเร็วว่าผมจะทำยังไงกับสมุดเล่มนั้นดี จะทิ้งไว้ที่ห้องที่ผมไม่ได้นอนแล้วผมก็ไม่สบายใจถึงแม้ไคล์ไม่น่าจะอ่านออกก็เถอะ แต่จะให้ผมพกไปไว้ที่ห้องของไอ้ซันด้วยก็คงไม่ดีแน่ๆ

“ทำไมล่ะ”

“หา อะไรทำไมเหรอ” ผมตกใจกับคำถาม

“ก็ทำไมถึงเลิกกับแฟนน่ะ”

“อ๋อใช่ แฟนที่ประเทศไทย” ผมถอนหายใจเบาๆ

“อ้าว คิดว่าอะไรล่ะครับ”

“เปล่าๆ ผมเผลอเหม่อไปหน่อยน่ะ เมื่อกี๊ถามว่าทำไมผมถึงเลิกใช่มั๊ย.........”

“ถ้าไม่รังเกียจที่จะเล่านะ” ไคล์พูดขัดขึ้น

ผมส่ายหน้า “เพราะผมรู้ว่า หลังจากผมมาอยู่ที่นี่ยังไงๆเราก็คงไปไม่รอดแน่ๆล่ะมั๊ง”

“ทำไมคิดแบบนั้นล่ะครับ”

“ก็ ด้วยเหตุผลหลายๆอย่างน่ะ........” แต่เหตุผลหลักก็คือผมรู้ว่าผมไม่ได้รักเขาขนาดนั้นนั่นเอง ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ถูกคือ ผมไม่สามารถรักเขาได้ในขณะที่ในใจผมยังคิดถึงไอ้ซันอยู่ทุกๆนาที ผมไม่สามารถรักเขาได้เท่าที่ผมเคยรักไอ้ซันและนั่นคือเหตุผลทั้งหมดที่ทำให้ผมรู้สึกว่าผมไม่อยากจะหลอกตัวเองและหลอกลวงผู้หญิงดีๆคนหนึ่งอีกต่อไป

“ผมขอโทษที่ถามนะครับ ผมเสียใจ”

“ไม่เป็นไรหรอก ผมก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่นั่นล่ะนะ” ผมยิ้มให้กับไคล์ ดูท่าทางเขาจะละความสนใจออกจากชั้นหนังสือนั่นแล้ว แต่ผมก็ยังคงนึกไม่ออกว่าจะจัดการกับมันยังไงดี

และขณะที่ผมกำลังคิดอยู่นั้น ไคล์ก็เอื้อมมือไปหยิบสมุดเล่มนั้นลงมาจากชั้นแล้ว



หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 06-08-2007 13:55:37
จะเกิดอะไรขึ้นนนนนนนนนนนน

 :a5:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 06-08-2007 14:40:22

............ต่างคนต่างหวัง............

............แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่สมหวัง........ :undecided: :undecided:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 06-08-2007 15:23:07
งึมงำๆๆ    :m28: 

ความรู้สึกมันบอกว่า "ไคล์ รักซัน ไม่ใช่รักแบบพี่ชาย" ซ้าด้วยจิ      :m21:

"จะเป็น รักสามเส้า" หรือเปล่าน่อ ...   :m17:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 06-08-2007 17:16:39
Love Triangle
เตรียมตัวเข้าโหมดเศร้า
 :m8:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 06-08-2007 19:04:59
เหอ เหอ ไคล์อาจจะเดาอะไรได้แม่นกว่าที่คิด  :a5:  :a5:  :a5:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ninaprake ที่ 06-08-2007 19:53:54
หึหึหึ เมฆจะทำอย่างไรกับสถานการณ์นี้? รักครั้งนี้จะกลายเป็นรักสามเส้าหรือไม่? โปรดติดตามตอนต่อไป!!!   :a2:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 06-08-2007 20:04:05
ไคล์รักซันด้วยเหรอเนี่ย
ทำไมซันเนื้อหอมจัง
มะอยากให้ใครผิดหวังเลย สงสารอ่ะ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: tonsai_2520 ที่ 07-08-2007 10:08:10

นาทีนี้  เวลาที่มีไม่พอสักอย่าง . . .

ทำไมเวลาอยู่กรุงเทพฯ  มันน้อยนักว่ะ

ปล.  ไปเป็นชาวเกาะกันมั้ย

ได้แต่กอดตัวเองและความทรงจำ   ที่ยังย้ำว่าฉันมันผิดที่ชะล่าใจ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 08-08-2007 14:16:54
ตอนที่ 12


ไคล์มีสีหน้าสงสัยเมื่อหยิบสมุดเล่มนั้นออกมาจากชั้นวางหนังสือ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่เพราะเมื่อดูจากความเก่าและความโทรมของมันแถมยังถูกวางเบียดอย่างผิดที่ผิดทางอยู่กับหนังสือต่างๆบนชั้นนั้น เป็นใครๆที่มองเห็นและสังเกตสักหน่อยก็คงย่อมอยากรู้เป็นธรรมดาว่าทำไมเจ้าเล่มนี้ถึงไปอยู่ตรงนั้นได้

“นี่ของศิลาเหรอครับ” เขาถาม ชูสมุดเล่มนั้นขึ้นบนอากาศ

“ใช่ครับ” ผมยื่นมือออกไป ไคล์จึงส่งสมุดเล่มนั้นคืนมาให้ผม “มันมีความลับของผมอยู่น่ะ” ผมพูดยิ้มๆ พยายามพูดให้ฟังดูกว้างๆเอาไว้ก่อน

“ไดอารี่เหรอ” ไคล์ถาม

“เปล่าหรอก ก็ไม่เชิงน่ะ อยากอ่านมั๊ย” ผมลองเชิง แต่ถึงบอกว่าอยากผมก็ไม่มีทางให้อ่านอยู่แล้วล่ะ

“ไม่หรอกครับ ผมไม่อยากละลาบละล้วง และอีกอย่างผมอ่านไม่ออกหรอก” ไคล์ยื่นมือมาขอสมุดคืน “เดี๋ยวผมจะเก็บไว้ที่เดิมให้” เขายิ้ม

ผมส่งสมุดคืนกลับไปให้เขา เมื่อเขารับไปแล้วก็สอดมันไว้ที่เดิมระหว่างหนังสือเรื่อง เวอร์นอน ก็อด ลิตเติ้ล กับ วัน ฟอร์ ซอร์โร่ว ทู ฟอร์ จอย อย่างเดิม แถมดูท่าทางจะให้มันถูกปกปิดไว้มากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำด้วยการเอากองกล่องใส่ซีดีเปล่าๆมาวางเพื่อปิดเอาไว้

“แบบนี้จะได้ช่วยให้มองเห็นไม่ชัดมากขึ้นไง” เขาหันมายิ้มให้ผม เราทั้งคู่หัวเราะขึ้นพร้อมๆกันอีกครั้ง

“ไง หายไปไหนกันหมดวะเนี่ย” เสียงของไอ้ซันดังขึ้นมาจากชั้นล่าง ผมรีบดูนาฬิกาข้อมือ

“ต่ายห่าแล้ว เวลาป่านนี้แล้วเหรอเนี่ย” ผมกระวีกระวาดลุกขึ้นยืน ไคล์เองก็เช่นกัน

“ไอ้ตัวดี อยู่ข้างบนเหรอ” ไอ้ซันตะโกนขึ้นมา

“เออ กำลังจะลงไป” ผมตะโกนตอบกลับไปและหันไปยิ้มให้กับไคล์ “คุยกันเพลินเลย เลยลืมไปเลยว่าได้เวลาที่ไอ้แสบมันกลับมาแล้ว” จากนั้นเราสองคนก็เดินออกจากห้องไปยังห้องนั่งเล่นด้านล่างพร้อมๆกัน

“ไง ไคล์” ซันเป็นคนเริ่มทักไคล์ก่อน

“ไง ซัน เหนื่อยมั๊ย” ไคล์ถามกลับเป็นภาษาอังกฤษ

“ไม่หรอก ก็เหมือนๆเดิม แถมพรุ่งนี้ก็เรียนวันสุดท้ายแล้ว ทนอีกวันเดียวเอง” ไอ้แสบของผมตอบกลับเป็นภาษาอังกฤษเช่นเดียวกัน จากนั้นก็หันมาพูดกับผมเป็นภาษาไทย “หิวจังเลยยย มีอะไรกินรึเปล่า”

“กลับมาก็ทำอ้อนเลยนะ มีขนมปัง มีแฮม มีนู่นนี่เยอะแยะ ไปทำแซนด์วิชกินรองท้องเอาเองดิ่ รอคุณลุงคุณป้ากลับมาก่อนค่อยกินข้าวพร้อมๆกัน”

“โหไรวะ ไม่เห็นสนใจกูเลย ไคล์เค้ายังถามว่ากูเหนื่อยรึเปล่า แต่ดูมึงดิ่ไม่มีจะใส่ใจอ่ะ” มันพูดแล้วเดินเข้าไปในครัว ไคล์มองตามซันเข้าไปแล้วหันมาพูดกับผม

“ซันแปลกๆนะ”

“ทำไมล่ะ”

“ปกติไม่เห็นเป็นแบบนี้เลย”

“แบบนี้นี่แบบไหนเหรอ” ผมถาม

“ก็แบบนี้น่ะ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แค่รู้สึกแปลกๆน่ะ แต่ปกติผมก็ไม่ได้อยู่บ้านเดียวกับเขาอยู่แล้วน่ะนะ เลยไม่รู้เหมือนกัน” ไคล์นั่งลงบนโซฟา ผมเลยเดินไปเปิดทีวีแล้วก็นั่งลงข้างๆกับเขา แต่ไม่ทันไรก็มีเสียงเรียกชื่อผมดังขึ้นมาอีกครั้ง

“ไอ้ตัวดี มานี่หน่อยดิ๊”

ผมกลอกตาแล้วถอนหายใจเบาๆ จากนั้นก็หันไปบอกกับไคล์ว่าเดี๋ยวจะกลับมา แล้วก็ลุกเดินไปหาไอ้ซันในครัว

“มีอะไรอีกล่ะมึง” ผมถามไอ้ซันที่กำลังนั่งฉีกขนมปังเปล่าๆเข้าปากอยู่

“ทำไม เรียกมาหานี่ต้องมีอะไรด้วยเหรอ” มันตอบ ไม่มองหน้าผม

“เปล่าครับ คุณพี่ ว่าแต่ต้องการอะไรรึเปล่าครับ จะให้ผมรับใช้อะไรรึเปล่า แล้วนี่ทำไมมานั่งกินขนมปังเปล่าๆล่ะ” ผมเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆมัน

“ไม่มีอะไร ขี้เกียจทำ วุ่นวายน่ะ” มันฉีกขนมปังออกมาชิ้นหนึ่งแล้วยื่นให้ผม พอผมส่ายหน้าปฏิเสธมันก็ยังทำท่าจะยัดเยียดเอาให้ได้อีก ผมก็เลยจำใจต้องยื่นมือออกไปหยิบแต่ทว่ามันกลับชักมือหนีแล้วส่ายหน้าเป็นเชิงปราม แค่นี้ผมก็รู้แล้วว่ามันต้องการอะไร ผมส่ายหน้าเบาๆแล้วหัวเราะจากนั้นจึงอ้าปาก ไอ้ซันรีบป้อนขนมปังเข้าปากผมทันที จากนั้นมันก็ชะโงกหน้ามาหอมแก้มของผมอีกหนึ่งที

“มึงเป็นไข้อ๊ะป่าว” ผมถาม ไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่มันเพิ่งทำ แต่มันก็ไม่ยอมตอบ “เฮ้ย มึงสบายดีอ๊ะป่าวเนี่ย” ผมเอื้อมมือไปจะจับหน้าผากมัน แต่มันเบือนหน้าหนีไม่ยอมสบตากับผม

“กูเขิน” มันพูดแล้วรีบลุกขึ้นเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบนมมารินใส่แก้ว

ผมหัวเราะแล้วเดินไปกอดมันจากทางด้านหลังเหมือนทุกๆครั้งที่ผมเคยทำ “ตั้งแต่วันนี้ไคล์มานอนด้วยแล้วนะ” ผมพูด

“อืม”

“แล้วกูก็ต้องไปนอนกับมึง”

“อืมม.......”

“นอนได้มั๊ย” ผมถาม

“มึงได้มั๊ยล่ะ”

“ถ้าได้นอนน่ะนะ”

“ปากดีนะมึง” มันตบหัวผมเบาๆ

“แต่ถ้าจะให้ดีนะ........”

“อะไร”

“กูว่าต่อเติมบ้านอีกชั้นไปเลยดีกว่า” ผมเสนอไอเดีย

“มึงบ้าและล่ะ พูดจาเลอะเทอะ” ไอ้ซันหัวเราะหึๆ

“เลอะเทอะตรงไหน ก็มีไคล์มาอยู่กับเราอีกตั้งหลายวันนี่นา”

“แล้วไง แล้วทำไมต้องต่อเติมบ้านเพิ่มด้วย”

“ก็ทำให้เป็นบ้านสามชั้นไง” ผมโยกตัวมันเบาๆ

“เพื่ออะไรของมึงวะ กูไม่เข้าใจมึงแล้วนะเนี่ย”

“อ้าว ก็ของเดิมมีชั้นหนึ่ง ชั้นสอง.......”

“แล้ว.......”

“แล้วชั้นสุดท้ายก็ ‘ชั้น รัก เธอ’ ไง”

ไอ้ซันแกะมือผมออกแล้ววิ่งไปทำท่าจะขย้อนที่อ่างล้างจานทันที


หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: tonsai_2520 ที่ 08-08-2007 16:15:37


กลับไฟลท์เช้า  . . . .บางกอกแอร์เวย์  09/08/50

ไว้จะส่งตั๋วเรือ + ที่พัก  ฮันนีมูนให้สองที่  สนใจป่ะ  กทม - ชุมพร - เกาะเต่า - นางยวน

ปล.  พูดจริงหนา  เลี้ยงตลออดทริป  สำหรับ  คู่ฮีนนีมูนของนักเขียนอารมณ์อ่อนไหว

ปล2.  จะเอาคนไหนไปฮันนีมูนก็ได้หนา
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 08-08-2007 16:40:25


กลับไฟลท์เช้า  . . . .บางกอกแอร์เวย์  09/08/50

ไว้จะส่งตั๋วเรือ + ที่พัก  ฮันนีมูนให้สองที่  สนใจป่ะ  กทม - ชุมพร - เกาะเต่า - นางยวน

ปล.  พูดจริงหนา  เลี้ยงตลออดทริป  สำหรับ  คู่ฮีนนีมูนของนักเขียนอารมณ์อ่อนไหว

ปล2.  จะเอาคนไหนไปฮันนีมูนก็ได้หนา


ถ้าฟรีจริง สนใจ
แต่บอกไว้ก่อน ไอ้ทึ่มหอบผ้าหอบผ่อนกลับบ้านไปและนะ

ที่สำคัญอยากไปแค่ไหนก็คงไปไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละ ทั้งเรื่องเวลา ทั้งคนที่อยากให้มันไปด้วย (ฮา)

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 08-08-2007 17:08:40

“แล้วชั้นสุดท้ายก็ ‘ชั้น รัก เธอ’ ไง”


.............มุกนี้เก็บไปใช้บ้างดีก่า......... :m3: :m3: :m3:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 08-08-2007 21:21:19
เหอ เหอ มุขนี้ ....  :o8:  :o8:  :o8:  :o8:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 08-08-2007 21:31:03
รู้ตัว หรือเปล่า เธอทำอะไรให้ชีวิตของชั้น
เนิ่นนาน เท่าไหร่ กับการที่มีเธอ อยู่ข้างกัน
 :o8:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ninaprake ที่ 09-08-2007 05:12:23


กลับไฟลท์เช้า  . . . .บางกอกแอร์เวย์  09/08/50

ไว้จะส่งตั๋วเรือ + ที่พัก  ฮันนีมูนให้สองที่  สนใจป่ะ  กทม - ชุมพร - เกาะเต่า - นางยวน

ปล.  พูดจริงหนา  เลี้ยงตลออดทริป  สำหรับ  คู่ฮีนนีมูนของนักเขียนอารมณ์อ่อนไหว

ปล2.  จะเอาคนไหนไปฮันนีมูนก็ได้หนา


ถ้าฟรีจริง สนใจ
แต่บอกไว้ก่อน ไอ้ทึ่มหอบผ้าหอบผ่อนกลับบ้านไปและนะ

ที่สำคัญอยากไปแค่ไหนก็คงไปไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละ ทั้งเรื่องเวลา ทั้งคนที่อยากให้มันไปด้วย (ฮา)



ExecutioneR ไม่เอา งั้นต้นสายให้เราแทนมั๊ยหล่ะ 555  :impress: อิอิ  ส่วนคนไปด้วยนี่ถ้าหาให้ด้วยได้ก็ดีเช่นกันครับ 555  :laugh:

------------

แหมๆๆๆๆๆ ซันกะเมฆนี่สวีทกันจริงจริ๊งงงงงงงง   :m26:  มาหวานแถวๆนี้เลยมา .... จิ๊ ..... อิจฉาเฟร้ยยยยย  o9
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ~prince™~ ที่ 09-08-2007 13:08:11
งั้นพี่พีไปกะผมมั้ยล่ะคับ......อิอิ

ไปฮันนีมูนกันสองคน

 :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ninaprake ที่ 09-08-2007 16:21:40
งั้นพี่พีไปกะผมมั้ยล่ะคับ......อิอิ

ไปฮันนีมูนกันสองคน

 :o8: :o8: :o8:

เหอะ เหอะ เหอะ มาๆ เลย  :m4: ว่าแต่ลุยๆได้ป่ะคร้าบบบ หรือว่าต้องเป็นทริปคุณชาย สบายๆ  :m14: อิอิ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 10-08-2007 02:37:07
อ้างถึง
“อ้าว ก็ของเดิมมีชั้นหนึ่ง ชั้นสอง.......”

“แล้ว.......”

“แล้วชั้นสุดท้ายก็ ‘ชั้น รัก เธอ’ ไง”

^
^
 กร๊ากกกกกกก.....เลี่ยนได้ใจมั่กส์    :laugh:  :laugh:  :laugh:

แต่ชอบอ่ะ  คิคิ 

ต่อให้มีกี่ชั้นๆๆๆ  ก้อ..."ชั้นรักเธอ ไม่เปลี่ยนแปลง" หรือเปล่า ฮ่าๆ    :m11:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 10-08-2007 12:15:06
ตอนที่ 13


หลังจากมื้อค่ำกับครอบครัวของไอ้ซันและไคล์ผ่านไป คุณลุงและคุณป้าก็ขอตัวไปอาบน้ำนอนกันก่อนทิ้งให้พวกเราสามคนยังนั่งคุยกันอยู่ต่อในห้องนั่งเล่น

“ไคล์ ต่อจากนี้ให้เรียกเมฆว่า พี่ นะ เข้าใจรึเปล่า” ไอ้ซันหันมาบอกกับไคล์ แต่ไคล์กลับมีสีหน้างุนงง “ไม่ได้หมายความว่าให้เรียกว่า พี่ศิลา แต่หมายถึงแทนที่จะเรียกว่า คุณ ให้เปลี่ยนเป็น พี่ แทน เหมือนที่เรียกพี่น่ะ”

“อ้อ ครับ” ไคล์พยักหน้า จากนั้นไอ้ซันก็หันมาพูดกับผมเช่นเดียวกัน

“มึงก็เหมือนกัน เวลาแทนตัวเองให้แทนว่า พี่ ไม่ใช่ ผม แล้วก็เวลาเรียกไคล์ ก็ไม่ต้องใช้คำว่า คุณ เข้าใจมั๊ย” มันสั่ง และถึงแม้ผมจะไม่ชอบถูกใครมาสั่งแบบนี้เท่าใดนัก แต่ก็ต้องทนกลืนน้ำลายแล้วก็พยักหน้ารับมันไป

“ดีมาก ไม่งั้นกูฟังแล้วจั๊กจี้หู เอาล่ะ ไคล์ พี่ว่าไคล์ไปอาบน้ำก่อนดีกว่านะ แล้วเดี๋ยวค่อยมาคุยกันต่อ” มันหันไปบอกไคล์ ไคล์เองก็รับคำอย่างว่าง่ายแล้วก็ขอตัวเดินจากไป

“มึงไม่ถามเขาหน่อยเหรอ ว่าเขาอยากอาบแล้วรึยังน่ะ” ผมถามมัน

“ไม่รู้สิ แต่นี่มันก็ดึกแล้ว กูว่ามันควรจะได้เวลาอาบน้ำเตรียมตัวนอนได้แล้ว”

“แล้วทีมึงล่ะ ทำไมยังไม่ไปอาบ”

“ก็กูจะรอบอาบทีหลังสุด มีอะไรรึเปล่า” มันทำหน้ายียวนใส่ผม ผมเองก็ได้แต่ส่ายหน้า

“เออๆ ไม่มีหรอกครับ แต่ว่าวันนี้ที่กูคุยกับไคล์น่ะ ดูเขารักมึงมากเลยนะ”

“มึงหมายความว่ายังไง” ไอ้ซันจ้องหน้าผม

“ก็ไม่ได้หมายความว่าอะไร แต่เขาบอกกูว่าตอนเขาเด็กๆเวลาเขาไปที่ไทยน่ะ มึงดูแลเขาดีมาก เขารักมึงมากเหมือนพี่ชายแท้ๆเขาเลยนะ” ผมหยิบแก้วน้ำบนโต๊ะมาหมุนเล่น นึกถึงเรื่องที่เพิ่งมีโอกาสได้คุยกับไคล์ไปเมื่อตอนบ่าย

“เขาว่าแบบนั้นเหรอ”

“ก็..... ประมาณนั้นมั๊ง กูก็จำไม่ค่อยได้น่ะ”

“เหรอ.....” ไอ้ซันก้มหน้าแล้วเงียบไป ผมเริ่มรู้สึกว่ามีอะไรสักอย่างกำลังผิดปกติ

“ทำไมวะ” ผมเอามือไปจับหัวมันแล้วลูบเบาๆ “มึงมีอะไรรึเปล่า บอกกูมาซิ”

“เฮ้ย ไม่ได้มีอะไร กูก็แค่รู้สึกแปลกๆน่ะเพราะกูเองก็ไม่เคยมีน้องชายไม่เคยมีพี่ชาย กูน่ะไม่รู้หรอกว่ามันเป็นยังไง แต่พอรู้ว่าไคล์มันคิดกับกูแบบนั้น กูก็เลยรู้สึกแปลกๆหน่อยมั๊งน่ะ” มันว่า

“อ้อ อืมๆ” ผมเข้าใจสิ่งที่มันพูด เพราะผมเองก็อยู่ในสถานะเดียวกันกับมันนั่นก็คือไม่เคยมีทั้งพี่ชายและน้องชายมาก่อน

“แต่ตอนนี้กูว่าเราขึ้นห้องกันก่อนมั๊ย” มันถามความเห็น

“เออ ก็ได้ กูว่ากูจะอาบน้ำเลยเหมือนกัน งั้นกูขึ้นไปหยิบเสื้อผ้าบนห้องมึงลงมาอาบน้ำที่ชั้นล่างนี้ก็ได้” ผมพูดและลุกขึ้นยืน มันเองก็ลุกขึ้นตามเหมือนกัน เราสองคนเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสองของบ้านผ่านหน้าห้องนอนของพ่อและแม่ของไอ้ซันที่ท่าทางจะกำลังนอนดูทีวีกันอยู่ ส่วนเมื่อเราสองคนเดินผ่านหน้าห้องของผม ไคล์ก็เปิดประตูออกมากำลังจะเดินไปอาบน้ำพอดี เขาใส่กางเกงขาสั้นตัวเดียวและเอาผ้าขนหนูพาดไหล่เอาไว้ เผยให้เห็นโคร่งร่างที่แน่นกำยำแบบเด็กวัยรุ่นฝรั่งและสีผิวสีแทนของเขาก็ชวนให้ผมสะดุดตา ถึงแม้ว่าผมจะไม่เคยมองผู้ชายคนไหนว่ามีเสน่ห์มาก่อนเลย (นอกจากไอ้ซัน) แต่ผมก็ต้องยอมรับว่า ไคล์เป็นเด็กหนุ่มที่มีหุ่นและหน้าตาดีมากๆทีเดียว

ไคล์ยิ้มให้ผมและซันก่อนจะเดินผ่านเราสองคนไป ผมมองเขาเดินเข้าห้องน้ำจนกระทั่งปิดประตูหายไป

“มองมากไปแล้ว ไอ้เมฆ” ไอ้ซันเคาะที่หัวผมหนึ่งที

“โอ๊ย อะไรเล่า” ผมเอามือกุมศีรษะ และบ่นเบาๆ “ทำอะไรของมึงเนี่ย”

แต่ไอ้ซันไม่สนใจเสียงบ่นของผมและเปิดประตูห้องของมันออก ผมเดินตามมันเข้าไปและปิดประตูตามหลังเบาๆ ห้องของซันกับห้องของผมอยู่ติดกันก็จริง แต่ห้องของซันจะมีขนาดใหญ่กว่าห้องของผมเล็กน้อย และดูโล่ง โปร่งมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นสีของผนังห้องหรือเฟอร์นิเจอร์ วัสดุตบแต่ง เพราะแต่เดิมห้องนี้เคยเป็นห้องสำหรับห้องนอนแขก ก็เลยจะไม่ได้มีการตบแต่งอะไรมากมายนัก ต่างกับห้องของผมที่เคยเป็นของไคล์มาก่อน ก็เลยมีร่องรอยของการตบแต่งของเจ้าของเดิมหลงเหลืออยู่บ้าง แต่ทั้งไอ้ซันและผมเองต่างก็มีนิสัยคล้ายกันอยู่อย่างหนึ่งนั่นก็คือ ไม่ชอบทำอะไรกับห้องของตัวเองมากมายนัก ไม่ว่าจะผนังห้องหรือเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ เราสองคนชอบปล่อยให้มันเป็นแบบเดิมอยู่อย่างนั้นมากกว่าจะเปลี่ยนให้เป็นในแบบที่เราชอบ สำหรับมันผมก็ไม่รู้หรอก อาจจะเป็นเพราะมันเป็นคนไม่เรื่องมากและขี้เกียจวุ่นวายด้วย แต่สำหรับผม นอกจากนิสัยแบบเดียวกับมันในจุดนั้นแล้วผมยังไม่อยากทำลายของของที่เจ้าของเดิมเขาหลงเหลือเอาไว้ด้วยอีกต่างหาก

ผมนั่งลงบนเตียงขณะที่ไอ้ซันเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ที่โต๊ะคอมพิวเตอร์

“มองตาไม่กะพริบเลยนะมึง ไอ้ตัวดี” มันพูดขึ้นโดยที่ไม่ได้หันมามองหน้าผม แต่หันไปหยิบหนังสือที่ตู้วางหนังสือมาเปิดเล่นแทน

“อะไรของมึง กูไม่ได้มองอะไรเลยนะ” ผมแย้ง แต่ไอ้ซันกลับเงียบ แสร้งทำเป็นไล่สายตาผ่านหนังสือที่กางอยู่ตรงหน้า

“หึงล่ะสิมึง” ผมถาม ลุกขึ้นยืน และค่อยๆเดินไปหามัน “หึงใช่ม๊า บอกกูมาซะดีๆ” พอผมเดินไปถึงตัวมันไอ้ซันก็ลุกขึ้นยืนและเดินหนีไป

ผมหันไปมองตามมัน และเดินตามมันไปอีก “หึงกูเหรออออ” ผมทำเสียงแหย่ เอื้อมมือไปจะจับไหล่มันเอาไว้ แต่มันก็ฉากหนีไปเสียอีก

“ไปอาบน้ำได้แล้ว ไป” มันพูดเสียงเด็ดขาดแล้วโยนผ้าขนหนูของผมมาให้ ผ้าผืนนั้นตกลงบนบ่าของผมพอดี ผมมองมันด้วยความเซ็งเล็กน้อย แต่ก็ยังอยากจะแหย่มันอยู่ดี

“ไม่ต้องห่วงน่า กูไม่มองคนอื่นนอกจากแฟนกูหรอก หน้าตาก็ดี นิสัยก็ดี หุ่นก็ดี ได้คนนี้ก็รักคนเดียวแล้ววว” ผมเดินตรงเข้าไปหามันอีก แต่คราวนี้มันไม่เดินหนีและหันมามองหน้าผมแทน

“ไป อาบ น้ำ” มันพูดเสียงแข็ง แล้วหันไปนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิมและหยิบหนังสือเล่มนั้นมานั่งอ่านอีกหน

ผมหยุดยืนและมองมันว่ามันทำสีหน้ายังไงอยู่ โกรธจริงๆหรือแค่แกล้งเล่นๆ แต่สุดท้ายก็ดูไม่ออกแล้วเลยเลิกความคิดจะแหย่มันเล่นต่อก่อนที่มันจะโกรธขึ้นมาจริงๆ ผมวางผ้าขนหนูลงบนเตียงแล้วถอดเสื้อยืดออก เมื่อศีรษะของผมพ้นออกมาจากเสื้อ ผมก็แอบเห็นมันเหลือบมองผมผ่านหนังสือเล่มนั้นอยู่เหมือนกัน ผมหัวเราะเบาๆ แล้วแกล้งมันโดยการถอดกางเกงจนเหลือกางเกงในตัวเดียวและเอาผ้าขนหนูมาห่อตัวไว้ ไอ้ซันหันเก้าอี้ไปทางอื่นแต่ก่อนที่มันจะหันไปผมก็แอบเห็นว่ามันลอบมองผมอยู่จริงๆนั่นแหละ ผมอมยิ้มให้กับตัวเองแล้วหยิบเสื้อผ้าที่จะใช้เปลี่ยนใส่นอนพาดขึ้นบ่าจากนั้นก็เปิดประตูเดินออกจากห้องไป

ขณะที่ผมกำลังเดินผ่านหน้าห้องน้ำที่ชั้นสอง ประตูห้องน้ำก็ถูกเปิดออกพอดี ไคล์เดินออกมาพร้อมกับไอน้ำที่คลุ้งอยู่เต็มห้อง

“อ้าว คุณกำลังจะไปอาบน้ำเหรอ” เขาถามผมเป็นภาษาอังกฤษและเอาผ้าขนหนูเช็ดศีรษะที่กำลังเปียกน้ำอยู่ ผมพยักหน้าตอบเบาๆพร้อมกับสังเกตเห็นหยดน้ำที่เกาะอยู่ตามส่วนต่างๆของร่างกาย ทั้งบนหัวไหล่ บนกล้ามแขนที่เป็นมัดๆ และตามหน้าท้องไล่ลงไปจนถึงใต้ผ้าขนหนูนั่น..........

“ไม่เช็ดตัวให้แห้งก่อนเหรอ เดี๋ยวก็เป็ดหวัดหรอก” ผมถาม ไคล์ทำหน้างงเล็กน้อย อาจเป็นเพราะผมพูดตอบเขาเป็นภาษาไทยและอาจจะพูดค่อนข้างเร็วด้วย แต่แล้วเขาก็ยิ้มและส่ายหน้า

“ไม่เป็นไรหรอก ผมแข็งแรง” เขาพูดแล้วทำท่าเบ่งกล้ามแขนให้ผมดู เราทั้งคู่หัวเราะขึ้นมาเบาๆพร้อมๆกัน เมื่อสิ้นเสียงหัวเราะผมสังเกตเห็นไคล์เองก็แอบมองสำรวจร่างกายผมด้วยสายตาอยู่เหมือนกัน ผมเลยแกล้งหันไปทางแสงไฟให้เขาเห็นหุ่นผมชัดๆมากขึ้น เป็นการข่มว่าคนเอเชียก็ไม่ได้หุ่นดีน้อยกว่าฝรั่งหรอกนะ....... ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นลูกครึ่งไทยและแถมยังอายุน้อยกว่าผมอีกต่างหากก็ตาม

“พี่อาบห้องนี้ก็ได้ จะได้ไม่ต้องเดินไปข้างล่าง” เขาบอกผมหลังจากเราเงียบกันไปราวๆสามวินาที

“อ้อ จริงสินะ ขอบคุณมากครับ” ผมยิ้มให้เขา เขาเองก็ก้มหัวให้ผมเล็กน้อยพร้อมรอยยิ้มแล้วก็เดินเข้าห้องไป

เมื่อผมปิดประตูห้องน้ำ ผมเดินไปที่ฝักบัว ปล่อยให้น้ำอุ่นๆไหลผ่านผมไปตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ผมเริ่มคิดถึงอะไรบางอย่างที่ผมพยายามหลีกเลี่ยงไม่คิดถึงมันมานานหลายปีแล้ว และผมเองก็คิดว่าไอ้ซันก็คงจะคิดถึงเรื่องนี้เช่นเดียวกัน

ผมยอมรับตัวเองมานานแล้วว่าผมชอบไอ้ซัน แต่แล้วผมเป็นเกย์รึเปล่า......... นั่นคือคำถามที่ผมถามตัวเองและก็พยายามหลีกเลี่ยงที่จะตอบมานานแล้วเช่นเดียวกัน ผมรักไอ้ซัน ผมรักผู้ชาย ผมก็ควรที่จะเป็นเกย์อย่างที่คนอื่นเขาว่ากันสินะ แต่ทำไมผมกลับไม่เคยมีความรู้สึกปรารถนาในตัวผู้ชายคนอื่นเลยแม้แต่น้อย ถึงใครจะหน้าตาดีขนาดไหนผมก็แค่มองและคิดว่าคนๆนี้หน้าตาดี แต่ไม่เคยที่จะคิดไปไกลกว่านั้นเลย..... แต่ก็นะ ยกเว้นถ้าคนๆนั้นบุคลิกคล้ายกับไอ้ซันจริงๆล่ะก็..... แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ผมเองก็ชอบผู้หญิงได้ และทำได้มากกว่าคำว่า “ชอบ” ด้วย ผมหลงรักผู้หญิง และก็มีความสัมพันธ์กับทางกายกับเขาได้โดยที่ไม่ได้รู้สึกผิดปกติ ฝืนตัวเอง หรือรู้สึกแปลกอะไรเลย มันก็เป็นไปตามธรรมชาติเหมือนคู่ชายหญิงทั่วๆไปนั่นแหละ

แต่สุดท้ายผมก็อดคิดถึงไอ้ซันไม่ได้ หรือบางครั้ง แม้แต่ในความฝัน...... หนึ่งปีที่แล้ว ช่วงเวลาที่ผมไม่มีมันอยู่ข้างกาย แม้ว่าผมจะมีนัทอยู่ ทว่าหลายคืนที่ผมก็ยังเฝ้าฝันถึงแต่มัน ฝันถึงช่วงเวลาที่เคยใช้กับมัน ช่วงเวลาที่อยากจะใช้กับมัน หรือแม้แต่ ฝันถึงเรื่องที่เกินเลยไปมากกว่านั้นกับมัน................

ผมสะบัดความคิดเหล่านั้นทิ้งออกไปจากสมอง ผมเคยคิดหลายครั้งหลายคราแล้วว่า ผมจะไม่คิดแบบนี้อีก ผมจะไม่เฝ้าหาคำตอบให้กับตัวเองว่าผมเป็นอะไร แต่ผมจะทำไปตามความรู้สึกความต้องการของจิตใจของผมเองเท่านั้น ผมรักมัน ผมก็จะปฏิบัติกับมันอย่างที่คนรักควรจะปฏิบัติเท่านั้นเอง ถ้าผมรักมันมาจากใจจริง ซึ่งผมก็เชื่อว่ามันเป็นอย่างนั้น ผมก็จะปล่อยให้หัวใจสั่งให้ผมทำอะไรก็ตามที่ผมอยากจะทำ ผมจะไม่เอาความนึกคิดของตัวเองหรือของใครๆมาใส่หัวอีกต่อไปแล้ว

ผมรีบล้างสบู่ด้วยความรวดเร็วเพราะไม่อยากจะให้ไอ้ซันรอนาน หลังจากเช็ดตัวจนแห้งสนิทดีแล้วผมก็จัดการแต่งตัวให้เรียบร้อย แม้ว่าตอนแรกผมเลือกที่จะยังไม่ใส่เสื้อเพราะอยากจะเข้าไปแหย่ไอ้ซันดูว่ามันจะยังลอบมองผมอยู่จริงๆรึเปล่า แต่สุดท้ายผมก็ตัดสินใจแต่งตัวให้เรียบร้อยเสียเลยดีกว่า

หลังจากออกจากห้องน้ำผมก็เปิดประตูห้องไอ้ซันเข้าไปแต่ว่ามันไม่ได้อยู่ในนั้น ผมยืนงงด้วยความประหลาดใจ หรือว่ามันจะไปอาบน้ำที่ห้องน้ำชั้นล่างแล้วก็ไม่รู้ แต่อีกใจก็ปฏิเสธว่าไม่น่าจะใช่ ผมจึงเดินไปเคาะที่ห้องของไคล์เพื่อจะถามว่าซันอยู่ในห้องรึเปล่า แล้วก็เป็นอย่างที่ผมคิดเพราะคนที่ออกมาเปิดประตูให้ผมก็คือตัวไอ้ซันเอง

“อาบน้ำเสร็จแล้วเหรอ” มันถาม

“อืม แล้ว.....” ผมชะโงกเข้าไปในห้อง เห็นไคล์กำลังนอนฟังไอพอดอยู่บนเตียง เมื่อเขาเห็นผมเขาก็ยิ้มและพยักหน้าให้ “มึงมาทำอะไรวะ” ผมหันหลับมาถามมัน

“ก็มาคุยกับไคล์เฉยๆ” ไอ้ซันตอบ จากนั้นก็หันไปบอกไคล์ว่าขอตัวแล้วก็เดินออกมาจากห้อง เมื่อสิ้นเสียงปิดประตู ไอ้ซันก็เดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง ผมเองก็เดินตามมันเข้าไป

“คุยอะไรกันวะ” ผมถาม และทิ้งตัวนั่งลงบนเตียง

ไอ้ซันที่กำลังหยิบผ้าขนหนูของตัวเองออกมาหันมามองหน้าผมแล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย “หึงเหรอ”

ผมสะอึก แล้วรีบตอบกลับอย่างรวดเร็ว “เปล่าสักหน่อย ก็แค่ถาม” ผมเอื้อมไปหยิบโลชั่นทาผิวที่โต๊ะหัวเตียงมาทาที่แขนและขาของตัวเอง ผมแอบมองเห็นไอ้ซันด้วยหางตาขณะที่มันกำลังจะเดินออกจากห้องไปว่ามันกำลังมีรอยยิ้มชอบใจอยู่บนใบหน้า ผมเลยรีบพูดไล่หลังมันก่อนที่มันจะออกจากห้องไปเสียก่อนว่า “กูไม่ได้หึงมึงหรอก มึงไม่ต้องมายิ้ม” แต่ก็ไม่ทันจนได้ เพราะไอ้ซันปิดประตูห้องลงก่อนผมจะพูดจบประโยคเสียอีก

ผมมองไปยังประตูห้องถึงแม้มันจะเดินออกไปนานแล้ว เป็นเวลาไม่รู้กี่นาทีที่ผมได้แต่นั่งเหม่อมองอยู่อย่างนั้น คิดถึงคำพูดที่มันถามว่าผม “หึง” หรือเปล่า

นี่คืออีกสิ่งหนึ่งที่ผมเองก็เคยคิดกลัวอยู่เช่นกัน การที่ผมเคยรักมันอยู่เหมือนเมื่อก่อนนั้น ผมเองแทบจะไม่ได้อยากเรียกร้องอะไรใดๆจากมันเลย แต่ตอนนี้เมื่อผมกับมันคบเป็นแฟนกันแล้ว ผมเองก็อดคิดไม่ได้ว่าสิ่งนี้มันจะทำให้ผมเปลี่ยนไป นั่นก็คือ ผมคงรู้สึกหึงหวงมันมากขึ้นตามไปด้วยจริงๆนั่นแหละ หลังจากนี้นอกจากผมจะหึงมันแล้ว ผมอาจจะเรียกร้องอะไรๆจากมันมากขึ้นอีกโดยที่ผมก็ไม่รู้ตัวก็เป็นได้ มันเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วถ้าที่เวลาเราคบกับใครจริงๆจังๆ ช่วงแรกๆมันอาจจะหวาน แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก คนสองคนคงต้องรับมือกับพฤติกรรมหรือความต้องกันของกันและกันอย่างไม่จบไม่สิ้น ผมเองไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้นเลย ผมไม่อยากจะเรียกร้องอะไรจากมัน แต่ตอนนี้ผมเริ่มรู้ตัวแล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้........

ผมอยากได้ความรักจากมันตอบกลับมา อยากให้มันรักผมมากเท่าๆกับที่ผมรักมัน และตอนนี้ผมก็เริ่มจะรู้ตัวแล้วด้วย ว่าถ้าเป็นไปได้ ขอแค่ถ้าเป็นไปได้......... ผมไม่อยากจะให้มันไปมีใจให้ใครคนอื่นนอกจากผมเด็ดขาด

ผมละสายตาออกมาจากประตูห้องและเริ่มมองไปรอบๆตัว อีกความคิดหนึ่งที่ไม่ค่อยจะดีนักที่เริ่มผุดขึ้นมาในสมองของผมนั่นก็คือ ผมอยากจะรู้จริงๆ ว่ามันเก็บหนังสือ เดอะ มิซซิ่ง พีซ มีทส์ เดอะ บิ๊ก โอ ที่ผมตั้งใจไว้ว่าจะให้กับมันในตอนนั้น ไว้ที่ไหน

ผมเริ่มมองไปรอบๆห้อง และกวาดสายตาไปตามชั้นวางของ ตู้ และเก๊ะต่างๆ นึกสงสัยว่าจะมีหนึ่งในสักอันนี้มั๊ย ที่มันเก็บซ่อนหนังสือเล่มนั้นไว้ไม่ให้ผมหรือใครๆเห็น แล้วไอ้ซันมันเคยหยิบออกมาดูมาอ่านบ้างรึเปล่ากันนะ

แต่ก็คงเป็นไปไม่ได้หรอก เป็นผม ผมก็คงไม่หยิบหนังสือที่เปื้อนเลือดขนาดนั้นออกมาอ่าน หรือเอามาวางไว้เกลื่อนกลาดง่ายๆเช่นกัน

ผมถอนหายใจและเอนตัวลงนอนบนเตียงมองดูแสงไฟจากบนเพดาน ไม่รู้ว่าผมคิดอย่างไรเหมือนกัน ผมเอื้อมมือไปเปิดโคมไฟที่หัวเตียงแล้วเอาผ้ามาคลุมโคมไฟไว้เพื่อลดแสงให้น้อยลง จากนั้นก็ลุกขึ้นไปปิดไฟในห้องทิ้งเสีย ทำให้ในห้องตอนนี้มีเพียงแสงสีส้มเรืองๆจากโคมไฟที่หัวเตียงส่องอยู่เท่านั้น

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 10-08-2007 12:15:46


ผมเดินมานอนลงบนเตียงอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ผมนอนมองเงาของตัวเองที่ทอดตัวเป็นแนวยาวสีดำทะมึนลงบนเพดานแทนที่จะเป็นแสงไฟสีขาวแสบตาเหมือนเมื่อครู่ เมื่อมีความมืดสลัวมาแทนที่ความสว่าง แม้แต่ทุกๆสิ่งรอบตัวก็ยังดูราวกับมีความเงียบปกคลุมตามไปด้วยเลย ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมผมถึงคิดว่าความมืดมักจะมาคู่กับความเงียบ............ ผมได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเองชัดเจนขึ้น ผมได้ยินเสียงของลมที่พัดผ่านกิ่งไม้ใบไม้ของต้นไม้ใหญ่ที่ด้านนอกหน้าต่าง ได้ยินเสียงของรถยนต์ที่วิ่งอยู่บนถนนอยู่ไกลๆ และได้ยินเสียงของประตูห้องน้ำที่กำลังถูกเปิดออก

ไอ้ซันอาบน้ำเสร็จแล้วและกำลังเดินตรงมาที่ห้อง ผมหลับตาลงฟังเสียงฝีเท้าของมันที่กำลังเดินใกล้เข้ามา ผมได้ยินเสียงมือของมันที่กำลังจับลูกบิดประตูและทันใดนั้นประตูห้องก็ถูกเปิดออก ผมคาดไว้ว่ามันคงจะแปลกใจว่าทำไมผมถึงได้ปิดไฟและเปิดเพียงโคมไฟเหนือหัวของผมไว้เท่านั้น

แต่ก็ไม่มีคำพูดใดๆหลุดออกมาจากปากของมัน

ผมยังคงหลับตาอยู่และได้ยินเสียงของประตูห้องถูกปิดลง

“เมฆ หลับแล้วเหรอ” มันถามขึ้น

“เปล่า ยังหรอก แค่ปิดไฟเฉยๆน่ะ กูแสบตา” ผมตอบ ทั้งๆที่ยังไม่ลืมตาขึ้น

“แล้วหายแสบรึยัง” ผมรู้สึกว่ามันกำลังเดินตรงมาที่ผมมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดมันก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าของผม “เป็นไรรึเปล่ามึง”

ผมลืมตาขึ้น แล้วก็เห็นไอ้ซันที่กำลังชะโงกหน้ามามองดูผมอยู่ ผมเกรียนๆของมันยังคงมีหยดน้ำเกาะอยู่ รวมถึงลำตัวท่อนบนที่เปลือยเปล่าและส่วนท่อนล่างที่นุ่งเพียงผ้าขนหนูผืนเดียวด้วย

“มึงไม่เช็ดตัว แต่งตัวให้เรียบร้อยก่อนวะ” ผมถาม สายตาผมไปหยุดอยู่ที่ริมฝีปากของมันที่เผยอออกมาเล็กน้อย ผมมองไล่ลงมาถึงคางของมันที่เริ่มมีเคราขึ้นอ่อนๆแล้วหยุดสายตาไว้แต่เพียงเท่านั้นก่อนที่มันจะมองเลยเถิดไป

ไอ้ซันพยักหน้าเบาๆแล้วก็ลุกขึ้นจากเตียง จากนั้นก็หันหลังให้ผมแล้วเดินตรงไปยังตู้เสื้อผ้า ผมมองตามไปที่แผ่นหลังของมัน เมื่อเห็นแบบนี้แล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแสงสีส้มจากโคมไฟหรือเป็นเพราะความสว่างไม่พอด้วยหรือเปล่า ผมจึงมองเห็นแผ่นหลังและไหล่ของมันดูกว้างและแข็งแรงมากกว่าที่ผมเคยคิดเอาไว้เสียอีก

ราวกับไอ้ซันจะรู้ว่าผมกำลังมองมันอยู่ มันหันหน้าหาผมแล้วโยนเสื้อผ้าลงบนเตียง เมื่อมันหันมาทำให้ผมเห็นร่างกายของมันได้ชัดเจนมากขึ้น ก่อนหน้านี้ผมยังไม่เคยเห็นหุ่นเปล่าๆของมันแบบนี้มาก่อนเลย กล้ามอกที่เป็นลูก และกล้ามท้องที่เป็นลอน ไม่เหมือนกับที่มันเคยบ่นว่ามันอ้วนขึ้นเลยแม้สักนิดเดียว

“ไหนมึงบอกว่ามึงอ้วนขึ้นไง” ผมถาม ชี้ไปที่ท้องของมัน

“อ๋อ นี่น่ะเหรอ” ไอ้ซนมองตามลงไป “กูแขม่วน่ะ” มันว่า จากนั้นมันก็แสดงให้เห็นว่าจริงๆแล้วพุงของมันยื่นออกมาขนาดไหน แต่ถึงอย่างไรก็ตามผมก็ยังยืนยันว่ามันเองก็ยังมีกล้ามท้องที่ค่อนข้างสมบูรณ์อยู่ดี

“ไม่อ้วนหรอก กูนี่สิกำลังจะอ้วน” ผมเอามือตบพุงของตัวเอง เมื่อเห็นแบบนั้นไอ้ซันเลยรีบเดินรี่เข้ามาหา

“ไหน ดูดิ๊” มันเลิกเสื้อของผมขึ้น “อืมมมม ขออีกสามโลนะ” ไอ้ซันพูดหลังจากมองที่ท้องของผมอยู่ครู่หนึ่ง

“หา อะไรวะ” ผมถามด้วยความประหลาดใจ

“กูขอให้มึงอ้วนขึ้นอีกสามโลไง หมั่นไส้คนกล้ามท้องสวย กูขอมีของกูคนเดียวพอ มึงอ้วนๆอีกหน่อยน่ะดีแล้ว” มันพูดแล้วก็ลุกเดินไปที่ปลายเตียง ที่ๆมันวางเสื้อผ้าเอาไว้

“อะไรของมึง มึงจะให้กูอ้วนคนเดียวงั้นสิ” ผมว่า

“เปล่า กูไม่ได้อยากให้มึงอ้วน แต่กูอยากให้มึงอวบกว่านี้อีกหน่อยแค่นั้นเอง” มันมองหน้าผมแล้วยิ้ม

ผมถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้จริงจังอะไรกับคำขอของมันมากนัก แล้วก็ไม่คิดว่ามันเองจะจริงจังอะไรกับคำพูดของตัวเองด้วยเช่นกัน “เออๆ มึงรีบๆแต่งตัวเหอะ เดี๋ยวไม่สบายหรอก”

“ทาโลชั่นให้กูก่อน” มันบอก จากนั้นก็เดินตรงมาที่หัวเตียงแล้วยื่นครีมทาผิวที่ผมใช้เมื่อครู่ให้กับผม “เอ้า ทาที่หลังนะ เอาทั่วๆล่ะ” มันว่าจากนั้นก็นั่งลงบนเตียงหันหลังให้กับผม

ผมเทครีมทาผิวลงบนฝ่ามือกำลังจะลูบลงไปบนหลังของมันแต่ก็สังเกตขึ้นมาได้ว่าหลังของมันยังไม่แห้งดีเลย “ไอ้ซัน หลังยังเปียกอยู่เลย มึงเช็ดตัวไม่แห้ง”

“งั้นมึงก็เช็ดให้กูดิ่” มันตอบแล้วก็ชี้ไปที่ผ้าขนหนูของผมที่วางพาดอยู่ ผมส่ายหน้าเบาๆแล้วก็เอาครีมที่เทออกมาแล้วป้ายลงไปบนกลางหลังของมันจากนั้นก็ลุกไปหยิบผ้าของผมมาเช็ดแผ่นหลังตรงที่ยังเปียกอยู่ให้กับมัน เมื่อแห้งดีแล้วผมก็เริ่มทาครีมให้ทั่วแผ่นหลังโดยเริ่มลูบไล้ตั้งแต่หัวไหล่ไล่ลงไปถึงตรงขอบผ้าขนหนูที่มันพันไว้รอบเอว

“เอ้า เสร็จแล้ว” ผมตีหลังมันเบาๆ

“เพลินว่ะ เอาอีก ทาข้างหน้าด้วย” มันพูด

“เกินไปมึง เกินไป” ผมตบหลังมันแรงขึ้น “ข้างหน้าทาเอง มือตีนก็มี ไปๆๆ ไปแต่งตัว เดี๋ยวจะหนาว” ผมรีบไล่มันทั้งๆที่ก็รู้ดีว่าฮีทเตอร์ในห้องทำงานได้เป็นอย่างดี ไม่ว่ามันจะแก้ผ้าหรือตัวเปียกขนาดไหนก็คงไม่รู้สึกหนาวแน่นอน

ผมรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่ไอ้ซันลุกขึ้นอย่างว่าง่ายโดยที่ไม่มีคำโต้แย้งใดๆ จากนั้นมันก็รับครีมไปทาผิวส่วนที่เหลือของมันเอง จากนั้นมันก็เริ่มทาครีมบำรุงหน้า แต่ก็ยังไม่ยอมแต่งตัวสักที จนในที่สุดผมทนไม่ไหว เลยลุกขึ้นเดินตรงไปหามันแล้วกระตุกผ้าเช็ดตัวของมันออกเบาๆ ไม่ใช่เพื่อให้หลุด แต่เพื่อจะแหย่ให้มันตกใจเล่นเฉยๆ

“เฮ้ยๆ” ไอ้ซันรีบคว้าผ้าเอาไว้ก่อนที่มันจะร่วงลงพื้นไป ผมหัวเราะแล้วรีบกระโดดหนีขึ้นเตียงทันที

“เล่นอะไรทะลึ่งนะมึง” มันโวย

“ก็แล้วทำไมมึงไม่แต่งตัวให้มันเสร็จๆสักที” ผมย้อน

“เรื่องของกู ห้องของกู กูจะทำอะไรก็เรื่องของกูนี่หว่า หรือมึงอยากดูกูแก้ผ้านัก ก็ได้ กูให้มึงดูก็ได้ ไอ้เมฆ เอ้า” พูดจบมันก็สะบัดผ้าขนหนูออก ผมรีบหันหน้าหนีทันที รู้สึกใจของตัวเองเต้นแรงและใบหน้าร้อนผ่าว

“นี่มึงเล่นอะไรของมึง”ผมร้อง “รีบๆแต่งตัวได้แล้ว กูไม่อยากดูของมึงหรอก ไอ้ซัน”

“แล้วทีอย่างนี้ทำเป็นเขิน ไอ้ตัวดีเอ๊ย” ไอ้ซันเองก็รีบใส่กางเกงด้วยความรวดเร็วเช่นกัน เพราะเมื่อผมมองมันด้วยหางตามันก็ใส่กางเกงเสร็จไปแล้ว เมื่อเห็นดังนั้นผมจึงหันกลับมามองมันได้อีกครั้ง

“กูไม่ได้เขินเว้ย” ผมแก้ตัว “กูแค่..........” ผมหาคำพูดมาพูดต่อไม่ได้ และดูท่าจะเป็นทีของไอ้ซันทันที มันรีบใส่เสื้อและกระโดดขึ้นมาบนเตียง คลานมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม

“กูแค่อะไร” มันยิ้ม

“ไม่รู้เว้ย ไม่มีไรทั้งนั้นแหละ มึงจะนอนรึยัง” ผมรีบเปลี่ยนเรื่อง

“ยัง........ ยังไม่อยู่ในอารมณ์อยากนอน” มันยิ้มกริ่ม

“งั้นมึงจะทำอะไร” ผมขยับตัวลงใต้ผ้าห่มมากขึ้นอีก เริ่มรู้สึกกังวลอย่างไรบอกไม่ถูก

“อืมมม.....” มันทำท่าครุ่นคิด “กูก็ไม่รู้เหมือนกัน” มันขยับตัวเข้ามาใกล้ผมมากขึ้นเรื่อยๆและเอาแขนมาคร่อมตัวของผมไว้ให้อยู่ข้างล่าง “เอาเป็นว่า........  ทำอะไรที่......... ไม่ลองก็ไม่รู้ดีมะ”

เมื่อผมได้ยินดังนั้นตอนแรกผมคิดว่ามันจะแกล้งผมเล่นอีกเหมือนเมื่อวันก่อน แต่ผมคิดผิด..........

ไอ้ซันรีบประกบปากผมทันทีก่อนที่ผมจะได้พูดอะไรต่อ มือซ้ายของมันคว้าหามือขวาของผมมากุมเอาไว้ จากนั้นมือข้างที่เหลือของมันก็เริ่มทำงานด้วยการลูบไล้ไปตามใบหน้าของผมไล่ลงไปจนถึงซอกคอแล้วก็เริ่มล้วงเข้าไปในเสื้อยืด เมื่อมาถึงจุดนี้ผมก็เริ่มจะปล่อยอารมณ์ตามไปกับมันแล้ว ผมเริ่มจูบตอบกลับและเอามือป่ายไปตามแผ่นหลังของมัน ไอ้ซันผละออก ชันตัวขึ้นนั่งและถอดเสื้อโยนทิ้งลงไปบนพื้นรวมทั้งเตะผ้าห่มไปกองอยู่ข้างๆเสื้อเช่นเดียวกัน จากนั้นมันก็ก้มลงมาจูบปากของผมอีกครั้ง หนักขึ้น และร้อนแรงขึ้นกว่าเดิม เมื่อถอนปากออก มันก็เริ่มไซร้ไปตามซอกหูและไล่ลงมาถึงซอกคอของผม ผมเสียวจนเผลอครางออกมาอย่างลืมตัว จากนั้นเมื่อรู้สึกตัวผมก็รีบพลิกตัวขึ้นมาเป็นฝ่ายอยู่ข้างบนบ้าง คราวนี้ผมเป็นฝ่ายเริ่มกระทำแบบที่มันเพิ่งทำกับผมไปบ้าง ผมใช้ลิ้นซอกซอนไปตามทุกส่วนของมันเท่าที่ผมทำได้ ไล่ตั้งแต่ใบหู รูหู หลังหู ซอกคอ คาง แก้ม และไม่ลืมที่จะประกบปากกับมันอีกครั้งเป็นการปิดเสียงครางของมันให้หายไป

เมื่อเราถอนปากออกจากกัน ตาของเราประสานกัน ผมเอามือกุมมือทั้งสองของมันไว้ แล้วเริ่มซุกลงที่ซอกคอของมันอีกครั้ง ผมเห็นไอ้ซันหลับตาพริ้มและเผยอปากครางออกมาเบาๆ ผมไล่ลงไปจนถึงที่หน้าอกของมัน เอาหน้าซุกลงไปที่หัวนมและลากลิ้นผ่านให้โดนแบบเฉียดๆ ไอ้ซันเผลอครางออกมาเพราะความเสียว เมื่อได้ยินอย่างนั้นผมก็เริ่มพยายามเร่งเครื่องเต็มสูบ ตั้งใจจะใช้ทุกวิชาที่ผมรู้กับมันเลยทีเดียว แต่ขณะที่ผมกำลังจะก้มลงใช้ลิ้นกับหัวนมของมันต่อนั้น เสียงเคาะประตูห้องของเราก็ดังขึ้น เราสองคนรีบกระโดดออกจากกันโดยอัตโนมัติราวกับถูกไฟช็อตทีเดียว ผมยืนขึ้นบนพื้นห้องข้างๆเตียง ส่วนไอ้ซันนั่งชันตัวอยู่ตรงหัวเตียง เราทั้งสองต่างมองไปที่ประตูห้อง

“ซัน ศิลา หลับหรือยัง”

เสียงของไคล์ดังขึ้น เราสองคนมองหน้ากันไม่รู้จะทำอย่างไรดี ไอ้ซันทำปากกระซิบบอกผมว่าให้ผมไปเปิดและมันก็ก้มลงไปหยิบเสื้อมาสวม ผมเองก็ส่ายหน้าบอกให้มันเป็นคนไปเปิด แต่มันก็ส่ายหน้ากลับมาอีกแล้วบอกว่ามันไปเปิดไม่ได้ พอผมกระซิบถามว่าทำไม มันก็ก้มหน้าอายๆมองลงไปที่เป้ากางเกงแล้วพูดออกมาว่ามันไม่ได้ใส่กางเกงใน

ผมระเบิดเสียงหัวเราะออกมาแล้วก็ส่ายหน้าเบาๆ จากนั้นก็โยนผ้าห่มให้มันเอาไปคลุมท่อนล่างไว้ซะ แอบเสียดายเล็กน้อยที่มันเอามือมาปิดส่วนนั้นไว้ทันก่อนที่ผมจะได้เห็นว่ามันตุงออกมามากขนาดไหน ผมเดินไปที่ไปที่ประตูห้องเอามือกุมลูกบิดไว้จากนั้นก็หันมามองหน้ามันเป็นเชิงถามว่าเปิดได้หรือยัง เมื่อมันพยักหน้า ผมก็เปิดประตูออก

“ขอโทษที่รบกวนนะครับ หลับกันรึยังทั้งสองคน” ไคล์ถามผมกับไอ้ซันทันทีที่ประตูถูกเปิดออก

“ก็นอนแล้วล่ะ แต่ยังไม่หลับหรอก มีอะไรล่ะ” ไอ้ซันตอบกลับมาจากในห้อง

“อ๋อ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร พรุ่งนี้ค่อยคุยกันก็ได้ กู๊ดไนท์ทั้งสองคนครับ” พูดจบไคล์ก็หันหลังเดินไปเปิดประตูห้องตัวเอง

“เดี๋ยวสิ มีอะไรรึเปล่า” ผมรีบถามกลับก่อนที่เขาจะเข้าห้องไป

“ไม่มีอะไรหรอก” ไคล์ยิ้ม “แค่จะถามว่าพรุ่งนี้ซันกลับบ้านกี่โมง แล้วก็ศิลามีแผนจะทำอะไรรึเปล่าแค่นั้นเอง”

“ซัน ไคล์ถามว่าพรุ่งนี้มึงกลับบ้านกี่โมง” ผมหันมาถามไอ้ซันที่ยังคงกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง

“ประมาณบ่ายสามบ่ายสี่มั๊ง” มันตอบ

“ซันบอกว่าประมาณบ่ายสามไม่ก็บ่ายสี่น่ะ” ผมหันกลับมาบอกไคล์ เขาพยักหน้ารับ “ส่วนพี่ก็คงไม่ได้ทำอะไรหรอก มีอะไรเหรอ”

“ไม่มีอะไรหรอกครับ เอาไว้พรุ่งนี้เราค่อยคุยกันต่อก็ได้ ไปนอนเถอะ กู๊ดไนท์ครับ” เขายิ้มให้ผมอีกหนึ่งที ผมเองก็กล่าวราตรีสวัสดิ์ตอบ จากนั้นผมก็ปิดประตูลง

เมื่อผมปิดประตูเสร็จหันมาเผชิญหน้ากับมัน ความเงียบเข้าปกคลุมเราทั้งคู่อยู่ครู่หนึ่งจากนั้นเราก็หัวเราะออกมาพร้อมๆกัน

“โดนขัดจังหวะเลย” ผมพูด เดินตรงไปที่เตียง นั่งลงข้างๆมัน

“อารมณ์ค้างเลยว่ะ” มันว่า แล้วเอาผ้าห่มมาคลุมตัวให้ผมด้วย

“แล้ว........ อารมณ์ค้างนี่ไม่ได้หมายความว่ามัน ‘หมด’ ไปแล้วใช่มะ คำว่า ‘ค้าง’ นี่มันหมายถึงยังคงมีอารมณ์อยู่รึเปล่า” ผมเอามือวางไปที่ต้นขาของมันแล้วค่อยๆลูบขึ้นมาเรื่อยๆ ผมรู้สึกถึงกล้ามเนื้อของมันที่เกร็งแน่นผ่านทางฝ่ามือของผม

“อย่าทะลึ่งน่า” มันพูด แล้วเอามือมาจับมือของผมที่วางอยู่บนต้นขาของมันเอาไว้ แต่ก็ไม่ได้ออกแรงห้ามแต่อย่างใด

“ใครกันแน่ทะลึ่ง กางเกงในก็ไม่ใส่ และกูว่านะ......... นี่ก็แผนของมึงอีกแล้วใช่มั๊ย” ผมพูดเบาๆใส่หูของมัน

ไอ้ซันยิ้มอย่างรู้ทันแล้วก็ขยับเข้ามาจูบผมอีกหนึ่งที มันปล่อยมือของผมที่ถูกจับเอาไว้เมื่อสักครู่ให้เป็นอิสระแล้วเริ่มล้วงเข้ามาในเสื้อของผมแทน จากนั้นมันก็ถอนปากออกแล้วชะโงกหน้าเข้ามากระซิบที่ซอกหูของผมเบาๆ......

“ใช่แล้ว......”

มืออีกข้างของมันเอื้อมไปปิดสวิตช์ไฟที่หัวเตียงลง จากนั้นเราทั้งสองคนก็ถูกปกคลุมไปด้วยความมืด


หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 10-08-2007 12:18:11
ตอนนี้ยาวเกิน เลยต้องตัด  :a6:

ปล. ลืมบอก ใครอยากได้ตอนพิเศษ เบื้องลึก สยึมกึ๋ว บอกได้ เดี๋ยวจัดให้หลังไมค์ 5555  :m13:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของŪ
เริ่มหัวข้อโดย: ninaprake ที่ 10-08-2007 13:58:42
ตอนนี้ยาวเกิน เลยต้องตัด  :a6:
ปล. ลืมบอก ใครอยากได้ตอนพิเศษ เบื้องลึก สยึมกึ๋ว บอกได้ เดี๋ยวจัดให้หลังไมค์ 5555  :m13:



                            "อยากได้ครับ"       o17



ขอด้วยนะคร้าบบบบ ขอบคุณมากเลย อิอิ  :m11:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 10-08-2007 15:24:13
อยากได้ด้วยคนคับ
 o1
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ~prince™~ ที่ 10-08-2007 16:59:43
อยากได้เหมือนกันคับ :m17: :m17:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 10-08-2007 17:16:26
ว้าย ตาย คนอะไร ลามก  :m3:

555555


หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 11-08-2007 05:15:42
ถ้าบอกว่าอยากได้จะโดนว่าว่าลามกมั๊ยนะ  :a6:  :a6: 
แต่อยากได้อ่ะ  :m26:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 11-08-2007 09:30:14
อือ  ในความมืดทำอะไรกันเหรอ  อยากรู้จัง :m28:
บอกหน่อยเถอะ ต่อมอยากรู้กำเริบอีกแระ นะขอร้อง :m5:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: tonsai_2520 ที่ 11-08-2007 10:20:56



อยากได้ . . . มั่ก . . . มาก

อยากรู้โว้ย  เสียวจริงป่ะ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 11-08-2007 13:52:45

............ไม่ต้องหลังไมค์หรอก........ด้นสดกันในนี้แหละ........ :laugh: :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ninaprake ที่ 11-08-2007 22:11:42
ว้าย ตาย คนอะไร ลามก  :m3:

555555

แหมๆ เค้าเรียกว่าคนจริงใจ ซื่อตรงกับความรู้สึกของตัวเองครับ อิอิ

อือ  ในความมืดทำอะไรกันเหรอ  อยากรู้จัง :m28:
บอกหน่อยเถอะ ต่อมอยากรู้กำเริบอีกแระ นะขอร้อง :m5:

ก็ปกติจะเล่นผีถ่วยแก้วครับ ปิดไฟมืดๆเนี่ยขลังนักแล  :m26:

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 12-08-2007 12:42:25
 :m10:  เลือดหยดไว้ก่อนได้ป่ะ ฮ่าๆ
โพสในนี้ ได้อ๊ะป่ะ ...เด๋วหลังไมค์ จะหาว่าลามกๆ ไม่ๆๆๆๆ     :serius2:
 เราต้องรักฉาภาพพจน์...ความเป็น หยิงไทยใจงาม    :o8: 
(ปู้ดดดด....    :m30:    มีเสียงแหว่ะ ตามมาติดๆ)    แม๋ๆ...    :m19:

 :m3:    :m3:    :m3:   

ซันจะเสียสาว เอ๊ย...เสียหนุ่ม  หรือว่าจะเป็นเมฆ ล่ะเนี่ย
เดาไม่ออกเลยวุ้ย....คู่นี้ เหอๆ  หรือจะเป็น 2 อิน 1     :a5:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: aumzaa ที่ 12-08-2007 14:19:46



    รอ บท  Love  Love ครับ


    :oo1: :oo1:




[attachment deleted by admin]
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 12-08-2007 18:07:04
บอกไว้ก่อนนะคับว่าไม่ X แตกซ์หรอก
ไอ้ต้นเขียนแบบ XX ไม่เป็น

 :m17:

55555  :m14:

แค่อิโรติกๆเท่านั้นเอง แต่แปะลงบนนี้ก้อคงไม่เหมาะ งั้นหลังไมแล้วกันน่ะแหละ ดีแล้ว

 :m12:

ปล. พรุ่งนี้ได้คับ

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 12-08-2007 22:22:53
กว่าจะเจอฟ้าที่สดใส ก้อนเมฆก็ลอยฝ่าอุปสรรคต่างๆมามากมาย
ยังไรก็ขอให้อยู่คู่กันไปชั่วฟ้าดินสลาย
 :m1: :m1: :m1: :m1:


ปล.ขอตอนพิเศษด้วยนะครับ
 :m25: :m25: :m25:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ninaprake ที่ 12-08-2007 23:26:28
ถ้าต้นเขียนนิยาย xxx ไม่ได้ ก็เอาเรื่องจริงประสบการณ์ต้นมาเขียนแทนละกัน  :laugh:

จะรอหลังไมค์คร้าบบ  :m4:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 13-08-2007 11:46:58
ถ้าต้นเขียนนิยาย xxx ไม่ได้ ก็เอาเรื่องจริงประสบการณ์ต้นมาเขียนแทนละกัน  :laugh:

จะรอหลังไมค์คร้าบบ  :m4:


ประสบการณ์จริงของต้นมีแต่เลือด (ของไอ้ทึ่ม) นะครับ
จะไหวเหรอ

๕๕๕๕๕

แถมเขียนก้อไม่เปนแบบนี้ก้อต้องบรรยายด้วยคลิบอย่างเดียวสิคับเนี่ย  :m11:

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 13-08-2007 12:00:59
ตอนที่ 14


วันต่อมาผมตื่นขึ้นเพราะเสียงปลุกของแม่ของไอ้ซันที่เรียกอยู่หน้าประตูห้อง

“ซัน ตื่นได้แล้ว เดี๋ยวไปเรียนสายนะลูก” แม่ของไอ้ซันเคาะประตูห้องเบาๆสองสามครั้ง ผมเป็นคนแรกที่ตื่นขึ้นมาก่อน เมื่อเหลือบไปมองข้างๆก็เห็นไอ้ซันยังนอนคลุมโปงอยู่อย่างนั้น

“ซัน ลุกได้แล้ว แม่มึงมาเรียกแล้ว” ผมเขย่าตัวมันเบาๆ

“อืมๆ ลุกแล้วๆ” มันงัวเงียตอบกลับมาแล้วก็ชันตัวขึ้นนั่งเกาหัวแกรกๆ “มึงจะนอนต่อรึเปล่า” มันหันมาถามผม

“คงไม่อ่ะ มึงอาบน้ำเสร็จกูก็จะไปอาบต่อเลย” สายตาของผมไปสะดุดอยู่ที่ซอกคอด้านซ้ายของมัน ตรงนั้นมีรอยแดงเป็นจ้ำๆอยู่ถึงสองจุด “ชิบหายล่ะ ไอ้ซัน มึงใส่เสื้อซะด้วยนะ” ผมก้มลงไปควานหาเสื้อของไอ้ซันที่ข้างๆเตียงแล้วยื่นส่งให้มัน

“ทำไมวะ” มันมองผมด้วยสายตาสงสัยจากนั้นเมื่อมันเห็นสายตาของผมมองไปที่ซอกคอของมันมันก็หัวเราะขึ้น “อ้อ หึหึหึ”

“รู้แล้วใช่มะ อย่าให้แม่พ่อหรือใครเห็นนะมึง รอยนั่นน่ะ”

ไอ้ซันลุกขึ้นเดินไปที่กระจกแล้วส่องดูร่องรอยที่ผมทำทิ้งเอาไว้เมื่อคืนด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “แดงแป๊ดจนคล้ำเลยนะเนี่ย” มันเอามือลูบซอกคอบริเวณนั้นเบาๆ “ไม่เลวเลยนะมึง สงสัยอีกนานกว่าจะหาย” มันหัวเราะท่าทางพอใจ หรือไม่ก็ดูภูมิใจเสียด้วยซ้ำ

“มึงไม่ต้องมาหัวเราะ รีบๆใส่เสื้อแล้วไปอาบน้ำได้แล้ว” ผมขว้างเสื้อใส่มัน แล้วลุกขึ้นยืน ไอ้ซันมองมาที่ผมแล้วหยุดอยู่ครู่หนึ่งจึงส่ายหัวช้าๆพร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆ มันเอื้อมไปหยิบผ้าขนหนูของมันมาพาดบ่าพันรอบคอเอาไว้แล้วก็เดินออกจากห้องไปทิ้งให้ผมนั่งงงอยู่อย่างนั้น แต่หลังจากมันออกจากห้องไม่นานผมก็หยิบเสื้อของตัวเองมาใส่เช่นเดียวกันจากนั้นก็เดินลงมายังชั้นล่างเพื่อที่จะทักทายกับคุณลุงและคุณป้า เมื่อผมเดินลงมาถึงห้องนั่งเล่นก็พบคุณลุงกำลังนั่งจิบกาแฟและอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ข้างๆกับคุณป้าที่กำลังนั่งดูทีวีอยู่

“ไงเมฆ หลับสบายมั๊ยเมื่อคืน” พ่อของไอ้ซันทักผมเมื่อเห็นผมเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่น

“ครับ ก็ดีครับ” ผมยิ้ม

“ไม่เบียดกันใช่มั๊ยเมฆ นอนได้ใช่มั๊ย” แม่ของไอ้ซันถามขึ้นมาบ้าง ผมส่งยิ้มแล้วก็พยักหน้าแทนคำตอบ “แล้วนี่ซันอาบน้ำรึยังล่ะ” ป้ากุ้งถามต่อ

“อาบอยู่ข้างบนน่ะครับ”

“งั้นดูแลให้มันไปเรียนให้ทันด้วยล่ะ เดี๋ยวลุงกับป้าจะไปแล้วนะ ฝากดูแลบ้านด้วยนะเมฆ” คุณลุงพูดจบแล้วก็ลุกขึ้นยืนตามด้วยป้ากุ้ง จากนั้นทั้งสองก็เดินออกจากบ้านไป โดยไม่วายที่จะหันมาร่ำราและสั่งเสียให้ดูแลลูกชายและหลานชายของเขากับผมอีกรอบก่อน

“เดินทางดีๆนะครับ” ผมพูดส่งท้ายไล่หลังทั้งสองท่านไป จากนั้นผมก็เดินเข้าไปในครัวเพื่อจะไปหาน้ำมาดื่ม แต่คนที่กำลังนั่งอยู่ในครัวก็คือ ไคล์ นั่นเอง

“อ้าว อรุณสวัสดิ์ไคล์ ตื่นเช้าจัง” ผมทัก

“อรุณสวัสดิ์” เขายิ้มให้เหมือนเคย

“หิวรึเปล่า จะให้ผมทำอะไรให้ทานเลยมั๊ย” ผมถามพลางเปิดตู้เย็นหยิบน้ำออกมาหนึ่งขวด

“ยังไม่ล่ะครับ แล้วก็ลืมแล้วเหรอ ซันบอกเราเมื่อคืนว่า ให้ศิลา แทนตัวเองว่า ‘พี่’ ไม่ใช่ ‘ผม’ นะ”

“เออ จริงด้วย แต่ช่างมันเถอะ มันไม่ได้อยู่แถวนี้นี่นา” ผมหัวเราะ และนึกถึงมันว่าตอนนี้มันจะอาบน้ำเสร็จแล้วรึยังนะ “ไคล์อาบน้ำแปรงฟันรึยัง” ผมถาม แล้วนั่งลงข้างๆเขา

“ยังทั้งสองอย่าง แค่ลงมาดื่มนมเฉยๆน่ะ รอห้องน้ำว่างค่อยทำธุระของตัวเอง” เขาตอบพลางหยิบแก้วนมขึ้นมาดื่ม

“ผม เอ๊ย พี่ก็เหมือนกัน แต่เดี๋ยวถ้าไอ้ซันมันอาบเสร็จแล้ว ไคล์ก็อาบไปก่อนเลยก็ได้นะ เดี๋ยวพี่หาอะไรเตรียมไว้ให้มันกินก่อนออกจากบ้านดีกว่า” ไคล์พยักหน้ารับ จากนั้นผมก็ลุกขึ้นไปเปิดตู้เย็นสำรวจดูว่าพอมีอะไรจะมาทำเป็นอาหารเช้ารองท้องให้ไอ้ซันก่อนออกจากบ้านได้บ้าง ผมเหลือบไปเห็น แฮม แล้วก็ทูน่าสเปรดที่เหลืออยู่จากเมื่อวานนิดหน่อยก็เลยหยิบออกมาทำแซนด์วิชวางไว้ให้ไอ้แสบมัน จากนั้นก็เดินกลับขึ้นไปบนห้อง

เมื่อผมเปิดประตูเข้าไปก็เห็นไอ้ซันที่ใส่แค่กางเกงในตัวเดียวกำลังยืนเลือกเสื้อผ้าที่จะใส่อยู่พอดี

“ทำไมไม่ล็อคห้องวะ ถ้าใครเปิดเข้ามาจะทำยังไง” ผมถาม

“ก็จะมีใคร ถ้าไม่ใช่มึงล่ะ” มันย้อน แล้วส่งยิ้มเจ้าเล่ห์มาให้ผม

“ปากดีนะมึง ทีเมื่อคืนยังทำเป็นอาย” ผมก้าวเข้าไปในห้องแล้วปิดประตูลง “แล้วถ้าเป็นไคล์เปิดเข้ามามึงจะทำยังไง ใส่กางเกงในตัวเดียวอยู่แบบนี้เนี่ยนะ” ผมชี้ไปที่เป้ากางเกงของมัน ไอ้ซันรีบเดินไปหยิบกางเกงยีนส์มาสวมทันที

“ไคล์มันไม่มายุ่งกับกูหรอกน่า แล้วที่สำคัญตอนนี้น่ะ พ่อกับแม่กูออกไปรึยัง”

“อื้ม ออกไปแล้ว ท่านฝากลามึงด้วย แล้วก็ฝากกูให้ดูมึงให้ออกไปเรียนให้ทัน” ผมยืนพิงกำแพงอยู่ตรงประตู เพื่อรอมันให้ใส่เสื้อให้เสร็จ “เร็วๆดิ่มึง” ผมเร่ง

ไอ้ซันหยิบเสื้อยืดแขนยาวสีครีมที่แขวนอยู่ในตู้ออกมาใส่แล้วสวมทับด้วยเสื้อยืดแขนสั้นผ้าหนาสีน้ำตาลทับอีกชั้นจากนั้นก็หันมามองผมด้วยสายตาตำหนิที่ผมไปเร่งมันแต่ทว่าที่มุมปากของมันกลับเป็นรอยยิ้ม “รับคำสั่งแม่กูได้ดีจริงๆเลยนะ ไปเป็นลูกชายเค้าซะเลยมั๊ยล่ะ” มันปิดตู้เสื้อผ้าแล้วหยิบกระเป๋าสะพายขึ้นมาสะพายบ่า

“รีบๆลงไปกินข้าวเหอะ กูทำแซนด์วิชไว้ให้มึงกินรองท้องอยู่บนโต๊ะในครัวแน่ะ” ผมเปิดประตูออกเพื่อให้มันเดินผ่าน

“อ้าว แล้วมึงไม่กินล่ะ” มันเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของผม

“กูยังไม่ได้แปรงฟันเลย” ผมถอยหลังไปหนึ่งก้าว แต่ไอ้ซันกลับเดินชิดเข้ามาอีกก้าวหนึ่ง

“พิสูจน์ได้ป่าว” มันชะโงกหน้าเข้ามาใกล้แล้วยิ้มกว้าง

“ไอ้เหี้ย กูบอกยังไม่ได้แปรงฟันเลย” ผมหัวเราะหึๆแล้วพยายามเอนหน้าหนีมัน ไอ้ซันยังไม่ยอมเลิก มันพยายามที่จะชะโงกหน้าเข้ามาหาผมอยู่อีกสองสามทีแต่ผมก็คอยเบี่ยงหน้าหลบตลอดจนสุดท้ายมันก็ยอมแพ้

“เออๆ ไม่เล่นก็ได้วะ” ไอ้ซันหยุดแล้วกำลังจะก้าวเดินออกจากห้องไป แต่ผมคว้าข้อมือของมันเอาไว้แล้วรีบดึงตัวมันเข้ามาหาจากนั้นก็จูบปากมันเบาๆหนึ่งทีอย่างรวดเร็ว

ไอ้ซันตกใจแล้วรีบผงะออกไปทันที“ทำอะไรของมึงวะ” มันถามท่าทางเลิกลั่ก

“ขโมยจูบมึงไง” ผมหัวเราะแล้วเดินเลยผ่านมันไปโดยมีไอ้ซันเดินตบหัวตามหลังมาติดๆ

“ไอ้เลว ไอ้ขี้ขโมย ไอ้นิสัยเสีย ไอ้.......” มันบ่นไปพลางตบหลังผมไปพลาง บางทีก็เอาเข่ากระทุ้งก้นผมบ้างจนเราสองคนเดินมาถึงในครัว ผมรอจนมันกินข้าวเช้าที่ผมทำไว้ให้เสร็จเรียบร้อยแล้วจึงออกมาส่งมันที่หน้าประตูบ้าน หลังจากนั้นผมก็ค่อยเดินกลับขึ้นมาบนชั้นสองเพื่อที่จะอาบน้ำ เมื่อผมเดินผ่านที่หน้าห้องของไคล์ เขาก็เปิดประตูออกมาพอดี

“อ้าว อาบน้ำแล้วเหรอ” ผมถาม เขาส่ายหน้า

“ซันออกจากบ้านไปแล้วเหรอ”

“อืม เมื่อสักครู่นี้เอง”

“โอเค......” ไคล์เงียบไปครู่หนึ่ง “พี่ไปอาบน้ำก่อนก็ได้ เดี๋ยวผมค่อยอาบทีหลัง” เขาว่า

“ไม่ดีกว่า อาบทีหลังไคล์ก็ได้” ผมยิ้มให้เขา “ไม่อยากให้รอน่ะ เกรงใจ” ผมบอกเขาเพิ่มเติมจากนั้นก็เดินกลับเข้าไปในห้องของไอ้ซัน ส่วนไคล์ก็เดินสวนผมไปยังห้องน้ำจากนั้นก็ปิดประตูลง ผมเปิดประตูห้องของไอ้ซันทิ้งเอาไว้จากนั้นก็จัดหาเสื้อผ้าที่จะใส่แล้วก็ล้มตัวลงนอนบนเตียง เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ๆผมก็ได้ยินเสียงประตูห้องน้ำเปิดออก ผมจึงถอดเสื้อแล้วหยิบสัมภาระของผมเดินออกจากห้อง

เมื่อผมเดินสวนกับไคล์ เขามองผมด้วยแววตาประหลาดใจจนผมต้องหยุดแล้วถาม “อะไรเหรอ”

“เอ่ออ เปล่า คือ......” เขาขมวดคิ้วเร็วๆหนึ่งครั้งก่อนจะรีบปฏิเสธ “ไม่มีอะไรครับ” แต่สายตาของเขาที่กำลังมองผมอยู่ทำให้ผมต้องไล่สายตาตามไปจนไปหยุดอยู่ที่หน้าอกด้านซ้ายของผม

ปานสีแดงจุดใหญ่ที่ผมไม่เคยมีมาก่อนถูกแต้มเด่นอยู่ตรงเหนือหัวนม ผมมองมันด้วยความตกใจจากนั้นสายตาของผมก็ไล่ไปตามส่วนอื่นๆของร่างกายอย่างรวดเร็วเพื่อมองหาร่องรอยแปลกๆอีก แต่ผมก็มองไม่เห็นอะไรมากไปกว่าตรงส่วนนั้น นอกจากตรงคอที่ผมยังมองเองไม่เห็น เลยไม่รู้ว่ายังมีอีกหรือเปล่า ผมรีบเงยหน้าไปมองไคล์ที่กำลังมองผมด้วยสายตาบางอย่างที่ผมไม่เข้าใจว่ามันหมายความว่าอะไร

แต่ผมก็ไม่แปลกใจกับแววตานั้นเลย

“เอ่ออ นี่มัน” ผมรีบแก้ตัวโดยอัตโนมัติแต่ก็ไม่รู้จะหาคำพูดอะไรมาอธิบายได้ เพราะเมื่อคืนนี้มันยังไม่มีเจ้ารอยนี้อยู่เลย

“อืมม” ไคล์พยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม จากนั้นเข้าก็ยิ้มให้ผมแล้วก็เดินเข้าห้องไปทิ้งให้ผมยืนงงอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง

ผมรีบเดินเข้าไปในห้องน้ำ ปิดประตู จากนั้นก็ส่องกระจกหาร่องรอยอื่นๆอีกทันที แล้วก็อย่างที่คาดเพราะนอกจากจุดที่หน้าอกนั่นแล้วก็ยังมีปื้นแดงๆเล็กๆที่ซอกคอข้างขวาอีกจุดหนึ่งด้วย แต่โชคดีที่จุดที่สองนี้ขนาดเล็กมาก ถ้าไม่สังเกตก็คงมองไม่เห็น

ผมอาบน้ำด้วยความกังวลใจว่าไคล์จะคิดยังไงกับสิ่งที่เขาเห็น โดยเฉพาะปฏิกิริยาของผมที่แสดงออกไปหลังจากที่เขาเห็นรอยแดงนั้นมันเป็นหลักฐานมัดตัวที่ดีที่สุดเลยทีเดียว หลังจากนี้ต่อให้ผมหาข้ออ้างอะไรไปพูดเขาก็คงไม่เชื่ออีกแล้วล่ะเพราะผมเล่นมีท่าทีพิรุธแสดงออกชัดเจนเสียขนาดนั้น

ผมสบถด่าให้กับความโง่และไม่ทันระวังตัวของตัวเองเบาๆจากนั้นก็คิดขึ้นมาได้ถึงเมื่อตอนเช้าที่ไอ้ซันมันมองมายังผมหลังจากที่มันไปสำรวจรอยดูดของตัวเองแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ นั่นก็คงเป็นเพราะมันเองก็เห็นรอยนี้ที่มันเป็นคนทำเอาไว้เมื่อคืนด้วยแน่ๆ ผมนึกด่ามันในใจอีกคนที่ไม่ยอมเตือนผมเอาไว้ก่อน

เมื่ออาบน้ำแต่งตัวเสร็จผมก็เดินลงไปชั้นล่าง ไคล์กำลังนั่งดูทีวีอยู่พร้อมกับไอพอดที่เสียบหูอยู่ข้างหนึ่ง ผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเขาแยกประสาทออกได้ยังไง

“ไคล์กินข้าวรึยัง” ผมถาม เขาพยักหน้าตอบกลับมาแล้วยิ้มให้ผมอีกแล้ว คราวนี้รอยยิ้มของเขาทำให้ผมสับสนมากๆ นี่เขาคิดยังไงอยู่กันนะ เขารู้เรื่องของผมแล้วหรือเปล่า แล้วทำไมท่าทีของเขามันถึงราวกับว่าไม่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียวล่ะ

ผมพยักหน้าตอบกลับจากนั้นก็เดินไปเทซีเรียลลงในชาม ขณะที่กินไปผมก็นึกไปถึงเรื่องเมื่อคืน เรื่องเมื่อเช้า และเรื่องของวันนี้ว่าผมมีเวลาว่างตั้งวันนึงเต็มๆกับไคล์ เด็กหนุ่มที่ผมเองก็เพิ่งรู้จักได้ไม่กี่วัน ถามเขายังบังเอิญมาเห็นรอยดูดที่หน้าอกกับซอกคอของผมอีกด้วย ผมจะทำอะไรดี ผมหลับตา ขบกรามแน่น แล้วสบถออกมาเบาๆให้กับความเซ่อซ่าของตัวเองอีกครั้ง อีกใจก็โกรธแต่อีกใจก็ขำกับเรื่องที่เกิดขึ้น ผมรู้สึกสับสนไปหมด แต่แล้วขณะที่ผมกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ไคล์ก็เรียกผมจากทางประตูครัว

“เฮ้ ศิลา”

ผมหันหลับไปมองตามเสียงเรียกอย่างรวดเร็ว........ อาจจะเร็วเกินไปสำหรับคนที่มีพิรุธเป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วย “ว่าไง” ผมตอบกลับ

“วันนี้มีผู้หญิงคนนั้นน่ะ ชื่ออะไรน้า คนที่มาทำความสะอาดที่บ้านประจำน่ะ.......” ไคล์ทำท่าคิด จากนั้นก็ยักไหล่ “ช่างเถอะ ว่าแต่เขาจะมาทำความสะอาดบ้านวันนี้นี่นา”

ผมรีบก้มมองดูนาฬิกาข้อมือของตัวเองดูวันและเวลา “จริงด้วย ลืมไปสนิทเลย” ผมตบหน้าผากตัวเองเบาๆ

“แล้วไงล่ะ....... เราต้องอยู่เฝ้าบ้านหรือเปล่า เขาจะมาถึงที่นี่กี่โมง” ไคล์ถาม

ผมก้มมองดูเวลาอีกครั้ง ปกติแล้วคนทำความสะอาดจะมาถึงประมาณสิบโมงเช้า ส่วนตอนนี้เพิ่งจะเป็นเวลาแปดโมงครึ่ง “อีกราวๆชั่วโมงครึ่งน่ะ” ผมหันไปบอกไคล์ “จริงๆป้าเขามีกุญแจอยู่แล้วนะ แล้วเห็นป้ากุ้งก็เคยบอกว่าเขาทำมานานแล้ว ไว้ใจได้ คงไม่จำเป็นต้องคอยเฝ้าหรอก”

“อืม ผมรู้จักแม่ของเธอน่ะ แกทำงานให้ที่บ้านของผมเหมือนกันแต่ผมจำชื่อลูกสาวแกไม่ได้” ไคล์ตอบ

“หืม แม่ของริต้าทำงานให้ที่บ้านของไคล์เหรอ” คนที่มาทำความสะอาดบ้านของไอ้ซันมีชื่อว่าริต้า เป็นผู้หญิงวัยกลางคนที่ผมเองก็ไม่ค่อยจะได้คุยกับเธอเท่าไหร่นัก เพราะปกแล้วเธอออกจะเป็นคนเงียบๆเสียมากกว่า

“ใช่ๆ ริต้า ใช่แล้ว” ไคล์เออออ “แม่ของหล่อนชื่อว่า แคทเธอรีน เธอทำงานให้แม่ของผมน่ะ เธอนิสัยดีนะ ผมชอบ”

ผมพยักหน้าให้กับไคล์ “แล้วไง ไคล์อยากออกไปข้างนอกเหรอ ก็ไปได้นะไม่มีปัญหา เดี๋ยวพี่อยู่เฝ้าบ้านเอง” ผมหยิบชามซีเรียลไปวางลงในอ่าง ตอนแรกก็ตั้งใจไว้ว่าจะล้าง แต่ไหนๆวันนี้ก็อุตส่าห์มีคนมาทำความสะอาดให้แล้ว ความขี้เกียจก็เลยเริ่มก่อตัวขึ้นเล็กน้อย

“เปล่า ผมจะชวนพี่ออกไปเล่นบาสเก็ตบอลที่สวนใกล้ๆนี่ด้วยกันน่ะ” เขาตอบกลับมา ผมรีบหันไปมองหน้าเขาอีกครั้ง ไคล์ยังคงยืนยิ้มอยู่ที่เดิม

“เล่นบาสเก็ตบอลเหรอ” ผมทวนคำถาม

“ใช่แล้ว”

“ก็ดีนี่” ผมตอบ “กี่โมงล่ะ”

“ตอนนี้เลย ไม่งั้นเดี๋ยวแดดจะแรงนะ” เขาพูด จากนั้นก็หันหลังเดินจากไป ผมคิดว่าเขาคงจะขึ้นไปบนห้องเพื่อเปลี่ยนชุดและเตรียมของอะไรของเขา ผมเองก็เดินออกจากห้องครัวกลับขึ้นไปบนห้องของไอ้ซันเพื่อเปลี่ยนชุดเช่นกัน ผมเปลี่ยนจากเสื้อแขนยาวเป็นเสื้อยืดแขนสั้นธรรมดาแล้วก็เปลี่ยนจากกางเกงยีนส์เป็นกางเกงขาสั้นสีน้ำเงินแถบขาวตัวเก่งของผมที่ผมชอบใส่ประจำเวลาเล่นกีฬา

ผมนึกแปลกใจในใจนิดหน่อยว่าทำไมไคล์ถึงชวนผมออกไปเล่นบาสแบบนี้ แต่ก็ไม่แปลกนักถ้าจะคิดว่าอยู่ในบ้านเฉยๆมันก็ไม่มีอะไรทำเปล่าๆ แถมถ้าต้องอยู่กันในบรรยากาศอึมครึมไม่รู้จะคุยอะไรไม่รู้จะทำอะไร ยิ่งหลังจากเขาเห็นรอยนั้นแล้วเมื่อเช้าแบบนี้......... ผมว่าสู้ออกไปเล่นไปหาอะไรทำข้างนอกแบบนี้คงจะดีกว่าจริงๆ

เมื่อผมเดินออกมาจากห้อง ไคล์ก็เดินออกมาจากห้องเช่นเดียวกันพอดี เขาใส่เสื้อบาสเก็ตบอลทีมซานอานโตนิโอ สเปอร์ส ที่มีชื่อและเบอร์ของทิม ดันแคน ปักอยู่ แขนซ้ายของเขาหนีบลูกบาสเอาไว้ที่ชายโครง นอกจากนั้นเขาก็เอาเสื้อสเว็ตเตอร์สีเทาอีกตัวหนึ่งพาดบ่าเอาไว้ด้วย ผมหยุดมองเขาอยู่ครู่หนึ่งด้วยความประหลาดใจเล็กๆ ถ้าหากใครสักคนจับผมหรือสุ่มคนเอเชียสักร้อยคนมาแต่งตัวแบบนี้ เก้าสิบห้าคนคงออกมาดูตลกน่าดู แต่ไม่ใช่กับไคล์เลยจริงๆ ถึงแม้เขาจะมีเชื่อไทยอยู่ครึ่งหนึ่งแต่ด้วยโครงหน้า ท่าทาง รูปร่าง และบุคลิกแล้ว เมื่อเขาลุกขึ้นมาแต่งตัวแบบนี้ ผมเองยังอดทึ่งในสิ่งที่เห็นไม่ได้

ไคล์มีผิวสีแทนที่ออกจะอ่อนกว่าของผมอยู่สักหน่อย หรือจะพูดให้ถูกก็คือผิวสีแทนแต่ก็คนละโทนกับของคนไทยอย่างเราๆนั่นเอง พ่อของเขาก็เป็นฮิสแปนนิคที่ออกจะกระเดียดไปทางผิวขาวมากกว่าผิวสี บวกกับ คนเอเชียผิวขาวละเอียดแบบแม่ของเขาแล้ว ไคล์จึงมีลักษณะผสมที่ดีของสีผิวที่หากถ้ามองเผินๆแค่สีผิวก็คงบอกเชื้อชาติของเขาไม่ได้ ไคล์มีโครงหน้าคมสันเป็นรูปไข่ที่ดูเป็นฝรั่งบวกกับร่างกายที่ไม่ใหญ่โตนักแต่ก็ไม่ได้เล็กบางแบบคนเอเชีย ดูๆแล้วเขาน่าจะสูงประมาณเกือบๆหรือประมาณร้อยแปดสิบเซนติเมตรนิดๆได้ ซึ่งก็สูงกว่าผมและไอ้ซันแค่นิดหน่อยเท่านั้น และอาจจะเป็นเพราะอาหารและการที่เขาเล่นกีฬาหรือออกกำลังเป็นประจำจึงทำให้เขาดูดีมากๆเช่นนี้ไม่ว่าจะอยู่ในชุดอะไร

ถึงแม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเขาแต่งตัวสไตล์นี่ก็ตาม บุคคลิกกวนๆเล็กน้อยตามแบบวัยรุ่นฝรั่งก็ดูโดดเด่นออกมาเมื่อเขาใส่ชุดบาสแบบนี้ แต่ไคล์เองก็มีกิริยามารยาทที่ค่อนข้างจะเรียบร้อยเมื่อเทียบกับวัยรุ่นฝรั่งทางทีวีที่เราเคยเห็นกันอยู่บ่อยๆ ผมจึงรู้สึกว่าเด็กคนนี้ช่างเป็นส่วนผสมของความหลากหลายทั้งทางเชื้อชาติและวัฒนธรรมได้เป็นอย่างดีทีเดียว

“ไปกันเถอะ” เขาพยักหน้าให้แล้วก็ออกเดินนำผมออกจากบ้านไป

ขณะที่เรากำลังเดินตามถนนเพื่อจะไปยังสวนสาธารณะนั้น ไคล์เดินนำผมและคอยเลี้ยงลูกบาสไปด้วยตลอดทาง บางครั้งเขาก็จะหันหลับมาแล้วโยนลูกมาให้ผมบ้างสลับกับที่ผมโยนคืนไปให้เขา เราสองคนเดินคุยเรื่องทีมบาสเก็ตบอลที่เราชอบและโยนลูกรับส่งกันแบบนี้ไปตลอดทางจนไปถึงยังสนาม

อาจจะเนื่องจากยังเช้าอยู่มาก สวนสาธารณะแห่งนี้จึงยังไม่ค่อยมีคนนอกจากคนที่เดินและวิ่งออกกำลังกันประปราย แต่ที่สนามบาสนี้นี่ไม่มีคนเลยแม้สักคนเดียว

ขณะที่ผมกำลังวางกระเป๋าของผมลง ไคล์ก็เริ่มต้นวิ่งตรงไปยังแป้นบาสแล้วกระโดดขึ้นชู๊ตเลย์อัพ ลูกบาสเลื่อนหลุดจากมือของไคล์ลงห่วงไปอย่างสวยงาม ผมนั่งมองดูไคล์ชู๊ตลูกแบบนั้นสลับกับการจั๊มพ์ชู๊ตอยู่อีกห้าหกลูก ไคล์ก็กวักมือเรียกผมให้เข้าไปหาจากนั้นเขาก็โยนลูกส่งมาให้ผม ผมยืนอยู่ตรงเส้นสามแต้มจากนั้นก็ตั้งท่าชู๊ต ลูกบาสถูกโยนออกจากมือของผมไปลงห่วงได้อย่างพอดี ไคล์หันมายิ้มให้ผมพร้อมสีหน้าชื่นชมแล้วตบมือเบาๆให้ผมสองสามครั้ง จากนั้นเขาก็ส่งลูกบาสมาให้ผมอีก ผมโยนมันออกไปอีกครั้ง ครั้งนี้ลูกบาสกระเด้งที่ขอบห่วงเล็กน้อยจากนั้นจึงไหลลงห่วงไป

“เก่งนี่” ไคล์คว้าลูกที่กระดอนอยู่ที่พื้นแล้วเดินเข้ามาหาผม “ผมทำสามแต้มได้ห่วยมากเลย” ไคล์ตั้งท่าชู๊ต แต่แล้วเขาก็เปลี่ยนใจเป็นวิ่งเข้าไปใต้แป้นจากนั้นก็กระโดดทำเลย์อัพช็อต

“แต่ถ้าเรื่องใต้แป้นล่ะก็ สบายมาก” เขายิ้มแล้วส่งลูกบาสมาให้กับผม “เอามั่งสิ วิ่งซะมั่ง ยืนเฉยๆเป็นคนแก่ไปได้”

ผมหัวเราะแล้วก็ออกวิ่งเหยาะๆตรงไปยังแป้นบาสจากนั้นก็กระโดดรีชแบ๊ค เลย์อัพ ลูกบาสไหลลอดห่วงลงไปอีกครั้ง ไคล์จับลูกไว้ได้แล้วก็วิ่งเหยาะๆถอยห่างออกไปเล็กน้อยจากนั้นก็กระโดดจั๊มพ์ชู๊ต แต่คราวนี้ลูกไม่ลงห่วงแต่กลับกระเด็นไปไกล ผมรีบวิ่งไปเก็บลูกมาไว้ได้

“ว้า ไม่ได้เรื่องเลย” ไคล์ร้อง ดีดนิ้วแรงๆหนึ่งที “ผมไม่ได้เล่นมาสองเดือนกว่าได้แล้วมั๊ง รู้สึกแย่จังเลย”

“ทำไมล่ะ ไคล์ก็เก่งดีออก ดูคล่องแคล่วจะตาย” ผมโยนลูกบาสกลับไปให้เขา

“แล้วศิลาล่ะ ชอบเล่นบาสมากไหม” ไคล์นั่งลงบนพื้นกลางสนาม ผมเดินไปนั่งข้างๆเขา

“อื้ม โดยเฉพาะเวลาที่มีเรื่องไม่สบายใจนะ ได้เล่นบาสเนี่ยสุดยอดแล้ว” ผมพูด สายตาจับจ้องไปยังแป้นบาส “เวลาที่ได้โยนลูกบาสออกไปน่ะ มันเหมือนกับโยนเอาความเศร้าความเครียดทั้งหลายออกไปด้วย เวลาที่ได้วิ่งก็ทำให้ตัวเองรู้สึกมีชีวิตชีวา เวลาที่ได้กระโดดก็เหมือนกับเราได้ระบายความโกรธความเครียดทั้งหลายออกมาน่ะ” ผมอธิบายพร้อมรอยยิ้ม

“งั้นเหรอ........” ไคล์เว้นช่วง “จริงแล้วตอนมอต้นผมเคยเป็นนักกีฬาบาสเกตบอลนะ” เขาหันมาบอกผม

“จริงเหรอ แล้วตอนนี้ล่ะ” ผมสงสัย

ไคล์หันหลับไปมองที่แป้นบาสอีกครั้ง “ตอนนี้ไม่ได้เป็นแล้ว เพราะว่าไม่ได้ไปคัดตัวน่ะ ผมว่าผมขี้เกียจมากกว่า แต่พอไม่ได้เล่นบ่อยๆเหมือนก่อนแล้วก็รู้สึกเหมือนฝีมือมันถอยๆลงไปเหมือนกันนะเนี่ย” ไคล์พูดพลางทำท่าชู๊ตมือเปล่าในอากาศ “ศิลาเล่นเก่งหรือเปล่า”

ผมหัวเราะแล้วเกาหัวแกรกๆ “ก็ไม่รู้เหมือนกัน พี่ก็ไม่ได้เล่นมานานแล้วเหมือนกันแหละ แต่มีเมื่อปีที่แล้วที่มีเวลาว่างหน่อยก็เลยได้กลับไปเล่นอีกบ้าง แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองเล่นได้ขนาดไหนนะ”

“งั้นเหรอ แล้วปกติเวลาเล่น ศิลาเล่นตำแหน่งไหน”

“นั่นสินะ......... ปกติก็เป็น สมอลฟอร์เวิร์ด ล่ะมั๊ง หรือไม่ก็ พ๊อยท์การ์ด เดี๋ยวๆๆ ไม่ใช่ว่าเก่งหรอกนะ” ผมรีบแก้ตัวหลังจากเห็นสีหน้าของไคล์ “ที่เป็นพีจีได้ไม่ใช่เพราะเก่งหรืออ่านเกมเก่งอะไรนักหนาหรอก แต่เป็นเพราะ ไปเป็นกองหน้าไม่ไหวน่ะ ไม่ชอบเข้าไปแย่งใต้แป้นเพราะตัวไม่สูงขนาดนั้น แถมไปเป็นเซ็นเตอร์ก็ไม่ไหวอีก เพราะตัวไม่ใหญ่ เพราะงั้นก็เลยฝึกเลี้ยงลูก ฝึกชู๊ตไกล กับพวกลูกชู๊ตจากแถวเขตโทษไว้เยอะน่ะ” ผมอธิบาย

“แต่ผมชอบเล่นเป็น ฟอร์เวิร์ด” ไคล์เริ่มต้นเล่าบ้าง “ผมชอบเวลาที่ได้วิ่ง ได้กระโดด ได้ชู๊ตลูกเยอะๆ บางทีมันก็มีกระแทกมีรุนแรง แต่นั่นแหละที่ทำให้บาสสนุก ใช่มั๊ยล่ะ” เขาหันมายิ้ม จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน “เอาล่ะ เล่นกันเถอะ มาวอร์มเล่นๆกันสักเกมหน่อยมั๊ย เล่น วันออนวัน แข่งกันห้าลูกเป็นไง”

ผมนั่งมองไคล์อยู่ครู่หนึ่ง ในใจผมคิดว่านี่คงเป็นเหมือนการพิสูจน์เล็กๆของไคล์ว่าผมสามารถเล่นได้ขนาดไหนมากกว่า แต่ผมก็ไม่ขัดอยู่แล้ว และการที่เขาชวนให้ผมเล่นแบบนี้ก็ทำให้ผมนึกถึงเรื่องราวในอดีตบางอย่างขึ้นมาอีกด้วย

“โอเค” ผมรับคำ จากนั้นการแข่งขันเล็กๆของเราสองคนก็เริ่มขึ้น

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 13-08-2007 13:26:50
ชอบอ่านเรื่องนี้มากเลย  รู้มั้ยว่าพอเข้าเล้าเป็ดทีไร เรื่องแรกที่กดหาก็คือเรื่องนี้แหละ :m18:
ชอบที่บรรยายความรู้สึกได้อย่างละเอียดลึกซึ้ง  :m3:
ชอบสำนวนที่ไหลเรียบลื่น ไม่สะดุด :m1:
ไม่ชอบเรื่องเดียวอ่ะ ที่ไม่ยอมบอกว่าทำอะไรกันในความมืด มันค้างนะเข้าใจมะ :m16:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 13-08-2007 15:08:11
สนับสนุนรีบน อ่านแล้วเหมือนอยู่บนก้อนเมฆ ล่องลอยไปตามจินตนาการ
 :m1: :m1: :m1:

ขนาดเขียนบท xxx ไม่เก่งนะนี่
 :m25: :m25: :m25: :m25:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 13-08-2007 21:54:59

............เห็นด้วยกะรีบน............ :laugh: :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 13-08-2007 22:18:50
 :m3:    "อยากดูคลิปประกอบการอ่านได้ป่ะ คิคิ"   :m3:

 :a3:  ...................   :a3:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 14-08-2007 01:29:33
โอ้ว...รอลุ้นต่อปาย
 :a3:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: tonsai_2520 ที่ 14-08-2007 11:14:56


เหนื่อย . . . .  มาก

คิดถูกมั้ยหว่าตรู . . .  . อยากกินฟูจิ

ปล.ที่เซ็นลาดพร้าวนะ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: KevinKung ที่ 14-08-2007 17:44:01
โห ไม่ตามแปบเดียว ไปไกลขนาดนั้นเลย  :a6:

ขอตอนพิเศษด้วยก็จะขอบคุณนะค้าบ  :m5:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 14-08-2007 19:07:46
หุหุ ขนาดเขียนไม่เก่งนะเนี่ย   :o8:  :o8:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 14-08-2007 20:26:57
โห ไม่ตามแปบเดียว ไปไกลขนาดนั้นเลย  :a6:

ขอตอนพิเศษด้วยก็จะขอบคุณนะค้าบ  :m5:

ส่งให้แล้วนะคับ (^..^)

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 14-08-2007 20:30:03
ตอนที่ 15


ผมกับไคล์วิ่งแย่งลูกบาสและแข่งกันกระโดดชู๊ตทำแต้มอยู่ในสนามบาสที่สวนสาธารณะใกล้ๆนี้กันอยู่สองคน วันนี้อากาศกำลังดีทีเดียว แดดไม่แรงมากเพราะท้องฟ้ามีเมฆปกคลุมเยอะ แต่ก็ไม่ถึงกับอึมครึม อากาศเย็นๆที่เริ่มจะอุ่นขึ้นเรื่อยๆเมื่อพระอาทิตย์เริ่มเคลื่อนสูงขึ้นๆ ผู้คนในสวนที่ไม่พลุกพล่าน และการได้ออกกำลังในกีฬาที่ผมชอบก็ทำให้ผมสนุกจนลืมเรื่องต่างๆไปได้บ้างเช่นกัน.......... แต่ก็ยกเว้นอยู่เพียงเรื่องเดียว

“พลาดอีกแล้ว” ไคล์ร้องและสบถออกมาเป็นภาษาอังกฤษด้วยความเสียดาย แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจกับมันมากนัก ผมรีบวิ่งไปคว้าลูกบาสเอาไว้และตั้งท่าชู๊ตจากระยะสามแต้ม.......................

ลูกบาสที่กำลังเลื่อนหลุดจากมือของผมไป ทำให้ผมนึกเหตุการณ์หนึ่งเมื่อสามปีก่อน

วันนั้นอากาศก็แจ่มใสอย่างเช่นวันนี้.................


.
.
.



“เป็นอะไรของมึงวะไอ้เมฆ” เสียงของไอ้วิทเพื่อนของผมดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง

“อ้าว ไอ้วิท” ผมละสายตาจากสิ่งที่มองอยู่เบื้องหน้าแล้วเงยหน้าขึ้นไปยังที่มาของเสียง “เออ...... กูไม่ได้เป็นอะไรหรอก ปกติดีทุกอย่าง” ผมปฏิเสธไปอย่างไม่แนบเนียนเลย ผมเองก็รู้ว่ามันไม่แนบเนียน เพียงแต่ว่าตอนนี้ผมยังไม่อยากจะเล่า ไม่อยากพูดอะไรให้ใครฟังก็เท่านั้น ไอ้วิทถอนหายใจแล้วทิ้งตัวลงนั่งข้างๆผม ก่อนที่มันจะเดินมาหา ผมกำลังนั่งมองดูพวกนักกีฬาฟุตบอลของโรงเรียนกำลังฝึกซ้อมแข่งกันสำหรับงานกีฬาที่กำลังจะมาถึงเร็วๆนี้อยู่บนเนินหญ้าข้างๆสนาม หนึ่งในคนที่กำลังเล่นอยู่นั้นก็มีไอ้ซันอยู่ด้วย ผมมองมันที่กำลังวิ่งแย่งบอลจากผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามอย่างเอาเป็นเอาตาย และผมก็สามารถมองเห็นได้เช่นกันว่ามันกำลังสนุกสนานมากถึงแม้ผมจะอยู่ไกลเกินกว่าจะเห็นสีหน้าของมันได้อย่างชัดเจนก็เถอะ

“แล้วมึงไม่มีซ้อมหรือไง” ไอ้วิทถามขึ้น

“ก็มีว่ะ แต่กูขี้เกียจ” ผมตอบ นอกจากทีมฟุตบอลที่กำลังซ้อมกันอยู่นั้น ทีมบาสเก็ตบอลของผมก็ต้องซ้อมแข่งเช่นเดียวกัน แต่เนื่องจากวันนี้ผมไม่อยู่ในอารมณ์ที่อยากจะทำอะไรแบบนั้นเลย ผมอยากที่จะอยู่เงียบๆแบบนี้มากกว่าจึงตัดสินใจโดดซ้อมและบอกคนอื่นไปว่าไม่สบายถึงแม้ว่าจะรู้ว่าเดี๋ยวเพื่อนๆของผมก็คงตามมาด่าผมอีกเป็นชุดทีหลังก็ตาม

“เฮ้อ เอาเหอะ อุตส่าห์ถ่อมาโรงเรียนทั้งๆที่เป็นวันเสาร์แท้ๆ มึงจะมานั่งอยู่แบบนี้ทำไมวะ” ถึงจะมีน้ำเสียงตำหนิอยู่ในคำพูดของมัน แต่ผมก็รู้สึกได้ว่ามันก็กำลังเป็นห่วงผมอยู่ไม่น้อยเช่นกัน

“กูไม่ได้เป็นอะไรหรอก แค่อยากอยู่เฉยๆเงียบๆคนเดียวบ้างเท่านั้นแหละ” ผมตอบ

ไอ้วิทถอนหายใจแรงๆอีกเฮือกหนึ่ง “เพราะนัทใช่มะ” มันถาม หันมามองหน้าผมที่กำลังมองลงไปยังสนามฟุตบอลอยู่ แต่คราวนี้ไม่มีคำตอบออกจากปากของผมและผมก็คิดว่านั่นก็เป็นคำตอบที่ไอ้วิทกำลังต้องการอยู่แล้วพอดี “กูนึกแล้วเชียว เมื่อวานยังดีๆอยู่ เมื่อเช้ายังก็ดูไม่เป็นอะไร แต่พอตกสายหน่อยก็มานั่งซึมอยู่คนเดียว”

ผมก้มหน้าแล้วหัวเราะเบาๆ “มึงนี่เก่งนะ” ผมหันไปยิ้มให้กับมัน ถึงจะเป็นรอยยิ้มแต่ก็ไม่ใช่รอยยิ้มของความสุขเลยแม้แต่น้อย

“กูไปที่สนามบาสมา........” ไอ้วิทเล่า “แล้วพวกมันบอกว่าเห็นมึงรับโทรศัพท์ คุยอยู่แป๊บนึง จากนั้นมึงก็ขอตัวออกมาเพราะบอกว่าไม่สบาย” มันถอนหญ้าใกล้ๆตัวขึ้นมากระจุกหนึ่งแล้วปาออกไปเบาๆ “กูว่ามันก็ชัดเจนนะ”

ผมยิ้มแล้วส่ายหน้าเบาๆ “มีอยู่แพทเทิร์นเดียวเนอะ”

“มีอยู่แพทเทิร์นเดียว” ไอ้วิทพยักหน้า

เราสองคนเงียบกันไปอยู่ครู่หนึ่ง แม้ผมจะต้องการอยู่คนเดียวเงียบๆถึงได้หนีมานั่งในที่แบบนี้ แต่การที่มีเพื่อนอย่างไอ้วิทที่คอยเป็นห่วงและออกตามหาผมจนเจอแถมยังมานั่งอยู่ข้างๆผมโดยปราศจากคำถามถึงเหตุผลและเรื่องราวเกี่ยวกับนัทว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่แบบนี้ ผมว่ามันก็ไม่เลวเหมือนกันนะ

เราสองคนนั่งเงียบกันอยู่ครู่ใหญ่ๆ ผมจึงเป็นฝ่ายพูดออกมาก่อน “มึงไม่ไปซ้อมเหรอ” ไอ้วิทเองก็เป็นนักกีฬาเช่นเดียวกัน โดยกีฬาที่มันเล่นก็คือปิงปอง

“ซ้อมดิ่ เดี๋ยวอีกสักพักก็ไปแล้ว กูเล่นในร่มอยู่แล้ว สบายๆว่ะ” ผมเอนหลังแล้วแหงนหน้าขึ้นท้องฟ้า ไอ้วิทเองก็แหงนหน้ามองตามขึ้นไป

“อากาศดีนะ” มันว่า

“อืม” ผมพยักหน้าเห็นด้วย

“มึงว่าถ้ากูขอเค้ายกเอาโต๊ะปิงปองมาวางกลางสนามเค้าจะให้ป่าววะ” มันถาม และยังไม่ทันที่ผมจะตอบ มันก็ลุกขึ้นยืนแล้ว “ลองไปขอดูดีกว่าว่ะ อากาศดีๆแบบนี้ ไปตีอยู่แต่ในร่ม เซ็งจะแย่” พูดจบมันก็วิ่งเหยาะๆออกไปทิ้งให้ผมอยู่ตัวคนเดียวอีกครั้ง ผมหัวเราะเบาๆและนึกขอบใจมันอยู่ในใจ

โทรศัพท์ที่ผมได้รับก็เป็นอีกหนึ่งความโลเลและความเข้าใจยากของผู้หญิง.......  แฟนของผมเธอโทรมาบอกผมว่าเธอไม่แน่ใจว่าตกลงระหว่างผมกับเธอนั้นควรจะเป็นอย่างไรกันแน่ ทั้งๆที่ผมก็คบกับเธอแบบจริงๆจังๆมาจะปีนึงแล้ว แต่หลายๆครั้งที่เราก็จะต้องมีเรื่องทะเลาะกันเพราะเรื่องไร้สาระแบบนี้อยู่บ้าง ทว่าครั้งนี้มันชัดเจนมาก มากกว่าทุกๆครั้งและผมก็ยังคงไม่เข้าใจว่าทำไม ทำไมเธอถึงได้เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคนแบบนี้มาสักพักแล้ว ทำไมทั้งๆที่ผมก็ทำตัวปกติทุกอย่างแต่เธอก็กลับทำตัวเหินห่าง จนในที่สุดวันนี้เธอก็เป็นฝ่ายพูดออกมาเองว่า “เราอยู่ห่างกันสักพักเถอะ”

ถึงผมจะไม่เข้าใจว่าเธอต้องการจะสื่ออะไรออกมาจริงๆกันแน่ และถึงผมจะชินกับอาการโลเลของเธออยู่บ้างแล้ว แต่ครั้งนี้ผมก็รู้สึกว่ามันมีอะไรบางอย่างต่างออกไป ในยามปกติเราสองคนก็รักกันมากอยู่หรอก แต่เมื่อเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่ผมก็มักจะรู้สึกว่าผมเป็นคนผิดอยู่เสมอๆ แม้ว่าผมจะไม่รู้และไม่เคยเข้าใจเลยว่าผมได้ทำอะไรผิดๆออกไป

ครั้งนี้ผมรู้สึกแย่กว่าในทุกๆครั้ง มันไม่ใช่ความเสียใจ มันไม่ใช่ความโกรธ แต่มันเป็นความเหนื่อย และผมก็รู้สึกไม่ดีเลยว่าการที่ผมต้องมารู้สึกเหนื่อยแบบนี้มันหมายความว่าอะไรๆมันกำลังจะแย่เกินจุดไปแล้วจริงๆ

ผมถอนหายใจและชันตัวขึ้นนั่งอีกครั้ง ผมเหม่อมองออกไปยังกลุ่มนักกีฬาฟุตบอลที่กำลังจะเลิกแข่งกันอยู่พอดี ผมมองหาไอ้ซันที่กำลังเดินมานั่งอยู่ที่ริมสนามกับเพื่อนๆ และในขณะเดียวกันนั้นเองมันก็สังเกตเห็นผมเช่นเดียวกัน ผมเห็นมันลุกขึ้นยืนแล้วพูดอะไรบางอย่างกับเพื่อนๆจากนั้นก็เดินตรงมายังที่ที่ผมนั่งอยู่ ผมมองมันเดินตรงเข้ามาด้วยความรู้สึกแปลกๆ ความรู้สึกที่ผมเองรู้ตัวมานานแล้วแต่ก็ไม่อยากจะคิดไปไกลกว่านั้น ความรู้สึกที่ผมรู้ว่าผมกำลังหลงรักมันอยู่มากมายขนาดไหน

ผมล้มตัวลงนอนบนพื้นหญ้าแล้วแสร้งทำเป็นเหม่อมองเหล่าหมู่เมฆที่กำลังลอยอย่างอ้อยอิ่งอยู่บนท้องฟ้าสีคราม..... และบัดนี้ฟ้าครามก็ทิ้งตัวลงนั่งอยู่ข้างๆผมแล้ว

“ไง” มันทักสั้นๆพร้อมเสียงหอบเบาๆ “ไม่ไปซ้อมเหรอวะ”

“อืมม เหนื่อยน่ะ” ผมตอบไปตามความจริง ถึงแม้มันจะเป็นความเหนื่อยคนละแบบก็ตาม

“หืมมม” ไอ้ซันทำเสียงในลำคอเบาๆแล้วเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งแต่มันก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ ผมชันตัวขึ้นนั่งแล้วมองออกไปยังสนามฟุตบอลเบื้องหน้า

“พักเหรอ” ผมชี้ลงไปยังสนามที่ว่างเปล่า ผู้คนกำลังทยอยเดินออกจากสนามไปยังทิศของโรงอาหาร

“จะเที่ยงแล้วนะ มันก็พักกันทุกสนามนั่นแหละ” ไอ้ซันตอบ

“จริงสินะ......” ผมพูดลอยๆแต่ก็แปลกใจอยู่เหมือนกันว่านี่คือเวลาเที่ยงแล้วอย่างนั้นรึ นี่ผมนั่งอยู่ตรงนี้มานานถึงสองชั่วโมงแล้วเชียวหรือ

“มึงเป็นอะไร” ไอ้ซันถามขึ้น

ผมส่ายหน้าเบาๆแล้วก้มหน้าลงบนสนามหญ้าจากนั้นก็หยิบหินก้อนเล็กๆก้อนหนึ่งออกมาขว้างออกไปแรงๆ

“เรื่องนัทสินะ” มันพูด ทำให้ผมรู้สึกแปลกใจว่านี่ผมมีเพื่อนดีๆที่รู้ใจหลายคนขนาดนั้นเชียวหรือ หรือเป็นเพราะผมมันคนแพทเทิร์นเดียว มีอยู่สไตล์เดียวจนใครๆก็มองออกกันแน่นะ

“มีอยู่แพทเทิร์นเดียวเลยใช่มะ” ผมหัวเราะเบาๆ

“มีอยู่แพทเทิร์นเดียว” มันพยักหน้าตอบกลับยืนยันความคิดของผมจนผมอดหัวเราะออกมาไม่ได้

“ขำอะไรวะ” มันถามแล้วหัวเราะเบาๆไปกับผมด้วย

“เปล่าๆ” ผมหัวเราะให้กับความน่าทุเรศของตัวเองจนใครๆเขาก็ดูผมออกกันจนหมดแล้ว

ไอ้ซันกระดกกระบอกน้ำที่ถืออยู่ในมือเข้าปากจากนั้นก็ส่งขวดน้ำนั้นมาให้ผมบ้าง ผมส่ายหน้าปฏิเสธมันจึงกระดกดื่มน้ำจากในขวดอีกครั้ง ผมมองหน้าของมันที่กำลังมีเหงื่อไหลออกมาจนชุ่มตามบริเวณหน้าผากและจอนผม ไอ้ซันเป็นคนเดียวที่ผมนึกถึงเป็นคนแรกๆเวลาผมมีปัญหาเรื่องของนัท ถึงแม้ผมจะรู้ตัวว่าผมเองก็ชอบมันแต่ผมก็อดไม่ได้ที่จะต้องปรึกษามันในเรื่องนี้ อาจจะเป็นเพราะความไว้วางใจที่ผมมีให้กับมันและเป็นเพราะความรู้สึกที่คิดว่ามันเข้าใจผมไปเสียหมดในเกือบทุกๆเรื่องล่ะมั๊ง

ถึงผมจะไม่อยากปรึกษามันในเรื่องของหัวใจเท่าไหร่เพราะผมรู้ตัวว่าผมน่ะชอบมัน ผมไม่อยากให้มันคิดว่าผมรักคนอื่นจนคิดกับมันแค่เพื่อนธรมมดาๆ แต่บางทีก็อาจจะเป็นเพราะที่ว่าผมชอบมันนี่แหละมั๊ง ที่ทำให้ผมยังคอยปรึกษามันอยู่เรื่อยไปเพราะอาจจะแอบหวังเล็กๆอยู่ในใจสักวันหนึ่งว่ามันจะเกิดอาการหึงหวงผมขึ้นมาบ้างอะไรแบบนั้น

ความคิดตื้นๆของเด็กๆ ซึ่งก็ดูจะไม่ได้ผลเลยสักนิดเดียว

“นัทโทรมาหากูเมื่อเช้าน่ะ” ผมพูดขึ้นและเริ่มต้นเล่าเรื่องทั้งหมดของผมให้มันฟัง ผมเล่าทุกเรื่องทั้งเรื่องที่ผมทำและไม่ได้ทำ เรื่องที่นัททำตัวแปลกไปในช่วงสัปดาห์หนึ่งที่ผ่านมานี้ เรื่องที่ผมคิดว่าเขาไปมีคนอื่น เรื่องที่ว่าผมควรจะเลิกดีมั๊ย ผมควรจะทำยังไงดี และเรื่องที่ว่าผมเหนื่อยเหลือเกินแล้ว “มันเหมือนมึงโดนบังคับให้หายใจด้วยจมูกข้างเดียวน่ะ มึงยังหายใจต่อได้ มึงยังไม่ตาย แต่มันทรมาน มึงเข้าใจมั๊ย มันเหนื่อย มันทรมาน กูไม่รู้จะทำยังไงแล้วจริงๆว่ะ” ผมจบประโยคด้วยการก้มหน้าลงกับพื้น

ไอ้ซันนั่งเงียบตลอดเวลาที่ผมเล่าเรื่องทั้งหมดให้มันฟัง ในขณะที่ผมเล่าอยู่นั้นมันก็จะพยักหน้าบ้าง ทำเสียง “อือฮึ” ในลำคอตอบรับบ้าง แต่เมื่อผมเล่าจบ มันกลับไม่พูดอะไรต่อเลย

เราสองคนนั่งเงียบกันอยู่พักหนึ่งไอ้ซันจึงเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้น “มากับกู” มันลุกขึ้นยืนแล้วออกเดินไปสองสามก้าว เมื่อมันรู้สึกว่าผมไม่ได้เดินตามมันไปมันจึงหันกลับมาเร่งผมอีกครั้ง “กูบอกให้ตามกูมาไง”

ผมลุกขึ้นยืนแล้วเดินตามมันไปเงียบๆจนมาถึงที่สนามบาสที่ว่างเปล่าเพราะทุกคนคงไปทานข้าวกันหมด ไอ้ซันเดินนำผมไปยังตะกร้าใส่ลูกบาสจากนั้นก็โยนมาให้ผมหนึ่งลูก “เอ้า”

ผมรับเอาไว้ด้วยความงุนงง ไม่เข้าใจสิ่งที่มันกำลังพยายามจะทำอยู่ ผมยืนถือลูกบาสแล้วมองตามไอ้ซันที่เดินมาหยุดอยู่ข้างๆแป้นบาส

“เอ้า ชู๊ตสิ ยืนทำอะไรอยู่เล่า” มันชี้ขึ้นไปที่ห่วง

“ซัน กู ไม่......” ผมพยายามจะพูดแต่ก็ถูกขัดขึ้นมาเสียก่อน

“เอ้า เร็วๆ เป็นนักบาสไม่ใช่เหรอ แค่นี้ก็ทำไม่ได้รึไง” มันเร่ง มีแววท้าทายอยู่ในสีหน้าและน้ำเสียงของมัน ผมจึงเลี้ยงลูกบาสลงกับพื้นสองสามทีจากนั้นก็ออกวิ่งตรงไปยังแป้นบาสแล้วก็กระโดดขึ้นชู๊ต ลูกบาสลอดลงห่วงไปอย่างเรียบร้อย ไอ้ซันรีบคว้าลูกบาสเอาไว้แล้วก็ส่งมาให้ผมอีกครั้ง “เอ้า เอาอีกสักลูกซิ”

ผมรับลูกบาสมาแล้วก็กระโดดจั๊มพ์ชู๊ตจากจุดที่ผมยืนอยู่ อีกครั้งที่ลูกบาสเข้าห่วงไปอย่างสวยงาม แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจสิ่งที่มันกำลังทำหรือกำลังจะให้ผมทำอยู่ดี

“ดี” ไอ้ซันรับลูกเอาไว้ “คราวนี้ กูโยน แล้วมึงรับจากนั้นก็ชู๊ตเลยนะ เลย์อัพก็ได้”

“เดี๋ยว ไอ้ซัน กู.....”

ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบประโยค ไอ้ซันก็ร้องขึ้น “เอ้า เอาล่ะนะ” มันโยนลูกบาสขึ้นไปในอากาศ สูงเลยแป้นบาสขึ้นไปเล็กน้อย ผมรีบออกตัววิ่งเพื่อจะจับลูกให้ทัน ผมกระโดดขึ้นรับลูกกลางอากาศจากนั้นก็โยนส่งลูกลงห่วงไปทันทีขณะที่ยังลอยตัวอยู่ เมื่อขาแตะถึงพื้น ไอ้ซันที่รับลูกบาสนั้นไว้ก็โยนมันส่งกลับมาให้กับผมอีกครั้ง “ดีมาก” มันพูดพร้อมรอยยิ้ม

“นี่มึงทำอะไรเนี่ย” ผมถามออกไปในที่สุด

“กูก็วอร์มให้มึงไง” ไอ้ซันพูดพร้อมถกแขนเสื้อของตัวเองขึ้น “นั่งตั้งนาน เส้นยึดหมดพอดี”

“กูไม่เข้าใจว่ะ” ผมนิ่วหน้า

“มึงกับกู มาแข่งกัน ห้าลูก โอเคมั๊ย” ไอ้ซันย่อตัวลงเล็กน้อยในท่าเตรียมพร้อม

“เดี๋ยว ทำไมกูถึงต้อง.......”

“มึงไม่ต้องพูดมาก มาเร็วๆ ห้ามปฏิเสธ” ไอ้ซันเร่ง แต่ผมยังยืนเฉยอยู่ “กูอุตส่าห์ให้มึงเริ่มก่อนนะ ถ้ามึงไม่เข้ามา...... งั้นกูเข้าไปเอง” ไอ้ซันรีบพุ่งตัวออกมาแย่งลูกบาสออกไปจากมือผมจากนั้นก็หันหลังวิ่งไปยังใต้แป้น “ใครแพ้ เลี้ยงข้าว!” มันทำท่าจะกระโดดชู๊ตผมจึงวิ่งออกไปขวางเพื่อจะแย่งลูกโดยอัตโนมัติ ไอ้ซันรีบเอี้ยวตัวหลบแต่ก็ยังช้ากว่าผมผมจึงคว้าลูกที่ปัดออกมาจากมือของมันได้แล้วกระโดดขึ้นชู๊ตทันที

“อะไรวะ แม่ง” ไอ้ซันสบถทั้งๆที่มีรอยยิ้มอยู่บนปาก เกมเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งด้วยความรวดเร็ว ผมเองเมื่อไอ้ซันมันเริ่มเล่นขนาดนี้ผมก็เลยต้องเริ่มเล่นเอาจริงตามไปด้วย เราทั้งวิ่ง ทั้งแย่งลูก และทั้งชู๊ตกันอย่างดุเดือด ผมไม่เคยเล่นบาสกับไอ้ซันมาก่อนเลย ถึงแม้มันจะเป็นรองผมเพราะบาสเก็ตบอลไม่ใช่กีฬาที่มันถนัด แถมมันยังเหนื่อยจากการเล่นบอลมาอยู่ก่อนแล้ว ผมจึงเป็นฝ่ายได้เปรียบเห็นๆ แต่ว่าด้วยทักษะทางกีฬาของมันกับการเล่นที่เอาจริงเอาจังก็พลอยทำให้ผมต้องเล่นแบบทุ่มเทมากขึ้นตามไปด้วย

เวลาผ่านไปประมาณสิบนาที คะแนนของผมนำอยู่สี่ต่อสองแต้มและถ้าผมทำแต้มนี้ได้ เกมก็จะจบลงทันทีโดยที่ไอ้ซันเป็นฝ่ายแพ้ ผมกำลังเลี้ยงลูกบาสพร้อมกับหอบหายใจอยู่ที่หน้าเส้นเขตโทษ ไอ้ซันเองก็ยืนหอบหนักยิ่งกว่าผมเสียอีกอยู่เบื้องหน้าในท่าที่พร้อมจะเข้ามาแย่งและบล็อกลูกจากผมได้เสมอ ณ ตอนนี้ผมลืมไปแล้วว่าทำไมเราถึงมาเล่นกันอยู่แบบนี้ ทำไมผมถึงต้องมาแย่งลูกบาสอยู่กับมัน และทำไมผมถึงต้องการที่จะเอาชนะมัน แต่เมื่อลูกบาสกำลังอยู่ในมือของผม ผมก็ไม่ต้องการที่จะแพ้ ผมย่อตัวลงต่ำด้วยความรวดเร็วและยืดตัวขึ้นตั้งท่าที่จะชู๊ต เมื่อไอ้ซันเห็นดังนั้นก็รีบวิ่งเข้ามากระโดดบล็อคทางผมทันที แต่นั่นเป็นการหลอก ผมก้มลงต่ำอีกครั้งและเดินถอยหลังออกมาเล็กน้อยเพื่อหยุดอยู่ตรงขอบเส้นสามคะแนนพอดีจากนั้นก็กระโดดชู๊ตทันที ลูกบาสถูกปล่อยออกจากมือของผมไปยังห่วงและลอดลงไปโดยมีเสียง  ฟวั่บ  ดังออกมาเบาๆ

“เยี่ยม!” ผมทำท่าดีใจและหัวเราะออกมาดังๆ “เสร็จลูกไม้ตื้นๆนะมึง”

“หนวกหู ก็กูไม่ใช่นักบาสนี่หว่า” ไอ้ซันทิ้งตัวลงนั่งข้างๆสนามพร้อมกับเสียงหอบที่ดังยิ่งกว่าตอนผมได้ยินครั้งแรกที่เนินหน้าสนามฟุตบอลเสียอีก ผมเดินตามไปนั่งกับมันด้วยโดยผมนั่งหันหน้าออกพิงหลังของมันเอาไว้

“มึงก็เก่งนะ กูเองเพิ่งเคยเล่นบาสกับมึงเป็นครั้งแรกนะเนี่ย”

“ก็เงี๊ยแหละ เก่งไปหมดทุกด้าน” มันยักไหล่

“กูจะอ้วก” ผมหัวเราะ “ว่าแต่ มึงไม่เหนื่อยแย่เหรอวะเนี่ย” ผมคิดได้ว่านี่มันเล่นทั้งบอลและบาสติดๆกันแบบนี้ มันจะไม่โทรมแย่เหรอในเมื่อช่วงนี้มันสูบ..........

จริงสิ นานแค่ไหนแล้วนะ ที่ผมไม่เห็นมันสูบบุหรี่
นี่มันเลิกสูบบุหรี่แล้วหรือนี่ แล้วตั้งแต่เมื่อไหร่กันล่ะ

“ก็เหนื่อยว่ะ แต่ก็สดชื่นดี” มันตอบพลางถอนหายใจแรงๆพร้อมรอยยิ้มกว้างบนหน้า “แล้วไง เป็นไงมั่งล่ะ” ไอ้ซันเว้นช่วงและกระดกขวดน้ำขึ้นดื่ม “ยิ้มได้แล้วนี่” มันเอาขวดน้ำขวดนั้นมาโขกหัวผมเบาๆ

“อืมม ก็คงงั้น” ผมหยุดหัวเราะลง เหลือเพียงรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าเท่านั้น

“ดีแล้ว มึงชอบเล่นบาสไม่ใช่เหรอ มึงเคยบอกกูว่าเวลาเล่นบาสแล้วทำให้มึงมีความสุข ทำให้มึงสบายใจนี่” ไอ้ซันขยับตัวออก แล้วเปลี่ยนเป็นมานั่งข้างๆผมแทน “แล้วทำไมไม่เล่นซะล่ะ”

ผมเพิ่งได้คำตอบว่าสิ่งที่มันทำไปทั้งหมดนี่ก็เพียงเพื่อให้ผมได้มีรอยยิ้มได้มีเสียงหัวเราะจริงๆอีกครั้ง และการกระทำของมันแบบนี้ก็ช่วยผมได้มากกว่าคำพูดปลอบใจใดๆเลยด้วย

“เอ่ออ กู......” ผมไม่รู้จะพูดอย่างไรดี ที่มันพูดมามันก็ถูก ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมถึงหนีซ้อมไปนั่งอยู่คนเดียวแบบนั้นแทนที่จะทำสิ่งที่ผมชอบเพื่อให้รู้สึกสบายใจขึ้น......... และมันก็อุตส่าห์ทำสิ่งนี้เพื่อผม “ซัน กู.......” ผมตั้งใจจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ถูกมันขัดขึ้นเสียก่อน

“รู้สึกดีขึ้นแล้วใช่มั๊ย สบายใจขึ้นนิดนึงรึยัง ออกกำลังซะ หัวมันจะได้สดใส จะได้คิดอะไรได้ดีๆถี่ถ้วนๆ แล้วที่สำคัญ..........” มันเว้นช่วงเหมือนกับกำลังนึกคำพูดบางอย่างออกมาเพื่ออธิบาย “เอ่ออ...... รู้สึกหายใจคล่องขึ้นมั่งรึยังล่ะคราวนี้ ได้วิ่งเล่น ได้ออกแรง ได้หอบ รู้สึกดีขึ้นมั๊ย”

ผมก้มหน้าแล้วยิ้มให้กับตัวเอง “อื้ม กูขอบใจมึงนะ” ผมพูด รู้สึกว่าตัวเองหน้าแดงโดยที่ไม่จำเป็น รู้สึกขอบคุณมันจากใจจริงๆที่มันทำสิ่งนี้ให้ผมทั้งๆที่มันเองก็เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว และผมก็คิดว่าผมเองได้คำตอบแล้วว่าทำไมก่อนหน้านี้หลังจากผมได้รับโทรศัพท์ผมถึงไม่รู้สึกอยากจะเล่นบาสเลยในขณะที่มันน่าจะเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นได้

“นี่ ไอ้เมฆ” ไอ้ซันเรียกผมอีกครั้ง คราวนี้มันเว้นช่วงนานกว่าทุกครั้ง ท่าทางจะหาคำมาพูดได้ยากกว่าที่ผ่านมา “ก่อนนี้มึงพูดใช่มั๊ย ว่า มึงรู้สึกเหมือนหายใจด้วยจมูกรูเดียวน่ะ” มันหยุดแล้วรอคำตอบจากผม แต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไร มันจึงเริ่มพูดต่อแบบตะกุกตะกัก “คือ กูจะบอกมึงว่า ถ้ามึงหายใจด้วยจมูกรูเดียวไม่ถนัดน่ะ....... เอ่ออ กูว่า กู” มันหยุดลงอีกครั้งหนึ่ง “กูก็จะเป็นรูจมูกอีกข้างให้มึงเอง”

เมื่อผมได้ยินดังนั้นผมก็อดไม่ได้ที่จะร้อง “เย้ยยยยยยยย” ออกมาพร้อมเสียงหัวเราะเบาๆ ถึงเสียงที่ผมเปล่งออกไปจะไม่มีความหมายและผมเองก็ไม่รู้เช่นกันว่ามันสื่อออกไปในความหมายใด แต่ที่แน่ๆผมรู้ตัวเลยว่าผมกำลังเขินและอายจนหน้าแดงมากๆและไม่กล้าที่จะสบตาของมันเลยแม้แต่นิดเดียว ไอ้ซันเองก็คงกำลังเขินและไม่รู้จะพูดอะไรต่อขึ้นมาเหมือนกัน คราวนี้ผมไม่ยอมให้ช่วงเวลาดีๆนี้ถูกทำลายลงไปเสียก่อนอีกแน่นอน

“คือ กูก็อยากจะบอกมึงเหมือนกันไอ้ซัน ว่า คือ ที่กูหนีซ้อมไปทั้งๆที่มันน่าจะทำให้กูรู้สึกดีขึ้นได้จริงๆอย่างที่มึงบอกน่ะนะ” ผมเองก็พูดตะกุกตะกักเช่นเดียวกัน “คือ กูก็อยากจะบอกมึงเหมือนกัน ว่า กูว่ามันคงเป็นเพราะ กูไม่มีคนที่กูรัก คนที่รู้ใจกู อย่างมึง มาเล่นกับกู ล่ะมั๊ง”

ผมรู้สึกว่าหน้าของผมกำลังร้อนราวกับถูกเผาด้วยไฟ คราวนี้ไอ้ซันเป็นฝ่ายทำเสียง “ฮื๊ยยยยยยยยย” ขึ้นมาบ้าง เราสองคนนั่งเงียบก้มหน้าก้มตาไม่คุยกันอยู่พักหนึ่งด้วยความเขินอายไม่รู้จะหาคำพูดอะไรมาคุยกันต่อจนพวกนักกีฬาบาสเริ่มเดินกลับเข้ามาในสนามแล้วก็พากันล้งเล้งใส่ผมกันใหญ่ว่าหายไปไหนมา ผมกับไอ้ซันจึงขอตัวหลบออกไปกินข้าวกันก่อนที่ต่างคนจะต่างกลับไปซ้อมต่อ

มานึกๆดูแล้วนี่ก็คงเป็นครั้งแรกที่ผมกับมันได้บอกรักกันอย่างอ้อมๆล่ะมั้ง........................


หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 14-08-2007 20:35:33
เหอ เหอ บอกรักกันแบบอ้อม ๆ  :o8:  :o8:  :o8:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 14-08-2007 20:57:49
นึกถึงวันเก่าๆ จัง
มันจี๊ดดดด....
 :m3:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 14-08-2007 23:22:03
สิ่งที่ทำอยู่ก็เหมือนกับการหลอกตัวเอง
แต่สุดท้ายมันก็มีแต่เราหล่ะที่เสียเวลา และเจ็บเอง
 :m21: :m21: :m21:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 15-08-2007 02:40:44
เจ้ยยยยยย..... :o

   “กูก็จะเป็นรูจมูกอีกข้างให้มึงเอง”     :m30:  พรื่ดดด...!~

กรี๊ดดดดดดด.... เขาบอกรักกันทางอ้อมแบบนี้ นี่เอง คิคิ    :m3:  :m3:  :m3:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของŪ
เริ่มหัวข้อโดย: ninaprake ที่ 15-08-2007 06:29:15
เจ้ยยยยยย..... :o

   “กูก็จะเป็นรูจมูกอีกข้างให้มึงเอง”     :m30:  พรื่ดดด...!~

กรี๊ดดดดดดด.... เขาบอกรักกันทางอ้อมแบบนี้ นี่เอง คิคิ    :m3:  :m3:  :m3:

อ้าว คำนี้นี่คุณซันบอกเองไม่ใช่เหรอ ... ทำจำไม่ได้ อิอิ  o17

... ว่าแต่ วี๊ซซซซซซซซ ได้ใจมากๆๆๆ เลย ... บอกรักทางอ้อมมมม  :m3:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: kissazazel ที่ 15-08-2007 12:50:07
งุงิ ไม่ได้มาอ่านแค่สัปดาห์เดียว ไปไกลมากเลยอ่า  :m18:

เอ่อ แบบว่า ตอนพิเศษที่บอกผมก็อยากได้เหมือนกันคร้าบบบบ :m3:

ขอบคุณล่วงหน้าคร้าบผม  เอิ๊กๆๆๆๆ

บอกรักแบบอ้อมๆ อืมม น่าสนแฮะ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 15-08-2007 17:19:33

...........อย่าปล่อยหั้ยบางอย่างผ่านไป........เหมือนไม่รู้อะไรเลย...... :give2: :give2:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 17-08-2007 15:09:53
ตอนที่ 16


ลูกบาสที่ไคล์ชู๊ตพลาดกระเด็นจากขอบห่วงลอยสูงขึ้นไป ไคล์กับผมกระโดดขึ้นพร้อมๆกันเพื่อแย่งลูก ไคล์เป็นฝ่ายจับลูกได้ก่อนแต่ก่อนที่ขาจะแตะพื้นผมก็คว้ามันออกมาจากมือของเขาได้ทัน ผมจับลูกไว้ด้วยมือข้างขวาจากนั้นก็ทำท่าจะกระโดดอีกทีเพื่อจะชู๊ต ไคล์รีบกระโดดขึ้นเพื่อบล็อกทันทีแต่แน่นอนว่านั่นเป็นแค่การหลอก ผมออกวิ่งหลบผ่านด้านข้างของไคล์ไปด้วยความรวดเร็วแล้วกระโดดขึ้นทำจั๊มพ์ชู๊ตอีกครั้ง ลูกบาสกระแทกกับขอบห่วงเล็กน้อยแต่ก็ไหลลงห่วงไปได้อย่างสวยงาม จบเกมคะแนนอยู่ที่ห้าต่อสี่ ผมเป็นฝ่ายชนะ

“ให้ตายสิ” ไคล์ร้องออกมาเบาๆแล้วเดินมานั่งลงข้างสนาม

“หึๆ สนุกดีนะ” ผมนั่งลงข้างๆกับเขา มือควานหาขวดน้ำในกระเป๋าแล้วส่งให้เขาไปขวดหนึ่ง จากนั้นผมก็หยิบอีกขวดขึ้นมาดื่ม

“รู้อะไรมั๊ย พี่เล่นเก่งมากๆเลย ผมสู้ไม่ได้เลยนะเนี่ย” ไคล์พูดขึ้น

“ไม่ขนาดนั้นหรอก พี่ก็เกือบแพ้ไปแล้วเหมือนกันนี่นา เห็นมั๊ยล่ะ”

“แต่ศิลาชู๊ตลูกแทบไม่พลาดเลยนะ ผมพลาดเยอะกว่าเยอะเลย ให้ตายสิ” ไคล์สบถออกมาเบาๆต่อท้ายประโยคอีกครั้ง ผมก็ไม่รู้จะพูดยังไงต่อก็เลยได้แต่นั่งหัวเราะ

เราสองคนเงียบกันไปอีกครั้งหนึ่งซึ่งผมไม่ชอบเลยเพราะมันทำให้ผมคิดถึงเรื่องที่ไคล์เห็นรอยจูบเมื่อเช้าขึ้นมาอีกครั้ง และด้วยความที่กลัวว่าเขาจะเป็นฝ่ายเริ่มพูดเรื่องนั้นออกมาก่อนผมจึงลุกขึ้นยืนแล้วหยิบลูกบาสออกไปวิ่งแล้วชู๊ตเล่นอยู่คนเดียว ไคล์เองก็เอาแต่นั่งมองผมกระโดดชู๊ตอยู่อย่างนั้นลูกแล้วลูกเล่าจนผมเริ่มรู้สึกเขิน

“มาสิ มาเล่นด้วยกัน เอาแต่มองอย่างนี้ก็เขินแย่” ผมหัวเราะแก้เก้อ

“ได้เลย” ไคล์ลุกขึ้นแล้วเดินตรงมาที่ผม “คราวนี้เรามาพนันกันหน่อยดีมั๊ย” เขาถาม

“พนันอะไร” ผมสงสัย

“ก็มาแข่งกันห้าลูกเหมือนเดิม แต่คราวนี้ใครแพ้จะต้องเป็นฝ่าย..........” เขาหยุดแล้วทำท่านึก “คนแพ้จะต้องทำอะไรดีล่ะ..... ไม่สิ เอาอย่างนี้ดีกว่า” ไคล์ดีดนิ้ว “คนชนะสามารถออกคำสั่งให้คนแพ้ได้หนึ่งอย่างแล้วคนที่แพ้ก็ต้องทำตาม ดีมั๊ย” เขาเสนอความเห็น

“โห เดิมพันสูงนะนั่น” ผมร้องเมื่อได้ยินสิ่งที่ไคล์เสนอ

“นิดหน่อยเองน่า คราวนี้จะได้เล่นจริงๆสักทีไง ผมไม่อยากยอมแพ้ง่ายๆหรอกนะ ถึงยังไงผมเองก็เคยเป็นนักกีฬามาก่อนเหมือนกัน” ไคล์หยิบลูกบาสออกไปจากมือของผมแล้วก็กระโดดชู๊ต ลูกบาสไหลลอดลงห่วงไปโดยไม่สะกิดขอบห่วงเลยแม้แต่น้อยจากนั้นก็กระดอนอยู่บนพื้นสามสี่ทีค่อยกลิ้งไหลออกไปไกล “ว่าไง สนใจมั๊ย” ไคล์วิ่งเหยาะๆไปหยิบลูกบาสขึ้นมาถือ

“อืมม ก็ได้ ก็น่าสนุกดีเหมือนกัน” ผมรับคำ เพราะเมื่อสักครู่ผมก็ยังไม่ได้เอาจริงเท่าไหร่เลย เป็นเหมือนแค่การวอร์มเครื่องเล่นๆกันมากกว่าและผมเชื่อว่าไคล์เองก็ยังไม่ได้จริงจังกับเกมเมื่อครู่เท่าไหร่นักเช่นกัน “แต่พี่เองยังไม่รู้เลย ว่าถ้าพี่ชนะจะสั่งให้ไคล์ทำอะไรดีนะ”

ไคล์โยนลูกมาให้ผมรับ “เอาไว้ชนะก่อน แล้วค่อยพูด” เขายิ้มด้วยสีหน้ามั่นใจ

“โอเค แต่ว่า ไม่มีการสั่งอะไรทะลึ่งๆหรือไม่ดีๆนะ” ผมเริ่มต้นเลี้ยงลูกบาสและอยู่ในท่อย่อตัวเตรียมพร้อม ไคล์เองก็เริ่มย่อตัวแล้วเหมือนกัน

“แน่นอน” เขายักคิ้วหนึ่งข้าง “ถ้างั้นก็...... เริ่มเลยนะ” ทันทีที่เขาพูดจบเขาก็พุ่งตรงเข้ามาประชิดตัวของผมทันที ผมรู้สึกถึงแรงกดดันและความเอาจริงที่มากกว่าเดิมของไคล์ได้อย่างชัดเจน

แต่ผมก็ไม่ชอบที่จะแพ้เช่นกัน

ผมเบียดหนีไคล์ออกไปโดยพยายามที่จะวิ่งให้หลุดจากการประกบ แต่ไคล์มีเทคนิคการตั้งรับที่ดีมาก ผมพยายามจะเลี้ยงลูกหลอกและอาศัยความไวแต่ไคล์ก็สามารถตามมาดักผมได้ทันก่อนที่ผมจะวิ่งไปไกลหรือตั้งท่าชู๊ตทุกครั้ง ผมพยายามรักษาลูกเอาไว้ แต่ในขณะที่ผมกำลังจะเปลี่ยนมือที่เลี้ยงลูกจากมือขวาเป็นมือซ้ายอยู่นั้น ไคล์ก็ชิงพุ่งเข้ามาตัดลูกไปได้เสียก่อน เขารีบคว้าลูกแล้วชู๊ตไกลออกไปทันที

“คะแนนที่หนึ่ง!” ไคล์ร้องทำท่าดีใจ ผมเองก็หัวเราะไปด้วย แต่ไคล์กลับเดินเข้ามาแล้วยิ้มให้ผมพร้อมกับพูดว่า “อย่าเพิ่งยิ้ม ระวังจะกลายเป็นห้าต่อศูนย์นะ” เขายักคิ้วหนึ่งข้างทำให้ผมรู้สึกเหมือนโดนสบประมาทเล็กๆ “เอ้า ตาพี่แล้ว” เขาส่งลูกให้ผมอีกครั้ง

ถ้าเป็นเรื่องอื่นล่ะก็ไม่เท่าไหร่หรอก แต่ถ้าเป็นเรื่องบาสเก็ตบอลนี้ล่ะก็ ผมไม่ยอมแพ้ง่ายๆแน่

เมื่อผมเห็นไคล์เอาจริงผมก็เริ่มจะเอาจริงขึ้นมาบ้าง ผมใช้การเลี้ยงลูกหลอกและความเร็วที่ผมถนัดเลี้ยงลูกหนีหลบไคล์ไปได้และทำแต้มแรกได้จากการเลย์อัพ เท่านี้ผมก็เสมอกับไคล์หนึ่งต่อหนึ่ง แต่ว่าถ้าผมจะเอาชนะเขาให้ได้ผมต้องหยุดเขาให้ได้อย่างน้อยหนึ่งลูกและต้องชู๊ตไม่ให้พลาดหรือไม่ให้ถูกแย่งลูกได้ในขณะที่ผมครองบอลเลย

เราผลัดกันทำแต้มไปเรื่อยๆจนถึงคะแนนที่สามต่อสาม เกมเริ่มจะแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่เพราะการเล่นที่รุนแรง เรายังไม่ได้เล่นกันแรงเหมือนในสนามแข่งจริงๆขนาดนั้น แต่มาจากความเอาจริงเอาจังของเราทั้งคู่ และอีกครั้งที่ผมลืมไปเสียสนิทว่าผู้แพ้จะต้องทำตามคำสั่งของผู้ชนะหนึ่งอย่าง ในหัวของผมตอนนี้ผมคิดแต่ว่าจะเอาชนะอย่างเดียวเท่านั้น ผมไม่อยากที่จะแพ้แน่นอน

“หลบไวดีนี่” ไคล์พูดขึ้นขณะที่เขากำลังพยายามจะแย่งลูกจากมือของผมไป

“ยังไม่เท่าไหร่หรอก” ผมยิ้ม แล้วตั้งท่าหลอกจะชู๊ตอีกครั้งแต่คราวนี้ไคล์ไม่หลงกล เขารีบปัดบอลออกจากมือของผมออกทันก่อนที่ผมจะได้ตั้งหลัก ลูกบาสกลิ้งไปที่เส้นสามคะแนนและไคล์ก็เป็นฝ่ายเก็บได้ทัน เขาออกแรงชู๊ตไกลทันที ผมเห็นสีหน้าที่ไม่ได้มั่นใจนักของไคล์หลังจากโยนลูกออกไปแล้วจึงหันมองไปตามลูกที่กำลังลอยไปยังแป้น หลังจากที่ลูกบาสกระแทกห่วงอย่างน่าหวาดเสียวอยู่สองสามทีมันก็ลอดลงห่วงไปในที่สุด

ไคล์ทำท่าดีใจที่ทำคะแนนหนีห่างผมออกไปได้เป็นสี่ต่อสาม เกมเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ถ้าลูกนี้ผมชู๊ตลงผมก็จะต้องสกัดการบุกของไคล์ครั้งหน้าให้ได้เพื่อที่จะชนะ ผมหลอกล่อไคล์ว่าจะวิ่งไปชู๊ตที่ใต้แป้นแต่กลับฉากหนีออกมาที่ด้านนอก แทนที่จะทำเลย์อัพหวังผลที่ชัวร์ในระยะใกล้แต่ถ้าไคล์ปัดบอลได้อีกผมก็จบ ผมต้องการที่จะเสี่ยงปิดเกมนี้ให้ได้ไวๆมากกว่าเลยทำจั๊มพ์ชู๊ตจากระยะที่ไคล์บล็อคไม่ถึง ถ้าผมชู๊ตไม่ลงไคล์ต้องเป็นฝ่ายรีบาวนด์ลูกได้และชู๊ตลงห่วงชนะไปอย่างแน่นอนเพราะผมคงวิ่งไปแย่งเขามาไม่ทัน แต่ผมก็พร้อมที่จะเสี่ยง ผมกระโดดแล้วขว้างลูกออกไป ลูกบาสหลุดออกจากมือของผมไปยังห่วงอย่างพอดิบพอดีจากนั้นก็มีเสียง ฝุ่บ ดังตามมา

“เยี่ยม” ผมร้องด้วยความดีใจ

เมื่อเกมสุดท้ายที่ไคล์จะได้เป็นฝ่ายครองบอลเริ่มขึ้น ผมคิดว่าเขาจะวิ่งเข้ามาชู๊ตจากใต้แป้นแบบที่เขาถนัด แต่ผมคิดผิด หลังจากหลอกล่อและพยายามจะเข้าผ่านผมไปใต้แป้นอยู่นาน ไคล์ก็วิ่งออกไปที่เส้นสามแต้มแล้วชู๊ตทันที ผมไม่สามารถเข้าไปบล็อกเขาไว้ได้ทัน จากนั้นลูกบาสที่กระเด้งและหมุนอยู่บนขอบห่วงอยู่สามสี่รอบก็เลื่อนหลุดลงไปในห่วง

ไคล์เป็นฝ่ายชนะไปด้วยคะแนน ห้าต่อสี่

“มันต้องอย่างนี้!” ไคล์ร้องแล้วเหวี่ยงกำปั้นขึ้นในอากาศ ผมหัวเราะแล้วก็เดินไปจับมือกับเขา

“ชู๊ตไกลได้สุดยอดไปเลยนี่” ผมพูด

“ไม่หรอก ผมว่าฟลุ๊คทั้งสองครั้งเลย” ไคล์หัวเราะ “ปกติผมชู๊ตสามแต้มได้เรื่องที่ไหนกันล่ะ” เขาว่า เราสองคนทิ้งตัวลงนั่งที่เดิมพร้อมๆกัน คราวนี้สิ่งที่เราคุย ที่เราพนันกันเอาไว้ก่อนหน้านี้ก็เริ่มจะกลับมาวนเวียนอยู่ในใจของเราทั้งคู่แบบเงียบๆอีกครั้ง

“งั้น.....” ไคล์พูดขึ้น “เรื่องที่พนันกันไว้” เขาหันมายิ้มกับผม

“โอเคๆ” ผมแบมือทำท่ายอมแพ้ “คำไหนคำนั้น อยากจะให้ทำอะไรล่ะครับ”

“นั่นสินะ.........” ไคล์ทำท่านึก ผมหยิบขวดน้ำขวดเดิมที่วางอยู่ข้างๆมากระดกขึ้นดื่ม ไคล์เองก็ทำเช่นเดียวกันกับขวดน้ำของเขา และหลังจากที่ดื่มน้ำเสร็จเขาก็เอาหลังมือปาดที่ริมฝีปากเบาๆ “เอาเป็นว่าแค่ตอบคำถามผมมาก็แล้วกัน ขอแค่ตอบมาตามความจริง” ไคล์พูดและเหม่อมองออกไปยังสนามหญ้าเบื้องหน้าขณะที่ผมยังคงดื่มน้ำอยู่

“ซันกับศิลา............. มีอะไรกันแล้วใช่มั๊ย”

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: aumzaa ที่ 17-08-2007 15:23:55



ขอบคุณมากครับ....


สำหรับตอนพิเศษ.......


อิอิถูกใจมั๊กๆๆเลยครับผม........


ขอบคุณอีกครั้งครับ

 o14 o14 o15 o15

[attachment deleted by admin]
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 17-08-2007 15:41:26
ตอบยากจังคำถามนี้
ศิลาจะตอบยังไงดีละเนี่ย...
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 17-08-2007 15:49:40

...........ถามตรงจริงๆ.........

...........จะตอบยังไงดีหว่า........... :m17: :m17:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 17-08-2007 18:58:36
ค้างมากๆ เลยอ่ะคับคุณต้น
 :a6: :a6: :a6:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 18-08-2007 11:28:56
รอว่าศิลาจะตอบว่ายังไง  :a1:  :a1:  :a1:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 18-08-2007 17:17:10
เหอๆ ค้างคา   :a3:
แย้วไคล์รู้ได้งัยหว่า หุหุ  :m28:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: tonsai_2520 ที่ 18-08-2007 23:22:26


วันก่อน . . . หมอดูไพ่ยิปซีแกมาดู  เลยสนองดูซะ

เป็นเวลาเดียวกับที่ไอ้น้องเนฯ  มันเดินมายืนใกล้ ๆ  หมอบอกว่า

"ตอนนี้  มีคนเข้ามาในชีวิตสองคน  หญิงหนึ่งชายหนึ่ง  แต่เนื้อคู่จะเป็นผู้ชาย"  ได้แต่นั่งแล้วมองหน้าแม่หมอ  แกทายแม่นหรือ?

"เนื้อคู่เป้นชายแน่ ๆ  แกยิ้ม  เป็นคนรูปร่างเล็ก ๆ  ขาว ๆ  หน้าตาดี"  เลยหันไปมองหน้าน้องเนน  แล้วยิ้มให้ มัน  เหอะ ๆ ๆ ๆ ๆ  มึงตกอันดับไปเลยเพราะมรึงมันดำ  ได้ ใจ  เหอะ ๆ ๆ ๆ ๆ 


ปล.  แค่อยากเล่าให้ฟังเฉย ๆ  นะ

ปล2.  ไม่อยากเดาว่าไคลน์กับสิลา  จะมีไรกันมาก่อนแล้ว  รักสามเศร้าเหรอ?
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 19-08-2007 00:33:43
ความใกล้ชิดก็คือความผูกพัน
 :a4: :a4:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของŪ
เริ่มหัวข้อโดย: ninaprake ที่ 19-08-2007 01:55:27
พรวด!  :m30: เมฆน้ำพุงแน่ กะลังดื่มน้ำอยู่เลย ... จบได้ค้างคาจริงๆแหละ ไม่รู้ว่าเมฆจะตอบไงนะเนี่ย



วันก่อน . . . หมอดูไพ่ยิปซีแกมาดู  เลยสนองดูซะ

เป็นเวลาเดียวกับที่ไอ้น้องเนฯ  มันเดินมายืนใกล้ ๆ  หมอบอกว่า

"ตอนนี้  มีคนเข้ามาในชีวิตสองคน  หญิงหนึ่งชายหนึ่ง  แต่เนื้อคู่จะเป็นผู้ชาย"  ได้แต่นั่งแล้วมองหน้าแม่หมอ  แกทายแม่นหรือ?

"เนื้อคู่เป้นชายแน่ ๆ  แกยิ้ม  เป็นคนรูปร่างเล็ก ๆ  ขาว ๆ  หน้าตาดี"  เลยหันไปมองหน้าน้องเนน  แล้วยิ้มให้ มัน  เหอะ ๆ ๆ ๆ ๆ  มึงตกอันดับไปเลยเพราะมรึงมันดำ  ได้ ใจ  เหอะ ๆ ๆ ๆ ๆ 

ปล.  แค่อยากเล่าให้ฟังเฉย ๆ  นะ

ดูที่ไหนคับ? ท่าทางแม่นดีจัง อิอิ  :m4: อยากไปดูมั่งจังเลย  :impress: อยากรู้ว่ามีชะตาจะมีคู่มั๊ย หรือว่าต้องอยู่คนเดียวไปตลอดชีวิต  o7
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: kissazazel ที่ 19-08-2007 11:06:11
ได้รับตอนพิเศษแล้ว ขอบคุณคร้าบบบบบ :m4:

โห เล่นถามกันตรงๆ อย่างนี้เลยเหรอ 

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 21-08-2007 10:14:44
ตอนที่ 17


หลังจากแข่งเกมเล็กๆของเราเสร็จผมกับไคล์ก็นั่งลงพักและดื่มน้ำด้วยกัน ไคล์กำลังคิดอยู่ว่าหลังจากนี้เขาจะให้ผมทำอะไรดีเพราะผมเป็นฝ่ายแพ้ ขณะที่ผมกำลังยกขวดน้ำขึ้นดื่มและเหม่อมองออกไปยังสนามหญ้าเบื้องหน้าที่มีคนสามสี่คนกำลังนั่งเล่นพูดคุยกันอยู่ ไคล์ก็พูดสิ่งที่เขาต้องการออกมา

“ตอบผมมาตามความเป็นจริงนะ ซันกับศิลามีอะไรกันแล้วใช่มั๊ย” ไคล์ถาม มีความลังเลเจืออยู่ในน้ำเสียงเล็กน้อยแต่ก็ประกอบไปด้วยความหนักแน่นจนผมถึงกับสำลักน้ำที่กำลังดื่มอยู่ ผมยกมือขึ้นปิดปากแล้วไอโขลกอยู่สามสี่ครั้ง

“ว่ายังไงนะ” ผมวางขวดน้ำลงข้างๆตัว ยกมือขึ้นปาดน้ำที่ไหลอยู่ที่ปลายคาง ไคล์ไม่ตอบอะไรแต่ยังนั่งมองไปยังสนามหญ้าเบื้องหน้าต่อด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ผมรอ อยากที่จะให้เขาพูดอะไรออกมาอีกสักคำ อะไรก็ได้ แต่เขาก็ไม่ยอมพูดอะไรต่อ สุดท้ายผมก็เลยเป็นฝ่ายต้องยอมเริ่มต้นขึ้นก่อน “คือ แบบว่า......” ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ทั้งๆที่เพิ่งดื่มน้ำไปอึกใหญ่ๆแต่ผมกลับรู้สึกลำคอของตัวเองแห้งผากและตีบตันเสียเหลือเกิน การที่จะพูดความจริงออกไปตอนนี้มันยากยิ่งกว่าการที่ผมบอกรักไอ้ซันในคืนนั้นเสียอีก

ผมไม่รู้จะหาคำพูดอะไรมาพูดออกไปได้ ผมไม่รู้ว่าไคล์คิดแบบนี้มานานเท่าไหร่แล้ว เป็นเพราะรอยจูบที่เขาเห็นเมื่อเช้า หรือเขาสงสัยมาตั้งแต่ก่อนหน้านั้นแล้ว แล้วทำไมเขาถึงถามในเรื่องนี้ ทำไมไม่ถามว่าผมกับซันกำลังคบกันอยู่หรือ ทำไมไม่ถามว่าผมชอบซันเหรอ ทำไมไม่ถามว่าผมกับซันเป็นมากกว่าเพื่อนหรือเปล่า ทำไมไม่ถามอะไรก็ได้ ถามแบบไหนก็ได้ที่ไม่ใช่คำถามแบบนี้

ไคล์ก็ยังคงนิ่งเงียบอีกอยู่ดี วันนี้เป็นวันแรกที่ผมรู้สึกว่าทำไมไคล์ช่างเป็นคนมีความอดทนสูงได้ขนาดนี้นะ เขารับมือกับความกดดันและเป็นคนที่คุมเกมได้ดีมากๆ ผมรู้สึกว่าผมกำลังจะกลายเป็นผู้แพ้ไปอย่างสมบูรณ์ ผมขยับตัวเล็กน้อยและหยิบก้อนหินก้อนเล็กๆที่อยู่ข้างๆตัวผมมาถือและกำเอาไว้ในมือ

“ทำไมถามอย่างนั้นล่ะ” ผมตอบกลับไปด้วยคำถามงี่เง่าๆที่ผมก็รู้ตัวว่าไม่น่าจะถามออกไปเลย ไคล์หันมามองหน้าผมเป็นครั้งแรกหลังจากที่เขาถามประโยคนั้นกับผมออกมา สีหน้าของไคล์ช่างราบเรียบและเย็นชาจนผมรู้สึกผิด รู้สึกผิดที่พูดอะไรงี่เง่าๆออกไปจริงๆและรู้สึกผิดที่ไม่ตอบคำถามของเขาให้ชัดเจนอย่างที่สัญญากันเอาไว้

“ใช่” ผมตอบ กลั้นหายใจเฮือกหนึ่งแล้วเริ่มพูดต่อ “ซันกับผม เรากำลังคบกันอยู่” ผมเกือบจะพูดอะไรมากไปกว่านั้นแล้ว ผมเกือบจะพยายามอธิบายสิ่งต่างๆให้เขาเข้าใจมากขึ้น อย่างน้อยๆก็ที่ว่าเรามีอะไรกันแล้วน่ะมันก็ไม่ใช่มีไปไกลอย่างที่เขาคิด มันแค่เพียงภายนอกเท่านั้น แต่สุดท้ายการปิดปากเงียบเอาไว้ก็คงจะดีกว่า เพราะไคล์เองก็ไม่ได้ถามอะไรมากไปกว่านั้น เขาอาจจะไม่อยากรู้มากไปกว่านี้แล้ว หรือถ้าเขาต้องการจะรู้เขาก็คงถามเองในไม่ช้านี่แหละ และที่สำคัญถ้าผมพูดมากเกินไป อะไรๆมันอาจจะแย่ลงไปกว่านี้ก็ได้

ผมนั่งก้มหน้ารอฟังคำพูดและปฏิกิริยาของไคล์ว่าจะเป็นอย่างไร ผมไม่เคยคิดเลยว่าผมจะต้องมาพูดกับคนอื่นเรื่องแบบนี้นอกจากเพื่อนที่ผมไว้ใจได้จริงๆ และที่สำคัญเป็นญาติของไอ้ซันเองด้วย แล้วตัวไอ้ซันจะคิดยังไงกันถ้ามันรู้ว่าผมบอกไคล์เรื่องนี้ไปแล้ว ความกังวลใจของผมมันเริ่มก่อตัวมากขึ้นเรื่อยๆๆ

“ไม่ต้องกังวลหรอก” ไคล์พูดทำลายความเงียบขึ้น “ผมไม่เอาไปบอกใครหรอก แม้แต่กับซัน” เขาพูดออกมาราวกับอ่านใจของผมออก “ไม่สิ ต้องพูดว่าโดยเฉพาะกับซันต่างหาก” ไคล์ลุกขึ้นยืนแล้วหยิบลูกบาสที่วางอยู่ตรงหน้าออกไป นับตั้งแต่เขาถามผมคำถามนั้นผมก็ยังไม่เห็นรอยยิ้มของเขาอีกเลย จนถึง ณ เวลานี้ ไคล์คว้าลูกบาสแล้วก็ออกเดินไปยังเส้นแบ่งครึ่งของสนามบาส เขาเลี้ยงลูกอยู่กับพื้นสองสามทีขณะที่จ้องมองไปยังแป้นบาส ไคล์เริ่มออกวิ่งจากวิ่งเหยาะๆแล้วก็เปลี่ยนเป็นเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนเมื่อเกือบถึงแป้นบาสเขาก็กระโดดขึ้นลอยตัวไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็ว เขาถือลูกบาสด้วยมือข้างเดียวจากนั้นเงื้อแขนไปทางด้านหลังจนเกือบสุดแล้วก็ดั๊งค์กระแทกลูกบาสลงห่วงไปอย่างรุนแรง ผมที่นั่งมองอยู่ถึงกับตะลึงด้วยความประหลาดใจ ไม่คิดว่าเขาจะทำได้ขนาดนี้

เมื่อขาของไคล์แตะพื้นเขาก็ยืนก้มหน้าแล้วหอบออกมาเล็กน้อย ถึงแม้ผมจะนั่งห่างออกมาขนาดนี้ก็ยังรู้สึกได้ถึงอะดรีนาลีนและพลังงานอันเอ่อล้นของเขาที่แผ่พุ่งออกมารอบตัว

“ใช้ได้มั๊ย” ไคล์เอียงคอมายิ้มให้กับผม “ถึงจะดูธรรมดาๆ แต่นี่แหละ คือสุดยอดของผมแล้ว”

ไม่เลย นี่ไม่ใช่ธรรมดาๆเลย ทั้งการกะจังหวะกระโดด การสปริงตัว การที่เขาถือลูกบาสมือเดียวแล้วเหยียดแขนออกไปจนเกือบสุด จากนั้นก็กระแทกลงห่วงไปอย่างรุนแรง รวมถึงบอดี้บาลานซ์ทั้งขณะที่ชู๊ตและค้างตัวจนถึงเมื่อขาแตะพื้นล้วนแล้วแต่สุดยอด ถึงจะดูธรรมดาแต่ก็มีพลัง ต่อให้ใครไม่เคยสนใจกีฬาบาสเก็ตบอลมาก่อนก็ต้องทึ่งไปกับท่าดั๊งค์เมื่อครู่ของเขาเป็นแน่ ผมไม่รู้จะพูดหรือรู้สึกอย่างไรดีก็เลยพยักหน้าแล้วก็ยิ้มให้กับเขา ไคล์หันหลังให้ผมแล้วเดินไปเก็บลูกบาสที่กลิ้งอยู่บนพื้นขึ้นมา จากนั้นก็โยนส่งมาให้ผมที่ยังคงนั่งอยู่บนพื้น ผมรับลูกบาสมาแล้วก็วางมันลงไว้กับพื้นข้างๆตัว

“วางทำไมเล่า” ไคล์ร้อง “หยิบแล้วลุกขึ้นมาซี่” เขาชี้มาที่ผม “ผมแสดงแบบสุดยอดของไปแล้วนะ ตาพี่มั่งล่ะทีนี้” เขาถอยห่างออกมาจากแป้นบาสเป็นการเว้นที่ให้กับผม ผมยืนขึ้นถือลูกบาสอยู่ในมือทำท่าลังเล ไคล์จึงร้องออกมาอีก “เร็วๆสิ นี่เป็นคำสั่งนะ ยังถือว่าอยู่ในสัญญาการพนันของเรานะครับ”

ผมอยากจะอ้าปากเถียงหรือแย้งอะไรบางอย่างออกไปแต่อะไรบางอย่างมันก็มาจุกอยู่ที่ลำคอของผมทำให้ผมได้แต่นิ่งเงียบไปเหมือนเดิม ผมเดินไปยังเส้นชู๊ตสามแต้มตรงหน้าของแป้นบาสจากนั้นก็ผ่อนลมหายใจออกเบาๆ ผมเลี้ยงลูกอยู่สามสี่ครั้งสายตาก็จับจ้องไปที่แป้นบาสและพื้นที่ว่างด้านหน้า จากนั้นผมก็โยนลูกบาสลงให้กระดอนลงกับพื้นในตำแหน่งที่ผมเล็งเอาไว้พร้อมๆกับออกวิ่งทันที ผมกระโดดไปข้างหน้าคว้าลูกบาสที่กำลังลอยอยู่จุดสูงสุดด้วยมือข้างขวาแล้วก็ยืดแขนออกไปทำท่าจะเลย์อัพแต่กลับเปลี่ยนมือถือลูกจากมือขวาเป็นมือซ้ายทันที เป็นการทำครัชด้วยความรวดเร็วขณะที่ยังลอยตัวอยู่ พร้อมๆกับหันหลังให้กับแป้นจากนั้นก็ปล่อยลูกบาสออกไปด้วยมือซ้าย ลูกบาสกระแทกแป้นและขอบห่วงเล็กน้อยจากนั้นจึงไหลลงห่วงไป

เมื่อขาผมแตะพื้น ไคล์ก็ร้องขึ้นมาพร้อมๆกับ “ว้าววว” เขาเดินตรงมาหาผม “ถ้าทำดับเบิ้ลครัชแบบนี้ตอนแข่งกับผมก็คงชนะสบายๆไปแล้วนะเนี่ย” เขาพูด

“มันทำไม่ได้ง่ายๆน่ะสิ ยังต้องฝึกอีกเยอะ” ผมบอกเขา

“แต่ก็สุดยอดเลยจริงๆนะ ไม่นึกเลยว่าจะทำได้ขนาดนี้” เขาเดินมาจับไหล่ของผมเอาไว้ อีกมือก็ตีมือกับผม

“ไคล์เองก็เหมือนกัน” ผมพูด “ถ้าดั๊งค์ได้แบบนี้ แล้วดั๊งค์ไปตั้งแต่ตอนแข่งกันล่ะก็คงชนะสบายๆไปแล้ว”

“ไม่ไหวหรอกครับ” ไคล์ส่ายหัว “อันนี้มันเล่นตัวต่อตัวแล้วโดนประกบขนาดนั้น ไม่มีช่องว่างให้ชู๊ตได้หรอก ถ้าอยู่ในเกมจริงๆก็พอใช้ข่มคู่แข่งได้อยู่หรอก แต่เล่นกับสองต่อสองแบบนี้อย่าว่าแต่จะดั๊งค์เลย หาช่องเข้าไปชู๊ตยังยาก โดยเฉพาะโดนประกบเหนียวๆแบบที่พี่ประกบผมน่ะ” เขายักไหล่แล้วเดินไปนั่งลงที่เดิม

ผมยังคงยืนอยู่ที่เดิมขณะที่ไคล์ทิ้งตัวลงนั่ง ผมยืนอยู่ด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วน ในที่สุดจึงเป็นฝ่ายตัดสินใจเริ่มพูดขึ้นมาก่อน

“เอ่ออ ไคล์ ไอ้เรื่องเมื่อกี๊น่ะ”

“อืมมม” ไคล์พยักหน้า “ผมรู้”

“หมายความว่ายังไง ‘ผมรู้’” ผมถามด้วยความประหลาดใจ

“ผมหมายถึง ผมเข้าใจว่าพี่ศิลาคิดยังไงน่ะ” ไคล์มองหน้าของผมโดยที่ยังปราศจากรอยยิ้ม “เพราะผมก็เคยบอกพี่ไปแล้วนี่นา........” เขาเว้นช่วงเหมือนคิดอะไรบางอย่างอยู่ครู่หนึ่ง

“บอกว่าอะไรเหรอ” ผมถาม

“ก็..... นั่นสินะ” ไคล์เบือนหน้าหนีไปทางอื่นแล้วจึงหันกลับมามองผมอีกครั้ง “ผมบอกไปแล้วนี่ ว่าผมรักและเชื่อใจซัน ถ้าซันรักและเชื่อใจศิลา ผมก็รักศิลาด้วย” เขาพูด “และที่สำคัญผมก็เคยบอกไปแล้วว่าพี่ศิลาน่ะ เป็นคนดีนะ ผมชอบพี่ เพราะอย่างนั้นถ้าคนที่ผมชอบทั้งสองคนจะคบกัน มันก็ไม่เห็นมีอะไรเสียหายนี่ ผมควรจะยินดีกับทั้งคู่ต่างหากถึงจะถูก” ไคล์ยิ้มกวางให้ผมอีกครั้งแบบที่เขาชอบทำประจำ

ผมรู้สึกตัวเองจมหายไปกับคำพูดและความรู้สึกทั้งหลายแหล่เมื่อได้ยินสิ่งที่ไคล์พูดออกมาแบบนั้น ก่อนหน้านี้ผมเคยคิดจะหาคำมาอธิบาย มาบรรยายให้ไคล์เข้าใจถึงความสัมพันธ์ของเราสองคนว่ามันเป็นยังไงและทำไมมันถึงมาได้ถึงจุดนี้รวมถึงข้ออ้างร้อยแปดเพื่อให้เขาเข้าใจ แต่เมื่อได้ยินดังนั้น ผมกลับไม่มีคำพูดใดๆที่จะหลุดออกมาจากปากได้เลยนอกจากเพียงคำว่า

“ขอบคุณนะครับ”

ผมยิ้มและเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าของไคล์แล้วยื่นมือออกไปให้แก่เขา ไคล์ตีมือผมเบาๆหนึ่งทีแล้วก็จับมันไว้จากนั้นก็ดึงตัวเองเพื่อลุกขึ้นยืน เราสองคนยืนมองหน้ากันอยู่พักหนึ่งไคล์ก็เป็นฝ่ายโน้มตัวเข้ามากอดผมเอาไว้ แล้วตบหลังผมแรงๆสองสามทีแล้วจึงปล่อย “ไม่ต้องคิดมากนะครับ” เขาบอก จากนั้นเราก็เล่นกันอยู่อีกครู่หนึ่งจึงตัดสินใจกลับบ้าน

เราสองคนเดินออกจากสวนแห่งนั้นตอนเวลาประมาณเกือบๆสิบเอ็ดโมง และแวะทานอาหารกลางวันกันก่อนที่จะเข้าบ้าน เมื่อกลับมาถึงบ้านก็เป็นเวลาประมาณเที่ยงครึ่งแล้ว ในขณะที่ผมและไคล์เดินเข้าไปในบ้าน นอกจากริต้าที่กำลังทำความสะอาดบ้านอยู่ก็มีคนอีกคนหนึ่งกำลังนั่งดูทีวีอยู่ที่โซฟาตัวใหญ่ เมื่อผมเดินเข้าไปเขาก็หันมามองด้วยสายตาตำหนิ

“มึงไปไหนกันมา” ซันหันมาถามผมด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย

“กูไปเล่นบาสกับไคล์มา แล้วนี่ทำไมมึงกลับเร็ววะ” ผมถามกลับ แต่ไอ้ซันกลับหันหน้ากลับไปดูทีวีต่อ ไคล์ที่เดินตามผมเข้ามาพอเห็นไอ้ซันกำลังนั่งอยู่ในห้องรับแขกก็แปลกใจไม่แพ้ผมเช่นกัน

“อ้าว ซัน ทำไมกลับเร็วล่ะ” ไคล์ถาม

“ขี้เกียจเรียนคาบสุดท้ายน่ะ มันไม่มีอะไรสำคัญ ก็เลยกลับ” ไอ้ซันหันมาพูดกับไคล์

ไคล์พยักหน้า “งั้นผมขอตัวขึ้นไปอาบน้ำก่อนดีกว่านะ” เขาตบไหล่ผมเบาๆเหมือนเป็นสัญญาว่ารู้กัน จากนั้นก็เดินผ่านผมขึ้นบันไดไป

ผมเดินเข้าไปหาไอ้ซันที่ยังคงไม่ยอมมองหน้าผม “มึงเป็นอะไรรึเปล่า”

“เปล่า” มันส่ายหัวเบาๆ แต่ผมไม่เชื่อหรอก ท่าทางมันไม่เหมือนคนมีเรื่องไม่สบายใจแต่ดูเหมือนกับว่ามันกำลังโกรธผมอยู่มากกว่า

“โกรธกูเหรอวะ” ผมเบียดตัวนั่งลงข้างๆมัน มันทำท่าขยับตัวหนีเล็กน้อย

“เปล่าหรอก” มันยังคงไม่ยอมสบตากับผม

“งั้นทำไมมึงไม่มองหน้ากูล่ะ” ผมถาม แต่ไอ้ซันกลับนิ่งเงียบ ผมเลยถอนหายใจเบาๆแล้วถอดเสื้อยืดที่ชื้นไปด้วยเหงื่อออก ดูไอ้ซันจะแปลกใจกับการกระทำของผมเหมือนกันมันจึงเหลือบมามองผมอยู่แว่บหนึ่ง “มึงเห็นรอยนี่ตั้งแต่เช้าแล้วใช่มะ” ผมชี้ไปที่หน้าอก ไอ้ซันยังคงไม่ยอมมองผม แต่ผมแอบเห็นว่ามันมีรอยยิ้มที่มุมปากขึ้นมาแปบหนึ่ง “เออ มึงไม่คุยกับกู กูก็ไม่ว่าอะไร แต่กูมีเรื่องจะบอกมึง” ผมวางเสื้อยืดลงข้างๆโซฟารับแขก “ไคล์เขาเห็นรอยนี้เมื่อเช้า” ผมเริ่มต้นเล่า ไอ้ซันมีท่าทีเริ่มสนใจเล็กน้อย แต่ก็ยังคงมองไปยังทีวีอยู่อย่างเดิม “แล้วเมื่อเช้าที่กูออกไปเล่นบาสกับเขา เขาถามกูเรื่องของเราสองคน......” ผมเว้นช่วงรอดูปฏิกิริยาของมันจากนั้นก็เล่าต่อ “เขาถามกูอะไรมาอย่างนึงว่ะ มึงอยากรู้มั๊ย ว่าเขาถามกูว่าอะไร” ผมถอนหายใจ

ไอ้ซันเงียบไปพักหนึ่งจากนั้นมันก็กดรีโมทเพื่อปิดทีวีจากนั้นก็หันมาหาผม “ถามว่าอะไร มันถามอะไรมึง”

ผมยิ้ม “เขาถามกูว่า........ กูกับมึงมีอะไรกันแล้วเหรอ”

ไอ้ซันมีสีหน้าตกใจเหมือนไม่อยากจะเชื่อ แต่แล้วมันก็รีบเก็บอาการทันที

“แล้วมึงบอกเขาไปว่ายังไง”

“ก็.........” ผมยักไหล่ “กูยังเล่าให้มึงฟังไม่หมดหรอก จริงๆแล้วมันมีมากกว่านั้นนิดหน่อย”

“งั้นมึงก็เล่ามาสิ”

“ไม่จนกว่ามึงจะบอกกูก่อนว่ามึงโกรธกูเรื่องอะไร” ผมมองหน้ามันแล้วแสร้งทำสีหน้าเป็นกังวลเพื่อให้มันอ่อนใจ

ไอ้ซันเงียบไปพักหนึ่งแล้วพูดต่อขึ้นมาทำเป็นเหมือนไม่ได้ยินที่ผมพูดเมื่อสักครู่ “มันถามมึงแบบนั้นเลยเหรอ ‘ซันกับศิลามีอะไรกันแล้วเหรอ’ น่ะนะ”

ผมถอนหายใจเบาๆแล้วส่ายหน้า “ก็ประมาณนั้นแหละ”

“แล้วมึงตอบว่าอะไรไป”

 “ไม่อาว บอกกูก่อน ว่าทำไมมึงโกรธกู” เมื่อเห็นว่าเรียกร้องความเห็นใจด้วยความเศร้าไม่ได้ผล คราวนี้ผมก็เริ่มใช้แผนทำตัวน่ารักทำตัวอ้อนเข้าว่าบ้างแล้ว

ไอ้ซันหันหนีไปทางทีวีแล้วก็กดปุ่มเปิดเครื่องขึ้นอีกครั้ง เมื่อผมเห็นดังนั้นผมจึงเดินไปขวางทางมันเอาไว้ แล้วชะโงกหน้าเข้ามาหามัน

“มึงชอบใจที่เห็นกูไม่สบายใจงั้นเหรอ” ผมถาม “แล้วมึงคิดว่ากูชอบใจที่กูเห็นมึงโกรธกูเหรอ ซัน มึงชอบที่เห็นกูไม่สบายใจจริงๆอย่างนั้นรึไง”’

คราวนี้ได้ผล ไอ้ซันเริ่มทำสีหน้าลำบากใจแล้วก็ชันตัวขึ้นนั่งหลังตรง “เออ กูไม่ได้เป็นอะไรหรอก” มันพูด

“มึงโกหก”

“จริงๆ” มันทำหน้ายุ่ง “กูก็แค่กลับมาบ้านแล้วไม่เจอมึงก็เลยเซ็งๆแค่นั้นเอง” มันดันผมให้ออกห่างจากหน้าของมัน “อย่าบังทีวีกูดิ่”

ผมเขยิบหนีออกมาให้มันนิดหน่อยแล้วก็หันไปมองหาริต้าว่ายังอยู่แถวนี้หรือเปล่า ผมได้ยินเสียงก๊อกแก๊กๆดังมาจากในครัวจึงรู้ว่าในห้องนั่งเล่นและในละแวกนี้มีแค่ผมกับไอ้ซันแค่สองคน ผมเบียดตัวขึ้นไปนั่งติดกับมันบนโซฟาแล้วก็โอบบ่ามัน “แล้วทำไมมึงไม่โทรหากูล่ะ”

“ไม่รู้เหมือนกัน ไม่อยากโทร”

“ทำไมวะ”

“ก็บอกว่าไม่รู้เหมือนกันไง เป็นเพราะมึงไปกับไคล์ด้วยมั๊ง กูก็เลยไม่โทร”

“เกี่ยวอะไรกับที่กูไปกับไคล์วะ” ผมถาม

“ไม่รู้ ช่างเหอะ ตกลงมึงกับไคล์คุยอะไรกัน บอกกูได้รึยัง” ไอ้ซันถามจ้องหน้าของผมเขม็ง

“เออ ก็ เรื่องของเรื่องมันก็มาจากเมื่อเช้าที่กูไม่ได้ใส่เสื้อตอนกำลังจะเดินไปอาบน้ำนั่นแหละ........” ผมเริ่มต้นเล่าเรื่องทั้งหมดตั้งแต่แรกให้มันฟังจนไปถึงตอนที่เราแข่งบาสกันรอบแรกและรอบที่สองที่มีการพนันเล็กๆมาเพิ่มด้วย ไอ้ซันนั่งฟังอย่างเงียบๆ โดยบางทีมันก็มีพูดเสริมขึ้นมาบ้าง เช่น “มันออมมือให้มึงน่ะสิ” หรือ “มึงรับพนันเนี่ยนะ” ไม่ก็ “มึงไม่รู้รึไง ว่าไคล์มันเล่นเก่งขนาดไหน”  หรือแม้แต่ “ไอ้เซ่อ”

มันไม่คิดว่าผมพอจะมีความสามารถกับเขาบ้างเลยแม้แต่นิดเดียว

เมื่อผมเล่าจบซันมันก็พยักหน้าเงียบๆ ผมเริ่มรู้สึกกังวลว่ามันคิดอย่างไร เลยเอ่ยปากถาม “มึงไม่ชอบใจรึเปล่าที่กูพูดแบบนั้นไปกับไคล์น่ะ กูขอโทษนะ”

“ไม่หรอก” มันส่ายหน้า “เป็นแฟนมึง ไม่เห็นจะมีอะไรน่าอายตรงไหน” ไอ้ซันพูดยิ้มๆ ผมเองก็อดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้

“มึงคิดงั้นจริงอ่ะ”

“เปล่า กูล้อเล่น” ไอ้ซันส่ายหน้า และพูดต่อด้วยสีหน้าซีเรียส “จริงๆคือกูก็ไม่ค่อยสบายใจหรอกที่มีคนรู้น่ะ โดยเฉพาะไคล์” ผมแปลกใจกับคำพูดของมัน แต่ยังไม่ทันที่จะได้ถามว่าทำไม ไอ้ซันก็พูดต่อขึ้นมาด้วยความรวดเร็ว “แต่ก็ไม่มั๊ง บางทีไคล์รู้ๆจากปากมึงไปเลยอาจจะดีกว่าก็ได้ ถ้าเป็นมันรู้นี่ก็ปลอดภัยที่สุดแหละ เพราะมันไม่เอาไปบอกพ่อแม่ทั้งของกูหรือของมันแน่นอน”

“อ้าว” ผมร้อง “แล้วทำไมตอนแรกมึงถึงบอกว่าไม่ชอบใจที่เป็นไคล์รู้ล่ะ”

“ก็ไม่เชิง กูหมายถึงว่า มันยังเด็กน่ะ แล้วที่มึงบอกว่ามันรักกูเหมือนกับพี่ชาย กูก็เลยไม่อยากให้มันรู้สึกแย่ๆ”

“แต่ไคล์ก็ไม่ได้รู้สึกแย่นะ ก็อย่างที่กูเล่าให้มึงฟังไปไง”

ไอ้ซันยักไหล่ “คงงั้นมั๊ง”

“งั้นถ้าไม่พูดถึงความรู้สึกของไคล์ มึงรู้สึกยังไงบ้างล่ะ”

“ก็เฉยๆว่ะ กูก็ไม่ค่อยได้สนใจอะไรอยู่แล้ว อีกอย่างมันก็ไม่ใช่สังคมเพื่อนๆกูที่นี่ที่รู้ และมึงเองก็ยังไม่ได้รู้จักใครอะไรมากมายให้ต้องเสียหน้า หรือพูดให้ถูกมึงก็ไม่จำเป็นต้องปกปิดไปเลยก็ได้ถ้ามึงต้องการ และกูเองต่อให้เพื่อนๆกูรู้ กูก็ไม่แคร์ว่ะ มึงเองก็คงไม่ได้แคร์สายตาความคิดอะไรของใครนักเหมือนกันใช่มั๊ยล่ะ”

ผมรู้สึกทึ่งเล็กๆในคำตอบของมัน แต่ก็จริงอย่างที่มันว่าทุกอย่าง ผมเองก็ไม่มีอะไรไม่มีใครจำเป็นต้องแคร์ เพราะเพื่อนของผมที่ไทยบางคนก็รู้และยอมรับได้โดยเฉพาะพ่อของผม พ่อของผมรับได้และรักผมมาก เรื่องอะไรที่ผมจะต้องไปแคร์คนอื่นล่ะ แต่ถ้าเป็นที่นี่จะมีคนอยู่เพียงกลุ่มเดียวเท่านั้นที่ผมยังแคร์อยู่มากๆนั่นก็คือ.......

“ยกเว้นครอบครัวของมึงทุกคน”

“ก็คงประมาณนั้นมั๊ง” ไอ้ซันพยักหน้า “แต่ถ้ากูพร้อมเมื่อไหร่ และถ้ามึงพร้อมด้วย ถ้าทุกอย่างมันลงตัวแล้ว กูจะเป็นคนบอกพ่อกับแม่ของกูเอง” ไอ้ซันพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“เฮ้ย ไอ้ซัน มึงไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้นหรอก” ผมรู้สึกเป็นกังวล เพราะการที่พ่อแม่จะรู้เรื่องแบบนี้ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียวและจะมีพ่อแม่สักกี่คนในโลกที่เข้าใจและยอมรับลูกได้ง่ายๆ ยิ่งเป็นลูกชายคนเดียวแบบนี้ด้วยแล้ว ในกรณีของพ่อของผมนั้นพูดได้เลยว่าผมโชคดีจริงๆที่พ่อยอมรับได้ แต่ผมก็คิดในบางครั้งนะว่ามันเป็นเพราะตอนนั้นผมกำลังเกือบจะตายไปแล้วจริงๆและไอ้ซันก็ออกหน้ามาดูแลผมอย่างดีจนพ่อผมเขาเข้าใจอะไรหลายๆอย่างและได้เวลาในช่วงที่ผมหลับไปนานหลายวันเอาไว้คิด “กูไม่อยากเป็นภาระให้ครอบครัวของมึงนะ”

“กูบอกมึงกี่หนแล้วว่ากูไม่อยากให้มึงคิดแบบนั้น” ไอ้ซันขยี้ผมของผมเบาๆ “กูบอกมึงแล้วว่ากูอยากจะอยู่กับมึงไปนานๆ กูบอกมึงแล้วว่าหลังจากนี้เราก็คงจะมีปัญหาให้ต้องเผชิญกันอีกบ้าง แต่กูก็อยากจะให้มีก้อนเมฆมาลอยเคียงข้างกูอยู่ตลอดไป มึงเข้าใจมั๊ย และที่สำคัญ กูไม่อยากจะคบกับมึงแบบหลบๆซ่อนๆ โดยเฉพาะในบ้านของกูเอง”

ผมพยักหน้าช้าๆ รู้สึกดีใจอย่างที่สุดที่ได้ยินคำพูดพวกนั้นออกมาจากปากของมัน ถึงแม้จะมีความไม่มั่นใจและความไม่สบายใจบางอย่างที่ยังคงหลงเหลืออยู่ภายในใจของผมบ้าง แต่ยังหรอก มันยังไม่จำเป็นที่เราต้องมาคุยเรื่องทั้งหมดกันภายในวันนี้ เรายังต้องอยู่เคียงคู่และคอยแก้ปัญหาไปด้วยกันอีกนาน เพราะฉะนั้นเมื่อถึงเวลา เราสองคนก็จะฝ่าฟันมันไปด้วยกันเอง

“พูดดีๆอย่างนี้ ขอกูหอมแก้มทีนึง” ผมชะโงกหน้าเข้าไปจะหอมแก้มมันแต่ไอ้ซันกลับเบี่ยงหน้าหนีแล้วทำจมูกย่น

“เหี้ย เหม็น ไม่เอาหรอก เหงื่อออกเต็มตัว สกปรกจะตาย” มันผลักผมออกไป

“เออ ตามใจมึง” ผมลุกขึ้นยืนและกำลังจะก้มหยิบเสื้อที่ผมถอดออกมากองไว้บนพื้น ไอ้ซันก็ดึงตัวผมลงไปนั่งกับมันอีกรอบ

“กูโกหก” มันไซร้เข้ามาที่ซอกคอของผมจนผมรู้สึกจั๊กจี๊ “นานๆทีได้กลิ่นแบบนี้ของมึงบ้างก็น่ากอดน่าจูบดีจะตาย” ไอ้ซันลากเสียงและเริ่มเอามือซ้ายที่กอดผมอยู่มาป้วนเปี้ยนๆที่หัวนมของผมและเอามือขวาล้วงเข้าไปในกางเกงขาสั้น ผมเองก็รู้สึกถึงอะไรแข็งๆที่ดุนอยู่ที่ต้นขาของผมเช่นกัน

“พอๆ ทะลึ่ง เดี๋ยวใครมาเห็น” ผมรีบกระโดดลุกจากตัวของมันแล้วหยิบเสื้อขึ้นพาดบ่า “กูไปอาบน้ำแล้วนะ” ผมหันหลังแล้วเดินออกไปแต่ไอ้ซันกลับมาฉุดตัวผมเอาไว้แล้วกอดจากทางด้านหลัง

“ถ้าอย่างนั้น........ กูอาบด้วยคน” มันกระซิบเข้าที่ซอกหูของผม

“มึงจะบ้าเหรอ” ผมร้องและดันตัวมันออกพลางมองหาริต้าว่าอยู่แถวนี้หรือเปล่า “มึงจะทำอะไรก็ไปทำเหอะไป ขอกูอาบน้ำเดี๋ยวเดียว” ผมเดินขึ้นบันไดไปส่วนไอ้ซันก็เดินตามขึ้นมาติดๆ

“งั้นกูนั่งรออยู่ในห้องนะ” ไอ้ซันพูด

“ตามใจมึง” ผมเดินผ่านหน้าห้องน้ำที่ประตูเปิดแง้มอยู่ก็คิดว่าไคล์คงจะอาบน้ำเสร็จแล้ว เมื่อเดินผ่านหน้าห้องของเขาก็ได้ยินเสียงเพลงดังออกมาแว่วๆเลยรู้ว่าเขาอาบน้ำเสร็จแล้วจริงๆ

ไอ้ซันเดินตามหลังผมเข้ามาในห้องจากนั้นก็ล็อคประตูแล้วรีบเดินมาประกบตัวผมทันที “กูเปลี่ยนใจแล้ว กูไม่ให้มึงอาบหรอก”

“ทำไมเล่า ไหนบอกกูตัวเหม็นไง” ผมหัวเราะในลำคอเมื่อมันไซร้เข้ามาที่ต้นคอของผม

มันสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วบีบที่หน้าอกของผมแน่น “หอมดีออก”

ดูจากปฏิกิริยาของมันและความแข็งแกร่งของท่อนลำของมันที่ดุนสะโพกของผมอยู่ ทำให้ผมรู้ได้ทันทีเลยว่ามันชอบกลิ่นเหงื่อของผมนั่นเอง

“ชอบกลิ่นแบบนี้ล่ะสิ ใช่มั๊ย” ผมถามเบาๆ

“เปล่าสักหน่อย” แต่ผมรู้ว่ามันโกหก เพราะขณะที่มันพูดมันก็สูดหายใจเข้าไปด้วยแล้วยังตัวสั่นเล็กๆเพราะความอยากอีกต่างหาก

“งั้นกูไปอาบน้ำนะ”

แทนคำตอบ ไอ้ซันรีบหมุนตัวผมมาเผชิญหน้ากับมันแล้วซุกหน้าลงที่หน้าอกและใช้ลิ้นเลียไล่ไปจนถึงรักแร้ทันที...............

อีกหนึ่งชั่วโมงถัดมาผมถึงได้มีโอกาสไปอาบน้ำอีกรอบ และคราวนี้ ผมเข้าไปอาบพร้อมๆกับมันนั่นเอง


หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: tonsai_2520 ที่ 21-08-2007 11:58:19


อิจฉาวุ้ย


พวกรักคับหัวอก

ปล. ร้อนดีมั้ยเดินชายหาดยามบ่ายแก่ ๆๆ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 21-08-2007 15:31:35
โอ้ว ภาคนี้ติดเรทนิดนึงนะเนี่ย เหอๆๆ
 :m25:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 21-08-2007 15:51:20
เพิ่งมาอ่านภาคนี้ ชอบอีกแล้วค้าบบบบบบบบบบบบบบ

อยากอ่านตอนพิเศษหลังไมค์ด้วยอ่ะ อิอิ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 21-08-2007 18:56:09
ทำอย่างนี้อีกแล้วคุณต้น ไอ้หนึ่งชั่วโมงก่อนไปอาบน้ำกันน่ะ ทำอะไรเหรอ
ทำไมไม่บอก :m28:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: nattabadin ที่ 21-08-2007 19:22:59


วันก่อน . . . หมอดูไพ่ยิปซีแกมาดู  เลยสนองดูซะ

เป็นเวลาเดียวกับที่ไอ้น้องเนฯ  มันเดินมายืนใกล้ ๆ  หมอบอกว่า

"ตอนนี้  มีคนเข้ามาในชีวิตสองคน  หญิงหนึ่งชายหนึ่ง  แต่เนื้อคู่จะเป็นผู้ชาย"  ได้แต่นั่งแล้วมองหน้าแม่หมอ  แกทายแม่นหรือ?

"เนื้อคู่เป้นชายแน่ ๆ  แกยิ้ม  เป็นคนรูปร่างเล็ก ๆ  ขาว ๆ  หน้าตาดี"  เลยหันไปมองหน้าน้องเนน  แล้วยิ้มให้ มัน  เหอะ ๆ ๆ ๆ ๆ  มึงตกอันดับไปเลยเพราะมรึงมันดำ  ได้ ใจ  เหอะ ๆ ๆ ๆ ๆ 


ปล.  แค่อยากเล่าให้ฟังเฉย ๆ  นะ

ปล2.  ไม่อยากเดาว่าไคลน์กับสิลา  จะมีไรกันมาก่อนแล้ว  รักสามเศร้าเหรอ?



วันก่อนไปดูหมอกับแม่ หมอทายคล้ายๆๆของคุณน้ำค้าง เล่นเอาผมมองหน้าแม่ไม่ค่อยติดเลย :laugh: :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 21-08-2007 19:27:52
เหอ เหอ จามีตอนพิเศษอีกมั๊ยน้า  :m3:  :m3:  :m3:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 21-08-2007 22:07:44
ทำอย่างนี้อีกแล้วคุณต้น ไอ้หนึ่งชั่วโมงก่อนไปอาบน้ำกันน่ะ ทำอะไรเหรอ
ทำไมไม่บอก :m28:

เหอ เหอ จามีตอนพิเศษอีกมั๊ยน้า  :m3:  :m3:  :m3:

อยากให้มีกันมั๊ยอ่ะคับ แต่ตอนนี้ยังไม่ได้เขียนไว้
ถ้าอยากได้เดี๋ยวแต่งเพิ่มก้อได้คับ  o13

อยากได้ x กว่าของเดิมอ๊ะป่าวอ่ะ คราวนี้คิดว่าทำได้แล้วนะ แบบ x แตกกันไปข้างเลยคับพี่น้อง
55555

 :laugh:

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ~Brand New Beat~ ที่ 21-08-2007 23:46:20
รู้สึกตอนนี้ซันจะหื่นผิดปกตินะครับ หุหุ

อยากเห็นหน้าซันตอนทำหน้าหื่น  :o8:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 22-08-2007 05:58:10
 :o   เอิ้ววววว.. นั่นจิ
ก่อนหน้านั้น หนึ่งชั่วโมง... มันหายไปไหน  ฮ่าๆ    :laugh:

เอ่อ.... ถ้าเขียนให้ ...ก้ออ่านค่ะ    :o8: 


ว่าแย้วก้อ ย่องๆ     :m7:           ออกจากกระทู้ เขิลลลลลลลลลลลล...    :m23:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 22-08-2007 09:44:55
มาลงชื่อรอตอน ทริปเปิ้ลเอ็กซ์ จากคุณต้นคับ
 :m10:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 22-08-2007 11:10:35
โอ้ว ภาคนี้ติดเรทนิดนึงนะเนี่ย เหอๆๆ
 :m25:

มาลงชื่อรอตอน ทริปเปิ้ลเอ็กซ์ จากคุณต้นคับ
 :m10:

กำลังคิดอยู่ว่า เอาแบบ XX ดี หรือว่าจะ XXX (ฮา)

ล้อเล่นคับ จริงๆคือคิดว่าจะเอาแบบ หื่นๆอย่างที่ว่า (เพราะปกติไม่เคยเขียนแบบนั้น จะได้ลองตัวเองไปในตัว)
หรือว่า จะเอาแบบ หื่นๆ แต่ไม่ X ระเบิด ออกแนวอิโรติกดู อาจจะ พอๆกับตอนที่แล้ว แต่สวีทมากกว่า (มั๊ง - ยังไม่เคยลองเขียนนิ)
เพื่อจะเป็นแนวสำหรับงานต่อไปที่กำลังดำเนินการอยู่ดีคับ

เพราะว่าผมไม่รู้ว่าบอร์ดนี้ลง X ลง R ได้ขนาดไหนอ่ะคับ
ชี้ทางไอ้ต้นทีคับ
เพราะถ้าลง X มากไม่ได้ เรื่องหน้าไอต้นเป็นหมัน ไม่ได้คลอดแน่นอน

 :m17:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 22-08-2007 11:36:27
เอ๋ๆๆๆๆๆๆๆอันนี้ไม่ทราบเหมือนกันว่าลงได้ถึงระดับไหน

แต่ก็เห็นหลายเรื่องก็ลงแนว x ถึง x มากด้วยอ่ะ สงสัยอันนี้ต้องรอผู้รู้ หรือคนคุมบอร์ดซะแล้ว

แต่เชียร์ให้ลงเลยค้าบบบบบบบบบบบ รอน้ำย้อยแล้ว อิอิ  :laugh:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 22-08-2007 14:19:37

............มารอด้วยคน...xxx...ด้วยคน....... :m10: :m10:


...........ไม่ได้ต่อนาน.............คิดถึง........... :m18: :m18:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 22-08-2007 14:35:20
โอ้ว ภาคนี้ติดเรทนิดนึงนะเนี่ย เหอๆๆ
 :m25:

มาลงชื่อรอตอน ทริปเปิ้ลเอ็กซ์ จากคุณต้นคับ
 :m10:

กำลังคิดอยู่ว่า เอาแบบ XX ดี หรือว่าจะ XXX (ฮา)

ล้อเล่นคับ จริงๆคือคิดว่าจะเอาแบบ หื่นๆอย่างที่ว่า (เพราะปกติไม่เคยเขียนแบบนั้น จะได้ลองตัวเองไปในตัว)
หรือว่า จะเอาแบบ หื่นๆ แต่ไม่ X ระเบิด ออกแนวอิโรติกดู อาจจะ พอๆกับตอนที่แล้ว แต่สวีทมากกว่า (มั๊ง - ยังไม่เคยลองเขียนนิ)
เพื่อจะเป็นแนวสำหรับงานต่อไปที่กำลังดำเนินการอยู่ดีคับ

เพราะว่าผมไม่รู้ว่าบอร์ดนี้ลง X ลง R ได้ขนาดไหนอ่ะคับ
ชี้ทางไอ้ต้นทีคับ
เพราะถ้าลง X มากไม่ได้ เรื่องหน้าไอต้นเป็นหมัน ไม่ได้คลอดแน่นอน

 :m17:

ถ้าเอ็กซ์มากๆ ก็ส่ง PM เหมือนคราวที่แล้วก็ได้ครับ
แต่ก็อยากอ่านฉากบาดอารมณ์เหมือนภาคแรกเหมือนกันอ่ะคับ
 o1

ขอบคุณล่วงหน้าคับ
 o14 o15




หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 22-08-2007 16:53:33
แหม ไม่ได้อยากให้มองมาเป็นเอ็กซ์แตกสตอรี่เลยนะเนี่ย เดี๋ยวเขารู้หมดว่าคนแต่งนิสัยยังไง (ฮา)
แต่งเสร็จแล้วครับ ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงนิดๆในการดำเนินการ
ลองอ่านดูนะครับ ว่ามัน"เกิน"ไปหรือเปล่า ถ้าเกินไป ไม่เหมาะไม่ควรผมก็ขอโทษด้วย แล้วคราวหน้าจะส่งหลังไมค์ให้นะครับ
แต่ถ้าแค่นี้ยังพอรับได้ แปะหน้าไมค์ได้ ผมก็จะทำให้อยู่ระดับนี้แล้วแปะข้างหน้าไว้ให้ตลอด

แต่ถ้าอยากได้มากกว่านี้ แต่ส่งหลังไมค์ ก็ได้คับ
หรืออยากให้น้อยกว่านี้ แต่แปะหน้าไมค์ ก็ได้อีก
หรือถ้าอยากได้มากกว่านี้โคตรๆ แต่แปะหน้าไมค์ไปเล้ยยย ก็บอกนะคับ

5555

มาฟังเรื่องราวจากปากของ ซัน กันบ้างนะครับ

ตอนพิเศษ – ซัน


ผมออกจากบ้านไปเรียนด้วยความกระวนกระวายใจอย่างที่สุดแบบที่ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลย เมื่อผมกับเมฆได้ทำสิ่งที่เราทำกันไปแล้วเมื่อคืน ผมรู้สึกว่าตัวผมเองไม่อยากจะอยู่ห่างจากมันไปเลยแม้แต่ชั่วโมงเดียว ผมอยากจะใช้เวลากับมัน ผมอยากจะนอนกอดมัน ผมอยากจะจูบมันอีกครั้ง ผมอยากให้มันรู้ว่าผมเปลี่ยนไปแล้ว ผมอยากให้มันรู้จริงๆว่าผมรักและต้องการมันมากแค่ไหนไม่ใช่ผ่านทางคำพูด แต่เป็นผ่านทางการกระทำและความรู้สึกของผมโดยตรง

“กูกลับบ้านก่อนนะ รู้สึกไม่ค่อยสบายว่ะ” ผมบอกโธมัส เพื่อนของผม

“เออ เอาเหอะ กูก็เห็นมึงดูไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอยมาแต่เช้าแล้ว ตอนบ่ายมันก็ไม่มีอะไรสำคัญแล้วด้วย เดี๋ยวพวกกูจัดการให้เอง” โธมัสพูด

ผมบอกขอโทษแล้วก็ขอบคุณจากนั้นก็ลุกออกมาจากห้องเรียนแล้วตรงกลับบ้านทันที แต่เมื่อผมกลับมาถึงบ้านก็ต้องประหลาดใจเพราะว่าคนๆเดียวที่ผมเห็นคือริต้าที่กำลังทำความสะอาดบ้านอยู่ ผมถามเธอว่าไคล์และเมฆไปไหนเธอก็บอกว่าไม่รู้ ผมเริ่มรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที

เมื่อผมได้ยินเสียงดังมาจากหน้าประตูบ้านก็เป็นเวลาที่ผมกำลังนอนดูทีวีอยู่บนมุมโปรดบนโซฟาของผม เมื่อทั้งคู่เห็นผมนอนดูทีวีอยู่ก็ซักถามกันใหญ่ว่าทำไมผมถึงได้อยู่บ้านได้ในช่วงเวลานี้ มันยิ่งทำให้ผมคิดเข้าไปอีกว่าการที่ผมมาอยู่บ้านผิดเวลาแบบนี้เป็นสิ่งที่พวกมันไม่ได้คาดหมายไว้อย่างนั้นหรือ มันตั้งใจจะออกไปทำอะไรกันโดยที่ไม่อยากให้ผมรู้อย่างนั้นหรอกหรือ

แต่เมื่อผมรู้ว่าทำไมเมฆถึงได้ออกไปกับไคล์ผมก็เริ่มใจเย็นลง มันบอกผมว่าเป็นเพราะไคล์เห็นรอยจูบที่หน้าอกของมันแล้ว มันเลยรับคำชวนของไคล์ไปเล่นบาสเพื่อที่จะได้ไม่ต้องอยู่กันอย่างกระอักกระอ่วนและมันยังเล่าให้ผมฟังเรื่องที่มันพนันบาสกันอีกด้วย แต่ก็นะ ผมมันก็เป็นคนแบบนี้ ผมยังคงแกล้งทำเป็นไม่ชอบใจอยู่จนมันถามผมว่าผมชอบที่เห็นมันไม่สบายใจอย่างนั้นหรือผมจึงถึงกับสะอึก

ผมไม่ชอบที่เห็นมันไม่สบายใจหรอก แต่ผมก็ไม่อยากจะยอมรับด้วยนี่นาว่าที่ผมกลับมาเร็วก็เพราะผมอยากจะเจอมัน และที่ผมทำท่าไม่ชอบใจนั้นเป็นเพราะจริงๆแล้วผมงอนมันนั่นเอง

เมฆขยับเข้ามานั่งเบียดกับผมขณะที่มันเล่าเรื่องของมันในวันนี้ ผมนอนฟังอย่างตั้งใจและก็แซวมันออกไปบ้างว่ามันโง่และก็ประมาทเองที่ไปดูถูกฝีมือเล่นบาสของไคล์ แต่ผมรู้ว่าจริงๆแล้วมันก็เล่นเก่งมากๆเช่นกัน แน่นอนล่ะ ผมเคยเห็นมันเล่นมาตั้งไม่รู้กี่ครั้งแล้วนี่ แถมผมยังเคยเล่นกับมันด้วยตัวเองด้วย ก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะจำได้บ้างหรือเปล่า เพราะฉะนั้นผมจึงเป็นคนนึงที่รู้ฝีมือของมันดีที่สุด แต่ที่ผมพูดออกไปแบบนั้นก็มีเหตุผลในตัวของมันเองด้วย อย่างเช่นว่าผมไม่อยากจะให้มันรู้ว่าจริงๆแล้วตอนนี้สิ่งที่ผมกำลังสนใจมากกว่าเรื่องที่มันพูดก็คือหุ่นท่อนบนที่เปลือยเปล่าและกลิ่นเหงื่อของมันที่กระตุ้นทั้งอารมณ์และน้องชายในกางเกงของผมอย่างที่สุด

ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว มีมันเพียงคนเดียวที่ผมชอบสูดกลิ่นมากจริงๆ ไม่ว่าจะกลิ่นตัวและกลิ่นสบู่หอมๆของมันตอนหลังอาบน้ำ กลิ่นตัวตอนปกติของมันที่มีกลิ่นแบบที่ไม่เหมือนใคร เป็นกลิ่นหอมลึกๆที่ผมไม่สามารถอธิบายได้และผมก็ชอบมันมากๆด้วย ส่วนอีกอย่างก็คือกลิ่นเหงื่อของมันที่กระตุ้นอารมณ์ของผมมากที่สุด มีแค่มันคนเดียวเท่านั้นที่ผมชอบที่จะซุกจมูกลงบนตัวของมันแล้วสูดกลิ่นให้เต็มที่ ทั้งๆที่กับผู้ชายคนอื่นผมไม่เคยรู้สึกแบบนี้ด้วยเลยแม้แต่น้อย

เราสองคนคุยกันเรื่องที่ถ้าจะมีคนอื่นรู้เรื่องที่ผมกับมันคบเป็นแฟนกันจะเป็นอย่างไรรวมไปถึงเรื่องพ่อและแม่ของผมด้วย ผมบอกมันว่าผมไม่แคร์ ตราบเท่าที่มันเองก็ไม่แคร์ ผมภูมิใจที่จะยอมรับว่าผมมีมันเป็นแฟนของผม เพราะฉะนั้นเมื่อเวลามาถึงว่าใครสักคนควรจะรู้หรือเราสองคนควรจะบอกใคร เมื่อนั้นผมก็พร้อมที่จะทำ ถึงแม้ว่าคนแรกที่รู้ไปแล้วคือไคล์ ซึ่งผมไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก เพราะผมไม่คิดว่ามันจะมาเร็วขนาดนี้ และผมก็ไม่คิดด้วยว่าไคล์จะเป็นฝ่ายเข้าไปคุยกับเมฆแบบนั้น แต่ก็อย่างว่า ผมเองก็คิดและทำใจเอาไว้นานแล้วว่าถ้าจะมีใครสักคนที่รู้เรื่องของผมกับไอ้เมฆ คนๆนั้นก็ย่อมจะต้องเป็นไคล์นี่แหละ

“พูดดีๆอย่างนี้ ขอกูหอมแก้มทีนึง” ไอ้เมฆพูดพลางทำท่าจะหอมแก้มผมเมื่อผมบอกออกไปว่าผมพร้อมที่จะแสดงออกให้คนอื่นรู้ว่าผมรักมันอย่างไม่อายใคร แต่ผมกลับหลบมันเพราะความเขิน

“เหี้ย เหม็น ไม่เอาหรอก เหงื่อออกเต็มตัว สกปรกจะตาย” ผมทำเป็นด่ามัน แต่จริงๆแล้วผมก็ด่าตัวเองอยู่ในใจด้วยที่พูดอะไรงี่เง่าๆแบบนั้นออกไปทั้งๆที่จริงๆแล้วผมต้องการมันมากขนาดไหน

“เออ ตามใจมึง” ไอ้เมฆลุกขึ้นยืนทำท่าไม่ชอบใจผมจึงต้องรีบคว้ามันเอาไว้ก่อน

“กูโกหก” ผมรีบพูดแล้วไซร้เข้ามาที่ซอกคอของมัน กลิ่นเหงื่อผสมกับกลิ่นตัวอ่อนๆของมันทำให้ผมแทบจะเป็นบ้า ผมรู้สึกถึงน้องชายของผมที่ตอดตุบๆและเริ่มมีน้ำหล่อลื่นซึมออกมาเลอะกางเกงในไปหมดแล้ว “นานๆทีได้กลิ่นแบบนี้ของมึงบ้างก็น่ากอดน่าจูบดีจะตาย” ผมไม่สนแล้วว่ามันจะคิดยังไง ผมเริ่มลูบไล้มือไปตามส่วนต่างๆของร่างกายของมัน

“พอๆ ทะลึ่ง เดี๋ยวใครมาเห็น กูไปอาบน้ำแล้วนะ” ไอ้เมฆพูดพลางลุกขึ้นยืน ผมรู้สึกเสียดายจริงๆ ผมไม่อยากให้มันล้างเอากลิ่นนี้ออกไปเลย แต่ผมก็ไม่กล้าบอกมันออกไปตรงๆ

“ถ้าอย่างนั้น........ กูอาบด้วยคน” ผมพูด เพราะคิดว่าแบบนี้อย่างน้อยๆผมก็ยังได้สูดกลิ่นของมันไปด้วยขณะที่มันกำลังทำความสะอาดตัว

“มึงจะบ้าเหรอ” ไอ้เมฆร้องและดันตัวผมออก ดูท่าทางมันจะไม่ชอบให้ผมไปยุ่งกับมันตอนที่มันยังตัวเหนียวๆอยู่แบบนี้จริงๆ ผมจึงตัดใจและบอกมันว่าผมจะไปรออยู่ในห้องแทน

แต่เมื่อเราอยู่ในห้องและผมเห็นมันกำลังจะเดินไปอาบน้ำจริงๆ ผมจึงตัดสินใจรีบเดินไปประกบตัวมันเอาไว้และกอดมันแน่นจากนั้นก็เอาจมูกไซร้ไปตามซอกคอของมันพลางเอาลิ้นเลียเหงื่อที่แห้งไปหมดแล้วของมันด้วย “กูไม่ให้มึงอาบแล้ว”

“ไหนบอกกูตัวเหม็นไง” ไอ้ตัวดีพูดพลางหัวเราะหึๆในลำคอ ดูเหมือนมันจะรู้แล้วว่าผมชอบกลิ่นตัวของมันแบบนี้ที่สุด

“หอมดีออก” ผมพูดพลางออกแรงกอดรัดมันแน่นขึ้นอีกเพราะความอยาก และยิ่งเมื่อผมออกแรงกอดรัดมันแน่นเท่าไหร่ ท่อนลำของผมก็ยิ่งถูกเบียดแน่นติดกับตัวของมันมากเท่านั้น

“ชอบกลิ่นแบบนี้ใช่มั๊ย” มันถามผม

“เปล่าสักหน่อย” ผมโกหก และผมก็รู้ว่ามันรู้ว่าผมโกหก

“งั้นกูไปอาบน้ำนะ” ไอ้เมฆแกล้งทำเป็นลองเชิงผม

พอกันที ไม่ต้องมาเล่นลูกไม้อะไรกันอีกแล้ว ผมทนความเจ็บปวดที่ตรงหว่างขาผมไม่ไหวอีกแล้ว ถ้าผมไม่ได้มันในตอนนี้ผมต้องตายแน่ๆ ผมหันตัวมันมาหาผมจากนั้นก็ซุกหน้าลงไปบนซอกคอของมันแล้วก็เอาลิ้นเลียพลางสูดลมหายใจเข้าอย่างเต็มปอด ไอ้เมฆมีกลิ่นที่เซ็กซี่มากๆ และยิ่งเมื่อมันครางออกมาเมื่อผมทำแบบนั้นแล้วมันก็ยิ่งดูเซ็กซี่มากขึ้นไปอีก

ผมเลื่อนลิ้นสูงขึ้นไปเรื่อยๆจากซอกคอ ลูกกระเดือก สูงไปถึงปลายคางที่มีเคราอ่อนๆของมัน ให้ตายเถอะ ผมอยากจะเลียมันทุกส่วนของร่างกายจริงๆ และเมื่อคิดถึงตรงส่วนระหว่างขาของมันแล้ว ผมยังแทบจะอดไม่ไหวที่จะเอาหน้าซุกลงไปแล้วลงลิ้นให้มันดิ้นพล่านๆเสียที แค่คิดแค่นี้ก็ทำเอาน้ำของผมแทบจะแตกแล้ว

ผมค่อยๆเลื่อนปากขึ้นมาสูงขึ้นๆจนมาถึงริมฝีปากเรียวบางของมัน เมฆเป็นคนที่ผมจูบด้วยแล้วผมชอบมากที่สุดในชีวิตเลย ไม่ใช่แค่รูปปากที่เรียวสวยของมัน ไม่ใช่แค่ความหวานของรสชาติของมัน แต่เป็นเพราะว่ามันคือคนที่ผมรักและรอคอยที่จะได้ลิ้มรสแบบนี้มานานแล้วเหลือเกิน ผมสอดใส่ลิ้นเข้าไปในปากของมันแล้วก็ตวัดขึ้นลงพันกันกับลิ้นของมัน เมฆดูดลิ้นของผมเข้าไปเบาๆแล้วก็ครางออกมาในลำคอ ยิ่งทำให้ผมเตลิดเปิดเปิงมากขึ้นไปอีก

ผมถอนปากออกแล้วก็จัดการถอดกางเกงของตัวเองลงเพราะทนการบีบรัดของกางเกงในของผมไม่ไหวแล้ว ผมค่อยๆสะบัดกางเกงลงไปกองที่ตาตุ่มขณะที่มือของผมก็กำลังถอดเสื้อของไอ้เมฆออกไปด้วย ผมยกแขนของมันขึ้นแล้วเอาหน้าซุกลงไปที่รักแร้ของมัน ไอ้เมฆครางออกมาดังๆทันทีเมื่อผมเอาลิ้นตวัดขึ้นลงไปตามทางยาวและเอาจมูกดุนที่ขนรักแร้อ่อนๆของมัน

“โอ๊ยย ซัน อาาาาา” เมฆร้องออกมาในลำคอ

ผมรู้ทันทีว่าผมเจออีกจุดที่มันชอบแล้ว รักแร้ของมันยังเปียกไปด้วยเหงื่ออยู่ แต่ห้านาทีถัดมา รักแร้ทั้งสองข้างของมันก็เปลี่ยนเป็นเปียกไปด้วยน้ำลายของผมแทน

ผมถอนหน้าออกมาจากนั้นก็ถอดเสื้อของตัวเองออก ไอ้เมฆก็ทำเช่นเดียวกันกับกางเกงของตัวเอง เราสองคนยืนเปลือยเปล่าอยู่ต่อหน้ากันและกัน ผมไม่สนอีกแล้วว่าตอนนี้มันจะมืดหรือสว่าง แต่ผมต้องการมัน เดี๋ยวนี้เลยด้วย

ผมเดินเข้าไปสวมกอดมันแล้วก็จูบอย่างรุนแรงอีกครั้ง เมฆเองก็เป็นนักจูบที่ดีเช่นกัน จะว่าไปแล้ว มันคือคนที่จูบเก่งที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมาเลยทีเดียว ผมไม่อยากจะถอนปากออกจากปากหวานๆของมันเลย แต่สุดท้ายมันก็เป็นฝ่ายผงะออกไปก่อน แล้วก็เริ่มต้นก้มลงมาเลียหัวนมให้กับผม มันรู้ว่านั่นคือจุดที่ผมเสียวและไวต่อการสัมผัสมากที่สุด เมฆลงลิ้นทั้งหัวนมด้านซ้ายและขวาของผมอย่างเท่าๆกัน นอกจากนั้นมันยังตวัดลิ้นแบบเฉียดๆและวนเป็นวงกลมตรงฐานโดยไม่ให้โดนหัวนมจังๆอีกด้วย ผมรู้สึกตัวเองเริ่มเข่าอ่อนและน้ำหล่อลื่นของผมก็ถูกขับออกมาอีกครั้ง

“อาาาาา เมฆ ดูดเลย ดูดแรงๆ เสียมากเลยเมฆ อาาาา” ผมคราง

เมื่อมันได้ยินดังนั้นมันจึงรีบเล่นกับหัวนมผมมากขึ้นไปอีกจนผมถึงกับทรุดตัวลงบนหัวของมัน

“เข่าอ่อนเลยเหรอที่รัก” ไอ้เมฆพูดยิ้มๆ มันเรียกผมว่าที่รักอย่างนั้นเหรอ ผมไม่อยากจะเชื่อเลย แต่ก่อนที่ผมจะได้ตอบอะไรออกไปนอกจากรอยยิ้มแห่งความสุขนั้น มันก็อุ้มผมขึ้นแล้วก็วางผมลงบนเตียงอย่างอ่อนโยน ถึงจะเป็นระยะทางไม่ไกลจากประตูห้องมาถึงเตียง แต่ผมก็อดประหลาดใจในความแข็งแรงของมันไม่ได้

แต่ตอนนี้ผมไม่ได้อยากเป็นฝ่ายถูกกระทำ ผมอยากจะเป็นฝ่ายกระทำมันมากกว่า ผมอยากจะโลมเลีย และซุกไซร้ทุกส่วนของร่างกายของมันและสูดเอากลิ่นหอมของมันจนกว่ามันจะจืดไปเลยทีเดียว ผมพลิกตัวมันให้อยู่ข้างใต้ผมจากนั้นก็เริ่มเอาลิ้นดุนไปตามทุกส่วนของใบหน้าและซอกคอของมัน ผมรับรสเค็มๆปะแล่มๆของมันจากทุกส่วนของร่างกายไม่ว่าจะซอกหู ซอกคอ รักแร้ และหน้าอกอันแข็งแรง ผมไล่ลิ้นลงมาเรื่อยๆจนถึงสะดือและไรขนเป็นทางของมัน ผมเอานิ้วบี้หัวนมของมันไปด้วยขณะที่เอาลิ้นดุนลงไปในรูสะดือของมัน ไอ้เมฆยังคงส่งเสียงครางออกมาไม่ขาดสาย

เมื่อผมไล่ลิ้นเลยสะดือลงมาเล็กน้อย ครางของผมก็ไปชนเข้ากับส่วนหัวของท่อนลำของมันที่มีน้ำเหนียวๆใสๆเย็นๆเคลือบอยู่เต็มไปหมด ผมละสายตาลงมามองและเห็นว่ามีหยดน้ำใสๆหยดหนึ่งกำลังจะไหลออกมาและเริ่มจะหยดลงบนพุงของมันแล้วด้วย ผมจึงรีบเอาลิ้นไปรองรับ ตวัดและเลียมันเข้าปากไปทันที เมฆตัวเกร็งและร้องออกมาทันทีที่ผมทำอย่างนั้น

“อาาาาาาาาาาาา กูเสียววว ซันน” มันหอบออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน

แต่ไม่ใช่แค่น้องชายของมันเท่านั้นที่กำลังมีน้ำเมือกไหลออกมาไม่หยุดหย่อน ของผมเองก็เช่นกัน ผมรู้สึกถึงแรงขับที่กระตุ้นให้น้ำใสๆไหลออกมาอีกระลอก

ผมซุกหน้าลงที่ขนอุยของมันแล้วก็สูดกลิ่นเข้าไปเต็มจมูก มันไม่มีกลิ่นเหม็นเลยแม้แต่นิดเดียว กลิ่นๆเดียวที่มีอยู่คือกลิ่นเหงื่อจางๆ ซึ่งต้องยอมรับเลยว่าหอมมาก มากกว่ากลิ่นเหงื่อของผู้ชายคนอื่นๆอย่างสิ้นเชิง กลิ่นของมันแตกต่างจากใครๆทั้งหมดที่ผมเคยรับรู้มาเลย ผมค่อยๆเอามือดึงหนังหุ้มของมันลงเผยให้เห็นส่วนหัวของมันที่แดงก่ำและถูกเคลือบไปด้วยน้ำเมือกของมันเอง ผมเอาปากครอบลงไปทันที รสชาติมันเค็มนิดหน่อยแต่ก็หวานและอร่อยยิ่งกว่าที่ผมได้ชิมเมื่อคืนเสียอีก ไอ้เมฆดิ้นพล่านและเอามือจับหัวของผมแน่น นี่ถ้าผมมีผมยาวกว่านี้มันก็คงจะขยุ้มเส้นผมของผมไปแล้วแน่ๆ

ผมใช้ปากให้กับมันอยู่นานจนผมคิดว่ามันคงใกล้จะถึงฝั่งแล้วฟังจากเสียงครางของมันที่ดังขึ้นเรื่อยๆ และท่อนเอ็นของมันที่เริ่มกระตุกถี่ขึ้นๆ ผมจึงถอนปากออกและชะโงกหน้าเข้าไปจูบกับมันอย่างดูดดื่มอีกครั้ง

เมฆพลิกตัวผมลงไปเป็นฝ่ายนอนอยู่ข้างล่างบ้าง และผมเองก็รอให้มันทำแบบนี้อยู่นานแล้วเหมือนกัน มันค่อยๆไซร้และดูดดุนหัวนมของผมจนผมแทบจะแตกโดยไม่ต้องออกแรงชักของตัวเองเลย มันค่อยๆเลื่อนลงไปข้างล่างจนถึงน้องชายของผมจากนั้นก็ครอบปากลงไปมิดเกือบทั้งลำ ไม่เคยมีใครใช้ปากให้ผมได้เก่งเท่ากับมันมาก่อนเลย แต่ก็ใช่ว่าผมจะเคยมีอะไรกับใครมาเยอะแยะหลายคนน่ะนะ

จากนั้นเมฆก็ยกขาผมลอยสูงขึ้นทั้งสองข้างแล้วก็เอาลิ้นเลียพร้อมๆกับออกแรงดูดและขบเข้าที่แก้มก้นทั้งสองข้างของผมเบาๆ

“โอ๊ยยยยย เมฆฆฆ ซี๊ดดดดดดดดดด” ผมร้องออกมาเพราะความเสียวแบบสุดๆ มันเสียวแบบแปลกๆแบบที่ผมไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลย ผมชอบที่มันทำแบบนี้กับผมทุกครั้งจริงๆ และเหมือนมันก็จะรู้ด้วยเพราะมันเริ่มเลื่อนลิ้นอุ่นๆของมันมาวนอยู่ตรงรูก้นของผม ผมถึงกับสะดุ้งเฮือกและครางออกมาอย่างไม่ขาดสาย

เมฆเอานิ้วมาแหวกรู้ก้นของผมออกให้กว้างขึ้นจากนั้นก็ใช้ลิ้นดุนเข้าอย่างแรงแรง ทั้งตวัดและทั้งดุนจนมันถูกแหย่เข้าไปในรูก้นของผม มันใช้ลิ้นตวัดและแหย่เข้าออกอยู่ตรงนั้นอยู่นานมากจนผมรู้สึกหน้ามืดและเข่าอ่อนไปหมดแล้ว

“อาาาาา เมฆฆ อยะ อย่า........ ซี๊ดดดดด อย่าหยุดนะ แรงๆเลย แหย่เข้าไปลึกๆเลย” ผมร้อง เรียกร้องให้มันทำมากกว่านี้และทันใดนั้นเองผมก็รู้ตัวแล้วว่าผมต้องการอย่างอื่นมากกว่านั้น

“เมฆ ในตู้เสื้อผ้า เก๊ะตัวที่สองจากข้างล่าง” ผมบอกมันทั้งๆที่ยังหอบอยู่และทั้งๆที่ไม่อยากให้มันถอนลิ้นออกมาจากก้นของผมเลยด้วย

เมฆเดินไปที่ตู้ของผมอย่างว่าง่าย และเมื่อมันเปิดลิ้นชักออกก็พบกับเจลที่ผมเก็บเอาไว้

“นี่ใช่มั๊ย” มันพูดพร้อมยิ้มกริ่ม ผมยอมรับว่าผมอายนะ แต่เมื่อมองจากหน้าของมันแล้วผมก็รู้ว่ามันเองก็เขินไม่แพ้ผมเช่นกัน

เมฆกลับมานั่งอยู่ตรงหว่างขาของผมอีกครั้งจากนั้นก็บีบเจลลงบนมือของตัวเองแล้วก็เอานิ้วที่ชุ่มเจลเย็นๆนั้นทาไปรอบๆรู้ก้นของผมด้วย ทันใดนั้นมันก็เอาปากมาครอบลงบนท่อนลำของผมที่ตอนนี้ขับน้ำเมือกออกมาอีกระลอกแล้ว ในเวลาเดียวกันกับที่มันเอานิ้วชี้ค่อยๆกดลงไปในปากทางเข้านั้น

ผมถึงกับกระตุกเมื่อถูกล่วงล้ำเข้ามาภายในตัวของตัวเองพร้อมๆกับถูกจู่โจมด้วยลิ้นของมันที่ด้านหน้า

“อืมมมม ซี๊ดดดดด เมฆฆฆ เสียวสุดยอดเลยยยยย” ผมครางกระเส่า เมฆเองก็ครางอย่างพอในใจลำคอของตัวเองเช่นกัน มันครางเป็นเสียงอืมๆอู้อี้ๆทั้งที่ปากยังทำงานให้กับน้องชายของผมอยู่

ผมเอามือกำผ้าปูเตียงเอาไว้แน่นเมื่อนิ้วของเมฆเริ่มชักเข้าชักออกช้าๆ ในขณะที่ลิ้นของมันก็ตวัดไปรอบๆหัวหยักของผมไปด้วย มันเสียวสุดๆจริงๆ ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าการทำแบบนี้มันจะเสียวได้มากขนาดนี้ จนเมื่อมันแหย่นิ้วเข้ามาลึกขึ้นจนชนเข้ากับอะไรบางอย่างในร่างกายของผม ผมถึงกับสะดุ้งและสำลักอากาศไปเฮือกใหญ่ ผมเกือบจะเสร็จออกมาอยู่แล้ว!

“เมฆ หยุดก่อน กูเสียว จะแตกแล้ว!” ผมร้อง ไอ้เมฆจึงถอนปากออกแต่มันก็ยังคงใช้นิ้วกับผมอยู่ “ไม่....... ไม่ใช่ นะ นิ้วของมึงน่ะ...... หยุด ก่อน.....” ผมร้องอย่างเหนื่อยอ่อน

ไอ้เมฆเหมือนจะรู้ตัวก็เลยหยุดแช่นิ้วเอาไว้อย่างนั้น พร้อมๆกับชำเลืองมองผมด้วยรอยยิ้ม

“เสียวเหรอ” มันยิ้มกว้าง

“อืมมม โคตรๆเลย” ผมตอบ “ไม่เคยเสียวอย่างนี้มาก่อนเลยว่ะ” ผมตอบไปตามความเป็นจริง

“อยากเสียวกว่านี้มั๊ย” มันถามอย่างรู้ทัน ผมเองก็รู้ว่ามันหมายความว่าอะไร แต่ผมก็กังวลเช่นเดียวกันเพราะถ้าใช้อะไรที่มันใหญ่กว่านิ้วชี้ของมันโคตรๆแบบนั้นแล้ว ผมเองท่าทางจะเจ็บไม่น้อย

“ไม่ต้องห่วง กูจะค่อยๆนะ กูก็ไม่อยากให้มึงเจ็บหรอก” มันพูดกับผมเบาๆ และผมก็เชื่อ ผมรู้ว่าถ้าผมบอกว่าเจ็บและอยากหยุด มันก็คงหยุดแน่นอน

“ใช้นิ้วไปก่อนแล้วกัน” ผมบอกเป็นนัยๆว่าให้ใช้นิ้วขยายมันให้มากกว่านี้ก่อน

เมฆเองก็เข้าใจ มันเริ่มเอาปากเลียหัวของท่อนลำของผมอีกครั้งพร้อมๆกับบีบเจลมากขึ้นใส่มือของตัวเองและก็ใช้นิ้วชี้นิ้วเดิมซอยเข้าออกช้าๆ ความเสียวเริ่มเข้ามาปกคลุมตัวผมไปหมดอีกครั้ง หลังจากนั้นไม่นานมันก็เริ่มใส่นิ้วเพิ่มขึ้นเป็นสองนิ้ว และสามนิ้ว ตอนแรกมันก็เจ็บอยู่หรอก มันเป็นความรู้สึกแน่นๆคับๆ บอกไม่ถูก แต่เมื่อเริ่มชินและเมื่อนิ้วของมันเริ่มกระทุ้งเข้ากับผนังส่วนนั้นของผม มันก็เปลี่ยนเป็นความเสียวแบบสุดๆทันที

“อาาาา เสียวมากเลยเมฆ รู้สึกดีมากเลยยย อืมมม ฟิตมากๆเลยว่ะ!” ผมร้อง

เมฆเองก็ดูท่าทางจะพอใจเช่นเดียวกัน เมื่อมันได้ยินอย่างนั้นมันก็เริ่มซอยนิ้วเร็วขึ้นและแรงขึ้นจนผมเกือบจะเสร็จอีกครั้งเลยต้องร้องห้ามมันออกไปก่อน

“ไม่ไหวแล้วเมฆ กูจะแตกแล้ว มึงพอก่อน” ผมหอบ “ไม่ไหวแล้ว มึงใส่ๆเข้ามาเถอะ กูไม่อยากแตกด้วยนิ้วของมึงนะ ไอ้สัตว์” ผมร้องเพราะทนไม่ไหวแล้ว

เมฆยิ้มกว้างและชะโงกหน้าเข้ามาจูบผมอย่างหนักหน่วง เราสองคนแลกลิ้นกันนานมากขณะที่มือของมันก็กำลังชโลมน้องชายของมันด้วยเจลจนชุ่ม เมื่อมันถอนปากออก มันก็กระซิบกับผมเบาๆ

“มึงพร้อมนะ”

ผมพยักหน้าช้าๆ และหลับตา แต่เมื่อคิดได้ว่าผมอยากจะเห็นใบหน้าของมันด้วย ผมอยากจะเห็นใบหน้าที่เสียวสุดๆของมันที่กำลังจะทำให้กับผม ผมจึงชะโงกหน้าแล้วมองลงไปยังไอ้เมฆที่กำลังจับหัวน้องชายของมันจ่อเข้ามาที่ปากทางของผม

ผมเอามือจับขาของตัวเองให้ถูกยกเอาไว้ และเมื่อผมรู้สึกได้ถึงส่วนหัวที่เริ่มรุกล้ำเข้ามาผมก็ต้องสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่และแอ่นหน้าไปทางด้านหลังเพราะความเจ็บปวดแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนในชีวิตที่แล่นไปทั่วร่าง ผมหลับตาแน่นและกัดฟันเพราะความเจ็บแสบ แต่ไอ้เมฆกลับสูดลมหายใจเข้าช้าๆยาวๆและครางออกมาเพราะความเสียว

“ซี๊ดดดด แน่นมากเลยซัน ฟิตมากเลย อาาาาาาาา เสียวมากๆเลยว่ะ” มันพูดเบาๆ “มึงเจ็บมั๊ย กูเอาออกก็ได้นะ”

“ไม่เป็นไร กูทนได้” ผมหลับตาแล้วกัดฟันแน่น “แช่ไว้ก่อนก็แล้วกัน”

เมื่อผมเริ่มรู้สึกชินมากขึ้น ผมก็ก้มหน้าลงกลับไปมองสีหน้าของมันอีกครั้งจึงเห็นว่ามันกำลังแหงนหน้าและหลับตาครางเพราะความเสียวขณะที่ค่อยๆดันตัวเข้ามาหาผมช้าๆ ทันใดนั้นเองผมก็เริ่มรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง ณ ตรงจุดนั้น ความเจ็บปวดเริ่มเปลี่ยนเป็นความเสียวแบบที่ผมไม่เคยรู้สึกมาก่อน

“มึงเจ็บมากมั๊ย ซัน” เมฆถามผมอย่างเป็นห่วง

ผมส่ายหน้าช้าๆ “ไม่ ไม่เจ็บแล้ว ซี๊ดดดดดดดด อาาาา” ผมบิดหน้าเพราะความเสียว “มึงใส่เข้ามาเลยเมฆ กูไม่เจ็บแล้ว ใส่เข้ามาแรงๆเลย กระแทกให้มันโดนผนังนั่นเลย”

เมื่อได้ยินดังนั้นไอ้เมฆก็ดันตัวเข้ามาจนเกือบจะสุดลำทันที ผมอ้าปากค้างเพราะความตกใจ ความเจ็บ และความเสียว เมื่อน้องชายของมันกระแทกเข้ากับผนังส่วนนั้นของผม มันเสียวแบบสุดๆไปเลย ผมไม่เคยเสียวมากแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต และยิ่งไปกว่านั้นเมื่อคิดว่าคนที่กำลังทำผมอยู่นั้นคือไอ้เมฆ มันก็ยิ่งทำให้ผมมีความสุขมากเข้าไปใหญ่

ผมพยายามมองหน้าของไอ้เมฆเพราะอยากรู้ว่าผมกำลังทำให้มันมีความสุขอยู่บ้างรึเปล่า และสีหน้าของมันที่ผมเห็นก็เป็นคำตอบให้ผมได้อย่างดี มันมีสีหน้าเหยเกบิดเบี้ยวเพราะความเสียว เหงื่อที่เริ่มไหลออกมาจากไรผมและหน้าผากของมันก็ทำให้มันดูเซ็กซี่มากขึ้นไปอีก เมื่อเห็นดังนั้นผมก็ยิ่งรู้สึกเสียวมากขึ้นอีกเป็นทวีคูณ เราสองคนแข่งกันครางเสียงดังเพราะความเสียวอย่างไม่อายใครอีกต่อไป

“อาาาา แรงๆเลยเมฆ ใส่เข้ามาเลย กูไม่เจ็บแล้ว เสียวสุดยอดเลยยย” ผมร้อง

“ซัน ของมึงฟิตมากเลย กูจะไม่ไหวแล้วเหมือนกัน กูจะแตกแล้ว ซัน” มันเองก็ร้องออกมาอย่างแหบแห้งเช่นเดียวกัน

ทันใดนั้นผมก็รู้สึกถึงการเคลื่อนตัวของน้ำเชื้อของผมที่ถูกขับออกมาจากถุงอัณฑะของผม ผมเริ่มรู้สึกว่าผมใกล้จะแตกเต็มทีแล้ว มันช่างเสียวแบบสุดยอดจริงๆ และตอนนี้ผมยังไม่ได้แม้แต่จะจับหรือชักให้ตัวเองไปด้วยเลย และเหมือนเมฆเองก็จะรู้ เพราะว่ามันเองก็เริ่มเร่งจังหวะให้เร็วขึ้นๆและแรงขึ้นๆไปเรื่อยๆด้วย

“เมฆ กู จะ จะ.... จะออกแล้ว” ผมร้อง เมื่อสิ้นเสียงของผมเอง ผมก็รู้สึกได้ถึงน้ำแห่งความสุขที่ถูกฉีดออกมาจนทั่วไปหมด ล็อทแรกนั้นทั้งเยอะและแรงมาก มันกระเด็นมาจากท่อนลำของผมที่กำลังโยกและกระเด้งตามแรงกระแทกของเมฆจนมันไปตกอยู่ที่แก้มซีกซ้ายของผม ส่วนล็อทถัดๆมาก็กระเด็นเรี่ยราดอยู่ทั่วตัวของผมไปหมดไม่ว่าจะที่ลำคอ หน้าอก และหน้าท้อง ผมไม่เคยหลั่งออกมามากมายและมีความสุขเท่านี้มาก่อนเลยในชีวิต และที่สำคัญ ผมไม่ได้แม้แต่แตะต้องตัวผมเองเลยแม้แต่น้อยด้วย

หลังจากที่ผมเสร็จแค่ไม่กี่วินาที เมฆก็เริ่มเกร็งและร้องออกมาเพราะความเสียวเช่นเดียวกัน ผมรู้สึกได้ถึงท่อนลำของมันที่กระตุกและฉีดพ่นน้ำของมันเข้ามาเต็มภายในช่องท้องของผมไปหมด

“อาาาา ซัน กูแตกแล้ว กูแตกแล้วว” มันร้องขณะที่กระแทกเข้ามาแรงขึ้นๆเป็นครั้งสุดท้าย

เมื่อน้ำหยดสุดท้ายของมันถูกฉีดออกไปมันก็ซบตัวลงมาอยู่บนตัวของผมแล้วหายใจแรง พยายามสูดเอาอากาศเข้าปอดให้มากที่สุด เราสองคนนอนนิ่งกันอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเริ่มรู้สึกว่ามีกำลังขึ้นมาแล้ว เมฆก็ค่อยๆถอนน้องชายที่เริ่มอ่อนตัวลงของมันออกจากจากรูของผมช้าๆ จากนั้นมันก็ชะโงกหน้าเข้ามาหาผม ตอนแรกผมคิดว่ามันจะจูบผม แต่แล้วมันกลับเอาลิ้นมาไล่ไปตามใบหน้าของผมโดยเฉพาะตรงแก้มที่เลอะไปด้วยน้ำของผมเองจากนั้นก็กลืนกืนมันไปจนหมด

“ของมึงหวานดี กูชอบ” มันบอกผมจากนั้นก็ก้มมาจูบปากผมอย่างหนักหน่วง ผมรู้สึกได้ถึงรสชาติเค็มๆหวานๆของน้ำของผมเองที่ยังคงติดอยู่ที่ริมฝีปากของมันและนั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกถูกกระตุ้นมากขึ้นไปอีก

“เหนื่อยมั๊ย” ผมถามมัน

เมฆทิ้งตัวลงนอนข้างๆผมแล้วกอดผมเอาไว้พร้อมๆกับเอามือละเลงน้ำของผมไปจนทั่วทั้งหน้าอกและกล้ามหน้าท้องของผมจนทั่ว

“เหนื่อย แต่ก็สนุกดี ว่าแต่มึงเถอะ เจ็บรึเปล่า” มันถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

“ไม่ว่ะ แรกๆก็เจ็บนะ แต่หลังๆไม่แล้ว”

“ก็นั่นน่ะสิ ถึงกับแตกโดยไม่ต้องชักเลยนี่” มันยิ้มกว้าง

ผมรู้สึกหน้าของตัวเองร้อนผ่าวเพราะความอายทันที “เดี๋ยวตามึงมั่งแล้วจะรู้สึก”

แทนที่มันจะรีบปฏิเสธแบบที่ผมคิด มันกลับชะโงกมาจูบผมเบาๆอีกหนึ่งครั้งแล้วพูดเสียงแข็งเป็นเชิงขู่

“ถ้าทำกูไม่เสียวเหมือนที่กูทำให้มึงล่ะก็ เป็นเรื่องแน่”

ผมหัวเราะเบาๆ มันเองก็เช่นกัน ผมเริ่มรู้สึกถึงท่อนลำของผมที่เริ่มจะตั้งตรงขึ้นมาอีกครั้งแล้ว

“พร้อมจะลองเลยมั๊ยล่ะ” ผมถาม พลางขยำไปที่ท่อนเอ็นของมันที่ก็แข็งขึ้นมาอีกครั้งแล้วเช่นกัน

“พักก่อนหน่อยเถอะ” มันบอก “แต่ว่าซัน..........” มันมีสีหน้ากังวลขึ้นมาทันที “เมื่อกี๊ กูกับมึงเอา เอ่ออ เอาสดอ่ะ แล้วกูยังแตกข้างในมึงอีก.........”

“มึงไม่ไว้ใจกูเหรอ กูสะอาดชัวร์ร้อยเปอร์เซ็นต์ มึงไม่ต้องห่วงหรอก กูไม่ค่อยได้มีอะไรกับใครหรอก มีล่าสุดก็นานมาแล้ว แถมใส่ปลอกทุกครั้งด้วย” ผมพูดด้วยความรู้สึกอดน้อยใจนิดๆไม่ได้

“ไม่ๆ กูไม่ได้ห่วงเรื่องมึง แต่กูคิดว่ามึงนั่นแหละ จะกังวลเรื่องของกูรึเปล่า” มันพูดเงียบๆ

“ทำไม มึงจะบอกว่าตอนอยู่ที่ไทย มึงผ่านมาเยอะเหรอ” ผมถามทีเล่นทีจริง ในใจก็ไม่อยากให้มันเป็นอย่างนั้น มันรู้สึกปวดร้าวๆในใจอย่างไรบอกไม่ถูกเมื่อคิดว่าถ้ามันไปทำอะไรกับคนอื่นมาเยอะแยะจริงๆ

“มึงก็พูดเกินไป กูมีอะไรแค่กับนัทเท่านั้นแหละ แล้วก็ใส่ถุงทุกครั้งด้วย” มันตอบ ผมเองก็โล่งใจที่ได้ยินอย่างนั้น อย่างน้อย ผมก็เป็นคนที่สองของมันล่ะวะ

“งั้นไปอาบน้ำกันเถอะ ก่อนที่น้ำของมึงมันจะไหลออกมาทำเอาผ้าปูเตียงกูเลอะไปมากกว่านี้” ผมพูดอายๆ เพราะผมเริ่มรู้สึกว่าน้ำของมันที่ถูกฉีดเข้าไปเต็มรูของผมเริ่มจะไหลย้อนออกมาบ้างแล้ว

หลังจากนั้นเราสองคนก็จูงมือกันเดินออกจากเตียงและเดินผ่านห้องของไคล์ที่ยังคงเปิดเพลงเสียงดังไปเข้าห้องน้ำ และไม่กี่นาทีถัดมา ผมก็สอนให้มันรู้ว่าการที่เสียวจนแตกได้โดยไม่ต้องจับนั้นมันเป็นอย่างไร
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 22-08-2007 17:01:07
ที่ผมต้องถามเพื่อความแน่ใจหลายๆรอบนี่ไม่ใช่อะไรหรอกครับ
เพราะต่อม X แตกของผมมันทำงานผิดพลาดไปแล้วนั่นเอง
สำหรับผมแล้ว เรื่องนี้ และโดยเฉพาะ เรื่องใหม่ที่ผมกำลังดำเนินการอยู่นั้น
คนอื่นอ่านอาจจะมีแข็งมีน้ำ(?)ซึม ผมไม่รู้หรอก แต่ผมอ่านแล้วมันเฉยๆน่ะครับ ยิ่งอ่านกลับยิ่งซึ้งเพราะความโรแมนติก ไม่ใช่เอ็กซ์แตก
ก็เลยอยากให้คนอ่านช่วยๆลองคอนเฟิร์มดูว่าแบบนี้มันเรียกว่าเอ๊กซ์รึยังอ่ะคับ

 :m23:

ช่วงหลังๆนี้ผมอ่านอะไรหลายๆอย่างเยอะมาก (ไม่ใช่ภาษาไทยนะครับ) ก็เลยเห็นว่าการแสดงออกการบรรยายของเขามันต่างกะของเราอยู่มาก
เรื่องใหม่ของผมก็เหมือนกัน มันจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงแต่ก็จะมีฉากประมาณตอนข้างบนนี้เยอะมากมาย
ก็เลยอยากรู้ความเห็นน่ะครับ ว่านี้มันเอ็กซ์ไปรึยังอ๊ะป่าว อะไรแบบนั้นอ่ะครับ

งงกันมั๊ยป่าวหว่า ผมก็อธิบายอะไรม่ค่อยเก่งซะด้วยสิ
เอาเป็นว่าขอความเห็นหน่อยก็แล้วกันนะครับ

 :m17:

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 22-08-2007 17:56:51
โอ้วละเอียดยิบเลยทีเดียว
 :m10:

ตอนแรกซันจะเป็นฝ่ายกระทำไม่ใช่หรอครับ
ทำไมเสียท่าเมฆซะงั้นอ่ะ เหอๆๆ
 :m12:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: somtamman ที่ 22-08-2007 18:40:40
ยุติธรรมดีไง

จะได้เข้าใจทั้งสองฝ่าย

ว่ากระทำและถูกกระทำ  เป็นยังไง

แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ  มันเกิดจากความรักต่างหาก  จะบทบาทไหน ไม่เห็นสำคัญใช่มะ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 22-08-2007 19:24:18
โอ้วว ได้อ่านในมุมมองของซันบ้างแล้วววว  :give2:  :give2:  :give2:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ~Brand New Beat~ ที่ 22-08-2007 22:29:19
รู้สึกว่าตอนนี้จะพิเศษสมชื่อเลยนะครับ  :m10:

มารออ่านตอนต่อไปครับผม จะมีตอนพิเศษโผล่มาอีกมั้ยน้า หุหุ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 23-08-2007 00:07:28
อยากอ่านความรู้สึกของซันมาตั้งนานแล้ว ดีจังที่คุณต้นเขียนให้อ่าน เพราะบางครั้งคิดไม่ออกจริงๆ ว่าซันมีความรู้สึกยังไงกับเมฆ  รู้สึกลึกซึ้งแค่ไหน  จะลึกเท่าที่กับที่เมฆรู้สึกหรือเปล่า

เรื่องเอกซ์ที่เขียนก็ไม่ได้รุนแรงอะไร สำนวนภาษาก็เรียบร้อยดีนี่ ไม่ได้ดุเดือดประเภทยอดรักนักเลงซะหน่อย

แต่ที่แปลกใจก็คือคิดว่าซันจะเป็นคนทำ ดั๊นไหงกลายเป็นถูกทำซะงั้นละเนี่ย :m28:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 23-08-2007 00:48:58
เอิ้ววววววววว....    :o8:

และแล้ว ซันก้อโดนเมฆ หม่ำก่อนซะแล่ะ คิคิ   :m3:



 :m25:   


จะบอกว่าเรทมั๊ย?...เรทค่ะ แต่เป็นเรท ที่รับได้ ไม่ ล่อนจ้อน แล่ะไม่ได้ ดิบเกินไป   o15
บางทีเราไม่ต้องบรรยาย จนหมดเปลือก แต่ถ้ารู้จักใช้ถ้อยคำภาษา      :teach:
ซินว่า มันสละสลวย สวยงาม ..กว่า.....เขียน ออกมาแบบ โจ่งๆค่ะ    o15
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 23-08-2007 01:22:35
อยากอ่านความรู้สึกของซันมาตั้งนานแล้ว ดีจังที่คุณต้นเขียนให้อ่าน เพราะบางครั้งคิดไม่ออกจริงๆ ว่าซันมีความรู้สึกยังไงกับเมฆ  รู้สึกลึกซึ้งแค่ไหน  จะลึกเท่าที่กับที่เมฆรู้สึกหรือเปล่า

เรื่องเอกซ์ที่เขียนก็ไม่ได้รุนแรงอะไร สำนวนภาษาก็เรียบร้อยดีนี่ ไม่ได้ดุเดือดประเภทยอดรักนักเลงซะหน่อย

แต่ที่แปลกใจก็คือคิดว่าซันจะเป็นคนทำ ดั๊นไหงกลายเป็นถูกทำซะงั้นละเนี่ย :m28:





จะบอกว่าเรทมั๊ย?...เรทค่ะ แต่เป็นเรท ที่รับได้ ไม่ ล่อนจ้อน แล่ะไม่ได้ ดิบเกินไป   o15
บางทีเราไม่ต้องบรรยาย จนหมดเปลือก แต่ถ้ารู้จักใช้ถ้อยคำภาษา      :teach:
ซินว่า มันสละสลวย สวยงาม ..กว่า.....เขียน ออกมาแบบ โจ่งๆค่ะ    o15

ขอบคุณมากครับ ช่วยผมได้จริงๆ
เพราะผมก็พยายามหลีกเลี่ยงการใช้ภาษาแบบไอ้อิทเหมือนกันครับ
ไอ้นั่นไม่ไหว แม่งหื่นเกิ๊นนนนน

แถมกลัวถ้าใช้ภาษาแบบมันเดี๋ยวเขารู้หมดว่าตัวริงผมเป็นยังไง (ฮา)  :o8:

ส่วนเรื่องมุมมองของซัน ไม่ต้องห่วงครับ อีกไม่นานเกินรอ
ผมทำทุกอย่างเสร็จไว้เรียบร้อยเกือบหมดแล้ว

ปล. เดี๋ยวพอเข้าห้องน้ำไปเมฆมันก็โด๊นนนนนน ไม่ต้องคิดมากกก 5555

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: tonsai_2520 ที่ 23-08-2007 12:34:16


ขอบคุณมากครับ ช่วยผมได้จริงๆ
เพราะผมก็พยายามหลีกเลี่ยงการใช้ภาษาแบบไอ้อิทเหมือนกันครับ
ไอ้นั่นไม่ไหว แม่งหื่นเกิ๊นนนนน

แถมกลัวถ้าใช้ภาษาแบบมันเดี๋ยวเขารู้หมดว่าตัวริงผมเป็นยังไง (ฮา)  :o8:

ส่วนเรื่องมุมมองของซัน ไม่ต้องห่วงครับ อีกไม่นานเกินรอ
ผมทำทุกอย่างเสร็จไว้เรียบร้อยเกือบหมดแล้ว

ปล. เดี๋ยวพอเข้าห้องน้ำไปเมฆมันก็โด๊นนนนนน ไม่ต้องคิดมากกก 5555


********************





ชีวิตจริงบางช่วงของคนเขียนมะนี่


ชอบนักเรื่องหื่นกามมมมมมมมมมมมมม
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 23-08-2007 13:18:38
ตอนพิเศษอ่านกี่ที ก็................... :m10: อิอิ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 23-08-2007 13:57:26






ชีวิตจริงบางช่วงของคนเขียนมะนี่


ชอบนักเรื่องหื่นกามมมมมมมมมมมมมม


ไม่มีอ่ะ อย่าทำเป็นรู้ดีเหอะพี่ เหอๆ
ผมจะเขียนอะไรไม่ได้หมายความว่าผมต้องทำแบบนั้นนิ เห็นอยากรู้lุดๆเลยไม่ใช่เหรอว่าใครกันแน่จะโดน โดนทั้งคู่ไปเลย พอใจยัง  :m19:

แล้วก็ไม่ต้องไปคิดเลยนะว่าผมจะเคยโดนไปมั่งรึยังเพราะเอามาจากแค่การอ่านเรื่องนี้น่ะ นั้นมันก็เกินไป  o12

ปล. แต่เรื่องหื่นกามนี้ ยอมรับนิสๆก็ด้ะ 5555  o16

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 23-08-2007 14:41:29

.............ตอนพิเศษมาแบบนี้อีกแล้ว.......... :m19: :m19:

.............คิดแล้วเหนื่อยแทน.......... :oo1: :oo1: :oo1:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 23-08-2007 15:40:21
รู้สึกจะยอมรับตัวเองขึ้นมาเรื่อยๆกันแล้วนะคู่นี้
 :m3: :m3: :m3: :m3:

ห่างกันแทบไม่ได้แล้ว ขนาดแค่ออกไปโดยไม่บอกก็มีหึงหล่ะ
 :m20: :m20: :m20: :m20:

ปล.ส่วนเรื่องความเรท นั่นอยู่ที่ลักษณะการถ่ายทอด ว่าต้องการสื่อเรื่องราวออกมาในทางใด
ให้คิดดูว่าถ้ามีใครสักคนมาลองอ่านเรื่องตรวจสอบจากเรื่องราวร้อยๆเรื่องบนบอร์ดแล้วไม่สะดุดกับเรื่องดังกล่าวจนเห็นว่ามันผิดปกติก็ไม่น่าเป็นอะไร

พูดขยายความคือ ถ้าเรื่องราวยาวๆ คงไม่มีใครมานั่งอ่านทั้งเรื่อง จึงไม่ค่อยเสี่ยงต่อการตรวจพบ
นอกจากพวกที่เป็นพวกนักอ่านเอง  ถ้าเรื่องดังกล่าวมีแค่เรทบางตอนเพื่อให้เรื่องสมบูรณ์ก็ไม่น่าเป็นไร
ไม่ใช่ว่าเรื่องโผล่มาตอนแรกก็เอากัน และเอากันไปทุกตอน อันนี้ก็อาจเสี่ยงไปหน่อยครับ
 :m27: :m27: :m27: :m27:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ninaprake ที่ 25-08-2007 06:56:47
 :m30: โหยยยยยยยย  :m25: ได้ใจมากค้าบบบ ขอบคุณต้นด้วยที่มาต่อเรื่องตาม request แฟนๆอย่างฉับไว  :m4:

อู้ยยยย .... ซี๊ดดดดด ..... นี่ขนาดเรทระดับธรรมดานะเนี่ย  o17 แล้วระดับ Triple X นี่จะระดับไหน  :laugh: อยากอ่านจริงๆ  o7 555+

 :m18: เอาจริงๆแล้วอ่านๆไปก็เหมือนอย่างที่หลายๆคนบอกแหละคับ มันไม่ได้ถูกเขียนมาเพื่อเป็นเรี่อง xxx เพราะฉะนั้นฉากนี้ก็เป็นส่วนประกอบที่เติมเต็มเนื้อเรื่องได้เป็นอย่างดี โดยที่ไม่ได้อ่านแล้วรู้สึกแตกแยก หรือแตกต่างในอารมณ์และความรูสึกแต่อย่างใด ผมว่าโอเคนะครับ  :m4:  ชอบที่ได้รู้ความคิด ความรู้สึกของซันด้วยคับ เพราะก็สงสัยมานานแล้วเหมือนกัน ว่าซันจะรู้สึกกับเมฆ เท่าที่เมฆรู้สึกกับซันรึเปล่า? ตอนนี้ได้คำตอบแล้วครับ  :give2:

ว่าแต่ ......ยังจะมีฉาก xxx หลังไมค์มั๊ยคับ อิอิอิ  o17 ถ้ามีก็ไม่ต้องเกรงใจนะ ส่งมาได้เลย 555+

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 25-08-2007 12:05:22
ขอบคุณสำหรับทุกความเห็นแล้วก็ทุกกำลังใจมากๆเลยครับ ขอบคุณจริงๆ  :m23:


ตอนที่ 18


เหลือเวลาอีกไม่กี่วันก็จะได้เวลาออกเดินทางกันแล้ว พวกเราสามคนก็ต้องเตรียมการอะไรหลายๆอย่างทั้งเรื่องของการเดินทาง การเตรียมของใช้ เสื้อผ้า การเตรียมพร้อมสำหรับการท่องเที่ยว และการเตรียมความพร้อมที่จะเอาตัวรอดเมื่อไปถึงที่อเมริกาแล้วด้วยลำพังพวกเราเอง เช่นเรื่องที่พัก การเดินทาง แผนที่ และสภาพอากาศ โดยคนที่ดูจะเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงและดูกังวลมากกว่าใครๆก็คือแม่ของไอ้ซันนั่นเอง ท่านกำชับให้พวกเราสามคนดูแลเรื่องต่างๆนาๆมากมายและยังคอยเป็นธุระให้ทั้งเรื่องตั๋วเครื่องบินรวมไปถึงเงินพ๊อคเก็ตมันนี่ที่จะให้ติดตัวไปด้วย ทั้งแม่ของไอ้ซันและแม่ของไคล์ต่างก็ออกเงินให้กับผมเช่นกันซึ่งผมเองก็ปฏิเสธที่จะรับเอาไว้หลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่สุดท้ายไอ้ซันก็เป็นคนที่บังคับให้ผมต้องรับเอาไว้จนได้

หลังจากเรื่องวันนั้น ไคล์เองก็ไม่ได้มีท่าทางอะไรเปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด ยกเว้นแค่บางครั้งที่ผมรู้สึกได้ถึงสายตาที่เขามองมายังผมสองคนแบบแปลกๆอยู่บ้างเท่านั้นเอง แต่นอกจากนั้นเขาก็ปกติดีกับเราทั้งคู่ เราสามคนไม่เคยพูดถึงเรื่องนั้นกันขึ้นมาอีกเลย ทั้งซันก็ไม่เคยถามไคล์ และไคล์ก็ไม่เคยถามผมและซันนอกเหนือไปจากวันที่เราสองคนเคยคุยกันที่สนามบาสนั่น

ผมเองก็รู้สึกตื่นเต้นและกังวลอยู่บ้างที่ต้องเดินทางไกลๆแบบนี้ แต่ความตื่นเต้นที่จะได้ไปเที่ยวในสถานที่ที่ผมอยากไปมานานแล้วนั้นมันมีมากกว่าจึงเป็นแรงขับให้ผมรู้สึกกระตือรือร้นและจดจ่ออยู่กับวันเดินทางมากกว่าเรื่องอื่นๆ

“ดูตื่นเต้นจริงนะ” ไอ้ซันพูดกับผมขณะที่เรากำลังเช็คของที่จะแพ๊คลงกระเป๋าเป็นครั้งสุดท้ายในวันก่อนวันเดินทาง

“ก็นิดหน่อยว่ะ” ผมตอบ

“ไม่นิดหรอก เพราะมึงน่ะยิ่งเก็บอาการก็ยิ่งดูออกชัด เหมือนเด็กๆไม่มีผิด ต่างกันก็ที่มึงรู้จักทำเป็นวางฟอร์มนิดๆหน่อยๆก็แค่นั้นเอง” ไอ้ซันพูดพลางหัวเราะหึๆอยู่ในลำคอไปด้วย

“เออ กูยอมรับก็ได้ว่ากูตื่นเต้น” ผมรูดซิปกระเป๋าแล้วหยิบแม่กุญแจมาล็อคซิปเอาไว้ “ก็กูจะได้ไปเที่ยวกับคนที่กูรักนี่นา” ผมแสร้งทำเป็นพูดแหย่ออกไป

ไอ้ซันหันมามองหน้าของผมทันที แต่ผมทำเป็นมองไม่เห็นมัน

“กูจะอ้วก” มันหัวเราะ

“เออ อย่าว่าแต่มึงเลย กูคนพูดเองก็ยังจะอ้วกเลยเหมือนกัน” เราสองคนหัวเราะขึ้นพร้อมๆกัน

“เสียดายเหมือนกันแหละที่ไม่ได้ไปกันสองคนน่ะนะ..........” ไอ้ซันพูดพลางรูดซิปกระเป๋าของตัวเอง “ส่งกุญแจมาซิ” มันพูด ผมจึงโยนแม่กุญแจตัวเล็กที่ใช้สำหรับล็อคกระเป๋าแบบเดียวกับของผมให้มันไป “ทีนี้ก็ไม่ต้องเปิดกันอีกเลยล่ะนะ” มันพูดพลางกดล็อค “.......พอไปถึงที่นั่น กูอยากจะทำอะไรสักอย่างด้วยว่ะ” มันพูดขณะก้มหน้าก้มตาง่วนอยู่กับกระเป๋า

“ทำอะไรวะ” ผมถาม

“เอาไว้ไปถึงเดี๋ยวมึงก็รู้เองนั่นแหละ” มันเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ผม “เอาล่ะ เสร็จแล้วใช่มั๊ย”

ผมพยักหน้า

“ดี งั้นไปหาไคล์กัน ดูซิว่ามันเป็นยังไงแล้วบ้าง”

เราสองคนเดินออกจากห้องไปเคาะที่ห้องของไคล์ ไคล์เดินมาเปิดประตูให้เราสองคนเข้าไป เมื่อผมเข้าไปข้างในก็เห็นว่าเขาเองก็กำลังจัดของเป็นครั้งสุดท้ายอยู่เช่นเดียวกัน

“มีอะไรให้ช่วยมั๊ย” ซันถามขึ้น

“ไม่มีครับ ไม่เป็นไร ใกล้เสร็จแล้วล่ะ ผมแค่กำลังเช็คดูว่าขาดอะไรอีกรึเปล่าเท่านั้น” ไคล์ตอบ

“อืม ก็ดีแล้วล่ะ งั้นคืนนี้อย่าลืมรีบนอนก็แล้วกันนะ” ไอ้ซันพูดจบก็ทำท่าจะเดินออกจากห้องทันที ผมเองก็แปลกใจที่มันเข้ามาเพื่อคุยแค่นี้น่ะหรือ แต่ไคล์ก็พูดขึ้นก่อนที่มันจะทันได้เปิดประตูห้องออก

“เดี๋ยวซัน”

ไอ้ซันหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูแล้วหันมามองไคล์ที่กำลังนั่งอยู่บนเตียง “ว่าไง”

“คือ ผมขอคุยกับพี่หน่อยได้มั๊ย”

“ก็ได้นี่.....” ซันตอบแล้วหันมามองหน้าผม

“เอ่อ งั้นกูกลับห้องก่อนแล้วกันนะ” ผมพูดขึ้น

“เอางั้นเหรอ” ไอ้ซันถาม

ผมมองหน้าของมันสลับกับไคล์แล้วจึงพยักหน้า “อือดิ่ เดี๋ยวกูไปนอนเลยแล้วกันนะ ราตรีสวัสดิ์นะไคล์” ผมหันไปหาไคล์

“ฝันดีครับ” ไคล์ตอบ ยิ้มและหลิ่วตาให้ผมข้างหนึ่ง ผมไม่เข้าใจหรอกว่าการที่เขาหลิ่วตานั้นหมายถึงอะไร แต่คิดว่าน่าจะแปลว่าไม่ต้องกังวลเรื่องที่เขาจะคุยกับซันหรือไม่ก็แปลว่ามันใช้เวลาไม่นานหรอก หรือไม่ก็คงเป็นไม่ต้องหึงหรอกนะ วางใจได้ อะไรแบบนั้นหรือเปล่า

ผมเดินออกจากห้องแล้วกลับเข้าไปยังห้องของไอ้ซัน ผมเดินไปที่หัวเตียงเปิดโคมไฟอันเดิมขึ้นแล้วจึงเดินไปปิดไฟในห้องจากนั้นก็ล้มตัวลงนอนบนเตียง ถึงผมจะพยายามไม่คิดเรื่องของซันกับไคล์ว่าเขาคุยอะไรกัน แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะคอยแว่บเข้ามารบกวนประสาทของผมอยู่ร่ำไป คำว่า “หึง” มันคงเป็นอย่างนี้ล่ะมั๊ง

ผมนอนลืมตาคิดและพยายามคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่นานเท่าไหร่ไม่ทราบได้ ทันใดนั้นผมก็ได้ยินเสียงเปิดประตูห้องของไคล์ดังขึ้นตามมาด้วยเสียงปิดประตู ผมรีบหลับตาลงแล้วเอาผ้าห่มมาคลุมตัวทันที นี่ผมจะแกล้งทำเป็นนอนแล้วแบบนี้ไปเพื่ออะไรกันเนี่ย หลังจากนั้นประตูห้องของไอ้ซันก็ถูกเปิดออก ผมรู้สึกว่าไอ้ซันหยุดมองมาที่ผมครู่หนึ่งจากนั้นก็ค่อยๆปิดประตูลง แล้วจึงเดินมาหยุดอยู่ที่เตียง ไอ้ซันยังคงไม่นอนหรือนั่งลงแต่กลับยืนมองผมอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง ผมไม่เข้าใจว่ามันกำลังทำอะไรอยู่ แต่แล้วมันก็พูดขึ้น

“หลับแล้วเหรอครับ”

นั่นไม่ใช่เสียงของไอ้ซัน แต่เป็นเสียงของไคล์ ด้วยความตกใจผมจึงลืมตาขึ้นมองไปยังใบหน้าของชายหนุ่มที่กำลังยืนอยู่ใต้ความมืดในบริเวณที่แสงจากโคมไฟส่องไปไม่ถึง ผมเห็นหน้าเขาลางๆแต่นั่นก็คือไคล์ไม่ผิดแน่

“อ้าว ไคล์” ผมร้องด้วยความประหลาดใจ “ซันล่ะ”

“เขาไปห้องของคุณลุงกับคุณป้าน่ะ” เขาตอบ “พี่หลับไปแล้วรึยัง ผมมาปลุกรึเปล่า”

“อ๋อ เปล่าหรอก” ผมชันตัวขึ้นนั่ง “แค่เคลิ้มๆน่ะ มีอะไรรึเปล่า”

“ก็ เรื่องที่ผมคุยกับซันน่ะ........” ไคล์หยุดไปครู่หนึ่งแล้วนั่งลงที่ขอบเตียง “พี่คงไม่ได้คิดมากหรอกใช่มั๊ย” ผมไม่ได้ตอบอะไร เพราะผมเองก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าผมคิดยังไง และที่สำคัญทำไมเขาถึงมาถามผมแบบนั้น มันสำคัญขนาดที่ต้องเข้ามาถามผมด้วยตัวเองในเวลาแบบนี้เลยเชียวหรือ เมื่อผมไม่ตอบ ไคล์จึงเริ่มพูดต่อ “อย่าคิดอะไรมากนะ ผมไม่ได้คุยกับเขาเรื่องของพี่ทั้งคู่หรอก”

ผมพยักหน้า “อ่าฮะ”

“ก็” ไคล์ยักไหล่ “ผมกลัวพี่จะคิดมากน่ะ ว่าเอาเรื่องของพี่ไปคุยกับซันหรือเปล่า และทำไมผมถึงต้องคุยกับเขาสองคนอะไรแบบนั้น”

“คือ พูดจริงๆตอนแรกก็มีคิดเหมือนกันแหละ แต่ก็ไม่ได้กังวลใจอะไรนะ จริงๆ” ผมยืนยัน

“ผมรู้ แต่ผมก็แค่.......” เขาหันไปมองทางอื่นแล้วยักไหล่อีกครั้ง “ไม่รู้สิ เอาเป็นว่า ที่แน่ๆผมรู้ว่าซันรักพี่ศิลามากเหมือนกันนั่นแหละ เท่านั้นก็พอมั๊ง”

“อะไรนะ” ผมไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูด หรือถ้าพูดให้ถูก คือสิ่งที่เขากำลังจะสื่อออกมามากกว่า

ถึงใบหน้าของไคล์จะถูกซ่อนอยู่ในความมืดสลัวๆแต่ผมก็มองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขากำลังยิ้ม “ผมเองน่ะ ก็อยากให้พี่สองคนได้ไปเที่ยวกันสนุกๆเหมือนกันนะ แต่ก็เสียดาย..........”

“เฮ้ย ไม่สิ อย่าคิดแบบนั้น” ผมรีบขัด เริ่มเข้าใจสิ่งที่เขาพูดมากขึ้น เขาคงจะกังวลเรื่องนี้อยู่นี่เอง “ไปกันสามคนก็ดีแล้ว สนุกดีออก เที่ยวหลายๆคนน่ะสนุกดี อย่าคิดอะไรแบบนั้นสิครับ” ผมท้วง

“ครับ” เขาพยักหน้า

“ไคล์คิดมากเรื่องนี้เหรอ.........” ผมลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิบนเตียง “กลัวว่าจะไปเป็นส่วนเกินอะไรแบบนั้นน่ะนะ” แต่ไคล์ไม่ตอบ เราสองคนเงียบกันไปครู่หนึ่ง “ห้ามคิดแบบนั้นเด็ดขาดนะรู้มั๊ย ไคล์เป็นน้องชายของไอ้ซัน และก็เป็นเพื่อนของผมเช่นกัน ถึงเราจะยังรู้จักกันไม่นาน แต่เราก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันนี่ จริงมั๊ย”

ไคล์หัวเราะ “ศิลานี่เป็นคนดีจริงๆนะ” เขาหันหน้ามองไปทางประตูแล้วจึงหันหลับมาหาผม “ขอบคุณมากนะครับ ผมไม่แปลกใจเลยจริงๆ ว่าทำไมซันถึงได้รักพี่มากนักน่ะ” เขายิ้มและตบบ่าผมเบาๆส่งท้ายก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไป

“จะไปแล้วเหรอ” ผมถามไล่หลังเขา

“อื้ม ฝันดีนะครับ”

“เช่นกันครับ”

ผมเห็นหน้าของไคล์เพราะแสงไฟจากทางเดินหน้าห้อง เขายังคงมีรอยยิ้มในแบบของเขาประทับอยู่บนหน้าจนกระทั่งเขาปิดประตูตามหลังและห้องของผมก็เริ่มกลับสู่ความมืดสลัวอีกครั้ง

หลังจากไคล์ออกจากห้องไปไม่นานซันก็กลับเข้ามาพร้อมกับของสิ่งหนึ่งในมือซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร เนื่องจากความมืดมันจึงดูเหมือนกับมันจะเป็นหนังสือหรือสมุดอะไรสักอย่าง ผมถึงกับหายใจติดขัดไปครู่หนึ่งเมื่อคิดว่าหนังสือที่มันถืออยู่นี้คือหนังสือเล่มนั้นที่ผมสงสัยมานานเหลือเกินว่ามันเอาไปเก็บไว้ที่ไหน แต่เมื่อมันเดินเข้ามาใกล้ผมมากขึ้นผมจึงเห็นว่ามันไม่ใช่หนังสือเล่มนั้น แต่เป็นสมุดเล่มหนึ่ง ผมใจหายวาบอีกครั้งเมื่อคิดไปถึงสมุดของผมเอง แต่เมื่อดูดีๆก็เห็นว่าเล่มที่มันถืออยู่นั้นต่างออกไปจากของผมนิดหน่อย สมุดที่มันถืออยู่นั้นเป็นสมุดเย็บริมลวดปกแข็งที่เล่มหนากว่าและใหญ่กว่าของผมเยอะ

“เมฆ” ไอ้ซันเรียกชื่อผมและนั่งลงบนเตียง มันมองหน้าผมแว่บหนึ่งจากนั้นก็ก้มลงไปดูที่สมุดที่มันถืออยู่ในมือ “กูมีอะไรจะคุยกับมึงนิดหน่อยว่ะ”

ผมพยักหน้า “อะไรวะ”

“คือ.........” มันหยิบสมุดเล่มนั้นชูขึ้นมาให้ผมเห็นได้ชัดขึ้น มันเป็นสมุดปกแข็งที่มีหน้าปกสีน้ำตาลออกแดง ตรงกลางปกถูกตัดออกเป็นช่องลายยาวโค้งคล้ายกับรูปตัวเอส และมันถูกพันไว้ด้วยเชือกสีแดงเส้นหนึ่ง “กูอยากจะให้สมุดเล่มนี้กับมึงว่ะ”

ผมมองหน้าของมันสลับกับสมุดเล่มนั้นด้วยความแปลกใจ และขณะที่ผมกำลังจะยื่นมือออกไปรับนั้น ไอ้ซันก็ชิงพูดขึ้นมาอีก “แต่กูต้องขออะไรมึงอย่างนึง”

ผมชักมือกลับอย่างรวดเร็ว “อะไรวะ”

“มึงไม่ต้องถามกูได้มั๊ยว่านี่คืออะไร” มันชูสมุดเล่มนั้นขึ้นอีกครั้ง ปลายเชือกที่ยาวห้อยลงมาจากส่วนปมที่ถูกมัดเอาไว้เหนือรูปตัวเอสไหวไปตามแรงเขย่าของไอ้ซัน “และอีกอย่าง กูขอมึงว่าอย่าเพิ่งเปิดมันตอนนี้จะได้มั๊ย คือ อย่างน้อยๆก็ช่วงนี้”

ผมไม่รู้ว่าสมุดเล่มนั้นคืออะไร และผมเองก็อยากจะรู้ ผมไม่รู้ว่าข้างในนั้นมีอะไรถูกเขียนเอาไว้บ้าง และผมก็อยากจะอ่านมัน ผมไม่รู้ว่ามันให้สมุดเล่มนี้กับผมทำไม และผมก็อยากที่จะถามมัน ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่มันทำอยู่นี้มีความหมายอะไรสำหรับผมและสำหรับตัวมันเองแค่ไหนแบบไหน และผมก็อยากที่จะรู้ให้ได้จริงๆ แต่ทว่า เมื่อได้ยินเสียงและได้เห็นสีหน้าของมันในตอนนี้แล้ว ผมก็กลับกลืนคำพูดรวมถึงคำถามทุกๆอย่างของผมลงคอไปเสียหมดและได้แต่พยักหน้ารับคำของมันเท่านั้น

“กูสัญญา กูจะยังไม่อ่านมัน” ผมรับปาก

ไอ้ซันยิ้มให้ผมและกุมมือผมเบาๆ มันยกมือของผมมาวางทาบไว้บนสมุดเล่มนั้น “กูอยากจะมอบให้มึงซะตั้งแต่ตอนนี้ แต่กูยังไม่อยากจะให้มึงอ่านมัน กูก็ไม่รู้นะว่าทำไมกูถึงต้องมอบให้มึงในขณะที่กูยังไม่พร้อมที่จะให้มึงอ่าน แต่กูเกิดกลัวว่าสักวันหนึ่งกูอาจจะไม่มีโอกาสได้ให้สิ่งนี้กับมึงก็ได้ และบางทีเมื่อมีโอกาสที่กูอยากจะให้มึง แต่กูก็กลัวมึงจะไม่อยากรับ กูเลยคิดว่านี่น่าจะเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดแล้ว”

ผมพยักหน้าช้าๆ พยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่มันพูด ตอนนี้ในใจของผมก็คิดไปถึงสมุดที่ผมเขียนตอนที่อยู่ในโรงพยาบาลที่ยังถูกเก็บไว้บนชั้นหนังสือในห้องของผมนั่นบ้างแล้วเหมือนกัน หรือว่าสมุดเล่มนี้จะเป็นแบบเดียวกับสมุดของผมที่ผมตั้งใจไว้ว่าจะให้มันอ่านสักวันหนึ่งเพื่อสื่อความในใจตลอดเวลาที่ผ่านมาของผมกันนะ......... ผมรู้สึกหัวใจของผมเต้นแรงขึ้นอยู่ภายในอก และผมต้องบังคับความอยากรู้นี้เอาไว้ให้ได้ ผมสัญญากับมันแล้วว่าจะไม่เปิดอ่านมันจนกว่าจะถึงเวลาที่สมควร..............

“.........แล้วเมื่อไหร่กูถึงจะอ่านได้ล่ะ” ผมสงสัย

“บอกตามตรง......... กูก็ไม่รู้หรอก” ไอ้ซันหยุดไปครู่หนึ่งและมองจ้องเข้ามาในดวงตาของผม บางอย่างในแววตาของมันสะท้อนความเศร้าที่ผมยังไม่อาจเข้าใจได้  “แต่กูคิดว่า เมื่อเวลามาถึง มึงก็จะรู้และอยากเปิดอ่านมันเองนั่นแหละ”

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 25-08-2007 15:51:39
มีลางเศร้ามาแต่ไกลเลยวุ้ย  :m17:  :m17:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 25-08-2007 16:34:05
 :m21:   เอ่อ.. รู้สึกเหมือนได้กลิ่น อะไร แปล่งๆ มาแล้วอ่ะ    :m28:


เมื่อไหร่ เมฆจะได้อ่าน สมุดเล่มนั้นซะทีล่ะ

ซันรออะไรเหรอ งึมงำๆๆ ในสมุดเล่มนั้น  วันเขียนอะไรไว้หว่า???     o16

ชวนคิดๆ    :a6:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 25-08-2007 17:33:20
ตอนที่ 19 (เรื่องเล่าของฟ้าคราม : ความในใจของท้องฟ้า)

ผมนอนลืมตาในความมืดอีกครั้ง ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงตื่นขึ้นมากลางดึกแบบนี้ แต่สัมผัสและความอบอุ่นจากคนที่นอนอยู่ข้างๆก็แผ่ซ่านเข้ามายังหัวใจของผมทำให้ผมได้รู้ ว่าตอนนี้ผมมีความสุขมากเท่าไร และแท้จริงแล้วตัวตนและความรู้สึกของผมนั้นเป็นเช่นไร.............


เมฆ มึงรู้จักกูดีเหลือเกิน มึงน่าจะเป็นคนๆเดียวนอกเหนือจากพ่อแม่ของกูที่รู้จักกูดีขนาดนี้เลยด้วยซ้ำ
แต่มึงเคยรู้เรื่องพวกนี้บ้างมั๊ย...........

กูน่ะเป็นคนขี้รำคาญ และเป็นคนไม่ค่อยพูดนัก กูเชื่อว่าถ้าเราบริสุทธิ์ใจและยึดมั่นกับความคิดของตัวเอง คนอื่นๆก็จะเข้าใจความคิดของเราได้โดยที่เราไม่จำเป็นต้องพูดต้องบรรยายความรู้สึก ไม่จำเป็นต้องพร่ำเพ้อสิ่งต่างๆออกไปสาธยายเพื่อทำให้คนอื่นๆเข้าใจให้เสียเวลา

กูเชื่อว่ากูสามารถที่จะก้าวเดินไปในเส้นทางของกูได้ด้วยตัวเองถ้ากูมีความมั่นใจและแข็งแกร่งเพียงพอ กูไม่ต้องการความเห็นใจจากคนอื่นๆ กูไม่ต้องการให้ใครมาเข้าอกเข้าใจ กูเคยไม่เข้าใจ ว่าทำไมคนอื่นๆถึงต้องเป็นทุกข์เมื่อเห็นคนรอบข้างมีปัญหาที่ไม่ได้เกี่ยวเนื่องกับตัวเองเลยแม้แต่นิดเดียว กูไม่เข้าใจว่าทำไมคนเราต้องรับเอาปัญหาของคนอื่นมาใส่ตัวด้วยในเมื่อเราเองก็มีปัญหาให้ต้องรับมือมากพออยู่แล้ว

กูคิดว่ากูสามารถที่จะวิ่งด้วยสองขาของกูไปได้ไกลตราบเท่าที่กูต้องการ ไม่ว่าเป้าหมายนั้นจะอยู่ไกลแสนไกลเพียงใด กูเชื่อว่ากูสามารถทำได้ และกูก็จะทำมันให้ได้ด้วยตัวผมเอง

แต่นั่นคือตัวกูก่อนที่จะได้มาพบกับมึง

มึงคือคนที่แตกต่างกับกูอย่างสิ้นเชิงในแทบจะทุกๆเรื่อง ไม่ว่ากูจะหันไปมองเห็นมึงกี่ครั้งๆ มึงก็จะมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าอยู่เสมอจนกูสงสัยว่าคนเรามันจะยิ้มและหัวเราะกับคนอื่นได้มากขนาดนั้นเชียวหรือ ถ้าไม่ใช่ว่านั่นคือหน้ากากที่มึงกำลังสวมใส่อยู่เป็นประจำ

และที่แย่ไปกว่าสิ่งอื่น นั่นก็คือจุดนั้นเองที่ทำให้กูรู้สึกว่ามึงกับกูก็มีสิ่งที่คล้ายกันอยู่อย่างหนึ่ง....... การใส่หน้ากาก

กูรู้สึกไม่ชอบมึงขึ้นมาในทันที

แต่แล้วหลายๆสิ่งก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เราสองคนทั้งๆที่เคยต่างคนก็ต่างไม่ชอบหน้ากันกลับมีเหมือนกับแรงดึงดูดแปลกๆบางอย่างให้ยิ่งเข้าหากัน ให้ยิ่งได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น กูได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างมากขึ้นจากมึง อย่างน้อยๆก็รู้ว่าการที่มึงหัวเราะร่าเริงกับทุกๆคนนั้นไม่ใช่การสวมใส่หน้ากาก แต่เป็นเสียงหัวเราะที่มาจากใจจริง มาจากความสุขส่วนลึกที่มึงต้องการจะแบ่งปันให้แก่คนอื่นๆ........ รวมทั้งแก่กูด้วย

น่าแปลกนะ ไม่ว่าคนอื่นจะเข้ามาเล่นมาหัวเราะกับกูขนาดไหน กูก็ไม่เคยรู้สึกได้เหมือนกับสิ่งที่มึงนั้นมีให้กับกูเลย พูดแบบนี้มันก็น่าอายนะ เพื่อนฝูงมากมายที่มาห้อมล้อมกูอยู่ต่างก็รักและสนุกที่จะได้อยู่กับกูทั้งนั้น แต่ไม่รู้ทำไม ทำไมกูถึงรู้สึกว่ามันก็ยังมีบางอย่างที่แปลกไปจากมึง เมฆ......... ความรู้สึกหรือความหมายอะไรบางอย่างที่อยู่ในส่วนลึกภายใต้รอยยิ้มของมึงมันแปลกไปจากรอยยิ้มอื่นๆที่กูเคยได้รับมาไม่ว่าจากใครๆตลอดทั้งชีวิตของกู

กูชอบรอยยิ้มของมึงที่สุด

คือ....... ถ้าจะพูดว่าสิ่งแรกที่กูประทับใจและทำให้กูหลงรักมึงก็คงเป็นรอยยิ้มของมึงล่ะมั๊ง
พอมานึกๆดูถึงได้รู้ว่ากูไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อนเลยจริงๆว่ะ

มึงสอนให้กูรู้จักเรียนรู้จิตใจของกูเอง มึงสอนให้กูรู้จักรอยยิ้มของกู และมึงสอนให้กูรู้จักกับคำว่า “ความรัก” มึงสอนให้กูรู้จักความรักที่กูไม่จำเป็นต้องได้ครอง มึงสอนให้กูรักคนอื่นบ้างนอกเหนือจากตัวเอง และมึงยังคอยย้ำเตือนให้กูเห็นความสำคัญของการที่ “ถูกรัก” ด้วย

มึงทำให้กูรู้จักคำว่า “รัก” ผู้หญิงคนหนึ่งจากใจของกูจริงๆเป็นครั้งแรก

แต่เสียดาย เมฆ น่าเสียดายที่กูไม่ได้ “ถูกรัก” อย่างที่มึงเคยพูดเอาไว้........ และมันก็เป็นต้นเหตุที่ทำให้กูต้องพบกับอุบัติเหตุครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของกู

กูเสียใจ ที่เธอคนนั้นไม่รักกูอย่างที่กูรักเขา กูเสียใจ ที่ทำไมกูถึงต้องไปรักเขาด้วย กูเสียใจ กูผิดหวัง และกูโกรธ ที่กูดันไปเชื่อในสิ่งที่มึงพูดในสิ่งที่เขาสอนให้กูเรียนรู้ และที่สำคัญ กูโกรธตัวเองที่ต้องมาเปลี่ยนไปก็เพราะมึง กูเพิ่งรู้ว่าตัวว่ากูได้เปลี่ยนเป็นคนละคนจนกูเองก็เพิ่งรู้สึกได้ก็เพราะมึงนั่นแหละ และกูเริ่มจะรู้สึกไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เสียแล้ว

แต่ความรู้สึกนั้นก็มีอยู่ไม่นานเมื่อทิฐิของกูมันถูกหลอมละลายไปด้วยผู้คนรอบข้างที่มาเยี่ยมกู ความรักความห่วงใยที่พ่อแม่และทุกคนมอบให้กูมันทำให้กูรู้สึกว่าตัวเองมันช่างงี่เง่าเสียจริงๆ นี่ไง กูกำลัง “ถูกรัก” อยู่ อย่างที่มึงพูด อย่างที่มึงเคยพูดไว้ทุกอย่าง......... กูคือคนที่ถูกรักเช่นกัน

กูเลิกโกรธ เลิกเสียใจ และเลิกผิดหวังกับคนที่ทำให้กูต้องมาเป็นแบบนี้และผมเลิกรู้สึกแบบนั้นกับตัวกูเองด้วยเช่นกัน

มึงคือคนที่ช่วยชีวิตของกู ช่วยทั้งชีวิต และวิญญาณของกู มึงคือคนที่ทำให้กูรู้ว่าการเสียสละ และการได้ช่วยเหลือผู้อื่นมันสำคัญขนาดไหน

มึงคือคนที่รักกู

ถ้าไม่มีมึง ก็คงไม่มีกูในวันนี้

มึงคือก้อนเมฆที่กูเฝ้ารอคอยให้มาลอยอยู่เคียงคู่กับกูแบบนี้มานานแสนนานโดยที่กูไม่เคยรู้ตัว ถ้ากูคือท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ ท้องฟ้าที่เชื่อว่าตนเองสามารถบงการและทำอะไรก็ได้ดั่งใจต้องการ มึงก็คือก้อนเมฆที่คอยช่วยย้ำเตือนว่ากูไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวและไม่จำเป็นที่จะต้องมุ่งมั่นและดื้อดึงไปเสียทุกๆอย่างแบบที่กูเคยเป็น

กูมันหยาบกระด้างและด้านชา เป็นสีฟ้าที่ถูกป้ายออกไปให้ดูยิ่งใหญ่อย่างไร้ความบรรจง
แต่มึงคือความสวยงาม เป็นสีขาวที่นุ่มนวลและอ่อนโยน เป็นความสวยงามที่เกิดขึ้นโดยที่คนหลายคนมักจะมองข้ามไป

มึงคือคนที่ทำให้ผมรู้สึกว่าท้องฟ้านั้นจะสวยงามได้แค่ไหนและจะสวยงามไปเพื่ออะไร......... เพื่อใคร
และกูก็อาจจะเป็นหนึ่งในคนเหล่านั้นที่มองข้ามมึงไปด้วยเช่นกัน

กูยังไม่แข็งแรงพอ กูหลงทาง กูทำร้ายตัวเองและคนที่กูรัก เพียงแค่ว่าเพราะกูอยากทำ เพียงแค่ว่าเพราะกูอยากจะปฏิเสธสิ่งดีๆหลายๆอย่างที่กูเคยรับเข้ามาด้วยเหตุผลที่ไม่เป็นเหตุผลเช่นว่า “กูโตพอที่จะดูแลตัวเองได้แล้ว”

และสุดท้าย กูก็กลายเป็นพระอาทิตย์ที่หลงทาง แน่นอนว่ากูไม่สามารถฉายแสงได้ในความมืด และตอนนั้นกูไม่แม้แต่สามารถส่องสว่างได้ในยามกลางวัน

กูกลายเป็นท้องฟ้าที่พิการ กูปฏิเสธก้อนเมฆ กูไม่ต้องการมัน กูไม่ต้องการใครนอกจากคนที่กูต้องการจะครอบครอง กูกลายเป็นท้องฟ้าที่ไม่สวยงามและไม่มีใครแหงนมองดู แต่คนๆเดียวที่ยังคงแหงนหน้ามองดูกูอยู่ก็คือมึง ก้อนเมฆที่ถูกกูผลักไสออกไปจนเป็นเม็ดฝนร่วงหล่นสู้พื้นดิน มึงที่เป็นก้อนหินที่ถูกกูทอดทิ้งให้อยู่เดียวดายบนพื้นดินที่แข็งและแห้งแล้งนั่น มึงอาจจะไม่รู้ แต่ตอนนั้นทุกครั้งที่กูมองเห็นมึงกูจะรู้สึกเจ็บแปลบที่ภายในอก จนกูคิดว่าต่อมความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของกูมันเริ่มจะกลับมาทำงานอีกครั้งล่ะมั้ง กูจึงเลิกทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่ดีกับตัวกูไปจนหมดและเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง..........

กูค่อยๆเริ่มต้นใหม่อีกครั้งโดยที่มึงอาจจะไม่รู้............

กูคิดในใจว่ากูจะเริ่มต้นนับหนึ่งไปพร้อมๆกับมึง

ถึงกูจะพยายามปฏิเสธตัวเองมามากขนาดไหนก็ตาม แต่กูก็รู้แล้ว ว่ากูรักมึง กูเองก็รู้ว่ามึงก็รักกูเช่นเดียวกัน เพียงแต่มันไม่ถูกต้อง มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้ กูไม่ควรจะหลงรักเพื่อนของตัวเอง กูไม่ควรจะหลงรักผู้ชาย

กูสับสน กูเสียใจ กูโกรธตัวเองที่กูไม่สามารถหยุดคิดแบบนั้นได้ กูรักมึง กูอยากให้มึงมาเป็นก้อนเมฆที่ลอยอยู่เคียงคู่กับกูไปตลอด กูไม่อยากจะอยู่คนเดียวอีกแล้ว กูขาดมึงไปไม่ได้

แต่สิ่งนั้นมันก็ไม่ถูกต้อง!

และท้ายสุดแล้ว....... กูก็ต้องไป

มันไม่มีทางเลือกสำหรับกู กูทั้งโกรธแบบที่ไม่เคยโกรธใครเท่านี้มาก่อน กูทั้งเสียใจ และเสียใจมากขึ้นมากขึ้น มากจนถึงขนาดที่อยากจะร้องไห้ออกมาต่อหน้าทุกๆคน ประกาศให้ใครๆได้เห็นว่าแท้จริงแล้วกูมันอ่อนแอแค่ไหน ให้มันรู้กันไปเลยว่าจริงๆแล้วตัวกูมันน่าสมเพชเช่นไร และมึงรู้มั๊ย กูเจ็บมากกว่าครั้งไหนๆในชีวิตที่กูเคยเจ็บ เจ็บจนแทบอยากจะกรีดร้องออกมาและเดินไปต่อยหน้าใครหรือทำร้ายใครก็ได้ให้มันเจ็บเท่าๆกับที่กูเจ็บ

แต่กูก็ไม่ได้แสดงออกอะไรออกมาเลย
กูถูกสอนให้เก็บความรู้สึกของกูเอาไว้ข้างใน และกูก็คงยังเคยชินกับการทำแบบนั้นอยู่เหมือนกัน

กูเป็นเหมือนภูเขาไฟที่ใกล้ปะทุแต่ก็ถูกบางสิ่งบางอย่างอุดเอาไว้ทำให้ภายในของกูมันคุกรุ่นอยู่ตลอดเวลา

กูทำอะไรกับตัวเองไม่ได้เลย กูได้แค่ต้องเก็บมันเอาไว้ในใจและคิดเสียว่ามันอาจจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับคนไร้ทางออกแบบกูแล้วก็ได้

กูจะต้องออกเดินทางไปยังที่ไกลแสนไกลและก็คงจะไม่มีวันได้เจอและใช้ชีวิตร่วมกับมึงแบบนี้อีก

กูจำต้องโกหกต้องปิดบังมึงเอาไว้เพราะกูเกรงว่าถ้ากูพูดออกไป กูเองที่จะเป็นฝ่ายต้องเจ็บและเสียใจ กูกลัวว่ากูเองที่จะเป็นคนต้องร้องไห้และเสียน้ำตา แม้กูจะรู้อยู่แก่ใจว่ามึงจะต้องโกรธและเกลียดกู แต่กูก็จำต้องยอม เพราะกูรักมึง เมฆ กูรักมึง! ถึงกูไม่อยากจะเห็นมึงเสียใจ แต่ก็เพราะว่ากูรักมึงมากเหลือเกิน กูจึงทำในสิ่งที่กูคิดว่ามันเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้วสำหรับเรื่องทั้งหมดนี้........... แม้ว่ากูจะต้องเสียใจหรือถูกเข้าใจผิดแค่ไหนก็ตาม

แต่ท้ายที่สุดกาลเวลาก็ไม่ช่วยอะไรเลย มันไม่ช่วยเยียวยากูได้เลยแม้แต่น้อย และมันก็คงไม่ได้ช่วยเยียวยามึงได้ด้วยเช่นกัน เราทั้งคู่ห่างเหิน กูเสียใจ มึงเสียใจ แต่มันไม่มีทางออก นั่นเป็นเพียงครั้งเดียวและครั้งแรกนับแต่กูได้รู้จักมึงที่กูคิดตัดสินใจทำอะไรลงไปเพื่อตัวกูและคนที่กูแคร์ด้วยความคิดของกูเพียงคนเดียว เป็นสิ่งที่กูมั่นใจว่ามันควรจะต้องเป็นแบบนี้......... แต่ทำไมกูถึงต้องรู้สึกเสียใจกับการกระทำของตัวเองอยู่ในทุกๆวันด้วยนะ

วันหนึ่งกูหันไปเห็นหน้ามึงที่กำลังยิ้มและหัวเราะอยู่กับเพื่อนคนอื่นๆ กูรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาในอกทันที กูหวนนึกไปถึงวันแรกที่กูได้เจอกับมึง รอยยิ้มของมึงแบบวันนั้นมันไม่มีเหลืออยู่อีกแล้ว มึงกลายเป็นคนที่มีรอยยิ้มเหมือนกับคนอื่นๆทั่วๆไปที่อยู่รอบกายกูไปเสียแล้ว กูทำมึงสูญเสียรอยยิ้มไปแล้ว............

กูนั่งนิ่งมองรอยยิ้มของมึง รอยยิ้มที่แท้จริงแล้วมันไม่ใช่รอยยิ้มของมึง จนน้ำตาของกูมันเริ่มไหลออกมา
กูรีบปาดน้ำตาทิ้งแล้ววิ่งไปเล่นหัวกับเพื่อนคนอื่นเพื่อที่จะได้ลืมรอยยิ้มของมึงและลืมความเจ็บแปลบภายในอกของตัวกูเอง

วันนั้นกูหัวเราะเสียงดังกว่าในทุกๆวันเลย

แต่แล้วสุดท้ายกูก็ต้องร้องไห้ออกมาในที่สุด น้ำตาที่กูทนเก็บไว้มานานแสนนานจนกูจำไม่ได้ว่านานเท่าไหร่มันถูกหลั่งออกมาเมื่อยามที่กูเห็นมึงนอนหลับไม่ได้สติอยู่บนเตียง เมื่อช่วงเวลาที่กูได้อยู่กับมึงสองคน ใบหน้ายามหลับที่ฟกช้ำเต็มไปด้วยรอยแผลนั้นทำให้กูต้องร้องไห้ออกมาจนแทบจะหยุดไม่ได้ ตอนนั้นกูมีของขวัญมามอบให้มึงด้วยนะ แบบเดียวกับที่มึงตั้งใจจะมอบให้กูนั่นล่ะ มันเป็นโชคชะตาที่ทำให้เราสองคนต้องกลายเป็นแบบนี้ มันเป็นความบังเอิญหรือพรหมลิขิตหรือไรที่ทำให้เรามีชื่อพ้องกัน ทำให้เราคิดและมีความตั้งใจอะไรเหมือนๆกัน มึงมีหนังสือเล่มนั้นที่ตั้งใจจะมอบให้กู แต่มึงก็ไม่สามารถทำได้ กูเองก็มีหนังสือชื่อเดียวกันที่ตั้งใจจะให้มอบมึง แต่มึงก็ไม่สามารถรับมันไปได้...........

กูคิดว่ากูรู้มาตั้งแต่แรกแล้วว่าถึงเราสองคนจะต่างกันเหลือเกิน แต่เราก็มีอะไรที่คล้ายกันอยู่มากจนแทบไม่น่าเชื่อ

กูพูดกับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่ามึงคือคนที่จะเกิดมาเพื่อคู่กับกู กูไม่อยากจะเสียมึงไป กูรู้ตัวแล้วว่ากูมันช่างเป็นคนที่งี่เง่าที่สุดในโลกที่ทำร้ายคนที่กูรักได้ลงคอซ้ำแล้วซ้ำเล่า และที่สำคัญ กูโทษตัวเองที่กูไม่น่ารู้สึกสับสนเลย.......... กูรักมึง แล้วอะไรมันจะสำคัญไปกว่านี้อีก จำเป็นด้วยหรือที่กูจะต้องสนใจว่ามึงคือเพื่อนของกู จำเป็นด้วยหรือว่ามึงคือผู้ชาย และจำเป็นด้วยหรือ........ ว่าอีกไม่นานกูจะต้องจากมึงไปไกล

กูรักมึงมาก และกูรักมึงมาจากส่วนที่ลึกที่สุดในใจของกูเลย

แค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับทุกๆอย่าง ถ้าเพียงแต่กูซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเองมากกว่านี้และเร็วกว่านี้สักหน่อยแค่นั้น......... มึงก็คงไม่ต้องเป็นแบบนี้

ถ้าการที่กูได้พบกับมึงคือพรหมลิขิต แล้วทำไมฟ้าต้องเล่นตลกแบบนี้กับเราสองคนด้วย

กูเฝ้ารอ........ รออยู่นานเหลือเกิน แต่กูก็ยังคงเฝ้ารออยู่ทุกๆวันเพื่อที่จะพูดกับมึงด้วยปากของกูเองว่ากูรักมึงและอยากจะขอโทษมึงมากแค่ไหน แต่สุดท้าย โชคชะตาก็ลงโทษกูให้ต้องจากมึงไปแม้ว่ามึงจะยังไม่สามารถรู้ถึงความรู้สึกของกูได้ก็ตาม

เป็นเหมือนตลกร้ายที่น่าเจ็บปวดนะ เราได้เจอกันง่ายดายเหลือเกิน จะทะเลาะกันก็ง่าย จะคืนดีกันก็แปบเดียว
แต่ทำไม..... ทำไมวะ ทำไม!
อีกแค่ไม่กี่วัน ไม่กี่วันเท่านั้นเอง! สวรรค์จะมอบเวลามาให้กูกับมึงอีกแค่ไม่กี่วัน ไม่กี่ชั่วโมง เพื่อให้กูได้อยู่ต่อกับมึงในวันที่มึงฟื้นขึ้นมา หรือช่วยทำให้มึงฟื้นขึ้นมาเร็วกว่านั้นสักหน่อยไม่ได้เชียวหรือ!!

เราสองคนช่างถูกเล่นตลกกันมากมายหลายหนเหลือเกินเนอะ

แต่กูเองก็ต้องก้าวเดินต่อไปแม้จะเจ็บปวด และมึงเองก็คงต้องอยู่ต่อไปอย่างเจ็บช้ำ กูไม่อยากให้มึงต้องเป็นแบบนั้นเลย แต่ถ้านี่จะเป็นการลงโทษของท้องฟ้าที่ทำให้กูต้องเจ็บปวดมากขึ้นไปอีกที่ต้องรู้ว่ามึงต้องอยู่อย่างเสียใจไปตลอดล่ะก็.......... กูก็คงต้องยอมรับมันเพราะมันเป็นความผิดของกูเองตั้งแต่ต้น

มึงไม่รู้หรอก ว่าการที่มึงต้องอยู่อย่างเศร้าเสียใจนั้นมันทำให้กูที่อยู่ห่างจากมึงไปครึ่งโลกต้องจมอยู่กับความรู้สึกที่ปวดร้าวไม่น้อยกว่ามึงมากแค่ไหน

ถ้าความรักของเรามันเป็นไปตามครรลองนั้นไม่ได้ กูก็คงต้องยอมรับมันเพราะไม่มีอะไรที่กูจะทำเพื่อมึงได้อีกแล้ว กูทำพลาดไว้มากเกินไป กูคงไม่คู่ควรกับมึงอีกต่อไป เพราะฉะนั้นต่อจากนี้กูจะตัดใจและก้าวเดินต่อไปอย่างเข้มแข็ง ถึงแม้กูจะไม่มีมึงอยู่ข้างกาย แต่ความทรงจำและทุกๆสิ่งที่กูได้เรียนรู้มาจากมึงก็ยังคงอยู่ในใจของกูมาตลอดและจะคงอยู่ต่อไปไม่มีวันเปลี่ยนแปลง...........

กูเป็นท้องฟ้าที่นิสัยไม่ดี กูเป็นพระอาทิตย์ที่เอาแต่ใจ แต่กูเองก็เป็นแค่คนๆหนึ่งที่รู้จักรักและรู้จักเจ็บ รู้จักเรียนรู้และจดจำ กูไม่สามารถจะทำให้คนที่กูรักมีความสุขได้ กูก็ไม่คู่ควรจะที่ใช้ชีวิตต่อไปโดยมีความสุขอยู่คนเดียวเช่นกัน แต่ถ้าหากก้อนเมฆของกูรู้ว่ากูต้องอยู่อย่างไร้สติและไร้ความคิดแบบนั้นล่ะก็ เขาต้องไม่ชอบใจแน่ๆ ใช่มั๊ย เพราะอย่างนั้นถึงกูจะไม่มีมึงอยู่ข้างกาย ถึงแม้ว่ากูจะไม่ได้เห็นรอยยิ้มของมึงอีก และถึงกูจะต้องเจ็บปวดทุกครั้งที่นึกถึงมึง แต่กูก็บอกตัวเองว่ากูจะคิดถึงมึงในทุกๆเวลาที่กูเหม่อมองท้องฟ้า กูจะนึกถึงมึงในทุกๆครั้งที่เห็นรอยยิ้มของคนที่อยู่รอบกาย และกูจะเติบโตต่อไปแม้ว่ามึงจะไม่ได้อยู่ข้างกายของกูก็ตาม............ เพราะว่ามึงนั้นอยู่ในใจของกูไปเรียบร้อยแล้ว เมฆ


.
.
.


ทว่าท้องฟ้าที่ขาดเมฆนั้นไม่มีอยู่จริงหรอก ถึงบางครั้งฟ้าสีครามจะโปร่งโล่งไร้หมู่เมฆลอยอยู่เคียงข้าง แต่ว่าอีกไม่นาน ก้อนเมฆก็จะกลับมาอยู่ในที่ๆของมันอยู่ดีนั่นเอง

กูแทบไม่อยากจะเชื่อ เมื่อรู้ว่าก้อนเมฆของกูก็จะออกเดินทางมาตามหาท้องฟ้าเช่นเดียวกัน

โอเค กูยอมรับว่าหลงตัวเองไปหน่อยที่คิดว่ามึงนั้นจะมาหากู

เวลาเกือบหนึ่งปีนี้มันนานก็จริง อะไรหลายๆอย่างมันก็คงเปลี่ยนไป ทั้งกูและมึง โดยเฉพาะกูเองนั้นที่เปลี่ยนไปมากเหลือเกินจนบางครั้งกูรู้สึกได้เลยว่ากูนั้นมีมึงซ้อนทับอยู่จนจะเกินครึ่งตัวเข้าไปแล้ว กูเริ่มคิดแบบมึง เริ่มเข้าใจสิ่งที่มึงเคยเป็นและเคยพูดเอาไว้มากขึ้น จนแม่กับพ่อของกูยังสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของกูเลย

และตอนนี้มึงที่ทำให้กูเป็นแบบนี้ก็กำลังนอนอยู่เคียงข้างกับกูอีกครั้ง

ถึงช่องว่างมันอาจจะกว้าง ถึงกูจะไม่รู้ว่ามึงนั้นคิดอย่างไรอยู่ ถึงมึงจะไม่รู้ว่ากูนั้นคิดอย่างไรอยู่ ถึงกูจะเคยผ่ายอุปสรรคและความผิดพลาดบางอย่างมา ถึงมึงจะเคยผ่านความโศกเศร้าและต้องต่อสู้กับอะไรมากมายเพียงใดมา และถึงเราสองคนจะต้องมาเริ่มต้นนับหนึ่งกันใหม่อีกครั้ง แต่ว่าครั้งนี้เป็นการนับหนึ่งที่เราสองคนจะเริ่มนับไปพร้อมๆกัน

กูจะให้โอกาสแก่เวลาอีกครั้ง....... เวลาที่จะเยียวยาทุกสิ่งทุกอย่างและลบเลือนบาดแผลของเราสองคนให้จางหายไป

กูหวังว่ามึงจะรักผมมากพอที่จะให้อภัยกู และกูเองก็หวังว่ากูจะรักมึงมากพอที่จะเริ่มต้นพูดความจริงกับมึงได้ทุกๆเรื่องไม่มัวแต่ปิดบังทำพลาดเหมือนเมื่อครั้งในอดีตและต้องทำให้เราทั้งคู่เจ็บช้ำอีก

กูหวังจริงๆนะ เมฆ ว่ากูจะรักมึงและเข้มแข็งได้มากพอไปพรอ้มๆกัน เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา มึงต่างหากที่เป็นคนที่เข้มแข็งเหลือเกินสำหรับเราสองคน

แต่ว่าในตอนนี้ คืนนี้ที่กูมองเห็นมึงนอนหลับตาพริ้มอยู่ข้างกายกู กูก็ไม่หวัง และไม่ขออะไรมากไปกว่านี้แล้ว

แค่ได้นอนมองดูมึงที่กำลังนอนหลับตาอยู่ข้างๆในความมืดนี่ก็เพียงพอที่จะทำให้กูรู้ว่า ชีวิตของกูนั้นมันยังอีกยาวไกล และในเส้นทางเดินนั้นกูจะฝ่าฟันทุกอย่างเพื่อให้มีมึงนอนอยู่กับกูแบบนี้เรื่อยไปตราบนานเท่านาน...............

.
.
.


ท้องฟ้าอาจจะเปลี่ยนสีไม่เคยซ้ำไม่ว่ายามเช้า กลางวัน เย็น หรือ ยามมีพายุ มีหิมะ ลมแรง หรือยามฝนตก
แต่ผมหวังว่าเขาจะรู้ว่าผมนั้นรักเขาคนเดียวจริงๆแบบนี้ไม่ว่าจะในอดีต ปัจจุบัน อนาคต หรือในช่วงเวลายากลำบากเพียงใดก็ตาม

ผมเป็นคนพูดไม่เก่งและแสดงความรู้สึกออกมาไม่ได้เรื่อง แต่ผมคิดว่าผมเองก็คงไม่จำเป็นต้องพูดอะไรออกไปอีกแล้ว เพราะตอนนี้ผมขอแค่เพียงสิ่งเดียว................


“ขอให้หลับฝันดีนะ ก้อนเมฆของกู แล้วตั้งแต่พรุ่งนี้ กูกับมึงจะออกเดินทางไปพร้อมๆกัน”

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: kissazazel ที่ 26-08-2007 01:15:08
อ่านะ พอได้อ่านตอนนี้ก็รู้สึกเหมือนว่าความเศร้าค่อยๆ เข้ามาเลยอะ

อย่าให้เป็นอย่างที่คิดเลย -*-

อ่านแล้วเข้าใจความรู้สึกของซันมากขึ้นเยอะเลยอะครับ

อาจเป็นเพราะปกติมักจะเป็นมุมมองของเมฆ

เลยทำให้ไม่ค่อยรับรู้ความรู้สึกของซันเท่าไหร่

 ขอบคุณมากๆ ครับ ที่แต่งอะไรดีๆ มาให้อ่านกัน
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ~Brand New Beat~ ที่ 26-08-2007 01:45:19
พอได้อ่านตอนนี้เหมือนได้รู้จักตัวตนของซันมากขึ้นเลยครับ

จากเมื่อก่อนจะรู้แต่ความรู้สึกของเมฆเพียงฝ่ายเดียว

อยากให้ซันกับเมฆก้าวเดินไปพร้อมกันอย่างมั่นคงครับผม

ขอบคุณมากครับ ตอนนี้เป็น1ในตอนที่ผมชอบมากที่สุดเลยครับ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 26-08-2007 02:11:03
คนเราจะรักกัน ก็ใช้เวลานั้นอย่างมีความสุขเถอะ
ชีวิตนี้สั้นนัก อย่าไปคิด วางแผน ว่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้เลย
เพียงแต่ทำมันอย่างมีสติเท่านั้นเอง
 :a4: :a4: :a4:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ninaprake ที่ 26-08-2007 03:01:40
 :m4:   ขอบคุณครับ สำหรับตอนที่ 19 นี้ ..... ตอนที่รอคอยและอยากรู้มานานของผมและอีกหลายๆคน

ในที่สุดผมก็ได้รู้ความรู้สึกลึกๆจริงๆของซัน  ผมดีใจนะที่ในที่สุดผมก็ได้รับรู้ว่า ที่ผ่านมา ซันก็รักเมฆไม่ได้น้อยไปกว่าที่เมฆรักซันเลย ถึงแม้ว่าการแสดงออก และการตัดสินใจบางอย่างจะต่างกันก็ตาม  :give2:


ยินดีรอตอนต่อไปอย่างใจจดๆจ่อและมีความสุขครับ




หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 27-08-2007 13:31:34
ตอนที่ 20


ผมนั่งเหม่อมองออกไปยังเบื้องนอกของสนามบิน แต่สิ่งที่ผมสนใจนั้นไม่ใช่รถยนต์ ผู้คน เครื่องบิน หรือสภาพแวดล้อมต่างๆของสนามบินแห่งนี้หรอก ผมกำลังเหม่อมองขึ้นไปยังที่ๆสูงกว่านั้น ที่ๆผมกำลังจะได้ขึ้นไปสัมผัสมันอีกครั้ง

“มัวเหม่ออะไรอยู่” เสียงของซันดังขึ้นจากทางด้านหลังของผม มันเดินมานั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆผมแล้ววางมือบนไหล่ของผมเบาๆ

ผมมองหน้าและลึกลงไปในดวงตาของมันนิ่งอยู่ครู่หนึ่งราวกับกำลังมองหาอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกแบบนี้ ผมรู้สึกว่ามีบางอย่างในตัวของมันที่เปลี่ยนแปลงไป อาจจะเป็นในแววตาของมัน อาจจะเป็นท่าทาง หรือแม้แต่อะไรสักอย่างลึกๆในตัวของมันที่ทำให้ผมรู้สึกแบบนี้..........

ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นแบบที่ผมไม่เคยรู้สึกมาก่อน

ผมน่ะรักมันแน่อยู่แล้ว แต่นับจากวันที่เราได้ผูกพันแบบลึกซึ้งซึ่งกันและกัน มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกรักและผูกพันกับมันมากขึ้นกว่าแต่ก่อนเสียอีก

“เปล่าหรอก ก็มองนั่นมองนี่ไปเรื่อยเปื่อยน่ะ” ผมละสายตาจากมันแล้วมองออกไปยังหมู่ก้อนเมฆที่ผมละสายตาออกมาเมื่อครู่นี้อีกครั้ง

ไอ้ซันไล่สายตาตามไปยังจุดที่ผมกำลังมองอยู่แล้วถอนหายใจเบาๆ “ไม่เปลี่ยนเลยนะมึงเนี่ย” มันพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มน้อยๆที่มุมปาก

“ก็นั่นน่ะสินะ” ผมพยักหน้าเบาๆและมีรอยยิ้มที่มุมปากเช่นกัน “แล้วมึงว่ามันสวยดีมั๊ยล่ะ”

“อืมมมม” มันพยักหน้าช้าๆ

“ทุกครั้งเลย......” ผมพูดขึ้น “มึงรู้มั๊ย ทุกครั้งที่กูแหงนหน้ามองดูท้องฟ้าน่ะ จริงๆแล้วกูรู้สึกเหมือนกับว่ากูกำลังมองหาอะไรสักอย่างอยู่นะ”

“อย่างงั้นเหรอ” ไอ้ซันมีน้ำเสียงประหลาดใจ ซึ่งก็น่าจะเป็นอย่างนั้นเพราะผมไม่เคยพูดเรื่องนี้ให้ใครฟังเลยแม้แต่ครั้งเดียว

“อื้ออ........” ผมเอื้อมมือออกไปช้าๆแต่แล้วก็ชักกลับมา “ไม่ใช่แค่ว่ามันสวยดีกูถึงได้ชอบมองหรอกนะ” ผมละสายตาจากท้องฟ้าเบื้องหน้าแล้วก้มมองดูที่มือของตัวเองที่ยื่นออกไปเมื่อครู่ “แต่มันมีบางอย่างที่กูรู้สึกโหยหาและต้องการมาตลอดว่ะ แต่ว่ากูก็ยังไม่เคยรู้เลยว่ามันคืออะไร........” ผมกำมือเบาๆ “และถ้ากูยังไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไรนะ กูว่ากูก็ยังคงไม่มีวันละสายตาไปจากท้องฟ้านี้ได้แน่ๆเลยว่ะ...... แปลกดีใช่มั๊ย” มีบางอย่างในน้ำเสียงของผมที่ผมไม่สามารถห้ามมันเอาไว้ได้ ผมรู้ว่าสิ่งนั้นมันอาจจะทำให้ซันฟังแล้วรู้สึกไม่สบายใจ ผมเองยังรู้สึกไม่สบายใจกับน้ำสียงของตัวเองเลย แต่ว่าผมก็ห้ามมันไม่ได้จริงๆ

“แต่ก็นะ.........” ผมเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วหันไปมองหน้ามัน “วันนี้ก็อากาศดีนะ กูว่า เหมาะแก่การเดินท.......”

“เมฆ” ไอ้ซันพูดขัดขึ้นแล้วเอื้อมมือมาคว้ามือข้างนั้นของผมเอาไว้ “กูขออะไรมึงอย่างนะ” มันบีบมือผมแน่นไม่สนใจต่อสายตาของคนที่เดินผ่านไปผ่านมาแม้แต่น้อย “ไม่ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น กูขอแค่มึงอย่ากะ.........”

“ซัน เมฆ”

เสียงของป้ากุ้งดังขึ้นทางด้านหลังของเราสองคนก่อนที่ไอ้ซันจะทันได้พูดจบประโยค

“ครับแม่” ซันรีบปล่อยมือจากมือของผมอย่างรวดเร็ว แล้วหันไปตามเสียงที่ได้ยิน ป้ากุ้งและป้าแอ๊นท์กำลังเดินตรงมาที่เราสองคนพร้อมกับกระเป๋าใบโตสามใบ ผมกับไอ้ซันรีบลุกขึ้นแล้วเดินไปช่วยท่านทั้งคู่ลากกระเป๋าทันที

“ทำไมพวกคุณป้าลากกระเป๋ามาล่ะครับ หนักแย่เลย” ผมพูด

“ก็พวกลุงๆเขาไปแลกเงินมาให้เราสามคนกันเพิ่มน่ะสิ ส่วนไคล์ก็ขอตัวไปห้องน้ำ พวกป้าก็ไม่อยากจะยืนรออยู่หน้าห้องน้ำชายเลยเดินลากกระเป๋ามาจะมานั่งกับเราสองคนนี่แหละ” ป้ากุ้งตอบพลางทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่ผมเพิ่งลุกขึ้น ส่วนป้าแอ๊นท์เองก็ทำเช่นเดียวกัน

“ผมขอโทษจริงๆนะครับที่ทิ้งกระเป๋าเอาไว้” ผมก้มหน้ารู้สึกผิดและอายกับการกระทำของตัวเอง เพราะเมื่อครู่ผมแค่คิดอยากจะปลีกตัวออกมานั่งคนเดียวแค่ครู่เดียวเท่านั้น แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นเท่ากับผมทิ้งภาระเอาไว้ให้คนอื่นต้องมาดูแลเสียนี่ “ยิ่งป้าแอ๊นท์กำลังเจ็บเท้าอยู่ด้วย............”

“ไม่เอาๆน่า คิดมากจริงๆเลยลูกคนนี้นี่” ป้ากุ้งพูด “ซัน เราก็หัดเตือนๆเมฆเขาซะมั่งสิว่าอย่าคิดอะไรให้มันมากนัก จะไปเที่ยวอยู่แล้ว ทำตัวให้ร่าเริงหน่อยสิ”

“ใช่ๆ คิดมากเครียดมากเดี๋ยวก็แก่ไวหรอก” ป้าแอ๊นท์เสริมพลางหัวเราะต่อท้าย แต่สิ่งที่ทำให้ผมแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเองนั่นคือคำที่ป้ากุ้งเพิ่งพูดออกมา ท่านเพิ่งเรียกผมว่า “ลูก”

ถึงมันอาจจะเป็นคำพูดลอยๆไม่ได้มีความหมายอะไรสำคัญสำหรับคนพูดมากนัก แต่สำหรับผม คนที่ไม่มีแม่อย่างผม เมื่อได้ยินแบบนั้นแล้วมันคือคำที่มีค่ามากที่สุดคำหนึ่งเลยทีเดียว

ผมกำสายสะพายของกระเป๋าเป้ของผมไว้แน่น

“แล้วไคล์จะมาหาเราถูกมั๊ยครับเนี่ย” ไอ้ซันพูดพลางเอามือลูบหลังผมเบาๆราวกับมันเข้าใจสิ่งที่ผมกำลังคิดและพยายามปกปิดอยู่

“เดี๋ยวเขาจะต้องรอพวกพ่ออยู่ที่หน้าห้องน้ำนั่นก่อนอยู่แล้วล่ะ จากนั้นเดี๋ยวเขาคงโทรหาแม่เองนั่นล่ะ” ป้ากุ้งหันรีหันขวาง “นั่นไง พูดถึงก็มาเลย ไม่ต้องใช้โทรศัพท์เลยด้วย”

ผมหันไปมองตามตำแหน่งที่ป้ากุ้งชี้ไปก็เห็นไคล์กำลังเดินตามพ่อของเขากับพ่อของซันมายังที่ๆเรากำลังนั่งกันอยู่

“อีกห้านาทีก็ได้เวลาไปเช็คอินแล้วนะ พร้อมจะออกเดินทางกันรึยังหนุ่มๆ” พ่อของไอ้ซันพูดขึ้นพลางหัวเราะชอบใจ

“ก่อนอื่นน่ะ ไปแลกเงินมาให้ลูกๆแล้วใช่มั๊ย” ป้ากุ้งหันไปถาม

“เรียบร้อยแล้ว นี่ ซันกับเมฆ เอาไปเพิ่มคนละสามร้อยเหรียญ รวมกับของเก่าในบัตรอีกห้าร้อย แล้วก็บัตรเครดิตที่ซันนั่นอีก อยู่กันสัปดาห์นึง พอมั๊ยนี่” พ่อของไอ้ซันยื่นเงินออกมา ส่วนไคล์ก็กำลังคุยเรื่องเงินกับพ่อของตัวเองอยู่เช่นกัน

“เกินพอครับพ่อ” ไอ้ซันไหว้แล้วเอื้อมไปหยิบเงิน

“เอ่อ คุณลุงครับ คือ ผม......” ผมยกมือขึ้นไหว้แต่ก็รีบกางมือออกปฏิเสธเงินที่คุณลุงยื่นให้ทันที “ผมไม่รับดีกว่าครับ มันมากเกินไปจริงๆนะครับ พ่อผมก็ให้เงินผมมาเยอะพอแล้ว และนี่ผมก็รับเงินของคุณลุงคุณป้าแถมของป้าแอ๊นท์มาแล้วอีก ที่สำคัญผมยังรบกวนอะไรหลายๆอย่างมามากแล้วล่ะครับ ผมรับไม่ได้จริงๆ”

พ่อและแม่ของไอ้ซันรวมทั้งป้าแอ๊นท์มองหน้ากันแล้วยิ้ม ไอ้ซันเองก็ส่ายหัวเบาๆ

“ถ้าชั้นมีลูกสาวนะ ชั้นจะเอาเมฆนี่แหละเป็นลูกเขย รู้มั๊ย” ป้าแอนท์กระทุ้งแขนป้ากุ้งแล้วหัวเราะ จากนั้นเดินฉากออกไปคุยกับลุงคาร์ลอสและไคล์

“เมฆ” แม่ของไอ้ซันเดินมาหาผม “แม่จะบอกอะไรให้นะลูก.......” อีกครั้งที่ผมต้องสะอึกเมื่อได้ยินคำนั้น สมองของผมทำงานอย่างรวดเร็ว ผมเริ่มคิดย้อนไปถึงตั้งแต่วันแรกๆที่ผมมาถึงที่นี่และเริ่มนึกว่า ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ป้ากุ้งเรียกแทนตัวเองและผมเช่นนั้น เมื่อสัปดาห์ก่อนงั้นหรือ ไม่ใช่ วันนี้ วันนี้นี่แหละที่เป็นครั้งแรกที่ป้ากุ้งเรียกแทนตัวเองว่าแม่กับผม “ในบรรดาหลายๆอย่างที่เกิดขึ้นกับแม่และพ่อ สิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของเราก็คือการได้รู้จักลูกและมีลูกมาอยู่กับครอบครัวของเรานะ” ป้ากุ้งจับมือของผมเบาๆ ความอบอุ่นและอ่อนโยนนั้นถูกส่งผ่านมายังมือของผมแบบที่ผมไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลย ผมจำไม่ได้เสียด้วยซ้ำว่าผมเคยถูกมือของผู้หญิงคนอื่นที่อยู่ในวัยเดียวกับแม่ของผมกุมมือผมแบบนี้มาก่อนหรือเปล่า

“ใช่ เมฆน่ะเป็นเด็กดีมากนะ พ่อดูคนไม่ผิดหรอก ถ้าไม่มีเมฆ พ่อก็คงไม่มีซันยืนอยู่ตรงนี้....... ไม่ใช่แค่ซันเท่านั้นนะ แต่เป็นซัน ที่เป็นตัวตนจริงๆของมันต่างหาก” ลุงสันต์เองก็ยังแทนตัวเองว่าพ่อด้วยเช่นกัน เขาหัวเราะแล้วเอามือตบลงไปบนหัวของไอ้ซันเบาๆ ผมเห็นไอ้ซันทำปากขมุบขมิบเหมือนไม่ค่อยพอใจ

“จริงๆแล้ว พ่อกับแม่ก็คุยกับพ่อของเมฆบ่อยอยู่นะ” ป้ากุ้งพูดต่อ ยังคงกุมมือของผมเอาไว้แน่น แต่อ่อนโยนและแผ่วเบาในคราเดียวกัน “นับแต่วันที่เมฆเข้าโรงพยาบาล เราก็คุยกันหลายๆเรื่อง หลายๆอย่าง เพราะเราต่างก็มีลูกชายคนเดียวเหมือนกัน แถมยังเคยประสบอุบัติเหตุด้วยกันทั้งคู่อีก หัวอกของคนเป็นพ่อเป็นแม่น่ะเมฆ มันซับซ้อนมากกว่าที่ลูกคิดเยอะนะ”

ผมไม่รู้จะพูดอะไรตอบ จึงได้แต่ยืนฟังอยู่อย่างนั้น ผมก้มมองดูมือของตัวเองที่ถูกกุมเอาไว้ครู่หนึ่งแล้วนึกไปถึงเรื่องในวันที่ไอ้ซันเข้าโรงพยาบาลในวันนั้น ตอนที่ป้ากุ้งกอดผม........... สัมผัส ความอบอุ่นของคนเป็นแม่แบบที่ผมเคยได้สัมผัสเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในครั้งนั้น บัดนี้มันถูกส่งผ่านมายังมือของผมอีกคราว...........

“และยิ่ง...........” ป้ากุ้งหันไปมองไอ้ซันแล้วยิ้ม “มีคนบางคนเค้าเข้ามาคุยกับพ่อและแม่.........” ผมมองตามสายตาของป้ากุ้งไปยังไอ้ซัน

“แม่!” มันรีบร้องท้วงออกมาทันที

ป้ากุ้งและลุงสันต์หัวเราะขึ้นพร้อมๆกัน จะว่าไปแล้วผมเพิ่งเคยเห็นคุณลุงมีความสุขขนาดนี้เป็นครั้งแรกนะนี่ แถมทั้งคู่ยังดูร่าเริงเป็นพิเศษมาตั้งแต่เช้าแล้วอีกด้วย มีผมเพียงคนเดียวที่ยังคงงงกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้

“พ่อกับแม่น่ะ คิดว่าเมฆเป็นลูกคนที่สองของเรามาตั้งนานแล้ว รู้มั๊ย จริงๆก็ตั้งแต่เราสองคนยังเรียนอยู่ด้วยกันนั่นแหละ ไม่ใช่แค่แม่ได้เจอได้คุยกับเมฆบ่อยแค่นั้นหรอกนะ แต่อาจจะเป็นเพราะ ซันเขาชอบพูดถึงลูกให้พ่อกับแม่ฟังตลอดเวลาเลยด้วย”

“แม่!!” ไอ้ซันร้องขึ้นอีกครั้ง

“เมื่อวานเขาก็มาหาพ่อกับแม่” คราวนี้ลุงสันต์พูดขึ้นบ้าง ไม่สนใจไอ้ซันที่กำลังทำหน้านิ่วอยู่ “มาถามว่าพ่อกับแม่พร้อมที่จะมีลูกชายสองคนหรือยังน่ะ” คุณลุงหัวเราะขึ้นอีกครั้ง

“ว่ายังไงนะครับ” ผมร้องขึ้น แทบจะไม่เชื่อหูตัวเอง ผมหันไปมองหน้าไอ้ซัน แต่มันกลับกำลังเบือนหน้าหนีหลบสายตาของทุกคนอยู่

“ไม่ใช่แค่นั้นหรอกนะ ยังมีอีกเยอะ ตั้งแต่ก่อนที่เมฆจะมาที่นี่แล้ว เขาเข้ามาคุยอะไรกับแม่แล้วก็พ่อหลายอย่างเลยล่ะ” ป้ากุ้งพูดขึ้น

“พอแล้วแม่ พ่อ ไปเช็คอินได้แล้ว” ไอ้ซันจับมือของพ่อที่วางอยู่บนหัวของมันออกแล้วเดินตรงมาถือกระเป๋าของผมแล้วเดินลากออกไป “มึงก็มาได้แล้ว ไอ้ตัวดี”

ป้ากุ้งหัวเราะเบาๆแล้วชะโงกหน้ามากระซิบกับผม “เมฆ ถ้าลูกไม่อยากจะรับน้ำใจของพ่อกับแม่เอาไว้ล่ะก็ คิดเสียว่าลูกต้องตอบแทนพ่อกับแม่ทีหลังก็ได้ โดยการดูแลซันให้ดี โอเคมั๊ย”

ผมไม่รู้จะตอบกลับไปว่าอย่างไรดี จึงพยักหน้ารับเบาๆ “แต่ว่า............”

“แต่ว่าไม่ใช่แค่นั้น เมฆต้องดูแลไม่ให้เขาหลงทางหรือเหลวไหลอีก” ป้ากุ้งมีสีหน้าซีเรียสเมื่อพูดเรื่องนี้ขึ้น “มันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เป็นภาระที่หนักหนาเอาการอยู่ เรื่องบางเรื่องพ่อกับแม่ก็คุยกับเขาไม่ได้ มีแต่ซันนั่นแหละ ที่จะช่วยเราทั้งคู่ในจุดนั้นได้ เข้าใจมั๊ยลูก”

ผมพยักหน้าอีกครั้ง “ครับ.......... แต่ก็ คือ มันก็แบบว่า.............”

“ตอนนี้เมฆยังไม่เข้าใจหรอก แต่สักวันเราจะเข้าใจมันได้ดีเอง” ป้ากุ้งปล่อยมือที่กุมมือของผมเอาไว้ออกแล้วพยักเพยิดไปทางไอ้ซัน “เอ้า ไปได้แล้ว เดี๋ยวเขาจะโกรธเอาอีก”

ผมพยักหน้าแล้วก็ออกเดินตามไอ้ซันไปโดยมีไคล์เดินตามมาติดๆ

“ช้าจังวะ เดี๋ยวแถวก็ยาวหรอก” ไอ้ซันต่อว่าผมทันทีที่ผมเดินไปถึงตัวมัน

“มึงอย่ามาพูดดี มึงคุยอะไรกับพ่อแม่ของมึงไปมั่งเนี่ย ไอ้ซัน”

“ก็...............” มันทำท่ากระอักกระอ่วน

“ว่ามาเดี๋ยวนี้เลย” ผมเร่ง

“กูว่าเอาไว้ค่อยคุยกันดีกว่าว่ะ” มันเหลือบไปมองที่ไคล์ “ว่าแต่มึงเถอะ แม่กูเขาบอกอะไรมึง เมื่อกี๊นี้น่ะ”

“อ้อ ก็ไม่มีอะไรหรอก” ผมยักไหล่ คิดถึงคำพูดเมื่อครู่ “ก็แค่บอกให้ช่วยดูแลมึงเท่านั้นแหละ”

“อีกแล้วเหรอวะ ชอบเห็นกูเป็นเด็กๆอยู่เรื่อย พ่อกับแม่กูเนี่ย” ไอ้ซันบ่น

“มึงไม่ต้องมาเปลี่ยนประเด็น มึงเคยคุยคุยอะไรกับพ่อแม่ของมึงไปบ้าง”

“ก็กูบอกว่าเอาไว้ก่อนไง” ไอ้ซันหันไปมองที่ไคล์อีกครั้ง แต่ตอนนี้ไคล์กำลังคุยโทรศัพท์กับเพื่อนของเขาอยู่

“งั้นกูขอถามแค่ว่า ทำไมคุณลุงกับคุณป้าถึง....... เอ่ออ ถึงแทนตัวกูกับพวกท่านแบบนั้นวะ เมื่อคืนมึงเข้าไปคุยอะไรกับพวกท่านมา” ผมเบาเสียงของตัวเองลงนิดหน่อย เพื่อให้เราได้ยินกันแค่สองคน

“ก็ ไม่มีอะไรหรอก......... กูแค่ถามพ่อกับแม่ว่าพร้อมจะรับมึงเป็นลูกอีกคนรึยังเท่านั้นเอง”

“มึงจะบ้าเหรอ มึงไปถามอะไรแบบนั้นได้ยังไง” ผมโวย

“มึงนั่นแหละที่บ้า ฟังกูให้มันรู้เรื่องก่อน” ไอ้ซันตบหัวผมเบาๆ “ที่แม่เรียกมึงว่า ‘ลูก’ น่ะ ใช่มั๊ย กูจะบอกให้ ว่าแม่กูเขาอยากจะเรียกมึงแบบนั้นมาตั้งนานแล้ว แต่กูห้ามไว้เอง เพราะ เอ่ออ......... คือ กูคิดว่ามึงอาจจะยังไม่พร้อม เพราะที่มึงเคยเล่าให้กูฟังน่ะ เรื่องแม่ของมึง..........” ไอ้ซันพูดตะกุกตะกัก ผมเริ่มที่จะเข้าใจในความหมายและความคิดของมันได้ดีขึ้นแล้ว

“จริงๆ กูก็ไม่ได้เป็นอะไรหรอก มึงคิดมากไปหรือเปล่า” ผมพูด แต่จริงๆแล้วกลับตรงกันข้ามเลย จริงอย่างที่มันพูดทุกอย่าง การที่มีใครสักคนที่ทั้งดีและรักผมมากอย่างป้ากุ้งมาเรียกผมว่าลูกและแทนตัวเองว่าแม่นั้น เป็นเรื่องใหญ่สำหรับผมจริงๆ ขนาดวันนี้เมื่อผมได้ยินแบบนั้นเป็นครั้งแรกผมยังเกือบจะห้ามความรู้สึกที่มันพลุ่งพล่านอยู่ในตัวของผมเอาไว้ไม่ได้ ยิ่งเมื่อได้ยินสิ่งที่ป้ากุ้งและลุงสันต์พูดก็ยิ่งทำให้ผมรู้ตัวว่าแท้จริงแล้วผมอ่อนแอมากขนาดไหน ตลอดชีวิตของผม ผมจำไม่ได้เลยจริงๆ ว่าเคยเรียกใครว่าแม่มาก่อน และก็ไม่เคยมีใครมาแทนตัวเองว่าแม่กับผมเช่นเดียวกัน

ผมไม่เคยมีแม่ ผมมีก็แต่รูปภาพของผู้หญิงที่ผมจินตนาการเอาไว้ว่าความอบอุ่นของเธอคนนั้นจะเป็นอย่างไร ถ้าหากว่าผมโชคดีกว่านี้แค่สักเล็กน้อย ผมก็อยากจะมีความทรงจำของแม่ของผมเก็บเอาไว้ในส่วนลึกของจิตใจบ้างก็ยังดี อย่างๆน้อยๆ ผมจะได้คิดว่าถึงแม่ของผมจะจากไปแล้วแต่ท่านก็ยังคงมีชีวิตอยู่ในความทรงจำของผมตลอดไป......... แต่เปล่าเลย ผมไม่เคยได้รู้จัก ได้ยินเสียง หรือเคยได้สัมผัสแม่ของผมเลยแม้สักครั้งเดียว คำว่าแม่ที่ผมรู้ก็คือ ผู้หญิงในรูปที่กำลังส่งยิ้มอย่างอ่อนโยนมาให้ผมและมีผมที่ยังเป็นเด็กทารกนอนอยู่บนตักของเธอเท่านั้น

มันคือสมบัติของผม ที่ผมพกติดตัวไปไหนมาไหนด้วยตลอดเวลา............ แม้แต่ในตอนนี้ก็ตาม

“เมฆ” เสียงของไอ้ซันปลุกผมให้ตื่นขึ้นจากภวังค์ ผมรีบห้ามน้ำตาของตัวเองที่เริ่มปริ่มอยู่ที่ตาหยดเล็กๆเอาไว้ไม่ให้มันไหลออกมาได้ทันเวลา

“หืม” ผมตอบกลับ

“มึงโอเครึเปล่า” ไอ้ซันไม่ใช่แค่ถาม แต่น้ำเสียงของมันแฝงไว้ด้วยความอบอุ่นและห่วงใยอย่างเต็มเปี่ยม

“เฮ้ย กูไม่ได้เป็นอะไร” ผมหันหน้าไปมองทางอื่น “อ้าว แล้วไคล์ล่ะ”

ไอ้ซันชี้ไปทางด้านหลังของผม ไคล์กำลังกดปุ่มวางสายแล้วเดินตรงมาที่เราสองคน เมื่อไคล์เดินมาถึงเราสามคนก็คุยกันสัพเพเหระโดยที่ไอ้ซันเป็นคนหาหัวข้อมาคุยเสียมาก และจัดการทำเรื่องโหลดกระเป๋าจนเรียบร้อยจากนั้นเราสามคนจึงเดินกลับไปหาคุณลุงคุณป้าทุกคนอีกครั้ง

“พร้อมจะเดินทางกันรึยังหนุ่มๆ” พ่อของไอ้ซันถามประโยคเดิมขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับยื่นเงินก้อนนั้นมาให้ผม “เอ้านี่ เมฆ ติดตัวไว้”

ผมยังคงลังเลอยู่ ถึงแม้ผมจะรู้ว่าท่านทั้งสองอยากให้ผมรับมันเอาไว้จริงๆก็ตาม “เอ่ออ คือ...........”

“โอ๊ย เรื่องมาก เอามานี่” ไอ้ซันโวย แล้วหยิบเงินออกไปจากมือของพ่อตัวเอง “เดี๋ยวผมเก็บไว้เองครับ พ่อ เอาไว้มันเผลอเดี๋ยวผมค่อยแอบยัดใส่กระเป๋ามัน เอ้า มึงขอบคุณพ่อกูด้วยเดี๋ยวนี้”

“ขอบคุณมากๆครับคุณลุง” ผมยกมือขึ้นไหว้ แล้วหันมามองไอ้ซันตาขวาง แต่มันกลับยักคิ้วแล้วส่งสายตาให้ผมแทน

“อย่าพกเงินสดติดตัวเยอะนักนะลูก ใช้บัตรเอาไว้น่ะดี” แม่ของไอ้ซันย้ำ

“ครับแม่ ไม่ต้องห่วงหรอก” ไอ้ซันตอบ

“เมฆ ดูแลซันด้วยนะลูก ทั้งเรื่องเงิน เรื่องกิน เรื่องเดินทาง........”

“พ่อแล้วแม่!! ผมโตแล้วนะครับ อะไรๆก็เอาแต่เมฆๆๆ” ไอ้ซันโวย

“แล้วก็ฝากดูแลไคล์ด้วยนะ เมฆ” ป้าแอ๊นท์พูดขึ้นบ้าง

“นั่น ป้าแอ๊นท์ก็เป็นไปกับเขาอีกคน ทำไมไม่ฝากผมมั่งล่ะ ผมนะพี่ชายไคล์มันนะครับ”

“อะไรยะ ชั้นก็แค่ฝากคนที่ท่าทางจะไว้ใจได้มากกว่าก็แค่นั้นเอง พอมีตัวเลือกให้เลือกมันก็ต้องเลือกสิจ๊ะ” ป้าแอ๊นท์ตอบพร้อมเสียงหัวเราะกลั้วอยู่ในลำคอ ไคล์เองก็หัวเราะ แต่ไอ้ซันกลับกลอกตาแล้วทำหน้าเซ็งๆ เราทุกคนหัวเราะขึ้นพร้อมๆกัน แม้แต่ลุงคาร์ลอสที่ฟังไม่ค่อยจะเข้าใจก็ยังหัวเราะไปด้วย

“เอาล่ะ เข้าไปกันได้แล้วมั๊ง” พ่อของไอ้ซันพูดขึ้น

“นั่นสินะ งั้นไหน มานี่หน่อยซิ ลูกรัก” ป้ากุ้งจูงมือไอ้ซันแล้วดึงตัวมันเข้ามากอดแรงๆ “ดูแลตัวเองนะลูก แล้วโทรหาแม่มั่งล่ะ เข้าใจมั๊ย ห้ามเที่ยวเพลินเด็ดขาด แล้วก็ห้ามพาแฟนแหม่มผมทองกลับบ้านมาเป็นของฝากให้พ่อกับแม่ด้วย!”

“โอ๊ยย เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอกครับแม่” ไอ้ซันหันมาหลิ่วตาให้ผมไวๆแว่บหนึ่ง

“เอาล่ะ เมฆมานี่ซิ” ป้ากุ้งคลายตัวไอ้ซันออกจากนั้นก็เดินตรงมาหาผม ไอ้ซันเองก็เข้าไปสวมกอดกับลุงสันต์ต่อเช่นกัน “เดินทางดีๆนะลูก แล้วก็จำที่แม่พูดไว้ให้ดีล่ะ เมฆเป็นลูกชายของแม่แล้วนะ อย่าลืมซะล่ะ” ป้ากุ้งกอดผมแน่นขึ้นอีก จนผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะร้องไห้จึงต้องรีบพูดอะไรบางอย่างออกมาเพื่อเปลี่ยนเรื่อง

“แล้วผมจะซื้อของมาฝากนะครับ อยากได้อะไรเป็นพิเศษรึเปล่า”

“โอ๊ย ไม่ต้องหรอก แค่ลูกสองคนปลอดภัยกลับมาก็ดีที่สุดแล้ว” ป้ากุ้งคลายวงแขนที่กอดผมอยู่ออกแล้วลูบใบหน้าของผมเบาๆ “เอาล่ะ ดูแลตัวเองด้วยนะ แล้วกลับมาเมื่อไหร่ เราค่อย..........”

“นี่แม่” ลุงสันต์เรียกป้ากุ้งเบาๆ “พอได้แล้ว เด็กๆมันก็โตๆกันแล้วน่า ปล่อยได้แล้วล่ะ”

“รู้แล้วๆ” ป้ากุ้งถอนหายใจเบาๆแล้วก็เข้าไปกอดกับไคล์อีกคน เมื่อถึงเวลา เราสามคนก็เดินจากมาพร้อมกับคำอวยพรที่ทุกคนมอบให้และของขวัญชิ้นสำคัญที่สุดที่ผมเพิ่งเคยได้รับนับตั้งแต่เกิดมา...........

“เป็นอะไรวะ เมฆ” ไอ้ซันเรียกผมที่หยุดเดินอยู่กลางทางก่อนที่จะเข้าประตูไป ผมไม่ได้ตอบแต่กลับออกวิ่งตรงไปยังป้ากุ้งก่อนที่ท่านจะเดินลับสายตาไป เมื่อไปถึง ป้ากุ้งและทุกๆคนมีสีหน้าประหลาดใจที่เห็นผมวิ่งกลับมาอีกครั้ง

“ลืมของอะไรเหรอลูก เมฆ” ป้ากุ้งถามผม

“ครับ” ผมตอบ “ผมลืมบางอย่างน่ะครับ” ผมหอบ จากนั้นก็สูดลมหายใจเข้ายาวๆหนึ่งครั้งก่อนจะเดินเข้าไปไหว้ลงบนบ่าของป้ากุ้งพร้อมกับพูดออกไป

“ขอบคุณนะครับ........ แม่”


หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 27-08-2007 14:00:15
 :m15: :m15: :m15: :m15: :m15:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 27-08-2007 15:19:43

.............รักพ่อกะแม่จังเยย......... :m11: :m11: :m11:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: jedi2543 ที่ 27-08-2007 15:32:29
อ่านแล้วซึ้งค่ะ

ชอบมาก

ไม่ชอบเลยที่หลายครั้งเมฆชอบพูดอะไรที่ดูเหมือนเป็นลางให้ตัวเอง

ไม่เอาจบเศร้านา อยากให้เรื่องนี้จบแบบแฮปปี้ มีความสุขทุกคน
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 27-08-2007 16:40:00
อ่านตอนนี้แล้วน้ำตาซึมอ่ะ...  :m15:
อยากกีดดร้อง....... ง่า
ซึ้งมั่กมัย........ :m17:

ในที่สุด เมฆ ก้อเรียกป้ากุ้ง ว่า" แม่" แย้ว ฮิ้วววววววววววว...  :m3:

เหมือนจะเศร้าๆ...เวลาอ่าน ความรู้สึกของเมฆ
.. แต่ ทุกอย่าง มันถูกกลบ..หายไปด้วย...
 กรุ่นไอของ......ความรัก ความอบอุ่น ความเป็นครอบครัว    :m1:

 o13
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 27-08-2007 19:08:08
อ่านแล้วซึ้งจัง
ต้นเขียนได้อารมณ์ดี ทำให้เข้าใจความรู้สึกของเฆมที่กำพร้าแม่ได้เป็นอย่างดี
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 27-08-2007 19:34:49
รู้สึกเหมือนมีลางแล้ววุ้ย เกิดอะไรขึ้นกับซันกันแน่น้อ  :a6:  :a6:  :a6:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: tonsai_2520 ที่ 27-08-2007 20:43:29


นั่งนิ่ง ๆ  แล้วกลับไปอ่านอีกรอบ . . . ชอบ

ปล. คิดถึงแกว่ะ

ปล2. ชวนอีกคนไปดูหนังด้วยมั้ย
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 27-08-2007 21:12:21



ปล. คิดถึงแกว่ะ





โทรมาจิ





ปล2. ชวนอีกคนไปดูหนังด้วยมั้ย


ใครเหรอ? (ตรึ่งโป๊ะ!!)



หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ~prince™~ ที่ 27-08-2007 21:15:05
ประโยคสุดท้ายซึ้งสุดๆเลยคับ o7
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ~Brand New Beat~ ที่ 27-08-2007 23:30:05
ชอบตอนนี้อีกแล้ว ต่อไปนี้เมฆจะได้มีแม่ซะที

ซึ้งจังเลย  o7 o7 o7

ปล. อยากรู้ว่าที่ซันพูดไม่จบ ซันกำลังจะบอกอะไรกับเมฆ หุหุ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของŪ
เริ่มหัวข้อโดย: ninaprake ที่ 28-08-2007 01:47:17

ปล2. ชวนอีกคนไปดูหนังด้วยมั้ย


ใครเหรอ? (ตรึ่งโป๊ะ!!)


ชวนเราไง  อิอิ ..... ล้อเล่นน่า  :m11:

สนุกสนานและซาบซึ้งมากเลยนะครับเนี่ยต้นนิ่ม   o7  .... อ่านแล้วก็ .... เฮ้อ ..... ปลาบปลื้มดีใจแทนเมฆจัง  :impress:

มาต่อเร็วๆนะคร้าบบบ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 28-08-2007 10:33:48
ขอบคุณทุกคนมากๆครับ ดีใจจริงๆจังๆที่ทุกคนชอบ ^^ ไม่คิดว่าจะชอบขนาดนี้

 :m2:

ปล. ไปคับ หนังเหนิง ไปไหนก้อไป อิอิ ขอแค่ไม่ต้องออกตังค์  :m13:

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 28-08-2007 10:44:52
ตอนที่ 21


หลังจากการเดินทางสิบห้าชั่วโมงครึ่งและต่อเครื่องที่ชิคาโกอีกหนึ่งครั้งพวกเราก็มาถึงสนามบินนานาชาติฟีนิกซ์โดยสวัสดิภาพ พวกเราเรียกแท็กซี่ไปยังโรงแรมของเราเพื่อเช็คอินทันที โดยโรงแรมของพวกเรานั้นมีชื่อว่า เลกาซี่ กอล์ฟ รีสอร์ท ซึ่งตั้งอยู่บนถนน อีสท์ บาเซลไลน์ คนขับแท็กซี่บอกพวกเราว่ามันอยู่ไม่ไกลจากสนามบินนี่เอง ใช้เวลาขับรถแค่ประมาณสิบนาทีก็ถึงแล้ว

ไคล์เป็นคนนั่งข้างหน้าคู่กับคนขับและมีหน้าที่เป็นล่ามกลายๆให้กับพวกเราด้วย หรือพูดอีกอย่างก็คือการคุยเจรจาอะไรทั้งหลายแหล่เราสองคนผลักภาระไปให้ไคล์กันจนหมดนั่นเอง ส่วนซันกับผมนั่งอยู่ที่เบาะหลัง

“น่าเสียดายนะ” ผมพูดขึ้นขณะที่เราขึ้นรถกันเสร็จเรียบร้อย

“อะไรวะ” ไอ้ซันถามขึ้น

“ก็โรงแรมอยู่ใกล้ๆแบบนี้ก็อดได้ขับรถวนเที่ยวดูตัวเมืองตอนเย็นๆค่ำๆแบบนี้เลยน่ะสิ” ผมอดรู้สึกเสียดายเล็กๆไม่ได้จริงๆเพราะอย่างน้อยฟีนิกซ์ก็เป็นหนึ่งในเมืองที่ผมอยากจะมาเที่ยวมาที่สุดในอเมริกาอยู่แล้ว

“เรื่องนั้นมึงไม่ต้องห่วงหรอก” ไอ้ซันพูด

“หา ทำไมวะ”

“เอาไว้เข้าโรงแรมก่อน ค่อยคุย” มันตอบแบบปัดๆ ผมก็เลยไม่ได้เซ้าซี้ต่อ

“พวกคุณมาจากไหนกันครับเนี่ย” คนขับแท็กซี่ที่เป็นคนละตินถามขึ้นด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงแปร่งๆ

“พวกเรามาจากอังกฤษน่ะครับ” ไคล์เป็นคนตอบ คนขับมีสีหน้าแปลกใจขึ้นมาทันที

“อ้าว อะไรกันนี่ น้องชายคนนี้พูดภาษาอังกฤษคล่องเลยนี่นา ไม่มีติดสำเนียงเลย แต่สองคนข้างหลังเมื่อกี๊เขาคุยภาษาอื่นกันอยู่นี่”

“พวกเราเป็นคนไทยที่ไปเรียนต่อที่อังกฤษน่ะ” ซันตอบ “ส่วนคนข้างหน้านี้เขาเป็นลูกครึ่งไทย – ฮิสแปนนิค”

“อย่างนี้นี่เอง” คนขับแท็กซี่หัวเราะ แล้วหันไปถามอะไรบางอย่างกับไคล์เป็นภาษาสเปน ไคล์เองก็เลยคุยกับเขาเป็นภาษาสเปนไปด้วยเลย ผมกับไอ้ซันมองหน้ากันแล้วยักไหล่

“เขาพูดว่าอะไรน่ะ” ซันถามไคล์ขึ้นเป็นภาษาไทย

“เขาถามว่าผมเป็นคนที่ไหน มีเชื้อสายอะไรยังไง อะไรแบบนี้น่ะครับ” ไคล์หันมาตอบพร้อมกับรอยยิ้ม

“งั้นถ้าเขาพูดเป็นภาษาสเปนอีกก็บอกให้เขาพูดภาษาอังกฤษซะ จะได้ฟังกันรู้เรื่องทั้งรถ”

“หึๆ ได้ครับ” ไคล์ตอบจากนั้นก็หันไปคุยกับคนขับรถเป็นภาษาอังกฤษ “จากนี้ไปผมว่าเราคุยกันเป็นภาษาอังกฤษดีกว่านะครับ ไม่งั้นสองคนข้างหลังนี้คงงงแย่”

“นั่นสินะ” คนขับรถหัวเราะแล้วรับคำ แต่ว่ายังไม่ทันที่เราจะต้องได้คุยอะไรกันอีกมากมายนักรถแท็กซี่ก็พาเรามาจอดอยู่ที่หน้าโรงแรมแล้ว

หลังจากที่เช็คอินเข้าห้องกันเสร็จเรียบร้อย ผมที่เหนื่อยและเบื่อกับการเดินทางไกลๆมากๆก็ล้มลงบนเตียงทันที ไคล์เองก็เช่นเดียวกัน แต่ไอ้ซันกลับยังยืนอยู่และเอาเท้ามาสะกิดผมเบาๆ

“นี่ ไอ้เมฆ ลุกได้แล้ว เดี๋ยวค่อยกลับมานอน”

“อะไรของมึงเล่า กูเหนื่อยนา ขอพักก่อนหน่อยไม่ได้รึไง” ผมพูดอู้อี้ๆเพราะหน้าซุกอยู่กับหมอนใบใหญ่

“ไปเอารถเช่ากับกูก่อน ลืมไปแล้วรึไง” มันเอาเท้าเขี่ยขาของผมอีกครั้ง

“อะไรเล่า” ผมหันหน้าไปหามัน “พรุ่งนี้ไม่ได้เหรออ่า”

“ไม่ได้ ต้องเป็นวันนี้เท่านั้น”

“งั้นซันไปกับผมมั๊ย” ไคล์เสนอตัวขึ้น

“ขอโทษนะไคล์ แต่พี่ขอไปกับไอ้เมฆดีกว่า ไคล์พักผ่อนไปก่อนเถอะ ส่วนไอ้ตัวขี้เกียจเนี่ยต้องโดนใช้งานซะบ้างจะได้หาย”

“อะไรเล่า กูไม่ได้ขี้เกียจสักหน่อย กูแค่ขี้เกียจไปเอง มันเหนื่อยอ่า กูแพ้การเดินทางไกลๆนะ” ผมโอดครวญ

“ก็นั่นแหละ เขาเรียกขี้เกียจ กูต่างหากที่ไม่ชอบเดินทางไกลๆยังไม่บ่นเลย ไปลุก มึงต้องคอยคุยกับกูคอยบอกทางกู เรื่องเนี๊ยมึงตองทำเพราะสื่อสารกับกูได้ง่ายกว่าไคล์ เร็วๆเดี๋ยวจะไม่ทัน”

ถึงจะเจ็บใจ แต่มันก็พูดถูก ถ้าเรื่องบอกทางหรือเรื่องของแผนที่ ผมน่าจะทำหน้าที่นี้ได้ดีกว่าไคล์เพราะเราสื่อสารกันด้วยภาษาไทยเลยง่ายกว่า ไคล์เองถึงจะพูดภาษาไทยได้แต่เขาเองก็ต้องใช้เวลาประมวลผลมากกว่า ทำให้บางครั้งเขาสื่อออกมาช้าหรือผิดพลาดไปบ้าง ไอ้ครั้นจะให้คุยกันเป็นภาษาอังกฤษเลยนั้น ไอ้ซันก็เคยพูดไว้ว่า แรมของมันมีน้อย ทำให้ประมวลผลภาษาต่างประเทศได้ช้า เพราะเหตุนี้แหละมั้ง แม่ของมันถึงได้มอบหมายให้ผมเป็นคนมีหน้าที่ดูแผนที่และคอยบอกทางไอ้ซัน

“เออๆ ก็ได้” ผมลุกขึ้นจากเตียงช้าๆ

“ดีมาก ส่วนไคล์ พี่ฝากดูแลห้องหน่อยนะ อย่าเพิ่งออกไปไหนล่ะ แล้วเดี๋ยวพี่จะรีบกลับมารับไปหาอะไรกินกันทีหลัง อ้อ ฝากโทรบอกแม่พี่ด้วยนะ ว่าเรามาถึงกันแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง บอกเขาว่าพอพี่กลับมาแล้วจะโทรหาเขาอีกทีเอง”

“ไม่มีปัญหาครับ” ไคล์รับคำ

“งั้นก็ไปกันเถอะ” ไอ้ซันเดินนำผมออกจากห้องไป จากนั้นเราสองคนก็เดินไปถามที่เคาน์เตอร์ให้พนักงานช่วยเรียกรถแท็กซี่มาให้เราหนึ่งคัน แล้วก็ขอแผนที่ดาวน์ทาวน์ของเมืองฟีนิกซ์เอาไว้ด้วย ไอ้ซันเป็นคนรับหน้าที่คุยกับพนักงานเรื่องสถานที่ที่เราจะไปเอารถและเรื่องการขับกลับมายังโรงแรมว่าใช้เวลาเท่าไหร่รวมทั้งร้านอาหารใกล้ๆนี้ด้วย เมื่อรถแท็กซี่มาถึงเราสองคนก็นั่งไปยังจุดรับรถ เมื่อได้รถมาเรียบร้อยแล้ว ผมก็เร่งให้ไอ้ซันกลับโรงแรมทันที

“เดี๋ยวสิ มึงจะรีบไปไหนล่ะ” ไอ้ซันปราม

“รีบไปหาไคล์ล่ะมั๊ง ถามได้ ก็มึงบอกเขาเองว่าจะรีบกลับ ทิ้งเขาไว้ในห้องคนเดียว ไม่เป็นห่วงเขารึไง”

“มันโตแล้วน่า มึงอย่าคิดมากเลย” ไอ้ซันหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าไปยังถนนแห่งหนึ่งซึ่งผมอ่านชื่อไม่ทัน “มึงบอกเองไม่ใช่เหรอ ว่าอยากดูตัวเมืองน่ะ”

“ก็ใช่...... แต่ว่า”

“ไม่มีแต่หรอก มึงคอยดูทางให้กูเถอะ กูเริ่มจะไม่แน่ใจซะแล้วแฮะ.......” จากนั้นไอ้ซันก็เริ่มพึมพำๆในลำคอเหมือนกำลังนึกอะไรอยู่สักอย่าง

“มึงให้กูดูทาง แล้วมึงจะให้กูดูทางไหนไปไหนอะไรเล่า” ผมเอื้อมไปหยิบแผนที่ออกมาจากกระเป๋า

แต่ไอ้ซันก็ไม่ตอบ มันเคาะนิ้วลงบนพวงมาลัยเป็นจังหวะช้าๆและทำท่าเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ผมได้ยินมันพึมพำอะไรสักอย่างเบาๆออกมาเป็นคำว่า “.....ยูเอส.... สตรีท......” อะไรสักอย่างนี่แหละ

“โอ๊ะ นี่ไง เลี้ยวขวาทางนี้.......” ไอ้ซันหักพวงมาลัยเลี้ยวขวาอีกครั้ง “ใช่แล้ว ถนน อีสท์ เจฟเฟอร์สัน สตรีท....... และไอ้นั่นมันก็จะต้องอยู่ทางซ้ายมือ........”

“อะไรอยู่ทางซ้ายมือวะ” ผมพูดพลางหันไปมองผ่านหน้าของมันทางด้านซ้ายมือ สิ่งที่กำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆคืออาคารกระจกที่ด้านหน้าตัดเป็นทรงโค้งเว้าเข้าไปขนาดใหญ่ที่เปิดไฟสว่างจ้าและมีป้ายเขียนบอกว่าด้านบน ยูเอส แอร์เวย์ เซ็นเตอร์ ครั้งแรกที่เห็นผมคิดว่ามันคือสนามบินหรืออะไรสักอย่าง แต่เมื่อไอ้ซันชะลอรถให้ค่อยๆช้าลงๆขณะที่เราเคลื่อนเข้าไปใกล้มากขึ้นผมถึงได้รู้ว่าผมคิดผิด ด้านนอกของอาคารเป็นลานกว้างและมีการประดับตบแต่งมากมายเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศของอีเวนท์ที่กำลังจัดอยู่ ซึ่งในขณะนี้สิ่งที่เด่นอยู่ตรงหน้าผมคือป้ายชื่อของทีม ฟีนิกซ์ ซันส์

“ไอ้ซัน หรือว่านี่มันคือ.......” ผมตาโต อ้าปากค้างอย่างไม่รู้ตัว จ้องมองไปยังอาคารขนาดใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้า

“ใช่แล้ว ยูเอส แอร์เวย์ เซ็นเตอร์ เป็นทั้งสถานที่จัดงานใหญ่ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นคอนเสิร์ตหรืออีเวนท์อื่นๆ และแน่นอน เป็นสนามแข่งสำหรับทีมเจ้าบ้านทั้ง ไคโยตี้ เมอคิวรี่ โร้ดรันเนอร์ส และทีมบาสที่มึงชอบ ฟีนิกซ์ ซันส์ ไง”

ผมมองหน้ามันครู่หนึ่งด้วยความทึ่งและละสายตากลับไปมองยังสเตเดี้ยมแห่งนั้นอีกครั้ง บรรดาทีมทั้งหลายที่มันพูดมานั่นก็คือเหล่าทีมกีฬาประจำเมือง เช่น ทีมฮ็อกกี้ โร้ดรันเนอร์ส ทีมแรทเลอร์ส ของเอเอฟแอล และ เมอร์คิวรี่ ของดับเบิ้ลยูเอ็นบีเอ หรือบาสหญิงของเอ็นบีเอนั่นเอง เป็นต้น

“แต่ตอนนี้คือฤดูกาลของ เอ็นบีเอ เพราะงั้น ตอนนี้มันคือบ้านของซันส์มากกว่าทีมอื่น กูว่านะ” มีเสียงบีบแตรดังมาจากทางด้านหลังของรถของเรา “อุ๊บ กูเกือบจอดแช่ซะแล้วไง ตรงนี้มันห้ามจอดเหรอวะ” ไอ้ซันเหยียบคันเร่ง รถของเราเริ่มเคลื่อนตัวผ่านสนามกีฬาแห่งนี้ไปอย่างช้าๆ

“โทษทีนะเมฆ” ไอ้ซันพูด

“ไม่เลย ซัน” ผมละสายตาออกมาจากหน้าต่างรถแล้วมองหน้าของมันพร้อมรอยยิ้ม “กูขอบใจมึงมากๆเลยว่ะ สุดยอดไปเลย” ผมพูดด้วยความดีใจอย่างที่สุด

“เสียดาย กูไม่รู้ว่าจะเข้าไปยังไง แล้วก็น่าเสียดายที่กูไม่มีปัญญาหาตั๋วให้มึงเข้าไปดูเกมส์ของทีมที่มึงชอบได้ว่ะ”

“ไม่จำเป็นเลย ซัน” ผมวางมือซ้ายลงบนมือขวาของมันที่กำลังจับอยู่บนพวงมาลัยแล้วออกแรงบีบเบาๆ “แค่นี้กูก็ดีใจมากๆแล้วจริงๆ ขอบใจมึงมากๆเลยว่ะ แค่กูมีโอกาสได้มาเมืองของทีมบาสที่กูชอบกูก็ดีใจแล้ว แต่นี่กูยังได้มึงพามาเห็นสนามที่สตีฟ แนชใช้แข่งในฐานะทีมเจ้าบ้านแบบนี้อีก ถ้านี่ไม่เรียกว่าที่สุดของที่สุด กูก็ไม่รู้จะมีอะไรที่มันสุดยอดมากไปกว่านี้อีกแล้วว่ะ” ผมชะโงกหน้าเข้าไปหอมแก้มของมันเบาๆ รู้สึกขอบใจและชื่นชมมันจริงๆที่มันทำการบ้านมาเพื่อผมดีมากขนาดนี้ เพราะจริงๆแล้วผมรู้ว่ามันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับฟีนิกซ์เลย แต่นี่มันยังอุตส่าห์อธิบายเรื่องเหล่านั้นให้ผมฟังได้ นั่นหมายความว่ามันอยากจะทำสิ่งนี้เพื่อผมจริงๆ

“กูก็ดีใจที่มึงดีใจ” มันพูดเขินๆ แล้วเลี้ยวซ้ายเมื่อถึงสี่แยกข้างหน้า “คราวนี้ปัญหาก็คือ เราจะกลับไปโรงแรมยังไง” ไอ้ซันชะโงกหน้าไปอ่านที่ป้ายชื่อถนน “มึงช่วยกูดูแผนที่ที่โรงแรมเขาให้มาให้กูทีได้ป่ะ”

“ได้ๆ” ผมหยิบแผนที่ออกมากางออกแล้วไล่สายตาหาชื่อถนนที่ไอ้ซันเพิ่งขับผ่านไปอย่างรวดเร็วเพื่อหาตำแหน่งของเราสองคน

“เราเพิ่งผ่านไอ้ยูเอสแอร์เวย์ นั่นมา เพราะงั้นกูว่าไม่น่าจะหาตำแหน่งยากนะ” มันตั้งข้อสังเกต

“นั่นสิ..... อืมม....... นี่ไงกูเจอแล้ว เดี๋ยวมึงต้องเลี้ยวเข้าหาถนน อีสท์ แจ็คสัน น่าจะง่ายกว่านะ” ผมพูดแล้วหันไปมองยังทิศทางที่เราขับผ่านมา ผมยังคงสามารถมองเห็นหลังคาของอาคารนั่นได้อยู่ไกลๆ “..........ว่าแต่ แล้วนี่มึงรู้ทางมาที่นี่ได้ยังไงวะ มึงไปถามเขาตอนไหน”

“อ๋อ คือ........”

“คืออะไร”

“คือ กูสุ่มๆเอาเองว่ะ แหะๆ” มันหัวเราะแห้งๆแล้วหันมาแลบลิ้นให้ผม

“มึงไม่ต้องมาตลก แตหลอมากๆนะมึง แค่สุ่มๆมันจะมาถึงที่นี่ถูกได้ยังไง บอกมาเดี๋ยวนี้เลย.....” ผมหยิกแก้มมันแล้วเขย่าเบาๆ “ไอ้ตัวแสบ”

“โอ๊ยๆ เจ็บๆๆ” มันร้องแล้วดึงมือผมออก “เออๆ กูก็เปิดดูในแผนที่แล้วก็จำเอาน่ะสิวะ ตั้งแต่ก่อนมาแล้ว” มันเอามือถูแก้มตรงที่โดนผมหยิกเบาๆ

“จำเอาเนี่ยนะ มึงจำเอาเนี่ยนะ จะเก่งไปหน่อยหรือเปล่า ฟ้าคราม”

“อ้าว แน่นอนอยู่แล้ว” มันยิ้มกริ่ม ผมลืมเสียสนิทว่ามันเป็นคนแบบนี้ ตกลงก็เลยยังไม่รู้จนได้ว่ามันมาที่นี่ถูกได้ยังไง นี่มันจำแผนที่เอาจริงๆน่ะหรือ ผมส่ายหัวเบาๆแล้วก้มลงอ่านแผนที่อีกครั้ง แต่เมื่อผมมองดูถนนต่างๆในแผนที่ ผมก็รู้ได้ทันที่ว่ามันทำได้อย่างไร

“อ๋อออ อย่างนี้นี่เอง” ผมหัวเราะ

“อะไร” มันแกล้งโง่

“ถึงยังไงมึงก็เก่งอยู่ดีนั่นแหละนะ กูยอมรับ..........” ผมไล่สายตาไปตามถนนหนทางต่างๆแล้วก็เข้าใจว่ามันไม่ยากอย่างที่คิด เพราะถนนในตัวเมืองนี้จะถูกแบ่งออกเป็นบล็อคๆอย่างชัดเจน ถนนทุกสายแทบจะตัดกันเป็นสี่เหลี่ยมอย่างเพอร์เฟ็กต์ นอกจากนั้นถนนต่างๆก็มีชื่อเรียกแบ่งตามเหนือ ใต้ ตะวันออก และตะวันตกอยู่แล้วด้วย เช่นถนน เซาธ์ เซ็นทรัล อเวนิว ที่อยู่เลยไปสองบล็อกข้างหน้าเรา ถนน อีสท์ เจฟเฟอร์สัน สตรีท ที่เราเพิ่งผ่านมา หรือ อีสท์ บาเซลไลน์ โร้ด ที่เป็นที่ตั้งของโรงแรมของพวกเราเพราะอยู่ทางด้านฝั่งตะวันออกของเมือง แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม การที่มันจำชื่อถนนทั้งหมดและยังถนนเล็กถนนน้อย รวมไปถึงสี่แยกมากมายเหล่านี้ในละแวกนี้ได้ ผมก็ต้องยอมรับในความพยายามของมันจริงๆ

“ขอบใจมาก ซัน ที่มึงอุตส่าห์ทำเพื่อกูขนาดนี้” ผมพูดออกมาเบาๆ สิ่งที่ผมดีใจมากที่สุดก็คือสิ่งที่มันเพิ่งทำลงไป ไม่ใช่สิ่งที่ผมเพิ่งได้เห็นแค่ผ่านๆ

ไอ้ซันเองก็ได้ยินแต่มันกลับทำเงียบไม่พูดอะไรตอบราวกับมันไม่ได้ยินผมเสียอย่างนั้น มีเพียงแต่รอยยิ้มพอใจที่ประทับอยู่บนใบหน้าของมันเท่านั้นเองที่ทำให้ผมรู้ว่ามันก็ฟังผมอยู่

“เดี๋ยวเราต้องเลี้ยวเข้า เซาธ์ โฟร์ธ สตรีทเพื่อออกไปยัง เซาธ์ เซเว่น สตรีทอีกทีนะ” ผมอ่านแผนที่ให้มันฟัง “และหวังว่าพรุ่งนี้มึงจะพากูกับไคล์ไปแกรนด์แคนยอน ได้ถูกแบบนี้นะครับ พ่อคนเก่งโคตรๆ” ผมชี้ทางให้มันเลี้ยวอีกครั้ง ตอนนี้เราอยู่บนถนนที่เริ่มคุ้นตาขึ้นมาบ้างแล้ว จากนี้ไปไอ้ซันคงจะขับต่อไปเองถูกผมจึงพับแผนที่เก็บใส่กระเป๋าไว้ดังเดิม

“อันนั้นไม่รู้ว่ะ” มันหัวเราะ “กูดูแต่ทางมาสนามกีฬานี่ ยังไม่รู้เลยว่าต้องไปแกรนด์แคนยอนยังไง”

“อ้าว ไอ้เวร”

“เดี๋ยวค่อยถามพนักงานเอาก็ได้ แล้วป้าแอ๊นท์ก็เอาแผนที่ใส่มาให้แล้วนี่นา ไม่ยากหรอก ไปที่ดังๆแบบนั้นใครๆก็ต้องรู้ทางอยู่แล้วล่ะ”

“นี่มึงพูดเหมือนกับยังไงๆเราก็ต้องถามทางคนอื่นอยู่ดียังไงยังงั้นเลยนะ ไม่คิดว่าแค่แผนที่ที่ป้าแอ๊นท์ให้มาจะพามึงไปถูกทางได้เลยเหรอ”

มันยักไหล่ “ไม่รู้ว่ะ ถึงก็ดี ไม่ถึงก็ถาม ไม่เห็นยากเลย”

“ไอ้เรื่องนั้นมันก็ใช่”

“แต่เก่งระดับกูซะอย่าง มึงไม่ต้องห่วงหรอกน่า ไม่หลงอยู่แล้ว” มันหัวเราะเบาๆ

“ครับ พ่อคนเก่ง กูก็ไม่ห่วงหรอกครับ แค่เห็นมึงขับพวงมาลัยซ้ายได้แบบนี้กูก็อุ่นใจแล้ว” ป้ายชี้เข้าโรงแรมอยู่ตรงหน้าของเราสองคนแล้วในตอนนี้

“ก็บอกแล้ว.......” ไอ้ซันหักพวงมาลัยเลี้ยวรถเข้าโรงแรม “ว่าคนมันเก่งไปซะทุกอย่างนี่นะ”

“กูละเหนื่อยกับมึงจริงๆ ไอ้ซัน” ผมพูดขณะที่มันกำลังจอดรถในลาดจอด “ไปเถอะ ไปหาไคล์แล้วไปหาอะไรกินกันดีกว่า”

“เดี๋ยวก่อน ก่อนที่มึงจะลงไป กูมีเรื่องจะต้องบอกมึง” ไอ้ซันจับมือของผมเอาไว้ขณะที่ผมกำลังจะเปิดประตูรถ

“เรื่องอะไร” ผมหยุดและหันมามองหน้าของมัน ใบหน้าของมันมีแววยุ่งยากใจเล็กน้อย แต่ในขณะเดียวกันบางอย่างในสายตาของมั่นก็แสดงถึงความมุ่งมั่นออกมาให้ผมได้เห็น ไอ้ซันกำมือของผมแน่นและกลืนน้ำลายลงคอแต่ก็ยังคงไม่ละสายตาไปจากตาของผม จากนั้นมันก็ค่อยๆอ้าปากขึ้น..........

“เรื่องของกูกับไคล์..........”

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 28-08-2007 13:56:45

............นึกแล้วว่าต้องมีอะไรแน่......... :m17: :m17:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 28-08-2007 14:19:33
พูดให้ดี ๆ นะซัน  ซันจะพูดอะไรให้เมฆเสียใจเหรอ ไม่ดีนะ อย่าทำ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 28-08-2007 15:07:00
มีอะไรก็พูดกันตรงๆ จะได้ไม่เข้าใจผิด คิดกันไปเอง
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ninaprake ที่ 28-08-2007 15:17:27
I know it!   :a5:

นึกแล้วเชียว มันต้องมี something wrong ระหว่าง ไคล์กะซัน ....  o22

สงสัยจะเคยเผลอใจไปกิ๊กๆกันอยู่แน่ๆเลยยยยย  :เฮ้อ:

แต่ว่าบอกๆไปเองเลย มันก็ยังดีกว่าให้เมฆไปรู้เอาจากปากคนอื่นทีหลังนะ ...... เราว่าซันก็ทำถูกแล้วแหละที่จะสารภาพ

เอ๊ะ .... ว่าแต่เดาถูกรึเปล่าเนี่ย  o17  อาจจะบอกแค่ว่า "กูกะไคล์ ... เป็น ...ริดสีดวง" อะไรยังงี้ก็ได้มั๊ง  :laugh3:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 28-08-2007 16:29:30
ก็ว่า ตอนที่แล้ว ... เต็มเลย
 :a6:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: tonsai_2520 ที่ 28-08-2007 16:31:40


เธอคนหนึ่ง . . .

. . . เขาคนหนึง . . .

. . . ฉันคนหนึ่ง

. . . เราสามคน . . . เกลียดชิบไอ้รักสามเศร้าแบบนี้

ปล. ไอ้คนเขียนน่าร๊ากกกกกกกกก  ไม่เอาสามเศร้าได้ป่ะ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 28-08-2007 17:00:57


เอ๊ะ .... ว่าแต่เดาถูกรึเปล่าเนี่ย  o17  อาจจะบอกแค่ว่า "กูกะไคล์ ... เป็น ...ริดสีดวง" อะไรยังงี้ก็ได้มั๊ง  :laugh3:

แหม อันนี้ไอ้ต้นฮาแตกฮาแตนครับพี่น้อง!! เดี๋ยวมีเปลี่ยนต้นฉบับให้เป็นแบบนี้ขึ้นมา
พอได้อ่านตอนหน้ากันแล้วอย่าเหวอแดกนะครับ คุณพี่  :m11: 55555



เธอคนหนึ่ง . . .

. . . เขาคนหนึง . . .

. . . ฉันคนหนึ่ง

. . . เราสามคน . . . เกลียดชิบไอ้รักสามเศร้าแบบนี้

ปล. ไอ้คนเขียนน่าร๊ากกกกกกกกก  ไม่เอาสามเศร้าได้ป่ะ


เด๋วเจอสี่เศร้าเลยคับพี่ จัดให้แน่นอน (ฮา)

ปล. ตอนนี้ปั่นสองงาน หัวหมุนจะตายแร้ววว 5555 ซันกะศิลาตอนที่สามสิบแระ (แต่เดี๋ยวต้องกลับไปเปลี่ยนพล็อตให้เป็นริดสีดวงกับรักสี่เส้าก่อน) พ่อหทารเรือรูปงามไทเลอร์ กะ ไบรอันของผมก็กำลังหนุกก เซ็งแสดดด วันๆนั่งแต่หน้าคอม 5555

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 28-08-2007 19:32:56
หุหุ กะไว้แล้วเชียว  :a6:  :a6:   :a6:  :a6:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 28-08-2007 19:35:05
จะบอกอะไรเนี่ย อยากรู้

แล้วมาเป็นกำลังใจในการปั่นนะค้าบบบบบบบบบบบบบ

เดี่ยวจะปั่นงานที่ค้างบนโต๊ะเป็นเพื่อน เจ้านายตามแล้วววววววววววววววว
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ~Brand New Beat~ ที่ 28-08-2007 23:04:58
ขอแบบไม่กั๊กเลยได้มั้ยครับ ขอแบบเต็มสตรีมไปเลย

เพราะถ้ากั๊กไว้แบบนี้ผมอาจจะลงแดงตายก็ได้  o9

เป็นกำลังใจให้ต่อไป
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 29-08-2007 09:42:38
ตอนที่ 22


“เราต้องขับขึ้นเหนือไปตามถนน อินเตอร์สเตท เซเว่นทีน ใช่มั๊ยวะ เมฆ” ซันถามขณะที่เรากำลังขับรถอยู่บนถนนสายหกสิบ

“อื้ออ ใช่”

“มันใช้เวลาประมาณเท่าไหร่นะ”

“...........”

“...........เมฆ”

“ประมาณสี่ชั่วโมงครับ” เสียงของไคล์ดังขึ้นมาจากที่นั่งด้านหลัง

“อ่ะ อ้อ อืม” ซันรับคำแล้วพยักหน้า

ผมนั่งเหม่อมองออกไปยังทิวทัศน์แปลกตาที่วิ่งผ่านหน้าของผมไปอย่างรวดเร็ว แม้ตึกรามบ้านช่องและเหล่าผู้คนที่ออกมาเดินบนริมฟุตบาทเพื่อออกไปทำงานหรือดำเนินกิจวัตรประจำวันของตนก็ไม่ได้ช่วยทำให้ผมรู้สึกสดชื่นไปตามเวลายามเช้าที่สดใสแบบนี้ได้เลย สิ่งที่ไอ้ซันพูดกับผมเมื่อวานมันยังคงก้องอยู่ในหัวของผมตลอดเวลา.......

.
.
.

“เรื่องของมึงกับไคล์เหรอ”

“ใช่ กูคิดว่ากูควรจะบอกให้มึงได้รู้ไว้ในเมื่อตอนนี้เรามีโอกาสได้อยู่กันสองต่อสองแล้ว.......”

“มึง....... มีเรื่องอะไรกันแน่ ซัน” ผมเริ่มจะใจไม่ดี

“มันพูดยากนะ เมฆ......... กูรักมึง มึงก็รู้ใช่มั๊ย.......... แต่ตอนนั้น กูกับไคล์...........”


.
.
.

“เมฆ” เสียงของไอ้ซันเรียกผมให้กลับมาสู่ปัจจุบันอีกครั้ง

“หืมม.....”

“เมฆ นี่มึง...........” ไอ้ซันเอื้อมมือมาจับมือของผมเอาไว้ ไคล์ที่นั่งอยู่ด้านหลังก็คงเห็น แต่มันก็คงไม่สำคัญแล้ว

“ว่าไง” ผมหันไปยิ้มให้กับไอ้ซัน

ปรากฏว่าผิดคาด เพราะเมื่อผมหันไปยิ้มให้กับมัน ไอ้ซันกลับมีสีหน้าตกใจนิดหน่อยแต่ดูแฝงไปด้วยความเสียใจมากกว่า

“อย่าเมฆ........” ไอ้ซันนิ่วหน้า มีสีหน้าลำบากใจจริงๆ ผมไม่เคยเห็นมันทำสีหน้าแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ “มึงอย่ายิ้มแบบนั้นให้กู กูขอล่ะ มึงอย่ายิ้มแบบนั้นเลยนะ..........”

ผมเบือนหน้าหนีหันไปมองทิวทัศน์ด้านนอกอีกครั้ง มือของไอ้ซันยังคงกุมมือของผมอยู่ก็จริง และผมเองก็ไม่ได้ต้องการจะชักมือหนีแต่อย่างใด แต่ทว่าผมกลับไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นจากมือของมันเลยแม้แต่น้อย

มันบีบมือของผมแน่นขึ้นราวกับกลัวว่าผมจะหนีมันไป

“มึงอย่าคิดมากเลย.........” ผมพูดขณะที่สายตาก็ยังคงออกไปนอกกระจกรถ รู้สึกได้ถึงความเย็นชาที่ถูกสื่อออกมาในน้ำเสียงของตัวเอง ใช่ มึงอย่าคิดมากเลยซัน กูเองก็ยังไม่ได้คิดอะไรเลย ผมบอกตัวเองในใจ และผมเองก็รู้ดี ว่ามันเป็นจริงก็เพียงแค่ห้าสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น ผมอาจจะไม่ได้คิดอะไรในทางที่ไม่ดีก็จริง แต่ผมเองก็อดคิดในสิ่งที่เคยเกิดขึ้นไปแล้วไม่ได้ ผมขบกรามแน่น ไม่ ซัน กูไม่ได้โกรธมึงเลย....... แต่กูโกรธ กูเกลียดตัวเองที่ต้องมาคิดมารู้สึกแบบนี้มากกว่า ผมรู้สึกว่าน้ำตาของตัวเองมันกำลังจะไหลออกมาจึงเอามือไปป้ายที่ขอบตาเบาๆ แต่เปล่าเลย ผมไม่มีน้ำตาสักหยด มันเป็นแค่ความหวังลมๆแล้งๆที่อยากจะให้มีน้ำตาได้ระบายความอัดอั้นในใจของผมออกไปบ้าง แต่ก็ไม่เลย ผมไม่สามารถระบายความรู้สึกของผมออกไปได้เลยสักนิด

อีกครั้ง ที่ผมคงต้องทนเก็บมันเอาไว้อยู่แบบนี้ไปอีกนานเท่าไหร่ก็ไม่อาจจะรู้ได้

.
.
.

“ใช่........ ไคล์มันชอบกู มันรักกูมากกว่าคำว่าพี่” ไอ้ซันพูด

“เรื่องจริงเหรอ ซัน” ถึงพอมานึกๆดูแล้ว ผมก็อาจจะไม่แปลกใจกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินไปก็จริง แต่ว่าผมก็อดคิดไม่ได้ ว่าสิ่งที่มันพูดนี้คือเรื่องจริงอย่างนั้นเหรอ

“ใช่” ซันพยักหน้า เราสองคนเงียบกันไปสักพัก ต่างฝ่ายต่างรอให้อีกฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน ถ้าเป็นปกติผมคงจะมีความอดทนได้สูงกว่ามันแน่ แต่วันนี้ไม่ใช่ ไม่ใช่กับเรื่องที่ผมกำลังฟังมันเล่าอยู่นี่

“แล้วมึงล่ะ......... มึงคิดยังไงกับไคล์” นี่คือสิ่งที่ผมอยากรู้มากที่สุด มากกว่าสิ่งไหนๆที่ผมอยากได้ยินออกจากปากของมันหลังจากนี้เสียอีก

“กู...... กู.........” มันก้มหน้าและเบือนหน้าหนีไม่สบตาผมเหมือนเคย

“ซัน นี่มึง!”


.
.
.

ผมเหม่อมองออกไปยังท้องฟ้าเบื้องหน้า ถึงเราจะยังไม่ได้ออกมาจากตัวเมืองไกลนัก แต่ท้องฟ้าของที่นี่ก็ค่อนข้างบริสุทธิ์จริงๆ ก้อนเมฆก่อตัวเป็นรูปร่างแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนทั้งในเมืองที่ผมอยู่ที่อังกฤษและทั้งที่ประเทศไทยด้วย แสงอาทิตย์ที่สาดส่องลอดก้อนเมฆเหลือบเป็นแสงสีส้มเรืองๆก็ช่วยเตือนใจผมบางสิ่ง........ สิ่งที่ผมเกือบจะลืมมันไปเสียแล้ว

“มึงจะแวะแฟล็กสต๊าฟก่อนมั๊ย” ผมหันไปถามไอ้ซัน มือของมันยังคงจับมือของผมอยู่

“เอ้ออ ก็ แล้วแต่ว่ะ มึงว่าไงล่ะ”

“ไคล์ล่ะว่าไง พวกเราแวะที่แฟล็กสต๊าฟก่อนดีมั๊ย” ผมหันไปถามไคล์

“ยังไงก็ได้ครับ แต่ผมว่าแวะหน่อยก็ดีนะ ไหนๆก็มีเวลา” เขาตอบ ผมเห็นสายตาของเขาเหลือบมองมาที่มือของผมกับซันแว่บหนึ่งด้วย

“นั่นสินะ แต่นั่นหมายความว่ามึงต้องไม่หลงทางจนทำให้เราเสียเวลาเสียก่อนนะ ไอ้ตัวแสบ” ผมหันมาพูดกับไอ้ซัน มันกลับมามีรอยยิ้มขึ้นอีกครั้ง........ ถึงจะเป็นรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความไม่มั่นใจก็ตาม

“แน่นอน รับรองได้เลย......... ว่าหลงไม่เกินชั่วโมงเดียวแน่นอน” มันพูดติดตลก แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครหัวเราะไปกับมันด้วย

นอกเหนือไปจากวิลเลี่ยมส์ที่เราต้องขับรถผ่านแน่ๆแล้ว แฟล็กสต๊าฟก็เป็นเมืองเล็กๆที่อยู่ใกล้กับแกรนด์แคนยอนเช่นเดียวกัน ในเมืองนั้นมีทั้งช๊อปปิ้งมอลล์ วอลมาร์ท ร้านค้า ร้านอาหาร และโรงแรมต่างๆมากมาย จึงเรียกได้ว่าเป็นจุดพักสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการจะขึ้นไปยังแกรนด์แคนยอนได้ดีทีเดียวเพราะมีความเจริญและครบครันมากกว่าวิลเลี่ยมส์เยอะ ทว่าจากเส้นทางที่พวกเรากำลังมุ่งหน้าไปนี้จะเรียกว่าเรากำลังจะ “แวะ” แฟล็กสต๊าฟก็ไม่ถูกนักเพราะมันไม่ใช่ทางผ่าน ถ้าจะเรียกให้ถูกนั้นคือ เราจะ “ไป” ที่แฟล็กสต๊าฟก่อนขึ้นไปยังแกรนด์แคนยอน ต่างหาก

“แวะซื้อของกิน ของใช้ที่จำเป็นกับพวกขนมอะไรอย่างนั้นตุนไว้ก่อนก็ท่าจะดี ถ้าของบนนั้นมันแพงอย่างที่เขาว่าจริงๆน่ะนะ กูว่าเราแวะวอลมาร์ทก่อนก็คงดีเพราะเราต้องไปนอนที่นั่นตั้งห้าวันแน่ะ” ผมเสนอความคิด

“นั่นสินะ” ไอ้ซันเห็นด้วย

“แต่เราจะขับรถในตัวเมืองแฟล็กสต๊าฟถูกเหรอ” ไคล์ถามขึ้น

“เออว่ะ ก็จริงนะ” ไอ้ซันเห็นด้วย

“ไม่เห็นยากนี่ ถ้ามันเป็นเมืองท่องเที่ยวที่รองรับนักท่องเที่ยวจากแกรนด์แคนยอนและเป็นเมืองที่อยู่ติดกับที่นั่นจริงๆล่ะก็ เราหาแผนที่ของเมืองได้ไม่ยากเลย กูว่ายังไงๆที่นั่นมันก็ต้องมี วิสิทเตอร์ เซ็นเตอร์ ให้เราแวะอยู่แล้ว และที่สำคัญมึงก็เป็นฝ่ายพูดเองไม่ใช่เหรอ ว่าถามทางเอาก็ได้น่ะ เมืองเล็กๆแบบนั้นถามทางคนเดินถนนหรือถามใครๆเพื่อจะไป วอลมาร์ท กูว่ามันคงไม่ยากขนาดนั้นหรอกมั๊ง” ผมพูดขณะที่สายตายังคงจับจ้องไปยังท้องฟ้าเบื้องหน้า

“ก็จริงอย่างที่มึงพูด”

“และไหนๆก็จะแวะแล้ว ถ้าหาวิสิทเตอร์ เซ็นเตอร์เจอล่ะก็ เราก็คงได้ข้อมูลเกี่ยวกับแกรนด์แคนยอนมาเพิ่มด้วย จะได้รู้ว่าพอขึ้นไปถึงบนนั้นเราควรเตรียมตัวอะไรไปบ้างน่ะ เพราะไหนๆจะซื้อของกินของใช้อะไรเพิ่มแล้วก็ซื้อไปเลยทีเดียวคงจะดีกว่า จริงมั๊ย” ผมเพิ่มเติม

“อืม ใช่” ไอ้ซันพยักหน้า จากนั้นเราสามคนก็เงียบกันไปครู่หนึ่ง ในหัวของผมมันก็เอาแต่วนเวียนอยู่กับเรื่องที่ไอ้ซันพูดกับผมเมื่อวานอยู่อย่างนั้น สลัดยังไงก็เอาไม่ออกเสียที...........

.
.
.

“กูไม่ได้ชอบมันหรอก........” ไอ้ซันตอบหลังจากนั่งนิ่งไปครู่หนึ่ง

“มึงไม่ได้ชอบไคล์......” ผมทวนคำ

“ใช่” มันพยักหน้าช้า “แต่ว่า.........”

“แต่อะไรซัน”

“แต่กูก็ไม่ได้ปฏิเสธมันน่ะ.......”

“ไม่ได้ปฏิเสธ......... หมายความว่ายังไงวะ”

“กูหมายถึง กูไม่ได้บอกมัน ว่ากูชอบมันและยอมรับมัน แต่กูก็ไม่ได้บอกมันเหมือนกัน ว่ากูไม่ได้ชอบมันน่ะ....... ตอนนั้นกูไม่ได้ปฏิเสธสิ่งต่างๆที่มันทำให้กับกูเลย”

“แต่...... แต่ว่า มึงเป็นญาติกันนะ ไอ้ซัน! มึงมีสายเลือดเดียวกันอยู่ในตัวด้วยนะ!”

ไอ้ซันมองหน้าของผมด้วยสายตาเย็นเฉียบที่แฝงไปด้วยความเศร้าเล็กๆ “เปล่าเลย เมฆ ไคล์กับกูไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลยแม้แต่นิดเดียว”

“อะไร มึงหมายความว่ายังไง ก็เขาเป็นลูกของพี่สาวของแม่มึ.........” ผมอ้าปากค้าง ไม่สามารถพูดต่อจนจบประโยคได้ เลือดในกายของผมมันเย็นเฉียบไปด้วยความจริงที่ผมไม่เคยคิดถึงมาก่อนและไม่อยากจะเชื่อ

“ใช่........ แม่ของกูกับป้าแอ๊นท์ ไม่ใช่พี่น้องแท้ๆกัน”


.
.
.

“แต่มันก็ไม่ควรจะเป็นแบบนั้นอยู่ดี” ผมขบกรามหลุดปากพูดออกมากับตัวเองเบาๆ

“มึงว่าไงนะ” ไอ้ซันถามขึ้น

“เปล่าๆ โทษที........” กูคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยน่ะ ผมเก็บประโยคส่วนที่เหลือเอาไว้ในใจ เพราะถ้าพูดออกไปมันต้องรู้แน่ๆว่าผมกำลังคิดถึงเรื่องเมื่อวานอยู่ และที่สำคัญ ไคล์ก็ยังนั่งอยู่ข้างหลังด้วย ป่านนี้เขาก็คงสงสัยจะแย่แล้ว ว่ามันเกิดอะไรขึ้นระหว่างผมกับซัน

ผมเหลือบมองไปที่กระจกมองหลังก็เห็นไคล์กำลังนั่งหลับตาฟังไอพอดอยู่ ไม่รู้ว่าเขาหลับไปแล้วหรือยังหรือว่าแค่พักสายตาเฉยๆ หรือว่า........ เขาเองก็กำลังคิดอะไรอยู่เหมือนกัน เท่าที่ผมรู้ ไคล์เองก็ไม่ใช่คนโง่ เขาจะดูไม่อกเชียวหรือ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นในตอนนี้

ผมหันหลังกลับไปมองไคล์ที่นั่งหลับตาเอนหลังพิงเบาะรถอยู่ ผมนึกไปถึงสิ่งต่างๆที่ผมเคยพูดคุยและได้ทำกับเขามาทั้งหมด ทั้งคำพูดและท่าทางการแสดงออกของเขามันก็มีอยู่บ้างที่ผมจะอดคิดไม่ได้ว่าเขานั้นรู้สึกอย่างไรกับซัน แต่ว่าสิ่งที่เขาปฏิบัติกับผมและคำพูดที่เขาเคยพูดถึงตัวผมนั้นมันก็ไม่มีความน่าสงสัยเคลือบแฝงอยู่เลยแม้สักครั้งเดียว เขาเองก็ดูเป็นเด็กดีที่น่าจะเลิกคิดอะไรแบบนั้นกับซันไปได้แล้วอย่างที่มันบอกผมจริงๆ.........

.
.
.

“แล้วไง แล้วยังไงต่อ” ผมพยายามพูดออกไปอย่างยากลำบาก

“ก็ไม่มีอะไรหรอก ช่วงก่อนที่มึงจะมาสักเดือนสองเดือนมั๊ง กูก็บอกเขาไปว่ากูมีคนที่กูรักอยู่แล้ว เพียงแต่กูไม่ได้บอกออกไปว่าเป็นมึงเท่านั้น เพราะตอนนั้นกูยังไม่อยากให้มึงมาเดือดร้อนไปกับเรื่องนี้ด้วยน่ะ”

ผมจ้องหน้าของไอ้ซันตาไม่กะพริบ ผมรู้สึกว่าผมไม่สามารถละสายตาไปจากมันได้เลยแม้แต่วินาทีเดียวเพราะถ้าผมทำอย่างนั้น ผมกลัวว่าความจริงทั้งหมดมันอาจจะหลุดลอยหายไปพร้อมๆกันด้วย

“นานเท่าไหร่แล้ว......” ผมถาม

“คงจะตั้งแต่กูมาอยู่ที่นั่นใหม่ๆเลย......... แต่กูเองก็เพิ่งรู้ตัวหลังจากผ่านไปได้สักครึ่งปีได้น่ะ”

“แล้วตอนนี้ล่ะ ตอนนี้มันเป็นยังไง ไคล์เขายังรักมึงอยู่ไหม แล้วตัวมึงล่ะ คิดยังไงกับเขากันแน่”

“กูก็ไม่รู้หรอก พูดตามตรงกูก็ไม่รู้จริงๆว่าตอนนี้มันคิดยังไงกับกูนะ แต่มันเคยบอกกูว่ามันตัดใจจากกูได้แล้วเพราะเราห่างๆกันไปช่วงหลังๆน่ะ คือ มันก็ไม่ได้พูดตรงๆออกมาแบบนี้หรอก แต่ก็ประมาณนี้แหละ และอีกอย่าง มันพูดเองเลยว่า มันอยากมีกูเป็นพี่ชายแบบที่เคยเอ็นดูมันเหมือนเมื่อตอนเด็กๆมากกว่าน่ะ”

“แล้วมึงล่ะ ซัน มึงยังไม่ได้ตอบกูสักครั้งเลยนะ ว่ามึงคิดยังไงกับไคล์กันแน่ มึงรักเขาเกินน้องชายไปบ้างหรือเปล่า”

“กู....... เมฆ กูต้องบอกมึงตามจริงอย่างนึงนะ มันยากมากจริงๆสำหรับกูโดยเฉพาะในเวลาแบบนี้น่ะ แต่กูจะพยายาม และกูก็กำลังทำมันอยู่ด้วย กูไม่อยากโกหกมึงอีกต่อไปแล้ว เมฆ กูรักมึงจริงๆ กูไม่อยากทำให้มึงต้องเจ็บปวดเพราะคำโกหกของกูอีกต่อไปแล้ว.......”

เราสองคนเงียบกันไปอีกครู่หนึ่ง ไอ้ซันอ้าปากจะพูดต่อแล้วก็หุบปากลงไปอีก มันมีท่าทางลำบากใจที่จะพูดออกมาซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่ดีเลยกับคำถามที่ผมเพิ่งถามมันออกไป

“กูไม่ได้รักมันเกินคำว่าน้องชายหรอก..........” ไอ้ซันพูดออกมาในที่สุด “แต่ว่า......... กูก็ไม่ได้ปฏิเสธมันไม่ให้มันเป็นมากกว่าคำว่าน้องชายด้วย”

“อะไรของมึง ซัน นี่มึงหมายความว่ายังไงกันแน่ ตกลงตอนนั้นมึงเคยคบกับเขาหรือเปล่า”

“กู....... คือ กูกับมันก็ไม่ได้เจอกันมานาน มึงเข้าใจมั๊ย กูกับมันมันไม่เหมือนน้องชายพี่ชายที่ได้เจอกันบ่อยๆหรอก ถ้าเป็นแบบนั้นกูก็คงไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับมันเลยแม้แต่นิดเดียว แต่นี่กูพูดจริงๆ มันก็แทบไม่ต่างอะไรกับคนอื่นสำหรับกูน่ะ เพราะพอกูเจอมันอีกทีมันก็โตเป็นหนุ่มขึ้นขนาดนี้แล้วด้วย กูก็เลยแทบไม่คิดว่ามันเป็นน้องชายของกูเลยจริงๆ”

“มึงหมายความว่ามึงก็ชอบมันในฐานะที่เขาเป็นผู้ชายคนอื่นๆทั่วๆไปใช่มั๊ย”

“ไม่ใช่เมฆ กูบอกมึงแล้วไง กูไม่ได้ชอบมัน เอ่ออ คือ บางทีก็อาจจะใช่ กูยอมรับ ว่ากูเคยชอบมันจริงๆ แต่เดี๋ยวก่อนเมฆ มันก็แค่อารมณ์ชั่ววูบจริงๆแ ค่กูเผลอใจไปนิดหน่อยเท่านั้นเอง ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้นเลย กูบอกแล้วไง กูไม่ได้คิดกับมันเกินไปกว่าคำว่าน้องชาย กูชอบมันก็จริงแต่ว่ามันก็แค่นั้น กูไม่ได้คบกับมัน กูไม่ได้ทำอะไรแบบที่คนรักเขาทำกัน กูก็แค่ปล่อยให้มันชอบกูโดยที่กูไม่ได้ออกตัวปฏิเสธแค่นั้นเอง และที่สำคัญ กูอาจจะชอบมันจริง แต่กูก็ไม่ได้รักมันนะเมฆ”

“ซัน แต่นั่นมันก็ไม่...........” ผมพูดอะไรไม่ออก แต่ดูท่าทางซันเองก็จะเข้าใจสิ่งที่ผมคิดอยู่เช่นกัน

“ใช่ กูรู้ นั่นก็เป็นสิ่งหนึ่งที่กูเคยคุยกับมันเหมือนกัน”

“แล้วสรุปแล้ว มึงมาบอกกูทำไมกัน นี่มึงอยากจะให้กูรู้สึกยังไงกันแน่ เพราะกูพูดตามตรงนะ กูไม่รู้แล้วด้วยซ้ำว่าตอนนี้กูรู้สึกยังไงน่ะ” ผมแค่นหัวเราะ

“กูบอกมึงก็เพราะกูอยากให้มึงรู้ว่ากูรักมึงแค่ไหน เมฆ กูกล้าที่จะเปลี่ยนตัวเอง กล้าที่จะบอกความจริงกับมึงเพื่อเป็นการยืนยันว่ากูบริสุทธิ์ใจและรักมึงจริงๆ ถึงแม้มันอาจจะทำให้มึงเจ็บปวด ทำให้กูเจ็บปวด และอาจจะทำให้มึงเกลียดกูไม่ยกโทษให้กูก็ได้ แต่กูก็ยอมเสี่ยง เพราะกูรู้ว่ากูไม่อยากจะทำพลาดอีกแล้ว กูไม่อยากทำให้มึงต้องเจ็บปวดเพราะคำโกหกของกูอีกแล้ว และที่สำคัญกูไม่อยากให้มึงมาคบกับคนที่ใช้ชีวิตอยู่กับมึงด้วยคำโกหกด้วย............ มึงเข้าใจกูนะ” ไอ้ซันคว้ามือของผมไปกำไว้แน่น

“งั้นกูก็ขอบใจมึง ซัน.........”

“อีกอย่างหนึ่งนะ เมฆ....... กูไม่รู้จริงๆว่าตอนนี้มึงคิดยังไงอยู่ มึงบอกกูหน่อยได้มั๊ยว่ามึงกำลังคิดอะไรอยู่ กูแคร์มึงนะ”

“กูก็ไม่รู้........” ผมส่ายหน้า “กูไม่รู้จริงๆว่ะ ว่ากูคิดยังไงอยู่ แต่ที่แน่ๆกูไม่ได้มีความสุขที่ได้ยินเรื่องแบบนั้นหรอก”

“เมฆ......”

“แต่กูก็ไม่ได้คิดมากด้วย เพราะกูก็ไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรให้คิดมากนี่ เรื่องมันผ่านไปแล้ว ไคล์เองอาจจะรักมึงก็จริง แต่กูก็เข้าใจเขานะ และที่สำคัญมันก็ไม่แปลกนี่ ถ้าจะมีใครมาหลงชอบมึงบ้าง ถึงแม้เขาคนนั้นจะเป็นญาติกับมึงก็เถอะ........ และที่สำคัญ มึงก็บอกเองนี่ ว่ามึงไม่ได้คิดอะไรกับไคล์แล้ว”

“ใช่”

“งั้นกูก็ไม่มีอะไรต้องคิดมาก ใช่มั๊ยล่ะ”

“มึงไม่โกรธกูใช่มั๊ย”

“ก็ไม่นะ”

“ไม่เกลียดกูด้วยใช่มั๊ย”

“ไม่อ่ะ ตอนนี้ยัง.......”

“แล้วไคล์ล่ะ..........”

ผมถึงกับสะอึกไปชั่วขณะหนึ่งเมื่อคิดถึงไคล์ที่กำลังรอเราอยู่บนห้องอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ “ไม่หรอก เขาเป็นเด็กดี กูชอบเขานะ และที่สำคัญ เขาไม่ได้ทำอะไรผิดเลย........ ‘ยัง’ ไม่ได้ทำอะไรผิด” ผมแก้ “เพราะงั้นกูก็ไม่มีเหตุผลจะไปไม่ชอบใจเขาเพราะเรื่องแค่นั้นหรอกนี่ ใช่มั๊ย กูเองก็ไม่อยากให้เขาลำบากใจเหมือนๆกันนั่นแหละ มึงไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอก”

มีรอยยิ้มบนใบหน้าของซันอีกครั้ง “ขอบใจมึงมาก เมฆ กูรู้ ว่ามึงต้องคิดแบบนี้ กูคิดแล้ว ว่ายังไงๆ มึงก็ยังคงต้องเป็นมึงแบบนี้นี่แหละ............”

แต่ผมยังไม่คิดว่ามันเข้าใจถูกต้องหรอก และผมก็ไม่แน่ใจด้วยว่า ผมที่เป็นผมนั้นมันจริงๆแล้วมันเป็นยังไงกันแน่


.
.
.

“กูจะพยายามไม่คิดมากอีก กูให้สัญญาไม่ได้ แต่กูก็จะพยายาม........” ผมพูดขึ้นให้ไอ้ซันได้ยินหลังจากที่เราทั้งสามคนเงียบกันไปนาน ซันบีบมือของผมแน่นขึ้น ผมเริ่มรู้สึกได้ถึงความร้อนจากมือของมันที่ถูกส่งผ่านมายังมือของผมทีละน้อยๆ

“กูรักมึงนะ” ซันพูด

“อืม กูก็รักมึงเหมือนกัน”


หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: jedi2543 ที่ 29-08-2007 10:54:53
อ่านแล้วเศร้า แถมต้องเครียดแทนด้วยสิ

เราว่าคำตอบของซันมันกั้กมากๆ เลย

เหมือนอยากเก็บเธอไว้ทั้งสองคนยังไงไม่รู้

เป็นเรา....คำว่ารักแบบนี้ไม่มีความหมายหรอก

เหมือนไม่ได้มาพร้อมการกระทำยังไงไม่รู้

อยากรู้ค่ะว่าเมฆจะทำยังไงต่อไป

หรือจะเป็น 3p ดี อิอิ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 29-08-2007 11:01:49
 :m15: :m15: :m15: :m15: :m15:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 29-08-2007 11:03:11
อย่าเครียดครับ อย่าเครียด

ติ่ด ตะดะดิ่ ตี๊ดิ่ด ติ๊ด ติ่ด

มา เล่นเกม (http://www.eyezmaze.com/eyezblog_en/blog/2005/09/grow_cube.html#monster) กันดีกว่า

ติ่ด ตะดะดิ่ ตี๊ดิ่ด ติ๊ด ติ่ด ตื่อ ตือ ตือ ตื๊อออ

ผมไม่ได้เล่นมาปีกว่าและ พอมาเล่นอีกทีก็ลืมไปเยอะเลย
ไอ้สี่เหลี่ยมนี่ก้อยังไม่ผ่านซะที ใครช่วยหน่อย
ส่วนวงกลม กะ rpg ผ่านแล้ว
เกมอื่นๆหลายเกมก็ผ่านแล้ว บางอันก็ยัง มาเล่นกันๆๆ

ใครทำได้เท่าไหร่มาแปะบอกกันมั่งเน้อ ส่วนถ้าใครอยากได้รูปที่สมบูรณ์แล้วก็บอกนะคับ

ติ่ด ตะดะดิ่ ตี๊ดิ่ด ติ๊ด ติ่ด
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: tonsai_2520 ที่ 29-08-2007 11:08:04

เรื่องเกมส์นี่  โง่ว่ะ

ได้แค่  LV.3
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 29-08-2007 11:27:28

เรื่องเกมส์นี่  โง่ว่ะ

ได้แค่  LV.3


พี่ปืนก็เล่น วันก่อนเมามันกันอยู่สองคน


ติ่ด ตะดะดิ่ ตี๊ดิ่ด ติ๊ด ติ่ด ตื่อ ตือ ตือ ตื๊อออ ~

ปล. ว่าแต่อ่านยัง เมล์น่ะ

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 29-08-2007 11:27:55
สักวันก็ต้องมีคนเจ็บ ไม่วันนี้ก็วันข้างหน้า
ทว่าปัญหาแบบนี้ ก็ต้องตัดสินใจ เลือกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ก่อนตัดสินใจให้ดูให้แน่ใจว่าใช่หรือไม่
เมื่อตัดสินใจแล้วก็ทำให้มันเด็ดขาด
เจ็บณตอนนี้ ดีกว่าปล่อยให้ยืดเยื้อไป
มันยิ่งเรื้อรังและรักษาได้ยาก
อย่างที่เคยทำมา ไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ
มีแต่ทำร้ายเหมือนเอามีดกรีดรอยเดิมซ้ำไปมา
 :a9: :a9: :a9: :a9: :a9:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 29-08-2007 11:41:08
เศร้าคับ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 29-08-2007 12:33:48
อ่านตอนนี้แล้วไม่ค่อยเข้าใจนะ ว่าทำไมเมฆต้องคิดมากด้วยอ่ะ
ก็ซันบอกว่าไม่ได้รักไคล์นี่นา แต่เคยชอบเท่านั้น
แล้วตอนนี้ซันก็มีเมฆแล้ว คงไม่เป็นไรมั้ง
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 29-08-2007 15:36:25
 :เฮ้อ:    อ่านแล้วได้แต่ถอนใจเฮือกๆแทน
เหมือนจะกระจ่างนะ ที่ซันบอก..แต่อ่านแล้ว
มันคลุมเคลือ ยังไงมิรู้ อ่ะ ...เหมือนซัน ยังปกปิดอะไรอยู่    :a6:
มันมีอะไรลึกๆมากกว่านี้อีกใช่มะเนี่ย...   :sad2:

กลาย เป็น เราสามคน ไปซะแล่ะ   :m17:   
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 29-08-2007 19:13:12
ยังรู้สึกว่า ซันยังมีอะไรที่ไม่ได้บอกเมฆอีกอ่ะ  :a6:  :a6:  :a6:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ~Brand New Beat~ ที่ 30-08-2007 00:12:55
สุดท้ายก็เป็นอย่างที่ผมกลัวจิงๆด้วย

ว่าแล้วมันต้องเป็นแบบนี้ :เฮ้อ:

สุดท้ายก็ลำบากใจ คิดมากแล้วก็ปวดหัว

มารอดูความเป็นไปครับผม
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 30-08-2007 09:46:54
ตอนที่ 23


สี่ชั่วโมงของการนั่งรถอันยาวนานและขับหลงนิดหน่อยทำให้ความรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ไปเที่ยว แกรนด์แคนยอน และความรู้สึกอึมครึมจากเรื่องที่คาใจผมมาตั้งแต่เมื่อคืนหายไปเป็นปลิดทิ้ง เหลือเพียงความปวดเมื่อยและความเพลียจากการผิดที่ผิดเวลา อดนอน ตื่นเช้า และจากการนั่งทั้งเครื่องบินและต่อด้วยรถยนต์นานๆติดๆกันสองวันแบบนี้เอาไว้ทั่วทั้งร่างกาย

เมื่อคืนหลังจากที่ผมรู้เรื่องทั้งหมดจากปากของไอ้ซันแล้ว เราสามคนก็ไปทานอาหารกันที่ร้านเล็กๆไม่ไกลจากโรงแรมนัก ความรู้สึกของผมก็แค่สับสนและกังวลนิดหน่อยแต่เนื่องจากความเพลียจากการเดินทางมันมีมากกว่าจึงทำให้คืนนั้นผมนอนหลับไปอย่างไม่คิดอะไรมากนัก แต่ทว่าตอนเช้าของวันนี้เมื่อผมเห็นหน้าของไอ้ซันที่ดูท่าทางมันเองก็คงทั้งเหนื่อยและกังวลความรู้สึกของผมอยู่เช่นกัน และใบหน้าของไคล์ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรกำลังคุยกัน มันก็เผลอทำให้ผมจินตนาการไปถึงช่วงเวลาที่เขาเคยอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขสองคนในขณะที่ผมกลับต้องจมอยู่กับความทุกข์และต้องเผชิญกับการตัดสินใจครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของผมคนเดียว ผมจึงเกิดความรู้สึกหดหู่ น้อยใจ และสับสนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

แต่ตอนนี้ผมจะไม่คิดอะไรอีกแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือคำพูดของไอ้ซันที่มันบอกผมเมื่อคืนมากกว่า......... คำพูดที่มันบอกว่า มันรักผมมาก

เท่านี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับตอนนี้

หลังจากที่เข้ามาในตัวเมืองแฟล็กสต๊าฟและขับวนเพราะหลงถนนอยู่สักพัก พวกเราก็หาวิสิทเตอร์ เซ็นเตอร์เจอ ตั้งแต่เข้ามาในตัวเมืองนี้ผมก็เกิดความประทับใจกับเมืองเล็กๆนี้ขึ้นมาทันทีเพราะความสงบ ความสะอาด และความเป็นระเบียบของเมืองอย่างที่ผมไม่ได้คาดคิดเอาไว้ว่าจะเป็นแบบนี้ แฟล็กสต๊าฟ เป็นเมืองขนาดไม่ใหญ่ที่มีบ้านเรือนและร้านค้าต่างๆตั้งอยู่อย่างเป็นระเบียบ และสิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตเห็นคือผู้คนเดินถนนนั้นน้อยมากในขณะที่รถบนถนนก็วิ่งกันอยู่ขวักไขว่ซึ่งทำให้เกิดความรู้สึกขัดกันอย่างประหลาดในแง่ของจำนวนประชากรของเมืองๆนี้ แต่นั่นอาจเป็นเพราะเราขับรถผ่านแค่บางส่วนของตัวเมืองเท่านั้นก็ได้

ไอ้ซันค่อยๆเลี้ยวรถเข้าไปในลาดจอดรถของวิสิทเตอร์ เซ็นเตอร์ทันที ก่อนที่จะเผลอขับเลยไปอีกครั้ง

“เมืองดูเงียบๆเนอะ” ผมพูดขณะที่มองไปยังถนนฝั่งตรงข้ามที่มีร้านค้าต่างๆเรียงรายอยู่มากมาย ลักษณะคล้ายๆกับสยามเซ็นเตอร์ของบ้านเรา แต่ที่นี่มีทั้งร้านค้า ร้านของที่ระลึก ร้านของเล่น ร้านหนังสือ ร้านอาหาร และผับบาร์ครบครัน หรือผมจะดูผิดไปก็ไม่รู้ เพราะทุกร้านนั้นปิดหมด เท่าที่เห็นนั้นไม่มีร้านไหนเปิดให้บริการเลยสักร้าน

“นี่มันวันหยุดอะไรหรือไงวะ” ผมพูดขึ้นเบาๆ

“อ้าว นี่มัน แอมแทร็ค นี่นา” ไคล์พูดขึ้น

“อะไรนะ” ผมหันไปถามไคล์

“นี่ไง” เขาชี้นิ้วไปที่ป้ายที่แขวนอยู่ถัดจากป้าย วิสทิเตอร์ เซ็นเตอร์ “แอมแทร็ค สถานีรถไฟน่ะครับ”

ผมพยักหน้าเบาๆ เพราะด้านหลังของอาคารหลังนี้ก็มีรางรถไฟตัดผ่านอยู่จริงๆ

“เอาล่ะ” ไอ้ซันพูดขึ้นหลังจากรถจอดสนิท “ต่อไปจะเอายังไง”

“ก็ไปถามเขาสิ ว่าเราจะไปที่ไหนยังไงดี” ผมพูด

“ไปวอลมาร์ทใช่มั๊ย แล้วไงต่อดี”

“เอาเหอะ ไปถึงก็รู้เองแหละน่า” ผมพูดพลางเปิดประตูรถออก ซันกับไคล์ก็ทำเช่นเดียวกัน

เราสามคนเปิดประตูเดินเข้าไปยังห้องโถงใหญ่ๆห้องหนึ่ง ตรงกลางห้องมีโต๊ะเคาน์เตอร์โค้งลักษณะคล้ายกับวงกลม โดยมีคนท่าทางเหมือนกับพนักงานนั่งอยู่ด้านในสามสี่คนรวมทั้งคนที่ก้มลงอ่านเอกสารบนโต๊ะและคนที่เดินอยู่ตามมุมต่างๆของห้องอีกสามสี่คน และบนโต๊ะก็เต็มไปด้วยเหล่าโบรชัวร์ ใบปลิว และเอกสารเกี่ยวกับการท่องเที่ยวต่างๆเต็มไปหมด รวมทั้งบนผนังก็มีใบปลิว แผนที่ เช่นเดียวกับบนโต๊ะแขวนอยู่ให้หยิบได้ฟรีอยู่มากมายเช่นกัน นอกจากนั้นตรงมุมห้องก็ยังมีขายของที่ระลึกเล็กๆเช่น โปสการ์ด หรือ ของกระจุกกระจิกอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับเมืองและแกรนด์แคนยอนอีกด้วย เป็นที่แน่นอนแล้วว่าเมืองๆนี้โปรโมททั้งการท่องเที่ยวของเมืองตัวเองและของแกรนด์แคนยอนด้วยเช่นกัน ถ้าอย่างนั้นการที่เราตั้งใจจะมาถามเรื่องเกี่ยวกับแกรนด์แคนยอนที่นี่ก็คงไม่ผิดหวังแน่นอน

“สวัสดีครับ มีอะไรให้เราช่วยมั๊ย” ผู้ชายอ้วนๆท่าทางใจดีคนหนึ่งที่นั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์ทักขึ้น

“สวัสดีครับ” พวกเราสามคนพูดขึ้นพร้อมๆกัน

“สวัสดีค่ะ สบายดีมั๊ยคะ” ผู้หญิงที่เหลืออีกสองคนตอบกลับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “มองหาอะไรอยู่รึเปล่าค่ะ”

“อ๋อครับ คือ เราอยากจะขอแผนที่ของเมืองนี้หน่อยได้มั๊ยครับ พวกเรากำลังหาทางไปวอลมาร์ท น่ะครับ” ไคล์เป็นคนตอบ

“ได้แน่นอนครับ” ผู้ชายคนเดิมพูดพร้อมกับลุกขึ้นยืนและหยิบโบรชัวร์แผ่นหนึ่งยื่นให้เรา “นี่คือแผนที่เดินรถบัสของเรา พวกคุณสามารถขึ้นสายสีแดงไปได้เลย.........”

“อ๋อ คือพวกเราขับรถมาน่ะครับ” ไคล์พูดขัดขึ้น

“โอ้ ขับรถมาเหรอครับ” ผู้ชายคนนั้นทำท่าแปลกใจ

“มาจากไหนกันเหรอคะ” ผู้หญิงผมยาวใส่แว่นที่นั่งอยู่ถามขึ้น

“เอ่ออ” ไคล์หันมามองเราสองคนแล้วจึงหันไปตอบ “อังกฤษครับ”

และก็เป็นอย่างที่คาด ทั้งสามคนทำท่าแปลกใจขึ้นมาทันที ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะผมกับซันดูยังไงๆก็คนเอเชียร้อยเปอร์เซ็นต์ ส่วนไคล์ก็ดูยากเหลือเกินว่ามีเชื้อสายไหนถ้าไม่ได้ภาษาอังกฤษช่วย แต่พวกเราสามคนกลับมาเดินทางอยู่ด้วยกันและบอกว่ามาจากอังกฤษอีกต่างหาก ก็คงอยู่เหนือความคาดหมายของคนอื่นๆอยู่บ้างจริงๆ

“พวกผมเป็นคนไทยครับ มาจากประเทศไทยแต่ไปเรียนอยู่อังกฤษ” ผมชิงตอบขึ้นมาก่อน “ส่วนคนนี้” ผมชี้ไปที่ไคล์ “เป็นลูกครึ่งน่ะครับ”

“ใช่ครับ” ไคล์พยักหน้ารับ

“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง” ผู้หญิงอีกคนร้องขึ้น “มาเที่ยวกันเหรอคะ”

“พวกเรากำลังจะขึ้นไปแกรนด์แคนยอน น่ะครับ” คราวนี้ไอ้ซันพูดขึ้นมาบ้าง

“โอโห ยอดเลย แล้วนี่ครั้งแรกที่อเมริกาของพวกคุณหรือเปล่า” ผู้ชายคนเดิมถามขึ้น

“ไม่ใช่สำหรับเขาครับ เพราะเขามีพ่อเป็นคนที่แอลเอ ญาติๆเขาก็อยู่แอลเอ แต่ครั้งแรกสำหรับพวกเรา” ไอ้ซันเป็นฝ่ายตอบ “ตกลงผมจะต้องขับรถไปถนนเส้นไหนถึงจะไปที่วอลมาร์ทได้ครับเนี่ย” มันรีบตัดบท คงเพราะรู้สึกรำคาญ

“จริงสินะ นี่ครับ แผนที่” ชายพุงพลุ้ยคนนั้นยื่นแผนที่ให้ซัน ผม และไคล์คนละฉบับ “นี่คือถนน และชื่อเส้นทางเกือบทั้งหมดของที่นี่ แบบนี้น่าจะดูง่ายกว่า” เขาอธิบาย พลางใช้นิ้วชี้ไล่ไปตามถนนเส้นต่างๆ “จะเห็นว่า วอลมาร์ท อยู่ตรงมุมนี้ของเมืองเลยทีเดียว ถ้าขับรถไปก็ไม่ยาก ใช้เวลาประมาณสิบถึงสิบห้านาทีก็คงถึง ขึ้นอยู่กับว่าคุณขับเร็วแค่ไหน” เขาหัวเราะอย่างคนอารมณ์ดี

“แล้วไง ตกลงจะไปวอลมาร์ท หรือไป มอลล์” ผมถามซันเป็นภาษาไทย

“มึงคิดว่าไงอ่ะ ไหนๆจะเดินซื้อของแล้ว ไปห้างใหญ่ๆเลยดีมั๊ย”

“ไคล์คิดว่าไง” ผมหันไปถามไคล์

“ผมว่า ไปวอลมาร์ทก็คงพอนะ ไม่ได้ซื้ออะไรเยอะแยะนี่ครับ แถม........” ไคล์ไล่นิ้วไปตามแผนที่ “มอลล์อยู่อีกมุมของเมืองเลยนะ” เขาจิ้มไปยังมุมบนขวาของแผนที่

“เออ จริงว่ะ แม่งห่างกันคนละซีกเลย” ไอ้ซันพูด

“อืมมม” ผมพยักหน้าเห็นด้วย

“แล้วเรื่องแกรนด์ แคนยอน..........” ไคล์พูดขึ้น

“นั่นคือภาษาของพวกคุณเหรอคะ” ผู้หญิงหลังเคาน์เตอร์ถามขึ้น

“อ๋อ ครับ” ผมตอบ “ภาษาไทย”

“แล้วน้องคนนี้ก็พูดได้ด้วย” เขาชี้ไปที่ไคล์ “เก่งจังเลย ดูท่าทางคุณก็ไม่เหมือนคนเอเชีย หรือคนไทยเหมือนอีกสองคนนะ ดูออกเป็นแนวฮิสแปนนิคมากกว่า แต่กลับพูดได้ทั้งอังกฤษ แล้วก็ไทย”

“ครับ พ่อผมเป็นเม็กซิกันอเมริกัน ส่วนแม่เป็นคนไทย” ไคล์ตอบยิ้มๆ แล้วหันหลับมาพูดกับเราเป็นภาษาไทยต่อ “ทำไมคนชอบสนใจเรื่องหน้าตากับภาษาผมกันจังนะ” เขาบ่น

“ก็เรามันแปลกจริงๆนี่” ไอ้ซันตอบแล้วหัวเราะในลำคอ ผมพยักหน้าเห็นด้วย

“แถมยังหน้าตาดี” ผมเสริม

“ไม่เอาน่า......” ไคล์ร้อง “ตกลงเรื่องแกรนด์แคนยอน พี่อยากให้ผมถามอะไรเขาบ้างล่ะเนี่ย”

“อืมมม นั่นสินะ” ผมคิด แล้วหันไปหาผู้ชายคนเดิม “ตอนนี้ที่แกรนด์แคนยอนสภาพอากาศเป็นอย่างไรบ้างครับ พวกผมควรเตรียมตัวยังไงบ้างเนี่ย เพราะที่กำลังจะไปวอลมาร์ทก็เพื่อจะไปหาซื้อของมาเผื่อไว้พอดี”

“ตอนนี้ที่แกรนด์แคนยอนเหรอ.......” เขาหันไปมองหน้าผู้หญิงอีกสองคนเหมือนจะขอความช่วยเหลือ “ตอนนี้ก็ปลายฤดูหนาวแล้ว แต่อากาศก็ยังเย็นอยู่นะ อ้อ ที่สำคัญคือโลชั่นทาผิว ลิปมัน อะไรพวกนั้นที่ให้ความชุ่มชื้นกับผิวหนังน่ะ มีรึยัง” เขาถาม

“น่าจะมีแล้วนะ” ผมหันไปมองหน้าอีกสองคนที่เหลือ

“ไปพักอยู่กี่วันคะ” ผู้หญิงใส่แว่นถาม

“ห้าวันครับ”

“โอโห นานเหมือนกันนะ แต่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ เพราะที่นั่นมีร้านขายของอยู่ชื่อ เจเนอรัล สโตร์ มีครบทุกอย่างเหมือนกัน” อีกสองคนพยักหน้าเห็นด้วย

“แต่พวกผมได้ยินมาว่ามันขายแพงกว่าข้างล่างนี่นี่ครับ” ไอ้ซันพูดขึ้น

“มันก็ใช่นะ” ผู้หญิงคนเดิมพยักหน้าเห็นด้วย

“งั้นเอาไงดี ตกลงจะแวะไปวอลมาร์ทมั๊ย” ซันหันมาถามความเห็นของผม

“ไปดิ่มึง อุตส่าห์วนมาถึงนี่แล้ว ซื้อขนมเอาไว้เยอะๆก็ยังดี แล้วอยากได้อะไรก็ไปหยิบๆเอา จะได้ไม่ต้องไปซื้อข้างบนนั้นทีหลัง เรายังไม่รู้เลยว่าบนนั้นเป็นยังไงบ้างน่ะ เตรียมพร้อมไว้ดีที่สุด”

ไคล์พยักหน้าเห็นด้วย

“งั้นก็...... ขอบคุณมากนะครับ” ผมหันไปพูดกับพนักงานทั้งสาม ไคล์กับซันเองก็เช่นกัน หลังจากร่ำรากันเสร็จเรียบร้อยเราทั้งสามก็ออกรถขับไปตามถนนที่ผู้ชายคนนั้นบอกตามแผนที่ ผมให้ไคล์เป็นคนบอกทางเสียส่วนมากส่วนผมเอาแต่มองชื่อถนนและดูบรรดาร้านค้าบ้านเรือนริมถนนที่ผ่านตาไปเรื่อยๆอย่างชอบใจ เมืองสงบๆแบบนี้นี่แหละที่ผมชอบ มีทั้งร้านหนังสือ ร้านค้า โรงหนัง โรงพยาบาลครบครัน แต่ก็ดูสงบและเป็นธรรมชาติ

“อยากอยู่เมืองแบบนี้มั่งจังว่ะ” ผมเปรยขึ้นเบาๆ

“มึงว่าไงนะ” ไอ้ซันทวนคำ

“ก็มันสงบดี กูชอบ”

“มันก็ใช่ แต่กูว่ามันไม่มีอะไรเลยว่ะ”

“ไม่มีที่ไหน มึงก็เห็นในแผนที่ มีออกครบทุกอย่าง ดูๆแล้วกูว่ามันเหมือนในหนังอ่ะ ที่คนในเมืองรู้จักกันเกือบหมดทุกคนเลย ไปไหนก็สะดวกแถมเมืองยังสะอาดอีกต่างหาก”

“มึงนี่ก็เพ้อเกินไป เมืองมันไม่เล็กขนาดนั้นนะเว้ย ดูดีๆสิเนี่ย นี่มันก็ใหญ่เหมือนกันนะ ถ้าคนในหมู่บ้านนั้นรู้จักกันหมดน่ะ ค่อยไม่แปลกหน่อย” ไอ้ซันชี้ไปยังหมู่บ้านที่มีอาคารเป็นรูปทรงแปลกตาและถูกทาสีด้วยสีสันราวกับลูกกวาดทางด้านขวามือ

“เออ กูรู้น่า มึงนี่ขัดจินตนาการกูจริง” ผมถอนหายใจเบาๆ

วอลมาร์ทเป็นห้างที่ขึ้นชื่อเรื่องความถูกของสินค้า ดูๆไปก็คงไม่ต่างกับโลตัสบ้านเราสักเท่าไหร่ ผม ซัน และไคล์ใช้เวลาเกือบสี่สิบนาทีหมดไปกับการเลือกซื้อขนมและของกินจำพวกของแห้งต่างๆเสียมาก นอกจากนั้นเราก็แทบไม่ได้ซื้อของอย่างอื่นเพิ่มเลยเพราะว่าเราซื้อเตรียมกันไว้ตั้งแต่ตอนก่อนออกเดินทางมาที่นี่แล้ว ขณะที่เรากำลังจ่ายเงินไคล์ก็ถามพนักงานได้ความมาว่าจากที่แฟล็กสต๊าฟนี้ไปยังแกรนด์แคนยอนใช้เวลาเดินทางราวๆอีกหนึ่งชั่วโมงครึ่ง ซึ่งขณะนี้เป็นเวลาเที่ยงกว่าแล้ว พวกเราจึงรีบออกเดินทางกันอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้เสียเวลาไปมากกว่านี้

ขณะขับรถออกจากเมืองแฟล็กสต๊าฟผมก็ยังอดชื่นชมความสงบและเป็นธรรมชาติของที่นี่ไม่ได้ ทั้งภูเขาและป่าไม้มีให้เห็นได้อยู่เรื่อยๆ ยิ่งเราขับรถออกจากเมืองไกลเท่าใดผมก็ยิ่งสังเกตเห็นว่าธรรมชาติข้างทางนั้นยังคงอุดมสมบูรณ์ดีถึงแม้ว่าพันธุ์ไม้ส่วนมากจะเป็นพืชจำพวกพุ่มไม้ กระบองเพชร หรือพวกพืชไร้ใบก็ตาม

ผมก้มลงมองนาฬิกาข้อมือก็เห็นว่าตั้งแต่เราออกจากแฟล็กสต๊าฟมาก็ใช้เวลาไปกว่าหนึ่งชั่วโมงสิบห้านาทีแล้ว

“ใกล้แล้วมั๊ง” ผมพูด

“นั่นสิ เมื่อกี๊ป้ายก็บอกว่าอีกไม่กี่ไมล์นี้แหละ” ไอ้ซันตอบ

“มึงเหนื่อยมั๊ย ขับรถยาวเลย”

“ก็นิดหน่อยว่ะ” ไอ้ซันหมุนคอเสียงดังกร๊อบ “แต่ก็ไม่เท่าไหร่อ่ะ ว่าแต่มึงรู้สึกหูอื้อๆมั่งมั๊ย”

“อือ นิดหน่อยว่ะ”

“เพราะความสูงมั๊งครับ” ไคล์ที่นั่งอยู่ด้านหลังตอบ

“สงสัยจะอย่างนั้น” ผมเห็นด้วย

“นั่นไง พูดไม่ทันขาดคำ” ไอ้ซันร้องขึ้นแล้วชี้ไปข้างหน้า “ถึงทูซายานแล้ว”

ทูซายานคือเมืองที่เล็กมากๆจนดูเหมือนจะเป็นหมู่บ้านเสียมากกว่า ข้างทางมีโรงแรม ร้านอาหาร และร้านขายของที่ระลึกตั้งอยู่เรียงรายกันเป็นช่วงๆ ถนนที่พวกเราใช้อยู่นั่นคือถนนสายหลัก เพราะอย่างนั้นจึงมีขนาดค่อนข้างกว้างมาก และสิ่งก่อสร้างที่ถูกตั้งอยู่ข้างถนนก็ล้วนแต่เป็นจุดเด่นๆของที่นี่ทั้งนั้น ไม่ว่าจะโรงแรม โรงหนังไอแม็กซ์ หรือแม้แต่สนามบินขนาดเล็ก และถ้าเรามาถึงที่นี่แล้ว ตามที่หลายๆคนบอก อีกแค่ไม่ถึงสิบนาทีเราก็ควรจะมองเห็นทางเข้าสู่แกรนด์แคนยอนเสียที

ไอ้ซันเร่งความเร็วของรถขึ้นทันที

“มึงจะเร่งไปไหน” ผมท้วง

“เอาน่า ถนนโล่งจะตาย แถมอีกนิดเดียวก็จะถึงแล้วด้วย กูอยากถึงไวๆ เมื่อยขับรถเต็มที่แล้ว”

“กูก็อยากถึงไวๆ แต่ถึงแกรนด์แคนยอนนะ ไม่ใช่สวรรค์”

“กูไม่พามึงไปสวรรค์หรอกน่า ไม่ต้องห่วง”

“อ้าว ถึงแล้วนี่ไงครับ” ไคล์พูดพลางชี้ไปที่ป้ายขนาดใหญ่เบื้องหน้าของเราสามคน

“ยินดีต้อนรับสู่ แกรนด์แคนยอนครับ สุภาพบุรุษทุกๆท่าน.........” ไอ้ซันพูดด้วยความโล่งอก


หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 30-08-2007 11:16:13
ซันโล่งอก เราก็พลอยโล่งอกไปด้วย
วันนี้เที่ยวกันอย่างเดียว ค่อยยังชั่วหายเครียดหน่อยนะจ๊ะ
เมฆอย่าเครียดนะ ตอนนี้ซันรักเมฆคนเดียวก็พอแล้ว
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 30-08-2007 11:22:19
The Long and Winding Road
 :undecided:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของŪ
เริ่มหัวข้อโดย: ninaprake ที่ 30-08-2007 12:47:54
ซันโล่งอก เราก็พลอยโล่งอกไปด้วย
วันนี้เที่ยวกันอย่างเดียว ค่อยยังชั่วหายเครียดหน่อยนะจ๊ะ
เมฆอย่าเครียดนะ ตอนนี้ซันรักเมฆคนเดียวก็พอแล้ว

เห็นด้วยคับ อย่าคิดมากเลย .... ผมว่าซันรักเมฆเกินกว่าจะทำให้เมฆต้องมานั่งเสียใจทีหลังนะ  :impress:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 30-08-2007 13:07:30
งานเขียนเริ่มฉีกแนว ท่องออกไปบนโลกกว้าง
 :m18: :m18: :m18: :m18:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 30-08-2007 19:28:22
ถึงแกรนด์แคนยอนแล้ว  :m1:  :m1:  :m1:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ~Brand New Beat~ ที่ 30-08-2007 21:02:20
ดีจัง ตอนนี้ไม่เครียด เที่ยวอย่างเดียว หุหุ

อ่านแล้วอยากไปบ้างจังเลย  :m1:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ~prince™~ ที่ 30-08-2007 21:48:50
อยากไปมั่งจังคับจะมีใครพาไปมั่งมั้ยเนี่ย :เฮ้อ:

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 30-08-2007 21:51:41
 :m1:     ขอไปเที่ยวแกรนแคนยอน ด้วยคนค่ะ  (เกาะหลังคาไปแย้วกัน คิคิ)       :a9:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 30-08-2007 22:19:37
ตอนที่ 24


เมื่อเข้าสู่ประตูทางผ่านเข้าสู่แกรนด์แคนยอน สิ่งแรกที่สะดุดตาผมทันทีคือเหล่าป่าสนที่ขึ้นอยู่แน่นขนัดเต็มสองข้างทางดูคล้ายๆกับเขาใหญ่บ้านเราอย่างไรอย่างนั้น แต่จะพูดว่าแน่นขนัดนั้นก็คงไม่ถูกนักเพราะว่าป่าสนในเขตหนาวและที่เขตสูงแบบนี้จะขึ้นอยู่แบบโปร่งๆมากกว่า ดูแปลกตาไปจากความเคยชินของผมอยู่ไม่น้อย

“มึงอย่าเพิ่งเหม่อ เราต้องไปที่ไหนกันเนี่ย เอาแผนที่มาดูสิ” ไอ้ซันร้องเรียกผม

ผมหยิบแผนที่ที่พนักงานแจกให้ที่ทางเข้ามากางออก “ที่พักของเราคือ ยาวาพาย ลอดจ์ มึงขับไปตามถนนนี่แหละ เดี๋ยวก็ถึง”

“ลองเปิดกระจกดูดีมั๊ย” ไคล์ถามพลางเปิดกระจกรถลง “อยากรู้ว่าอากาศตอนนี้เป็นยังไงบ้างน่ะ”

ผมเองก็ทำตามเช่นเดียวกัน เมื่อกระจกรถถูกเปิดลงจนสุด ผมก็ยื่นแขนออกไปรับอากาศภายนอก “เหี้ยและ ร้อนว่ะ แดดจ้าเลย”

“อ้าว ก็คงใช่ เวลากลางวันขนาดนี้” ไอ้ซันหัวเราะ

“มันจะหนาวมั๊ยวะนี่” ผมบ่น

“ก็อาจเป็นไปได้นะ” ไคล์ตอบ “ผมว่าตอนกลางคืนอากาศน่าจะเย็น”

“ก็คงอย่างที่ไคล์พูดนั่นแหละ” ไอ้ซันเห็นด้วย

เราขับรถไปตามถนนและป้ายบอกทางที่มีอยู่ให้เห็นเป็นระยะๆจนมาถึงทางแยกแห่งหนึ่ง

“เอาไงวะ ตรงไป หรือเลี้ยวขวา” ไอ้ซันถาม

“ตรงไป” ผมตอบ เนื่องจากด้านซ้ายมือของเราคือ คาเฟทีเรียที่มีชื่อว่า ยาวาพาย และผมยังเห็นคำว่า ยาวาพายลอดจ์และป้ายที่บอกว่าติดต่อห้องพักด้านนี้อีกด้วย “จากนั้นก็เลี้ยวซ้ายเข้าที่จอดรถ” ผมชี้ทาง

เมื่อเราเลี้ยวซ้ายไปตามถนน สิ่งที่อยู่ตรงหน้าของเราก็คือลานจอดรถขนาดใหญ่และด้านขวามือของผมคือที่ทำการไปรษณีย์ ธนาคาร และร้านค้าที่ชื่อ เจเนอรัล สโตร์ อย่างที่พนักงานในแฟล็กสต๊าฟบอกจริงๆ

“อย่างนี้คงไม่อดตาย” ไอ้ซันพูดขณะเลี้ยวเข้าจอดรถ “แล้วฟรอนท์เดสค์ที่เราต้องเช็คอินอยู่ตรงไหนล่ะเนี่ย”

“ผมว่าข้างในนั้นนะ” ไคล์ชี้ไปยังประตูทางเข้าที่มีป้ายเขียนว่า แคนย่อน คาเฟ่

เมื่อรถจอดสนิท เราสามคนก็ลงจากรถ ผมกำลังจะเดินไปหยิบกระเป๋าเดินทางออกมาแต่ไอ้ซันก็ส่งเสียงห้ามเอาไว้เสียก่อน

“ไม่ต้องๆ ทั้งสองคนรออยู่ที่นี่แหละ ขอเข้าไปถามให้ชัวร์ก่อนว่ายังไง เดี๋ยวกูมา” พูดจบมันก็วิ่งเหยาะๆออกไปทันที ทิ้งผมกับไคล์ให้ยืนรออยู่ที่รถสองคน ผมมองหน้าไคล์ที่กำลังยืนบิดขี้เกียจอยู่แล้วก็คิดถึงสิ่งที่ไอ้ซันบอกผมเมื่อคืนขึ้นมาอีกครั้ง ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเด็กหน้าตาดีอย่างไคล์จะชอบผู้ชายจริงๆ แถมยังเป็นไอ้ซันอีกต่างหาก แต่จะว่าไปถ้ามันเป็นความประทับใจหรือความฝังใจที่เขามีให้แก่พี่ชาย มันก็อาจจะไม่แปลกก็ได้ล่ะมั๊ง

“อะไรเหรอ” ไคล์ถามขึ้นเป็นภาษาอังกฤษ

“เปล่า ไม่มีอะไร” ผมเองก็ตอบกลับเป็นภาษาอังกฤษเช่นเดียวกัน

“งั้นยังไงๆก็ขอพูดภาษาอังกฤษก็แล้วกันนะ เพราะว่าตั้งแต่สองสามวันมานี้ใช้ภาษาไทยแทบตลอดเลย และที่สำคัญ ซันกับศิลาพูดกันเร็วมาก ผมฟังไม่ทัน บางทีก็ฟังไม่รู้เรื่อง และศัพท์บางคำผมก็ไม่รู้จักอีกต่างหาก” เขาหัวเราะ

“อ้าว อย่างนั้นเหรอ แล้วทำไมไม่บอกล่ะ”

ไคล์ยักไหล่ “ก็ไม่ได้สำคัญอะไรนักหนานี่” เขากวาดสายตามองไปรอบๆ “อากาศดีนะ”

“อื้มม ใช่” ผมยืดแขนออกไปจนสุด “ร้อนไปนิด แต่ก็ลมเย็นดี และที่สำคัญ.......” ผมเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า “ท้องฟ้าสวยมากๆเลย”

ท้องฟ้าที่นี่โปร่งมาก ก้อนเมฆสีขาวรูปร่างแปลกๆลอยอยู่อย่างเอื่อยเฉื่อยตัดกับท้องฟ้าสีครามอันกว้างใหญ่ ไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆหรือผมอุปทานไปเองนะ แต่ผมคิดว่าก้อนเมฆและท้องฟ้าของที่นี่สวยมากๆและแตกต่างจากท้องฟ้าในเมืองใหญ่ๆที่ผมเคยอยู่เคยไปมาจริงๆ ผมสังเกตเห็นอะไรบางอย่างลักษณะคล้ายๆกับจรวดที่พุ่งดิ่งลงมาจากท้องฟ้าทิ้งให้เกิดควันสีขาวเป็นสายอยู่ตรงขอบฟ้าด้านหน้า นั่นคงเป็นจรวดที่ใช้สำหรับพยากรณ์อากาศอย่างที่เคยได้ยินมาล่ะมั๊ง แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ท้องฟ้าใสๆแบบนี้ก็ทำให้ผมนึกอยากเห็นตอนกลางคืนไวๆเหลือเกินว่ามันจะสวยงามสักแค่ไหน

ผมยืดตัวบิดขี้เกียจอีกสองสามครั้งและขณะที่ผมหันไปมองยังทางเดินระหว่างเจเนอรัล สโตร์กับธนาคาร ก็เห็นคนเอเชียวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งทั้งชายและหญิงเดินพูดคุยและหัวเราะกันอยู่ แต่สิ่งที่สะดุดตาของผมก็คือ เสื้อยืดที่ผู้ชายคนหนึ่งใส่นั้นมีภาษาไทยปักอยู่ด้วยเป็นคำว่า “ฉันรักประเทศไทย”

ผมยืนมองพวกเขาอยู่สักพักด้วยความฉงนใจเล็กน้อยจนพวกเขาเดินหายเข้าไปในที่ทำการไปรษณีย์

“เฮ้” เสียงของไอ้ซันดังขึ้นทางด้านหลังของผม “ไปเถอะ ขนของไปกันเลย กูได้กุญแจแล้ว” มันชูกุญแจขึ้นให้พวกเราดู

“บอกให้ขน แล้วให้ขนไปไหนวะ ไหนล่ะที่พัก” ผมหันซ้ายหันขวา

“อยู่ด้านหลังนู้นน่ะ ไปทางนี้ได้” ไอ้ซันชี้ไปยังทางเดินเล็กๆเลียบผ่านด้านข้างร้านอาหารที่ส่วนนั้นมีลักษณะคล้ายๆโดมกระจก “ต้องเดินหน่อยว่ะ”

เราสามคนออกเดินและลากกระเป๋าไปยังที่พัก มันใช้เวลาประมาณสิบนาทีถึงจะมาถึง ที่พักของเรานั้นไม่ใช่โรงแรม แต่เป็นลักษณะของโมเต็ลมากกว่า ด้านหน้าของอาคารก็มีลาดจอดรถอยู่เช่นกัน

“แล้วทำไมเราไม่มาจอดตรงนี้วะนี่” ผมถาม

“เดี๋ยวเอามาจอด เมื่อกี๊มาไม่ถูก ตอนนี้ถูกแล้ว” ไอ้ซันไขกุญแจห้องและผลักประตูเข้าไป

ห้องของเราไม่มีเครื่องปรับอากาศ แต่มีพัดลมเพดานแขวนอยู่ด้านบนแทน แต่ผมคิดว่าความร้อนนั้นคงไม่ใช่ปัญหาแน่นอนอยู่แล้ว การตบแต่งก็มีลักษณะคล้ายๆกับแนวของอินเดียนหรือชนเผ่าอเมริกันพื้นเมืองนั่นเอง ดูเป็นแบบคันทรี่เล็กๆแต่ก็มีความร่วมสมัยอยู่ในตัว

“เฮ้อออ” ไอ้ซันทิ้งตัวลงบนที่นอนทันทีที่เปิดประตูห้องออก

“เหนื่อยเหรอ” ไคล์ถาม

“อืม” ซันพยักหน้าตอบ “แต่ที่สำคัญคือหิวว่ะ”

“งั้นเราไปกินข้าวกันก่อนเลยมั๊ย เดี๋ยวค่อยกลับมาจัดของทีหลัง” ผมเสนอความคิด

“ก็ดีเหมือนกัน ไปกันเถอะ” ไอ้ซันดีดตัวขึ้นนั่ง จากนั้นเราสามคนก็พากันเดินกลับไปยังทางเดิมที่เราเดินผ่านเมื่อครู่ ผมล้วงหยิบโทรศัพท์มือถืออออกมาจากกระเป๋าเพื่อที่จะโทรหาพ่อและบอกให้ไอ้ซันทำเช่นเดียวกัน แต่เมื่อผมและมันเห็นโทรศัพท์ของตัวเองก็ต้องร้องออกมาพร้อมๆกันด้วยความประหลาดใจ

“เฮ้ยยย”

“อ้าว เวรแล้วไง”

“อะไรเหรอครับ” ไคล์ถามพลางล้วงเอาโทรศัพท์ของตัวเองออกมาดูเช่นเดียวกัน

“ไม่มีสัญญาณ” ผมชูมือถือให้เขาดู

“จริงด้วย” ไคล์ร้องออกมาด้วยความผิดหวัง

“ที่นี่มันบ้านนอกขนาดนั้นเลยเหรอวะเนี่ย” ไอ้ซันสบถออกมาด้วยความเซ็ง

“ไม่เป็นไรมั๊ง เดี๋ยวซื้อบัตรโทรศัพท์เอาก็ได้ แก้ขัดไปก่อน” ผมพูด

เมื่อเรามาถึงด้านหน้าของร้านอาหาร ประตูเดียวกับที่ไอ้ซันเดินเข้าไปตอนแรก ผมก็สังเกตเห็นว่าทางซ้ายมือของเรานั้นเป็นร้านขายของที่ระลึก ผมสะกิดให้ไคล์ดูรูปวาดของ แกรนด์แคนยอนในยามพระอาทิตย์ตกดินที่ถูกแขวนอยู่บนผนัง เมื่อผมมองเข้าไปในร้านก็เห็นว่ามีสินค้าต่างๆมากมายเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นหมวก เสื้อผ้า ของใช้ ของกิน ของเล่น และอื่นๆอีกมากมาย

“เดี๋ยวค่อยแวะ ไปกินข้าวกันก่อนเหอะ” ไอ้ซันพูดขึ้นเมื่อเห็นผมกับไคล์มีท่าทีสนใจกับสินค้าในร้าน

ร้านอาหารแห่งนี้เป็นคาเฟทีเรียที่ขายทั้งอังเทร่หรืออาหารจากหลัก มีป้ายที่บอกว่าจุดนี้คือ สเตชั่นเบอร์เกอร์ พิซซ่า และ ชิคเก้น เรียงรายกันตามลำดับเป็นแถวตามแนวยาวของเคาน์เตอร์ ดูๆแล้วลักษณะคล้ายๆกับแม็คโดนัลด์อยู่เหมือนกันแต่ต่างกันตรงที่ว่ามีอาหารมากกว่าและมีช่องแคชเชียร์ให้จ่ายเงินต่างหาก ลูกค้าในร้านต่างก็กำลังทยอยเดินมาซื้ออาหารกันอยู่เรื่อยๆ บางคนก็กำลังสั่งอาหาร บางคนก็กำลังเลือกอาหาร แต่ไม่มีคิวต่อซื้ออาหารยาวอย่างที่ผมคิดเลย เพราะตอนเดินผ่านที่นั่งผมเห็นมีคนนั่งอยู่ค่อนข้างเยอะ แต่ทว่าคิวต่อซื้ออาหารนั้นเกือบจะไม่มีเลยทีเดียว ผมคิดว่าอาจจะเป็นเพราะมันเลยเวลาเที่ยงมานานแล้วก็เป็นได้

ผม ซัน และไคล์ หยิบถาดที่ถูกวางกองตั้งเอาไว้ด้านหน้ามาคนละถาด ไคล์เดินตรงไปยังมุมของหวานเลือกมองดูเค้กและพายที่ถูกแช่อยู่ในคูลเลอร์ ส่วนผมกับซันหยุดยืนอ่านเมนูที่เป็นป้ายอยู่ทางด้านบนของสเตชั่นอังเทร่ซึ่งเป็นสเตชั่นแรกสุด

ทว่าสิ่งที่ดึงดูดสายตาของผมนั่นคือคนที่กำลังยืนขายของอยู่ต่างหาก นอกจากพนักงานต่างชาติที่เป็นทั้งอเมริกันและคนชาติอะไรไม่ทราบแต่ผมเดาว่าน่าจะเป็นพวกเม็กซิกันแล้วผมยังเห็นมีคนเอเชียอยู่อีกหนึ่งคนด้วย เป็นเด็กผู้ชายวัยรุ่นคนหนึ่งยืนขายให้ลูกค้าอยู่ตรงโซนไก่ทอดซึ่งเป็นสเตชั่นสุดท้ายพอดี

“มึงจะกินอะไร” ไอ้ซันถามผมขณะที่เราเดินผ่านมาถึงสเตชั่นเบอร์เกอร์

“กูก็ไม่รู้ว่ะ แต่กูไม่อยากกินเบอร์เกอร์อ่ะ” ผมตอบ พนักงานหญิงแก่ๆหน้าคล้ายคนเอเชียที่ยืนประจำสเตชั่นอยู่ยิ้มให้พวกเรา

“คนเอเชียป่าววะ” ผมกระซิบถามไอ้ซัน

“กูว่าพวกอินเดียนว่ะ มึงดูหางเปียดิ่”

“ไอ้บ้า” ผมหัวเราะ “ดูเปียแล้วมันบอกได้เลยเนอะ ว่าเป็นคนเอเชียหรือพวกเนทีฟอเมริกันน่ะ” ผมเอาถาดเคาะหัวของมันเบาๆ ขณะเดียวกันก็มีลูกค้ามาซื้อเบอร์เกอร์ที่พนักงานหญิงคนนั้นพอดี

“เห็นมั๊ย ฟังสำเนียงภาษอังกฤษดิ่ คนอเมริกันพื้นเมือง ไม่ใช่คนเอเชียจริงๆนั่นแหละ” ไอ้ซันพูด

“แล้วคนนั้นล่ะ” ผมกระซิบและชี้ไปที่เด็กหนุ่มคนนั้นที่กำลังวุ่นอยู่กับการขายอาหารให้ลูกค้าที่ยืนต่อแถวกันอยู่ ดูเหมือนเขาจะไม่ได้สังเกตเห็นเราสองคนเลยแม้แต่นิดเดียว อาจเป็นเพราะเขากำลังยุ่งอยู่ก็ได้

ไอ้ซันเงียบไปพักหนึ่งแล้วมองเด็กหนุ่มคนนั้นไม่วางตาจนผมต้องเอาศอกกระทุ้งมันที่สีข้าง “เฮ้ย มองอะไรนานนักวะ”

“โอ๊ย” มันเอามือถูที่เอวเบาๆ

“กูรู้ว่าเขาหน้าตาดี แต่มึงจะมองนานไปหน่อยไหม” ผมแซว

“เปล่าๆ กูไม่ได้มองเขาเพราะหน้าตาดี......” ไอ้ซันหันไปมองยังเด็กหนุ่มคนนั้นอีกครั้ง “แต่ว่า......”

“ไง สองคนกินอะไรกันดีครับ” ไคล์ทักขึ้นทางด้านหลังของพวกเรา ในถาดของเขาตอนนี้มีเลมอนเค้กวางอยู่หนึ่งชิ้นแล้วก็ซุปอีกหนึ่งถ้วย “ผมว่าผมจะลองไก่ทอดนะ คนขายตรงอังเทร่บอกว่าอร่อยน่ะ” ไคล์พยักเพยิดไปทางหญิงสาวผมดำท่าทางจะเป็นคนละตินให้เราดู เมื่อเธอเห็นว่าเรากำลังมองอยู่เธอก็โบกมือให้เราสามคนอย่างอารมณ์ดีทันที

“คนเอกวาดอร์น่ะครับ” ไคล์บอกพวกเราโดยที่เราไม่ต้องถาม “พูดสเปนเหมือนกัน”

“อ้อ” ผมเออออ

“ตกลงมึงจะกินไร เมฆ” ไอ้ซันถามผม

“กูกินไก่ทอดมั่งก็ได้ กูรู้สึกยังไม่ค่อยหิวว่ะ” ผมตอบ

“งั้นกูไปเลือกอังเทร่ดีกว่า มึงไปซื้อกับไคล์ก่อนเลยก็ได้” พูดจบไอ้ซันก็เดินไปต่อแถวที่สเตชั่นอังเทร่

“งั้นเราไปกันดีกว่า” ไคล์ชวนผมเป็นภาษาอังกฤษ

“ตกลงจะพูดอังกฤษกันใช่มั๊ยเนี่ย” ผมถามกลับ

ไคล์หันมายิ้มขณะที่วางถาดลงบนเคาน์เตอร์ ผมเดินตามเขาไปติดๆ บนเมนูมีเซ็ทให้เลือกอยู่สองเซ็ทนั่นคือแบบไก่ทอดสองชิ้นกับสามชิ้น และแต่ละชุดจะประกอบไปด้วย เวดจ์ฟราย โควสลอว์ และ บิสกิต ส่วนไก่ทอดก็มีให้เลือกทั้ง อก น่อง ปีก และสะโพก

“ไคล์ จะเลือกอะไรล่ะ เอาเป็นเซ็ทหรือว่าแยกชิ้นดี” ผมถามเขา คนข้างหน้าไคล์ก็ซื้อเสร็จพอดี เราจึงขยับเข้าไปใกล้เคาน์เตอร์มากขึ้นเพื่อที่จะสั่งอาหาร

“สวัสดีครับ มีอะไรให้ช่วยมั๊ยครับ” เด็กหนุ่มคนนั้นทักขึ้น ผมละสายตาจากป้ายเมนูบนบอร์ดด้านบนลงมามองหน้าของเขาชัดๆ

เด็กหนุ่มคนนี้ดูๆแล้วน่าจะอายุพอๆกับผมหรือไคล์นี่แหละ เขาใส่ชุดพนักงานที่ต้องสวมหมวกเลยไม่เห็นว่าทรงผมของเขาเป็นอย่างไร แต่เขาคนนี้ก็มีผิวขาว โครงหน้ารูปไข่ แลดูสะอาด และท่าทางจะมีเชื้อจีนอยู่ด้วย นอกจากนั้นตาของเขาก็ยังสวยมาก เป็นลักษณะของตี๋ตาโตนั่นเอง แต่สิ่งที่ดึงดูดสายตาของผมนั้นไม่ใช่หน้าตาหล่อเหลาของเขาหรอก หากแต่เป็นป้ายชื่อที่มีชื่อเขียนเอาไว้ว่า พีท และด้านล่างนั้นเป็นคำว่า ไทยแลนด์

“ผมขอ ชุดสองชิ้นก็แล้วกันครับ” ไคล์สั่งอาหาร

“โอเคครับ” เขาตอบและก็หันไปหยิบจาน จากนั้นก็คีบไก่ออกมาจากวอร์มเมอร์อย่างรวดเร็ว เขาทำงานได้รวดเร็ว ดูท่าทางคล่องแคล่วและเอาจริงเอาจังมาก เหงื่อที่ผุดออกมาเป็นเม็ดใสๆตรงใต้ขอบหมวกบอกผมถึงความร้อนและความเหนื่อยจากการทำงานได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้นผมยังไม่เห็นเขายิ้มรับลูกค้าเลยสักครั้งด้วย

“นี่ครับ” เขายื่นจานส่งให้ไคล์ จากนั้นก็หันมาหาผม เมื่อเขาหันมาเห็นผม ผมสังเกตว่าเขาดูชะงักไปครู่หนึ่งและมีสีหน้าประหลาดใจฉายแววขึ้นมาเล็กน้อย

“คนไทยเหรอครับ” ผมถาม

“อ่ะ อ้อ ใช่ครับ” เขาตอบและยิ้มส่งยิ้มน้อยๆให้แก่ผม ไคล์เองเมื่อได้ยินดังนั้นก็หันหลับมาทันที

“อ้าว คนไทยเหรอเนี่ย”

“ไม่เห็นป้ายชื่อเขาเหรอ” ผมชี้ให้เขาดูที่ป้ายชื่อที่ถูกติดอยู่บนอกเสื้อด้านซ้ายของเขา “ไทยแลนด์ เห็นมั๊ย”

“เออ จริงด้วยแฮะ” ไคล์หัวเราะ “งั้นผมไปจ่ายเงินแล้วก็หาที่นั่งก่อนเลยนะ” เขาพูดจากนั้นก็หันหลังเดินจากไป

“เอ่อ มาเที่ยวเหรอครับ” พีทพูดขึ้น

“ครับ มากับเพื่อนน่ะ” ผมหันไปมองรอบข้าง ไม่มีลูกค้ามาต่อแถว คงทำให้ผมสามารถยืนคุยกับเขาได้ครู่หนึ่งล่ะ

“แล้วคนนั้น เขาก็คนไทยเหรอครับ” พีทชี้ไปที่ไคล์ที่กำลังยืนจ่ายเงินอยู่ทางด้านหลังของผม

“อ๋อ คนนั้นลูกครึ่งน่ะ เป็นญาติกับเพื่อนผมเอง” ผมหันไปทางซ้ายมองหาไอ้ซันก็เห็นมันกำลังเดินตรงมาหาผมพอดี “พูดถึงก็มาเลยนี่ไง” ผมชี้ไปที่ไอ้ซัน

“ซื้อเสร็จหรือยัง” ไอ้ซันถามผม

“ยัง ซัน นี่คนไทยจริงๆด้วยว่ะ ชื่อ...... พีท” ผมอ่านที่ป้ายชื่อของเขาอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

“เออ กูรู้อยู่แล้ว” มันบอกผม จากนั้นก็หันไปหาพีทที่กำลังยืนมองเราสองคนอยู่ “สวัสดีครับ”

“ครับ” เขาตอบกลับมาสั้นๆ

“มึงรู้ได้ไง ว่าเขาเป็นคนไทย” ผมถาม

“ก็กูไม่เซ่อเหมือนมึงนี่ ไอ้เมฆ” มันพูดจบก็หันหลังเดินไปทางแคชเชียร์ทันที

“อะไรของมันวะ” ผมมองตามมันไปจากนั้นก็หันหลับมาหาพีทที่ยังคงยืนมองผมอยู่อย่างเดิม “โทษทีนะครับ งั้นผมขอชุดสามชิ้นก็แล้วกัน ขอเป็นขาสอง อกหนึ่งนะ”

“ได้ครับ” พีทรับคำจากนั้นก็หายไปด้านหลังตู้วอร์มเมอร์อีกครั้ง

“ปกติทำงานอยู่ที่นี่เหรอครับ” ผมถาม

“เปล่าครับ โครงการ เวิร์คแอนด์ทราเวล น่ะครับ สำหรับเด็กมหาลัยมาทำงานที่อเมริกาช่วงซัมเมอร์” เขาตอบขณะที่กำลังคีบไก่อยู่ด้วย

“อ๋ออ มีมากันหลายคนมั๊ยครับเนี่ย”

“หลายครับ เฉพาะที่แกรนด์แคนยอนนี่ก็หลายคนมากๆ ผมว่าถึงร้อย”

“โอโห เยอะขนาดนั้นเลย”

“ใช่ครับ” เขาก้มลงไปหยิบโควสลอว์ที่ชั้นข้างใต้มาวางไว้ในจาน “ทำกันทุกที่ทุกอย่างล่ะครับ ทั้งในร้านอาหารแบบผม ในครัว ในโรงแรม ทุกอย่างจริงๆ เดี๋ยวพี่อยู่ที่นี่พี่ก็เห็นครับ ว่าคนไทยเยอะจริงๆ” เขายื่นจานมาให้กับผม “เสร็จแล้วครับ”

“อ้าว ยังไม่ได้ เวดจ์ฟรายเลย”

“เออ จริงด้วย” เขาแสดงอาการตกใจเล็กน้อยแล้วก็หายกลับไปหลังวอร์มเมอร์อีกครั้ง

“แล้วเหนื่อยมั๊ย ทำงานแบบนี้” ผมถาม เพราะผมเองก็เคยตั้งใจอยากจะทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยอยู่แล้วเช่นเดียวกัน

“ก็นิดหน่อยครับ ถ้ายุ่งๆก็เหนื่อยหน่อย ช่วงนี้ลูกค้าก็เยอะพอควร เพราะเป็นช่วงสปริงเบรคพอดี” เขากลับมาพร้อมกับมันฝรั่งเต็มถาดกระดาษจนล้น “เอ่อ...... แล้วพี่พักที่ไหน กี่วันล่ะครับ”

“โอ๊ย ไม่ต้องเรียกพี่หรอก เราก็รุ่นเดียวกันนี่แหละ เผลอๆผมจะอายุน้อยกว่าด้วยมั๊งครับเนี่ย” ผมหัวเราะ

“อ่ะ เอ่ออ” เขาอึกอักไปครู่หนึ่ง

“เรามาพักกันห้าวันครับ พักที่ยาวาพายเวสต์นี่แหละ” ผมรับจานมาวางลงบนถาดของตัวเอง

“ครับ” เขาตอบสั้นๆ

“เอ่อ งั้นก็โชคดีนะครับ ผมไปละ เดี๋ยวเพื่อนรอนาน”

“ครับ โชคดีนะครับ ขอให้เที่ยวให้สนุกนะครับ” เขาบอก

ผมเดินมาสมทบกับไคล์และซันที่โต๊ะตรงริมกระจก เมื่อมองออกไปจะเห็นทางเดินที่พวกผมเพิ่งเดินผ่านกันมาด้วย โต๊ะที่พวกผมนั่งกันอยู่นั้นจะอยู่ติดกับกำแพงที่มีเครื่องกดน้ำตั้งอยู่พอดี อีกฟากของกำแพงที่มีเครื่องกดน้ำนี้ก็จะเป็นสเตชั่นขายไก่ของพีท ทำให้จุดที่พวกผมนั่งนั้นค่อนข้างจะอยู่ลับตาคนและค่อนๆมาทางหลังร้านเลยทีเดียว

“แล้วจะเอายังไงดีวะ เรื่องโทรศัพท์” ผมถามขึ้นหลังจากเริ่มทานอาหารไปได้สักครู่

“นั่นสิ แต่เดี๋ยวลองไปดูที่ร้านขายของนั่นก็ได้มั๊ง ว่าจะมีบัตรโทรศัพท์ขายหรือเปล่า” ไอ้ซันชี้นิ้วโป้งไปทางเจเนอรัล สโตร์

“อืมม อยากรีบๆบอกพวกคุณป้าเสียก่อนว่าเรามาถึงกันแล้วน่ะ เดี๋ยวพวกท่านจะเป็นห่วง กูก็ต้องบอกพ่อกูด้วยเหมือนกัน”

“เดี๋ยวกินเสร็จค่อยเดินไปดูก็แล้วกัน”

“ว่าแต่ เรื่องนั้นก็อีกเรื่อง แต่ถ้าสมมติเราแยกกันเดินเราจะติดต่อกันยังไงล่ะครับเนี่ย” ไคล์พูดขึ้น

“เออว่ะ” ผมกับซันร้องขึ้นพร้อมๆกัน

“ทำไงดีวะเนี่ย” ไอ้ซันพูดน้ำเสียงวิตก

“กูว่าก็พยายามอย่าแยกกันก็แล้วกัน และเอางี้สิ ก็นัดเวลากันเอาก็ได้ว่าจะไปเจอกันที่ไหนกี่โมง ถ้าไม่ชัวร์ก็เอาตรงจุดนี้เป็นที่นัดพบไปก่อนก็แล้วกัน” ผมเสนอ

“อย่างนั้นก็ดี” ไอ้ซันและไคล์พยักหน้าพร้อมๆกัน

“แต่จะว่าไป นี่มันก็บ่ายครึ่งแล้วเนอะ กูก็เหนื่อยเหมือนกันนะเนี่ย หลังจากนี้เราจะไปไหนกันดี หรือจะกลับไปพักที่ห้องก่อน” ไอ้ซันดันจานข้าวที่ว่างเปล่าของตัวเองออกแล้วยืดตัวบิดขี้เกียจ

“กูยังไม่อยากนอนว่ะ”

“ผมก็ด้วย” ไคล์พูด

“มึงกลับไปนอนก่อนก็ได้ มึงขับรถมาทั้งวันแล้วนี่ เวลาเที่ยวยังมีอีกเยอะแยะ”

“เอางั้นเหรอ”

“อืม แต่จะว่าไป........” ผมหันไปมองหน้าไคล์แล้วหันหลับมาหาซันอีกครั้ง “กูก็ยังไม่รู้เลยอยู่ดีแหละ ว่าถ้าไม่กลับไปนอนกูจะไปไหนน่ะ”

“นั่นสิครับ” ไคล์พยักหน้าเห็นด้วย

“นั่นไง ถามเขาดูดีกว่า” ผมหันไปเห็นพีทกำลังเดินออกมาจากทางหลังร้านเพื่อมากดน้ำพอดี

แต่ตอนนี้พีทไม่ได้ใส่หมวกอีกแล้ว ผมสั้นๆที่ถูกหมวกกดจนเรียบเกือบจะติดหน้าผากของเขายิ่งทำให้เขาดูเด็กมากขึ้นไปอีก ซ้ำตอนนี้เขายังใส่เสื้อแจ็กเก็ตสีน้ำตาลแก่และสะพายกระเป๋าเป้ไว้ที่ไหล่ขวาอีกด้วย ท่าทางเขาจะเลิกงานแล้วพอดี

“พีท” ผมเรียกเขา

พีทหันรีหันขวางหาที่มาของเสียงอยู่ครู่หนึ่งก็หันมาเห็นพวกเรา จากนั้นเขาจึงเดินตรงเข้ามาหาพร้อมกับแก้วโค้กแก้วใหญ่ในมือ “มีอะไรเหรอครับ”

“เลิกงานแล้วเหรอครับ” ผมถาม

“ครับ บ่ายครึ่ง เปลี่ยนกะพอดี”

“อ๋อ นั่งด้วยกันก่อนสิ” ผมเลื่อนเก้าอี้ข้างๆผมให้เขานั่ง “นี่เพื่อนผม ชื่อซัน ส่วนนี่ ไคล์ พูดไทยได้ ไม่ต้องห่วง”

“สวัสดีครับ” พีททัก ไคล์ยิ้มและพยักหน้าส่วนไอ้ซันแค่ก้มหัวน้อยๆแล้วก็จ้องพีทตาเขม็ง

“ส่วนผมชื่อเมฆครับ” ผมแนะนำตัว

“ครับ” พีทตอบรับสั้นๆ แล้วจ้องหน้าผมอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงก้มหน้าหลบ

“น้องรัก จะกลับกันรึยัง” เสียงใสๆของผู้หญิงดังขึ้นมาจากทางทิศเดียวกับที่พีทเพิ่งเดินออกมา พวกเราสี่คนหันไปตามเสียงเรียกนั้นทันที

“อ๋อ ยังครับพี่นก กำลังคุยกับพวกพี่ๆอยู่ เป็นคนไทยน่ะครับ” พีทหันไปตอบผู้หญิงคนนั้น

ผู้หญิงที่ชื่อนกก็ใส่เสื้อคลุมทับชุดพนักงานและมีกระเป๋าสะพายอยู่เช่นเดียวกัน แต่ยูนิฟอร์มของเขาเป็นสีขาวล้วนดูลักษณะเหมือนกับชุดของพ่อครัว

“สวัสดีค่ะ” เขาเดินตรงมาหาพวกเราแล้วก้มหัวให้เล็กน้อย

“นี่พี่นกครับ ทำงานเป็นผู้ช่วยกุ๊กอยู่ในครัว ตอนเช้าก็มีคนไทยแค่ผมกับพี่เขานี่แหละ” พีทอธิบาย

“อ๋อ เอ่อ ครับ ผมเมฆครับ อายุยี่สิบ ส่วนนี่เพื่อนผม ไอ้ซัน อายุสิบเก้า เรียนอยู่ที่อังกฤษ และนี่ไคล์ เพิ่งจะสิบหก ยังอยู่เกรดสิบอยู่ครับ”

“กำลังจะสิบเจ็ดแล้วต่างหาก” ไคล์แก้

จากนั้นนกก็ถามพวกเราคำถามเดียวกับที่พีทเคยถามผมอีกเช่นเดิม เช่นพักที่ไหน มาจากไหน จะพักอยู่กี่วัน อะไรพวกนั้น ผมกับไคล์ก็ช่วยๆกันตอบ เท่าที่ผมสังเกตระหว่างที่พวกเรานั่งคุยกันอยู่นั้นจะเห็นว่านกมีท่าทีสนใจไคล์ไม่น้อยเลยทีเดียว และอีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือ ไอ้ซันที่เอาแต่นั่งเงียบมาครู่ใหญ่ๆแล้ว ผมเห็นมันเอาแต่จ้องหน้าของพีทสลับกับผมด้วยสายตาเหมือนกับมีแววสงสัยอะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลา

“งั้นขอตัวก่อนนะค่ะ พอดีว่าจะไปหางานที่อื่นทำต่อน่ะค่ะ” นกบอกพวกเรา “งั้นพี่ไปก่อนนะพี แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้เจอกัน” นกลุกขึ้นยืน “นี่แล้วก็พักผ่อนด้วยนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ไม่ไหวอีกหรอก”

“ครับ กลับดีๆนะครับพี่” พีทบอกลานกที่กำลังเดินจากไป “เอ้อ จริงสิพี่นก พรุ่งนี้รู้สึกว่าผมต้องไปเป็นบัสเซ่อร์นะ”

นกหยุดเดินแล้วหันมามองพีทด้วยสีหน้ารำคาญใจ “อีกแล้วเหรอเนี่ย นี่ อย่าบอกนะว่าเพราะเหตุผลเดิม”

พีทพยักหน้า

“แกเอ๊ย เออ เอาเหอะ ถ้าเหนื่อยก็เปลี่ยนกับคนอื่นเขาดูแล้วกัน แล้วทีหลังน่ะ หัดเถียงมันมั่งนะ ไอ้ผู้จัดการบ้าๆอย่างนั้นนะ คนอะไร ไม่มีเหตุผลเอาซะเลย” เมื่อพูดจบนกก็เดินจากไปพร้อมกับส่ายหัวไปด้วย

“เอ่อ คือที่พี่เรียกพีทมาเนี่ย พี่อยากจะถามว่าพอจะแนะนำที่เที่ยวให้พวกเราหน่อยได้มั๊ยครับ” ผมถามขึ้นเมื่อนกเดินลับไปจากสายตา

“อ๋อ ได้สิครับ พวกพี่มีรถใช่มั๊ยครับ”

“ใช่ครับ”

“แต่ผมแนะนำให้พี่ขึ้นรถบัสของที่นี่ดีกว่านะครับ ง่ายกว่า สะดวกด้วย”

“เหรอครับ ไอ้คันที่วิ่งอยู่เนี่ยน่ะเหรอ” ผมชี้ไปที่ด้านนอก รถบัสสีขาวที่ด้านหน้ามีไฟกระพริบว่า บลู เร๊าท์ กำลังวิ่งผ่านไปจอดยังป้ายรถพอดี

“ครับ อันนั้นคือสายสีน้ำเงิน หลักๆก็ขึ้นแค่คันนี้แหละครับ แต่มันจะมีสายสีแดงกับสีเขียวด้วย แต่ว่ามันไม่วิ่งทับกันหรอกครับ มันจะพาเราไปคนละที่ เพราะงั้นหลักๆก็คือขึ้นสายสีน้ำเงินนี่แหละ”

“อ้ออ เหมือนในแผนที่ที่เป็นเส้นสีๆนี่ใช่มั๊ย” ผมชี้ไปยังแผนที่ที่ไคล์เพิ่งกางออก

“ใช่ครับ ตรงสีแดงนี้” พีทชี้ไปที่จุดๆหนึ่ง เป็นรอยเริ่มของเส้นสีแดง “มันจะเป็นป้ายเปลี่ยนรถกับสายสีน้ำเงินน่ะครับ เพราะปกติสายสีน้ำเงินมันจะวิ่งวนอยู่แล้ว แต่สายสีแดงนี้จะพาไปดูพระอาทิตย์ตก จุดนี้จะเรียกว่า เฮอร์มิท เรสท์ ครับ”

“พระอาทิตย์ตก......” ผมหันไปหาไอ้ซัน “สนใจมั๊ย ไอ้แสบ”

“อื้มม ก็ดีนี่” มันพยักหน้าตอบ

“แล้วถ้าอย่างตอนบ่ายๆนี้ล่ะ พวกเราไปไหนได้มั่งครับ” ไคล์ถามขึ้น

“ก็นั่งรถไปชมวิวที่ ยาวาพาย อ๊อบเซิฟเวชั่น หรือไป แมเธอร์ พ็อยท์ก็ได้ครับ ขึ้นรถที่ป้ายหน้าร้านนี่เลยก็ได้ คนขับเขาจะพูดบอกข้อมูลตลอด แถมรถวิ่งไปวงกลม ไม่หลงหรอกครับ”

“อืมม ก็ดีนะ สนใจมั๊ย ไคล์” ผมหันไปถามไคล์

“น่าสนใจดีครับ” ไคล์ตอบพร้อมกับยิ้มกว้าง

“แต่มึงต้องไปซื้อของในเจเนอรัล สโตร์ ก่อนนะ อย่าลืม” ไอ้ซันพูดขึ้น

“เออๆ กูไม่ลืมหรอกน่า ตกลงมึงจะกลับไปนอนรึเปล่าล่ะ หรือจะไปเที่ยวพร้อมกูด้วย”

“กูว่ากูกลับไปนอนดีกว่า ขับรถเหนื่อยว่ะ”

”อืม เอางั้นก็ได้” ผมหันไปหาพีท “ขอบคุณมากนะครับ แล้วพรุ่งนี้ก็ยังต้องมาทำงานด้วยใช่มั๊ย”

“ครับ พรุ่งนี้ผมทำสองกะเลยด้วย ตั้งแต่เช้ายันมืดนั่นแหละครับ”

“โอโห ไม่เหนื่อยแย่เหรอ”

“ก็เหนื่อยแหละครับ แต่ผมชินแล้ว” พีทขยับสายกระเป๋าให้กระชับขึ้น “งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ ยังไงก็เที่ยวให้สนุกนะครับ”

“โอเคครับ ขอบคุณมากๆนะครับสำหรับข้อมูล” ผมโบกมือลา ไคล์กับซันก็ทำเช่นเดียวกัน

“งั้นคราวนี้เราก็ไปซื้อของกันได้แล้วมั๊ง” ไอ้ซันพูดขึ้นเมื่อพีทเดินออกจากร้านไป


หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 30-08-2007 22:21:25
(http://img516.imageshack.us/img516/8541/redsc02389ks0.jpg)

ทางเข้าร้านอาหารที่ซันเดินไปเช็คอินและที่ตั้งของร้านอาหารกับกิ๊ฟท์ช็อปคับ


(http://img403.imageshack.us/img403/8205/redsc02380ij9.jpg)

เจเนอรัลสโตร์ และลานจอดรถที่พวกเขามาถึงกันเป็นที่แรกคับ


(http://img111.imageshack.us/img111/9459/image387gk0.jpg)
(http://img111.imageshack.us/img111/9332/image388ku0.jpg)

สวยมั๊ยย ฟ้าใสมั๊ยเอ่ยยย แต่ต่อจากนี้อาจจะมีฟ้าเหลือง (ฮา) นี่ก็อีกมุมหนึ่งของลานจอดรถที่พวกเขามาถึงคับ

(http://img516.imageshack.us/img516/5659/redsc03697hw7.jpg)

ไคล์มาหยิบเลมอนเค้กตรงนี้เอง

(http://img403.imageshack.us/img403/8566/image182ek2.jpg)

นั่งกันอยู่แถวๆนี้แหละ ลึกๆๆๆข้างในนั่นเลยย

(http://img211.imageshack.us/img211/7037/redsc02386bv4.jpg)


รถสายสีน้ำเงิน (แต่เสือกคาดแถบสีเขียว) ที่พีทพูดถึง


.
.
.


มีใครอยากได้โปสการ์ดและของฝากเล็กๆน้อยๆจากแกรนด์ แคนยอนมั๊ยคับ ขอเสียงโหน่ยยย  :m4:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 30-08-2007 22:32:46
อยากได้ค่ะ 
แต่อยากให้ลงต่อเร็ว ๆ หน่อยนะคะ
อยากอ่านต่อแล้ว :m13:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 30-08-2007 23:05:21
มีรูปประกอบด้วย
 :a10:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ninaprake ที่ 31-08-2007 16:35:29
อิอิ อยากได้โปสการ์ดด้วยค้าบบบบ  :impress:

แล้วฟ้าจะเหลืองตอนช่วงไหนหล่ะคับ? อยากรู้ว่าจะสวยน่าดูขนาดไหน  o17

ดีจัง มีรูปภาพประกอบนิยายด้วย ....  :m4: หาข้อมูลดีมากเลยครับ ..... รอมาต่อตอนต่อไปนะคร้าบบบ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: KevinKung ที่ 31-08-2007 18:36:43
โอยยยยย ตามอ่านไม่ทัน  :a6:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ~prince™~ ที่ 31-08-2007 19:12:57
มาต่อเร็วๆนะคับ o1

อยากได้โปสการ์ดคับผม :m19:

แต่ตอนนี้อยากเห็นฟ้าเหลืองมากกว่าว่าจะเป็นยังไงสวยขนาดไหน :laugh:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 31-08-2007 19:40:26
ใครอยากได้ของขวัญ มาเล่นทายปัญหากันดีกว่าคับ ใครตอบถูกได้รางวัล เดี๋ยวคุยกันหลังไมค์

ผมถามว่า ผมกะไอ้ทึ่มนั้น ใครรุกใครรับ ครับ (ฮาาาาาาาาา)

ซะเมื่อไหร่เล่า!! ใครกล้าตอบจริงแล้ว(เจือก)ตอบผิดมีหยิกแก้มตูดสี่เกลียวครึ่งแน่

ผมถามว่า ลองทายดูซิว่าผมกะไอ้ทึ่มคบกันมานานขนาดไหนแล้วครับ ตอบเป็นหลักเดือนเน้อ เอาที่ใกล้เคียงที่สุดก็แล้วกัน

ใบ้ให้ว่าไม่นานมากหรอก แต่ก็นานพอจะเสียดายถ้าเลิกกัน 5555

เดี๋ยวพรุ่งนี้บ่ายๆเย็นๆ ผมมาเช็คคำตอบหนา

ขอบคุณทุกคนมากครับ  o14

ปล. ก็ตั้งใจจะมีของฝากมาให้อยู่แล้วล่ะ แต่ให้ทุกคนคงไม่ไหวเท่านั้นเอง  :m13:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 31-08-2007 20:08:13
ว้าวมีรูปปลากรอบ  :a3:  :a3:  :a3:

ปล. ขอทายว่า 14 เดือน  :m23:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 31-08-2007 20:33:09


............ขอทายว่า 11เดือนอ่า........
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 31-08-2007 21:35:03
ขอทายว่า 13 เดือน :m18:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ~Brand New Beat~ ที่ 31-08-2007 22:06:02
ยิ่งอ่านยิ่งอยากไป ยิ่งมีรูปประกอบก็อยากไปไม่ไหวแล้ว หุหุ

ส่วนคำถามขอตอบว่า 11 เดือน 19 วันครับผม อิอิ :a10:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 01-09-2007 14:48:15
 :m3:    ของฝากเหยอ เป็นโปสการ์ด   ดูๆๆ  คิคิ     :m3: 

ให้ทายดั๊วะ ..ใครรุก ใครรับ เอิ้ววววว ... 
ตอบเล่นๆได้ มะ ตอบผิดก้อจะได้มิโดน หยิกก้น คิคิ 
ตอบว่า.....................ดะดูๆแย้ว ...ถะถ้าตอบ ว่า ...น้องทึ่ม รุก ..
ซินจะโดน จับโยนออกนอกกระทู้มั๊ย(ฮา.............)    :laugh:

 :a3:     ย้อเล่งงงงงงงงง....แต่......... ซินตอบจริงนะเอ้า    :m23:



อ่ากี่เดือนล่ะเนี่ย...ไม่รู้วุ้ย..เดาเอาแย้วกัน เลยปี ยังหว่า   :m28:
....................................   10 เดือน  ก่าอีก 25 วัน  ......................................
 :m1:                :m1:                       :m1:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: tonsai_2520 ที่ 02-09-2007 01:15:47
ใครอยากได้ของขวัญ มาเล่นทายปัญหากันดีกว่าคับ ใครตอบถูกได้รางวัล เดี๋ยวคุยกันหลังไมค์

ผมถามว่า ผมกะไอ้ทึ่มนั้น ใครรุกใครรับ ครับ (ฮาาาาาาาาา)

ซะเมื่อไหร่เล่า!! ใครกล้าตอบจริงแล้ว(เจือก)ตอบผิดมีหยิกแก้มตูดสี่เกลียวครึ่งแน่

ผมถามว่า ลองทายดูซิว่าผมกะไอ้ทึ่มคบกันมานานขนาดไหนแล้วครับ ตอบเป็นหลักเดือนเน้อ เอาที่ใกล้เคียงที่สุดก็แล้วกัน

ใบ้ให้ว่าไม่นานมากหรอก แต่ก็นานพอจะเสียดายถ้าเลิกกัน 5555

เดี๋ยวพรุ่งนี้บ่ายๆเย็นๆ ผมมาเช็คคำตอบหนา

ขอบคุณทุกคนมากครับ  o14

ปล. ก็ตั้งใจจะมีของฝากมาให้อยู่แล้วล่ะ แต่ให้ทุกคนคงไม่ไหวเท่านั้นเอง  :m13:




ใครรุก . . . ใครรับ  เหอะ ๆ ๆ ๆ ๆ

คนรับคงเจ็บน่าดู๊ ๆๆๆๆ

กี่เดือนเหรอ  นับนิ้วดูดีมั้ยหว่า  ไม่ตอบรู้แค่ของตรูก็ เอาตัวไม่รอดอยู่  ฮาฮาฮา

ปล. เฮ้ย.......อยากถอนหายใจไม่มีไร  พุธนี้  จะเข้า กทม  ไม่รู้ไฟลท์ไหน  ยังมะได้จองเลยอ่ะ    ถ้าว่างพฤหัสกินข้าวเย็นกัน  แต่ถ้าว่างวันศุกร์  กินเหล้ากันหนา  เหอะๆ ๆ ๆ ๆ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 02-09-2007 09:02:19
:m3:    ของฝากเหยอ เป็นโปสการ์ด   ดูๆๆ  คิคิ     :m3: 

ให้ทายดั๊วะ ..ใครรุก ใครรับ เอิ้ววววว ... 
ตอบเล่นๆได้ มะ ตอบผิดก้อจะได้มิโดน หยิกก้น คิคิ 
ตอบว่า.....................ดะดูๆแย้ว ...ถะถ้าตอบ ว่า ...น้องทึ่ม รุก ..
ซินจะโดน จับโยนออกนอกกระทู้มั๊ย(ฮา.............)    :laugh:

 :a3:     ย้อเล่งงงงงงงงง....แต่......... ซินตอบจริงนะเอ้า    :m23:



ตอบแบบนี้เลิกคบกันเลยดีกว่าคับ  :angry2:

5555

เอาล่ะ เฉลย คนที่ตอบถูกคือ คุณ ติ๊ป คับ เป๊ะเลย 14 เดือน
 o13
เด๋วหลังไมกันเน้อ เอาไปเลยของฝากจากแกรนด์ แคนยอน + โปสการ์ดวิวจากแมเธอร์ พ็อยท์ (มีป่าวหว่า จำไม่ได้ 5555)
สวยกว่ารูปที่ผมแปะแน่นอน

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 02-09-2007 09:03:14
ตอนที่ 25


เมื่อกลับมาถึงห้องและจัดของเรียบร้อยแล้ว ไอ้ซันก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงทันที จังหวะเดียวกับที่ไคล์กำลังเข้าห้องน้ำอยู่ ผมจึงเดินไปนั่งลงข้างๆมันและเอามือลูบหัวมันเล่นไปด้วย

“เหนื่อยเหรอ.......” ผมถาม

“อืมม” มันทำเสียงในลำคอตอบกลับมา

“หรือไม่พอใจกันแน่” ผมใช้นิ้วชี้ลูบไปตามแนวคิ้วของมันช้าๆ “เป็นอะไรวะ ซัน”

“เปล่านี่” มันตอบทั้งๆที่ยังนอนหลับตาอยู่

“มึงโกหกกูอีกแล้ว” ผมไล่นิ้วมาจนถึงริมฝีปากบนของมัน “หึงกูกับพีทเหรอวะ” ผมถาม เพราะว่าตั้งแต่เจอกับพีทก็ดูมันเงียบๆท่าทางเหมือนไม่พอใจมาตลอด “กูเพิ่งจะเคยเจอเขาเองนะ แค่คุยด้วยนิดเดียวเอง”

ไอ้ซันขยับตัวเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่ยอมพูดอะไรอยู่อีกครู่หนึ่ง จนผมเอานิ้วจิ้มเข้าเข้าไปในปากของมัน มันถึงได้พูด

“เอาจริงๆ.......... ก็เปล่าหรอก” มันงับนิ้วผม

“อ้าว แล้วมึงเป็นอะไรล่ะ กูนึกว่ามึงไม่ชอบน้องเขาซะอีก เห็นนั่งมองหน้าน้องเขาเงียบมาตลอด”

“ก็ไม่เชิงหรอก กูแค่คิดอะไรนิดหน่อยน่ะ แต่มึงนั่นแหละ.......” มันลืมตาขึ้นจ้องผมเขม็ง แล้วเอามือมาจับมือของผมที่กำลังลูบใบหน้าของมันเอาไว้ “อย่าทำให้กูหึงก็แล้วกัน”

“อะไรของมึงเนี่ย” ผมหัวเราะ “กูจะไปทำอะไรแบบนั้นทำไม........” ผมบีบแก้มมันเบาๆ “มีแต่มึงนั่นแหละที่ทำกูหึงไปแล้วเรียบร้อย”

“อะไรนะ”

“ก็มึง...... กับไคล์นั่นแหละ” ผมลดเสียงลงและหันหน้าไปทางห้องน้ำ “จะบอกว่ากูไม่คิดอะไรเลยก็ไม่ใช่หรอกนะ ซัน”

ไอ้ซันมีสีหน้าและแววตาเคร่งเครียดขึ้นมาทันที “กูไม่เข้าใจ ก็ไหนมึงบอกกูว่ามึงจะไม่คิดม.........”

“กูพูดว่ากูจะ ‘พยายาม’ ไม่คิดมากอีก” ผมรีบแก้ “มันยากนะ แต่กูก็กำลังพยายามอยู่ทุกๆนาทีที่กูเห็นมึงหรือไคล์” ผมชักมือออกจากหน้าของมัน “มันไม่ง่ายหรอกซัน การที่กูต้องจินตนาการว่าคนที่กูรัก และรักมานานแล้ว ไปใช้เวลาอยู่กับคนอื่นๆน่ะ โดยเฉพาะตอนนั้นยิ่งเป็นช่วงที่กูกำลังคิดถึงมึงมากๆและโดดเดี่ยวสุดๆด้วยแล้ว........” ผมเบือนหน้าหนีสายตาของมัน “มันไม่ง่ายเลย.........”

ผมเกือบที่จะคาดหวังให้ไอ้ซันพูดอะไรตอบกลับมาสักอย่าง แต่ก็โชคดีที่ผมไม่ได้คิดอย่างนั้น เพราะไอ้ซันก็ไม่ได้พูดอะไรตอบกลับมาจริงๆ เสียงประตูห้องน้ำถูกเปิดออก ไคล์เดินออกมาพร้อมกับมองมายังเราสองคนด้วยแววตาสงสัยเล็กน้อย

“จะไปกันกี่โมงดีครับ” เขาถามขึ้นพลางเดินไปหยิบของใส่กระเป๋าสะพาย

“มึงนอนพักไปก่อนแล้วกันนะ ซัน” ผมพูดขณะที่ลุกขึ้นยืน “ตอนนี้บ่ายสองกว่าแล้ว เดี๋ยวกูกลับมา ประมาณสามโมงครึ่งก็แล้วกัน”

ทว่าไอ้ซันก็ยังคงไม่ตอบอะไรผมอยู่ดี มันนอนมองผมด้วยแววตาบางอย่างที่ผมไม่เข้าใจ มันเหมือนเป็นความเศร้าผสมกับความเหงา แต่เมื่อมองดูดีๆแล้ว มันก็ดูเป็นความกังวลใจเสียมากกว่า

“ถ้ามึงจะออกไปเดินเล่นหรือซื้อของ ราวๆสามครึ่งก็ไปเจอกันที่ร้านเดิมแล้วกัน” ผมพูด ไอ้ซันพยักหน้าช้าๆแล้วก็หันตะแคงข้างซุกตัวลงใต้ผ้าห่ม

เมื่อเห็นดังนั้นผมจึงหันไปหาไคล์และพยักหน้าเป็นทำนองว่าให้เขาเดินออกไปก่อนเดี๋ยวผมจะตามไป และเมื่อไคล์เดินออกจากห้องไป ผมก็เขยิบเข้าไปหาไอ้ซันที่กำลังนอนหันหลังให้ผมอยู่

“ซัน” ผมเรียก

“หืมม” มันตอบทั้งๆที่ยังไม่หันมามองผม

“กูรักมึง และไม่อยากจะเสียมึงไปนะ....... จริงๆ” ผมพูดขึ้นเบาๆ “แต่แค่กูจินตนาการว่ามึงไปมีความสุข ได้หัวเราะ ได้จับมือ หรือทำอะไรอย่างอื่นกับคนอื่น กูก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาในอกแล้ว” ผมจับตัวแขนมันเบาๆ “กูรู้ว่ามันงี่เง่า กูรู้ว่ามันไม่สมควรที่กูมัวแต่จะไปคิดถึงเรื่องในอดีตของมึง เพราะงั้นกูขอโทษก็แล้วกันนะ มึงอย่าคิดมากนะซัน”

“เปล่า กูไม่ได้คิดมากเรื่องนั้นหรอก” มันพูดพลางพลิกตัวหันมาหาผม “กูรู้ว่ามึงรักกู และมึงก็คงรู้แล้วว่ากูรักมึง เมื่อคืนกูพูดไปประมาณยี่สิบครั้งได้แล้วมั๊ง”

จริงอย่างที่มันพูด เมื่อคืนมันพูดว่ามันรักผมเยอะที่สุดในตลอดเวลาสี่ปีที่ผมรู้จักมันมาเลยทีเดียว ถ้าเอาคำว่ารักที่มันเคยบอกผมตลอดเวลาที่ผมรู้จักกับมันมานับรวมกันยังไม่มากเท่าเมื่อคืนนี้คืนเดียวเลยมั๊ง

“กูก็แค่เสียใจนิดหน่อยที่ได้ยินที่มึงพูดแบบนั้น แต่กูไม่ได้เป็นอะไรหรอก กูแค่เหนื่อยจริงๆน่ะ เมื่อคืนกูก็นอนไม่ค่อยหลับ และวันนี้กูก็คิดอะไรมากไปหน่อยน่ะ เลยเพลียๆ”

“มึงคิดอะไรล่ะ มึงก็บอกกูดิ่”

ไอ้ซันเงียบไปครู่หนึ่งเหมือนกำลังชั่งใจ “ที่มึงบอกว่ามึงเพิ่งรู้จักพีทน่ะ.......”

ผมพยักหน้า “อืมม”

“ไม่อ่ะ ไม่มีอะไรว่ะ เรื่องงี่เง่าๆธรรมดา มึงไปเหอะ เดี๋ยวไอ้ไคล์มันจะรอนาน”

“อ้าว” ผมร้อง “นี่ตกลงมึงคิดมากเรื่องพีทจริงๆเหรอเนี่ย” ใจนึงผมก็ดีใจที่มันหึงผม แต่อีกใจมันก็รู้สึกแย่และรำคาญใจเล็กน้อยที่มันต้องมานั่งคิดมากกับคนที่ผมเพิ่งจะคุยด้วยแค่ไม่กี่ประโยคแบบนี้

“ก็เปล่าหรอก....... ตอนนี้ยัง” มันตอบ ผมส่ายหน้าช้าๆ

“มึงอยากให้กูอยู่เป็นเพื่อนมั๊ย”

“ไม่ต้องหรอก กูอยากนอนน่ะ ถ้ากูนอนแล้วเดี๋ยวมึงก็ไม่มีอะไรทำอีก มึงไปเที่ยวเหอะ พรุ่งนี้จะได้พากูเที่ยวถูกไง” มันยิ้มให้ผมและเอามือมาเขย่าคางผมเบาๆ ผมนั่งมองหน้าของมันนิ่งๆอยู่อีกครู่หนึ่ง

“นี่กูกับมึงเป็นแฟนกันแล้วจริงๆใช่มั๊ยวะเนี่ย” ผมพูดขึ้นแบบอดสงสัยไม่ได้ “แบบว่า....... กูรู้สึกไม่อยากจะเชื่อเลยว่ะ” เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาสามสี่ปีของผมก็ไม่เคยมีเลยสักครั้งที่ผมกับมันจะพูดหรือแสดงอะไรหลายๆอย่างออกมาได้อย่างชัดเจนแบบนี้ ถ้าพูดให้ชัดเจนก็คือ เราไม่เคยทำตัวเหมือนเป็นแฟนกันได้เลยสักครั้ง

“นั่นสินะ” มันยิ้มกว้าง “เสียเวลามาตั้งนานแน่ะ”

ผมยิ้มแล้วพยักหน้า “เอาล่ะ กูไปดีกว่า เดี๋ยวไคล์จะรอนาน มึงนอนพักไปนะ แล้วเดี๋ยวกูกลับมา” ผมลุกขึ้นยืนแล้วนึกอะไรขึ้นมาได้อย่างหนึ่งจึงเดินไปเปิดกระเป๋าของตัวเองหยิบเอาสมุดเล่มหนึ่งออกมา สมุดเล่มที่ผมตั้งใจไว้ว่าอยากให้มันอ่านมานานแล้ว

ผมหันหลังให้ไอ้ซันแล้วนั่งคุกเข่าอยู่หน้ากระเป๋าของตัวเอง มือก็ถือสมุดเล่มนั้นไว้อยู่ด้วย สมองของผมเริ่มทำงานหนัก ชั่งใจถึงข้อดีและข้อเสียของการที่ผมจะมอบหนังสือเล่มนี้ให้กับมัน แต่สุดท้าย เรื่องบางเรื่องมันก็ใช้สมองและเหตุผลคิดไม่ได้ แต่ต้องใช้หัวใจต่างหาก.......... ผมอุตส่าห์หิ้วสมุดเล่มนี้มาด้วยถึงที่นี่เพราะอะไรกัน ถ้าไม่ใช่เพราะผมต้องการจะมอบให้กับมัน

“ซัน” ผมลุกขึ้นยืนและถือสมุดเล่มนั้นแน่นอยู่ในมือ ผมหันไปหามันที่กำลังนอนมองผมอยู่อย่างช้าๆ “กูก็มีสมุดเล่มนี้จะให้กับมึงเหมือนกัน” ผมเดินไปหามันแล้ววางสมุดของผมลงบนเตียง “มึงจะอ่านเลยหรือยังไม่อ่านก็เรื่องของมึง กูจะไม่บอกให้มึงอ่านตอนที่มึงพร้อมเหมือนที่มึงบอกกูหรอก” เมื่อผมพูดจบมันก็มีรอยยิ้มอายๆขึ้น “แต่กูขอแค่อย่างเดียว.......” ไอ้ซันมองตาของผมเขม็งรอคอยสิ่งที่จะพูดต่อไปอย่างตั้งใจ “ขอให้อ่านตอนกูไม่อยู่ใกล้ๆก็แล้วกัน”

“อายเหรอวะ” ไอ้ซันถือสมุดไว้ในมือแล้วหัวเราะเสียงดัง

“ก็เออดิ่ เอ้า เออ ขำเข้าไป ตาสว่างแล้วมั๊งน่ะ” ผมตบหัวมันเบาๆ “งั้นกูไปแล้วนะ มึงนอนไปก็แล้วกัน แล้วเดี๋ยวจะรีบกลับมา” พอพูดจบผมก็หันหลังเดินออกจากห้องไปทันที

ผมเดินออกมาเจอไคล์กำลังยืนคอยอยู่ไม่ไกลจากหน้าห้องพัก เมื่อเขาเห็นผมก็พยักหน้าให้ช้าๆพร้อมกับรอยยิ้มราวกับจะถามว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีมั๊ย ผมเองก็พยักหน้าและยิ้มตอบให้เขาไปเช่นเดียวกัน

เราสองคนเดินกลับไปตามทางเดิมจนถึงป้ายหยุดรถที่พีทบอกเราเมื่อตอนบ่าย ผมกับไคล์ยืนคุยเรื่องแผนที่ของเส้นทางเดินรถและจุดชมวิวที่เราแวะได้ตรงป้ายแผนที่ขนาดใหญ่ข้างๆกับป้ายรถ เวลาผ่านไปไม่นานรถชัตเติ้ลบัสสีขาวแถบเขียวแบบเดียวกับที่ผมเห็นเมื่อเช้าก็วิ่งเข้ามาจอด

“ตกลงไปไหนดี” ไคล์ถามผมเมื่อเราได้ที่นั่งด้านหลังสุดของรถบัส

“ไปแมเธอร์ พ็อยท์ ดีกว่า เพราะจากตรงนี้มันใกล้ที่สุดนี่นา” ผมชี้ไปที่รูปแผนที่ตรงเหนือราวจับของรถ “ว่าแต่หยิบกล้องมาด้วยรึเปล่า” ผมหันกลับไปถามไคล์

“แน่นอน” เขาล้วงเอากล้องดิจิตัลขึ้นมาจากกะเป๋ากางเกง

“ดีเลย แล้วเดี๋ยวถ่ายรูปเอาไปอวดไอ้ซันกัน ให้มันอิจฉาเล่น”

แมเธอร์ พ็อยท์เป็นจุดเปลี่ยนรถจากสายสีน้ำเงินเป็นสายสีเขียวที่จะพาเราไปเที่ยวในอีกเส้นทางหนึ่งได้ เมื่อถึงที่ป้ายรถคนบนรถทุกคนรวมทั้งเราสองคนก็ก้าวลงจากรถด้วย อากาศในยามบ่ายนี้ค่อนข้างจะร้อนเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน แต่ก็ร้อนเพราะแสงแดดมากกว่า สภาพอากาศจริงๆกลับค่อนข้างเย็นสบายและมีลมพัดมาเป็นระยะๆให้รู้สึกสบายตัวดีทีเดียว สิ่งนี้คงเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของสภาพอากาศในเมืองที่มีภูมิประเทศเป็นทะเลทรายและอยู่ในเขตสูงแบบนี้นี่เอง

พวกเราเดินตามกลุ่มคนไปตามทางเดิน บริเวณนี้มีการจัดตบแต่งให้มีลักษณะคล้ายกับสวนสาธารณะขนาดย่อมๆที่มีทั้งแผนที่ ข้อมูล แผนผัง ร้านหนังสือ และ ศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยวรวมอยู่ด้วย เราเดินผ่านฝูงคนไปตามทางเดินที่มีป้ายชี้ว่าไป แมเธอร์ พ็อยท์ พวกเราเดินกันประมาณห้านาทีก็มาถึงถนนใหญ่อีกสายหนึ่ง นี่คงเป็นถนนที่เลี้ยวขวาในทางแยกที่พวกเราเจอตอนก่อนที่จะไปเช็คอินเข้าที่พักแน่ๆ และเมื่อข้ามถนนเส้นนี้ไปก็พบกับจุดชมวิวทันที ผมกวาดสายตามองไปรอบๆและเห็นว่านอกจากจุดชมวิวตรงหน้าของผมแล้วยังมีอีกหลายๆจุดทางด้านซ้ายมือให้เราสามารถเดินไปสำรวจได้

“ไปกันเถอะ” ไคล์บอกผมแล้วออกเดินนำหน้าไปยังราวจับที่คงมีไว้เพื่อกันคนตกหน้าผาลงไปนั่นเอง “สุดยอดเลย” ไคล์ร้องขึ้นด้วยความประทับใจแล้วหยิบกล้องดิจิตอลออกมาถ่ายรูปที่อยู่ตรงหน้า ผมเดินตามหลังไคล์แล้วไปหยุดอยู่ข้างๆเขา

“โอ้โห” ผมอุทานเมื่อมองเห็นความยิ่งใหญ่เบื้องหน้า ภาพของสิ่งที่ปรากฏอยู่ในสายตาของพวกเราก็คือความสวยงามและยิ่งใหญ่ของแกรนด์แคนยอนอย่างแท้จริง สิ่งที่พวกเราเห็นอยู่นี้เป็นจุดที่สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์โดยรวมได้ทั่วเกือบทั้งหมดทีเดียว แนวของหินผาที่เกิดจากการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกก่อให้เกิดความงามและความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติอย่างที่มนุษย์ไม่สามารถสร้างขึ้นได้

ผมสังเกตเห็นว่าด้านล่างของแกรนด์แคนยอนนั้นมีทางเดินเล็กๆแคบๆแต่ยาวมากกระจายอยู่ทั่วไปหมด

“นั่นอะไรน่ะ” ผมชี้ออกไปยังทางเดินเหล่านั้น “ใช่ทางเดินหรือเปล่า”

“น่าจะใช่นะครับ” ไคล์ตอบ “น่าจะเป็นเส้นทางเดินที่ใช้ไฮค์ลงไปข้างล่าง”

“แต่นั่นมันก็ยังไม่ข้างล่างนี่ ใช่มั๊ย” ผมสังเกตเห็นว่าจากพื้นเรียบๆที่เห็นเบื้องล่างนี้ยังมีรอยแยกและหน้าผาอีกมากมายอยู่ลิบๆตา “นั่นใช่แม่น้ำโคโรลาโดรึเปล่า” ผมเหยียดแขนชี้ออกไปจนสุด

“ใช่จริงๆด้วย ไกลน่าดูเลยแฮะ”

“ไกลชิบหาย แล้วใครมันจะไปเดินไหววะเนี่ย”

“ชิบหายแปลว่าอะไรน่ะ” ไคล์หันมาถามผม

“อ๋ออ เอ่อ คำไม่สุภาพน่ะ อย่าไปใส่ใจเลย ขอโทษที” ผมรีบตอบเพราะไม่อยากให้เขาจำคำแบบนี้ไปพูดกับแม่และคนไทยคนอื่นๆโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ “อย่าเอาไปพูดกับแม่ของตัวเองรึพ่อแม่ของซันเชียวล่ะ” ผมกำชับ

“ครับ” เขาหัวเราะ “อยู่กับซันกับศิลาแล้วผมไม่รู้คำศัพท์ที่สองคนคุยกันเยอะเลย แต่ว่าผมก็พอฟังประโยคโดยรวมออกนะ แปลว่ามันก็คงเป็นคำไม่สุภาพเหมือนกันใช่มั๊ย”

“เอ่อออ อืมก็ ประมาณนั้นแหละ”

“ตกลงไกลชิบหายแปลว่าอะไรล่ะ ถ้าผมเดา มันคงแปลว่า ‘ไกลมาก’ รึเปล่า”

“ใช่แล้ว” ผมตอบ “ก็ดูสิ แค่เดินไปจนสุดขอบทางที่เป็นเหมือนสามเหลี่ยมที่ยื่นๆออกมานั่นก็แย่แล้ว แต่ถ้าตรงนั้นมันยังไม่ใช่ล่างสุดแต่ยังลงไปได้อีกล่ะก็ ถ้าให้พี่เดินขนาดนั้นล่ะก็ตายแน่”

“ก็ไม่แน่นา ทำไมถึงคิดว่าตัวเองทำไม่ได้ล่ะ ยังไม่แก่สักหน่อย”

“ไอ้ยังไม่แก่น่ะมันก็ใช่” ผมหัวเราะ “แต่ขาพี่มันไม่ค่อยดีแล้ว หมอเคยบอกไว้ว่าไม่ให้ใช้หัวเข่ามากน่ะ ตั้งแต่อุบัติเหตุคราวก่อน”

“จริงเหรอ” ไคล์มีสีหน้าตกใจ “แล้วที่เล่นบาสเก็ตบอลกับผมวันนั้น.........”

“ไม่เป็นไรหรอก ถ้าไม่โหมมากก็ไม่เป็นอะไร” ผมตอบพลางยกหัวเข่าขวาขึ้นมาแล้วเอามือลูบเบาๆ “ดีขึ้นเยอะแล้วล่ะ ผ่านมาตั้งปีนึงแล้วนี่ แต่ถ้าให้วิ่งมากๆ หรือกระโดดนานๆ ก็อาจจะไม่ไหวเหมือนกัน ไม่รู้เหมือนกันสินะ ไม่ได้เจ็บมานานแล้วด้วย อาจจะหายดีแล้วก็ได้มั๊ง”

“ซันรู้หรือเปล่า” ไคล์ถาม

“อืมมม ไม่หรอก” ผมตอบ นึกไปถึงปีก่อนที่ผ่านมา ผมแทบไม่ได้คุยกับมันเลยจริงๆ มีหลายอย่างเหลือเกินที่มันไม่รู้เกี่ยวกับผมและผมไม่รู้เกี่ยวกับมัน “ไม่เคยบอกมันเลยน่ะ เพราะคิดว่าตัวเองหายดีแล้วด้วย เลยไม่ได้ซีเรียสอะไรมาก” แต่จริงๆแล้วสิ่งที่ผมยังไม่ได้บอกไคล์อีกอย่างนั่นก็คือข้อเท้าซ้ายของผมต่างหาก หลังจากที่ออกจากโรงพยาบาลแล้ว สิ่งที่เป็นผลร้ายตามหลังมาจากอุบัติเหตุครั้งนั้นก็คือหัวเข่าขวาและข้อเท้าซ้ายของผม ทว่าอาการเจ็บปวดทั้งหลายนั้นก็หายขาดไปจากผมหมดแล้วเกือบจะพร้อมๆกัน

อย่างน้อยผมก็อยากจะคิดว่าอย่างนั้น ถ้าไม่นับว่าบางครั้งในตอนกลางคืนผมต้องตื่นขึ้นมากลางดึกพร้อมกับฝันร้ายว่ามีอาการเจ็บที่ข้อเท้าอันเกิดจากจิตใต้สำนึกของผมนั่นเอง แต่ว่าตั้งแต่ผมย้ายมาอยู่กับครอบครัวของซันผมก็ไม่เคยฝันแบบนั้นอีกเลย

“แบบนี้ก็ไปไฮค์กิ้งไม่ไหวน่ะสิ” ไคล์พูดขึ้น

“ก็ไม่แน่นะ คนอื่นเขาทำได้ทำไมพี่จะทำไม่ได้ พี่ก็พูดไปงั้นเองแหละน่า ถ้าให้เดินก็ไหวอยู่แล้วล่ะ แค่นี้เอง........” ผมมองลงไปยังเบื้องล่าง “และลองคิดดูสิว่าถ้าได้เดินลงไปสัมผัสกับแกรนด์แคนยอนของจริงแบบนั้นไม่ใช่แค่มามองเห็นด้วยตาจากที่ไกลๆแบบนี้มันจะรู้สึกดีขนาดไหน” ขณะนี้ผมและไคล์คุยโต้ตอบกันเป็นภาษาอังกฤษตลอดแล้ว

“นั่นสินะ” ไคล์พยักหน้าเห็นด้วย

“แต่ก็นั่นแหละ จะได้ไปรึเปล่าก็ไม่รู้ ต้องถามไอ้แสบนั่นก่อนอยู่ดีนั่นล่ะ” ผมหัวเราะขึ้นเบาๆ “ไคล์เองล่ะอยากไฮค์รึเปล่า”

“นั่นสินะ........” ไคล์มองหน้าของผม “เวลาก็มี รองเท้าก็มี ผมว่าก็น่าสนใจดีนะ”

“อืมมม นั่นสิ ที่เหลือก็รอดูสภาพอากาศ ถ้าฝนไม่ตก หิมะไม่ตกก็น่าจะเหมาะกับการไฮค์ดี แต่ยังไงก็เถอะ ตัวแปรที่สำคัญสุดก็คงเป็นไอ้ซันอยู่ดีนั่นแหละ”

“ทำไมล่ะ” ไคล์ถาม

“ก็......” ผมหันไปสบตากับไคล์ “ไม่รู้สิแฮะ เพราะมันเป็นมันล่ะมั๊ง ทั้งเอาใจยาก ทั้งเรื่องมาก เดาใจยากจะตาย”

ไคล์พยักหน้าช้าๆ แล้วก็ออกเดินไปตามทาง “ลองไปที่นั่นดูกันดีกว่าครับ” เขาชี้ไปที่หน้าผาด้านหน้าที่ยื่นออกไปและถูกทำเป็นจุดชมวิวอีกจุดหนึ่ง ผมเดินเคียงคู่ไปกับไคล์ผ่านผู้คนมากมายที่ทั้งหยุดถ่ายรูปและพูดคุยชื่นชมกับความยิ่งใหญ่ตรงหน้า

“แต่ซันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่พี่คิดเสมอไปก็ได้นะ” ไคล์พูดขึ้นขณะที่เรากำลังเดินไต่ลงไปตามพื้นหินที่ต่างระดับ

“หือ ว่าไงนะ” ผมถามเพราะได้ยินที่เขาพูดไม่ชัด

“ผมพูดว่า ซันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่พี่คิดเสมอไปก็ได้” ไคล์หยุดยืนอยู่ที่ริมรั้วและเหม่อมองออกไปยังเบื้องหน้า “เพราะอย่างน้อยตอนที่ซันอยู่กับผม ผมก็ไม่เห็นว่าเขาจะเอาแต่ใจหรือเป็นอย่างที่พี่บอกเลย”

“หมายความว่ายังไง” หัวใจของผมเริ่มเต้นรัวขึ้นและเร็วขึ้นเมื่อได้ยินคำว่า “อยู่ด้วยกัน” มันอาจจะไม่ใช่ในความหมายที่ผมกำลังคิดอยู่ก็ได้ แต่เป็นเพราะเรื่องที่ไอ้ซันบอกผมเมื่อคืนทำให้ผมคิดไปถึงว่าเขาเคยคบกันอยู่จริงๆ

“ก็ไม่มีอะไรหรอก ผมก็แค่คิดว่า หนึ่งปี ที่ศิลากับซันไม่ได้คุยไม่ได้เจอกัน ซันเขาอาจจะเปลี่ยนแปลงไปโดยที่พี่เองไม่รู้ตัวก็ได้” ไคล์หันมาหาผมช้าๆ “ปีนึงนี่มันก็นานนะ ถ้าคนเรามันจะเปลี่ยนไปผมว่าก็ไม่ยากเลย และอย่างพี่เองก็ยังไม่เคยบอกซันเรื่องที่เจ็บหัวเข่าเลยนี่นา ซันเองก็คงมีหลายเรื่องที่พี่ไม่รู้เช่นกัน ใช่มั๊ยล่ะ”

ผมเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นมันเป็นความจริง ผมเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าเวลาหนึ่งปีนั้นมันนานมาก ผมเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าความน่าเกรงกลัวที่แท้จริงก็คือการที่ผมรู้ถึงความจริงทั้งหมดนี้แต่กลับทำเป็นละเลยมันไป แต่สิ่งที่ผมไม่รู้นั่นก็คือ ตลอดเวลาหนึ่งปีมานี้สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปในตัวของไอ้ซันนั้นคือเรื่องอะไรกันบ้าง

แต่คนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของผมนี้รู้...... และท่าทางจะรู้อะไรหลายๆอย่างมากกว่าผมเยอะเลยเสียด้วย

“แล้วตกลงมันหมายความว่ายังไงกันแน่” ผมพูดออกไปเบามากเสียจนผมเองยังแทบไม่ได้ยินคำพูดของตัวเอง ลมที่พัดกรรโชกพัดพาเอาจิตใจและความนึกคิดของผมปลิวหายไปเสียหมด

“ผมนึกว่าพี่รู้อยู่แล้วเสียอีก” ไคล์พูดแข่งกับเสียงลมที่พัดแรงขึ้นๆเรื่อยๆ ผู้หญิงที่ยืนถ่ายรูปอยู่ด้านหลังไคล์ต้องรีบเอามือจับหมวกบนศีรษะของตัวเองไว้แน่นเพื่อไม่ให้มันปลิวหลุดไป ผู้ชายคนข้างๆก็เอามือป้องหน้าของตนเอาไว้เพื่อสู้กับลมที่กำลังพัดเข้าตา คนหลายคนรอบข้างเราเริ่มมีทีท่าวิตกและแปลกใจกับลมที่จู่ๆก็พัดแรงขึ้นเรื่อยๆ

“รู้ว่าอะไรกัน” ผมถามออกไป สายลมเริ่มพัดอย่างรุนแรงจนทำให้เสื้อของผมกระพือจนเกิดเสียงดัง ผู้คนเริ่มมองหน้ากันล่อกแล่กและพยายามเอามือจับเสื้อผ้าและเครื่องประดับของตัวเองเอาไว้ไม่ให้มันปลิวไปตามแรงลม คู่รักบางคนก็เริ่มกุมมือกันแล้วเดินออกจากหน้าผาแห่งนี้ไป แต่ผมกับไคล์ยังคงยืนมองหน้ากันอยู่ไม่สนใจกับสภาวะรอบตัวเลยแม้แต่นิดเดียว

“ผมเข้าใจว่าซันบอกพี่แล้วเสียอีก..........” ไคล์เอามือเสยผมสั้นๆสีน้ำตาลเข้มของเขาช้าๆ “ซันกับผม........ เราเคยคบกันอยู่ช่วงหนึ่ง”


หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 02-09-2007 09:04:39
รูปอาจจะเล็กไปหน่อยนะคับ


(http://img472.imageshack.us/img472/6196/image148pz9.jpg)

(http://img129.imageshack.us/img129/4711/image158ti1.jpg)

วิวที่ทั้งสองคนเห็นและรูปที่ไคล์ถ่ายคับ (ฮา) แหมเสียดาย ถ่ายเอาความงามมาได้ไม่หมด


(http://img59.imageshack.us/img59/9063/image151so6.jpg)

จุดชมวิวนั่นไง คนเยอะเหมือนกันแฮะ


(http://img117.imageshack.us/img117/9571/image156qe5.jpg)

ตกไปล่ะมึงเอ๊ยยยย ฮาน่าดู


(http://img521.imageshack.us/img521/7596/image174rd6.jpg)

ม้านั่งความในใจ...........

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 02-09-2007 10:15:55
หุหุ ความลับไม่มีในโลก  :m27:  :m27:  :m27:

ปล. ทายถูกด้วยวุ้ย  :a2:    :a2:  ขอบอกว่าไม่ใช่เดาส่ง ๆ นะค้า (ได้ทีรีบคุยใหญ่  :laugh:) เดาแบบมีหลักนิด ๆ อ่ะ  :a14:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 02-09-2007 11:41:58
ว๊าๆๆ    :try2:   ตอบผิด อดได้ของฝากจากแดนไกลโรย    o16

แม๋ๆ... ซินก้อแค่.. คิด ก่าตอบเล่นๆเจ๋ยๆ     :m3:
เผื่อว่า... น้องทึ่ม มาอ่าน แย้ว...อยากจะคิด รุกขึ้นมามั่ง คิคิ     :m23:

เจ้ย............ อย่ามองซินอย่างน้านนนนนน...   :o
นี่ๆ ไม่ได้ชี้โพรง อะไรโรยนา.... เจงจิ๊งงงงงงงงงงงงง....    :m19:


เง้อ.. เมฆเอา สมุดไดอารี่ ให้ซันอ่านแล้วเหรอ..
เหมือนจะ เข้าใจกันได้ ใน ระดับนึงนะ   :m1:

แต่ ไหง๋มาทิ้งท้าย ที่ไคล์ พูดอะไร ล่ะเนี่ย..... เอิ้ววววว...   :o
ซัน กะ ไคล์เคยคบกัน ....    o22

งำงัมๆๆ  ทำไม มัน...เห็นแวว....เส้าๆ  มาใกล้ๆแย้วล่ะเนี่ย?     :m16:



หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 02-09-2007 12:39:14
คำถามแปลกแหวกแนว ที่ถามนี่เพราะสงสัยอะไรอยู่หรือปล่าว
 :m20: :m20: :m20:

เดาเลือกไม่ถูกเลยแหะ ว่าสองคนจะตัดปัญหาต่างๆออกไปได้อย่างไร
 :a3: :a3: :a3:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 03-09-2007 00:08:18
 :m15: :m15: :m15:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 03-09-2007 10:05:40
ตอนที่ 26


“ผมขอถามพี่อย่างนึงตรงๆเลยก็แล้วกันนะ..........” ไคล์พูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แต่จากนั้นแววตาของเขาก็ฉายแววเสียใจออกมา “ผม...... ผม ไม่น่าพูดเรื่องนี้เลย” เขาเบือนหน้าไปทางอื่นและยืนหันหลังให้กับทิศที่ลมพัดมา

“พูดออกมาเถอะ ถามมาได้เลย” ผมพูดออกไปทั้งๆที่มือของผมกำลังสั่นเทา ถึงแม้ผมจะทำใจรับรู้และยอมรับกับเรื่องราว ณ ตรงจุดนี้เอาไว้แล้ว แต่เมื่อมันมาถึง ผมกลับรู้สึกว่าหัวใจของผมเต้นแรงไม่เป็นจังหวะและรู้สึกไม่พร้อมรับมือกับมันเอาเสียเลย

“คือ..... ผมว่าไม่ดีกว่า” เขาหันหลังให้กับผม แต่แล้วก็หันหลับมาหาผมอีกครั้ง “ผมไม่อยากจะทำให้เรื่องมันแย่ลงไปกว่านี้หรอก” เขาสบตากับผมแล้วพูดออกมา คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย

“เรื่องอะไรล่ะ....... เรื่องที่ว่าไคล์เคยคบกับซันน่ะเหรอ”

เขานิ่งเงียบ ซึ่งผมถือว่ามันแทนคำตอบว่า ใช่

“ใช่ เขาเคยบอกพี่แล้ว เมื่อคืนนี้เอง” ผมตอบออกไป แต่ทว่าจริงๆแล้วผมโกหก......... ไอ้ซันไม่ได้บอกผมว่ามันเคยคบกับไคล์เลยแม้แต่ครั้งเดียว และไม่ใครคนใดคนหนึ่งนี้ก็ต้องโกหกผมเช่นเดียวกัน เพราะผมจำคำพูดของไอ้ซันเมื่อคืนนี้ได้อย่างแม่นยำทีเดียว

”กูไม่ได้คิดกับมันเกินคำว่าน้องชายจริงๆ กูไม่เคยคบกับมัน กูไม่ได้ทำอะไรแบบที่คนรักเขาทำกัน......”

“เพราะฉะนั้นอยากจะพูดอะไรก็พูดออกมาเถอะครับ พี่รับฟังได้ทุกอย่างแหละ” ผมตอบออกไปโดยพยายามควบคุมน้ำเสียงให้ฟังดูเป็นปกติที่สุด “พี่เข้าใจนะ......”

“ไม่หรอก พี่ไม่เข้าใจ” ไคล์พูดขึ้น เสียงของลมที่พัดโหมกระหน่ำเริ่มจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ “ผมเคยพูดไปแล้วนี่ว่าพี่ไม่เข้าใจหรอก”

“งั้นก็อธิบายมาสิ” ผมพูดออกไปอย่างอ่อนแรง “ถ้าอย่างนั้นก็อธิบายอะไรสักอย่างออกมาสิ พูดอะไรออกมาก็ได้ อย่าทำให้กูดูเป็นคนโง่อยู่คนเดียวที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรจะได้มั๊ย” ผมพูดออกมาอย่างเหลืออดและทรุดตัวลงนั่งบนก้อนหินก้อนใหญ่ท่ามกลางผู้คนที่เดินผ่านกันไปมา

“เราไปหาที่เงียบๆกว่านี้คุยกันเถอะ” ไคล์พูดขึ้นหลังจากที่เราสองคนนิ่งเงียบกันไปพักหนึ่ง

ผมและไคล์เดินออกมาจากผาแห่งนั้นและเดินไปยังตามทางเดินจนไปถึงเก้าอี้ยาวที่ทำจากท่อนไม้ตัวหนึ่งที่ค่อนข้างอยู่ไกลจากผู้คนพอสมควร

“อย่าเข้าใจผมผิดนะ” ไคล์พูดขึ้น “ผมรักซันก็จริง แต่นั่นมันก็ผ่านไปแล้ว ไม่เกี่ยวอะไรกับในตอนนี้เลย” เขาเงียบเสียงลงรอให้ผมพูดอะไรขึ้นมาก่อน แต่ผมก็ไม่รู้จะพูดอะไรออกไปจริงๆ ในตอนนี้ผมอยากจะเป็นผู้ฟังเพียงอย่างเดียวมากกว่า ถึงแม้ว่าผมเองก็จะยังไม่มั่นใจว่าผมอยากจะรับฟังมันหรือเปล่าก็เถอะ “แต่ว่ามันก็มีสิ่งหนึ่งที่ยังคงคาใจผมมาตลอด” ไคล์หันมาสบตาของผมอีกครั้ง

“แล้วมันคืออะไรล่ะ” ผมถามออกไปเมื่อเห็นว่าเขานิ่งเงียบรอให้ผมเป็นฝ่ายเริ่มถามอยู่นาน

“ทำไมพี่ถึงมาที่อังกฤษ” ไคล์ถามด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “ทำไมต้องมาเรียนต่อที่นั่น และทำไมถึงต้องมาอาศัยอยู่ที่บ้านของซัน”

เมื่อได้ยินสิ่งที่ไคล์ถาม ผมเองก็ถึงกับต้องชะงัก ถึงแม้ว่าคำตอบของคำถามนั้นจะเป็นที่แน่นอนมานานมากแล้วสำหรับผม ผมมีคำตอบและเหตุผลที่ดีพอมารองรับคำถามของใครๆได้เสมอไม่ว่าจะเป็น เพราะผมต้องพักรักษาตัวนานทำให้เอ็นทรานซ์ไม่ทัน เพราะผมอยากออกมาเผชิญชีวิตด้วยตัวเอง เพราะผมเคยมีญาติมาเรียนต่อที่นี่แล้วเขาแนะนำผมมา เพราะพ่อแม่ของไอ้ซันอยากให้ผมมาพักด้วยเมื่อทราบว่าผมจะเดินทางมา หรือแม้แต่เพราะว่าผมอยากจะพบกับไอ้ซันอีกครั้ง...... แต่ทว่าผมรู้ได้ด้วยสัญชาติญาณทันทีว่าคนที่ถามคำถามผมแบบนี้ ในช่วงเวลาแบบนี้นั้นคงไม่ได้อยากจะฟังความจริงอื่นๆนอกเสียจากความจริงที่เขาอยากได้ยินเท่านั้นเอง

“ถ้าไคล์อยากได้ยินคำตอบอะไรจากพี่ พี่ก็คงต้องตอบแบบเดียวกับที่ไคล์กำลังคิดอยู่นั่นแหละครับ” ผมพูดออกไปด้วยความรู้สึกเหนื่อยใจ

“หมายความว่ายังไงกัน”

“ก็หมายความอย่างที่ไคล์คิดนั่นแหละ” ผมถอนหายใจ “ถ้าไคล์คิดว่าการที่พี่มาที่นี่ก็เพียงเพื่อมาหาไอ้ซันล่ะก็ มันก็เป็นความจริง พี่ไม่ปฏิเสธและโกหกหรอก”

“แค่นั้นเองน่ะหรือ......”

“ก็....... คงแค่นั้นมั๊ง” ไคล์มองผมด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่าไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินไป ผมส่ายหน้าเบาๆแล้วถอนหายใจอีกครั้ง “พี่มาเรียนที่อังกฤษก็เพราะว่าพี่มาได้น่ะ พ่อของพี่ก็สนับสนุนให้มาเพราะว่าญาติของพี่ก็เคยมาเรียนที่นั่น แล้วพอเขารู้ เขาก็ยิ่งเห็นดีเห็นชอบด้วยใหญ่ ถ้าเรื่องที่พัก บอกตรงๆตอนแรกพี่ก็ไม่ได้คิดจะพักที่บ้านของไอ้ซันหรอก แค่นี้พี่ก็รู้สึกเกรงใจครอบครัวของมันจะแย่อยู่แล้ว แต่พอพ่อกับแม่ของซันรู้ พวกท่านก็คุยกับพ่อของพี่แล้วก็ตัดสินใจกันว่าให้มาพักอยู่ด้วยกันน่าจะดีที่สุด” ผมอธิบายโดยที่ไม่คิดเลยว่าจะสามารถโน้มน้าวให้ไคล์เชื่อสิ่งที่ผมพูดออกไปได้ แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจอีกแล้ว ไม่ว่าเขาจะเชื่อผมหรือไม่ก็ตาม

“ผมรู้” เขาพยักหน้า “ผมก็แค่อยากได้ยินออกมาจากปากของพี่เท่านั้นเอง”

“รู้งั้นเหรอ........” ผมสบตากับเขาอีกครั้ง “รู้จากไหนกัน”

“จากซันนั่นล่ะ” ไคล์ก้มหน้า “เขาเคยบอกเหตุผลให้ผมฟังหมดทุกอย่างแล้วตั้งแต่ก่อนที่พี่จะมาเสียอีก”

ความเงียบเข้าปกคลุมเราทั้งสองคนอีกครั้ง ถึงในใจผมมันจะมีคำถามมากมายก่อตัวขึ้นอยู่ภายในอก แต่ว่าความกลัวที่จะรับรู้ความจริงนั้นมีมากยิ่งกว่า ผมจึงได้แต่นั่งเงียบรอให้ไคล์เป็นฝ่ายพูดอะไรออกมาบ้างเท่านั้น อะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เขาเคยคบกับซัน เรื่องราวที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน เรื่องอะไรก็ได้จริงๆ..........

“ไคล์เคยคบกับซันอย่างนั้นจริงๆสินะ” ในที่สุดผมก็พูดมันออกไป ผมประสานมือเข้าหากันแน่น

“ใช่ และผมก็คิดว่าเขาบอกพี่แล้วเสียอีก”

“ใช่ เขาบอกพี่แล้ว เมื่อคืนนี้.......”

“ผมก็คิดอยู่แล้ว”

“แต่เขาบอกว่า เขาไม่เคยคบกับไคล์........”

ไคล์เงยหน้าขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “เขาพูดแบบนั้นเหรอ”

“ใช่” ผมพยักหน้าช้าๆ “คนหนึ่งบอกว่าเคยคบกัน อีกคนบอกว่าไม่เคย แล้วพี่ควรจะเชื่ออะไรดีล่ะ”

ไคล์หน้าเสียขึ้นมาทันที แววตาของเขาฉายแววปวดร้าว เขาเอามือมาบีบไหล่ผมเบาๆ “ศิลา ผมขอโทษ ผมไม่ได้อยากจะทำให้พี่ไม่สบายใจหรอกนะ” เขาเขยิบเข้ามานั่งใกล้ผมมากขึ้น “แต่ผมขอถามพี่อีกคำถามเดียว”

ผมพยักหน้าตอบช้าๆ

“มันสำคัญสำหรับพี่มั๊ย ที่จะต้องรับรู้เรื่องราวในอดีตทุกอย่างของคนที่พี่รัก มันสำคัญมั๊ยว่าถ้าพี่จะคบกับใครสักคนแล้วพี่จำเป็นต้องรื้อฟื้นเรื่องราวทั้งหมดของเขาออกมา มันจะมีผลต่อความรักที่พี่มีให้เขามาตลอดเวลาหรือเปล่า”

ผมเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าช้าๆ เมฆที่จับตัวเป็นกลุ่มก้อนใหญ่อยู่เบื้องบนลอยผ่านหน้าพระอาทิตย์ที่กำลังสาดแสงแรงกล้าไปอย่างรวดเร็วเพราะกำลังลมที่ยังคงพัดโหมอยู่อย่างรุนแรง ท้องฟ้าสีครามใสก็ทำให้ผมนึกถึงใบหน้าของมันในยามหลับ ผมชอบมองใบหน้าของมันยามที่มันนอนหลับจริงๆ เพราะนั่นคือช่วงเวลาที่ผมคิดว่าท้องฟ้าสีครามของผมนั้นสงบและสวยงามมากที่สุดแล้ว

“ไม่ ไม่สำคัญหรอก” ผมตอบ “ตราบเท่าที่เขาไม่ได้โกหกอดีตของตัวเองเพื่อทำให้ตัวเองต้องสบายใจและทำให้คนที่รักเขาต้องเจ็บปวดและทรมานกับความหลอกลวง มันอาจจะฟังดูน่าฟังน่าเชื่อถือแต่จริงๆแล้วมันคือพิษร้ายที่ทำลายความเชื่อใจของคนสองคนนะ”

ไคล์ดึงมืออกจากบ่าของผมทันที ดูท่าว่าเขาจะไม่สามารถหาคำพูดอะไรออกมาพูดได้อีก

“พี่ต้องการจะมีความรักที่อยู่บนฐานของความจริงใจต่อกัน ไม่จำเป็นว่าพี่ต้องรู้ทุกๆอย่างเกี่ยวกับมันในช่วงที่พี่ไม่ได้อยู่กับมันหรอก แต่มันเกี่ยวกับการที่พี่สามารถรู้ความจริงในเรื่องราวที่มันอยากถ่ายทอดให้พี่รู้ในสิ่งที่พี่พลาดไปในช่วงเวลาหนึ่งปีนั้นออกจากปากของมันเองด้วยความเต็มใจ และสิ่งเหล่านั้นล้วนต้องเป็นความจริง ไม่ใช่คำโกหกที่พูดออกมาเพียงเพื่อทำให้ทั้งมันและพี่สบายใจแค่เพียงชั่วครู่ชั่วคราว” ผมพูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เข้าใจที่พูดมั๊ย”

ไคล์พยักหน้าออกมาช้าๆ “ผมต้องขอโทษพี่ด้วยจริงๆที่ทำให้ไม่สบายใจ พี่ลืมๆเรื่องที่ผมพูดไปซะก็แล้วกันนะครับ มันไม่สำคัญหรอก แค่พี่.......”

“ไม่ ไคล์ มันสำคัญสำหรับพี่” ผมพูดขัดขึ้น “บอกความจริงออกมาเถอะ ตกลงไคล์กับซันเคยคบกันใช่มั๊ย ที่ซันมันบอกว่าไม่เคยคบกันนั้น มันโกหกพี่ใช่มั๊ย”

ไคล์จ้องหน้าของผมอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงส่ายหน้าช้าๆ “ซันไม่ได้โกหกหรอก........ เราไม่เคยคบกันจริงๆ”

“แต่ทำไมไคล์ถึง......... นี่ไคล์จะบอกว่าไคล์เป็นฝ่ายโกหกอย่างนั้นเหรอ”

“ไม่ใช่” เขาส่ายหน้า “ผมเองก็ไม่ได้โกหกเหมือนกัน”

ผมมองหน้าของไคล์ด้วยความสับสน “นี่มันหมายความว่ายังไงกันแน่ พี่ไม่เข้าใจ”

“ใช่แล้ว พี่ไม่เข้าใจหรอก” ไคล์พูดช้าๆ “ผมรักซัน พี่ก็รู้ใช่มั๊ย ผมทำทุกอย่างให้แก่เขา ผมสนิทกับเขามากจนผมเองก็คิดว่าเขาก็คงรักผมเช่นเดียวกัน แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย ผมมารู้ทีหลังว่าคนที่เขารักนั้นมีอยู่แค่เพียงคนเดียวไม่ว่าจะในอดีตหรือในตอนไหนๆ ผมเองก็เสียใจนะ แต่ถึงอย่างไรความรักของผมมันก็เป็นความรักที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วไม่ว่าจะในความหมายไหนๆหรือด้วยเหตุผลใดๆ ผมก็เลยตัดใจเสีย..........” ไคล์ถอนหายใจ ในแววตาของเขาฉายแววความเศร้าที่เจ็บปวดออกมาอย่างชัดเจน “ผมคงคิดไปเอง ว่าในช่วงเวลาที่ผมมีความสุขที่ได้อยู่กับซันมากๆนั้นเป็นช่วงเวลาที่ผมกับเขาคบกันด้วยความรู้สึกที่มากกว่าคำว่าพี่ชายและน้องชาย..........” เขาเบือนหน้าหนีไปจากผมและก้มหน้าลงมองที่เท้าของตัวเอง “ผมถึงกล้าพูดว่าไม่มีใครเข้าใจความรู้สึกของผมตรงนี้หรอก ศิลา พี่เองก็พูดว่าพี่เข้าใจ แต่จริงๆแล้วพี่เข้าใจแน่หรือเปล่า กับคนที่ทั้งได้รัก และถูกรักมาตลอดเวลาอย่างพี่น่ะ ถึงแม้จะมีปัญหาเรื่องระยะทางและความไม่เข้าใจกัน แต่ว่าพี่ก็ยังคงรักกันอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนและอยู่ห่างไกลกันเพียงใด แต่ผมนี่สิ ผมที่ไม่เคยถูกรักอย่างจริงใจ ผมที่เป็นได้แค่น้องชายที่มอบความรักให้คนเป็นพี่อย่างสุดหัวใจและไม่มีวันจะสมหวัง..... มันก็เท่านั้น” น้ำใสๆเริ่มหยดออกมาจากดวงตาของเขา ไคล์เงยหน้าขึ้นสบตากับผมอีกครั้ง นัยน์ตาสีเขียวของเขาเมื่อมีน้ำตามาหล่อลื่นยิ่งดูเป็นประกายกว่าในทุกๆครั้ง แต่หากก็เป็นประกายที่ดูแล้วช่างน่าเศร้าใจเสียจริง

ผมกลืนน้ำลายและความรู้สึกผิดทั้งหลายลงในลำคอ จริงอยู่ที่ผมคงไม่เข้าใจกับความรู้สึกตรงนั้นของเขาได้ แต่ทว่า............

“ผมเองก็ไม่เข้าใจความรู้สึกของพี่และซันหรอก” ไคล์พูดขึ้น เขาเอามือปาดน้ำตาช้าๆและส่งยิ้มออกมาให้กับผม........ หรือบางทีเขาอาจจะยิ้มให้แก่ตัวเองมากกว่า “ขอโทษทีนะ” เขาหัวเราะแห้งๆ “ไม่น่าเป็นแบบนี้เลย ให้ตายสิ”

“พี่ขอโทษ” ผมไม่รู้จะพูดอะไรออกไปได้มากกว่านั้น

“ไม่หรอก ไม่เห็นต้องขอโทษนี่ พี่ไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย ผมเองต่างหากที่ยังมัวแต่คิดอะไรแบบเด็กๆ ใช่ ผมเองก็ไม่เข้าใจความรู้สึกของคนที่รักกันแต่ต้องอยู่ห่างกันและไม่สามารถแม้แต่จะบอกว่ารักกันได้นั้นว่าเป็นอย่างไรหรอก......... แต่ผมรู้อยู่เพียงแค่อย่างเดียว” ไคล์เอื้อมมือมาจับหัวเข่าของผมแล้วบีบมันเบาๆ “ผมรู้ว่า ‘ความรัก’ นั้นเป็นอย่างไร....... และเชื่อผมเถอะนะ ผมไม่อยากจะให้คนที่ผมรักต้องเจ็บปวดหรอก”

ผมเชื่อว่าคนที่เขาบอกว่าคนที่เขารักนั้นหมายถึงซัน ไม่ใช่ผม แต่เท่านี้ก็คงเพียงพอแล้ว เหลือเพียงแค่สิ่งเดียวที่ยังคงคาใจผมอยู่

“ไคล์ยังรักซันอยู่ใช่มั๊ย” ผมถามออกไปขณะที่ไคล์กำลังลุกขึ้นยืน

เขาก้าวเดินออกไปช้าๆสองสามก้าวแล้วเหยียดตัวตรง จากนั้นก็หันมายิ้มเศร้าๆให้แก่ผม “แล้วมันยังไม่ชัดเจนอีกหรือ”

ตอนนั้นผมยังคงไม่รู้ตัวว่ารอยยิ้มของไคล์ในวันนี้นั้นจะเป็นรอยยิ้มที่ผมไม่มีวันลืมเลือนไปจากหัวใจเลยทีเดียว



หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 03-09-2007 11:25:59
น่าสงสารไคล์ แต่อย่างน้อยก็ดีที่พูดมันให้หายค้างคา
จะได้เดินต่อไปเสียที
 :m15: :m15: :m15:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ~prince™~ ที่ 03-09-2007 11:34:01
ไม่มีคำบรรยายใดๆในตอนนี้ :o12:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 03-09-2007 13:34:27
 :m15: :m15: :m15:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 03-09-2007 14:37:26
 :m17:    เศร้าแบบอึดอัด เนอะ 

 “ตราบเท่าที่เขาไม่ได้โกหกอดีตของตัวเองเพื่อทำให้ตัวเองต้องสบายใจและทำให้คนที่รักเขาต้องเจ็บปวดและทรมานกับความหลอกลวง มันอาจจะฟังดูน่าฟังน่าเชื่อถือแต่จริงๆแล้วมันคือพิษร้ายที่ทำลายความเชื่อใจของคนสองคนนะ”
^
^
^
โฮกกกส์!~    :o7:   
หมดคำพูด      :sad4:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 03-09-2007 19:27:15
 :m8:  :m8:  :m8:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ninaprake ที่ 03-09-2007 22:24:36
..... เศร้าจัง .....  :m15: .... น่าสงสารคนที่รักเค้าบ้างเดียวและไม่วันที่จะสมหวังจริงๆ .... แต่ก็นะ เรื่องของความรักเป็นเรื่องที่เลือกหรือบังคับกันไม่ได้แหละ  :undecided:

ยังเชียร์เมฆกะซันอยู่เสมอครับ ดีใจมากเลยนะ ที่ท้ายที่สุดแล้ว ซันไม่ได้โกหกเมฆ ....  :impress:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 03-09-2007 23:37:55
สงสารไคล์นะ
แต่ก็ยังไม่อยากให้ซันกะเมฆมีมือที่สามอ่ะจ้ะ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 04-09-2007 10:53:48
วันนี้จะไปส่งไปฉะนีแล้วคับ ขออีกคนหลังไมที่อยู่มาด่วน ใครมาก่อนได้ก่อน
เดี๋ยวไอ้ต้นจะกลับหอไปเช็คหลังไมตอนประมาณบ่ายๆจากนั้นจะออกไปส่งให้เลย
ต้นเห็นที่อยู่ใครคนแรกคนนั้นได้ของฝากจากต้นไปเลยนะคับ แต่ระบุด้วยว่าอยากได้โปสการ์ดสะอาดๆหรือว่าอยากได้แบบมีสแตมป์แปะเน้อ

 o14
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 04-09-2007 15:09:34
ส่งไปแล้วนะคับ ให้ไอ้ทึ่มเขียนให้ส่งให้ ส่วนไอ้ต้นละเลงรูปอยางเดียว  o13

รูปที่ตั้งใจะให้คุณติ๊ปมันเหมือนกับรูปที่ผมแปะไปเลยอ่ะ ผมเลยเปลี่ยนเป็นรูปอื่นแทนนะคับ

ได้รับแล้วก็บอกกันด้วยหนา

 o14

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 04-09-2007 15:16:11
ตอนที่ 27


“ถ้าดูแลซันได้ไม่ดี ระวังผมจะมาแย่งไปก็แล้วกัน” ไคล์พูดแล้วหัวเราะ ขณะที่เรากำลังจะขึ้นรถกลับไปยังที่พักกัน

หลังจากที่ชมวิว ถ่ายรูป และพูดคุยกันจนพอใจแล้วพวกเราก็ตัดสินใจกลับไปยังที่พักก่อนที่จะช้าเกินไปและอาจทำให้ไอ้ซันเป็นห่วง รถสายที่เรานั่งนั้นก็ยังคงเป็นสายสีน้ำเงินเช่นเดิม แต่ก่อนที่จะเดินกลับไปยังป้ายหยุดรถ พวกเราก็แวะอ่านดูข้อมูลของแกรนด์แคนยอน เซาธ์ริม และ ข้อมูลของจุดชมวิวต่างๆรวมไปถึงเทรลล์ หรือทางเดินสำหรับไฮค์ในแต่ละที่อีกด้วย

แกรนด์แคนยอนนั้นจริงๆแล้วกว้างใหญ่มากสมตามชื่อของมัน ดังนั้นจึงถูกแบ่งออกเป็นสองริมใหญ่ๆนั่นก็คือ เซาธ์ริม และ นอร์ธริม ที่ๆพวกเรามาพักนั้นก็คือเซาธ์ริม อันเป็นส่วนที่มีนักท่องเที่ยวและมีชื่อเสียงมากที่สุด จากข้อมูลบอกว่าเซาธ์ริมนั้นครอบคลุมความยิ่งใหญ่ของแกรนด์แคนยอนเอาไว้ได้แค่หนึ่งในสี่เท่านั้นเอง ผมจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมที่นี่ถึงถูกขนานนามว่า “แกรนด์” และยังเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ของโลกอีกด้วย

“ไอ้ซันน่าจะมาด้วยนะ” ผมพูดขึ้นเมื่อรถเริ่มเคลื่อนตัว

ไคล์หันมามองหน้าผมแล้วขมวดคิ้วน้อยๆ “ถ้ามาแล้วเราจะได้คุยกันเหรอ”

“ไม่ใช่ๆ หมายถึงว่า น่าจะมาได้เห็นวิวได้ถ่ายรูปพร้อมๆกันน่ะ”

“ก็นั่นน่ะแหละ”

“เอ้อ ช่างเถอะ ยังไงก็เอาไว้ค่อยพามันไปเที่ยวอีกทีก็แล้วกัน”

“อื้มม” ไคล์พยักหน้าเห็นด้วย

พวกเราสองคนนั่งเงียบกันไปตลอดทาง ผมเฝ้าคิดถึงแต่คำพูดของไคล์ เขายังคงรักไอ้ซันอยู่ เขายังคงรักไอ้ซันอยู่ เขายังคงรักไอ้ซันอยู่.......... ประโยคๆนี้มันก้องกังวานอยู่ในหัวของผมตลอดเวลา ถึงไคล์จะพูดว่ามันไม่มีผลอะไรกับปัจจุบันตอนนี้แล้วก็ตาม ถึงแม้เขาจะพูดว่าเขารู้ตัวว่าเขาควรจะทำตัวและรู้สึกเช่นไร แต่ว่าความกังวลใจของผมมันก็ยังคงมีจนผมคิดว่าตัวเองคงผิดปกติอะไรสักอย่างไปแล้วถึงได้ยังคงมีความรู้สึกไม่เชื่อใจไคล์เล็กๆอยู่ตลอดเวลา

“ป้ายนี้หรือเปล่า” ไคล์ถามขึ้นก่อนที่รถจะชะลอความเร็วลง

“อืมม ใช่ๆ” ผมและไคล์เดินลงจากรถจากนั้นก็ข้ามถนนไปยังแคนย่อน คาเฟ่ หรือ ยาวาพาย คาเฟทีเรีย ที่พวกเราเพิ่งมานั่งกันเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนนี้เอง

“ตอนนี้ก็สามโมงสิบห้าพอดี ซันกลับห้องไปก่อนก็แล้วกันนะครับ เดี๋ยวผมขอเดินดูที่ร้านขายของที่ระลึกนี่ก่อนก็แล้วกัน” ไคล์พูดขึ้นเมื่อเราเดินผ่านบริเวณหน้าร้านขายของ

“ได้สิ แล้วเดี๋ยวจะรออยู่ที่ห้องก็แล้วกันนะ หรือว่าจะให้มาเจอกันที่ร้านอาหารนี่ดี”

“อืมมม ตอนเย็นจะออกไปไหนกันอีกรึเปล่าล่ะครับ จะออกไปดูพระอาทิตย์ตกกันรึเปล่า”

“ไปสิ ไคล์ก็ไปด้วยสิ จะไม่ไปเหรอ”

“อืมมม จริงๆก็อยากไปนะ แต่ว่าเอาไว้วันอื่นดีกว่า ยังมีเวลาอีกเยอะแยะ พี่ไปดูกับซันสองคนเถอะครับ แต่ตอนนี้ผมขอเดินดูของหน่อยแล้วเดี๋ยวอีกประมาณครึ่งชั่วโมงค่อยไปเจอกันที่ห้องก็แล้วกัน”

“ถ้าอย่างนั้นก็โอเค” ผมพยักหน้าให้ไคล์แล้วจึงเดินแยกออกมา

ในขณะที่ผมเดินอยู่คนเดียวผมกลับมีความรู้สึกสบายใจและขอบคุณไคล์อย่างไรบอกไม่ถูกที่เขาเปิดโอกาสให้ผมได้อยู่คนเดียวแบบนี้บ้าง และจากความรู้สึกนั้นเองที่ทำให้ผมคิดได้ว่าไคล์เองก็คงอยากจะอยู่คนเดียวบ้างเช่นกัน แถมเขายังเปิดโอกาสให้ผมได้ไปดูพระอาทิตย์กับซันสองคนด้วย ผมเดินไปก็คิดถึงไอ้ซันไป ไม่รู้ว่าตอนนี้มันจะตื่นหรอยัง มันกำลังทำอะไรอยู่ และมันจะอ่านสมุดที่ผมให้กับมันไปหรือยังนะ

ผมเดินไปหยุดอยู่หน้าประตูห้องของตัวเองแล้วเกิดอาการลังเลที่จะเคาะประตูเรียกให้ไอ้ซันมาเปิดให้ เพราะภายในเวลาแค่สองวันนี้มันมีอะไรหลายอย่างมากมายเหลือเกินที่ผมได้รับรู้และต้องคิด และเรื่องทั้งหมดก็ล้วนมีมันเป็นจุดศูนย์กลางทั้งสิ้น ผมสะบัดหัวเบาๆสลัดความคิดทั้งหมดทิ้งไปเสีย ผมสัญญากับมันไว้แล้วนี่ ว่าผมจะไม่คิดมาก ผมจะพยายามไม่คิดมาก ไม่ว่าจะในเรื่องอะไร และไม่ใช่เพื่อใคร แต่หากทั้งหมดนั้นมันเพื่อตัวของผมเอง

“ซัน เปิดประตูหน่อย” ผมเคาะประตูห้องเบาๆสองสามครั้ง แต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมา หรือว่ามันจะยังไม่ตื่น เมื่อคิดดังนั้นผมก็รีบเคาะประตูหนักขึ้นอีก “ไอ้ซัน ตื่นรึยัง”

ผมเริ่มรู้สึกใจไม่ดี ถ้าเกิดมันดันนอนขี้เซาขึ้นมาแล้วไม่ลุกมาเปิดประตูให้ผมล่ะ นี่ผมต้องยืนรอมันจนกว่ามันจะตื่นอย่างนั้นหรือ ทำไมผมถึงไม่เอากุญแจไปกับตัวด้วยนะ

“ไอ้ซัน” ผมเรียกเสียงดังขึ้นพร้อมกับเคาะประตูแรงขึ้นและถี่ขึ้น “ยังหลับอยู่อีกเหรอมึง ตื่นได้แล้ว ไอ้สัตว์”

“อะไรมึง” ไอ้ซันเปิดประตูออกมาพร้อมใบหน้ายิ้มแย้ม “กลัวล่ะสิมึง หล็อนเลยใช่มั๊ย คิดว่ากูยังหลับอยู่ล่ะสิ”

“ตลกมากนะมึง” ผมผลักประตูออกกว้างแล้วเดินเข้าไปในห้อง

“อ้าว ไคล์ล่ะ” ไอ้ซันชะโงกหน้าออกไปนอกห้องแล้วหันซ้ายหันขวามองหาไคล์

“ยังไม่กลับ เขาขอไปเดินดูของหน่อย เดี๋ยวก็มา” ผมเดินเข้าไปเปิดก๊อกน้ำในห้องน้ำแล้วก้มหน้าลงไปดื่ม “ว่าแต่มึงตื่นนานรึยัง นอนหลับสบายดีมั๊ย” ผมเงยหน้าขึ้นมาส่องกระจกจากนั้นก็ก้มหน้าลงไปกวักน้ำมาล้างหน้าล้างตา เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ไอ้ซันก็ยืนอยู่ด้านหลังของผมแล้ว

“เฮ้ย” ผมร้องด้วยความตกใจและตั้งท่าจะหันไปด่ามัน แต่ไอ้ซันกลับขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นและโอบตัวผมจากทางด้านหลัง

“กูอ่านสมุดเล่มนั้นแล้วนะ”มันซุกหน้าลงบนซอกคอของผมเบาๆ

“มึง มึงอ่านแล้วเหรอ” ผมถามด้วยความประหลาดใจและรู้สึกกังวลเล็กน้อย

“อืมม กูขอบใจมึงมากนะเมฆ” มันพูดลงในซอกหูของผม

“เอ่อ คือ กู......” ผมพูดอะไรไม่ออก รู้แต่ว่าตัวเองกำลังเขินมาก ในที่สุดมันก็ได้รู้แล้วว่าตลอดเวลาสามปีที่ผมอยู่กับมันมาในช่วงมัธยมปลายผมรู้สึกอย่างไรกับมันบ้าง และที่สำคัญ ความรู้สึกของผมที่มีต่อมันหลังจากที่ผมฟื้นขึ้นมาในโรงพยาบาลและรู้ว่ามันได้จากผมไปแล้วนั้นเป็นยังไง

“มึงไม่ต้องพูดอะไรหรอก เมฆ.....” ไอ้ซันกระชับวงแขนเพื่อกอดผมแน่นขึ้นอีก “กูขอพูดแทนก็แล้วกัน......” มันเกยคางลงบนบ่าของผมแล้วจับตัวผมโยกเบาๆ “กู......... ล้อเล่นว่ะ จริงๆกูยังไม่ได้อ่านหรอก” มันระเบิดเสียงหัวเราะออกมาแล้วก็รีบกระโดดหนีผมด้วยความรวดเร็ว

“ไอ้สัตว์!” ผมสบถเสียงดังแล้วรีบวิ่งไล่ตามหลังมันออกจากห้องน้ำทันที เมื่อเห็นดังนั้นมันที่รีบวิ่งหนีไปกระโดดขึ้นเตียงก็เอาหมอนมาถือเอาไว้ในมือเตรียมทำท่าขว้างเต็มที่ ผมหยุดยืนอยู่ปลายเตียงแล้วจ้องหน้ามันนิ่ง

“ตลกมากนะมึง เล่นเป็นเด็กๆเลยนะ” ผมพูดอย่างไม่ค่อยพอใจ เอามือกอดอก

“กูล้อเล่นน่า อย่าซีเรียสดิ่” ไอ้ซันวางหมอนลงข้างๆตัว “แล้วตกลงมึงเขียนอะไรไว้วะ ทำไมต้องเขินขนาดนั้นด้วย” มันค่อยๆคลานมานั่งขัดสมาธิอยู่ที่กลางเตียง

“กู..... ไม่ เอ่อ......” ผมยกมือขึ้นเกาคางตัวเองเบาๆเพราะความเขิน “กู ไม่รู้เว้ย ถ้ามึงอยากรู้มึงก็ต้องอ่านเองดิ่ อ่านแล้วก็รู้เองนั่นแหละ”

ไอ้ซันยื่นมืออกมาให้ผมจับ “มานี่”

“ทำไม” ผมยืนเอามือเท้าสะเอว “มึงจะทำไม”

“ไม่ทำไมหรอก ก็แค่อยากกอด เมื่อกี๊นอนคนเดียว ไม่สบายตัวเลยว่ะ” มันทำหน้าเซ็งๆ

“นี่กูถามจริง” ผมเขยิบเข้าไปใกล้มันมากขึ้น “มึงเมาบรรยากาศเหรอวะ หรือนี่หนีไปแอบแดกเหล้ามา รึมึงเบลอใบสน มึงผีฝรั่งเข้าเหรอ ที่ห้องนี้มีผีสิงเหรอวะเนี่ย มึงเป็นห่าอะไรของมึงเนี่ย พูดจาขนลุกชวนอ้วก ไม่ใช่มึงเล้ย”

“พูดมากนะมึง มานี่เลย” ไอ้ซันพุ่งมาดึงตัวผมลงไปบนเตียงทันที ผมถูกแรงดึงกระชากให้กลิ้งลงไปทับอยู่บนตัวของมันบนเตียง ไอ้ซันรีบพลิกตัวขึ้นมาคร่อมผมเอาไว้อย่างรวดเร็ว

“มึงจะเล่นอะไรทะลึ่งๆอีกแล้ว” ผมร้องออกมาแต่คราวนี้ผมไม่ได้ดิ้นหรือออกแรงฝืนอีกเลย

“เปล่า ไม่ได้เล่น” ไอ้ซันพูดเบาๆแล้วก็ค่อยๆเลื่อนตัวลงไปนอนอยู่ข้างๆผมแต่ยังคงเอาแขนก่ายผมเอาไว้ “กูรักมึงจริงๆ”

“นี่มึงผีเข้าจริงๆใช่มั๊ยเนี่ย” ผมขมวดคิ้ว ผงะศีรษะออกมาแล้วหันไปสบตากับมันตรงๆ

แต่ผิดจากที่คาด แทนที่มันจะต่อปากต่อคำกับผมต่อ มันกลับชะโงกหน้าเข้ามาจูบผมอย่างดูดดื่ม มันเอามือข้างที่กอดผมไว้เลื่อนขึ้นมาประคองที่ศีรษะของผมแล้วก็ค่อยๆลูบหัวของผมช้าๆอย่างเบามือ เมื่อมันถอนปากออกไปผมยังถึงกับต้องประหลาดใจ

“ซัน นี่มึง........”

มันส่งยิ้มกว้างให้แก่ผม แล้วก็พยักหน้าช้าๆ

“นี่มึง........... แปรงฟันด้วยเหรอเนี่ย โห ไอ้ห่า เตรียมตัวพร้อมเลยเชียวนะ” ผมพูดขึ้นเสียงดังแล้วก็ลุกขึ้นยืน “แถมยังแข็งอีกต่างหาก” ผมชี้ไปที่กางเกงของมัน

แวบหนึ่งที่ไอ้ซันมีสีหน้าประหลาดใจฉายแววขึ้นแต่จากนั้นมันก็หัวเราะออกมา

“จับผิดกูจังนะ ไอ้ตัวดี ตอนแรกกูก็คิดว่ามึงจะพูดอะไรซะอีก ไอ้เหี้ยเอ๊ยย มึงทำกูเสียเส้นอีกแล้วนะ” มันลุกขึ้นมานั่งอยู่ตรงขอบเตียง

“อะไรอีกล่ะ กูผิดอีกงั้นสิ มึงนั่นแหละไอ้ตัวแผนสูง มีการแปรงฟันไว้รอกูเลยเชียวนะ”

ซันลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงเข้ามาหาผม มันพลิกตัวผมให้หันหลังหามันจากนั้นก็สวมกอดผมเบาๆแต่ก็แนบแน่น

“อีกนานมั๊ยกว่าไคล์จะมา”

“กูก็ไม่รู้เหมือนกัน ทำไมวะ”

มันซุกหน้าลงบนบ่าของผมจากนั้นก็เริ่มโยกตัวเบาๆ “กูอยากแสดงความรักกับมึงไง....... แค่สิบห้านาทียี่สิบนาทีก็คงพอมั๊ง”

“ไอ้ทะลึ่ง” ผมหัวเราะ แต่ไอ้ซันกลับเดินถอยหลังแล้วลากผมไปกับมันด้วย ผมถูกแรงดึงของมันฉุดลงไปนอนอยู่บนเตียงอีกครั้ง

“ใครบอกมึงว่ากูทะลึ่ง” มันกอดผมเอาไว้แน่นแล้วชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ซอกคอของผม “กูแค่ทะลึ่งมากๆต่างหาก”ไอ้ซันค่อยๆลากลิ้นจากซอกคอของผมขึ้นมาจนถึงติ่งหูจากนั้นก็งับใบหูของผมเข้าไปทั้งใบพร้อมกับตวัดลิ้นเล่นด้วย

“ไอ้ซัน อย่า” ผมร้องออกมาด้วยเสียงกระเส่า “มะ มึงจะเอา จริง...... เหรอเนี่ย......” ผมพยายามบิดตัวหนีเพราะความเสียวแต่ก็ไม่พ้น

“กูรักมึงนะเมฆ มึงอย่าทิ้งกูไปไหนนะ” มันกระซิบเข้าที่ใบหูของผม ผมจึงหันหน้าไปเผชิญหน้ากับมันแล้วจ้องตากับมันอยู่ครู่หนึ่ง

แทนคำตอบ ผมชะโงกหน้าเข้าไปจูบกับมันแทน เราแลกลิ้นกันนานมากจนผมรู้สึกได้ถึงความแข็งเกร็งของอวัยวะส่วนนั้นของมันที่ดุนอยู่ที่หน้าขาของผม

“มึงพร้อมมานานแล้วสินะ” ผมหัวเราะเบาๆแล้วเอามือไปบีบของมันเบาๆ

“พร้อมตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอมึงอีกครั้งแล้ว” มันโถมตัวเข้ามาหาผมจากนั้นก็เริ่มต้นไซร้ไปตามทุกส่วนของร่างกายของผมอย่างแผ่วเบา

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 04-09-2007 15:23:20
ตอนที่ 28


ซันค่อยๆผลักตัวผมให้นอนหงายลงบนเตียงส่วนมันก็คร่อมตัวผมเอาไว้จากทางด้านบน มันเอาหน้าซุกลงมาที่ซอกคอของผมแล้วก็สูดลมหายใจเข้าแรงๆ

“ภาวนาให้ไคล์มันกลับมาช้าๆหน่อยก็แล้วกัน” มันพูดเบาๆในซอกคอของผม

ทันใดนั้นความคิดบางอย่างก็กระแทกผมเข้าอย่างจัง

“ซัน หยุด!” ผมพูดเสียงเด็ดขาดและดันตัวมันออกไป มันเองก็มีท่าทีตกใจเช่นกัน

ผมลุกขึ้นนั่งมองหน้าของมันอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็หลบสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของมัน มันเองก็ดูจะรู้ว่าผมมีเรื่องไม่สบายใจได้ในทันที แต่ว่าแม้แต่ผมเองก็ยังไม่แน่ใจเลยว่าผมเป็นอะไร และเกิดอะไรขึ้นข้างในใจของผม

“กูว่าเราไม่ควรทำแบบนี้” ผมพูดออกไปในที่สุด

“มึงเป็นอะไร เมฆ” ซันถาม แล้วเอื้อมมาจะจับมือของผม แต่ดูเหมือนมันจะคิดได้ว่ามันไม่ควรทำ มันจึงชักมือกลับไป

“กู...... กูขอโทษว่ะ กูก็ไม่รู้กูเป็นอะไรเหมือนกัน” ผมส่ายหน้าเบาๆ

ไอ้ซันหันหน้าหนีไปทางอื่นพักหนึ่งก่อนจะหันกลับมาหาผม “มึงบอกกูได้มั๊ย ว่ามึงคิดอะไรอยู่” มันถาม

“เอาจริงๆนะ กูก็ไม่รู้ว่ะ คือ กูรู้แหละว่ากูคิดเรื่องอะไร แต่กูก็ไม่รู้ว่ากูคิดอะไรอยู่จริงๆกันแน่ มึงเข้าใจมั๊ยวะ....... กูว่ามึงไม่เข้าใจหรอก” ผมขบกรามของตัวเบาๆเพราะหงุดหงิดความคิดของตัวเอง

“ลองให้กูเดาดูมั๊ยล่ะ กูว่ามึงคิดเรื่องของกูกับไคล์ ใช่มั๊ย” ซันถอนหายใจเบาๆแล้วมีสีหน้าเหมือนไม่ค่อยพอใจ “แต่มึงรู้ว่ามึงไม่ควรจะคิด และมึงก็รู้ด้วยว่ามึงเชื่อใจกู แต่มึงก็ยังสับสน มึงเลยไม่รู้ว่ามึงจะคิดอะไรดีทั้งๆที่ในหัวของมึงมันก็มีแต่เรื่องนี้เท่านั้น กูพูดถูกรึเปล่า”

ผมถึงกับอึ้งและเงยหน้าขึ้นมามองหน้ามันตรงๆ มันพูดถูกทุกอย่าง มันพูดถูกทุกอย่างเลย นี่มันสามารถรู้ใจรู้ความคิดผมได้ถึงขนาดนี้เลยหรือ และมันเองก็คงเห็นสีหน้าประหลาดใจของผมด้วยเช่นเดียวกัน

“ไม่ต้องแปลกใจหรอก อย่างแรกก็คือ กูคบกับมึงมานานแค่ไหนแล้ว อย่างที่สองก็คือ มึงเป็นคนแบบนี้นี่เองแหละ เมฆ............ มึงมั่นคงเหมือนดั่งศิลา แต่ก็อ่อนไหวและเปราะบางเหมือนอย่างก้อนเมฆ” มันจ้องตาผมเขม็งและมันก็คงเห็นความประหลาดใจในแววตาของผมที่ยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปอีก เพราะนั่นเป็นประโยคที่ผมเขียนบรรยายความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ในสมุดเล่มนั้น

“ใช่แล้วเมฆ กูอ่านสมุดของมึงแล้ว” มันเอื้อมมือออกมา ผมคิดว่ามันจะกุมมือของผมแต่จริงๆแล้วมันดึงตัวผมเข้าไปกอดอย่างแรงและแนบแน่น “กูรักมึงจริงๆเมฆ กูก็อยากให้มึงรู้เหมือนกัน กูขอบใจมึงจริงๆที่มึงเขียนบันทึกเล่มนั้นเอาไว้ กูขอบใจจริงๆที่มึงคิดจะมอบมันให้กู และกูก็ขอบใจจริงๆที่กูกับมึงได้กลับมาพบกันใหม่แบบนี้อีกครั้ง” ไอ้ซันเริ่มสะอื้นเล็กน้อย ผมรู้สึกได้เลยว่ามันกำลังเริ่มต้นร้องไห้เบาๆขณะที่พูดไปด้วย

และผมเองก็เช่นกัน น้ำตาของผมมันเริ่มไหลออกมามากขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าเพราะความดีใจหรือเสียใจ แต่ที่ผมรู้แน่ๆก็คือผมกำลังร้องไห้และก็รัดวงแขนของผมเข้ากับตัวของมันให้แน่นขึ้นอีก

“กูไม่รู้จะทำยังไงนะเมฆ เพื่อให้มึงรู้ว่ากูรักมึง เพื่อให้มึงเชื่อใจกู กูไม่รู้จะทำยังไงให้มึงรู้ว่าตลอดเวลาที่มึงเจ็บปวด กูก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน กูขอยอมรับว่ากูมันเห็นแก่ตัวที่ทำตัวแบบนั้น และกูก็คงไม่ขอให้มึงให้อภัยกูด้วยกับสิ่งที่กูทำลงไป กูไม่เคยรู้เลยเมฆ ว่ามึงรู้สึกกับกูมากมายขนาดนั้น กูไม่เคยรู้เลยจริงๆว่ามึงรักกูมากยิ่งกว่าที่กูเคยคิดเสียอีก” ไอ้ซันสะอื้นเบาๆ คำพูดของมันขาดห้วงเป็นพักๆ “กูเองก็รักมึงมาตลอดเหมือนกัน มึงก็รู้ และกูเองก็จะยังรักมึงมากขึ้นอีกด้วยนับแต่วันนี้เป็นต้นไป กูจะไม่มีวันเลิกรักมึงเลย มึงจะเชื่อกูได้มั๊ย” มันดันตัวเองออกแล้วจ้องหน้าของผม

น้ำตาที่ไหลอาบแก้มของมันเป็นทางบอกให้ผมรู้ว่าคำพูดของมันนั้นเต็มไปด้วยความหมายอย่างที่มันสื่อออกมามากแค่ไหน ผมเอาแขนเสื้อปาดน้ำตาของตัวเองเบาๆแล้วก็ยิ้มกว้างให้มันเท่าที่ผมจะยิ้มได้

“ขี้แยนะมึง ร้องไห้ขี้มูกโป่ง ไม่อายมั่งหรือไง” ผมเอามือไปปาดน้ำตาของมันด้วยเบาๆ “กูรักมึง ซัน อย่างที่มึงรู้นั่นแหละ กูรักมึงมานานแล้ว และก็จะรักตลอดไปด้วย”

มันหัวเราะออกมาเบาๆ

“มึงก็ร้องไห้ไม่ใช่รึไง” มันยิ้มและเอานิ้วมาปาดหยดน้ำตาที่หางตาของผมออก “เมฆ กูขอร้องมึงล่ะนะ มึงอย่าคิดมากเรื่องกูกับไคล์จะได้มั๊ย กูไม่สามารถแก้ไขอดีตได้ และกูก็ไม่ขอให้มึงยกโทษเรื่องของกูเมื่อในอดีตด้วย ในทุกๆเรื่องเลย แต่กูอยากให้มึงเชื่อใจกูในเรื่องของอนาคต และอยากให้มึงให้โอกาสกูได้พิสูจน์ตัวกูเอง ว่าในใจของกูนั้นแท้จริงแล้วมันเป็นยังไง”

ผมนั่งนิ่งค่อยๆฟังและกลั่นกรองสิ่งที่มันกำลังพูดให้ผมฟังช้าๆจนเมื่อมันพูดจบ ผมมองหน้าของมันอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงค่อยพูดออกมา

“วันนี้ที่กูไปกับไคล์......” ผมเงียบลงอีกครั้ง ตัดสินใจว่าผมควรจะพูดมันออกไปดีมั๊ย แต่สุดท้ายความจริงที่ว่าผมมีอะไรอยู่ในใจผมก็มักจะพูดออกไป มันก็เอาชนะความคิดอื่นๆไปจนได้ “ไคล์กับกูคุยกันเรื่องของมึง”

ซันนั่งเงียบรอให้ผมพูดต่อ

“สิ่งเดียวที่กูคิดว่ากูกังวลใจมากที่สุดก็คือสิ่งที่ไคล์บอก แต่มึงไม่ได้บอกกู” ผมพูด

“มึงหมายความว่ายังไง” ซันมีสีหน้าไม่เข้าใจและกระวนกระวายใจไปพร้อมๆกัน

“สิ่งที่ไคล์บอกกูก็คือ เขาบอกกูว่ามึงกับเขาเคยคบกันแบบแฟน แต่มึงกลับไม่ได้บอกกูแบบนั้น ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ มึงทั้งคู่ต่างก็บอกกูนั่นแหละ แต่บอกไม่ตรงกันเท่านั้นเอง”

ไอ้ซันมีสีหน้าเหมือนเพิ่งโดนหมัดฮุคเข้าที่ปลายคาง

“ไคล์บอกมึงว่ากูเคยคบกับมันเป็นแฟนงั้นเหรอ” มันทำสีหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อ

ผมพยักหน้าช้าๆ “ใช่ เขาบอกกูแบบนั้น แต่ว่า.......” ผมรีบพูดคำว่าแต่ ก่อนที่ไอ้ซันจะได้อ้าปากพูดอะไรออกมาอีก “แต่เขาบอกว่าเขาคงเข้าใจผิดไปเองว่าความสัมพันธ์ในตอนนั้นคือความสัมพันธ์แบบแฟนก็ได้ เขาพูดประมาณว่าเขาอาจจะแค่คิดไปเองอยู่คนเดียวและมึงไม่ได้คิดเหมือนกับเขา”

ไอ้ซันหุบปากที่เพิ่งอ้าออกมาลงและส่ายหน้าเบาๆ

“มึงส่ายหน้าทำไม” ผมถาม

“กูรู้สึกผิดน่ะสิ กูทำให้มึงเสียใจยังไม่พอ แต่กูก็ยังทำให้ไอ้ไคล์มันทั้งเสียใจและเข้าใจผิดอีกด้วย”

“นี่มึงหมายความว่ามึงไม่เคยพูดกับไคล์ตรงๆว่าตอนนั้นมึงเป็นแฟนกันจริงๆอย่างนั้นใช่มั๊ย” ผมถามเพื่อต้องการจะยืนยัน

“ใช่ กูไม่เคยพูดแบบนั้น กูยืนยันได้ กูเองพยายามพูดทุกอย่างให้มึงเข้าใจไปหมดแล้ว แต่กูก็ไม่คิดว่ามันจะสำคัญกับมึงมากขนาดนี้ กูขอโทษ และกูก็ขอยอมรับว่ากูไม่คิดว่าสิ่งที่กูกับไคล์เคยผ่านกันมามันจะสำคัญอะไรอีกแล้ว เพราะว่า......” มันก้มหน้าไปพักหนึ่งจากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมามองที่ตาของผม “เพราะตอนนี้กูมีมึงกลับมาแล้ว และถ้าจะพูดว่ามันเป็นทางเลือก กูก็พูดได้เลยว่ากูเลือกมึง”

ผมยอมรับว่าเมื่อได้ยินอย่างนั้นผมก็รู้สึกดีใจและก็อายพอๆกันด้วย คนที่ไม่ค่อยพูดอย่างไอ้ซันยอมเปิดปากพูดออกมาขนาดนี้ ผมรู้ว่ามันหมายความว่าแบบนั้นจริงๆและมันก็ทำให้ผมแทบจะลืมเรื่องที่ผมข้องใจคาใจเกือบทั้งหมดไปหมดเลยทีเดียว

“แต่ยังมีอีก” ผมพูดออกมาเบาๆ “เรื่องนี้กูว่าก็ไม่รู้ว่ากูควรจะรู้สึกยังไงจริงๆนั่นแหละ กูรู้สึกแย่แทนไคล์น่ะ ซัน มึงเข้าใจมั๊ย กูสงสารเขานะ แต่อีกใจนึงกูก็สารภาพตรงๆว่ากูก็ไม่ไว้ใจเขาด้วยเหมือนกัน.......”

“แล้วมึงไว้ใจกูมั๊ยล่ะ” ไอ้ซันถามผมกลับทันที

ผมมองหน้ามันนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงใช้เวลาตัดสินใจนานกว่านี้อีกราวๆสามถึงห้าวิ แต่วันนี้ ตอนนี้ หลังจากผมเงียบไปราวๆสองวิผมก็ตอบออกมาได้ทันที

“กูไว้ใจมึง”

“ขอบใจมาก เมฆ นั่นมีความหมายสำหรับกูมาก เพราะอย่างนั้นกูก็จะขอตอบแทนมึงด้วยการที่กูจะไม่มีวันหักหลังความไว้วางใจที่มึงมีให้กูเด็ดขาด แค่นั้นพอมั๊ย” มันถามผม

“ซัน...... กูรู้ว่ากูไว้ใจมึง และกูก็รู้ว่ามึงก็ทำตัวให้กูไว้ใจได้ แต่มันไม่ใช่แค่นั้น ยังมีไคล์อีก ไม่ใช่อย่างที่มึงคิด ซัน เรื่องนี้เป็นเรื่องของไคล์ที่ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องของเราสองคน แต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเขาคนเดียว ‘คนเดียว’ ซัน เขาต้องต่อสู้กับความรู้สึกของน้องชายที่หลงรักพี่ชายตัวเอง เขาต้องทนกับความรู้สึกที่รู้ทั้งรู้ว่าความรักของเขามันเป็นไปไม่ได้ เขาต้องเก็บความรู้สึกเหล่านั้นเอาไว้ไม่ให้ใครรู้ภายใต้รอยยิ้มร่าเริงของเขา เขาต้องทำใจยอมรับว่ามึงนั้นรักกูมากแค่ไหน และถ้าทั้งหมดนั้นมันยังไม่แย่พอ เขายังต้องทนอยู่กับความรู้สึกที่มันแน่นอยู่เต็มหัวใจของเขาว่าเขายังคงรักมึงอยู่” ผมเน้นที่ประโยคสุดท้าย และรอยยิ้มเศร้าๆของไคล์เมื่อครั้งที่เขาพูดประโยคนั้นออกมาก็ฉายภาพขึ้นมาในหัวของผมอีกครั้ง ผมรู้สึกถึงน้ำตาที่เริ่มรื้นอยู่ริมขอบตาอีกครั้ง

“เมฆ กู...... กูไม่รู้จริงๆว่ะ”

“มึงไม่รู้ใช่มั๊ย ว่าเขารู้สึกกับมึงมากมายขนาดนั้น” ผมต่อประโยคให้มันจนจบแล้วก็พยายามกลืนน้ำตาให้หายไป “กูไม่ได้จะว่ามึงนะ ซัน แต่มันยากจริงๆ กูก็ไม่รู้จะพูดยังไงหรอก แต่กูสงสารไคล์ กูยอมรับเลยว่ากูไม่ค่อยชอบใจเขานักเมื่อรู้ว่าเขาคิดยังไงกับมึง กูอิจฉาเขา ที่เขาได้มีเวลาได้ใช้เวลาอยู่กับมึงตั้งปีนึงในขณะที่กูนั่งคิดถึงมึงอยู่คนเดียวแทบตาย กูไม่ไว้ใจเขาเมื่อกูรู้ว่าเขายังคงรักมึงอยู่ แต่กูก็เข้าใจเขาจริงๆ ว่าความรู้สึกทั้งหมดนั้นมันเป็นยังไง กูรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดของเขา”

“มึงจะบอกว่ากูผิดที่กูให้ความหวังมันไปใช่มั๊ย” ไอ้ซันพูดด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจ แต่สายตาของมันบอกผมว่ามันไม่พอใจในตัวเองมากกว่าสิ่งที่ผมพูด

“กูไม่ได้พูดแบบนั้น แต่จะพูดแบบนั้นมันก็ไม่ผิดหรอก แต่ซัน มึงฟังกูนะ เรื่องนี้มึงก็ไม่ผิดจริงๆ กูไม่ได้โทษมึง มึงเองก็ไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนั้น กูรู้ กูขอโทษ ซัน”

“ไม่หรอกเมฆ มึงพูดถูก กูยอมรับความเป็นจริงทุกอย่างที่ว่าเรื่องแบบนี้มันไม่มีคนผิด ใครมันจะรักใครมันคงห้ามกันไม่ได้อยู่แล้ว เมื่อมีความรักก็ต้องมีคนเจ็บ เรื่องนี้เป็นตัวอย่างที่ดีได้จริงๆ อันนั้นก็พอยอมรับได้ แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่กูยอมรับว่ากูผิดจริง และมันเป็นความผิดของกูที่ทำให้อะไรๆมันแย่ลง นั่นก็คือ กูเผลอใจไปชอบมันทั้งๆที่กูยังคงรักมึงอยู่ตลอดเวลา ถ้าเพียงแต่กูยังรักมึงแล้วมั่นคงกับมึง ไม่เผลอใจไปหามัน มันก็คงไม่ต้องเจ็บมากขนาดนี้”

ผมถึงกับสะอึก คำพูดของมันทำให้ผมคิดอะไรได้อีกหลายๆอย่างทีเดียว

“ซัน ตอนนั้นกูรักมึงมากก็จริง แต่มีความจริงอื่นๆอยู่อีกสองข้อนะ มึงอย่าลืมสิ จริงๆแล้ว กูก็เกือบลืมไปแล้วเหมือนกันนั่นแหละ”

ไอ้ซันมองตาผมพยายามหาคำตอบว่ามันคืออะไร แต่ดูเหมือนมันก็จะหาไม่เจอ

“ข้อแรก” ผมพูดขึ้น “ตอนนั้นกูก็ยังคบกับนัทอยู่เหมือนกัน เพราะงั้นถ้ามึงจะพูดว่ามึงยังรักกูอยู่และควรจะมีแต่กูในใจ มันก็คงไม่ใช่มึงคนเดียวที่ทำผิด กูเองก็ด้วย มึงเห็นมั๊ย และสุดท้ายกูเองก็ทำให้นัทต้องเสียใจเหมือนกัน กูไม่เคยเล่าให้มึงฟังว่ากูเลิกกับนัทยังไง....... และที่สำคัญที่สุดก็คือเหตุผลที่เราทั้งคู่ต่างก็เป็นและทำแบบนั้น....... นั่นคือสิ่งที่เชื่อมโยงมายังข้อที่สองที่กูเองยังเกือบจะลืมมันไปแล้ว” ผมเว้นช่วง และดูเหมือนไอ้ซันเองก็จะนึกออกแล้วว่าอีกข้อที่ผมพูดถึงนั้นคืออะไร

“ใช่ ซัน กูกับมึงต่างก็ไม่มีใครรู้ว่าเราสองคนจะได้กลับมาเจอกันอีก” ผมพูด บีบมือของมันเบาๆ “เราสองคนต่างก็มีชีวิตที่ต้องดำเนินต่อไป สำหรับกูแล้วในตอนนั้นกูก็อยากจะเริ่มต้นชีวิตของกูต่อไปเหมือนกัน แน่นอน โดยที่ไม่มีมึง กูไม่สามารถจะจมอยู่กับความเศร้าไปตลอดได้ กูยังเก็บมึงเอาไว้ในใจเสมอ แต่กูก็ต้องมีความรักครั้งใหม่ด้วยเหมือนกัน แต่จะว่าไปถ้าพูดกันจริงๆ สำหรับกูก็คือความรักครั้งเก่านั่นแหละ กูสานต่อความรู้สึกของกูกับนัทขึ้นมาอีกครั้ง มึงก็รู้ว่ากูรักเค้า แน่นอน เค้าเองก็รักกู แต่มึงก็คงรู้อีกนั่นแหละ ว่าความรักของกูที่มีให้เค้ามันต่างจากที่กูมีให้มึง เพราะงั้นกูจะไม่พูดว่ากูหลอกลวงเค้าหรอก ความรักของกูไม่เคยหลอกลวงใคร เพียงแต่ตอนนั้นกูเองก็รู้อยู่ในใจว่ากูลืมมึงไม่ลง กูรักมึง และกูไม่สามารถรักนัทให้เท่ากับมึงได้ กูยอมรับเลยนะว่าถ้ากูไม่ได้มาเจอมึงอีกครั้ง ทั้งชีวิตของกู กูก็อาจจะไม่สามารถรักใครได้อีกเลยก็ได้” ผมอธิบาย

“ถ้าอย่างนั้นกูเดาว่า กูก็คงเป็นคล้ายๆมึงใช่มั๊ย แต่สำหรับกูแล้วมันเป็นความรักครั้งใหม่ ไม่ใช่แบบมึงกับนัท และสำหรับกูแล้วคนๆนั้นก็คือไคล์”

“กูก็คิดว่าอย่างนั้นนะ” ผมพยักหน้า

“ถ้าแบบนั้น” ไอ้ซันพูดต่อ “กูก็คงทำอะไรไม่ได้แล้วใช่รึเปล่า ที่มึงพูดมาทั้งหมดนี่มีความหมายใช่มั๊ย”

“กู.... กูก็คิดว่าอย่างนั้นมั๊ง” ผมกลืนน้ำลาย ใช่แล้ว ผมคิดว่าสิ่งที่ผมเพิ่งพูดออกไปมันเพิ่งจะไปหักล้างกับความรู้สึกของผมที่มีแต่สภาพจิตใจของไคล์ที่บอกไอ้ซันไปเมื่อครู่ได้ทันที

“มึงหมายความว่า กูคงต้องปล่อยให้มันเป็นไปแบบนั้นใช่มั๊ย ถ้ากูไม่ผิด ไคล์ก็ไม่ผิด แต่เมื่อผลลัพธ์มันเป็นแบบนี้และไคล์มันต้องเจ็บปวด มึงจะบอกว่ากูก็คงแค่ต้องปล่อยเขาไป แบบนั้นรึเปล่า” มันถามเพื่อความแน่ใจ

ผมยักไหล่ “กูก็ไม่รู้หรอก พูดจริงๆ ตอนแรกกูก็ไม่รู้ว่ามันควรจะเป็นยังไงและเราควรจะทำอะไรเพื่อไคล์ได้บ้าง โดยเฉพาะมึงน่ะนะ แต่เมื่อกูคิดเรื่องนั้นขึ้นมาได้ กูก็คงต้องบอกว่า ใช่” ผมพยักหน้า “เราคงทำอะไรไม่ได้แล้ว นอกจากปล่อยให้เวลาช่วยเยียวยาไคล์และรอจนกว่าเขาจะเจอคนที่ใช่สำหรับเขาและเขาเป็นคนที่ใช่สำหรับคนๆนั้นด้วย”

“นัทเสียใจมั๊ยวะ ตอนที่มึงเลิกกับเขา” ซันถาม

“ใช่ ก็แน่นอนอยู่แล้วล่ะ เขาเองก็คงไม่เข้าใจว่าเหตุผลจริงๆของกูมันคืออะไร กูเองก็ไม่สบายใจมากๆนะ แต่ว่าบางทีเขาก็น่าจะรู้.........”

“มึงนี่ก็ยังรักและเป็นห่วงความรู้สึกของคนอื่นโคตรๆอยู่ตลอดเวลาเลยนะ” ซันพูดพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า

“ก็ไม่เชิงหรอก........” อีกครั้งที่คำพูดของมันพาผมนึกไปถึงสิ่งสุดท้ายที่ยังคงคาใจผมอยู่ “ซัน มีอีกอย่างนึงที่กูรู้สึกไม่สบายใจจริงๆ และกูต้องยอมรับเลยว่ามันกวนใจกูมาตั้งแต่ก่อนจะขึ้นเครื่องมาที่นี่แล้ว”

“มึงหมายถึงมาที่แกรนด์แคนยอนนี่น่ะนะ”

“เปล่า มาที่อังกฤษเลยต่างหาก”

“เรื่องอะไร เมฆ ไหนๆเราก็คุยกันแล้ว นานๆทีได้คุยกันแบบนี้สักที มึงก็บอกกูมาให้หมดเลยก็แล้วกัน”

“ซัน..... ปีนึงนี่มันก็นานนะ” ผมพูด พยายามคิดหาคำพูดเหมาะๆไปด้วยตลอดเวลา “มึงไม่คิดเหรอ ว่ากูจะเปลี่ยนไป แล้วทำให้มึงไม่ชอบใจกับสิ่งที่กูเปลี่ยนไปน่ะ คือ กูหมายความว่า เราทั้งคู่ต่างก็คงเปลี่ยนไป แต่ภาพความทรงจำในใจของเราสองคนคือเราทั้งคู่ที่มีอยู่จริงจนถึงเมื่อหนึ่งปีที่แล้วนะ มึงไม่กลัวไม่กังวลเลยเหรอ ว่าถ้าเราคบๆกันไปแล้วมารู้ทีหลังว่า มึงเปลี่ยนไปหรือกูเปลี่ยนไป แล้วทำให้เราไม่พอใจกัน ผิดใจกัน หรือ พูดให้ถูกก็อาจจะเป็น แบบว่า ผิดหวังในตัวกันและกันน่ะ” ผมพูดออกไปอย่างลำบากใจ ไม่รู้จะสรรหาคำพูดไหนออกมาบรรยายไปได้ดีพอ แต่ทว่าไอ้ซันกลับมีรอยยิ้มที่มุมปาก

“มึงคิดว่ากูไม่คิดเรื่องนั้นเหรอ”

“มึงเองก็คิดเหมือนกันเหรอ” ผมถามด้วยความประหลาดใจ

“แน่นอน กูคิดสิ กูคิดตั้งแต่วินาทีที่รู้ว่ามึงจะมาเรียนต่อที่อังกฤษเลย กูคิดว่ามึงจะเป็นยังไงบ้างนะ มึงจะเปลี่ยนไปมากขนาดไหน และแน่นอน ว่ากูไม่ได้หมายความถึงทางกายภาพของมึงเท่านั้น แต่กูหมายถึงข้างในมึงด้วย”

“ก็นั่นน่ะสิ ซัน เวลาตั้งปีนึงนะ กูเองก็เปลี่ยนไป กูยังรู้ตัวกูเองเลย และมึงเองก็คงเหมือนกัน”

อีกครั้ง ที่มันยังคงมีรอยยิ้มและยังยิ้มกว้างมากขึ้นอีก

“ใช่ กูคิด แต่กูไม่กังวล ไม่เลยเมฆ กูไม่กังวลเลย กูอาจจะคิดว่ามึงเปลี่ยนไปแบบไหนยังไง แต่กูไม่เคยกังวลกับเรื่องที่มึงจะเปลี่ยนไปเลย ข้อแรก เพราะกูรู้ว่าถึงมึงจะเปลี่ยนไปยังไง มึงก็ยังคงเป็นมึง ลึกๆของมึงต้องยังคงเดิมไม่เปลี่ยนไปแน่” มันเอานิ้วมาจิ้มที่หน้าอกของผม มีท่าทีแสดงความอายออกมามากขึ้นกว่าเดิม “นอกจากนั้น กูรู้ว่ากูรักมึงในแบบที่มึงเป็นมึงที่ไม่มีวันเปลี่ยนข้างในนั้น”

ผมยิ้มกว้างและเอามือมาจับที่นิ้วชี้ของมันที่จิ้มอยู่ตรงหน้าอกด้านซ้ายของผม

“และมันก็ยังแปลว่า กูแอบมั่นใจเล็กๆนะว่า มึงก็น่าจะยังคงรักกูอยู่เหมือนกัน เพราะงั้นกูถึงได้ไม่กังวลไงล่ะ มึงเข้าใจมั๊ย”

ผมพยักหน้า ไอ้ซันชะโงกหน้ามาหอมแก้มผมเบาๆที่แก้มทั้งสองข้าง

“แก้มสองข้างที่กูหอมมึงไปนั้นแปลว่ายังมีอีกสองเรื่องใหญ่ๆที่กูยังไม่เคยบอกมึง” เมื่อพูดจบมันก็หน้าแดงมาก มากที่สุดของวันนี้เลยทีเดียว

“อะไรวะ อะไร” ผมคะยั้นคะยอ อยากรู้ว่าอะไรที่ทำให้มันเขินจนอายหน้าแดงได้ขนาดนี้

“ก็ได้ กูบอกมึงก็ได้ ไหนๆก็ไหนๆแล้วนี่” มันก้มหน้าหนีพยายามรวบรวมความกล้า แล้วเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว “เห็นรึยัง ว่ากูเปลี่ยนไปน่ะ ถ้าเป็นแต่ก่อนกูไม่พูดมากขนาดนี้หรอกนะเว้ย จริงมั๊ย”

ผมพยักหน้ายอมรับ นี่ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตมันมานานแล้วเหมือนกัน และผมก็ยังคงไม่ค่อยเคยชินกับมันเท่าไหร่อยู่ดี

“กูจะพูดยังไงก่อนดี......... เอาเป็นว่า กูพูดสั้นๆเลยก็แล้วกันนะ วันนี้บ้าน้ำลายมามากพอแล้ว ข้อแรก กูบอกไปแล้วว่ากูมั่นใจว่าไม่ว่ามึงจะเปลี่ยนไปยังไง ภายในของมึง วิญญาณของมึง คนที่มึงเป็นจริงๆก็คงไม่มีวันเปลี่ยน ก็อย่างตอนนี้ไง มึงก็ยังคงรักและเป็นห่วงคนอื่นมากโคตรๆอยู่เหมือนเดิม และนั่นมันทำให้กูมั่นใจว่ากูไม่มีปัญหากับการเปลี่ยนแปลงของมึงแน่ ก็เพราะ....... คือเพราะ...... กูรู้ตัวว่ากูเองก็เปลี่ยนไป แต่กูที่เปลี่ยนไปนั้นกูเปลี่ยนไปคล้ายมึงเข้าทุกทีๆน่ะสิ หลายครั้งที่กูคิดเหมือนมึง พยายามทำความเข้าใจว่าถ้าเป็นมึงมึงจะทำยังไง จะคิดยังไง เพราะกูอยากจะมีมึงอยู่ทั้งในใจและในความคิดของกูเอาไว้ตลอดเวลา......” ไอ้ซันหน้าแดงมากขึ้นไปอีกและผมคิดว่าถ้ามันยังหน้าแดงไปมากกว่านี้เลือดต้องออกหูมันตายแน่ๆ แต่ผมเองก็รู้สึกเขินไม่แพ้มันเหมือนกัน

“อีกอย่างนึง” ไอ้ซันรีบพูดต่ออย่างรวดเร็ว “ไม่ว่ามึงจะเปลี่ยนไปยังไง แต่กูก็พร้อมรับมันได้เสมอนั่นแหละ เพราะจะยังไงก็ตาม เมื่อกูได้เจอหน้ามึงครั้งแรกที่สนามบิน เมื่อนั้นกูก็รู้ตัวแล้วว่ากูพร้อมจะเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ไปพร้อมๆกับมึงและจะไม่มีวันปล่อยให้มึงต้องเดินคนเดียวอีกต่อไป”

“ซัน..... นี่มึง” ผมอ้าปากจะพูดต่อแต่ไอ้ซันก็เอามือมาปิดปากผมเสียก่อน แถมยังทำหน้าไม่พอใจเพื่อปกปิดความอายของตัวเองอีกด้วย
 
“พอแล้ว กูไม่อยากจะพูด ไม่อยากจะได้ยินอะไรอีกแล้ว วันนี้บ้าน้ำลายบ้าน้ำตากันมาพอแล้ว ได้เวลาบ้าน้ำอย่างอื่นสักที” พูดจบมันก็เอามือออกแล้วเข้ามาประกบปากกับผมทันที

เมื่อถอนปากออกผมก็ยิ้มกว้างให้กับมันแทนคำขอบคุณทั้งหมดเท่าที่ผมไม่สามารถหาคำพูดใดมาบรรยายออกไปได้

“แต่เดี๋ยวไคล์ก็กลับมาแล้วนะ” ผมพูด

“ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ มันก็รู้นี่ว่าเราเป็นแฟนกัน จะเสียหายตรงไหน” มันพูดหน้าตาเฉย แต่แววตาของมันนั้นเต็มไปด้วยความต้องการอย่างที่สุด

“พูดพล่อยๆเกินไป มึง จะไม่แคร์ความรู้สึกเขาหน่อยเลยเหรอไง และที่สำคัญ จะมาทำอะไรกันให้มันเห็นๆไปเลยเนี่ยนะ ถ้าเดี๋ยวเขาเปิดประตูเข้ามาเจอจะทำไง” ผมทำเสียงปราม

“ก็อย่าทำให้มันเห็นสิวะ” ซันก้มมองดูนาฬิกาข้อมือของตัวเอง “ตั้งแต่มึงกลับมาก็ยี่สิบนาทีได้แล้ว มันคงใกล้กลับมาแล้วมั๊ง ใช่มั๊ย”

“ก็ใช่มั๊ง ไคล์บอกว่าเขาจะตามมาในราวๆครึ่งชั่วโมง”

“แม่งง งั้นก็อดเลยน่ะสิ” มันพูดแล้วทิ้งตัวลงนอนข้างๆผม

“สรุปแล้วนี่มึงได้นอนไปมั่งรึเปล่า” ผมถาม

“ไม่เลย” มันหัวเราะเบาๆ “ก็อ่านสมุดของมึงนั่นแหละ อ่านจบก่อนมึงกลับมาพักเดียวเอง”

ไม่รู้ทำไม แต่ผมรู้สึกว่าตัวเองหน้าแดงขึ้นมาอีก

“ว่าแต่มึง...... ตั้งใจจะเปิดสมุดของกูเมื่อไหร่” ไอ้ซันถาม

“อ๋อ ก็........ ให้กูเปิดอ่านเดี๋ยวนี้เลยดีมั๊ยล่ะ”

“นี่มึงเอามาด้วยเหรอ” มันถาม มีสีหน้าแปลกใจ

“ก็แน่นอนสิ” ผมลุกขึ้นยืนและเดินไปเปิดกระเป๋าของผมแล้วหยิบมันออกมา

สมุดของมันหนาและใหญ่กว่าของผมค่อนข้างมาก เมื่อดูตรงขอบของสมุดจะเห็นว่าหลายหน้าที่พองออกมาเหมือนกับมันเอาอะไรไปแปะหรือไปสอดเอาไว้ สิ่งที่ผมอยากรู้มากกว่าว่ามันเขียนอะไรเอาไว้นั่นก็คือมันสอดอะไรเอาไว้ข้างในนี่แหละ

“นี่มึงพกติดตัวไว้ตลอดเลยเหรอ” ไอ้ซันชันตัวขึ้นนั่งทันที

“ใช่ ก็เหมือนเป็นตัวแทนของมึงไง แถมเผื่อกูจะอ่านตอนไหนกูก็จะได้อ่านได้เลยด้วย” ผมจับที่เชือกเส้นเล็กๆนั้นแล้วก็กำลังแกะปมออก

“หยุดเลย!” ไอ้ซันร้องห้าม “ห้ามอ่านตอนกูยังอยู่กับมึงเด็ดขาด!”

ผมหยุดมือแล้วก็สอดสมุดนั้นกลับลงไปในกระเป๋าเหมือนเดิม “กูรู้น่า กูแค่แหย่เล่นเท่านั้นแหละ”

ผมหัวเราะแล้วก็เดินไปนั่งอยู่ที่ขอบเตียง ไอ้ซันคว้าตัวของผมเข้าไปกอดแล้วก็เอานิ้วจี้เอว เราสองคนดิ้นปล้ำเล่นจี้เอวเหมือนเด็กๆกันอยู่บนเตียงพักหนึ่ง เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น

“ไคล์มาแล้วมั๊ง” ผมหอบ แล้วดันตัวมันออกลุกไปเปิดประตู

และเมื่อประตูถูกเปิดออก ผมก็ต้องพบกับความประหลาดใจอีกครั้ง


หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 04-09-2007 16:57:15
อ่า..มาไม่ทัน เง้อๆๆ    o9
นึกว่าจะมีบท Nc แต่ไหง๋ กลับกลาย เป็น Drama ซ้างั้น ...  :m17:
.
.
ผ่านความเหงา ความเศร้า  ความเจ็บปวด ความไม่แน่ใจ ...
แต่ที่ยังมั่นคงที่สุด...ก้อคือ "ความรัก" สินะ ที่คนสองคน
ยังยึดถือ..ยึดมั่น..ในกันและกัน...(ตรูพล่ามอะไรหว่า?)   :try2:

แล้วนั่นอะไรก๊าน....ใครกันล่ะนั่น ..   :m28:
ถ้าไม่ใช่ไคล์...แล้วจะเป็นใคร...
หรือว่าไคล์มากับพีท ล่ะ ( เดาคับเดาฮ่าๆ)   :laugh:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 04-09-2007 17:20:02
ไรหรือ แจกไรกันเหยอ อดเยย
แงๆๆๆ อดเหมือนกัน
 :serius2: :serius2: :serius2:

รู้สึกงานนี้จะเมาน้ำลายนะ
พูดกันจนค่อนข้างจะละเอียดละออ เหมือนเขียนบันทึกเลย
ยากนักที่คนเราจะกล้าเผยความในใจได้ขนาดนี้

ถือว่าเป็นการยอมรับในกันและกัน หลังจากที่เก็บกดมาหลายปี

 :m21: :m21:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 04-09-2007 19:29:12
หุหุ แอบเดาเหมือนกันว่าไคล์อาจจะมากับพีทอ่ะ  :a5:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ~prince™~ ที่ 04-09-2007 22:54:54
ต้องเป็นพีทแน่ๆเลย :a9:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 04-09-2007 23:45:44
เปิดใจ (Confession)
 o13
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 05-09-2007 10:33:19
ตอนที่ 29


“ทำอะไรกันอยู่น่ะครับ หอบเชียว” ไคล์ถามด้วยสีหน้าสงสัย

“โดนไอ้ซันมันปล้ำน่ะสิ เอ๊ย หมายถึง โดนมันจับจี๋เอวน่ะ ก็เลยปล้ำกันนิดหน่อย โชคดีไคล์มาพอดีเลยช่วยเอาไว้ได้ทัน ไม่งั้นพี่ตายแน่” ผมยังคงหอบอยู่ แล้วหันไปหาคนอีกคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างๆไคล์ “ไงครับ พีท มาได้ไงเนี่ย”

พีทในตอนนี้ดูต่างกับคนที่ผมเพิ่งเจอที่ร้านอาหารเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ราวกับคนละคนทีเดียว อย่างแรกเลยก็คือชุดที่เขาใส่ไม่ใช่ชุดยูนิฟอร์มสีน้ำตาลอ่อนเชยๆนั่นอีกแล้ว แต่เป็นชุดไปรเวท เสื้อยืดไหมพรมแขนสั้นสีครีม กางเกงยีนส์สีน้ำตาลออกดำที่ดูใหญ่เกินตัวนิดหน่อย และยังมีเสื้อสเว็ตเตอร์สีเข้มพาดบ่าข้างซ้ายเอาไว้อีกด้วย สีหน้าของเขาก็ดูสดชื่นขึ้นมาก ผมคิดว่าเขาคงจะกลับไปพักผ่อนหรือไม่ก็คงอาบน้ำมาแล้วแน่ๆ ผมที่ถูกซอยสั้นของเขาก็ได้รับการใส่เจลและแต่งทรงให้ชี้ตั้งขึ้น ดูโดยรวมแล้วต้องบอกว่าพีทเป็นคนที่หน้าตาดีและบุคลิกดีมากๆคนหนึ่งเลยทีเดียว ผมว่าผมรู้สึกแปลกๆบางอย่างเมื่อเห็นเขาแบบนี้นะ

“เอ่ออ คือ” พีทมีท่าทางลังเลและหันไปสบตากับไคล์ “คือผมไปเจอไคล์ที่ร้านกิ๊ฟท์ช็อปน่ะครับ แล้วเขาก็ชวนผมให้มาที่นี่ด้วยกัน”

“ช่ายครับ เพราะพนักงานซื้อของมันได้ส่วนลดด้วยนี่นา นี่ไง” ไคล์ชูถุงกระดาษสีน้ำตาลขึ้น “เข้าห้องกันก่อนดีกว่า”

ไคล์พูดแล้วก็เดินผ่านผมเข้าห้องมา ผมเปิดประตูออกให้กว้างขึ้นแต่พีทก็ยังคงยืนอยู่หน้าห้องท่าทางลังเล

“อ้าว เข้ามาสิครับ” ผมพูด

“ครับ” เขาสบตาผมแล้วพยักหน้า จากนั้นก็เดินผ่านผมเข้าไปในห้อง ผมได้กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆโชยออกมาจากตัวของเขาด้วย

เมื่อผมปิดประตูห้องลงไคล์ก็นั่งลงบนเตียงของเขา ส่วนผมก็เดินจะไปนั่งกับไอ้ซัน ยกเว้นพีทที่ยังคงยืนอยู่อย่างไม่แน่ใจว่าควรจะนั่งลงที่ไหนดี ผมจึงลากเก้าอี้ออกมาให้เขา พีทเองก็นั่งลงตามคำเชิญของผม ส่วนไอ้ซันที่เพิ่งจะเก็บสีหน้าประหลาดใจที่จู่ๆก็เห็นพีทยืนอยู่หน้าประตูได้ก็พูดขึ้นในที่สุด

“ที่พักของพีทอยู่ไกลจากที่นี่รึเปล่า” ไอ้ซันถาม ผมเองก็มองหน้ามันด้วยความแปลกใจเหมือนกัน มันเป็นส่วนผสมของความรู้สึกหลายๆอย่างนะ เพราะว่าผมมีความรู้สึกว่ามันไม่ค่อยชอบพีทตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันแล้ว อย่างที่สองก็คือ ผมรู้สึกว่ามันน่าจะแปลกใจที่ทำไมอยู่ๆพีทถึงได้โผล่มาได้ และผมไม่แน่ใจด้วยว่ามันกำลังไม่พอใจรึเปล่า แต่ก็คิดอีกทีก็คงไม่ใช่แบบนั้น เพราะมันเองเป็นฝ่ายทักและถามพีทขึ้นเองก่อน แถมยังถามเขาด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติอีกด้วย

“ก็นิดหน่อยครับ คือถ้าจะว่าไปก็ต้องบอกว่าที่นี่นั่นแหละ ที่ไกลจากที่อื่นที่สุดน่ะครับ” พีทตอบ

“นี่ทุกคน ผมซื้อของได้ส่วนลดจากบัตรของพีทด้วยนะ แถมถ้าเขาซื้ออาหารแล้วโชว์บัตรพนักงาน เขาได้ลดตั้งห้าสิบเปอร์เซ็นต์แน่ะ” ไคล์พูดอย่างกระตือรือร้น

“อย่าบอกนะว่าเวลาเรากินข้าวจะให้เขาช่วยใช้บัตรซื้อให้ตลอดน่ะ” ซันพูดขึ้น หันไปมองหน้าไคล์

“เปล่าหรอกครับ โธ่เอ๊ยย ก็แค่คืนนี้ก็ได้นี่ ชวนพีทไปกินข้าวด้วยกันสิ จะได้ให้เขาพาเราไปเที่ยวด้วยไง เขาบอกผมตอนที่อยู่ด้วยกันเมื่อกี๊ว่า ที่ๆดูพระอาทิตย์ตกดินน่ะอยู่ใกล้ๆกับเคบินของเขาแล้วก็อยู่ใกล้ๆกับคาเฟทีเรียอีกที่นึงด้วย ใช่มั๊ยครับ” ไคล์หันไปหาพีท

“ครับ ชื่อว่าแมสวิค เป็นโรงแรมแบบยาวาพายนี่แหละครับ” พีทตอบ

ผมคิดในใจว่าตอนแรกไคล์บอกว่าจะไม่ไปดูพระอาทิตย์ตกกับพวกเรานี่นา แล้วทำไมจู่ๆถึงได้เปลี่ยนใจ แต่ผมก็ไม่ได้ถามออกไปแล้วก็ไม่ได้คิดติดใจอะไรนักด้วย

“แล้วเราต้องควรออกไปดูพระอาทิตย์ตกกันกี่โมงล่ะเนี่ย” ผมถาม

“ก็ราวๆก่อนหกโมงนิดหน่อยก็น่าจะไปถึงที่นั่นได้แล้วล่ะครับ” พีทก้มดูนาฬิกาข้อมือของตัวเองจากนั้นก็เงยหน้าขึ้น “เขาจะมีป้ายบอกเอาไว้ที่ป้ายหยุดรถน่ะครับว่ากี่โมง เพราะแต่ละวันเวลามันจะไม่ตรงกัน โดยเฉพาะยิ่งเข้าใกล้ซัมเมอร์ไปเรื่อยๆพระอาทิตย์มันก็ยิ่งตกช้าลงๆ แต่ผมว่าช่วงๆนี้ก็น่าจะยังประมาณหกโมงอยู่นั่นแหละครับ เมื่อสองวันก่อนที่ผมกับเพื่อนผมเพิ่งไปดูกันมาก็ราวๆนี้”

“ว่าไง ซัน” ผมหันไปถามไอ้ซัน

“มึงว่าไงก็ว่างั้นแหละ กูตามใจมึงอยู่แล้ว” พูดจบไอ้ซันก็ชะโงกมาหอมแก้มของผมทันที

ผมอ้าปากค้างและรีบหันไปมองหน้ามันทันที ผมไม่เคยคิดเลยว่ามันจะกล้าทำแบบนี้ต่อหน้าคนอื่น! ถึงปกติเวลาเราอยู่กันสองคนไอ้ซันมันจะชอบทำแบบนี้บ่อยๆ แต่ครั้งนี้ไม่ใช่เลย แม้แต่ต่อหน้าไคล์เราก็ยังไม่เคยทำ แต่นี่มีพีทอยู่ด้วย! ผมเหลือบมองพีทอย่างรวดเร็วและเห็นว่าเขามีสีหน้าตกใจมาก ซึ่งก็แน่ล่ะ พีทนั่งมองผมสองคนตาโตและเกือบจะอ้าปากออกมาเลยด้วยซ้ำ และเมื่อผมหันไปมองไคล์ เขาเองก็ดูตกใจไม่แพ้กันแต่ว่าเขาก็เก็บอาการได้ดีมาก และเมื่อเขาเห็นผมหันไปมอง ไคล์ก็ยิ้มให้กับผม แต่ผมพูดได้เลยว่าเขารู้สึกเจ็บปวดอยู่ลึกๆจริงๆ แววตาของเขามันบอกทุกอย่างออกมาได้อย่างชัดเจน

ทำไมไอ้ซันมันทำบ้าๆอะไรแบบนี้นะ ทำต่อหน้าคนที่เพิ่งรู้จักกันแค่ไม่กี่ชั่วโมงยังไม่พอ แต่ยังทำให้ไคล์เขาต้องคิดมากอีก ทั้งๆที่มันก็รู้ว่าผมกับไคล์เพิ่งจะคุยเรื่องนี้กันไปเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมานี้เอง

“มึงทำเหี้ยอะไรของมึงเนี่ย” ผมร้องและหันไปทำตาเขียวใส่มัน เป็นการสื่อถึงว่านี่มันไม่ใช่เวลาที่เหมาะที่จะทำอะไรแบบนี้เลยจริงๆ

“ทำอะไร กูไม่ได้ทำอะไรนี่ ก็แค่บอกว่ามึงจะไปไหนก็แล้วแต่มึง กูตามใจมึงไง” ไอ้ซันตอบกลับมา

ผมรู้ว่ามันไม่ใช่คนโง่ และผมก็รู้ด้วยว่ามันเข้าใจว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่ สายตาของมันที่กำลังมองผมกลับมาก็เป็นคำตอบที่ดีได้เหมือนกันว่ามันรู้ตัวว่ามันทำอะไรลงไป ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด เหมือนมันจะบอกผมว่ามันไม่แคร์เรื่องของพีท มันอยากจะให้เขารู้ๆไปด้วยซ้ำว่าผมกับมันเป็นแฟนกัน แวบหนึ่งที่ผมเกือบจะเห็นความแสดงความเป็นเจ้าของออกมาด้วยซ้ำ ส่วนน้ำเสียงของมันก็บอกผมในเรื่องของไคล์ว่ามันรู้ว่าไคล์จะต้องเจ็บปวดที่เห็นแบบนี้ แต่มันก็ยังคิดจะทำอยู่ดี ซึ่งอันนี้ผมไม่รู้ว่าทำไม

“เฮ้ ทั้งสองคนจะทำอะไรกันนี่ก็เกรงใจแขกหน่อยได้มั๊ยครับ เขาตกใจจนจะสติแตกแล้วนะ” ไคล์หัวเราะในลำคอแล้วหันไปทางพีทที่กำลังนั่งงงอยู่บนเก้าอี้ที่ปลายเตียง

“เอ่อ คือ.... ผม” พีทอึกอัก

“ขอโทษทีนะพีท” ผมพูด ไม่รู้จะบอกเขายังไงเหมือนกัน

“เรามาฮันนีมูนกันน่ะ เราสองคนเป็นแฟนกัน ก็อย่างที่พีทคิดนั่นแหละ” ไอ้ซันชิงพูดขึ้นมาก่อนแล้วยังเข้ามาโอบเอวผมอีกด้วย

“ไอ้ซัน!” ผมร้องและพยายามจะดันแขนมันออก แน่นอน เพราะความเขินด้วย และยังเป็นเพราะผมคิดว่ามันไม่ควรจะทำแบบนี้ แต่สุดท้ายผมก็ปล่อยเลยตามเลย ตอนนี้ผมไม่ได้คิดถึงพีทแล้ว แต่ผมคิดถึงไคล์มากกว่า ผมมองหน้าเขาแล้วเห็นว่าเขากำลังยิ้มอยู่ แต่สายตาของเขากลับไม่ได้มองมาที่ใครเลยนอกจากถุงกระดาษสีน้ำตาลที่วางอยู่ตรงหน้าของเขาเท่านั้น

“ไคล์.......” ผมเรียกชื่อเขา ซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ผมเรียกเขาออกไปทั้งๆที่ผมก็ไม่รู้จะพูดอะไรกับเขา

ไคล์เงยหน้าขึ้นมองผมแล้วพยักหน้าให้เบาๆเพื่อบอกว่าเขาไม่ได้เป็นอะไร จากนั้นก็รีบพูดขึ้น

“อายเขาหน่อยเหอะ ซัน พีทเขาทำหน้าไม่ถูกแล้วนะ” ไคล์พูด

“เอ่อ ไม่เป็นไรครับ คือ ผมก็พอรู้อยู่แล้วล่ะ ว่าพี่สองคนน่าจะเป็นแฟนกัน” พีทพูดขึ้นพลางเอามือเกาที่แก้มเบาๆ ทำเอาผมตกใจที่ได้ยินอย่างนั้น

“ใช่ พี่เองก็คิดว่าพีทรู้อยู่แล้ว” ไอ้ซันตอบกลับและสบตากับพีท ผมยิ่งตกใจมากขึ้นไปอีกที่มันพูดแบบนั้น และยังสายตาของเขาสองคนกำลังมองกันอยู่นี่อีก

ทั้งห้องเงียบลงไปครู่หนึ่งจนบรรยากาศเริ่มแย่ลงทุกทีๆ บอกตามตรงว่าผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันแย่ลงจริงหรือเปล่าหรืออาจจะเป็นเพราะผมคิดไปเองก็ได้

“แล้วต่อจากนี้เราเอาไงต่อกันดีครับ ยังมีเวลาอีกราวๆชั่วโมงกว่าก่อนที่จะไปดูพระอาทิตย์ตกนะ” ไคล์พูดทำลายความเงียบที่น่าอึดอัดนี้ขึ้น

“นั่นสิ เออใช่ พีทต้องทำอะไรต่อรึเปล่า เห็นว่าจะกลับไปนอนพักผ่อนนี่ แล้วไม่เหนื่อยเหรอ คือ พวกพี่ไม่อยากจะรบกวนพีทหรอกนะครับ” ผมถามเขา

“อ๋อ คือ ผมกลับไปห้องแล้วก็งีบไปนิดนึงแล้วน่ะครับ จากนั้นก็อาบน้ำแต่งตัวออกมาเดินเล่น เพราะว่าถ้าผมนอนไปแล้วเดี๋ยวคืนนี้กว่าผมจะหลับก็คงดึก แต่ว่าพรุ่งนี้ผมต้องตื่นเช้ามาก ผมเลยไม่นอนดีกว่า” เขาตอบ

“แล้วปกตินอนกี่โมงครับเนี่ย กว่าจะดูพระอาทิตย์ตกเสร็จมันจะดึกรึเปล่า” ผมถามต่อ

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ไม่ดึกหรอก ไม่เป็นการรบกวนผมหรอกครับ ผมพาทุกคนเที่ยวได้จริงๆ ผมเต็มใจครับ” เขาพูดกำชับพร้อมรอยยิ้มที่นานๆจะได้เห็นสักที และมันก็ทำให้ผมเชื่อว่าเขาหมายความว่าแบบนั้นจริงๆไม่ใช่แค่พูดตามมารยาท

และเมื่อได้ยินน้ำเสียงและเห็นรอยยิ้มเมื่อครู่ของพีท ผมก็รู้สึกถึงความรู้สึกคุ้นเคยบางอย่างในตัวของเขาขึ้นมาทันที มันเป็นความรู้สึกอบอุ่นแต่ก็ปั่นป่วนนิดๆอยู่ภายในอก ผมมองหน้าของเขาแล้วก็พยายามคิดว่าสิ่งนั้นมันคืออะไร และทำไมอยู่ๆผมถึงได้รู้สึกแปลกๆกับเขาขึ้นมาทั้งๆที่ตอนเจอเขาครั้งแรกผมไม่เห็นรู้สึกอะไรแบบนี้เลย

“แล้วตกลงมึงจะเอายังไง ไอ้ตัวดี” ไอ้ซันคลายมือที่กอดผมอยู่มาเขกหัวของผมเบาๆ

“โอ๊ย อะไรของมึงเนี่ย” ผมร้องแล้วหันไปโวยใส่มัน “ชอบเขกหัวกูจังนะมึง แล้วไง ‘มึงจะเอายัง’ อะไรของมึงอีก ก็เดี๋ยวอีกชั่วโมงนึงก็ดูพระอาทิตย์ตกไงเล่า ตกลงจะไปรึเปล่า”

“ไปดิ่ กูรู้ว่ามึงเองก็ไม่อยากพลาดเรื่องแบบนี้หรอก” มันยิ้มให้ผมอย่างคนรู้ทัน “แต่ว่า........” มันหันไปทางไคล์สลับกับพีทด้วยสายตาบางอย่างที่ผมไม่เข้าใจแล้วก็ยิ้มที่มุมปากออกมา

“แต่ว่าอะไร” ผมถาม

“เอางี้มั๊ยครับ” ไคล์พูดขึ้น “พีทครับ ผมรบกวนพีทพาผมไปเที่ยวรอบๆนี้หน่อยได้มั๊ย ไปเดินดูของฝากอีกก็ได้ เอางี้ ไปแมสวิคเลยก็ได้ ผมอยากไปน่ะ” ไคล์หันไปถามแล้วก็ส่งยิ้มให้กับพีท จากนั้นเขาก็หันมาหาเราสองคน “ส่วนศิลาก็พาซันไปเที่ยวที่ๆเราเพิ่งไปมาก็ได้นี่ แล้วตอนห้าโมงสี่สิบห้าหรือประมาณหกโมงก็ไปเจอกันที่ดูพระอาทิตย์ตก ดีมั๊ย”

“ดีเลย มึงไปเที่ยวมาแล้วคราวนี้ก็พากูไปมั่งดิ่” ไอ้ซันพูด น้ำเสียงแสดงความบังคับออกมาอย่างชัดเจน

“ได้ครับ ผมยังไงก็ได้อยู่แล้ว แต่ว่า เอาเสื้อหนาๆติดไปหน่อยก็ดีนะครับ ตอนกลางคืนอากาศมันเย็น” พีทบอกพวกเรา

หลังจากนั้นพีทก็อธิบายเรื่องเส้นทางเดินรถและป้ายรถที่พวกเราควรจะลงให้ผมกับไอ้ซันฟัง เขาบอกผมว่าผมมีเวลาไม่มากนักถ้าจะไปที่แมเธอร์ พ็อยท์ที่ผมเพิ่งไปมา เขาแนะนำว่าผมควรพาไอ้ซันไปคราวหลังจะดีกว่าและบอกให้ผมไปลงที่ป้ายโรงแรมเอลโตว่า แล้วเดินเรียบริม หรือเรียบขอบผาไปเรื่อยๆจนถึงที่ๆเรานัดพบกันจะดีที่สุด อย่างนั้นผมจะได้ชมวิวได้เหมือนกันและยังไม่ต้องรีบอีกด้วย เพราะเวลาหนึ่งชั่วโมงมันพอที่จะเที่ยวได้อย่างเหลือเฟือที่แมเธอร์ พ็อยท์ก็จริง แต่มันก็ยังไม่มากพอสำหรับการที่จะต้องเสียเวลารอรถและการเดินทางไปยังจุดชมพระอาทิตย์ตก

“งั้นทำไมไม่ขับรถไปล่ะ” ซันเสนอ

“เออ ก็จริงแฮะ” ผมพูด นึกขึ้นได้ว่าตอนที่ผมไปกับไคล์ผมก็เห็นมีรถจอดอยู่หลายคนตรงถนนที่ผมกับไคล์ต้องข้ามก่อนที่จะไปถึงจุดชมวิว “เราขับรถไปได้มั๊ยครับ พีท”

“อืมมม น่าจะได้นะครับ” พีทตอบหลังจากนึกอยู่ครู่หนึ่ง “แถวๆแมสวิคก็มีลานจอดรถ แต่มันต้องเดินหน่อยนะ ราวๆห้าถึงสิบนาทีได้ ผมไม่เคยจับเวลา ส่วนที่แมเธอร์ พ็อยท์ ผมไม่รู้หรอกครับ ว่าต้องขับรถไปทางไหน”

“ไม่มีปัญหาหรอกถ้าอย่างนั้น เราขับรถไปกันดีกว่าเมฆ เอาไว้คราวหลังค่อยนั่งรถบัสเล่นเนอะ” ไอ้ซันหันมาขอความเห็นผม

“ก็ได้อยู่หรอก แต่ขับรถกลับตอนกลางคืนมึงจะไม่หลงแน่นะ” ผมย้ำ

“ไม่หลงหรอกน่า ยังไงกูก็ไม่ให้มึงนอนในป่าหรอก แถมกูคิดว่า ถ้าได้ขับรถ กูจะได้รู้ทางด้วย แล้วยังไม่ต้องห่วงด้วยว่ารถบัสมันจะหมดกี่โมง ใช่มั๊ยพีท”

“ก็ใช่ครับ แต่ผมว่ารถบัสมันก็หมดดึกอยู่นะ ไม่แน่ใจเหมือนกันครับว่ากี่โมง แต่ขับรถก็ดีครับ สะดวกดี” พีทตอบ

“แล้วใครวะ ที่บ่นเหนื่อยเพราะขับรถ” ผมพูดลอยๆ

“หรือมึงจะขับเอง ไอ้ตัวดี”

“เดี๋ยวๆ พอก่อนครับทั้งสองคน” ไคล์พูดขึ้น “ไว้ค่อยไปทะเลาะกันต่อในรถก็แล้วกัน คุยเรื่องนี้กันต่อเถอะ” ไคล์หันไปหาพีท “งั้นถ้าผมให้พีทพาผมไปที่ๆพีทเพิ่งบอกสองคนนี้ ที่โรงแรม เอลโตวาอะไรนั่นแล้วเดินไปเรื่อยๆจนถึงป้ายที่นัดเจอกันนี่ ชื่อว่าอะไรนะ เฮอร์มิท เรสท์ใช่มั๊ย”

พีทพยักหน้า

“นั่นแหละๆ จะได้มั๊ยครับ มันไกลมั๊ย” ไคล์ถาม

“ได้ครับ ไม่ไกลหรอก ก็ราวๆสิบนาทีเหมือนกัน” พีทตอบ

“โอเค งั้นก็ตกลงตามนี้ก็แล้วกัน ว่ายังไงครับ พี่ชายทั้งสอง” ไคล์หันมายิ้มให้เราสองคน

หลังจากวางแผนทั้งหมดของสิ่งที่จะทำหลังจากนี้เรียบร้อยแล้ว เราสี่คนก็แยกกันเป็นสองกลุ่ม ผมไปกับซัน และไคล์ไปกับพีท ขณะที่ผมกับซันกำลังอยู่บนรถ ผมก็อดคิดถึงความรู้สึกแปลกๆเมื่อครู่นี้ไม่ได้ แต่ก่อนหน้านั้น ผมมีเรื่องต้องเคลียร์กับไอ้ตัวแสบนี่ซะก่อน

“จะว่าไป.......” ผมพูดขึ้น “เมื่อกี๊นี้มึงก็กล้ามากเลยนะ” ผมหันไปมองหน้าไอ้ซันที่กำลังขับรถอยู่

“ก็กูบอกแล้วนี่ว่ากูไม่อายที่เป็นแฟนมึง แล้วกูก็ไม่แคร์สายตาคนอื่นด้วย” มันตอบ

“กูหมายถึง มึงกล้ามากนะที่ทำแบบนั้นต่อหน้าไคล์ทั้งๆที่กูเพิ่งเล่าให้มึงฟังว่าไคล์กับกูเพิ่งจะเคลียร์กันมาเมื่อไม่กี่นาทีก่อนนี้เอง” ผมทำเสียงตำหนิ

“กูรู้......” ไอ้ซันตอบ แล้วเงียบไปพักนึ่ง “กูขอโทษ”

ผมถึงกับตกใจที่ได้ยินคำๆนั้นออกมาจากปากของมัน

“หา มึงว่าไงนะ” ผมถาม

“กูบอกว่ากูขอโทษ แต่กูก็ไม่ได้รู้สึกผิดที่ทำมันลงไปหรอกนะ” มันบอก

“งั้นมึงจะขอโทษทำห่าอะไร” ผมเริ่มหงุดหงิดกับสิ่งที่มันเพิ่งตอบออกมา

“กูขอโทษที่ทำให้มึงไม่สบายใจต่างหาก” มันตอบอย่างจริงใจ ผมเองก็เลยพาลโกรธมันไม่ลงไปด้วย “แต่กูจะบอกว่า ที่กูทำลงไปน่ะ ถ้าสำหรับไคล์นะ กูเองก็รู้ว่ามันจะรู้สึกยังไง ไม่ใช่ไม่รู้ แต่ว่ากูก็ไม่เห็นว่าถ้ายืดเยื้อความรู้สึกของมันออกไปมันจะมีประโยชน์อะไร มึงอย่าลืมว่าเราต้องอยู่ห้องเดียวกันสามคนอย่างนี้อีกสี่วันเต็มๆนะ ถึงมันไม่รู้สึกตอนนี้ ยังไงเดี๋ยวมันก็ต้องรู้สึกอยู่ดีนั่นแหละ” มันอธิบาย

“ไอ้เรื่องนั้นมันก็จริง.....”

“กูไม่อยากอยู่กับมึงแล้วไม่สามารถจะ เอ่ออ คือ แบบว่า ทำอะไรแบบนั้นไม่ได้เลยถ้ามีมันอยู่ใกล้ๆน่ะ แบบนั้นทั้งไคล์ทั้งเราก็น่าจะรู้สึกอึดอัดมากกว่าอีกจริงมั๊ย ถ้ามันต้องมาคิดว่าการที่มีมันอยู่ด้วยแล้วมันกลายเป็นก้างของเราสองคน เพราะงั้นเราทำตัวให้เป็นปกติมันจะดีกว่ารึเปล่า มึงอย่าลืม ว่ามันเป็นฝรั่งนะ ไม่ใช่คนไทย มันไม่คิดมาก คิดเล็กคิดน้อยแบบนิสัยคนไทยหรอก”

ผมพูดอะไรไม่ออกเลย เพราะว่ามันพูดถูกทุกอย่าง

“อีกอย่าง กูกับมึงต้องอยู่กันแบบนี้ไปตลอดชีวิตนะ จะมากังวลกับเรื่องแค่ตอนนี้อยู่ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา” มันพูดขณะที่กำลังจอดรถตรงที่จอดรถของเป้าหมายของเรา

ผมเปิดประตูแล้วก้าวลงมาจากรถพร้อมรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า จากนั้นก็หันไปมองมันที่ลงมาจากรถแล้วเหมือนกัน

“ตลอดชีวิตเลยเหรอ”

“ใช่ ตลอดชีวิตเลย” มันยิ้มกว้างตอบผมแล้วปิดประตูรถลง ไอ้ซันยืนเอามือเท้าที่หลังคารถแล้วมองทะลุตรงมายังในดวงตาของผม “และอีกอย่างนะ เมฆ ไม่ว่ายังไงก็ตาม........”

“ไม่ว่ายังไงก็ตามอะไร” ผมจ้องตามันกลับ เราสองคนยืนอยู่กันคนละฝั่งของตัวรถ แต่กลับสามารถมองเห็นลึกลงไปถึงความรู้สึกในแววตาของกันและกันได้อย่างชัดเจนทีเดียว

ไอ้ซันยิ้มอย่างมีเลศนัย “เปล่า แต่กูว่าไคล์มันไม่เป็นอะไรหรอก อย่างน้อยๆก็รอดูกันไปอีกสักพักแล้วกัน”


หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 05-09-2007 12:41:37
แหม ซันนี่กล้าเปิดเผยดีจริง ๆ แฮะ :m4: แต่ทำถูกแล้ว เชียร์ซันเต็มที่เลย
ไคล์จะได้ทำใจได้เร็ว ๆ ตอนไปเที่ยวจะได้ไม่อึดอัด :m23:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 05-09-2007 13:23:47
ซึ้ง -ทึ่ง- ตาลาย- แอบหวาดเสียวด้วย อิอิ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 05-09-2007 14:45:48

...........มีแฟนอย่างซันเนี่ย......รักตายเลย........ :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 05-09-2007 14:53:06
อ่ะหุๆ   เจ๋งเป้ง     o13
ให้มันได้งี๊จิ ซันเอ๊ย...     o7

ทายถูกด้วยวุ้ย...ไคล์ มากับพีท เอิ้กๆ
แย้วก้ออย่าบอกว่าว่า..พีทจะเป็น ยา สมานแผลใจ ให้ไคล์ นะ  คิคิ      :m1:
ถ้าคู่นี้ .. ลงตัวได้ ก้อดีโนะ    :m4:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: jedi2543 ที่ 05-09-2007 16:20:55
ชอบทั้งเหตุผลของซันในเรื่องการแสดงออก

และมุมมองความรักของเมฆ

เราว่าเมฆเป็นผู้ใหญ่มากๆ เลยและอ่อนโยนด้วย

เจอคนแบบนี้อยู่ใกล้ๆ เป็นเราก็ต้องหลงรักล่ะนะ


วันก่อนจะหาภาคก่อนของเรื่องนี้มาอ่าน ดันจำไม่ได้ว่าชื่ออะไร ใครก็ได้บอกชื่อหน่อยค่ะ :m5: :m5:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 05-09-2007 16:37:29
ชอบทั้งเหตุผลของซันในเรื่องการแสดงออก

และมุมมองความรักของเมฆ

เราว่าเมฆเป็นผู้ใหญ่มากๆ เลยและอ่อนโยนด้วย

เจอคนแบบนี้อยู่ใกล้ๆ เป็นเราก็ต้องหลงรักล่ะนะ


วันก่อนจะหาภาคก่อนของเรื่องนี้มาอ่าน ดันจำไม่ได้ว่าชื่ออะไร ใครก็ได้บอกชื่อหน่อยค่ะ :m5: :m5:

ขอบคุณมากๆคับ

ผมยังอยากได้แฟนอย่างไอ้ซันและกิ๊กอย่างไอ้เมฆเลย (อ้าว)

ภาคก่อนๆอยู่หน้าหนึ่งคับผม http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2104.0

ปล. ตั้งแต่ตอนที่สามสิบเอ็ดไปจะต่างออกไปนิดหน่อยนะครับ เตรียมตัวกันได้เลย....... และผมอยากบอกว่ามีหลายตอนที่ผมตั้งใจทำงานออกมามากๆๆๆอยู่ด้วยแหละ ขอให้สนุกนะคับ

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: jedi2543 ที่ 05-09-2007 17:53:07
โหย มีspoil ล่วงหน้าด้วย

อืม จำได้ว่าคนเขียนมีแฟนแล้วนา

ยังเคยอ่านเรื่องอยู่เลย

เห็นคบกันนานแล้วใช่มั้ย อืมๆๆๆ น่าเอาไปกระซิบบอกเด็กซะหน่อย

แต่ไม่เป็นไร เราก็ชอบปันใจให้นักเรียนในคลาสตัวเองเหมือนกัน

อยากลองกินเด็กเหมือนคนเขียน
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 05-09-2007 17:55:57
น่าฮักจางง
 :m11:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 05-09-2007 19:00:46
ตอนนี้ซึ้งจังเลย ... :m1:  :m1: แต่เจอคนแต่งสปอยซะน่ากลัวเชียะ  :a5:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 05-09-2007 19:18:45
อ้างถึง
อีกอย่าง กูกับมึงต้องอยู่กันแบบนี้ไปตลอดชีวิตนะ

 :m3: :m3: :m3: :m3:


อย่างนี้รักตายเยย
 :m18: :m18: :m18:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 05-09-2007 19:23:55
ซันน่ารักจริง ๆ ทำตัวดีขึ้นมาก ๆ เลย
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 05-09-2007 21:15:50
ตอนที่ 30


ผมพาไอ้ซันเดินดูรอบๆริมผานั้นเหมือนกับที่ผมเดินกับไคล์ เพียงแต่ครั้งนี้ ไอ้ซันจับมือของผมเอาไว้เกือบจะตลอดเวลายกเว้นเวลาถ่ายรูป ผมอายนะครับ อายมากด้วย แต่ไม่ใช่ว่าอายสายตาของคนอื่นที่มองเราสองคนหรอก แต่เป็นอายที่มันกำลังทำแบบนี้ต่างหาก

“ซัน ปล่อยมือกูเหอะ กูเขินว่ะ” ผมบอกมันหลังจากเราเดินกันอยู่ได้ราวๆสิบนาทีแล้ว

“เขินทำไม ไม่มีใครเขารู้จักเราสักหน่อย เจอกันครั้งเดียว เดี๋ยวพวกมันก็ลืมเราไปหมดแล้ว” มันพูด

“เรื่องนั้นมันก็ใช่ แต่เรื่องบางเรื่องเราเก็บไว้รู้กันแค่สองคนมั่งก็ได้นี่หว่า”

ไอ้ซันมองหน้าผมแล้วเงียบไปพักหนึ่งจากนั้นมันก็ปล่อยมือออก

“ที่มึงพูดมันก็จริง” มันยิ้มกว้าง

ใช่แล้ว การได้แสดงความรักน่ะมันก็ดีอยู่หรอก แต่มันก็ไม่จำเป็นที่เราจะต้องโพนทะนาบอกคนทั้งโลกให้รู้ว่าเรารักกัน ถ้ามันอยากจะจับมือผมเมื่อไหร่นั่นก็ได้เลย และถ้าผมอยากจะจับมือของมันเมื่อไหร่เวลาไหน ผมเองก็จะจับเช่นกัน ผมไม่มีปัญหาในเรื่องนั้นอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเราไม่ได้มีกันอยู่แค่สองคนในโลกนี้ และคนอื่นๆในโลกก็ไม่จำเป็นที่จะต้องรู้ว่าเราคบกันอยู่ ถึงเขาจะเห็นเราจับมือกัน ใช่ บางคนอาจไม่คิดอะไร บางคนอาจเห็นว่าเรารักกันดี และบางคนก็อาจจะไม่ชอบ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครสักคนที่รู้ว่าเราสองคนต้องผ่านต้องประสบกับอะไรมาบ้างถึงจะได้มายืนจับมือกันอยู่แบบนี้ ไม่มีสักคนในพวกนั้นที่จะเข้าใจ และเราก็ไม่จำเป็นต้องไปบอกพวกเขาทุกคนเรื่องนั้นด้วย ถ้ามันเป็นความรักของเราสองคน นั่นก็คือเรื่องของเราสองคนเท่านั้น ไม่จำเป็นว่าใครจะรู้ ใครจะเห็น หรือใครจะต้องเข้าใจ

“อืมมมม สดชื่นดีว่ะ” ไอ้ซันพูดพลางเหยียดแขนออกกว้าง

“ช่ายยย” ผมยืนเท้าแขนลงบนราวเหล็กข้างๆมัน

“นั่งเครื่องบินกับขับรถมาตั้งนาน ได้มาเจอความรู้สึกแบบนี้มันก็ดีนะ สบายใจดี แล้วดูท่าทางที่นี่จะเงียบสงบดีด้วย”

“นั่นสินะ แต่จะว่าไป มึงสนใจจะไปไฮค์รึเปล่า” ผมถามแล้วชี้ลงไปยังเส้นสีขาวๆข้างล่างเหล่านั้น “ไอ้ทางที่มึงเห็นนั่นน่ะ มึงคิดว่าไง สนใจจะเดินลงไปมั๊ย”

“อืมมมม” ไอ้ซันทำท่าครุ่นคิด “มึงอยากรึเปล่าล่ะ” มันหันมาถามผม

“พอแล้วซัน พอได้แล้วกับการตามใจกูน่ะ กูถามมึงก่อนนะ ว่ามึงอยากไปรึเปล่า ถ้ามึงไป กูก็ไปกับมึง แค่นั้นเอง” ผมบอก

“ก็กูอยากจะตามใจมึง กูรู้ตัวว่าปกติกูมันเอาแต่ใจมาหลายต่อหลายหนแล้ว” มันพูดด้วยน้ำเสียงแสดงความขอโทษและอยากจะเอาใจผมเต็มที่ “ไหนๆมึงก็ได้มาในที่ๆมึงอยากมา กูก็อยากให้มึงมีความสุข อย่าลืมสิว่าเรามาฮันนีมูนกันอยู่นะ กูบอกไอ้เด็กนั่นไปอย่างนั้นแล้วด้วย” มันยิ้มกว้าง

“อย่างแรกเลย เขาชื่อพีท ไม่ใช่ ‘ไอ้เด็กนั่น’ เรียกเขาให้มันดีๆหน่อย” ผมดุ “อย่างที่สอง ถ้าเรามาฮันนีมูนกันจริง กูก็อยากจะมีความสุขกับมึง อยากจะให้มึงมีความสุขกับกู ไม่จำเป็นว่ามึงต้องตามใจกูทุกอย่าง กูเองก็อยากจะเอาใจมึงด้วย และถ้าเราจะมาพบกันครึ่งทาง นั่นก็คือเราก็จะทำในเรื่องที่เราชอบและจะมีความสุขเหมือนๆกันด้วยกัน เข้าใจมั๊ย”

“โอเค ถ้าอย่างนั้น มึงอยากจะไปไฮค์รึเปล่า” มันถาม

“อยาก ถ้ามาแล้วก็อยากอยู่เหมือนกันแหละ แถมได้ทดสอบตัวเองดูด้วย” ผมหัวเราะเบาๆ

“แน่ใจนะ ว่ามึงไหว” มันถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงที่ซ่อนไว้ไม่มิด

“หมายความว่าไง มึงคิดว่ากูอ่อนแอขนาดนั้นเลยเหรอ ไอ้ซัน” ผมหันไปถามมัน

“เปล่า กูรู้ ว่ามึงแข็งแรง เรื่องนั้นน่ะกูไม่สงสัยหรอกน่า แต่ว่าไม่ใช่สุขภาพภายในของมึงหรอกที่กูเป็นห่วง” มันมองตาผมอย่างทะลุทะลวง

“งั้นมึงหมายความว่ายังไง” ผมถาม

“หัวเข่ากับข้อเท้าของมึงยังไงล่ะ” มันตอบด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด

ผมยืนนิ่งเพราะความประหลาดใจ นี่มันรู้ด้วยเหรอ นี่มันรู้ได้ยังไงกัน!

“มึงรู้ได้ไง” ผมอ้าปากค้าง

“ทำไมกูจะไม่รู้ล่ะ แฟนกูทั้งคนนี่หว่า” มันพูด

“มึงพอเลย ไม่ต้องมาโยกโย้ มึงบอกกูมาตามความเป็นจริง ซัน มึงรู้ได้ยังไง”

ไอ้ซันเงียบไปพักหนึ่งแล้วจึงพูดออกมา “กูเคยบอกมึงแล้ว ว่ากูคุยกับพ่อของมึง”

“พ่อกูบอกมึงเหรอ” ผมยังคงแปลกใจอยู่ “ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”

“อืมมมม เรื่องนี้มันก็พูดยากนะ” มันยิ้มเจ้าเล่ห์.......... อีกแล้ว

“มึงไม่ต้องมายิ้มแบบนี้ บอกกูมาเลย มึงชอบมีความลับกับกูมากจังนะ เรื่องที่มึงคุยกับพ่อแม่ของมึงก็ทีนึงแล้ว แถมนี่ยังเป็นพ่อ ‘ของกู’ อีกต่างหาก” ผมเน้น

“โอเคๆ ใจเย็นๆน่า มึงจะกินเลือดกินเนื้อแฟนตัวเองได้ลงคอเลยเหรอวะ” มันหัวเราะเบาๆ

“กูกัดมึงหัวกุดแน่ แล้วจะโยนกะโหลกกับกระดูกที่เหลือของมึงลงไปให้อีแร้งยักษ์กับไคโยตี้แถวนี้มันแทะเล่นด้วยถ้ามึงไม่บอกกู” ผมขู่

“เออน่า ก็ พ่อของมึงเขากำชับกูให้กูช่วยดูแลมึงเรื่องนี้ตอนก่อนเราจะมาที่นี่น่ะนะ” มันบอก

“มึงหมายความว่ายังไง ‘กำชับ’ มึงอย่าคิดว่ากูโง่นะไอ้ซัน มึงไม่ต้องมาทำเล่นลิ้นกับกู”

“โห มึงนี่ เออๆ ก็พ่อมึงเก็บอกกูมานานนนนแล้วล่ะ” มันลากเสียง “นานนน ประมาณว่า......... ตั้งแต่มึงยังไม่ฟื้นเลยล่ะมั๊ง”

“มึงว่าไงนะ!” ผมคำรามออกไปในลำคอเพื่อไม่ให้มันกลายเป็นเสียงตะโกน

“เอออ ก็ตอนที่มึงยังไม่ตื่นหมอก็บอกว่าหัวเข่าขวากับข้อเท้าซ้ายของมึงอาการรุนแรงอยู่เหมือนกัน แต่กูก็ไม่คิดหรอกว่ามันจะร้ายแรงมาก จนกระทั่งกูมาอยู่ที่อังกฤษแล้ว........”

“นี่มึงหมายความว่า พอมึงมาที่อังกฤษแล้ว มึงก็ยังคุยกับพ่อกูอยู่อีกเหรอ” ผมอ้าปากค้าง

“ช่ายย ก็เรื่อยๆน่ะนะ จริงๆแล้วก็ทั้งพ่อทั้งแม่ของกูเลยด้วยแหละ” มันยิ้ม

ผมตะลึงที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ ผมไม่คิดมาก่อนเลยว่าลับหลังผมมันจะเป็นแบบนี้ ผมไม่เคยรู้เลยว่าขณะที่ผมกำลังคิดถึงมันแทบตายขนาดไหน พ่อของผมกลับรู้เรื่องนี้ดีมาตลอด

“ก่อนที่มึงจะพูดอะไร ไอ้เมฆ มึงฟังกูนะ” ไอ้ซันพูดขึ้น “เราสองคนทั้งๆที่สามารถจะคุย จะติดต่อกันก็ได้ แต่เราก็ไม่เคยได้ทำมันเลย มึงคิดว่าเพราะอะไร.......”

ผมอ้าปากจะพูด แต่ก็ไม่มีเสียงใดๆหลุดออกไป เพราะผมคิดว่าผมรู้คำตอบอยู่แล้ว และมันเองก็คงรู้ด้วยเช่นกัน

“ใช่แล้ว มึงไม่จำเป็นต้องตอบหรอก เราต่างก็รู้ว่าทำไม เพราะงั้นมึงไม่ต้องโทษพ่อมึงเลยว่าทำไมเขาไม่บอกมึงเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ คือ มึงก็คงรู้อยู่แล้วว่าพ่อของมึงคุยกับพ่อแม่ของกู แต่มึงไม่รู้ว่าเขาคุยกับกูด้วย มึงรู้มั๊ยว่าเพราะอะไร เพราะว่าพ่อของมึงบอกกูเองน่ะสิ ว่าเขาจะไม่บอกมึงเรื่องนี้ เขาบอกว่าเขารู้ว่าถึงบอกไปมันก็ช่วยอะไรไม่ได้ อาจจะทำให้มึงแย่ลงด้วยซ้ำ แต่ว่ากูก็ไม่ได้คุยกับเขาบ่อยนักหรอก มึงไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น กูก็แค่ถามไถ่ว่ามึงเป็นยังไงและทำอะไรอยู่บ้างเท่านั้นเอง”

“แปลว่ามึงรู้เรื่องของกูมาตลอดเลยงั้นเหรอ” ผมถาม

“ก็ไม่เชิงหรอก ก็รู้เหมือนๆที่มึงรู้เรื่องของกูนั่นแหละ รู้ผ่านเพื่อนคนอื่นๆซะมาก แต่ที่รู้จากพ่อของมึงก็จะเป็นเรื่องที่คนอื่นๆไม่รู้ อย่างเช่นเรื่องขาของมึงไง” มันลดเสียงต่ำลงแสดงถึงความซีเรียส

“ตลอดเวลาเลยเหรอวะ ปีนึงเนี่ยนะ” ผมถาม ยังคงแปลกใจกับเรื่องที่เพิ่งรู้มาอยู่

“ใช่” มันพยักหน้า “และมึงอาจจะอยากรู้อะไรมากกว่านี้อีกนิดหน่อยด้วยนะ” มันยิ้ม

“อะไรวะ ยังมีอะไรอีก” ผมทำใจรอรับเรื่องที่กำลังจะได้ยินต่อไปเอาไว้

“พ่อของมึงเตรียมการให้มึงมาเรียนที่นี่ก่อนที่มึงจะขอเขาอีกด้วยซ้ำ” ไอ้ซันคงเห็นสีหน้าของผม มันจึงหัวเราะแล้วคว้าผมเข้าไปกอดแล้วตบบ่าเบาๆ จากนั้นก็คลายตัวผมออก “ใช่แล้ว ไอ้ตัวดี ถ้ามึงไม่บอกพ่อของมึงเรื่องที่จะมาหากู........ เอ๊ย มาเรียนที่อังกฤษล่ะก็ พ่อของมึงก็ต้องถามมึงเรื่องนั้นอยู่แล้วเหมือนกัน”

ทันใดนั้นความจริงทุกสิ่งทุกอย่างก็เหมือนจะกระแทกเข้าที่หน้าของผมแล้วทำให้ผมได้เห็นภาพอะไรหลายๆอย่างชัดเจนขึ้นมาเลยทีเดียว

พ่อของผมเคยพูดกับผมเรื่องของไอ้ซันหลายครั้งมากจริงๆนั่นล่ะ ถึงตอนนั้นผมจะคบอยู่กับนัท แต่พ่อของผมก็มองออกว่าผมไม่ได้มีความสุขกับเรื่องนั้นเลย ตอนที่ผมชอบฟังเพลงลึกสุดใจนั่น พ่อก็ชอบพูดบ่อยๆว่าให้เลิกฟังได้แล้ว นั่นมันหมายความว่าพ่อต้องรู้อยู่แล้วว่าสุดท้ายผมจะต้องได้มาพบกับไอ้ซันแบบนี้อยู่ดีน่ะเหรอ และมิน่าล่ะ ว่าทำไมพอผมคุยกับพี่ที่เป็นญาติของผมว่าผมจะมาเรียนต่อที่นี่ เขาถึงได้เห็นดีเห็นชอบและทำเหมือนกับว่ารู้อยู่แล้วว่าผมจะต้องมา แถมที่สำคัญ ทำไมผมไม่คิดมาก่อนเลยนะ ทำไมพ่อและแม่ของไอ้ซัน รวมทั้งพ่อของผมเองด้วย ถึงได้เตรียมพร้อมอะไรหลายๆอย่างไว้ให้ผมได้มากและเร็วขนาดนี้ แถมท่านทั้งสองคนก็ยังเคยบอกผมหลายต่อหลายหนแล้วว่าพวกท่านได้คุยกับพ่อของผมมานานและหลายครั้งแล้ว

ทำไมผมมันโง่ขนาดนี้เนี่ย!!

“คิดไม่ถึงสินะ” ไอ้ซันพูดขึ้น

“หุบปากไปเลยมึง!!” ผมหันไปตะคอกใส่มัน “มึงจะเข้าใจกูรึไง ว่ากูรู้สึกยังไงน่ะ! กูต้องอยู่กับความรู้สึกเหงาที่ต้องทนคิดถึงมึงมามากแค่ไหน! กูคิดว่ากูมีพ่อแค่เพียงคนเดียวที่กูรักและเชื่อใจได้ กูคิดว่าพ่อเองก็เข้าใจกู! แต่สุดท้ายมึงก็ไปคุยกับท่านลับหลังกู ทำเรื่องนั้นเรื่องนี้กันโดยที่กูไม่รู้เลย! กูต้องคิดอยู่คนเดียวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ร้องไห้คนเดียวไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่หน ไม่รู้กี่คืนต่อกี่คืนที่กูต้องตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วก็นอนร้องไห้เพราะความฝัน ความเหงาและความคิดถึงมึง! ความรู้สึกของคนที่ฟื้นขึ้นมาในโรงพยาบาลแล้วคลาดกับคนที่เขารักและรอคอยมาตลอดน่ะมันเป็นยังไง! ตอนนั้นกูไม่ได้คุยกับมึง กูรอคอยที่จะได้บอกมึงว่ากูขอโทษ รอคอยที่จะได้บอกมึงว่ากูรักมึง! แต่แล้วพอกูตื่นขึ้นมามึงก็ไม่อยู่แล้ว กูไม่ได้แม้แต่พูดคุยเพื่อจดจำเสียงหรือได้เห็นใบหน้าของมึงเป็นครั้งสุดท้าย! กูต้องทนอยู่กับความจริงที่ว่ากูจะไม่ได้เจอมึงอีกแล้วไปตลอดชีวิต ต้องทนเศร้าอยู่กับความรู้สึกที่เหมือนกับกูสูญเสียอะไรที่สำคัญมากๆในชีวิตกูไปหลายสัปดาห์! มึงจะรู้เรื่องนั้นบ้างมั๊ยเล่า! ไม่เลย มึงไม่เข้าใจเลยสักนิด ไอ้ซัน! มึงที่รู้ว่าจะได้เจอกูมาตลอดในขณะที่กูได้แต่ฝันว่าจะได้เจอมึงอีกครั้ง! ไม่มีใครเข้าใจกูสักคนแล้วยังทำแบบนี้กับกูได้!” ผมพูดออกมาเสียงดังพร้อมๆน้ำตาที่หลั่งไหลออกมาเป็นสาย ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าตัวเองเป็นอะไร แต่ผมหยุดมันไม่ได้ ผมไม่สามารถห้ามตัวเองไม่ให้คิดถึงเรื่องในตอนนั้น ห้ามไม่ให้รู้สึกแบบนี้ และไม่สามารถห้ามน้ำตาของตัวเองได้เลย

ไอ้ซันเองก็ผงะไปเหมือนกันเมื่อเห็นผมเป็นแบบนี้ มันคงไม่คิดว่าเรื่องที่มันเห็นว่าเป็นเรื่องตลกจะทำให้ผมต้องเจ็บปวดมากขนาดนี้

“เมฆ กูไม่รู้เลย ว่ามึงจะเสียใจมากขนาดนี้ กูขอโทษจริงๆว่ะ” พูดจบมันก็คว้าตัวผมเข้าไปกอด

ผมพยายามห้ามน้ำตาแล้วประคองตัวเองให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม เมื่อผมหยุดร้องไห้ได้แล้วผมจึงดันตัวออกจากอ้อมแขนของมัน

ไอ้ซันยังคงจับมือผมเอาไว้

“เมฆ มึงฟังกูบางอย่างนะ ไม่ว่ามึงจะพูดยังไงก็ตาม ไม่ว่ามึงจะคิดอะไรยังไง กูก็ขอยืนยันว่ากูเข้าใจความรู้สึกของมึง” ซันพูดเสียงเข้ม เน้นในประโยคที่ควรจะเน้น แต่ผมกลับส่ายหัว “มึงอย่าเพิ่งส่ายหัวสิ มึงเองก็คงคิดว่ากูไม่เข้าใจมึง หรือไม่มีใครเข้าใจมึงเลย แต่มึงคิดว่าตัวมึงเองเข้าใจกูและพ่อของมึงมั่งรึเปล่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่พ่อของมึงทำลงไปก็เพื่อตัวมึงทั้งนั้น”

ผมเงยหน้าขึ้นสบตากับมัน ไอ้ซันเอานิ้วมาปาดน้ำตาที่ค้างอยู่ตรงหางตาของผมออกเบาๆ

“กูเองก็เจ็บปวดมากเหมือนกันเมื่อตอนที่กูตัดสินใจว่ากูจะไม่บอกมึงเรื่องที่กูต้องมาเรียนที่อังกฤษน่ะ เอาล่ะ สำหรับเรื่องนั้นกูจะไม่ฟื้นฝอยแล้วก็ได้ เว้นแต่ว่าเมื่อไหร่ที่มึงถามกูถึงเหตุผลนั้น กูก็จะเล่าให้มึงฟัง แต่ตอนนี้มึงฟังถึงเรื่องที่มึงไม่เข้าใจทั้งหมดเสียก่อน” ไอ้ซันกุมมือของผมแน่นราวกับว่ากลัวว่าผมจะวิ่งหนีมันไปยังไงยังงั้น “กูเองก็เสียใจไม่น้อยกว่ามึงหรอกนะ หลังจากเรื่องที่กูทำพลาดลงไปทั้งหมดนั่นน่ะ กูจะบอกให้มึงรู้ไว้ และมึงเองก็คงรู้เรื่องนั้นดีอยู่แล้ว แต่ที่แย่ยิ่งกว่าทั้งหมดมันคืออะไรรู้มั๊ย มันคือการที่กูต้องเห็นหน้าของคนที่กูรักหลับอยู่โดยที่ไม่รู้ว่าเขาจะฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่ต่างหาก มึงรู้มั๊ย ทุกๆวันที่กูไปเยี่ยมมึง ทุกๆวันที่กูต้องเห็นใบหน้าของมึง เวลายิ่งผ่านไปๆมากเท่าไหร่ ความหวังที่ว่ากูจะได้เห็นมึงตื่นขึ้นมามันก็ยิ่งน้อยลงทุกทีๆ ไม่ใช่ว่ามึงอาการแย่ลงแล้วกำลังจะตายหรอก แต่เวลาของกูต่างหากที่กำลังจะหมดไป ตอนแรกกูกลัวมากแค่ไหนมึงไม่รู้หรอก กลัวว่ามึงจะไม่มีวันฟื้นขึ้นมาอีกเลย กูกลัวว่ามึงจะเป็นเจ้าชายนิทรา ถึงแม้หมอจะบอกกูว่ามึงไม่เป็นอะไรก็ตาม แต่คนที่รอน่ะ เมฆ ทั้งลุงเอกพ่อของมึง ทั้งกู และเพื่อนๆคนอื่นๆอีก คนที่รออย่างไม่รู้ว่าจะต้องรอจนถึงเมื่อไหร่ มันยากนะเมฆ ถึงหมอจะการันตี แต่ความกลัวของกูกับพ่อของมึงน่ะ มันไม่หมดไปง่ายๆหรอก และที่สำคัญ อย่างที่กูบอกไปแล้วว่าตอนนั้นเวลาของกูกำลังจะหมดลง กูกำลังจะต้องจากไปทั้งๆที่กูไม่อยากไป........ ทั้งๆที่กูไม่อยากทิ้งมึงไปไหนเลย.......... มึงคิดว่ากูจะรู้สึกยังไงกัน” ไอ้ซันเล่าและพยายามจะควบคุมน้ำเสียงของตัวเองให้เป็นปกติ ผมเห็นความหวาดกลัวในแววตาของมันได้อย่างชัดเจน

ผมไม่เคยรู้ ไม่เคยคิดเรื่องอะไรแบบนี้เลยจริงๆ สุดท้ายแล้วก็เป็นผมเองที่เอาแต่ใจตัวเองและเห็นแก่ตัวมาตลอด ผมไม่เคยเข้าใจความรู้สึกของมันเลยจริงๆด้วย..........

ผมเริ่มจะร้องไห้ออกมาเบาๆอีกครั้ง

ไอ้ซันหายใจเข้ายาวๆเพื่อควบคุมตัวเองไม่ให้ร้องไห้ไปกับผมด้วยและเอามือมาปาดน้ำตาออกให้ผมอย่างอ่อนโยน น้ำเสียงที่มันพูดออกมาต่อไปก็อ่อนโยนมากด้วยเช่นกัน

“กูไม่ได้พูดเพื่อให้มึงร้องไห้นะ เมฆ กูพูดเพื่อให้มึงมั่นใจว่าต่อจากนี้ไป เราสองคนจะมีอนาคตที่มั่นคงไปพร้อมๆกัน....... เอาล่ะ งั้นกูจะเล่าเลยต่อนะ ถ้ามึงยังอยากฟัง”

ผมกลืนน้ำลายและน้ำตาลงคอไปแล้วพยักหน้า

“กูได้เห็นหน้าของมึงก็จริง ใช่มึงพูดถูก กูอาจไม่รู้ว่ามึงเจ็บปวดขนาดไหนที่ต้องตื่นมาแล้วก็พบว่ากูจากไปแล้วและคงไม่มีวันได้พบกันอีก กูไม่เข้าใจตรงจุดนั้นเพราะกูได้เห็นหน้ามึงอยู่เกือบจะทุกวัน กูเสียใจที่มึงต้องตื่นขึ้นมาพบกับเหตุการณ์แบบนั้น แต่ว่า กูจะบอกให้ ศิลา......” ไอ้ซันเรียกผมด้วยชื่อจริง ซึ่งไม่บ่อยนักหรอกที่มันจะเรียกผมแบบนี้ “กูเองก็ต้องจากไปโดยที่ไม่ได้เห็นมึงตื่นขึ้นมาอย่างปลอดภัยเช่นเดียวกัน กูเองก็ไม่ได้ยินเสียงของมึงเป็นครั้งสุดท้าย และไม่ได้พูดคำว่าขอโทษและบอกรักมึงออกจากปากของกูเองเหมือนกัน แต่สุดท้ายแล้วเราเป็นยังไง เราต่างก็รู้ว่าเราสองคนควรทำยังไง เราต่างก็ไม่ได้ติดต่อกันเพราะคิดว่าแบบนั้นมันอาจจะดีที่สุดแล้วก็ได้ ต่างคนต่างทำใจและเดินต่อไป แต่กูล่ะ กูก็คงไม่รู้อะไรเลยถ้ากูไม่ได้คุยกับลุงเอก ตอนแรกๆกูก็ไม่ยอมคุยหรอก กูก็ถามเรื่องราวของมึงเอาจากพ่อแม่ของกูที่ได้คุยกับลุงเอกอีกทีเท่านั้น เพราะอะไรมึงรู้มั๊ย ถึงแม้ตอนแรกกูจะคุยกับลุงเอกเรื่องที่ว่ามึงฟื้นแล้ว และต่อมาก็ได้รู้ว่ามึงออกจากโรงพยาบาลแล้วก็เถอะ แต่ก็เพราะกูคิดว่ามันไม่แฟร์กับมึงนั่นแหละ กูถึงบอกเขาว่ากูอยากให้เขาบอกมึงด้วยว่ากูคุยกับเขาอยู่ ไม่อย่างนั้นกูก็ขอไม่คุยกับเขาเลยดีกว่า ซึ่งพูดตรงๆกูก็ไม่รู้หรอกนะว่ากูทำแบบนั้นทำไม กูไม่รู้ว่ากูมีเหตุผลอะไรนะ มันเป็นแค่วามรู้สึกของกูเท่านั้นเอง แต่สุดท้ายลุงเอกก็บอกกูว่าไม่เป็นอะไรหรอก แล้วอีกอย่าง จริงๆกูก็ไม่ได้คุยกับเขาบ่อยด้วย ลุงเอกบอกกูว่า เขารู้ว่าเรื่องทั้งหมดมันเป็นยังไง เขาถึงขนาดเล่าให้กูฟังเรื่องที่เขาเคยเจอและต้องผ่านพ้นอะไรมาบ้างกับแม่ของมึงด้วยซ้ำ”

เมื่อไอ้ซันเล่าถึงตอนนี้ผมก็ต้องแปลกใจอีกครั้ง นี่พ่อผมเล่าเรื่องตอนที่พ่อกับแม่ของผมคบกันให้มันฟังด้วยเหรอเนี่ย

“เขาเข้าใจว่า ไม่สำคัญหรอกว่าเราจะเป็นผู้ชายทั้งคู่ แต่ความรักก็คือความรัก พ่อของมึงบอกเหตุผลที่เขาไม่ยอมบอกมึงว่าเขาคุยกับกูว่า การที่เอาบาดแผลที่มึงอยากจะลืมไปตอกย้ำให้มึงในขณะที่มึงกำลังเจ็บช้ำและพยายามรักษาตัวด้วยตัวเองอย่างลูกผู้ชายอยู่แล้วนั้นมันไม่ใช่สิ่งที่ควรทำเลย ตอนแรกกูก็ไม่เข้าใจนักหรอกว่ามันหมายความว่าอะไร แต่ตอนหลังกูถึงได้เข้าใจเมื่อตอนที่ลุงเอกมาปรึกษาพ่อแม่ของกูเรื่องจะส่งมึงมาเรียนที่นี่ แน่นอน พ่อของมึงเขาทำเพื่อมึงคนเดียวเลยจริงๆ พ่อของมึงรักมึงมากที่สุดจริงๆ ไม่ใช่แค่เพราะเขาเห็นมึงไม่มีความสุขเรื่องของกูหรอกนะ แต่ลุงเอกเขารู้เลยว่าถ้ามันเป็นแบบนี้ต่อไป ชีวิตมึงต้องพังลงแน่”

ผมยืนฟังอย่างตั้งใจ และก็อดไม่ได้ด้วยที่จะรู้สึกประหลาดใจและสับสนกับเรื่องที่ได้ยินทั้งหมดนี้

“กูบอกแล้วว่ากูไม่ได้คุยกับลุงเอกบ่อยนัก ที่กูรู้ว่าพ่อของมึงวางแผนจะให้มึงมาเรียนที่นี่กูก็รู้มาจากแม่ของกูอีกที พ่อของมึงไม่ได้บอกกูด้วยตัวเอง มึงเห็นมั๊ย เราไม่ได้คุยกันมากไม่ได้สนิทกันมากและทำอะไรลับหลังมึงอย่างที่มึงเข้าใจหรอก ลุงเอกบอกกูว่าเขารู้ว่าสักวันมึงก็จะต้องขอมาเรียนที่นี่เอง และถ้าไม่ เขาก็ตั้งใจจะส่งมึงมาอยู่ดี แต่เขารู้ว่าสุดท้ายแล้วมึงก็ต้องตัดสินใจที่จะเติบโตขึ้นและเข้มแข็งขึ้นได้เอง”

“เดี๋ยวก่อน ซัน การที่กูมาหามึงเนี่ยนะ แปลว่ากูเติบโตขึ้นและเข้มแข็งขึ้น นั่นมันไม่ใช่เท่ากับว่ากูแก้ปัญหาไม่ได้ เอาชนะตัวเองไม่ได้ ไม่สามารถจะเติบโตต่อไปได้เองหรอกเหรอ”

“ผิดแล้ว” ไอ้ซันส่ายหน้า “พ่อของมึงเป็นคนที่สุดยอดมากๆเลยเมฆ กูจะบอกให้ เขาบอกกูว่าการที่มึงจะเติบโตและเข้มแข็งขึ้นได้เองนั้นก็คือการที่มึงสามารถ ‘ตัดสินใจได้เอง’ ว่ามึงเลือกที่จะมีความสุขในเส้นทางไหนต่างหาก ไม่ใช่ว่ามึงเลือกที่จะทนทุกข์ผ่านมันไปโดยไม่ทำอะไรเลย และสุดท้ายก็พลาดสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของมึงไป........ ก็ นี่คือสิ่งที่พ่อมึงพูดน่ะนะ”

ผมนั่งอึ้ง คราวนี้อึ้งที่สุดของที่สุดในชีวิตเลยจริงๆ! ในวันนี้ ในสองสามวันมานี้ ในหลายๆวันมานี้ ที่จริงแล้ว ในทั้งชีวิตของผมเลยด้วยซ้ำ ผมเจออะไรน่าเซอร์ไพรส์และน่าตกใจมามาก รวมทั้งเหตุการณ์ตอนที่ผมตื่นขึ้นมาบนเตียงของโรงพยาบาลด้วย แต่ผมสาบานเลยจริงๆว่าไม่มีครั้งไหนรวมทั้งครั้งนั้นจะทำให้ผมช็อคได้มากเท่านี้อีกแล้ว

น้ำตาของผมเริ่มไหลออกมาอีกครั้ง เป็นครั้งที่สามของครึ่งชั่วโมงนี้แล้วด้วย

“มึงร้องไห้อีกทำไม” ไอ้ซันพูดพร้อมดึงตัวผมเข้าไปกอด

“กูไม่ได้ร้องไห้ กู.... กูแค่...... กูก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่น้ำตามันไหลออกมาเองน่ะ” ผมพูดลงบนบ่าของมัน จากนั้นก็ดึงตัวเองออก “กูรักพ่อของกูมากๆเลย มึงรู้มั๊ย”

“กูรู้ พ่อของมึงเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมากที่สุดคนนึงเลย กูเองก็รักเขามากเหมือนกัน เพราะเขาเป็นคนที่ทำให้มึงเป็นมึงที่กูรักและยังทำให้กูได้กุมมือของมึงเอาไว้ได้แบบนี้ด้วย”


หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 05-09-2007 21:36:59
เหมือนพ่อจะรู้มาตลอดสินะว่าลูกคิดอะไรอยู่

แปลกเหมือนกันที่ยอมรับการตัดสินใจของลูก

ให้ก้าวเดินด้วยตัวเอง และคอยเป็นกำลังให้ห่างๆ
 :m1: :m1:

ต้องใช้เวลากันเนิ่นนานเหลือเกิน กว่าจะเข้าใจกัน

 :m29: :m29:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 06-09-2007 06:36:33
อ่านรวดเดียวจบ ยันสว่างเลย  :m11:  :m11:

ตอนนี้ความรักคงจะไม่เศร้าแล้วนะ

อุปสรรค์ก็ผ่านด้วยกันมาเยอะแระ

ผู้ปกครองก็เป็นใจ สู้ๆ ต่อไปจ๊ะ

รออ่านตอนต่อไปนะ  :m3:  :m3:





ปล. ขอตอนพิเศษด้วยนะจ๊ะ  :m26:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม (ภาคยาว)
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 06-09-2007 17:05:41
:o11:    ความเป็นพ่อ..เป็นแม่.... สิ่งสำคัญสุดในชีวิต

ลึกๆ คือได้เห็น ลูกมีความสุข  เติบโตได้ด้วยตัวของเขาเอง      o7

ไม่ว่าเขาจะเลือกเส้นทางแบบไหนก้อตาม    :m1:


ป๋อล๋อ*.... อ่านตอนนี้แล้ว "คิดตึ๋งพ่อจังเลย"    :m17:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 07-09-2007 10:04:31
โชคดีนะคับที่มีคุณพ่อที่เข้าใจหัวอกแบบนี้

หลายคนที่ไม่ดชคดีแบบนี้ คิดย้อนไปแล้วก็สงสาร
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: jedi2543 ที่ 07-09-2007 10:53:45
พอรู้ว่ารอตอนที่ 31 คนเขียนก็เลิกอัพต่อซะงั้น

รออยู่ค่ะ

ตอนแรกของเรื่องนี้ที่หารู้สึกจะเป็นเรื่องสั้นก่อนรถชนซันและเมฆน่ะค่ะ

จำได้ว่าเคยอ่าน แต่สงสัยไม่ใช่เวปนี้ เป็นไปได้ขอหลังไมค์นะคะ

นั่งคิดดู สองคนนี้ไม่รู้ว่าซวยหรือโชคดีที่เป็นแบบนี้

อะไรจะเจอรถชนหนักทั้งคู่ แถมรอดทั้งคู่อีก

ถ้าอย่างนั้น ขอให้รักกันยาวๆ นะ

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 07-09-2007 13:19:01
ปัญหาเรื่องที่บ้านเคลียร์แล้ว
ที่นี้ก้อเหลือแค่เรื่องเดียวแล้วซิ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 07-09-2007 20:09:54
ชอบพ่อเมฆจัง  :m13:  :m13:  :m13:

ปล.คุณ jedi2543 ภาคแรกของเรื่องนี้มี 2 ตอนค่ะ
ตอนแรก [เรื่องสั้น-จบแล้ว] เวลาที่ถูกหยุดเอาไว้
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=1060.0
ตอนสอง [เรื่องสั้น รับวันแห่งความรัก] เวลาที่เริ่มเดินอีกครั้ง...ภาคต่อ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=1127.0
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 07-09-2007 21:10:45
ตอนที่ 31


ผมไม่ชอบเวลาตัวเองอ่อนแอเลยจริงๆ ผมไม่เคยชอบเลยที่รู้สึกว่าตัวเองกำลังอ่อนไหว แต่ก็คงไม่มีผู้ชายคนไหนชอบที่จะเป็นอย่างนั้นหรอก ถึงอย่างไรก็ตาม ผมก็ไม่อายที่จะแสดงมันออกมา โดยเฉพาะคนที่เขากำลังปลอบโยนผมอยู่ก็คือมัน และที่สำคัญ ผมรู้ว่ามันเองก็รู้สึกอ่อนไหวไปกับผมมากด้วยเช่นกัน

เมื่อผมเริ่มรู้สึกดีขึ้น ภาพของสถานที่ที่ผมกับซันกำลังยืนอยู่ก็กลับมาอยู่ในสายตาของผมอีกครั้ง คนหลายคนที่เดินผ่านเราไปและหลายคนที่กำลังมองมาที่เรา ผมลืมไปเสียสนิทเลยว่าผมเพิ่งจะตะโกนและร้องไห้ใส่มันออกไปในที่สาธารณะ และที่สำคัญ ผมยังทั้งกอดและจับมือกับมันอีกด้วย

“ช่างมันเถอะ กูไม่แคร์หรอก” ไอ้ซันพูดขึ้นเหมือนจะอ่านใจผมออก “แต่กูว่ามึงรีบๆเช็ดน้ำตาให้หมด ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วเรารีบออกไปจากที่นี่ซะก็คงจะดีเหมือนกัน”

ผมมองหน้ามันแล้วก็เห็นว่ามันเองก็กำลังหน้าแดงอยู่เหมือนกัน ถึงปากมันจะพูดอย่างนู้นอย่างนี้แต่มันก็เป็นมนุษย์ธรรมดาๆคนนึงที่รู้จักอายคนอื่นเขาเหมือนกันนั่นแหละ เราสองคนหัวเราะเบาๆขึ้นพร้อมๆกัน

“ขอโทษทีว่ะ เลยพลอยทำมึงอายคนอื่นเขาไปด้วย” ผมพูดขณะที่กำลังเดินเร็วกว่าจำเป็นนิดหน่อยกลับไปยังรถของเรา

“ช่างเถอะ ความผิดกูเองแหละ กูไม่น่าทำให้มึงเสียใจเลย”

“ใครบอกมึงว่ากูเสียใจ กูดีใจต่างหาก ดีใจที่ได้รู้ความจริง และดีใจที่กูรู้ว่ากูมีคนหลายคนที่รักกูมากขนาดไหน และที่สำคัญที่สุด กูดีใจที่กูไม่ผิดหวังเลยที่เกิดมาเป็นลูกของพ่อกู”

“คิดได้อย่างนั้นก็ดี” ไอ้ซันเปิดประตูรถ และผมเองก็เช่นกัน

“แต่กูเสียใจอยู่อย่างเดียว......” ผมพูดเมื่อสอดตัวเข้าไปนั่งในรถและปิดประตูลงแล้ว

“อะไรวะ”

“กูเสียใจที่ทำให้มึงไม่ได้อยู่ชมวิวมากกว่านี้น่ะสิ มัวแต่มาคุยกับกูเลยเสียเวลาไปตั้งสิบห้านาทีเปล่าๆปลี้ๆ”

“ไม่สำคัญหรอก ยังมีเวลาอีกตั้งเยอะที่จะได้เที่ยว และที่สำคัญ ยังไงเดี๋ยวเราก็ได้เดินลงไปสัมผัสมันข้างล่างนั่นอยู่แล้วนี่” ไอ้ซันหันมายิ้มให้ผมก่อนสต๊าร์ทเครื่อง ผมเองก็ยิ้มตอบให้มันไปเช่นกัน

“ให้ตาย! วันนี้วันเดียวกูเสียน้ำตาไปกี่หนวะเนี่ย” ผมโอดครวญ ยกมือขึ้นปิดหน้าแล้วแหงนไปพิงพนักพิง

เมื่อไอ้ซันได้ยินอย่างนั้นมันก็หัวเราะออกมา แล้วเราสองคนก็หัวเราะไปพร้อมๆกัน

เราใช้เวลาเพียงแค่ไม่ถึงสิบนาทีขับรถไปยังลานจอดรถของแมสวิคตามที่พีทบอกพวกเราไว้ เมื่อเราขับรถผ่านโค้งตรงที่เห็นป้ายรถเฮอร์มิท เรสท์ที่นัดกับไคล์และพีทเอาไว้ และข้ามทางรถไฟไป เราก็เห็นเคบินมากมายหลายหลังตั้งเรียงรายอยู่ริมถนนด้านซ้ายมือ ส่วนเบื้องหน้าของเราคือแมสวิค คาเฟทีเรียตามที่พีทเคยบอก ซันเลี้ยวขวาเข้าลานจอดรถแล้วก็ดับเครื่องลง

“นี่กูคิดไปเองรึเปล่าวะ ว่าที่นี่มันดูดีกว่าที่ๆเราอยู่น่ะ” ไอ้ซันพูดขึ้นหลังจากเราลงจากรถแล้ว

ผมหันไปรอบๆก็เห็นว่าเบื้องหน้าของเราคือคาเฟทีเรียและกิ๊ฟท์ช็อปของแมสวิค ด้านหลังมีห้องพักลักษณะคล้ายๆกับที่ๆพวกเราพัก แต่ว่าสั้นกว่า มีจำนวนห้องน้อยกว่า และมีสองชั้น ดูลักษณะคล้ายๆกับบังกะโลริมหาดมากกว่าที่พักบนภูเขาแบบนี้ และยังมีอยู่หลายอาคารอีกด้วย ส่วนฝั่งตรงข้ามถนนก็คือเคบินหลายหลังที่พวกเราเห็นกันไปแล้วเมื่อครู่

“มึงก็พูดไป มันก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่หรอกกูว่า” ผมพูด “แต่กูว่าที่เป็นเคบินนี่น่าสนใจดีว่ะ”

“เคบินพนักงานที่พีทบอกน่ะเหรอ” มันมองตามสายตาของผมไปยังเคบินที่ตั้งเรียงรายกันแน่นขนัด

“ช่าย กูว่าน่านอนดีออก”

“ก็คงงั้น ตรงฝั่งนี้มีเคบินหลังใหญ่ๆด้วยนะ” ไอ้ซันชี้ไปอีกทางหนึ่งด้านข้างของลานจอดรถ

ผมหันไปมองตามทิศที่มันชี้แล้วก็เห็นเด็กไทย น่าจะใช่นะ จำนวนหนึ่งเดินเข้าเดินออกบ้านหลังหนึ่งอยู่ รวมทั้งเมื่อหันไปมองที่ป้ายรถหน้าคาเฟทีเรียก็เห็นเด็กวันรุ่นกลุ่มหนึ่งหลายคนทั้งคนไทยและคนชาติอื่นๆนั่งคุยยืนคุยรอรถกันอยู่ด้วย

“แล้วไงต่อดี เราจะไปไหนดี จะไปที่ๆนัดไอ้สองคนนั้นไว้เลย หรือว่าเราจะเข้าไปเดินเล่นในแมสวิคก่อนดี” ไอ้ซันถามความเห็นผม

“อืมมม มึงว่าไงอ่ะ”

“ไปเดินเล่นแถวๆนี้ดูก่อนดีกว่า ยังมีเวลาอีกตั้งเกือบครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงเวลานัด”

“โอเค” ผมตกลง จากนั้นเราสองคนก็เดินออกจากลานจอดรถตรงไปยังคาเฟทีเรีย เมื่อเราเดินผ่านกลุ่มคนที่ยืนอยู่ที่ป้ายรถบัส ผมสังเกตเห็นเด็กวัยรุ่นสองสามคนที่เป็นคนไทยมองมาที่ผมกับไอ้ซันแล้วหันไปซุบซิบกันบางอย่าง ผมเดาว่าเขาก็คงคิดว่าผมกับไอ้ซันเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทยหรือเปล่าอะไรพวกนั้นอีกตามเคย

เมื่อเราเดินผ่านประตูเลื่อนเข้าไป ด้านซ้ายมือของเราก็คือฟรอนท์เดสค์ของแมสวิค ส่วนทางขวามือมีโต๊ะทรานสปอตเทชั่น เดสค์สำหรับบริการข้อมูลนักท่องเที่ยวในเรื่องของการเดินทางและการท่องเที่ยวภายในแกรนด์ แคนยอนโดยมีพนักงานที่เป็นชาวอินเดียนแดงอย่างเห็นได้ชัดยืนประจำอยู่ เขามีผิวสีคล้ายๆคนไทยแต่ออกจะคล้ำกว่าจนคล้ายๆสีแดงนิดๆ โครงหน้าออกเหลี่ยมๆ จมูกโตๆ ผมยาวถักเปีย ดูเหมือนกับหัวหน้าเผ่าอะไรสักอย่างตามที่เรามักเห็นในหนังการ์ตูนบ่อยๆทีเดียว ส่วนทางด้านหลังของเขาก็คือประตูทางเข้าไปสู่ร้านกิฟท์ช็อป

“ไง เข้าไปดูมั๊ย” ซันถามผม

“ก็ ไปดิ่ เดินเข้าไปข้างในมันก็มีแต่ร้านอาหารไม่ใช่เหรอ เข้าไปเดินดูของเล่นๆก็ได้ ก่อนหน้านี้ที่ยาวาพายกูก็ยังไม่ได้ดูเลย” ผมตอบ จากนั้นเราสองคนก็เดินเข้าไปข้างในร้านด้วยกัน

ภายในร้านก็ออกแนวสีแดงๆส้มๆทึมๆ แน่นอนว่าถูกตบแต่งและออกแบบมาให้มีลักษณะเป็นแนวเนทีฟอเมริกันจริงๆ ของที่วางขายอยู่นั้นก็มีเยอะมากเหมือนกับที่ผมเห็นที่ยาวาพายเลย ผมและไอ้ซันเดินตรงไปหยุดอยู่ที่ๆเดียวกัน นั่นคือเคาน์เตอร์กระจกที่ตั้งอยู่กลางร้าน ข้างในตู้นั้นจะมีสินค้าจำพวกของทำมือ แหวน กำไล ของประดับตกแต่งบ้านชิ้นเล็กๆ หรือเครื่องประดับทั้งหลายแหล่ที่ค่อนข้างจะมีราคาแพง ไม่ว่าจะแหวน หรือตุ้มหู ยันไปจนถึงกำไล ของแทบทุกชิ้นจะทำมาจากหินชนิดต่างๆและบางชิ้นจะมีเอกลักษณ์มากโดยการมีสัญลักษณ์ของแกรนด์ แคนยอนสลักเอาไว้ อย่างเช่น สร้อยคอที่ผมกำลังสนใจอยู่นี้ ที่จี้มีรูปคล้ายอุ้งเท้าสัตว์สลักเอาไว้ และด้านหลังของจี้เขียนเอาไว้ว่า ‘สเตรงธ์’ หรือ ‘ความแข็งแรง’ นั่นเอง

“สนใจเหรอ” ไอ้ซันถามขึ้น

“อืมม สวยดี กูว่ามันเจ๋งดี มึงดูนี่ดิ่” ผมหยิบสร้อยคอออกมาจากชั้นที่ตั้งอยู่อีกสองสามเส้น “แต่ละรูปมันก็มีความหมายต่างๆกัน เห็นป่ะ”

“รูปนี้อะไรวะ” มันชี้ไปที่จี้อันที่มีรูปเขาวงกตและมีคนตัวเล็กๆอยู่ตรงกลาง จากนั้นก็พลิกดูด้านหลังของมัน “อืมมม ‘การผจญภัย’ งั้นเหรอ”

“เฮ้ย กูว่าเราไปกันเถอะ เดี๋ยวจะสายว่ะ จากที่ขับรถผ่านมาเมื่อกี๊ กูว่ามันก็ต้องใช้เวลาเดินอยู่เหมือนกันนะ” ผมเรียกมัน

“ก็จริง งั้นไปกันเถอะ” ไอ้ซันตอบตกลงแล้วก็แขวนสร้อยคอพวกนั้นกลับไปไว้ที่เดิม

แต่พอทันทีที่เราสองคนเดินออกมาจากประตูของร้าน เราก็ได้ยินเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งทักเราขึ้น

“อ้าว สวัสดีค่ะ”

ผมและซันหันไปตามที่มาของเสียง นก ผู้หญิงที่เราเจอพร้อมกับพีทที่ร้านอาหารของโรงแรมของเราเมื่อกลางวันนี่เอง เธอกำลังเดินออกมาจากทางร้านอาหารและตรงมาหาเราพร้อมเพื่อนของเธออีกสามคน เป็นผู้ชายหนึ่งคนและผู้หญิงอีกสองคน

“ครับ” ผมและซันพยักหน้าตอบเธอเกือบจะพร้อมๆกัน

“น้องอีกคนนึงที่ชื่อไคล์กำลังนั่งอยู่กับพีด้านในน่ะค่ะ” เธอชี้และหันไปทางด้านในของคาเฟทีเรีย “เห็นว่าจะไปดูพระอาทิตย์ตกกันเหรอคะ” เธอหันกลับมาถามเรา

“ครับ ใช่ครับ” ผมตอบ หันไปมองหน้ากับไอ้ซัน เพราะคิดว่าเราทั้งคู่ต่างก็คงสังเกตเห็นสายตาของเพื่อนๆของเธอที่มองมายังเราสองคน ไม่ใช่สายตาที่มองอย่างสงสัยในเรื่องความสัมพันธ์ของเราสองคนหรอก...... แต่ผมคิดว่าเป็นสายตาที่มองอย่าง ‘แทะโลม’ มากกว่า

“เมื่อกี๊บอกว่าสองคนนั่นอยู่ข้างในเหรอครับ” ไอ้ซันถามขึ้นบ้าง

“ใช่ค่ะ กำลังนั่งกินเค้กกินขนมกันอยู่” นกหัวเราะคิกคัก

ผมกับซันสบตากันอีกครั้ง ไอ้ซันยักไหล่ “งั้นไปหามันกันเถอะ ดีซะอีก ไม่ต้องไปคอยมันที่นั่น” มันพูด

“งั้นผมสองคนขอตัวก่อนนะครับ” ผมหันไปบอกนก จากนั้นเราก็เดินจากพวกเธอมา

ผมและซันกลับหลังหันแล้วเดินตรงเข้าไปในคาเฟทีเรีย เรามองหาสองคนนั้นอยู่ครู่หนึ่งก็เห็นไคล์และพีทนั่งกันอยู่สองคนที่โต๊ะตัวหนึ่งบริเวณมุมด้านในของร้าน เราสองคนเดินเข้าไปหาเขา และเมื่อไคล์เป็นคนเห็นเราก่อน เขาก็ยกมือขึ้นเรียก

“เฮ้ ศิลา ซัน มาที่นี่ได้ไงเนี่ย” ไคล์ร้องทัก ขณะที่เราเดินเข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดผมกับซันก็นั่งลงบนเก้าอี้ ผมนั่งข้างพีทส่วนซันนั่งข้างๆไคล์

“ขับรถมา” ไอ้ซันตอบ

“ตลกมากนะ ไอ้ซัน” ผมหันไปพูดกับมัน จากนั้นก็หันไปหาไคล์ “ส่วนพี่นั่งรถที่มันขับมาครับ”

เราทั้งสี่คนหัวเราะขึ้นพร้อมๆกัน

“ล้อเล่นๆ คือ ก็มาจอดรถอยู่ตรงนี้ไง แล้วเห็นมันมีเวลาก็เลยเข้ามาเดินดูของเล่นๆ พอดีเจอนกเพื่อนของพีทน่ะ” ผมหันไปหาพีท “แล้วเขาบอกว่าพีทอยู่กับไคล์ในนี้ ก็เลยเดินมาหา”

“เจอพี่นกด้วยเหรอครับ” พีทถาม

“ใช่ครับ” ผมพยักหน้า

“เมื่อกี๊พี่นกกับเพื่อนๆผมยังเพิ่งมานั่งกินด้วยกันอยู่เลยเหมือนกัน” พีทบอก

ผมมองจานเปล่าที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วก็ไม่สงสัยเลยว่าที่เขาเล่ามาเป็นความจริง เพราะบนโต๊ะมีแก้วน้ำวางอยู่หลายใบ รวมทั้งจานขนมและจานผลไม้อีกอย่างละสองใบด้วย

“งั้นเราจะไปกันเลยมั๊ย สองคนนี้กินกันเสร็จรึยังล่ะ” ซันถาม

“เสร็จนานแล้วครับ นั่งรอเวลาอยู่” ไคล์ตอบ

“งั้นเราก็ไปกันเลยเถอะ”

ผมและพีทพยักหน้าจากนั้นก็ลุกขึ้นยืนตามซันและไคล์ไป

เราสี่คนเดินออกจากแมสวิคแล้วตรงไปตามทางเดินเล็กๆเรียบถนนที่จะพาเราข้ามทางรถไฟที่ผมกับซันขับรถผ่านมาเมื่อครู่และเราก็จะเจอป้ายรถบัสที่ใช้เปลี่ยนสายสีน้ำเงินเป็นสายสีแดงที่จะพาเราไปดูพระอาทิตย์ตกดินในที่สุด

ระหว่างที่เราเดินคุยกันอยู่นั้น ไคล์ก็พูดเรื่องหนึ่งขึ้น

“พีท ทำไมไม่บอกสองคนนี้ไปล่ะ เรื่องนั้นน่ะ” ไคล์หันไปยิ้มกว้างให้พีท

ผมกับซันมองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็หันไปมองเขาเป็นตาเดียวกัน

“อ๋อ ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ” พีทพูดขึ้นเมื่อเห็นสายตาที่ผมกับซันมองเขาอยู่ “ก็แค่จริงๆแล้วผมไม่ได้ชื่อพีทเท่านั้นเอง แต่ชื่อพีต่างหาก คือ ชื่อพี มันตลกน่ะครับถ้าเป็นภาษาอังกฤษ มันฟังดูไม่ดี” พีทยกมือขึ้นเกาแก้มแล้วหันหันไปมองไคล์ที่กำลังหัวเราะเบาๆ

“ตอนทำป้ายชื่อผมก็เลยเติมลงไปอีกนิดหน่อยให้กลายเป็น พีท น่ะครับ เพื่อนผมหลายคนเล่นเปลี่ยนชื่อกันไปเลยก็มี อย่างเปลี่ยนเป็น พอลล่า หรือ ไม่ก็ ไมเคิล หรือ สเตฟานี่ยังมีเลย”

ซันหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินอย่างนั้น “เออ ฮาดีว่ะ อย่างนี้ก็เจ๋งดีนะ”

แต่ผมรู้สึกเหมือนกับโดนอะไรบางอย่างกระแทกเข้าที่หัวอย่างจัง

“ผมว่าชื่อคนไทยตลกดี ตั้งชื่อลูกว่า ‘พี’ เนี่ยนะ” ไคล์หัวเราะ “ผมจำได้ว่าตั้งแต่ผมเด็กๆแล้วที่ซันเคยบอกผมว่าเพื่อนของซันคนนึงชื่อ ‘พู’ น่ะ ตอนนั้นผมขำกลิ้งเลย”

ผมเห็นพีทหน้าเสียขึ้นมาทันที

“พอๆ พอได้แล้ว ไคล์ เสียมารยาทนะ” ไอ้ซันหันไปปรามไคล์

“ครับ ขอโทษที” ไคล์หยุดหัวเราะลงแล้วหันมาหาพีท “ผมขอโทษนะครับ พีท ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆนะ ผมมันชอบหัวเราะเล่นสนุกจนเกินเลยอยู่เรื่อย” ไคล์พูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่แสดงความเสียใจจริงๆ

“ไม่หรอกครับ ไม่เป็นอะไรหรอก” พีทบอกไคล์

“แล้วยังมีอีกนี่ ที่ว่าพีทเคยเรียนโรงเรียนเดียวกับซันกับศิลาน่ะ แถมเขายังเคยอยู่ชมรมบาสเหมือนศิลาด้วยนะ”

พีทหันมาสบตากับผมครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าช้าๆ “ใช่ครับ ผมเคยเรียนที่เดียวกับพี่ทั้งสองคน”

ผมหันไปมองหน้าไอ้ซันเพื่อดูว่าปฏิกิริยาของมันจะเป็นยังไง แต่สิ่งที่ผมเห็นก็คือสายตาของมันที่ไม่แสดงความรู้สึกใดๆออกมาเลย ไม่มีแววของความประหลาดใจ แปลกใจ หรือแม้แต่สัญญาณอะไรที่บ่งบอกว่ามันรู้อยู่แล้วด้วยซ้ำ แต่เป็นสายตาที่ผมรู้สึกว่ามันค่อนข้างจะเย็นชาและกำลังมองผมมาอย่างทะลุทะลวงทีเดียว

“มึงรู้อยู่แล้วเหรอ” ผมหยุดเดินแล้วถามไอ้ซัน ไคล์กับพีทก็หยุดแล้วหันมามองผมสองคนด้วยเหมือนกัน

“ทั้งสองคนเดินไปกันก่อนเถอะ เดี๋ยวอีกไม่เกินสิบนาทีพี่จะตามไป” ซันหันไปบอกทั้งคู่ ทั้งสองคนมีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย แต่พีทเท่านั้นที่ดูออกจะกังวลใจด้วย แต่ผมก็อาจคิดไปเองก็ได้เพราะปกติเขาก็มีสีหน้าเครียดๆแบบนี้เป็นปกติอยู่แล้ว

“มึงจำได้มาตลอดเลยงั้นเหรอ” ผมถามไอ้ซัน

“ถ้าจะพูดให้ถูกก็แค่คุ้นๆมากกว่า แต่ตอนนี้มึงนึกออกแล้วใช่มั๊ยล่ะ....... เรื่องของเด็กที่ชื่อพีในตอนนั้น”


หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 07-09-2007 21:33:11
นั่นปะไร ตาพีทมีอดีตกับสองคนนั่นด้วยวุ้ย ชักยุ่งไปกันใหญ่แล้ว  :a6:  :a6:  :a6:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 07-09-2007 23:13:21
อย่าบอกนะว่าโลกมันกลม   :a3:  :a3:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 08-09-2007 00:50:49
...การเดินทางของหนุ่มๆ เหมือนเดิน อยู่ บนเส้นรอบวงกลมเลยเนอะ    o15

 :a9:   โชคชะตา   หรือ ว่า โลกมันกลม   อย่าง หนึ่ง ว่า   หรือเปล่าน่อ...    :a11:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 09-09-2007 08:42:16
 :o :o :o :o
พีท่านคือใคร
 :m27: :m27: :m27:
เคยมีความรักความแค้นกันมาก่อนนี่เอง
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 10-09-2007 02:34:19
ตอนที่ 32


สิ่งที่กระแทกเข้าที่หัวของผมอย่างจังเมื่อครู่นี้มันก็คือ “ความทรงจำ” นี่เอง ทั้งรอยยิ้มของพีท หรือถ้าจะเรียกให้ถูกก็คือ พี ทั้งบุคลิกและหน้าตาของเขาที่ทำให้ผมรู้สึกสะดุดตาเขามาตั้งแต่แรก รวมทั้งความรู้สึกเหงาๆและความรู้สึกเศร้าๆเล็กน้อยที่ปั่นป่วนอยู่ในอกของผมที่ผมเคยรู้สึก ทั้งหมดนั่นก็เป็นเพราะผมเคยรู้จักเขามาก่อนนั่นเอง

“ตอนแรกกูก็ไม่แน่ใจหรอกว่าใช่รึเปล่า แต่ยังไงกูก็คิดว่าน่าจะใช่” ไอ้ซันพูดขึ้น

“แล้วทำไมมึงไม่บอกกูวะ...... เดี๋ยวซิ....” ผมนึกถึงครั้งแรกที่ผมได้เจอกับพีท “ตอนนั้นที่มึงบอกว่า มึงรู้อยู่แล้วว่าเขาเป็นคนไทยตอนที่กูบอกมึง...... แปลว่านี่มึงรู้มาตั้งแต่ตอนนั้นเลยเหรอ”

“ใช่ ก็คงอย่างนั้นแหละ” ไอ้ซันพยักหน้า

“ก็แล้วทำไมมึงไม่บอกกู” ผมถาม

“ก็กูไม่แน่ใจ และอีกอย่างกูเองก็มีหลายๆเหตุผลว่ะ อย่างเช่น กูไม่เห็นว่ากูจำเป็นต้องพูด ถ้ามึงนึกออก มึงก็คงนึกออกเองนั่นแหละ กูไม่อยากจะเป็นคนไปกระตุ้นมึงเรื่องนี้ อีกอย่าง กูไม่เห็นว่ามันจะสำคัญเท่าไหร่ด้วยว่ามึงจะจำเรื่องตอนนั้นได้รึเปล่า และที่สำคัญที่สุด กูไม่อยากจะให้มึงจำมันได้ด้วย” ไอ้ซันสบตากับผมนิ่ง “กูหึงมึง มึงเข้าใจมั๊ย”

“มึงหึงกูเหรอ” ผมยิ้มออกมาเล็กน้อย “เรื่องเมื่อตอนนั้นเนี่ยนะ”

ไอ้ซันทำท่าอึกอักเล็กน้อย “เออ ก็ใช่ คือ กูคิดว่าถ้ามึงจำเรื่องนั้นไม่ได้ไปเลย และถ้าพีมันไม่พูดอะไร มันก็คงจะดีกว่า แต่ถ้ามึงจำได้ คือ กูก็ไม่คิดว่ามึงจะคิดมากอะไรเกินเลยไปนักหรอกนะ แต่กูไม่รู้ว่าพีมันคิดยังไงนี่ คือ.... กูสับสนว่ะ กูขอโทษก็แล้วกัน ที่กูไม่ได้บอกมึงตั้งแต่แรก โอเคมั๊ย เมฆ” ไอ้ซันพูดโดยมีท่าทีลำบากใจ

ผมมองหน้ามันเฉยๆอยู่สักพักจากนั้นจึงยิ้มออกมา “ช่างเถอะ กูเข้าใจมึง” ผมตบบ่ามันเบาๆ “กูคิดว่า ถ้ากูนึกออกมันก็ดี มันเป็นความทรงจำของกูนี่ กูก็ต้องดีใจที่ได้มันกลับคืนมาบ้างอยู่แล้วล่ะ แต่ถ้ากูนึกไม่ออก กูก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร เพราะตอนนี้กูมีมึงอยู่แล้วนี่นะ ใช่ป่าว”

“มึงไม่โกรธกูเหมือนที่มึงโกรธตอนเรื่องพ่อของมึงแน่นะ”

“ไม่อ่ะ เรื่องนี้มันเล็กน้อยมากๆเลย มึงคิดดู มันเป็นแค่เศษเสี้ยวของความทรงจำที่พอกูถูกรถชนเบาๆเข้าทีเดียวกูก็ลืมมันไปเลยนะ” ผมหัวเราะ

“เบามากเลยนะมึง หลับไปตั้งหลายสิบวัน แถมพอตื่นขึ้นมาก็มีความทรงจำบางส่วนหายไปพร้อมๆอาการเจ็บหัวเข่ากับข้อเท้าอีก”

“แต่กูก็ไม่ได้ลืมมึงนี่” ผมจ้องมองดวงตาสีดำสนิทของมัน “สิ่งแรกที่กูนึกถึงตอนตื่นขึ้นมาก็คือวันที่ที่มึงต้องขึ้นเครื่องไป.......”

“ใช่ กูรู้แล้ว ในสมุดของมึง.....”

เราสองคนเงียบกันไปพักหนึ่ง จากนั้นผมก็พูดขึ้น

“เอาเหอะ ไปหาสองคนนั้นกันดีกว่า เดี๋ยวพวกเขารอนานแล้วเดี๋ยวจะพลาดรถไปซะก่อน” ผมบอก

“แล้วมึงจะทำยังไงต่อไป” ไอ้ซันถามผมขณะที่เราออกเดิน

“ไม่ทำไงอ่ะ ดูท่าทางแล้วพีก็คงจะจำกูได้เหมือนกัน แล้วพอกูนึกออกแล้วแบบนี้ ก็แค่คุยเป็นปกติไป ไม่เห็นจำเป็นต้องคิดมากเลย กูบอกแล้วไง ว่าเรื่องตอนนั้นมันไม่ได้สำคัญอะไรสำหรับกูเท่าไหร่หรอก”

ระหว่างที่เรากำลังเดินไปหาไคล์และพี ผมก็พยายามนึกและเรียบเรียงเรื่องราวที่ผมเคยลืมเลือนมันไปแล้วครั้งหนึ่งขึ้นมาอีกครั้ง.........


.
.
.


วันนั้นเป็นเช้าวันเสาร์ที่อากาศไม่ค่อยจะดีนัก ผมเองก็ไม่รู้ว่าผมมาทำอะไรที่นี่ในเวลานี้อยู่แบบนี้ แต่ผมรู้อยู่อย่างหนึ่งคือผมไม่อยากจะอยู่ที่บ้านเฉยๆ ไม่อย่างนั้นพ่อของผมต้องถามแน่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม

ผมรักพ่อของผมนะ รักมากด้วย แต่ผมก็ไม่คิดว่าท่านจะเข้าใจผมในเรื่องนี้

วันนี้เป็นวันเสาร์แรกของการปิดภาคเรียนของโรงเรียนของเรา แต่ถ้าจะพูดให้ชัดเจน มันก็คือการปิดเรียนมัธยมปลายของผมทั้งชีวิตเลยด้วย ผมนั่งอยู่ในศาลาเล็กๆใต้ตึกเรียนคนเดียว มองดูความเหงาและความว่างเปล่าของสถานที่ที่ผมจะไม่ได้มาเหยียบมันทุกๆวันอีกต่อไป ผมเพิ่งจะสอบเสร็จวันสุดท้ายเมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมา ส่วนชั้นปีอื่นๆที่เหลืออยู่ก็สอบวันสุดท้ายไปเมื่อวานนี้ เพราะฉะนั้นวันนี้จึงเป็นวันแรกที่เด็กนักเรียนทุกคนได้พักผ่อนและมีอิสระของการปิดเทอมอย่างเต็มที่

“อ้าว เมฆนี่นา มาทำอะไรล่ะเนี่ย” เสียงๆหนึ่งดังขึ้นทางด้านหลังของผม ผมจำเสียงนั้นได้ทันที

“หวัดดีครับ ลุง” ผมหันไปยกมือขึ้นไหว้ลุงกิตติ หรือที่พวกผมเรียกกันว่าลุงยาม ลุงคนนี้คือคนที่อยู่กับผมตอนที่เคยช่วยไอ้ซันเอาไว้เมื่ออุบัติเหตุครั้งนั้นนั่นเอง และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ผม ซัน และลุงก็กลายเป็นคนรู้จักที่ค่อนข้างสนิทกันไปโดยปริยาย

“เออๆ หวัดดี ว่าแต่มาทำอะไรล่ะเรา คิดถึงโรงเรียนรึไง เรียนจบแล้วนี่ ใช่มั๊ย” ลุงยามเดินตรงเข้ามาหาผมแล้วหัวเราะเบาๆ

“ก็ประมาณนั้นมั๊งลุง” ผมหัวเราะ “ว่าแต่เงียบจังเลยนะครับเนี่ย”

“ก็แหงล่ะ ขนาดอาจารย์ยังไม่ค่อยมากันเลย ว่าแต่ทำไมไม่ไปที่อื่นล่ะ มาทำอะไรที่โรงเรียน”

“ผมรักโรงเรียนไงลุง” ผมหัวเราะ

“เออๆ เข้าใจพูดเว้ย ก็แปลกคนดี แทนที่จะไปเที่ยวไปเดินห้างตามแบบวัยรุ่นคนอื่นๆกลับมานั่งอยู่คนเดียวในโรงเรียนแบบนี้ แถมนี่ฝนก็ท่าทางจะตกอีกต่างหาก”

“ก็เพราะฝนจะตกนั่นแหละ ผมถึงได้มาไงลุง อากาศแบบนี้คงไม่มีใครอยากออกจากบ้านหรอก”

ลุงยามมีสีหน้าแปลกใจกับคำพูดของผม แต่เขาก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรมากเพราะคงรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องที่เขาอยากจะรู้หรือควรจะสนใจ

“เออๆ เอาเถอะ งั้นลุงไปแล้วนะ ถ้าฝนตกก็หาที่หลบให้ดีก็แล้วกัน แล้วก่อนกลับแวะมาบอกลุงด้วยล่ะ”

“ครับลุง หวัดดีครับ” ผมยกมือขึ้นไหว้ จากนั้นลุงยามก็หันหลังเดินกลับไปพร้อมกับหัวเราะแล้วก็พูดออกมาดังๆ

“มันแปลกดีเว้ย เด็กพวกนี้ ไปเที่ยวไหนไม่ไป กลับชอบมานั่งเล่นอยู่ในโรงเรียนกัน”

ผมหันหลังกับไปมองลุงยามอีกครั้งเพราะคิดว่าตัวเองตีความหมายของคำพูดเมื่อครู่ไม่ผิด ทั้งคำว่า ‘พวกนี้’ และ ‘กัน’ ที่ลุงยามพูด มันหมายถึงว่าไม่ใช่มีแต่ผมคนเดียวสินะ แวบหนึ่งที่ผมคิดว่าอาจจะเป็นไอ้ซัน แต่สุดท้ายผมก็สะบัดหัว สลัดความคิดงี่เง่าๆ ความหวังล้มๆแล้งๆนั่นทิ้งไป ก่อนจะลุกขึ้นยืนและเดินออกจากศาลาตรงยังสนามบาส

ผมทะเลาะกับไอ้ซันมาหลายวันแล้ว นับตั้งแต่ที่เรามีปากเสียงกันเรื่องที่มันจะไปเรียนต่อที่อังกฤษและมันปิดบังผม ผมก็ไม่ได้คุยกับมันอีกเลย ที่ลุงยามเดาว่าผมมาที่นี่เพราะคิดถึงโรงเรียนนั้นมันก็ถูก แต่สิ่งที่ผมอยากจะคิดถึงมากที่สุดก็คือความทรงจำของไอ้ซันและผมในสถานที่แห่งนี้ต่างหาก ผมอยากจะจดจำเอาความทรงจำทั้งหมดตั้งแต่จุดเริ่มต้นไปจนถึง........ ให้ตายสิ ผมไม่อยากจะยอมรับเรื่องนี้เลย........ ไปจนถึงจุดสุดท้ายของผมกับมันเอาไว้ให้ได้ดีและยาวนานมากที่สุด

ผมเดินมาหยุดอยู่ที่สนามบาสแล้วก็ทิ้งตัวลงนั่ง ผมเงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้าก็เห็นว่าท้องฟ้ามันเริ่มครึ้มมากขึ้นเรื่อยๆทุกขณะ ลมก็เริ่มพัดแรงขึ้น แต่ก็ยังไม่ถึงกับที่ผมจะน่ากังวลนัก ผมเดาว่าอย่างน้อยๆก็น่าจะอีกราวๆชั่วโมงนึงฝนถึงจะเริ่มเทลงมา

“อ้าว ไอ้เมฆ มาทำอะไรวะน่ะ” เสียงอีกเสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางห้องพละ

ผมหันไปตามเสียงนั้นแล้วก็พบกับอาจารย์หนุ่มกำลังเข็นตะกร้าเก็บลูกบาสออกมาจากห้องเก็บของสำหรับวิชาพละ อาจารย์หนุ่มเป็นอาจารย์สอนวิชาพละและเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาชมรมบาสเก็ตบอลของผมด้วย

“อาจารย์ หวัดดีครับ” ผมลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงไปหาเขา “พอดีเลยอาจารย์ ผมขอยืมลูกบาสลูกนึงดิ่” ผมหัวเราะแหะๆ

“เฮ้ย เอ็งจะเอาไปทำอะไร ครูกำลังจะเก็บแล้วเนี่ย”

“เก็บอะไร อาจารย์ ผมเห็นอาจารย์กำลังเข็นมันออกมานะ” ผมเถียง

“ก็เออดิ่ เมื่อกี๊ก็มีเด็กคนนึงมาขอยื้มแล้วเพิ่งจะคืนได้แค่สิบห้านาทีเองมั๊ง ครูก็เพิ่งจะล็อกกุญแจไปเนี่ย”

“อ้าว มีคนมายืมไปแล้วด้วยเหรอ” ผมแปลกใจ

“ก็เออน่ะสิ จริงๆแล้ววันนี้ ผอ. ท่านสั่งให้ครูมาเก็บของในห้องพละนี่ให้เรียบร้อย นี่ก็กำลังจะจัดเรียงอะไรใหม่อีกนิดหน่อย ครูจะได้ไปเคลียร์เอกสารในห้องพักครูแล้วก็จะกลับบ้านสักที”

“น่านะ อาจารย์ ขอผมยืมแปบหนึ่ง ไหนๆผมก็เรียนจบแล้วนะครับ ขอแค่ครั้งสุดท้ายเองน่า ว่าแต่อาจารย์จะกลับกี่โมงอ่ะครับ เดี๋ยวผมเอามาคืนก่อนหน้านั้นให้เอง” ผมเริ่มทำอ้อน

อาจารย์หนุ่มทำท่าคิดอยู่พักหนึ่ง “เออๆ ก็ได้วะ เสร็จแล้วก็เอาไปคืนครูที่ห้องพักครูแล้วกัน เดี๋ยวครูต้องตรวจข้อสอบ เก็บรายงานอะไรอีกหลายอย่าง คงอีกนานแหละกว่าจะเสร็จ” พูดจบอาจารย์ก็ก้มลงไปไขกุญแจ แล้วโยนลูกบาสออกมาให้ผมลูกหนึ่ง “เอ้า นี่ถ้าเอ็งไม่ใช่นักกีฬา ไม่สนิทกับครู แล้วยังไม่ใช่เด็กที่เรียนจบจากที่นี่ไปแล้วนะ ไม่ได้อภิสิทธ์แบบนี้หรอกนะเว้ย”

ผมยิ้มกว้าง “ขอบคุณมากครับ อาจารย์” ผมยกมือไหว้เขาหนึ่งทีจากนั้นก็วิ่งเหยาะๆกลับไปยังสนามบาส

ผมยังจำประโยคที่มันเคยพูดกับผมเอาไว้ได้..... “ถ้าการเล่นบาสทำให้มึงมีความสุข และถ้าเวลาที่มึงมีเรื่องไม่สบายใจ ทำไมมึงก็ไม่เล่นมันซะล่ะ”

ผมย่อตัวต่ำลงเล็กน้อยแล้ววิ่งออกไปจนสุดฝีเท้าจากนั้นก็กระโดดลอยตัวสูงขึ้นแล้วก็กระแทกลูกบาสลงห่วงไปอย่างแรง!

ผมกลับมายืนบนสองเท้าแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ

แน่นอน ผมไม่ได้จำคำพูดของมันได้เพียงแค่นั้นด้วย ผมยังจำน้ำเสียง ท่าทาง และสัมผัสของมันในวันนั้นได้ดี..... “ถ้ามึงหายใจด้วยรูจมูกข้างเดียวไม่ถนัดล่ะก็....... กูจะเป็นจมูกอีกข้างให้มึงเอง”

แต่ตอนนี้ผมไม่เหลือรูจมูกจะเอาไว้หายใจอีกแล้ว! ไอ้คนที่เคยสัญญาว่าจะเป็นจมูกอีกข้างให้กับผมมันผิดคำพูดของมันไปแล้ว

ผมคว้าลูกบาสแล้วออกวิ่งอีกครั้ง จากกนั้นกระโดดตัวลอยแล้วปล่อยลูกบาสให้ลอดผ่านห่วงไป ผมทำแบบนี้อยู่อีกห้าหกครั้งทั้งสองแป้นของในสนาม ผมวิ่งไปกลับเต็มความยาวสนามเพื่อเรียกเหงื่อและออกแรงให้ได้มากที่สุด ผมกระโดดสุดแรง ผมวิ่งอย่างไม่หยุดพักขา ผมพยายามจะทำให้ตัวเองเหนื่อยให้มากที่สุดเพื่อที่จะได้ “หายใจ” และสูดเอาอากาศเข้าไปในปอดมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ หายใจเอาความจริงที่ผมต้องเผชิญเข้าไปซะ พยายามหายใจให้ได้ด้วยตัวเองตามลำพัง....... เพราะคนที่จะคอยช่วยเหลือผมอยู่ข้างๆนั้นมันไม่มีอีกแล้ว!

ผมหยุดยืนแล้วหอบแรงๆ เหงื่อที่ไหลออกมาเต็บใบหน้าของผมไหลลงมารวมกันที่ปลายคางแล้วก็หยดลงพื้นไปทีละหยด

ใบหน้าของมันเฝ้าลอยวนเวียนเข้ามาในหัวของผมอยู่ตลอดเวลา รอยยิ้มของมัน ใบหน้าของมันยามที่กำลังเขินอาย น้ำเสียง และเสียงหัวเราะของมัน..........

ผมหยิบลูกบาสขึ้นแล้วตั้งท่าจะออกวิ่งกลับไปยังแป้นบาสอีกฝั่งอีกครั้ง........

แต่ผมก้าวขาไม่ออกแล้ว

น้ำตาของผมมันเริ่มไหลรินออกมา...... ขาของผมไม่มีแรง แขนของผมเมื่อยล้า และหัวใจของผมมันก็เหนื่อยอ่อนเหลือเกินแล้วด้วย

“ไหนมึงบอกว่าถ้ากูเล่นบาสแล้วจะช่วยให้กูมีความสุขขึ้นได้ไง ซัน....... ไหนมึงบอกว่ามึงจะอยู่เป็นคนที่ช่วยกูหายใจในเวลาที่กูกำลังจะขาดอากาศไง.......” ผมพูดออกมาเบาๆและปล่อยให้น้ำตาค่อยๆไหลรินลงมาอาบแก้ม วาดหวังลมๆแล้งๆว่ามันจะได้ยิน........

สายฝนที่ตั้งเค้ามานานเริ่มโปรยปรายลงมา....... ผมเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าช้าๆ หยดเม็ดฝนเม็ดเล็กๆจากเพียงไม่กี่หยด เริ่มจะแปรเปลี่ยนเป็นสายฝนที่กำลังชำระล้างทุกสิ่งบนพื้นโลก รวมทั้งน้ำตาบนใบหน้าของผมด้วย

ผมเลี้ยงลูกบาสลงบนพื้นอีกสามสี่ครั้งจากนั้นก็วิ่งออกไปยังแป้นบาสแล้วก็กระโดดลอยตัวขึ้นชู๊ต ไม่รู้ว่าเพราะความลื่นของสนามบาสที่เริ่มเปียกแฉะ เพราะมือของผมที่เปียกน้ำ หรือเป็นเพราะตาของผมที่เริ่มพร่ามัวเพราะทั้งน้ำตาและหยดน้ำฝนกันแน่ แต่ลูกชู๊ตง่ายๆที่ผมไม่น่าจะพลาดก็กลับพลาดไป

ผมเดินไปหยิบลูกบาสที่กระดอนอยู่บนพื้นขึ้นมากอดแล้วทิ้งตัวลงนั่งชันเข่าอยู่ใต้แป้นบาส

น้ำตาที่ไหลอาบแก้มของผมไหลรวมปนไปกับสายน้ำที่ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า

ก้อนเมฆร่วงหล่นตกลงมาสู่พื้นดินแล้ว และนับจากนี้ ก้อนเมฆก็คงไม่มีทางได้ลอยเคียงคู่อยู่กับท้องฟ้าอีกต่อไป

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 10-09-2007 02:35:11
ผมนั่งกอดเข่าของตัวเองแล้วก็ร้องไห้ออกมาเบาๆอยู่ครู่หนึ่ง เสียงของสายฝนที่เทลงมาและสายฟ้าที่ร้องและพาดผ่านอยู่ด้านบนก็ช่วยกลบเสียงสะอื้นอันน่าเวทนาของผมเอาไว้ได้

ห้านาทีผ่านไป สิบนาทีผ่านไป ผมไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ ผมรู้สึกเหมือนกับผมเป็นคนๆเดียวที่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ไม่มีใครมองเห็นผม ไม่มีใครสนใจผม มีแค่ผม ลูกบาส และสายฝนเท่านั้น ผมเหงา ผมหนาว และผมเปียกปอน ผมเหนื่อย ผมท้อแท้ และผมไม่มีทางออก....... ผมค่อยๆชันตัวขึ้นช้าๆ ถือลูกบาสเอาไว้ในมือ จากนั้นก็ออกวิ่งอีกครั้ง............

สายฝนยังคงตกโปรยปรายอยู่อีกเป็นเวลานาน ผมเองก็ยังคงถือลูกบาส วิ่ง แล้วก็กระโดดอยู่คนเดียวแบบนั้นไปอีกนานเช่นกัน ผมไม่เคยคิดที่จะหลบฝน จะหลบไปทำไมล่ะ ในเมื่อมันก็เป็นแค่หยดน้ำที่ตกลงมาจากฟากฟ้าเท่านั้นเอง เป็นก้อนเมฆที่กลั่นตัวเป็นหยดน้ำลงมาสู่ผืนดิน เพราะงั้นแล้วทำไมผมถึงต้องเกรงกลัวมันด้วย เสียงฟ้าร้องฟ้าผ่า มันก็แค่เสียงร้องไห้และความเศร้าใจของก้อนเมฆที่ต้องลาจากท้องฟ้าอันเป็นที่รักของมันก็เท่านั้นเอง

ผมยังคงวิ่งและกระโดดอยู่ต่อไปจนฝนเริ่มจะซาลง ผมเหนื่อย หอบ และหมดแรง แต่ก่อนที่ฝนจะหยุดนั้น ผมจะขอชู๊ตลูกสุดท้ายลูกนี้ให้ลง ขอเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อเป็นการพิสูจน์ว่า ถ้าผมได้เล่นบาสในยามที่ผมไม่สบายใจแล้วนั้น มันจะทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นได้จริงๆหรือเปล่า..... เป็นการพิสูจ์คำพูดของมันคนนั้น.......

ผมก้มหน้า ค่อยๆอ้าปากสูดหายใจเข้าปอดเป็นจังหวะ หยดน้ำที่ไหลลงมาอาบแก้ม หยดน้ำที่ไหลอยู่ที่ปลายจมูก และปลายผมของผมค่อยๆหยดลงพื้นไปทีละหยดช้าๆ ผมเลี้ยงลูกบาสลงบนพื้นอีกสามสี่ครั้ง แต่ละครั้งที่ลูกบาสกระดอนลงกับพื้น น้ำที่เจิ่งนองอยู่บนพื้นก็กระเด็นมาโดนขาของผมด้วย ผมค่อยๆออกตัววิ่งอย่างช้าๆจากนั้นก็เร่งจนเร็วขึ้นเรื่อยๆๆ ผมย่อเข่าลงแล้วกระโดดด้วยขาขวาจนตัวลอยอยู่บนอากาศ จากนั้นก็เหยียดแขนออกไปจนสุดแล้วก็กระแทกลูกบาสลงห่วงไปอย่างรุนแรง

ลูกบาสที่ถูกกระแทกลงไปนั้นไหลลงห่วงลงไปอย่างรวดเร็ว ผมยิ้มออกมาให้กับตัวเองในจังหวะเดียวกับที่เท้าของผมกำลังจะแตะพื้น เมื่อเท้าของผมสัมผัสกับพื้นทั้งสองข้างแล้ว ผมก็วิ่งไปคว้าลูกบาสนั้นมาหนีบเอาไว้ในวงแขนพร้อมๆกับรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า

อย่างน้อยๆมันก็ไม่ได้ไร้ความหมายซะทีเดียวหรอกนะ

ผมยิ้มให้กับตัวเองได้จริงๆเป็นครั้งแรกของวัน ไม่หรอก ผมยังไม่คงรู้สึกสบายใจขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว ปัญหาทั้งหมดมันก็ยังคงไม่ได้ถูกแก้ไข แต่ว่านะ สำหรับการดั๊งค์ครั้งสุดท้ายเมื่อครู่นี้ มันมีอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกพอใจจริงๆ

ผมทิ้งตัวนั่งลงบนพื้นเปียกๆแล้วก็ยิ้มให้กับตัวเองท่ามกลางเม็ดฝนที่ยังคงโปรยปรายลงมาเบาๆ

“ไอ้เมฆ!!” เสียงของอาจารย์หนุ่มดังขึ้นอีกครั้งจากทางห้องเก็บอุปกรณ์

ผมหันกลับไปมองที่อาจารย์ช้าๆแล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่านี่ผมกำลังเปียกโชกเลย แถมยังทำลูกบาสของอาจารย์เลอะอีกต่างหาก

“เอ็งมานี่เลย! นี่เอ็งทำอะไรของเอ็งวะ!” อาจารย์หนุ่มกวักมือเรียกให้ผมเข้าไปหาด้วยสีหน้าไม่พอใจ

“ขอโทษทีครับ อาจารย์” ผมทำคอย่น

“เดี๋ยวก็ฟ้าผ่าตายหรอก ไอ้ห่า ทำไมไปเล่นอยู่ทั้งๆที่ฝนตกแบบนั้น”

“คือ..... มันติดลมน่ะครับ ขอโทษทีครับ เดี๋ยวผมเช็ดลูกบาสให้อาจารย์ก่อนแล้วกันนะครับ”

“เออ แต่เรื่องนั้นน่ะเอาไว้ก่อน แล้วนี่จะทำยังไง ตัวเปียกไปหมดแบบนี้แล้วเนี่ย” อาจารย์หนุ่มพูดพลางทำท่าฟึดฟัด ผมรู้ว่าเขาไม่ได้โกรธอะไรผมนักหรอก แต่เขาเป็นคนที่มีท่าทีแบบนี้อยู่แล้วต่างหาก ที่จริงเขาคงจะเป็นห่วงผมด้วยซ้ำ ไม่ใช่ไม่พอใจอะไรเลยแม้แต่น้อย

“ไม่เป็นไรหรอกครับ นั่งผึ่งลมนิดหน่อยเดี๋ยวก็แห้ง”

“เอ็งจะบ้ารึไง! หวัดกินกันพอดี เอางี้ มีผ้าขนหนูสะอาดๆอยู่ที่ห้องพักครูพละน่ะ เอ็งเอาไปใช้ก็ได้ อย่างน้อยๆก็เช็ดตัวให้มันแห้งก่อน ส่วนเสื้อผ้า........”

“เสื้อผ้านี่ไม่ต้องก็ได้ครับ แค่ผ้ามาเช็ดหัวเช็ดตัวหน่อยก็พอ ขอบคุณมากครับอาจารย์” ผมตั้งท่าจะเดินไปยังห้องพักครู แต่ก็ถูกห้ามเอาไว้เสียก่อน

“เดี๋ยว นั่นเอ็งจะไปไหน”

“อ้าว ก็ไปห้องพักครูไงครับ”

“จะบ้ารึไง เอาตัวเปียกๆเดินเข้าไปได้ยังไงกัน แล้วใครมันจะถู! ไม่ต้องๆ รออยู่นี่แหละ” อาจารย์หนุ่มสั่งผมแล้วก็หันไปหาห้องเก็บอุปกรณ์แล้วก็ร้องเรียก “พี! ออกมานี่ซิ ครูมีเรื่องจะวานหน่อย”

ไม่กี่วินาทีถัดมา เด็กหนุ่มคนหนึ่งในชุดนักเรียนคนหนึ่งก็เดินออกมา เขามีผมสั้นเกรียนตามแบบคนที่เรียนรด. ผิวขาวและโครงหน้าแบบมีเชื้อจีน แต่ที่สำคัญ ผมไม่คุ้นหน้าเขาเลย

“พี ครูวานไปหยิบผ้าขนหนูในห้องพักของครูพละบนตึกมาให้ไอ้รุ่นพี่เราหน่อยซิ”

“ครับ” เขารับคำสั้นๆจากนั้นนั้นออกวิ่งเหยาะๆไป

“ลูกอาจารย์เหรอครับ” ผมถามอาจารย์หนุ่ม

“ทะลึ่ง!” อาจารย์หนุ่มเขกหัวผมแรงๆหนึ่งที “เด็กใหม่น่ะ เพิ่งเข้ามากลางเทอม วันนี้ก็มาขอยืมลูกบาสไปเล่นเมื่อตอนเช้าเหมือนกัน”

“อ๋อ คนเนี๊ยเหรอครับ”

“ใช่ มีแววเหมือนกันนะ ครูว่าจะปั้นมันแทนเอ็งนั่นแหละ แต่ต้องจับมันเข้าชมรมให้ได้ก่อน” อาจารย์หนุ่มหัวเราะ

“แล้วเขามาทำไรที่โรงเรียนอ่ะ อาจารย์”

“อย่าไปถามถึงคนอื่นเลย ทีเอ็งยังมาได้”

“โถ่ อาจารย์ก็ ผมเรียนจบแล้วนะ เดี๋ยวก็ต้องลาจากโรงเรียนนี้ไปแล้ว ขอผมมาสร้างความหลังหน่อยไม่ได้รึไงครับ”

“สร้างความหลังโดยการเล่นบาสตากฝนเนี่ยนะ อกหักรึไงวะ”

“อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง อาจารย์ ตกลงเขามาทำไรที่นี่แต่เช้าล่ะ” ผมต่างหากที่พยายามเปลี่ยนเรื่อง

“ก็มาทำงาน ช่วยงานอาจารย์ท่านอื่นๆด้วยน่ะ ครูก็ไม่แน่ใจหรอก แต่เห็นว่าเพราะย้ายมากลางเทอมก็เลยต้องทำงานบางอย่างของบางวิชาเพื่อเป็นคะแนนเก็บน่ะ”

“อ๋ออ ครับ ว่าแต่น้องเขาชื่ออะไรนะครับ” ผมถาม

“ปฐพีน่ะ ชื่อเล่นชื่อ พี เอาล่ะ เอ็งถอดเสื้อออกซะ ไปผึ่งไว้ตรงมานั่งนั่นก่อน จะได้ไม่เป็นหวัด แล้วก็มาช่วยครูเก็บของหน่อยซิ”

ผมยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง เขาชื่อว่า ปฐพี อย่างนั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นแล้ว ก้อนเมฆที่กลายเป็นหยดน้ำแล้วร่วงหล่นมาสู่พื้นดินอย่างผมก็.......... หรือนี่มันหมายความว่า..........

ผมสลัดความคิดนั่นทิ้งไปซะ เขาจะเป็นพื้นดิน หรือ ปฐพีอะไรก็ไม่เกี่ยวกัผบมสักหน่อยนี่นา

ผมทำตามที่อาจารย์สั่งแล้วก็หันมาช่วยเขาย้ายของในห้องเก็บอุปกรณ์เข้าบ้างออกบ้างเพื่อจัดระเบียบแล้วก็ทำความสะอาดด้วย อีกไม่นาน เด็กหนุ่มคนนั้นก็วิ่งเหยาะๆกลับมา

“นี่ครับ” เขายื่นผ้าขนหนูให้แก่ผม

“ขอบคุณครับ” ผมรับผ้ามาแล้วก็หันไปหาอาจารย์ “อาจารย์งั้นผมขอเช็ดหน้าเช็ดหัวก่อนนะครับ เดี๋ยวกลับมาช่วย”

อาจารย์หนุ่มไม่ตอบแต่แค่โบกมือไปมาเท่านั้น ผมเดินถอยออกมาแล้วก็หลีกทางให้พีเดินเข้าห้องไปช่วยอาจารย์ทำงานต่อ ผมเดินมานั่งลงบนม้าหินใกล้ๆแล้วก็เช็ดหัวเช็ดตัวให้แห้ง อีกแค่ครู่หนึ่ง อาจารย์หนุ่มก็เดินออกมาแล้วสั่งงานให้กับผม

“เอาล่ะ เดี๋ยวครูกลับไปทำงานต่อก่อนนะ ครูสั่งงานไว้ที่พีแล้ว เดี๋ยวเมฆมาช่วยน้องเขาหน่อยก็แล้วกัน เหลืออีกไม่มากหรอก”

“ครับ ได้ครับ แล้วเดี๋ยวผมเอาผ้าไปคืนนะครับ”

“ไม่ต้องๆ” อาจารย์หนุ่มโบกมือ “เอากลับบ้านไปเหอะ กะอีแค่ผ้าผืนเดียว ถือว่าเป็นของขวัญเรียนจบจากครูก็แล้วกัน” เขาหัวเราะ

“โห ขอบคุณจริงๆครับอาจารย์” ผมยกมือขึ้นไหว้ จากนั้นอาจารย์หนุ่มก็เดินจากไป

ผมยืนขึ้นแล้วเดินเข้าไปหาพีในห้อง เมื่อเห็นหน้าเขาชัดๆผมถึงได้เห็นว่าเขาหน้าเด็กมากเลยจริงๆ แถมยังหล่อไม่เบาเลยด้วย

“มีอะไรให้ทำมั่งครับ” ผมถามเขา

พีหันมามองผมที่กำลังยืนอยู่หน้าห้องและแถมยังไม่ได้ใส่เสื้ออีกต่างหาก “อ๋อ ก็แค่ยกนี่ออกไปแล้วก็ทำความสะอาด ขนตะกร้าลูกบาสเข้ามา ตามด้วยยกไอ้นั่นกลับสู่ที่เดิมก็เสร็จแล้วครับ” เขาตอบหลังจากมองหน้าผมนิ่งๆอยู่ครู่หนึ่ง

“โอเคเลย” ผมตอบแล้วก็ช่วยเขาขนของจัดของ ถึงงานที่เหลืออยู่จะมีไม่มากนักแต่ก็ต้องใช้แรงงานพอดูเลยเหมือนกัน ผมกับเขาต่างคนต่างยกของกันอยู่เงียบๆ ไม่ได้มีใครพูดคุยอะไรกัน สำหรับเขาผมไม่รู้หรอก แต่สำหรับผมตอนนี้ ผมไม่มีอารมณ์อยากจะทำความรู้จักใครทั้งนั้น และยิ่งเป็นคนที่ผมเพิ่งจะเลยเถิดอะไรบ้าๆแบบนั้นออกไป

ผมเดินสวนกับพีที่กำลังเข็นตะกร้าใส่ลูกวอลเลย์ออกมาจากนอกห้องเพื่อที่จะทำความสะอาดพื้น แต่ทันใดนั้นเอง ล้อเล็กๆของตะกร้าก็สะดุดเข้ากับรอยแตกบนพื้น พีจึงเสียหลักและล้มลง

“โอ๊ยยย!” เขาร้องออกมาเขาล้มลง ผมหันไปเห็นหัวเข่าของเขากระแทกเข้ากับขอบยกพื้นที่ต่างระดับ ซึ่งตรงนั้นเป็นคอนกรีตหยาบล้วนๆ และข้อเท้าของเขาก็ยังพลิกผิดท่าตอนที่เขาล้มอีกด้วย

“เฮ้ย เป็นอะไรรึเปล่าครับ” ผมถามแล้ววิ่งเข้าไปหาเขา

“ไม่เป็นอะไรหรอกครับ แค่สะดุดนิดหน่อยน่ะ” เขาเอามือจับที่หัวเข่า

“เลือดออกด้วยนี่ เอางี้ ไปนั่งพักก่อนดีกว่า เดี๋ยวพี่ไปขอยามาให้” ผมยืนขึ้นแล้วส่งมือให้เขา เขามีท่าทางลังเลเล็กน้อยที่จะจับมัน และสุดท้ายเขาก็เลือกที่จะลุกขึ้นยืนด้วยตัวเอง ทว่าเมื่อเขาค่อยๆพยุงตัวขึ้นเขาก็เซจนล้มลง ผมรีบเข้าไปสอดแขนของเขาเอาไว้เพื่อไม่ให้เขาล้มลงไปหน้ากระแทกกับพื้นเอาอีก

“ก็บอกแล้ว ว่าจะช่วย ไหนเอาเข่ามาดูหน่อยซิ” ผมพยุงเขาขึ้นยืนแล้วก็ก้มลงไปดูที่หัวเข่าของเขา “เหมือนจะช้ำนะ จะเป็นห้อเลือดรึเปล่าก็ไม่รู้ แถมข้อเท้าอาจจะแพลงอีก อย่างนี้เจ็บแหงๆ มานี่เถอะครับ เดี๋ยวพี่พาไปนั่ง” คราวนี้ผมจับแขนเขาพาดรอบคอโดยไม่ต้องรีรอขออนุญาตเขาอีกเลย ผมพยุงเขาให้ค่อยๆเดินช้าๆไปยังม้านั่งตัวที่ใกล้ที่สุดตรงด้านหน้าสนามบาส ซึ่งก็คือม้านั่งตัวเดียวกับที่ผมผึ่งเสื้อเอาไว้นั่นเอง

“เฮ้ย ไอ้เมฆ” อีกครั้งที่มีคนเรียกชื่อของผม แต่คราวนี้มันเป็นสียงของไอ้วิท เพื่อนยากผมนี่เอง

“อ้าว นี่มึงมาทำอะไรวะเนี่ย” ผมหันไปถามมันที่กำลังเดินตรงเข้ามา

“กูนัดเจอคนอื่นๆที่นี่น่ะ ว่าแต่มึงเถอะ มาทำอะไรวะ เปียกไปหมด แล้วยังน้องคนนี้อีก เขาเป็นอะไร” ไอ้วิทหันไปมองยังพีที่กำลังนั่งก้มหน้าอยู่

“เจ็บที่หัวเข่าน่ะ แล้วก็ข้อเท้าด้วย ไม่รู้แพลงหรือซ้นหรือจะเป็นอะไรรึเปล่า เออ มึงยุ่งอยู่ป่าววะ กูวานมึงไปตามอาจารย์หนุ่มให้หน่อยดิ่ บอกเขาว่าเด็กที่ชื่อพีเจ็บข้อเท้าเพราะล้ม ให้อาจารย์มาช่วยดูหน่อย”

“เอออ....... ก็ได้วะ” วิทมีท่าทางลังเลเล็กน้อยก่อนจะตอบออกมา “แต่ว่า ถ้ามึงเจอพวกไอ้ป๋อม ก็บอกมันด้วยนะว่าเดี๋ยวกูมา”

“เออๆ ได้ เดี๋ยวกูจะไปขอยาที่ห้องพยาบาล ส่วนมึงไปตามอาจารย์ จะได้ไม่เสียเวลา” ผมบอกไอ้วิท มันพยักหน้ารับแล้วก็หันหลังออกเดินไปยังห้องพักครูทันที จากนั้นผมก็หันมาหาพี “เดี๋ยวพี่มาแล้วกันนะครับ รออยู่นี่ก่อน”

“เอ่อ พี่ครับ ผมไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ แค่นี้เอง” เขาพูด

“ช่างเหอะน่า เป็นแผลก็ใส่ยาไว้ก่อนก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย แถมดูซิเนี่ย แผลสกปรกจะตายไป ฝนมันเพิ่งตก ดินเลยติดเต็มหัวเข่าไปหมด เดี๋ยวพี่มานะครับ” ผมยิ้มให้เขาแล้วก็ออกวิ่งเหยาะๆไปยังห้องพยาบาล

โชคดีที่ห้องพยาบาลมีคนอยู่ ผมจึงขอแอลกอฮอล์ ยาใส่แผล สำลี และพลาสเตอร์มาหนึ่งอัน จากนั้นก็วิ่งกลับไปหาพีที่นั่งรออยู่ แต่เมื่อผมกลับไปถึงที่นั่น ผมก็พบกับไอ้ป๋อมตามที่ไอ้วิทบอกเอาไว้ว่า ‘คนอื่นๆ’ จะมาหา แต่คนที่อยู่กับไอ้ป๋อมด้วยนั้นก็คือไอ้ซัน

พวกไอ้ป๋อมที่ไอ้วิทเพิ่งบอกผมเมื่อกี๊นี้ก็คือ ไอ้ซันนี่เอง

“ไอ้วิทบอกว่าเดี๋ยวมันมาน่ะ กูใช้ให้มันไปตามอาจารย์หนุ่มมาดูอาการข้อเท้าน้องเขาอยู่” ผมบอกไอ้ป๋อมเมื่อผมกลับไปถึงม้านั่งแล้ว

“เออๆ ไม่เป็นไร ว่าแต่ทำไมมึงไม่ใส่ๆเสื้อสักทีวะ” ไอ้ป๋อมพูด

“ก็มันเปียกนี่ ช่างมันเหอะ ขอกูใส่ยาให้น้องเขาก่อนแล้วกัน” ผมนั่งคุกเข่าลงตรงหน้าของพีพูดกับไอ้ป๋อมโดยที่ไม่ได้สบตากับมัน และแน่นอนไม่ได้มองหน้าของไอ้ซันด้วย

“ไม่เป็นไรครับพี่ ผมทำเองก็ได้” พีพูดขึ้น

“ไม่เป็นไรน่า ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ” ผมเงยหน้าขึ้นไปยิ้มให้กับเขา แล้วก็ลงมือทำแผลให้เขา พีมีอาการสั่นเล็กน้อยเมื่อผมเอาแอลกอฮอล์เช็ดลงบนแผล ท่าทางจะแสบมาก จากนั้นผมก็ใส่ยาแล้วก็ปิดแผลอย่างเบามือ “เอาล่ะ เรียบร้อยแล้ว” ผมพูดแล้วลุกขึ้นยืน

“ขอบคุณมากครับพี่” เขาส่งยิ้มให้ผม เป็นครั้งแรกตั้งแต่ผมเจอเขามาเลยทีเดียวที่ผมเห็นเขายิ้มออกมา และมันดันทำให้ผมรู้สึกแปลกๆขึ้นมาข้างในอกทั้งๆที่ไอ้ซันก็ยืนอยู่ตรงนี้ด้วยนี่สิ

รอยยิ้มของปฐพี........

“นั่นไง อาจารย์มาแล้วน่ะ” ไอ้ป๋อมชี้ไปทางที่อาจารย์หนุ่มกับไอ้วิทกำลังเดินมา

“เป็นยังไงบ้าง พี” อาจารย์หนุ่มนั่งลงแล้วจับข้อเท้าของพีพลิกไปพลิกมา หลังจากเขาตรวจดูอยู่ครู่หนึ่งก็พูดขึ้น “ไม่เป็นอะไรหรอก แค่เจ็บน่ะนะ ไม่แพลง ไม่ซ้น อีกไม่กี่วันก็คงหาย”

“ขอบคุณครับ อาจารย์” พีพูด

“เออๆ ไม่เป็นไร ว่าแต่ไปทำอีท่าไหนล่ะเนี่ย”

“ตอนเลื่อนไอ้ตะกร้าลูกวอลเลย์น่ะครับ แล้วสะดุดไอ้รอยแตกตรงนั้นเข้า” ผมชี้ไปที่จุดเกิดเหตุ “แล้วก็หน้าคะมำสะดุดตรงพื้นต่างระดับนั่นอีก”

“ช่ายย ไอ้ตรงนั้นน่ะ เคยทำผมล้มมาแล้วเหมือนกันตอนมอสาม เมื่อไหร่จะซ่อมๆซะก็ไม่รู้” ไอ้ป๋อมพูดขึ้น

“จะซ่อมไม่ซ่อมพวกเอ็งก็เรียบจบกันหมดแล้วนี่ ว่าแต่นี่มาเพิ่มกันตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ มาทำอะไรกันวะ” อาจารย์หนุ่มถาม

“พวกมันตั้งใจจะไปเล่นเกมที่บ้านของผมกันน่ะครับ”ไอ้ซันตอบ

ผมรู้สึกว่าหัวใจของผมกระตุกเมื่อได้ยินมันพูดขึ้น

“เออๆ ก็ดี แต่ตอนนี้ครูรบกวนมาช่วยเก็บของนี่ก่อนซิ ไอ้พีมันก็ท่าจะไม่ไหวแล้ว ดีจริงเว้ย โผล่มาได้จังหวะพอดี”

“นั่นไง กูว่าแล้ววว” ไอ้ป๋อมร้อง “รู้งี้เมื่อกี๊กู........” มันพูดไม่จบประโยค

“รู้งี้มึงจะทำไมวะ” ผมหันไปถามมัน ไอ้วิทมีสีหน้าปรามไอ้ป๋อมเอาไว้ ส่วนไอ้ซันกลับทำสีหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“เปล่าๆ ไม่มีอะไร ช่างเหอะ มาเร็วๆ ทำงานๆๆๆ” ไอ้ป๋อมถกแขนเสื้อขึ้นแล้วก็เดินตรงไปยังห้องเก็บอุปกรณ์พละ ผม วิท และซันก็เดินตามไปเช่นเดียวกัน และเนื่องจากคราวนี้มีคนทำงานถึงสี่คนและงานก็เหลือไม่มากแล้วด้วย พวกเราจึงจัดเก็บของทั้งหมดได้อย่างรวดเร็ว โดยมีอาจารย์หนุ่มนั่งคุยและคอยมองอยู่กับพีที่ม้านั่ง

“อาจารย์ เสร็จแล้วครับ” ไอ้วิทร้องบอกอาจารย์หนุ่ม

“เออๆ ดี ขอบใจมาก คราวนี้พวกเอ็งจะไปไหนก็ไปกันเถอะ แล้วว่างๆก็อย่าลืมมาเยี่ยมครูบาอาจารย์เก่าๆมั่งก็แล้วกัน”

“คร้าบ ผมไม่ลืมหรอกครับ ‘จารย์” ไอ้ป๋อมยอกมือไหว้อาจารย์หนุ่ม

“แล้วก็เรา พี เอาไงดี เดี๋ยวต้องขึ้นไปหาอาจารย์ท่านอื่นอีกใช่มั๊ย” อาจารย์หนุ่มหันไปหาพี

“ครับ” เขาพยักหน้าตอบเบาๆ

“ไหวรึเปล่า”

“ไหวครับ ผมไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกครับ ขอบคุณมากครับอาจารย์”

“เออๆ ไม่เป็นไร งั้นครูไปก่อนนะ โชคดีหนุ่มๆ” พูดจบอาจารย์หนุ่มก็หันหลังเดินกลับไป

ส่วนผมก็หันมาหาไอ้วิทกับไอ้ป๋อม และแน่นอน พยายามอย่างที่สุดที่จะไม่สบตากับไอ้ซัน “เดี๋ยวมึงต้องไปกันต่อใช่มั๊ย มึงไปกันเหอะงั้น เดี๋ยวกูเอายาไปคืนที่ห้องพยาบาลก่อน เที่ยวให้สนุกนะเว้ย แล้วก็ขอบใจมากที่มาช่วย”

“แล้วมึงจะเอาไงต่อ ไอ้เมฆ เปียกเป็นลูกหมาตกน้ำเลยมึง เดี๋ยวก็หวัดแดกหรอก ระวังจะหายไม่ทันไปเที่ยวทะเลนะเว้ย” ไอ้วิทพูด

“เออน่า หายไม่ทันกูก็คงไม่ไปว่ะ......” ผมพูดเบาๆ

“มึงหมายความว่ามึงจะไม่ไปเหรอ” ไอ้ป๋อมถามขึ้นบ้าง

“กู....... กูก็ไม่รู้ว่ะ กูไม่รู้ว่าตอนนี้กูควรจะไปรึเปล่า” ผมพูดอย่างมีความหมายแอบแฝง และแน่นอน ว่าพวกมันทั้ง ‘สาม’ คนก็คงเข้าที่ผมพูด

“รีบไปเหอะ ไอ้ป๋อม ไอ้วิท” ไอ้ซันพูดขึ้นทันทีด้วยน้ำเสียงรำคาญใจจากนั้นก็ออกเดินไปทันที ทั้งสองคนมีท่าทางตกใจเล็กน้อยแต่ไอ้ป๋อมก็รีบวิ่งเหยาะตามไอ้ซันไปติดๆ ส่วนไอ้วิทยังคงมองหน้าผมอยู่ด้วยสายตาตำหนิ

“อะไร” ผมถาม ทั้งๆที่ก็รู้อยู่แก่ใจ

“มึงไม่น่าพูดแบบนั้น ไอ้เมฆ” ไอ้วิทพูด “ถ้ามึงไม่ไปทะเลนะ มีเคืองจริงๆแน่ ไอ้สัตว์”

“แล้วถ้ากูไปทั้งๆแบบนี้มันจะไม่ทำให้พวกมึงกร่อยกันรึไง”

“เรื่องนั้นกูไม่สน กร่อยไม่กร่อยกูไม่รู้ มันยังเป็นอนาคต กูรู้แต่ถ้ามึงไม่ไป กูกับมึงมีเคืองกันจริงๆแน่ เรื่องนี้ต่างหากที่รับประกันได้ และเผลอๆจะไม่ใช่กูคนเดียวด้วย.......”

ผมหันหน้าหนีไปทางอื่น เข้าใจความหมายองมันทุกอย่าง “เออๆ กูรู้”

“และอีกอย่างนะ.......” ไอ้วิทลดเสียงลง “จริงๆแล้ว ไอ้ซัน ไอ้ป๋อม รวมทั้งกู เห็นมึงช่วยอาจารย์ยกของกับน้องเขามาตั้งนานแล้วด้วย คือเผลอๆกูว่าโดยเฉพาะไอ้ซันน่ะนะ.......” ไอ้วิทกระซิบแล้วเหมือนจะเหม่อ คิดอะไรกับตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง “เออ ช่างเหอะ เอาเป็นว่าถ้าพูดกันตรงๆก็ตั้งแต่แรกเลยด้วยซ้ำ และกูไม่รู้นะว่ามันคิดยังไง คือตอนแรกมันก็ไม่ได้มีอะไรหรอก แต่พอมึง.........” มันชำเลืองมองไปทางพีที่นั่งอยู่ข้างหลังผม “เออๆ ช่างแม่งวะ เอาเป็นว่ามันไม่ค่อยจะชอบใจนักหรอก แบบว่าอยู่ดีๆมันก็อารมณ์เสียขึ้นมาเลยซะด้วยซ้ำ มึงก็คิดเอาเองก็แล้วกัน” เมื่อพูดจบมันก็วิ่งออกไปทันที ทิ้งผมให้ยืนงงจากคำพูดของมันอยู่แบบนั้น

เมื่อเหลือเพียงผมกับพี เขามองหน้าผมอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็ขอตัวกลับไปหาอาจารย์บนตึกต่อ ส่วนผมก็แยกจากเขามาและเอายาไปคืนที่ห้องพยาบาล

เมื่อผมอยู่คนเดียว ผมก็อดคิดถึงเรื่องที่ไอ้วิทบอกผมไม่ได้จริงๆ มันมีความหมายยังไงกันแน่นะ ผมพยายามเฝ้าหาคำตอบ แต่ก็คิดไม่ออกจริงๆว่ามันจะสื่ออะไรกับผม ไอ้ครั้นจะโทรถามมันก็คงทำไม่ได้ เพราะมันอยู่กับไอ้ซัน แต่แล้วความคิดอื่นก็แล่นเข้ามาในหัวของผม นั่นก็คือ การตัดสินใจเรื่องไปเที่ยวทะเลและความอยากจะคืนดีกับไอ้ซัน เพราะเมื่อครู่ผมเพิ่งทำให้ทั้งไอ้ซันและไอ้วิทไม่พอใจ และแน่นอน ถ้าผมตัดสินใจทำอะไรผิดไปแม้แต่นิดเดียว ผมก็คงทำให้เพื่อนอีกหลายๆคนไม่พอใจเป็นแน่

และนั่นคือสิ่งที่ทำให้ผมกังวลมากกว่าสิ่งอื่นเลยในตลอดเวลาสองสามวันถัดมา.................


.
.
.


“หลังจากนั้นกูก็ลืมเขาไปเลย คือ จริงๆก็ไม่ได้ลืมหรอก แต่เป็นเพราะกูมีอะไรอย่างอื่นให้คิดมากกว่าน่ะ” ผมบอกไอ้ซันขณะที่เรากำลังเดินตามไคล์และพีไป “ว่าแต่มึงเถอะ จำเขาได้ขนาดไหนวะ”

“ก็ ถ้าพูดถึงเรื่องในวันนั้นกูก็พอจำได้อยู่หรอก แต่ว่าถ้าหน้าตาของเขาล่ะก็ ไม่เลยว่ะ คือถ้าจู่ๆจะให้กูนึกถึงหน้าของเด็กคนนั้นเลยก็คงไม่มีทาง แต่พอได้เห็นหน้าเขาแล้วกูถึงนึกออกน่ะ แต่ที่กูคิดว่าแปลกน่ะ ก็คือมึง”

“กูเนี่ยนะ” ผมหันไปมองมันด้วยความสงสัย

“ใช่ มึงนั่นแหละ กูแปลกใจว่าทำไมมึงถึงได้จำเขาหรือเหตุการณ์ในวันนั้นไม่ได้เลย แต่อยู่ๆพอจะจำได้ก็จำได้เสียเฉยๆ ถ้าบอกว่าเป็นเพราะอุบัติเหตุครั้งนั้นล่ะก็ มึงมีลืมหรือสูญเสียความทรงจำเรื่องอื่นๆไปอีกบ้างรึเปล่า” มันพูดด้วยความเป็นห่วง

“เฮ้ย ไม่มีๆ คือ แรกๆก็มีบ้าง ที่กูเบลอๆอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่ถึงกับลืมอะไรไปเลยนะ”

“ก็นั่นน่ะสิ แล้วทำไมมึงถึงลืมเรื่องของพีไปได้”

“อืมมมม...... กูก็ไม่รู้หรอก แต่กูคิดว่ากูพอจะรู้นะ.........” ผมยิ้มที่มุมปาก

“อะไรวะ”

“เพราะตอนนั้นกูมีเรื่องอื่นให้ต้องคิดมากกว่าไง ก็อย่างที่กูบอก หลังจากตอนนั้นกูกังวลเรื่องของคนบางคนมากกว่าอย่างอื่น และอาจจะประกอบกับการถูกรถชนด้วย กูก็เลยยิ่งคิดถึงแต่เรื่องของมึงเข้าไปอีก เพราะงั้นพอตื่นขึ้นมา เรื่องราวในวันนั้นก็เลยหายไปจากหัวของกูหมดเลย”

“หลังจากตอนนั้นแล้วมึงกังวลเรื่องอะไรวะ” ไอ้ซันถาม

ผมหันไปยิ้มให้กับมัน

“กังวลว่าจะทำยังไงให้เขาคนนั้นรักกูล่ะมั๊ง.......”

แต่แทนที่ไอ้ซันจะส่งเสียงล้อเลียนหรือทำเหมือนจะอ้วกอย่างที่ผมคิด มันกลับส่งยิ้มกว้างกลับมาให้ผมแทน

“งั้นมึงก็คงกังวลเรื่องเดียวกับคนๆนั้นนั่นแหละ กูว่า”


หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: ~prince™~ ที่ 10-09-2007 12:13:15
............ออ........เรื่องราวมันเป็นแบบนี้เองหรอ.......

..............อืม...อืม................................... :m18:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 10-09-2007 12:44:24
เป็นอดีตที่น่ารักมาก ที่กังวัลเรื่องเดียวกันน่ะ อิอิ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 10-09-2007 17:01:14
:m1:   :m1:   :m1:   ที่แท้ ก้อเป็น แบบนี้ นิเอง    :m1:   :m1:   :m1: 

 :impress:    กังวลเรื่องเดียวกันอีกนะ เอิ้กๆ  ใจมันช่างตรงกันเสียนี่กระไร   :impress:

 :m3:    โลกมันกลม  เส้นทางเดิน มันก้อกลม แล้ว ใจ มันก้อตรงกันอีก     :m3:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 10-09-2007 18:08:41
 :m1:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 10-09-2007 20:10:24
อืม ศิลา ฟ้าคราม ปฐพี .... แล้วจะมีสายน้ำมารึเปล่าน้า  :m13:  :m13:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 10-09-2007 22:21:56
ยังไม่ค่อยเข้าใจซันแหะ

ไม่รักแล้วหวงทำไม

 :m28: :m28: :m28:

ไม่เกิดวันนี้ คนนี้ ก็ต้องเกิดจนได้
เมื่อรักก็บอกออกมาสิ
 :m18: :m18: :m18:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 11-09-2007 14:16:37
ตอนที่ 33 : ความทรงจำเมื่อหนึ่งปีก่อนของซัน


“ซัน มึงว่าคนนั้นคนเอเชียรึเปล่า” เมฆชี้ไปที่ผู้หญิงที่ยืนขายอาหารอยู่แล้วกระซิบถามผม

“คนอินเดียนว่ะ พวกอินเดียนแดงน่ะ มึงดูเค้าไว้เปียสิ” ผมบอกมัน เพราะผมรู้มาว่าแถวนี้เป็นที่ๆมีชนเผ่าพื้นเมืองอยู่เยอะ

ไอ้เมฆดูจะสนใจกับเรื่องเชื้อชาติของคนที่ขายของอยู่ที่นี่แต่ละคนไม่น้อยทีเดียว มันเองก็เหมือนกับเด็กๆล่ะนะ ไอ้ความเป็นคนอารมณ์ดีและชอบแสดงความรู้สึกออกมาของมันยังไงๆก็ถูกปกปิดด้วยท่าทางและบุคลิกหลอกๆนั่นได้ไม่มิดสักทีหรอก บางครั้งมันก็ชอบวางท่านิ่งทำตัวเป็นผู้ใหญ่ ทั้งๆที่จริงๆแล้วข้างในของมันก็ยังมีความเป็นเด็กอยู่ค่อนข้างเยอะทีเดียว แต่ก็ใช่ ที่ว่ามันนั้นก็มีความคิดความอ่านและความเป็นผู้ใหญ่อยู่สูงมากด้วย เวลาอยู่กับมัน ไม่ว่าจะใครก็ตามก็คงต้องรู้สึกแบบนั้นและต้องรู้สึกว่ามันเป็นที่พึ่งพาได้อย่างแน่นอน ผมว่านั่นก็คงเป็นเพราะพ่อของมันนี่แหละที่เลี้ยงดูมันได้อย่างนี้

ผมเองก็รู้สึกดีที่ได้อยู่กับมันแบบนั้นเช่นกัน แต่ตอนนี้ ผมชอบที่จะได้เห็นความเป็นเด็กของมันอย่างนี้มากกว่า

ถึงมันจะตบตาใครๆเรื่องที่มันตื่นเต้นที่จะได้มาเที่ยว หรือแสร้งทำเป็นวางมาดยังไง มันก็ใช้ไม่ได้ผลกับผมหรอก ผมมองหน้ามันที่กำลังหันไปมองรอบๆตัวอยู่แล้วก็รู้สึกขำขึ้นมา ผมชอบเวลาที่มันทำตัวเป็นเด็กๆแต่ก็ยังอุตส่าห์เก็บความรู้สึกเอาไว้แบบนี้จริงๆ ผมว่ามันดูน่ารักดีเวลาที่เป็นแบบนี้

“แล้วคนนั้นล่ะ” เมฆชี้ให้ผมหันไปมองเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังยืนขายอาหารอยู่ที่สเตชั่นไก่ทอด

ผมหันไปมองตามที่มันชี้แล้วก็ต้องรู้สึกประหลาดใจกับสิ่งที่ผมเห็น เด็กหนุ่มคนที่กำลังยืนขายของให้ลูกค้าต่างชาติอยู่นั่นคือคนที่ผมคิดว่าผมรู้จักนะ...........

หน้าตาดี ผิวขาว หน้าเด็ก ดูมีเชื้อจีน....... ความทรงจำในวันนั้นที่ผมเองก็เกือบจะลืมมันไปแล้วเริ่มวิ่งกลับเข้ามาในหัวของผมทันที

 “เฮ้ย มองอะไรนานนักวะ” ไอ้เมฆกระทุ้งที่สีข้างของผม

“โอ๊ย” ผมร้องแล้วเอามือถูที่สีข้างเบาๆ นี่มันจำเด็กคนนั้นไม่ได้หรือเนี่ย

“กูรู้ว่าเขาหน้าตาดี แต่มึงจะมองนานไปหน่อยไหม” มันแซวผม

“เปล่าๆ กูไม่ได้มองเขาเพราะหน้าตาดี......” ผมหันไปมองยังเด็กหนุ่มคนนั้นอีกครั้ง “แต่ว่า......”

แต่ว่ามันคุ้นมากจริงๆ ผมหันกลับมามองหน้าของไอ้เมฆที่ดูจะจำเขาคนนั้นไม่ได้เลยจริงๆและกำลังจะอ้าปากถามมันขึ้น แต่ปรากฏว่าไคล์ก็เข้ามาขัดจังหวะเอาไว้เสียก่อน

ผมขอตัวเดินไปซื้ออาหารที่อังเทร่เพราะคิดว่าเด็กคนนั้นก็คงจะจำไอ้เมฆได้แน่ๆ แต่ผมไม่รู้ว่าเขาจะจำผมได้รึเปล่า ผมยังไม่อยากให้เขาเห็นหน้าผมในตอนนี้ แต่เมื่อซื้ออาหารเสร็จ ผมก็ถึงคิดได้ว่าแล้วทำไมผมจะต้องหลบหน้าหลบตาเขาด้วย ถ้าเขาจำไอ้เมฆได้แล้วพูดอะไรขึ้นมา ยังไงเดี๋ยวไอ้เมฆมันก็ต้องนึกออกขึ้นมาอยู่ดีนั่นแหละ ผมจึงเดินตรงไปหาไอ้เมฆที่กำลังยืนคุยกับเขาอยู่พอดี........... ถ้าจำไม่ผิด รู้สึกว่าเขาจะชื่อ พี รึไงนี่แหละนะ

“ซัน นี่คนไทยจริงๆด้วยว่ะ ชื่อ...... พีท” ไอ้เมฆบอกผม เมื่อผมเดินเข้าไปหามันและได้เห็นหน้าของเด็กคนนี้ชัดๆ

ชื่อพีทอย่างนั้นเหรอ......... ชื่อคล้าย แต่หน้านี่ใช่แน่ สงสัยว่าคงจะเปลี่ยนชื่อเอารึเปล่า เพราะว่าชื่อพีมันคงฟังดูไม่ดีเท่าไหร่ถ้าให้ฝรั่งเรียกน่ะนะ

แต่ไอ้เมฆนี่สิ ดูท่าจะจำเขาไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียวจริงๆ นี่มันเพราะอะไรกัน

“เออ กูรู้อยู่แล้ว” ผมพูด จากนั้นก็หันไปพูดสวัสดีกับเขา สายตาที่เขามองผมอยู่นั่น....... ชัดเลย เขาจำผมสองคนได้จริงๆนั่นแหละ

“มึงรู้ได้ไง ว่าเขาเป็นคนไทย” ไอ้เมฆหันมาถามผม

ทำไมมันเซ่อขนาดนี้วะเนี่ย

“ก็กูไม่เซ่อเหมือนมึงนี่ ไอ้เมฆ” ผมพูดแล้วก็เดินไปจ่ายเงินทันที ดูท่าทางพีก็จะยังไม่ได้พูดอะไรกับเมฆที่เป็นการเตือนความทรงจำของมันไป แล้วผมล่ะ ผมควรจะบอกมันหรือเปล่า ถ้าเกิดมันลืมเรื่องของวันนั้นไปแล้วจริงๆ ผมควรจะบอกมันมั๊ยว่าเราสามคนเคยเจอกันมาก่อน

ขณะที่นั่งกินข้าวผมก็นั่งมองหน้าของไอ้เมฆ คิดถึงช่วงเวลาที่ผมกับมันเคยทะเลาะกันเมื่อปีก่อนไปด้วย ในตอนนั้นเราไม่ได้คุยกันนานมากจริงๆ และยิ่งปกติเราจะคุยกันทุกๆวันอยู่แล้วด้วย ไอ้ความรู้สึกของความเหงามันก็ยิ่งต้องมีมากขึ้นเป็นของธรรมดาๆ ไม่ได้คุยกันสามวันก็รู้สึกเหมือนกับสามสัปดาห์ และตอนนั้นเราไม่ได้คุยกันราวๆสามสัปดาห์ มันทำให้ผมรู้สึกยาวนานราวกับสามเดือนเลยทีเดียว ตอนนั้นผมต้องทนอยู่กับความรู้สึกผิดและความทรมานใจอย่างไร้ที่สิ้นสุด

เราสามคนนั่งคุยกันเรื่องแผนการที่จะเที่ยวอยู่ครู่ใหญ่ๆ พีก็เดินมาและเมฆก็เรียกเขาให้นั่งลงด้วย

ผมรู้สึกไม่สบายใจเลยจริงๆ ผมนั่งมองพีด้วยความไม่ค่อยจะชอบใจเท่าใดนัก ดูเขาเป็นคนเงียบๆ พูดไม่เก่ง ซึ่งก็น่าจะเป็นอย่างนั้นเท่าที่ผมจำได้ เพราะงั้นระหว่างที่คุยกันอยู่นี้ผมไม่คิดว่าเขาคงจะรื้อฟื้นเรื่องเก่าๆนั่นอะไรขึ้นมาหรอก มีอยู่แวบหนึ่งผมยังคิดว่าเขาอาจจะลืมมันไปแล้วเสียด้วยซ้ำ แต่เมื่อผมได้เห็นแววตาที่เขามองไอ้เมฆแล้ว ผมรู้ได้ชัดเจนเลยว่ามันเองก็ชอบไอ้เมฆ และเผลอๆ คงจะต้องใช้คำว่า ‘ยังชอบ’ ไอ้เมฆอยู่ด้วยซ้ำ

และนอกจากตอนนี้ไอ้เมฆมันจะไม่รู้ตัวแล้ว.......... ผมว่าในตอนนั้นมันก็คงไม่เคยรู้ตัวด้วยเช่นกัน

นี่มันบ้าอะไรกันวะ! ตอนนั้นได้เจอกันแค่แปบเดียว ไอ้เมฆก็ทำคนอื่นตกหลุมรักมันได้แล้วอย่างนั้นเหรอ!

ผมล่ะเซ็งกับไอ้ความมีเสน่ห์ของแฟนตัวเองจริงๆ!


.
.
.


เมื่อปีก่อนหลังจากเราสอบวันสุดท้ายเสร็จแล้ว คืนนั้น ผมก็ได้รับโทรศัพท์จากไอ้เพื่อนตัวดีของผม

“ไอ้ซัน พรุ่งนี้กูกับไอ้ป๋อมจะไปบ้านมึงนะ” ไอ้วิทพูดขึ้นหลังจากผมรับโทรศัพท์

“เออ ก็ได้” ผมตอบกลับไปสั้นๆ

“เฮ้ย มึงจะไม่ถามหน่อยเหรอวะ ว่าจะไปทำไม” มันถาม

“ไม่อ่ะ มึงจะมาก็มากันดิ่ กูก็ไม่ได้ว่าอะไร”

“เออๆ คือ กูจะว่าจะไปเล่นเกมบ้านมึงว่ะ ไอ้ป๋อมมันเพิ่งโทรมาชวนกูเมื่อกี๊ แล้วก็กูเลยว่าจะไปคุยกับมึงเรื่องไปทะเลด้วย ตกลงมึงไปชัวร์นะ”

“เออ ก็คงงั้น”

“อะไรของมึงวะ ‘ก็คงงั้น’ นี่มึงอย่าบอกนะว่ามึงไม่ชัวร์ว่าจะไปรึเปล่าน่ะ” ไอ้วิทถามเสียงหงุดหงิด ซึ่งผมก็พอรู้ว่าเพราะอะไร

“เปล่า กูไปแน่ เออ มึงไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” ผมย้ำ

“เออ เพื่อนๆกันทั้งนั้น มึงจะคิดมากทำไมวะ แล้วอีกอย่างเดี๋ยวมึงก็จะไม่อยู่แล้ว ถ้ามึงไม่ไป ได้มีเจ็บก่อนขึ้นเครื่องแน่มึง!” มันย้ำผมด้วยเสียงที่เหมือนเกือบจะเป็นเสียงขู่

“กูรู้น่า มึงไม่ต้องห่วงหรอก ว่าแต่จะเข้ามากี่โมง” ผมถาม

“น่าจะประมาณสายๆเที่ยงๆว่ะ มึงมารับพวกกูหน่อยดิ่”

“รับทำห่าอะไร มึงก็เข้ามาเองดิ่วะ” ผมบอกปัดไปอย่างรำคาญ

“ไม่เอาอ่ะ ไอ้สัตว์ บ้านมึงลึกโคตร กูจำทางไม่ได้ เอาเป็นว่ากูกับไอ้ป๋อมจะไปรอมึงที่โรงเรียนก็แล้วกัน เพราะงั้น มึงไปเจอกูสองคนที่โรงเรียน โอเค ขอบใจมากเว้ย ไปและ” พูดจบมันก็วางสายไปเลยทันที

ผมเองก็ไม่ได้คิดอะไรมากกับเรื่องที่มันจะมาที่บ้านผมหรือที่มันจะให้ผมไปรับที่โรงเรียนหรอก แต่ผมคิดมากในเรื่องที่มันเพิ่งจะย้ำผมไปต่างหาก มันทำให้ผมคิดถึงเรื่องของไอ้เมฆ.......... รู้ทั้งรู้ว่าผมเป็นคนเลือกทางเดินนี้เอง รู้ทั้งรู้ว่ามันก็คงจะโกรธและไม่อยากคุยกับผม แต่ผมก็ยังคงเจ็บปวด ยังคงรู้สึกเสียใจทุกครั้งที่ต้องรับรู้ความเป็นจริงว่าผมกับมันคงจะต้องเป็นแบบนี้ไปจน ‘วันสุดท้าย’ ของเราทั้งสอง

แต่ผมก็แอบหวังอยู่ในใจนะว่า เมื่อเราได้ไปทะเลกัน ผมจะหาทางใช้โอกาสนี้เพื่อคุยกับมัน และขอให้มันเข้าใจผม........ ไม่ใช่สิ ผมขอแค่ได้คุยกับมันและได้บอกกับมันไปว่าจริงๆแล้วผมรู้สึกยังไงกับมันก็พอ ไม่สำคัญว่ามันจะยกโทษให้ผมหรือจะยังคงโกรธเกลียดผมต่อไปหรือเปล่าก็ตาม

นั่นคือสิ่งเดียวที่ผมรอคอยและภาวนาให้มันเป็นจริง........ ภาวนาให้ทุกสิ่งออกมาได้ดีอย่างที่ผมต้องการ

วันรุ่งขึ้นฝนก็เกิดตกหนัก จนกระทั่งถึงเวลานัดที่เลื่อนออกไปเป็นตอนสิบเอ็ดโมงแล้วฝนก็ยังคงตกโปรยๆอยู่ ผมจึงต้องออกจากบ้านไปรับพวกมันสองคนทั้งๆอย่างนั้น

เมื่อไปถึงที่โรงเรียนผมก็เดินไปยังตึกเรียนที่นัดไอ้สองคนนั้นเอาไว้ เรานัดกันที่ตึกเรียนก็เพราะเพื่อที่จะหลบฝนได้ และจากตึกนี้ที่ผมอยู่มันจะอยู่ฝั่งตรงข้ามกับสนามบาสและตึกเรียนอีกตึกหนึ่งพอดี เมื่อผมนั่งอยู่ที่ริมระเบียงชั้นสอง ผมก็เห็นกับคนๆหนึ่งที่อยู่บนชั้นสามของตึกฝั่งตรงข้าม เขากำลังยืนมองลงมาที่สนามบาสอยู่ จริงๆแล้วผมเห็นเขามองอยู่อย่างนั้นมาครู่หนึ่งตั้งแต่ผมยังไม่ได้เดินขึ้นตึกมาแล้ว แต่เมื่อผมเข้ามาในตึกผมจึงสามารถมองเห็นได้ว่าจริงๆแล้วเขากำลังมองอะไรอยู่กันแน่ ผมก้มมองลงไปยังที่ๆเขามองอยู่แล้วก็เห็นคนๆหนึ่งที่กำลังเลี้ยงลูกบาสและวิ่งอยู่คนเดียวในสนามทั้งที่ฝนก็ยังคงไม่หยุดตก

เพราะระยะทางที่ค่อนข้างจะไกลและจากสายฝนที่โปรยปราย ทำให้ในครั้งแรกผมมองไม่ออกว่าคนที่กำลังเล่นบาสอยู่นั้นเป็นใคร แต่เมื่อผมเห็นท่าวิ่ง ท่าเลี้ยงลูก และท่าทางการกระโดดของเขา ผมก็รู้ได้ทันทีเลยว่านั่นคือไอ้เมฆ!

ผมเงยหน้าขึ้นไปมองหาเด็กผู้ชายที่ใส่ชุดนักเรียนเมื่อครู่ ก็เห็นว่าเขาหายไปแล้ว ผมจึงก้มลงมามองยังคนที่ผมคิดว่าใช่ไอ้เมฆแน่ๆนั่นอีกครั้ง

และทันใดนั้นเองฝนก็เริ่มซาลงจนเกือบจะหยุดสนิท ผมเห็นหน้าของมันได้ชัดเจนมากขึ้น และคนที่นั่งอยู่บนพื้นนั่นก็คือไอ้เมฆไม่ผิดแน่

หัวใจของผมหล่นวูบเมื่อคิดว่าทำไมมันมาอยู่ที่นี่และทำไมมันถึงได้มาเล่นบาสทั้งๆที่ฝนตกแบบนี้

ผมกดโทรศัพท์หาไอ้วิททันที

“ไอ้วิท มึงนัดใครมามั่งเนี่ย” ผมถามด้วยหัวใจสั่นเทา

“ก็แค่มึงกับไอ้ป๋อมแค่นั้นเอง ทำไมวะ ไอ้ป๋อมไปถึงแล้วเหรอ”

“เปล่า ยังหรอก เออๆ ฝนหยุดแล้วว่ะ งั้นกูไปรอมึงที่ศาลาใต้ตึกนะ” ผมบอกมัน “มึงบอกไอ้ป๋อมด้วยล่ะ ว่ากูไปรออยู่ที่นั่น” ผมกดวางสายแล้วก็กึ่งวิ่งกึ่งเดินลงไปยังที่นัดหมายใหม่ทันที

เมื่อผมเดินลงไปยังชั้นล่างนอกอาคารเรียน จากจุดนี้ผมจะไม่สามารถมองเห็นทั้งสนามได้ชัดเหมือนเมื่อตอนที่ผมอยู่บนตึกเพราะจะถูกบังด้วยต้นไม้ใหญ่หลายต้นแต่ก็ยังพอมองเห็นอยู่บ้าง และจากสนามบาสมาก็จะมองไม่เห็นผมเช่นกัน ผมจึงเลือกที่จะนัดไอ้สองคนนั้นที่นี่ ผมนั่งลงในศาลาแล้วก็กวาดสายตามองหาไอ้เมฆ แต่ผมก็มองไม่เห็นมันแล้ว

ทันใดนั้นเองเสียงของไอ้ป๋อมก็ดังขึ้นจากทางด้านหลังผม

“เฮ้ย ไอ้ซัน”

ผมหันไปตามเสียงเรียกแล้วก็พบกับไอ้ป๋อมกำลังเดินตรงเข้ามาพร้อมกับไอ้วิทด้วย

“กูเจอมันที่หน้าโรงเรียนพอดีน่ะ” ไอ้วิทบอก “ว่าแต่ทำไมมานั่งที่นี่วะ”

“ก็ ไม่มีอะไรหรอก กูว่าฝนมันหยุดแล้วน่ะ ก็เลยไม่เห็นว่ามึงสองคนต้องเดินขึ้นๆลงๆบันได” ผมพูด

ไอ้วิทกับไอ้ป๋อมมองหน้ากันครู่จากนั้นก็หันมาพยักหน้าเห็นด้วยกับผม

“ก็จริง” ไอ้วิทพูดขึ้น “งั้นไปกันเลยมั๊ย”

ผมอึกอักเล็กน้อย จากนั้นก็รีบพูดเพื่อกลบเกลื่อนไม่ให้มันเห็นอาการผิดสังเกตของผม “เออ พวกมึง กูอยากเข้าห้องน้ำว่ะ มึงจะรออยู่นี่กันก่อนมั๊ย หรือจะไปกับกูด้วย”

“เออๆ ไปด้วยก็ได้ กูก็อยากเข้าเหมือนกัน” ไอ้ป๋อมพูดขึ้น

ผมแอบยิ้มอยู่ในใจ แต่อีกใจก็แอบกังวลว่านั่นจะเป็นไอ้เมฆจริงๆรึเปล่า แล้วทำไมผมถึงจำเป็นจะต้องไปพิสูจน์เพื่อให้เห็นกับตาด้วยนะ แต่ถ้านั่นเกิดใช่ไอ้เมฆขึ้นมาจริงๆ มันมาทำอะไรที่นี่เอาตอนนี้และยังเปียกฝนไปหมดเลยด้วย ผมอดเป็นห่วงมันไม่ได้จริงๆ

“อ้าว นั่นมึงจะไปไหนวะ” ผมหันไปถามไอ้ป๋อมที่เดินไปอีกทางนึง

“มึงนั่นแหละ จะไปไหน ห้องน้ำทางตึกหนึ่งนี่ดิ่ ใกล้ๆ”

“กูจะไปเข้าตรงห้องพละว่ะ มันสะอาดกว่า” ผมยกเหตุผลขึ้นมาบอกพวกมัน ทั้งๆที่ในใจของผมกำลังปั่นป่วนไปหมดแล้ว

ผมไม่รู้เลยจริงๆว่าผมกำลังรู้สึกอะไรอยู่และผมกำลังจะทำอะไรลงไป แต่สิ่งที่ผมรู้แน่นั้นมีเพียงอย่างเดียวนั่นก็คือ ถ้าคนที่ผมเห็นเล่นบาสท่ามกลางสายฝนเมื่อครู่นั้นคือไอ้เมฆจริงล่ะก็ ผมก็อยากจะพิสูจน์ให้รู้ด้วยสายตาของผมเองเท่านั้นจริงๆ........

เพราะถ้าคนๆนั้นคือไอ้เมฆจริงๆล่ะก็ ผมคิดว่าผมพอรู้เหตุผลที่มันมาเล่นบาสทั้งๆที่ฝนตกแบบนี้แน่ๆ

ทั้งหมดมันเป็นเพราะที่ผมเคยบอกมันไปเมื่อตอนที่ผมเล่นบาสกับมันนั่นเอง....... ผมที่เคยบอกมันว่า ถ้ามันไม่มีความสุข ก็เล่นบาสซะสิ........

เพราะฉะนั้นผมพอรู้อยู่อย่างหนึ่งแน่ๆนั่นก็คือ ถ้าคนๆนั้นคือไอ้เมฆจริง นั่นแปลว่ามันต้องกำลังไม่มีความสุขอยู่แบบสุดๆแน่ๆ

และผมจะทำยังไงดี ผมจะเดินเข้าไปคุยกับมัน หรือไปให้มันเจอหน้าดีมั๊ย หรือว่าผมจะปล่อยให้มันผ่านไปแล้วค่อยไปหาทางเคลียร์ทีหลังเมื่อเราไปทะเลกันแล้วดี

และเมื่อผมเลี้ยวตรงมุมตึกไป ผมก็พบกับมันเข้าจริงๆ

“อ้าว นั่นไอ้เมฆนี่หว่า” ไอ้ป๋อมพูดขึ้นจากทางด้านหลังของผม

“เดี๋ยว ไอ้ป๋อม!” ผมหันไปห้ามมันที่กำลังจะเดินออกไปทักไอ้เมฆ

“ทำไมวะ” ไอ้ป๋อมถาม แต่ผมไม่ได้ตอบ

ผมหันกลับไปมองมันที่กำลังขนของออกมาจากห้องอุปกรณ์กีฬาพร้อมๆกับเด็กในชุดนักเรียนคนหนึ่ง นั่นมันเด็กคนที่ผมเห็นบนตึกเมื่อครู่นี้นี่ นี่มันสองคนรู้จักกันอย่างนั้นเหรอ แล้วทำไมจู่ๆมันถึงได้มาทำอะไรแบบนี้กับเด็กคนนั้นสองคนได้

“นี่ มึงสองคนคิดว่ากูควรจะ.........” ผมหันหลับไปหามันสองคนเพื่อถามความเห็นว่าผมควรคุยกับไอ้เมฆตอนนี้เลยดีหรือเปล่า แต่ทว่าทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นทำให้ผมต้องรีบหันกลับไปมองที่เดิม

“อ้าว เฮ้ย!” ไอ้วิทร้องขึ้นเมื่อเห็นเด็กคนนั้นล้มลง

“หวายยย ท่าทางจะเจ็บ จริงๆไอ้ตรงนั้นกูก็เคยสะดุดล้มเหมือนกันว่ะ เมื่อตอนมอสาม.....” ไอ้ป๋อมพูด

“เดี๋ยว มึงเงียบๆก่อนเหอะ” ผมหันไปปรามมัน

“นี่ ไอ้ซัน มึงจะมายืนดูพวกนั้นอยู่ทำไมวะ กูไม่เข้าใจ กูรู้นะว่ามึงสองคนยังไม่ได้คุยกัน แต่นี่มันก็ไม่มีเหตุผลที่มึงจะมาทำอะไรแบบนี้เลยนี่หว่า” ไอ้วิทพูด

แต่ผมไม่ได้ฟังมัน สายตาของผมกำลังมองไอ้เมฆที่ลำตัวท่อนบนเปลือยเปล่าแล้วกำลังรีบเข้าไปพยุงเด็กคนนั้นทันทีตอนที่เขากำลังจะลุกขึ้นยืน ผมรู้สึกไม่ชอบใจขึ้นมาทันที ผมไม่รู้ว่าทำไม มันอาจจะเป็นคำว่าหึงก็ได้ แต่ผมรู้สึกมันมีอย่างอื่นมากกว่านั้น อย่างเช่น ทำไมมันถึงได้มาอยู่กับเด็กคนนี้สองคนได้ ทำไมไอ้เด็กคนนี้ถึงได้ยืนมองไอ้เมฆเล่นบาสอยู่เมื่อครู่ ทำไมจู่ๆมันถึงได้มาทำงานอะไรก็ไม่รู้นี่อยู่ด้วยกัน มันรู้จักกันมาก่อนอย่างนั้นเหรอ แล้วทำไมผมไม่เห็นรู้เลยว่ามันรู้จักกัน ไอ้เด็กคนนี้มันเป็นใครแน่ และทำไมไอ้เมฆถึงต้องเข้าไปประคองเขาแบบเป็นห่วงและใกล้ชิดขนาดนั้นด้วย

ก็ใช่ ที่ไอ้เมฆมันเป็นคนที่เป็นห่วงคนอื่นมากๆแบบนี้อยู่แล้ว แต่ตอนนี้ผมรู้สึกไม่สบอารมณ์มันเลยสักนิด

“มึงพูดถูก ไอ้วิท เพราะงั้นมึงไม่ต้องบอกมันนะว่ากูก็มาด้วย ส่วนมึง ไอ้ป๋อม ไปห้องน้ำกับกูเหอะ” ผมหันไปบอกเพื่อนของผมทั้งสองคน

“อ้าว อะไรของมึงเนี่ย” ไอ้ป๋อมถามด้วยความสงสัย

“มึงไม่ปวดเยี่ยวแล้วรึไง ตกลงจะไปหรือไม่ไป ถ้ามึงไม่ไป กูไปนะ” ผมพูดอย่างไม่ค่อยพอใจ

“เดี๋ยวไอ้ซัน ตกลงมึงจะให้กูออกไปหาไอ้เมฆใช่มั๊ย” ไอ้วิทถามผม “แล้วมึงจะให้กูไปหามึงที่ไหน”

“เออ มึงไปช่วยๆมันเหอะ ท่าทางไอ้เด็กเหี้ยนั่นจะเจ็บไม่เบานี่” ผมพูด

“แล้วตกลงมึงจะให้กูไปหามึงที่ไหน” มันถามย้ำ

ผมคิดอยู่พักหนึ่งแล้วก็ตัดสินใจว่ามาหามันที่นี่แหละดีที่สุดแล้ว ผมจะได้รู้ๆไปเลยว่าไอ้สองคนนั้นมันยังไงกันแน่

“รอกูอยู่ที่นี่แหละ เดี๋ยวกูมาหาก็ได้” ผมบอกออกไป จากนั้นก็ออกเดินไปยังห้องน้ำโดยมีไอ้ป๋อมเดินตามมาติดๆทันที

“เดี๋ยวสิ มึงไม่สบอารมณ์เรื่องอะไรของมึงวะ อยู่ดีๆก็หงุดหงิดซะอย่างนั้น ไอ้สัตว์” ไอ้ป๋อมถาม

“เปล่า ไม่มีอะไร กูก็แค่ไม่อยากจะเจอหน้ามันตอนนี้เท่านั้นแหละ” ผมตอบออกไป ซึ่งนั่นมันไม่จริงเลย

“แล้วตอนมึงเห็นมันตอนแรกมึงยังไม่เป็นแบบนี้เลยนะ แต่จู่ๆมึงก็.........”

“พอได้แล้ว” ผมหันไปบอกมัน “กูไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้นแหละ” ผมตัดบท ไอ้ป๋อมเองก็เงียบไปเหมือนกัน ถึงแม้มันมีท่าทีอยากจะเถียงกับผมต่อก็ตาม

ถึงจะเห็นมันบ้าๆบอๆ แต่ไอ้ป๋อมเองก็ไม่ใช่คนโง่เลยจริงๆ แต่ถ้าจะพูดให้ถูกต้องก็ต้องบอกว่ามันเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ดูผมออกมากที่สุดเช่นกัน

เมื่อผมกับไอ้ป๋อมออกจากห้องน้ำและกำลังจะเดินกลับไปหาไอ้วิท ไอ้ป๋อมก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้

“เออ ใช่ เด็กคนนั้นมันเด็กมอห้าใหม่ที่เพิ่งเข้ามาเมื่อไม่นานนี้นี่หว่า” มันพูดขึ้น

“มึงรู้ได้ไง” ผมหันไปถามมัน

“ก็น้องกูอยู่มอห้า และมันเคยบอกกูว่ามีเด็กคนนึงเข้ามาแล้วดังพอควรเลย เพราะหน้าตาดี รวย แต่เห็นว่าไม่ค่อยจะสุงสิงกับใครเท่าไหร่ เห็นว่ามันเป็นคนเงียบๆเก็บตัวรึไงนี่แหละ” มันอธิบาย

ผมไม่ได้พูดอะไรตอบ แค่รับฟังข้อมูลเอาไว้เฉยๆ งั้นนี่ก็น่าจะแปลว่ามันสองคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อนสินะ

ผมและไอ้ป๋อมเดินกลับไปยังจุดที่นัดไอ้วิทเอาไว้อย่างช้าๆ ไม่ได้รีบร้อนเหมือนเมื่อตอนผมเดินออกมาเพื่อไปเข้าห้องน้ำ

“มึงยอมรับมาเหอะ ไอ้ซัน” ไอ้ป๋อมพูดขึ้นเมื่อเรากลับมาถึงจุดเดิมที่ยืนดูพวกนั้นเมื่อครู่

“ยอมรับอะไร”

“ว่ามึงไม่สบายใจที่เห็นสองคนนั้นน่ะ”

ผมรู้สึกว่าใบหน้าของผมร้อนผ่าวขึ้นมาทันที ผมไม่ค่อยเคยชินกับการมีใครมาพูดจี้ใจดำแบบนี้นักหรอก โดยเฉพาะถ้าคนๆนั้นไม่ใช่ไอ้เมฆ

“มึงอยู่เฉยๆเหอะ กูเองก็ยังไม่รู้ตัวกูเองเลย” ผมพูดแบบไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก แต่ดูเหมือนไอ้ป๋อมจะฟังออกว่านั่นก็ไม่ใช่ความรู้สึกจริงๆของผมร้อยเปอร์เซ็นต์เช่นกัน

“เออ กูยอมแพ้........ ว่าแต่นั่นไอ้วิทกับไอ้เมฆหายไปไหนวะ” ไอ้ป๋อมเดินตรงเข้าไปหาเด็กคนนั้นแล้วทักเขา “หวัดดีครับน้อง เห็นเพื่อนพี่รึเปล่า พี่ว่าเมื่อกี๊พี่เห็นมันอยู่แวบๆนะ”

“อ๋อ คือ พี่เมฆไปเอายาที่ห้องพยาบาลมาให้ผมน่ะครับ ส่วนเพื่อนพี่อีกคนนึงกำลังไปตามอาจารย์หนุ่มมา” เด็กคนนั้นตอบ

เมื่อผมเดินเข้าไปใกล้ๆจึงได้เห็นหน้าของเขาชัดๆ จริงอย่างที่ไอ้ป๋อมพูด เด็กคนนี้นี่หน้าตาดีจริงๆนั่นล่ะ และไม่รู้ทำไม มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกไม่ค่อยชอบใจไอ้เมฆมากเข้าไปอีก

แต่อีกแค่พักเดียว ไอ้เมฆก็วิ่งกลับมาพร้อมกับขวดยาที่ถือเต็มอยู่ทั้งสองมือ

หัวใจของผมเต้นแรงขึ้นเล็กน้อย แต่ทว่าผมรู้สึกได้เลยว่าใบหน้าของผมมันกลับด้านชาและนิ่งเฉยอย่างที่สุด

ทันใดนั้นเอง ไอ้เมฆก็นั่งคุกเข่าลงตรงหน้าของเด็กคนนั้นแล้วเริ่มทำแผลให้เขาอย่างเบามือ เมื่อเห็นอย่างนั้นแล้วผมอยากจะรีบๆเดินหนีไปให้ไกลอย่างที่สุด ทำไมมันต้องทำถึงขนาดนี้ด้วยวะ ในเมื่อแผลแค่นี้ไอ้เด็กคนนี้มันจะทำเองก็ทำได้ ก็ใช่ ที่ไอ้เมฆมันเป็นคนชอบดูแลคนอื่น แต่นี่มันเกินไปรึเปล่า หรือว่ามันเองก็รู้สึกชอบเด็กคนนี้ขึ้นมาเหมือนกัน

ผมหันหน้าหนีจากไอ้เมฆไปมองยังเด็กคนนี้แทน ทันใดนั้นเองผมก็รู้เลยว่าเด็กคนนี้คิดยังไงกับไอ้เมฆ...... สายตาของเขาที่มองมายังใบหน้าของไอ้เมฆที่กำลังทำแผลให้เขาอยู่มันกำลังจะฉีกหัวใจของผมออกเป็นชิ้นๆ

นี่ผมกำลังหึงอยู่จริงๆด้วย

หลังจากนั้นอาจารย์หนุ่มก็มาถึงพร้อมกับไอ้วิท ผมเห็นสายตาของไอ้วิทที่เหลือบมองผมมาครู่หนึ่งแต่ผมก็กลับหลบสายตาของมันไปเสีย ผมรู้ว่ามันคงรู้แล้วว่าผมรู้สึกยังไง

และ อีกครั้ง ผมไม่ชอบให้ใครมามองผมออกแบบนี้นักหรอกนะ

“ว่าแต่นี่มาเพิ่มกันตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ มาทำอะไรกันวะ” อาจารย์หนุ่มถามขึ้น

“พวกมันตั้งใจจะไปเล่นเกมที่บ้านของผมกันน่ะครับ” ผมชิงตอบขึ้นมาก่อน อะไรก็ไม่รู้ในใจของผมมันสั่งให้ผมเป็นคนพูด เพราะคิดว่าอาจจะทำให้ไอ้เมฆรู้สึกไม่สบายใจที่ได้ยินอย่างนั้นขึ้นมาบ้างก็ได้

“เออๆ ก็ดี แต่ตอนนี้ครูรบกวนมาช่วยเก็บของนี่ก่อนซิ ไอ้พีมันก็ท่าจะไม่ไหวแล้ว ดีจริงเว้ย โผล่มาได้จังหวะพอดี”

“นั่นไง กูว่าแล้ววว” ไอ้ป๋อมร้อง “รู้งี้เมื่อกี๊กู........”

ผมรีบส่งสายตาไปหามันทันที มันเป็นความสามารถพิเศษของผมอย่างหนึ่งที่จะสามารถใช้สายตาสื่อความหมายที่ผมอยากสื่อออกไปได้โดยที่ไม่ต้องแสดงสีหน้าอะไรเลย และมักจะไม่มีใครจับได้ด้วย

“รู้งี้มึงจะทำไมวะ” ไอ้เมฆถามไอ้ป๋อม แต่ไอ้วิทก็รีบหันมาปรามไอ้ป๋อมเอาไว้อีกคนทันที

“เปล่าๆ ไม่มีอะไร ช่างเหอะ มาเร็วๆ ทำงานๆๆๆ” ไอ้ป๋อมถกแขนเสื้อขึ้นแล้วก็เดินตรงไปยังห้องเก็บอุปกรณ์ จากนั้นเราสี่คนก็ช่วยกันทำงานตามที่ไอ้เมฆบอก แต่จริงๆแล้วเราก็พอรู้กันอยู่แล้วว่ามันต้องทำยังไงบ้าง เพราะพวกเราก็เห็นมันทำกันมาเกือบจะตั้งแต่แรกแล้ว เมื่อพวกเราทำงานเสร็จและอาจารย์หนุ่มเดินกลับไป ไอ้วิทก็หันมาคุยกับไอ้เมฆเรื่องไปเที่ยวเกือบจะทันที

“แล้วมึงจะเอาไงต่อ ไอ้เมฆ เปียกเป็นลูกหมาตกน้ำเลยมึง เดี๋ยวก็หวัดแดกหรอก ระวังจะหายไม่ทันไปเที่ยวทะเลนะเว้ย” ไอ้วิทพูด

ผมเห็นไอ้เมฆเหลือบมองหน้าผมไวๆแว่บหนึ่งจากนั้นก็หันไปหาไอ้วิท

“เออน่า หายไม่ทันกูก็คงไม่ไปว่ะ......”

“มึงหมายความว่ามึงจะไม่ไปเหรอ” ไอ้ป๋อมถามขึ้น

ผมรู้สึกหน้าของผมร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง และคราวนี้ผมรู้สึกเหมือนกับมันเป็นความโกรธ ความไม่พอใจ และความผิดหวังผสมปนเปกัน

“กู....... กูก็ไม่รู้ว่ะ กูไม่รู้ว่าตอนนี้กูควรจะไปรึเปล่า” ไอ้เมฆตอบ และถ้าไม่ใช่ควายก็คงรู้สิ่งที่มันพยายามสื่อออกมาแน่นอนอยู่แล้ว ผมรู้สึกผิดหวังและเสียใจมากจริงๆ รู้สึกหงุดหงิดกับตัวเองมากกว่าอย่างอื่น ผมไม่อยากจะอยู่ที่ตรงนี้อีกต่อไปแล้ว ผมไม่อยากจะอยู่ทนฟังความจริงที่เป็นความหวังเพียงหนึ่งเดียวของผมมานานแสนนานว่าผมจะได้กลับไปคืนดีกับมันพังลงไปต่อหน้าต่อตา

“รีบไปเหอะ ไอ้ป๋อม ไอ้วิท” ผมพูดขึ้นแล้วก็เดินหนีออกมาทันที ไอ้ป๋อมวิ่งตามผมออกมาเหยาะๆแล้วก็พยายามจะพูดอะไรกับผมบ้างแต่ผมไม่ได้ฟัง ไอ้วิทที่ตามมาสมทบทีหลังก็เช่นกัน แต่ผมก็ไม่รับรู้ไม่ใส่ใจอะไรแล้ว

วันนั้นทั้งวันที่ทั้งสองคนขลุกอยู่ที่บ้านของผม เราไม่คุยเรื่องนี้กันอีกเลย ผมคิดว่าเพราะพวกมันคงรู้ว่าถึงพูดไปผมก็ไม่ฟัง และถึงฟังไปก็คงทำอะไรไม่ได้อยู่ดี แต่จนเมื่อมันสองคนกลับบ้านไปแล้ว ผมถึงได้มีโอกาสอยู่เงียบๆและคิดถึงตัวเองที่ผมเป็น เรื่องที่ผมทำลงไปแล้วและกำลังจะทำ เรื่องที่ผมต้องการ และเรื่องที่ผมปรารถนาให้มันเป็น

คืนนั้นก่อนจะหลับตาลงแค่ไม่กี่นาที ผมรู้ตัวแล้วว่าไม่ว่าจะเป็นยังไงหรือมันจะทำอะไร คนที่ผิดตั้งแต่แรกก็คือผมเอง ถึงมันจะน่าหงุดหงิดนิดหน่อยก็เถอะที่ผมต้องคิดแบบนั้น แต่ว่าผมจะขอชดใช้ความผิดที่ผมทำลงไป ไม่ว่ามันจะให้อภัยผมหรือไม่  แต่ผมก็จะขอโทษมัน มันคือคนที่ผมรัก และผมก็คิดไว้แล้วว่าที่ผมทำตัวแบบนั้นลงไป ที่ผมโกหกปิดบังมันอาจจะทำให้มันเกลียดผม ใช่ ผมทำใจเอาไว้แล้วนี่นะ เพราะงั้นถ้ามันจะเกลียดผมขึ้นมาจริงๆล่ะก็ ผมก็จะไม่เกลียดไม่โกรธมันหรอก ผมสมควรแล้ว........... เพราะฉะนั้นผมจึงตั้งใจไว้ว่าวันแรกก่อนที่เราจะออกเดินทาง ผมจะหาซื้อของขวัญชิ้นสุดท้ายที่ผมจะสามารถมอบให้แก่มันได้ และผมก็จะบอกมันออกไปด้วยว่าผมขอโทษ

แต่สุดท้าย มันก็ไม่ได้มาตามเวลาที่พวกเรานัดกันไว้ เพื่อนคนอื่นๆพยายามติดต่อเท่าไหร่ก็ไม่ได้ ผมเองก็พยายามโทรหามันด้วยตัวเองด้วยเช่นกัน แต่โทรศัพท์ของมันก็ปิดสนิท......... ผมคิดว่านั่นคงเป็นคำตอบสำหรับทุกๆอย่างของมันแล้ว

แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่เลย..........

พวกเราทุกคนเข้าใจผิดหมด ที่ไอ้เมฆปิดโทรศัพท์และไม่ติดต่อมาหาพวกเรานั้นไม่ใช่เพราะมันตัดสินใจว่าจะไม่ไปเที่ยวกับทุกๆคนเลยแม้แต่น้อย และไม่ใช่แม้แต่มันอยากจะปิดโทรศัพท์เพื่อหนีพวกเราหรือเพราะมันเกลียดผมเลยด้วย

โชคชะตาช่างกล้าเล่นตลกกับเราสองคนได้ถึงเพียงนี้เชียว...................


.
.
.


หลังจากที่พวกเราสามคนกลับมายังห้องพักแล้ว ไอ้เมฆก็ถามผมเรื่องที่ว่าผมหึงมันกับพีทเหรอ มันถามว่าผมหึงคนที่เราเพิ่งเจอกันแค่ไม่กี่นาทีอย่างนั้นน่ะหรือ

ผมไม่รู้จะตอบมันยังไงจริงๆ จะให้ผมตอบว่า ‘ใช่ เมื่อหนึ่งปีก่อนกูหึง แต่ตอนนี้กูงง ว่ามึงจำเขาไม่ได้จริงๆน่ะเหรอ และถ้ามึงจำเขาได้ขึ้นมามึงจะไปตกหลุมรักมันเข้ารึเปล่าวะ’ แบบนี้น่ะหรือ

แต่ก็ช่างเถอะ ผมคิดว่าผมไว้ใจมันได้มากพอ ถ้าเกิดมันจำได้ขึ้นมาเมื่อไหร่ เมื่อถึงตอนนั้นผมก็ค่อยมาคุยกับมันเรื่องนี้อีกครั้งก็พอ.......... และแน่นอน นั่นหมายถึงว่า ถ้ามันพร้อมและอยากที่จะคุยนะ ผมจะไม่เร่งรัดและบังคับมันให้มันคิดและเดินไปในเส้นทางเดียวกับผมอีกแล้ว แต่ผมจะขอและจะรอให้มันพร้อมมาเดินอยู่เคียงข้างกับผมเอง

เพราะว่าผมในตอนนี้รักมันมากเหลือเกิน



(จบความทรงจำเมื่อหนึ่งปีก่อนของซัน – ตอนหน้า เรื่องเล่าในอดีตของปฐพี)

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 11-09-2007 14:33:22
ซันน่ารักจัง ว่าแต่คุณต้นจ๋า
เมฆหน้าตาเป็นไงเหรอ เคยบอกแต่ว่าซันหล่อ
ไม่เห็นอธิบายหน้าตาของเมฆมั่งเลย ช่วยบอกหน่อยจิ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 11-09-2007 14:43:32
ซันน่ารักจัง ว่าแต่คุณต้นจ๋า
เมฆหน้าตาเป็นไงเหรอ เคยบอกแต่ว่าซันหล่อ
ไม่เห็นอธิบายหน้าตาของเมฆมั่งเลย ช่วยบอกหน่อยจิ

เชิญจิ้นตามสะดวกเลยคับ อิอิ
แหม จะให้ไอ้เมฆมันชมหน้าตาตัวเองก็ยังไงอยู่หนา

ปล. กำลังร้องไห้เลย T__T เศร้า

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 11-09-2007 15:38:09
อ้างถึง
เชิญจิ้นตามสะดวกเลยคับ อิอิ
แหม จะให้ไอ้เมฆมันชมหน้าตาตัวเองก็ยังไงอยู่หนา

ปล. กำลังร้องไห้เลย T__T เศร้า

หุหุหุ...    :a3: 

ซันน่ารัก...

แล้วเมฆล่ะ โฮ่ะๆ    :m3:

อ่า... งั้นก้อแปลว่า เมฆ ก่า คนเขียน ก้อคนเดียวกันอ่าจิ  คิคิ    :m3:   :m3:   :m3:
ป๋อล๋อ*.... แล้วเป็นไรอ่ะคะ ร้องไห้...   :m28:   
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 11-09-2007 15:46:16
ป่าวคับ คือ ก็เมฆเป็นคนเล่าเรื่อง
จะให้เมฆบอกว่า

"วันนี้หลังจากผมมีอะไรกบไอ้ซันเสร็จ ผมก็ลุกเข้าไปส่องกระจกในห้องน้ำ เลยเห็นว่าตัวเองเป็นคนหน้าตาดี คิ้วเบี้ยว จมูกบาน ปากแหว่ง......"

อะไรแบบนี้ก็คงไม่ได้ใช่แมะคับ

5555

ปล. โอ๊ยยยยยยยยย สาดดดดดดดดดดดด!!!! กูรักมึงง่า ไอ้เหี้ยเอ๊ยยยยยยยยยยย!!!!!! T___T กูเศร้า มึงเข้าใจกูมั่งมั๊ยยยย!!

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 11-09-2007 17:03:42


.............มะได้อ่านซะหลายวัน.......ขอโทษด้วยคับ........ :m5: :m5:

.............แต่ตามอ่านทันแล้วแหละ..........ซันยังน่ารักเหมือนเดิมเลย.......... :m13: :m13:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 11-09-2007 19:23:05
ได้อ่านในมุมของซันแล้ว ชอบมั่ก ๆ   :m13:  :m13:
รออ่านตอนต่อปาย  :a1:  :a1:  :a1:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 12-09-2007 11:19:42
ตอนที่ 34 (เรื่องเล่าของปฐพี : รอยยิ้มที่ไม่มีวันลบเลือน)


ตั้งแต่เล็กจนโต ผมเติบโตขึ้นมาโดยมีความเหงาอยู่เป็นเพื่อนข้างกาย พ่อและแม่ของผมต่างก็ทำงานหนักเพื่อให้ผมมีความสุข แต่พวกท่านก็ไม่เคยรู้เลยว่าความสุขที่แท้จริงของผมนั้นถูกพวกท่านพรากมันไปจากผมนานมาแล้ว.......

เมื่อตอนผมยังเด็ก ผมเคยถูกผู้คนหลายคนห้อมล้อมและเอ็นดูเพราะความที่เป็นเด็กน่ารักและช่างพูด ผมเองก็ชอบที่จะส่งยิ้มและหัวเราะไปกับคนอื่นๆเช่นกัน มันทำให้ผมรู้สึกว่าผมเป็นเด็กที่โชคดีที่สุดในโลก ผมมีพ่อแม่ที่รักและมีเวลาให้แก่ผม ผมมีคนอื่นๆมารัก และผมก็รักคนอื่นๆรอบข้างผมมากด้วยเช่นกัน

แต่เมื่อผมโตขึ้นเรื่อยๆ หลายๆอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไปทีละน้อยๆ จนเมื่อผมอยู่ชั้นปอสี่ ผมก็แทบไม่เคยยิ้มหรือหัวเราะให้กับใครอีกเลย จากเด็กช่างพูดกลายเป็นเด็กเก็บตัว จากคนที่มีผู้คนมาห้อมล้อมก็กลายเป็นคนที่ทำให้เพื่อนๆวัยเดียวกันไม่เล่นด้วยและทำให้ผู้ใหญ่ต่างก็กังวล

พ่อและแม่ของผมต่างก็รักผมไม่เคยเปลี่ยนแปลง แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปนั้นมีอยู่สองอย่าง นั่นก็คือพวกท่านรักผมในแบบที่ต่างออกไป และพวกท่านไม่รักกันเองอีกแล้ว และสิ่งนั้นไม่ทำให้ผมรู้สึกเป็นคนที่ถูกรักอีกเลย

พวกท่านคิดว่าการที่เรามีเงินนั้นจะทำให้ผมมีความสุข พวกท่านทั้งสองต่างก็เฝ้าเพียรทำงานหนักเพื่อหาเงินมาให้ผมใช้และเพื่อประโยชน์ของตัวผมเองในอนาคต ทั้งสองคนทำงานหนักมากจนกระทั่งพวกเขาแทบไม่มีเวลาให้กับผมอีกต่อไป และแน่นอน ไม่มีเวลาดูแลความรักของกันและกันอีกเลยด้วย น่าเสียดาย ที่ผมเป็นเด็กที่ค่อนข้างจะฉลาดเกินวัย และนั่นมันทำให้ผมเรียนรู้บางสิ่งเช่นว่า ต่อให้ครอบครัวของผมมีเงินมากเท่าใด แต่ถ้าพ่อและแม่ไม่เคยใช้เวลาอยู่กับผมเลย นั่นมันก็ไม่ได้ทำให้ผมมีความสุขจริงๆเลยแม้แต่นิดเดียว และอีกอย่างที่ผมรู้ในเวลาต่อมาเมื่อผมโตมากขึ้นอีกหน่อยนั่นก็คือ ความรักที่ดูเหมือนจะหวานชื่น ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่จำเป็นต้องจบลงอย่างสวยงามตลอดไป

ผมไม่ใช่เด็กเก็บกดหรือเป็นเด็กมีปัญหาแต่อย่างใด ซึ่งนั่นก็คงเป็นเพราะถึงผมจะฉลาดแค่ไหนผมก็ยังคงเป็นเพียงแค่เด็กธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้น ผมยังคงหัวเราะ และมีความสุขกับเพื่อนๆตามประสาเด็กผู้ชายทั่วไป แต่เมื่อผมเริ่มเข้าเรียนชั้นมัธยมต้น การเปลี่ยนแปลงจากเด็กชายก็เริ่มพัฒนาไปสู่ชายหนุ่มอย่างช้าๆ ซึ่งรวมกับความที่ผมเป็นคนช่างคิดอยู่แล้วด้วยก็เลยยิ่งทำให้ผมเห็นการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในตัวของผมมากขึ้นเรื่อยๆ  อย่างเช่นถ้าภายนอกของผม ผมจะเป็นคนที่ยิ้มยากอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ตอนแรกผมไม่ค่อยจะมีเพื่อนมากนัก และบางครั้ง ต่อให้นานแค่ไหน ผมก็ยังคงไม่มีเพื่อนอยู่ดี แน่นอน ผมหมายถึงเพื่อนที่รักผมจริงๆไม่ใช่แค่ที่เงินทอง และไม่ใช่หมายถึงเพื่อนที่แค่เจอหน้ากันทุกๆวัน แต่ผมหมายถึง “เพื่อนแท้”........  ไม่ใช่ ผมไม่ใช่คนร่ำรวยแบบมหาเศรษฐีอะไรนักหรอก และผมก็ไม่เคยใช้ชีวิตแบบฟุ่มเฟือยเลยด้วย เพราะเงินทั้งหลายเหล่านั้นมันเป็นเงินที่พ่อและแม่หามาโดยแลกกับความสุขของลูกของเขา ซึ่งนั่นก็คือความสุขของผมนั่นเอง....... อย่างที่สองที่ผมรู้เกี่ยวกับตัวผมเองนั่นก็คือ ผมไม่มีความสนใจในเรื่องของความรักเลยสักนิด ผมแทบไม่เชื่อในเรื่องของความรู้สึกที่เรียกว่าความรักเลย แน่นอน ว่าตอนนั้นผมเพิ่งจะอยู่มอหนึ่ง ผมอาจจะยังเด็กเกินไปก็ได้ แต่ว่าในขณะที่เด็กผู้ชายคนอื่นๆเริ่มจะสนใจเพศตรงกันข้ามนั้น ผมกลับเลือกที่จะอยู่กับตัวผมเองคนเดียวแบบนั้นมากกว่า

จนเมื่อผมอยู่ชั้นมอสอง เราทุกคนต้องจับฉลากห้องใหม่อีกครั้ง และครั้งนี้ทำให้ผมได้พบกับคนๆหนึ่งที่ผมสามารถเรียกได้อย่างเต็มปากเลยว่าเขาเป็นเพื่อนที่ผมรักมากที่สุดในโลก..... ไม่ว่าจะในช่วงเวลานั้นหรือในปัจจุบันนี้

เขาคนนั้นมีชื่อว่า ภู บ้านของภูมีฐานะปานกลาง เขาไม่ได้มีอะไรโดดเด่นทั้งเรื่องหน้าตา การเรียน และกีฬา แต่อย่างหนึ่งที่โดดเด่นที่สุดในตัวของเขานั่นก็คือรอยยิ้ม เขาเป็นคนหนึ่งที่มีเพื่อนและมีคนรักมากที่สุดในชั้นเรียน และเขาก็สามารถที่จะเลือกใครมาเป็นเพื่อนหรือสามารถที่จะรวบรวมผู้คนให้มาห้อมล้อมเขาอยู่ได้โดยใช้เพียงอัธยาศัยบวกกับรอยยิ้มของเขาเท่านั้น แต่ทว่าเขากลับเลือกที่จะมาคบกับผม

ภูเป็นคนร่าเริงและยิ้มเก่งจนผมรู้สึกอิจฉาเขาในทุกๆครั้งที่ผมเห็นเขาส่งยิ้มให้คนอื่น เมื่อครั้งแรกที่ผมรู้จักกับเขานั้นผมก็คิดว่าเขาก็แค่ทำความรู้จักกับผมตามมารยาทเท่านั้น เพราะว่าเขาเป็นคนแบบนั้นนั่นเอง เขาเข้ากันได้ดีกับทุกๆคนและทำความรู้จักกับทุกๆคนที่อยู่รอบกายของเขา แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผมถึงได้รู้ว่าเขาไม่ใช่แค่คบกับผมในฐานะของคนรู้จักอย่างที่ผมคิด ไม่ใช่แม้แต่ในฐานะเพื่อน แต่หากเป็นในฐานะเพื่อนสนิทต่างหาก

หลังจากที่ผมรู้จักกับภูได้ราวๆเกือบสองเดือน วันนั้นเป็นวิชาพละที่พวกเราทุกคนต้องลงไปเรียนกันที่โรงยิม แต่ว่าผมรู้สึกไม่สบายและตัวร้อนมาก อาจารย์จึงอนุญาตให้ผมขึ้นมานอนพักบนห้องได้ เมื่อผมเดินขึ้นมาฟุบอยู่บนโต๊ะคนเดียวได้ราวๆห้านาที ผมก็รู้สึกว่ามีคนๆหนึ่งเดินเข้ามาหาผม

“เป็นไงมั่ง พี”

ผมเงยหน้าขึ้นไปมองเจ้าของเสียงช้าๆ ภูนั่นเอง ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ

“อืมม ก็ดีขึ้นนะ ไม่เป็นอะไรหรอก” ผมบอกเขา

“ดีขึ้นแล้วทำไมโทรมขนาดนี้วะเนี่ย ไหนมานี่หน่อยซิ” เขายื่นมือออกมาสัมผัสที่หน้าผากของผม “ตัวร้อนจี๋เลย กินยารึยัง”

ผมส่ายหน้า “ว่าแต่ทำไมมึงถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ ไม่ไปเรียนหรือไง” ผมถามเขา

“ไม่ล่ะ กูขออาจารย์แล้ว และอีกอย่าง วันนี้ก็ไม่ได้มีอะไรทำมากมายด้วย” เขาตอบแล้วลากเก้าอี้มานั่งลงข้างๆผม

“ทำไมมึงต้องทำแบบนี้ด้วยวะ” ผมถามเขา เพราะผมไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมเขาจึงต้องดีกับผมขนาดนี้ หลายครั้งที่ผมเห็นเพื่อนคนอื่นๆไม่สบายหรือได้รับบาดเจ็บ ทุกๆคนจะต้องเข้ามารุมดูแลและถามอาการด้วยความเป็นห่วง แต่มันแทบไม่เคยเกิดขึ้นกับผมเลย ถึงแม้ทุกคนจะเป็นห่วงผม แต่ผมก็รู้สึกได้เลยว่ามันแตกต่างกันออกไป แน่นอน ผมรู้อยู่แล้วว่าคงเป็นเพราะผมเอง ผมไม่เคยคิดร้ายอะไรกับใครก่อน แต่ผมก็ไม่เคยที่จะยิ้มหรือแสดงความเป็นมิตรออกมาก่อนเช่นกัน “คนอื่นๆเขายังไม่สนใจกูเลย ทำไมมึงต้องมาดูแลกูแบบนี้ด้วยวะ”

ภูหน้าเสียลงทันที “มึงไม่ชอบให้กูทำแบบนี้เหรอ...... คือ ถ้างั้นกูก็ขอโทษก็แล้วกัน” เขาก้มหน้า

“เปล่าๆ ไม่ใช่” ผมรีบชันตัวขึ้นนั่งตัวตรงทันที “กูขอโทษ ภู กูไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น........ กูแค่ คือ กูไม่คิดว่าคนอย่างกูจะมีใครมารักมาเอาใจใส่กูแบบนี้เท่านั้นเอง คือ กูไม่เห็นว่าทำไมมึงถึงต้องทำแบบนี้ด้วยในขณะที่คนอื่นเขายังไม่เห็นจะใส่ใจคนขวางโลกอย่างกูเลย” ผมพูด และน้ำตามันก็เริ่มไหลออกมาทีละน้อยโดยที่ผมไม่ได้ตั้งใจ

ภูเงยหน้าขึ้น และเมื่อเขาเห็นน้ำตาของผม แทนที่เขาจะปลอบใจผมหรือแสดงความเสียใจไปกับผมด้วย เขากลับทำให้ผมต้องแปลกใจด้วยการส่งยิ้มกว้างออกมา

“ก็เพราะกูเป็นเพื่อนมึงไง กูรักมึง โอเคป่าว” เขายิ้มแล้วก็เอามือมาเช็ดน้ำตาบนแก้มของผมออก “คราวนี้มึงฟังกูให้ดีๆ มึงไม่ใช่คนขวางโลกอย่างที่มึงคิดหรอก มึงแค่เป็นคนยิ้มยากเพราะอาจจะเคยเจออะไรมามากเท่านั้นเอง กูรู้ แต่จริงๆแล้วน่ะ มึงเป็นคนใจดีแล้วก็อ่อนโยน ไม่มีใครในห้องสักคนที่เกลียดมึงหรอก ไม่มีจริงๆ มึงเชื่อกูสิ เพียงแต่พวกเขา ‘ยัง’ ไม่เห็นมึงแบบที่กูเห็นเท่านั้นเอง เวลามันจะพิสูจน์ให้มึงรู้เองว่าคนอื่นๆเขาก็รักมึงเหมือนกัน พี”

เมื่อได้ยินอย่างนั้นน้ำตาของผมมันก็ไหลออกมาอีก

“ทำไมมึงถึงกล้าพูดได้ขนาดนั้นวะ” ผมถาม

“อืมมม นั่นสินะ” เขาทำท่าคิด จากนั้นก็ยิ้มออกมาอีกครั้งเมื่อได้คำตอบให้แก่ตัวเอง “อ๋อ กูว่านะ มันต้องเป็นเพราะกูรักมึงนั่นแหละ” พีหัวเราะออกมา แต่ผมกลับนั่งนิ่งเมื่อได้ยินอย่างนั้น ถึงตอนนั้นผมจะแค่อายุสิบสาม แต่ผมก็รู้นะว่าคนที่ชอบผู้ชายหรือที่เรียกว่าเกย์นั้นมันเป็นยังไง และทั้งหมดที่ผมได้ยินอยู่นี้มันมีความหมายว่า ภูเป็นเกย์และชอบผมอย่างนั้นเหรอ

แต่ที่ผมอึ้งนั้นไม่ใช่ความคิดที่ว่าภูเป็นเกย์หรืออะไรหรอก เพราะผมก็รู้ตัวว่าผมเองก็ชอบผู้ชายเช่นเดียวกัน และมันก็คงจะดีมากด้วยถ้าภูนั้นมาชอบผมจริง แต่สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกประหลาดใจมากที่สุดนั่นก็คือการที่ภูพูดว่า เขารักผม ถึงสองครั้งแล้วต่างหาก

เมื่อเห็นผมเงียบไปนาน ภูก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง “คนอื่นๆน่ะ เขาก็แค่ไม่กล้าคุยกับมึงก็เพราะมึงเป็นคนยิ้มยากต่างหาก มึงไม่ค่อยเปิดใจรับใครง่ายๆ แต่จริงๆแล้วมึงนั่นแหละที่เป็นคนรักเพื่อนมากกว่าใครๆ จริงป่าว”

ผมก้มหน้าเพราะความอาย ใบหน้าของผมร้อนผ่าว แน่นอนว่าเป็นเพราะพิษไข้ด้วยส่วนหนึ่ง และตอนนี้มันก็คงจะแดงมากด้วยแล้วเช่นกัน ต้องขอบคุณอาการไข้ของผมที่ช่วยปกปิดความเขินอายของผมได้เป็นอย่างดี

“อะไรๆ อายเหรอวะ” ภูหัวเราะแล้วก้มหน้ามามองผม

“กูเปล่าสักหน่อย หน้ากูมันแดงเพราะพิษไข้ต่างหาก” ผมเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา

“กูก็ไม่ได้บอกสักหน่อยว่ามึงหน้าแดง นั่นแน่ มึงเขินจริงๆใช่มั๊ยล่า ไอ้พี” ภูหัวเราะพร้อมๆกับขยี้หัวของผมเบาๆ และคราวนี้ผมก็ยิ้มออกมาด้วยพร้อมกับใบหน้าที่แดงก่ำมากขึ้นไปอีก

“นี่ไง เห็นมั๊ย เวลามึงยิ้มแล้วมึงน่ารักจะตาย มีลักยิ้มที่แก้มซ้ายด้วย” ภูพูดแล้วเอานิ้วมาชี้ที่รอยบุ๋มบนแก้มข้างซ้ายของผม “คราวหลังก็ยิ้มบ่อยๆนะ เข้าใจป่าว แล้วเดี๋ยวอะไรๆมันก็จะดีเองนั่นแหละ กูสัญญา และอีกอย่าง........ กูชอบด้วย” คราวนี้ภูหน้าแดงขึ้นบ้างแล้วเหมือนกัน เขาใช้นิ้วชี้เกาแก้มของตัวเองเบาๆและยังคงยิ้มกว้างอยู่เช่นเดิม

บทสนทนาของเราทั้งสองคนจบลงแค่นั้น เพราะหลังจากนั้นภูก็ปล่อยให้ผมได้นอนพักผ่อนไป ส่วนเขาก็นั่งอยู่ข้างๆผมตลอด ตั้งแต่นั้นมา ผมก็รู้แล้วว่าผมมีใจรักเพื่อนของผมคนนี้แบบไหน ผมอยากที่จะได้เห็นรอยยิ้มของเขาแบบนี้ตลอดไปจริงๆ

และวันนั้นก็เป็นวันแรกและวันเดียวที่เขาพูดว่าเขารักผม

จากนั้นถัดมา ผมกับภูก็สนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆ เราสองคนไปไหนมาไหนและทำอะไรด้วยกันตลอดเวลา เพื่อนๆบางคนก็แซวเราบ้างว่าเราตัวติดกันยิ่งกว่าปาท่องโก๋เสียอีก แต่ผมไม่สนใจ เพราะผมถือว่านั่นคือสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นกับผมที่ทำให้เพื่อนๆเริ่มสนิทและหยอกล้อเล่นกับผมมากขึ้น และทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะภูช่วยผมเอาไว้แท้ๆ หลังจากนั้นไม่นาน อย่างที่ภูเคยบอกเอาไว้ เวลามันจะพิสูจน์ให้ผมได้รู้เอง ผมเริ่มพูดคุยและหัวเราะกับคนอื่นมากขึ้น ซึ่งทำให้ผมมีเพื่อนสนิทมากขึ้นตามไปด้วย แน่นอน ว่าผมก็ยังคงเป็นคนพูดน้อยและยิ้มน้อยอยู่อย่างเคย เพียงแต่ว่าเมื่อมีภูอยู่ด้วย ผมก็รู้สึกว่าตัวเองมีความสุขมากกว่าช่วงเวลาไหนๆมากมายในชีวิตทีเดียว

เวลาผ่านไปสองปีจนเราสองคนได้ขึ้นมาอยู่ชั้นมัธยมปลายเป็นครั้งแรก ผมกับภูก็ได้อยู่ห้องเดียวกันอีก ผมกับเขาสนิทกันมากจริงๆ และใครๆก็รู้เรื่องนี้ จากตอนแรกแค่เพื่อนๆในห้องและห้องข้างๆ แต่จนถึงตอนมอสี่นี้ แทบจะทุกคนในระดับชั้นและยังรวมไปถึงอาจารย์หลายๆท่านด้วยที่รู้ว่าผมสองคนเป็น “คู่หู” ที่แทบจะแยกจากกันไม่ออกทีเดียว คนหนึ่งนั้นหัวไม่ดี แต่ร่าเริงและยิ้มเก่ง ใครๆก็รักและรู้จัก ส่วนอีกคน เป็นเด็กหัวดี แต่ขี้อาย และพูดน้อยยิ้มน้อย ทว่าคนสองคนที่แตกต่างกันในแทบจะทุกเรื่องนั้นกลับเป็นเพื่อนที่รักกันและสัญญากันว่าจะรักกันอย่างนี้ไปจนวันตาย

แต่สุดท้าย สัญญานั้นมันก็ไม่เป็นจริง เพราะผมเองนั่นแหละ ที่เป็นฝ่ายผิดสัญญา..........

วันนั้นเป็นวันก่อนวันสอบวันสุดท้ายของเทอมหนึ่งตอนที่เราอยู่ชั้นมอห้า หลังสอบเสร็จผมก็นั่งรอภูอยู่ที่ม้านั่งตัวเดิมพร้อมกับเพื่อนคนอื่นๆเหมือนทุกๆครั้ง แต่เมื่อภูออกมาจากห้องสอบและมาพบกับพวกเราทุกคน เขากลับบอกเพื่อนๆทุกคนว่าเขามีเรื่องอยากจะคุยกับผมแค่สองคน และอยากให้ทุกคนกลับไปก่อน

“มีอะไรเหรอวะ ทำไมต้องให้คนอื่นๆกลับไปก่อนด้วย” ผมถามเขาเมื่อเราอยู่กันสองคนแล้ว

“ก็ ไม่มีอะไรหรอก........” เขายิ้มกว้างในแบบฉบับของเขา ผมสังเกตเขามานานมากแล้วว่าเขาหน้าตาดีขึ้นกว่าเมื่อตอนเด็กๆเยอะเลยทีเดียว อาจจะเรียกว่า ‘หล่อ’ เลยไม่ได้ แต่เขาก็เป็นคนที่หน้าตาใช้ได้ทีเดียว แบบที่ใครๆควงก็ไม่ต้องรู้สึกอายแน่ๆ

และแน่นอนไม่ใช่ว่าเป็นเพราะผมนั้นชอบเขาอยู่แล้วถึงได้พูดแบบนั้นหรอกนะ

“ยิ้มอยู่ได้ ยิ้มทำไม มีอะไรก็พูดมาสิวะ กูล่ะเบื่อรอยยิ้มของมึงจริงๆ เห็นแม่งทุกวัน” ผมพูด แต่จริงๆแล้วผมโกหก ผมไม่เคยเบื่อรอยยิ้มของเขาเลยแม้แต่น้อย

“ง้านนเหรออ มึงเบื่อจริงอ่ะ” เขาฉีกยิ้มกว้างมากขึ้นอีก แล้วก็เลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ผมจนผมรู้สึกอายและยิ้มออกมา

“อะไรเล่า” ผมพูด พลางขยับตัวหนี

“แต่กูไม่เคยเบื่อรอยยิ้มมึงเลยนะ พูดจริงๆแล้ว กูโคตรชอบรอยยิ้มแล้วก็ลักยิ้มของมึงเลย” เขาหัวเราะเบาๆ

“พอๆ ตกลงมึงมีอะไรจะบอกกู........” ผมรีบเปลี่ยนเรื่อง รู้สึกว่าตัวเองหน้าแดง

“ก็ พรุ่งนี้สอบวันสุดท้ายแล้วใช่มั๊ยล่ะ” เขาขยับตัวกลับไปนั่งที่เดิมดีๆ “กูก็เลยอยากชวนมึงไปเที่ยวน่ะ หลังสอบเสร็จอ่ะนะ”

“งั้นเหรอ ไปไหนล่ะ แล้วคนอื่นๆอ่ะ ไม่ไปกับพวกมันเหรอ” ผมถาม

“หลังจากไปกินไปเที่ยวกับพวกมันก่อนก็ได้ กูแค่....... เอ่ออ...... คือกูอยากชวนมึงไปบ้านกูว่ะ” เขาพูดขึ้นแล้วยิ้มอายๆ

“ชวนกูไปบ้านมึงเนี่ยนะ” ผมแปลกใจ เพราะที่ผ่านมาผมไม่เคยได้ไปบ้านของภูเลย มีแต่ภูที่เคยมาบ้านของผมบ้างสี่ห้าครั้งเท่านั้นเอง

“ช่ายย กูจะชวนมึงไปนอนค้างที่บ้านกูว่ะ” เขาเกาแก้มแกรกๆด้วยนิ้วชี้ เขามักจะทำแบบนี้เสมอๆเวลาที่เขาอาย ส่วนผมก็ชอบเวลาที่เขาทำแบบนี้มากๆด้วยเช่นกัน

ผมแกล้งทำนิ่วหน้าแบบไม่ไว้ใจ “นี่มึงจะมาไม้ไหน อย่าบอกนะว่าวางแผนจะพรากพรหมจรรย์กู” ผมพูดแล้วยิ้ม

ภูหัวเราะ “โอ๊ยยยยย ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้ากูจะเอาไอ้นั่นของมึงน่ะนะ กูไม่ต้องวางแผนหรอก กูจะขอดีๆตรงๆเลยด้วยซ้ำ”

ผมหน้าแดงขึ้นมาอีกครั้งทันที เขาเป็นคนชอบพูดจาโผงผาง และตรงไปตรงมาเสมอๆ และที่สำคัญ เขาชอบพูดจาทีเล่นทีจริงแบบนี้มากๆ ทำให้ผมไม่รู้สักทีว่าครั้งไหนที่เขาพูดจริงและครั้งไหนที่เขาพูดเล่น

“นั่นแน่ เขินล่ะสิ คุณปฐพี” ภูยิ้มกว้างที่แกล้งผมได้สำเร็จอีกครั้ง “มึงคิดว่ามึงไปได้มั๊ยล่ะ”

“เอ่ออ.... กูก็ต้องถามที่บ้านดูก่อนว่ะ แต่กูคิดว่าไม่น่าจะมีปัญ..........”

“นายภูมิธร” เสียงๆหนึ่งดังขัดขึ้น

เราสองคนหันไปหาที่มาของเสียงทันที แล้วก็พบกับอาจารย์สอนวิชาภาษาอังกฤษยืนกวักมือเรียกภูอยู่

“เวรและไง กูจะโดนอะไรวะเนี่ย เอางี้ เอาเป็นว่ามึงตอบตกลงแล้วก็แล้วกันนะ แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้พอมึงไปบ้านกู กูจะบอกอะไรมึงบางอย่าง กูจะพูด.......... คร้าบๆๆ เดี๋ยวครับ อาจารย์ รอแปบนึงคร้าบบบบ!!” เขาหันไปตะโกนบอกอาจารย์ จากนั้นก็หันหลับมาหาผมอีกครั้ง “เออๆ ถึงไหนแล้วนะ เออใช่ คือพรุ่งนี้เนี่ย กูอยากจะคุยอะไรกับมึงหน่อย เพราะงั้นมึงต้องไปบ้านกูนะ กูจะบอกสิ่งที่กูไม่ได้บอกมึงมานานหลายปีแล้ว....... ก็ สามปีได้แล้วมั๊ง”

เราสองคนมองตากันนิ่งอยู่ราวๆสองวิ จากนั้นภูก็ชิงพูดขึ้นมาอีกครั้ง

“เออๆ กูไปและนะ เจอกันพรุ่งนี้ที่ห้องสอบ” เมื่อพูดจบเขาก็วิ่งออกไปทันที ผมเห็นตอนที่เขาวิ่งไปหาอาจารย์ เขาก้มหน้าวิ่งแล้วก็เอามือเกาแก้มไปด้วย

ผมนั่งอยู่ย่างนั้นอีกราวๆห้านาที คิดถึงสิ่งที่ภูเพิ่งพูดออกมา นี่เขาหมายความว่าอย่างที่ผมคิดรึเปล่านะ เพราะถ้าเขาหมายความว่าแบบนั้นจริงๆ ผมก็คิดที่จะเริ่มต้นเดินก้าวต่อไปด้วยแล้วเหมือนกัน  ไม่สิ ต่อให้เขาไม่พูดในสิ่งที่ผมคิดออกมา ซึ่งถึงแม้ผมค่อนข้างมั่นใจว่าต้องใช่แน่ ผมค่อนข้างมั่นใจมาตลอดว่าเขาเองก็คิดกับผมแบบเดียวกับที่ผมคิดกับเขา เพียงแต่เราสองคนไม่เคยพูดมันออกมาเลย แต่คราวนี้ผมก็พร้อมที่จะเป็นฝ่ายเริ่มพูดเองบ้างแล้ว ไม่เห็นมันจะมีอะไรเสียหายนี่

ถ้าหากใครสักคนมาขีดข้อกำหนดในเรื่องของความรักให้ผมฟังล่ะก็ ผมก็พร้อมจะตอกหน้าเขากลับไปทันทีเลย เพราะตัวอย่างที่ผมเห็นชัดๆมันก็มีอยู่ตรงหน้าผมนี่แล้วไง ผมและเพื่อนคนนี้รักกันและเราก็รักกันดีมากด้วยมาตลอดระยะเวลาหลายปี ถึงแม้ว่าเราสองคนจะเป็นผู้ชายเหมือนกันก็ตาม แล้วพ่อและแม่ของผมล่ะ พวกท่านไม่ได้เป็นตัวอย่างของความรักชายหญิงที่ล้มเหลวหรอกเหรอ ข้อจำกัดเรื่องเพศไม่ใช่สิ่งที่จะเอามาขีดกั้นผมได้เลยตั้งแต่ผมยังเล็กแล้วด้วยซ้ำ ผมเรียนรู้เรื่องพวกนี้ได้เองมาตั้งแต่ผมยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าผมเองนั้นชอบผู้ชาย


ใช่แล้ว......... ความรักของผมนั้นก็คงเป็นเหมือนดั่งผีเสื้อ

มันใช้เวลานานกว่าจะเติบโต มันสวยงาม และน่าทะนุถนอม
แต่สุดท้ายก็ มันจากเราไปอย่างง่ายดาย รวดเร็ว และช่างบอบบางเหลือเกิน..........


ผมรอคอยวันสอบวันสุดท้ายอย่างใจจดใจจ่อ ผมรอแทบไม่ไหวแล้วที่ผมจะได้พูดคำว่า “รัก” ออกไปให้คนที่ผมรักและรู้ว่าเขาก็รักผมเช่นเดียวกันฟัง

แต่สุดท้ายแล้ว ความฝันมันก็ยังคงเป็นแค่ความฝัน เช้าวันรุ่งขึ้นผมได้รับข่าวร้ายที่สุดในชีวิตเมื่อมีคนมาบอกทางโรงเรียนว่า นายภูมิธรเกิดประสบอุบัติเหตุ รถมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่เขาซ้อนท้ายเสียหลักและล้มลงในหมู่บ้านของตัวเองและเป็นเหตุให้เขาถึงแก่ชีวิต

หัวใจของผมแตกสลาย ผมนั่งทำข้อสอบอย่างไม่รู้เลยว่าตัวเองกาอะไรลงไปบ้าง น้ำตาของผมมันไหลไม่ยอมหยุด ผู้คนหลายคนทั้งนักเรียนและอาจารย์ต่างก็โศกเศร้าและเสียใจ เขาเป็นที่รักของทุกๆคนจริงๆ หลายคนพยายามเข้ามาปลอบผม แต่ผมก็ไม่ได้ยินอะไรที่พวกเขาพูดเลยสักนิด สิ่งที่ก้องอยู่ในหัวของผมตลอดเวลานั้นมีอยู่แค่เพียงอย่างเดียว นั่นก็คือเสียงใสๆของเขาตั้งแต่เขายังไม่แตกหนุ่ม ประโยคที่เขาบอกว่า เขารักผม เสียงที่หนักขึ้นทุ้มขึ้นของเขาที่บอกผมว่า เขามีอะไรบางอย่างจะพูดกับผมหลังจากที่เขาไม่ได้พูดมันมานานแล้วถึงสามปี และเสียงของเขาจากประโยคสุดท้ายที่เขาพูดกับผมว่า เขาจะมาเจอผมที่ห้องสอบในเช้าวันนี้...............

แต่ว่าสุดท้ายแล้วเขาก็ไม่มา และคงจะไม่มาให้ผมได้พบหน้าอีกต่อไปแล้ว..............

เขาคือคนๆเดียวที่ทำให้โลกของผมสว่างสดใสขึ้น เขาคือคนๆเดียวที่ทำให้ผมประทับใจได้ตั้งแต่รอยยิ้มแรกพบ และเขาคือคนๆเดียวที่สอนให้ผมรู้จักกับคำว่า “เพื่อนแท้” และ “ความรัก”

ท้ายที่สุดแล้วผมก็ไม่เคยได้ไปบ้านของเขา แต่ในงานศพ แม่ของเขาได้นำของสิ่งหนึ่งมามอบให้แก่ผม มันคือรูปถ่ายที่ผมถ่ายคู่กับเขาสองคนในห้องเรียนตั้งแต่เรายังอยู่ชั้นมอสอง ในรูปนั้น ใบหน้าที่ผมเกือบจะลืมเลือนมันไปแล้ว ใบหน้าตอนเด็กของเขาที่กำลังยิ้มกว้างอย่างที่เขาชอบทำเป็นประจำและกำลังกอดคอกับผมเองที่ก็กำลังยิ้มอยู่เช่นเดียวกัน ลักยิ้มข้างซ้ายของผมบุ๋มลงไปเล็กน้อย และเสียงของเขาก็ดังก้องขึ้นมาอีกครั้ง...........

“นี่ไง เห็นมั๊ย เวลามึงยิ้มแล้วมึงน่ารักจะตาย มีลักยิ้มที่แก้มซ้ายด้วย คราวหลังก็ยิ้มบ่อยๆนะ เข้าใจป่าว แล้วเดี๋ยวอะไรๆมันก็จะดีเองนั่นแหละ กูสัญญา และอีกอย่าง........ กูชอบด้วย”

“แต่กูไม่เคยเบื่อรอยยิ้มมึงเลยนะ พูดจริงๆแล้ว กูโคตรชอบรอยยิ้มแล้วก็ลักยิ้มของมึงเลย”


ผมร้องไห้ออกมาอีกครั้ง และคราวนี้มันมากกว่าครั้งไหนๆด้วย ผมพลิกดูด้านหลังของรูปช้าๆ และเห็นลายมือของเขาเขียนเอาไว้อยู่สองบรรทัด บรรทัดแรกเป็นลายมือตอนเด็กๆของเขา เขียนเอาไว้ว่า

“กูจะรักมึงอย่างนี้ไปจนวันตาย”

ส่วนอีกบรรทัดเป็นลายมือที่หวัดและเป็นผู้ใหญ่กว่าบรรทัดแรกอย่างเห็นได้ชัด ผมดูจากรอยหมึกแล้วเดาเอาว่าเขาน่าจะเพิ่งเขียนมันเมื่อไม่นานมานี้เอง มันถูกเขียนเอาไว้ว่า

“หนึ่งเดียว อันเป็นที่รัก และจะรักตลอดไปไม่มีวันเปลี่ยน”

เมื่ออ่านจบผมก็ร้องไห้จนตัวโยน ทั้งแม่ของภูและเพื่อนๆคนอื่นๆก็เข้ามาปลอบผมให้ผมสงบลง แต่ผมห้ามตัวเองไม่ได้ ผมห้ามตัวเองไม่ได้จริงๆ ในชีวิตของผมทั้งชีวิต ผมไม่เคยได้สัมผัสกับคำว่ารักแบบที่ภูเคยมอบให้ผมมาก่อนเลย การจากไปของเขาทำให้ผมรู้สึกโดดเดี่ยวอย่างที่สุด ผมรู้สึกราวกับไม่เหลือใครอีกแล้ว เขาเข้ามาในโลกของผมแล้วเปลี่ยนชีวิตผมไป เขามอบความรักให้ผมในแบบที่ผมไม่เคยได้รับจากใคร และไม่คิดว่าจะมีใครทำให้ผมได้ในแบบที่เขาทำด้วย ผมไม่รู้จริงๆว่าถ้าปราศจากเขาแล้ว ชีวิตของผมต่อจากนี้มันจะเป็นอย่างไร..............

จากนั้นผมก็ใช้ชีวิตอยู่ต่อมาโดยเฝ้าคิดถึงแต่เพียงเรื่องๆเดียว นั่นก็คือ แม้แต่คำว่ารัก ผมยังไม่เคยได้บอกเขาออกไปเลยสักครั้ง...........

เมื่อขึ้นเทอมใหม่ ผมก็ไปเรียนตามปกติ แต่ผมไม่รู้สึกปกติเลยแม้แต่น้อย ผมเศร้า และหดหู่ ผมกลับเป็นคนที่พูดน้อยและยิ้มน้อยเหมือนเดิม ผมไม่สุงสิงกับใคร และไม่เห็นว่าผมจะต้องทำแบบนั้นไปทำไมถ้าเมื่อผมทำไปแล้วและผมจะต้องเจ็บปวดเพราะการสูญเสียอีกครั้ง ผมใช้ชีวิตอยู่กับการคิดถึงเขาในทุกๆนาทีที่ผมหายใจ ทุกๆวันที่ผมใช้ชีวิต และทุกๆคืนที่ผมหลับตานอน

จนวันหนึ่ง ผมหยิบรูปของภูที่ถ่ายคู่กับผมรูปนั้นออกมาดูแบบที่ผมทำเป็นประจำ รอยยิ้มของเขามันบอกผมว่าผมควรเลิกที่จะเป็นแบบนี้ได้แล้ว ผมรู้ตัวว่าภูไม่ได้ต้องการให้ผมเป็นแบบนี้ เขาชอบรอยยิ้มของผม เขาชอบลักยิ้มของผม แต่ตอนนี้ผมกำลังจะสูญเสียสิ่งเหล่านั้นที่ทำให้ผมกับภูผูกพันกันไปเสียแล้ว......... วันนั้นผมร้องไห้อย่างรุนแรงกับตัวเองอีกครั้งหนึ่ง แล้วสัญญากับตัวเองว่าผมจะเข้มแข็งขึ้นเพื่อตัวของผมเองและคนที่กำลังหัวเราะมาให้ผมอย่างมีความสุขอยู่ที่โลกนู้น

ผมหยิบรูปถ่ายเดี่ยวล่าสุดของภูเท่าที่ผมมีออกมาดูอีกครั้ง ผมไม่เคยเบื่อรอยยิ้มของเขาเลยจริงๆ.........

ผมรู้ว่าสิ่งที่เขาปรารถนาดีต่อผมมากที่สุดก็คืออยากให้ผมมีความสุข เพราะฉะนั้นผมก็จะมีความสุข เพื่อที่เขาจะได้ยังคงมอบรอยยิ้มที่แสนประทับใจนั้นให้ผมได้ตลอดไปด้วย ผมบอกขอโทษเขา ว่าผมไม่สามารถรักษาสัญญาที่ผมกับเขาเคยมีให้กันว่าเราจะรักกันอย่างนี้ไปจนวันตายได้แล้ว..............

“ภู กูขอโทษนะ กูรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับมึงไม่ได้แล้ว.......” ผมพูดกับรูปถ่ายของเขาและร้องไห้ออกมาอย่างห้ามตัวเองไม่ได้ “.......เพราะถึงมึงจะจากไปแล้ว แต่กูก็ยังไม่หยุดรักมึง ภู...... กูขอโทษ....... ทั้งๆที่มึงทำตามสัญญาของเราแท้ๆ ทั้งๆที่มึงเองก็รักกูไปจนถึงวันตายของมึง....... แต่กูรักมึงมากจริงๆ และจะยังคงรักมึงไปตลอดกาลด้วย กูไม่สามารถหยุดรักมึงได้แม้ว่าความตายจะพรากมึงไปจากกูแล้ว กูสัญญา....... กูสัญญาว่าแม้แต่ความตาย ก็ไม่อาจพรากความจริงข้อนั้นไปจากเราสองคนได้........ ภูมิธร กูขอสัญญา ว่านับจากนี้ไป.............” แต่ผมไม่สามารถจะจบประโยคได้ ผมร้องไห้และร้องไห้ ร้องจนคิดว่าน้ำตาของตัวเองคงจะเปลี่ยนเป็นสายเลือด ผมร้องจนกระทั่งผมหลับไปทั้งๆที่มีน้ำตาอาบใบหน้า

วันรุ่งขึ้น ผมไปทำเรื่องลาออกจากโรงเรียนทันที เพราะผมไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่กับที่ๆเต็มไปด้วยความทรงจำของเขาและผมแบบนี้อีกต่อไปได้ ถ้าผมอยากจะก้าวเดินต่อไป สักวันหนึ่งผมก็ต้องเรียนจบจากที่แห่งนี้อยู่ดี เพราะฉะนั้นผมก็จะขอก้าวเดินต่อไปตอนนี้เลย และผมสัญญา ว่าผมจะไม่มีวันลืมเพื่อนรักของผมคนนี้เด็ดขาด เขายังคงมีชีวิตอยู่ในความทรงจำของผม และผมก็ยังคงสามารถเห็นรอยยิ้มและได้ยินเสียงหัวเราะของเขาได้ในทุกๆครั้งที่ผมหลับตาลง........

ต่อจากนี้ไป ผมจะทำตัวเองให้ดีขึ้นและมีความสุข เพื่อเขาที่ยังคงเป็นส่วนหนึ่งในใจของผมด้วยเช่นกัน



(จบเรื่องเล่าของปฐพีตอนที่หนึ่ง – ตอนหน้า รอยเท้าเก่าในผืนทราย)

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 12-09-2007 13:46:30
โธ่เอ๊ย  สงสารพีจังเลย :m15:
ทำไมให้เรื่องของเค้าเศร้าขนาดนี้นะ
ต้นนนน ใจร้าย
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 12-09-2007 15:09:07

............ความสุขในชีวิตคนเราทำไมมันสั้นนัก......... :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 12-09-2007 15:40:44
 :m15: :m15: :m15: :m15: :m15: :m15: :m15: :m15: :m15: :m15: :m15: :m15: :m15: :m15: :m15: :m15:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 12-09-2007 17:00:27
ทำไมชีวิตพี่เศร้าอย่างนี้  o7  o7

ตอนนี้เรียกน้ำตาเราอีกแล้ว  :o12:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 12-09-2007 19:17:43
ตอนนี้เศร้าเกินบรรยาย 
 :m8:  :m8:  :m8:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: ~prince™~ ที่ 12-09-2007 20:10:40
                 



                                 :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: ~Brand New Beat~ ที่ 12-09-2007 23:14:32
ตอนนี้เศร้าอีกแล้ว ผมก็เพิ่งอ่านนิยายทำนองนี้จบเหมือนกัน

อินได้ที่เลย น้ำตาไหลพรากๆ  :o12: :o12: :o12
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 13-09-2007 00:25:43
ความทรงจำอันต่างกรรมต่างวาระ
แต่กลับซ้อนทับกันด้วยความไม่เข้าใจเพราะต่างคนต่างเก็บมันเอาไว้

บางครั้งเมื่อได้โอกาสก็พูดมันออกไป อย่างน้อยก็ไม่ต้องมาเสียใจภายหลังว่า ไม่ได้ทำมัน

คงไม่มีอะไรจะเสียกระมัง

 :a4: :a4: :a4:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: t_warawut ที่ 13-09-2007 01:23:06
ตัวละคร มีมิติมากๆๆ


มารอตอนต่อไปนะครับ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 13-09-2007 22:53:28
:m17:    เศร้า อ่ะ  ทำไมชีวิต ความรัก ของ ปฐพี กับ  นายภูมิธร ถึงได้เศร้าขนาดนี้
ความรัก ที่ไม่มีวันสมหวัง
ไม่ใช่เพราะไม่ได้รักกัน
ไม่ใช่เพราะ อีกคนไม่ได้รัก
แต่เพราะ"ความรักยังคงอยู่"
แต่...อีกคนไม่อยู่แล้ว....   ต่างหาก     :monkeysad:

 :o12:        แง๊ๆ   
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 14-09-2007 01:30:56

จงทำสิ่งต่างๆ ซะ ก่อนที่เราจะไม่ได้ทำมันนะเคอะ

พูดไป  ใช่ว่าจะยาก  แต่มันก็ไม่ง่ายเหมือนกันเนอะ

เขียนเอง งงเอง  อิชั้นหละกลุ้มตัวเอง

จาก อิเจ้ คนซื่อ  :a14:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 14-09-2007 10:50:36
ตอนที่ 35 (เรื่องเล่าของปฐพี : รอยเท้าเก่าในผืนทราย)


โรงเรียนใหม่ของผมอยู่ไกลจากบ้านของผมมากกว่าเดิมเสียอีก แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาอยู่แล้วเพราะผมสามารถมีคนคอยรับคอยส่งผมได้ทุกเมื่อถ้าผมต้องการ แต่ผมปฏิเสธ ผมอยากจะขึ้นรถเมล์ไปเรียนแล้วก็กลับบ้านแบบปกติๆมากกว่า

ผมรู้ตัวว่าผมไม่ได้มีฐานะร่ำรวยอะไรขนาดนั้น แต่ทั้งพ่อและแม่ของผมนั่นเองที่ชอบทำให้มันดูเกินจริงอยู่เรื่อย หรือจริงๆแล้วก็คือ ท่านทั้งสองอยากให้ผมมีความสุขและอยู่อย่างสะดวกสบายมากกว่า

แต่ความสุขเพียงหนึ่งเดียวของผมนั้นก็ตายจากผมไปแล้ว.......... จริงๆ

แน่นอนว่าการเริ่มต้นใหม่ของผมนั้นมันไม่สวยงามนัก จะมีเด็กสักกี่คนในประเทศนี้ที่ต้องย้ายโรงเรียนเอากลางเทอมแบบนี้ล่ะ คนอื่นๆเขารู้จักกันมาแล้วอย่างน้อยๆที่สุดก็หนึ่งปีครึ่ง แล้วผมที่ย้ายมาใหม่แบบนี้ ผมจะทำตัวอยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมใหม่แบบนี้ได้ยังไง

แต่ถ้าเป็นภูก็คงไม่แน่....... ถ้าเป็นเขา เขาคงจะแนะนำตัวเองกับเพื่อนคนอื่นๆด้วยสีหน้าแย้มแย้มและก็หัวเราะเล่นตลกกับคนอื่นๆตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอกันแน่นอน

แต่สำหรับผมมันไม่ใช่ ผมไม่ใช่คนแบบเขาเลยจริงๆ ผมพยายามแล้วที่จะเป็นมิตรกับคนอื่น แต่ดีที่สุดเท่าที่ผมทำได้ก็คือ การนั่งยิ้มอยู่กับที่แล้วรอให้คนอื่นเข้ามาเป็นฝ่ายพูดคุยก่อนอยู่ดี และเมื่อมีใครเข้ามาคุยกับผม ผมก็จะยิ้มตอบพร้อมกับตอบคำถามหรือพูดคุยกับเขากลับไปเท่าที่ผมทำได้

มันทรมานมาก ทรมานมากจริงๆ ผมเห็นภาพของภูฉายซ้อนอยู่ในทุกๆที่ทุกๆใบหน้าที่ผมเห็น และที่แย่กว่านั้น ผมเห็นภูอยู่ในกระจกเงาในห้องของผมอยู่ทุกๆคืนที่ผมมองมัน ผมร้องไห้กับตัวเองคืนแล้วคืนเล่า ภาวนาให้เขาเป็นกำลังใจให้ผมสามารถเข้มแข็งขึ้นได้ด้วยเถอะ

วันเวลาผันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผมก็ยังคงไม่สามารถลืมเขาได้เลยแม้สักนาที ไม่มีมีวันไหนสักวันที่ผมจะไม่เคยคิดถึงเขา แต่ว่าความคิดถึงและความโหยหาเขานั้นก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความทรงจำที่แสนงดงามและตราตึงอยู่ในใจของผมไปทีละน้อยๆ เพื่อนๆที่โรงเรียนใหม่นี้ก็ไม่เลวนักหรอก บางทีผมอาจจะกลัวไปเองก็ได้ เพราะพวกเราทุกคนต่างก็โตๆกันแล้ว ไม่ใช่เด็กๆเหมือนเมื่อก่อน พวกเขาเป็นมิตรและดีกับผมมาก ผมเป็นที่ต้อนรับของพวกเขาทุกคนในห้องอย่างที่สุด ผมเองก็พยายามจะเป็นคนที่ดีขึ้นให้ได้อย่างที่ผมสัญญาไว้กับภู และผมก็พยายามที่จะรับเอาเขาเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของจิตใจและวิญญาณของผมเช่นเดียวกัน ผมอยากจะมีเขาอยู่กับผม ไม่ใช่แค่ในความทรงจำของผม แต่อยู่ภายในวิญญาณและในตัวตนของผมด้วย

ผมเริ่มพูดคุยกับคนอื่นมากขึ้น ไม่พูดน้อยเหมือนเมื่อตอนย้ายเข้ามาใหม่ๆ ผมเริ่มยิ้มให้กับคนอื่นมากขึ้นเรื่อยๆเพราะพวกเขาก็เป็นเพื่อนของผมแล้วไม่ใช่แค่คนแปลกหน้าอีกต่อไป แต่ทว่าผมก็ยังไม่เจอคนที่จะมาแทนที่ภูได้เลยสักคน แน่นอน ไม่ใช่ในความหมายเดียวกับที่ภูได้มอบให้กับผมหรอก แต่อย่างน้อย ก็ความหมายของคำว่าเพื่อนแท้ที่ผูกพันกันมานาน....... แต่ก็นั่นแหละนะ ผมจะมาหวังอะไรกับเพื่อน กับคนที่ผมเพิ่งรู้จักกันได้แค่สองสามเดือน

“พี ทำไมมึงไม่ไปเป็นนักบาสวะ” ป้อง เพื่อนใหม่ที่ค่อนข้างสนิทกับผมถาม “ตอนชั่วโมงพละกูก็เห็นมึงเล่นเก่งออก ทำไมไม่เข้าชมรมบาสล่ะ”

ผมมองหน้าเขาแล้วก็ส่ายหัวเบาๆ “กูก็ไม่รู้สิ ไม่ค่อยอยากว่ะ บ้านกูอยู่ไกลด้วย คงไม่มีเวลาให้ชมรมหรืออะไรเท่าไหร่หรอก”

“นี่ ไอ้พี มึงอย่าทำตัวมืดมนนักเลยสิวะ มีอะไรก็ระบายๆออกมาบ้าง สังสรรค์ คบหากับคนอื่นๆนอกจากคนในห้องบ้าง จะได้มีเพื่อนเยอะๆไง” เขาพูด

ผมปิดหนังสือที่กำลังอ่านอยู่ลงแล้วมองหน้าเขา “กูขอโทษจริงๆว่ะป้อม กูรู้ว่ามึงหวังดีกับกูนะ แต่กูยังไม่พร้อมจริงๆ และที่สำคัญ กูเชื่อว่าไม่มีใครพร้อมที่จะฟังอดีตของกูหรอก”

“มึงรู้ได้ไงว่าไม่มีใครพร้อม อย่างน้อยๆก็กูนี่ไง ที่พร้อมจะฟังมึง” เขายืนกราน

“ไม่หรอก....... บางทีมึงอาจจะพร้อม แต่กูคงจะไม่พร้อมเองนั่นแหละ และที่สำคัญ...... อดีตของกูมันน่าเศร้าและเจ็บปวดเกินไปสำหรับที่กูจะมาเล่าให้คนอื่นฟัง ยิ่งไปกว่านั้น มันก็ไม่ใช่อดีตของกูซะทีเดียวหรอก แต่มันยังคงเป็นปัจจุบันของกูด้วย” ผมบอกเขา ป้องมองหน้าของผมงงๆแต่สุดท้ายก็พยักหน้าออกมาช้าๆ ผมยิ้มตอบให้แก่เขา “ขอบใจมาก ป้อง”

เย็นวันนั้นผมกำลังจะกลับบ้าน แต่ว่าผมต้องเดินผ่านที่สนามบาสด้วย และตอนนั้นก็เป็นช่วงที่นักกีฬาต้องทำการฝึกซ้อมอยู่พอดี ผมไม่รู้ว่าผมคิดอะไรเหมือนกัน แต่ขาของผมมันกลับก้าวเดินเข้าไปที่นั่นแล้วยืนมองดูเด็กนักเรียนหลายคนที่กำลังฝึกซ้อมและเล่นบาสกันอยู่ ผมหยุดยืนดูอยู่ข้างหลังต้นไม้เงียบๆเป็นเวลาประมาณห้านาทีได้ และเมื่อผมหันหลังกลับเพื่อที่จะเดินไปขึ้นรถกลับบ้าน ลูกบาสลูกหนึ่งก็กลิ้งมากระแทกเข้าที่น่องขาของผมเข้าอย่างจัง ผมหันหลังกลับไปแล้วก็หยิบมันขึ้นมาถืออยู่ในมือ

ผู้ชายคนหนึ่งวิ่งหอบๆตรงเข้ามาหาผม “ขอโทษนะครับ” เขายิ้ม

ผมมองหน้าเขาอยู่ครู่หนึ่ง เขาค่อนข้างจะสูงกว่าผมนิดหน่อย ก็ดูเป็นนักกีฬาอย่างที่เขาน่าจะเป็นนั่นล่ะนะ คิ้วที่ขีดเป็นเส้นตรงเกือบจะขนานกับดวงตากลมโตที่สดใสและดูอ่อนโยนอย่างที่สุด ทั้งคิ้วและหางตาของเขาตกลงเล็กน้อย และคงเป็นเพราะสิ่งนี้เองที่ทำให้เขาดูเป็นคนใจดีและดูอ่อนโยนได้อย่างนั้น จมูกโด่งเรียวสวยกำลังดี ใบหน้ากลมเรียว ผิวสีแทนทั้งตัวที่ดูเรียบเนียน และที่สำคัญ เขามีรอยยิ้มที่ไม่ใช่แค่จากริมฝีปากของเขา แต่มันยังมาจากในแววตาของเขาอีกด้วย

“ไม่เป็นไรครับ” ผมตอบแล้วก็ยื่นลูกบาสคืนให้กับเขา

“เร็วๆเข้า ไอ้เมฆ!” เสียงตะโกนเรียกดังมาจากในสนามบาส

เขาหันกลับไปชูนิ้วกลางให้คนที่ตะโกนมาแล้วก็หันกลับมาหาผม

“ขอบคุณนะครับ” เขารับลูกบาสไปถือไว้ในมือ ยิ้มให้ผมอีกหนึ่งครั้งแล้วก็หันหลังวิ่งกลับไป

ที่จริง ผมยังไม่เห็นเขาหยุดยิ้มเลยนับตั้งแต่วินาทีแรกที่ผมเจอหน้าเขาด้วยซ้ำ

ผมตัดสินใจยืนดูเขาเล่นบาสพร้อมๆกับรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเขานั่นต่ออยู่อีกครู่ใหญ่ๆ จากนั้นจึงหันหลังแล้วก็เดินกลับบ้านพร้อมความรู้สึกแปลกๆเล็กน้อยที่ก่อตัวขึ้นข้างในใจ มันมีอะไรบางอย่าง ที่ทำให้ผมรู้สึกดีที่ได้เห็นรอยยิ้มของเขาคนนั้น ผมต้องยอมรับเลยว่าเขามีรอยยิ้มที่สดใสและเป็นประกายมากจริงๆ มันไม่ใช่รอยยิ้มที่เหมือนกับรอยยิ้มของภู แต่มันก็มีอะไรบางอย่างในรอยยิ้มนั่นที่ทำให้ผมนึกถึงเขา และไม่ใช่นึกถึงเขาในแบบที่ทำให้ผมรู้สึกเศร้าเสียใจด้วย

แต่เป็นบางอย่างที่ผมรู้สึกเหมือนกับผมลืมมันไปนานแล้ว...........

คืนนั้นผมนอนคิดถึงเรื่องบางอย่างที่ผมลืมคิดถึงมันไปเสียนาน ผมเอาแต่คิดว่าผมต้องยิ้มให้มากขึ้น มีความสุขให้มากขึ้น มันเหมือนกับนึกถึงแต่ปริมาณ แต่ไม่ใช่คุณภาพ ภาพรอยยิ้มของคนที่ชื่อเมฆคนนั้น มันฝังเข้าไปในใจของผมจนเป็นสิ่งที่เรียกว่าความประทับใจไปแล้ว ผมนอนคิดถึงเรื่องนี้อยู่พักใหญ่ๆ จึงตัดสินใจหยิบรูปของภูที่ผมไม่ค่อยได้หยิบออกมาบ่อยเหมือนเมื่อก่อนแล้วออกมาดูอีกครั้ง ทันใดนั้นเอง เมื่อผมได้เห็นรอยยิ้มของเขาในรูปทั้งสองใบ ถึงแม้เวลาจะผ่านไปนานหลายปี แต่รอยยิ้มของเขาก็ยังคงเหมือนเดิมทุกประการ มันมีรังสีแห่งความสุขฉายออกมาจากภูทั้งสองคนถึงแม้จะเป็นแค่เพียงรอยยิ้มในรูปถ่ายก็ตาม น้ำตาของผมเริ่มไหลลงมาอีกครั้ง ผมลืมไปเสียสนิทเลย ภูไม่ใช่แค่ยิ้มออกมาเท่านั้น แต่เขายิ้มออกมาก็เพราะเขามีความสุขและอยากจะยิ้ม เขายิ้มก็เพราะเขาอยากจะแบ่งปันความสุขของเขาให้แก่คนอื่นๆด้วยนั่นเอง.........

ผมนอนมองรูปของเขาแล้วก็ปล่อยให้น้ำตามันไหลอาบแก้ม ไม่ใช่ว่าผมคิดถึงและโหยหาเขาเหมือนเมื่อก่อนนั้นหรอก แน่นอน ว่าผมคิดถึงเขามาก แต่น้ำตาในครั้งนี้ เป็นน้ำตาแห่งความเสียใจและผิดหวัง........... ในตัวของผมเอง

“กูขอโทษ....... ภู สุดท้ายกูก็เพิ่งเข้าใจรอยยิ้มของมึงที่มึงคอยมอบมันให้แก่กูมาตลอด....... กูขอโทษจริงๆ แต่ต่อจากนี้ กูจะทำให้มันดีขึ้น กูสัญญา.......” ผมพูดกับเขา

ผมเก็บรูปของภูไว้ที่เดิมแล้วก็นอนหลับตาอยู่บนเตียง รอยยิ้มของเขาเฝ้าวนเวียนอยู่ในใจของผมอยู่ตลอดเวลา น้ำตาของผมก็ยังคงไหลออกมาเรื่อยๆ แต่ทันใดนั้นเอง จู่ๆรอยยิ้มของผู้ชายที่ผมเพิ่งจะเจอวันนี้ก็โผล่ขึ้นมา ผมลืมตาขึ้นและนึกถึงความรู้สึกที่ผมรู้สึกเมื่อตอนเห็นมันเป็นครั้งแรก ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าสิ่งนั้นนั่นก็คือรอยยิ้มของความสุขที่เขามอบให้แก่คนอื่นๆรอข้างเขานั่นเอง แน่นอน ว่าเวลาใครๆมีความสุขก็ย่อมต้องหัวเราะหรือยิ้มออกมากันทั้งนั้น แต่ว่าสำหรับคนบางคนนั้นมันจะต่างออกไป มันเป็นความรู้สึกลึกๆที่คงมีแค่ไม่กี่คนที่มี และมีน้อยคนยิ่งกว่าที่จะรับรู้มันได้จากคนเหล่านั้น มันคือความสุขจากใจจริงที่เขาเหล่านั้นอยากจะมอบให้แก่ผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา และหนึ่งในคนที่มีรอยยิ้มพวกนั้นนั่นก็คือภูนั่นเอง ส่วนคนอีกคนที่ผมยังไม่แม้แต่จะรู้จักเขาเลยแต่กลับให้ความรู้สึกนั้นแก่ผมได้ก็คือผู้ชายหน้าตาดีที่ชื่อเมฆคนนั้นนี่เอง

สุดท้ายก่อนที่ผมจะหลับตานอน ผมก็ปฏิญาณกับตัวเองเบาๆ ว่าจากนี้ไป ผมจะมีรอยยิ้มเพื่อผู้คนรอบข้าง ไม่ใช่รอยยิ้มที่มีแค่ประทับเอาไว้บนหน้าเพื่อจะระลึกถึงคนอันเป็นที่รักที่จากไปแล้วของผมเท่านั้น..........

เวลาผ่านไปอีกหนึ่งเดือน ระหว่างนั้นผมก็ได้รู้ว่าคนที่ชื่อเมฆนั้นเป็นรุ่นพี่ของผมปีนึง และผมก็เคยเดินสวนกับเขาบ้างครั้งสองครั้ง แต่อย่างหนึ่งที่ผมไม่เข้าใจนั่นก็คือ ผมไม่เคยเจอเขาที่สนามบาสอีกเลย ซึ่งผมเองก็ไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะอะไรและผมเป็นอะไรไปเหมือนกัน เพราะแทบทุกครั้งที่ผมเดินผ่านสนามบาส ผมก็จะต้องมองหาเขา ถ้าผมเดินผ่านชั้นเรียนของนักเรียนชั้นมอหก ผมก็จะมองหาเขา ตอนนั้นผมไม่รู้จริงๆว่าผมคิดอะไรอยู่ ผมบอกตัวเองว่ามันคงไม่มีอะไรมากเกินไปกว่าผมแค่อยากจะเห็นรอยยิ้มของเขาอีกครั้งก็เท่านั้น

จนเมื่อถึงการสอบไฟนอลผมก็ตัดใจ เขาจะเรียนจบในอีกไม่กี่วันนี้แล้ว ผมคิดว่าผมคงไม่มีโอกาสได้เจอกับเขาอีก ทั้งๆที่ผมตั้งใจเอาไว้ว่าจะขอเห็นรอยยิ้มของเขาเป็นครั้งสุดท้าย แล้วตัวผมเองก็อาจจะได้คำตอบในการก้าวเดินต่อไปอย่างเข้มแข็งมากขึ้น

และแล้วก็เหมือนฟ้ายังคงเห็นใจผมอยู่.........

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 14-09-2007 10:52:08


วันเสาร์แรกของการปิดเทอม ผมต้องมาส่งรายงานและช่วยอาจารย์ทำงานของแต่ละวิชาอีกนิดหน่อยเพื่อเป็นคะแนนเก็บในส่วนที่ผมขาดหายไป วันนั้นเป็นวันที่อากาศไม่ดีมาตั้งแต่เช้า ยิ่งชวนให้ผมรู้สึกเหงาและหดหู่มากขึ้นไปอีก ผมไปถึงโรงเรียนเช้ามาก ยังไม่ถึงเวลาที่ต้องไปพบอาจารย์และผมก็ไม่มีไรทำด้วย ผมจึงเดินไปขอยืมลูกบาสที่อาจารย์พละที่สอนวิชาบาสเก็ตบอลผมมาเล่น และสัญญาว่าจะมาช่วยจัดของในห้องเก็บอุปกรณ์ตอนเที่ยง เมื่อได้ลูกบาส ผมก็เล่นอยู่คนเดียวราวๆครึ่งชั่วโมงผมก็เอาไปคืน จากนั้นก็ขึ้นตึกไปเพื่อพบกับอาจารย์ตามที่นัดไว้ หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมง อาจารย์ก็บอกให้ผมออกไปพักได้ แต่เมื่อผมเดินออกมากห้องพักครู จากระเบียงชั้นสามที่ผมเห็นอยู่นั้น ผมก็พบกับเขา รุ่นพี่ที่ชื่อเมฆคนนั้นกำลังเล่นบาสในสนามอยู่คนเดียว ผมดีใจมากจริงๆ ผมยืนมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง ในใจก็คิดอยากจะเดินลงไปข้างล่างเพื่อที่จะได้เห็นหน้าของเขาชัดๆหรือไม่ก็เพื่อที่จะคุยกับเขาไปเลย แต่ผมลืมไปหรือเปล่า คนอย่างผมนี่นะที่จะเข้าไปคุยกับเขาก่อน ผมเองยังไม่คิดว่าผมจะทำแบบนั้นเป็นเลย ผมจึงทิ้งตัวลงนั่งแล้วก็มองดูเขาอยู่อย่างนั้น.........

ถึงมันจะค่อนข้างไกล แต่ผมก็เห็นและรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเขาเล่นบาสอย่างรุนแรงมาก เขาวิ่งไปกลับทั้งสองฟากสนาม เขาดั๊งค์ และเขายังไม่ยอมหยุดพักเลยด้วย แต่ที่สำคัญที่สุดนั่นก็คือ เขาไม่มีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าเลยสักครั้งเดียว ไม่เหมือนกับเมื่อครั้งแรกที่ผมเห็นเขาเล่นบาสเมื่อครั้งนั้นสักนิด หากแต่คราวนี้มันกลับดูเต็มไปด้วยความเศร้า ผมนั่งดูเขาได้อีกไม่นานผมต้องกลับไปทำงานต่อ และเมื่อผมกลับเข้าห้องพักครู่ไปได้อีกแค่สักพัก ฝนก็เทลงมา ใจของผมพะวงไปถึงเขาว่าเขาจะเลิกเล่นและกลับไปแล้วรึยังนะ ผมไม่รู้ว่าทำไมผมถึงต้องคิดถึงเขาและกระวนกระวายมากขนาดนี้ แต่ผมก็ยังไม่อยากให้เขาหายไปไหนเลยจริงๆ ผมอยากจะเห็นรอยยิ้มของเขาอีกสักครั้ง

ผมรีบทำงานให้เสร็จจากนั้นก็รีบเดินออกมายืนที่หน้าระเบียงเหมือนเดิม เขายังคงอยู่ที่นั่น ผมไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเองเลย เขายังคงเล่นบาสอยู่ท่ามกลางสายฝน ผมนึกเป็นห่วงเขาขึ้นมาบ้างเช่นกัน ทำไมเขาถึงทำอะไรแบบนั้นนะ แล้วฝนที่กำลังตกอยู่นี่ก็ไม่ใช่เบาๆเลยด้วย แต่ผมก็ยังคงนั่งมองเขาอยู่ต่อไป จนเมื่อเวลาผ่านไปอีกแค่ราวๆห้านาที เขาก็หยุดวิ่งและทิ้งตัวนั่งกอดเข่าลงบนสนาม ผมแทบจะสาบานกับตัวเองได้เลยว่าผมได้ยินเสียงสะอื้นของเขา ถึงแม้ฝนจะตก ลมแรง และมีเสียงฟ้าร้องอยู่ก็ตาม เปล่า ไม่ใช่ว่าเขาร้องไห้เสียงดังหรอก เขาร้องไห้อยู่รึเปล่าผมยังไม่รู้เลย แต่อะไรบางอย่างทำให้ผมสามารถรู้สึกได้จริงๆว่าเขากำลังร้องไห้อยู่ ผมผุดตัวลุกขึ้นยืนทันทีเมื่อเห็นเขาทรุดลงไปแบบนั้น แต่สุดท้ายผมก็กลับนั่งลงเหมือนเดิม มันไม่ใช่เรื่องอะไรของผม มันไม่มีอะไรที่ผมจะทำได้ และก็จริงอย่างที่ผมคิด อีกไม่นานเขาก็ลุกขึ้นยืน แล้วก็ออกวิ่งอย่างเต็มกำลังอีกครั้ง

ผมมองเขาด้วยความทึ่งและความรู้สึกบางอย่างแปลกๆข้างใน ผมรู้สึกว่าถึงผมจะไม่รู้จักและไม่เคยคุยกับเขาคนนี้เลย แต่ผมก็รู้สึกนับถือเขาขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว เพราะเมื่อเห็นเขาในสภาพนี้ ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด เขาต้องกำลังมีเรื่องไม่สบายใจอยู่มากแน่ๆ แต่เขาก็กำลังต่อสู้อยู่กับมัน ใช่แล้ว ผมดูออกเลยว่าเขาเหนื่อยและท้อแท้ใจ แต่เขาก็ยังคงวิ่งต่อไปอย่างไม่หยุดพัก และยิ่งเมื่อผมคิดไปถึงรอยยิ้มของเขาที่ผมเคยเห็นในครั้งแรก มันก็ทำให้ผมนึกถึงภูขึ้นมาด้วย.......

ใช่แล้ว ภูเคยบอกบางอย่างกับผมเอาไว้..........

“ยิ่งมีแดดแรง และเจิดจ้ามากเท่าไหร่ ร่มเงาก็ยิ่งเข้มขึ้นเท่านั้น” เขาตอบออกมาหลังจากที่ผมถามเขาว่าทำไมเขาถึงได้ยิ้มเก่งนัก

“กูไม่เข้าใจว่ะ” ผมส่ายหน้า

เขาหัวเราะ “แหม จริงๆแล้วกูก็อยากจะพูดว่า ‘สักวันมึงจะเข้าใจเอง’ แบบเท่ๆแบบนั้นหรอกนะ” เขายิ้มกว้างแล้วมองตาผม “แต่กูว่ากูบอกมึงเลยดีกว่า เดี๋ยวมึงจะเสียใจที่กูทำเป็นเล่นตัว”

“เออๆ แล้วมันหมายความยังไงล่ะ” ผมนึกขำอยู่ในใจ

ภูยังคงยิ้มอยู่ แต่คราวนี้มันเป็นรอยยิ้มเศร้าๆแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนเลย และมันก็ทำให้ผมรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาในอกด้วย ผมไม่อยากเห็นเขามีรอยยิ้มแบบนี้เลยจริงๆ

“ถ้ากูพูดใหม่ว่า ‘มึงรู้มั๊ย ว่ายิ่งด้านหน้าของเรามีแสงแดดจ้ามากเท่าไหร่ เงาที่ทอดยาวไปยังด้านหลังของเราก็ยิ่งเข้มขึ้นตามไปมากเท่านั้น’ ล่ะ มึงเข้าใจมั๊ย”

ผมไม่ตอบ และภูเองก็คงรู้ว่านั่นแปลว่าผมยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี

“มันหมายความว่า การที่คนๆหนึ่งเขาเป็นคนร่าเริงและหัวเราะมีความสุขได้กับทุกสิ่งอยู่ตลอดเวลาน่ะ มันไม่ได้หมายความว่าเขาไม่เคยมีความทุกข์หรืออะไรเลยหรอก...... แต่มันก็คือเขานั่นแหละ ที่มีความทุกข์และความเศร้าในใจมากกว่าใครๆต่างหาก”

“นี่มึงหมายความว่ามึงเองก็.........” ผมรู้สึกแปลกใจ ประหลาดใจ และเริ่มรู้สึกกังวลด้วย

“เปล่าๆ ไม่ใช่ ไม่ใช่ว่ากูตีหน้ายิ้มเพื่อปิดบังความทุกข์ของกูอะไรหรอก แน่นอน กูก็คน กูก็รู้สึกเศร้าใจและเสียใจเหมือนคนอื่นๆนั่นแหละ แต่ว่ากูเป็นคนค่อนข้างคิดมากล่ะมั๊ง เพราะงั้นกูก็เลยรู้ว่าความเศร้าใจและความทุกข์ใจนั้นมันทรมานและเจ็บปวดมากขนาดไหน เพราะฉะนั้นกูจึงอยากที่จะเป็นคนยิ้มแย้มและทำให้คนอื่นมีความสุขได้ตลอดเวลา เพื่อที่ทั้งกูและคนอื่นๆรอบข้างกูจะได้ไม่ต้องทนเศร้ากับความมืดมนทางด้านหลังของตัวเองนั่นไง” เขายิ้มกว้างขึ้นมาอีกครั้ง.........

ตอนนั้นผมยังไม่รู้ว่าภูมีความเศร้าเรื่องอะไร แต่ต่อมาไม่นานผมถึงได้เข้าใจรอยยิ้มของเขามากขึ้น..........

ประโยคในวันนั้นมันทำให้ผมคิดอะไรได้ชัดเจนขึ้นมาในทันที ใช่แล้วล่ะ ที่ภูยิ้มแย้มตลอดเวลา นั่นก็คือเขาอยากจะมอบความสุขของเขาให้กับคนอื่นๆรอบกายเขาอย่างแท้จริง เพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องเห็นใครมีความทุกข์และความเศร้าที่เขาแสนจะเกลียด แต่ผมจำได้ ว่าเวลาที่เขามีเรื่องไม่สบายใจทีไร ภูจะกลายเป็นคนที่อ่อนแอได้อย่างถึงที่สุด......... และบางที รุ่นพี่ที่ชื่อเมฆคนนี้ก็อาจจะเป็นแบบนั้นด้วยเช่นกัน

เวลาผ่านไปอีกสักพักเมื่อฝนเริ่มซาลง อาจารย์หนุ่มก็เดินมาตามผม บอกผมให้ไปช่วยเขาเก็บของได้แล้ว ผมเดินตามเขาไปยังห้องเก็บอุปกรณ์พละ และแน่นอน ว่าผมก็จะต้องเดินผ่านเข้าไปใกล้กับสนามบาสด้วย พออาจารย์หนุ่มเห็นรุ่นพี่คนนั้นที่กำลังเล่นบาสอยู่ทั้งๆที่ฝนตก เขาก็ทำท่าไม่พอใจขึ้นมาทันที

“นั่นมันไอ้เมฆนี่หว่า ทำไมมันมาเล่นบาสทั้งๆที่ฝนตกแบบนี้วะ เปียกเป็นลูกหมาหมดแล้ว” เขาพูดแล้วทำท่าฟึดฟัด

 ผมมองไปยังพี่เมฆที่อยู่ในสนาม เขาหยุดยืนอยู่กับที่และเลี้ยงลูกบาสที่พื้นอีกสามสี่ครั้ง จากนั้นเขาก็ออกวิ่งเต็มฝีเท้าและกระโดดขึ้นดั๊งค์อย่างแรง และสิ่งที่สะดุดสายตาของผมก็คือ รอยยิ้มของเขา.......... นั่นไง คือรอยยิ้มของเขาที่ผมเคยเห็นเมื่อครั้งแรกที่ผมเจอกับเขาที่สนามบาสแห่งนี้ เขายิ้มออกมาแล้ว

“เออ มันเก่งเว้ย แรงขามันดีจริงๆ มีไม่กี่คนหรอกที่ตัวสูงไม่ถึงร้อยแปดสิบแบบมันแล้วจะดั๊งค์ได้ขนาดนั้นน่ะนะ” อาจารย์หนุ่มพูดอย่างพอใจในตัวลูกศิษย์ของเขา จากนั้นเขาก็หันมามองผม “เราก็คิดเหมือนกันใช่มั๊ยล่ะ ยืนมองยิ้ม ตาไม่กะพริบเลยนะ”

นี่ผมเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัวเหรอเนี่ย ผมก้มหน้าหลบสายตาของอาจารย์เพราะความอาย

“พี ครูว่าเราก็เก่งออกนะ ทำไมไม่เข้าชมรมบาสสักทีวะ เดี๋ยวครูจะปั้นเราแทนไอ้เมฆนั่นเอง........ อ้าวเฮ้ย!” อาจารย์หนุ่มร้องขึ้น ผมจึงหันไปมองในสนาม แล้วก็เห็นพี่เมฆนั่งลงบนพื้นสนามเปียกๆแล้วก็ยิ้มให้กับตัวเองอยู่คนเดียว

“อย่างนี้ มันต้องโดนด่าสักหน่อยแล้วมั๊ง พี เข้าไปเอานี่ไปวางไว้ในห้องเก็บอุปกณ์ก่อน เดี๋ยวครูตามไป” อาจารย์หนุ่มยื่นลังกระดาษที่ใส่อะไรไม่รู้อยู่เต็มให้แก่ผม จากนั้นผมก็เดินเข้าไปในห้องนั้นแล้ววางมันลงกับพื้น ผมได้ยินอาจารย์ตะโกนเรียกชื่อเขาแล้วก็คุยอะไรกันอีกเล็กน้อยที่หน้าห้อง จากนั้นอาจารย์ก็เรียกให้ผมออกไป

“พี ครูวานไปหยิบผ้าขนหนูในห้องพักของครูพละบนตึกมาให้ไอ้รุ่นพี่เราหน่อยซิ”

ผมมองหน้าของพี่เมฆชัดๆ แล้วก็เห็นเขาที่ยืนเปียกไปทั้งตัว ตาของเขาแดงเล็กน้อย แน่นอนว่าคงเป็นเพราะน้ำฝนนั่นล่ะ แต่ผมคิดว่ามันคงมีอะไรอย่างอื่นกว่านี้แน่ และผมก็คิดว่าผมรู้ด้วยว่ามันคืออะไร

ผมพยักหน้ารับ จากนั้นก็วิ่งกลับไปยังห้องพักครูของอาจารย์พละ

เมื่อได้ผ้าขนหนูและกลับมาถึงที่เดิม ผมก็เห็นพี่เขายืนเปลือยท่อนบนอยู่ เขามีหุ่นดีมากจริงๆ และยังหยดน้ำที่เกาะอยู่ตามร่างกายของเขานั่นอีก ทำเอาผมรู้สึกเขินโดยไม่มีเหตุผลไปด้วยเลยเหมือนกัน

“นี่ครับ” ผมยื่นผ้าให้แก่เขา

“ขอบคุณครับ” เขารับผ้าไป จากนั้นก็หันไปบอกอาจารย์หนุ่มว่าขอไปเช็ดตัวก่อนแล้วเดี๋ยวค่อยกลับมาช่วยทำงานด้วย

ผมกับอาจารย์จัดของในห้องกันอยู่พักหนึ่ง อาจารย์ก็บอกกับผมว่าต้องกลับไปทำงานในห้องต่อให้เสร็จ ให้ผมทำงานตรงนี้กับพี่เมฆไปก่อน แล้วเดี๋ยวเขาจะกลับมา เมื่ออาจารย์หนุ่มเดินออกไป พี่เมฆก็เดินกลับเข้ามาในห้อง ผมพยายามที่จะไม่มองร่างกายของเขานานเกินไปนักเพราะเดี๋ยวมันจะผิดสังเกต เขาช่วยผมทำงานอย่างเต็มที่ เราสองคนแทบจะไม่ได้คุยอะไรกันเลย ผมเองก็ไม่ใช่คนที่จะเริ่มพูดคุยก่อนอยู่แล้ว ส่วนเขาเอง ผมคิดว่าจริงๆแล้วเขาน่าจะร่าเริงและช่างพูดมากกว่านี้นะ แต่เมื่อผมเห็นเขาในสามบาสเมื่อครู่ ผมก็ไม่แปลกใจเลยที่ว่าเขาจะไม่มีอารมณ์อยากคุยอะไรกับใครเท่าไหร่นัก แต่ถึงอย่างนั้นก็น่าแปลกที่ไม่มีบรรยากาศของความอึดอัดอยู่ระหว่างเราสองคนเลยแม้แต่น้อย

แต่ผมเสียดายแค่เพียงอย่างเดียวจริงๆ........ ผมแค่จะอยากเห็นรอยยิ้มแบบที่ผมเห็นในสนามบาสเมื่อครู่นี้อีกสักครั้ง และคราวนี้ผมอยากได้รอยยิ้มแบบนั้นโดยที่เขาตั้งใจจะมอบให้ผม ไม่ใช่ยิ้มที่เขามีให้กับตัวเองแล้วผมบังเอิญไปเห็นเข้าอีกแล้ว

และขณะที่ผมคิดอยู่นั่นเองผมก็เกิดพลาดขึ้น ผมสะดุดรอยแตกบนพื้นและล้มหัวเข่าไปกระแทกเข้ากับตะกร้าเก็บลูกวอลเลย์ที่เป็นเหล็ก แถมยังเสียหลักล้มเอาหัวเข่าข้างเดิมกระแทกโดนขอบพื้นที่ต่างระดับอีกด้วย สุดท้ายตอนที่ผมล้มลง ผมยังรู้สึกข้อเท้าของตัวเองพลิกผิดท่าอีกต่างหาก ผมนั่งลงและเอามือกุมที่หัวเข่าอย่างเจ็บปวด

“เฮ้ย เป็นอะไรรึเปล่าครับ” พี่เมฆวิ่งเข้ามาถามอย่างตกใจ

“ไม่เป็นอะไรหรอกครับ แค่สะดุดนิดหน่อยน่ะ” ผมตอบ

“เลือดออกด้วยนี่ เอางี้ ไปนั่งพักก่อนดีกว่า เดี๋ยวพี่ไปขอยามาให้” เขายืนขึ้นแล้วยื่นมือมาให้ผมจับ ทำไมเขาต้องทำขนาดนี้ด้วยนะ ทั้งๆที่เรายังไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลยด้วยซ้ำ คือ จริงๆแล้วเขาสมควรที่จะคิดว่า ผมเองก็น่าจะสามารถยืนเองได้นี่นา ทำไมเขาต้องเป็นห่วงผมขนาดนี้ด้วย ถึงขนาดยื่นมือออกมาให้ผู้ชายอย่างผมจับนี่นะ......... มันทำให้ผมนึกถึงที่ภูที่เคยเป็นห่วงผมมากเมื่อตอนนั้นเลยทีเดียว

ผมพยายามจะลุกขึ้นด้วยตัวเอง แต่สุดท้ายข้อเท้าของผมก็ทำพิษ ผมเกิดเซถลาไปและกำลังจะล้มลง แต่เขาก็เข้ามาประคองผมเอาไว้ได้ก่อน

“ก็บอกแล้ว ว่าจะช่วย ไหนเอาเข่ามาดูหน่อยซิ” เขาพูดอย่างนั้น แต่ไม่มีความไม่พอใจอยู่ในน้ำเสียงของเขาเลยแม้แต่น้อย กลับกัน มันกลับเต็มไปด้วยความเป็นห่วงมากกว่า เขาก้มลงไปดูที่หัวเข่าของผม “เหมือนจะช้ำนะ จะเป็นห้อเลือดรึเปล่าก็ไม่รู้ แถมข้อเท้าอาจจะแพลงอีก อย่างนี้เจ็บแหงๆ มานี่เถอะครับ เดี๋ยวพี่พาไปนั่ง” เขาพูดและยังจับแขนของผมพาดบ่าเขาเอาไว้แล้วก็เข้ามาประคองโอบเอวผมอีกด้วย ผมรู้สึกตกใจนิดหน่อยที่เขาทำแบบนี้ แต่ผมก็ยอมเดินไปนั่งลงบนม้านั่งที่เขาถอดเสื้อวางเอาไว้แต่โดยดี

ทันใดนั้นเอง เพื่อนของพี่เมฆก็โผล่ออกมา พี่เมฆบอกให้เขาช่วยไปตามอาจารย์หนุ่มมาให้ดูอาการข้อเท้าของผมหน่อย ส่วนเขาจะไปหยิบยาที่ห้องพยาบาลมาให้ผมเอง

“เอ่อ พี่ครับ ผมไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ แค่นี้เอง” ผมรีบบอกเขา

“ช่างเหอะน่า เป็นแผลก็ใส่ยาไว้ก่อนก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย แถมดูซิเนี่ย แผลสกปรกจะตายไป ฝนมันเพิ่งตก ดินเลยติดเต็มหัวเข่าไปหมด เดี๋ยวพี่มานะครับ” เขายิ้มให้ผมแล้วก็วิ่งเหยาะๆออกไป

ผมนั่งนิ่งเพราะรอยยิ้มของเขาเมื่อครู่ ไม่เลย เขาไม่ได้มีรอยยิ้มอะไรที่เหมือนกับภูเลยแม้แต่น้อย แต่รอยยิ้มเมื่อครู่ของเขามันช่างทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นและรู้สึกราวกับผมกำลังถูกเป็นห่วงเป็นใยอยู่จริงๆ.........

จากนั้นไม่นานเพื่อนของพี่เมฆก็เดินมาอีกสองคนตามที่เขานัดกันเอาไว้ที่นี่ คนหนึ่งในนั้นหน้าตาดีมาก เขาตัดผมสกินเฮดและมีแววตาที่ดูแน่วแน่และค่อนข้างจะดุดัน ดูเขาเป็นคนดื้อๆที่กำลังไม่พอใจอะไรสักอย่างอยู่ และผมก็รู้สึกได้ว่าสิ่งที่เขาไม่พอใจนั้นก็คือผมนั่นเอง ซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม

เมื่อพี่เมฆกลับมา เขาก็ก้มลงทำแผลให้ผมทันที ผมก็ห้ามเขาแล้วว่าผมทำเองได้ แต่เขาก็ไม่ฟัง เขาเช็ดแผลและใส่ยาให้ผมอย่างเบามือและใส่ใจมากจริงๆ ผมจำไม่ได้เลยว่ามีใครคนอื่นเคยทำแบบนี้ให้กับผมนอกภู

“เอาล่ะ เรียบร้อยแล้ว” เขาลุกขึ้นยืน

“ขอบคุณมากครับพี่” ผมพูดและส่งยิ้มให้เขา เป็นรอยยิ้มที่มาจากใจของผมจริงๆ รอยยิ้มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความขอบคุณและความชื่นชม ผมหวังว่าเขาจะเข้าใจและยอมรับมันนะ

หลังจากนั้นอาจารย์หนุ่มก็เดินมาดูอาการของผมพร้อมกับพี่ที่มาถึงที่นี่เป็นคนแรก อาจารย์บอกผมว่าผมไม่เป็นอะไรมาก แค่เจ็บนิดหน่อย ทายาอีกไม่กี่วันก็คงหาย และเขาก็สั่งให้พวกพี่ๆทั้งสี่คนช่วยทำงานแทนผมต่อให้เสร็จ จากนั้นผมกับอาจารย์หนุ่มก็นั่งคุยกันเรื่องข้อเท้าของผมและก็นั่งดูพวกพี่เขาทำงานไปด้วย เท่าที่ผมสังเกต ผมไม่เห็นพี่เมฆกับพี่ที่ตัดผมสกินเฮดที่ชื่อซันนั่นคุยกันเลยแม้แต่ครั้งเดียว นอกจากนั้นยังมีบรรยากาศแปลกๆเกิดขึ้นระหว่างเขาสองคนอีกด้วย และเมื่อผมเอาทั้งหมดมาประมวลผลเข้ากับความรู้สึกแปลกๆที่เขามองผมเมื่อตอนที่พี่เมฆทำแผลให้ผมด้วยแล้ว ผมคิดว่าผมก็พอจะเข้าใจอะไรขึ้นมากแล้วคราวนี้...........

แน่นอนว่าผมรู้สึกแปลกใจถ้าเกิดมันเป็นแบบที่ผมคิดจริงๆ....... แต่ถ้าเขาจะเป็นอะไรกันจริงๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายนี่นา

เมื่องานเสร็จและอาจารย์หนุ่มเดินจากไป พวกเขาก็ดูเหมือนจะมีเรื่องผิดใจกันทันที ผมนั่งฟังอยู่อย่างไม่ค่อยจะเข้าใจและไม่สบายใจนัก ดูเหมือนว่าพี่เมฆกับพี่ซันจะมีเรื่องทะเลาะกันอยู่และทำให้พี่เมฆไม่อยากจะไปทะเลเพราะไม่อยากจะทำให้เพื่อนๆพลอยไม่สบายใจไปด้วย เขาคงต้องมีเรื่องทะเลาะกันแรงมากแน่ๆ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นแต่พี่เมฆอาจจะไม่เห็น นั่นก็คือ ผมรู้สึกได้เลยว่าพี่ซันนั้นกำลังหึงผมกับพี่เมฆอยู่ แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้ตัวเลยสักนิดเดียว

หลังจากที่ทุกคนต่างก็แยกย้ายกันกลับไป ผมเองก็กลับเข้าไปทำงานของอาจารย์ท่านอื่นต่อจนเสร็จ และเมื่อผมกลับถึงบ้านในเย็นวันนั้น ผมก็ขึ้นห้องไปหยิบเอารูปของภูออกมาดูทันที....... ผมมองรอยยิ้มของเขาและก็นึกถึงรอยยิ้มของพี่เมฆไปด้วย

ไม่เลย เขาสองคนไม่ได้ให้ความรู้สึกที่เหมือนกันออกมาเลยแม้แต่น้อย คือ มันก็แค่คล้ายๆกันเท่านั้น ผมไม่ได้รู้สึกชอบพี่เมฆแบบที่จะมาแทนที่ภูได้ แต่ผมก็ไม่ปฏิเสธว่าผมรู้สึกชอบเขาจริงๆ เขาดูเป็นคนอบอุ่นและห่วงใยคนอื่นมาก ซึ่งตรงนี้แหละ ที่คนที่ไม่ค่อยได้รับความรู้สึกแบบนั้นจากคนอื่นแม้แต่จากพ่อแม่ของตัวเองโหยหาและปรารถนามากที่สุด เขามีรอยยิ้มที่คล้ายกับรอยยิ้มของภู เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ผมประทับใจได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น และเป็นรอยยิ้มของคนที่ปรารถนาให้ทุกคนรอบกายของเขามีความสุขเช่นเดียวกัน

ผมไม่รู้หรอก ว่าผมคิดยังไงกับพี่เมฆ แต่ถ้ามีโอกาส ผมก็อยากจะรู้จักเขามากกว่านี้อีกสักหน่อย อยากจะได้พูดคุยกับเขามากขึ้นอีกนิด แต่ดูท่าทาง ผมกับเขาคงจะเจอกันช้าเกินไป........ ผมคงจะไม่มีวันได้เจอกับเขาอีกแล้ว

คืนนั้นผมนอนหลับและฝันเห็นภูยืนยิ้มให้แก่ผมอยู่

“ภู กูรักมึงจริงๆนะ และกูก็ไม่เคยลืมมึงเลย มึงโกรธกูมั๊ย ที่กูเกิดรู้สึกชอบรอยยิ้มของพี่เมฆเหมือนกับที่กูเคยชอบรอยยิ้มของมึงขึ้นมาแบบนี้.......” ผมถามเขาเบาๆราวกลับกลัวเขาจะโกรธและตะคอกใส่กลับมาเพราะสิ่งที่ผมเพิ่งพูดออกไป

ทว่าเขากลับยิ้มและส่ายหน้า และมันทำให้ผมเริ่มร้องไห้

“แล้วถ้าหากวันหนึ่ง กูเกิดไปหลงรักคนอื่นล่ะ ภู....... กูไม่อยากจะไปรักใครอีกแล้วจริงๆ กูอยากรักแค่มึงคนเดียวเท่านั้นนี่........ กูรักมึง กูไม่อยากจะลืมมึง กูไม่อยากจะไปรักใครคนอื่นเหมือนๆกับที่กูรักมึงอีกแล้ว......” ผมพูดไปสะอื้นไปด้วย

แต่ภูก็ยังคงยิ้มให้กับผมอยู่ เขาเดินเข้ามาหาผมช้าๆแล้วก็กอดผมเอาไว้ในอ้อมแขนของเขา ผมปล่อยตัวเองให้ร้องไห้ลงบนบ่าของเขา ผมไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นจากตัวของเขาเลย เขาจากผมไปแล้ว.......... เขาจากผมไปแล้วจริงๆ........ ผมกอดเขาแล้วก็ร้องไห้ เฝ้ารอให้เขาพูดว่าเขารักผมและก็อยากจะให้ผมรักเขาคนเดียวต่อไปเช่นกัน

เขาดันตัวผมออกช้าๆ วางมือลงบนแก้มทั้งสองของผมแล้วใช้นิ้วโป้งเช็ดน้ำตาให้ผมอย่างนุ่มนวล ผมไม่รู้สึกถึงสัมผัสของเขาเลย ผมไม่รู้สึกความความอบอุ่นแบบที่ผมโหยหาเลยสักนิด............ มันเตือนให้ผมรู้ว่าผมไม่มีเขาอีกแล้ว ผมไม่มีเขาอยู่ข้างกายอีกแล้ว......... เขาตายไปแล้ว........ เขาจากผมไปแล้วจริงๆ......... และมันทำให้ผมร้องไห้อย่างหยุดไม่ได้ ผมไม่สามารถยอมรับความจริงนี้ได้เลย ผมไม่สามารถหยุดน้ำตาที่กำลังไหลออกมาเรื่อยๆนี้ได้

“ร้องไห้บ่อยจังนะมึงเนี่ย” เขายิ้มอย่างอ่อนโยน

“แต่กูไม่เคยร้องไห้ให้ใครเห็นนี่นา” ผมบอกเขา

“กูนี่ไง ที่เห็น” รอยยิ้มของเขาหายไป เหลือเพียงความเศร้าและความเป็นห่วงที่ฉายอยู่ในแววตาของเขาเท่านั้น

ผมร้องไห้อย่างรุนแรงออกมาอีกครั้ง ภูจึงคว้ามือของผมไปกุมเอาไว้

“กูรักมึง พี รักมากด้วย รักมากยิ่งกว่าชีวิตของกูเองเสียอีก......” เขาพูดแล้วส่งยิ้มมาให้ผมอย่างอ่อนโยน “เพราะฉะนั้นมึงเชื่อกูเถอะ กูอยากให้มึงมีความสุขมากกว่าคนไหนๆในโลกเลย สักวันหนึ่ง มึงจะต้องเจอคนที่ใช่มากกว่ากู คนที่เขามีชีวิตอยู่กับมึงได้........ มึงจะรักเขา และเขาก็จะรักมึง มึงคงไม่รักเขาแบบที่มึงรักกูหรอก เรื่องนั้นกูขอให้มึงมีไว้สำหรับกูคนเดียวเท่านั้นพอ” เขาหัวเราะ “แต่มึงจะรักเขาในแบบที่เขาเป็น........... ส่วนกู ก็จะยังรักมึงตลอดไปไม่มีวันเปลี่ยนแปลง กูจะรักมึงที่เห็นมึงเป็นคนที่ถูกรัก และก็จะมีความสุขมากด้วยถ้ามึงมีความสุขเช่นกัน เพราะว่ากูน่ะ อยู่ตรงนี้ของมึงไง........” เขาเอื้อมมือมาแตะที่หน้าอกข้างซ้ายของผม “จำเอาไว้นะพี กูไม่คิดหรอกว่ามึงมีความสุขแล้วมึงจะลืมกูไป มึงไม่ต้องกังวลเรื่องนั้น เพราะฉะนั้น มึงก้าวเดินออกไปหาความสุขของมึงเถอะ สักวัน มึงจะเจอคนที่เขาสามารถมอบรอยยิ้มและความรักให้กับมึงได้อย่างที่มึงต้องการ และเมื่อนั้น กูก็จะดีใจมาก และกูก็จะรู้สึกขอบคุณเขาคนนั้นมากด้วยเหมือนกัน”

ผมดึงตัวของภูเข้ามากอดแล้วก็ปล่อยให้ตัวเองร้องไห้อย่างควบคุมไม่ได้ และปากก็พร่ำแต่ชื่อของเขาซ้ำไปซ้ำมา.............

เช้าวันรุ่งขึ้น ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบอยู่เต็มใบหน้าและความเหงาที่แทรกลึกเข้ามาอยู่เต็มภายในหัวใจของผม ผมหยิบรูปของภูที่ผมสอดเอาไว้ใต้หมอนก่อนนอนเมื่อคืนออกมาดูอีกครั้ง และผมยิ้มให้แก่เขา ผมพยายามที่จะไม่ร้องไห้อีกต่อไปแล้ว ผมไม่อยากจะทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ เพราะว่าเขามองเห็นน้ำตาของผมมาตลอด..........

นับจากนี้ไป ผมจะมอบรอยยิ้มให้แก่เขาในทุกๆครั้งที่ผมนึกถึงเขา

อย่างที่เขาพูดนั่นแหละ ผมจะไม่มีวันลืมเขาไปเด็ดขาด เขาคืออดีตของผมที่ผมเคยมี และสิ่งที่เรียกว่าอดีตนั้น มันก็คือเส้นทางที่เราเดินผ่านมาแล้วและอยู่เบื้องหลังของเรา เมื่อเราก้าวเดินต่อไป เมื่อเวลาผันผ่านไป รอยเท้าเหล่านั้นมันก็จะถูกทิ้งเอาไว้เบื้องหลังและอาจจะถูกคลื่นซัดหรือถูกลมพัดจนหายไปได้ แต่สิ่งที่ผมรู้และสิ่งที่สำคัญที่สุดนั่นก็คือ ผมไม่เคยลืม และจะไม่มีวันลืมว่าผมได้เคยเดินผ่านและก้าวผ่านอะไรมา ผมจะไม่มีวันลืมว่าผมเคยทิ้งรอยเท้าเอาไว้เบื้องหลัง ถึงแม้ว่าท้ายที่สุดแล้ว มันจะต้องถูกคลื่นซัดจนสูญหายไปเหลือเพียงความว่างเปล่าที่เดียวดายเท่านั้นก็ตาม..............



(จบเรื่องเล่าของปฐพี – ตอนหน้า กลับสู่บทเล่าเรื่องของเมฆ)

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 14-09-2007 12:53:36
อ่า....ในที่สุดก็รู้แล้วละว่าเมฆหน้าตาเป็นไง ตามคำบรรยายของพีเนี่ย หล่อดีเนาะ
แถมเมฆก็มีเสน่ห์อย่างที่ซันว่าจริงซะด้วย พีเห็นปุ๊บชอบปั๊บ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 14-09-2007 13:18:44
ศิลา ฟ้าคราม ปฐพี
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: somtamman ที่ 14-09-2007 15:47:01
อืม ชักอยากรู้แล้วสิเนี่ย

ตอนแรกก็คิดว่าเนื้อคู่ของเมฆ ก็คือ ซัน  แต่ว่าเมื่อภูพูดในความฝันอย่างนั้น

ทำให้คิดว่า รึว่า พีต่างหากที่เป็นเนื้อคู่ของเมฆ

ตกลงว่า ศิลา จะต้องคู่กับ ปฐพี หรือว่า เมฆ จะอยู่ คู่กับฟ้าครามกันนะ.........
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 14-09-2007 15:57:46
 :m17:    เงื้อๆ   อ่านความรู้สึกของ ภูแล้ว มันจี๊ดขึ้นใจชะมัด    :sad2:


อ้างถึง
  “ยิ่งมีแดดแรง และเจิดจ้ามากเท่าไหร่ ร่มเงาก็ยิ่งเข้มขึ้นเท่านั้น”
.................
....................
" ...การที่คนๆหนึ่งเขาเป็นคนร่าเริงและหัวเราะมีความสุขได้กับทุกสิ่งอยู่ตลอดเวลาน่ะ มันไม่ได้หมายความว่าเขาไม่เคยมีความทุกข์หรืออะไรเลยหรอก...... แต่มันก็คือเขานั่นแหละ ที่มีความทุกข์และความเศร้าในใจมากกว่าใครๆต่างหาก”
..................
............
" เพราะฉะนั้นกูจึงอยากที่จะเป็นคนยิ้มแย้มและทำให้คนอื่นมีความสุขได้ตลอดเวลา เพื่อที่ทั้งกูและคนอื่นๆรอบข้างกูจะได้ไม่ต้องทนเศร้ากับความมืดมนทางด้านหลังของตัวเองนั่นไง”

*
*
โฮกกกกกกกกส์!~     :o12:
ไม่มีคำพูด..........     :sad2:

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 14-09-2007 19:45:54
การที่คนๆหนึ่งเขาเป็นคนร่าเริงและหัวเราะมีความสุขได้กับทุกสิ่งอยู่ตลอดเวลาน่ะ มันไม่ได้หมายความว่าเขาไม่เคยมีความทุกข์หรืออะไรเลยหรอก...... แต่มันก็คือเขานั่นแหละ ที่มีความทุกข์และความเศร้าในใจมากกว่าใครๆต่างหาก

 :m8:  :m8:  :m8:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: ~Brand New Beat~ ที่ 15-09-2007 00:24:16
ทำไมมันเรื่องมันน่าเศร้าเช่นนี้  :o12:

สงสัยเรื่องนี้คงจะเศร้าได้อีก(มาก)แน่เลย T-T

ว่าแล้วก็...เฮ้อ ถอนหายใจ  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 15-09-2007 15:21:30
พูดไม่ออก เศร้า  o7  o7
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 15-09-2007 22:04:31
ตัวละคร มีมิติมากๆๆ


ขอบคุณมากเลยครับ สำหรับคำพูดนี้
เพราะทั้งตอนนี้แล้วก็ตอนนั้นที่โพสไปก่อนหน้านี้ว่าร้องไห้
ก็เป็นเพราะภูมิธรด้วยเหมือนกันนั่นแหละ
ทั้งๆที่พิมไว้พักใหญ่ๆแล้วนะ แต่พอก่อนเอามาลงแล้วอ่านทวนอีกครั้ง
ทำเอาทำอะไรอย่างอื่นหรือเขียนตอนต่อๆไปไม่ได้เลย

เพราะว่าผมเป็นคนเขียนก็เท่ากับเป็นคนสร้างตัวละครขึ้นมา
และสุดท้ายก็เป็นผมเองที่ทำลายเขาไป
มันก็เลยเฮิร์ตอ่ะคับ T__T
ถึงบทเขาจะดูไม่มาก แต่สำหรับผมแล้ว ผมรู้อดีตของเขาทุกอย่าง
อย่างที่คุณ t_warawut ว่าแหละคับ ผมรู้อดีตของเขาตั้งแต่เกิดยันตายเลย ผมมีพล็อตทั้งหมดไม่ใช่แค่ให้เขาโผล่มาเฉยๆ
พูดง่ายๆคือ ถ้าเขียนนิยายเรื่องของเขากับพี ผมคงได้ร้องไห้ไม่เป็นอันทำมาหากินแน่

ตอนเขียนเวลาที่ถูกหยดเอาไว้ ผมก็ร้องไห้นะ ไอ้ทึ่มก็เห็น มันยังงงเลย
เขียนเองจบเองไม่ได้เพราะมันเศร้าไป จนสุดท้ายก็ได้ตอนจบแบบที่อ่านกันไปอ่ะคับ
ตอนอดีตของพีนี่ก็เหมือนกัน มีเปลี่ยวแอนด์น้ำตาซึมทุกครั้งที่อ่านเลย

ผมคิดว่านักเขียนคนอื่นๆก็เหมือนกันแหละคับ เราเขียนเราสร้างเขาขึ้นมา เราก็รักพวกเขาด้วย
และผมก็จะดีใจมากๆๆๆเลยถ้าคนอ่านก็รักพวกเขามากเหมือนๆกัน

แต่ตอนนี้ ตัวละครโปรดของผมที่ผมรักที่สุดคือ ภู ไปซะแล้วคับ T__T

สุดท้ายนี้แว้บมาบอกว่าขอบคุณทุกคนมากครับที่อ่าน ไม่ว่าคนที่รีหรือไม่รีหรือคนที่ส่งเมล์ไปหาผม
ขอบคุณจริงๆคับ

 :impress:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 16-09-2007 00:04:36
คนที่สร้างรอยยิ้มแก่เรา แม้จะยาวนาน ก็ยังเป็นความทรงจำที่ไม่จืดจาง
 :m1: :m1: :m1:

คนต่ายไปแล้วก็ไม่อาจฟื้นได้ เขาก็คงเหมือนเราอยากให้คนที่เรารักมีความสุข
เราก็เดินต่อไปด้วยปัจจุบันดีกว่า

เพราะเราอาจเป็นคนที่สร้างรอยยิ้มให้กับคนอื่นได้บ้าง
 :m15: :m15: :m15:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: jedi2543 ที่ 16-09-2007 00:14:20
เข้ามาบอกขอบคุณคนเขียนที่โพสต์บ่อย

ยังไม่ได้อ่านละเอียดเลย มัวแต่อ่านคร่าวๆ

ช่วงนี้บ้าตี๋แพงอยู่ กำลังโหลดคลิปมือเป็นระวิง

ดูคลิปจบเมื่อไหร่เดี๋ยวกลับมาอ่านละเอียดต่อนะ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 16-09-2007 03:57:09
มารอลุ้นต่อ   :m1:  :m1:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 16-09-2007 07:54:22
อยากบอกว่าอยากอ่านเรื่องภูกับพี แต่กลัวเศร้าอ่ะ  :a6:  :a6:  :a6:
ยิ่งถ้าต้นแต่งด้วยนะ  :m8:  :m8:  :m8:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: tonsai_2520 ที่ 16-09-2007 21:07:19



คิดถึงคนแต่งจังเลยยยยยยยยยยยย

ยุ่งมากเลยชีวิต  แต่ยังมีเวลาคิดถึงนะ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: ninaprake ที่ 16-09-2007 22:02:06
ชีวิตของพีนี่เศร้ามากๆๆๆ จริงๆนะ  :m15: ..... เฮ้อ ...... ไม่รู้จะต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไหร่ถึงจะมีใครสักคนมาช่วยเหลือพีได้นะ  :undecided: ..... ภู ... พี ... เมฆ .... เศร้าจัง  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 17-09-2007 14:35:51
ตอนที่ 36


เมื่อผมและซันเดินไปถึงป้ายรถบัสที่เราจะต้องขึ้นรถสายสีแดงต่อไปเพื่อไปชมพระอาทิตย์ตกยังจุดชมวิว ไคล์กับพีก็ยืนรออยู่ที่นั่นแล้ว

“รถจะมาในอีกสิบนาทีครับ มาทันเวลาพอดีเลย” ไคล์พูด

พีกำลังมองมาที่ผมสองคนด้วยสายตาเป็นกังวล ผมจึงเดินเข้าไปหาเขา

“ปฐพี นักกีฬาบาสคนใหม่ เด็กปั้นของอาจารย์หนุ่ม” ผมยิ้ม

“เอ่ออ คืออ.....” เขาก้มหน้า ผมเดาเอาว่าเขาคงอายและทำอะไรไม่ถูกมั๊งนะ เพราะเขาเอานิ้วชี้ขึ้นมาเกาที่แก้มอีกแล้ว

“ขอโทษทีนะครับพี พี่เพิ่งนึกเรื่องทั้งหมดออกเมื่อกี๊นี้เอง ได้ไอ้ซันช่วยเตือนความจำน่ะ” ผมหันไปมองที่ไอ้ซันที่กำลังยืนยิ้มอยู่ พีเองก็หันไปมองมันด้วยเช่นกัน จากนั้นผมก็หันกลับมาหาเขา “ขอโทษจริงๆนะ ที่พี่ลืมเรื่องของพีไปหมด น่าจะเป็นเพราะพี่เคยถูกรถชนด้วยน่ะ” ผมบอกเขา

“ครับ ผมเข้าใจ” เขาตอบ “แล้วก็เราเคยเจอกันแค่แป๊บเดียวด้วย พี่ก็คงจำผมไม่ได้อยู่แล้ว”

“ไม่หรอก ไอ้ซันยังจำได้เลย พี่เองก็จำได้แล้วนี่ไง” ผมยิ้ม และคราวนี้เขาก็ยิ้มตอบกลับมาด้วยเช่นกัน

“เดี๋ยวก่อนนะ ตกลงศิลากับพีทแล้วก็ซัน เคยรู้จักกันมาก่อนแล้วจริงๆน่ะเหรอ” ไคล์ถามขึ้น

“ช่ายยย แต่ก็เอาน่า ไม่ใช่เรื่องของเราหรอก มานี่ดีกว่า ไอ้น้องชาย ไปถ่ายรูปกับพี่ตรงริมหน้าผานั่นดีกว่า วิวสวยดีมั๊ยนะ” ไอ้ซันพูดขึ้นแล้วเดินเข้าไปกอดคอไคล์เดินออกไป ก่อนที่จะเดินไปมันยังหันมายิ้มให้ผมนิดหนึ่งด้วย

แต่เมื่อไอ้ซันอุตส่าห์เปิดโอกาสให้ผมกับพีอยู่ด้วยกันสองคน ผมกลับไม่รู้จะคุยอะไรกับเขาเสียอย่างนั้น แต่แล้วจู่ๆผมก็คิดถึงเรื่องหนึ่งคิดมาได้

“เดี๋ยวนะ ตอนนั้นพีเป็นรุ่นน้องพี่กับไอ้ซันปีนึง แล้วทำไมพีถึงมาโครงการนี้ได้ล่ะ ตอนนี้พีน่าจะกำลังเพิ่งขึ้นปีหนึ่งเองนี่นา” ผมถามด้วยความสงสัย

“ก็ใช่ครับ แต่ผมลงเรียนรามไว้ด้วยตั้งแต่อยู่มอปลายแล้ว ผมก็ใช้วุฒิตรงนั้นเอา แต่แค่นั้นมันก็คงยังไม่พอ......... คือ จริงๆแล้ว บริษัทนี้เป็นบริษัทของแม่ผมเองแหละครับ มันก็เลยไม่มีปัญหามาก” เขาพูดแบบไม่ค่อยจะพอใจเท่าใดนัก

“เอ้ออ ก็ดีออกนี่” ผมยิ้มกว้าง

“ก็ไม่ดีหรอกครับ บางคนอาจจะไม่คิดแบบพี่ก็ได้” เขาก้มหน้า

“อ้าว ทำไมล่ะ”

“ก็...... เปล่าหรอกครับ” เขาเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผม ในแววตาของเขาตอนนี้มันยิ่งดูเศร้าสร้อยมากกว่าเดิมเสียอีก “อ้าวนั่น รถมาแล้วครับ เราไปต่อแถวขึ้นรถกันดีกว่า” เขาชี้ไปที่รถบัสพ่วงสองตอนคันเล็กๆ ที่กำลังขับรถวนมาจอด

ผมพยักหน้าแล้วก็หันไปเรียกซันกับไคล์ที่กำลังยืนชมวิวอยู่ไม่ไกล จากนั้นเราสองคนก็เดินไปต่อแถวที่มีคนจำนวนมากต้องการจะขึ้นรถไปชมพระอาทิตย์ตกด้วย เราสี่คนได้นั่งรถตอนหลัง ส่วนคราวนี้ผมนั่งกับซัน และพีนั่งกับไคล์อยู่ที่เบาะด้านหลังของเราสองคน

“กูเล่าให้ไคล์ฟังคร่าวๆแล้วนะ มันจะได้ไม่ต้องสงสัยมาก” ซันกระซิบบอกกับผมเบาๆ

“อืมๆ ขอบใจ” ผมกระซิบตอบ

“ว่าแต่เราต้องลงที่ไหนกันเนี่ย” ซันหันไปถามพี

“เดี๋ยวมันจะมีจุดชมวิวอยู่เป็นช่วงๆครับ เราจะลงตรงจุดไหนก็ได้ แต่ส่วนมากคนจะลงที่ โฮปิ พ็อยท์ แต่ผมไม่แนะนำครับ” เขาตอบ

“อ้าว ทำไมล่ะ”

“ก็คนมันเยอะน่ะครับ มันเห็นแกรนด์ แคนยอนในมุมกว้างได้ก็จริง แต่ผมไม่ชอบ ผมว่าจะพาไปที่ โมฮาวี พ็อยท์น่ะคับ สวยกว่า เงียบกว่าด้วย....... คือ แบบนั้นจะได้มั๊ยครับ” เขาถามความเห็น

“ได้อยู่แล้ว” ไคล์พูด “ผมไปที่ไหนก็ได้ที่พีทพาไปนั่นแหละครับ” เขายิ้มกว้าง

พีเองก็หันมายิ้มให้กับไคล์เช่นกัน

เรานั่งรถไปตามถนนเส้นเล็กๆขึ้นเขาไปเรื่อยๆ เส้นทางตรงนี้ค่อนข้างจะแคบนิดหน่อยเหมือนกัน มิน่าล่ะว่าทำไมเขาถึงห้ามขับรถมาเอง และข้างทางก็ยังเต็มไปด้วยธรรมชาติมากๆด้วย คนขับก็คอยพูดผ่านไมค์เพื่อบอกเราเป็นระยะๆว่าเรากำลังจะไปที่ไหนและมันมีความพิเศษยังไง จนเมื่อมาถึงโฮปิ พ็อยท์ อย่างที่พีบอก คนบนรถก็ลงกันไปเกือบจะหมดทั้งคันทีเดียว ผมมองออกไปด้านนอกแล้วก็เห็นว่า มันเป็นจุดชมวิวกว้างที่เราน่าจะสามารถมองเห็นได้ทั่วแทบจะเกือบทุกมุมของที่นี่อย่างที่พีบอกจริงๆ

“คนเยอะมากเลยว่ะ” ไอ้ซันพูดขึ้น

“เพราะงี้ พีถึงได้บอกเราว่าอย่าลงไปเลยสินะ กูว่าคนมันเยอะเกินไปจริงๆ” ผมเห็นด้วย

และหลังจากที่รถเริ่มเคลื่อนตัวไปอีกราวๆห้านาที พีก็บอกพวกเราว่าเราต้องลงข้างหน้านี้แล้ว เมื่อคนขับพูดชื่อว่า โมฮาวี พ็อยท์และเริ่มชะลอรถลง จนรถหยุดสนิท ก็มีเราเพียงสี่คนเท่านั้นที่ลงจากรถมา

“ลองดูที่ตำแหน่งของพระอาทิตย์สิครับ” พีเดินนำพวกเราไปยังขอบผา ผมมองไปรอบๆก็เห็นมีเพียงคนแก่คู่หนึ่งกับผู้หญิงอีกคนอยู่ไกลๆ นอกนั้นก็มีเพียงเราสี่คนเท่านั้นเอง

ผมว่าที่นี่สวยกว่าที่โฮปิ พ็อยท์เยอะเลยจริงๆด้วย เขาทำที่นี่ไว้เหมือนกับสวนสาธารณะเลยทีเดียว ต่างจากโฮปิ พ็อยท์ที่เป็นเหมือนลานเรียบๆที่ไม่มีอะไรมาก แต่ที่นี่มีเสาไม้กั้นเป็นทางเดิน และมีต้นไม้ร่มรื่นดีด้วย ในเวลาที่พวกเราลงจากรถนี้ แสงแดดจากพระอาทิตย์ที่ส่องลงมานั้นก็กำลังเริ่มจะเปลี่ยนเป็นสีส้มอ่อนๆ ความรู้สึกเหงาๆที่ผมมักรู้สึกทุกครั้งเมื่อเห็นบรรยากาศที่ชวนเศร้าสร้อยแบบนี้เริ่มเข้ามาครอบคลุมภายในใจของผมอีกครั้ง ถึงผมจะไม่ได้คิดแบบนี้บ่อยนัก และไม่ใช่ว่าผมเป็นคนที่อ่อนไหวหรือเพ้อฝันอะไรนักหรอก และยิ่งไม่ใช่ว่าเวลาที่ผมเห็นพระอาทิตย์ตกดินแล้วผมจะเกิดอารมณ์โรแมนติกขึ้นมาซะทุกครั้งไป แต่ว่าบางครั้งถ้าผมได้มีโอกาสอยู่ในสถานที่ที่เงียบสงบและสวยงามแบบนี้ ความงดงามที่แฝงไปด้วยความเศร้าของแสงสีส้มอ่อนๆของพระอาทิตย์ที่สะท้อนออกมาฉายเคลือบไปจนทั่วท้องฟ้าและหมู่เมฆราวกับพระเจ้าเป็นผู้ลงสีและมีแผ่นฟ้าเป็นผืนผ้าใบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่คราวนี้แสงและเงาของความเหนื่อยอ่อนที่ดูราวกับเป็นความพยายามครั้งสุดท้ายของดวงอาทิตย์ที่จะได้ส่องแสงมอบความอบอุ่นให้แก่พื้นโลกนั้นมันยังสะท้อนลงมาสู่พื้นดินและเนินเขาขรุขระของแกรนด์ แคนยอนเบื้องล่างจนเกิดเงาดำซ้อนทับและพาดผ่านลงบนพื้นผิวโลกอีกด้วย......... ทั้งหมดนี้มันจึงยิ่งมอบความรู้สึกให้แก่ผมราวกับว่านี่คือแสงสุดท้ายอันอ่อนแรง เศร้าโศก แต่ก็ยังคงอบอุ่นที่พระอาทิตย์กำลังพยายามจะมอบให้แก่พวกเราทุกคนก่อนที่จะลาจากก้อนเมฆ ท้องฟ้า และผืนดินไป หลังจากนั้นจึงจะเปลี่ยนเป็นค่ำคืนอันมืดมิดและแทนที่ด้วยความหนาวเหน็บแก่พวกเราอีกครา.........

ผมรู้สึกตัวเองกำลังสั่นเล็กน้อยอยู่ภายใต้เสื้อแจ็กเก็ตของผม

“หนาวนะ” ไอ้ซันพูดแล้วเดินมาคว้ามือของผมไปกุม ความรู้สึกอบอุ่นที่จู่ๆก็รู้สึกที่อุ้งมือแล่นผ่านไปยังใบหน้าของผมทันที

“ขอบใจ” ผมตอบกลับไปสั้นๆและบีบมือของมันเบาๆ

พวกเราเดินตามพีและไคล์ไปยังจุดที่พวกเขากำลังยืนอยู่

“มุมมันจะไม่กว้างเหมือนกับที่โฮปิ แต่ผมว่ามันก็ใช้ได้นะครับ” เขาพูดแล้วชี้นิ้วไปยังพระอาทิตย์ที่ลอยอยู่เหนือริมขอบผาของแกรนด์ แคนยอน ก่อให้เกิดเงาพาดผ่านพื้นผิวที่เป็นแก่งขนาดใหญ่ของมันมากมาย เป็นภาพที่งดงามอย่างไม่น่าเชื่อจริงๆ

“โอ้โห สวยมากเลยว่ะ” ผมอุทานออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเอง

“กูก็ว่างั้น สวยดีจริงๆนั่นแหละ โชคดีนะเนี่ยที่เลือกมาที่นี่” ซันพูด

“ต้องขอบใจพีเขาต่างหาก ไม่ใช่แค่โชคดี” ผมหันไปยิ้มให้กับพี เขาเองก็ยิ้มตอบกลับมาเช่นกัน

“สวยจริงๆนะ ผมว่าคุ้มเลยล่ะ ที่มา” ไคล์พูดขึ้นหลังจากถ่ายรูปวิวเบื้องหน้าเสร็จ “ขอบคุณนะครับ พีท” เขาหันไปบอกพี

“ไม่เป็นไรครับ” พีหันไปยิ้มตอบไคล์

“ผมว่าเราไปตรงนู้นกันมั๊ย”

ผมเห็นพีพยักหน้าตกลงจากนั้นเขาสองคนก็เดินจากไป เรามองตามหลังเขาสองคนจนกระทั่งพวกเขาเลี้ยวหายไปจากมุมสายตา

“สองคนนี้มันก็น่ารักดีนะ”

“คนหนึ่งไม่ค่อยพูด ส่วนอีกคนก็พูดเก่งชิบหาย” ไอ้ซันหัวเราะเบาๆ “กูว่าถ้าไอ้สองคนนั้นมันเกิดเป็นเพื่อนกันเข้าจริงๆนะ พีมันต้องหูชากับภาษาไทยสำเนียงแปร่งๆของไอ้ไคล์แน่ๆเลยว่ะ”

เมื่อพระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำลง อากาศก็เริ่มจะเย็นลงเรื่อยๆอย่างที่พีบอกจริงๆ ผมกระชับเสื้อแจ็คเก็ตของตัวเองให้แน่นขึ้นแล้วก็เอามืออีกข้างซุกลงไปในกระเป๋ากางเกงยีนส์

“หนาวเหรอ”

“ก็นิดหน่อยว่ะ มึงไม่หนาวรึไง”

“หนาวสิ มานี่มา” ไอ้ซันหันหน้ามาหาผมแล้วแบมืออีกข้างที่ไม่ได้กุมมือผมออกมา

“อะไร” ผมสงสัย

“ส่งมืออีกข้างมา”

ผมชักมืออีกข้างออกจากกางเกงยีนส์แล้วยื่นไปให้มัน จากนั้นมันก็จับมือทั้งสองข้างของผมไปแนบเข้าที่แก้มอุ่นๆของมัน

“อี๋ยยยย์ มือมึงเย็นเฉียบเลยยย” มันพูด สั่นหัวน้อยๆ พลางยิงฟันกว้าง

“ก็แล้วจะทำแบบนั้นทำไมเล่า” ผมหัวเราะแล้วจะชักมือกลับ แต่มันก็ฝืนเอาไว้

“ก็กูอยากทำ” มันพูด แล้วก็แนบมือของผมลงไปที่แก้มของมันให้แน่นเข้าไปอีก “อุ่นขึ้นมั๊ย”

ตาของเราประสานกันอยู่ครู่หนึ่ง “อื้อ อุ่นมากๆ เข้าใจคิดนะมึงเนี่ย” ผมยิ้ม

“ก็มึงอยู่กับหนุ่มฮ็อทน่ะนะ คนมันเร่าร้อนนนนน” มันทำเสียงล้อเลียน

“โอ๊ยยยย กูจะอ้วกกก” ผมหัวเราะแล้วก็ชักมือกลับ “เอ้านี่ จับมืออย่างเดียวก็พอ ไม่ต้องเอาไปแตะที่แก้มอีก” ผมส่งมือให้มัน มันก็คว้ามือของผมไปกุมเอาไว้ทันที

เราสองคนยืนมองความงามของแสงและเงาของแกรนด์ แคนยอนอยู่อีกครู่หนึ่งจนกระทั่งพระอาทิตย์ลับหายไปด้านหลังของแผ่นหินแผ่นใหญ่เบื้องหน้านั่น เราจึงออกเดินดูวิวรอบๆ

“ที่นี่สวยมากจริงๆนั่นแหละ วันหลังมาอีกมะ” ผมถามไอ้ซัน

“ถ้ามึงอยากมา กูก็มา” มันตอบ

เราเดินหาไคล์และพีอยู่ครู่หนึ่งก็เจอเขาสองคนกำลังนั่งอยู่บนพื้นตรงเกือบที่จะเป็นริมหน้าผา

“เฮ้ย เดี๋ยวก็ตกลงไปหรอก” ไอ้ซันพูดขึ้นเมื่อเห็นอย่างนั้น

เมื่อทั้งสองคนได้ยินพวกเรา เขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วก็เดินตรงมาหาเราทันที

“ไม่ตกหรอกน่า ดูนี่สิ รูปนี้สวยมั๊ย” ไคล์ยื่นกล้องดิจิตอลมาให้เราสองคนดู มันเป็นรูปที่เขาถ่ายจากจุดที่เขานั่งอยู่เมื่อครู่นี้เอง

“สวยดีๆ พี่ชอบนะ” ผมตอบ ส่วนไคล์ก็ยิ้มกว้าง

“ผมบอกพีทให้พาผมมาอีกพรุ่งนี้ด้วย คราวนี้จะไปให้ถึงปลายทางเฮอร์มิท เรสท์เลย” ไคล์พูด

“อ้าวๆ เกรงใจเขาหน่อยสิ พรุ่งนี้พีเขาต้องทำงานนะ” ซันพูด

“เออใช่ๆ ไม่ใช่พรุ่งนี้ ผมพูดผิด วันถัดจากพรุ่งนี้น่ะ เพราะว่าพีทหยุดนี่ ใช่มั๊ย” ไคล์หันไปถามพี

“ใช่ครับ” พีพยักหน้า  “พรุ่งนี้ผมทำสองกะก็จริง แต่ว่าผมก็ได้เดย์ออฟอีกสองวันติดกันเหมือนกัน”

“แล้วมันจะไม่เป็นการรบกวนพีเขาหรอกเหรอ ไคล์” ไอ้ซันพูด

“ไม่รบกวนหรอกครับ ผมยินดี” พีตอบ

“เรื่องนั้นเอาไว้ค่อยคุยกันก็แล้วกัน แต่ตอนนี้มันก็เริ่มจะมืดลงเรื่อยๆแล้วะ เราจะกลับกันยังไง” ผมถาม

“เดี๋ยวจะมีรถขาลงวิ่งกลับมาครับ เราไปรอกันที่ๆเราลงรถเมื่อกี๊นั่นแหละ” พีตอบ

เราสี่คนเดินไปรอรถอยู่อีกราวๆห้านที รถคันที่พีบอกก็วิ่งมา จากนั้นเราก็นั่งรถกลับไปยังป้ายหยุดรถชัตเติ้ลบัสป้ายเดิมที่เรานัดเจอกันตอนแรก คนจำนวนมากลงจากรถแล้วก็เดินกลับไปยังที่พักของตนหรือไม่ก็เดินไปขึ้นรถของพวกเขาที่จอดเรียงรายกันอยู่ริมถนน ส่วนพวกเราก็เดินกลับไปตามทางเดินเดิมเพื่อไปทานข้าวที่แมสวิคคาแฟทีเรียพร้อมๆกับแขกอีกจำนวนหนึ่ง อากาศเริ่มเย็นลงเรื่อยๆ และความมืดก็เริ่มเข้ามาปกคลุมรอบตัวของพวกเราอย่างรวดเร็ว

“มืดเร็วเหมือนกันนะเนี่ย” ผมพูดขึ้นขณะที่เรากำลังเดินอยู่บนทางเดิน มีคนเดินตาม เดินนำ และเดินสวนพวกเราอยู่บ้างประปราย

“ตอนกลางคืนมืดสนิทเลยล่ะครับ ดาวเต็มฟ้าเลย” พีพูด

“ดาวเต็มฟ้าเหรอ” ผมพูดอย่างสนใจและหันไปมองหน้าของไอ้ซัน

“กูว่าแล้ว......” มันยิ้มกว้างแล้วหัวเราะเบาๆ “ดีใจล่ะสิ”

“เปล่าสักหน่อย” ผมปฏิเสธ แต่รู้สึกว่าคงไม่เนียนเท่าไหร่ “เออ....... ก็ไม่เชิงหรอก แต่มันก็สวยดีออกไม่ใช่รึไง และอีกอย่าง อยู่ในเมืองก็ใช่ว่าจะได้เห็นอะไรแบบนั้นบ่อยๆนี่”

“ก็นั่นน่ะสินะ” ไอ้ซันยิ้ม ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าไอ้แสบนี่มันกำลังยิ้มและคิดอะไรของมันอยู่กันแน่

“ตกลงทุกคนจะทานข้าวที่นี่ใช่มั๊ยครับ” พีถามขึ้นเมื่อเราเดินมาถึงลานจอดรถแล้ว

“ก็คงงั้นแหละ ทำไมเหรอครับ” ไคล์ตอบ

“เปล่าครับ คือ........ ผมว่าทุกคนอาจจะเจอคนไทยเยอะหน่อยนะครับ” เขาพูด

“ก็ไม่เห็นเป็นอะไรนี่” ผมตอบ มองหน้าไอ้ซันแล้วหันกลับไปมองหน้าพี “พีไม่สบายใจเหรอ ถ้าเพื่อนๆเห็นว่าอยู่กับพวกเรา” ผมถาม

“เปล่าเลยครับ เปล่าเลย” เขารีบปฏิเสธ “ผมดีใจเสียอีกครับ ที่ได้เจอทุกๆคน แล้วก็สนุกมากด้วยเวลาอยู่กับพวกพี่ๆแล้วก็ไคล์ แต่ผมกลัวว่าทุกคนนั่นแหละครับ จะไม่สะดวกใจรึเปล่าที่ต้องมาเจอคนไทยเยอะๆอะไรแบบนั้น”

ผมกับซันมองหน้ากัน กำลังสงสัยว่าพีกำลังคิดอย่างที่ผมคิดรึเปล่า

“พีหมายถึงว่าพี่สองคนจะแคร์รึเปล่า ถ้าเกิดว่าคนอื่นเห็นพี่อยู่กับไอ้ซันแบบสนิทสนมอะไรอย่างนั้นน่ะเหรอ” ผมถามเป็นนัยๆ

เขาพยักหน้าแล้วก็ก้มหน้าลง

“เราสองคนไม่แคร์หรอก พี่ไม่อายที่มีแฟนหน้าตาดีนี่ และแน่นอนว่าไอ้เมฆเองก็ไม่อายที่มีคนหล่ออย่างพี่เป็นแฟนอยู่แล้วเหมือนกัน ใช่ป่าว” ไอ้ซันพูดแล้วหันมายักคิ้วให้ผม

“กูจะอ้วก....... แต่ก็ต้องยอมรับว่ามึงพูดถูกตรงที่ว่าแฟนมึงน่ะหน้าตาดีจริง” ผมพูด จากนั้นก็หันไปหาพี “แต่พีเขาจะอายที่ต้องมานั่งกินข้าวกับเราสองคนรึเปล่าน่ะสิ”

“ไม่นะครับ ไม่อายเลยจริงๆ คือผมไม่ได้ตั้งใจหมายถึงอย่างนั้นน่ะครับ เพราะพี่สองคนก็ดูไม่ออกเลยสักนิดว่าเป็น...... เอ่อออ..... ว่าคบกันอยู่น่ะครับ” เขารีบเงยหน้าขึ้นมาตอบ “และถ้าเป็นไปได้ ผมก็อยากจะเจอทุกๆคนทุกวันเลยด้วยซ้ำ”

“เอ้า ถ้าไม่มีปัญหาอะไร งั้นเราก็ไปกินข้าวกันเถอะครับ ผมหิวจะแย่แล้ว” ไคล์พูดขึ้นพลางเอามือลูบท้อง จากนั้นเราสี่คนก็เดินผ่านประตูกระจกอัตโนมัตินั่นเข้าไปข้างในคาเฟทีเรีย



หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 17-09-2007 14:42:49
พระอาทิตย์ตก ณ โมฮาวี พ็อยท์


(http://img300.imageshack.us/img300/8658/image293hl1.jpg)
(http://img440.imageshack.us/img440/4299/image277aw3.jpg)

บรรยากาศเหงาๆ.......


(http://img502.imageshack.us/img502/4850/image294dy7.jpg)
(http://img502.imageshack.us/img502/6663/image289ms9.jpg)

ทั้งเงียบ ทั้งสงบ และไม่มีคน


(http://img502.imageshack.us/img502/3120/image250da3.jpg)
(http://img502.imageshack.us/img502/8647/image257nu6.jpg)

แสงและเงาที่ทอดผ่าน


(http://img357.imageshack.us/img357/74/image291qt7.jpg)
(http://img171.imageshack.us/img171/6316/image251el5.jpg)
(http://img171.imageshack.us/img171/6540/image296bh9.jpg)

พระอาทิตย์จะตกแล้ววว


(http://img209.imageshack.us/img209/9128/image297ps5.jpg)

ก่อนกลับขอแอบถ่ายภาพเหงาๆของผู้หญิงคนนี้สักหน่อยดีกว่า


(http://img182.imageshack.us/img182/628/image304ef0.jpg)

ไอ้สองหน่อนั่นแอบมานั่งกันอยู่ตรงนี้นี่เอง


(http://img179.imageshack.us/img179/9154/image256bh0.jpg)

ฝีมือถ่ายรูปของไคล์ ^_^


(http://img171.imageshack.us/img171/3705/image292fl5.jpg)

เริ่มมืดแล้ว หนาวด้วย รอรถกลับไปหาอะไรกินพร้อมคนพวกนี้ดีกว่า


ปล. สุดท้ายนี้ผมขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งให้กับเหตุการณ์อุบัติเหตุของเครื่องบินวันทูโกครั้งนี้ด้วยจริงๆครับ......... T__T

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 17-09-2007 14:49:48
หุหุ กลุ่มนี้ได้ก๊วนเป็นสี่คนแล้ววุ้ย  :a1:  :a1:  :a1:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 17-09-2007 15:14:18
สี่คน...  ได้สองคู่พอดีเลย :m4:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: jedi2543 ที่ 17-09-2007 22:14:43
ภาพสวย

ชักอยากไปบ้างแล้วสิ เสียดายโครงการนี้จำกัดอายุคนทำงานแถมไม่บูมตอนที่เรียนมหาลัย

ถ้าบูม คงไม่ต้องไปไหนด้วยเงินตัวเองแล้ว
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: ninaprake ที่ 18-09-2007 03:16:26
ไม่เห็นรู้เรื่องเลย โครงการนี้เค้ามีตอนไหนเหรอ  :o8:

---------------

อยากให้พีมีความสุขจัง ชีวิตของพีเจอความเศร้ามามากพอแล้ว  :m15:  .... ไม่รู้จะเป็นไงต่อ หรือว่าไคล์จะเป็นคนๆนั้นที่จะช่วยพีได้?
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 18-09-2007 04:12:41
ภาพสวยมากๆเลยโนะ    :m1:
คงไม่มีปังยาไปเอิ้กๆ    o14
ขอชื่นชมภาพเอาแย้วกันแหะๆ     :m23:


คู่ไคล์ ก่าพีท น่ารักดีจริงๆแล่ อิอิ
คู่กันก้อดีโนะ      :give2:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 18-09-2007 05:10:35
อยากไปมั่งจัง สวยมากเลย ชอบบรรยากาศเหงาๆ :m1:  :m1:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 18-09-2007 11:07:44
ตอนที่ 37


ข้างในคาเฟทีเรียมีคนเยอะมาก และอาจจะเป็นเพราะว่ามันมีขนาดเล็กกว่าคาเฟทีเรียที่ยาวาพายเยอะ บวกกับลักษณะของการจัดวางโต๊ะและการตบแต่งก็ได้ จึงทำให้ที่นี่ดูแออัดและพลุกพล่านกว่าที่นั่นเยอะทีเดียว ผมกับซันเดินไปเลือกโต๊ะนั่งเอาไว้ก่อนในขณะที่อีกสองคนไปซื้ออาหาร และก็เป็นอย่างที่พีพูด ข้างในนี้มีคนไทยเยอะจริงๆนั่นแหละ ทั้งคนที่มาทานอาหาร และคนที่กำลังทำงานอยู่

“คนไทยเยอะจริงๆนะ” ผมพูด

“ใช่ ว่าแต่ มึงคิดว่าที่พีมันดูเหมือนมีท่าทางลำบากใจที่จะมากินที่นี่เนี่ย มึงคิดว่าเพราะอะไรวะ” ซันถาม

“อืมมมม กูก็ไม่รู้ว่ะ.....” ผมคิด และทันใดนั้นผมก็คิดไปนึกไปถึงที่พีพูดกับผมตอนก่อนที่เราจะขึ้นรถไปดูพระอาทิตย์ตกกันขึ้นมาได้ “แต่กูว่า........ พีคงมีเรื่องไม่ค่อยสบายใจแน่ๆเลยว่ะ”

“หมายความว่าไง เรื่องของพวกเราน่ะเหรอ”

“คือ ไม่น่าใช่นะ กูก็ไม่รู้หรอก พูดจริงๆ ถ้ากูพูดอะไรออกไปมันก็แค่เดาน่ะนะ แต่บางทีอาจจะเป็นเรื่องของคนไทยที่ทำงานที่นี่ก็ได้มั๊ง” ผมตอบ

“ทำไมวะ มันมีปัญหากับคนอื่นเหรอ”

“กูว่าไม่นะ” ผมส่ายหน้า “เฮ้ย กูบอกแล้วไงว่ากูไม่รู้ กูก็แค่เดาเอาเท่านั้นเอง........”

“งั้นมึงก็เดาต่อดิ่ กูรู้ว่ามึงเก่ง” มันฉีกยิ้มกว้าง

“กูไม่ใช่หมอดูนะ ไอ้ห่า คืองี้ พีน่ะ เป็นลูกชายของเจ้าของบริษัทที่พาเด็กมาทำงานที่นี่ เขาบอกกูเอง นั่นทำให้เขาสามารถมาทำงานที่นี่ได้ทั้งๆที่เขาเพิ่งจะขึ้นปีหนึ่งเท่านั้น” ผมอธิบาย ส่วนไอ้ซันก็ทำหน้าประหลาดใจ “นี่มึงไม่ได้คิดถึงเรื่องของช่วงเวลาเลยใช่มะ เออๆ เอาเหอะ เรื่องก็คือเขาน่ะเรียนรามอยู่ด้วย เขาก็เลยมาได้ แต่ก็แน่นอนว่าต้องใช้อำนาจของพ่อหรือแม่เขาด้วยอยู่แล้วล่ะ ซึ่งกูเองก็บอกว่ามันเจ๋งดี เพราะกูชื่นชมเขานะ เขาอุตส่าห์มาทำงานถึงที่นี่ทั้งๆที่เขาไม่จำเป็นต้องมาลำบากเลย แต่เขากลับส่ายหน้าแล้วก็พูดเศร้าๆว่า คนบางคนอาจจะไม่ได้คิดแบบกูก็ได้” ผมเล่าให้ไอ้ซันฟัง

“กูพอจะนึกออกล่ะ” ไอ้ซันพยักหน้า

“ใช่มะ มึงก็คิดเหมือนกูรึเปล่า ว่าเด็กบางคนที่นี่มันอาจจะเห็นว่าพีเป็นเด็กเส้นอะไรพวกนี้ แล้วก็เลยไม่ชอบเขาน่ะ” ผมถามความเห็น

ซันพยักหน้า “และบวกกับที่มันเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยสุงสิงกับใครด้วยแล้วนะ”

“ก็นั่นสินะ เขาก็เลยอาจจะไม่ค่อยมีความสุขกับการที่ถูกคนบางคนเขม่นเอาก็ได้ แต่ก็นั่นแหละนะ...... ทั้งหมดนี่กูก็แค่เดาเอาทั้งนั้น” ผมยักไหล่

“มึงจะถามมันมั๊ย” ไอ้ซันถามผม

“ถามเขาเรื่องนี้น่ะเหรอ” ผมขมวดคิ้ว “ทำไมกูต้องถามด้วยล่ะ”

“ก็กูคิดว่าพอมึงรู้แบบนี้แล้วมึงจะอยู่ไม่สุขน่ะสิ กูคิดว่ามึงคงเป็นห่วงมันและอยากจะช่วยปลอบใจหรือให้กำลังใจมันล่ะมั๊ง”

“เหออออ มึงคิดขนาดนั้นเลยเหรอ” ผมยิ้มกว้าง

“ก็ประมาณนั้นมั๊ง” มันยักไหล่ “แล้วกูพูดผิดมั๊ยล่ะ”

“ก็ไม่ผิดหรอก เพราะกูก็ไม่อยากให้เขาไม่สบายใจจริงๆ คือ ก็อย่างที่มึงพูด ถ้ากูเห็นเขาไม่สบายใจแล้วกูก็ไม่อยากจะปล่อยมันผ่านไปน่ะนะ แต่กูก็ไม่รู้ว่ากูจะทำอะไรได้มั่งหรอก” ผมเอนหลังพิงพนักพิง

“ก็ไม่แน่........” ไอ้ซันพูดพร้อมกับยิ้มเจ้าเล่ห์มาให้ผม

“อะไร มึงยิ้มแบบนั้นทำไม” ผมยิ้มกลับ

“เปล๊า ไม่มีอะไร” มันยังคงยิ้มให้ผมอยู่

ให้ตายสิ ผมล่ะเบื่อไอ้นิสัยกะล่อนของมันนี่จริงๆ

จากนั้นไคล์กับพีก็เดินกลับมาที่โต๊ะพร้อมกับอาหารเต็มถาดทั้งสองคน ผมกับซันก็ลุกขึ้นไปซื้ออาหารเช่นเดียวกัน และแน่นอน ว่าเมื่อผมรู้ว่าคนที่ขายอาหารอยู่ก็เป็นคนไทย ผมและซันจึงพูดภาษาไทยกับเขา แล้วก็ทำให้เราได้อาหารกลับมาเยอะกว่าปกติอีกด้วย จนเมื่อผมและซันกลับมาที่โต๊ะก็เห็นมีวัยรุ่นสองคนกำลังยืนคุยกับพีอยู่ แต่พอเราสองคนเดินเข้าไป พวกเขาก็ขอตัวกลับไปนั่งกับเพื่อนๆคนอื่นที่โต๊ะอื่นพอดี

“เพื่อนเหรอครับ เขาว่าไงมั่งล่ะ” ผมถามเมื่อนั่งลงบนเก้าอี้แล้ว

“เขามาบอกว่าวันนี้เขาก็ไม่ไปนอนที่ห้องน่ะครับ แล้วก็คุยกันอีกนิดหน่อย” พีตอบ

“แต่พวกเขาก็ไม่เคยนอนที่ห้องเลยอยู่แล้วไม่ใช่เหรอครับ” ไคล์พูดขึ้น

“ก็ใช่ครับ” พีพยักหน้า “สามสี่คืนแรกก็นอนหรอก แต่เดี๋ยวนี้เขาไปนอนห้องเพื่อนคนอื่นตลอดเลยน่ะ”

“แล้วไม่เหงาแย่เหรอ” ไคล์ถาม

“ก็นิดหน่อยน่ะครับ แต่ผมชินแล้วล่ะ........” พีพูด พลางใช้ส้อมที่ถืออยู่ในมือเขี่ยอาหารในจานไปด้วย “แต่ว่ามันก็ทำให้ห้องเงียบดีนะครับ”

ผมรู้สึกถึงความเปล่าเปลี่ยวที่ถูกเก็บเอาไว้ในใจของเขามานานแล้วได้อย่างชัดเจน คนๆนี้คงต้องเคยผ่านอะไรในอดีตมามากแน่ๆ ผมสังเกตว่าบางครั้งแววตาและน้ำเสียงของเขาก็จะแฝงไปด้วยความเศร้าโดยที่บางทีเขาเองก็คงจะไม่รู้ตัว และพีในตอนนี้ก็ดูเป็นคนที่เต็มไปด้วยความเศร้าและความเหงามากกว่าที่ผมเคยเห็นเขาเมื่อครั้งไหนๆเลยเสียอีก

“เอางี้ดีกว่า” ไคล์พูดขึ้นหลังจากเราเงียบกันไปสักพัก “คืนนี้พีทก็ไปนอนกับพวกเราสิ” เขาหันไปยิ้มกว้างให้พี แล้วก็หันมามองหน้าซันเป็นเชิงขออนุญาต “ได้มั๊ยครับ ได้เหอะน่า นะ”

ซันกับผมมองหน้ากันพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้าของเราทั้งคู่ เราสองคนพยักหน้าเบาๆพร้อมๆกัน จากนั้นมันก็หันไปหาพี “เรื่องนี้ก็ต้องถามพีเขาดูนั่นแหละ”

พีหันมองหน้าไคล์ทีนึง ผมทีนึง สลับกับไอ้ซันเหมือนจะหาทางออก “เอ่อ คือ ผมไม่รบกวนดีกว่ามั๊งครับ”

“ไม่รบกวนหรอกครับ ไปนอนด้วยกันนั่นแหละ คนเยอะๆ สนุกดีออก แถมพรุ่งนี้ต้องออกมาทำงานแต่เช้าไม่ใช่เหรอ ถ้านอนที่ห้องของพวกเรามันก็ใกล้กว่าเยอะนี่นา” ผมพูด

“ใช่ๆ แถมเตียงมันก็ใหญ่พออยู่แล้ว สองคนนั้นเขาก็นอนเตียงเดียวกัน ผมเลยนอนคนเดียวอ่ะ พีทไปนอนกับผม ผมจะได้ไม่เหงาไง” ไคล์หันไปยิ้มให้พี

“แต่ว่า........ คือ ผมต้องตื่นเช้านะครับ จะรบกวนเปล่าๆ”

“ก็ดีแล้วนี่ พรุ่งนี้จะได้ไปกินอาหารเช้าตอนพีทำงานไง” ผมบอกเขา

“เอ่ออ...... แต่ว่า......” พีทำท่าอึกอัก

“ทำไมล่ะ พีนอนกรนหรือชอบนอนละเมอรึไง” ไอ้ซันถามขึ้นบ้าง

“เปล่าๆครับ ไม่ใช่อย่างนั้น” เขารีบส่ายหน้าปฏิเสธ

“งั้นก็ไปเหอะน่า พวกเราอยู่ที่นี่ตั้งสี่คืนนะ แล้วถ้าเกิดผมตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วเห็นสองคนนั้นเขาคลุมโปงทำอะไรกันอยู่ ผมจะทำตัวยังไงล่ะ” ไคล์หัวเราะ

“ทะลึ่ง! ไอ้เด็กคนนี้” ซันพูด ทำเหมือนเป็นดุแต่จริงๆมันก็หัวเราะไปด้วย แถมยังทำเป็นลอบส่งสายตามาทางผมอีกต่างหาก เราทั้งสี่คนจึงหัวเราะขึ้นพร้อมๆกัน

พีเอานิ้วเกาแก้มเบาๆ จากนั้นก็หันไปหาไคล์ “แต่ถ้าผมไปนอนด้วย ผมก็จะต้องเบียดกับไคล์นะครับ”

ไคล์ยิ้มกว้าง “ถ้ากลางคืนมันหนาวแล้วมีคนได้มานอนเบียด มันก็ดีออกนี่”

เมื่อได้ยินอย่างนั้นพีก็ก้มหน้าอายๆแล้วก็ยิ้มออกมา “เอ่อ งั้นก็ตกลงครับ ผมรบกวนด้วยแล้วกันนะครับ”

ไคล์ฉีกยิ้มกว้างอย่างดีใจ “งั้นเดี๋ยวเรากินข้าวเสร็จแล้วไปเก็บของที่เคบินของพีทกันดีกว่านะ”

พวกเราสามคนพยักหน้า จากนั้นไคล์ก็หันไปพูดกับพีอีกครั้ง

“เนี่ยนะ ผมว่าเวลาพีทยิ้มแล้วน่ารักจะตาย มีลักยิ้มข้างนึงด้วย คราวหลังก็ยิ้มบ่อยๆหน่อยสิครับ ผมชอบออก” จากนั้นไคล์ก็หันมาหาผมเพื่อขอความเห็น “ศิลาก็คิดเหมือนกันรึเปล่า”

“ใช่ครับ ยิ้มเยอะๆหน่อยน่ะดีแล้วนะ ปกติก็เป็นคนหล่ออยู่แล้วด้วย” ผมพูด

พีก้มหน้าแล้วหน้าแดงเพราะความอายอย่างเห็นได้ชัด พอเห็นแบบนี้แล้วก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาน่ารักดีนะ โดนไอ้คนพูดเก่งอย่างไคล์รุมซะจนอายม้วนเลย แต่ผมก็รู้สึกแปลกใจนิดหน่อยในเรื่องของไคล์เหมือนกัน เมื่อตอนกลางวันก็อีกอย่างนึง แต่พอตอนนี้ไคล์ดูเหมือนจะไม่คิดมากเรื่องของผมกับซันอีกเลย แถมยังดูท่าจะชอบใจพีมากเป็นพิเศษซะด้วย โดยเฉพาะเมื่อตอนที่เขาชมพีเรื่องรอยยิ้มนั่น ผมเห็นได้อย่างชัดเจนเลยทีเดียวว่าไอ้ตัวคนชมก็เขินไม่แพ้กันเหมือนกัน แต่ที่น่ารำคาญใจที่สุดก็คือไอ้เจ้าตัวแสบของผมนี่แหละ ที่เอาแต่นั่งเงียบแล้วทำเป็นอมยิ้มอะไรของมันอยู่คนเดียวก็ไม่รู้

ระหว่างที่ทานข้าวกันเราก็คุยกันเรื่องนั้นเรื่องนี้หลายเรื่อง รวมทั้งเรื่องแผนการเที่ยวที่เราสามารถทำได้เมื่ออยู่ที่นี่ด้วย จนหลังทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อย ซันก็ชวนไคล์ลุกขึ้นไปเติมน้ำอัดลมกันสองคน ทิ้งให้ผมกับพีอยู่กันตามลำพังอีกครั้ง

“ว่าแต่ปกติอยู่ว่างๆทำอะไรมั่งครับเนี่ย โทรศัพท์มือถือก็ใช้ไม่ได้ ทีวีก็ไม่มี อินเตอร์เน็ตก็ไม่มีด้วยนี่ ใช่มั๊ย” ผมถาม

“ครับ คือ ที่นี่มันค่อนข้างจะน่าเบื่อมากนะครับ ผมยังแปลกใจที่ทำไมพวกพี่อยู่กันตั้งห้าวัน กลัวว่าจะไม่เบื่อกันแย่เหรอ”

“โอโห ขนาดนั้นเลยเหรอ แต่สำหรับพี่น่ะนะ พี่ว่าพี่อยู่ได้หรอก แต่ไอ้ซันกับไคล์นี่สิ.......... ว่าแต่แล้วมาอยู่นี่ตั้งหลายเดือนจะไม่ได้เล่นเน็ตเลยเหรอ” ผมถาม

“อ๋อ มีให้เล่นได้ครับ แต่ต้องเดินนิดหน่อย คือถ้าเป็นที่หอก็จะมีให้เล่นได้ครับ แต่ถ้าอยู่เคบินอย่างผม จะต้องเดินไปเล่นที่ เรคเซ็นเตอร์ ว่างๆผมพาไปก็ได้นะครับ ถ้าพวกพี่อยากเล่นกัน คือ ถ้าพี่เอาแล็ปท็อปมาด้วยน่ะนะครับ” เขาบอก

“ได้ด้วยเหรอ พวกพี่เป็นแขกนะ”

“ได้สิครับ ก็พวกพี่ก็คนไทยนี่นา เขาดูไม่ออกหรอก แต่ผมคิดว่าจริงๆแล้วที่นั่นใครจะไปใช้ก็ได้ครับ ส่วนมากก็คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ เด็กที่เรียนที่นี่แล้วก็พวกพนักงานน่ะครับ เพราะตรงนั้นคนนอกไม่รู้จักทางหรอก เราแค่เดินเข้าไปนั่งตรงไหนก็ได้แล้วก็เปิดคอม จากนั้นจะแช่อยู่อย่างนั้นทั้งวันเขาก็ไม่ว่าครับ” เขาพูด

“อืมมมม ก็ดีนะ เอาไว้ถ้าไคล์หรือไอ้ซันเบื่อๆจะได้พาพวกนั้นไปเล่นได้” ผมพยักหน้า “แต่เมื่อกี๊บอกว่าคนที่อาศัยอยู่ที่นี่กับเด็กที่เรียนที่นี่เหรอ” ผมสงสัย

“ครับ ที่นี่มันก็คือเมืองเล็กๆเมืองนึงนั่นแหละครับ มีโรงเรียนด้วย และคนที่อาศัยที่นี่ส่วนมากก็จะทำงานที่นี่ไปด้วย ยกเว้นบางคนก็อาจจะมีไปทำงานที่ทูซายานหรือไม่ก็แฟล็กสต๊าฟบ้าง”

“อืมมม เข้าใจล่ะ แล้วเรื่องโทรศัพท์มือถือล่ะ ที่นี่มันไม่มีสัญญาณนี่”

“มีครับ แต่แค่เครือข่ายเดียว เหมือนผูกขาดน่ะครับ ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่คนที่นี่เขาก็มีใช้กันทุกคน ยกเว้นแขกที่มาพักหลายคนก็จะใช้โทรศัพท์ตัวเองไม่ได้เหมือนกัน ส่วนอย่างพวกผมที่มาทำงานกัน บางคนก็จะซื้อซิมกับมือถือของระบบนั้นที่แฟล็กสต๊าฟมาไว้กันเลยก็มี แต่ผมใช้บัตรโทรศัพท์ที่ซื้อมาจากไทยน่ะครับ” เขาอธิบายอย่างละเอียด

 “อ๋ออ อืมๆ ว่าแต่....... พี่ขอถามอะไรอีกอย่างนึงได้มั๊ยครับ” ผมเริ่มจะเข้าเรื่อง ซึ่งไคล์กับซันก็กำลังเดินกลับมาพอดี

“ได้สิครับ”

“คือ.......” ผมมองหน้าซันที่กำลังนั่งลงที่เดิม แล้วหันกลับไปหาพีอีกครั้ง “มันก็ค่อนข้างจะพูดยากนะ อาจจะทำให้พีไม่สบายใจก็ได้”

“ครับ” เขาตอบสั้นๆแล้วพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตให้ผมพูดต่อได้

“คือ พีอยู่ที่นี่แล้วพีมีปัญหากับเพื่อนๆคนอื่นหรืออะไรรึเปล่า คือ พี่ไม่ได้จะละลาบละล้วงหรืออะไรหรอกนะครับ แต่ตอนที่พีคุยกับพี่ก่อนที่เราจะขึ้นรถไปดูพระอาทิตย์ตกกันน่ะ มันเหมือนจะเป็นอย่างนั้นน่ะครับ แล้วพี่ก็เลยรู้สึกเป็นห่วงด้วย” ผมบอกเขาตามความเป็นจริง ไคล์มีสีหน้างงๆ แต่พีกลับก้มหน้ามองจานเปล่าที่วางอยู่บนโต๊ะ จากนั้นก็เงยเหน้าขึ้นมาสบตากับผมอีกครั้ง

“ครับ ก็มีบ้าง” เขาพูดอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก “แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนหรอกครับ แค่สองสามคนเท่านั้นเอง”

“เรื่องอะไรเหรอครับ บอกได้มั๊ย” ผมถามต่อ

เขานั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็พยักหน้า “ก็เรื่องที่ผมบอกพี่นั่นแหละครับ คือ คนบางคนเขาเข้าใจว่าผมเป็นเด็กเส้น แล้วก็เลยไม่ค่อยพอใจน่ะครับ”

“อะไรกันวะ เด็กเส้นห่าอะไรก็ต้องมาทำงานเป็นขี้ข้าคนอื่นๆเหมือนๆพวกมันนั่นแหละ” ไอ้ซันพูดอย่างไม่พอใจ จนผมต้องหันไปปรามมัน

“ครับ แต่ว่าพวกเขาคิดว่าผมมาที่นี่ได้ฟรีๆน่ะครับ แล้วก็.........” พีนิ่งไปพักหนึ่ง

“แล้วมาฟรีจริงรึเปล่าครับ” ไคล์ถาม

“เปล่าครับ ไม่ฟรีเลย เงินส่วนนั้นผมก็ต้องจ่ายเข้าบริษัทและเพื่อดำเนินการหลายๆอย่าง ไม่เกี่ยวอะไรกับเงินของที่บ้านผมสักนิด เพราะงั้นผมก็ต้องจ่ายเงินเท่ากับคนอื่นเหมือนๆกัน เพียงแต่พวกเขาไม่รู้และก็ไม่คิดแบบนั้นน่ะครับ” พีอธิบาย

“อ้าว แล้วทำไมไม่บอกพวกเขาไปล่ะ” ไคล์ถามอีกครั้งอย่างสงสัยและดูไม่ค่อยจะพอใจ

“ผมบอกครับ แต่บอกเฉพาะคนที่ถามผมนะครับ แล้วก็คุยกับคนที่รู้จักผมจริงๆบางคนบ้างเท่านั้นเอง ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคนพวกนั้นเขาจะรู้หรือเปล่า” พีตอบ

“เดี๋ยวก่อนนะ แล้วที่พีพูดค้างไว้ว่า ‘แล้วก็’ เมื่อกี๊นี้นั่น แปลว่ามันยังมีอย่างอื่นอีกสินะ” ผมถามขึ้นบ้าง

“ครับ” เขาพยักหน้า “ก็อย่างเช่น...... คือ........ มีคนมาบอกผมแบบนี้อีกทีน่ะนะครับ.........” เขาก้มหน้าอย่างลำบากใจ “คือ มีคนเขาพูดว่า ผมมันพวก หน้าตาดี เรียนดี มีเงิน แต่ทำอะไรไม่เป็น แล้วก็หยิ่งน่ะครับ” พีหน้าแดงขึ้นมาทันที และผมก็รู้สึกว่านั่นมันไม่ใช่หน้าแดงเพราะความอายด้วย

“แต่นั่นมันไม่จริงนี่นา” ไคล์พูดออกมาอย่างไม่พอใจ “พีทเป็นคนดีแล้วก็นิสัยดีมากๆเลยด้วย ไม่งั้นก็คงไม่พาพวกเรามาเที่ยวแถมยังมานั่งกินข้าวกับพวกเราแบบนี้หรอก จริงมั๊ย” เขาหันมามองผมกับซัน

“เพราะพีเป็นคนไม่ค่อยพูดสินะ” ผมพูด และไอ้ซันก็พยักหน้า

พียังคงหน้าแดงและก้มหน้าอยู่

“ไม่เห็นจะเกี่ยวเลย พีทเป็นคนพูดน้อย แต่จริงๆแล้วข้างในเป็นคนดีมากๆ ไม่เหมือนกับคนบางคนที่มันพูดเก่งแต่จิตใจไม่ดีสักหน่อย อย่างไอ้คนที่พูดเลวๆนั่น” ไคล์สบถ

“ที่ไคล์พูดมันก็ใช่” ไอ้ซันพยักหน้า “แต่นิสัยคนไทยมันก็ค่อนข้างแตกต่างจากที่บ้านของเราหน่อยนะ ไคล์ คนไทยบางคนก็ชอบนิสัยเชื่อคนอื่นแบบปากต่อปากและก็สามารถหลงไปกับการนินทาว่าร้ายได้อย่างที่สุด”

ไคล์มีท่าทางฟึดฟัด แล้วก็นั่งกอดอกอย่างขัดใจ “งี่เง่าที่สุด”

“อย่าไปคิดมากนะครับพี” ผมพูด “ไคล์พูดถูก เรื่องนี้มันงี่เง่ามาก แต่พีก็ยังคงมีเพื่อนคนอื่นๆที่เขาดีกับพีอยู่นี่นา”

เขาพยักหน้า “ครับ คนอื่นๆส่วนมากแล้วก็ดีน่ะครับ แต่ว่าผมเองก็เป็นคนไม่ค่อยจะเดินเข้าไปหาใครก่อนอะไรแบบนั้นด้วย ผมหมายถึง ผมรู้จักคนไม่มากหรอกครับ แต่คนอื่นดูจะรู้จักผมกันทุกคน ผมก็เลยรู้สึกแปลกๆน่ะครับ เหมือนถูกเอาไปนินทาหรืออะไรแบบนั้น........”

“นี่ พีฟังพี่นะครับ เรื่องนั้นมันไม่สำคัญหรอก ไม่สำคัญว่าพีจะรู้จักคนมากหรือน้อย ไม่สำคัญที่คนอื่นเขาจะเอาเราไปนินทารึเปล่า เพราะพี่คิดว่าอยู่ในสังคมปิดแบบนี้ คนมันก็คงต้องมีปากต่อปากกันมั่งล่ะ ไม่ว่าจะเรื่องดีหรือเรื่องร้าย แต่มันสำคัญตรงที่ว่าถ้ามีใครเดินเข้ามาหาพี แล้วพีต้อนรับเขาด้วยความจริงใจอย่างที่พีมีล่ะก็ พี่รู้ว่าเขาคนนั้นก็ต้องชอบพีแน่ๆ” ผมยิ้มให้เขาแล้วหันไปมองไคล์ “เหมือนกับที่ไคล์ชอบพีนี่ไง”

“ช่ายๆ” ไอ้ซันหัวเราะแล้วพยักหน้าเห็นด้วย

ไคล์หน้าแดงขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด เขายิ้มอายๆแล้วก็ก้มหน้ามองลงบนโต๊ะ ส่วนพีเมื่อได้ยินอย่างนั้นก็หันไปมองไคล์ด้วยสีหน้าประหลาดใจ และเมื่อเขาเห็นไคล์ทำท่าเขินอายแบบนั้นเขาก็หน้าแดงขึ้นมาอีก แถมยังเอานิ้วชี้ขึ้นมาเกาแก้มเบาๆด้วย

ผมมองหน้ากับไอ้ซันและมันก็ยักคิ้วข้างหนึ่งมาให้ผม

ดูท่าทางสี่วันที่เหลือจากนี้ไปคงจะมีอะไรสนุกๆและสวยงามให้ดูมากกว่าวิวทิวทัศน์ของแกรนด์ แคนยอนซะแล้ว...........


หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 18-09-2007 11:22:17
อิอิ อ่านแล้วอยากไปแกรนด์แคนยอนจัง

แล้วดีใจจัง สงสัยพีกับไคล์ จะได้ลงเอยกันป่าว อิอิ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 18-09-2007 20:01:02
หุหุ ตามลุ้นคู่ไคล์กับพีดีกว่า  :m11:   :m11:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 18-09-2007 23:35:23
ไฮสสสสส์
 :a14:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 19-09-2007 00:17:32
สังคมไทยอย่างไรก็หลีกหนีไม่พ้น

ต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะพัฒนาไปสู่สังคมที่เจริญแล้ว

ชอบนักข่าวลือ
 :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 19-09-2007 00:35:59
:m1:     "เนี่ยนะ ผมว่าเวลาพีทยิ้มแล้วน่ารักจะตาย มีลักยิ้มข้างนึงด้วย คราวหลังก็ยิ้มบ่อยๆหน่อยสิครับ ผมชอบออก"    :m1:
*
*
*

คิคิ  ..คำนี้คุ้นๆโนะ   เคยมีคนบอกพี ไปแล้วครั้งนึง
แต่คนนั้นเขาไม่อยู่บอกพีแล้วง่ะ      :m17: 
ต่อไป ไคล์ ก้อต้องคอยบอกพี บ่อยๆน๊า...
ไคล์ + พี   อุอุอุ น่ารักวุ้ย คู่นี้  ช๊อบชอบ...     :m4:

เหมือนซันจะอ่านอะไรออก ทะลุปรุโปร่งเลยนะเนี่ย....
เมฆ ตามทันความคิดของซันซะที เอิ้กๆ

มาลุ้นคู่ รักคู่ใหม่ ดีกว่า โฮ่ะๆ   :laugh3:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 19-09-2007 03:14:33
ชอบคู่ไคล์กะพีแล้วจิ  :m3:  :m3:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 20-09-2007 12:33:05
ตอนที่ 38


หลังจากนั่งทานอาหารเย็นและพูดคุยกันอีกนิดหน่อยก็ได้เวลาที่เราจะกลับห้องพักกันสักที และแน่นอนว่าในวันนี้เราจะมีแขกพิเศษอีกคนหนึ่งไปนอนกับเราด้วย

“เอาล่ะ สองทุ่มแล้ว กลับกันเลยแล้วก็กัน” ไอ้ซันพูดขึ้น

“เดี๋ยวเราไปเคบินของพีก่อนดิ่ ให้เขาไปเก็บของก่อน” ผมบอก แต่ซันหันไปมองหน้าไคล์

“ไม่เป็นไรครับ พวกพี่ๆกลับกันไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวผมไปกับพีทเอง แล้วเดี๋ยวเราค่อยไปเจอกันที่ห้อง” ไคล์บอก

“อ้าว แล้วจะไปกันยังไง” ผมถาม

“ก็นั่งรถชัตเติ้ลบัสไปนี่แหละครับ ไม่ยากหรอก แถมพีทก็ไปกับผมด้วย ไม่เป็นอะไรอยู่แล้ว” เขาตอบ

“เออน่า ปล่อยมันไปเหอะ งั้นเราก็ไปกันเถอะ” ซันลุกขึ้นยืน ทำให้พวกเราที่เหลือก็ต้องลุกตามมันไปด้วย

พอพวกเราสี่คนเดินออกมายืนอยู่ข้างนอกคาเฟทีเรียแล้วผมถึงได้สัมผัสกับอากาศจริงๆภายนอก ซึ่งมันค่อนข้างจะหนาวมากเลยทีเดียว ผมไม่ได้คิดไว้ว่ามันจะหนาวขนาดนี้เลยนะ

“เมื่อตอนกลางวันยังร้อนอยู่เลยนะเนี่ย อะไรวะ”

“ที่นี่ก็เป็นแบบนี้แหละครับ กลางวันร้อน กลางคืนหนาว และเห็นว่าอีกสองสามวันนี้หิมะอาจจะตกด้วยนะครับ พรุ่งนี้ตอนกลางวันอากาศก็คงจะยังเย็นขึ้นกว่าเดิมด้วยแน่ๆ” พีบอกพวกเรา

“หิมะตกด้วยเหรอ แล้วจะไปไฮค์ได้เหรอวะเนี่ย” ผมพูดเซ็งๆ

“ได้ครับ ดีเลยด้วย ถ้าช่วงก่อนหิมะตกอากาศแบบนี้จะทำให้ไฮค์กำลังดีครับ ไม่ร้อนเกินไป” พีตอบ

“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะ ว่าแต่มึงดูนั่น เมฆ” ไอ้ซันสะกิดผมให้เงยหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้า พวกเราทั้งสี่คนจึงแหงนหน้ามองขึ้นไปด้านบนพร้อมๆกัน

“เช้ดดดดดด สวยโคตรรรรรรรร” ผมร้องออกมา

ที่นี่เวลามืดแล้วก็จะมืดสนิทจริงๆ ไม่มีแสงไฟจากตึกรามบ้านช่องและฝุ่นควันมารบกวนอย่างในตัวเมือง แถมท้องฟ้าก็ยังโปร่งมากๆ ทำให้เราสามารถเห็นดาวที่ลอยอยู่เกลื่อนท้องฟ้าได้อย่างชัดเจน

“ดาวเยอะโคตรเลย กูไม่เคยเห็นดาวเยอะๆแบบนี้มาก่อนเลยนะเว้ยเนี่ย จริงๆ! ตอนที่ไปทะเล หรือที่เคยไปเข้าค่ายลูกเสือตอนเด็กๆนั่นก็ว่าเยอะแล้วนะ แต่นี่มันสุดยอดจริงๆ” ผมพูดพลางแหงนหน้าจนตั้งฉากกับลำคอ

“เป็นแบบนี้ทุกวันล่ะครับ” พีพูด

“เฮ้ยไอ้ซัน กูชักจะชอบที่นี่ซะแล้วว่ะ” ผมหันไปพูดกับไอ้แสบของผม

“กูยังไม่เห็นมึงจะไม่ชอบอะไรของที่นี่สักอย่างเลย” ไอ้ซันพูดแล้วเคาะหัวผมเบาๆ “แล้วเคบินพีอยู่ตรงไหน”

“อยู่ตรงนั้นครับ เดินเลียบถนนไปก็ถึงแล้ว” เขาชี้ไปยังฝั่งตรงข้ามของถนนที่มีเคบินตั้งอยู่เรียงราย

“งั้นเดี๋ยวเราไปเจอกันที่ห้องก็แล้วกันนะ ไคล์ไปกับพี ส่วนมึงมากะกู” ไอ้ซันหันมายิ้มให้ผม

“กลับกันได้ชัวร์รึเปล่า รถมันจะไม่หมดซะก่อนแน่นะ พี” ผมหันไปถามเขา

“ไม่ครับ ถ้าราวๆนี้ก็ยังไม่หมดหรอก” เขาตอบ

“งั้นก็รีบไปกันเถอะครับ อากาศเริ่มเย็นแล้ว” ไคล์พูด “งั้นเดี๋ยวเรากลับไปเจอกันที่ห้องนะครับ”

ผมกับไอ้ซันพยักหน้าแล้วก็เดินกลับไปขึ้นรถ เมื่อเราอยู่กันสองคนขณะที่ไอ้ซันกำลังขับรถกลับไปยังที่พักของเรา จู่ๆมันก็หันมายิ้มให้กับผม

“อะไร” ผมถาม

“เปล่า แค่คิดว่า.......” มันอมยิ้มแล้วเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง

“คิดKอะไรของมึง คิดเรื่องของไคล์กับพีเหรอ หรือมึงวางแผนเหี้ยอะไรเอาไว้อีกเนี่ย” ผมดูจากสีหน้าและแววตาของมันแล้วก็รู้เลยว่าไม่น่าจะใช่แค่เรื่องของพีกับไคล์แน่ๆ

“โห อะไรวะ ไม่ใช่แผนเหี้ยอะไรทั้งนั้นแหละ......” มันทำเสียงน้อยใจ “กูก็แค่คิดว่าในที่สุดกูก็มีโอกาสได้อยู่กับมึงสองคนบ้าง ก็เท่านั้นเอง”

ผมนั่งมองหน้ามันแล้วก็นึกขำอยู่ในใจ จนกระทั่งเรามาถึงที่พัก พอผมกับไอ้ซันไขกุญแจห้องเข้าไปและถอดเสื้อแจ็คเก็ตของเราออกได้ มันก็เดินตรงเข้ามากอดผมจากทางด้านหลังทันที

“อะไรของมึง” ผมหัวเราะ “กูกะแล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ แล้วไหนบอกไม่มีแผนอะไรไง”

“ก็เปล่าสักหน่อย” มันยืนกราน “แต่อุตส่าห์ได้อยู่กันสองคนทั้งที เมื่อตอนเย็นก็ไม่มีโอกาสไปทีแล้วนะ”

“งั้นมึงรู้ได้ไงว่าไคล์กับพีจะยังไม่โผล่มาเร็วๆนี้” ผมดันตัวมันออกแล้วหันไปยิ้มให้มันอย่างรู้ทัน

ไอ้ซันยิ้มกว้างตอบกลับมา “ก็อย่างน้อยๆก็อีกหนึ่งชั่วโมงนั่นแหละ” มันหัวเราะแหะๆ

“กูว่าแล้วเชียว ไอ้ตัวแผนสูง” ผมหัวเราะ

“ก็ถ้ากูไม่บอกไอ้ไคล์ไปแบบนั้น กูกับมึงก็ไม่ได้อยู่กันสองคนสักทีนะเว้ย มึงไม่อยากอยู่กับกูสองคนมั่งหรือไง” มันเดินตรงเข้ามาหาผมแล้วก็ดึงตัวผมเข้าไปกอด

“เออ กูก็อยากอยู่กับมึงสองคนเหมือนกัน กูก็ยังไม่ทันว่าอะไรมึงเลยนี่”

“งั้น........” ไอ้ซันดันตัวผมออก มันมองหน้าผมแล้วยิ้มกว้าง “ไปอาบน้ำกัน”

ผมเองก็ยิ้มตอบมันเช่นกัน จากนั้นก็เอื้อมมือไปคว้าเข้าที่เป้ากางเกงของมันที่แข็งรออยู่แล้ว ตอนแรกไอ้ซันก็สะดุ้งแล้วก็เบี่ยงตัวหลบนิดหน่อย แต่พอโดนมือของผมสัมผัสเข้าจังๆมันก็ยืนนิ่งแล้วก็ยิ้มกว้างออกมา ผมชะโงกหน้าเข้าไปหอมแก้มมัน มันเองก็หอมแก้มผมกลับเช่นกัน จากนั้นมันก็ค่อยๆดึงเสื้อของผมออกช้าๆจนลำตัวของผมเปลือยเปล่า มันนั่งคุกเข่าลงแล้วก็จูบเบาๆที่สะดือของผมแล้วก็ใช้ลิ้นเลียช้าๆ เมื่อผิวหนังของผมสัมผัสกับลิ้นเย็นๆของมันรวมเข้ากับอากาศที่เย็นมากๆเนื่องจากเรายังไม่ได้เปิดฮีทเตอร์ ผมก็เกิดอาการสั่นขึ้นมาเล็กน้อยทันที

“แค่นี้ก็เสียวจนตัวสั่นแล้วเหรอวะ” ไอ้ซันเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ผม

“กูหนาวต่างหาก ไอ้บ้า” ผมดันหัวของมันออกแล้วก็เดินไปเปิดฮีทเตอร์ทิ้งเอาไว้

จากนั้นไอ้ซันก็เดินมาจูงมือผมเข้าไปในห้องน้ำทันที เมื่อประตูถูกปิดลง ผมก็โดนมันเดินเข้ามาประกบอีกครั้ง คราวนี้มันเดินยิ้มตรงเข้ามาหาผมจนใบหน้าของเราอยู่ใกล้กันแค่ไม่กี่มิลลิเมตร จากนั้นมันก็เอาจมูกของมันมาถูเข้ากับที่ปลายจมูกของผมช้าๆ ผมกับมันต่างก็หัวเราะออกมาเบาๆ ผมชอบรอยยิ้มของมันจัง ยิ่งเวลาที่มันทำแบบนี้กับผม มันทำให้ผมรู้สึกว่าผมเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลกที่มีมันมอบความรักและความเอ็นดูให้แก่ผมมากขนาดนี้

“จะอาบน้ำรึเปล่าเนี่ย” ผมถาม

“มันก็ต้องอาบแหงอยู่แล้ว” มันยังคงเอาจมูกของมันมาแตะอยู่ที่ปลายจมูกของผมอยู่

“แล้วทำไมไม่ถอดเสื้อ”

“ถอดให้หน่อยสิ” มันตอบแล้วก็ประทับริมฝีปากของมันลงมาที่ปากของผมอย่างแผ่วเบา จากจูบที่เริ่มต้นอย่างนุ่มนวลก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นจูบที่ดูดดื่มและเร่าร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ ลิ้นของมันถูกสอดเข้ามาพันกับลิ้นของผมอย่างรุนแรง ผมสามารถได้ยินเสียงลมหายใจของมันดังขึ้นเรื่อยๆอย่างชัดเจน แต่ผมก็ไม่ยอมให้มันเอาเปรียบอยู่คนเดียวแน่นอนอยู่แล้ว เมื่อถึงคราวของผม ผมก็สอดลิ้นเข้าไปลิ้มรสชาติของมันบ้าง ส่วนมือของผมก็ป่ายไปทั่วตามร่างกายของมันจนเจอเข้ากับชายเสื้อผมและดึงมันขึ้น

เราถอนปากออกจากกันและกัน จากนั้นไอ้ซันก็ชูแขนขึ้นเพื่อให้ผมสามารถถอดเสื้อของมันออกได้บ้าง เมื่อเสื้อของมันถูกถอดออกไปแล้ว ผมจึงนั่งคุกเข่าลงแล้วก็จูบลงบนหน้าท้องอันแข็งเกร็งของมันอย่างแผ่วเบา ไอ้ซันจับหัวของผมเบาๆแล้วก็ลากมือไล่ไปตามเส้นผมของผมช้าๆ ผมค่อยๆใช้ลิ้นเลีย และลากไล่จากสะดือขึ้นมาเรื่อยๆตามร่องกล้ามของมันจนมาถึงที่กล้ามอก ผมละมือทั้งสองข้างที่ใช้ลูบไล้หัวนมของมันอยู่ลงมาจับที่หัวเข็มขัดและเริ่มปลดมันออกในขณะที่ใช้ลิ้นทำหน้าที่เดิมนั้นแทน ไอ้ซันส่งเสียงซี๊ดออกมาเบาๆเมื่อหัวนมของมันสัมผัสเข้ากับลิ้นเย็นๆของผม ผมจัดการค่อยๆปลดเข็มขัดแล้วก็ปลดกระดุมกางเกงยีนส์ของมันออกช้าๆ ส่วนลิ้นของผมก็ยังคงทำงานให้กับหัวนมของมันทั้งสองข้างเท่าๆกัน

เมื่อกางเกงยีนส์ของมันถูกถอดลงไปกองอยู่ที่ข้อเท้าแล้ว ผมก็เลื่อนตัวต่ำลงไปอีกครั้ง ผมใช้ลิ้นวนที่สะดือของมันเล็กน้อยก่อนที่จะเลื่อนต่ำลงมาและใช้ปากงับเข้าที่ท่อนลำของมันที่ยังคงถูกห่อเอาไว้ด้วยกางเกงในสีขาว

“ซี๊ดดดดด อาาาาา” ไอ้ซันแอ่นตัวขึ้นเล็กน้อยเมื่อผมทำอย่างนั้น ผมรู้สึกได้ถึงท่อนลำของมันที่กระตุกอยู่ตรงริมฝีปากของผม “กูทนไม่ไหวแล้วเว้ย” มันพูดออกมา จากนั้นก็ดึงตัวผมขึ้น

ไอ้ซันประทับริมฝีปากลงบนปากของผมอีกครั้ง เราแลกลิ้นกันอย่างยาวนานขณะที่มือของมันก็พัลวันปลดกางเกงของผมออกไปด้วย และไม่นานอย่างที่คิด กางเกงยีนส์ของผมก็ลงไปกองอยู่ที่ตาตุ่มของผมแล้วเช่นเดียวกัน ผมใช้เท้าเขี่ยมันออกไป

ไอ้ซันถอนปากออกแล้วก็ซุกลงมาที่ซอกตอของผมแล้วก็สูดลมหายใจเข้าแรงๆพร้อมๆกับกับใช้ลิ้นเลียไล่ไปจนทั่วด้วย ผมครางออกมาในลำคอด้วยความเสียว ไอ้ซันยิ่งได้ใจใหญ่ มันชูแขนขวาของผมขึ้นแล้วก็ใช้ลิ้นไล่จากสีข้างของผมขึ้นไปเรื่อยๆ มันไล่ลิ้นจนมาถึงที่รักแร้ของผมแล้วก็ซุกหน้าลงไปพร้อมๆกับวนอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่งจากนั้นจึงไล่ลิ้นสูงขึ้นไปอีกจนไปถึงข้อศอกเลยทีเดียว

มันหันมายิ้มให้กับผม แล้วก็ชะโงกหน้ามาจูบกับผมอีกครั้ง เมื่อมันถอนปากออกมันก็ส่งยิ้มที่เต็มไปด้วยความปรารถนามาให้

“มึงมีกลิ่นที่พิเศษมากเลย มึงรู้เปล่า” พอพูดจบมันก็ซุกหน้าลงที่ซอกคออีกข้างของผมทันที

“อึ้ก....... อาาา.....” ผมแอ่นตัวตามเพราะความเสียว “มึง...... มึงจะบอกว่ากู..... ตัวเหม็นงั้นเหรอวะ” ผมพูดออกมาอย่างยากลำบาก

ไอ้ซันพูดตอบทั้งๆที่ยังคงคอยไซร้และไล่ลิ้นไปเรื่อยๆจนถึงรักแร้ข้างซ้ายของผม “เปล่าเลย....... มันหอมมากๆต่างหาก มันเป็นกลิ่นที่ออกมาจากข้างในร่างกายมึงเลยนะ” มันพูดพลางสูดลมหายใจเข้า

ผมยืนบิดตัวเร่าเพราะความเสียวและจักจี๋เล็กน้อยเมื่อไอ้ซันใช้ลิ้นเลียรักแร้ของผมจนชุ่ม ผมรู้สึกได้ถึงน้องชายของผมที่กำลังร้องอุทธรณ์ออกมาด้วยน้ำหยดใสๆหลายหยดจนผมรู้สึกว่ากางเกงในของผมคงเปียกชุ่มไปหมดแล้ว

ไอ้ซันไล่ลิ้นมายังหัวนมของผมและเอามือไปขยำน้องชายของผมเอาไว้ด้วย มันขยับตัวจากหัวนมข้างซ้ายไปยังข้างขวาอย่างช้าๆและสม่ำเสมอ ไม่ทำให้ผมรู้สึกที่ข้างใดข้างเดียวนานเกินไป แต่มือของมันต่างหากที่เป็นปัญหา เพราะว่ามันกำลังใช้นิ้วบี้ที่ส่วนหัวของน้องชายของผมจนผมแทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว

“ไอ้ซัน..... กู จะไม่ไหวแล้วนะ” ผมร้องออกมา

“งั้นก็ไม่ต้องไหวซี่” ผมยิ้มกว้าง แล้วก็เลื่อนตัวต่ำลงไปยังกางเกงในของผม

ไอ้ซันใช้ปากงับเข้าที่ส่วนหัวของท่อนลำของผมแบบเดียวที่ผมทำให้กับมัน แต่มันยังใช้ลิ้นเน้นที่ตรงนั้นพร้อมๆกับมือของมันก็ยังขยำที่ถุงบอลแฝดของผมเบาๆไปด้วย ผมเริ่มจะทนไม่ไหวแล้วจึงดึงขอบกางเกงในของตัวเองลงทันที และเมื่อน้องชายของผมถูกปล่อยให้เป็นอิสระ ไอ้ซันก็ใช้ลิ้นเลียมันอย่างรวดเร็ว มันใช้ลิ้นเลียไล่ตั้งแต่ถุงไข่ของผมจนไปถึงสุดปลายยอด มันตวัดลิ้นเลียน้ำใสๆของผมเข้าไปจนหมด และยังซุกหน้าลงบนขนหัวหน่าวด้วย มันใช้มือขวากดท่อนลำของผมให้ชี้ออกมาตรงๆแล้วก็ออกแรงชักเบาๆพร้อมๆกับใช้ลิ้นเลียที่ขนของผมจนชุ่ม

“อาาาาา...... ซัน มึงทำแบบนี้..... เดี๋ยวกูก็เสร็จก่อนหรอก” ผมร้องแล้วแอ่นตัวขึ้นเพราะความเสียว

ไอ้ซันไม่ตอบ และยังไม่ยอมหยุดด้วย มันใช้ปากครอบลงบนท่อนลำของผมทีเดียวจนเกือบมิดด้าม ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อสัมผัสเข้ากับความเปียก นุ่ม และอุ่นของภายในปากของมัน ไอ้ซันขยับหัวเข้าออกช้าๆ ส่วนมือที่ว่างอยู่ของมันก็กำลังชักให้กับน้องชายของตัวเองไปด้วย

ผมอยากจะหยุดเพราะผมไม่อยากจะเสร็จไวแบบนี้ แต่ผมก็ชักจะทนไม่ไหวแล้ว

“ไอ้ซัน หยุดก่อน” ผมร้องออกมาก่อนที่มันจะสายเกินไป

มันเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมแล้วก็ยืนขึ้น ผมรีบชะโงกหน้าเข้าไปประกบปากกับมันแล้วก็ถอดกางเกงในที่ถูกดึงลงแค่เพียงครึ่งเดียวออก ผมจับที่น้องชายของมันแล้วก็เอานิ้วชี้เขี่ยที่ส่วนหัวเบาๆ รู้สึกได้ถึงน้ำลื่นๆเหนียวๆที่เปียกจนชุ่มไปหมด เราสองคนถอนปากออกจากกันและกัน ผมสบตากับมันและเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความรักและความปรารถนาได้อย่างชัดเจน ผมแน่ใจว่ามันก็คงเห็นสิ่งเดียวกันในแววตาของผมเช่นกัน แต่สิ่งที่มันคงไม่รู้ก็คือ ผมชอบแววตาของมันที่กำลังมองผมอยู่ตอนนี้มากเหลือเกิน ผมรู้สึกถึงความรักที่เอ่อล้นขึ้นมาเต็มภายในอกของผม และมันก็เป็นแรงขับดันเปลี่ยนเป็นความรู้สึกต้องการตัวของมันในตอนนี้ด้วย

ผมหอมแก้มของมันเบาๆจากนั้นก็ดึงตัวมันเข้าไปยืนอยู่ใต้ฝักบัว ผมเปิดน้ำอุ่นและปรับมันจนมันร้อนพอดีๆ จากนั้นจึงค่อยๆดันมันเข้าไปข้างใต้สายน้ำที่กำลังไหลลงมา ผมจับมันหลังหลังให้กับผมแล้วก็สวมกอดมันจากทางด้านหลังอย่างแผ่วเบา น้องชายของผมที่ถูกเบียดเข้าที่แก้มก้นของมันขับน้ำหล่อลื่นออกมาอีกครั้ง เราสองคนยืนอยู่อย่างนั้นกันอีกครู่หนึ่งผมจึงผละออกมา

“กูถูหลังให้” ผมบอกมัน จากนั้นก็เอื้อมมือไปกดสบู่เหลวลงในฝ่ามือ

ผมลูบไล้มือที่เปียกสบู่ไปจนทั่วแผ่นหลังของมัน ไอ้ซันยืนก้มหัวและเอามือพิงผนังห้องน้ำไว้อย่างผ่อนคลาย ผมเลื่อนมือจากแผ่นหลังขึ้นไปยังหัวไหล่ของมันและออกแรงนวดเบาๆ ผมค่อยๆลูบไล้ไปจนถึงต้นคอและเลื่อนต่ำลงมายังหัวไหล่อีกครั้ง ไอ้ซันดูผ่อนคลายมากทีเดียวเมื่อผมทำแบบนี้ เมื่อผมถูส่วนบนของแผ่นหลังของมันจนทั่วแล้ว ผมก็เลื่อนมือต่ำลงมาเรื่อยๆจนถึงบริเวณเอวและสีข้าง ผมอ้อยอิ่งอยู่แถวนั้นครู่หนึ่งจากนั้นก็เลื่อนต่ำลงมาจนถึงแก้มก้นของมัน ไอ้ซันครางอือออกมาในลำคอเบาๆอย่างพอใจ ผมเลื่อนมือและขยำก้นของมันอย่างนุ่มนวล จากนั้นก็ใช้นิ้วไล่ไปตามร่องก้นจนไอ้ซันสะดุ้งเฮือกเมื่อผมไปสัมผัสถูกเข้ากับรูก้นของมัน ผมแกล้งไล่ผ่านเลยมันไปและเลื่อนอ้อมไปจนถึงตรงส่วนที่เป็นรอยต่อของปากทางเข้าตัวของมันและไข่แฝดคู่นั้น ผมรู้ว่าตรงจุดนี้เป็นจุดตายของมัน ไอ้ซันสะดุ้งเฮือกขึ้นมาอีกครั้งและเอามือมาจับมือของผมเอาไว้ให้หยุดอยู่กับที่

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 20-09-2007 12:33:36

“เมฆ........” มันพูดเสียงต่ำและเต็มไปด้วยความต้องการ

ผมนั่งคุกเข่าลงและค่อยๆจับมือของมันออกและเลื่อนนิ้วไล่กลับขึ้นมาที่รูก้นของมันอีกครั้ง คราวนี้ผมไม่ได้หยุดอยู่แค่เขี่ยอีกต่อไป แต่ผมค่อยๆกดนิ้วเข้าไปข้างในด้วย เมื่อนิ้วชี้ของผมถูกดันผ่านส่วนแรกเข้าไป ไอ้ซันก็เงยหน้าขึ้นและครางออกมาเบาๆ

“อาาาา เมฆ.... นี่มึงจะอาบน้ำให้กู รึมึงจะทำอย่างอื่นเนี่ย” มันพูดพลางดันก้นกลับเข้ามาที่นิ้วของผมด้วย

“แล้วมึงไม่อยากให้กูทำรึไง” ผมตอบกลับไปเบาๆ พลางกดสบู่มาเพิ่มลงที่มืออีกข้างด้วย

“ถ้ามึงไม่ทำต่อ หลังจากนี้มึงไปนอนนอกห้องแน่” ไอ้ซันตอบ

ผมหัวเราะเบาๆจากนั้นก็เอามืออีกข้างมาลูบที่แก้มก้นของมันอีกครั้ง ตอนนี้ฟองสบู่บนตัวของมันก็มีปริมาณมากขึ้นแล้ว ผมขยับนิ้วชี้เข้าออกช้าๆอยู่สามสี่ครั้ง จากนั้นก็ค่อยๆดึงมันออกมา คราวนี้ผมเปลี่ยนเป็นใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางสองนิ้วค่อยๆสอดเข้าไป ตอนแรกมันก็เข้าไปยาก แต่เมื่อผ่านไปสักพัก นิ้วทั้งสองของผมก็ค่อยๆจมหายเข้าไปทีละน้อยๆ

“เจ็บมั๊ย” ผมถาม

“ตอนนี้ไม่แล้ว” ไอ้ซันส่ายหน้า

ผมใช้มืออีกข้างที่ว่างอยู่ถูที่น่องขาของมัน และเลื่อนอ้อมสูงขึ้นๆจนไปถึงที่น้องชายของมันที่กำลังแข็งผงาดอย่างเต็มที่ ผมซอยนิ้วทั้งสองที่มือซ้ายช้าๆ ควานอยู่ข้างในเพื่อไปสัมผัสกับจุดตายด้านในนั้น และเมื่อผมสัมผัสถูกต่อมลูกหมากของมัน มันก็จะกระตุกและครางออกมาเพราะความเสียวทุกครั้งไป ขณะที่มือขวาของผมก็คอยชักให้มันจากทางด้านล่างไปด้วย เมื่อโดนปฏิบัติการทั้งสองฝั่งแบบนี้ไอ้ซันจึงยิ่งร้องครางออกมาดังมากกว่าเมื่อครู่เสียอีก

ผมถอนนิ้วออกจากนั้นก็ลุกขึ้นยืน ไอ้ซันเองก็รู้ตัวแล้วด้วยเหมือนกันว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น

“ใช้สบู่ได้มั๊ยวะ” ผมถาม

“ใช้ๆไปเหอะ ถ้าเจ็บแล้วเดี๋ยวบอก” มันตอบ

ผมกดสบู่เพิ่มขึ้นอีกและชโลมมันลงไปที่ท่อนลำของผมพร้อมๆกับที่ร่องก้นของไอ้ซันด้วย จากนั้นผมก็ดันนิ้วเข้าไปช้าๆ จากหนึ่งนิ้วเพิ่มเป็นสองนิ้ว และสุดท้ายก็สามนิ้ว นอกจากนั้นผมก็ยังคอยไซร้ที่ซอกคอของมันพร้อมๆกับชักให้มันไปด้วย เมื่อผมรู้สึกว่ามันพร้อมเต็มที่แล้ว ผมจึงถอนนิ้วออกและค่อยๆขยับตัวเข้าไปเบียดกับมันมากขึ้นเรื่อยๆ ผมเอามือจับที่ท่อนลำของตัวเองให้ตรงกับปากทางเข้าของมันแล้วก็ค่อยๆสอดมันเข้าไปช้าๆ

“โอ๊ยยยย อาาาาา ช้าๆก่อนนะ มันฝืดโคตรๆเลย แม่งงงง” ไอ้ซันร้องออกมาเบาๆ

“เจ็บเหรอ ถ้าเจ็บกูหยุดนะ” ผมถามมันอย่างเป็นห่วง

“ถ้ามึงหยุดกูเตะมึงตกส้วมแน่” ไอ้ซันตอบ และผมก็รู้ด้วยว่ามันไม่ได้พูดเล่น

ผมยิ้มให้กับตัวเองเบาๆและก็งับลงที่ติ่งหูของมัน ไอ้ซันครางออกมาเพราะความเสียวทั้งจากลมหายใจที่ผมพ่นรดหูของมันและมือของผมที่กำลังทำงานให้น้องชายของมันไปด้วย

“มึงหยุดชักก่อน เดี๋ยวกูแตก” ไอ้ซันพูดเสียงกระเส่า

เมื่อได้ยินอย่างนั้นผมก็ถือเป็นสัญญาณว่ามันกลับมาพร้อมเต็มที่แล้ว ผมจึงค่อยๆดันท่อนลำแทรกผ่านตัวของมันเข้าไปอีกครั้ง ไอ้ซันเงยหน้าขึ้นและครางออกมาอีกหน ผมคิดว่าผมจะค่อยๆดันเข้าไปช้าๆ แต่ไอ้ซันกลับเอื้อมเอามือมากดสะโพกของผมแล้วดันเข้าไปทันที

“อึ๊กกกก........ มึงแช่ไว้เฉยๆก่อนนะ” ไอ้ซันพูดพร้อมกับเสียงหอบ

“มึงเจ็บรึเปล่า” ผมถามอีกครั้ง

“เปล่า แต่มันฟิต....... ขอกูอยู่เฉยๆให้ชินก่อน” มันตอบเบาๆ

มันพูดถูกทุกอย่าง ของมันฟิตและอุ่นมากๆ ผมรู้สึกถึงความแน่นของกล้ามเนื้อของมันที่ตอดท่อนลำของผมเป็นจังหวะๆ จริงๆแล้วผมเองก็เสียวมากจนเกือบจะแตกไปแล้วตั้งหลายครั้ง แต่ผมก็ทนเอาไว้ก่อนเพราะยังไม่อยากจะไปถึงสวรรค์ได้ง่ายๆแบบนี้ ไม่อยากนั้นมันจะเรียกว่าสวรรค์ได้ยังไงกัน

“ซอยได้แล้ว เอาเลย” ไอ้ซันบอกผม

ผมเริ่มเอามือไปกำที่ท่อนลำของมันอีกครั้งพร้อมๆกับเริ่มขยับตัวเข้าออกช้าๆ ไอ้ซันร้องครางออกมาทุกครั้งที่ผมขยับตัว และผมเองก็ส่งเสียงครางออกไปแข่งกับมันเพราะความเสียวและความรู้สึกฟิตสุดๆที่ท่อนลำของผมไม่แพ้กัน ผมเริ่มขยับตัวจากจังหวะช้าๆเป็นเร็วขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายผมก็สามารถจะซอยเข้าออกได้แบบสุดๆ และทุกครั้งที่ผมกระแทกลงไปแบบสุดๆ ไอ้ซันก็จะร้องออกมาอย่างพอใจทุกครั้งด้วย

“โอ๊ยยย เมฆฆ กูจะไม่ไหวแล้ว......” ไอ้ซันร้องออกมา

เมื่อได้ยินดังนั้นผมจึงถอนท่อนลำออกทันที ไอ้ซันเองก็คงตกใจที่จู่ๆก็รู้สึกโหวงขึ้นมา มันจึงหันมาถามผมด้วยความประหลาดใจ

“ทำไมวะ” มันหันตัวกลับมาเผชิญหน้ากับผม

ผมตอบโดยการจูบมันอย่างเร่าร้อน ไอ้ซันเองก็ดันลิ้นของมันเข้ามาหาผมทันทีเหมือนกัน เราจูบกันอยู่อีกสักพักจึงถอนปากออก

“ตามึงมั่งแล้ว” ผมพูด

ไอ้ซันยิ้มกว้าง จากนั้นมันก็จับผมพลิกสลับที่กับมันแล้วก็นั่งคุกเข่าลงบนพื้น สิ่งถัดมาที่ผมรู้สึกก็คือมือของมันที่เต็มไปด้วยสบู่กำลังลูบไล้แก้มก้นของผมช้าๆ แต่จากนั้นไม่นานไอ้ซันก็ลุกขึ้นและพลิกตัวผมกลับมาเผชิญหน้ากับมันอีกครั้ง มันจูบผมพร้อมๆกับใช้มือที่เปื้อนสบู่ชักให้ผมไปด้วย

ไอ้ซันดันตัวผมกลับเข้าไปอยู่ใต้น้ำที่ไหลออกมาจากฝักบัวอีกครั้ง ทำให้สบู่ที่เคลือบอยู่เต็มตัวของพวกเราทั้งสองคนถูกสายน้ำอุ่นล้างออกไปจนหมด ผมไม่รู้ว่ามันคิดจะทำอะไรต่อแต่ก็ปล่อยเลยตามเลย เพราะตอนนี้คนคุมเกมก็คือมันแล้ว

ไอ้ซันดันตัวผมให้หันกลับไปพิงกำแพงอีกครั้ง จากนั้นผมก็รู้สึกถึงลิ้นของมันที่กำลังเลียไล่จากร่องก้นของผมต่ำลงไปเรื่อยๆจนถึงที่รูก้น ผมร้องครางออกมาเพราะความเสียวอย่างห้ามไม่ได้ ไอ้ซันเองก็ดูชอบใจที่ได้ยินเสียงผมร้องออกมาแบบนั้นเช่นกัน มันจึงยิ่งใช้ลิ้นแยงเข้าไปให้ลึกมากขึ้นไปอีก

หลังจากนั้นสักพัก ไอ้ซันก็ถอนลิ้นออกและเปลี่ยนเป็นใช้นิ้วที่ชุ่มไปด้วยสบู่แยงเข้ามาแทน ผมรู้สึกถึงความแสบและแน่นตื้อเล็กน้อย แต่เมื่อมันค่อยๆสอดเข้าไปจนสุดนิ้ว ความแสบก็เริ่มหายไปและเปลี่ยนเป็นความเสียวแบบแปลกๆแทน ต่อจากนั้นไอ้ซันก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสองนิ้วและสามนิ้วตามลำดับ

“เจ็บรึเปล่า” มันถามผม

“นิดหน่อยว่ะ แต่ทนได้ มึงจะทำอะไรก็ทำไปเถอะ กูจะไม่ไหวแล้ว” ผมหอบออกมาเพราะความเสียวจากการที่ไอ้ซันใช้มืออีกข้างคอยคลึงท่อนลำของผมไปด้วย

เมื่อผมพูดจบ ไอ้ซันก็ค่อยๆดึงนิ้วออกแล้วเปลี่ยนลุกขึ้นยืนทันที ผมรู้แล้วว่าอะไรกำลังจะตามมา ไอ้ซันเองก็เหมือนจะรู้ว่าผมเกิดอาการเกร็งขึ้นมาเล็กน้อย มันจึงเขยิบตัวเข้ามาประกบกับผมและเอื้อมมือทั้งสองข้างมาบีบและคลึงที่หัวนมของผมเล่น ผมร้องครางออกมาเพราะความเสียวที่มันกำลังมอบให้ จากนั้นมันก็เลื่อนมือต่ำลงไปเรื่อยๆจนถึงที่กล้ามท้องของผม

“กล้ามแน่นจังนะ......” ไอ้ซันกระซิบเบาๆเข้าที่หูของผม

ผมรู้สึกได้ถึงท่อนลำของมันที่ถูกเบียดแน่นอยู่ที่ต้นขาของผม มันขยับตัวขึ้นลงช้าๆ ผมรู้สึกได้ถึงหัวใจของมันที่เต้นแรงและลมหายใจอุ่นๆของมันที่กำลังพ่นรดอยู่ที่ซอกคอของผม มือของมันเลื่อนต่ำลงมาเรื่อยๆจนสุกท้ายก็มาขยำ บีบ และคลึงที่น้องชายของผมอย่างนุ่มนวล แต่มันกลับทำให้ผมรู้สึกทรมานและไม่สบายตัวมากขึ้นไปอีก ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะหมดเรี่ยวแรงในการควบคุมตัวเองให้ยืนอยู่ได้เต็มทีแล้ว

“กู..... ไม่ไหวแล้ว ซัน........” ผมหอบออกมาอย่างอ่อนแรง

ไอ้ซันจึงคลายมือออกข้างนึงออกและสิ่งถัดมาที่ผมรู้สึกก็คือสิ่งแปลกปลอมที่กำลังถูกสอดเข้ามาภายในร่างกายของผม

“อาาาา ฟิตมากเลย...... เมฆ” ไอ้ซันพูดออกมาพร้อมเสียงหายใจแรง “มึงเจ็บรึเปล่า”

ผมส่ายหัว “กูทนได้”

ไอ้ซันค่อยๆดันตัวเข้ามาช้าๆ จนเมื่อส่วนหัวผ่านเข้าไปได้หมด ผมจึงต้องเอามือจับสะโพกของมันเอาไว้ก่อน

“มึงอย่าเพิ่งนะ ขอเวลากูเดี๋ยว” ผมบอก

ไอ้ซันเลื่อนมือข้างหนึ่งมาเล่นที่หัวนมของผมส่วนอีกข้างก็ลูบคลึงและรูดน้องชายของผมเข้าออกช้าๆ การถูกกระตุ้นที่หัวนมและความลื่นจากสบู่ที่ท่อนลำของผมก็ทำให้ผมต้องร้องครางออกมาเพราะความเสียว และยิ่งไอ้ซันกำลังขบกัดตรงซอกคอของผมอยู่ด้วยแล้ว ผมจึงรู้สึกว่าตัวเองกำลังใกล้จะแตกอยู่รอมร่อแล้ว

“ซัน...... กูเสียวมากเลย มึงรีบๆทำเถอะ....... เร็วเข้า” ผมร้องขอ

ไอ้ซันจึงเริ่มขยับสะโพกเข้าออกช้าๆ มันขยับอย่างนี้อยู่อีกสองสามครั้งและแต่ละครั้งที่มันดันเข้ามา มันก็จะดันท่อนลำให้เข้าไปลึกขึ้นเรื่อยๆ ผมรู้สึกถึงความคับแน่นภายในตัวของตัวเอง และเมื่อมันเริ่มซอยเร็วขึ้นๆ ผมก็รู้สึกถึงความเสียวและความพอใจอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งผมรู้ว่าคนที่กำลังทำแบบนี้ให้ผมอยู่ก็คือไอ้ซัน และรวมกับเสียงของไอ้ซันที่กำลังร้องครางอยู่อย่างพอใจตรงซอกหูของผมแล้ว มันก็ทำให้ผมเริ่มจะเข้าไปใกล้ถึงฝั่งมากขึ้นทุกทีๆ

“ซัน กูจะแตกแล้วนะ กูใกล้แล้ว มึงชักเร็วมากเลย อาาาาา เสียวมากเลย ซัน” ผมร้องครางออกมา

“กูก็ใกล้แล้วเหมือนกันเมฆ ปล่อยออกมาเลย ปล่อยมันออกมาเลยยย” ไอ้ซันพูดเสียงขาดเป็นห้วงๆ และเร่งจังหวะเร็วขึ้นเรื่อยๆ

จากนั้นอีกแค่ไม่ถึงสองนาทีผมก็รู้สึกว่าจุดสุดยอดของผมมันเริ่มกำลังก่อตัวขึ้นมาเรื่อยๆ และทันใดนั้นเองผมก็รู้สึกว่าท่อนลำของไอ้ซันกระตุกแรงๆข้างในตัวของผมพร้อมๆกับร่างกายของมันด้วย

“โอ๊ยยยย ออกแล้วว เมฆ” ไอ้ซันร้องออกมาพร้อมกับซบลงบนบ่าของผม ร่างกายของมันกระตุกอีกสองสามครั้งแต่น้องชายของมันก็ยังคงแช่อยู่ภายในตัวของผม

ผมเองก็เช่นกัน ถึงตัวมันจะหยุดกระแทกแล้ว แต่มือของมันก็ยังคงทำงานอยู่ จนในที่สุดผมก็ร้องออกมาพร้อมๆกับกระสุนที่ถูกยิงออกมาอย่างแรง ผมกระตุกสามสี่ครั้งพร้อมๆกับน้ำรักปริมาณมหาศาลที่ถูกฉีดออกมาจนกระเด็นไปเปื้อนเต็มผนังห้องน้ำ แต่ไอ้ซันก็ยังคงไม่หยุดมือจนกระทั่งผมไม่มีอะไรจะปล่อยออกมาแล้วมันถึงได้หยุด

เราสองคนยืนหอบแบบนั้นกันอยู่อีกครู่หนึ่ง ไอ้ซันจึงหอมแก้มผมแล้วก็ค่อยๆดันตัวเองออก ผมรู้สึกถึงน้ำรักของมันที่ค่อยๆไหลสวนทางออกมาด้วย และรู้สึกว่าร่างกายของผมมันโหวงๆชอบกล

ไอ้ซันจับตัวของผมให้หันไปหามันอีกครั้ง จากนั้นมันก็ประกบปากเข้ากับผม เราแลกลิ้นกันอยู่ครู่หนึ่ง ไอ้ซันก็ถอนปากออกพร้อมรอยยิ้มกว้าง

“น้ำแรกในอเมริกา” มันพูดแล้วหัวเราะเบาๆ

“แล้วจะเป็นน้ำสุดท้ายด้วยรึเปล่า” ผมถาม

“น้ำสุดท้ายของวันนี้ก็พอแล้ว” มันยิ้ม “เดี๋ยวพรุ่งนี้จะมีน้ำแรกใหม่อีกหน”

เราสองคนหัวเราะออกมาพร้อมๆกัน จากนั้นเราต่างก็อาบน้ำทำความสะอาดร่างกายให้กันและกันอย่างแผ่วเบา เริ่มแรกผมเป็นคนที่ถูกมันล้างให้ก่อน ไอ้ซันดูจะใส่ใจที่ก้นของผมเป็นพิเศษ มันแสบนิดหน่อยเมื่อโดนสบู่ แต่ไอ้ซันก็ค่อยๆล้างมันอย่างเบามือและเอาน้ำรักของมันออกมาจนหมด เมื่อมันทำความสะอาดด้านหลังของผมเรียบร้อยแล้วมันก็หันมาทำตรงส่วนหน้าของผมด้วย มันถึงกับนั่งคุกเข่าลงและถูให้ผมจนจรดนิ้วเท้าเลยทีเดียว มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกรักและขอบคุณมันมากขึ้นไปอีกที่มันทำให้ผมมากขนาดนี้ ไม่ใช่แค่เพราะมันถึงกับล้างเท้าของผมหรอก แต่เป็นเพราะที่มันทำความสะอาดร่างกาย “ทุกส่วน” ของผมอย่างอ่อนโยนต่างหาก มันไม่เลือกที่จะทำแค่บางส่วนและเหลือบางส่วนไว้ให้ผมจัดการเอาเองเลย ผมรู้สึกว่าสิ่งๆนี้แสดงถึงความรักและความเอาใจใส่อย่างที่สุดจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตรงน้องชายของผมที่มันจะอ้อยอิ่งเป็นพิเศษกว่าส่วนอื่นนิดหน่อย ผมเองก็ทำให้มันเช่นเดียวกันกับที่มันทำให้แก่ผม ผมเองก็ถูตรงส่วนก้นแน่นๆของมันอย่างอ่อนโยน ผมค่อยๆใช้มือลูบไล้ไปตามร่างกายส่วนหน้าที่แน่นไปด้วยกล้ามท้องและไล่ต่ำลงไปจนถึงน้องชายของมันที่ยังคงกึ่งแข็งกึ่งอ่อนอยู่ และแน่นอนว่าผมก็ใช้เวลาที่ส่วนนั้นนานกว่าที่อื่นเช่นกัน จนเมื่อผมทำความสะอาดมันเสร็จตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้ว เราสองคนก็เช็ดตัวให้กันและกันจากนั้นก็เดินออกมาแต่งตัวที่ด้านนอกห้องน้ำ

เมื่อเราทั้งคู่ต่างก็ใส่เสื้อผ้าเสร็จเราก็มานอนกอดและพูดคุยกันอยู่บนเตียง ผมชอบที่จะมองตาของมันมากจริงๆ ไอ้ซันมีดวงตาที่ค่อนข้างจะเล็กแต่มีนัยน์ตาดำที่กลมโตเป็นประกาย มันเป็นแววตาที่ดูเด็ดเดี่ยวและมั่นคง แต่ผมรู้ว่าจริงๆแล้วข้างในนั้นมันเป็นอย่างไร เพราะดวงตาคู่นั้นของมันก็สามารถที่จะฉายแววความอ่อนโยนออกมาได้มากมายอย่างเหลือเชื่ออย่างเช่นเวลานี้นี่เอง................


หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 20-09-2007 17:37:30
คุณต้นไปฝึกปรือวิทยายุทธ...มาหรอคับ. :m10:

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 20-09-2007 19:25:29
ตอนที่ 39


เราสองคนนอนกกนอนกลิ้งคุยกันอยู่บนเตียงได้ราวๆสิบนาที ไอ้ซันก็เริ่มต้นบทสนทนาในเรื่องที่เราทั้งสองคนต่างก็กำลังสนใจอยู่เหมือนๆกัน

“เมฆ มึงว่าพีมันเป็นเกย์เปล่าวะ”

“อืมมม...... มึงคิดว่าไงอ่ะ กูก็ไม่รู้เหมือนกัน” ผมตอบไปตามความจริง “แต่เขาขี้อายดีนะ น่ารักดี”

“เออ ชมเข้าไป กูมันไม่ใช่คนขี้อายนี่” ไอ้ซันทำน้ำเสียงไม่พอใจ

“เอาน่าๆ น่ารักยังไงก็ไม่น่ารักเท่าแฟนกูหรอก” ผมหัวเราะแล้วหยิกแก้มมันเบาๆ “ถึงแฟนกูจะหน้าด้านไม่ขี้อาย แต่ก็ขี้หึงเหมือนกันนะเนี่ยยย”

“พูดมากนะมึง” ไอ้ซันยิ้มกว้างแล้วปัดมือผมออก “ตกลงมึงคิดว่าไง เรื่องของไอ้สองคนนั้น”

“อืมมม กูก็ไม่รู้ว่ะ คือ กูก็ไม่รู้ว่าพีเขาเป็นเกย์รึเปล่านะ รู้แต่ว่าเขาเป็นคนขี้อายมาก และยิ่งถ้าถามว่าไคล์คิดยังไงอยู่เนี่ย กูยิ่งไม่รู้หนักเลย กูก็เพิ่งรู้จักเขาไม่กี่วันเอง มึงนั่นแหละที่น่าจะรู้นิสัยเขาดีกว่ากู แต่เท่าที่ดู กูรู้สึกว่าเขาก็ชอบพีอยู่เหมือนกันนะ แต่ชอบแบบไหนนี่กูก็ไม่รู้จริงๆว่ะ สุดจะเดา อาจจะแค่ชอบแบบเพื่อนหรือถูกชะตาอะไรแบบนั้นก็ได้มั๊ง........ บอกตามตรง กูก็ยังไม่คิด ไม่สิ ไม่อยากจะเชื่อมากกว่า ไม่อยากจะเชื่อว่าไคล์จะ เอ่อออ ทำใจเรื่องของเราสองคนได้เร็วขนาดนั้นหรอก”

“มึงพูดผิดอย่างนึง ถูกอย่างนึง”

“อะไรวะ” ผมถาม

“มึงพูดถูกที่ว่ากูรู้นิสัยไอ้ไคล์มันดีกว่ามึงจริง แต่มึงคิดในเรื่องที่ว่ามันทำใจเรื่องของเราสองคนผิดไปหน่อย”

“ยังไง”

“ไม่ใช่ว่ามันทำใจได้เร็วขนาดนั้นหรอก แต่ที่มึงรู้สึกเหมือนว่ามันยังไม่น่าจะทำใจได้เร็วขนาดนี้ก็เพราะมึงเพิ่งได้คุยกับมันไปเมื่อตอนบ่ายนั่นเองน่ะสิ แต่จริงๆแล้วมันน่ะก็ทำใจเอาไว้นานแล้ว........ มึงจำได้มั๊ย ที่กูบอกมึงว่า ไอ้ไคล์มันไม่คิดเล็กคิดน้อยอะไรแบบนั้นหรอก กับเมื่อตอนที่เราอยู่ที่แมเธอร์ พ็อยท์แล้วกูบอกมึงว่ามันจะต้องไม่เป็นอะไรน่ะนะ”

 “อืมม จำได้ แล้วไงวะ” ผมพยักหน้า

“ก็ไม่แล้วไงอ่ะ” ไอ้ซันยักไหล่ “กูแค่จะบอกว่า มันไม่ได้เป็นอะไรมานานแล้วล่ะ โอเค ใช่ มันก็ยังคงมีคิดอยู่บ้างโดยเฉพาะเวลาที่มันเพิ่งได้มาเจอมึงตัวเป็นๆน่ะ แต่มันก็เหมือนกับการไปสะกิดแผลของมันออกมาอีกนิดหน่อยเท่านั้นเอง และการที่มันไปคุยกับมึงแบบนั้นก็เหมือนมันไปเกาแผลเก่าให้เลือดมันออกออกมาอีกครั้ง แต่แผลเก่าก็คือแผลเก่า แผลมันเล็กลงเยอะแล้วและเลือดก็คงออกไม่เยอะเหมือนเมื่อก่อนแล้วด้วย และที่สำคัญ มันไม่เจ็บเหมือนตอนมันเป็นแผลใหม่ๆหรอกโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามันเป็นคนไปแกะแผลด้วยตัวเองด้วยแล้ว มันย่อมต้องรู้อยู่แล้วว่ามันจะต้องเจ็บและมันจะเจ็บสักแค่ไหน........ ถ้ามึงรู้ตัวว่ามึงทำอะไรลงไปแล้วมึงจะต้องเจ็บมาก มึงจะทำเหรอวะ ใช่มั๊ย”

ผมมองหน้าของมันด้วยความรู้สึกทึ่งนิดๆ

“โอโหหหห คมเว้ยยย คมมมมม” ผมแซว

“ทะลึ่ง” ไอ้ซันเคาะหัวผมอีกแล้ว “อุตส่าห์ซีเรียส ทำกูเสียเส้นจังนะ ไอ้เวรนี่”

เราทั้งคู่หัวเราะขึ้นพร้อมๆกัน และทันใดนั้นเอง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

“ถามเจ้าตัวเอาเองเลยดีกว่ามั๊ง กูว่า” ผมถามมันแล้วก็เดินลุกขึ้นไปเปิดประตู

เมื่อประตูถูกเปิดออก ลมเย็นจากภายนอกก็ถูกพัดเข้ามาทันที

“เอ้า มากันแล้ว” ผมยิ้มให้ทั้งสองคน จากนั้นก็เขยิบตัวเพื่อให้เขาทั้งคู่เดินผ่านเข้ามา

ไคล์รับกระเป๋าของพีไปวางไว้ที่ข้างเตียงของเขา และเมื่อเขาทั้งสองคนนั่งลงบนเตียงของไคล์แล้ว ผมก็เดินลงไปนั่งกับไอ้ซันด้วยเหมือนกัน ผมเห็นไอ้ซันและไคล์แอบสบตากันนิดหนึ่งด้วย

“พีอาบน้ำแล้วรึยึง” ผมถาม

“เอ่ออ ยังครับ ไคล์บอกให้ผมมาอาบที่นี่เลยทีเดียว” เขาตอบ

“เอ้า งั้นทั้งคู่ก็ไปอาบพร้อมๆกันเลยสิ” ไอ้ซันพูดขึ้น

พีมีสีหน้าตกใจขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินอย่างนั้น เขาหน้าแดงแล้วก็ก้มหน้าลงเล็กน้อย ส่วนไคล์เองก็ดูเขินไม่แพ้กันเช่นกัน แต่เขาก็เก็บอาการไว้ได้อย่างดี และแม้แต่ผมเองก็ยังตกใจเลยที่จู่ๆไอ้แสบมันก็โพล่งออกมาแบบนั้น

“อ้าว ทำไมล่ะ ไม่เสียเวลาดีออก” ไอ้ซันพูดต่อ “เมื่อกี๊พี่กับไอ้เมฆก็อาบพร้อมกัน เอ้อออ....... แต่ของพี่สองคนก็เสียเวลานิดหน่อยน่ะนะ” ไอ้ซันขยับตัวเข้ามากอดผมแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ

“ไอ้บ้า!” ผมด่ามัน แล้วรีบหันไปมองหน้าของทั้งสองคน

ไคล์หน้าแดงนิดหน่อยแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ แต่พีนี่สิที่หน้าแดงมากและมีสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด

“มึงทำน้องเขาขวัญหนีหมดแล้ว ไอ้โรคจิต!” ผมหันไปด่าไอ้ตัวแสบ “เดี๋ยวเขาก็วิ่งออกไปร้องตะโกนให้คนมาช่วยหรอก ถ้างั้นแล้วมึงจะทำยังไง”

ไคล์กับซันหัวเราะออกมาพร้อมๆกัน ส่วนพีเองก็หัวเราะออกมาเบาๆด้วย เขาก้มหน้าอายๆแล้วก็เงยหน้าขึ้นมายิ้มกับไคล์

“ตกลงไม่ไปอาบน้ำกันก่อนเหรอ ไปสิ เดี๋ยวจะดึกซะก่อนนะ”ไอ้ซันเย้า

ไคล์หันไปสบตากับพี เหมือนเขาจะสามารถสื่อความหมายกันได้อยู่สองคน และทันใดนั้นไคล์ก็หัวเราะออกมา

“พี คุณไปอาบก่อนก็แล้วกันครับ” ไคล์บอก

“อ้าวทำไมล่ะ ก็บอกให้ไปอาบพร้อมๆกันเลยไง” ไอ้ซันยังคงไม่ยอมหยุด ผมเอาข้อศอกกระทุ้งที่สีข้างมันเบาๆ แต่มันก็ยังจะพูดต่อ “ไคล์อยู่ที่ไฮสคูลก็ต้องอาบน้ำพร้อมกับเพื่อนอยู่แล้วไม่ใช่รึไง”

“นั่นมันก็ใช่ แต่ว่านี่มันเหมือนกันที่ไหนล่ะครับ” ไคล์ตอบ

“อ้าว ต่างกันตรงไหนล่ะ หรือว่าคนที่นั่งอยู่ข้างๆนั่นไม่ใช่แค่เพื่อน” ไอ้ซันพูด

ผมรีบเอากำปั้นเขกกะโหลกของมันทันที ส่วนไคล์เองก็หน้าแดงและพีก็ทำตัวไม่ถูกอย่างเห็นได้ชัด

“อย่าไปฟังมัน ทั้งสองคน ไอ้เหี้ยนี่มันบ้า” ผมบอกพวกเขา “พีไปอาบน้ำเถอะครับ เดี๋ยวค่อยออกมาคุยกันนะ พี่ขอโทษแทนไอ้ปากหมานี่ด้วยก็แล้วกัน”

ไอ้ซันหันมาทำท่าจะเถียง แต่เมื่อมันสบตากับผมมันก็หุบปากลงทันที

“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” พีก้มลงไปหยิบเสื้อผ้าออกมาจากกระเป๋าและเดินเข้าห้องน้ำไป

เมื่อเราอยู่กันตามลำพังสามคน ผมก็หันไปมองหน้าไอ้ซันทันที

“ไอ้ปากหมานนนนนนน” ผมด่ามัน “ทำเอาน้องเขาขวัญเสียหมดแล้ว เดี๋ยวเขาก็รู้สึกอึดอัดตายหรอก เพิ่งจะรู้จักกันแค่วันเดียว ไอ้บ้าเอ๊ย เล่นอะไรเกินเลยไม่รู้เรื่อง”

ไอ้ซันทำหน้าทำตาเหมือนโดนขัดใจ แต่สุดท้ายมันก็พูดขอโทษ “เออๆ กูไม่ทำแล้ว ขอโทษก็ได้”

“ก็ลองไม่ขอโทษดิ่” ผมดึงแก้มมันแรงๆ “ชอบพูดอะไรไม่คิดนะมึง สนุกจนเลยเถิด”

“โอ๊ยยยย โอ๊ยยๆๆๆ อะไรเล่า กูก็ขอโทษแล้วไง” มันดึงมือของผมที่กำลังหยิกแก้มของมันออกแล้วก็เคาะหัวผมเบาๆ

“มึงเคาะหัวกูเหรอ ทั้งๆที่มึงเป็นฝ่ายผิดนะ มึงยังกล้าทำกูอีกเหรอ” ผมยื่นมือไปจะทำมันคืนบ้างแต่มันก็รีบกลิ้งตัวหลบไปซะก่อน

ไคล์นั่งมองเราสองคนทะเลาะกันแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ

“ขำอะไร” ไอ้ซันหันไปแหวใส่ไคล์

“เปล่าครับ” ไคล์หยุดหัวเราะลงทันที

“มึงไม่ต้องไปพาลคนอื่นเขา” ผมได้โอกาสตบหัวมันเบาๆ “นี่ไง ถามไคล์สิ มีโอกาสแล้วนี่ เดี๋ยวพีก็ออกมาจากห้องน้ำก่อนหรอก”

“มึงอยากรู้ไม่ใช่เหรอ มึงก็ถามสิ” มันเกี่ยง

“มึงนั่นแหละที่เริ่มถามกูก่อน อย่ามาทำเนียน”

“เดี๋ยวๆก่อนทั้งสองคน นี่มันเรื่องอะไรกันครับ” ไคล์ถามขึ้น

ผมกับไอ้ซันมองหน้ากันครู่หนึ่งจากนั้นมันก็พยักหน้า และนั่นก็เป็นสัญญาณว่ามันโบ้ยมาให้ผมเต็มที่แล้ว และผมก็ไม่มีสิทธ์เกี่ยงอีกแล้วด้วย ผมถอนหายใจออกมาเบาๆแล้วก็หันไปยิ้มให้กับไคล์

“คือ เราสองคนสงสัยกันว่า ไคล์คิดยังไงกับพีน่ะนะ........ แค่คนที่เพิ่งรู้จักหรือมากกว่านั้นอีกนิดหน่อย” ผมกับไอ้ซันหัวเราะออกมาเบาๆ

“บอกความจริงเท่านั้นนะ น้องชาย” ไอ้ซันพูดเสริม

ไคล์มีสีหน้าตกใจขึ้นมาทันที ผมเห็นว่าเขาหน้าแดงเล็กน้อยจากนั้นก็มีท่าทางอึกอักแบบคนไม่รู้จะหาคำพูดแบบไหนออกมาพูด

“ทำไมทั้งสองคนถามแบบนั้นล่ะ” เขาถาม

“ก็ไอ้ซันมันถามพี่ และพี่ก็บอกว่าพี่เองก็ไม่รู้หรอก เพราะว่าพี่ก็ไม่รู้จักไคล์ดีขนาดนั้นที่พอจะดูออก แต่ไอ้ซันมันเกิดรู้สึกสะกิดใจขึ้นมาก็เลยบอกให้พี่ถามน่ะ” ผมรีบชิงพูดขึ้นมาก่อนที่ไอ้ซันจะทันได้อ้างอะไรมั่วๆออกมาอีก

ไอ้ซันมองหน้าผมอย่างเสียรู้นิดหน่อยแว่บหนึ่งจากนั้นจึงหันไปหาไคล์ “บอกมาตามตรงเร็ว น้องชาย ก่อนที่เขาจะอาบน้ำเสร็จ”

ไคล์หน้าแดงขึ้นมาอีกครั้ง “คือ....... ขอเวลาเราอีกหน่อยก็แล้วกันนะครับ” เขาตอบ

ผมและซันมองหน้ากันแล้วก็ยิ้ม เพราะเมื่อครู่ไคล์ใช้สรรพนามว่า “เรา” ไม่ใช่ “ผม” ซึ่งนั่นมันก็ค่อนข้างจะชัดเจนอยู่ทีเดียวเหมือนกัน

“งั้นก็ดีแล้ว” ไอ้ซันยิ้มอย่างพอใจ “ทำอะไรให้มันดีๆก็แล้วกัน งั้นต่อจากนี้ไปช่วงที่อยู่ที่นี่ถ้าอยากจะไปหาเขาหรือทำอะไรก็ทำได้เลยนะ ไม่ต้องห่วง พี่ไม่ว่า”

“แบบนั้นมันจะดีเหรอครับ” ไคล์ถาม แต่กลับมีรอยยิ้มกว้างฉายอยู่บนใบหน้า

“ตามสบายเลย แต่ก็ทำตัวดีๆก็แล้วกัน รู้ใช่มั๊ยว่าอะไรควรอะไรไม่ควร และรู้ใช่มั๊ยว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น.......” ซันเน้นย้ำด้วยสีหน้าจริงจัง

“ครับ ผมรู้” ไคล์พยักหน้าตอบ แล้วก็หันมามองหน้าผม “เอ้ออ ว่าแต่ไอ้เนี่ยน่ะ.........” เขาชี้ไปที่คอของตัวเอง

ผมยกมือขึ้นมาปิดที่ลำคอของผมตรงตำแหน่งที่คิดว่าน่าจะใช่ทันที

“อีกแล้วเหรอเนี่ย” ผมร้องครวญ แต่ไอ้ซันกับไคล์กลับหัวเราะออกมาพร้อมๆกัน “มึงจะหัวเราะทำไม มึงนั่นแหละต้นเหตุ”

“อ้อ แต่ผมจะบอกทั้งสองคนอย่างนึงนะครับ......” ไคล์พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาบ้าง ผมและซันนั่งรอฟังอย่างตั้งใจ “ผมอยากจะขอเวลาให้กับพีทโดยเฉพาะเป็นพิเศษด้วยนะครับ เพราะว่าเขาเคย.........” ไคล์เงียบเสียงไปแบบไม่แน่ใจว่าควรพูดดีหรือไม่

ผมและซันพยักหน้ารับอย่างเข้าใจเขาจึงยิ้มออกมาอีกครั้ง และตอนนั้นเองที่ประตูห้องน้ำก็ถูกเปิดออก เราทั้งสามคนหันไปมองพีที่เดินออกมาเป็นตาเดียวกันจนเขามีสีหน้าประหลาดใจแกมตกใจเล็กน้อย

“อะไรครับ” เขาถามอย่างป้องกันตัว

“ไม่มีอะไรหรอกครับ เอ้าไคล์ ไปอาบน้ำเถอะ เดี๋ยวค่อยมานั่งคุยกันต่อดีกว่า” ผมพูด

จากนั้นไคล์ก็เดินเข้าห้องน้ำไป และพีก็มานั่งลงบนเตียงของไคล์ เขาดูท่าทางกังวลใจและทำตัวไม่ค่อยถูกเล็กน้อย ผมจึงเริ่มชวนเขาคุยเพื่อที่เขาจะได้ไม่รู้สึกกดดันมากนัก โดยเฉพาะจากสิ่งที่ไอ้ซันเพิ่งพูดไปนั่น และยังเพื่อเป็นการตัดหน้าไอ้ซันไม่ให้มันพูดอะไรพล่อยๆออกมาอีกด้วย

“พีจำวันที่เราเจอกันครั้งแรกที่โรงเรียนได้รึเปล่า” ผมถามเขา

“ครั้งแรกเหรอครับ......” เขาถามอย่างไม่ค่อยแน่ใจ

“ช่าย ตอนที่ปิดเทอมแล้ววันนั้นน่ะ”

“อ๋ออ....... ครับ จำได้ครับ” เขาตอบ

“พูดถึงเรื่องวันนั้นนะ กูมีเรื่องอยากจะถามมึงพอดีไอ้เมฆ” ไอ้ซันพูดขึ้นบ้าง

“อะไรอ่ะ” ผมหันไปถามมัน

“ตอนนั้นมึงเพิ่งเจอกับพีเป็นครั้งแรกจริงๆใช่รึเปล่า แล้วอีกอย่าง ทำไมมึงต้องไปเล่นบาสทั้งๆที่ฝนตกแบบนั้นด้วย”

“ก็อกหักไง” ผมหัวเราะเบาๆ “แล้วก็คิดถึงที่มีคนเคยพูดกับกูว่าถ้ากูชอบเล่นบาส และถ้ากูเล่นบาสแล้วมันทำให้กูรู้สึกดีขึ้น............ กูก็เลยเล่นไง”

ไอ้ซันมองหน้าของผมนิ่ง แต่สุดท้ายมันก็ยิ้มออกมาเบาๆแล้วก็เริ่มเอามือมากอดมาก่ายผมอีก

“เอ่อ ว่าแต่พีไม่อึดอัดแน่นะครับ ที่เราสองคนนัวเนียกันแบบเนี๊ย” ผมหันไปถามพี

เขาส่ายหน้าแล้วก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย “ไม่หรอกครับ ดีซะอีกที่พี่รักกันแล้วมีโอกาสได้แสดงออกออกมาน่ะครับ”

“มึงก็น้อยๆหน่อยมั่งเหอะซัน อยู่ต่อหน้าคนอื่นก็เก็บๆมันเอาไว้บ้าง” ผมหันไปบอกไอ้ซันที่เพิ่งจะเขยิบตัวเข้ามาเบียดผมมากขึ้นอีก

“แต่ว่านั่นไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมกับพี่เมฆเคยเจอกันหรอกนะครับ” พีพูดขึ้น

ผมสองคนหันกลับไปมองเขาแทบจะทันที ไอ้ซันดูท่าทางจะประหลาดใจมากกว่าผมซะอีก จากนั้นมันก็หันมามองหน้าผมอีกครั้ง

“ตกลงที่มึงถูกรถชนนี่ทำให้มึงลืมเรื่องของน้องเขาไปหมดเลยจริงๆใช่มั๊ยวะเนี่ย” มันถาม

“เฮ้ยยย กูว่าไม่นะ........... รึเปล่า” ผมชักไม่แน่ใจตัวเอง

“ไม่เกี่ยวกับเรื่องรถชนหรอกครับ” พีพูดขึ้นอีกครั้ง “แต่ครั้งนั้นพี่คงจำผมไม่ได้อยู่แล้ว”

“ตอนไหนเหรอครับ พี่จำไม่ได้จริงๆ” ผมถามเขา

“คือ........ มันก็แค่แป๊บเดียวน่ะครับ เกือบจะไม่ต่างกับการเดินสวนกันเลยด้วยซ้ำ” พีเริ่มต้นเล่า “วันนั้นผมเดินไปที่สนามบาส แล้วลูกบาสมันก็กลิ้งมาชนขาผม และคนที่มาเก็บลูกบาสไปก็คือพี่เมฆครับ เราไม่ได้คุยอะไรกันมากหรอกครับ ก็แค่ไม่กี่คำเท่านั้นเอง”

ผมพยายามนึก และสุดท้ายผมก็นึกขึ้นมาได้ “อ๋อออ...... น้องคนที่ลูกบาสกระเด้งไปชนขาตอนนั้น”

พีพยักหน้า ส่วนไอ้ซันก็ยังคงจ้องมองหน้าของพีอยู่

“งั้นพี่ขอถามอะไรพีตรงๆอย่างนึงเลยนะ วันนั้น หมายถึงวันที่หน้าห้องเก็บอุปกรณ์น่ะ พีรู้มั๊ย ว่าตอนนั้นพี่กับไอ้เมฆเป็นอะไรกัน” ไอ้ซันถามพีขึ้นอีกครั้ง

เขาพยักหน้าอีกครั้ง “ผมคิดว่าผมพอเดาได้น่ะครับ”

ทันใดนั้นเองผมถึงได้นึกออกว่าทำไมตอนที่เขาเจอกับผมและซันครั้งแรกของวันนี้เขาถึงมีท่าทีแบบนั้น และเมื่อเขาเห็นไอ้ซันหอมแก้มผมในห้อง ทำไมเขาถึงได้ตอบว่าไม่แปลกใจที่รู้ว่าเราเป็นแฟนกัน และยิ่งชัดเจนมากขึ้นไปอีกว่าทำไมไอ้ซันถึงได้กล้าทำแบบนั้นต่อหน้าเขา นั่นก็เพราะว่ามันพอจะมั่นใจว่าเขาก็รู้อยู่แล้วนี่เอง

“งั้นขออีกคำถามนึงนะ......” ไอ้ซันเริ่มถามต่อ “ตอนนั้นพีคิดยังไงกับไอ้เมฆมัน”

ผมถึงกับสะดุ้งและหันไปมองหน้ามันทันที แต่ไอ้ซันไม่ยอมมองผมตอบ มันกลับยังคงจ้องตาของพีนิ่งราวกับพยายามจะคาดคั้นเอาความจริงออกมาให้ได้ ผมหันไปเห็นพีมีสีหน้าลำบากใจขึ้นมาทันที

ผมแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเองเลย หรือนี่แปลว่าเขาคิดอะไรกับผมอย่างนั้นจริงๆน่ะหรือ

“เพราะว่าตอนนั้นพี่เกิดรู้สึกอะไรขึ้นมานิดหน่อยน่ะนะ........ และมันก็ทำให้พี่ทำตัวงี่เง่าๆออกไปในตอนนั้นด้วย” ไอ้ซันพูดต่อ

พีพยักหน้าอีกครั้ง “ผมก็คิดว่าพี่คงจะหึงผมอยู่จริงๆเหมือนกันครับ แต่ว่าตอนนั้นผมยอมรับว่าผมเองก็รู้สึกดีๆกับพี่เมฆเหมือนกัน........”

ผมนั่งมองทั้งสองคนด้วยความช็อค

“แต่มันก็ไม่มีอะไรมากจริงๆครับ เพราะว่าผมเองยังไม่รู้เลยว่าผมคิดยังไงกับพี่เมฆกันแน่” พีเริ่มเล่าต่อและก้มหน้าเพราะความอาย....... หรืออย่างน้อยๆผมก็คิดว่าอาจจะเป็นอย่างนั้นนะ “แต่ที่แน่ๆ ผมรู้ว่าผมไม่ได้ชอบพี่เขาแบบนั้นครับ......... คือ ผมรู้สึกประทับใจบางอย่างในตัวพี่เมฆน่ะครับ ตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมได้เจอพี่แล้ว” เขาเงยหน้าขึ้นมาคุยกับซันต่อ พีมีท่าทางอึกอักที่จะพูดออกมาเล็กน้อย แต่สุดท้ายเขาก็พูดมันออกมา “ผมเคยชอบรอยยิ้มของพี่เขาน่ะครับ....... มันมีอะไรบางอย่างคล้ายๆกับ........ กับคนที่ผมรักมากเมื่อก่อนนี้.........”

ผมเชื่อว่าซันและผมต่างก็คงเห็นสีหน้าปวดร้าวของเขาเหมือนๆกัน ไอ้ซันจึงลุกขึ้นเดินไปนั่งลงข้างๆพีแล้วก็หันมามองผมเป็นเชิงอนุญาต ผมพยักหน้าตอบ ไอ้ซันจึงสวมกอดพีทันที

พีดูท่าทางตกใจเล็กน้อย เขาหันมามองผมและผมก็ยิ้มให้เขา เขาจึงรู้สึกสบายใจขึ้นและยกมือขึ้นมากอดไอ้ซันตอบเช่นกัน น้ำตาของพีเริ่มไหลออกมาหยดเล็กๆหยดหนึ่งที่หางตา เขาดันตัวของไอ้ซันออกแล้วรีบเช็ดน้ำตาไวๆ

“ขอโทษนะครับ” เขาพูดขึ้น

ไอ้ซันตบลงบ่าของพีเบาๆ “ไม่เป็นไรหรอก พี่รู้ว่าแฟนพี่มันเสน่ห์แรง......... จะบอกอะไรให้รู้ป่าว สิ่งแรกที่ทำให้พี่รู้สึกชอบไอ้เมฆนั่นก็คือรอยยิ้มของมันเหมือนกันนั่นแหละ”

ผมยิ้มอายๆ รู้สึกว่าตัวเองกำลังหน้าแดงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ผมไม่เคยรู้เลยว่ามันคิดแบบนั้นกับผม ส่วนพีเองก็ยิ้มกว้างออกมาเช่นกัน และหลังจากนั้นเสียงประตูห้องน้ำก็ถูกเปิดออก อีกครั้งที่เราทั้งสามคนหันไปมองยังหน้าห้องน้ำเป็นตาเดียวกัน

“อะไรกันเนี่ย” เขาถาม “ทำไมมองแบบนั้น นี่กำลังคุยอะไรเกี่ยวกับผมอยู่รึเปล่า”

พวกเราหัวเราะขึ้นพร้อมๆกัน จากนั้นซันก็ย้ายกลับมานั่งกับผมเหมือนเดิม เราสี่คนนั่งดูทีวี พูดคุยและหยอกล้อกันเล่นอีกพักใหญ่ๆ เป็นที่เห็นได้ชัดเลยว่าพีเองก็ท่าทางจะมีความรู้สึกดีๆให้กับไคล์ด้วยเหมือนกัน ทั้งสองคนสบตากันแบบที่มีแค่เขาสองคนเท่านั้นที่เข้าใจกันบ่อยมาก มากจนผมรู้สึกเลยว่าไอ้ซันอิจฉา เพราะมันเองก็เข้ามากอดมาป้วนเปี้ยนอยู่กับผมบ่อยเหลือเกิน จนเมื่อเวลาผ่านไปนานจนเราทุกคนก็เห็นพ้องกันว่าควรจะเข้านอนได้แล้วเพราะว่าพีต้องตื่นไปทำงานแต่เช้า หลังจากเราทั้งสี่คนต่างก็เข้าห้องน้ำแปรงฟันกันจนครบทุกคนแล้วและผมกำลังจะปิดสวิตช์ไฟ พีก็พูดบางอย่างขึ้น

“คือ....... ก่อนนอนผมขอพูดอะไรหน่อยนะครับ” เขาบอกพวกเราทุกคน “ผมขอบคุณทุกคนมากจริงๆนะครับ ที่ทุกคนทำดีกับผมมากขนาดนี้........” เขาหันไปสบตากับไคล์ “คือ ผมเคยเรียนรู้มาอย่างหนึ่งว่า ถ้าผมมีอะไรที่คิดเอาไว้ ผมก็ควรจะพูดมันออกไปซะก่อนที่มันอาจจะสายเกินไปและทำให้ผมไม่มีโอกาสได้พูด..........”

“เรื่องนั้นพี่สองคนเห็นด้วยร้อยเปอร์เซ็นต์” ไอ้ซันพูดขึ้น ผมกับมันต่างก็มองหน้ากันอย่างเข้าใจ

ผมเห็นไคล์กับพีสบตากันแบบนั้นอีกครั้ง แบบที่เขาเข้าใจกันอยู่แค่สองคน จากนั้นพีจึงเริ่มพูดต่อ “ผมอยากจะบอกว่าขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะครับ แล้วก็อยากบอกให้รู้ว่าถึงผมจะเพิ่งได้เจอทุกๆคนแค่วันนี้เป็นวันแรก...... เอ่อ คืออาจจะโดยเฉพาะไคล์คนเดียว แต่วันนี้ก็เป็นวันแรกที่ผมได้รู้จักทุกคน แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนกับได้รู้จักทุกคนมานานมากแล้วจริงๆ ผมรู้สึกเหมือนวันนี้เป็นวันที่ยาวนานมากๆเลย และผมก็สนุกมากๆด้วยครับ”

ไคล์บีบหัวไหล่ของพีเบาๆ จากนั้น โดยที่ผมไม่ได้คาดคิด ไคล์ก็ดึงตัวของพีเข้าไปกอดทันที

“เดี๋ยวๆๆ รอปิดไฟก่อนแล้วค่อยว่ากันได้มั๊ย” ไอ้ซันพูดขึ้นจากนั้นก็หันมาพยักหน้าให้ผม ผมเห็นสองคนนั้นยิ้มเขินๆให้กันแค่เพียงไม่กี่วินาทีก่อนที่ทั่วทั้งห้องจะมืดลง

ผมนอนอยู่บนเตียงเดียวกับซัน เราสองคนต่างนอนกอดกันและกันอย่างอบอุ่น ไม่ใช่แค่ร่างกายแต่เป็นภายในใจด้วย เราสองคนต่างก็รู้ว่าเรื่องหลายๆเรื่อง เหตุการณ์หลายๆอย่างกำลังจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น โดยเฉพาะหน่ออ่อนของความรักที่เพิ่งจะเกิดขึ้นใกล้ๆตัวของเราทั้งสองคน ถึงแม้เขาสองคนยังมีเรื่องให้ต้องเผชิญอีกมาก แต่ผมเชื่อว่าถ้าคนสองคนเกิดมาเพื่อคู่กันจริง........ พวกเขาจะต้องฟันฝ่ามันไปได้และปัญหาทุกปัญหาย่อมต้องมีทางออกแน่นอน

เหมือนอย่างเช่นผมกับไอ้ซัน............

.
.
.

คืนนั้นราวๆตีสองผมตื่นขึ้นมากลางดึกและหันไปเห็นไคล์และพีกำลังนอนกอดกันกลมอยู่บนเตียง ผมยิ้มให้กับตัวเองเบาๆแล้วก็ปลุกไอ้ซันให้ตื่นขึ้นมาดูด้วย เมื่อไอ้ซันเห็นอย่างนั้นมันก็ยิ้มกว้างออกมาพร้อมกับดึงตัวผมลงเข้าไปนอนกอดอีกครั้ง มันกระซิบบอกผมว่ามันก็จะไม่ยอมน้อยหน้าเตียงข้างๆเช่นกัน



หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 20-09-2007 19:34:25
แข่งกันหวานซ้า  :m3:  :m3:  :m3:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 20-09-2007 19:44:34
   :m10:   :m10:   :m10:    เหอๆ (เช็ดเลือดก่อง)

ซันนี่ก้อ เจ้าเล่ห์ใช่ย่อยเลยนะเนี่ย เอิ้กๆ   :m18:

ที่แท้ ก้ออยากหาเวลาอยู่สอง ต่อสอง กับเมฆ  เพราะ นี่ด้วยอ่าดิ     :m12:

ไคล์เเหมือนจะรู้เห็นเป็นใจ ไปแล่ะ ฮ่าๆๆ     :laugh:

เปิดโอกาสให้สองหนุ่มเขากุ๊กกิ๊ก กัน ซะแล่ะ ฮี่ๆ      o14


 :m26:    แล้วคู่ไคล์ ก่า  พี ล่ะคุนต้น อิอิ   




อุ้ยๆ กำลังจะเม้น คุนต้นนุ่ม ก้อมาต่อพอดี ฮี่ๆ

อ่านแย้วอมยิ้ม     :m1:      หน้าหุบไม่ลงเลยอ่ะตอนนี้      :m1: 
ซันกับ เมฆ ผ่าน จุดนั้นกันมาแล้ว... แต่ก้อยังต้องเดินหน้าต่อไป
ต่อไปก้อเป็นไคล ก่าพี แล่ะโนะ....
ที่จะตามมาติดๆ   ความรัก มันก้อต้อง ค่อยๆเรียนรู้กันไป
ซันก่าเมฆ เหมือนพี่ชาย  ที่กำลังสอนน้องน้อย ให้หัดเดินเลยเนอะ น่าร๊ากกกกกกกก...    :m1: :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 20-09-2007 20:19:51
โอ.. พระเจ้าช่วยกล้วยทอด มันยอดมาก
ต้นเนี่ย  ได้ดังใจจริง ๆ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 20-09-2007 21:38:37
 :m10: อ่านแล้วสุดยอดคับๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ :m10:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 20-09-2007 23:05:01
สองคู่ชูชื่น  :m3:  :m3:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 20-09-2007 23:22:34
หมดโล่งไปหนึ่งเปราะ อย่างน้อยก็ไม่ต้องมีใครมานั่งเสียใจ
รักคนที่เกิดมาคู่กับเราดีกว่า

 :m18: :m18: :m18: :m18: :m18:

ว่าแต่ฉากในห้องน้ำนี่
 :m25: :m25: :m25: :m25: :m25:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 21-09-2007 14:53:56

............2 คู่......ชู้ชื่น....... :oo1: :oo1: :oo1:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: ninaprake ที่ 21-09-2007 20:13:43
ดีจังๆๆๆที่ทุกอย่างดูลงตัวเริ่มเข้าที่เข้าทางและ .....  :m4: ..... ตอนนี้ก็ได้แต่หวังว่ามันจะพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น อยากให้พีมีความสุขมากๆเลยนะ  :m1:

เย้ๆ ขอบคุณต้นที่มาต่อด้วยความรวดเร็วคร้าบบบ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 21-09-2007 20:59:36
ตอนที่ 40 (เรื่องเล่าของไคล์ : ก็แค่ความรักของเด็กคนหนึ่ง)


แม่ของผมเคยเล่าให้ฟังว่าตั้งแต่ผมยังเล็ก ผมก็เป็นเด็กยิ้มง่าย อารมณ์ดี และร้องไห้ยากมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่ว่าจะตั้งแต่เป็นเด็กทารกจนกระทั่งโตจนรู้ความ ผมก็ยังคงเป็นเด็กซนๆที่ร่าเริงและมีคนรักและให้ความสนใจเยอะมาตลอด อาจจะเป็นเพราะนอกจากการที่ผมเป็นเด็กซนๆน่าเอ็นดูคนหนึ่งแล้ว ผมยังเป็นลูกผสมของพ่อที่มีเชื้อฮิสแปนนิค และแม่ที่เป็นคนไทยแต่ก็ยังมีเชื้อสายจีนอยู่อีกหนึ่งในสี่อีกด้วย เพราะเหตุนี้ผมถึงมีหน้าตาและบุคลิกที่โดดเด่นกว่าเด็กคนอื่นๆและผมยังสามารถพูดได้ถึงสามภาษาโดยแทบไม่ต้องพยายามเลย ส่วนนอกจากเรื่องของลักษณะทางกายภาพของผมแล้ว ผมยังได้รับการปลูกฝังแนวความคิดแบบของคนไทยอยู่เยอะพอสมควรอีกด้วย เพราะแม่ของผมอยากให้ผมนั้นมีความเป็นสุภาพบุรุษแบบตะวันออกมากกว่าแบบตะวันตก และพ่อของผมเองก็ชอบวัฒนธรรมของคนไทยมากด้วยเช่นกัน ดังนั้นผมจึงมีโอกาสเดินทางไปเยี่ยมญาติของแม่ของผมที่ประเทศไทยบ่อยพอสมควร

ก็เหมือนๆกับการเดินทางไปเยี่ยมญาติๆทางฝ่ายพ่อที่อเมริกา ทุกๆปีผมจะมีโอกาสได้ไปประเทศไทยสองครั้งเป็นอย่างน้อย และบางปีผมก็ได้ไปถึงสามครั้งหรือมากกว่านั้น แต่ถ้าให้เลือก ผมก็ชอบที่จะไปประเทศไทยมากกว่าการไปเยี่ยมญาติของทางฝ่ายพ่อที่แอลเอเยอะ เพราะผมชอบวัฒนธรรมของประเทศไทยมากกว่า ผมชอบแนวความคิดที่ว่าผู้ที่มีอายุน้อยต้องเคารพผู้ที่มีอายุสูงกว่า ผมชอบความอ่อนน้อมและการปลูกฝังให้เด็กรู้จักรู้คุณของพ่อแม่ และนอกเหนือจากนั้น ผมยังมีญาติผู้พี่อยู่คนหนึ่งที่ผมทั้งรักและก็เคารพเขามากด้วย ต่างจากที่แอลเอที่มีแค่เพียงปู่ ย่า และลุงของผมเท่านั้น

ซันคือพี่ชายเพียงคนเดียวของผม เขาเป็นน้องชายของน้าของผมและอายุมากกว่าผมสามปี เพราะฉะนั้นเมื่อตอนที่ผมอายุได้ราวๆสิบปี ซันก็อายุสิบสามแล้ว และช่วงนั้นยังเป็นช่วงที่เขามีการเปลี่ยนแปลงทั้งร่างกายและจิตใจเยอะมากอีกด้วย ตั้งแต่ผมจำความได้ ทุกครั้งที่ผมไปประเทศไทยผมก็จะสนิทกับซันมากที่สุด เขาช่วยให้ผมรู้สึกคลายกังวลและยังมอบความรักความเอ็นดูให้แก่ผมมาก พ่อของผมบอกว่าเป็นเพราะซันเองก็ไม่มีน้องชายและต้องโตขึ้นมาเป็นลูกชายคนเดียวในครอบครัวเช่นกัน นั่นจึงน่าจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เขารักและเอ็นดูผมมากราวกับผมเป็นน้องชายแท้ๆของเขา แต่ต่อมาพ่อก็บอกผมว่าเมื่อซันอายุได้สักสิบสองหรือสิบสามแล้ว เขาก็จะมีความเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่าง พ่อบอกผมว่าเขาอาจจะโตขึ้น เป็นผู้ใหญ่ขึ้นและคงจะเริ่มสนใจเพศตรงข้าม ซึ่งอาจทำให้เขาไม่มาเล่นหรือหยอกล้อกับผมเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้วก็ได้ ครั้งแรกที่ผมได้ยินอย่างนั้นผมก็รู้สึกกังวลอยู่บ้างเล็กน้อย ถึงปากผมจะบอกพ่อว่าผมไม่แคร์ก็เถอะ แต่หลังจากที่ผมได้เจอกับซันหลังจากที่ผมไม่ได้เจอเขามาแค่ปีกว่าๆ ผมก็ต้องทึ่งกับการเปลี่ยนแปลงของเขามากทีเดียว เขาโตขึ้นมากอย่างที่พ่อบอกผมเอาไว้จริงๆ เขาทั้งสูงขึ้น และหล่อขึ้นมาก ทั้งหมดนั่นเป็นความประทับใจที่ผมมีให้เขาทันทีที่ผมพบหน้ากับเขาเลยทีเดียว

แต่พ่อของผมก็ไม่ได้พูดถูกไปหมดเสียทุกอย่าง อาจจะใช่ที่ซันเปลี่ยนไปมาก แต่ทว่าสิ่งหนึ่งที่เขาไม่เคยเปลี่ยนเลยนั่นก็คือ ความรักและความเอ็นดูที่เขามอบให้แก่ผม ผมเป็นลูกคนเดียวและไม่เคยมีพี่น้อง เพราะฉะนั้น ซันจึงเป็นคนๆเดียวที่ดุและสั่งสอนผมได้ในแบบพี่ชายกับน้องชาย และแน่นอน ว่าเขายังคงอ่อนโยนกับผมมากด้วย มันก็ใช่ที่บางทีเขาก็เป็นคนดุและจริงจัง แต่สิ่งนั้นมันกลับยิ่งทำให้ผมรู้สึกชื่นชมเขามากยิ่งขึ้นไปอีก เพราะไม่ว่ากี่ครั้งที่ผมได้อยู่ใกล้ๆกับเขา ผมก็จะรู้สึกอบอุ่นและพึ่งพาเขาได้ตลอดเวลา และไม่ใช่แค่ผมรู้สึกไปเองเท่านั้น เพราะซันก็คอยปกป้องดูแลผมอยู่ตลอดเวลาจริงๆ เขาไม่ใช่แค่เพื่อนเล่นของผม แต่ผมยังรู้สึกว่าเขาเป็นพี่ชายของผมที่ผมต้องเคารพและนับถือเขาอีกด้วย

หลังจากกลับมาอังกฤษจากการไปเยี่ยมที่ประเทศไทยและได้เห็นความเปลี่ยนแปลงครั้งนั้นของซัน ผมก็บอกกับตัวเองไว้ว่าผมจะต้องโตขึ้นเป็นผู้ชายแบบซันให้ได้ เป็นผู้ชายที่เข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว แต่ก็อ่อนโยน และเป็นที่พึ่งพิงให้แก่คนที่อายุน้อยกว่าได้ และหลังจากนั้นเป็นต้นมา ทุกครั้งที่ผมมีโอกาสได้กลับไปเยี่ยมซัน ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปมากแค่ไหน ไม่ว่าผมจะรู้สึกว่าผมโตขึ้นมากเพียงใด ผมก็จะยังคงมองเห็นแต่แผ่นหลังของเขาอยู่ตลอด เขาสอนให้ผมรู้ว่า ไม่ว่าผมจะคิดว่าตัวเองโตขึ้นมากขนาดไหน แต่แท้จริงแล้วผมมันก็ยังคงเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆคนหนึ่งเท่านั้นเอง

ทุกๆปีทุกๆครั้งที่ผมกลับไปที่นั่น ผมก็จะเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของเขาไปเรื่อยๆ เขาดูดีขึ้นมากจริงๆ จนเมื่อผมโตพอที่จะเรียนรู้อะไรบางอย่างข้างในตัวของผมแล้ว ความรู้สึกหลงใหลและชื่นชมก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความรัก ผมรู้สึกว่าตัวเองหลงรักพี่ชายคนนี้เกินคำว่าพี่ไปแล้วก็เมื่อตอนผมอายุได้สิบเอ็ดปี

แน่นอนว่าชีวิตของผมเองนั้นก็ไม่ได้มีแต่ซันหรอก เมื่อผมอายุสิบสองผมก็มีจูบแรกกับเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักคนหนึ่งที่ชื่อ โอลิเวีย หลังจากนั้นผมเมื่อตอนผมอายุสิบสามผมก็ยังได้คบกับเด็กคนหนึ่งที่ชื่อ แซนดร้า อีกด้วย ตอนนั้นผู้ใหญ่หลายๆคนรวมทั้งพ่อและแม่ของผมต่างก็คิดว่ามันเป็นเพียงปั๊ปปี้เลิฟ แต่ผมไม่คิด ผมเชื่อว่านั่นคือความรักจริงๆ ถึงแม้ว่าในส่วนลึกของจิตใจของผมมันจะบอกผมว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการและตามหาอยู่........ หลายครั้งที่ผมได้สัมผัสตัวและจูบกับผู้หญิงคนอื่น ผมก็มักจะนึกไปถึงใบหน้าของซันและสงสัยว่ารสสัมผัสของเขานั้นจะเป็นยังไง และผมจะรู้สึกอย่างไรนะ ถ้าคนที่โอบกอดผมอยู่นั้นไม่ใช่ผู้หญิงคนนี้แต่เป็นพี่ชายของผมที่ผมรู้สึกอบอุ่นและถูกปกป้องทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้กับเขา

ตลอดสองสามปีนั้นผมได้เจอกับซันอีกเพียงสามสี่ครั้ง และทุกครั้งที่ผมกลับมาอังกฤษผมก็จะรู้สึกสับสนทุกครั้งไป จนกระทั่งวันหนึ่งผมได้ข่าวจากทางประเทศไทยว่าซันประสบอุบัติเหตุถูกรถชน ถึงพวกเขาจะบอกว่าซันไม่เป็นอะไรมากแล้ว แต่นั่นมันทำให้ผมรู้ตัวได้ทันทีว่าผมรักและต้องการเขามากแค่ไหน ผมอยากจะอยู่กับเขา ผมเป็นห่วงเขา และผมกลัวว่าสักวันผมจะสูญเสียเขาไปทั้งๆที่เรายังต้องอยู่ห่างไกลและเขายังไม่เคยได้รู้เลยว่าผมรักเขามากเพียงใด...........

และนั่นทำให้ผมเลิกคบกับแซนดร้า และไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิง...... หรือแม้แต่ผู้ชายคนไหนอีกเลย

สองปีถัดมาผมโตขึ้นมาก มีคนหลายคนเข้ามาพูดคุยกับผมเพื่อจุดประสงค์ส่วนตัวของพวกเขา ไม่ว่าจะต้องการแค่ร่างกายหรือแม้แต่จิตใจของผม แต่ว่าผมไม่เคยให้พวกเขาได้ล่วงล้ำผมมากไปกว่าการจูบเลย ผมพยายามจะลองคบหากับคนอื่นแต่ผมก็ทำไม่ได้ เมื่อผมลองปล่อยให้ตัวเองได้มีความสัมพันธ์กับใครคนใดถึงแค่ในระดับหนึ่ง และหลังจากแค่การจูบ ผมก็ไม่เคยถลำลึกไปมากกว่านั้นอีก ผมไม่เคยตกหลุมรักใคร นั่นเป็นเพราะว่าผมไม่สามารถสัมผัสได้ถึงสิ่งที่ผมเฝ้าใฝ่หาและเฝ้ารอคอยได้เลยแม้สักครั้งจากสักคน....... ผมเฝ้ารอคอยคนที่จะมาเติมเต็มผมได้อยู่จริงๆ

ไม่ถึงหนึ่งปีถัดมา ซันก็มาเรียนต่อที่อังกฤษ ผมดีใจมาก ดีใจจริงๆ ดีใจที่ในที่สุดผมก็จะได้เจอเขาบ่อยขึ้นและได้ใช้เวลาอยู่กับเขาในแบบที่ผมเคยทำเมื่อตอนผมยังเป็นเด็กอีกครั้ง แต่ทว่าซันที่ผมพบนั้นกลับเป็นคนละคนกับที่ผมเคยมีภาพของเขาเอาไว้อยู่ในจินตนาการอย่างสิ้นเชิง ภายนอกเขาดูดีมากก็จริง แต่ทว่าเขาก็ดูเศร้าและบอบบางอย่างที่สุด และที่ยิ่งไปกว่านั้นนั่นก็คือ ผมรู้สึกว่าเขานั้นอ่อนแออย่างไม่น่าเชื่อ มันช่างขัดกับหน้าตา บุคลิก และการแสดงออกของเขาจริงๆ เขาทำตัวเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาทำตัวเหมือนเขาปกติดีทุกอย่าง แต่หลายครั้งที่ผมได้อยู่ใกล้กับเขา หรือแม้แต่ทุกครั้งที่เขาอยู่คนเดียวและผมบังเอิญไปพบเข้า เขาจะดูเหงา เศร้า และน่าสงสารมาก........... ภาพของพี่ชายคนที่เคยเข้มแข็งและเป็นที่พึ่งให้แก่ผมได้นั้นดูราวกับจะจากผมไปแล้ว แต่ผมก็ไม่ได้เลิกรักเขาเลย กลับกัน คราวนี้ผมกลับรู้สึกว่ามันเป็นหน้าที่ของผมบ้างแล้วที่จะตอบแทนความรักความเอ็นดูที่เขาเคยมอบให้แก่ผมตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา

โชคดีที่ผมเป็นคนยิ้มเก่ง และผมคิดว่าบางทีอาจจะเป็นรอยยิ้มของผมนั่นเองที่ช่วยฟื้นฟูสภาพจิตใจเขาได้บ้าง ผมเริ่มเห็นรอยยิ้มและได้ยินเสียงหัวเราะของเขาที่มาจากภายในจริงๆไม่ใช่แค่เพียงฉาบหน้ามากขึ้น ผมสงสัยว่ามันจะดีหรือไม่ถ้าผมบอกเขาออกไปซะว่าผมคิดยังไงกับเขากันแน่ ผมรักเขามากจริงๆ และผมก็ไม่อยากจะเก็บความรู้สึกเหล่านี้เอาไว้นานเกินกว่านั้นแล้ว เพราะผมรู้ว่าถ้าเรายังเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ สักวันผมคงต้องระเบิดออกมาเพราะความอัดอั้นแน่ๆ........

ผมรู้ว่ามันเป็นความรักที่ต้องห้ามและเป็นไปไม่ได้ และผมก็ไม่รู้ด้วยว่าซันนั้นชอบผู้ชายรึเปล่า แต่เมื่อดูจากสิ่งที่ซันปฏิบัติกับผมและช่วงเวลาที่เราอยู่ด้วยกันแล้ว ถึงผมไม่อยากจะคิดเข้าข้างตัวเอง แต่ผมก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าผมคงจะพอมีความหวังอยู่บ้าง..........

จนกระทั่งสี่เดือนถัดมา.......... วันที่ผมมีโอกาสได้พูดมันออกไปก็มาถึง

วันนั้นผมกับซันนั่งเล่นกันอยู่ที่ห้องนั่งเล่นที่บ้านของเขา เรากำลังนั่งดูทีวีและก็พูดคุยกันถึงเรื่องต่างๆทั่วไป มีเสียงหัวเราะและรอยยิ้มมากมาย และสุดท้ายหัวข้อสนทนาก็วกเข้ามาถึงเรื่องหนึ่งที่ผมสงสัยมาตลอด

“นี่ ซัน ทำไมพี่ถึงตัดสกินเฮดอยู่ตลอดเลยล่ะ ไม่คิดจะเปลี่ยนเป็นทรงอื่นบ้างรึไง...... แบบว่า ผมก็อยากเห็นน่ะนะ” ผมถามเขา

รอยยิ้มที่มีอยู่บนใบหน้าของเขามาตลอดที่เราคุยกันเหือดหายไปแทบจะทันที ซันยกมือขึ้นลูบบนหัวของตัวเองช้าๆจากนั้นก็หันหน้าหนีไปทางอื่น เขาเงียบไปสักพักจนผมเริ่มรู้สึกไม่ดีและกำลังคิดจะเปลี่ยนหัวข้อคุย แต่จู่ๆเขาก็หันกลับมาสบตากับผมอีกครั้ง

“มันเป็นทรงที่คนที่พี่เคยรักมากชอบน่ะ” เขาตอบ และไม่มีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าเลย “ไม่สิ........ ต้องพูดว่า ‘คนที่พี่รัก’ ชอบต่างหาก”

ผมถึงกับอึ้งไปชั่วขณะหนึ่งและไม่อยากจะยอมรับความจริงที่ผมเพิ่งได้ยินออกมาเลย เขาเพิ่งแก้ไขจากคำว่า ‘เคยรัก’ เป็น ‘รัก’ นั่นแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าเขานั้นยังรู้สึกอย่างไรกับคนๆนั้นอยู่ และที่สำคัญประโยคเมื่อกี๊อาจจะเป็นคำตอบที่ผมสงสัยมาตลอดด้วยว่าตอนแรกๆที่เขามาถึงที่นี่ ทำไมเขาถึงได้มีสภาพจิตใจเช่นนั้น แปลว่าความเศร้าความทุกข์ของเขาในตอนนั้นมันไม่ใช่แค่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงที่เข้าต้องจากบ้านและจากเพื่อนของเขามาเท่านั้นสินะ....... แต่มันเป็นความเศร้าที่เขาต้องจาก ‘คนรัก’ ของเขามาด้วย.........

ผมเริ่มจะรู้สึกขึ้นมาแล้วว่าผมกำลังจะเสียเขาไป........ มันเป็นความกลัวคนละอย่างกับเมื่อตอนที่ผมรู้ว่าเขาถูกรถชน แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดผมจึงรู้สึกว่าความรู้สึกตอนนี้นั้นมันช่างน่ากลัวกว่าเมื่อหลายปีก่อนนี้มากจริงๆ

เราสองคนเงียบกันไปอยู่ครู่หนึ่ง บางอย่างในใจของผมบอกผมว่าผมควรจะถามต่อสิ ผมควรจะอยากรู้ว่าในใจของเขานั้นเป็นอย่างไรและมันจะมี ‘ที่ว่าง’ เหลือให้สำหรับผมบ้างหรือไม่ แต่อีกใจก็บอกผมว่าประโยคที่เขาเพิ่งพูดออกมาเมื่อครู่นั้นมันก็ชัดเจนมากพออยู่แล้ว ผมไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องหาเรื่องเจ็บปวดอีก

“แล้ว........ ตอนนี้พี่ยังรักเขาอยู่รึเปล่า” ผมหลุดถามออกไปโดยที่ไม่รู้ตัว เพราะจริงๆผมก็รู้คำตอบนั้นดีอยู่แล้ว

ซันพยักหน้าช้าๆให้กับผม “รักสิ รักมากด้วย แต่ว่าจนถึงตอนนี้มันก็คงทำอะไรไม่ได้อีกแล้วล่ะ ทุกอย่างมันสายเกินไปแล้ว และบางที....... ไม่รู้สินะ มันอาจจะจบลงไปแล้วก็ได้”

เราสองคนสบตากันและกัน และผมแทบจะหัวใจสลายเมื่อเห็นแววตานั้นของเขา แววตาที่เต็มไปด้วยความเศร้าและสะท้อนความอ่อนแอจากภายในจิตใจของเขาออกมาอย่างชัดเจน

ถึงแม้ประโยคที่เขาพูดออกมานั้นจะแปลว่าผมเองก็คงมีโอกาสได้เอื้อมไปถึงหัวใจของเขาได้ แต่ผมกลับไม่รู้สึกยินดีเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่เลย..........

“มัน....... มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ครับ” ผมถามเขา ไม่ใช่เพราะความอยากรู้อีกต่อไป แต่หากเป็นเพราะความห่วงใยต่างหาก ผมมีความรู้สึกลึกๆว่าเขาเองก็คงอยากจะระบายมันออกมาบ้างเช่นกัน

ซันนิ่งเงียบไปพักหนึ่งเหมือนจะชั่งใจว่าควรจะพูดออกมาดีหรือไม่ แต่สุดท้ายเขาก็หันมาสบตากับผมอีกครั้ง เราสองคนนั่งห่างกันไม่มาก และคราวนี้ ผมก็สามารถเห็นซันคนเดิมได้ชัดเจน ซันคนที่ผมเคยชื่นชมและเคารพนับถือเมื่อตอนผมเป็นเด็ก....... สายตาที่ทะลุทะลวงราวกับไม่มีใครสามารถที่จะโกหกเขาได้เลย

“ทำไมไคล์ถึงอยากรู้เรื่องนี้ล่ะ” เขาถาม

“ผม........ ผม” ผมอ้ำอึ้ง บางทีอาจจะเป็นเพราะผมเองก็คงยังไม่รู้ตัวเองเหมือนกันก็ได้ “ผมเป็นห่วงพี่น่ะสิครับ ผมเห็นพี่ดูเศร้าแล้วก็ไม่มีความสุขเลยตั้งแต่ที่พี่มาถึงที่นี่ใหม่ๆแล้ว....... และ คือ ผมก็อยากจะรู้ด้วยว่ามันเคยเกิดอะไรขึ้นกับพี่มาบ้าง” ผมตอบออกไปตามความเป็นจริง “แต่ถ้าพี่ไม่อยากบอกก็ไม่เป็นอะไรนะครับ ผมเข้าใจ”

ซันยังคงมองตาของผมอยู่ แววตาแบบนั้นของเขายังคงไม่หายไป

“พี่จะตอบคำถามของไคล์ทุกอย่างถ้าไคล์ตอบคำถามพี่มาตามความเป็นจริงเช่นกัน” เขาพูด

“ครับ” ผมตอบกลับ รู้สึกหวั่นเกรงสายตาของเขาเล็กน้อย “แต่ซัน พี่ก็รู้ว่าผมไม่เคยโกหกพี่เลยสักครั้งเดียวในชีวิต ใช่มั๊ยครับ”

เขาพยักหน้าและมีความอ่อนโยนฉายอยู่ในแววตาคู่นั้นเพิ่มขึ้นมาอีกเล็กน้อย “ใช่ และพี่เองก็ไม่เคยโกหกไคล์เลยสักครั้งเหมือนกัน ไคล์คือน้องชายคนเดียวของพี่ แล้วพี่ก็รักเรามากด้วย แต่ไคล์แน่ใจนะ ว่าพร้อมที่จะตอบคำถามของพี่จริงๆ”

“ครับ ผมแน่ใจ” ผมยืนยัน สายตาของผมก็จับจ้องไปยังดวงตาสีดำเข้มอันแน่วแน่คู่นั้นเช่นกัน เราเงียบกันไปครู่หนึ่งก่อนที่ซันจะพูดประโยคที่แทบจะทำให้หัวใจของผมหยุดเต้นไปชั่วขณะออกมา

“ไคล์คิดยังไงกับพี่กันแน่” เขาถามสั้นๆ แต่มันกลับทำให้ผมชาไปทั้งตัว

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 21-09-2007 21:00:55
ผมรู้สึกว่าร่างกายของผมเริ่มสั่นเทาขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าของผมก็ร้อนผ่าวจนผมไม่สามารถสบตากับเขาอีกต่อไปได้ หัวใจของผมเต้นแรงและสมองของผมก็เหมือนกับจะหยุดทำงานไปชั่วขณะหนึ่ง ผมรู้สึกว่าน้ำตาของผมมันเริ่มไหลเอ่อรื้นขึ้นมาที่ขอบตาพร้อมๆกับความจริงที่ถูกเก็บไว้มานาน และบัดนี้มันกำลังจะถูกพูดออกไปแล้ว

“ผมรักพี่ครับ........” ผมตอบ ไม่สามารถควบคุมเสียงของตัวเองไม่ให้สั่นได้ น้ำตาของผมมันเริ่มจะไหลออกมาโดยที่ผมไม่สามารถจะห้ามมันได้เช่นกัน “รักมากกว่าความเป็นพี่เป็นน้องด้วย......... ผมรักพี่ เคารพพี่ แล้วก็อยากจะให้พี่รักผมแบบที่ไม่ใช่แค่น้องชายด้วยเหมือนกัน......... ผมรู้ว่าผมไม่ควรจะคิดแบบนั้น ผมรู้ว่าผมไม่ควรจะรู้สึกแบบนั้น แต่ผมก็ห้ามตัวเองไม่ได้จริงๆ ผมทำอะไรไม่ได้เลย.........” ผมก้มหน้าแล้วเริ่มสะอื้น น้ำตาที่ไหลออกจากดวงตาของผมค่อยๆหยดลงบนพื้นช้าๆ

ซันนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืน ผมคิดว่าเขาคงจะเดินเลยผมแล้วหนีขึ้นห้องไปเลยเสียอีก แต่ทว่าเท้าของเขากลับมาหยุดอยู่ตรงหน้าของผม จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกมา ผมสะดุ้งจนสุดตัวเพราะคิดว่าเขาจะต่อยหรือตบผมหรือทำอะไรสักอย่าง อะไรที่เขาจะทำเพื่อระบายความโกรธและความเกลียดในตัวของผม ในตัวน้องชายที่มันเป็นเกย์คนนี้ออกมา แต่ทันใดนั้นเอง เขากลับวางมือลงบนแก้มของผมอย่างอ่อนโยนแล้วค่อยๆดันให้ผมเงยหน้าขึ้นช้าๆจนกระทั่งผมสบตากับเขา

“ไม่เป็นไร ไคล์ พี่เข้าใจ” แววตาของซันเปลี่ยนไปแล้ว จากสายตาแน่วแน่ทะลุทะลวงที่ต้องการความจริงทุกอย่าง เปลี่ยนเป็นสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความอบอุ่น ความรัก และความอ่อนโยน แต่มันกลับทำให้ผมยิ่งไม่สามารถที่จะกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้มากขึ้นไปอีก

“ผม....... ผมขอโทษ........ ซัน พี่จะเกลียดผมมั๊ย......... ผมขอโทษจริงๆครับ ผมขอโทษ.......” ผมสะอื้นอย่างห้ามตัวเองไม่ได้

ซันดึงตัวผมเข้าไปกอดและวางหน้าของผมลงบนหน้าอกของเขา เขาเอามือลูบหัวของผมช้าๆเหมือนเมื่อครั้งตอนที่ผมเป็นเด็กๆ และผมก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่ผมเฝ้าค้นหามาตลอด ณ ชั่วเวลานั้นเอง

“ก็บอกว่าไม่เป็นอะไรไง ไคล์ เลิกร้องไห้ได้แล้ว ไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ” เขาบอกผมโดยไม่มีน้ำเสียงแสดงคำสั่งเลยแม้แต่น้อย หากแต่เป็นความอ่อนโยนและความอบอุ่นที่ผมไม่ได้รู้สึกและไม่ได้สัมผัสมานานแสนนานเหลือเกิน “พี่ต่างหากที่ต้องขอโทษที่พี่ไม่สามารถตอบรับความรู้สึกนั้นของไคล์ได้.........”

ผมพยายามกลั้นน้ำตาแล้วดันตัวเองออกมาสบตากับเขาอีกครั้ง

“ผมรู้ครับ....... พี่ยังรักคนรักของพี่อยู่ และพี่ก็ไม่ใช่เกย์ด้วย พี่ไม่มีทางคิดอะไรกับผมหรอก” ผมพูดออกไป

“ผิดแล้ว” เขาตอบ

ผมมองหน้าเขาด้วยความประหลาดใจ เราสองคนมองตากันและกันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ซันจะใช้นิ้วเช็ดน้ำตาให้ผมแล้วเดินกลับไปนั่งที่เดิมอีกครั้ง แต่คราวนี้เขานั่งหันหน้ามาทางผมทั้งตัวแล้ว

“พี่........ พี่จะบอกพ่อกับแม่ของผมหรือคนอื่นๆมั๊ย....... ว่า ว่าผมเป็นเกย์น่ะครับ” ผมถามเขา แต่แทบจะไม่ได้ยินเสียงของตัวเองออกมาเลยด้วยซ้ำ

ซันส่ายหน้าช้าๆ “ไม่หรอก......... ถ้าไคล์ไม่บอกคนอื่นเรื่องของพี่เหมือนกัน”

ผมแน่ใจเลยว่าเขาต้องเห็นสีหน้าประหลาดใจของผมแน่ เพราะว่าเขาหัวเราะในลำคอออกมาเบาๆ แต่ไม่มีอะไรในใบหน้าของเขาที่บ่งบอกว่ามันเป็นเรื่องตลกเลย

“ใช่...... พี่บอกแล้วไงว่าไคล์เข้าใจผิดแล้ว เรื่องแรกก็คือ พี่ไม่คิดกับเราแบบนั้น พี่ไม่สามารถรักเราแบบที่เราต้องการได้ก็เพราะว่าเราน่ะเป็นน้องของพี่ ไคล์ เราน่ะโตขึ้นมากจริงๆนะ โตมาเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดี มีเสน่ห์ และยังตัวใหญ่กว่าพี่เสียอีก แต่ว่าถึงยังไงพี่ก็ยังคงเห็นเราเป็นเด็กตัวเล็กๆคนที่เคยขี่หลังพี่เหมือนเมื่อก่อนอยู่ดีนั่นแหละ พี่รักเรามากก็จริง แต่ยังไงๆมันก็ไม่สามารถที่จะเกินเลยไปกว่านั้นได้........ ใช่ พี่พยายามที่จะไม่ให้มันเกินเลยไปกว่านั้นจริงๆ” เขาอธิบายด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนกับเขากำลังเอามือมาบีบและบิดหัวใจของผมเพื่อคั้นเอาเลือดหยดสุดท้ายออกมา

“ผมเข้าใจครับ......” ผมตอบกลับไป ไม่สามารถบังคับน้ำเสียงของตัวเองไม่ให้ฟังดูเหมือนผมกำลังเศร้าใจหรือเสียใจอยู่ได้

ซันมองหน้าผมด้วยแววตาที่ทำให้ผมรู้สึกว่าเขาเองก็คงไม่สบายใจเช่นกัน “แต่เรื่องนั้นมันยังไม่สำคัญเท่าไหร่หรอก....... เพราะว่าอย่างที่ไคล์เข้าใจนั่นแหละ ใช่แล้ว พี่ยังรักคนที่พี่เคยรักอยู่......... เพียงแต่ว่าคนที่พี่รักคนนั้นก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน”

ผมนั่งมองซันด้วยความตกใจ ไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ผมเพิ่งได้ยินมาแม้แต่น้อย

“ว่ายังไงนะครับ” ผมถาม

“ใช่ พี่เองก็เป็นเกย์........ ไม่รู้สิ อย่างน้อยๆพี่ก็คิดว่าน่าจะเป็นแบบนั้นน่ะนะ แต่พี่ไม่เคยมีความรู้สึกให้กับผู้ชายคนไหนเหมือนกับคนๆนี้เลย”

“ซัน..... งั้นพี่ก็.......”

“ก็คงอย่างนั้นแหละ..........” เขาถอนหายใจเบาๆ “เอาล่ะ พร้อมจะฟังเรื่องของพี่รึยังล่ะ ยังจะอยากรู้อยู่มั๊ยว่าพี่กับเขาคนนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง และทำไมพี่ถึงยังไม่คิดจะไปรักใครคนอื่นในตอนนี้อีกเลย” เขาถาม

ผมพยักหน้าช้าๆ ตอนนี้ผมไม่สนใจ ไม่คิด หรือไม่ได้นึกถึงอะไรอย่างอื่นอีกแล้วนอกจากความอยากรู้ว่าเคยเกิดเรื่องราวอะไรขึ้นกับซันในอดีตมาบ้าง อยากรู้ว่าเรื่องอะไรและใคร ที่สามารถทำให้พี่ชายผู้เข้มแข็งของผมคนนี้เปลี่ยนแปลงไปได้มากถึงเพียงนี้

“คนที่พี่รัก........ พี่คิดว่าเผลอๆเขานั่นแหละที่เป็น ‘รักแรก’ ของพี่ด้วยซ้ำ และเขายังเป็นคนที่ช่วยชีวิตพี่เอาไว้อีกด้วย เขามีชื่อว่าเมฆ.............” ซันเริ่มต้นเล่าเรื่องทั้งหมด

ผมนั่งฟังซันเล่าอย่างตั้งใจ และแทบจะไม่ได้พูดอะไรแทรกออกไปเลย เขาเล่าเรื่องทั้งหมดออกมาราวกับว่าเขากำลังระบายมันออกมามากกว่า และก็น่าจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะขณะที่เขากำลังระบายความในใจทั้งหมดของเขาที่เขาคงเก็บมันเอาไว้มานานและไม่สามารถพูดออกมากับใครได้นั้น น้ำใสๆก็เริ่มหยดลงมาจากตาของเขาทีละน้อย บางครั้งเขาก็ห้ามมันเอาไว้ได้ แต่เมื่อจนถึงท้ายที่สุดแล้ว เขาก็ร้องไห้ออกมาโดยที่ไม่คิดจะห้ามมันเอาไว้อีกต่อไป

ผมเดินเข้าไปหาเขาแล้วกอดเขาเอาไว้ในอ้อมแขน เมื่อผมทำแบบนี้แล้วมันทำให้ผมรู้สึกว่าผมนั้นเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหนจริงๆ จากเด็กตัวเล็กๆที่เคยอยู่ในอ้อมแขนที่ดูแข็งแรงของเขา บัดนี้ผมโตขึ้นมาก ผมสูงกว่าเขาเล็กน้อยและยังมีกล้ามเนื้อมากยิ่งกว่าเขาอีกด้วย ผมไม่ใช่เด็กตัวเล็กๆอีกต่อไปแล้ว และตอนนี้ผมก็กำลังสวมกอดพี่ชายอันเป็นที่รักของผมเอาไว้และปล่อยให้เขาได้ระบายความรู้สึกออกมาอย่างเต็มที่ ตอนนี้ผมได้สัมผัสกับความอบอุ่นของเขาอีกครั้ง แต่ทว่าคราวนี้ความรู้สึกมันเปลี่ยนไป มันเป็นความรู้สึกที่บอกว่าผมเองก็โตขึ้นและสามารถเป็นที่พึ่งพิงให้แก่คนอื่นได้เช่นกัน และคนที่ผมกำลังปกป้องและปลอบโยนเขาอยู่ในตอนนี้นั้นก็คือพี่ชายของผมนี่เอง....... เมื่อคิดอย่างนั้น น้ำตาของผมมันจึงเริ่มไหลออกมาอีก

ขณะที่ผมฟังเขาเล่าเรื่องทั้งหมดนั้นผมก็บอกและเตือนตัวเองเอาไว้ไม่ให้ร้องไห้ออกมาและพยายามทำใจกับสิ่งที่ผมกับเขาจะเป็นต่อไปในอนาคตให้ได้ ใช่แล้ว....... ผมกำลังยอมรับความจริงในใจอยู่เงียบๆ แต่ทว่าน้ำตาที่ถูกอดกลั้นมานานนั้นก็ไม่สามารถถูกห้ามอีกต่อไปได้ เขากำลังอ่อนแอ....... พี่ชายของผมกำลังอ่อนแอและบอบบางอย่างที่สุด และผมก็ไม่สามารถทำอะไรให้เขาได้เลย ผมไม่สามารถทำอะไรให้เขาหายจากความเศร้าที่กัดกินหัวใจของเขานี้ได้เลยแม้แต่นิดเดียว

เรื่องราวทั้งหมดที่ผมได้ฟังมามันเป็นคำตอบสำหรับทุกๆสิ่ง มันชัดเจนอย่างที่ผมไม่ต้องแปลหรือพยายามจะตีความอีกต่อไป ถึงผมจะเสียใจที่ผมคงไม่มีวันได้เข้าถึงหัวใจของผู้ชายคนนี้แน่ๆแล้ว แต่ผมก็ดีใจ ที่เขายังคงนั่งอยู่ตรงนี้กับผม และผมรู้ว่าความรักของเขาที่มีให้กับผมนั้นก็จะยังคงอยู่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง...........

ซันร้องไห้เบาๆต่ออีกไม่นาน จากนั้นเขาก็ดันตัวเองออกแล้วก็เช็ดน้ำตาด้วยปลายแขนเสื้อเบาๆ

“ขอโทษที พี่ไม่น่าทำตัวอย่างนั้นเลย” เขาบอกผม

“ไม่หรอกครับ ผมต่างหากที่ต้องขอโทษ” ผมเองก็เช็ดน้ำตาของตัวเองเช่นกัน

“ไคล์เข้าใจใช่มั๊ย ว่าเพราะอะไรพี่ถึงไม่คิดจะมีความรู้สึกอย่างอื่นให้กับใครได้เลย........ แม้แต่กับไคล์”

“ผมเข้าใจครับ........” ผมพยักหน้าช้าๆ “แต่ผมรักพี่มากจริงๆนะ..... ผมอยากให้พี่มีความสุขและอยากจะเป็นคนที่ทำให้พี่ลืมเขาให้ได้ แต่ผมรู้ว่าพี่ไม่อยากจะลืมเขาหรอก ผมเองก็ไม่อยากให้พี่ลืมเขาด้วยเหมือนกัน ผมคงทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว...... มันคงจะเจ็บนะครับ แต่ผมก็จะทนต่อไป........ ผมเองก็ไม่รู้ว่าผมควรจะทำยังไงต่อไปดี ผมไม่คิดว่าผมจะทำใจได้เร็วขนาดนั้นด้วย....... คือ........ ผมไม่อยากจะทำให้พี่ลำบากใจหรอกนะครับ แต่ว่า.........แต่ว่า ผมเองก็คงจะยังรู้สึกรักพี่แบบนี้อยู่ต่อไปเรื่อยๆแน่ๆ..........” ผมบอกเขาไปอย่างที่ผมคิด ไม่แน่ใจว่าเขาจะเข้าใจในคำพูดวกๆวนๆของผมมั่งหรือเปล่า

ซันไม่ตอบอะไรกลับมานอกจากพยักหน้าออกมาช้าๆ

“ซันไม่ว่าอะไรเหรอ ไม่ลำบากใจเหรอกับเรื่องนั้น.....” ผมถามเขา

“แน่นอน ลำบากใจสิ แต่พี่พูดตรงๆนะ........ ถ้าเราไม่ใช่พี่น้องกันและถ้าเราได้เจอกันเร็วกว่านี้ล่ะก็........” เขาถอนหายใจและไม่ได้พูดต่อประโยคจนจบ เราสองคนเงียบกันไปอีกพักหนึ่งจากนั้นเขาจึงเริ่มต้นพูดต่อ “แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ พี่รักเมฆมาก พี่รักมันมากจริงๆ และพี่ไม่คิดว่าจะมีใครมาแทนที่เขาได้ด้วย......... อย่างน้อยๆพี่ก็ยังไม่ตัดใจในเรื่องนี้ พี่ยังไม่ตัดใจในความรักของพี่ พี่คิดอยู่เสมอว่าสักวัน พี่คงทำอะไรได้บ้าง และทรงผมของพี่ก็คือสิ่งที่ยืนยันและเตือนใจพี่ในเรื่องนั้นมาตลอด พี่จะเปลี่ยนไปไว้ผมทรงอื่นก็ต่อเมื่อเขาบอกพี่ด้วยตัวเองเท่านั้น”

“ถ้าผมมีคนที่รักผมได้แบบที่ซันรักเขาคนนั้นล่ะก็ ผมคงต้องดีใจมากแน่ๆ” ผมพูดแล้วยิ้มออกมาเล็กน้อย

ซันส่งยิ้มอย่างอ่อนโยนมาให้แก่ผม เขาช่างเปลี่ยนไปมากจริงๆ........ เขาในตอนนี้ดูราวกับเป็นซันที่อ่อนโยนกว่าเมื่อปีก่อนๆเยอะมากทีเดียว และผมก็มีความเชื่อลึกๆอยู่ในใจว่าคงต้องเป็นเพราะเขาคนนั้นแน่ๆที่มีอิทธิพลต่อผู้ชายคนนี้ได้มากมายถึงเพียงนี้

“มีสิ เชื่อพี่ว่ามันจะต้องมีแน่ๆ......... แต่ตอนนี้พี่อยากให้เราสองคนเป็นแค่พี่และน้องกันเท่านั้น เข้าใจมั๊ย เพราะยังไงๆระหว่างเรามันก็เป็นไปไม่ได้อยู่ดี”

“ผม........ ผมจะพยายามครับ” ผมตอบเขากลับไป “แต่ว่า........ ผมก็ไม่รู้ว่าผมจะทำได้ขนาดไหนนะครับ” ผมก้มหน้า

และอีกครั้งที่ซันใช้มือจับที่ใบหน้าของผมอย่างอ่อนโยนและเชิดมันขึ้นให้ผมสบตากับเขาอีกครั้ง คราวนี้เขามองผมด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหมายและไร้รอยยิ้มอยู่บนใบหน้า แต่ทว่าผมกลับรู้สึกได้ถึงความรักและความอบอุ่นที่ถูกแผ่ออกมาอย่างเต็มเปี่ยม

“สิ่งที่รู้แต่ไม่สามารถทำอะไรได้......... นั่นแหละคือความรัก น้องชาย”



(จบเรื่องเล่าของไคล์ตอนที่หนึ่ง – ตอนหน้า พรหมลิขิตของสายน้ำ)

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 21-09-2007 21:02:30


ทำไมเดี๋ยวนี้มีแต่ตอนยาวๆที่โพสลงครั้งเดียวไม่ได้ทั้งนั้นเลยหวา  :o

ปล. คิดถึงไอ้เบียร์  o7

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: chonrapee ที่ 21-09-2007 22:21:00
เพิ่งตามอ่านค้าบ ยาวจริงๆ แต่ก็จะพยายามอ่านจนจบนะค้าบผม o2 o2
หัวข้อ: Re: การเดินทางของŪ
เริ่มหัวข้อโดย: ninaprake ที่ 21-09-2007 23:09:25
ไม่ยาวจนเกินไหรอกคร้าบบบต้น  :m18:  แฟนๆหลายๆคนคงอยากให้ยาวววววกว่านี้ด้วยซ้ำ อิอิ

ดีจัง .... คราวนี้ได้มามอง ได้มารับรู้ความคิดความรู้สึกทางด้านของไคล์บ้าง .....

เหมือนกับการมองด้วยตาข้างเดียว มัน  ก็ทำให้เรารับรู้แค่กว้างและยาว หรือเป็นเพียงภาพ 2 มิติเท่านั้น หากแต่ถ้าเรามองด้วยตาทั้ง 2 ข้าง  ภาพที่เราเห็นก็จะมีทั้งกว้าง ยาว แล้วก็ลึก ... มันจะได้ ภาพที่ครบถ้วนสมบูรณ์ทั้ง 3 มิติ

... การมองรอบด้านจากทุกๆมุมและจากดวงตาทุกข้าง ทุกดวงก็ทำให้เราได้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นและมีมิติเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน ...... ตอนนี้ตัวละครหลักๆทุกตัวของต้นต่างก็มีมิติและความลึกซึ้งกันทั้งนั้น .... ดีจัง .... ยิ่งมีมุมให้เรามอง มีเหลี่ยมให้เราเห็นมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งเป็นการง่ายที่จะทำให้เราเข้าใจในตัวละครหรือ "คน" นั้นๆมากขึ้น และจะทำให้เราซาบซึ้งหรือ "อิน" ไปกับการอ่านได้มากขึ้น ...... 

มิน่า ยิ่งอ่านเรื่องของต้นยิ่งสนุกเนอะ อ่านไปก็อินไป ฉากที่เศร้าก็เป่าปี่เลยทีเดียว  :m30: (เออ...หมายถึงร้องไห้นะ ไม่ใช่ทำอย่างอื่น) ... ฉากที่  :m10: หุหุหุ ก็ทำให้เหนื่อยได้เลยนะ อิอิอิ   :m25:  o17

มาต่อรวดเร็วตามเคยนะ มาเป็นกำลังใจให้ค้าบบผม  :m4:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 21-09-2007 23:46:57
เห็นด้วยกะคุณบลูค่ะ ลงไม่ยาวหรอก อยากอ่านให้มากกว่านี้อีก
อ่านแล้วซาบซึ้งตลอดเลย  แสดงมุมมองความคิดของแต่ละคนได้อย่างละเอียดลึกซึ้งมาก
คือชอบอ่านเรื่องแบบนี้อ่ะ  อ่านแล้วอิน  ตอนเศร้าก็น้ำตาคลอ ตอนสุขก็นั่งอมยิ้ม
อยากให้เขียนเรื่องนี้ต่อไปเรื่อยๆ เขียนตอนเมฆกะซันเรียนมหาวิทยาลัย
แล้วทำงานต่ออีก คือเขียนเป็นไดอารีเลยละกัน ดีมั้ยต้น
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: ~Brand New Beat~ ที่ 22-09-2007 01:10:31
ไม่ได้เข้ามาอ่านไม่กี่วันเอง ก็มาลงเยอะแยะเลย

ไม่เป็นไรผมชอบ อิอิ นึกว่าจะไม่มีตอนเศร้าอีกแล้ว

ในที่สุดก็ยังมีจนได้  :o12:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 22-09-2007 09:04:23
ว้าว พรหมลิขิตของสายน้ำ ..... มากันครบเลย  :impress:  :impress:  :impress:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 22-09-2007 10:44:39
เพิ่งตามอ่านค้าบ ยาวจริงๆ แต่ก็จะพยายามอ่านจนจบนะค้าบผม o2 o2

ขอบคุณมากค้าบบบบ  o1 พยายามเข้าเน้ออ  :impress: รีบ่อยๆนะคับ เม้นหน่อย จะได้เอาไว้ปรับปรุงต่อ  o14


พี่น้ำค้างคับ ถ้าเกิดเขียนยาวขนาดนั้น ผมตายแหน่คับ 555  :m2:
แต่ยังไงก็ขอบคุณมากนะคับ ที่ชอบกัน  o14

วันนี้เอาเพลงมาแถม คลิกจิ (http://download.yousendit.com/CE6DD17970CC65B7) ฟังตอนอ่านเรื่องของพีก็ซึ้งโคด
และถ้าใช้ฟังในอีกสองตอนข้างหน้า ก็น่าจะทำให้อินและเข้าใจอารมณ์ของพีได้มากขึ้นอีกหนา
ซึ้งโคดดดดดดด โดนใจปฐพีสุดๆแล้วเนี่ย T__T

ปล. เนื้อเพลงหาได้ในกูเกิ๋นคับ  o13 เพลงเพราะจิงๆจัง แนะนำๆ

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 22-09-2007 15:57:47
ชอบยาวๆจะคุณต้น ลงยาวๆมะมีปัญหาในการอ่าน เอิ๊กๆๆ  :m11:  :m11:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 23-09-2007 03:25:28
:m17:   ได้อ่าน ความรู้สึกของไคล์แล้ว น่า สงสารเนอะ
แต่มันเป็นความรักที่บริสุทธิ์ ดีจัง ทำไมซินรู้สึกอย่างนั้นหว่า .. แหะๆ     :m23:

ดีแล้ว ไคล์ได้เจอคนดีๆ แบบ พี   น่ารักทั้งคู่ ชอบๆ     :m1:

ยาวๆชอบ ค่ะคุนต้นนุ่ม อิอิ 
ลงเท่าไหร่อ่านโม๊ดดดด      :m3:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: ~ScAreD:SAcreD~ ที่ 24-09-2007 14:50:46
 :m3: โอยยย ชอบจัง

นี่เราพลาดเรื่องนี้ไปได้ยังไงเนี่ย

ทั้งแอบยิ้ม ทั้งน้ำตาซึมไปกับเรื่องนี้หลายรอบมากๆ  :m1:

ชอบที่มีมุมของแต่ละคน ทุกอย่างที่ทำมันดูมีที่มาและมีเหตุผลสนับสนุนในสิ่งที่ทำ

ปลื้มมากมายครับ กับเรื่องนี้  :give2:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 24-09-2007 15:41:04
ตอนที่ 41 (เรื่องเล่าของไคล์ : พรหมลิขิตของสายน้ำ)


ในที่สุดผมก็ได้พบกับเขาคนนั้น........ คนๆเดียวที่สามารถครอบครองหัวใจของพี่ชายของผมไปได้

ก่อนหน้าที่เมฆ หรือ ศิลา จะมา ซันได้เข้ามาคุยกับผมเป็นครั้งสุดท้ายในเรื่องของเราสองคน และผมก็ต้องยอมรับว่า เวลามันช่วยได้จริงๆ บวกกับความรู้สึกลึกๆของผมที่มีมาตั้งนานแล้วว่าความรักครั้งนี้คงจะไม่มีวันได้สมหวัง ทำให้ผมไม่ได้คาดหวังและไม่เจ็บปวดกับผลลัพธ์มันมากนัก เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ผมรักซัน ผมได้บอกเขาออกไปแล้วว่าผมรักเขา และเขาเองก็ยังคงรักผมอยู่เช่นเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้น ผมจึงค่อนข้างจะสบายใจกับสถานะของตัวเองอยู่พอสมควร

แต่เมื่อถึงเวลาที่เขาคนนั้นใกล้จะมาเข้าจริงๆ ผมกลับรู้สึกกังวลและวุ่นวายใจอย่างบอกไม่ถูก ผมอยากเจอเขา แต่ผมก็กลัวว่าผมจะรับเขาไม่ได้ ผมรักพี่ชายของผมมาก และผมก็ไม่อยากจะยอมรับความเป็นจริงว่าคนๆนั้นคือคนที่เกิดมาเพื่อคู่กับเขา

วันแรกที่ผมได้เจอกับศิลานั้นเปิดตัวไม่ค่อยจะสวยนัก เพราะผมพบเขาสองคนกำลังนอนอยู่บนเตียงเดียวกัน ถึงแม้ผมจะเห็นมันแค่ไม่กี่วินาทีและค่อนข้างมั่นใจว่าเขาไม่ได้มีอะไรกัน แต่ผมก็รู้สึกว่าหัวใจของผมมันเต้นไม่เป็นจังหวะไปแล้ว.........

แต่เมื่อผมได้มานอนอยู่บ้านเดียวกับเขาสองคนเพื่อที่จะเตรียมตัวสำหรับการเดินทางไปแกรนด์ แคนยอน ผมก็ได้รู้จักนิสัยของศิลามากขึ้น ให้ตายสิ! ผมต้องยอมรับเลยว่าเขาเป็นคนดีมาก และเราสองคนก็เข้ากันได้ดีมากจริงๆ นอกจากหน้าตาของเขาแล้ว เขายังมีบุคลิกที่โดดเด่นอีกด้วย เขาเป็นคนร่าเริงและยิ้มเก่ง เขารักสนุกและเข้ากับคนอื่นได้ง่าย นอกจากนั้นเขายังเป็นคนที่มีมารยาทดีและเป็นคนที่เห็นอกเห็นใจคนอื่นมากอีกด้วย เขากับผมมีอะไรคล้ายกันหลายอย่างจริงๆ ทั้งเรื่องของความสนใจและเสียงหัวเราะ รวมถึงรอยยิ้มและทัศนคติ

ถึงแม้มันจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆเพียงไม่กี่วัน แต่ผมก็คิดว่าผมรู้จักนิสัยของเขาได้ค่อนข้างดีทีเดียว นั่นก็เพราะเขาเป็นคนที่เปิดเผยมาก และมันยังช่วยทำให้ผมทำใจในเรื่องของซันได้ดีขึ้นอีกด้วย

และสุดท้ายก็ถึงวันที่เขาต้องเปิดเผยความจริงออกมา ความจริงที่ผมเคยกลัวและเฝ้านึกถึงมาตลอด นั่นก็คือการที่เขาสองคนนั้นเคยมีอะไรกันไปแล้ว....... แต่ว่าผมก็ไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้นมากนักอย่างที่ผมเคยกลัว อาจจะเป็นเพราะผมก็เติบโตมากับสังคมที่เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่ค่อนข้างธรรมดาจริงๆ ถึงแม้ผมจะอดคิดไม่ได้ว่ามันจะรู้สึกยังไงนะถ้าคนๆนั้นไม่ใช่ศิลาแต่เป็นผม........ แย่แล้ว นี่ผมชักจะเพ้อเจ้อเกินไปซะแล้วสิ!

ถึงอย่างไรก็ตาม ผมก็รู้สึกเข้ากับเขาทั้งสองคนได้ดีมาก เวลาที่เขาอยู่ด้วยกัน ผมไม่รู้สึกถึงช่องว่างที่ทำให้ผมเป็นส่วนเกินเลย ศิลาปฏิบัติกับผมดีมากจริงๆ แต่บางครั้งผมก็อดคิดไม่ได้ว่าอาจจะเป็นเพราะซันยังไม่ได้บอกเขาในเรื่องของเราสองคนตอนก่อนที่เขาจะมาที่อังกฤษนั่นเอง และถ้าวันนั้นมาถึงเมื่อไหร่ ผมก็ไม่รู้ว่าเขาจะยังคงปฏิบัติกับผมได้ดีอย่างนี้อีกหรือเปล่า แต่ผมก็มีความมั่นใจในตัวเองว่าผมจะไม่ทำให้ซันต้องเดือนร้อนอย่างแน่นอน ไม่ใช่แค่เพื่อตัวของซัน แต่ยังเพื่อความสัมพันธ์ของผมกับศิลาอีกด้วย เพราะเขาก็เป็นเหมือนกับพี่ชายคนหนึ่งของผมไปแล้วเช่นกัน และเชื่อผมเถอะ ผมไม่เคยคิดอยากจะทำให้พวกเขาแตกแยกกัน ทะเลาะกัน หรือมีปัญหากันเลยจริงๆ............ นอกเสียจากผมอดที่จะมีข้อสงสัยบางอย่างในตัวของศิลาบ้างไม่ได้เท่านั้นเอง

และในที่สุดวันที่เราได้คุยกันเรื่องนี้ก็มาถึง........ เมื่อเรามาถึงแกรนด์ แคนยอนและได้อยู่กันตามลำพังอีกครั้ง แต่ทว่าครั้งนี้ต่างจากเมื่อครั้งที่ผมได้เล่นบาสกับเขาสองคนที่อังกฤษมาก เนื่องจากผมรู้สึกได้เลยว่าบรรยากาศของคนทั้งสองคนนั้นแปลกไปขณะที่เรากำลังขับรถมายังที่นี่กัน ผมรู้สึกว่าศิลามีเรื่องไม่ค่อยจะพอใจเท่าใดนัก และนั่นก็คงเป็นไปได้อยู่เพียงเรื่องเดียวเท่านั้น นั่นก็คือเรื่องของผมกับซันนั่นเอง........ แต่ทว่าผมไม่อยากจะเชื่อเลย ศิลาเป็นคนที่ดีมากเกินกว่าที่ผมคิดเอาไว้เสียอีก เขาไม่ได้ทำตัวแปลกหรือแสดงความไม่พอใจกับผมเลยแม้แต่นิดเดียว ตรงกันข้าม เขายังคงปฏิบัติกับผมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และไม่ใช่แค่ท่าทางภายนอกเท่านั้นด้วย ผมรู้สึกได้เลยว่าเขายังคงรู้สึกเช่นเดิมกับผมมาจากข้างในจริงๆ ส่วนระหว่างเขากับซัน เขาก็รับมือมันได้ดีมากๆเช่นกัน ผมไม่เห็นเขาทำท่าไม่พอใจหรือมีปากเสียงกับซันเลย นอกจากที่เขาดูมีท่าทางลำบากใจและเหมือนกับอยู่ในวังวนความคิดของตัวเองไปช่วงหนึ่งตอนอยู่บนรถเท่านั้นเอง......... ให้ตายสิ! ผมชื่นชมในตัวของผู้ชายคนนี้จริงๆด้วย ผมไม่สงสัยเลยว่าทำไมซันถึงได้รักเขานัก และมันก็ช่วยสอนให้ผมได้รู้ด้วยว่าความรักที่แท้จริงนั้นมันควรจะเป็นอย่างไร

ผมกับเขายืนอยู่กันสองคนบนริมผาของจุดชมวิวแห่งหนึ่ง....... เอาล่ะ.......จริงๆแล้วมันก็ไม่ใช่แค่เราสองคนเท่านั้นหรอก แต่ในช่วงเวลานั้นทั้งผมและเขาต่างก็คงรู้สึกว่ามีเพียงเราสองคนเท่านั้นในสถานที่แห่งนั้นไปแล้ว ลมที่โหมพัดแรงกระหน่ำเป็นเหมือนดั่งสัญญาณเตือนผมว่า ผมไม่ควรที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความรักของเขาสองคนนี้....... ความรักของท้องฟ้าและก้อนเมฆที่ไม่ใช่เรื่องของคนนอกอย่างผมจะเข้าไปแทรกแซงได้

ถ้าเขาคือก้อนเมฆ ซันคือท้องฟ้า ผมก็คือสายน้ำ......... ผมคงไม่สามารถที่จะเอื้อมมือไปสัมผัสเขาสองคนได้เลย

แต่ผมก็ไม่หยุด ผมไม่คิดจะหยุดจนกว่าผมจะได้คำตอบที่ผมพอใจมากที่สุด ผมไม่ได้มีเจตนาที่จะทำร้ายพวกเขาหรือทำให้เขาต้องไม่สบายใจเลยจริงๆ แต่เขาล่ะ จะเข้าใจความรู้สึกของเด็กคนหนึ่งคนนี้บ้างไหม ความรู้สึกของคนที่รู้ทั้งรู้ว่าต้องผิดหวังและเสียใจแต่ก็เฝ้าต่อสู้และยืดหยัดในความรัก....... ยืนหยัดในสิ่งที่ตัวเองเชื่อมาตลอด

“ทำไมพี่ถึงมาที่อังกฤษ ทำไมต้องมาเรียนต่อที่นั่น และทำไมถึงต้องมาอาศัยอยู่ที่บ้านของซันด้วย” ผมถามเขาออกไปด้วยความรู้สึกที่เต็มเปี่ยม แน่นอนว่าผมรู้คำตอบอยู่แล้ว ซันเคยบอกผมหลายต่อหลายครั้งแล้ว และผมก็พอจะรู้ด้วยว่าเขาจะตอบกลับมาว่ายังไง แต่ผมก็อยากจะได้ยินออกมาจากปากของเขาเองมากกว่า....... นี่เป็นทั้งคำถามและการเดิมพันครั้งสุดท้ายของผม

แต่ก็ผิดคาด ศิลามีท่าทีที่ยอมแพ้และเหนื่อยอ่อนออกมาอย่างเห็นได้ชัด มันเกือบจะคล้ายๆกับเมื่อตอนที่ผมเคยเห็นซันตอนที่เขาย้ายมาที่อังกฤษใหม่ๆเลยทีเดียว

“ถ้าไคล์คิดว่าการที่พี่มาที่นี่ก็เพียงเพื่อมาหาไอ้ซันล่ะก็ มันก็เป็นความจริง พี่ไม่ปฏิเสธและโกหกหรอก” เขาตอบออกมาและมันก็ทำให้ผมถึงกับประหลาดใจมาก ผมไม่ได้คาดหวังเอาไว้ว่าเขาจะตอบออกมาแบบนี้เลย และมันเกือบที่จะทำให้ผมจะรู้สึกผิดหวังในตัวของเขาไปเสียแล้ว แต่สุดท้ายเขาก็เริ่มอธิบายออกมา “พี่มาเรียนที่อังกฤษก็เพราะว่าพี่มาได้น่ะ พ่อของพี่ก็สนับสนุนให้มาเพราะว่าญาติของพี่ก็เคยมาเรียนที่นั่น แล้วพอเขารู้ เขาก็ยิ่งเห็นดีเห็นชอบด้วยใหญ่ ถ้าเรื่องที่พัก บอกตรงๆตอนแรกพี่ก็ไม่ได้คิดจะพักที่บ้านของไอ้ซันหรอก แค่นี้พี่ก็รู้สึกเกรงใจครอบครัวของมันจะแย่อยู่แล้ว แต่พอพ่อกับแม่ของซันรู้ พวกท่านก็คุยกับพ่อของพี่แล้วก็ตัดสินใจกันว่าให้มาพักอยู่ด้วยกันน่าจะดีที่สุด”

ใช่แล้ว....... นั่นแหละ คือสิ่งที่ผมต้องการ ผมต้องการจะได้ยินมันออกมาจากปากของเขาด้วยตัวเอง ทั้งความจริงในเรื่องอื่นๆและข้อเท็จจริงที่ว่าเขามาหาซันเพราะความรักด้วย ไม่ใช่แค่เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือที่แย่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือการที่เขาโกหกสร้างเรื่องขึ้นมาเพื่อให้มันฟังดูดีเกินจริง......... แต่สุดท้ายเขาก็พูดทุกสิ่งทุกอย่างออกมา เขาเป็นคนที่เด็ดเดี่ยวและมั่นคงต่อตัวเองมากจริงๆ

เขาบอกผมว่า ซันบอกเขาว่าผมกับเขาไม่เคยคบกันเกินเลยไปกว่าคำว่าพี่น้องเลย แต่ผมกลับบอกเขาออกไปก่อนหน้านี้แล้วว่าผมกับซันเคยคบกัน........ ผมเผลอทำพลาดออกไปอย่างใหญ่หลวงซะแล้ว แต่ที่น่าเสียใจมากกว่านั้นนั่นก็คือ สิ่งที่ซันพูดและสิ่งที่ศิลาเข้าใจนั้นมันคือความจริง เรื่องทั้งหมดมันก็เป็นเพียงความฝันลมๆแล้งๆของผมว่าการที่ซันไม่ได้ปฏิเสธความรักที่ผมมีให้เขานั้นจะทำให้เขาลืมคนๆนี้ไปได้และหันมามองผมในฐานะอื่นนอกจากน้องชายบ้างสักเล็กน้อย........ แต่สุดท้ายแล้วมันก็แค่ความหวังที่ไม่เคยและไม่มีวันเป็นจริงได้ของผมเท่านั้นเอง

ผมบอกความจริงกับเขาไป บอกให้เขาเชื่อในสิ่งที่ซันพูด และหวังว่าผมจะไม่เป็นตัวการที่ทำให้เขาสองคนต้องมีปัญหากันเพราะความงี่เง่าในครั้งนี้ของผม ความงี่เง่าและความรักโง่ๆของเด็กคนหนึ่งเท่านั้นเอง........... ผมเริ่มต้นเล่าเรื่องของผมกับซันให้เขาฟัง เล่าถึงความรักที่ไม่มีวันสมหวังนี้ออกไป และในที่สุดผมก็เข้าใจความรู้สึกของซันในวันที่เขาเล่าเรื่องของเขากับศิลาให้ผมฟังแล้วว่ามันเป็นอย่างไร ความรู้สึกของการที่ได้ระบายความในใจที่ไม่เคยบอกใครออกไป และสุดท้ายก็ต้องเสียน้ำตาเมื่อเล่าเรื่องทั้งหมดจบลง และน่าแปลก ที่แม้แต่ผมเองยังอดรู้สึกดีและรู้สึกอบอุ่นเมื่อได้พูดคุยกับศิลาอีกด้วย เขาคนนี้ช่างเป็นคนที่อบอุ่น เต็มไปด้วยความรักที่พร้อมจะมอบมันให้แก่คนรอบข้างอยู่ตลอดเวลาจริงๆ.......

“ไคล์ยังรักซันอยู่ใช่มั๊ย” เขาถามผมหลังจากที่เราจบการสนทนาทั้งหมดลงแล้ว และนั่นก็เป็นคำถามเดียวกับที่ผมเฝ้าถามตัวเองมาตลอดเช่นกัน แต่มันต่างกันนิดหน่อยตรงสิ่งที่ผมคิดอยู่ตลอดนั้นจะเน้นไปที่ว่า ‘ผมจะยังรักเขาแบบนี้ไปอีกนานเท่าไหร่’ ต่างหาก แต่ผมรู้ว่าความรักของผมที่มีให้ซันนั้นมันเริ่มจะเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ผมไม่คิดที่จะยึดติดอยู่กับเขาคนเดียวอีกต่อไป แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่สามารถโกหกตัวเองได้ และผมก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมจะต้องโกหกเขาด้วยเช่นกัน เพราะผมเชื่อว่าถึงยังไงก็ไม่มีอะไรจะมาทำลายความรักที่เขาสองคนนั้นมีให้แก่กันได้อยู่แล้ว.......

ผมหันไปยิ้มให้กับเขาและตอบออกไปอย่างที่ผมคิด “แล้วมันยังไม่ชัดเจนอีกหรือ...........”

และสุดท้ายหลังจากที่เราสองคนลงจากรถชัตเติ้ลบัสเพื่อกลับไปยังห้องพัก ผมก็ขอแยกกับเขาที่ป้ายหยุดรถเพราะผมไม่อยาก และยังไม่พร้อมที่จะไปอยู่พวกเขาทั้งสองคนในเวลานี้ได้ ผมอยากจะอยู่คนเดียวเพื่อคิดถึงเรื่องอะไรบางอย่างบ้าง และผมก็เชื่อว่าศิลาเองก็คงต้องการสิ่งนี้เช่นเดียวกัน

ผมเดินไปยังร้านขายของที่ระลึกที่อยู่ติดกับคาเฟทีเรีย ขณะที่ผมกำลังเดินเลือกซื้อของอยู่นั้นผมก็อดคิดถึงประโยคที่ศิลาบอกกับผมหลังจากที่ผมถามเขาว่ามันสำคัญมั๊ยที่เขาจะต้องรับรู้อดีตทุกอย่างของคนที่เขารักไม่ได้.........

“ตราบเท่าที่เขาไม่ได้โกหกอดีตของตัวเองเพื่อทำให้ตัวเองต้องสบายใจและทำให้คนที่รักเขาต้องเจ็บปวดและทรมานกับความหลอกลวง มันอาจจะฟังดูน่าฟังน่าเชื่อถือแต่จริงๆแล้วมันคือพิษร้ายที่ทำลายความเชื่อใจของคนสองคนนะ”

ให้ตายสิ! เขาช่างเป็นผู้ใหญ่และมีความคิดที่ลึกซึ้งจริงๆ ถึงแม้มันจะเป็นความจริงง่ายๆที่ใครๆต่างก็น่าจะรู้ แต่เมื่อเขาพูดมันออกมา มันก็อดไม่ได้ที่จะทำให้ผมต้องรู้สึกอึ้งและทำให้ผมได้ใคร่ครวญกลับมาถึงตัวของผมเองอีกครั้งเช่นกัน........

และระหว่างที่ผมกำลังเดินดูเสื้อยืดที่เป็นของที่ระลึกอยู่นั้น ผมก็เดินไปชนเข้ากับคนๆหนึ่ง และคนๆนั้นก็คือเด็กหนุ่มที่ชื่อพีทที่เราเพิ่งรู้จักกันที่ร้านอาหารเมื่อไม่กี่ชั่วโมงมานี้เอง แต่ทว่าครั้งนี้เขาใส่ชุดไปรเวทและดูดีมากจนทำให้ผมเกือบจะจำเขาไม่ได้ทีเดียว

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 24-09-2007 15:43:25

ครั้งแรกที่ผมเจอเขาที่ร้านอาหารนั้นเขากำลังทำงานอยู่ และเมื่อเขามานั่งพูดคุยกับพวกเรา ผมก็รู้สึกว่าเขาคนนี้มีอะไรบางอย่างที่แตกต่างไปจากวัยรุ่นคนอื่นๆอย่างเห็นได้ชัด เขาดูเป็นคนพูดน้อย ยิ้มน้อย และที่สำคัญ เขาดูเป็นคนขี้อายมากๆต่างจากคนหลายคนในวัยนี้ที่ผมเคยเจอมาทีเดียว....... ผมก็ไม่รู้นักหรอกว่าคนนิสัยแบบเขาคนนี้ที่ประเทศไทยจะเรียกว่าแปลกรึเปล่า แต่ว่าสำหรับในสังคมเพื่อนๆของผมแล้วต้องบอกเลยว่ามันค่อนข้างจะแตกต่างมากทีเดียว และที่สำคัญ เมื่อดูจากหน้าตาภายนอกแล้ว เขาดูมีอายุน้อยยิ่งกว่าผมเสียอีก ผมจึงตกใจมากเมื่อรู้ว่าเขาคนนี้นั้นอายุพอๆกับซันและศิลาเลย

“อ้าว..... พีทใช่มั๊ยครับ” ผมถามเขาเป็นภาษาไทย และเขาแค่พยักหน้าตอบผมแล้วก็ยิ้มกลับมาเท่านั้น เมื่อผมเห็นรอยยิ้มของเขานั้นมันทำให้ผมรู้สึกปั่นป่วนข้างในเล็กน้อย...... มันเหมือนกับรอยยิ้มที่ศิลาเพิ่งยิ้มให้ผมตอนที่เราคุยกันเมื่อครู่เลย รอยยิ้มเศร้าๆของคนที่เหนื่อยอ่อน แต่ผมไม่เข้าใจว่าเขากำลังเหนื่อยกับอะไรอยู่กันแน่ ผมไม่เข้าใจว่าเขากำลังมีเรื่องไม่สบายใจอยู่อย่างนั้นหรือ

“เป็นอะไรรึเปล่าครับ มีเรื่องไม่สบายใจอะไรรึเปล่า” ผมถามเขา

เขามีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยก่อนตอบออกมา “เปล่านี่ครับ”

“อ้าวเหรอครับ ขอโทษที คือ ผมเห็นเมื่อกี๊คุณยิ้มแบบเศร้าๆเหมือนมีเรื่องเครียดหรือกำลังคิดมากอะไรอยู่น่ะครับ ก็เลยลองถามดู” ผมบอกเขา

เขาก้มหน้าลงเล็กน้อยก่อนจะส่ายหัว “คือ..... ปกติผมก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้วน่ะครับ ผมยิ้มไม่ค่อยเก่ง ยิ้มไม่ค่อยสวยนักหรอก.......”

“พูดอะไรแบบนั้นครับ” ผมบอกเขา แล้วก็เดินไปตบบ่าเขาเบาๆ “ยิ้มๆไว้น่ะดีแล้วครับ อะไรๆมันก็ดีขึ้นได้เพราะรอยยิ้มนะครับ” ผมส่งยิ้มกว้างให้กับเขา เขาหันมามองผมด้วยสีหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ผมเพิ่งพูดไป แต่ต่อจากนั้นเขาก็ยิ้มให้กับผมเช่นกัน

“ขอบคุณครับ แต่ถ้าผมยิ้มได้เก่งแบบคุณก็คงจะดีนะ” เขาพูด

ผมมองหน้าเขาแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ ผมไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ผู้ชายคนนี้พูดและเป็นเลย เขาดูน่ารักมาก ถึงผมจะรู้ว่าเขาอายุมากกว่าผมก็เถอะ แต่ผมก็อดรู้สึกแบบนั้นไม่ได้จริงๆ

“ยิ้มแบบผมมากๆคนเขาก็หาว่าผมบ้าครับ อย่าเลย ไม่ดีหรอก” ผมหัวเราะ

เราสองคนคุยกันอีกนิดหน่อยทั้งเรื่องสินค้า เรื่องการทำงานของเขา และเรื่องเที่ยวในแกรนด์ แคนยอนขณะที่เดินดูของที่ระลึกด้วยกันไปด้วย นอกเหนือจากการที่ผมเป็นคนเข้ากับคนอื่นได้ง่ายแล้ว ผมยังรู้สึกอีกด้วยว่าคนๆนี้มีอะไรบางอย่างที่แตกต่างออกไปจากคนอื่นๆ เขาดูเป็นคนเงียบๆแต่ว่าภายในนั้นผมรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่ร่าเริงและชอบการหัวเราะไปไม่น้อยกว่าผมเลย เขาเป็นคนที่พูดจาตรงไปตรงมาและสุภาพมากๆ ผมรู้สึกถูกชะตากับเขามากจริงๆ และอะไรบางอย่างบอกกับผมว่าผมควรจะใช้เวลากับเขาให้มากกว่านี้เพื่อที่จะได้รู้จักตัวตนของเขามากขึ้น เพราะในเมื่อผมรู้แล้วว่าจริงๆลึกๆแล้วเขาน่าจะเป็นคนยังไง ผมก็อยากจะพิสูจน์ อยากจะเห็นและรู้สึกได้ด้วยตาและจิตใจของผมเองจริงๆว่าผมคิดไม่ผิด นอกเหนือไปจากนั้น ผมเองก็รู้สึกว่าเขาเองก็รู้สึกสบายใจและเข้ากันกับผมได้ดีด้วยเช่นกัน ดังนั้นผมจึงตัดสินใจชวนเขากลับไปที่ห้องของเราพร้อมๆกับผมด้วย

ขณะที่เราสี่คนนั่งคุยกันอยู่ในห้องนั้น ซันก็ทำเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิดขึ้น นั่นก็คือก็เขาชะโงกหน้าเข้าไปหอมแก้มศิลาต่อหน้าพวกเราทุกคน ศิลาเองก็ดูมีท่าทีตกใจและไม่พอใจเขาอยู่ไม่น้อยเช่นกัน เขายังหันมามองผมและถามผมด้วยความเป็นห่วงด้วย แต่ซันนี่สิ ผมคิดว่าเขาคงรู้เรื่องที่ผมกับศิลาคุยกันแล้ว แต่เขาก็กลับทำแบบนั้นต่อหน้าผมได้หลังจากที่เรื่องนั้นมันเพิ่งผ่านมาเมื่อไม่กี่นาทีนี้เองนี่น่ะหรือ ตอนแรกผมรู้สึกน้อยใจและเสียใจมากที่ซันดูไม่แคร์ผมเลย แต่เมื่อผมคิดไกลออกไปอีกนิดหน่อย ผมก็รู้ว่านี่แหละ คือสิ่งที่ซันทำเพื่อผมจริงๆ เพราะอีกสี่วันที่ผมต้องอยู่กับเขาสองคน เราทุกคนต่างก็คงต้องอึดอัดแน่ถ้าต้องนอนด้วยกันและใช้เวลาแทบจะทุกๆชั่วโมงอยู่ด้วยกันอย่างเกรงใจและไม่เป็นตัวของตัวเอง ซันเองคงไม่ต้องการให้ผมรู้สึกเป็นส่วนเกินจึงได้ทำแบบนั้นลงไป และผมรู้........ ว่านั่นคือการแสดงออกถึงความอ่อนโยนและความรักในแบบของซันนั่นเอง

เมื่อผมคิดได้ดังนั้นแล้วความคิดถัดมาที่วิ่งเข้ามาในหัวของผมนั่นก็คือพีทที่นั่งอยู่คนเดียวและไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย ผมเห็นสีหน้าประหลาดใจของเขาและคิดว่าเขาคนนี้จะชอบผู้ชายด้วยหรือเปล่านะ ผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่ผมกลับมีความรู้สึกว่ามันคงจะดีไม่น้อยเลยถ้าเขาคนนี้เองก็ชอบผู้ชายเช่นเดียวกัน และหน้าตาตกใจที่เขามองซันกับศิลาตอนนั้นก็ดูน่ารักมากๆเลยด้วย

หลังจากที่เราวางแผนเรื่องเที่ยวกันเรียบร้อยแล้ว ผมก็ขอที่จะแยกไปกับพีทสองคนและปล่อยให้ซันกับศิลาได้อยู่กันตามลำพัง แน่นอนไม่ใช่แค่เพื่อพวกเขาหรอก แต่เพราะผมเองก็อยากจะพิสูจน์ความรู้สึกบางอย่างที่ผมมีต่อเขาคนนี้ด้วยเช่นกัน

ผมถามตัวเองว่าผมคิดยังไงกับเขากันแน่ และคำตอบที่ได้ก็คือผมมีความรู้สึกสบายใจที่ได้อยู่กับเขา เขาเป็นคนสุภาพและนิสัยดี นอกจากนั้นสำหรับผมที่เป็นคนค่อนข้างจะพูดเก่งและกระตือรือร้นอยู่แทบตลอดเวลา การได้อยู่กับเขามันทำให้ผมรู้สึกสบายใจขึ้น สงบมากขึ้น และเขายังเป็นผู้ฟังที่ดีมากอีกด้วย

เราสองคนตัดสินใจจะลงรถกันที่ป้ายเฮอร์มิทเพื่อชมวิวข้างทางกันก่อน และเพื่อไปดูตารางการเดินรถด้วยว่ารถเที่ยวที่จะออกไปดูพระอาทิตย์ตกนั้นออกตอนเที่ยวสุดท้ายกี่โมง เขาพาผมเดินไปตามทางเรื่อยๆและยังพาเดินลงไปดูเส้นทางที่ใช้สำหรับการไฮค์อีกนิดหน่อยด้วย พีทบอกข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องเส้นทางที่เราจะเดินลงไปข้างล่างให้ผมฟังแล้วผมก็อดทึ่งไม่ได้จริงๆ  เห็นทีผมต้องคุยกับอีกสองคนที่เหลือเพื่อความแน่ใจอีกทีซะแล้วสิว่ายังมั่นใจที่จะไปไฮค์กันแน่อยู่หรือเปล่า

หลังจากเดินเล่นอยู่บนทางที่ใช้ไฮค์ได้สักประมาณสิบนาที เราสองคนก็เดินกลับขึ้นมาและเดินต่อไปยังแมสวิค คาเฟทีเรีย เราเดินผ่านป้ายรถเฮอร์มิท ข้ามทางรถไฟ และเดินผ่านเคบินขอพีทด้วย ขณะที่เราอยู่ด้วยกัน เขากับผมคุยกันหลายเรื่องมากและเขายังแสดงถึงความอ่อนโยนข้างในตัวออกมาให้ผมเห็นอีกหลายต่อหลายครั้งด้วย ไม่ว่าจะตอนที่ผมเดินไปอยู่ที่ริมหน้าผาแล้วเขาเดินมาจับบ่าเอาไว้เพราะกลัวว่าผมจะตกลงไป ตลอดเวลาที่ผมเดินตอนขึ้นและลงเขา เขาก็จะคอยเดินตามหลังผมอยู่ตลอดเพื่อคอยระวังไว้ให้ และอีกหลายๆอย่างที่เขาแสดงออกมาโดยที่เขาไม่จำเป็นต้องพูดด้วยคำพูด ทำให้ผมรู้สึกว่าภายใต้ความขี้อายและบุคลิกที่ดูอ่อนแอภายนอกของเขาที่ผมเห็นนั้น ข้างในกลับเต็มไปด้วยความเข้มแข็ง จิตใจที่ดี ความฉลาดเฉลียว และสามารถพึ่งพาได้มากทีเดียว ไม่ใช่ว่าเขามีร่างกายที่อ่อนแอหรือบอบบางหรอก เขาเองก็มีหุ่นแบบนักกีฬาเช่นกัน เพียงแต่เขาค่อนข้างจะตัวเล็กกว่าพวกเราสามคนนิดหน่อยเท่านั้นเอง แต่เพราะความที่เขาเป็นคนไม่ค่อยพูด ยิ้มน้อย ขี้อาย และดูเป็นคนที่จะมีความเหงาความเศร้าลึกๆอยู่ตลอดเวลานั้นมันจึงทำให้เขาดูเป็นคนที่ต้องการคนดูแลและคอยปกป้อง ดูราวกับเขาต้องการที่พึ่งอยู่ตลอดเวลา แต่ว่าตอนนี้ผมรู้แล้วว่าที่จริงเผลอๆเขาคนนี้นั้นอาจจะเข้มแข็งกว่าผมเสียอีกด้วยซ้ำ

ขณะที่เรากำลังนั่งกันอยู่ในคาเฟทีเรียพร้อมขนมเค้กและผลไม้อีกนิดหน่อย ผมกับเขาต่างก็คุยกันถึงเรื่องการเรียนในมัธยมปลายของเราสองคน ผมมีความสนใจในเรื่องชีวิตการเรียนของเด็กไทยมากจริงๆ เพราะผมคิดว่ามันค่อนข้างจะต่างไปจากชีวิตของผมเยอะทีเดียว

“ตอนเรียนไฮสคูล คุณเคยเป็นนักกีฬาอะไรรึเปล่าครับ” ผมถามเขา

“ผมเคยเล่นบาสอยู่บ้างน่ะครับ” เขาตอบ

“ผมว่าแล้วเชียว” ผมหัวเราะ “เพราะผมว่าพีทมีหุ่นแบบนักกีฬาอยู่เหมือนกันนะ และผมเองก็เล่นบาสเหมือนกัน”

เขายิ้มอายๆแล้วก็พยักหน้า “แต่ว่าผมอยู่ชมรมบาสได้แค่ปีเดียวครับ เพราะว่าผมย้ายโรงเรียนมากลางคัน ส่วนมากผมจะออกกำลังที่ฟิตเนสของคอนโดมากกว่า”

“หมายความว่ายังไงครับ ผมไม่เข้าใจ ที่ว่าอยู่ชมรมบาสแค่ปีเดียว” ผมถาม

“อ๋อ คือ ตอนที่ผมเรียนอยู่เกรดสิบเอ็ด ผมลาออกจากโรงเรียนเดิมตอนกลางเทอมไปโรงเรียนใหม่น่ะครับ แล้วผมก็เลยอยู่ชมรมบาสได้แค่ตอนอยู่เกรดสิบสองที่โรงเรียนใหม่แค่ปีเดียว” เขาอธิบาย

“อ้าว ทำไมย้ายโรงเรียนล่ะครับ.... ย้ายกลางเทอมแบบนั้นคงเหงาแย่” ผมถาม

ทันใดนั้นแววตาของเขาก็ฉายแววความเศร้าออกมาอีกครั้งทันที เขาก้มหน้าหลบผมคงเพื่อพยายามที่จะซ่อนความรู้สึกนั้นเอาไว้ ผมเริ่มรู้สึกแย่กับตัวเองมากๆ ผมไม่รู้หรอกว่าผมถามอะไรไม่ดีหรือทำอะไรผิดไปตรงไหน แต่ผมรู้สึกว่าผมไม่อยากจะเป็นต้นเหตุที่ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเลยจริงๆ

“ผมขอโทษนะครับ พีท” ผมบอกเขาหลังจากเราเงียบกันไปพักหนึ่ง

เขาสบตากับผมอีกครั้งและส่งยิ้มให้ผม....... ผมไม่อยากจะเชื่อความรู้สึกของตัวเองตอนนี้เลย รอยยิ้มนั่นของเขา ความรู้สึกทั้งหมดที่ผมรู้สึกได้จากตัวของเขา ความรู้สึกเหงา เศร้า และความอ่อนแอของเขาเหล่านั้น มันทำให้ผมรู้สึกว่าผมอยากจะอยู่กับเขา อยากจะเป็นเพื่อนของเขา อยากจะสามารถทำให้เขายิ้มได้ ทำให้เขาหัวเราะ และผมอยากจะเป็นคนที่คอยปกป้องเขา ถึงผมจะไม่รู้ว่าเขาเคยผ่านอะไรมาหรือทำไมเขาถึงเป็นแบบนี้ ที่จริงเขาอาจจะไม่ได้เป็นอะไรก็ได้ ผมอาจจะคิดบ้าๆไปเอง แต่ผมก็อยากจะทำให้เขาสว่างสดใสขึ้น อยากจะเป็นส่วนหนึ่งในความสุขของเขา และอยากจะทำให้เขานั้นหัวเราะและรู้สึกมีความสุขได้เมื่อมาอยู่ใกล้ๆกับผมด้วย

“จริงๆแล้วผมไม่ได้ชื่อพีทหรอกครับ” เขาพูดขึ้น

“อ้าว” ผมอุทานออกมาด้วยความแปลกใจ

“ครับ........ มันเป็นชื่อที่ผมเพิ่งเปลี่ยนตอนทำป้ายชื่อน่ะครับ เพราะพนักงานทุกคนต้องติดป้ายชื่อเอาไว้ตลอด........ และชื่อจริงๆของผมชื่อว่าพีครับ ผมรู้ว่ามันฟังดูไม่ดี ก็เลยเปลี่ยนนิดหน่อยเพื่อไม่ให้ฝรั่งเขาขำกัน...... แบบที่ไคล์กำลังหัวเราะอยู่นี่ไง”

ผมหยุดหัวเราะแล้วมองหน้าเขา “ขอโทษครับ ขอโทษจริงๆ ผมไม่ได้ตั้งใจจะขำชื่อของพีทหรอกนะ แต่ผมชอบที่พีทเข้าใจเปลี่ยนชื่อของตัวเองต่างหาก จากพีเป็นพีท เพราะถ้าภาษาไทยมันดูต่างกันไม่มาก แต่สำหรับภาษาอังกฤษแล้ว มันต่างกันเยอะอยู่ทีเดียว”

เขาหัวเราะเบาๆแล้วก็ส่ายหน้า “ไม่เป็นไรครับ ผมรู้ว่ามันก็คงตลกจริงๆ”

“แล้วทำไมถึงบอกผมล่ะครับ เพราะชื่อพีทก็ดีอยู่แล้วนี่นา หรือว่าอยากจะให้ผมเรียกว่าพีมากกว่า เพราะมันเป็นชื่อจริงๆของคุณ” ผมถาม

“เปล่าหรอกครับ ไคล์จะเรียกผมยังไงก็ได้ แต่ว่า....... ผมแค่อยากให้ไคล์รู้เรื่องจริงๆของผมทุกเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องโกหกน่ะครับ แม้จะเป็นแค่ชื่อก็ตาม........” เขาหลบสายตาผมแล้วก้มหน้าเล็กน้อย

ผมเองก็รู้สึกแปลกใจที่เขาพูดแบบนั้นเหมือนกัน เพราะมันเหมือนกับว่าเขายอมรับผมมากขึ้นอีกในระดับหนึ่งแล้ว และถ้าเป็นไปได้...... ผมก็อยากจะให้เขายอมรับผมทั้งหมดเลยจริงๆ

“ผมขอเรียกว่าพีทดีกว่าครับ......... ว่าแต่แล้วจะบอกศิลากับซันเรื่องนี้ด้วยรึเปล่า” ผมถามเขา

เขาทำท่าคิดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าออกมาช้าๆ

“นั่นแหละเรื่องสำคัญครับ....... คือจริงๆแล้ว ผมเคยอยู่โรงเรียนเดียวกับทั้งสองคนนั้นด้วย คือ โรงเรียนใหม่ของผมนั่นแหละครับ”

“อ้าว จริงเหรอครับเนี่ย”

“ครับ”

“แล้วพีทรู้จักสองคนนั้นอยู่แล้วรึเปล่า” ผมถามอย่างกระตือรือร้น “เอ๊ะ แต่ดูท่าทางแล้วเหมือนสองคนนั้นจะไม่รู้จักพีทนี่ครับ อ้าว เดี๋ยวก่อนนะ แต่ว่าถ้าทั้งสามคนไม่ได้รู้จักกันมาก่อน แล้วทำไมพีทถึงรู้ล่ะว่าเคยอยู่โรงเรียนเดียวกันกับพวกเขา หรือว่าจำหน้าพวกเขาได้”

“ใช่ครับ คือ ผมเคยอยู่โรงเรียนเดียวกับพวกเขาก็จริง แต่ว่าผมเข้าไปเรียนแค่ครึ่งเทอมพวกเขาก็เรียนจบกันไปแล้วครับ และที่ผมจำพวกเขาได้ก็เพราะผมเคยอยู่ชมรมบาสเดียวกับพี่เมฆ คือจริงๆแล้วผมเข้าชมรมไปตอนเขาออกไปแล้วน่ะนะครับ แต่ว่าอาจารย์ที่ประจำชมรมเขาก็สนิทกับพี่เมฆแล้วก็ชอบเล่าเรื่องของพี่เขาให้ผมฟัง และผมเองก็เคยเจอเขาด้วย แต่ก็ไม่กี่ครั้งน่ะครับ เขาสองคนคงจำผมไม่ได้หรอก” เขาอธิบาย

“อืมมมม ไหนๆพีทก็พูดเรื่องชื่อของตัวเองออกมาแล้ว งั้นผมก็บอกเรื่องของผมบ้างดีกว่า” ผมยิ้มกว้าง แต่พีทมีสีหน้าแปลกใจ ผมจึงเริ่มพูดต่อ “ไม่ใช่ว่าไคล์ไม่ใช่ชื่อจริงของผมหรอกครับ อย่าเพิ่งทำหน้าแบบนั้น แต่ว่าผมขอถามอะไรหน่อยสิ พีทรู้เปล่าว่าชื่อศิลากับฟ้าครามแปลว่าอะไรน่ะ”

เขาพยักหน้างงๆ แต่ก็ดูจะเข้าใจความหมายที่ผมพูด “ครับ ถ้าหมายถึงเรื่องชื่อของพี่สองคนนั้น ผมก็เคยรู้สึกแปลกใจเหมือนกันครับ....... ก้อนเมฆกับท้องฟ้า”

“นั่นสินะ ดูเหมือนเขาเกิดมาเพื่อคู่กันจริงๆ แต่ก็ช่างเถอะ คือซันเคยบอกผมเรื่องความหมายของชื่อของเขาสองคนเหมือนกัน ผมทึ่งมากๆเลยที่ชื่อของคนไทยเป็นแบบนั้นนะ เพราะภาษาอังกฤษไม่มีแบบนี้เลยจริงๆ ไคล์เองก็ไม่มีความหมาย ตอนเด็กๆผมก็เลยบอกแม่ว่าผมอยากมีชื่อไทยบ้าง ผมขอให้เขาตั้งชื่อไทยให้ผมแบบของซันเหมือนกัน แต่แม่ก็ไม่ได้ตั้งให้ เพราะว่าผมมีชื่อกลางแล้ว และมันก็มีความหมายด้วย”

“ชื่ออะไรเหรอครับ”

ผมยิ้ม “พีทบอกผมก่อนสิ ว่าชื่อของพีทมีความหมายรึเปล่า ผมหมายถึง ชื่อจริงน่ะครับ”

“ชื่อจริงของผมคือ ปฐพีครับ แปลง่ายๆว่าพื้นดิน หรือ ผืนดินก็ได้” เขาตอบ ส่วนผมเองก็นั่งอึ้งไปเลย มันไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ ปกติผมไม่เคยเชื่อเรื่องโชคชะตาหรือพรหมลิขิตอะไรนักหรอก มันเป็นอะไรที่ค่อนข้างจะเป็นความฝันเกินไปสักหน่อยสำหรับผม แต่ว่าการที่ผมได้มาเจอเขาและนั่งอยู่กับเขาแบบนี้ และโดยเฉพาะยิ่งการที่ได้มาเจอเขาพร้อมๆกับซันและศิลา รวมทั้งการที่เขาสามคนเคยเจอกันมาก่อนและยังได้กลับมาเจอกันอีกครั้งแบบนี้อีกแล้วด้วย ผมเชื่อว่ามันคงไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญอีกต่อไปแล้วแน่นอน

“เป็นอะไรไปครับ ท่าทางเหมือนตกใจ” เขาถาม

“เปล่าครับ คือ ผมรู้สึกทึ่งๆนิดหน่อยน่ะ” ผมมองตาเขาแล้วก็เกิดความรู้สึกผูกพันแปลกๆกับเขาขึ้นมาทันที ไม่ใช่ว่าเพราะเรื่องชื่อของเขาที่ผมเพิ่งได้ยินไปหรอก แต่เมื่อมันมารวมกับความรู้สึกดีๆที่ผมมีให้เขาอยู่แล้ว มันก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกท่วมท้นมากขึ้นไปอีก “ผมหมายถึงว่า พื้นดินกับสายน้ำนี่น่ะนะ แถมยังท้องฟ้าและก้อนเมฆอีก.......... ให้ตายสิ”

“สายน้ำเหรอครับ” พีทถามด้วยสายตาสงสัย

“ไคล์ ริเวอร์ ไรออซ คือชื่อของผมครับ ผมได้ชื่อกลางมาจากแม่ของผมที่ชื่อ ชลลดา และเขาเคยบอกผมว่ามันแปลว่าสายน้ำเหมือนกัน ส่วนนามสกุลของผม........ ผมไม่แน่ใจว่าภาษาไทยแปลว่าอะไรนะครับ แต่ความหมายของมันก็ราวๆว่าแม่น้ำเหมือนกัน แปลเป็นภาษาอังกฤษก็คือ ‘ดเวลเลอร์ ออฟ เดอะ ริเวอร์’ เพราะงั้นผมจึงค่อนข้างจะภูมิใจกับชื่อกลางของผมมาก เพราะมันมาจากทั้งชื่อของแม่ของผมและยังมาจากนามสกุลของพ่อของผมอีกด้วย”



(จบเรื่องเล่าของไคล์ตอนที่สอง – ตอนหน้า ที่ว่างกับสิ่งที่ดีที่สุด)

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: ~ScAreD:SAcreD~ ที่ 24-09-2007 16:00:38
ศิลา กับ ฟ้าคราม
ปฐพี กับ สายน้ำ

ขอให้อยู่คู่กันอย่างนี้นะครับ สมหวังกันทั้งสองคู่นะค๊าบ  :m1:

อ่านเรื่องนี้แล้ว รู้สึก "อิ่ม" ดีจัง เพราะความรู้สึกดีๆ มันลอยอยู่เต็มไปหมดเลยทุกบรรทัด

ช๊อบบบบบบบบบบ ชอบ :m3:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 24-09-2007 18:09:30
คิดเหมือนคุณป้อมไม่มีผิดเพี้ยนเลยซักกะนิด
อ่านแล้วมีความสุขสุดๆ :m18:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 24-09-2007 19:58:03
มากันครบแล้ว 2 คู่เลย  :m1:  :m1:  :m1:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 24-09-2007 19:59:12

^
^

ตามป้อม  คิคิ    :m1:   :m1:   :m1:

Me too...
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: ninaprake ที่ 24-09-2007 21:21:40
ดีจัง ..... อุ่นๆๆดีจังเลย  :m1:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 24-09-2007 22:26:54
อ่ะ ปฐพี และสายน้ำ
 :m3: :m3: :m3: :m3:


อยู่คู่เคียงกัน ตราบฟ้าดินสลาย

 :m11: :m11: :m11: :m11:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 26-09-2007 02:38:30
 :o8:
เหลือแค่หน้าสุดท้ายก็จะจบแล้วววว ใช้เวลาอ่านสองวันเต็ม แรก ๆ อ่านไปกลุ้มไป  :เฮ้อ:
หลัง ๆ ยิ่งอ่านยิ่งหวานนนน ถ้าไม่มีอะไรหักมุม กระชากใจผู้อ่านอย่างเรา เรื่องราวก็น่าจะจบลง
ด้วยความสวยงามมมมมม.... :give2:
 :m4:
เนื้อเรื่องเป็นการทำความเข้าใจถึงความผิดพลาดในชีวิตที่ทำให้ต่างคนต้องเสียใจ
เดินเรื่องได้เรื่อยๆ ชวนติดตาม ภาษาก็สละสลวยดีนะครับ แม้จะมึงกรูมั่ง ก็ได้รสชาติของความเป็นเพื่อนดี
ยิ่งหลัง ๆ มีภาคอัศจรรย์ด้วยนี่ยิ่งไปกันใหญ่ เรตติ้งกระฉูดดดด  :m25:
เรื่องนี้น่ารักดีครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะอ่านให้จบหน้าสุดท้ายละ เอาใจช่วยและเป็นกำลังใจให้ครับ
ผลิตผลงานออกมาให้เพื่อน ๆในบอร์ดได้ติดตามกันต่อไปนะครับบบบบ  :a2:
 :bye2:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 26-09-2007 09:38:56
ตอนที่ 42 : (เรื่องเล่าของไคล์ : ที่ว่างกับสิ่งที่ดีที่สุด)


หลังจากนั้นเราก็นั่งคุยเรื่องอื่นๆกันอยู่อีกสักพัก พีทเองก็ถามผมถึงเรื่องโรงเรียนและชีวิตประจำวันของผมเช่นกัน มันทำให้ผมรู้สึกดีมากๆที่เขาเองก็ให้ความสนใจและอยากรู้เรื่องราวของผมไม่แพ้ที่ผมอยากรู้เกี่ยวกับตัวเขา นึกๆแล้วผมก็แปลกใจเหมือนกันว่าทั้งๆที่ผมเพิ่งจะเจอกับเขาวันนี้เป็นวันแรก แต่ทำไมผมถึงได้มีความรู้สึกดีๆให้กับเขามากถึงขนาดนี้

ไม่นานต่อมาเพื่อนของพีทก็เดินเข้ามานั่งคุยกับเราด้วย เธอก็คือผู้หญิงที่ชื่อนกที่เราเคยพบกันแล้วเมื่อตอนกลางวันนี่เอง แต่คราวนี้เธอมากับเพื่อนของเธออีกอีกสามคนด้วย ผู้หญิงคนหนึ่งนั้นเป็นคนไทย แต่ว่าผู้ชายกับผู้หญิงอีกคนเป็นคนฟิลิปปินส์ทั้งคู่ ผมก็ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า แต่ว่าผมรู้สึกว่าเด็กฟิลิปปินส์สองคนนี้จะดูสนใจผมมากเป็นพิเศษจริงๆ โดยเฉพาะผู้ชายคนนั้นที่ชอบมองผมด้วยสายตาแปลกๆแล้วบางทีก็หันไปซุบซิบกับเพื่อนผู้หญิงของเขาอีกคนอยู่เรื่อย ผมรู้สึกไม่ชอบอะไรแบบนี้เลยจริงๆ

หลังจากที่พวกเขาเดินจากไปไม่กี่นาที ซันกับศิลาก็เดินเข้ามาหาพวกเรา เราคุยกันแค่ไม่กี่ประโยคก็ลุกขึ้นเดินออกจากร้านไปเพื่อไปชมพระอาทิตย์ตกดินด้วยกัน จริงๆตอนแรกผมก็ตั้งใจไว้ว่าจะให้ศิลากับซันไปด้วยกันตามลำพังอยู่หรอก แต่ว่าตอนนี้ผมเองก็รู้สึกอยากจะใช้เวลาอยู่กับพีทบ้างเช่นกัน เพราะเวลาที่อยู่กับเขาแล้วผมรู้สึกดีมากจริงๆ

ผมบอกพีทให้บอกสองคนนี้ว่าจริงๆแล้วเขาชื่ออะไรและเคยอยู่โรงเรียนเดียวกันกับทั้งสองคนด้วย แต่แล้วกลับกลายเป็นผมได้ทำพลาดไปอีกสองอย่าง อย่างแรกที่ผมรู้ก็คือผมเผลอพูดไม่ดีกับพีทไปเสียแล้ว ผมไม่ได้ตั้งใจแบบนั้นเลยจริงๆ เขาดูหน้าเสียลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อผมเผลอหลุดปากขำเรื่องชื่อออกไปอีกครั้ง ผมขอโทษเขาและอยากจะให้เขายกโทษให้แก่ผมจริงๆ ซึ่งพีทเองก็บอกว่าไม่เป็นอะไรและไม่คิดอะไรมาก ถึงผมจะไม่ได้มีเจตนาไม่ดี แต่ผมก็สัญญากับตัวเองแล้วว่าผมจะไม่ทำอะไรแบบนั้นลงไปอีกแน่นอน และเรื่องที่สองที่ผมคิดว่าผมทำพลาดแต่ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร นั่นก็คือ ทันทีที่ศิลาได้ยินว่าจริงๆแล้วพีทมีชื่อว่าพีและเคยอยู่โรงเรียนและ ชมรมบาสเดียวกับเขามาก่อน เขาก็ดูประหลาดใจและนิ่งไปเลย เหมือนกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ซันก็บอกผมให้เดินไปกับพีทก่อนแล้วเดี๋ยวเขาสองคนขอคุยกันสักพักแล้วอีกไม่นานจึงจะตามไป ผมกังวลใจเล็กน้อยว่าที่ผมพูดอะไรออกไปนั้นมันจะทำให้เขาทะเลาะกันรึเปล่า และมันเกี่ยวอะไรกับพีทด้วยกันแน่

สุดท้ายเมื่อเขาสองคนเดินตามพวกเรามาทัน ซันก็ดึงตัวผมออกจากศิลาและพีทเพื่อปล่อยให้เขาอยู่กันสองคน และซันก็เล่าให้ผมฟังว่าจริงๆแล้วศิลาเคยเจอกับพีทมาก่อน แต่อาจจะเป็นเพราะอุบัติเหตุรถชน จึงทำให้เขาลืมเรื่องในตอนนั้นไป มันทำให้ผมแปลกใจเหมือนกันที่เขาสามคนเคยมีความเกี่ยวข้องกันมาก่อน และผมก็อดรู้สึกแปลกแยกนิดหน่อยไม่ได้จริงๆ.............

เราสี่คนขึ้นรถไปดูพระอาทิตย์ตกกันในจุดชมวิวที่พีทแนะนำ มันสวยมากจริงๆ คนก็น้อย และยังอากาศที่เย็นกำลังดี ผมได้ใช้เวลาอยู่กับเขาสองคนตามลำพังอีกครั้ง แต่คราวนี้ ผมกับเขานั่งกันอยู่เงียบๆ ถ่ายรูป และดื่มด่ำกับความงดงามของธรรมชาติเบื้องหน้ามากกว่าเสียเวลาพูดคุยกันเหมือนเมื่อตอนที่อยู่ในคาเฟทีเรีย นอกจากนั้นเขายังสัญญากับผมด้วยว่าเขาจะพาผมมาดูพระอาทิตย์ตกอีกครั้ง และครั้งหน้าเขาจะพาผมไปจนถึงสุดปลายทางเลย

หลังจากที่เรากลับกันมายังคาเฟทีเรียอีกครั้งเพื่อทานอาหารเย็น และพอผมรู้ว่าเขาจะต้องนอนคนเดียวอยู่ทุกๆคืน ผมจึงลองเสี่ยงถามเขาออกไปว่าเขาอยากจะไปนอนที่ห้องเดียวกับพวกเราหรือเปล่า และผมก็ต้องดีใจมากเมื่อซันเองก็อนุญาตและพีทยังตอบตกลงอีกด้วย จนถึงตรงนี้ผมก็เริ่มมั่นใจแล้วว่า เขาเองก็คงต้องรู้สึกชอบผมอยู่บ้างเหมือนกันนั่นแหละ

ซันชวนผมออกไปเติมน้ำอัดลมและบอกกับผมว่าเขาอยากมีเวลาอยู่กับศิลาสองคนสักราวๆหนึ่งชั่วโมง เขาต้องการให้ผมไปอยู่กับพีทและถ่วงเวลาเขาไว้สักพักก่อนจะกลับไปที่ห้อง แน่นอนว่าผมย่อมยินดีทำเพื่อเขาด้วยความเต็มใจทีเดียว หลังจากเรากลับมานั่งที่โต๊ะ ศิลากับพีทก็คุยกันเรื่องที่มีคนบางคนไม่ชอบเขาเพราะว่าเขาเป็นลูกเจ้าของบริษัท และคิดว่าเขาได้อภิสิทธิ์ ไม่ต้องจ่ายเงินเพื่อมาทำงานที่นี่ พวกนั้นหาว่าเขาหยิ่งและยังเรื่องอื่นๆอีกเท่าที่จะหาเรื่องได้ ผมรู้สึกฉุนมากจริงๆ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคนดีๆอย่างเขาถึงต้องโดนอะไรแบบนี้ด้วย ปกติเขาเองก็เป็นคนที่ดูค่อนข้างจะชอบคิดมากอยู่แล้ว และยังมามีเรื่องงี่เง่าๆที่คนอื่นป้ายสีมาให้เขาต้องคิดอีก ถ้าผมรู้ว่าไอ้คนพวกนั้นมันเป็นใครนะ ผมตามไปเตะก้นมันถึงที่แน่ และขณะที่ผมกำลังรู้สึกไม่พอใจอยู่นั้น จู่ๆศิลาก็พูดออกมาว่าผมนั้นชอบพีท แถมซันยังพยักหน้าเห็นด้วยอีกด้วย ผมเขินมากจริงๆ ผมไม่คิดเลยว่าเขาสองคนจะดูออกและที่สำคัญ ในที่สุดพีทก็รู้แล้วว่าผมนั้นชอบเขา แต่ว่าผมก็รู้สึกสบายใจมากขึ้น และพูดตามตรง ผมคิดว่าผมรู้สึกดีมากๆเลยด้วยซ้ำ ที่พีทไม่ได้มีสีหน้าหรือท่าทางลำบากใจเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม เมื่อเขาได้ยินศิลาพูดแบบนั้นเขากลับหน้าแดงและมีท่าทีที่เขินอายออกมาอย่างเห็นได้ชัด........ ให้ตายสิ! ผมอยากจะอยู่ใกล้ๆกับเขาคนนี้ตลอดเวลาเลยจริงๆ

หลังจากสองทุ่ม เราทั้งสี่คนก็แยกกัน ผมกลับไปยังเคบินของพีท และซันกับซิลาก็กลับไปยังห้องพักของเราก่อน ผมรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยที่จะได้อยู่กับเขาสองคนในที่ของเขา ผมไม่รู้ว่าผมเป็นอะไรหรือเกิดอะไรขึ้นกับผมกันแน่ เพราะทุกครั้งที่ผมเคยอยู่กับผู้หญิงสองต่อสอง ผมยังไม่เคยรู้สึกกังวลแบบนี้มาก่อนเลย แต่นี่ทั้งๆที่ผมก็รู้ว่ามันจะไม่มีอะไรเกินเลยเกิดขึ้นแน่ๆ แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกประหม่าขึ้นมาเสียอย่างนั้น

พีทพาผมเดินไปยังเคบินหมายเลข 211 ที่เป็นห้องพักของเขาเพียงคนเดียวแล้วตอนนี้ เมื่อเขาเปิดประตูเข้าไป ผมก็เห็นว่าในเคบินนี้เป็นห้องไม่ใหญ่มาก มีตู้เสื้อผ้าเตี้ยๆสูงประมาณระดับอกอยู่สามตู้ มีเตียงเดี่ยวหนึ่งเดียง และเตียงสองชั้นอีกหนึ่งเตียง และมีห้องน้ำในตัวด้วย ในห้องของเขาเรียบร้อยมาก ผมคิดว่าอาจจะเป็นเพราะเพื่อนของเขาอีกสองคนต่างก็ขนของออกไปจนหมดแล้วก็ได้ เหลือเพียงของใช้นิดหน่อยบนตู้เสื้อผ้ารวมทั้งลำโพงที่เสียบต่ออยู่กับไอพอดอีกหนึ่งเครื่อง และกระเป๋าเดินทางใบใหญ่สามใบตั้งอยู่ตรงมุมห้อง ซึ่งแน่นอนว่าคงมีของพีทรวมอยู่ด้วย แต่ผมก็ไม่รู้หรอกว่าภายในตู้เสื้อผ้าเหล่านั้นจะยังคงมีเสื้อผ้าของสองคนนั้นอยู่อีกหรือเปล่า

เมื่อพีทเดินเข้าห้องไปเปิดโคมไฟและทำให้ห้องสว่างขึ้นแล้ว ผมจึงปิดประตูลง เขาเดินไปเปิดฮีทเตอร์แล้วก็แง้มหน้าต่างที่หัวเตียงไว้เล็กน้อย

“เพื่อนๆขนของออกไปหมดแล้วเหรอครับ ห้องสะอาดมากเลย” ผมถามเขา

“ครับ หมดทุกอย่างเลย เหลือเสื้อผ้าที่พวกเขาเองก็ไม่ค่อยใส่อยู่นิดหน่อย แล้วก็ของใช้ที่ไม่ได้จำเป็นอะไรที่เห็นวางๆอยู่นี่แหละครับ” เขานั่งลงบนเตียง

ผมเองก็เดินไปนั่งลงบนเตียงตัวล่างของเตียงสองชั้นเช่นกัน “นั่นเตียงของพีทเหรอครับ” ผมชี้ไปยังเตียงที่เขานั่งอยู่

“ครับ เอ่ออ งั้นผมขอเก็บเสื้อผ้าก่อนนะครับ จะได้รีบไปกัน” เขาพูดขึ้นแล้วก็ลุกขึ้นยืน

“ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องรีบหรอก” และผมก็หมายความว่าแบบนั้นจริงๆ ผมลุกขึ้นเดินตรงไปยังที่เตียงของเขา มีกีตาร์ตัวหนึ่งวางพิงอยู่ข้างๆตู้เสื้อผ้าที่ผมเดาเอาว่าน่าจะเป็นตู้ของพีท เพราะบนนั้นมีป้ายชื่อของเขาวางอยู่ข้างๆหมวกพนักงาน และของกระจุกกระจิกอีกหลายอย่าง “นี่กีตาร์ของพีทเหรอครับ”

พีทเดินใกล้เข้ามาหาผมแล้วหยิบกีตาร์ตัวนั้นออกมาจากตรงซอกเตียง จากนั้นเขาก็นั่งลงบนเตียงอีกครั้ง

“ครับ........ จะว่าอย่างนั้นก็ได้” เขาตอบขณะที่ก้มมองดูมันและจับมันอย่างเบามือด้วยความทะนุถนอม “ว่าแต่เราไม่รีบไปจะดีเหรอครับ...... เดี๋ยวพี่สองคนเขาจะเป็นห่วงเอารึเปล่า” เขาเงยหน้าขึ้นมาถามผม

ผมหัวเราะแล้วนั่งลงข้างๆเขา “ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมว่าคุณไม่อยากกลับไปเจอเขาสองคนในตอนนี้หรอก”

พีททำหน้าเหมือนไม่เข้าใจอยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อเขาเห็นรอยยิ้มของผมเขาก็เข้าใจและหัวเราะออกมาบ้าง

“พี่สองคนนั้นเขาคบกันมานานรึยังครับ” เขาถาม

“อืม...... ถ้าคบเป็นเพื่อนก็คงนานล่ะครับ แต่กว่าจะได้คบกันเป็นแฟน ก็เพิ่งจะตอนที่ศิลามาที่อังกฤษนี่เอง”

“เหรอครับ........” เขาตอบแล้วก้มหน้าลงไปมองดูที่กีตาร์ตัวเองอีกครั้ง

“ว่าแต่ พีทมีแฟนรึยังครับ” ผมถามเขาด้วยน้ำเสียงที่ถูกบังคับให้เป็นปกติและไม่ฟังดูตื่นเต้นจนเกินไปมากที่สุด

“ไม่มีหรอกครับ” เขาส่ายหน้า “แล้วไคล์ล่ะ”

ผมมองหน้าเขานิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ชั่งใจหาคำพูดเหมาะๆเพื่อที่จะพูดออกไป

“ไม่มีเหมือนกันครับ...... แต่ก็หวังอยู่ว่าจะได้มีเร็วๆนี้” ผมมองตาเขาอย่างสื่อความหมาย ดูท่าทางพีทเองก็จะเข้าใจเหมือนกันเพราะเขาสบตากับผมตอบด้วยแววตาที่ทำให้หัวใจของผมต้องสั่นไหว แต่แล้วเขาก็ก้มหน้าลงไปอีกครั้ง

“ครับ” เขาพูดออกมาสั้นๆ

เราสองคนเงียบกันไปอยู่อึดใจหนึ่ง ผมจึงเป็นฝ่ายพูดออกมาก่อน

“พีทครับ....... วันนี้ผมขอบคุณมากนะครับที่พาผมไปเที่ยวซะหลายที่เลย” ผมบอกเขา

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเต็มใจ” เขายิ้มให้กับผม และมันกำลังทำให้ผมละลาย........

“ผมมีความสุขมากนะครับ ที่ได้เจอและได้ใช้เวลาอยู่กับพีท” ผมเขยิบเข้าไปใกล้เขามากขึ้น รู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองเริ่มร้อนผ่าว และตอนนี้แขนของผมกับเขาก็ชนกันแล้ว “แล้วคุณคิดยังไงมั่งครับ ที่อยู่กับผมวันนี้”

เขาหันหน้าหนีไปทางอื่นอีกครั้ง หน้าของเขาเองก็แดงขึ้นมากเช่นกัน

“ตอบผมหน่อยสิครับ ผมอยากรู้จริงๆนะ” ผมถามอีกครั้ง

เขาก้มหน้าแล้วใช้นิ้วชี้เขี่ยแก้มของตัวเองเบาๆ “ครับ ผมก็รู้สึกดีเหมือนกัน” เขาตอบออกมาเบาๆ

และก่อนที่ผมจะรู้ตัว ผมก็ชะโงกหน้าเข้าไปใกล้กับเขามากขึ้น พีทหันกลับมาสบตากับผม ตอนนี้ใบหน้าของเราสองคนอยู่ห่างกันแค่ไม่ถึงหนึ่งนิ้วแล้ว และสุดท้าย อะไรบางอย่างในร่างกายของผมก็เป็นแรงผลักดันให้ผมเขยิบเข้าไปใกล้เขามากขึ้นอีก และสิ่งต่อมาที่ผมรู้สึกก็คือ ริมฝีปากของผมที่กำลังประทับอยู่บนริมฝีปากเรียวบางสีชมพูของเขา

ราวๆสามวินาทีถัดมาแต่ผมรู้สึกยาวนานราวกับสามชั่วโมง ผมก็ถอนปากออก มันเป็นเพียงจูบสั้นๆและไม่มีการล่วงล้ำอย่างอื่นแต่อย่างใด แต่ผมรู้สึกว่ามันเป็นจูบที่ดีที่สุดในชีวิตของผมเลยทีเดียว ผมไม่เคยจูบใครด้วยความรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลย เมื่อผมสบตากับเขา ผมก็เห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจของเขา จากนั้นเขาก็ก้มหน้าลงและหันหน้าหนีผมไปทางอื่น

“เอ่ออ คือ.... ผม ผมขอโทษครับ” ผมบอกเขา ผมลืมไปเสียสนิทว่าธรรมเนียมเรื่องการจูบของคนไทยกับของคนตะวันตกมันต่างกัน “พีท........”

เขาค่อยๆหันมาหาผมช้าๆแล้วก็ส่งยิ้มออกมา “ไม่เป็นไรครับ” เขาเอื้อมมือมาจับมือของผมอย่างแผ่วเบา

ทันทีที่เขากุมมือของผมเอาไว้ ผมก็ยิ้มกว้างออกมาพร้อมๆกับโหมตัวเข้าไปกอดเขาอย่างเต็มวงแขน เมื่อผมคลายแขนออก ผมก็จูบเขาอีกครั้ง และคราวนี้มันเป็นจูบที่ดูดดื่มกว่าครั้งที่แล้วมาก ผมไม่ได้สอดลิ้นเข้าไป แต่มันก็เป็นจูบที่ลึกซึ้งและโรแมนติกที่สุดเท่าที่ผมเคยรู้สึกมาเลยทีเดียว แต่ทันทีที่ผมถอนปากออก ผมก็เห็นน้ำตาที่ค่อยๆไหลลงมาอาบแก้มของเขา

“พีท..... ผม...... ผมขอโทษครับ ถ้าคุณไม่ชอบแบบนี้ ผมก็จะไม่ทำอีกแล้วครับ ผมสัญญา” ผมรีบพูดออกมาเพราะความกลัว...... กลัวว่าเขาจะเกลียดผม

“เปล่าครับ เปล่า” เขาส่ายหน้า “เพียงแต่ว่า...... มีบางอย่างที่ผมต้องบอกไคล์นะครับ....... เพราะว่า..... เพราะว่าผมไม่รู้ว่าผมจะทำมันได้ดีแค่ไหน.........”

“ผมไม่เข้าใจครับ พีท......” ผมขมวดคิ้วอย่างสงสัย “คุณหมายถึงทำอะไรเหรอครับ”

เขาก้มหน้าลงไปมองกีตาร์ที่วางอยู่ข้างกายอีกครั้ง จากนั้นก็หันมาสบตากับผม น้ำตาของเขาหยุดไหลแล้ว แต่ผมกลับมองเห็นความเศร้าและความเจ็บปวดในดวงตาคู่นั้นมากกว่าตอนที่เขากำลังร้องไห้เสียอีก

“จริงๆแล้วกีตาร์นี่........ เคยเป็นของคนๆนึงที่ผมรักมากครับ” พีทพูดขึ้น เขาเอามือลูบไปบนตัวกีตาร์ช้าๆและแผ่วเบา ราวกับกลัวว่ามันจะพังหรือแตกหักไปอย่างไรอย่างนั้น “ผมรักมันมากเลยล่ะครับ แต่ที่ผมอุตส่าห์เอามันมาถึงที่นี่ด้วย ก็เพราะผมอยากจะรู้สึกเหมือนมีเขาคนนั้นอยู่กับผมตลอดเวลา....... ฟังดูตลกใช่มั๊ยล่ะครับ” เขาเงยหน้าขึ้นมายิ้มเศร้าๆให้กับผม

ผมเอื้อมมือออกไปบีบมือของเขาเบาๆ เพราะไม่รู้จะทำอะไรได้มากกว่านั้นแล้วจริงๆ

“ผมกับเขาเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เกรดแปดครับ ผมเป็นคนเงียบๆแล้วก็ไม่มีเพื่อนมากนัก แต่เขาเป็นคนเดียวที่เข้ามาคุยกับผมแล้วก็เปลี่ยนโลกของผมไปเลย........” เขาเล่าช้าๆและกำลังพยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเองเอาไว้อย่างเห็นได้ชัด ราวกับว่าการที่ต้องนึกถึงความทรงจำของเก่าๆเหล่านั้นและต้องบรรยายมันออกมาเป็นคำพูด อาจจะทำให้เขาแตกออกเป็นเสี่ยงๆได้ในทุกๆขณะเลยทีเดียว “เขาคนนั้นมีชื่อว่าภูครับ.........”

เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ผมก็ต้องถึงกับสะอึกและชักมือกลับมาโดยไม่รู้ตัว ผมเพิ่งจะหัวเราะเยาะชื่อของคนที่มีความสำคัญกับเขามากๆไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนนี้เอง

“ผม.... พีทครับ ผมขอโทษ........”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ......” เขาตอบแล้วเริ่มต้นเล่าต่อ “ภูเป็นคนที่ร่าเริงมาก เขายิ้มเก่ง และมีเพื่อนเยอะ ต่างจากผมทุกๆอย่างเลยล่ะครับ แต่ว่าผมกับเขาก็เข้ากันได้ดีมากจริงๆ........” เขาพูดและพยายามที่จะควบคุมตัวเองไม่ให้ร้องไห้ออกมาอีกครั้งไปด้วย “เราสองคนรักกันมากจริงๆครับ ผมคิดว่าเราต่างก็รู้ว่าเราสองคนนั้นรักกันเกินเพื่อนไปแล้ว แต่สุดท้ายเราก็ไม่เคยได้พูดออกมาว่าเรานั้นรักกันมากแค่ไหน ไม่สิ ผมเองต่างหาก ที่ไม่เคยบอกเขาเลยว่าผมรักเขามากแค่ไหน” น้ำตาของพีทเริ่มไหลออกมาช้าๆ แต่เขาก็พยายามจะห้ามมันและเอามือปาดมันออกไปทุกๆครั้งที่มันหยดออกมาจากหางตาของเขา เขานิ่งเงียบไปนานราวกับไม่สามารถที่จะพูดมันต่อไปจนจบได้ ผมจึงคิดว่าเขาคงต้องการความช่วยเหลือบ้างเล็กน้อยเพื่อที่จะสามารถเล่าเรื่องในความทรงจำนั้นออกมาได้อีก

“แล้ว...... มันเกิดอะไรขึ้นครับ” ผมถามออกไปเบาๆ

“วันนั้นเป็นวันที่ผมกับเขาสอบวันสุดท้ายเสร็จครับ” เขาเริ่มเล่าต่อ “เราสองคนคุยกันว่าผมจะไปนอนค้างที่บ้านของเขาตามคำเชิญ ผมคิดว่าวันนั้นนั่นเองที่จะเป็นโอกาสที่เราสองคนจะได้บอกความรู้สึกของกันและกันออกไป.......... แต่สุดท้าย มันก็เป็นเพราะผมเองนั่นแหละที่เอาแต่เป็นฝ่ายรอมาตลอดและไม่เคยได้บอกอะไรเขาออกไปเลย” เขาเงียบลงอีกครั้ง ผมสังเกตว่าเมื่อถึงช่วงท้ายประโยค เสียงของเขาก็สั่นมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเขาไม่สามารถห้ามน้ำตาของตัวเองได้อีกต่อไป “วันรุ่งขึ้นเขาก็ประสบอุบัติเหตุและตายจากไปครับ เขาตายไปโดยที่ผมยังไม่เคยได้แม้แต่บอกเขาออกไปเลยว่าเขามีความสำคัญกับชีวิตของผมมากแค่ไหน....... เขาไม่เคยรู้เลย และก็จะไม่มีวันได้รู้อีกต่อไปแล้ว เพราะว่าเขาตายไปแล้ว” เขาสะอื้น ผมรู้สึกเหมือนกับหัวใจของผมเองก็ร่วงหล่นลงไปอยู่บนพื้นแล้วด้วยเช่นเดียวกัน “ตอนนั้นเราอยู่เกรดสิบเอ็ดครับ และน่าตลกมั๊ยล่ะ ที่เขาจากผมไปก่อนที่ผมจะทันได้บอกกับเขาว่าผมรักเขาแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้นเอง....... และบางที ก่อนที่เขาจะทันได้บอกผมด้วยเหมือนกัน”

ผมนั่งมองหน้าของเขาที่กำลังร้องไห้และก็รู้สึกถึงน้ำตาของผมเองที่เริ่มรื้นขึ้นมาช้าๆเช่นกัน แต่ผมไม่อยากให้เขาเห็นน้ำตาของผม ผมจึงโผเข้าไปกอดเขาเอาไว้

“พีท ผมเสียใจครับ.......... ผมเสียใจจริงๆ”

เขากลืนน้ำตาของตัวเองลงไปแล้วก็ดันตัวเองออก “ขอบคุณครับ........ และนั่นแหละ ที่เป็นสาเหตุให้ผมย้ายโรงเรียน เพราะว่าผมไม่สามารถทนอยู่ในที่ๆผมเคยใช้เวลาอยู่กับเขามาตลอดได้อีกต่อไป ผมอยากจะก้าวเดินไปข้างหน้าและเลิกที่จะจมปลักอยู่กับความเศร้าเสียที”

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 26-09-2007 09:40:16

ผมพยักหน้าช้าๆและมองไปในดวงตาของเขา เท่านี้ผมก็พอรู้แล้วว่าทำไมเขาถึงได้เป็นคนที่ดูเหงาและให้ความรู้สึกเศร้าสร้อยอย่างประหลาด และเมื่อผมเห็นเขาเป็นแบบนี้แล้ว ผมยิ่งรู้สึกมั่นใจในตัวของผมเองมากขึ้นไปอีกว่าผมอยากจะอยู่กับเขาและคอยเป็นกำลังใจให้เขาได้

“แต่ว่านั่นไม่ใช่เรื่องที่ผมอยากจะบอกกับไคล์ทั้งหมดหรอกครับ........” เขาพูดต่อ “ผมยอมรับครับ ว่าผมรู้สึกดีกับคุณมากจริงๆ คุณมีรอยยิ้มที่ทำให้ผมนึกถึงเขา คุณเป็นคนยิ้มเก่งและร่าเริงเหมือนกับเขาเลย และนอกจากนั้น........” เขาเงียบไป ผมนั่งรอให้เขาพูดต่อ “แต่ว่า ผมก็ไม่รู้ว่าผมจะทำยังไงเหมือนกัน” เขาเริ่มร้องไห้ออกมาอีกครั้ง “ผมไม่รู้ผมควรจะทำยังไง ผมรู้สึกดีกับคุณมากก็จริง ถึงเราจะเพิ่งรู้จักกันแค่วันเดียว แต่ผมก็มีความสุขมาก มากเสียจนผมไม่อยากจะถลำลึกลงไปมากกว่านี้อีกแล้ว......... ผมกลัวว่าผมจะสูญเสียใครไปอีก ผมกลัวว่าผมจะหลงรักคุณ ผมกลัวว่าผมจะไม่สามารถลืมเขาได้ และที่สำคัญ ในขณะเดียวกัน ผมกลัวว่าผมจะลืมเขาไปมากที่สุดเลยด้วย” เขาสะอื้นออกมาหนักขึ้นเรื่อยๆ “ผมไม่อยากจะลืมเขา ผมรักเขามากจริงๆ ไม่ว่าจะตอนนี้หรือตอนไหน และผมก็ไม่คิดว่าจะมีใครเข้าใจผมและให้โอกาสกับผมในเรื่องนี้หรอก....... ใครจะมาอยากคบกับคนที่ลืมคนรักเก่าไม่ได้กัน ผมไม่อยากจะทำให้ใครต้องเสียใจกับการที่ผมเป็นแบบนี้ ผมไม่อยากจะทำให้คุณต้องเสียใจ..........”

ผมนั่งนิ่งเพราะคำพูดของเขา ไม่ใช่เพราะว่าผมไม่เข้าใจความรู้สึกของเขา แน่นอน ผมเข้าใจมันได้ดีทีเดียว ความรู้สึกของคนที่ยังคงรักคนที่อยู่ในความทรงจำของเขาอยู่ แต่มันก็เป็นความรักที่ไปไม่ได้อีกต่อไป และในขณะเดียวกัน เขาก็ดันไปหลงรักคนอีกคนที่กำลังอยู่ใกล้ๆกับเขาในตอนนี้ด้วย........ ใช่ ถึงเรื่องของเขานั้นมันค่อนข้างจะร้ายแรงมากกว่าที่ผมจะเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งถึงความรู้สึกของการสูญเสียแบบนั้น แต่ผมว่าผมก็เข้าใจเขาจริงๆ

ผมดึงตัวเขาเข้ามากอดอีกครั้ง แต่คราวนี้ผมกอดเขาแนบแน่นยิ่งกว่าเดิม ยาวนานกว่าเดิม พยายามทำทุกอย่างเพื่อที่จะสื่อความในใจและความอบอุ่น ความรักและความห่วงใยของผมออกไปให้เขาได้รับรู้ผ่านทางอ้อมกอดนี้ให้มากที่สุด ผมดึงตัวเองออกมาช้าๆแล้วก็เขยิบลงไปนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นตรงหน้าของเขา

“ฟังผมนะครับ พีท ตอนแรกผมก็คิดว่าผมเองคงแค่จะชอบคุณ และมันคงไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป ถึงจะแค่วันเดียว แต่ตลอดเวลาทุกๆนาทีที่ผมใช้เวลาอยู่กับคุณ จนกระทั่งมาถึงตอนนี้ ผมรู้ตัวแล้วว่าผมรักคุณ ผมรักคุณจริงๆนะ ผมอยากจะอยู่กับคุณ อยากจะใช้เวลาอยู่กับคุณด้วย อยากจะกอด อยากจะมอบความรักและมอบรอยยิ้มให้กับคุณได้ตลอดไป บางทีผมอาจจะรักคุณมานานแล้วก็ได้ เพียงแต่ว่าผมรอคอยว่าพระเจ้าจะตัดสินใจให้เราได้มาเจอกันก็เท่านั้นเอง ตอนนี้ผมก็รู้แล้วว่าอดีตของคุณป็นยังไง แต่พีทครับ ผมเองก็มีอะไรอยากจะบอกคุณเหมือนกัน......... คุณอยากจะลองฟังมันดูมั๊ยครับ” ผมพูดและกุมมือของเขาเอาไว้ด้วย ผมอยากที่จะพยายามบรรยายความรู้สึกของผมออกไปในภาษาของเขามากจริงๆ แต่ผมก็ทำมันได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก

เขาพยักหน้าออกมาช้าๆ

“ผมอยากบอกว่าผมเข้าใจความรู้สึกของคุณทุกอย่าง ทุกอย่างจริงๆ แต่ก่อนอื่นเชื่อผมนะครับ ว่าเขารับรู้ทุกอย่าง ภูรู้ถึงความรู้สึกของคุณทุกอย่างครับ ผมแน่ใจว่าเขารู้ว่าคุณรักเขาและมีความหมายสำหรับคุณมากแค่ไหน เพราะฉะนั้นคุณพยายามอย่าคิดว่าเขาไม่รับรู้ถึงความจริงในข้อนั้นนะครับ........” ผมยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตาสีดำใสของเขาอีกครั้ง “และในเมื่อพีทก็เล่าให้ผมฟังเรื่องของตัวเองบ้างแล้ว ผมก็จะเล่าเรื่องของผมให้ฟังเหมือนกัน........ แต่ก่อนจะถึงเรื่องนั้น ผมมีประโยคๆหนึ่งอย่างจะบอกพีทให้รู้ไว้นะครับ ผมเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า ‘ทุกสิ่งทุกอย่างผ่านมาเจอกันด้วยเหตุผลบางอย่างเสมอ’ ซันเป็นคนเคยสอนผมในเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นผมเชื่อว่าการที่ผมได้มาเจอกับคุณ ไม่สิ การที่เราได้มาเจอกันนี่ต่างหาก มันย่อมต้องมีเหตุผลในตัวของมันเองอย่างแน่นอน และผมก็หวังว่าเหตุผลนั้นก็คือ ‘ความรัก’ นะครับ.........” ผมเว้นช่วงแล้วหายใจเข้าลึกๆและพยายามเรียบเรียงคำพูดก่อนจะพูดต่อ “ผมเคยรักซันครับ ไม่ใช่สิ ที่ถูกต้องควรจะเป็น ‘ผมรักซัน’ ต่างหาก”

ผมเห็นเขามีสีหน้าประหลาดใจจึงหัวเราะออกมาเบาๆ

“เรื่องมันยาวน่ะครับ แต่ก็อย่างที่พีทน่าจะรู้ มันเป็นความรักที่เป็นไปไม่ได้ ผมเองก็ยังรักเขาอยู่ ผมเองก็เคยคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะไปรักคนอื่นได้ในแบบที่ผมรักเขา แต่ผมคิดผิดอยู่อย่างหนึ่งครับ ใช่ ผมไม่สามารถรักคนอื่นได้อย่างที่ผมรักเขาจริงๆ เพราะความรักแบบนั้นผมมอบให้เขาได้แค่คนเดียว แต่ว่าผมสามารถรักคนอื่นในแบบที่คนๆนั้นเป็นได้ อย่างเช่นตอนนี้ไง......... ผมรักคุณจริงๆ ผมอยากจะเป็นคนที่ดูแลคุณได้บ้าง ไม่ใช่คนที่ถูกดูแลอีกต่อไป และผมก็อยากจะมีคุณคอยดูแลผมด้วยเช่นกัน และสิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้สำคัญที่สุดนะครับ พีท ผมอยากให้คุณสัญญา...... จะสัญญากับผมหรือกับตัวคุณเองก็ได้ สัญญาว่าคุณจะรักภูและคิดถึงเขาตลอดไปไม่มีวันเปลี่ยน ผมไม่อยากให้คุณลืมเขาไปครับ เพราะผมรู้ว่าความรักของคุณที่มีให้เขามันก็เป็นความรักเฉพาะของคุณกับเขาเท่านั้น ผมไม่ต้องการมัน........ และผมไม่ต้องการจะมาแทนที่เขาด้วย ผมหมายความว่าแบบนั้นจริงๆ แต่ว่าสักวันหนึ่ง ถ้ามันจะเป็นไปได้ ผมก็อยากให้คุณรักผมด้วยความรักที่เราต่างก็มีให้กันในอีกรูปแบบหนึ่งต่างหากน่ะครับ........”

ทันใดนั้นเอง พีทก็ร้องไห้ออกมาอีกครั้ง เขาร้องไห้หนักมากจนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อยู่ครู่หนึ่ง ผมจึงต้องโอบกอดเขาไว้เพื่อให้ตัวของเขานั้นหยุดสั่นลง

“ทำไมกัน........ ผมไม่เข้าใจจริงๆ” พีทพูดขึ้นเมื่อเขาเริ่มควบคุมตัวเองได้แล้ว ผมมองเขาด้วยความแปลกใจ สงสัยว่าผมเพิ่งจะพูดอะไรไม่ดีออกไปอีกหรือเปล่า แต่เมื่อเขาอธิบายออกมาผมถึงได้เข้าใจ “ทำไมคุณถึงต้องเหมือนกับเขาขนาดนี้ด้วย ทำไมคุณถึงได้ทำตัวและพูดอะไรหลายๆอย่างเหมือนกับที่เขาเคยบอกกับผมมากขนาดนี้”

พีทเริ่มร้องไห้อีกครั้ง ผมเชื่อว่าคงเป็นเพราะคำพูดของผมไปสะกิดอดีตของเขาให้ย้อนกลับมาอีกครั้งนั่นเอง ผมไม่รู้หรอก และผมก็ไม่รู้จะทำอย่างไรด้วย และที่สำคัญก็คือ ผมไม่รู้ว่าผมควรจะตอบคำถามนั้นของเขายังไง เพราะฉะนั้นผมคิดว่ามันคงจะดีกว่าถ้าผมเริ่มต้นพูดต่อ

“พีทครับ ผมไม่อยากเห็นพีทเสียใจนะครับ ผมอยากให้คุณมีความสุขเวลาที่คุณอยู่กับผม........ ผมเองก็ไม่รู้อนาคตหรอก เราเพิ่งได้เจอกันแค่วันเดียวเท่านั้นเอง ถ้าเพื่อนๆของผมรู้ว่าผมคิดจะจริงจังกับคนที่ผมเพิ่งพบแค่วันเดียว พวกนั้นต้องว่าผมบ้าไปแล้วแน่ๆ และอีกอย่าง หลังจากนี้เราก็มีเวลาอยู่ด้วยกันอีกแค่สี่วันเท่านั้น........ แต่ผมไม่สนใจหรอก ผมชอบคุณ ผมรักคุณ และผมจะทำช่วงเวลาตรงนี้ให้ดีที่สุด หลังจากนี้ผมถึงจะค่อยคิดว่ามันควรจะเป็นยังไงต่อไป” ผมบอกเขา “ฟังนะครับ พีท ผมจะไม่ขอให้คุณลืมเขา ไม่มีทางเด็ดขาด เพราะเขาคือคนที่เคยทำให้คุณมีความสุข และเป็นบุคคลที่จะยังคงงดงามอยู่ในใจของคุณตลอดไป แต่ว่าคุณรู้มั๊ย ซันเคยพูดประโยคๆหนึ่งกับผมตอนที่เขาบอกให้ผมตัดใจเรื่องของเขาไปซะว่า ‘คนเราทุกคนมีที่ว่างสำหรับสิ่งที่ดีที่สุดเสมอ’ ผมไม่ได้บอกว่าผมเป็นคนที่ดีที่สุดสำหรับคุณหรอก แต่ผมอยากบอกให้คุณรู้ว่า ผมจะพยายามเป็น ‘คนที่ดีที่สุด’ เพื่อคุณให้ได้ และคุณเองก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่จะมาเติมเต็มในช่องว่างของผมที่ผมเฝ้ารอมานานแล้วด้วยเช่นกัน.........” ผมพูดทุกสิ่งที่ผมคิดและรู้สึกออกไป ถึงผมอยากจะพูดกับเขาในภาษาไทยมากกว่า แต่สุดท้ายมันก็กลายเป็นภาษาอังกฤษไปซะเกือบหมด แต่ผมก็หวังว่าเขาจะเข้าใจความรู้สึกของผมนะ

“ไคล์ไม่คิดว่ามันเร็วเกินไปเหรอครับ สำหรับคำที่เรียกว่า ‘รัก’ ทั้งๆที่เราเพิ่งรู้จักกันนี้เองนะ” เขาถามหลังจากที่เราเงียบกันไปพักหนึ่ง

“คิดครับ แต่ผมไม่สนใจ จะมาช้าหรือมาเร็ว จะใช้เวลามากหรือน้อยแค่ไหน ความรักก็คือความรัก ผมเคยผ่านมาทั้งความรักที่บ่มเพาะมานานหลายปี และความรักที่ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ทุกอย่างก็ไม่เคยเป็นสิ่งที่เรียกว่า ‘รักแท้’ หรือ ‘รักสมหวัง’ เลยสักครั้ง เพราะฉะนั้นผมจะไม่พูดว่าเวลาหนึ่ง ณ วันนี้มันจะเป็นไปไม่ได้ที่ทำให้คนสองคนรักกัน....... แต่มันสำคัญที่เราจะรับโอกาสนี้ไว้ และพร้อมที่จะพิสูจน์ความรู้สึกลึกๆที่เราทั้งสองคนต่างก็มีตรงกันนี้หรือเปล่าเท่านั้นเอง.......... พีท คุณพร้อมที่จะลองเดินไปพร้อมๆกับผมดูมั๊ยครับ” ผมถามเขาและเอาหัวใจทั้งดวงของผมลงเดิมพันด้วย

เขานิ่งเงียบไปพร้อมกับสีหน้าที่กำลังใช้ความคิด เราสองคนมองตาของกันและกันอยู่นานมาก จนในที่สุดเขาก็พูดออกมา

“แล้วไคล์ล่ะ พร้อมที่จะเดินไปบนเส้นทางที่คงจะเดินได้ลำบากหน่อยของผมรึเปล่าครับ” เขาถามผมขึ้นพร้อมรอยยิ้ม

ผมยิ้มกว้างจากนั้นก็ลุกขึ้นยืนและดึงตัวของเขาขึ้นมากอดอีกครั้ง เมื่อเราสองคนผละออกจากกัน ผมก็จูบลงบนริมฝีปากของเขาอีกหน แต่คราวนี้ผมสามารถถ่ายทอดความรู้สึกของผมออกไปได้อย่างเต็มที่ แน่นอน พร้อมกับลิ้นอีกนิดหน่อยด้วย และเขาเองก็จูบตอบผมกลับมาด้วยความรักมากเท่าๆกันอีกเช่นกัน

“พีท......... คุณคิดยังไงเกี่ยวกับเรื่องของโชคชะตาหรือพรหมลิขิตบ้างครับ” ผมถามเขาหลังจากที่เราถอนปากออก

“ไม่รู้สิครับ ผมไม่ค่อยได้คิดถึงเรื่องนั้นเลย.......... โดยเฉพาะหลังจากที่ภูตายจากไป ผมก็ไม่เคยคิดว่าผมจะได้พบกับใครที่ผมจะมีความรู้สึกด้วยเลยจริงๆ”

“ผมเสียใจจริงๆนะครับ เรื่องของภู แต่ว่า แล้วผมล่ะครับ...... ผมพอจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของพีทได้มั๊ย ผมหมายถึง ถ้าผมเป็นแม่น้ำ ผมก็อยากจะอยู่คู่กับพื้นดินของผมนะ ผมอยากจะเป็นรอยยิ้มที่สดใสให้กับคุณ”

พีทดูมีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อผมพูดถึงเรื่องชื่อของเราสองคน

“ผมไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลยแฮะ........ แต่ไม่ว่ามันจะเป็นโชคชะตา หรือพรหมลิขิตอะไร ผมคิดว่าผมก็คงพร้อมที่จะก้าวเดินก้าวสำคัญของผมอีกครั้งครับ ถึงผมจะประหลาดใจนิดหน่อยเรื่องชื่อของเรา แต่พูดจริงๆ ผมก็ไม่ได้คิดจะยึดติดกับมันมากนักหรอก ไม่สำคัญว่ามันจะเป็นโชคชะตาหรือพรหมลิขิตที่จะขีดให้เรามาเจอกัน แต่ถ้าผมจะมีสายน้ำมาหล่อเลี้ยงผมอีกครั้ง และถ้าหากเขาคิดว่าจะอยู่คู่กับผมจริง ผมก็ยินดีที่จะอยู่คู่กับเขาไปนานที่สุดเท่าที่จะนานได้เหมือนกันครับ ถึงแม้ว่าภูเขาของผมนั้นจะพังทลายไปจากผมแล้วก็ตาม.............”

ผมไม่ค่อยเข้าใจที่เขาพูดมากนัก แต่ผมก็เห็นความเศร้าในแววตาของเขาอีกครั้งหนึ่ง ผมจึงดึงตัวของเขาเข้ามากอดพร้อมกับลูบผมของเขาเบาๆไปด้วย

“รู้อะไรมั๊ยครับ มันอาจจะฟังดูตลกและแปลกนะ แต่ผมอยากจะอยู่กับพีทแบบนี้ได้ตลอดไปจริงๆ ผมไม่ค่อยเข้าใจที่คุณพูดเมื่อกี๊นักหรอก แต่ผมก็อยากจะเป็นแม่น้ำที่มอบความสดใสให้แก่ผืนดินของผมได้นานๆตลอดไปครับ” ผมพูดเบาๆใส่หูของเขา “ผมอยากให้คุณมีความสุขครับ.......”

เราสองคนยืนกอดกันอยู่เงียบๆครู่หนึ่ง

“รู้อะไรมั๊ยครับ........” เขากระซิบตอบใส่หูของผมเช่นกัน “คุณได้จูบแรกของผมไปถึงสามครั้งเลยนะ”

ผมดึงตัวเขาออกแล้วหัวเราะเบาๆ “ผมได้จูบแรกเหรอเนี่ย........ ดีใจจังเลย” ผมหอมแก้มเขา ส่วนเขาก็ยิ้มอายๆ “ผมคิดอยู่แล้ว่าคุณเป็นคนน่ารักและมีอารมณ์ขันจะตายไป ผมชอบรอยยิ้มของคุณจริงๆนะ”

“พูดจริงๆแล้วผมไม่รู้นะครับ ว่าผมจะทำได้ดีขนาดไหน ผมไม่อยากให้ไคล์ต้องมารับผิดชอบกับความรู้สึก และอดีตที่ติดตัวมาของผมนะครับ” เขาพูดออกมา

“ผมจะไม่รับผิดชอบอะไรทั้งนั้นครับ แต่ผมจะยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างเอง ในเมื่อช่องว่างของผมได้ถูกเติมเต็มแล้ว ผมก็จะดูแลไม่ให้มันต้องกลับไปว่างเปล่าและเดียวดายอีกต่อไป แน่นอน ไม่ใช่เพื่อผมและของตัวผมเอง แต่ทั้งหมดนี้มันรวมทั้งเพื่อคุณด้วยครับ พีท...... มันจะเป็นทุกสิ่งสำหรับ ‘เรา’” ผมใช้นิ้วโป้งเช็ดคราบน้ำตาบนแก้มของเขาช้าๆ “ผมอยากจะขอบคุณภูจังครับ ที่เขาเคยมอบความรักให้พีทมากขนาดนี้ ผมเชื่อว่าเขาต้องยังคงมองดูพีทอย่างมีความสุขอยู่แน่ๆ”

“ผมก็คิดว่าแบบนั้นเหมือนกัน........” พีทตอบและพยักหน้าออกมาช้าๆ “อยากจะรู้เรื่องทั้งหมดของเขามั๊ยครับ...... อยากจะดูรูปเขามั๊ย เดี๋ยวผมจะเล่าทุกอย่างให้ฟังเอง” เขาถาม

ผมพยักหน้าช้าๆ “คือ ผมก็ไม่แน่ใจนะครับ เพราะถ้ามันจะทำให้พีทต้องเจ็บปวด ผมก็ไม่อยากจะฝืนคุณ แต่ว่าถ้ามันจะทำให้ผมรู้จักพีทมากขึ้นและไม่ทำให้พีทลำบากใจล่ะก็ ผมยินดีครับ........ และผมเองก็จะเล่าเรื่องของผมให้พีทฟังเหมือนกัน”

หลังจากนั้น เราที่ยังมีเวลาก่อนจะต้องกลับไปยังห้องพักของพวกเราเพื่อผมซันกับศิลาอีกราวๆสามสิบนาที ผมกับเขาก็นั่งคุยกันบนเตียงถึงเรื่องในอดีตของเราทั้งสองคน เราต่างแลกเปลี่ยนอดีตและปัจจุบันของกันและกัน และภายในใจของผมก็หวังอยู่เงียบๆว่านับจากนี้ไป ผมกับเขาก็จะได้ใช้เวลาในการคุยถึงเรื่องในอนาคตที่เราสองคนจะมีร่วมกันด้วยเช่นกัน

คนเราทุกคนล้วนมีที่ว่างสำหรับสิ่งที่ดีที่สุดเสมอ....... ผมเพิ่งเข้าใจสิ่งที่ซันเคยบอกผมเอาไว้ก็ตอนนี้เอง ผมเคยคิดว่าช่องว่างของผมนั้นมันเกิดขึ้นเมื่อครั้งแรกที่ผมมีความรู้สึกให้แก่ซัน และเคยหวังว่าเขาจะเป็นคนๆนั้นที่มาเติมเต็มในส่วนที่เขาเองเป็นคนก่อให้มันเกิดขึ้น แต่ทว่าตอนนี้มันไม่สำคัญอีกแล้ว มันไม่สำคัญว่าช่องว่างนั้นมันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่หรือเพราะใคร แต่มันสำคัญที่สุดท้ายแล้วเราจะหาชิ้นส่วนที่มาเติมเต็มนั้นเจอได้หรือเปล่า....... และมันคงสำคัญยิ่งกว่าถ้าเราจะรักษาสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเราชิ้นนั้นเอาไว้ได้หรือไม่ ผมไม่เคยคิดที่จะยึดติดกับความสัมพันธ์แบบฉาบฉวย และผมก็ไม่เคยที่จะเพิกเฉยต่อความสัมพันธ์ใดๆที่เข้ามาเลยสักครั้งเช่นกัน แต่ว่าผมให้ความสำคัญกับความรู้สึกจริงๆของผมต่างหาก และในตอนนี้ ผมมีคนที่ผมมีความรู้สึกให้แล้วและเขาเองก็มีสิ่งๆเดียวให้กับผมด้วยเช่นกัน มันเป็นความรู้สึกลึกๆที่เราต่างก็รู้สึกกันอยู่ข้างในโดยไม่จำเป็นต้องพูดออกมา เพราะอย่างนั้น ผมก็พร้อมที่จะเก็บส่วนที่ดีที่สุดนั้นของผมเอาไว้ตลอดไป และผมก็พร้อมที่จะเป็นส่วนที่เติมเต็มช่องว่างของเขาคนนั้นด้วยเช่นกัน



(จบเรื่องเล่าของไคล์ – ตอนหน้ากลับสู่บทเรื่องเล่าของเมฆ)

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 26-09-2007 12:50:13
 :impress:
อ้าววว ยังไม่จบหรอกรึเนี่ยยยย แป่วววว  :m29:
ยังไงซะก็หวังว่าจะไม่มีเรื่องราวร้าย ๆ ระหว่างศิลากับฟ้าคราม และระหว่างผืนน้ำกับแผ่นดิน...
เอาใจช่วยให้คู่รักทั้งสองได้พบรักที่สวยงาม  :o8:
จะติดตามผลงานกันต่อไปครับบบบบ...หยุดไม่ได้ ขาดใจ
 :bye2:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: ~ScAreD:SAcreD~ ที่ 26-09-2007 13:24:53
โอ๊กกกกกกกกกกกกกกกกกกก  :m3: สำลักความสุขไปกับเรื่องนี้จริงๆ

อ่านจนจบเลยอยากให้มีคนมาเติมช่องว่างของเรามั่งจัง  :m3:

จากนี้อยากให้น้ำตาไหลเพราะอิ่มกับความรักที่เกิดขึ้นจากเรื่องนี้นะครับ
ไม่อยากให้มีเรื่องร้ายๆเกิดขึ้นเลยจริงๆ ให้ตายสิ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 26-09-2007 16:43:11
:m1:    "ที่ว่าง สำหรับสิ่งที่ดีที่สุด ของไคล์ กับ พี...ในที่สุดก้อถูกเติมเต็ม"     :m1:


 :m3:   :m3:   :m3:   :m3:   :m3:   :m3:   :m3:   :m3:   :m3:   :m3:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 26-09-2007 19:25:06
ผืนดินกับสายน้ำ  :m1:  :m1:  :m1: แล้วเราก็หากันจนเจอ  :m1:  :m1:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 26-09-2007 20:54:21
อ่านแล้วยิ้มไปด้วย ชอบจังเลยคู่นี้  :m3:  :m3:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของŪ
เริ่มหัวข้อโดย: ninaprake ที่ 27-09-2007 01:41:06
โห...... อิจฉาโชคชะตา ..... คนเราถ้าจะคู่กันอ่ะเนอะ  o9  ..... ทั้งๆที่คนที่อยู่ใกล้ๆตัวเรามีอยู่เป็นล้าน กลับไม่ "spark" แต่นี่เราเดินทางข้ามโลกมายังบังเอิญได้มาเจอกัน ..... เฮ้ออออ... :เฮ้อ: .... น้อยใจในชะตาตัวเองเจงๆๆๆ หรือว่าต้องลองออกเดินทางไปไหนดูซักที? หึหึหึ

เอา MV เพลงประกอบเรื่องตอนนี้มาให้ฟัง+ดูกันครับ ผมว่ามันก็เข้ากันดีกับตอนนี้นะ ..... 

http://truemusic2.truelife.com/home/player/player_mv.php?songguid=20050730203231123413

ผมว่าการที่คน 2 คนจากคนเป็นล้านคน ได้ "หากันจนเจอ" จนได้มารู้จักกัน เป็นเพื่อนกัน .. หรือถ้าโชคดีมากๆคือ ...จนได้มารักกัน ..... มันเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์มากเลยนะครับ .... ไม่รู้คนอื่นคิดงี้รึเปล่า   :impress:

โอ๊กกกกกกกกกกกกกกกกกกก  :m3: สำลักความสุขไปกับเรื่องนี้จริงๆ
อ่านจนจบเลยอยากให้มีคนมาเติมช่องว่างของเรามั่งจัง  :m3:
จากนี้อยากให้น้ำตาไหลเพราะอิ่มกับความรักที่เกิดขึ้นจากเรื่องนี้นะครับ
ไม่อยากให้มีเรื่องร้ายๆเกิดขึ้นเลยจริงๆ ให้ตายสิ

ไม่รู้ว่าผมพอจะเต็มช่องว่างให้เฮียได้มั๊ยครับ อิอิ  :m19:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : ช่วงเวลาที่ทับผ่าน ผ่านพ้น และ ยังมาไม่ถึง.....
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 27-09-2007 07:57:34
คนที่เรารักบางทีก็อยู่แค่ใกล้ๆตัว
พอหันมองแบบตั้งใจอีกครั้ง
เอ่อ ใช่นี่หวา
 o17 o17 o17 o17

ยังไงซะ อดีตก็มีผลต่อความรู้สึกเสมอ
เวลาจะช่วยเยียวยามันได้
 :m18: :m18: :m18:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 27-09-2007 12:21:46
ดีใจกับคู่ของพีกับไคล์จิงๆเลยคับ ซึ้งๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 27-09-2007 12:25:05
ตอนที่ 43


ผมตื่นขึ้นมาพร้อมๆกับเสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์มือถือของพี พอหันไปมองไอ้ซันก็เห็นมันยังคงหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ ผมจึงหันหน้าไปยังเตียงของไคล์กับพีและเห็นพีรีบกดปุ่มปิดเสียงจากนั้นก็ลุกขึ้นนั่ง แต่ว่าผมกำลังมองเขาทั้งสองคนอยู่ด้วยตาที่เกือบจะไม่ได้เปิดขึ้นมาเลย ทำให้ไคล์ที่เหลือบหันมามองผมและคิดว่าผมคงยังหลับอยู่ดึงตัวพีลงมาจูบลงที่ริมฝีปากเบาๆ เมื่อผมเห็นดังนั้นผมจึงแกล้งกระแอมออกมาดังๆ พีและไคล์ต่างก็สะดุ้งและหันมามองทางผม ผมจึงลืมตาขึ้นแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ

“อืมมมมมมม อิจฉาจริงว้อยยยย” ผมพูดค่อยๆ ไม่อยากปลุกให้ไอ้ซันตื่น “ดีนะที่เป็นพี่เห็น ถ้าเป็นไอ้แสบนี่ เราสองคนต้องโดนมันแซวแน่ๆ” ผมหัวเราะ

“นี่ก็โดนไปแล้วครับ” ไคล์ตอบกลับมา พียิ้มกว้างจากนั้นก็ก้มลงไปหยิบยูนิฟอร์มของตัวเองออกมาจากกระเป๋าแล้วเดินไปเข้าห้องน้ำ

ทั้งผมและไคล์ต่างก็มองพีเดินเข้าห้องน้ำไป เมื่อผมหันมาสบตากับไคล์ ผมก็ยิ้มกว้างแล้วก็พยักหน้าให้กับเขา ไคล์เองก็ยิ้มกว้างอย่างรู้ทันเช่นกัน เขาพยักหน้าเหมือนจะบอกว่าขอบคุณ จากนั้นจึงลุกขึ้นยืนแล้วก็เดินไปเคาะที่ประตูห้องน้ำ จากที่ๆผมนอนอยู่ตรงนี้ผมจะไม่สามารถเห็นหน้าประตูห้องน้ำได้ แต่เมื่อผมได้ยินเสียงประตูถูกเปิดออกและปิดลง ไคล์ก็ไม่ได้กลับมานอนที่เตียงอีก

“ทำตัวเป็นพ่อสื่อเหรอมึง” ไอ้ซันถามขึ้นทั้งๆที่ยังหลับตาอยู่

ผมหันไปหัวเราะให้กับมัน “ก็แค่อยากให้น้องๆสมหวังในความร๊ากกก”

“กูจะอ้วกกก” ไอ้ซันพูดแล้วพลิกตัวขึ้นมาคร่อมผม “กูพี่ชายมันนะ ทำไมไม่เห็นมึงถามกูก่อนเลย” มันยิ้มที่มุมปาก

“กูก็พี่เขยมันเหมือนกันนี่ กูต้องขอมึงด้วยรึไง” ผมหัวเราะในลำคอเบาๆ

“ไม่ต้องหรอก ถ้ากูได้ของตอบแทนจากการกระทำของมึงที่ไม่ยอมปรึกษากูก่อนน่ะนะ” เมื่อพูดจบไอ้ซันก็ก้มหน้าลงมาจูบกับผมทันที มือของมันป่ายลงไปยังเป้ากางเกงของผมแล้วก็ขยำเบาๆ

“เช้าๆหน่อยนี่ไม่ได้เลยนะ” ผมพูดขึ้นหลังจากที่ถอนปากออก

“ก็คงงั้น.......... แต่นี่มันเช้าเกินว่ะ ขอกูนอนต่อก็แล้วกัน” มันพูด แล้วก็พลิกตัวลงกลับไปนอนเหมือนเดิม แต่มือของมันก็ยังคงกุมที่เป้ากางเกงของผมอยู่

“นอนไปเหอะ สายๆค่อยตื่นไปกินข้าวเช้ากัน” ผมบอกมัน จากนั้นก็หลับตาลงเช่นเดียวกัน

หลังจากที่ผมนอนหลับตาอยู่สักพักก็ได้ยินเสียงประตูห้องน้ำถูกเปิดออก และได้ยินเสียงคนคุยกันเบาๆรวมทั้งเสียงของประตูห้องที่ถูกเปิดออกและปิดลง และหลังจากนั้นเมื่อทุกอย่างกลับสู่ความเงียบลงอีกครั้ง ผมก็ไม่ได้ยินเสียงหรือรู้สึกถึงอะไรอีกเลยนอกจากความอบอุ่นของผ้าห่มที่ผมซุกตัวนอนอยู่และไอ้ซันที่กำลังนอนเบียดอยู่ข้างๆผมเท่านั้น

เมื่อผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นเวลาเจ็ดโมงเช้าแล้ว และไคล์ก็ไม่อยู่บนที่นอนแล้วด้วย ผมคิดว่าเขาคงจะไปหาพีแน่ๆ ผมหันไปปลุกไอ้แสบของผมให้ตื่นขึ้น มันลืมตาขึ้นช้าๆแล้วก็บิดขี้เกียจอยู่บนเตียง

“อ้าว ไคล์ไปไหนวะ” มันถามเมื่อไม่เห็นไคล์นอนอยู่บนเตียง

“ไม่รู้ว่ะ คงไปหาพีมั๊ง”

“เหรอ...... อืมมมมม” ไอ้ซันบิดขี้เกียจอีกครั้งก่อนลุกขึ้นนั่ง “แม่ง ยังกะตัวมันติดกันแน่ะ ห่างกันหน่อยไม่ได้เลย”

“มึงจะไปรู้เขาได้ไง บางทีอาจจะไม่ใช่แค่ตัวแล้วก็ได้มั๊ง หรือบางทีต้องพูดเจาะจงว่า ตัว ‘ส่วน’ ไหนของเขาสองคนที่ติดกันน่ะนะ” ผมหัวเราะ

ไอ้ซันยิ้มแล้วเคาะหัวผมเบาๆ “ทะลึ่ง”

“น้อยกว่ามึงหน่อยนะ” ผมชะโงกไปหอมแก้มมันเบาๆ “ว่าแต่....... มึงคิดว่าไงวะ เรื่องของสองคนนั้นน่ะ”

“คิดว่าไงยังไงล่ะ”

“ก็...... ไม่รู้ว่ะ อย่างเช่น เขาจริงจังกันมากแค่ไหน แล้วตั้งใจจะคบกันจริงๆรึเปล่าอะไรแบบนั้นน่ะ”

“ถ้าเรื่องนั้น มึงคิดว่าไงล่ะ”

“กูก็ไม่รู้ว่ะ...... แต่ถ้าดูจากสายตาของกูและจากที่กูคิดนะ กูว่าดูทั้งสองคนก็มีความรู้สึกให้กันอยู่มากเลยว่ะ ไม่น่าจะแค่ชั่วครู่ชั่วคราว” ผมบอก

“อืมม งั้นมึงก็คงคิดเหมือนกู แต่ว่ากูอยากรู้เหตุผลว่าทำไมมึงถึงคิดอย่างนั้นนะ กูอยากรู้ว่ามึงคิดตรงกับกูรึเปล่า”

“กูคิดว่า กูดูจากสายตาของไคล์เอานะ แล้วก็ของพีด้วย คือ พีดูเปลี่ยนไปมากเลยจากในความทรงจำของกูอ่ะ หรืออย่างน้อยๆ กูว่าก็ดูต่างไปจากเมื่อตอนที่เราเจอเขาครั้งแรกเมื่อวานมากเลยด้วยซ้ำ” ผมพูด

“กูก็คิดคล้ายๆกับมึงเหมือนกัน แต่ว่ากูดูจากปฏิกิริยาของไคล์มันมากกว่า ที่ผ่านมามันไม่เคยสนใจหรือทำอะไรแบบนี้กับใครเลยจริงๆ คือ ก็เท่าที่กูรู้และมันเล่าให้ฟังน่ะนะ ตั้งแต่ก่อนที่กูจะคุยกับมันเรื่องที่มันชอบกูอีก มันเคยบอกกูว่ามันไม่เคยสนใจจะคบกับใครเลยจริงๆ น่าแปลกใช่มั๊ยละ คนหน้าตาดีระดับมัน แต่มันบอกว่า ถึงมันจะเคยมีคนอื่นๆอยู่บ้าง แต่อย่างมากมันก็แค่ออกเดทด้วยแค่สองสามครั้งแล้วก็คุยกันอยู่ช่วงหนึ่ง แต่พอรู้สึกว่าไม่ใช่ มันก็ไม่สานต่อเลย และที่สำคัญคือมันไม่เคยเข้าหาใครก่อนด้วย...... อืมมม จากนั้นกูก็มารู้ทีหลังน่ะนะว่าเป็นเพราะมันชอบกู และพอหลังจากที่กูเคลียร์กับมันแล้ว มันก็ยังไม่เคยคบใครอยู่ดีนั่นแหละ แต่พอตอนนี้ ดูมันมีความสุขแล้วก็จริงจังมากจริงๆ มันทั้งเริ่มเข้าหาก่อนและแสดงออกมาอย่างชัดเจนเลยด้วยว่ะ กูผิดสังเกตมาตั้งแต่ที่มันพาเขากลับมาเมื่อวานแล้ว แต่ถ้าพูดถึงดูออกชัดๆเลยก็ต้องตอนที่มันเดินเข้ามาพร้อมกันสองคนเมื่อคืนน่ะนะ มึงเห็นสายตาที่มันมองกันมั๊ยล่ะ”

ผมหัวเราะ “เห็นดิ่ และดูท่าว่าคนบางคนจะอิจฉาพวกเขาด้วยใช่มั๊ย”

“ใครอิจฉา มึงล่ะสิ ไอ้ตัวดี” ไอ้ซันพูดจากนั้นก็ขึ้นคร่อมผมอีกครั้ง ผมกับมันสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง มันจึงค่อยๆพูดออกมาเบาๆ “ไปอาบน้ำกันเถอะ”

“เดี๋ยวก่อน ว่าแต่ที่มึงเล่ามาเมื่อกี๊ มันแปลว่าไคล์ไม่เคยมีอะไรกับใครเลยเหรอวะ” ผมอดสงสัยไม่ได้ “แบบว่าหน้าตาระดับเขาเนี่ยนะ”

“กูก็ว่างั้น เพราะงั้นกูคิดว่ามันคงเคยมีเซ็กส์แหละ หรืออาจจะไม่เคย ไม่รู้เหมือนกันว่ะ ไม่อยากเดาไปเองเพราะมันไม่ใช่เรื่องของกู แต่ถึงมันจะเคยมีมันก็คงไม่บอกกูหรอก โธ่ มึงคิดว่ามันจะพูดเรื่องแบบนั้นกับกูเหรอวะ กูหมายถึง มึงคิดว่ามันจะ ‘กล้า’ เล่าให้กูฟังเรอะ”

“มันก็จริงของมึง” ผมยิ้ม “แต่ขอกูถามอีกเรื่อง”

“อะไรล่ะ”

“ถ้ามึงคิดว่าพวกเขาจริงจังกันจริง หมายถึงไคล์กับพีน่ะ แต่ว่าอีกไม่กี่วันเดี๋ยวเราก็ต้องกลับกันแล้วนะ มึงคิดว่าพวกเขาสองคนจะเป็นยังไงกันต่อไป” ผมถามความเห็น

“กูก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ที่แน่ๆ กูคิดว่าไอ้ไคล์มันก็รู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว และพีเองก็ต้องรู้ด้วยเหมือนกันนั่นแหละ มึงจำประโยคที่กูบอกไคล์มันเมื่อคืนได้มั๊ยล่ะ”

ผมพยักหน้า “ที่มึงบอกว่า ‘รู้ใช่มั๊ยว่าอะไรควรไม่ควร และรู้ใช่มั๊ยว่าอะไรจะเกิดขึ้น’ อะไรนั่นใช่มะ”

“ใช่ กูไม่จำเป็นต้องพูดมันออกไปตรงๆและไม่จำเป็นต้องพูดจบประโยดด้วยซ้ำ ไคล์มันก็เข้าใจความหมายของกูแล้ว และอีกอย่างนะ มันเป็นเรื่องของเขาสองคนว่ะ เขาต้องหาทางจัดการกันเอง เอาเถอะ ถึงจะอยู่กันไกล มันก็ไม่ใช่ว่าจะรักกันไม่ได้นี่นา”

“ก็คงทั้งใช่ และไม่ใช่มั๊ง....... กรณีของเรามันก็อีกอย่าง แต่นี่ถ้าไคล์กลับอังกฤษ และพีกลับไทย เขาคงไม่ได้เจอกันอีกเลยนะเว้ย เพราะไคล์ไม่จำเป็นต้องกลับไปเยี่ยมมึงที่ไทยแล้วนี่”

“ไม่รู้เหมือนกัน........ แต่ก็ไม่แน่หรอกนะ” มันยิ้มมุมปาก “เอาเหอะน่า ปัญหาของเขาก็ให้เขาจัดการกันเองเถอะ เราทำอะไรไม่ได้หรอก มึงอย่าคิดมากเลย”

“อืมมม” ผมพยักหน้า “กูก็ไม่ได้คิดมากหรอก แค่ไม่อยากให้เขาทั้งคู่รู้สึกแย่หรือผิดหวังอะไรแบบนั้นมั๊ง”

“กูเข้าใจ....... แต่ว่าตอนนี้เราไปอาบน้ำกันก่อนดีกว่า กูอยากอาบน้ำโคตรๆแล้ว” มันยิ้มกว้าง

“ก็ได้ แต่อาบอย่างเดียวนะ เดี๋ยวไม่มีแรงเดิน” ผมยิ้ม

“กูไม่สัญญานะ” มันหัวเราะ จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินจูงมือผมเข้าไปในห้องน้ำ

เราสองคนเดินเข้าไปในห้องน้ำพร้อมๆกัน หลังจากที่เราแปรงฟันเสร็จและต่างก็ถอดเสื้อผ้าออกกันออกจนหมด ผมก็เริ่มต้นโดยการเปิดน้ำและปรับให้อุ่นจนพอดีๆจากนั้นจึงค่อยๆผลักไอ้ซันให้เข้าไปอยู่ใต้สายน้ำช้าๆ ผมพลิกมันให้หันหลังให้กับผมแล้วจึงค่อยๆใช้สบู่ลูบไล้ไปตามแผ่นหลังของมันจนทั่ว ผมนวดที่หัวไหล่เบาๆ และไล่ลงมาล้างที่ก้นและน่องขาของมันด้วย มันส่งเสียงครางในลำคอออกมาอย่างพอใจตลอดเวลาที่ผมใช้มือลูบไล้ไปตามร่างกายส่วนต่างๆและออกแรงนวดไปพร้อมๆกันด้วย จนเมื่อด้านหลังของมันสะอาดดีแล้วผมจึงพลิกตัวมันให้หันกลับมาหาผม ทันทีที่มันหันกลับมา มันก็ประกบปากเข้ากับผมทันที เราแลกลิ้นกันอยู่ครู่หนึ่งจึงถอนปากออก และหลังจากนั้นผมก็ทำความสะอาดด้านหน้าให้กับมันเช่นกัน แต่แน่นอนว่ามันต้องแข็งรอผมอยู่แล้ว ผมจึงนั่งคุกเข่าลงแล้วใช้ปากให้กับมันจนเสร็จ จากนั้นจึงกลับมาเริ่มต้นทำความสะอาดร่างกายของมันต่ออีกครั้ง

เมื่อผมล้างสบู่ออกจากตัวของมันจนเสร็จหมดแล้ว ไอ้ซันก็ทำแบบเดียวให้กับผมบ้าง แต่มันเริ่มต้นที่ทางด้านหน้าของผมก่อน มันใช้สบู่ทำความสะอาดส่วนนั้นของผมอย่างอ้อยอิ่งจนผมพร้อมที่จะไปเต็มที่ มันถึงค่อยใช้ปากทำแบบเดียวกันกับผมจนเสร็จเช่นเดียวกัน และเมื่อล้างด้านหน้าเรียบร้อยแล้ว มันก็พลิกตัวผมให้หันหลังและทำความสะอาดร่างกายของผมอย่างแผ่วเบา โดยที่มันจะเน้นบริเวณแก้มก้นของผมนานเป็นพิเศษ

“ชอบรึไง” ผมหัวเราะออกมาเบาๆแล้วก็หันไปมองหน้าของมัน

“เด้งยังกะปีโป้แน่ะ” มันหัวเราะแล้วตีลงมาเบาๆ

เราสองคนหัวเราะขึ้นพร้อมๆกัน จากนั้นมันก็ล้างสบู่ออกจากตัวของผมจนหมด เราสองคนเช็ดตัวให้กันและกันแล้วจึงออกมาแต่งตัวด้านนอกห้องน้ำ เมื่อเราทั้งคู่ต่างก็พร้อมเรียบร้อยแล้ว เราจึงเดินออกจากห้องฝ่าอากาศเย็นยามเช้าไปยังคาเฟทีเรียเพื่อทานอาหารเช้ากันทันที

และก็เป็นอย่างที่เราสองคนคิดไว้ ไคล์กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะโซฟาตรงมุมร้าน ส่วนพีเองก็กำลังเดินเก็บจานอยู่ใกล้ๆนั้นด้วยเช่นกัน เมื่อเขาเห็นเราสองคนเดินเข้าไปหา ทั้งคู่ก็หันมายิ้มให้กับเราทันที

“กะไว้แล้วไม่ผิด” ผมหัวเราะขณะที่เดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงกันข้ามกับไคล์ ไอ้ซันเองก็มานั่งลงข้างๆผมเช่นกัน

“กินอะไรแล้วรึยังล่ะ” ซันถามไคล์ และเงยหน้าขึ้นไปถามพีด้วย “แล้วพีล่ะ กินข้าวเช้ารึยัง”

“ยังครับ” ทั้งคู่ตอบขึ้นพร้อมๆกัน

“พีทจะได้เบรคตอนเก้าโมงน่ะครับ ผมก็กะว่าจะกินข้าวตอนนั้นพร้อมๆเขาเหมือนกัน” ไคล์พูดขึ้น

“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ คนกำลังเยอะเลย เดี๋ยวจะโดนผู้จัดการออกมาด่าเอา” พีบอกพวกเรา จากนั้นก็เข็นรถที่ใช้ใส่จานเดินจากไป

ผมหันไปมองรอบๆตัวแล้วก็เห็นว่าตอนนี้มีลูกค้าเยอะจริงๆด้วย และพนักงานที่คอยเก็บโต๊ะก็มีแค่พีกับป้าแก่ๆอีกคนหนึ่งเท่านั้นเอง

“เฮ้ย เรามานั่งโต๊ะว่างๆแบบนี้มันไม่น่าเกลียดเหรอวะ กูว่ามันเบียดเบียนคนอื่นที่เขากำลังหาที่นั่งกันอยู่นะ” ผมหันไปพูดกับไอ้ซัน

“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน” มันพูดกับผม แต่ตากลับมองอยู่ที่ไคล์พร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก “ตอนนี้กูอยากรู้ว่าไอ้น้องชายกูคนนี้มันออกจากห้องมาตั้งแต่เมื่อไหร่มากกว่า”

“เอ่ออ คือ ผมก็ออกมาตอนทั้งคู่หลับนั่นล่ะครับ” ไคล์หัวเราะเบาๆ “ก็แปรงฟันเปลี่ยนเสื้อผ้าทำทุกอย่างเสร็จตอนที่ทั้งสองคนยังหลับอยู่นั่นแหละ........ แต่เห็นนอนเอามือกุมเป้ากันท่าทางจะอุ่นก็เลยไม่อยากกวน”

ผมกับไอ้ซันมองหน้ากันแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆเป็นการกลบเกลื่อนความเขิน จากนั้นเราสองคนก็ลุกไปซื้ออาหารเช้ามาทานกัน ผมซื้อเฟรนช์ โทสต์ ไอ้ซันซื้อเบรคฟาสต์ เบอริตโต และเรายังซื้อผลไม้มาให้ไคล์ทานเล่นเพื่อรองท้องไปก่อนด้วย นอกจากนั้นก็มีกาแฟสามถ้วยแล้วก็นมอีกกล่องหนึ่ง

“เอ้านี่ กินซะ ต้องรออีกตั้งชั่วโมงกว่า เดี๋ยวจะไม่ไหวซะก่อน” ซันบอกไคล์

“ขอบคุณมากครับ” เขาบอก จากนั้นเราสามคนก็นั่งทานอาหารด้วยกันพร้อมๆกับคุยเรื่องโปรแกรมการไฮค์ที่เราวางแผนเอาไว้ด้วย ดูท่าทางเรื่องการวางแผนเที่ยวในแกรนด์ แคนยอนนี่จะมีเรื่องให้เราคุยกันได้ไม่จบไม่สิ้นสักทีจริงๆ

“อ้าว ไคล์ได้เดินลงไปดูที่ไบรท์แองเจิ้ล เทรลล์มาแล้วเหรอ” ผมถาม

“ครับ ก็ตรงเฮอร์มิทนั่นแหละ พีทบอกผมว่ามันเป็นทางไฮค์ที่ง่ายและมีคนนิยมมากที่สุดด้วย” เขาตอบ

“แล้วเป็นไงมั่งล่ะ น่าสนใจมั๊ย” ซันถามขึ้นบ้าง

ไคล์ส่ายหัวแล้วก็หัวเราะเบาๆ “มันก็ขึ้นอยู่กับมุมมองของคนนะครับ”

“หมายความว่าไง” ผมถาม

“ก็..... น่าสนใจมันก็คงน่าสนอยู่ เพราะว่ามันเดินไปกลับเป็นระยะทางประมาณเกือบๆสิบไมล์ หรือถ้าไปจนสุดริมหน้าผาก็บวกเพิ่มไปอีกสามไมล์ แล้วก็เดินลงไปประมาณสามพันฟิตได้มั๊ง ใช้เวลาราวๆสองถึงสามชั่วโมงตอนลง และอาจจะมากกว่านั้นตอนขึ้น นอกจากนั้นก็คือ จนกว่าจะถึงปลายทาง มันจะไม่มีอะไรเลยนอกจากทราย หิน ดิน แล้วก็ขี้ล่อน่ะครับ”

ผมกับซันมองหน้ากันแล้วหันไปหาไคล์อีกครั้ง

“ล่อเหรอ” ผมพูดขึ้นอย่างสงสัย

“มันคืออะไรวะ” ไอ้ซันถามบ้าง

“หืมมม ไอ้ควาย” ผมหันไปด่ามัน “ล่อก็ตัวล่อไงมึง ลูกของม้ากะล่าน่ะ ไอ้บ้า”

“เออๆ กูรู้ ไอ้ห่า กูหมายถึงว่ามันเอาไว้ใช้ทำอะไรต่างหาก” มันหันมาด่าผมบ้าง

“แหม ไปได้น้ำขุ่นๆเลยนะครับ ไอ้แสบบบ”

ไคล์หัวเราะขึ้นอีกครั้งที่เห็นเราสองคนทะเลาะกัน

“ขำอะไร แหมเว้ย ดูท่าทางจะอารมณ์ดีจังนะครับ น้องชาย ตั้งแต่มีแฟนเนี่ย” ไอ้ซันหันไปกัดไคล์บ้าง

ไคล์หน้าแดงขึ้นมาทันที แต่ก็ยังคงมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าอยู่ และเขาก็ไม่ปฏิเสธคำพูดของซันด้วย

“มันเอาไว้ให้คนขี่ลงไปข้างล่างน่ะครับ สำหรับคนที่ไม่อยากเดิน” เขาตอบ “แต่แพงครับ แล้วก็ต้องจองล่วงหน้าเป็นปีเลย...... เห็นว่างั้นนะครับ”

“ยังไงๆพี่ก็ไม่คิดจะใช้มันหรอก มีขาก็ใช้ขาของตัวเองสิ อยากจะลงไปข้างล่างเองแต่ดันไปเบียดเบียนสัตว์อื่นอีกเนี่ยนะ” ผมพูด

“งั้นแปลว่ามึงคิดจะไปไฮค์แน่ใช่มั๊ย” ไอ้ซันถามย้ำ

“อื้ออ มึงไปมั๊ยล่ะ”

“ไปดิ่ มึงไปไหนกูก็ไปนั่นอยู่แล้ว” มันยิ้มให้ผมจากนั้นก็หันกลับไปหาไคล์ “ว่าแต่ไคล์กับพีล่ะ มีแผนจะไปรึเปล่า”

“ไปครับ ก็ไปกับพวกพี่นั่นแหละ” เขาตอบ

“อ้าว ไม่อยากไปด้วยกันแค่สองคนเหรอ” ซันถาม

“ไม่ล่ะครับ อยากไปกับทุกคนมากกว่า และพีทก็บอกว่ามันปลอดภัยดีกว่าด้วย ไปหลายๆคนก็สนุกดีออก หรือว่าพี่อยากไปกันแค่สองคนรึเปล่าล่ะครับ”

“ไม่อ่ะ ไปด้วยกันหลายๆคนนั่นแหละ สนุกดีแล้ว ไอ้ซันมันแค่อยากจะแน่ใจว่าพีกับไคล์อยากจะใช้เวลาอยู่กันตามลำพังรึเปล่าน่ะ” ผมตอบ

เรานั่งทานอาหารแล้วก็ดื่มกาแฟกันอีกนิดหน่อย ผมกับซันก็ลุกขึ้นเพื่อจะเดินไปดูของที่ร้านขายของที่ระลึก เราชวนไคล์ไปด้วยแต่เขาบอกว่าเขาอยากจะนั่งรอพีอยู่ที่นี่มากกว่า เพราะจากตรงนี้เขาสามารถมองเห็นพีได้เกือบตลอดเวลาไม่ว่าพีจะเดินไปส่วนไหนของร้านเลย เราสองคนจึงปล่อยให้เขาทำตามใจและเดินออกไปยังร้านขายของที่ระลึก แล้วก็เป็นอย่างที่ผมคาดเอาไว้ สินค้าแทบทุกชิ้นนั้นไม่ต่างจากร้านที่แมสวิคเลย ผมเดินไปหยุดอยู่ตรงมุมขายโปสการ์ดแล้วก็คิดว่าจะเลือกมาทั้งหมดสามแผ่นเพื่อจะส่งกลับไปให้พ่อของผมที่ประเทศไทยหนึ่งแผ่น ส่งไปให้พ่อและแม่ของไอ้ซันหนึ่งแผ่น และอีกหนึ่งแผ่นนั้น ผมคิดว่าผมจะส่งไปให้กับนัท

“มึงจะส่งโปสการ์ดเหรอ” ไอ้ซันเดินมาถามผมจากทางด้านหลัง

“ใช่ ส่งกลับไปบ้านกู บ้านมึง แล้วก็..... ให้นัทน่ะ” ผมตอบ

“อืมมมม........ ก็ดีนะ งั้นกูเขียนลงแผ่นเดียวกับมึงให้พ่อกับแม่กูด้วยเลยดีกว่า ไม่เปลืองดี”

“มึงจะไม่ถามกูเรื่องนัทเลยเหรอ”

“จะให้ถามว่าอะไรล่ะ”

“ก็อย่าง ส่งไปทำไม ทำไมถึงต้องส่ง และทำไมถึงคิดจะส่งอะไรแบบนั้นน่ะ”

 “นี่สรุปคือจริงๆแล้วมีแค่คำถามเดียวคือคำว่า ‘ทำไม’ ใช่มั๊ย แล้วมึงจะถามหลายๆอย่างให้มันฟังดูต่างกันหาพระแสงอะไรวะ” ไอ้ซันหัวเราะ แล้วเอามือมาวางลงบนหัวของผม “กูไม่ถามหรอกว่ะ เพราะถ้ามึงตัดสินใจแล้วล่ะก็ กูก็ไม่สงสัยเรื่องที่มึงคิดจะทำหรอก เพราะกูรู้ว่ามันไม่ได้มีความหมายอะไรที่จะมีผลต่อเราสองคนเลยแม้แต่นิดเดียว ใช่มั๊ย มันเรื่องส่วนตัวของมึงนี่ กูไม่เกี่ยว”

ผมยิ้มให้มันแทนคำตอบ แต่จากนั้นมันก็ดันตัวของผมให้หมุนไปหันหลังให้กับมัน

“ทำไรวะ” ผมถาม

“อยู่เฉยๆเหอะ” มันพูด จากนั้นก็อ้อมแขนมาทางด้านหน้าของผม มันกำลังจะใส่สร้อยคอให้ผมนั่นเอง “กูเพิ่งซื้อมาเมื่อกี๊ ไม่ต้องคิดจะถามมากหรอกน่า”

ผมหยิบจี้ที่สร้อยคอออกมาดู มันคือสร้อยแบบเดียวกับที่ผมชี้ให้มันดูเมื่อวาน แต่ที่จี้ของผมนั้นเป็นรูปเหมือนคนที่กำลังเป่าปี่และเต้นรำอยู่ ผมคุ้นๆว่ามันคือสัญลักษณ์ของแกรนด์ แคนยอนนี่เอง เมื่อพลิกดูด้านหลังก็เห็นตัวหนังสือถูกสลักเอาไว้ว่า ‘จอย’ ซึ่งแปลได้ว่า ‘ความสนุกสนาน’ หรือ ‘ความร่าเริง’ นั่นเอง

“กูก็คิดหนักเหมือนกันนะ ว่าจะให้มึงใส่อะไรดี กูเองก็อยากให้มึงมีความแข็งแรงหรือความสมบูรณ์อะไรพวกนั้นอยู่หรอก แต่คิดๆแล้ว กูชอบมึงที่ความร่าเริงและอยากให้มึงมีความสุขที่ได้อยู่กับกูไปตลอดเวลามากกว่าว่ะ”

ผมหันกลับไปมองหน้ามันแล้วก็แอบส่งจูบผ่านทางสายตาออกไป เพราะถ้าหากเราเผลอทำอะไรพิลึกๆตรงนี้ออกไปตอนนี้ล่ะก็ คนอีกกว่าสามสิบคนในร้านได้กรี๊ดกันจนร้านแตกแน่ และไอ้ซันเองก็ดูเข้าใจความหมายของผมดีด้วย เพราะมันเองก็ยิ้มกว้างและส่งสายตาแบบเดียวกันกลับมาให้แก่ผมเช่นกัน

เราสองคนเลือกซื้อโปสการ์ดและของฝากอื่นๆกันอีกสักพัก จากนั้นก็จ่ายเงินแล้วก็ข้ามไปยังที่ทำการไปรษณีย์ฝั่งตรงข้ามทันที เมื่อเรากลับเข้ามาในคาเฟทีเรียอีกครั้ง ผมก็เห็นพีกำลังยืนคุยกับผู้ชายคนหนึ่งอยู่ เมื่อดูจากบุคลิกและรวมกับการที่เขาติดป้ายชื่อเอาไว้ด้วย ผมจึงคิดว่าเขาน่าจะเป็นผู้จัดการของที่นี่แน่นอน เมื่อเราเดินเข้าไปใกล้พวกเขามากขึ้น ผู้ชายคนนั้นก็คุยกับพีเสร็จและเดินจากไปพอดี

“เกิดอะไรขึ้นรึเปล่าพี นั่นผู้จัดการใช่มั๊ย” ผมถามเขา

“ใช่ไอ้คนที่กวนตีนๆนั่นรึเปล่า” ซันถามขึ้นบ้างเช่นกัน

“อ๋อ ไม่ใช่ครับ คนนี้นิสัยดี เขามาบอกผมว่าผมไม่จำเป็นต้องทำสองกะก็ได้ครับถ้าผมไม่อยากทำ เพราะผู้จัดการอีกคนที่บอกให้ผมทำเมื่อวานนี้ วันนี้เขามาไม่ได้น่ะครับ และคนนี้เขาก็รู้ว่าผมทำแบบนี้มาบ่อยแล้ว เขาเลยอนุญาตให้ผมกลับบ้านได้ทันทีหลังจากหมดกะเช้านี่น่ะครับ” พีบอกพวกเรา

“อ้าว อย่างนี้ก็ดีน่ะสิ ไคล์รู้รึยัง” ไอ้ซันถาม เพราะว่าจากที่ๆเรายืนคุยกันอยู่นี่จะอยู่ทางฝั่งด้านหลังกำแพงที่ไคล์กำลังนั่งอยู่ และเขาก็คงไม่เห็นว่าผู้จัดการเดินมาคุยกับพีแน่นอน

“ก็ต้องยังอยู่แล้วล่ะ ไอ้บ้า ก็ผู้จัดการคนนั้นเขาเพิ่งจะเดินไปตอนเราเดินมาถึงนี่เองนะ ส่วนไคล์ก็นั่งอยู่หลังกำแพงนั่น เขาจะรู้ได้ไงล่ะ” ผมตอบแทนพี และไอ้ซันก็หันมาทำหน้าเซ็งใส่ผมทันที “ครับๆ ผมขอโทษครับ..... อย่าโกรธผมน้าาา” ผมรีบเดินเข้าไปโอบเอวมันแล้วทำเสียงอ้อน

“ระวังนะมึง เดี๋ยววันไหนกูงอนขึ้นมาจริงๆจะจับจูบปากแม่งต่อหน้าไอ้ฝรั่งพวกนี้ให้หมดเลย” มันบอกผม

“กูชักอยากจะเห็นมึงงอนขึ้นมาจริงๆซะแล้วสิวะเนี่ย” ผมหัวเราะ แต่จู่ๆไอ้ซันก็ทำท่าชะโงกเข้ามาจะจูบผมจริงๆทำเอาผมผงะหนีแทบไม่ทัน แม้แต่พีเองก็ยังหัวเราะออกมาเมื่อเห็นเราสองคนแบบนั้น ดูท่าทางเขาจะอยู่ในช่วงที่กำลังมีความสุขมากจริงๆ

“เอ่อ พี่เมฆ พี่ซันครับ ผมขออะไรพี่อย่างนึงได้มั๊ยครับ.......” เขาถามพวกเราสองคน

“อะไรล่ะครับ” ผมตอบ

“คือ ถ้าวันนี้ผมเลิกงานเร็ว พี่สองคนสนใจจะไปไฮค์ตั้งแต่วันนี้เลยมั๊ยครับ หรือว่าอยากจะไปวันอื่น.......”

เราสองคนมองหน้ากัน แต่ไอ้ซันก็ทำอย่างที่มันชอบทำเป็นประจำเวลาที่เราต้องตัดสินใจอะไร นั่นก็คือการยักไหล่ ซึ่งมีความหมายว่าให้ผมเป็นคนตัดสินใจเอาเอง

“มันจะทันเหรอครับ เห็นไคล์บอกว่ามันใช้เวลานี่นา” ผมถาม

“จะให้ทันก็ทันครับ แต่ว่า เรื่องนี้เอาไว้ก่อนก็ได้....... คือ พี่อย่าเพิ่งบอกไคล์ได้มั๊ยครับ ว่าผมไม่ต้องทำงานตอนบ่ายแล้วน่ะ แบบว่า ผมอยากจะบอกเขาด้วยตัวเองน่ะครับ” เขาก้มหน้าอายๆ

ผมกับซันมองหน้ากันอีกครั้งแล้วก็หัวเราะเบาๆ จากนั้นก็รับปากกับพีว่าเราจะไม่บอกไคล์ ไอ้ซันบอกเขาว่าเชิญเขาไปเซอร์ไพรส์ที่รักของเขาได้ตามสบายเลย และหลังจากที่ซันพูดออกไปแบบนั้น พีก็อายจนหน้าแดงขึ้นมาอีกครั้ง แต่ก็เหมือนกับไคล์ นั่นก็คือ เขาไม่คิดจะแก้คำพูดของไอ้ซันที่มันพูดไปว่า ‘ที่รัก’ เลยแม้แต่น้อย


หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 27-09-2007 12:40:09
อยากกินปีโป้ อิอิ :laugh:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 27-09-2007 15:57:46
o14      ปีโป้  เด้งดึ๋ง เด้งดึ๋ง... อิอิ   

คู่ไคล์ กะ พี ท่าจะไปกันได้สวยโนะ

คู่ ศิลา ก่า ฟ้าคราม     อย่าให้ต้องลุ้น อะไรที่ ทำให้หัวใจ ห่อเหี่ยวเลยนะ     :o11:

ตอนนี้ หนุ่มๆ ความมีความสุขดีจัง ชอบๆ   :m1:

เก็บความสุข กันให้เยอะๆ    :m26:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: ~ScAreD:SAcreD~ ที่ 27-09-2007 22:13:43
ไปปีนเขากัน ..... จากนั้นก็ฝนตก ..... จากนั้นก็เจอกระท่อมปลายนา

จากนั้นก็ ............... :m10:


เง้อ ฟุ้งซ่านล่ะ เรา  :try2: ก็คนมันมีความสุขเวลาอ่านเรื่องนี้นี่หน่า

มาต่อเร็วๆนะครับ ต้น

เด๋วซื้อปีโป้ให้กิน อิอิ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 27-09-2007 23:34:47
 :-[
เขินจังงงงง เห็นศิลากับฟ้าครามมีความสุข คนอ่านก็พลอยสุขไปด้วย แถมตอนนี้แผ่นดินกับผืนน้ำ
ก็ทำท่าจะไปด้วยกันได้ดี Happy คูณสองเลยยยยยยย  :m4:
คนธรรมดาเนาะ เวลามีความสุขก็ดีใจ อ่านไปแล้วก็กลัวววววว คนเขียนจะพรากมันไปเมื่อไรก็ไม่รู้
ยังคงติดตามต่อไปอย่างต่อเนื่อง....  :เฮ้อ:   
 :bye2:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 27-09-2007 23:59:04
เหมือนมาฮันนีมูนกันเลย
แรงดีไม่มีตก
 :m3: :m3: :m3:

แล้วไคล์เมื่อไหร่จะกิ๊กกะพีมั่งอ่ะ
 :m11: :m11: :m11:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของŪ
เริ่มหัวข้อโดย: Givesza ที่ 28-09-2007 00:10:28
มาโพรสแล้วค่ะ ติดตามอ่านตั้งแต่หน้าแรกเลย บทแรกเลยด้วย เหนื่อย..... :เฮ้อ:

กิฟ๊มีอารัยจาถามพี่หน่อยอ่ะค่ะ (ถ้าหนูคิดผิดขอโทษน่ะคิด อินมากไปหน่อย)

ถ้าเป็นเรื่องแต่งก็หน้าแตกอ่ะน่ะ ถ้าเป็นเรื่องจริง ก็...........ดีจัยด้วยน่ะค่ะ

พี่เมฆ กับ พี่ซัน (ตอนนี้ยังคบกันอยู่ป๊ะ)  อย่าหาว่าละลาบละล้วงเลยน่ะ หรือว่าเราอ่านไม่ครบน่ะ

ถ้าตอบ ขอบคุณมากน่ะค่ะ (นะค่ะ.....หนูก็เหมือนเจ๊จืดที่เขียนเกลียดตุ๊ดพูดมาได้อ่ะ อย่าว้ากานน่ะ ^ - ^)
อยากมีคู่อย่างนี้บ้างๆๆๆๆ อ่ะ เหงา...อิอิ  อ่านแล้วก็รักทั้ง สามคนอ่ะน่ะ ทั้งไคล์ ทั้งซัน ทั้งเมฆ ^ - ^

คู่นี้ น่ารักที่สุดอ่ะ ตอนนี้กอปทำเป็นเรื่องไว้ที่บ้านหละ เรียบร้อย เอาไว้อ่านแก้เหงา ขอบคุณน่ะคะ
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่กิฟ๊ชอบมากกกกกก สุดเลย ต่อๆๆๆ ค่ะ ขุดดๆๆๆ อิอิ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: ninaprake ที่ 28-09-2007 01:36:38
อยากกินปีโป้  o17   :m10:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: ~Brand New Beat~ ที่ 28-09-2007 02:21:38
จากนี้ไปก็คงมีแต่คนสวีทกันอะจิ หมั่นไส้+อิจฉาจังอ่า

โดยเฉพาะพีกับไคล์ มีความสุขกันจังน้า

ต่อไปก็ปีนเขาแล้วก็ไปกิ๊กๆกัน อิอิ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของŪ
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 28-09-2007 11:57:37
มาโพรสแล้วค่ะ ติดตามอ่านตั้งแต่หน้าแรกเลย บทแรกเลยด้วย เหนื่อย..... :เฮ้อ:

กิฟ๊มีอารัยจาถามพี่หน่อยอ่ะค่ะ (ถ้าหนูคิดผิดขอโทษน่ะคิด อินมากไปหน่อย)

ถ้าเป็นเรื่องแต่งก็หน้าแตกอ่ะน่ะ ถ้าเป็นเรื่องจริง ก็...........ดีจัยด้วยน่ะค่ะ

พี่เมฆ กับ พี่ซัน (ตอนนี้ยังคบกันอยู่ป๊ะ)  อย่าหาว่าละลาบละล้วงเลยน่ะ หรือว่าเราอ่านไม่ครบน่ะ

ถ้าตอบ ขอบคุณมากน่ะค่ะ (นะค่ะ.....หนูก็เหมือนเจ๊จืดที่เขียนเกลียดตุ๊ดพูดมาได้อ่ะ อย่าว้ากานน่ะ ^ - ^)
อยากมีคู่อย่างนี้บ้างๆๆๆๆ อ่ะ เหงา...อิอิ  อ่านแล้วก็รักทั้ง สามคนอ่ะน่ะ ทั้งไคล์ ทั้งซัน ทั้งเมฆ ^ - ^

คู่นี้ น่ารักที่สุดอ่ะ ตอนนี้กอปทำเป็นเรื่องไว้ที่บ้านหละ เรียบร้อย เอาไว้อ่านแก้เหงา ขอบคุณน่ะคะ
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่กิฟ๊ชอบมากกกกกก สุดเลย ต่อๆๆๆ ค่ะ ขุดดๆๆๆ อิอิ

ขอบคุณมากค้าบบบ  o14
เรื่องนี้เรื่องแต่งคับ แต่อ้างอิงจากสถานการณ์จริงส่วนตัวบ้างแค่นิดๆหน่อยๆน่ะคับ
ส่วนที่ว่าตอนนี้ยังคงคบกันอยู่รึเปล่านี่ ต้องลองอ่านจนจบนะคับ........ ใกล้แล้วล่ะ

ปล. อยากกินปีโป้กันเป็นแถบเลยนะคับพี่น้อง แหมๆ

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 28-09-2007 12:04:29
ตอนที่ 44


“ผมมีเรื่องสำคัญจะบอกกับซันนะครับ” ไคล์พูดขึ้นหลังจากที่เราสองคนกลับไปนั่งที่โต๊ะแล้ว

“ว่าไง ใช่เรื่องของพีรึเปล่า” ไอ้ซันถาม

“ก็....... ไม่เชิงหรอกครับ คือ ผมคิดว่าจะเลื่อนตั๋วเครื่องบินขากลับน่ะครับ” เขาบอกพวกเราสองคน

ผมกับไอ้ซันหันมามองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ แต่ก่อนที่เราจะได้พูดอะไรออกมา ไคล์ก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน

“ไม่ใช่อย่างที่คิดนะครับ คือ เมื่อเช้าผมโทรหาพ่อ และพ่อบอกว่าถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้ผมแวะไปที่แอลเอเพื่อไปเยี่ยมปู่กับย่าด้วยน่ะ เพราะงั้นผมก็คงต้องเลื่อนตั๋วเครื่องบินเป็นกลับคนเดียว”

“แล้วจะกลับยังไงล่ะ คนเดียวเนี่ยนะ” ผมถาม

“ครับ ไม่ต้องห่วงหรอก ผมบอกแล้วไงว่าผมเดินทางบ่อย แค่นี้ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว” เขาตอบ

“อันนั้นพี่ก็รู้ แต่พี่สงสัยเรื่องที่จะไปแอลเอยังไงมากกว่า” ผมยังคงสงสัยอยู่

“แอมแทร็คไงครับ จำที่ผมบอกได้มั๊ย สถานีรถไฟที่เราเคยเห็นตอนแวะที่แฟล็กสต๊าฟน่ะ จริงๆผมก็เคยขึ้นแอมแทร็คมาก่อนเหมือนกันครับ ไม่น่ามีปัญหาหรอก หรือไม่ก็ขึ้นเครื่องบินก็ได้”

“แล้วจะกลับเมื่อไหร่” ไอ้ซันถามขึ้นบ้าง

“นี่แหละครับ ที่ผมอยากจะปรึกษาซัน แล้วก็ศิลาด้วย” เขาพูด จากนั้นก็เหลือบหันไปมองทางพีที่กำลังยืนเช็ดโต๊ะอยู่ไกลๆ “คือ ผมพูดตามตรงเลยนะ ผมจริงจังกับพีทมากจริงๆ และผมก็ไม่ยากให้เวลาของผมกับเขาเหลือเพียงแค่สามวันกว่าๆแบบนี้เลยด้วย เพราะงั้น ผมคิดว่า ผมคงจะขออยู่ที่นี่ต่ออีกสักสองวันน่ะครับ นอนที่เคบินพีทนั่นแหละ จากนั้นผมจึงค่อยกลับไปแอลเอ ทั้งหมดนั้นมันก็น่าจะกินเวลาราวๆประมาณสี่ห้าวันได้มั๊งครับ”

“เรื่องนั้นพี่เข้าใจ แต่ว่าไคล์จะบอกพ่อกับแม่ยังไง ช่วงสองวันที่ไคล์อยู่ที่แกรนด์นี่น่ะ” ซันถาม

“ก็นั่นแหละครับ ที่ผมกังวล ผมอยากจะอยู่กับเขาจริงๆ ผมคิดว่าคงมีแค่พี่สองคนที่เข้าใจผม แต่ผมก็ไม่อยากจะโกหกพ่อกับแม่ด้วย”

“แล้วเรื่องโรงเรียนล่ะ” ผมถาม

“เรื่องนั้นไม่มีปัญหาจริงๆครับ ผมรับประกัน ผมมีเพื่อนที่ไว้ใจได้ และผมก็ทำเรื่องหยุดไปก่อนแล้ว ขาดเพิ่มอีกไม่กี่วันไม่มีปัญหาแน่ๆ” เขารับประกัน

“โอเค แล้วตกลงอยากให้พี่ทำอะไร” ซันพูด

“ไม่ใช่อยากให้ทำอะไรครับ แต่อยากจะขอคำปรึกษา ว่าผมควรจะทำยังไงดี” ไคล์พูดด้วยสีหน้าลำบากใจ

ผมกับซันมองหน้ากันครู่หนึ่ง จากนั้นผมจึงยิ้มออกมาและหันไปหาไคล์อีกครั้ง

“ไคล์รู้ใช่มั๊ย ว่าพี่น่ะยังว่างอยู่ ส่วนไอ้ซันเองก็ไม่มีเรียนแล้วในช่วงนี้” ผมยิ้ม ส่วนไอ้ซันพยักหน้าเหมือนพอจะเข้าใจที่ผมกำลังคิดอยู่แล้วด้วยเช่นกัน ผมหันไปหาซันแล้วยิ้มกว้าง “ซัน มึงอยากไปดิสนี่ย์แลนด์มั๊ย”

ไคล์หันมามองหน้าผมสองคนงงๆ จากนั้นจึงมีรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า “หมายความว่าทั้งสองคน......”

“ใช่ พี่คิดว่าพี่มีเวลาไปเที่ยวได้อีกนิดหน่อยนะ และพี่คิดว่าพี่เองก็ยังไม่ได้เที่ยวช็อปปิ้งหรือซื้อของฝากอะไรเลยด้วย ที่ฟินิกซ์ก็น่าสนใจดีนะ แถมจะหาตั๋วเครื่องบินไปแอลเอก็ไม่น่ายากด้วยสิ” ผมยิ้ม

“แล้วดูซิว่าคราวนี้ใครเป็นไอ้จอมวางแผนกันแน่” ไอ้ซันหัวเราะเบาๆ

“ก็กูบอกมึงแล้วไง กูอยากให้น้องๆสมหวังในความร๊ากกกกก”

ไคล์เองก็หัวเราะออกมาเช่นกัน “ขอบคุณมากเลยครับทั้งสองคน ขอบคุณจริงๆ”

“อย่าเพิ่งขอบคุณเลย เรามาวางแผนดีๆกันอีกทีดีกว่า” ไอ้ซันพูด “สรุปก็คือ ไคล์จะอยู่ที่นี่ต่อไปอีกสองวันใช่มั๊ย” ไคล์พยักหน้า จากนั้นไอ้ซันจึงเริ่มพูดต่อ “เอาล่ะ เมฆ กูเอาที่มึงพูดมาทั้งหมดมารวมๆกัน นั่นก็แปลว่า ระหว่างที่ไคล์อยู่ที่นี่ เราจะไปที่ฟีนิกซ์กัน และไปเจอไคล์ที่แอลเออีกที โดยที่ปล่อยให้ไคล์ไปเยี่ยมปู่กับย่าของเขา ส่วนมึงกับกูก็ปลิวเข้าดิสนี่ย์แลนด์ไปเลย อย่างนั้นรึเปล่า” มันหันมาถามผม

ผมพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม “กูก็สงสัยมานานแล้วนะ ว่ามึงอ่านความคิดกูได้ดีหรือว่ากูมันเป็นคนที่ดูออกได้ง่ายกันแน่เนี่ย”

ไอ้ซันยิ้มแล้วยักไหล่ ในขณะที่ไคล์หัวเราะเบาๆ

“แต่ก็ไม่เชิงถูกทั้งหมดหรอก เพราะกูคิดว่า ไคล์จะไปเจอเราฟีนิกซ์แล้วนั่งเครื่องไปแอลเอพร้อมกันรึเปล่า แต่กูก็ยังไม่รู้ว่าไคล์จะไปฟีนิกซ์หรือแม้แต่แฟล็กสต๊าฟเองยังไงอยู่ดี”

“จากนี่ไปแฟล็กสต๊าฟมีแท็กซี่ครับ พีทบอกผมเมื่อเช้า แต่ถ้าให้ไปถึงฟีนิกซ์นี่ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน” ไคล์บอก

“โอเค งั้นเรื่องต่อไปก็คือ พอไปถึงแอลเอแล้วจะทำยังไงต่อ ไคล์จะไปหาปู่กับย่าเลย แล้วเราก็แยกไปดิสนี่ย์แลนด์แล้วค่อยมาเจอกัน หรือว่าเราจะรอไปพร้อมๆกัน และอีกเรื่องก็คือเรื่องของวันเวลาที่ต้องคำนวณดูดีๆน่ะ เพราะเราก็ยังไม่รู้ว่านั่งรถไฟจากแฟล็กสต๊าฟไปแอลเอใช้เวลากี่ชั่วโมง แล้วก็เครื่องบินจากฟีนิกซ์ไปแอลเอกี่ชั่วโมงด้วย เราต้องดูเวลาให้มันตรงกันจริงๆถ้าเราคิดจะแยกกันเดินทางน่ะนะ” ผมพูด

“อืมมม...... ง่ายที่สุดเลยก็คงต้องแคนเซิ่ลตั๋วขากลับซะ แล้วไปขึ้นเครื่องกลับบ้านจากแอลเอเลยดีกว่า จะได้ไม่เสียเวลามากเกินไป และไคล์ก็ไม่ต้องหยุดเรียนหลายวันเกินด้วย” ไอ้ซันเสนอความคิด

“เฮ้ย อย่างนั้นมันจะดีเหรอวะ” ผมถาม

“อืมมม...... กูก็ไม่รู้ว่ะ แต่น่าจะดีที่สุดแล้ว เอาเป็นว่าเราไปเช็คดูก่อนก็แล้วกัน ว่ารายละเอียดของไฟลท์เป็นยังไงบ้าง จากนั้นก็ค่อยตัดสินใจ ตอนนี้เราก็แค่คิดทางเลือกเอาไว้เท่านั้นก็พอ”

“ผมขอโทษด้วยนะครับที่ทำให้ต้องลำบากกัน” ไคล์พูด

“ช่างเถอะ พวกพี่ไม่ซีเรียสอยู่แล้ว แต่จะทำอะไรก็ต้องรีบลงมือแล้วล่ะ ไม่งั้นมันจะสายเกินไปเอา แล้วก็ต้องโทรไปบอกพวกพ่อกับแม่ด้วย”

“นั่นสิ” ผมเห็นด้วย

“แต่ผมก็ยังไม่รู้อยู่ดีครับว่าเราจะหาข้อมูลเรื่องพวกนั้นยังไง นอกจากต้องใช้โทรศัพท์สาธารณะโทรไป ไม่งั้นก็ใช้อินเตอร์เน็ทแบบตู้ หักเงินจากบัตรเครดิต แต่มันก็แพงเป็นบ้าเลย” ไคล์พูด

“เรื่องนั้นไม่น่ามีปัญหานะ.......” ผมยิ้มแล้วหันไปพนักหน้าให้พีที่กำลังเดินมาพอดี “ลองถามคนๆนั้นดูดีกว่า”

เราสามคนหันไปมองพีเป็นตาเดียวกัน เขาเดินเข้ามาหาเราแล้วก็ทำหน้างงๆ แต่แล้วเขาก็ยิ้มออกมาแล้วก็นั่งลงข้างๆไคล์

“ผมเบรคแล้วคับ ครึ่งชั่วโมง ไปหาอะไรกินกันดีมั๊ย” เขาหันไปถามไคล์

ไคล์ยิ้มตอบ จากนั้นก็หันมาหาผมสองคน ผมและซันต่างก็พยักหน้าให้เขาจากนั้นทั้งคู่ก็ลุกขึ้นยืนแล้วก็เดินจากไป

“หมายความว่าไงวะ ที่ให้ถามพี” ซันหันมาถามผม

“ก็เรื่องเล่นเน็ตไง มึงคิดว่าเขาอยู่ที่นี่กันแล้วจะไม่ได้เล่นเน็ตเลยรึไง เมื่อวานที่กูคุยกับพี เขาบอกว่ามันมีที่เล่นเน็ตได้ แต่แขกทั่วไปที่มาพักไม่รู้จัก มีแค่พนักงานกับคนที่อาศัยอยู่ที่นี่เท่านั้นที่รู้” ผมเล่าให้มันฟัง

อีกไม่นาน ไคล์กับพีก็เดินกลับมานั่งที่โต๊ะของเรา ไคล์มีเวลาพักแค่ครึ่งชั่วโมงซึ่งหักเวลาที่ใช้ซื้ออาหารไปเมื่อครู่อีกเกือบสิบนาทีก็เท่ากับตอนนี้เราเหลือเวลาแค่ราวๆยี่สิบนาทีเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นเราจึงเล่าให้พีฟังย่อๆเกี่ยวกับการตัดสินใจของไคล์และเรื่องการวางแผนว่าเราจะทำยังไงกันต่อไปดี พีดูท่าทางจะดีใจมาก เพราะเขายิ้มกว้างและหันไปสบตากับไคล์อยู่แทบจะตลอดเวลา และเมื่อพีบอกไคล์ว่าตอนบ่ายวันนี้เขาไม่จำเป็นต้องทำงานแล้ว ไคล์ก็ดีใจมากเช่นกัน เขายิ้มกว้างแล้วก็แสดงออกมาให้เห็นได้อย่างชัดเจน นอกจากนั้นเมื่อซันบอกไคล์ว่าไคล์สามารถไปนอนกับพีได้ในคืนนี้ ทั้งสองคนก็ยิ่งดูมีความสุขมากขึ้นไปอีก

จนเมื่อได้เวลาที่พีต้องกลับไปทำงาน ผู้หญิงหน้าตาดีในชุดพนักงานแบบเดียวกับพีคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหาเขาแล้วถามเขาเป็นภาษาอังกฤษว่าพร้อมหรือยัง พีหันไปบอกเขาว่าเขาเวลาอีกสามนาทีแล้วจะตามไป จากนั้นเธอถึงได้เดินจากไป แต่ก่อนที่เธอคนนั้นจะไปก็ยังหันมายิ้มให้ผมกับไอ้ซันอีกคนละครั้งด้วย

“ใครน่ะ” ไอ้ซันถาม

“ชื่อเจนครับ เป็นฟิลิปปินส์” พีตอบ

“หน้าตาเหมือนคนไทยเลยนะ สวยด้วยสิ”

“มึงชอบอ่ะดิ่ แบบนั้นน่ะ สเป๊กมึงเลยนิ” ผมหันไปมองหน้ามัน “ผมยาว ตาหวาน ตัวเล็ก หุ่นดี เอ๊กซ์นิดๆ”

ไอ้ซันหันมายิ้มให้กับผม “รู้ดีไปหมดเลยนะมึงเนี่ย”

“มึงคิดว่ากูคบกับมึงมานานขนาดไหนแล้วล่ะ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชันเล็กน้อย

ผมสังเกตเห็นพีกับไคล์มองหน้ากันเล็กน้อยก่อนที่พีจะขอตัวกลับไปทำงานต่อ แต่ก่อนหน้าที่เขาจะลุกไปเขาก็บอกพวกเราว่าตอนบ่ายเดี๋ยวเขาจะพาพวกเราไปเล่นคอมที่เรคเซ็นเตอร์เอง เพื่อที่เราจะได้เสิร์ชหาข้อมูลเรื่องตั๋วเครื่องบิน ที่พัก และอะไรอย่างอื่นอีก ดังนั้นพวกเราจึงตัดสินใจจะกลับไปรอพีที่ห้อง และพอตอนบ่ายโมงค่อยกลับมาทานข้าวกลางวันที่เดิมแล้วกลับไปเคบินของพีพร้อมๆกับเขา

บ่ายวันนั้นเราทั้งสามคนไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นเลยนอกจากไปเยี่ยมพีที่ห้องของเขาแล้วก็เดินลัดป่าผ่านหมู่บ้านเป็นระยะเวลากว่าสิบห้านาทีเพื่อไปเล่นเน็ตที่เรคครีเอชั่น เซ็นเตอร์ ซึ่งตั้งอยู่ติดกับโรงเรียนแห่งหนึ่ง ระหว่างทางเราสี่คนคุยกันมากมายหลายเรื่อง โดยส่วนมากแล้วจะเน้นไปถึงเรื่องของแผนการที่เราคิดจะทำกันหลังจากจบทริปการท่องเที่ยวห้าวันสี่คืนของพวกเรานี่แล้วมากว่า โดยเฉพาะไคล์กับพีที่ดูกังวลว่าจะหาทางออกยังไงกันต่อไปดี

เมื่อเราเข้าไปข้างในเรคเซ็นเตอร์ พวกเราก็เป็นเป้าสายตาของบรรดาเด็กไทยที่มาทำงานที่นี่ทุกคนทันที พีอธิบายให้ทุกคนฟังว่าพวกเราเป็นแขกที่มาพักที่นี่ ซึ่งตอนแรกผมก็ไม่ค่อยจะสบายใจนักเพราะดูมันจะเป็นการเอาเปรียบพวกพนักงานหรือเปล่าที่เราได้มีอภิสิทธิ์มาเล่นอินเตอร์เน็ตฟรีที่นี่ แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครใส่ใจในเรื่องนั้นเลย ตรงกันข้าม หลังจากที่เราถูกแนะนำตัวและพูดคุยกับเพื่อนของพีสามสี่คนแล้ว เราต่างก็แยกย้ายกันไปประจำที่เก้าอี้หรือโซฟาหน้าคอมพิวเตอร์แลปท็อปของตัวเองและไม่มีใครเข้ามาพูดคุยหรือวุ่นวายกันและกันอีกเลย ซึ่งทำให้เราสี่คนได้มีเวลาค้นหาข้อมูลเรื่องของการเดินทางและการวางแผนวันเวลาที่จะใช้ในแกรนด์ แคนยอนของไคล์ และที่ฟินิกซ์ของผมกับไอ้ซัน และรวมถึงที่แอลเอของเราสามคนด้วย เมื่อได้ข้อมูลทุกอย่างครบหมดแล้ว พวกเราสามคนก็จัดการโทรไปขออนุญาตทางบ้าน จากนั้นก็โทรไปแคนเซิ่ลตั๋วเครื่องบินและจัดการจองตั๋วใหม่จนเสร็จเรียบร้อย และก็ไม่น่าเชื่อมากๆที่ทุกอย่างมันช่างง่ายดายและลงตัวไปเสียหมด

เนื่องจากว่าเรายังไม่มีโปรแกรมที่จะไปทำอะไรต่อ พวกเราสี่คนจึงยังนั่งเล่นเน็ตอยู่ต่ออีกสักพัก และมันทำให้พวกเราได้รู้จักคนไทยที่เป็นเพื่อนๆหรือรุ่นพี่ของพีมากขึ้นอีกสามสี่คนด้วย

“วันนี้พวกเราจะทำอาหารกินกันนะครับ สนใจไปมั๊ย” อาร์ม ผู้ชายคนหนึ่งที่ทำงานเป็นเฮาส์คีปเปอร์ให้กับยาวาพาย เวสต์ที่พวกเราพักถามขึ้นหลังจากที่เราคุยกันอยู่ได้สักพัก

“ปกติทำอาหารกันเองด้วยเหรอครับ” ผมถาม

“ใช่ครับ ก็อยู่ที่นี่นานๆ ถ้าไม่ได้กินอาหารไทยบ้าง พวกผมต้องตายแน่ๆ”

“ยิ่งไอ้นี่มันคนอีสานด้วย ถ้าไม่ได้กินอะไรแซ่บๆมันต้องลงแดงตายแน่ๆล่ะค่ะ” เอ๋ เพื่อนของเขาที่ทำงานด้วยกันพูดเสริม

“ก็แน่นอนล่ะ หรือมึงบ่นมากแล้วมึงจะไม่กิน อีนี่” อาร์มหันไปแหวใส่เอ๋ และตอนนั้นเองที่ผมเห็นว่าผู้ชายคนนี้ไม่ได้แมนร้อยเปอร์เซ็นต์แน่ๆ “พีไปกินด้วยกันสิ ซัน เมฆ แล้วก็ไคล์ ด้วยนะครับ ไม่ต้องเกรงใจไม่ต้องเกร็งหรอก ก็น่าจะมีคนไทยสักเจ็ดแปดคน แล้วก็พวกฟิลิปปินส์อีกสามสี่คนแค่นั้นเองมั๊ง”

“ฟิลิปปินส์พวกไหนครับพี่” พีถาม

“ก็พวกๆที่ทำงานที่ยาวาพายนั่นแหละ......” จากนั้นอาร์มก็อธิบายและพูดถึงเรื่องของปาร์ตี้คืนนี้กับบรรดาชื่อคนที่จะมาและชื่องานของพวกเขาซึ่งผมฟังไม่เข้าใจเลยแม้แต่นิดเดียว

ผมกับซันนั่งมองหน้ากันเงียบๆเพราะไม่รู้จะมีความเห็นในเรื่องนี้ยังไง อย่างแรกเลยคือถ้าพวกเราไป เราก็คงคุยอะไรกับเขาไม่รู้เรื่องเพราะไม่ได้รู้จักใครเป็นพิเศษเลยนอกจากพี และที่สำคัญ ถึงเราจะสนใจอยากไปยังไง แต่เรื่องนี้ผมรู้สึกว่าพีน่าจะเป็นแปรสำคัญที่ตัดสินใจและออกความเห็นมากกว่าคนอื่นๆ พีหันไปมองหน้าไคล์แบบลำบากใจเล็กน้อยก่อนที่จะหันมาหาเราสองคนแบบขอความเห็น แต่ถ้าดูดีๆมันเกือบจะเรียกได้ว่าเป็นสายตาแบบขอความช่วยเหลือมากกว่าขอความเห็นธรรมดาๆเสียด้วยซ้ำ

“พวกพี่สนใจมั๊ยครับ” พีถามพวกเรา

เราสามคนมองหน้ากันครู่หนึ่ง “ถ้าพีอยากไปพีก็ไปเถอะ ไม่ต้องเกรงใจพวกพี่หรอก ยังไงๆพวกพี่ก็มาแบบแขกอยู่แล้ว พี่ว่าพี่รู้สึกเกรงใจว่ะ” ผมตอบ

“เอางี้ก็ได้ครับ พีรู้เคบินพี่อยู่แล้วนี่ ถ้างั้นคืนนี้ถ้าจะไปก็ไปได้เลยแล้วกัน ทุกๆคนด้วยนะครับ อยากให้ไปจริงๆ นานๆทีจะได้เจอคนไทยมาเที่ยวทั้งที เนอะ” อาร์มหันไปหาเอ๋

“ใช่ค่ะ ไม่ต้องเกรงใจหรอก อาร์มมันทำกับข้าวอร่อยนะคะ ลองไปกินดู รับรองเด็ด” เธอยิ้มกว้าง

“แต่ตอนนี้พวกเราต้องไปแล้วล่ะครับ” อาร์มยกข้อมือขึ้นมาดูเวลา “สามโมงกว่าแล้ว ต้องไปซื้อของเตรียมไว้ก่อน ถ้ายังไง เอาไว้ค่อยเจอกันอีกทีนะครับ พี่ไปก่อนแล้วกันนะพี คืนนี้ สองทุ่ม อย่าลืม” อาร์มหันไปย้ำกับพีอีกครั้ง จากนั้นก็หันมาโบกมือให้พวกเราเช่นเดียวกับเอ๋ แล้วก็เดินจากไป

“พีอยากไปรึเปล่าล่ะ” ผมถามพีเมื่อเขาสองคนนั้นเดินออกจากเรคเซ็นเตอร์ไปแล้ว “ถ้าอยากไปก็ไปก็ได้นะ ไม่ต้องเกรงใจพวกพี่”

“เปล่าหรอกครับ คือสำหรับผมแล้ว ไอ้จะกินน่ะ กินเมื่อไหร่ก็ได้ครับ พวกเขาทำกินกันสองสามครั้งต่อสัปดาห์เป็นอย่างน้อยอยู่แล้ว แต่ผมแค่คิดว่า ถ้าพวกพี่จะเบื่อๆเพราะไม่มีอะไรทำคืนนี้ พวกพี่จะอยากไปกันมั๊ยเท่านั้นเอง”

“ไม่เบื่อหรอกน่า มาที่นี่มันก็สงบดีออก สบายใจดี และสำหรับพี่แล้วแค่ได้อยู่กับไอ้เมฆมันก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้วว่ะ เนอะ” ไอ้ซันหันมายักคิ้วให้ผม “แต่ที่สำคัญน่ะ คืนนี้เป็นคืนของเราสองคนนะ พี ไม่คิดอยากจะอยู่กับไคล์แค่สองคนตามลำพังมั่งรึไง”

“เปล่าครับเปล่า ไม่ใช่แบบนั้น” พีรีบปฏิเสธและหันไปมองไคล์ “ผมอยากจะอยู่กับไคล์เหมือนกันครับ แต่ก็ไม่รู้ว่าไคล์จะอยากอยู่กับผมแค่สองคนรึเปล่า หรือว่าอยากจะไปปาร์ตี้นั่นกับพวกพี่เมฆและพี่ซันด้วยน่ะครับ”

“ผมอยากอยู่กับพีทครับ” ไคล์ตอบอย่างหนักแน่น “ไปกินข้าวฟรีแบบนั้นมันก็ไม่เลวหรอก แต่ถ้าซันกับศิลาไม่ไป ผมก็ไม่เห็นมีเหตุผลที่ผมจะต้องไป สำหรับผมมันมีแค่สองอย่างเท่านั้นแหละ คืออยู่กับพวกเราทุกคนพร้อมหน้า กับ ผมอยู่กับพีทสองคนตามลำพัง และในเมื่อซันกับศิลาไม่ไปปาร์ตี้นั่นแน่ๆแล้ว ก็เหลือตัวเลือกแค่ว่าเราจะใช้เวลาคืนนี้อยู่ด้วยกันหมดทั้งสี่คน หรือว่าพีทจะอยากอยู่กับผมสองคนมากกว่าน่ะครับ” ไคล์พูดแบบจงใจกดดันพีอย่างเห็นได้ชัดจนผมทั้งรู้สึกขำและสงสารพีอยู่ในใจ

“จะไปทำอะไรก็ไป ไป๊ ไม่ต้องมาทำเป็นพูดกดดันพีเขาหรอก ไอ้น้องชาย” ไอ้ซันพูดขึ้นบ้าง “คืนนี้ไม่ต้องกลับมาที่ห้องเลยนะ นี่เป็นคำสั่ง”

ไคล์หัวเราะ ส่วนพีก็ยิ้มอายๆ “งั้นเรากลับไปเก็บเสื้อผ้าของใช้ผมสำหรับคืนนี้กันเถอะครับ แล้วจากนั้นก็ไปนั่งเล่นที่ห้องพีทกันมั๊ย กินข้าวเย็นด้วยกัน แล้วพี่สองคนก็ค่อยกลับไปนอนที่ห้อง ส่วนผมก็อยู่กับพีทคืนนี้”

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 28-09-2007 12:08:31
เราสี่คนตกลงจะทำอย่างที่ไคล์พูดจึงเก็บของบนโต๊ะและหิ้วแล็ปท็อปเดินออกจากเรคเซ็นเตอร์กลับไปยังแมสวิคคาเฟทีเรียเพื่อขึ้นรถชัตเติ้ลบัสกลับไปเก็บของยังห้องพักของเรา และเมื่อไคล์จัดของเรียบร้อยแล้ว เราสี่คนก็นั่งรถกลับมาลงที่ป้ายแมสวิคอีกครั้ง จากนั้นเราก็มุ่งหน้าไปยังเคบินของพี

ทันทีที่พีเปิดประตูเข้าไป ไคล์ก็เดินตรงไปนั่งและวางกระเป๋าลงบนเตียงที่ตั้งอยู่ฟากหนึ่งของห้อง ส่วนพีก็เดินไปเปิดไอพอดที่เสียบต่อเข้ากับลำโพงอยู่ ผมกวาดสายตามองไปรอบๆห้องก็ไม่เห็นมีที่นั่งที่อื่นนอกจากเตียงสองชั้นอีกตัวที่ตั้งอยู่อีกฟากหนึ่งของห้อง แต่ก่อนที่ผมจะได้ตัดสินใจอะไร ไอ้ซันก็ชิงเดินปีนขึ้นไปนั่งอยู่บนเตียงชั้นที่สองก่อนแล้ว

“เอ้า มาเร็วๆ” มันนอนลงบนเตียงแล้วก็ตบที่ว่างข้างๆเรียกให้ผมขึ้นไปหา

“มึงจะบ้าเรอะ เดี๋ยวเตียงก็หักหรอก”

“ไม่หักหรอกน่า มาเหอะ เร็วๆเข้า”

เมื่อผมหันมามองหน้าพีแล้วเขาไม่ได้ทักท้วงอะไร ผมจึงปีนขึ้นไปนั่งอยู่กับไอ้ซันบนเตียงชั้นสอง ดูจากสภาพของเตียงแล้วท่าทางจะไม่มีคนนอนมาสักพักใหญ่แล้วแน่ๆ

“ตกลงคืนนี้เราไม่ไปปาร์ตี้ที่เค้าเชิญใช่มั๊ย” ไอ้ซันถามขึ้น

“ก็คงงั้นแหละ ยกเว้นแต่ว่าถ้าพีอยากไปก็ไปได้นะครับ ตกลงกับไคล์เอาเอง ไม่ต้องกังวลพวกพี่ เออ ว่าแต่มึงล่ะอยากไปรึเปล่า กูไม่เห็นมึงพูดอะไรเลยนี่” ผมหันไปถามไอ้ซัน

“เฉยๆว่ะ กูไม่ได้รู้จักใครด้วย และมึงก็รู้ว่ากูไม่ค่อยชอบไปเป็นจุดสนใจในท่ามกลางคนที่กูไม่รู้จักเท่าไหร่หรอก กูไม่ได้ทำตัวง่ายๆสบายๆได้เหมือนมึง และอีกอย่าง กูไม่จำเป็นต้องมากินอาหารไทยที่นี่ก็ได้นี่ กูอยู่อังกฤษมาตั้งปีนึงแล้ว ชินซะแล้วว่ะกับอาหารฝรั่งเนี่ย แถมจากนี้ไปถ้ากูเกิดอยากกินอาหารไทยขึ้นมา กูก็มีพ่อครัวส่วนตัวแล้วด้วย ใช่มั๊ย” มันยิ้ม

“ค้าบบบ ดีเน้อออ คุณชายดีจริงๆ” ผมบีบจมูกโด่งๆของมันเบาๆ

“แม่ของผมก็บอกเหมือนกันว่าศิลาทำอาหารได้ แถมยังเคยบอกว่าอยากให้พี่มาช่วยทำงานที่ร้านเลยนะครับ”

“พี่ก็อยากอยู่นะ” ผมหันไปพยักหน้าให้ไคล์ “แต่คงต้องดูเรื่องเรียนให้เรียบร้อยก่อนน่ะ”

หลังจากนั้นเราก็คุยกันเรื่องอื่นๆทั่วๆไป เป็นการทำความรู้จักกันและกันให้มากขึ้น เพราะเมื่อคืนนี้เราก็แทบไม่ได้คุยกับพีเลยเพราะว่าเขาต้องรีบนอนและตื่นไปทำงานแต่เช้า เพราะฉะนั้นตอนนี้เราจึงมีเวลาเหลือเฟือที่จะทำความรู้จักความเป็นมาของแต่ละคนให้มากขึ้น แต่สุดท้ายผมกับซันก็ตกเป็นเป้าความสนใจมากกว่า ทั้งๆที่ผมกับมันก็อยากจะรู้เรื่องของพีมากกว่านี้แท้ๆ แต่ทั้งพีและไคล์ต่างก็ไซร้ถามถึงเรื่องราวความเป็นมาของเราสองคนตอนเรียนด้วยกันแทบจะทุกซอกทุกมุมทีเดียว โดยเฉพาะไคล์ที่ดูจะรุกเร้ามากกว่าปกติในเรื่องที่ทำให้ผม ซัน และพีได้เจอพร้อมหน้ากันเป็นครั้งแรก

“ก็อย่างนั้นแหละ พอมันกับพี่ไม่ได้คุยกัน และพอปิดเทอมแล้วก็ยังดูไม่มีอะไรคืบหน้าอีก พี่ก็เลยเซ็งๆ วันนั้นก็เลยตัดสินใจไปเดินเล่นนั่งเล่นที่โรงเรียน แล้วก็เลยได้เจอกับพี....... ไม่เหมือนใครบางคนหรอกที่ยังมีกะใจจะชวนเพื่อนไปเล่นเกมที่บ้าน”

“ปากดีนะมึง พูดเหมือนมึงไม่รู้เลยใช่มั๊ยว่ากูคิดมากเรื่องของมึงขนาดไหนน่ะ” ไอ้ซันพูดแล้วโหมตัวมาดึงตัวของผมลงไปนอนกอด เราสองคนนอนปล้ำกันอยู่พักหนึ่งจนดูเหมือนเตียงจะรับน้ำหนักไม่ไหวแล้วจึงหยุด

“แต่หลังจากนั้นพอพี่ตัดสินใจที่จะคืนดีกับมันในวันที่จะไปเที่ยวทะเลกับเพื่อนๆ พี่ก็ซื้อหนังสือเล่มนึงเอาไว้เป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายที่พี่คิดว่าพี่จะมอบให้แก่มันได้.......” ผมลุกขึ้นมานั่งแล้วเล่าต่อ “แต่สุดท้ายพี่ก็ไม่ได้มอบให้กับมันเพราะว่ารถแท็กซี่ที่พี่นั่งถูกรถอีกคันหนึ่งชนแล้วพี่ก็เลยหลับยาวไปเลย พอตื่นมาขึ้นมาอีกทีมันก็ไม่อยู่กับพี่แล้ว เหลือทิ้งไว้แค่หนังสือเล่มที่พี่ตั้งใจซื้อให้เล่มนั้นพร้อมที่คั่นหนังสืออันเล็กๆไว้อันนึงเท่านั้นเอง” ผมหันไปยิ้มให้กับไอ้ซัน มันเองก็ยิ้มตอบกลับมาเช่นกัน และผมรู้ดีว่ารอยยิ้มที่ผมมอบให้มันครั้งนี้นั้นไม่ใช่รอยยิ้มของความสุข ไม่ใช่รอยยิ้มของความเศร้า แต่เป็นรอยยิ้มของความทรงจำที่ทำให้รู้สึกอบอุ่นทุกครั้งที่นึกถึง ถึงแม้ว่ามันจะเป็นความทรงจำที่แสนเศร้าก็ตาม....... และรอยยิ้มของไอ้ซันที่มีให้ผมตอบกลับมานั้นก็คงจะเป็นเช่นเดียวกัน เพราะนอกจากรอยยิ้มอบอุ่นเศร้าๆนั้นแล้ว ผมยังมองเห็นความอบอุ่นฉายออกมาจากนัยน์ตาดำขลับของมันอีกด้วย

“แต่ที่ตลกก็คือ หนังสือเล่มที่มันตื่นมาเห็นนั่นน่ะ ไม่ใช่หนังสือของมันหรอก แต่เป็นเล่มที่พี่ซื้อให้มันเองต่างหาก เพราะพี่เองก็ตั้งใจจะคุยกับมันและเคลียร์ทุกอย่างในวันที่เราจะไปเที่ยวด้วยเหมือนกัน แต่กลายเป็นว่าหนังสือที่พี่ซื้อให้กับมันนั้นก็คือหนังสือเล่มเดียวกับที่มันตั้งใจจะซื้อให้กับพี่ด้วย” ไอ้ซันดึงตัวผมเข้าไปกอดและเล่าเรื่องที่เหลือต่อ ทั้งไคล์และพีมีสีหน้าประหลาดใจทันทีเมื่อได้ยินอย่างนั้น “สรุปก็คือพี่เอาหนังสือของมันติดตัวมากับพี่ ส่วนมันก็เก็บหนังสือที่พี่ซื้อให้มันเอาไว้ ทั้งๆที่มันต่างก็เป็นหนังสือเรื่องเดียวกัน”

“หมายความว่า พี่ทั้งสองคนใจตรงกันที่คิดจะซื้อของขวัญให้กันและกัน แล้วพอซื้อ ก็เลือกซื้อเป็นหนังสือเหมือนกัน แถมยังอุตส่าห์เป็นเรื่องเดียวกันอีกด้วยเพราะความบังเอิญอย่างนั้นเหรอ” ไคล์ถาม

ผมกับซันมองหน้ากันก่อนจะหันไปหาไคล์แล้วตอบออกไปพร้อมๆกัน “ใช่”

“ให้ตายสิ!” ไคล์พูดออกมาเบาๆ “ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ”

ในแว่บหนึ่งในสายตาของเขานั้นผมรู้สึกว่าเขากำลังคิดถึงเรื่องซันอยู่ แต่ไม่กี่เสี้ยววินาทีถัดมา แววตานั้นก็หายไปเมื่อเขาหันไปสบตากับพีแล้วก็ยิ้มกว้างให้แก่เขา

“เหมือนพรหมลิขิตเลยเนอะ” ไคล์พูด จากนั้นก็หันกลับมาหาผมสองคน “พี่สองคนเชื่อเรื่องนั้นมั๊ย”

ผมกับซันมองหน้ากันอีกครั้งก่อนที่ผมจะหันไปตอบ “พี่ว่าพี่สองคนมีความคิดเรื่องนี้เหมือนๆกันนะ ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเรียกว่าพรหมลิขิตรึเปล่า แต่พี่เชื่อว่าถ้าคนสองคนเกิดมาเพื่อได้คู่กันจริง ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องหากันจนเจอและได้อยู่ด้วยกันจนได้ มันไม่จำเป็นต้องเป็นรักแรกพบหรอก และไม่จำเป็นต้องเป็นความรักที่สวยงามไปตลอดจนบทสุดท้ายด้วย แต่มันต้องเป็นคนสองคนที่มาเจอกันและสามารถฟันฝ่าทุกๆสิ่งไปด้วยกันได้และยังคงมีกันและกันอยู่จนกระทั่งถึงวันสุดท้ายของชีวิตได้ต่างหาก เพราะงั้น พี่คิดว่า ‘พรหมลิขิต’ ของพี่สองคนก็คือ ‘เส้นทางที่เราเลือกจะเดินไปพร้อมๆกัน’ มากกว่า ‘เส้นทางที่ขีดให้เรามาเจอกัน’ น่ะ”

“ต้องนี่สิ ถึงจะเป็นแฟนกู” ไอ้ซันพูดพลางชะโงกหน้ามาหอมแก้มผม “เข้าใจมั๊ย ไคล์ พี ความรักของคนสองคนน่ะ มันไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นได้ในชั่วข้ามคืนได้หรอก แต่ก็ใช่ว่ามันจะเป็นไปไม่ได้ และไม่ใช่ว่ามันจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเราใช้เวลาเรียนรู้กันเป็นเดือนๆหรือเป็นปีๆ แต่ก็ใช่ว่าแบบนั้นมันจะเป็นไปไม่ได้อีกเช่นกัน เพราะว่าความรักคือสิ่งที่เราไม่สามารถทำอะไรได้ถึงแม้ว่าเราจะรู้จักมันดี ทุกสิ่งทุกอย่างมันเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว สำคัญแค่ที่ว่าเราจะเลือกเส้นทางเดินที่ถูกต้องและคล้องจองกันได้หรือไม่เท่านั้นเอง และเรื่องนี้เท่านั้นที่เป็นปัจจัยสำคัญของสิ่งที่เรียกว่าเวลา”

“ใช่ พี่จะไม่พูดหรอกนะว่า พี่กับไอ้ซันเป็นตัวอย่างของความรักที่ดีและสมบูรณ์แบบ เพราะถ้าให้พี่เดาจากสิ่งที่ไคล์หรืออาจจะพีด้วยคิดว่าพี่สองคนเหมือนจะถูกพรหมลิขิตชักพาให้มาเจอกัน ให้มาคู่กัน อืมมมม พี่ก็ยอมรับในจุดหนึ่งว่าพี่ ‘รู้สึก’ จริงๆว่าคนๆนี้คือคนของพี่ แต่ก่อนหน้านั้นพี่ก็เคยเจ็บปวดและสูญเสียมันไปแล้วเหมือนกัน และแน่นอน ไอ้ซันเองก็รู้สึกแบบเดียวกันกับพี่ เราต่างก็สูญเสียกันไปแล้วครั้งหนึ่ง หรือบางทีอาจจะสองครั้งหรือมากกว่านั้นอีกด้วยซ้ำ แต่ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือตัวของเราเอง อย่างเช่นพี่เองที่เริ่มต้นออกเดินทางไปบนเส้นทางที่พี่เชื่ออีกครั้ง พี่เดินไปบนเส้นทางที่ไคล์อาจจะเรียกว่า ‘พรหมลิขิต’ นั้นอีกหน และเพราะเหตุนี้พี่ถึงได้มานั่งมานอนอยู่กับมันตรงนี้ตอนนี้ได้ไง เพราะถ้าพี่มัวแต่รอโชคชะตาให้พี่ได้เจอกับมันโดยที่พี่ไม่ทำอะไรเลย พี่ก็คงไม่มีวันนี้แน่นอน”

“จริงๆแล้วไอ้เมฆมันอาจจะไม่ใช่เนื้อคู่ของพี่ก็ได้ ใครจะไปรู้ บางทีคบๆกันไปเราอาจจะเลิกกันก็ได้เนอะ และถ้าเป็นอย่างนั้น การที่ไอ้เมฆอุตส่าห์หอบผ้าหอบผ่อนมาตามหาพี่ถึงที่อังกฤษก็คงเป็นหมันแน่”

“ตลกแล้ว ให้มันน้อยๆหน่อย” ผมหยิกแก้มไอ้ซันเบาๆ “ใครบอกว่ากูหอบผ้าหอบผ่อนมาตามหามึงถึงที่นี่ ฮึ กูบอกแล้วไงว่ากูมาเรียน มึงน่ะ มันก็แค่ของแถม”

“แล้วถ้าเป็นอย่างนั้น เราจะรู้ได้ยังไงล่ะครับว่าเขาคือคนที่เราควรจะร่วมทางเดินไปด้วย” พีถามขึ้น ผมกับซันหันไปมองหน้าเขาพร้อมๆกันด้วยความแปลกใจ และพีก็เริ่มมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาอีกครั้งแล้ว “เราจะรู้ได้ยังไงครับว่าเขาคนนั้นจะคุ้มค่ากับการที่เราฝากหัวใจไปให้เขา อย่างที่พี่ซันพูด เราไม่รู้หรอกว่าคนๆนั้นจะเป็นคนที่ใช่รึเปล่า ถ้าอนาคตเราต้องเลิกกันและถ้าเกิดผมมอบหัวใจให้เขาไปแล้ว ถ้าเกิดผมทุ่มเทให้เขาไปมาก แต่สุดท้ายผมก็ต้องผิดหวัง แบบนั้นมันจะไม่เจ็บปวดเกินไปเหรอครับ อย่างพี่เมฆไงครับ ถ้าเกิดพี่ต้องผิดหวังขึ้นมา มันไม่เท่ากับพี่ทิ้งทุกอย่างที่ประเทศไทยไปเพื่อมาเจ็บปวดมากกว่าเดิมหรอกเหรอ”

ไคล์หันไปมองหน้าพีอย่างกังวล เขาเอื้อมมือออกไปเล็กน้อยเหมือนอยากจะกุมมือของพีเอาไว้ แต่สุดท้ายเขาก็หยุดอยู่ที่กลางทางเมื่อพีเริ่มพูดต่อ

“เหมือนกับที่คนเขาพูดกัน รักใครอย่าให้ใจไปเต็มร้อย จงเผื่อใจไว้ให้ตัวเองเจ็บด้วย เหมือนกับที่ใครๆก็รู้กันว่าทุกๆวันนี้มีคนต้องผิดหวังเสียใจและเจ็บปวดเพราะความรักไม่สมหวังเนื่องจากเรารักเขามากเกินไปแต่สุดท้ายก็ต้องจากกัน และถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว ผมจะทำยังไงล่ะครับ จะให้ทำแบบพี่สองคน ให้ทำแบบพี่เมฆที่ยอมเสี่ยงถึงขนาดบินไปถึงอังกฤษโดยที่ไม่รู้ว่ามันจะเป็นยังไงต่อไปในอนาคตเนี่ย ผมจะทำได้ยังไงกันครับ” พีพูดออกมาด้วยสีหน้ากังวลและสับสน นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเคยเห็นเขาเป็นแบบนี้ทีเดียวและมันทำให้ผมรู้สึกไม่สบายใจเลย ไม่ใช่เรื่องที่เขาพูดหรอก แต่เป็นสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่ต่างหาก.......... ดูท่าทางเขาคงจะเคยมีบาดแผลจากความรักอยู่ข้างในใจมาแล้วจริงๆด้วย

“พี่บอกแล้วไงครับว่าพี่สองคนไม่ใช่คู่ที่เพอร์เฟ็กต์หรอก อย่างที่พีพูดว่าคนข้างนอกห้องนี้หลายต่อหลายคนที่ทุ่มเทให้ความรักแล้วสุดท้ายก็กลายเป็นสูญเปล่า จนบางคนถูกเรียกว่ากลายเป็นคนโง่ก็เพราะทำทุกอย่างให้คนรักมากจนเกินไป แต่พี่ไม่ใช่ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือสติ เราต้องรู้จักตัวเองและสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ พี่ทุ่มเทให้ความรักก็จริง แต่พีฟังพี่ดีๆนะครับ ไคล์ก็ด้วย........ พี่น่ะ รู้จักกับไอ้ซันมานานแล้ว ครั้งแรกที่เราเจอกันเราก็ไม่ใช่ว่าปิ๊งปั๊งกันทันทีหรอก ก็ใช่ที่พี่ยอมรับว่าพี่ประทับใจในตัวมันตั้งแต่แรกพบ แต่นั่นมันก็ยังไม่ใช่ความรัก เราใช้เวลาเรียนรู้กัน เป็นเพื่อนกัน จนเราทั้งคู่ต่างก็เริ่มรู้สึกถึง ‘สิ่งๆนั้น’ ข้างในใจมากขึ้นเรื่อยๆ เราใช้เวลาในการบ่มเพาะจนแน่ใจว่ามันคือ ‘ความรัก’ จริงๆและจนมีความกล้ามากพอที่จะแสดงออกออกไป เราเองก็เคยทะเลาะกันมีปัญหากัน แน่นอนอยู่แล้ว และพี่เองก็ทุ่มเทความรักความหวังดีทุกๆอย่างให้มันมากด้วย แต่ขอย้ำว่าไม่มากจนเกินไป เข้าใจมั๊ยครับ พี่ไม่ทำร้ายตัวเอง พี่รักมันแต่พี่ก็ยืนอยู่บนความเป็นจริงด้วย พี่รู้ว่ามันเป็นคนยังไงดีพอที่จะไม่หน้ามืดตามัว พี่ฟังคำของคนรอบข้าง พี่ฟังเพื่อน ไม่ใช่ไม่รับรู้อะไรเลย เราไม่สามารถรักกันอยู่แค่สองคนบนโลกได้ นั่นแหละ คือเหตุผลที่พี่สองคนสามารถฟันฝ่าอะไรด้วยกันมาหลายต่อหลายอย่าง ทั้งๆที่เรานั้นก็รักกันแต่เราไม่เคยพูดออกไปให้กันและกันได้รู้ สุดท้ายมันก็ถูกบีบอยู่ภายใต้กรอบของคำว่า ‘เพื่อน’ และเชื่อพี่เถอะ ว่าตอนนั้นน่ะ มันไม่ง่ายเลยจริงๆ”

“ไอ้เมฆพูดถูกแล้ว และสิ่งที่มันพยายามจะบอกก็คือ การที่มันเลือกพี่นั้น มันไม่ได้เลือก ‘พี่’ จริงๆหรอก แต่มันเลือก ‘ตัวมันเอง’ ต่างหาก มันเลือกที่จะทำตามความตั้งใจของมันเอง มันเลือกที่จะเดินไปในเส้นทางของมันที่จะทำให้มันมีความสุขและไม่เสียใจกับสิ่งที่มันทำหรือไม่ได้ทำลงไปมากที่สุด เข้าใจมั๊ย”

“ใช่ครับ ที่พี่ตัดสินใจมาเรียนที่อังกฤษ พี่ไม่ได้มาเพราะความหวังที่พี่จะได้กลับมาเจอไอ้ซันหรือได้คบเป็นคนรักกับไอ้ซันหรอก แต่พี่มาพร้อมกับความกังวลในใจแบบสุดๆเลยต่างหาก ตอนนั้นพี่แทบไม่ได้คุยกับมันเลย อะไรทำให้พีคิดว่าพี่จะกลับมาแล้วแฮปปี้เอ็นดิ้งกับมันล่ะ พี่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคิดยังไงกับพี่กันแน่ แต่พี่รู้อยู่อย่างเดียวว่าพี่รู้สึกยังไงกับมันและพี่ก็ซื่อสัตย์กับหัวใจของพี่เองพอด้วย พอจะนึกออกมั๊ยครับ พี่เองก็เผื่อใจเอาไว้เช่นกันอย่างที่พีบอกนั่นแหละ ตอนก่อนที่จะมาอังกฤษน่ะ ทางเดินของพี่มันก็ไม่มีไอ้ซันอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นพี่ไม่ได้คิดว่าพี่จะต้องได้กลับมาเดินเคียงคู่กับมันอีก พี่แค่เลือกเดินไปในเส้นทางที่พี่คิดว่าพี่จะเดินได้อย่างมีความสุขที่สุดเท่านั้นเอง และพี่ก็เผื่อใจเอาไว้แล้วด้วยว่าพี่คงไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนเดิมกับมันได้แน่นอน ไม่ต้องนับว่าให้มาเป็นแฟนกันหรอกครับ พี่ไม่ได้หวังเลย เพราะอย่างที่บอกไง ไม่มีใครรู้อนาคตหรอก แต่พี่แค่มีความหวังที่ว่า ‘ขอแค่พี่ได้เจอมันและเห็นมันมีความสุข เท่านี้ความรักของพี่ก็สมหวังแล้ว’ เข้าใจมั๊ยครับพี พี่อยู่ที่ไทยพี่ก็ไม่มีความสุขแม้แต่นิดเดียวอยู่แล้ว และพี่มาที่นี่พี่มาเพื่อเรียนต่อจริงๆ แต่พี่ขอแค่ได้เห็นหน้าไอ้ซัน พี่ก็พอใจมากแล้ว ไม่จำเป็นเลยที่ต้องได้รักเขาหรือถูกเขารัก และถึงแม้พี่อาจจะต้องเจ็บหนักอย่างที่พีบอกในภายหลัง แต่ว่ามันก็เป็นทางที่พี่เลือกเอง เพราะงั้น พี่มีความสุขกับการตัดสินใจของพี่ครับ สิ่งนี้เท่านั้นที่พี่สามารถพูดได้เต็มปาก......... เลือกเดินในเส้นทางที่เราจะไม่เสียใจไปกับมันมากที่สุด”

“เฮ้ย....... นี่มึงคิดอย่างนั้นจริงๆน่ะเหรอ” ไอ้ซันถามผมบ้างเมื่อผมพูดจบ “ที่ว่ามึงมาโดยไม่ได้คิดว่าเราจะได้คบกันเลยแม้แต่นิดเดียว ที่ว่าแค่มึงได้เห็นหน้ากูมึงก็มีความสุขแล้ว.........”

“ใช่ ซัน กูไม่เคยคิดแม้แต่นิดเดียวว่ากูกับมึงจะได้มามีวันนี้ กูขอแค่ว่ากูได้เจอหน้ามึงและเห็นมึงสบายดี หรืออย่างน้อยๆ ได้เป็นเพื่อนกับมึงอีกครั้ง กูก็พอใจแล้ว” ผมจูบลงบนหน้าผากของมันเบาๆ จากนั้นก็หันมาหาพีกับไคล์อีกครั้ง “พี่เผื่อหัวใจเอาไว้นานแล้วครับ เผื่อไว้ตั้งแต่วินาทีแรกที่พี่รู้ว่าพี่รักมันแล้ว เพราะมันเป็นความรักของชายกับชาย ใครจะรู้ว่าความรักแบบนี้มันจะมีวันสมหวังได้ด้วยล่ะ ถ้าจะเปรียบเทียบกับที่พีพูด เผื่อหัวใจไว้ห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ตอนนั้นพี่ก็เผื่อไว้ครับ แต่พี่ไม่ได้เผื่อไว้สำหรับเจ็บ พี่เผื่อไว้สำหรับรักตัวพี่เองต่างหาก และถึงพี่จะเหลืออีกห้าสิบเปอร์เซ็นต์นั้นไว้รักมัน แต่มันก็เป็นห้าสิบเปอร์เซ็นต์ที่พี่ให้มันไปเต็มๆ เข้าใจมั๊ยครับ พี่ให้มันเต็มร้อยในหัวใจครึ่งดวงของพี่นั้น และความรักครึ่งดวงๆนั้น มันก็มีให้ไม่น้อยกว่าคนอื่นๆที่รักใครๆแบบหัวใจทั้งดวงด้วย”

เมื่อผมพูดจบไอ้ซันก็คว้ามือผมไปกุมเอาไว้ทันที

“ถ้างั้นแล้วความตายล่ะครับ.........” พีพูดขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เสียงของเขาสั่นไหว และมีน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาของเขาด้วย “ถ้าคนที่เพอร์เฟ็กต์ทุกอย่างแบบที่พี่พูดมีอยู่จริง และผมก็รู้สึกแบบที่พี่พูดทุกอย่างให้กับเขาคนนั้น และเขาคนนั้นก็รู้สึกแบบเดียวกันกับผมด้วย แต่สุดท้ายความตายก็มาพรากเราให้จากกัน แล้วผมจะทำยังไงครับ ผมจะรู้ได้ยังไงว่าเขาคนนั้นคือคนสุดท้ายหรืออาจจะไม่ใช่คนสุดท้ายสำหรับผม และถ้าหากว่าเขาคือคนที่เกิดมาเพื่อคู่กับผมจริง ทำไมเขาถึงต้องมาตายจากผมไปด้วย หลังจากนั้นแล้วผมจะสามารถมีคนที่ดีกับผมได้เท่ากับเขาและคนที่ผมสามารถมอบความรักให้ไปได้แบบที่ผมเคยรักคนๆนั้นเหรอครับ พี่เมฆ ผมควรจะรู้สึกยังไงดี............” พีพูดออกมาพร้อมๆกับน้ำตาที่ไหลลงมาอาบแก้มของเขามากขึ้นเรื่อยๆ เสียงของเขาสั่นเครือและตัวของเขาก็สั่นเทาเพราะความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ภายในใจ ไคล์เขยิบเข้าไปหาพีแล้วกอดเขาไว้ในวงแขนเบาๆโดยที่ไม่พูดอะไรออกมาเลย

ผมรู้สึกตื้อแน่นข้างในหน้าอกอย่างบอกไม่ถูก เมื่อได้ยินเรื่องนั้นและเห็นพีเป็นแบบนี้แล้ว ผมเองก็เริ่มรู้สึกถึงความเจ็บปวดและความรู้สึกผิดที่เป็นคนเริ่มพูดเรื่องพวกนี้ขึ้นมาทันที ผมอยากจะหาคำพูดออกมาบรรยายความรู้สึกออกไปและอยากจะช่วยพูดให้พีรู้สึกดีขึ้น แต่ผมก็ไม่สามารถทำได้ อะไรบางอย่างมันมาจุกอยู่ที่คอหอยของผมทำให้ผมได้แต่นั่งนิ่งพร้อมๆกับความรู้สึกเลวร้ายนั่นอยู่อย่างนั้น........... ผมไม่เคยรู้เลยว่าคนๆหนึ่งจะสามารถแบกรับความรู้สึกเจ็บช้ำและความสับสนเอาไว้ได้มากถึงเพียงนี้

“คนเราทุกคนมีที่ว่างสำหรับสิ่งที่ดีที่สุดเสมอ พี” ไอ้ซันชันตัวขึ้นนั่งแล้วก็พูดขึ้น ผมหันไปมองมันด้วยความประหลาดใจ “เขาคนนั้นคงเป็นคนที่ดีที่สุดสำหรับพีจริงๆ และพีเองก็เป็นคนที่ดีที่สุดสำหรับเขาด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย แต่นอกเหนือจากเส้นทางที่เราเลือกจะเดินแล้ว ความตายเป็นเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่เราไม่สามารถทำอะไรได้ พี่บอกแล้วไงครับว่าพี่ไม่เชื่อเรื่องพรหมลิขิตหรือเนื้อคู่ ของสองสิ่งนั้นมันจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อคนสองคนร่วมมือกัน อย่างเช่นตอนนี้พี่ถึงจะเชื่อว่าไอ้เมฆคือเนื้อคู่ของพี่และการที่เราสองคนได้มาคบกันแบบนี้ก็เป็นเพราะพรหมลิขิตจริง แต่นั่นคือหลังจากที่เราฟันฝ่าอะไรมาด้วยกันแล้วต่างหาก เพราะฉะนั้น ฟังพี่ให้ดีๆนะครับ ช่วงเวลาในอดีตนั้นก็คือช่วงเวลาในอดีต มันผ่านพ้นไปแล้ว มันคือทางเดินที่ถูกทิ้งเอาไว้ข้างหลังแล้ว และไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันคือสิ่งที่สวยงามที่สุดในชีวิตของพีด้วย แต่ตอนนี้พีต้องเดินต่อไปข้างหน้า พีไม่สามารถเดินคนเดียวได้ เขาไม่ใช่คนสุดท้ายสำหรับพีหรอก พียังอายุน้อยเกินไปกว่าจะยึดติดกับคนๆนั้นให้เป็นคนสุดท้าย พีต้องได้เดินร่วมทางเดินกับเขาก่อน ได้ใช้ชีวิตกับเขา ได้ทุกข์ได้สุข ได้ฝ่าฟัน และแน่นอน ได้วางแผนอนาคตที่จะมีร่วมกันด้วย พี่ไม่รู้หรอกว่าพีได้ทำเรื่องแบบนั้นกับเขาหรือยัง แต่ถ้าเขามาด่วนจากพีไปก่อนแบบนี้ และถ้าเกิดว่าตอนนี้หรือตอนไหน ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่พี ‘บังเอิญ’ มีความรู้สึกดีๆให้กับคนๆหนึ่งขึ้นมา ก็ลองเปิดใจดูสิ ถ้าคนๆนั้นที่จากไปเขาไม่สามารถจะใช้ชีวิตและอนาคตร่วมกับเราได้ แต่เขาก็ให้อดีตกับเรามากเกินพอที่จะใช้มันเป็นพื้นฐานของปัจจุบันและอนาคตของเราได้ไม่ใช่เหรอ เพราะงั้นก็ลองเปิดใจและเชื่อหัวใจของตัวเองดูอีกสักครั้งสิว่าคนอีกคนหนึ่งที่เข้ามานั้นจะสามารถใช้ชีวิตร่วมกับเราและดูแลรักษาบาดแผลที่เราเคยมีในอดีตได้หรือเปล่า พี่ขอย้ำอีกครั้งนะครับ ว่าคนเรามีที่ว่างสำหรับสิ่งที่ดีที่สุดเสมอ...... ไม่มีคำว่าสายเกินไปที่จะเริ่มต้นใหม่ในทุกๆอย่าง และไม่ได้หมายความว่าพีจะต้องพุ่งเข้าหาคนทุกคนที่ตรงมาหาพี แต่พี่เชื่อในตัวของพีว่าพีสามารถรู้สึกและแยะแยะได้เอง ของแบบนี้มันอยู่ที่จิตใจจริงๆ” ไอ้ซันอธิบายออกมาด้วยน้ำเสียงที่ผมรู้สึกเหมือนกับเป็นการ ‘สอน’ ซึ่งเป็นบุคลิกที่ขนาดผมยังไม่ค่อยจะได้สัมผัสบ่อยนักเลย เพราะส่วนมากแล้วมันจะคุยกับผมแบบเพื่อนหรือไม่ก็ ‘สั่ง’ เพื่อที่จะเอาในสิ่งที่มันอยากได้เลยมากกว่า

“ใช่ครับ พี่เองก็เชื่อแบบนั้น และจะบอกให้ว่าพี่ก็ไม่ได้คิดว่าไอ้ซันจะเป็นคนสุดท้ายของพี่เหมือนกันหรอกนะครับ” ผมพูดขึ้นบ้าง “ไอ้ซันเองก็คงคิดแบบนั้นเช่นเดียวกัน เพียงแต่เราไม่กลัว และเราไม่มองไปข้างหน้าที่มันไกลเกินไปนัก เราแค่ทำวันนี้ๆให้ดีที่สุดก็พอแล้ว เรารักกันและดูแลกันในทุกๆวัน เราวางแผนถึงอนาคตที่จะใช้ชีวิตด้วยกัน แต่ไม่ใช่อนาคตว่าเราจะเลิกกันแบบไหน และที่สำคัญ เราไม่เคยคิดถึงวันสุดท้ายของเราสองคนหรือคิดถึงว่าเราจะมีคนที่ดีกว่านี้เข้ามารึเปล่า เรารู้แค่ว่าตอนนี้เรารักกันและเราจะดูแลความรักนี้ให้มันยาวนานไปได้มากที่สุดก็เพียงพอแล้ว นั่นคือสิ่งที่แสดงออกมาเพราะความที่เรา ‘อยาก’ จะเป็นคนสุดท้ายของกันและกันไงครับ เพราะถ้าเรามัวแต่กลัวอนาคตมันก็จะเท่ากับเราได้แต่ย่ำอยู่กับที่และจมอยู่กับความกลัวจนไม่สามารถไปถึงไหนได้สักที”

ไคล์เงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมและซันครู่หนึ่ง ก่อนจะก้มลงกลับไปหาพีและค่อยๆใช้นิ้วมือลูบไล้ไปบนเส้นผมของเขาช้าๆ เราทั้งสี่คนนิ่งเงียบกันไปอยู่พักหนึ่งจนไอ้ซันเป็นคนแรกที่เริ่มต้นพูดออกมา

“พี........ ความตายนั้นมันไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆและบ่อยๆหรอกนะครับ โศกนาถกรรมนั้นมันไม่สามารถทำร้ายเราได้บ่อยหรือมากเกินไปกว่าจิตใจของเราทำกับตัวเราเองหรอก เพราะฉะนั้น จงอย่ามีชีวิตที่ยึดติดอยู่กับความตาย แต่จงใช้ชีวิตให้กับการมีอยู่ จงมองเห็นความหวัง ความฝัน และความรัก นั่นคือความหมายของชีวิตที่เราเกิดมาและเป็นสิ่งที่เราทำได้เพื่อคนที่จากไปแล้ว...... หรือแม้แต่เพื่อคนที่เขายังคงยืนอยู่ข้างๆเรา” ซันพูดด้วยน้ำเสียงเข้มแข็ง เฉียบขาด แต่ก็อบอุ่นมากในขณะเดียวกัน มันเป็นซันในแบบที่ผมไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนเลย และนี่ก็คงเป็นซันคนที่ไคล์เคยบอกผมว่าเขาชื่นชมมันมากแค่ไหนนั่นเอง และแน่นอนว่าตอนนี้ผมเองก็รู้สึกชื่นชมและเคารพมันมากด้วยเช่นกัน

ไคล์กอดพีที่กำลังร้องไห้อยู่อย่างแนบแน่น และเขาเองก็ร้องไห้ไปพร้อมๆกันด้วย ส่วนไอ้ซันเองก็บีบมือของผมแน่นราวกับมันกลัวว่าผมจะทิ้งมันไป และที่สำคัญ มันคงกลัวว่าถ้ามันปล่อยมือผมออก มันเองก็จะเผลอแสดงความอ่อนแอภายในใจของมันออกมาไปกับสองคนนั้นด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นผมจึงบีบมือของมันให้แน่นขึ้นเพื่อบอกให้มันรู้ว่าผมยังคงอยู่กับมันตรงนี้ และเพื่อบอกว่าผมเองก็รู้ว่ามันเองก็ยังคงอยู่เคียงข้างผมด้วยเช่นเดียวกัน


หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 28-09-2007 12:43:13
แต่งเก่งจริง ๆ นับถือ นับถือ
เขียนได้งัยเนี่ย ... o15
เห็นภาพพจน์ของซันกะเมฆเลย
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: jammy ที่ 28-09-2007 13:31:59
เยี่ยมครับ o13
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: ~prince™~ ที่ 28-09-2007 14:56:34





.......................สุดยอดเลยคับเรื่องนี้..........................
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 28-09-2007 17:11:29
"Best Adult Fiction of the Year 2007" from the award auther "Best Young Adult Fiction of the Year 2006"  :a2:


ป.ล. ไม่ได้เข้ามาอ่านหลายวัน มึนไปเลยครับ  o2 แต่อ่านแล้วได้ความมั่นคงในความรักของทั้ง 4 คนมาทำให้ยังประคับประคองตัวอยู่ได้  o13
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 28-09-2007 17:19:56
o13    o13    o13     "ซู๊ดดดดดดดดดดดดยอดดดดด"     o13   o13   o13
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 28-09-2007 19:36:05
เห็นด้วยกับทุกรีเลย  สุดยอดมากกกกกก  :a2:  :a2:  :a2:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 28-09-2007 21:43:31
 :impress:
ถือเป็นบทที่แสดงถึงทัศนแห่งรักและปรัชญาการดำเนินชีวิตได้อย่างดีทีเดียว  :amen:
ถ้านำไปใช้ นำไปปฏิบัติได้จริง ชีวิตรักแต่ละคนคงสวยงามได้แน่นอน... แต่...
กี่คนที่จะทำได้ ตัวแปรต่าง ๆ ในชีวิตที่จะทำให้ทุก ๆ ชีวิตผกผันมีน้อยอยู่เสียเมื่อไร  :m28:
 o16
บทนี้บรรยายไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร มันปน ๆ กันไปหมด จะสุข เศร้า เหงา รัก เพราะนั่นละคือชีวิต...
ชีวิตจริงยุ่งยากและลำบากกว่านิยายมากนัก... แต่กระนั้นก็ยังหวังให้ทุกคนพบรักที่สวยงาม :give2:
ข้ามผ่านอุปสรรค และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข..... เป็นกำลังใจให้ทุกคนครับ....
 :bye2:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: ninaprake ที่ 30-09-2007 16:19:03
ความทรงจำดีๆในอดีต เก็บไว้ให้ได้รู้สึกดีๆเมื่อยามนึกถึงมันขึ้นมา ... อดีตก็คืออดีต เราไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงอะไรมันได้ ..... เพียงแต่เราจะสามารถใช้มันเพื่อเป็นบทเรียน เป็นพื้นฐาน ในการกระทำหรือตัดสินใจอะไรต่อไปในอนาคตได้ ....

ก็นะ .... ก็ต้องมีความสุขกับปัจจุบันและทำมันให้ดีที่สุดแหละ  o13 .... และอนาคตที่น่าจะสดใสคงตามมาเองหล่ะ   :a2:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: ~ScAreD:SAcreD~ ที่ 30-09-2007 23:09:23
ขอบคุณมากๆครับ ต้น ที่แต่งเรื่องนี้ออกมา

หลังจากที่อ่านตอนนี้แล้ว มันทำให้ผมรู้คำตอบเรื่องคำถามที่เกิดขึ้นมาในใจตอนนี้

"ผมจะกลับไปหาคนที่เคยทำให้ผมเจ็บเจียนตายดีมั๊ย?"

 ก็ลองเปิดใจดูสิ ถ้าคนๆนั้นที่จากไปเขาไม่สามารถจะใช้ชีวิตและอนาคตร่วมกับเราได้ แต่เขาก็ให้อดีตกับเรามากเกินพอที่จะใช้มันเป็นพื้นฐานของปัจจุบันและอนาคตของเราได้ไม่ใช่เหรอ เพราะงั้นก็ลองเปิดใจและเชื่อหัวใจของตัวเองดูอีกสักครั้งสิว่าคนอีกคนหนึ่งที่เข้ามานั้นจะสามารถใช้ชีวิตร่วมกับเราและดูแลรักษาบาดแผลที่เราเคยมีในอดีตได้หรือเปล่า พี่ขอย้ำอีกครั้งนะครับ ว่าคนเรามีที่ว่างสำหรับสิ่งที่ดีที่สุดเสมอ...... ไม่มีคำว่าสายเกินไปที่จะเริ่มต้นใหม่ในทุกๆอย่าง  

ต้นตอบแทนผมแล้วทุกอย่าง ครั้งนี้ผมจะรักตัวเองให้มากขึ้น และทุ่มใจรักเค้าเต็มที่ในส่วนที่เค้าได้ไปทั้งครึ่งใจของผม

ขอบคุณจากใจ จริงๆครับ  o1
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 01-10-2007 04:17:58
เอาไปเลย +1  o13  o13 เยี่ยมมากๆ ถ้าทำเป็นหนังสือจะซื้อเป็นคนแรกเลย  :m3:  :m3:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 01-10-2007 14:08:18

............ทำตามที่ใจต้องการ........แล้วพร้อมยอมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้น...... o13 o13
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 01-10-2007 21:52:24
อ้างถึง
“ถ้างั้นแล้วความตายล่ะครับ.........” พีพูดขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เสียงของเขาสั่นไหว และมีน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาของเขาด้วย “ถ้าคนที่เพอร์เฟ็กต์ทุกอย่างแบบที่พี่พูดมีอยู่จริง และผมก็รู้สึกแบบที่พี่พูดทุกอย่างให้กับเขาคนนั้น และเขาคนนั้นก็รู้สึกแบบเดียวกันกับผมด้วย แต่สุดท้ายความตายก็มาพรากเราให้จากกัน แล้วผมจะทำยังไงครับ


บทนี่สะเทือนอารมณ์ดีจริงๆ
ทั้งๆที่ได้พบกับมันแล้ว ซึ่งบางคนได้ชื่อว่ามีมัน แต่แล้วก็อาจไม่ใช่มันจริงๆ
 :o12: :o12: :o12:

เขายังคงสวยงามในความทรงจำเราเสมอ ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่
ให้ดีใจว่าชีวิตนี้เราเคยได้รับความรักอย่างหาอะไรมาเปรียบไม่ได้
แต่เราก็ต้องเดินต่อไป เขาคงดีใจที่จะเห็นเราใช้ชีวิตที่เหลืออย่างมีความสุข
ชีวิตที่เหลืออยู่นี้ก็ให้รักตัวเองและรักคนอื่นได้เท่าที่เราจะทำได้
อย่างน้อยเราก็อาจได้เจอคนที่เขาจะได้ความรักจากเราไปเป็นพลังชีวิตต่อไป
 :m1: :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 01-10-2007 23:05:09
ตอนที่ 45


พีเล่าเรื่องราวในอดีตของเขาให้เราฟังไปพร้อมๆกับไคล์ที่คอยเป็นกำลังใจให้เขาอยู่ข้างๆ เมื่อผมได้ฟังเรื่องนั้นแล้วก็ทำให้ผมรู้สึกตัวได้เลยว่าผมนั้นโชคดีขนาดไหนที่มีไอ้ซันอยู่ข้างกายผมอยู่แบบนี้ และที่สำคัญที่สุดก็คือความกลัว........ ความกลัวที่ว่าสักวันหนึ่งมันจะเป็นยังไง ถ้าผมจะต้องสูญเสียไอ้ซันแบบที่พีเคยสูญเสียภูไป ผมจะยังพูดแบบที่ผมเพิ่งพูดกับพีไปได้มั๊ย ผมจะยังสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้และสามารถเปิดใจรับคนอื่นได้อยู่อีกหรือเปล่า และดูท่าทางไอ้ซันเองก็คงจะรู้สึกแบบเดียวกับผมเช่นด้วยเดียวกัน เพราะภายใต้ใบหน้านิ่งเฉยของมันนั้น ผมรู้สึกได้ถึงความเศร้า ความไม่สบายใจ และความกังวลส่งผ่านมาทางมือของมันที่กำลังบีบมือของผมแน่นอยู่ได้อย่างชัดเจนทีเดียว

“ผมขอโทษนะครับ ที่ทำให้พวกพี่ลำบากใจ” พีพูดขึ้นหลังจากที่เล่าเรื่องทั้งหมดจบและเราทุกคนต่างก็เงียบกันไปพักหนึ่งแล้ว

ผมกระโดดลงจากเตียงสองชั้นแล้วก็เดินตรงเข้าไปนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าของพี ไคล์เองก็ก็เขยิบถอยออกไปนิดหน่อยเพื่อเปิดทางให้แก่ผมเช่นกัน “ฟังนะครับพี พี่รู้สึกเสียใจกับเรื่องราวทั้งหมดของพีจริงๆ และต่อให้เป็นพี่เอง พี่ก็คงไม่รู้ว่าพี่จะทำยังไงเหมือนกัน คนอื่นที่ได้แต่พูดกับการลงมือทำเอง หรือการได้เจอเข้ากับตัวน่ะ มันไม่เหมือนกันหรอก ไม่เหมือนกันจริงๆ พี่ต่างหากที่ต้องขอโทษที่พูดให้พีไม่สบายใจ แต่สิ่งหนึ่งที่พี่รู้แน่ๆสำหรับพีก็คือ พีเป็นคนเข้มแข็งมาก มากจริงๆ เผลอๆจะมากกว่าพี่และไอ้ซันเสียด้วยซ้ำ เพียงแต่พีไม่รู้ตัวหรอก แล้วก็ไม่ต้องพยายามจะปฏิเสธด้วย” ผมส่งยิ้มให้กับเขาขณะที่คว้ามือของเขามากุมเอาไว้ “บางทีกระจกมันก็ไม่สามารถสะท้อนภาพออกมาได้ทุกสิ่งหรอก เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญก็คือเพื่อนหรือคนที่เราไว้วางใจได้ยังไงล่ะครับ ขอบคุณมากนะครับพี ที่เล่าเรื่องทั้งหมดให้พวกเราฟัง และนี่มันอาจจะมากเกินไปสักหน่อย แต่พี่ก็ยังอยากจะขออะไรพีอีกอย่างหนึ่งนะครับ จะได้มั๊ย”

พีพยักหน้าช้าๆ ผมบีบมือของเขาแน่นขึ้นอีกเล็กน้อย

“จงเชื่อใจพวกพี่นะครับ พี จงเชื่อใจไคล์........ และที่สำคัญจงเชื่อใจหัวใจของตัวเอง และสักวัน พีจะมีความสุขแน่นอนครับ พี่ให้สัญญา”

พีเริ่มต้นร้องไห้เบาๆออกมาอีกครั้ง “ผมมีครับ มันอาจจะฟังดูแปลกนะครับ แต่ตั้งแต่ผมได้เจอกับพวกพี่ ผมมีความสุขมากจริงๆ.........” เขาเอาปลายนิ้วมาเช็ดน้ำตาออก ไคล์หันมามองผมด้วยสายตาที่มีความหมายบางอย่างที่ผมไม่สามารถจะอธิบายได้แต่ผมเข้าใจ ผมจึงพยักหน้าให้เขาแล้วเดินกลับไปหาไอ้ซันตามเดิม

“พีทครับ.......” ไคล์จับมือที่กำลังเช็ดน้ำตาของพีออก แล้วใช้มือของตัวเองประคองที่แก้มทั้งสองของเขาอย่างแผ่วเบา เขาใช้นิ้วโป้งทั้งสองข้างปาดน้ำตาออกเบาๆ จากนั้นก็ชะโงกเข้าไปประทับริมฝีปากลงบนปากของพีอย่างนุ่มนวล “ผมคงไม่สามารถจะพูดอะไรได้มากกว่าคำว่า ‘ผมรักคุณ’ จริงๆนะครับ และซันกับศิลาก็รักคุณด้วยเช่นกัน คุณไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวอีกต่อไปแล้ว พีท...... คุณไม่จำเป็นต้องทนเก็บความเหงาและความเศร้าเอาไว้คนเดียวอีกต่อไป ผมจะแบ่งเบามันออกมาเอง และแน่นอนว่าผมเองก็จะแบ่งความสุขของผมให้กับคุณด้วยเช่นกัน ผมอยากให้คุณหัวเราะและมีความสุข เพื่อที่เราทั้งสองคนจะได้ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขได้แบบคู่ของซันกับศิลายังไงครับ” ไคล์ยิ้ม

“ไคล์รู้ได้ยังไงครับ ว่าเราจะสามารถคบกันได้จริงๆ....... ผมหมายถึง มันจะไม่ยากเกินไปหน่อยเหรอครับสำหรับเราสองคน”

ผมอ้าปากจะพูดอะไรบางอย่างออกไป แต่ไอ้ซันรู้ทันจึงรีบคว้ามือของผมเอาไว้และส่ายหัวเบาๆ ผมถึงได้รู้ตัวว่ามันไม่ใช่เรื่องของผมอีกต่อไปแล้ว ผมทิ้งตัวนอนลงข้างๆมันและรอฟังสิ่งที่สองคนนั้นจะคุยกันต่อไป ไอ้ซันกอดผมแล้วขมุบขมิบปากบอกผมว่าผมทำดีมากแล้วและบอกว่ารักผม ผมจึงบอกกลับไปว่าผมเองก็รักมันเช่นเดียวกัน

“เรื่องนั้นผมก็ไม่รู้หรอกครับ แต่สำหรับผมแล้วไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้แน่นอน และเราก็ยังไม่ได้พยายามเลย เรายังไม่ทันได้เริ่มต้นเลยด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นอย่างที่พี่ทั้งสองคนบอกนั่นแหละ ผมว่าเราไม่ควรจะมองไปยังจุดจบนะครับ พีท....... ผมขอถามอีกครั้งนะครับ คุณพร้อมที่จะลองเดินไปพร้อมๆกับผมมั๊ย ผมไม่ได้จะรวบรัดหรือเร่งรัดคุณนะครับ ถ้าคุณไม่พร้อมก็บอกผมมาได้เลย ผมเข้าใจจริงๆ ผมเข้าใจว่าสิ่งนี้มันไม่ง่าย แต่ผมอยากได้ยินคำตอบอีกสักครั้งครับ คิดให้ดีก่อนนะครับที่จะตอบ........”

พีเงียบไปพักหนึ่ง ผมกับไอ้ซันเองก็นอนฟังอย่างตั้งใจเช่นกัน ใช่แล้ว อย่างที่ไอ้ซันเคยพูดไว้ มันคือเรื่องของเขาสองคน จะดีร้ายท้ายที่สุดยังไง คนที่ตัดสินใจก็คือเขาเท่านั้น ไม่ใช่พวกเรา และผมก็ต้องยอมรับเลยว่า ไคล์รับมือกับสถานการณ์ทั้งหมดนี้ได้ดีมากจริงๆ เพราะถ้าผมต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับของไคล์ ผมเองก็คงจะทำอะไรไม่ถูกหรือรู้สึกแย่แบบสุดๆไปเลยเหมือนกัน

“ผมพร้อมครับ ผมไม่อยากจะจมอยู่กับความเศร้าและอดีตของตัวเองอีกต่อไปแล้ว ผมมีอนาคตรออยู่ข้างหน้า และไม่ว่ามันจะเป็นยังไง ผมก็จะต้องออกไปเผชิญกับมันอยู่ดี และตอนนี้ผมมีคนที่อยากจะเดินไปกับผมและผมเองก็อยากจะเดินไปกับเขาแล้ว เพราะงั้นผมจะไม่ทำร้ายตัวเองอีกต่อไปแล้วครับ” พีตอบออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจนผมเองยังอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ “ขอบคุณมากครับ ไคล์ ผมจะไม่กังวลอีกแล้วครับว่าอนาคตของเราสองคนเราจะเป็นยังไงต่อไป”

พีดึงตัวของไคล์เข้ามากอดแล้วก็จูบลงบนริมฝีปากของเขา ผมเองยังอดตกใจไม่ได้ที่คนเรียบร้อยและขี้อายอย่างเขาจะกล้าทำขนาดนี้ แต่ผมก็ยิ้มกว้างออกมาเพราะความยินดีที่ในที่สุดเขาก็สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ หรืออย่างน้อยๆ เขาก็คิดที่จะเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่างในตัวเองแล้ว

“ขอบคุณพี่ซันกับพี่เมฆมากๆด้วยเหมือนกันนะครับ ขอบคุณจริงๆ” พีหันมาพูดกับเราสองคน ทั้งผมและซันต่างก็ส่งยิ้มกว้างไปให้แก่เขาแทนคำพูด “ทุกคนมีความหมายกับผมมากจริงๆ ผมไม่เคยคิดเลยว่าในชีวิตของผม ผมจะรู้สึกผูกพันกับใครได้มากและรวดเร็วเท่าๆกับทุกๆคนในห้องนี้ ตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมเจอพี่เมฆ พี่ก็ทำให้ผมประทับใจได้ตั้งแต่รอยยิ้มแรกของพี่แล้ว และมันก็ทำให้ผมนึกถึงภูขึ้นมาในทันที พี่เป็นคนที่อ่อนโยนแล้วก็อบอุ่นมากจริงๆ และพี่ซัน พี่เป็นคนที่ทั้งเข้มแข็งแต่ก็อ่อนโยนมากด้วย ผมรู้สึกถึงมันได้ไม่ว่าจะจากความรักที่พี่มีให้พี่เมฆ สิ่งที่พี่ปฏิบัติกับไคล์ ตอนที่พี่กอดผมเมื่อวาน และยังเรื่องที่พี่พูดกับผมในวันนี้อีกด้วย ความรู้สึกมันเหมือนกับว่าผมมีพี่เป็นพี่ชายของผมจริงๆเลยครับ....... ส่วนไคล์” เขาหันกลับไปสบตากับไคล์อีกครั้ง “คุณคือคนที่เปลี่ยนแปลงผมได้มากที่สุดจริงๆ...... ถึงตอนแรกคนที่ทำให้ผมนึกถึงภูและทำให้ผมประทับใจได้ก็คือพี่เมฆ แต่ว่าคนที่ตอกย้ำให้ผมรู้ว่าจริงๆแล้วผมเป็นอย่างไรและควรจะเป็นยังไงต่อไป รวมทั้งมีความรักในแบบที่เหมือนกับที่ผมเคยได้รับจากภูมามอบให้กับผมนั้นก็คือคุณ และที่สำคัญที่สุดก็คือคุณไม่ใช่ภาพซ้อนทับของภูอีกด้วย คุณไม่ใช่เป็นแค่หรือเป็นตัวแทนของความรักของภูที่เขาเคยมอบให้กับผม แต่คุณเป็นตัวของคุณเอง และมีความรักในแบบของคุณเท่านั้นที่มอบให้ผมได้........ มันอาจจะเร็วไปที่พูดแบบนี้ แต่ผมก็รักคุณครับ ไคล์” เมื่อพูดจบพีก็จูบลงบนริมฝีปากของไคล์เบาๆอีกครั้ง

ไคล์หันมายิ้มกว้างให้พวกเราสองคน “ซัน ศิลา รู้อะไรมั๊ย ทั้งๆที่เมื่อวานคนๆนี้ยังไม่เคยจูบใครมาก่อนเลยนะ ทั้งๆที่เมื่อวานผมเป็นคนได้จูบแรกของเขาไปแท้ๆ แต่ดูตอนนี้สิ เขากลายเป็นคนจูบผมก่อนถึงสองครั้งเลยเชียวนะ แน่ใจเหรอว่าจะปล่อยน้องชายให้มานอนที่นี่ได้จริงๆน่ะ ซัน” เขาหัวเราะ

เมื่อพีได้ยินดังนั้นก็เหมือนเขาจะเพิ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองทำอะไรหรือพูดอะไรออกไปบ้าง เมื่อนั้นเขาถึงได้กลับมาเป็นพีที่ขี้อายคนเดิมอีกครั้ง เขาหน้าแดงแล้วก็ก้มหน้านิ่งแต่ก็มีรอยยิ้มกว้างพลางใช้นิ้วชี้เกาที่แก้มเบาๆ

“แล้วไม่อยากนอนรึไง” ไอ้ซันหัวเราะ “อย่ามาทำเป็นพูดดีไป ไอ้น้องชาย พี่ว่าเผลอๆถ้าพี่สองคนไม่อยู่ตอนนี้น่ะนะ คนที่จะเป็นฝ่ายเริ่มก็คือเรามากกว่ามั๊ง ไคล์ เพราะงั้นพีต้องขอบคุณพวกพี่นะที่มานอนเฝ้าอยู่อย่างนี้ให้น่ะ ไม่งั้นได้เสียสิ่งสำคัญยิ่งชีพให้ไอ้ไคล์มันแน่ๆ”

“โถ ไอ้ปากดี” ผมพูดขึ้นบ้าง “เมื่อกี๊ว่าไงนะ ‘สิ่งสำคัญยิ่งชีพ’ งั้นเหรอ แล้วใครวะ ที่เสียมันให้กูได้ง๊ายง่ายเพียงแค่ปิดไฟน่ะ” ผมหัวเราะ

คราวนี้ไอ้ซันเป็นฝ่ายที่หน้าแดงขึ้นมาบ้างแล้ว มันรีบดึงตัวผมเข้าไปกอดแล้วขึ้นคร่อมทันที แต่ก่อนที่มันจะได้ทำอะไรมากไปกว่านั้น เสียงลั่นของเตียงก็ร้องเตือนให้พวกเราหยุดเล่นอะไรแผลงๆก่อนที่จะทำให้เตียงหักจนตกลงมาคอหักตายทั้งคู่เสียดีกว่า

“แล้วเมื่อเช้าในห้องน้ำล่ะ เกิดอะไรขึ้น” ไอ้ซันหันไปถามไคล์กับพี

ไคล์มีสีหน้าตกใจขึ้นมาทันที เขาหันมาสบตากับผมแต่ผมก็ทำได้แค่ยักไหล่แล้วก็หัวเราะเบาๆเท่านั้นเอง

“ไม่มีอะไรหรอกครับ ก็แค่อาบน้ำให้กันเฉยๆเอง” ไคล์รีบตอบพร้อมรอยยิ้มกว้าง “แต่ทำไมซันรู้ล่ะ ศิลาบอกเหรอ”

“เปล่า แต่เห็นด้วยตาของตัวเองเลยต่างหาก แต่ก็แปลกนะ ไอ้นิยามของคำว่าอาบน้ำ ‘เฉยๆ’ เนี่ย เพราะเมื่อเช้าพี่กับเมฆก็อาบน้ำ ‘เฉยๆ’ เหมือนกัน แต่สุดท้ายมันก็ยังต้องระบายอะไรบางอย่างออกไปมั่งเหมือนกันอยู่ดีนั่นแหละ”

“มึงพอได้แล้ว ไอ้ทะลึ่ง” ผมหยิบหมอนขึ้นมาอุดปากมันเอาไว้ “กูบอกมึงแล้วใช่มั๊ย ว่ามันเรื่องของเขา ไปยุ่งกับเขาทำไม พีเค้าเขินจนเลือดจะออกหูแล้วนะมึง”

เราทุกคนหันไปมองพีที่กำลังอายม้วนหน้าแดงอยู่บนเตียง แต่ว่าคราวนี้ไคล์มีวิธีทำให้เขาหายเขินได้ด้วยการเขยิบเข้าไปกอดเขาเอาไว้ในอ้อมแขนแล้วก็หอมแก้มเบาๆทั้งสองข้าง ทั้งสองคนยิ้มและหัวเราะเบาๆให้กันและกัน ทำให้ผมที่เป็นคนดูยังอดรู้สึกอิจฉาในความหวานของเขาทั้งคู่ไม่ได้

“ว้อยยยย อิจฉาเว้ยยย กูเปลี่ยนใจแล้วซัน” ผมหันกลับไปมองหน้าไอ้แสบของผม “ไปเหอะ กูว่าเรากลับห้องไปสะเมิ๊ฟๆกันมั่งดีกว่า ปล่อยเขาสองคนไว้นี่แหละ ให้เด็กๆเค้าสนุกกัน ส่วนเราก็ไปสนุกของเรากันมั่งเหอะ”

“เมื่อกี๊มึงว่าไงนะ!!” ไอ้ซันหัวเราะจนท้องแข็ง “ไป ‘สะเมิ๊ฟ’ งั้นเหรอ แล้วเมื่อกี๊ไหนใครบอกว่ากูทะลึ่งวะ ห๊ะ”

“กูล้อเล่นเว้ย ขำๆน่า เห็นเค้าหวานกันเกินไป กลัวว่าเดี๋ยวมดมันจะขึ้น”

ทั้งพีและไคล์ต่างก็หัวเราะและเขินจนหน้าแดง เราสี่คนจึงนั่งพูดคุยและหยอกล้อกันเล่นเรื่อยเปื่อยจนเวลาผ่านไปได้อีกราวๆสองชั่วโมง ไคล์ก็เป็นคนแรกที่ร้องเรียกหาอาหารเย็น พวกเราสี่คนจึงตัดสินใจออกไปทานข้าวเย็นกันที่แมสวิคคาเฟทีเรียเหมือนกับเมื่อวาน และกว่าเราจะออกมาจากคาเฟทีเรียก็เป็นเวลาทุ่มครึ่งพอดี อากาศภายนอกก็เริ่มเย็นลงและมืดลงเร็วมาก เราสี่คนเดินกลับไปที่เคบินของพีอีกครั้ง และคราวนี้ไอ้ซันก็เกิดให้ความสนใจกับกีตาร์ที่วางเอาไว้ตรงข้างเตียงของพีขึ้นมา

“นี่คือของๆภูครับ....... แม่ของเขาเอามาให้ผมที่บ้านหลังจากที่ผมย้ายโรงเรียนได้ไม่นาน เพียงแต่ว่าภูเขาไม่เคยเป็นคนยกมันให้กับผมด้วยตัวเอง ผมเลยไม่อยากจะเรียกว่ามันเป็นของๆผมนัก” พีอธิบายเมื่อซันถามว่ามันคือกีตาร์ของพีหรือเปล่า

“เอ่ออ ขอโทษทีนะพี พี่ไม่น่าพูดถึงเรื่องนี้เลย” ไอ้ซันขอโทษ

“ไม่เป็นไรหรอกครับ มันผ่านไปนานแล้วล่ะ นอกจากรูปถ่ายแล้ว สิ่งนี้มันก็เป็นเหมือนตัวแทนของเขาเพียงสิ่งเดียวที่ผมมีอยู่ครับ”

คำพูดของเขาทำให้ผมนึกขึ้นมาถึงสิ่งๆเดียวที่เคยเป็นตัวแทนของไอ้ซันที่ผมมีเหลืออยู่เมื่อครั้งลืมตาตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาลเป็นครั้งแรกเช่นกัน ตอนนั้นผมเองก็พกหนังสือเล่มนั้นไว้กับตัวแทบไม่เคยห่างกายเลยเหมือนกับที่พีที่พกรูปและกีตาร์ของภูมาที่นี่ด้วยนั่นเอง ย้อนไปในช่วงหนึ่งปีนั้น ผมไม่เคยไปต่างจังหวัดหรือไปไหนไกลๆโดยที่ทิ้งมันเอาไว้ที่บ้านเฉยๆเลยสักครั้ง และหลายครั้งหลายคืนที่ผมเฝ้าหยิบมันมาอ่านซ้ำแล้วซ้ำอีก อ่านทั้งตัวหนังสือเองและอ่านที่คั่นหนังสืออันนั้นด้วย มันเป็นสิ่งๆเดียวที่ช่วยให้ผมนึกถึงน้ำเสียงและรอยยิ้มของไอ้ซันเอาไว้ได้ในตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่ผมไม่ได้พูดคุยกับมันเลย

“แต่จะว่าไป....... กูเองก็ไม่ค่อยรู้เลยนะว่าตอนที่กูหลับอยู่ในโรงพยาบาลน่ะ มึงทำอะไรบ้าง” ผมหันไปถามไอ้ซัน “กูหมายถึง พ่อของกูก็ไม่ค่อยจะบอกกูเรื่องนี้เท่าไหร่ แต่จะว่าไปจริงๆแล้วก็คงเป็นเพราะกูไม่ค่อยได้ถามท่านด้วยนั่นแหละนะ เพราะตอนนั้นกูไม่รู้นี่ว่ามึงสนิทกันมากขนาดไหน”

“มึงหมายความว่าไง ที่ว่า ‘ทำอะไรบ้าง’ ตอนมึงนอนโรงบาล”

“ก็หมายความทั่วๆไปนั่นแหละ เพราะพ่อกูบอกว่ามึงมาหากูทุกวันเท่าที่มึงจะทำได้ แล้วก็ยังนอนกับกูอีกด้วย แต่กูนึกไม่ออกไงว่ามึงจะมาทำอะไรบ้างทั้งๆที่กูก็ได้แต่นอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวน่ะ คือ มึงไม่เบื่อรึไง มึงทำอะไรแก้เซ็งบ้างตอนกูหลับ อะไรแบบนั้นน่ะนะ”

ผมเห็นไอ้ซันหน้าแดงขึ้นมาแว่บหนึ่งทันที และไคล์เองก็ดูจะจับสีหน้าเมื่อครู่นั้นของไอ้ซันได้ด้วยเช่นกัน เราสองคนสบตากันแล้วก็หัวเราะจากนั้นก็รีบพูดขัดไอ้ซันขึ้นมาก่อนที่มันจะทันได้แก้ตัวอะไรอีก

“ผมก็อยากรู้ครับ ซัน ไม่ต้องพยายามจะเปลี่ยนเรื่องแล้วนะ พวกเราดูออกกันหมดแล้วว่าพี่เขินน่ะ”

“มึงจะเขินทำไมว้า ก็แค่บอกว่ามึงทำอะไรบ้างตอนกูหลับอยู่เท่านั้นเอง”

“เออๆ ก็ไม่มีอะไรนี่....... กูก็แค่นั่งเฝ้ามึง ดูแลมึงเวลาที่พ่อมึงต้องไปทำงาน ดูทีวี ฟังเพลง อ่านหนังสือ ก็แค่นั้นเอง ไม่ได้มีอะไรพิเศษ” มันตอบแบบปัดๆ

“ดูแลกูเนี่ยนะ ดูแลอะไรวะ ก็กูหลับอยู่ มึงจะต้องมาดูแลอะไรกูอ่ะ” ผมสงสัย

ไอ้ซันยิ้มเจ้าเล่ห์แบบนั้นอีกแล้ว “แล้วมึงคิดว่ามึงไม่ต้องเช็ดตัวหรือทำความสะอาดอะไรเลยรึไง” เมื่อได้ยินอย่างนั้น คราวนี้จึงเป็นคราวของผมที่ต้องรู้สึกอายขึ้นมาบ้าง “ใช่แล้ว ไอ้ตัวดี กูน่ะ เห็นของมึงมาหมดทุกอย่างตั้งแต่ก่อนที่มึงจะทันได้ฝันถึงของๆกูเสียอีก คราวนี้รู้รึยังล่ะว่ากูทำอะไร ‘แก้เซ็ง’ บ้าง” มันหัวเราะ รวมทั้งไคล์แล้วก็พียังร่วมหัวเราะไปกับมันด้วย

“ไอ้สัตว์! ไอ้เลว ทะลึ่ง!” ผมด่ามัน แต่ยังไงๆก็ไม่สามารถห้ามตัวเองไม่ให้หน้าแดงได้จริงๆ “รู้งี้ตื่นมากูน่าจะลืมมึงไปเลยมากกว่าลืมเรื่องของพีนะเนี่ย............ เอ๊ะ เดี๋ยวก่อนนะ” ผมคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “ทำไมพีไม่แปลกใจเลยล่ะ เรื่องที่พี่เข้าโรงพยาบาล”

ทั้งไคล์และซันต่างก็มองหน้าของผมงงๆสลับกับมองหน้าของพี

“แปลกใจอะไรของมึงวะ ก็เขาก็รู้อยู่แล้วนี่ว่ามึงเข้าโรงบาล ก็มึงเป็นคนบอกเค้าเองนี่”

“ไม่ใช่ กูหมายถึงตอนแรกหลังจากที่กูนึกออกว่ากูเคยเจอน้องเขามาก่อน....... เมื่อวานตอนก่อนที่เราจะขึ้นรถไปดูพระอาทิตย์ตกกันน่ะ พี่พูดกับพีใช่มั๊ยล่ะครับ ว่าพี่ขอโทษที่ลืมเรื่องของพีไปหมด อาจจะเป็นเพราะว่าพี่ถูกรถชนด้วย แต่พีกลับไปมีท่าทางแปลกใจเลยแถมยังบอกด้วยว่าไม่เป็นอะไร พีเข้าใจอะไรสักอย่างนี่แหละ หรือว่านั่นมันแปลว่าพีรู้อยู่แล้วเหรอครับว่าพี่เคยถูกรถชน”

“ครับ ผมรู้อยู่แล้ว” พีตอบ ทำให้ไคล์กับซันยังต้องกับประหลาดใจ พวกเราทุกคนนั่งเงียบและรอให้เขาเริ่มเล่าต่อ “ผมไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังนะครับ แค่ไม่รู้จะเริ่มต้นพูดยังไงมากกว่า คือตอนนั้นเท้าของผมยังเจ็บอยู่นิดหน่อยน่ะครับ จากที่ล้มตอนช่วยงานอาจารย์หนุ่มวันนั้น ผมดีขึ้นก็จริง แต่ว่าถัดจากนั้นราวๆสามสี่วัน ผมก็เกิดล้มซ้ำที่แผลเดิมเข้าอีก พอวันถัดมาผมไปโรงพยาบาล ผมก็บังเอิญเจอเข้ากับพวกเพื่อนๆของพี่น่ะครับ ก็เลยรู้ว่าพี่เมฆนอนโรงพยาบาลอยู่.......” เขาหันไปมองหน้าของไอ้ซัน “ตอนนั้นผมตกใจมากครับ แล้วก็อยากจะเข้าไปเยี่ยมพี่เมฆด้วยเหมือนกัน แต่ว่าพอเห็นพี่ซันมาเฝ้าอยู่ทุกวัน แถมยังตลอดทั้งวันเลยด้วย ก็เลยไม่กล้า เพราะกลัวว่าพี่จะเข้าใจผิดอีกน่ะครับ”

“ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ” ไคล์พูดขึ้นด้วยสีหน้าประหลาดใจ “ทำไมคนสามคนถึงได้โคจรมาเจอกันได้มากขนาดนี้นะ ผมว่าพวกพี่เกิดมาเพื่อได้อยู่ด้วยกันจริงๆนั่นแหละ นึกๆแล้วก็อิจฉานิดๆนะครับเนี่ย ที่ผมเหมือนเป็นคนนอกไปเลย เพราะเพิ่งจะได้มารู้จักกับทุกคนนอกจากซันก็เมื่อไม่นานมานี้เอง.......”

“พูดอะไรแบบนั้นล่ะน้องชาย ถ้าจะพูดว่าพวกเราเกิดมาเพื่อได้อยู่ด้วยกันได้รู้จักกันจริงๆล่ะก็ ไคล์เองก็ด้วยไม่ใช่รึไง” ไอ้ซันพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้ม

“หมายความว่ายังไง” ผมถาม “มึงอย่าบอกนะว่ากูเองก็เคยเจอกับไคล์ที่ประเทศไทยมาก่อน หรืออย่าบอกนะว่าพีกับไคล์จริงๆแล้วเคยเป็นเพื่อนเล่นกันตอนสมัยเด็กๆอะไรแบบนั้นน่ะ”

“นั่นมันก็เกินไป” ไอ้ซันหัวเราะ “แต่กูหมายความว่าทุกอย่างมันต้องมีจุดเริ่มต้นไม่ใช่รึไง มึงนึกดูดีๆสิ กูกับไคล์น่ะรู้จักกันมาก่อนอยู่แล้ว และต่อมากูก็ได้รู้จักมึง ก็เท่ากับเราสามคนมีความเชื่อมโยงกันอยู่แล้วเพียงแต่ภาพมันยังไม่สมบูรณ์ ต่อมาก็มีพี จากสามคนก็กลายเป็นสี่ และการที่มึงมาเรียนต่อที่อังกฤษกับการที่เราได้มาเที่ยวที่นี่ ก็เป็นชิ้นส่วนสุดท้ายที่ทำให้ภาพต่อมันสมบูรณ์ แต่ก็นะ อย่างที่กูบอกว่าทุกอย่างมันต้องมีจุดเริ่มต้น จะเจอกันเมื่อไหร่มันก็ไม่สำคัญหรอก มันสำคัญที่อนาคตต่างหาก ก็เหมือนที่มึงพูดไปตอนก่อนออกไปกินข้าวไงว่า ถ้าคนเราถูกขีดให้มาคู่กัน ยังไงก็ต้องได้เจอกันอยู่ดีไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว ซึ่งตอนนี้เวลานี้เราสี่คนได้มาพบกันพร้อมหน้า แถมยังมีความรู้สึกผูกพันให้แก่กันกันจริงๆด้วยไม่ใช่รึไง มึงไม่รู้จริงๆน่ะเหรอ ว่าอะไรในตัวของพวกเราที่ทำให้มันเป็นสิ่งที่พิเศษขึ้นมาน่ะ” มันยิ้ม

ผมขมวดคิ้วเพราะความไม่เข้าใจ ไคล์เองก็เช่นกัน แต่ไม่นานเขาก็ยิ้มกว้างออกมาเหมือนรู้คำตอบแล้ว และพีเองก็ด้วย

“ไคล์บอกไอ้เมฆมันซิว่า ชื่อเต็มๆของเราชื่อว่าอะไร”

“ไคล์ ริเวอร์ ไรออซครับ ทั้งชื่อกลางและนามสกุลของผมต่างก็แปลได้ว่า ‘น้ำ’ ทั้งคู่”

“ไง คราวนี้มึงเข้าใจรึยัง.......... ถึงกูจะไม่เชื่อเรื่องพรหมลิขิตหรือโชคชะตาชักพาให้คนสองคนได้มา ‘รัก’ และครองคู่กันไปตลอดชีวิตกันก็จริง แต่กูเชื่อว่าคนเราทุกคนผ่านมาเจอกันด้วยเหตุผลบางอย่างเสมอ และกูเชื่อว่าโชคชะตาก็คือส่วนสำคัญในเรื่องนั้นด้วย เพราะฉะนั้นแล้ว การที่เราสี่คน ศิลา ฟ้าคราม ปฐพี สายน้ำ ได้มานั่งกันอยู่ตรงนี้ กูว่ามันต้องมีความหมายอะไรบางอย่างที่พิเศษไปกว่าทั่วๆไปแน่นอน”


หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 01-10-2007 23:44:50
นึกว่าวันนี้จะไม่ได้อ่านซะแล้ว
น่ารักจังเลย สี่คนเนี่ย :m3:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 01-10-2007 23:46:48
พรมลิขิต  :m3:  :m3: ทำให้ทั้งสี่มาครองคู่กัน  :m11:  :m11:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 02-10-2007 00:58:05
 :impress:
โรแมนติกจังเลยยยย การรวมตัวของศิลา ฟ้าคราม ปฐพี และสายน้ำ  :o8:
จะเป็นยังไงต่อไปละเนี่ยยยยย การเดินทางจะสิ้นสุดรึยังงงง  หรือจะมีเหตุอะไรเกิดขึ้นอีก
โหหหหหหห รอต่อไปปปปป  :serius2:
 :m7:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: ~Brand New Beat~ ที่ 02-10-2007 01:49:12
ตอนนี้โรแมนติกมากมาย อ่านแล้วแอบอิจฉาด้วย  :m3: :m3: :m3:

มันจะบังเอิญอะไรกันขนาดนั้นเนี้ย อิอิ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 02-10-2007 03:04:06
“ไป ‘สะเมิ๊ฟ’    <<<  และแล้วก้อได้ ความรู้ใหม่ ฮี่ๆ      :m3:

อ่าน  ...ศิลา ฟ้าคราม ปฐพี สายน้ำ.... เเล้ว ชุ่มชื่นหัวใจชะมัด   :m1:

อ่านแล้วมีความสุข สัมผัสถึงความรัก ความอบอุ่น  ความมีชีวิตชีวา   :o8: 

จากตัวละครทุกตัวที่คุณสร้างมันขึ้นมา    o7

ขอบคุน คนเขียนเจ้าค่ะ     :give2:


หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: ninaprake ที่ 02-10-2007 04:47:49
อ่านแล้วอบอุ่นๆอีกแล้ว อิจฉาๆๆๆๆด้วยยยยยย  o9
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 02-10-2007 10:32:47
พรมลิขิต ชะตาฟ้ากำหนด ให้คนเราได้มาเจอกัน ซึ้งอีกแล้ว อิอิ

แต่ชอบคำว่า สะเมิ้ฟ แหมเอาเจ้าตัวเล็กสีฟ้ามาเปรียบได้ น่ารักมากๆ อิอิ สะเมิ้ฟ น่าเอาไปเป็นรหัสลับจัง อิอิ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 02-10-2007 17:23:09
ตอนที่ 46


เมื่อเราออกมาจากเคบินของพีก็เป็นเวลาสองทุ่มกว่าแล้ว บรรยากาศภายนอกโดยรวมถ้าไม่นับตรงบริเวณแมสวิค คาเฟทีเรียที่พวกเราไปทานอาหารกันมาสองมื้อแล้วล่ะก็ ส่วนอื่นๆก็เรียกได้ว่ามืดสนิทเลยทีเดียว รวมไปถึงบริเวณทางเดินเท้าเลียบถนนที่เราใช้เดินไปยังป้ายรถเฮอร์มิทเมื่อวานอีกด้วย ทั้งๆที่ในตอนกลางวันมันก็ดูสวยและไม่มีอันตรายอะไรดีอยู่หรอก แต่พอตกกลางคืนแบบนี้ปุ๊บ มันกลับดูมืดและน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูกขึ้นมามากจริงๆ ไม่ใช่ว่าผมเป็นคนกลัวผีหรือกลัวความมืดหรอกนะ แต่พอเห็นแบบนี้แล้ว ถ้าจะให้ผมเดินไปที่นั่นคนเดียวมืดๆอย่างนี้ล่ะก็ ผมเองยังไม่แน่ใจเลยว่าผมจะอยากทำรึเปล่า

“ไปเดินดูวิวตอนกลางคืนกันมั๊ย” ผมถามไอ้ซันขณะที่เรากำลังยืนอยู่หน้าประตูเคบินของพี

“มึงคิดยังไงของมึงเนี่ย” มันถามแล้วมองออกไปรอบๆตัว “ทั้งมืดทั้งหนาวขนาดนี้เนี่ยนะ”

“ทำไมวะ มึงกลัวรึไง” ผมแกล้งแหย่ เพราะผมรู้ว่าจริงๆแล้วมันกลัวผี

“ใครบอกมึงว่ากูกลัว ก็แล้วแต่ดิ่ ไปก็ไป จะไปไหนล่ะ”

“กูอยากเดินไปตามทางเดินที่เราเคยเดินเมื่อวานน่ะ” ผมชี้ไปยังทิศของเฮอร์มิทบัสสต็อป “เดินไปขึ้นรถที่ป้ายนั้นก็ได้ กูอยากเห็นแกรนด์ แคนยอนตอนกลางคืนน่ะ แถมอยากเดินดูดาวไปเรื่อยๆด้วย”

“ถ้าอย่างนั้นพวกพี่รอผมแป๊บนึงนะครับ” พีพูดแล้วเดินหายกลับเข้าไปในห้อง ผมชะโงกข้ามไหล่ของไคล์ไปดูก็เห็นเขากำลังเปิดลิ้นชักหาอะไรอยู่สักอย่าง และไม่กี่วินาทีถัดมาเขาก็เดินกลับมาพร้อมกับไฟฉายกระบอกสีเหลืองกระบอกหนึ่ง “พกนี่ไปด้วยก็แล้วกันนะครับ เพราะมันจะมืดมาก”

“ขอบคุณมากครับ” ผมรับไฟฉายมาถือไว้ในมือ “งั้นเราก็ไปกันเถอะซัน”

ไอ้ซันพยักหน้าเงียบๆ จากนั้นก็หันไปหาไคล์ “อย่าซนล่ะ”

พวกเราสี่คนหัวเราะขึ้นพร้อมๆกัน และแม้แต่พีเองก็ยังหัวเราะเขินๆไปด้วย

“มึงไม่ต้องไปยุ่งกับเขา ถ้างั้นพี่ไปแล้วนะทั้งสองคน แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้เจอกันที่นี่ตอนเช้าตามที่นัดไว้”

“เดี๋ยวครับ.......” ไคล์พูดขึ้นจากนั้นก็หันไปหาพี “พี ผมว่าเราสองคนเดินไปส่งพวกเขาที่นั่นด้วยเลยดีกว่านะ ผมเองก็อยากเดินเล่นเหมือนกัน อยู่เคบินเฉยๆก็ไม่มีอะไรทำอยู่ดีนี่”

“แน่ใจเหรอว่าไม่มีอะไรทำน่ะ” ไอ้ซันขัดขึ้น

“แน่ใจนะครับว่าจะเอาอย่างนั้นน่ะ เพราะเดี๋ยวขากลับก็ต้องเดินกลับกันมาแค่สองคนนะ” ผมถามย้ำ

พีสบตากับไคล์แล้วก็พยักหน้าพร้อมรอยยิ้มก่อนที่จะเดินกลับเข้าห้องไปแล้วก็หยิบเสื้อแจ๊กเก็ตของทั้งคู่พร้อมไฟฉายอีกกระบอกออกมา

“ไปกันเถอะครับ” พียื่นเสื้อของไคล์คืนให้เจ้าของ ส่วนเขาก็เหวี่ยงเสื้อของตัวเองคลุมตัวก่อนจะปิดประตูตามหลังไป

พวกเราสี่คนข้ามถนนไปยังฝั่งตรงข้ามแล้วก็เดินคุยเรื่องแผนการของวันพรุ่งนี้ไปเรื่อยๆ ที่นี่ตอนกลางคืนนี้มืดสนิทจริงๆ ขนาดที่ว่าถึงจะมีไฟถนนที่ตั้งกันอยู่ห่างๆแล้ว ผมก็ยังคงแทบจะมองไม่เห็นทางเดินข้างหน้าได้ไกลเกินไปกว่าห้าเมตรเลย และถึงแม้จะมีไฟฉายแล้วก็ยังไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเท่าไหร่เลยด้วยซ้ำ

พวกเราคุยกันว่าพรุ่งนี้จะตื่นมาแต่เช้าเพื่อเตรียมตัวจะออกไปไฮค์กันตั้งแต่เจ็ดโมงไม่เกินเจ็ดโมงครึ่งเพื่อหนีแสงแดด แต่ไอ้ซันกลับเรียกร้องว่ามันไม่อยากจะตื่นเช้าเกินไป เพราะถ้าอยากให้ร่างกายมีสภาพพร้อมเต็มที่แล้วล่ะก็ การตื่นเช้าเพื่อแหกขี้ตาไปไฮค์ล่ะก็คงไม่ใช่ความคิดที่ดีสำหรับมันแน่ๆ ดังนั้นเราจึงตัดสินใจเลื่อนเวลาออกไปเป็นสิบโมงเช้าแทน

“แต่แบบนั้นกว่าจะเริ่มเดินทางแดดมันจะแรงหน่อยนะครับ” พีพูดขึ้นเมื่อไอ้ซันเสนอเวลาที่มันอยากได้ “เพราะผมคิดว่าเราควรจะกินข้าวเช้ากันก่อน ไม่งั้นคงไม่มีแรงแน่ๆ”

“เรื่องแดดพี่ไม่กังวลอยู่แล้วว่ะ ทาครีมกันแดดเอาก็ได้ ใส่หมวก ใส่เสื้อแขนยาวอะไรเอาก็ได้ พี่ไม่ซีเรียสนะ พีกับไคล์ล่ะ อยากจะเลี่ยงแดดรึเปล่า กลัวดำ รึแพ้แดดอะไรมั๊ย” ไอ้ซันพูด ส่วนทั้งสองคนก็ส่ายหน้า “ก็นั่นน่ะสิ งั้นก็ไม่น่าจะมีปัญหาใช่มั๊ยล่ะ”

“นี่มึงไม่คิดจะถามกูมั่งเลยรึไง” ผมถาม

“ถามทำไม ถ้ามึงกลัวแดดมึงจะมาเป็นนักบาสเหรอวะ” ไอ้ซันหัวเราะเบาๆ

“คือ ที่ผมหมายถึงนี่ไม่ใช่เรื่องโดนแดดเผาหรอกครับ นั่นมันก็ส่วนหนึ่ง แต่ที่เขาว่ากันก็คือเรื่องของการสูญเสียความชื้นในร่างกาย ขาดน้ำ หรือเรื่องเป็นลมแดดอะไรแบบนั้นน่ะครับ” พีพูด

“อืม.....” ไอ้ซันหันมามองผมอย่างใช้ความคิด จากนั้นก็หันกลับไปหาพีอีกครั้ง “แต่ถ้าเดินจริงๆยังไงๆมันก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงแดดได้อยู่แล้วนี่นะ ช่างมันเถอะ มัวแต่กังวลไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะถ้านอนไม่พอแล้วไปเดินทางไกลร้อนๆอย่างนั้นมันแย่ยิ่งกว่าเรื่องจะเกิดปัญหาเพราะแดดจริงรึเปล่าก็ไม่รู้นั่นเยอะเลยว่ะ ความเสี่ยงมันต่างกันเกินไป”

“ก็แล้วแต่มึงนั่นแหละ เพราะกูเองก็ยังไงก็ได้อยู่แล้ว” ผมพูด “และอีกอย่างนะ กูว่าเราสี่คนก็นักกีฬากันทั้งนั้น มันไม่น่าจะมีปัญหาอะไรเรื่องการดูแลควบคุมตัวเองหรือการต้องเสียเหงื่อใต้แสงแดดมากนักมั๊ง ขอแค่เตรียมตัวตอนก่อนไปกับระวังตัวตอนเดินให้ดีๆได้ก็คงโอเคแล้วล่ะ”

เป็นอันว่าบทสนทนาในเรื่องที่ควรกังวลก็จบลงเพียงเท่านั้น นอกจากนั้นตลอดทางเดินที่เหลือเราก็คุยกันเรื่องของอาหารที่เราควรจะเตรียมไป โดยเน้นที่พวกแป้งและของเค็มๆ น้ำเปล่าและน้ำเกลือแร่ รวมทั้งอาหารกลางวันด้วย จนเมื่อเราเดินมาถึงยังป้ายรถบัส เราทั้งสี่คนก็เดินไปชะโงกดูวิวตรงจุดที่เราเคยดูเมื่อตอนกลางวันทันที แต่น่าเสียดายที่เรามองอะไรไม่เห็นเลยนอกจากความมืดและแสงจุดเล็กๆสองสามจุดข้างล่างลิบๆเท่านั้น พีบอกว่านั่นก็คงเป็นคนที่กำลังไฮค์กลับขึ้นมานั่นเอง

“ถ้าพรุ่งนี้เราเริ่มออกเดินกันเวลาประมาณนั้น เราก็ควรจะพกไฟฉายไปด้วยเหมือนกันครับ” พีย้ำ

หลังจากที่เดินเล่นรอบๆนั้นดื่มด่ำกับความหนาวเย็นของอากาศ ความเงียบสงบที่ไร้ผู้คน และความงดงามของดวงดาวดาษดื่นบนท้องฟ้ากันอยู่สักพัก ผมก็สังเกตเห็นคนสามคนกำลังเดินตรงมายังป้ายรถบัส เมื่อเขาเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ผมจึงเห็นได้ชัดมากขึ้นว่าพวกเขาเป็นผู้ชายสามคน เป็นคนดำสองคน คนขาวหนึ่งคน แต่ที่น่ากังวลใจก็คือพวกเขาดูไม่ปกติอย่างที่สุด ทั้งท่าทางการเดินและบุคลิกมันดูแปลกๆจริงๆ จนเมื่อเขาเข้ามาใกล้มากขึ้นจนอยู่ตรงแสงไฟผมจึงรู้ว่าทั้งสามคนกำลังเมาอยู่นั่นเอง

คนดำหนึ่งในสองคนนั้นตัวใหญ่มาก ดูแล้วน่าจะสูงราวๆเกือบร้อยเก้าสิบเซนติเมตรได้ ซึ่งถ้าพูดจริงๆแล้วก็ดูตัวสูงกว่าไคล์ไม่เท่าไหร่เพราะไคล์ก็สูงเกือบถึงร้อยแปดสิบห้าแล้ว แต่ว่าเขาตัวหนาและล่ำกว่าไคล์มาก หรือถ้าพูดให้ชัดก็คือหมอนี่มันก็ยักษ์ดีๆนี่เอง และนอกจากนั้นเจ้าตัวก็ยังดูท่าจะเมามากกว่าใครเพื่อนด้วยเพราะพูดจาโหวกเหวกเสียงดังมากที่สุด คนดำอีกคนตัวเล็กกว่าอีกคนเยอะ ดูๆแล้วน่าจะตัวพอๆกับผมเท่านั้น ส่วนคนขาวที่ใส่หมวกพนักงานอยู่ด้วยนั้นเป็นคนที่ดูท่าทางจะสงบกว่าอีกสองคนอย่างเห็นได้ชัด แต่ว่าเขาก็กลับดูมีหน้าตาน่ากลัวมากกว่าคนดำสองคนนั้นเสียอีก เขาดูอ้วนๆตัวใหญ่ๆ แต่ดูแล้วน่าจะสูงพอๆกับไคล์หรือราวๆร้อยแปดสิบต้นๆเท่านั้น

“ไอ้พวกเหี้ยนี่มันอะไรวะ” ซันพูดขึ้นหลังจากที่สามคนนั้นนั่งอยู่ตรงป้ายหยุดรถ

“มีหมวกพนักงานด้วยนะครับ พนักงานของที่นี่เหรอเนี่ย พีคุ้นหน้ารึเปล่า” ไคล์หันไปถามพี

พีมองหน้าสามคนนั้นพักหนึ่งก่อนจะหันกลับมาหาพวกเรา “คิดว่าไม่นะครับ ผมคุ้นก็แต่คนที่ตัวใหญ่ๆนั่น...... แต่ก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่” เขาก้มหน้าทำท่าเหมือนใช้ความคิด ผมจึงต้องรีบตัดบท

“อย่าไปสนใจเลย” ผมพูดขัดขึ้น “ไม่ต้องมอง ไม่ต้องไปสนใจ ไม่ใช่เรื่องของเราหรอก ไปมองมันมากๆ เดี๋ยวมันก็มาหาเรื่องเข้าให้หรอก”

“หืมมม มึงกลัวเหรออออ” ไอ้ซันทำเสียงล้อพร้อมทั้งหยิกแก้มผมเบาๆ

“เออออ กูกลัว กลัวว่ามันจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นน่ะสิ แต่ไม่ได้กลัวพวกแม่งสามคนนั่นหรอก กูแค่ไม่อยากทำตัวเองให้ไปอยู่ในเรื่องเหี้ยๆ โดยเฉพาะกูเป็นห่วงพีแล้วก็ไคล์ด้วย กูไม่อยากให้น้องสองคนต้องเจอปัญหา เข้าใจ๋”

“แล้วมึงไม่ห่วงกูมั่งเลยรึไง” ไอ้ซันถาม แกล้งทำเสียงน้อยใจอีกแล้ว

“ม่ายเลยยย ตัวยังกะควาย น่าจะดูแลตัวเองได้หรอกมึงน่ะ ทีเมื่อกี๊มึงยังไม่เห็นจะห่วงเรื่องกูโดนแดดมั่ง” ผมหยิกแก้มมันคืนบ้าง เราสี่คนหัวเราะขึ้นพร้อมๆกัน

เมื่อเราหยุดล้อเล่นกันแล้วผมก็ใช้หางตามองเห็นว่าทั้งสามคนนั้นก็กำลังมองมาที่เราอยู่เหมือนกัน แถมยังทำท่าคุยซุบซิบๆอะไรกันอีกด้วย แต่ผมก็ไม่ได้สนใจมากนัก เพราะว่ามันก็คงเป็นเรื่องปกติสำหรับเขาที่จะสงสัยหรือสนใจพวกเราที่กำลังคุยกันอยู่ในภาษาอื่นที่เขาไม่รู้จัก

“อ้าวนั่น รถมาแล้วครับ” ไคล์พูดขึ้น

เรารอให้รถเข้ามาจอดจนเกือบจะสนิทก่อนจากนั้นจึงหันไปโบกมือลาไคล์กับพี

“เดินกลับดีๆล่ะ ไคล์ดูแลพีด้วยนะ” ไอ้ซันพูดพลางหัวเราะเบาๆ

“กลับดีๆนะทั้งคู่ พีดูแลไคล์ด้วยนะครับ” ผมพูดขึ้นบ้าง แล้วก็เรียกเสียงหัวเราะออกมาได้อีกครั้ง

เมื่อรถบัสจอดสนิทและเปิดประตูรับพวกเราแล้ว ผมกับไอ้ซันจึงเดินขึ้นรถไป และรวมถึงสามคนนั่นด้วย แต่ผมกับซันนั่งอยู่ที่นั่งเบาะหน้าเกือบจะติดกับคนขับ ในขณะที่สามคนนั้นนั่งอยู่เบาะแถวหลังสุด และบนรถก็ไม่มีผู้โดยสารคนอื่นอยู่อีกเลย บอกตามตรงแล้วผมก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจเกี่ยวกับสามคนนั่นเท่าไหร่นัก เพราะอะไรบางอย่างในตัวผมมันคอยเตือนเอาไว้อยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อคิดดูดีๆแล้วผมก็คงจะคิดมากเกินไปเอง พวกนั้นก็คงเป็นแค่พนักงานที่ทำงานของที่นี่และกำลังจะกลับบ้านนั่นแหละ เขาคงไม่โง่พอจะทำอะไรบ้าๆกับแขกของบริษัทที่เขาทำงานให้หรอก

“ดูท่าทางจะไม่ใช่แค่กูกับมึงซะแล้วนะ ที่ถูกลิขิตให้เกิดมาคู่กันน่ะ” ไอ้ซันพูดขึ้นขณะที่เรานั่งเงียบกันอยู่บนรถได้สักพักหนึ่ง

“ไหนมึงบอกว่ามึงไม่เชื่อเรื่องถูกลิขิตมาอะไรนั่นไง”

“ใช่ แต่กูบอกแล้วไงว่ากูเชื่อว่าคนเรามาเจอกันก็เพราะเหตุผล กูเชื่อในสิ่งที่กูลิขิตเอาเอง อย่างเช่นตอนนี้และเมื่อก่อนที่ทั้งมึงและกูต่างก็ทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้เพื่อแสดงออกถึงความรักและเพื่อประคับประคองความสัมพันธ์ของเราเอาไว้ให้ได้มากที่สุด แต่การที่กูกับมึงได้มาเจอกันตั้งแต่แรกนั่นแหละที่กูหมายถึงว่าเรา ‘ถูกลิขิต’ มาให้คู่กัน เพราะว่าอีกอย่างนึงนะ อย่างน้อยๆถ้าจะบอกว่ากูไม่รู้สึกอะไรเลยกับเรื่องที่ชื่อของกูกับมึงคือท้องฟ้ากับก้อนเมฆล่ะก็ กูก็คงโกหกว่ะ เพราะเรื่องนี้ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้กูรู้สึกผูกพันกับมึงมากและไม่คิดจะตัดใจไปจากมึงง่ายๆ และที่สำคัญ มันยังทำให้กูคิดว่ามึงเองก็คงต้องรู้สึกเช่นเดียวกับกูด้วยเช่นกัน ใช่มั๊ย”

ผมหันไปยิ้มให้กับมันพร้อมกับพยักหน้า “ใช่แล้ว และไม่ใช่แค่ชื่อเท่านั้นนะ สำหรับกูแล้วมันเป็นทั้งนิสัยของเราสองคนด้วยจริงๆว่ะ กูว่าเรื่องนี้มันก็แปลกดี แต่ก็อย่างที่มึงพูดนั่นแหละ กูรู้สึกว่าเราสองคนมีสายใยบางอย่างเชื่อมโยงกันเอาไว้นะ แต่ว่าแค่นั้นมันก็คงไม่พอถ้าเราไม่แสดงออกหรือไม่พยายามอะไรเลย”

“พูดดีมากกกก” ไอ้ซันหันมาหยิกแก้มผมเบาๆ “จริงๆแล้วกูเองก็กังวลเรื่องที่กูพูดไปวันนี้เหมือนกันนะ ไม่รู้ว่ะ กูรู้สึกว่าพีมันเจออะไรมาเยอะจริงๆ และกูคิดว่าถ้าเกิดคนๆนั้นกลายเป็นกูขึ้นมาล่ะ........ ถ้าเกิดกลายเป็นกูที่ต้องเจอเรื่องๆเดียวกับเขา กูยังจะทำได้อย่างที่ปากกูพูดรึเปล่า และที่สำคัญคือ กูไม่แม้แต่มั่นใจแล้วด้วยซ้ำว่าสิ่งที่กูพูดไปนั้นมันถูกต้องและเป็นความจริง” ไอ้ซันพูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงกังวลและเหยียดแขนออกมาโอบบ่าของผมไว้

ผมได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้นมาจากสามคนทางด้านหลังทันที แต่ผมไม่สนใจ และก็ไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าเขาหัวเราะผมสองคนรึเปล่า เพราะคนเมาก็ดูเหมือนมันจะหัวเราะไปได้เรื่อยกับทุกอย่างนั่นแหละ

“กูไม่อยากจะคิดเลย.......... ว่าถ้าสักวันหนึ่ง กูเกิดต้องสูญเสียมึงไปแบบที่พีเคยสูญเสีย กูจะเป็นยังไง” ไอ้ซันพูดออกมาด้วยความไม่สบายใจจากเบื้องลึกของจิตใจจริงๆ

“กูเองก็เหมือนกัน ซัน แต่เราก็ไม่ควรไปมองอะไรให้มันอยู่แต่ในแง่ร้ายอย่างนั้นสิ ใช่มั๊ยล่ะ มึงก็พูดเองไม่ใช่เหรอ” ผมตบบ่าของมันเบาๆ

“เออ เรื่องนั้นกูก็รู้ มันก็เป็นแค่ความกลัวน่ะนะ........ แต่ก็อย่างที่บอก ไอ้ที่กูพูดกับพีไปแบบนั้นน่ะ มันจะถูกต้องรึเปล่าก็ไม่รู้” มันถอนหายใจ

“มึงทำดีแล้วซัน เชื่อกูเถอะ........ สิ่งที่มึงพูดน่ะถูกต้องทุกอย่างแล้ว กูเองก็กังวลเหมือนๆที่มึงคิดนั่นแหละ แต่พอคิดไปคิดมาแล้ว กูว่านั่นมันก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เราทำได้แล้วว่ะ เขาไม่สามารถมีชีวิตอยู่ตัวคนเดียวแบบนั้นได้อีกต่อไปแล้วหรอก.......”

“ใช่.......” ไอ้ซันเงียบไปพักหนึ่ง “แต่มึงรู้มั๊ยว่าตอนนี้กูกำลังกังวลและรู้สึกรำคาญใจเรื่องอะไรมากที่สุด”

“อะไรวะ”

“เรื่องไอ้เหี้ยสามคนข้างหลังนั่นน่ะสิ มึงเองก็ได้ยินที่มันคุยกันกับที่มันหัวเราะเมื่อกี๊แล้วนี่”

“กูได้ยินที่มันหัวเราะ แต่กูไม่ได้ยินที่มันพูดกันว่ะ มึงได้ยินเหรอวะ มันว่าไงอ่ะ”

“กูได้ยินตั้งแต่ตอนก่อนเราจะขึ้นรถแล้ว แต่กูก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่หรอกนะ ไอ้เรื่องที่พวกแม่งพูดน่ะช่างมันเหอะ แต่ที่แน่ๆคือกูไม่พอใจเลยสักนิดเดียวจริงๆ” ไอ้ซันทำท่าทางไม่พอใจ

“กูเองก็เหมือนกัน จริงๆปกติแล้วกูก็ไม่ได้ชอบคิดชอบกังวลอะไรมากเกินไปหรอกนะ แต่กูมีความรู้สึกบางอย่างที่ไม่ค่อยดีจริงๆว่ะ” ผมหันข้ามไหล่ไปมองยังสามคนนั้น และก็เป็นอย่างที่ผมคิด ไอ้ดำเล็กกับดำใหญ่นั่นกำลังมองมาที่พวกเราและยังหัวเราะกันอยู่ด้วย ส่วนคนขาวนั่นก็กำลังมองพวกเราอยู่ด้วยหางตาด้วยเช่นกัน “เอางี้ดีมั๊ย....... กูว่าเราลงกันที่ป้ายไชรน์ ออฟ ดิ เอจเจส ดีกว่า ต้องเดินนิดหน่อย แต่มันก็จะได้สลัดไอ้พวกเหี้ยนี่ออกไปได้ด้วยไง”

ป้ายไชรน์ ออฟ ดิ เอจเจส เป็นป้ายหยุดรถที่เราสามารถลงเพื่อไปยังยาวาพาย คาเฟทีเรีย ที่ทำการไปรษณีย์ ลานจอดรถ ธนาคาร และ เจเนอรัล สโตร์ หรือที่ถูกเรียกรวมๆกันทั้งหมดว่า มาร์เก็ตพลาซ่า ได้โดยที่เราไม่ต้องนั่งรถวนไปจอดป้ายอื่นก่อนอีกสามถึงสี่ป้าย ซึ่งพีเคยบอกเราว่าส่วนมากแล้วพนักงานที่เวลารีบและไม่อยากจะเสียเวลานั่งรถอ้อม ก็จะลงที่ป้ายนี้แล้วกึ่งเดินกิ่งวิ่งเอา เพราะระยะทางมันก็แค่ประมาณครึ่งไมล์และใช้เวลาเดินแค่ประมาณสิบนาทีไม่เกินสิบห้านาทีเท่านั้น ถ้าจะว่าไปมันก็แทบไม่ต่างกับเวลาที่รถใช้ขับวนไปจอดป้ายอื่นๆเลย เพียงแต่ว่ามันรู้สึกดีกว่าถ้าเราได้ออกมาเดินหรือวิ่งเพื่อควบคุมเวลาด้วยตัวเองเท่านั้น

“หมายความว่ายังไงวะ” ไอ้ซันถาม

“ก็กูรู้มาว่าที่พักของพวกพนักงานน่ะ มันลงป้ายก่อนที่จะถึงป้ายมาร์เก็ตพลาซ่าไง หรืออาจจะลงที่ป้ายเดียวกับเราก็ได้ เพราะงั้นถ้าเราอยากจะสลัดพวกนั้น เราก็ลงที่ป้ายที่กูบอกแล้วเดินเอา อีกอย่างนะ กูรู้สึกอยากเดินด้วยว่ะ อากาศดีออก มืดๆเงียบๆ เดินดูดาวกับมึงสองคน มึงไม่สนเหรอ” ผมยิ้มกว้าง พยายามเพื่อปกปิดสิ่งที่ผมกังวลเอาไว้ให้ดีที่สุด

“ถ้ามึงว่าอย่างนั้นก็แล้วแต่มึงก็แล้วกัน......” ไอ้ซันตอบหลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง “แต่ถ้าพวกแม่งเกิดมาลงป้ายเดียวกับเราด้วยล่ะก็........”

ใช่แล้ว นั่นล่ะคือสิ่งที่ผมกังวลอยู่ และผมก็ทั้งคิดและหวังว่ามันจะเป็นอะไรที่ผมแค่คิดมากเกินไปเองก็เท่านั้น “ก็แปลว่าพวกมันตามเรามาและก็คงต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ.......... เฮ้ย แต่มึงคิดมากไปมั๊ง คงไม่มีอะไรหรอก”

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 02-10-2007 17:23:52

เราสองคนจบบทสนทนาที่ตรงนั้น เพราะอีกแค่สองนาทีถัดมา เราก็มาถึงป้ายที่เราต้องลงกันแล้ว เมื่อคนขับรถประกาศบอกชื่อป้ายที่กำลังจะมาถึง ผมกับไอ้ซันก็ลุกขึ้นยืน และเราสองคนก็มองเห็นทางกระจกมองหลังตรงคนขับด้วยว่าทั้งสามคนนั้นก็ลุกขึ้นยืนด้วยเช่นกัน มันทำให้ผมรู้สึกแย่ขึ้นมานิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะลงป้ายเดียวกับเราไม่ได้นี่นะ และที่สำคัญ พวกนั้นหรือบางคนในนั้นอาจจะเป็นแขกที่มาพักเหมือนกับเราก็ได้ แต่เพื่อที่จะพิสูจน์อะไรบางอย่าง ผมจึงตัดสินใจเดินตรงเข้าไปหาคนขับรถแล้วถามเขาเรื่องเวลาเดินรถว่ารถเที่ยวแรกเริ่มเมื่อไหร่และรถเที่ยวสุดท้ายนั้นมีจนถึงกี่โมงเพื่อดูว่าทั้งสามคนพอลงจากรถแล้วจะเดินไปที่ไหนกันต่อ แต่ปรากฏว่าเมื่อผมกับไอ้ซันอ้อยอิ่งอยู่บนรถสักพัก ทั้งสามคนนั้นก็กลับยืนอยู่ที่ป้ายหยุดรถเสียเฉยๆด้วยเช่นกัน........ ไม่ใช่สัญญาณที่ดีเลยจริงๆ

ผมบอกขอบคุณคนขับสำหรับข้อมูลจากนั้นก็เดินลงจากรถมาพร้อมกับไอ้ซัน ไอ้ซันเองก็ดูเหมือนจะรู้สึกได้ถึงความผิดปกติของคนสามคนนี้อยู่เช่นกัน มันจึงเดินเข้ามาชิดกับตัวผมแล้วโอบเอวของผมเอาไว้แน่น เราสองคนออกเดินข้ามถนนไปโดยที่ไม่ได้พูดอะไรกันสักคำและยังไม่ได้ทำท่าทางผิดสังเกตอะไรเลยอีกด้วย แต่ผมรู้สึกเลยว่าไอ้ซันเองก็กำลังกังวลในเรื่องเดียวกับที่ผมกำลังกังวลอยู่เหมือนกัน เพราะทันทีที่พวกเราออกเดิน ฝรั่งสามคนนั้นก็เดินตามพวกเราทันที ถึงจะไม่ใช่ในระยะทางที่ใกล้กับพวกเรามาก แต่ก็ไม่ได้ไกลจนถึงขนาดที่เราจะวางใจได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรอบข้างมืดสนิทและไม่มีคนเลยแบบนี้ด้วยแล้ว

“กูว่ากูพลาดแล้วว่ะ ซัน......” ผมพูดขึ้นหลังจากที่เราเดินข้ามถนนมายังบนทางเดินเท้าที่ฝั่งตรงข้ามได้สำเร็จ ผมแทบจะมองอะไรไม่เห็นเลย มันมืดถึงขนาดที่มองไม่เห็นข้างทางหรือทางเดินเบื้องหน้าเลยด้วยซ้ำ บริเวณนี้ไม่มีแม้แต่ไฟถนนสักดวง และผมยังคืนไฟฉายให้กับพีไปแล้วซะด้วย “เมื่อกี๊พอพวกมันลงจากรถไปแล้ว กูว่ากูน่าจะยังอยู่บนรถแล้วนั่งไปลงที่ป้ายคาเฟทีเรียเลยดีกว่าว่ะ ไม่น่าเลย”

“ช่างเถอะ กูไม่สนใจหรอก........ มันก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรนี่ ใช่ว่าจะมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นสักหน่อย กูว่ามึงนั่นแหละที่คิดมากไปเองรึเปล่า” ถึงไอ้ซันจะพูดอย่างนั้น แต่ผมก็รู้สึกถึงความไม่สบายใจของมันได้จากการที่มันเปลี่ยนจากโอบเอวผมมาเป็นกุมมือของผมแทน “เมฆ....... มึงกลัวรึเปล่า” มันถาม

“ไม่ว่ะ ไม่เลย” ผมตอบออกไปจากใจจริง “พูดจริงๆกูไม่ได้กลัวพวกมันหรอก แต่กูไม่อยากให้มันเกิดอะไรขึ้นเท่านั้นเอง เรามาเที่ยวนี่หว่า แถมกูไม่อยากให้มึงมาเจอปัญหาด้วย ถ้ากูจะกลัว กูก็กลัวจะเกิดอะไรขึ้นกับมึงมากกว่าอย่างอื่นเลย........ แล้วมึงล่ะ รู้สึกกังวลมั๊ย”

“กูก็เหมือนกัน สิ่งเดียวที่กูคิดก็คือกลัวว่ามึงจะเป็นอะไรไปนั่นแหละ” ไอ้ซันตอบเสียงนิ่ง “เราสองคนคงคิดมากกันเกินไปแล้วมั๊งเนี่ย กูว่า”

ผมบีบมือของมันเบาๆเพื่อแทนคำขอบคุณ และก็คิดว่ามันคงจะไม่มีอะไรให้ต้องกังวลจริงๆ ผมหันกลับไปมองสามคนนั้นที่กำลังเดินตามหลังเรามาห่างไปราวๆเจ็ดหรือแปดเมตร และผมก็ต้องรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นจำนวนคนที่เคยมีอยู่สามคนนั้นหายไปเหลือแค่เพียงสองคนแล้ว คนดำคนที่ตัวเล็กกว่านั่นหายไป

“ซัน ทำไมมัน.....” ผมหันกลับมาจะบอกไอ้ซันในสิ่งที่ผมเห็น แต่ทันใดนั้นเสียงๆหนึ่งก็ดังขัดขึ้นจากทางด้านหลังของเราเสียก่อน

“เฮ้ย!!”

ผมกับไอ้ซันมองหน้ากันแต่ก็ยังคงเดินต่อไปโดยไม่ได้หันกลับไปมองที่มาของเสียง ซึ่งผมคิดว่ามันคงเป็นเสียงของคนดำที่ตัวใหญ่ๆนั่นแน่ๆ แต่ถ้าเขามีธุระหรือคิดจะเรียกเราเพื่อให้หยุดดีๆ มันก็ไม่ควรที่จะใช้สำเนียงการเรียกแบบนั้น เราสองคนจึงทำเป็นนิ่งเฉยและเดินต่อไปโดยที่ไม่ได้พูดอะไร

“เฮ้ย! กูเรียกไม่ได้ยินรึไง ไอ้ลิงเหลือง!” เสียงๆเดิมดังขึ้นอีกครั้ง และผมได้ยินเสียงฝีเท้าเร่งความเร็วและกระชั้นขึ้นมาเรื่อยๆด้วย

ผมหยุดเดินและดึงให้ซันให้หยุดตามไปด้วย จากนั้นก็หันหลังกลับไป ไอ้ดำใหญ่กับไอ้ขาวเดินตรงเข้ามาหาเราสองคนช้าๆ ไอ้ดำดูท่าทางจะพอใจปฏิกิริยาของผมกับไอ้ซันทันทีเพราะผมเห็นรอยยิ้มกว้างอยู่บนใบหน้าของมันอย่างชัดเจน ถึงผมจะมองหน้ามืดๆของมันไม่เห็น แต่ผมก็เห็นฟันกับลูกตาขาวๆนั่นได้อย่างชัดเจนทีเดียว ส่วนไอ้อ้วนขาวก็ยังคงดูนิ่ง เงียบ และไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไรออกมาเหมือนเดิม

“มึงต้องการอะไร” ผมถามกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยจะเป็นมิตรนักเพราะมันก็ไม่ได้เรียกเราด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรก่อนอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นทำไมผมถึงจะต้องทำตัวสุภาพกับมันล่ะ แม้แต่ไอ้ซันเองก็ยังดูแปลกใจกับการที่ผมทำแบบนี้ไปด้วยเลย ผมรู้ว่าผมคงทำให้มันต้องกังวล แต่ผมก็ไม่ชอบอะไรแบบนี้เลยจริงๆ และผมรู้ว่าถ้าผมไม่หันมาคุยกับพวกมันให้รู้เรื่องแล้วล่ะก็ พวกมันก็คงต้องเข้ามาหาเรื่องเราก่อนแน่ๆ และที่แย่ไปกว่านั้นคือมันอาจจะตามราวีพวกเราไปจนถึงห้องพักแน่ๆ และการถูกคนแปลกหน้าที่มีท่าทางไม่น่าไว้ใจรู้จักที่พักนี่ก็ไม่ใช่ความคิดที่ดีเลยจริงๆ

ไอ้ดำใหญ่ หรือจะเรียกว่าไอ้ดำธรรมดาๆดีเพราะดำเล็กก็ไม่อยู่ให้เปรียบเทียบแล้ว ยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวเรียงรายอยู่เต็มปาก เมื่อมันเข้ามาใกล้ ผมก็ยิ่งรู้สึกขยะแขยงไปกับกลิ่นตัวและกลิ่นเหม็นเหล้าของมันมากขึ้นไปอีก ผมรู้สึกหัวใจของผมเต้นแรงขึ้นและอะดรีนาลีนของผมก็เริ่มสูบฉีดไปจนทั่วร่างกาย....... แต่ว่านี่มันก็ยังคงไม่ใช่ความกลัวอยู่ดี

“มึงสองคนมาจากไหนกันวะ มาทำงานที่นี่รึไง”

“เปล่า พวกเราเป็นแขกที่มาพักที่นี่” ไอ้ซันเป็นฝ่ายตอบกลับไปบ้าง มันก้าวเท้ามาข้างหน้าหนึ่งก้าวจนผมต้องเอื้อมมือออกไปขวางมันเอาไว้ไม่ให้มันทำอะไรที่หุนหันจนเกินไปเพราะผมรู้ว่ามันเป็นคนใจร้อน

ฝรั่งสองคนนั้นหันไปมองหน้ากันจากนั้นก็หัวเราะออกมา “ตอแหล!!” ไอ้ยักษ์มืดหันมาพูดเสียงดังจนเกือบจะเป็นตะคอกใส่ผม ซึ่งมันก็มักจะเป็นแบบนี้ประจำ ผมมักจะตกเป็นเป้าของคนอื่นเสมอๆ ก็เพราะว่าผมตัวเล็กกว่าไอ้ซันนั่นเอง ถึงผมจะเตี้ยกว่ามันไม่มาก และทั้งร่างกายรวมไปถึงส่วนสูงของผมจะไม่ใช่ขนาดที่ใครจะมาข่มเหงได้ง่ายๆ แต่คงเป็นเพราะหน้าตาของผมที่ดูเป็นมิตรและดูไร้พิษสงมากกว่า โดยเฉพาะเมื่อเทียบกันไอ้ซันในตอนนี้ด้วยแล้วล่ะก็ การที่มันจะเล็งมายังผมมากกว่านั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย และอีกอย่างที่ผมต้องขอยอมรับเลยก็คือกลิ่นเหล้ากับกลิ่นบุหรี่ที่หลุดออกมาจากปากจากตัวมันนั้นช่างสุดแสนจะเหลือทนจริงๆ “ไอ้พวกลิงเหลืองอย่างพวกมึงมันก็มาทำงานที่นี่ทั้งนั้น!! กูจะบอกอะไรให้นะ ถ้าคิดจะอ้างตัวว่าเป็นแขกล่ะก็ หัดดูหนังหน้ากับอายุตัวเองหน่อย คิดจะเป็นแขกที่มาพักแต่ตัวกะเปี๊ยกเท่านี้เนี่ยนะ! มีปัญญาจ่ายรึไง! พวกมึงมันก็เป็นแค่ไอ้พวกตกทองหวังมาสบายในอเมริกาเท่านั้นแหละเว้ย!!”

“พวกเราบอกแล้วว่าพวกเราเป็นแขกที่มาพักที่นี่ ถ้าไม่มีอะไรอย่างอื่นล่ะก็ พวกเราขอกลับก่อนก็แล้วกัน ไร้สาระชิบหาย” ไอ้ซันพูดจากนั้นก็จับข้อมือผมให้หันหลังกลับเพื่อจะออกเดินต่อ

“จะไปไหน!” ไอ้มืดร้องออกมาพร้อมกับจับหัวไหล่ของผมบิดกลับไปหามันเหมือนเดิม ผมถูกเหวี่ยงไปตามแรงของแขนอันใหญ่โตของมันจนเสียหลักและเกือบจะล้มลง

เมื่อไอ้ซันเห็นผมถูกเหวี่ยงแบบนั้นมันก็เดินเข้ามาผลักไอ้อ้วนดำออกไปทันที “มึงจะทำอะไรวะ!!”

เมื่อไอ้มืดถูกไอ้ซันผลักหน้าอกอย่างแรงจนถอยหลังออกไปถึงสองก้าว มันก็ระเบิดออกมาทันที “อะไรของมึง!! ไอ้ตุ๊ด!! กูล่ะเกลียดไอ้พวกคนเอเชียอย่างมึงที่สุด มึงรู้มั๊ย เข้ามาทำงานแล้วก็แย่งงานของพวกกูไปหมด ทำตัวเป็นขยันขันแข็ง แต่พวกมึงมันก็แค่หวังจะมาโกยเงินจากที่นี่กลับไปประเทศจนๆของพวกมึงเท่านั้นเอง ไอ้สัตว์!!” ไอ้ดำตะคอกพร้อมกับผลักอกไอ้ซันกลับไปอย่างแรงจนไอ้ซันเกือบจะล้มลง ผมจึงรีบขยับเข้าไปประคองแขนของมันไว้ทันที และตอนนี้ผมก็เริ่มจะรู้สึกเหลืออดบ้างแล้วเหมือนกัน อารมณ์ที่ผมไม่ค่อยจะได้รู้สึกนักมันเริ่มพลุ่งพล่านออกมาจนผมจะเก็บมันไว้ไม่ได้อีกแล้ว

“อ้ออ ห่วงแฟนมึงงั้นสิ! แต่มึงรู้อะไรมั๊ย กูล่ะเกลียดไอ้พวกลักเพศอย่างพวกมึงมากยิ่งกว่าอะไรอย่างอื่นซะอีก!!” มันเดินตรงเข้ามาหาผมอีกหนึ่งก้าวแต่ถูกไอ้ซันขวางและผลักออกไปเสียก่อน

“มึงไม่ต้องแม้แต่จะคิดเลย ไอ้สัตว์!” ไอ้ซันพูดออกไปด้วยความโกรธ และทันใดนั้นเอง ไม่มีใครทั้งผมและไอ้ซันคาดคิด ไอ้มืดนั่นก็เหวี่ยงหมัดออกมากระแทกเข้าที่หน้าของไอ้ซันดังพลั่กเข้าอย่างจัง

“เกะกะ!! คิดจะกล้ามาหาเรื่องกับกูรึไง ไอ้ลูกหมา! ไอ้ลักเพศ!!”

ไอ้ซันล้มลงไปนั่งอยู่บนพื้นเพราะแรงชก ผมร้องเรียกชื่อมันแล้วรีบก้มลงไปดูอาการทันที ไอ้ซันยกมือขึ้นมาปิดปากเอาไว้ ผมเห็นเลือดไหลออกมาจากริมฝีปากที่แตกพร้อมกับเลือดกำเดาด้วย เมื่อเห็นอย่างนั้นแล้วผมก็ไม่สามารถระงับอารมณ์เอาไว้ได้อีกต่อไป

“โอเค ตอนนี้กูกำลังโกรธจริงๆแล้ว” ผมลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับไอ้ยักษ์มืดนั่น และเมื่อเราสองคนยืนประจันหน้าห่างกันไม่ถึงสามนิ้วแบบนี้ ผมถึงเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าผมสูงแค่ประมาณหัวไหล่ของมันเท่านั้นเอง

“โอโห ประทับใจชิบหายเลยเว้ย! มีโกรธแทนแฟนด้วยเว้ยเฮ้ย เฮ้! มึงดูนี่สิ เจฟฟ์ ไอ้เตี้ยนี่มันคิดจะมาหาเรื่องกับกูว่ะ” ไอ้มืดหันไปพูดกับคนขาวที่ยืนอยู่ข้างหลังนั่น ทีนี้ผมก็รู้แล้วว่าไอ้ขาวนั่นมีชื่อว่าเจฟฟ์ “แล้วมึงจะทำอะไรกูได้ ห๊ะ ไอ้เปี๊ยก!” มันหันกลับมาผลักอกผมเซออกไปสองก้าว

“ไอ้เมฆ อย่า” ไอ้ซันพูดออกมาเบาๆอย่างยากลำบากเพราะเลือดที่ไหลอยู่จนกลบปาก ผมยื่นมือออกไปห้ามมันไว้โดยที่ไม่ได้ละสายตาไปจากไอ้คนที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเลยและรีบตัดสินใจว่าผมคงต้องลงมือทำอะไรบางอย่างที่ผมอยากจะทำสักทีได้แล้วก่อนที่ไอ้ซันจะลุกขึ้นมาเสียก่อน

“กูมีอะไรจะบอกมึงสามอย่างนะ ไอ้มืด.......” ผมเขยิบเข้าไปใกล้ไอ้ยักษ์มากขึ้นอีกก้าวหนึ่ง มันจึงรีบคว้าคอเสื้อของผมเอาไว้ เมื่อผมถูกดึงเข้าไปหามัน ผมก็กระทุ้งเข่าเข้าที่หว่างขาของมันอย่างเร็วและแรง แรงชนิดที่ว่าผมไม่ได้ยั้งกำลังของตัวเองเอาไว้เลยแม้แต่นิดเดียว และท่ามกลางความตกใจทั้งของซันและเจฟฟ์ที่กำลังมองดูอยู่นั้น ไอ้มืดก็เอามือทั้งสองข้างกุมเป้ากางเกงและทรุดตัวลงอย่างรวดเร็วพร้อมกับร้องโอดครวญออกมาเสียงดัง ซึ่งถ้าให้เปรียบเทียบอย่างที่เรารู้จักกันดีจริงๆก็คือร้องราวกับเสียงควายถูกเชือดนั่นเอง และในกรณีนี้มันก็หมายความว่าอย่างนั้นจริงๆด้วย

ผมมองไปยังใบหน้าอันบูดเบี้ยวของมันที่กำลังทรุดตัวต่ำลงมาเรื่อยๆจนอยู่ในระดับที่ผมพอใจ “ถ้าคิดจะมีเรื่องวิวาท อย่ามัวเอาแต่พูดแล้วก็ผลักอกคนอื่น แต่ต้องลงมือ”

ไอ้มืดมองหน้าผมด้วยสายตาที่เคียดแค้นและเต็มไปด้วยน้ำตาที่ไหลลงมาอาบแก้ม มันอ้าปากพะงาบๆเหมือนพยายามจะพูดอะไรออกมาหรือพยายามจะสูดลมหายใจเข้าไปผมก็ไม่รู้....... และผมก็ไม่แคร์ด้วย ผมยังคงจ้องตาของมันโดยที่ไม่แสดงความรู้สึกอะไรออกมาเลยแม้แต่นิดเดียว

“อย่างที่สอง.........” ผมพูด และก้าวถอยหลังออกมาเล็กน้อยก่อนที่มันจะทันตั้งตัวและยื่นมือออกมาคว้าผมเอาไว้ได้อีก จากนั้นผมก็เหวี่ยงสันมือเข้าที่คอหอยของมันอย่างแรง คราวนี้ไอ้มืดตาเหลือกขึ้นทันที แต่ไม่มีเสียงร้องออกมาสักแอะ ซึ่งถึงแม้มันอยากร้องออกมาใจจะขาดแต่ก็คงจะทำไม่ได้แล้ว น้ำลายของมันไหลออกมาจากปากที่ทั้งใหญ่และหนานั่นมากพอๆกับน้ำตาเมื่อสักครู่ และก่อนที่ผมจะทันได้อ้าปากพูดต่อ ไอ้ยักษ์อัปลักษณ์ที่ทั้งตาเหลือกและน้ำลายฟูมปากก็ล้มลงไปนอนตัวงออยู่บนพื้นเรียบร้อยแล้ว “อย่าใช้รูปร่างของคนมาตัดสินในการวิวาท ไอ้โง่”

ผมถอยออกมาเล็กน้อยและเอาเท้าเขี่ยมันเบาๆด้วยความรู้สึกสมเพช เมื่อผมละสายตาจากไอ้ดำที่นอนอยู่บนพื้นมองขึ้นไปยังเพื่อนของมันที่ชื่อเจฟฟ์ซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลจึงได้เห็นสีหน้าประหลาดใจราวกับเห็นผีของมัน และเมื่อเราสบตากัน จากความตกใจในสีหน้าและแววตาคู่นั้นก็เปลี่ยนเป็นความโกรธที่เห็นเพื่อนของตัวเองต้องลงไปกองอยู่ต่อหน้าต่อตาคนที่ตัวเล็กกว่าถึงหนึ่งช่วงหัวทันที

ผมยักไหล่ “ก็มันประมาทเองนี่นะ”

“ไอ้ชาติชั่วเอ๊ย!!” เจฟฟ์ร้องออกมาพร้อมกับเดินจนเกือบเหมือนจะวิ่งตรงเข้ามาหาผม “กูจะฆ่ามึง!! ไอ้ตุ๊ด!!”

ผมยังคงสบตากับมันอยู่จนกระทั่งมันเดินเข้ามาถึงตัวของผมและเงื้อหมัดจะต่อยออกมา แต่ผมแค่ก้มหลบนิดเดียว หมัดของมันก็วืดผ่านหัวของผมไปแล้ว และจังหวะนั้นเองผมก็ปล่อยหมัดออกไปที่พุงพลุ้ยๆของมันจนมันทรุดลงบนตัวของผม แต่น้ำหนักหมัดแค่นั้น ถึงจะทำให้รู้สึกจุก แต่ก็ไม่ได้สร้างความเสียหายอะไรได้มากอยู่แล้ว เพราะผมกำลังรอโอกาสนี้อยู่ต่างหาก เมื่อมันเริ่มเสียจังหวะเพราะหมัดเหวี่ยงวืดนั่นและยังถูกผมต่อยเข้าที่ท้องอีกด้วย ผมจึงฉวยจังหวะนั้นจับแขนเสื้อขวาและคอเสื้อของมันเอาไว้ จากนั้นก็สอดขวาขาของตัวเองเข้าไปที่หว่างขาของหมอนั่นแล้วก็ออกแรงหมุนตัวเหวี่ยงและเตะขาขึ้น จนหมูเจฟฟ์ถูกทุ่มลงไปกองอยู่กับพื้นข้างๆไอ้ยักษ์มืดเพื่อนของมัน และเชื่อเถอะว่าการถูกกระแทกหลังเปล่าๆลงบนพื้นปูนแข็งๆนั่นบวกกับการถูกเตะเข้าที่น้องชายแบบนี้คงต้องเจ็บหนักแน่

“และอย่างสุดท้าย........” ผมก้มลงไปเล็กน้อยเพื่อดูสภาพของไอ้หมูเจฟฟ์ที่ท่าทางจะสลบไปแล้วเรียบร้อย “ฝากบอกเพื่อนของมึงด้วยนะว่าอย่าบังอาจเรียกแฟนกูแบบนั้นอีก ไอ้หมูขาว”

ผมหันกลับไปหาไอ้ซันก็เห็นมันยืนขึ้นมาอยู่บนขาของตัวเองได้แล้ว ผมยิ้มกว้างให้กับมันแต่ไอ้ซันกลับมองผมด้วยสายตาราวกับไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เพิ่งเห็นไป ซึ่งก็คงไม่แปลก เพราะมันเองยังไม่เคยเห็นผมที่เป็นแบบนี้มาก่อนเลยจริงๆ

“มึงไม่เป็นไรนะ” ผมถามขณะที่กำลังจะก้าวขาเดินเข้าไปหามัน แต่ทันใดนั้นเองผมก็ได้ยินเสียงขยับตัวในป่าทางด้านหลังของไอ้ซัน และก่อนที่เราทั้งสองคนจะทันรู้ตัว ไอ้มืดเล็กก็กระโจนออกมาและคว้าไอ้ซันเอาไว้ด้วยแขนทั้งสองข้างในท่าล็อกคอแล้ว

“มึงทำเพื่อนกูได้แสบมาก ไอ้ชั่ว!! เพราะงั้นอย่าหวังว่าพวกมึงจะหนีไปเฉยๆได้นะ ไอ้พวกลูกหมาเอ๊ย!!”


หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: tonsai_2520 ที่ 02-10-2007 19:20:11


วันนี้โชคดีโว้ย . . .

ได้มาทันจิ้มตูดไอ้น้องต้น

ปล ฟิตดีว่ะ

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 02-10-2007 20:24:04
เมฆเก่งโคตรเลย  :m3:  :m3:  :m3:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: graydragon ที่ 02-10-2007 20:27:05
ตืบมานเลย เมฆ เอาให้จมดินไปเลย อยู่ดีๆมาหาเรื่องอย่างนี้เอาให้จมดินไปเลย  :m16: :m16:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 02-10-2007 20:28:44
 o21
อ่านตอนนี้แล้วรู้สึกรางไม่ดียังไงไม่รู้  อย่าให้มีใครเป็นอะไรเลยยยยยยยย :a6:
รีบมาต่ออย่างไวเลยครับบบบ ทิ้งไว้แบบนี้ คนอ่านจะขาดใจซะก่อนนนน
 :m5:

ปล คุณต้นสายมาจิ้ม ๆ อะไรใครเนี่ยยยยย สงสัยได้ขาหื่นแล้วววว ไปลง vote ให้เจ้สองดีกว่า
 :catrun:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 02-10-2007 20:40:54
มีครบทุกรสเลยนะ ทั้งเศร้า ทั้งหวาน ทั้งบู๊ล้างผลาญ
ว่าแล้วก็เชียร์เมฆ สอยไอ้คนสุดท้ายให้ร่วงแล้วฝังมันให้เรียบร้อยไปเลย
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 02-10-2007 20:44:58
ตื่นเต้นๆ
 :try2:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 03-10-2007 00:02:26
ตืบมันเลย ชั่วนัก ไม่พิการไม่สำนึก
 :m16: :m16: :m16:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 03-10-2007 02:59:05
:sad2:      อ่านตอนนี้แล้วรู้สึก   sad   อย่างแรง    :a6:
ไม่ชอบจบแบบเศร้าๆเลยนะ จริง
แต่ถ้าวาง โครงเรื่องไว้แล้ว... มันก้อ นะ       :o11:

**************

อ่านตอนที่แล้ว ยัง อิ่มเอมใจอยู่เลย    :give2:

อ่านตอนนี้แล้วขอ...ไปนั่งทำใจ ก่อน จะอ่านตอนต่อไป      :o12:


ป๋อล๋อ*.... อย่าเป็นอย่าง ที่คิดเลยนะ       :m26:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: ~Brand New Beat~ ที่ 03-10-2007 03:26:59
สำหรับคนสุดท้ายนี้ซันจะเป็นคนจัดการเองอะป่าว รึจะให้เมฆบู๊อยู่คนเดียวน้า

แอบหวังว่าคงไม่เกิดเรื่องไรขึ้น กลัวจิงๆว่ามันจะต้องมีอะไรเกิดขึ้น   :m17:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 03-10-2007 03:49:32
อย่าเศร้านะ  :m17: :m17:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: ninaprake ที่ 03-10-2007 07:06:09
กลัวมากๆเลยอ่ะ กลัวเรื่องเศร้าอ่ะ  o21
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 03-10-2007 09:37:26
ตอนที่ 47


ถึงผมจะสงสัยว่าทำไมไอ้มืดเล็กมันถึงได้หายไปเอากลางทาง และทำไมจู่ๆมันถึงได้โผล่ออกมาเอาตอนนี้ แต่คำตอบเหล่านั้นมันก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้วในเมื่อตอนนี้มันกำลังล็อกคอของซัน...... มันกำลังทำร้ายคนที่ผมรักอยู่

“ปล่อยเค้าเดี๋ยวนี้” ผมพูดขณะที่เดินเข้าไปใกล้ทั้งสองคนมากขึ้น

“มึงหยุดอยู่ตรงนั้นเลย!” ไอ้มืดเล็กออกคำสั่งและรัดคอของไอ้ซันให้แน่นขึ้นอีก ไอ้ซันมีสีหน้าอึดอัดขึ้นมาทันที

“ถ้ามึงคิดจะทำอะไรเค้าล่ะก็....... กูหักแขนมึงทิ้งแน่” ผมบอกกับไอ้มืดเล็กไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ในใจนั้นกลับกำลังคุกรุ่นอย่างที่สุด ถึงภายนอกผมจะยังดูสงบอยู่และแน่นอนว่าผมก็ยังคงควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดีพอด้วย แต่ความคุกรุ่นที่ว่านั้นก็คือการที่ผมอยากจะเดินไปกระชากตัวไอ้ซันออกมา แล้วก็ค่อยๆหักแขนไอ้มืดนั่นช้าๆ เพื่อให้มันรู้สึกทรมานและเสียใจที่สุดในชีวิตที่มันกล้าทำอย่างนี้กับแฟนของผม

“ซัน มึงโอเคมั๊ย” ผมถามออกไปเป็นภาษาไทยด้วยความเป็นห่วง

“พูดภาษาอังกฤษสิวะ ไอ้สัตว์!! ถ้ามึงพูดภาษาอื่นอีกล่ะก็ ไอ้กะเทยนี่เจ็บตัวแน่!!”

“โอเคๆ ใจเย็นๆน่า แล้วไง มึงต้องการอะไรจากพวกกูกันแน่” ผมถาม

ไอ้มืดเล็กมีท่าทางลังเลเล็กน้อยก่อนจะเปิดปากพูด “กระเป๋าเงิน! มึงโยนกระเป๋าเงินของมึงมาก่อน อย่างอื่นค่อยว่ากันทีหลัง” มันพูดด้วยเสียงอันสั่นเทาและลุกลี้ลุกลนอย่างเห็นได้ชัด ต่างจากเพื่อนของมันสองคนที่ยังดูจะมีสติมากกว่า แต่ก็อย่างว่า การที่มันต้องมาเห็นเพื่อนของมันลงไปนอนกองอยู่บนพื้นแบบนี้ทั้งคู่ก็คงทำให้มันขวัญหนีและทำอะไรไม่ถูกไปเลยอยู่เหมือนกัน

“อย่า เมฆ” ไอ้ซันร้องห้ามผมขณะที่ผมกำลังจะล้วงกระเป๋ากางเกงพอดี

“กูบอกให้พูดภาษาอังกฤษไง!” ไอ้มืดเล็กใช้มือข้างที่ใช้ล็อกคออยู่ตบเข้าที่ปากของไอ้ซัน และความอดทนของผมก็หมดลงอีกครั้ง ผมเดินตรงเข้าไปหาทั้งสองคนอีกหนึ่งก้าว หมายจะหักแขนของไอ้มืดนี่ทิ้งซะเดี๋ยวนั้นเลย แต่ทว่าไอ้ซันก็ขยับตัวขึ้นเสียก่อน

“พอกันที กูทนไม่ไหวแล้วว่ะ” ไอ้ซันพูด จากนั้นมันก็กระทุ้งข้อศอกเข้าที่ท้องของไอ้มืดเล็กอย่างแรงทำให้แขนที่รัดรอบคอของมันอยู่หลวมขึ้น และเมื่อไอ้ซันขยับตัวออกมาได้นิดหน่อย มันก็กระแทกหลังหัวเข้าไปที่ใบหน้าของไอ้มืดนั่นทันที เมื่อไอ้มืดเล็กผงะถอยหลังไปสองสามก้าวพร้อมกับยกมือขึ้นมากุมที่จมูกของตัวเอง ไอ้ซันก็หันกลับไปกระทุ้งเข่าแล้วก็ถีบเข้าที่ท้องของไอ้มืดนั่นอย่างแรงจนมันล้มลง ไอ้มืดทำท่าจะลุกขึ้นและขยับตัวหนีแต่ไอ้ซันก็เดินเข้าไปเหยียบและขยี้ข้อเท้าของมันเอาไว้เสียก่อนทำให้มันร้องลั่นออกมาเพราะความเจ็บปวด “กูไม่ใช่คนใจเย็นนักหรอกนะ ไอ้งั่ง เพราะงั้นกูให้เวลามึงแค่สามวินาทีไสหัวไปจากที่นี่ซะ!”

ไอ้ซันยกขาขึ้นและเตะไปที่ข้อพับของหมอนั่นอีกหนึ่งที ไอ้มืดมองหน้าไอ้ซันด้วยความเจ็บปวดและเคียดแค้น แต่ไอ้ซันไม่สนใจและหันหลังกลับเพื่อที่จะเดินมาหาผม แต่ว่านั่นเป็นความผิดพลาดอย่างที่สุดจริงๆ เพราะทันทีที่ไอ้ซันหมุนตัว และก่อนที่ผมจะทันได้อ้าปากห้ามไอ้ซันว่าอย่าหันหลังให้มัน ไอ้มืดเล็กก็ล้วงเข้าไปในเสื้อแจ๊กเก็ตแล้วหยิบมีดพกออกมา จากนั้นกระโจนเข้าไปหาไอ้ซันอย่างรวดเร็ว ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากและไอ้ซันก็ไม่รู้ตัวเลยด้วย แต่ผมที่เห็นท่าทางผิดปกติของไอ้หมอนั่นตั้งแต่แรกก็ไหวตัวทันและรีบวิ่งเข้าไปผลักไอ้ซันออกทันที

“ไอ้ซัน หลบ!!”

เมื่อไอ้ซันถูกผมเหวี่ยงออกไป ผมก็เตะเข้าที่ข้อมือของไอ้มืดนั่นอย่างแรงทำให้มีดกระเด็นลอยหายเข้าไปในป่าทางด้านหลัง ไอ้มืดเล็กใช้มือจับที่มือของตัวเองข้างที่ถูกเตะทันที และผมก็ไม่ปล่อยให้ช่วงเวลานั้นเสียไปอย่างไร้ประโยชน์แน่นอน เพราะจังหวะที่คนเราผ่อนแรงและมีช่องว่างแบบนี้คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่เราควรจะฉวยโอกาสเอาไว้ และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ผมสามารถจัดการกับไอ้สองคนนั้นที่ตัวใหญ่กว่าผมมากได้นั่นเอง

ผมถีบเข้าที่หน้าอกของไอ้มืดเล็กทันทีก่อนที่มันจะทันได้ตั้งตัว ผมไม่ได้ถีบแรงนัก แค่พอให้มันรู้สึกเจ็บและเสียหลักหงายหลังล้มลงไปอีกครั้งเท่านั้นเอง และเมื่อมันล้มลงไป ผมก็เดินตรงเข้าไปแล้วกระทืบเท้าลงไปที่มือข้างที่มันใช้จับมีดเมื่อกี๊ทันที ไอ้มืดร้องโหยหวนออกมาเสียงดังเพราะความเจ็บปวด

“มือข้างนี้สินะ ที่มึงใช้จับมีดและตั้งใจจะแทงแฟนกู.........” ผมยกเท้าขึ้นแล้วกระทืบลงไปอีกครั้งด้วยความรวดเร็วและรุนแรงก่อนที่มันจะทันได้ชักมือกลับ “และนี่ก็สำหรับที่มึงตบหน้าเขาเมื่อกี๊ด้วย”

เมื่อผมยกขาขึ้นอีกครั้ง ไอ้มืดเล็กก็ชักมือกลับอย่างรวดเร็วแล้วก็พยายามดันตัวถอยหนีด้วยมือข้างที่ยังดีอยู่ ผมเดินตรงเข้าไปหามัน ทำให้มันมองผมด้วยความหวาดกลัว “กูให้เวลามึงแค่สองวิ และกูหมายความว่าแค่สองวิจริงๆ รีบไปจากที่นี่ซะ ก่อนที่กูจะให้มึงชดใช้ที่กล้าเรียกแฟนกูแบบนั้น และมึงคงรู้นะว่าคราวนี้มึงจะต้องชดใช้ด้วยอวัยวะส่วนไหน”

ไอ้มืดเล็กยกมือข้างที่ไม่เจ็บขึ้นมาปิดปากทันที มันพยายามจะลุกขึ้นยืนบนขาของตัวเองให้ได้เร็วที่สุดอย่างลุกลี้ลุกลน จากนั้นก็วิ่งแบบกะเผลกๆหายไปในป่าด้วยความเร็วเท่าที่สังขารของมันจะพาไปได้ โดยไม่มีแม้แต่การหันหลังกลับมามองเพื่อนของตัวเองอีกเลยด้วยซ้ำ

ผมรอจนไอ้มืดนั่นวิ่งหายเข้าไปในป่าก่อนจากนั้นจึงหันกลับไปหาไอ้ซันและเดินตรงเข้าไปใช้มือประคองหน้าของมันให้หันมาหาผมทันที “ซัน มึงเป็นยังไงมั่ง”

“กูไม่เป็นไร” ไอ้ซันจับมือของผมออก “แต่ไปจากที่นี่กันดีกว่า กูไม่อยากให้เรื่องมันยุ่งยากมากไปกว่านี้”

“แล้วเราจะทำยังไงกับไอ้สาม....... กูหมายถึง ไอ้สองคนนี่ดี”

“ช่างแม่งเหอะ ทิ้งแม่งไว้ที่นี่แหละ” ไอ้ซันถ่มน้ำลาย....... หรือถ้าพูดให้ถูกก็คือถ่มเลือดลงบนพื้นใกล้ๆกับสองคนนั่น

“ก็ได้ ถ้ามึงว่าแบบนั้น แต่กูว่าเราควรไปขอความช่วยเหลือคนที่ร้านก่อนว่ะ ไปหายาทาหรือไปล้างหน้าล้างตามึงก่อน”

“กูบอกแล้วไงว่ากูไม่เป็นอะไรหรอก เลือดมันก็หยุดไหลแล้วด้วย” มันยืนกรานเสียงแข็ง

“กูขอร้องล่ะซัน...... นะ อย่างน้อยๆก็ขอกูได้ดูแผลของมึงในที่สว่างๆด้วย และจะได้บอกคนที่ทำงานที่ร้านของพีไงว่ามันเกิดอะไรขึ้นแล้วก็ให้เค้าจัดการกันไป ส่วนหลังจากนั้นเราก็จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวอีกแล้วก็ได้ โอเคมั๊ย” ผมขอร้อง

ไอ้ซันมองหน้าของผมนิ่งๆอยู่ราวๆสามวิก่อนจะตอบออกมา “ก็ได้ แล้วแต่มึง”

เราสองคนเดินไปตามทางจนไปถึงทางออกที่ด้านหน้าของที่ทำการไปรษณีย์และธนาคาร ถึงมันเพิ่งจะเป็นเวลาสามทุ่ม แต่ลานจอดรถที่ว่างเปล่าด้านนอกนี่ก็ไม่มีลูกค้าคนอื่นเดินอยู่เลยแม้แต่คนเดียว แต่ผมรู้ว่าด้านในคาเฟทีเรีย บริเวณร้านขายของ และตรงฟรอนท์เดสค์คงต้องยังมีคนอยู่เยอะแน่ๆ ผมไม่อยากจะทำให้คนอื่นต้องตกใจโดยการพาไอ้ซันที่ปากแตกเลือดเปรอะไปทั้งหน้าและเสื้อผ้าเดินเข้าไปข้างในจึงบอกให้มันรออยู่ที่ด้านนอก แต่ไอ้ซันยืนยันที่จะเดินเข้าไปกับผมด้วยเลย และก็เป็นอย่างที่ผมคิด เมื่อเราเดินเข้าไปในบริเวณร้าน คนหลายคนก็หันมามองเรากันเป็นตาเดียว ผมเดินตรงเข้าไปหาพนักงานที่เป็นคนไทยคนที่อยู่ใกล้ที่สุดทันที

“ขอโทษทีนะครับ ผมกับเพื่อนต้องการความช่วยเหลือหน่อยน่ะครับ” ผมบอกผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังทำหน้าที่เก็บโต๊ะ และเมื่อเขาเห็นซันในสภาพแบบนั้นเขาก็ดูมีอาการตกใจมากเช่นกัน “คือ ผมสองคนเป็นแขกที่มาพักที่นี่น่ะครับ แต่เมื่อกี๊เกิดมีเรื่องตอนระหว่างทางมาที่นี่นิดหน่อย รบกวนช่วยไปตามผู้จัดการมาให้หน่อยได้มั๊ยครับ” เขาพยักหน้าโดยไม่ได้พูดอะไรจากนั้นก็ออกวิ่งไปยังหลังร้านทันที

ผมหันไปหาไอ้ซันและบอกให้มันไปล้างหน้าล้างตาที่ห้องน้ำเสียก่อน และเมื่อมันเดินจากไปผมก็นั่งลงบนโต๊ะตัวที่ใกล้ที่สุด หลังจากนั้นราวๆสองนาทีผู้ชายคนเดิมเมื่อครู่ก็เดินกลับมาพร้อมกับผู้จัดการผู้หญิงคนหนึ่ง

“มีปัญหาอะไรรึเปล่าคะ ดิชั้นแซนดร้า เป็นผู้จัดการของที่นี่ค่ะ” เธอแนะนำตัว

“ครับ คือ ผมก็ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงดีเหมือนกันนะครับ” ผมหันไปมองชายหนุ่มคนเมื่อครู่ อ่านป้ายชื่อของเขาแล้วพูดกับเขาเป็นภาษาไทยอย่างรวดเร็ว “ขอโทษนะครับ เอ่ออ ไมค์ใช่มั๊ยครับ ผมรบกวนช่วยไปดูเพื่อนผมที่อยู่ในห้องน้ำหน่อยได้มั๊ยครับ แล้วก็เอาทิชชู่ไปให้เขาใช้ซับเลือดด้วย” เขายังคงยืนมองหน้าผมงงๆอยู่ ผมจึงกำชับเขาอีกครั้ง “รบกวนหน่อยนะครับ”

“เอ่อ ครับ ได้ครับ” เขาตอบแล้วก็หันหลังวิ่งเหยาะๆตามไอ้ซันไป

“ขอบคุณมากนะครับ” ผมบอกไล่หลังเขา และหันมาคุยกับแซนดร้าอีกครั้ง ผมเล่าเรื่องราวตั้งแต่ตอนที่เราเจอกับสามคนนั้นที่ป้ายเฮอร์มิทจนมาถึงเหตุการณ์ปัจจุบันให้เธอฟังคร่าวๆ โดยเว้นรายละเอียดที่ว่าผมกับซันทำอย่างไรถึงได้หนีออกมาได้เอาไว้ และสรุปไปแค่ว่าเราสองคนป้องกันตัวเป็นก็เท่านั้น ตอนแรกเธอก็นั่งฟังด้วยสีหน้าเรียบเฉยหรืออาจจะแสดงสีหน้าแคลงใจออกมานิดหน่อยด้วยซ้ำ แต่เมื่อผมเล่าถึงตอนที่ว่าเราสองคนเป็นแขกที่มาพักที่นี่และเธอได้เห็นหน้าของไอ้ซันที่กลับมาจากห้องน้ำแล้วนั่นแหละ เธอถึงได้เริ่มมีท่าทางกังวลขึ้นมาทันที จนเมื่อผมเล่าจบและมีไอ้ซันนั่งซับเลือดอยู่ข้างๆนี้แล้ว เธอจึงลุกขึ้นยืนและหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดปุ่มโทรออกทันที

“กูไม่ได้อยากให้มันมีเรื่องใหญ่โตหรอกนะ” ไอ้ซันบอกผม

“กูก็ไม่อยาก แต่กูก็ไม่อยากให้แฟนของกูเจ็บตัวฟรีเหมือนกันด้วย มึงเข้าใจมั๊ย” ผมตอบออกไปโดยลืมไปเสียสนิทว่าไมค์ยังคงยืนฟังอยู่ตรงนี้ด้วย แต่ผมก็ไม่ได้แคร์อยู่แล้ว

“ทั้งสองคนมาพักที่นี่เหรอครับ” ไมค์ ที่ผมมารู้ทีหลังว่าจริงแล้วมีชื่อภาษาไทยว่า ‘ไม้’ ถามขึ้นขณะที่แซนดร้ายังคงคุยโทรศัพท์อยู่

“ใช่ครับ” ผมตอบกลับไปสั้นๆ จากนั้นก็พูดคุยแล้วก็ตอบคำถามของเขาอีกสองสามคำถาม จนกระทั่งแซนดร้าคุยโทรศัพท์เสร็จ

“เอาล่ะ” แซนดร้าปิดฝาโทรศัพท์ลงแล้วหันมาหาพวกเรา “ไมค์ คุณกลับไปทำงานต่อเถอะ เดี๋ยวขอชั้นจัดการเรื่องตรงนี้เอง” เธอบอกกับไมค์แล้วก็นั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับผม “ดิชั้นต้องขอโทษจริงๆกับเรื่องราวทั้งหมดนะคะ เมื่อครู่ดิชั้นบอกให้เรนเจอร์ไปตรวจสอบตรงที่เกิดเหตุดูแล้วและก็พบกับสองคนนั้นจริงๆ”

“เร็วขนาดนี้เลยเหรอครับ” ผมถามด้วยความแปลกใจ

“ค่ะ เพราะที่ทำการเรนเจอร์มันอยู่ตรงป้ายไชรน์ ออฟ ดิ เอจเจส นั่นเอง แต่เรื่องของเรื่องก็คือ เราคงจะยังทำอะไรไม่ได้นอกจากจะรอจนถึงพรุ่งนี้เช้าเสียก่อน และทางเรนเจอร์รวมทั้งผู้บริหารของแซนเทอร่าก็อยากจะพบกับพวกคุณเพื่อฟังเรื่องราวทั้งหมดด้วยน่ะค่ะ”

“ผมไม่ต้องการจะคุยเรื่องอะไรกับใครอีกทั้งนั้นแล้วครับ” ไอ้ซันพูดขึ้น “สิ่งที่เพื่อนผมคนนี้เล่าไปก็คือเหตุการณ์ทั้งหมดแล้ว และพวกเราก็ไม่อยากจะทำเรื่องอะไรให้มันวุ่นวายไปมากกว่านี้แล้วด้วย”

“แต่ว่าคุณได้รับบาดเจ็บนะคะ.......” เธอพูดด้วยน้ำเสียงกังวล

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอกครับ ก็แค่ปากแตกเท่านั้น เรามาเที่ยวกัน ผมไม่อยากจะทำให้เรื่องนี้มาทำให้พวกเราหมดสนุกหรอก”

“ผมเห็นด้วยครับ” ผมเสริม “ถ้าเพื่อนของผมไม่อยากให้มันวุ่นวายไปมากกว่านี้ ผมเองก็ไม่อยากเหมือนกัน เพราะฉะนั้นผมขอแค่ให้ทางคุณจัดการเรื่องของสามคนนั้นให้เรียบร้อยและไม่ให้มายุ่งกับพวกเราอีกก็พอแล้ว”

“แต่ว่า....... มันก็มีปัญหาอีกหลายอย่างนะคะ อย่างที่เรนเจอร์บอกกับดิชั้นเมื่อกี๊ พวกเขายังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคุณสามารถจัดการกับผู้ชายที่ตัวใหญ่กว่าคุณถึงสองคนได้ขนาดนั้น”

“เมื่อกี๊ผมไม่ได้เล่ารายละเอียด แต่ว่าผมเองก็เคยเรียนศิลปะการต่อสู้มาครับ และนอกจากนั้นพวกเขาก็ไม่ได้เข้ามาทำร้ายผมทีเดียวพร้อมๆกันทั้งสองคนด้วย แต่เรื่องราวทั้งหมดมันก็เป็นอย่างที่ว่าไปนั่นแหละครับ ไม่มีอะไรผิดเพี้ยนหรือเกินเลยไปกว่านั้นอีกแล้ว” ผมอธิบาย โดยเว้นไปว่าจริงๆแล้วคนที่เจ็บตัวมากที่สุดนั้นคือ ‘สาม’ คนนั้นต่างหาก ไม่ใช่แค่สองคนและไม่ใช่ไอ้ซัน แต่แซนดร้าก็ยังคงมีท่าทางลำบากใจอยู่ดี “เอาอย่างนี้ก็แล้วกันครับ พวกผมพักอยู่ที่ยาวาพายเวสต์นี่เอง ถ้าตอนเช้าพวกเรามีเรื่องอยากจะมาคุยเพิ่มเติมล่ะก็ พวกเราจะกลับเข้ามาที่นี่เอง แต่ถ้าพวกเราไม่ได้มาให้ข้อมูลเพิ่มเติมหรืออะไร ผมขอร้องว่าอย่ารบกวนพวกเราเลยนะครับ มันไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการเลยจริงๆ ถ้าทางแซนเทอร่าอยากให้แขกที่มาพักพึงพอใจล่ะก็ พวกเราก็ขอเพียงแค่เรื่องนี้เท่านั้น”

แซนดร้ารับข้อตกลงและก็ให้นามบัตรกับเบอร์โทรศัพท์ทั้งของออฟฟิศและเบอร์ส่วนตัวของเธอไว้ด้วย นอกจากนั้นเธอยังบอกอีกด้วยว่าพรุ่งนี้เช้าเธอไม่ได้เข้ามาทำงาน แต่เธอจะฝากเรื่องไว้กับผู้จัดการกะเช้าเอาไว้เอง เราสองคนกล่าวขอบคุณเธอแล้วก็เดินออกจากร้านไป

ระหว่างทางที่ผมกับซันเดินกลับไปยังที่พัก ไอ้ซันเดินเงียบไม่พูดอะไรเลยสักคำ และผมเองก็รู้สึกได้เลยด้วยว่ามันเองก็คงไม่อยากจะได้ยินคำพูดใดๆของผมเช่นกัน เพราะฉะนั้นผมจึงเลือกที่จะปิดปากเงียบเอาไว้ดีกว่า จนกระทั่งเรามาถึงที่ห้อง ไอ้ซันก็เดินเข้าไปทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงและหันหลังให้กับผมทันที ทีนี้ผมก็รู้แล้วว่ามันมีอะไรบางอย่างผิดปกติเกินไปจริงๆ ผมปิดประตูตามหลังแล้วก็เดินลงมานั่งบนเตียงทางด้านหลังของมัน

“ซัน เป็นอะไรไป.......” ผมวางมือลงบนบ่าของมัน และตอนนั้นเองที่ผมรู้สึกว่าบ่าของมันกำลังกระตุกเบาๆซึ่งทำให้ผมรู้สึกแปลกใจ ตกใจ และกังวลใจมากขึ้นไปอีก ผมไม่เคยเห็นไอ้ซันเป็นแบบนี้มาก่อนเลย “ซัน นี่มึงร้องไห้เหรอ”

“เปล่า ช่างเหอะ แต่กูขออยู่คนเดียวสักพักได้มั๊ย” มันตอบด้วยเสียงอันสั่นเทา

“ไม่ กูจะไม่ไปไหนทั้งนั้น ซัน กูรักมึง และกูจะไม่ทิ้งมึงเด็ดขาด โดยเฉพาะเวลาที่มึงเป็นแบบนี้ด้วยแล้ว” ผมตอบอย่างหนักแน่น “กูขอโทษที่กูเอาแต่ใจ แต่มึงจะบอกกูได้มั๊ยว่ามึงเป็นอะไร กูทำอะไรผิดรึเปล่า ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงกูก็ขอโทษ......... กูแคร์มึงมากนะซัน” ผมเขยิบเข้าไปกอดมันจากทางด้านหลัง ทันทีที่แขนของผมโอบรอบเอวของมันไอ้ซันก็ร้องไห้ออกมาทันที ผมปล่อยให้มันร้องไห้อยู่อย่างนั้นสักพักจนมันเริ่มจะควบคุมตัวเองได้ ผมจึงปล่อยตัวของมันออกแล้วเดินอ้อมไปหามันทางด้านหน้า ผมช้อนคางของมันให้เงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมและสำรวจใบหน้าของมันชัดๆ นับว่าโชคดีจริงๆที่นอกจากรอยแผลเล็กๆตรงมุมริมฝีปากด้านซ้ายของมันแล้ว ใบหน้าของมันส่วนอื่นก็ไม่ได้มีบาดแผลอย่างอื่นอีก

“กูก็แค่รู้สึกแย่กับตัวเองเท่านั้นแหละ มึงไม่ได้ทำอะไรผิดหรอก” มันพูดออกมาเบาๆแล้วใช้หลังมือเช็ดน้ำตาของตัวเอง

“ถ้างั้นทำไมมึงถึงต้องรู้สึกอย่างนั้นด้วยล่ะ บอกกูได้มั๊ย” ผมใช้นิ้วมือช่วยปาดน้ำตาที่ขอบตาของมันช้าๆและอ่อนโยน

“กู..... กูก็แค่.......” ไอ้ซันหันหน้าหนีไปทางอื่นอีกครั้ง “กูก็แค่อยากจะเป็นคนที่สามารถปกป้องและดูแลมึงได้ก็เท่านั้นเอง....... แต่วันนี้มันก็เห็นกันชัดๆแล้วว่ากูไม่สามารถจะช่วยเหลือหรือดูแลอะไรมึงได้เลย” เสียงของไอ้ซันเริ่มสั่นเครือขึ้นมาอีกครั้ง

เมื่อได้ยินดังนั้นผมจึงเริ่มเข้าใจขึ้นมาทันที ตอนแรกผมคิดว่ามันไม่พอใจผมเรื่องที่ผมไปเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ผู้จัดการหญิงคนนั้นฟังเสียอีก แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าผมเข้าใจทุกอย่างผิดหมด ผมมัวแต่คิดถึงความรู้สึกของตัวเอง มัวแต่กังวลและคิดถึงแต่จะว่าผมอยากจะเป็นฝ่ายปกป้องมัน คิดแต่ว่าผมไม่อยากให้มันได้รับบาดเจ็บ จนผมลืมคิดไปเสียสนิทว่าความรู้สึกของไอ้ซันนั้นจะเป็นอย่างไร ไอ้ซันมันก็เป็นผู้ชายคนหนึ่ง และยังเป็นลูกผู้ชายมากๆด้วย การที่มันถูกคนที่มันคิดว่ามันน่าจะเป็นฝ่ายที่คอยดูแลปกป้องนั้นช่วยเหลือเอาไว้จึงอาจจะกลายเป็นการบั่นทอนความมั่นใจของตัวเองได้อย่างรุนแรงทีเดียว

“ซัน กูเข้าใจมึงแล้ว....... แต่กูรักมึงจริงๆนี่ กูทนเห็นมึงต้องเจ็บตัวหรืออยู่ในภาวะอันตรายแบบนั้นไม่ได้หรอก กูทนอยู่เฉยๆไม่ได้จริงๆ และกูก็รู้ด้วยว่าถ้าสถานการณ์มันเกิดกลับกัน มึงก็คงต้องทำแบบกูเหมือนกันนั่นแหละ ใช่มั๊ยล่ะ”

“ก็ใช่...... กูสามารถเสี่ยงชีวิตเข้าไปเพื่อช่วยมึงได้เลยด้วยซ้ำ กูไม่อยากจะเสียมึงไปอีกแล้ว กูทนเห็นมึงต้องอยู่ในอันตรายไม่ได้หรอก กูบอกแล้วไง ว่ากูกลัวว่ากูจะต้องสูญเสียมึงไปแบบที่พีเสียคนรักของเขาไป” มันตอบพลางเช็ดน้ำตาไปด้วย

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 03-10-2007 09:38:09

ผมขยับตัวเข้าไปสวมกอดมันอีกครั้ง คราวนี้ผมเกยคางลงบนบ่าของมันแล้วพูดออกมาเบาๆ “กูก็เหมือนกัน กูรู้ว่ามึงรักกูมาก ซัน กูเองก็รักมึงมากเหมือนกัน เพราะฉะนั้นกูถึงจะไม่ยอมทนเห็นมึงต้องอยู่ในอันตรายเด็ดขาดไง กูเองก็ยอมใช้ชีวิตของกูเข้าแลกเพื่อมึงเหมือนกัน....... กูเคยบอกแล้วไงว่ากูจะไม่มีวันยอมเสียมึงไปอีก และที่สำคัญวันนี้มึงเองก็รักษาตัวรอดออกมาได้โดยที่กูไม่ได้เข้าไปช่วยเลย ซึ่งนั่นมันมีความหมายสำหรับกูมากที่สุดแล้วรู้มั๊ย การที่มึงเอาตัวรอดออกมาได้และการที่กูได้เห็นว่ามึงปลอดภัยน่ะ......” ผมตบหลังของมันเบาๆสองสามครั้งจากนั้นก็ดันตัวออกแล้วสบตากับมัน “กูเข้าใจความรู้สึกของมึงจริงๆซัน กูรู้ว่ามึงเคยเป็นฝ่ายที่ดูแลกูมาตลอด ไม่ว่าจะเมื่อตอนที่เราเคยมีปัญหากับรุ่นพี่ที่โรงเรียน หรือตอนที่โรงเรียนเราเคยมีปัญหากับเด็กโรงเรียนอื่น มึงเองก็จะคอยก้าวออกมายืนอยู่ข้างหน้าของกูอยู่เสมอๆ มึงจะคอยปกป้องกูเอาไว้ตลอดเวลา........ แต่ว่ามึงเองก็รู้ว่ากูก็ไม่ใช่คนอ่อนแอ ใช่มั๊ยล่ะ มึงเองก็รู้ว่ากูดูแลตัวเองได้ และในขณะที่มึงก้าวออกมาอยู่ข้างหน้ากูนั้น กูเองก็กำลังช่วยปกป้องและระวังหลังให้มึงอยู่ด้วยเหมือนๆกัน”

“กูรู้...... กูรู้ว่ามึงเป็นคนเข้มแข็งและดูแลตัวเองได้....... แต่กู.........”

“แต่พอมึงเห็นกูนอนหลับยาวในสภาพที่อ่อนแอแบบสุดๆเมื่อตอนนั้น และพอมึงได้มาเจอกูอีกครั้ง มึงก็เลยรู้สึกอยากจะเป็นฝ่ายที่คอยดูแลกูเพื่อไม่ให้เสียกูไปเหมือนเมื่อครั้งนั้นอีก ใช่มั๊ยล่ะ” ไอ้ซันพยักหน้าเงียบๆและเบือนหน้าหนีไปทางอื่น ผมจึงจับหน้าของมันให้หันมาสบตากับผมอีกครั้ง “กูบอกแล้วไงว่ากูเข้าใจ กูเองก็คิดเหมือนกับมึงนั่นแหละ....... กูเคยบอกมึงแล้วว่าปีนึงที่ผ่านมากูดูแลตัวเองมาตลอด ไม่ว่าจะเล่นบาส กลับไปเล่นยูโด รื้อฟื้นเทควันโด และทำอย่างอื่นๆอีก นั่นก็เพื่อเผื่อไว้สำหรับเหตุการณ์อย่างในวันนี้ กูเองก็อยากจะเป็นฝ่ายปกป้องมึงได้เหมือนกัน ตลอดเวลามึงเป็นฝ่ายที่คอยก้าวออกมายืนอยู่ข้างหน้าของกูเสมอ และคราวนี้ก็เป็นตาของกูบ้างแล้วที่จะได้ก้าวออกมายืนปกป้องมึงบ้าง...... มึงจะไม่เคารพความปรารถนาของกูที่จะได้ดูแลและคอยปกป้องคนที่กูรักบ้างเลยรึไง ซัน มึงไม่คิดว่ากูเองก็เป็นลูกผู้ชายคนหนึ่งที่อยากจะดูและคนรักของเขาบ้างเลยรึไงวะ หรือมึงเห็นกูเป็นคนอ่อนแอขนาดที่มึงจะต้องคอยดูแลกูไปตลอด.......”

“ไม่ กูไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น......” ไอ้ซันตอบด้วยสีหน้าปวดร้าว “แต่มึงก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี..... กูน่ะ........”

“และการที่กูเป็นคนช่วยเหลือมึง ปกป้องมึง หรือการที่มึงถูกไอ้เหี้ยนั่นต่อยจนปากแตกแต่กลับเป็นกูที่เป็นฝ่ายจัดการคว่ำมันแทนมึงได้ รวมทั้งการที่มึงร้องไห้แบบนี้ด้วย ทั้งหมดนี่ไม่ได้หมายความว่ามันจะทำให้มึงเป็นผู้ชายอ่อนแอหรือมีความเป็นผู้ชายน้อยลงเลย เข้าใจมั๊ย ห้ามมึงคิดแบบนั้นเด็ดขาด”

ไอ้ซันเงยหันมามองผมด้วยสีหน้าแปลกใจนิดๆปนความอายทันที

“ก็กูบอกแล้วไงว่ากูเข้าใจมึง......... คราวนี้มึงจะตอบกูได้รึยังว่ามึงยังคงเห็นกูเป็นผู้ชายคนนึงที่สามารถดูแลตัวเองได้อยู่รึเปล่า หรือมึงคิดว่าการที่มึงคอยปกป้องกูนั่นมันทำให้กูดูกลายเป็นไอ้ตุ๊ดอย่างที่ไอ้พวกเหี้ยนั่นมันพูดจริงๆ”

“กูขอโทษ..... เมฆ กูไม่ได้ตั้งใจจะว่ามึงอย่างนั้น มึงคือลูกผู้ชายคนนึงจริงๆ และมึงก็แข็งแรง แข็งแกร่ง และดูแลตัวเองได้ด้วย”

“ขอบใจมากซัน” ผมยิ้มให้มันอย่างอ่อนโยนแล้วบีบมือของมันเบาๆ “คราวนี้มึงฟังกูนะ....... กูเป็นผู้ชาย มึงเองก็เป็นผู้ชาย เราสองคนต่างก็แข็งแรงเพียงพอที่จะดูแลตัวเองได้ด้วยกันทั้งคู่ เพียงแต่ว่าถ้าวันใดวันหนึ่งใครคนใดคนหนึ่งในพวกเราเกิดตกอยู่ในอันตราย เกิดเพลี่ยงพล้ำ หรือต้องการความช่วยเหลือ เราต่างก็จะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือซึ่งกันและกันแน่นอน ถูกมั๊ย นั่นเป็นเพราะว่าอะไร มึงรู้รึเปล่า......... สำหรับกูแล้วน่ะนะ ไม่ใช่เพราะว่ามึงเป็นแฟนของกูหรอกนะจะบอกให้..........” ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆก่อนจะพูดต่อ “แต่เพราะว่ามึงเป็นเพื่อนของกู  เป็นเพื่อนรัก เพื่อนสนิท เป็นคนใกล้ชิด เป็นคนรัก เป็นครอบครัว เป็นคนๆเดียวในใจของกูที่กูฝากชีวิตของกูเอาไว้ มึงเป็นทุกๆอย่างของกู ซัน มึงคือ ‘ชีวิต’ ของกู..........” น้ำตาของผมเริ่มไหลรินออกมาช้าๆเมื่อผมได้พูดประโยคเหล่านั้นออกไป เพราะนั่นคือสิ่งที่ผมคิดเกี่ยวกับมันจริงๆ “กูจะไม่มีวันยอมให้มึงหรือยอมเห็นมึงต้องเป็นอะไรไปเด็ดขาด เพราะฉะนั้น มึงเลิกโทษตัวเองเรื่องวันนี้ได้แล้ว เข้าใจมั๊ย วันนี้มึงอาจจะพลาด แต่ถ้าวันไหนที่กูเป็นฝ่ายพลาด กูก็รู้ว่ากูจะยังคงมีมึงคอยช่วยเหลือกูอยู่เช่นกัน ซัน”

ไอ้ซันดึงตัวของผมไปกอดแล้วก็ลูบหัวของผมช้าๆ “ขอบใจมากเมฆ กูก็รักมึงมากเหมือนกัน มากกว่าชีวิตของกูเองเสียอีก........ กูขอโทษที่วันนี้กูคิดอะไรเหี้ยๆและเผลอพูดอะไรเหี้ยๆออกไป แต่หลังจากนี้มันจะไม่มีอีกแล้ว กูสัญญา......... ถ้ากูเป็นชีวิตของมึง มึงเองก็คือชีวิตที่งดงามที่สุดเท่าที่กูเคยมีมาเช่นกัน เมฆ มึงเปลี่ยนโลกของกูและเปลี่ยนแปลงกูไป นับจากนี้ กูจะเข้มแข็งขึ้นและจะไม่ทำให้มึงต้องเสียใจแบบนี้อีก กูสัญญา”

ผมดันตัวเองออกช้าๆแล้วสบตากับมัน มันกำลังยิ้มกว้างรอผมอยู่แล้ว ผมจึงจูบลงบนริมฝีปากของมันเบาๆ

“เจ็บแผลรึเปล่า” ผมถามหลังจากที่เราถอนปากออก

“ไม่เท่าไหร่หรอก ช่างมันเถอะ” มันยกมือขึ้นมาแตะที่มุมริมฝีปากบริเวณแผลของตัวเองเบาๆ “แต่กูสงสัยจริงๆว่ามึงทำแบบนั้นได้ยังไงนะ ไอ้เมฆ กูไม่เคยรู้เลยจริงๆนะว่ามึงจะเก่งขนาดนั้น”

ผมหัวเราะเบาๆ “กูชอบวิน ดีเซลน่ะ เลยลักจำมาจากในหนัง”

ไอ้ซันดึงตัวผมเข้าไปกอดและออกแรงเหวี่ยงทำให้เราทั้งสองคนกลิ้งลงไปอยู่บนเตียงทันที “แล้วได้ลักจำวิธีหนีจากการถูกปล้ำบนเตียงมาด้วยรึเปล่าวะ ลองโชว์ให้ดูหน่อยจะได้มั๊ย” มันยิ้มกว้าง

“เรื่องนั้นไม่จำเป็นต้องเรียนรู้หรอก เพราะส่วนมากกูมักจะยินยอมอยู่แล้ว” ผมหัวเราะ

“ไม่เอา เอาจริงๆดิ่ ทำไมมึงถึงได้เก่งขนาดนั้นวะ และที่สำคัญคือ ทำไมมึงกล้าได้อย่างนั้น มึงรู้มั๊ยตอนแรกกูยังรู้สึกกลัวมึงเลย มันดูไม่เหมือนมึงแม้แต่นิดเดียวเลยว่ะ เมฆ”

ผมนิ่งไปพักหนึ่งเพราะไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดี “อย่างแรกเลยนะ กูเองก็เป็นแบบนี้มาแต่ไหนไรแล้วล่ะ เพียงแต่คนอื่นจะไม่ค่อยได้เห็นเท่านั้นเอง หรือถ้าได้เห็น มันก็มักจะเป็นกูในแบบที่นุ่มนวลหรือต่างไปจากนี้นิดหน่อยน่ะ”

“ยังไงวะ กูไม่เข้าใจ” ไอ้ซันที่คร่อมตัวผมอยู่กลิ้งลงไปนอนอยู่ข้างๆผมแล้วดึงตัวผมเข้าไปกอด

“ก็อย่างเช่น ปกติกูก็เป็นคนอารมณ์ดี ยิ้มเก่งพูดเก่งหรืออะไรก็แล้วแต่ที่พวกมึงเห็นกันใช่มั๊ยล่ะ แต่มึงจำได้มั๊ยว่าเวลาที่กูโกรธน่ะ กูเป็นยังไง....... กูหมายถึงเวลาโกรธนะ ไม่ใช่เวลาที่กูเศร้า”

ไอ้ซันทำท่านึก “อืมมมมม..... กูว่ามึงจะเงียบๆนะ ยกเว้นเวลาที่มึงระเบิดออกมาเลยเท่านั้นแหละ แต่แบบนั้นก็ยิ่งไม่ค่อยได้เห็นเข้าไปใหญ่”

“นี่ไง ขนาดมึงสนิทกับกูที่สุดมึงยังต้องคิดเลย เพราะว่ากูไม่ค่อยได้เป็นแบบนั้นไง ใช่ อย่างที่มึงพูดนั่นแหละ เวลากูโกรธกูจะเงียบๆ และนั่นก็เป็นเวลาที่กูคงดูน่ากลัวมากที่สุดนอกเหนือไปจาก....... ไม่สิ หรืออาจจะยิ่งดูน่ากลัวกว่าเวลาที่กูระเบิดอารมณ์ออกมาเลยอีกซะด้วยซ้ำมั๊ง เท่าที่มีคนบอกมานะ แต่ว่าถ้าเวลาอยู่กับเพื่อนๆแล้วกูโกรธและได้ระบายอารมณ์ออกมาล่ะก็ กูจะไม่....... อืมม....... ไม่อันตรายเท่าไหร่หรอกมั๊ง เพราะกูรู้ว่านั่นคือเพื่อนของกู กูจะไม่ทำอะไรจนเกินเลยไปนัก”

“มึงพูดเหมือนมึงมีบุคลิกด้านมืดอีกอย่างเลยนะเนี่ย”

“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก....... แต่ก็ไม่เชิง” ผมหัวเราะ “คือจะว่ายังไงดีล่ะ มึงน่ะเป็นคนอารมณ์ร้อนใจร้อนอยู่แล้ว มึงก็เลยอาจจะไม่เข้าใจตรงนี้ แต่กูจะใจเย็นกว่ามึงไง และนั่นก็เพราะ เวลาที่เราใจเย็นน่ะ มันจะทำให้เรามีสติและควบคุมสถานการณ์อะไรๆได้ดีกว่าเท่านั้นเอง....... แต่นั่นมันก็อีกเรื่องนึง ไม่เหมือนกับเวลาที่เรามีเรื่องต้องวิวาทหรือต่อสู้อย่างเช่นวันนี้หรอก”

“ยังไงๆ เล่าต่อสิวะ” มันเร่ง

“เอ่อออ...... มันก็พูดยากนิดหน่อยน่ะนะ กูน่ะไม่ชอบหาเรื่องใครก่อน แต่ถ้ามีใครมาหาเรื่องกับกูล่ะก็ กูก็อาจจะน็อตหลุดได้ง่ายๆเลย อย่างเช่นถ้าเป็นเมื่อก่อนเกิดมีใครมาหาเรื่องกูแล้วมาผลักอกกูเกินสามครั้งล่ะก็ กูจะน็อตหลุดทันที มึงจำเรื่องตอนที่เคยมีเด็กโรงเรียนอื่นมาตีกับเราได้มั๊ยล่ะ”

“จำได้ๆ....... อ๋อออ กูนึกออกแล้ว วันนั้นที่กูไม่อยู่แล้วพวกเพื่อนๆเรามันมาเล่าให้กูฟังทีหลังว่ามึงเกิดน็อตหลุดขึ้นมาใช่มั๊ย”

“ใช่ ตอนนั้นแหละที่เป็นครั้งแรกที่คนอื่นเห็นกูเป็นแบบนั้น ก็แม่งมันหาเรื่องกูก่อน กูก็อุตส่าห์บอกแล้วนะว่ากูไม่เกี่ยว กูจะไม่เข้าไปยุ่งด้วยแล้วนะ แต่แม่งก็ยังกวนตีนจนกระทั่งทำให้กูน็อตหลุด กูก็เลยเป็นเหมือนๆแบบวันนี้นี่แหละ......... ส่วนเรื่องเมื่อกี๊นี้ สิ่งที่ทำให้กูทนต่อไปไม่ไหวอีกแล้วก็คือเห็นไอ้เหี้ยมืดนั่นมาต่อยมึงไง”

“แต่กูก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่ะ บอกตรงๆนะ ตอนที่มึงลุกขึ้นไปเผชิญหน้ากับมันน่ะ กูโคตรกลัวเลย แม่งสูงกว่ามึงเกือบยี่สิบเซ็นต์ได้มั๊ง แถมหนากว่ามึงอีกสามเท่า กูกลัวว่ามึงจะเจ็บตัวยิ่งไปกว่ากูซะอีก กูกลัวว่ามันจะฆ่ามึงเลยด้วยซ้ำ พอกูจะลุกขึ้นไปช่วยมึง มึงก็ห้ามกูเอาไว้ก่อน และขอสารภาพตรงๆเลย........ ตอนที่มึงยื่นแขนออกมาห้ามกูนั่นน่ะ นั่นมันยังกับไม่ใช่มึงแน่ะ กูเลยเปลี่ยนเป็นกลัวมึงแทนกลัวไอ้เหี้ยนั่นทำร้ายมึงไปชั่วขณะนึงเลยว่ะ ถามจริงๆเหอะเมฆ มึงไม่กลัวมันมั่งเลยเหรอวะ”

ผมส่ายหน้า “ไม่เลย พูดจริงๆนะ ไม่สักนิดเลยว่ะ กูไม่ได้จะทำตัวเก่งกล้าหรืออะไรนะ แต่กูรู้สึกแบบนั้นจริงๆ กูบอกแล้วไง กูกลัวอย่างเดียวก็คือกลัวว่ามันจะเกิดเหตุการณ์รุนแรงและทำให้มึงได้รับบาดเจ็บน่ะ ซึ่งครั้งนี้กูว่าพวกเราโชคดีที่ไอ้พวกเหี้ยนั่นมันเมา ทำให้มันไม่ค่อยจะสมประกอบเท่าไหร่ แถมไอ้คนที่ล็อกคอมึงก็ดูค่อนข้างจะขี้ขลาดด้วย”

“ถ้างั้นมึงไม่กลัวว่าตัวเองจะต้องเจ็บตัวมั่งเลยรึไง”

“ไม่เลย ไม่ใช่ว่ากูมั่นใจว่าจะสู้มันได้หรอกนะ แต่....... กูรู้สึกดีว่ะ” ไอ้ซันตาโตขึ้นมาทันทีที่ได้ยินผมพูดออกไปแบบนั้น “เฮ้ย ไม่ใช่แบบนั้น คือกูหมายถึงว่า ความรู้สึกตอนที่กูมีอารมณ์แบบนั้นหรือเวลาที่ต้องอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงๆอะไรก็แล้วแต่น่ะ กูจะรู้สึกตื่นเต้นและสั่นสู้เหมือนตอนก่อนที่กูกำลังจะ ลงแข่งบาสอะไรแบบนั้นน่ะ มึงเข้าใจป่าววะ..... ความรู้สึกมันเหมือนกับ....... เหมือนกับว่ากูกำลังจะได้ลงไปสู้ลงไปแข่งอยู่บนสนาม ซึ่งแน่นอนว่าแข่งกีฬาอย่างบาสมันก็ต้องมีเจ็บตัวบ้างอยู่แล้ว และไม่สำคัญด้วยว่ากูจะแพ้หรือชนะ ไม่สิ กูไม่เคยคิดอยู่แล้วว่าถ้ากูลงไปแข่งบาสแล้วกูจะแพ้ มันสำคัญที่กูจะต้องสู้อย่างเต็มที่ต่างหาก เพราะงั้นคำตอบของคำถามของมึงที่ว่ากูกลัวการเจ็บตัวมั๊ย กูกลัวพวกมันรึเปล่า กูก็คงตอบได้เลยว่าไม่กลัว เพราะถ้าเราคิดจะลงแข่งแต่เสือกไปกลัวคู่ต่อสู้ตั้งแต่แรกแล้วมันจะไปชนะได้ยังไงล่ะวะ จริงมั๊ย”

“โห เมฆ...... นี่มึงเห็นการชกต่อยที่อาจจะถึงชีวิตเป็นเหมือนการเล่นเกมหรือเล่นกีฬาเหรอวะเนี่ย”

ผมยักไหล่ “ก็อาจจะเป็นแบบนั้นมั๊ง เพียงแต่ว่าเมื่ออยู่ในสถานการณ์แบบนี้กูจะสงบกว่าและ เอ่ออ...... โหดกว่าตอนเล่นบาสนิดหน่อย เพราะตอนเล่นบาสกูเล่นเพราะความสนุกไง แต่นี่มันมาทำร้ายแฟนกู กูก็เลยไม่สนุกไปกับมันด้วย”

“นี่ยังดีนะที่ที่มึงบอกว่ามึงไม่สนุก เพราะตอนที่มึงบอกว่ามึงรู้สึกดีกูก็ยังช็อคแทบตายไปแล้ว กูไม่อยากมีแฟนไซโคนะมึง เกิดวันไหนกูทำมึงโกรธขึ้นมากูไม่ตายเหรอวะเนี่ย”

ผมหัวเราะ “ถ้าเกิดกูเข่าใส่ไข่มึงหรือทุ่มมึงโดยการกวาดขาไปที่ตรงนั้นของมึงแบบที่กูทำกับไอ้หมูขาวนั่น แล้วกูจะมีอะไรเอาไว้ใช้งานล่ะ”

“และนั่นก็นำมาสู่คำถามอีกข้อนึง....... มึงไปเก่งขนาดนั้นได้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ ไอ้ตอนที่เห็นมึงหลบหมัดไอ้เหี้ยนั่นน่ะ กูนึกว่ามึงจะยืนเฉยๆให้มันต่อยซะแล้ว แต่นี่มึงกลับหลบได้แถมยังทุ่มมันคืนได้อีกต่างหาก”

“กูบอกแล้วไงว่า เจ็ท ลี” ผมหัวเราะ

“ค๊วยยยย เมื่อกี๊มึงเพิ่งบอกว่าวิน ดีเซล ไอ้ทะลึ่ง ถ้าถามอีกทีมึงไม่บอกว่าเป็นเดวิด คารุสโซ่ รึไง” ไอ้ซันเขกหัวผมเบาๆ

“เดวิดก็เท่ดีนะ แก่ไปหน่อย แต่ในซีเอสไอไมอามี่ที่แสดงเป็นฮอเรโช่แม่งโคตรเท่เลย” ผมหัวเราะ “สงสัยจะเป็นสัญชาติญาณนักกีฬามั๊ง ก็เหมือนๆกับมึงนั่นแหละ ตัวมึงเองยังจัดการกับไอ้ดำเล็กนั่นได้เลยไม่ใช่รึไง ทั้งๆที่โดนรัดคออยู่อย่างนั้น”

“ไม่เหมือนหรอกว่ะ ก็ของกูนั่นมันเบสิคจะตายไป ขนาดตัวของมันก็พอๆกับกู ถ้าเกิดโดนรัดคอก็ศอกใส่ท้อง ใครๆก็รู้และทำได้ และพอกูหลุดออกมาได้กูก็ระบายความแค้นใส่แม่งเลยก็แค่นั้นเอง ทำไปตามสัญชาติญาณเอาตัวรอดมากกว่าว่ะ เหมือนการวิวาททั่วๆไปนั่นแหละ แล้วก็ไม่เหมือนมึงหรอก ไอ้เมฆ นี่มึงเล่นสับลงไปบนคอไอ้เหี้ยนั่นได้อย่างหน้าตาเฉยเหมือนกับไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิดนะ แถมยังตอนที่มึงกระทืบลงบนมือไอ้คนดำที่ตัวเล็กกว่านั่นด้วย แบบว่าไม่มีโชว์ความรู้สึกเลย ไร้อารมณ์มาก โหดโคตรๆอ่ะ นึกๆแล้วกูก็เสียวคอแทนไอ้เหี้ยนั่นเหมือนกันนะเนี่ย”

ผมหัวเราะขึ้นเบาๆ และตัดสินใจว่าการที่ไม่บอกไอ้ซันไปหมดทุกอย่างนั้นคงจะดีกว่าจริงๆ ปล่อยให้มันคิดแบบนี้ไปก็น่าจะดีแล้ว เพราะว่าตอนนั้นผม “เกือบ” จะรู้สึกดีและรู้สึกสนุกไปกับการที่ได้อัดไอ้สองคนนั้นลงไปหมอบกับพื้นแล้วจริงๆไม่ใช่ว่าผมไร้อารมณ์โดยสิ้นเชิงอย่างที่ไอ้ซันบอกหรอก และอีกอย่าง ถ้าไอ้มืดเล็กนั่นยังไม่ยอมหนีไปอีกล่ะก็ ผมว่าผมคงได้เลาะฟันมันออกมาสักสามสี่ซี่จริงๆแน่ เพราะเวลาที่ผมเป็นแบบนั้นทีไร ผมเองก็ยังอดรู้สึกแปลกใจตัวเองไม่ได้เลยว่าทำไมตัวเองถึงได้ใจเย็นและสามารถทำอะไรๆลงไปได้ถึงขนาดนั้น........ แต่ทว่าคราวนี้ผมมีคำตอบให้กับตัวเองได้อย่างชัดเจนทีเดียว ซึ่งนั่นก็คือความรักและความห่วงใยที่ผมมีให้กับคนที่กำลังนอนอยู่ตรงหน้าของผมนี่ไงล่ะ เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่ผมต้องสูญเสียมันไปโดยที่ผมไม่สามารถช่วยอะไรมันได้เลยหรือได้เอาแต่ยืนมองมันได้รับอันตรายล่ะก็......... ผมคิดว่าผมคงจะโกรธตัวเองมากและไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกแน่

“ถ้างั้นจากวันนี้และวันต่อๆไป กูขอไอ้เมฆของกูกลับคืนมานะ ไม่เอาไอ้เมฆโหมดมือสังหารนั่นอีกแล้วว่ะ คืนนี้อุตส่าห์ได้อยู่กันสองคนทั้งที กูอยากนอนกอดแฟนของกูคนที่กูเคยชินมากกว่า”

“กูก็เป็นไอ้เมฆแฟนคนเดิมของมึงเสมอนั่นแหละซัน...... ความรักที่กูมีให้มึงไม่ว่าจะในตอนนี้หรือตอนไหนก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ถ้ามันจะเปลี่ยนก็มีแค่ว่ามันจะเพิ่มขึ้นทุกวันๆเท่านั้นเอง และไม่ว่าเมื่อไหร่ที่มึงต้องการให้กูอยู่กับมึง กูก็พร้อมที่จะไปหามึงได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว”

“ถ้างั้น.......” ไอ้ซันยิ้มกริ่ม “กูต้องการให้แฟนกูเข้าไปอยู่ในห้องน้ำกับกูแล้วอาบน้ำให้กูอีกล่ะ เค้าจะไปด้วยมั๊ยวะ”

ผมรีบกระโดดลุกขึ้นจากเตียงแล้วยืนตัวตรงทันที “ครับพ้ม!! ขอเมื่อไหร่ได้เมื่อนั้นเลยครับพ้ม!!”


หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: tonsai_2520 ที่ 03-10-2007 09:50:40


ได้จิ้มตูดน้องมันสองวันซ้อน


หมดแรงเลยตรู

ปล.  อยากกินปูม้านึ่งว่ะ

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 03-10-2007 10:16:44
:try2:..............ปลอดภัยทั้งคู่ก็โล่งใจแล้ว แต่เก่งทั้งสองคนเลยนะคับ นับถือๆๆๆ

แล้วดูเหมือนยิ่งเจอเหตุการณ์ที่หนักขึ้นๆทั้งสองคนก็เข้าใจกันและรักกันมากขึ้นทุกทีเลย ดีจัง อิอิ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 03-10-2007 10:18:51
 :m1:
โล่งอกไปที....กลัวแทบตายยย จบเรื่องละได้เวลาหวานนนนนน  :m10:

ปล. คุณต้นสายมาจิ้มอีกละ....ได้แน่ ขาหื่น  :try2:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 03-10-2007 11:33:23



ปล.  อยากกินปูม้านึ่งว่ะ



ไหนบอกเบื่ออาหารทะเล

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: ~Brand New Beat~ ที่ 03-10-2007 15:36:00
ดีจังอ่าที่ไม่เป็นอะไรกัน  :m4:

แต่ได้ข่าวว่าเพิ่งออกแรงกันไม่ใช่หรอครับ หึหึ   :m12:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 03-10-2007 15:46:27

...........การปกป้องดูแลแฟนตัวเองไม่ได้..........

..........มันทรมานนะ........ :sad2: :sad2:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: Givesza ที่ 03-10-2007 15:48:39
เลือดตกยางออกด้วย อึ๋ยๆๆๆ เสียว อิอิ :give2:

อาบน้ามด้วยคนๆๆๆๆๆๆๆๆ :m10: จะไปขัดห้องน้ำ แหะๆๆ :m23:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 03-10-2007 16:05:23
น่ากัวจริงๆ ดีนะที่ไม่เป็นอะไรกันมา

ของแบบนี้ สู้ไปไม่ใช่พวกมืออาชีพก็ยอมแพ้มันดีกว่า
ีดีไม่ดีตายไปหล่ะ ไม่คุ้มเอาชีวิตดีๆไปแลกกะพวกเดนสังคม

ดีนะที่เมฆเตะมีดออกไปทัน
 o21 o21 o21
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 03-10-2007 16:50:13
มีมุมมองของเฆมกะซันให้เห็นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
โล่งใจเหมือนกันนะที่ปลอดภัยทั้งคู่ เฆมเก่งนะ ไม่เสียแรงที่ไปเรียนยูโด เทควันโดมา
ได้ใช้วิชากันตอนนี้ล่ะ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 03-10-2007 17:49:18
ลุ้นแทบแย่นึกว่าจะเสียเลือด แต่ดันจะเสียน้ำ  o17 o17
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: graydragon ที่ 04-10-2007 03:39:42
รอดทั้งคู่ ดีจัง นึกว่าจะมีคนเดี้ยงซะละ o17 :m19:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: ~ScAreD:SAcreD~ ที่ 04-10-2007 11:49:57
มาลงชื่อเอาไว้ก่อน ยังไม่ว่างอ่านเลย

ชอบเรื่องนี้มากมายครับ  :a9:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 04-10-2007 12:10:46
ตอนที่ 48


เช้าวันรุ่งขึ้นผมตื่นขึ้นมาในอ้อมแขนของไอ้ซันอีกครั้ง และเมื่อผมพลิกตัวเพื่อหันหน้าไปหามันก็เห็นว่ามันกำลังนอนยิ้มรอผมอยู่แล้ว

“ไง” ไอ้ซันทักพร้อมกับจูบลงบนริมฝีปากของผมเบาๆ

“ไง”

“ตื่นรึยัง”

“ตื่นแล้ว”

“กูหมายถึงน้องชายมึงน่ะ”

“ตื่นพร้อมๆกันทั้งพี่ชายแล้วก็น้องชายเลยว่ะ”

“ดีๆ กูจะได้ไม่ต้องปลุก”

“ก็ตื่นเพราะน้องชายมึงมันมาดันที่ก้นกูเมื่อกี๊นั่นแหละ”

“งั้นทำไงดีล่ะ”

“กูจะสั่งสอนมันเอง ว่าอย่ามาปลุกกูโดยไม่ได้รับอนุญาตอีก” ผมเอื้อมมือไปคว้าเข้าที่เป้ากางเกงของมันแล้วก็ขยำเบาๆ จากนั้นเราสองคนต่างก็มอบความสุขให้กันและกันอย่างนุ่มนวลและยาวนานจนกระทั่งเสร็จสิ้น เราจึงลุกขึ้นไปอาบน้ำพร้อมๆกันอีกครั้ง เมื่อเราแต่งตัวเสร็จก็เป็นเวลาเกือบเก้าโมงเช้าแล้ว ผมกับไอ้ซันจึงขับรถไปจอดที่หน้าเจเนอรัล สโตร์และเดินเข้าไปในคาเฟทีเรียเพื่อถามถึงเรื่องราวของเมื่อคืนว่าคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว จริงๆแล้วไอ้ซันนั้นไม่ค่อยอยากจะยุ่งวุ่นวายอีกสักเท่าไหร่ แต่เมื่อผมอธิบายว่าผมอยากจะรู้ว่าทั้งสามคนนั้นมันคือใครและมันมายุ่งวุ่นวายกับเราก่อนทำไม นอกจากนั้นผมยังอยากรู้ด้วยว่าคนที่สามที่วิ่งหนีไปนั้นถูกจับได้รึยัง เพียงแต่ผมไม่ได้บอกไอ้ซันว่าผมอยากจะรู้อาการของสองคนนั้นด้วยว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว

เมื่อเราเข้าไปขอพบกับผู้จัดการ ผู้ชายใส่หมวกคนที่เราเคยพบเมื่อวานตอนที่เขาเข้ามาคุยกับพีก็เดินออกมาต้อนรับเราด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส แต่พอเราอธิบายถึงเหตุผลว่าเรามาธุระในเรื่องของอะไร สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที ไม่ใช่ว่าเขาทำสีหน้าไม่พอใจ แต่หากเป็นสีหน้าที่แสดงความกังวล ความห่วงใย และแสดงความรับผิดชอบออกมาแบบมืออาชีพจริงๆ

“เมื่อคืนผมได้รับโทรศัพท์จากแซนดร้าแล้วครับ และเมื่อเช้านี้ผมก็คุยกับคนอีกหลายๆคนแล้วด้วย ผมยังสงสัยเลยว่าพวกคุณจะเข้ามาที่นี่อีกครั้งรึเปล่า” เดฟพูดขึ้นหลังจากแนะนำตัวและเชิญเรานั่งลงที่โต๊ะแล้ว

“ผมไม่ได้อยากจะมาเอาเรื่องหรือวุ่นวายอะไรหรอกนะครับ แต่ที่เรามาที่นี่ก็เพราะว่าผมอยากจะรู้ความคืบหน้านิดหน่อยเท่านั้นเอง ผมอยากรู้ว่าตอนนี้ทั้งสามคนนั้นเป็นยังไงบ้างและพวกเขาคือใคร ทำไมถึงต้องมาทำร้ายพวกเราด้วยน่ะครับ”

“ผมต้องขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดอีกครั้งจริงๆครับ........ สองในสามคนนั้น ซึ่งก็คือคนที่เราไปพบบนถนนนั้นเป็นพนักงานของแซนเทอร่านี่เองครับ คนผิวขาวมีชื่อว่าเจฟฟ์ เคยเป็นกุ๊กอยู่ที่ไบรท์แองเจิ้ล ส่วนคนผิวดำตัวใหญ่นั่นมีชื่อว่าริชาร์ดเคยเป็นพนักงานล้างจาน แต่เพิ่งจะโดนไล่ออกไปเมื่อวานนี้เอง ข้อหาเมาและมีเรื่องวิวาทกับพนักงาน ส่วนคนผิวดำตัวเล็กกว่าอีกคนชื่อว่า ไมเคิล เป็นน้องชายของริชาร์ดที่เพิ่งจะเรียบจบไฮสคูลและมาหาพี่ชายที่นี่เพื่อจะหางานทำ แต่ก็ถูกปฏิเสธไปเมื่อวานอีกเช่นกันเพราะเราตรวจพบสารเสพย์ติดในตัวของเขา และตอนนี้ตำแหน่งงานของเราก็ค่อนข้างจะเต็มอยู่แล้วเพราะนักเรียนจากหลายๆประเทศที่มาช่วยเรานี่แหละครับ เมื่อเรื่องนี้มาบวกกับพี่ชายของตัวเองที่เพิ่งจะโดนไล่ออกไปด้วย ทำให้พวกเขาไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก เมื่อคืนนี้ทั้งสามคนก็คงจะนั่งกินเหล้ากันและเมื่อเห็นพวกคุณเดินอยู่แถวนั้น พวกนั้นก็คงจะเกิดอาการไม่พอใจขึ้นมาน่ะครับ เพราะว่าตัวริชาร์ดเองก็เพิ่งโดนไล่ออกเพราะไปหาเรื่องกับ...... เอ่ออ พนักงานที่มาจากประเทศไทยคนหนึ่งมานี่เอง แต่ไอ้หมอนั่นมันก็ชอบมีปัญหากับพนักงานคนอื่นอยู่แล้วด้วยครับ โดยเฉพาะเวลาที่มันเมาเหล้าเนี่ย เป็นตัวปัญหาของจริงเลย แต่ว่านี่เป็นครั้งแรกเลยที่มันกล้าหาเรื่องกับแขกที่มาพักนะครับ สุดท้ายมันก็เลยต้องชดใช้ไป”

“ผมพอจะเข้าใจแล้ว........” ผมพยักหน้า “แต่ไอ้คนน้องที่ชื่อว่าไมเคิลนั้นมันพยายามจะปล้นเงินของพวกเราด้วยนะครับ คุณพอจะนึกออกมั๊ยว่าทำไม”

“นั่นก็คงเป็นเพราะหมอนั่นขัดสนเรื่องเงินน่ะครับ ทั้งยาเสพย์ติดและเรื่องอื่นๆอีก” เดฟส่ายหน้า “แต่ตอนนี้เราก็พบตัวมันแล้วครับ ทั้งสามคนถูกส่งออกไปจากแกรนด์ แคนยอนแล้วเรียบร้อยเมื่อเช้านี้ ไม่ต้องกังวลนะครับ”

“ครับ ขอบคุณมาก แต่ผมก็ไม่ได้กังวลเท่าไหร่หรอกครับ ผมคิดว่าพวกเราดูแลตัวเองได้........ แต่ เอ่ออ คือเมื่อคืนหลังจากที่เรนเจอร์ไปพบสองคนนั้นแล้ว พวกเขามีอาการเป็นยังไงบ้างครับ”

เดฟหัวเราะท่าทางชอบใจ “ตอนนี้พวกเขาสบายดีแล้วครับ ไม่ต้องห่วง แต่ผมต้องยอมรับเลยนะครับเนี่ย ว่าคุณนี่ทั้งเก่งและกล้ามากจริงๆ ทั้งๆที่ตัวเล็กกว่าไอ้หมอริชาร์ดนั่นเยอะเลยทีเดียว เอาล่ะ ตอนนี้ผมก็มีข่าวดีมาให้คุณทั้งสองคนอีกสองอย่างด้วยครับ”

ผมกับซันสบตากันครู่หนึ่งก่อนที่ผมจะหันกลับไปถามเดฟว่าข่าวอะไร

“อย่างแรกเลยคือ ทางบริษัทของเรามีความยินดีและขอบคุณพวกคุณมากครับที่ไม่ต้องการเอาเรื่องกับพนักงานและบริษัทของเรา ทางเราก็เลยอยากจะตอบแทนและแสดงความเสียใจด้วยการคืนเงินค่าที่พักทั้งหมดให้กับพวกคุณ คุณจะได้รับเงินคืนเต็มจำนวนหลังจากที่เช็คเอ๊าท์ออกทันที แต่ผมต้องขอชื่อและขอรายละเอียดอื่นๆของคุณเอาไว้ตอนนี้ก่อนด้วยนะครับ”

ผมให้ไอ้ซันเป็นคนคุยและจัดการรายละเอียดเรื่องนี้แทน จนเมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมก็ถามเขาว่าข่าวดีอีกอย่างหนึ่งนั้นคืออะไร

“ข่าวดีอีกอย่างนั้นผมเพิ่งจะนึกออกเมื่อกี๊เองครับ” เดฟหัวเราะ “ให้เกียรติผมเลี้ยงค่าอาหารมื้อนี้ของพวกคุณก็แล้วกันนะครับ เพราะว่าผมชื่นชมกับการที่คุณจัดการเจ้าสองคนนั้นจริงๆให้ตายสิ ผมเองก็เป็นผู้จัดการคนนึงของที่นี่พูดแบบนี้อาจจะฟังดูไม่เหมาะท่าไหร่ แต่พนักงานเลวๆแบบนั้น เราก็ไม่อยากจะจ้างเอาไว้หรอกครับ คุณคือคนที่ช่วยตัดไฟแต่ต้นลมให้พวกเราได้ และที่สำคัญ ผมรู้สึกประทับใจในตัวของคุณสองคนเป็นพิเศษเลยด้วย ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆว่าผู้ชายตัวเล็กๆแบบคุณนี่กลับสามารถล้มไอ้ยักษ์สองคนนั้นได้ คุณกลายเป็นฮีโร่ของผมไปแล้วนะ” เขาหัวเราะแล้วชกลงบนบ่าผมแรงๆสองสามครั้งแบบเป็นมิตร

ผมหัวเราะแห้งๆ “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ เราสองคนก็อยากจะอยู่ทานอาหารนะครับ แต่ว่าเรานัดเพื่อนของเราเอาไว้แล้ว พีทน่ะครับ ที่ทำงานที่นี่ช่วงเช้า เราเพิ่งรู้จักกันตอนวันแรกที่เรามาถึงที่นี่ และวันนี้เราวางแผนกันว่าเราจะไปไฮค์ด้วยกัน” ผมบอกเขา

“พีทเหรอครับ” เดฟมีสีหน้าประหลาดใจ “พีทเด็กน้อยที่ทำงานที่นี่น่ะเหรอ โอ้ เยี่ยมเลย เขาเป็นคนที่เยี่ยมมากจริงๆ นิสัยดีและขยันมาก” เขาพยักหน้าอย่างพอใจ “ถ้าอย่างนั้นพวกคุณพร้อมแล้วรึยังครับ เตรียมสัมภาระพร้อมกันแล้วรึยัง”

พวกเราสองคนพยักหน้า “กระเป๋าเป้ของพวกเราอยู่ในรถน่ะครับ”

“งั้นเอาอย่างนี้ดีกว่า ผมขอจ่ายค่าอาหาร น้ำ หรือขนมอะไรก็ได้ให้พวกคุณต้องการติดตัวไปเพิ่มดีกว่า อยากได้อะไร เลือกเลยครับ แล้วเดี๋ยวเราใส่กล่องจัดให้เลย”

เมื่อถูกคะยั้นคะยอมากๆ เราสองคนจึงเดินตามเดฟไปที่ซุ้มขายอาหาร แต่เนื่องจากตอนนี้ยังเป็นเวลาขายอาหารเช้าอยู่ และเราต้องการอาหารที่จะไปทานตอนกลางวันหรืออาจจะตอนบ่ายๆ เพราะฉะนั้นสิ่งที่พวกเราพอจะนำติดตัวไปทานได้คงไม่ใช่พวกแพนเค้ก โอ๊ตมีล หรือ ฮัชบราวน์แน่นอน เดฟจึงตักไส้กรอก กับเบคอน ให้พวกเราอย่างละหกชิ้นและสิบชิ้นตามลำดับ นอกจากนั้นเขายังหยิบส้มสองผล และน้ำเกลือแร่ให้ผมกับซันอีกคนละขวดด้วย ตอนแรกผมก็รู้สึกเกรงใจเขามากจริงๆ แต่เมื่อถึงตอนจ่ายเงินและเดฟยื่นบัตรพนักงานให้กับแคชเชียร์ ผมถึงได้รู้ว่าผู้จัดการนั้นทานอาหารได้ฟรีไม่ต้องเสียเงินสักเซ็นต์เดียว

เดฟยืนคุยกับพวกเราอีกราวๆห้านาที เขาแนะนำและบอกข้อมูลเกี่ยวกับการลงไปไฮค์ให้พวกเราฟังเพิ่มอีกนิดหน่อย และก่อนเราจะเดินออกมาเขาก็ยังบอกกับพวกเราอีกด้วยว่าเขารู้สึกอยากจะไปเรียนกังฟูเอาไว้บ้างซะแล้ว

“พ่อฮีโร่ตัวน้อยยยย” ไอ้ซันพูดขึ้นเมื่อเราอยู่ในรถกันเรียบร้อยแล้ว

“อะไรของมึง จะประชดกูอีกรึไง”

“เปล่า กูแค่ขำว่ะ......” ไอ้ซันหัวเราะเบาๆ “เมื่อกี๊เดฟบอกว่าจะไปเรียนกังฟูด้วยนะ เค้าเห็นมึงเป็นลูกหลานของบรู๊ซ ลี รึไงวะ”

“เออ อันนั้นกูก็ฮาเหมือนกัน” ผมหัวเราะ “พวกฝรั่งนี่อะไรๆก็นึกถึงแต่กังฟูไปหมดเลยรึไงวะ”

“ก็คงงั้น......... ว่าแต่ มึงคงไม่ได้ไปหัดเรียนกังฟูมาจริงๆใช่มั๊ยวะ” ไอ้ซันหยุดหัวเราะแล้วหันมามองผมด้วยสีหน้าซีเรียส

“มึงจะบ้าเร้ออออออ” ผมร้องออกมา “มึงเอาอะไรมาพูดดดดด”

“ก็กูไม่รู้นี่ เหลือแค่ถ้ามึงปล่อยกำลังภายในได้ กูก็คงเชื่อว่ามึงไปฝึกวิชาเหี้ยอะไรพิลึกๆมาแน่ๆ” ไอ้ซันกลับมาหัวเราะเบาๆอีกครั้ง

“มันก็แค่ศิลปะการต่อสู่น่า ไอ้บ้า กูก็แค่ไม่กลัว มีสติ แล้วก็........ อาศัยพรสวรรค์อีกนิดหน่อย” ผมยิ้มมุมปากแล้วก็ยักไหล่ ไอ้ซันจึงหัวเราะชอบใจแล้วเอื้อมมือมาเคาะลงบนหัวผมเบาๆหนึ่งที

“เอออ มึงเก่ง แต่ก็ระวังตัวเอาไว้หน่อยก็แล้วกัน......... ถ้าเกิดมึงเป็นอะไรไปขึ้นมาจริงๆล่ะก็..........” ไอ้ซันเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงซีเรียสอีกครั้ง

“อือ กูรู้” ผมพยักหน้า “ความกล้ากับความบ้าน่ะ มันอยู่ห่างกันแค่พลิกหน้ากระดาษเท่านั้นเอง นี่มันชีวิตจริง ไม่ใช่ในหนัง ถ้าอีกฝ่าย มีปืน หรือท่าทางจะอันตราย...... กูหมายถึงว่า ที่ไอ้เหี้ยนั่นมันเล่นมีดมันก็อันตรายอยู่หรอก เมื่อคืนกูมันก็แค่โชคดี แถมมันยังขี้ขลาดจะตายห่าไปอีกด้วย ถ้าคนที่ถือมีดคือริชาร์ดล่ะก็ คงต้องแย่กว่านี้แน่ และตามปกติแล้ว กูก็ไม่พาตัวเองเข้าไปหาเรื่องหรอก มึงไม่ต้องห่วง คนจะเรียนรู้วิธีป้องกันตัวน่ะ มันก็ต้องรู้วิธี ‘ป้องกัน’ ตัวจริงๆ วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือพยายามไม่เข้าไปอยู่ในปัญหานั่นแหละ และถ้ามันเกิดมีอะไรผิดพลาดไป การรู้จักหนีเอาตัวรอดต่างหากคือการป้องกันตัวที่ดีที่สุด”

ไอ้ซันหันมามองผมด้วยสายตาทึ่งๆ “ไม่น่าเชื่อเลยว่ะ.........”

“อะไรไม่น่าเชื่อ” ผมหันไปถาม

“ก็กูไม่ได้เจอมึงแค่ปีเดียว มึงกลายเป็นปรมาจารย์ไท้เก๊กไปซะแล้ว”

เราสองคนหัวเราะขึ้นพร้อมๆกัน ซึ่งมันก็ทำให้ผมรู้สึกดีและโล่งใจมากด้วยที่ไอ้ซันไม่กลับมาคิดเล็กคิดน้อยแบบเมื่อคืนนี้อีกแล้ว เพราะตลอดเวลาที่ผมคุยกับเดฟ ผมก็แอบมีคิดและกังวลอยู่นิดหน่อยตลอดเวลาว่าไอ้ซันจะกลับมาคิดมากอีกรึเปล่า ซึ่งตอนนี้ก็เห็นได้ชัดเจนแล้วว่าผมคงไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นอีกแล้ว........ เหลือแค่เพียงอย่างเดียวว่าเราจะอธิบายให้พีกับไคล์ฟังเรื่องเมื่อคืนนี้ยังไงก็เท่านั้น

เมื่อเราสองคนจอดรถและไปเคาะประตูที่ห้องของพี เราทั้งคู่ก็ถูกตั้งคำถามเรื่องอาหารที่เราถือติดมาด้วยทันที แต่ซันบอกว่าจะอธิบายเรื่องทั้งหมดทีหลังขณะทานอาหารเช้าเอง รวมทั้งจะตอบคำถามที่ไคล์ถามว่าปากของซันไปโดนอะไรมาด้วย ดังนั้นพีจึงพาเราสามคนไปทานอาหารเช้าที่ อีแคฟ หรือ เอ็มพลอยยี่ คาเฟทีเรีย ซึ่งถ้าพูดกันจริงๆแล้วก็เรียกได้ว่าขี้โกงนิดหน่อยเพราะพวกเราสามคนไม่ใช่พนักงาน และราคาอาหารที่นั่นก็ถูกมากจริงๆ แถมยังไม่จำเป็นต้องแสดงบัตรพนักงานด้วย เพราะฉะนั้นเราสามคนจึงสามารถซื้ออาหารได้อย่างไม่มีปัญหาใดๆ

“สรุปเรื่องราวมันยังไงครับเนี่ย ทำไมต้องมาเล่ากันทีหลังแบบนี้ด้วย” ไคล์ถามขึ้นขณะที่เราทั้งสี่คนเริ่มลงมือกับอาหารตรงหน้าแล้ว

“ก็เพราะว่าเรื่องมันยาวน่ะสิ..........” ไอ้ซันตอบ

ผมกับซันเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้ไคล์และพีฟัง และเนื่องจากมันไม่ใช่ครั้งแรกที่เราต้องมาเล่าเรื่องให้คนอื่นฟังแบบนี้ รวมทั้งยังไม่ใช่เรื่องที่ผมอยากจะพูดบ่อยๆเพราะกลัวว่ามันจะเหมือนกับเป็นการตอกย้ำไอ้ซันมากไปนักอีกด้วย ผมจึงไม่ค่อยอยากจะเล่าเรื่องราวอะไรให้ละเอียดจนเกินไป ส่วนไอ้ซันเองก็ไม่ได้มีท่าทีอยากจะช่วยเหลือผมในการเล่าเรื่องเลยด้วยอยู่แล้ว ดังนั้นส่วนมากเราสองคนจึงปล่อยให้พีและไคล์เป็นฝ่ายตั้งคำถามและเราก็เป็นฝ่ายคอยตอบมากกว่าที่จะคอยเล่าและเจาะลึกไปถึงรายละเอียด

“ให้ตายสิ ซัน แล้วนี่จะบอกแม่รึเปล่า” ไคล์ถามด้วยสีหน้ากังวล

“ไม่ล่ะ ไม่จำเป็นต้องทำให้พวกเค้าเป็นห่วงโดยเปล่าประโยชน์หรอก แถมแผลนี่มันก็แค่แผลเล็กๆเท่านั้นเอง”

“จริงๆเมื่อวานเราก็เป็นห่วงทั้งสองคนอยู่เหมือนกันนะ แต่ไม่คิดเลยว่ามันจะเกิดเรื่องขึ้นจริงๆแบบนี้”

“หมายความว่าไง ทำไมต้องเป็นห่วงด้วยล่ะ” ผมถาม

พีกับไคล์หันไปสบตากันเล็กน้อยก่อนที่พีจะเป็นฝ่ายเริ่มเล่า

“ที่ผมบอกว่าผมคุ้นหน้าคนดำคนนั้นน่ะครับ........ จริงๆแล้วผมไม่เคยเจอเขามาก่อนหรอก แต่ว่าผมจำได้ว่ามีเพื่อนเคยเล่าให้ฟังว่ามีคนไทยที่มาทำงานนี่แหละมีปัญหากับคนดำตัวใหญ่ๆที่ทำงานด้วยกันเมื่อไม่นานมานี้เอง เพราะงั้นผมจึงได้รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาและไม่แน่ใจทั้งๆที่ไม่เคยเห็นหน้าหมอนั่น”

“และพอพีเล่าให้ผมฟังตอนที่เรากลับมาถึงเคบินแล้ว เราก็รู้สึกเป็นห่วงทั้งสองคนขึ้นมาทันที แต่ก็ไม่ได้คิดว่ามันจะกล้าทำอะไรแบบนั้นได้จริงๆ” ไคล์เสริม

“เอาเถอะๆ เราก็ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก ช่างมันเถอะนะ” ผมพูดตัดบท “ว่าแต่อีกไม่กี่นาทีเราก็จะได้ไปไฮค์แล้วนี่ พร้อมกันมั๊ย....... ไม่สิ สำหรับพีนี่ไม่ใช่ครั้งแรกแล้วนี่หว่า ไม่เบื่อแย่เหรอ”

“ครั้งแรกผมไปถึงแค่ที่อินเดียน การ์เด็นครับยังไม่เคยไปถึงพลาโต พ็อยท์ ส่วนครั้งที่สองก็ไปถึงแค่เรสท์เฮาส์เอง เพราะงั้นผมถึงได้อยากไปอีกไงครับ และที่สำคัญ ผมชอบด้วยล่ะครับ มันสนุกดี”

เมื่อเก็บจานบนโต๊ะเสร็จเรียบร้อยแล้วเราทั้งสี่คนก็เดินออกมานอกร้าน ที่ตั้งของอีแคฟนั่นอยู่ไม่ไกลจากปากทางเข้าไบรท์แองเจิ้ล เทรลล์เท่าไหร่นัก ใช้เวลาเดินแค่ราวๆห้านาทีเท่านั้น ส่วนสภาพอากาศของวันนี้ก็ดีมากทีเดียว ถึงจะเป็นเวลาสิบเอ็ดโมงกว่าแล้ว แต่แดดก็ยังไม่แรงมาก และที่สำคัญอากาศก็ค่อนข้างเย็นกำลังดีอีกด้วย เหมาะแก่การไปไฮค์จริงๆ แถมยังแสดงให้เห็นว่า ที่พีเคยบอกไว้ว่าหิมะใกล้จะตกนั้นก็ดูท่าทางจะเป็นความจริงด้วยซะแล้ว ไอ้ซันนั้นใส่เสื้อแขนสั้นกับกางเกงยีนส์ ผมเองก็เช่นกัน เพียงแต่ว่าผมมีเสื้อแขนยาวอีกตัวหนึ่งอยู่ข้างใต้เสื้อแขนสั้นนั้นด้วย เราสองคนแบ่งกันแบกกระเป๋าสะพายหลังที่บรรจุอาหารที่ได้มาจากเดฟ น้ำดื่ม น้ำเกลือแร่ และขนมเอาไว้อีกคนละใบ นอกจากนั้นผมก็ยังพกผ้าขนหนู กับเสื้อสเว็ตเตอร์ที่ไม่หนามากติดตัวไปเผื่อไว้ด้วย แต่ที่ทำให้ผมรู้สึกชอบใจมากๆก็คือไอ้ซันที่ใส่หมวกกับแว่นกันแดดและยังมีหูฟังวอร์คแมนคล้องคอเอาไว้อีก เพราะเวลาที่มันแต่งตัวแบบนี้มันหล่อมากจริงๆ ดูยังไงก็ไม่เหมือนคนที่กำลังจะไปเดินฝ่าแดดลุยฝุ่นเลยแม้แต่นิดเดียว แต่เหมือนกับคนกำลังไปเดินแบบมากกว่า สำหรับพีกับไคล์นั้นใส่กางเกงขาสั้นทั้งคู่ แต่ว่าไคล์เลือกที่จะใส่เสื้อบาสแต่ก็เอาเสื้อแขนยาวพันรอบเอวไว้ด้วย ส่วนพีก็ใส่เสื้อยืดแขนยาวสีครีมธรรมดาๆ แต่ก็ยังคงดูดีและเหมาะกับเขามากจริงๆ

ขณะที่เรากำลังเดินลงไปตามทางก็พบกับขี้ของล่อมากมายอย่างที่ไคล์บอกจริงๆ มีทั้งอึทั้งฉี่กระจายเป็นแอ่งๆอยู่เต็มไปหมด แถมกลิ่นก็ยังร้ายกาจมากอีกด้วย นอกจากพวกเราแล้วก็ยังมีนักท่องเที่ยวอีกหลายคนจริงๆที่ทั้งเดินลงและเดินสวนเราขึ้นมา นานๆทีเราก็จะเจอคนที่มีสภาพโทรมแบบสุดๆที่เดินแบกเป้และเต็นท์ขึ้นมาจากด้านล่างผ่านมาบ้าง และมันก็ทำให้พวกเราสามคนนอกจากพีอดรู้สึกทึ่งในสภาพของพวกเขาไม่ได้จริงๆ

เมื่อแรกเริ่มเดินเราทั้งสี่คนก็เดินไปคุยไปและยังถ่ายรูปวิวข้างทางต่างๆไปเรื่อยๆตลอดทาง ซึ่งพีบอกว่ามันอาจจะทำให้เราเสียเวลานิดหน่อยกว่าจะเดินไปจนถึงเป้าหมาย ผมจึงแนะนำให้เรารีบเร่งฝีเท้ามากขึ้น แต่พีก็ปฏิเสธว่าเราไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น เขาบอกว่าเดี๋ยวพอเราเดินกันลงไปเรื่อยๆก็จะรู้เองว่าทำไม จนกระทั่งเราเดินมาได้ประมาณครึ่งชั่วโมง ทางเดินบางส่วนก็ชันมากขึ้นเรื่อยๆและนอกจากนั้นเราทุกคนก็เลิกบ้าถ่ายรูปกันหมดแล้ว เพราะวิวทิวทัศน์ข้างทางมันไม่ค่อยมีอะไรเลยอย่างที่พีบอกจริงๆ

“ผมบอกแล้วไงครับ ว่าอยากจะถ่ายก็ถ่ายไปเถอะ เพราะเดี๋ยวหลังๆก็เลิกถ่ายเองนั่นแหละ” พีหัวเราะเบาๆ

“เหนื่อยกันรึยังเนี่ย จะพักกันก่อนมั๊ย” ผมถาม แต่ทุกคนบอกว่าไม่เหนื่อยและยังไหว เราจึงเดินกันต่อไปเรื่อยๆโดยพยายามไม่ทิ้งระยะห่างให้ไกลกันมากนัก

“อากาศมันแห้งมากนะครับ ตอนปกติแบบนี้จะไม่รู้ตัวหรอก แต่พอกลับขึ้นไปแล้วก็จะรู้ได้เลยล่ะ” พีบอก

“ยังไงล่ะ” ไอ้ซันถาม

“ก็พอผมกลับขึ้นไปผิวผมแห้งแตกหมดเลยครับ ทั้งๆที่อยู่มาหลายวันยังไม่เห็นเป็นอะไร และตอนนี้ทุกคนอาจจะยังไม่ค่อยหิวน้ำกัน แต่ผมแนะนำให้คอยจิบไปเรื่อยๆดีกว่านะครับ ไม่งั้นอาจจะเป็นลมล้มไปได้”

พวกเราจึงทำตามคำแนะนำของพี เพราะเขาเป็นผู้มีประสบการณ์ที่เคยไฮค์มาก่อนถึงสองครั้งนี่นะ หลังจากหยุดนั่งพักข้างทางและถ่ายรูปทิวทัศน์กันสักครู่ พีก็บอกว่าอีกไม่นานก็จะถึงห้องน้ำแล้ว และเป็นเพียงห้องน้ำเดียวที่มีอยู่ด้วย เมื่อเราออกเดินต่อได้ราวสิบนาทีก็มาถึงห้องน้ำอย่างที่พีบอกจริงๆ เราทั้งสี่คนต่างก็แวะทำธุระให้เรียบร้อย นั่งพักกันราวๆห้านาทีจากนั้นก็ออกเดินต่อ

ทางเดินหลังจากห้องน้ำลงไปนี่ก็เริ่มที่จะชันและคดเคี้ยวมากขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด ทางเดินบางช่วงนั้นทั้งหักโค้ง ทั้งวกวนจนราวกับเป็นเขาวงกตที่พาเราเดินอ้อมเขาอีกลูกเลยทีเดียว และพอสังเกตดีๆก็จะเห็นว่าคนที่เราเห็นมากมายเมื่อตอนแรกนั้นเริ่มจะบางตาไปมากแล้วด้วย เราทั้งสี่คนก็ยังคงหยุดแวะถ่ายรูปข้างทางตรงจุดที่คิดว่ามันสวยน่าจะเก็บภาพกลับไปไว้อยู่เรื่อยๆ ส่วนไอ้ซันก็จะคอยเดินอยู่ข้างๆหรือข้างหลังผมเอาไว้ตลอดเวลา และมันยังบอกให้ผมคอยระวังก้าวเดินอยู่เป็นระยะๆด้วย เพราะว่าทางเดินหลายส่วนนั้นจะมีแต่ฝุ่น ทราย และก็หิน ซึ่งหินบางก้อนนั้นจะใหญ่และกลิ้งได้ ถ้าเหยียบพลาด หรือทิ้งน้ำหนักตัวมากเกินไป ก็อาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุข้อเท้าพลิก หรือที่แย่ไปกว่านั้นคืออาจเสียหลักจนตกหน้าผาไปเลยก็ได้

หลังจากผ่านเวลาเริ่มต้นออกเดินทางมาได้ราวๆสองชั่วโมง เราทั้งสี่คนก็มาถึงจุดพักจุดสุดท้าย ที่นี่คือเรสท์เฮาส์ที่เป็นศาลาขนาดเล็กๆและมีก๊อกน้ำไว้บริการด้วย เราทั้งสี่คนเดินเข้าไปนั่งหลบแดดในศาลากันแทบจะทันที

“เหนื่อยมั๊ย ทุกคน” ไคล์ถาม

“พี่ว่าไม่นะ เมื่อยนิดหน่อยแต่ไม่ถึงกับเหนื่อยว่ะ” ไอ้ซันตอบพลางยกขวดน้ำขึ้นกระดก

“กูก็ว่างั้น แต่ว่าอากาศแห้งจริงๆด้วยนะ เหงื่อกูแทบจะไม่ออกเลยสักหยดนะเนี่ย ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม”

“มึงลืมอะไรไปรึเปล่า ไอ้เมฆ” ไอ้ซันพูด จากนั้นก็หันหลังของมันมาให้ผมดู เสื้อที่แผ่นหลังของมันเปียกเหงื่อจนชุ่มไปหมด “มึงน่ะมันเหงื่อออกยาก แต่ดูกูนี่สิ”

“ตอนนี้ยังไม่เท่าไหร่หรอกครับ แต่เดี๋ยวพอขากลับจะรู้สึกเป็นอีกอย่างนึงเลย” พีเดินกลับมาจากไปเติมน้ำที่ด้านหลังศาลาแล้วนั่งลงข้างๆไคล์

“หมายความว่าไงครับ พีท” ไคล์ถามพลางรับขวดน้ำที่พียื่นให้เก็บใส่กระเป๋าสะพาย

พีส่ายหน้าช้าๆ “พูดตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์หรอกครับ เดี๋ยวก็รู้” เขาลุกขึ้นยืนแล้วหยิบเศษขนมที่เรากินเหลือตอนเดินลงมาออกมาจากถุงพลาสติกในกระเป๋าแล้วโยนไปให้กระรอกที่วิ่งมานั่งรออาหารบนพื้น “จริงๆแล้วการให้อาหารสัตว์นี่ผิดกฎหมายนะครับ แต่ก็อดไม่ได้จริงๆ”

“เชี่ย ตัวใหญ่ยังกะแมวแน่ะ” ไอ้ซันพูด “อ้วนชิบหายเลย สงสัยวันๆนึงนี่ไม่รู้มันได้อาหารจากนักท่องเที่ยวกันไปเท่าไหร่มั่ง”

“ข้างล่างน่ะ ยิ่งกว่านี้อีกครับ มันแทบจะขึ้นมานั่งตักเลยล่ะ ไม่มีการกลัวคนเลยแม้แต่นิดเดียว”

“ว่าแต่อีกไกลมั๊ยครับ กว่าจะไปถึงอินเดียน การ์เด็น” ผมถาม

“จากนี่ก็อีกราวๆหนึ่งชั่วโมงครับ ไม่ไกลแล้ว แต่ถ้าเราจะไปให้ถึงพลาโต พ็อยท์เพื่อไปชมวิวที่หน้าผาล่ะก็ ผมว่าเราควรรีบออกเดินจากกันต่อเลยดีกว่าครับ เพราะว่าจากอินเดียน การ์เด็นไปที่นั่น มันน่าจะใช้เวลาอีกราวๆหนึ่งชั่วโมงมั๊ง ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน เพราะไม่เคยไปก็เลยกะเวลาไม่ค่อยถูกน่ะครับ”

ผมดูนาฬิกาข้อมือของตัวเอง ตอนนี้มันเป็นเวลาเกือบจะบ่ายสามแล้ว ผมรีบคำนวณเวลาในสมองอย่างรวดเร็ว ถ้าเอาเวลาที่พีบอกมาบวกรวมๆกันทั้งหมดแล้ว กว่าเราจะกลับขึ้นไปถึงด้านบนก็คงเป็นเวลาประมาณสามทุ่มเลยทีเดียว

“หวังว่าไปถึงด้านล่างนั่นแล้วจะคุ้มเหนื่อยนะ” ไอ้ซันพูดขึ้นก่อนจะลุกขึ้นยืน

เราสี่คนออกเดินต่อไปเรื่อยๆ และอย่างที่พีบอกจริงๆ ช่วงทางเดินคดเคี้ยวตรงส่วนที่เพิ่งเลยจากเรสท์เฮาส์มานี่มันชันมากจริงๆ แต่พอเลยส่วนที่ชันที่สุดมาแล้ว ทางเดินก็เริ่มเรียบและเดินง่ายมากขึ้น ไม่ต้องคอยยั้งเท้าระวังน้ำหนักตัวมากเหมือนเมื่อตอนแรกๆ แต่พอผมเงยหน้ากลับขึ้นไปดูจากจุดเริ่มต้นที่เราเดินมา ผมแทบไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆว่าเราจะสามารถเดินลงมาไกลได้ถึงขนาดนี้

เมื่อเราเดินมาจนถึงบริเวณพื้นราบ ซึ่งผมคิดว่ามันแสดงว่าน่าจะใกล้ถึงอินเดียน การ์เด็นเต็มทีแล้ว เราก็เดินผ่านป่ากระบองเพชรที่ตั้งอยู่เรียงรายริมข้างทาง ซึ่งนับเป็นทิวทัศน์ที่แปลกตาไปจากที่เราเดินผ่านกันมาตลอดสามชั่วโมงมากทีเดียว จริงอยู่ที่ข้างทางที่เราเดินผ่านกันมามันก็มีหญ้ามีต้นไม้ขึ้นอยู่บ้างเป็นเรื่องธรรมดา แต่เราก็ไม่เคยเห็นกระบองเพชรขึ้นจนแน่นเต็มไปหมดแบบนี้เลยจริงๆ จนกระทั่งไคล์เป็นคนแรกที่สังเกตเห็นธงชาติอเมริกาโบกสะบัดอยู่ไม่ไกล

“แปลว่าใกล้แล้วใช่มั๊ยครับ พีท”

“ใกล้แล้วครับ นี่ไง ทุกคนลองตั้งใจฟังดูดีๆสิ” พีบอก พวกเราจึงลองเงี่ยหูฟังอย่างที่เขาแนะนำ และสิ่งที่ผมได้ยินก็คือเสียงนกร้อง เสียงน้ำไหล และเสียงสายลมที่พัดลู่กับยอดไม้ มันช่างเป็นเสียงที่ไพเราะมากจริงๆเมื่อเทียบกับการเดินผจญความแห้งแล้งตลอดสามชั่วโมงของเราที่ผ่านมา


หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 04-10-2007 12:12:51
(http://img504.imageshack.us/img504/9812/dsc09514repa3.jpg)

เมื่อมองจากด้านบน กระจุกเขียวๆนั่นล่ะ เป้าหมายแรก
ส่วนที่เดินเลยไปจนถึงมุมยอดนั่นเลยคือเป้าหมายที่สอง


(http://img159.imageshack.us/img159/6456/dsc09510rehh2.jpg)

เหม็นยังไม่พอ ยังต้องคอยหลีกทางให้เป็นระยะๆอีกต่างหาก


(http://img159.imageshack.us/img159/600/dsc08163remw3.jpg)

อีกมุมหนึ่งของ "ด้านบน" เมื่อมองจาก "ด้านล่าง"


(http://img514.imageshack.us/img514/7266/dsc09533rexm7.jpg)

พอเงยหน้าขึ้นไปมองแล้วก็ต๊กกะใจ !! กี๊ดดดด กุจะเดินกลับไหวมั๊ยนี่


(http://img74.imageshack.us/img74/8757/dsc09556rekv3.jpg)

จะถึง เรสท์เฮาส์ แล้ววว ขวามือบนๆ เห็นกันป่าว


(http://img514.imageshack.us/img514/781/dsc09635rehi1.jpg)

(http://img504.imageshack.us/img504/9274/dsc09628rece5.jpg)

เมื่อมองลงมาจากเรสท์เฮาส์......... โอย แม่จ้าววว เหนื่อยยย


(http://img401.imageshack.us/img401/4666/dsc09593retk9.jpg)

เจ้าแห่งภูเขา สัตว์ที่ดุร้ายที่สุดในแกรนด์ แคนยอน  :m29:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 04-10-2007 12:14:13
(http://img338.imageshack.us/img338/8634/image594fw5.jpg)

อินเดียน การ์เด็น


(http://img164.imageshack.us/img164/8894/image592lt2.jpg)

เมื่อเดินเลยออกมานิดหน่อย


(http://img112.imageshack.us/img112/9862/image574zn1.jpg)

(http://img520.imageshack.us/img520/9315/image588eh1.jpg)

(http://img520.imageshack.us/img520/5839/image589do0.jpg)

(http://img520.imageshack.us/img520/7977/image580xl8.jpg)

เดินไป พลาโต พ็อยท์ ไปดูแม่น้ำโคโลราโด


ปล. ผมคัดๆเลือกๆย่อๆรูปมานะคับ ชัดมั่งไม่ชัดมั่ง หรืออาจจะน้อยไปหน่อย
อย่าว่ากันหนา แค่อยากให้เห็นภาพโดยรวม  o14

ปล.จ๋อง จะจบแล้วนะค้าบ เลยขอแปะสองตอนรวดเลยแล้วกัน

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 04-10-2007 12:15:25
ตอนที่ 49


เราทุกคนต่างก็ตื่นเต้นมากเมื่อเริมเดินเข้าใกล้หมู่ต้นไม้สีเขียวต้นใหญ่หลายต้นนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ ที่นี่ก็คืออินเดียน การ์เด็น ซึ่งก็คือกระจุกป่าสี่เขียวเล็กๆเมื่อเรามองลงมาจากทางด้านบนนั่นเอง หลังจากการเดินทางที่เห็นแต่หิน ดิน ทราย และต้นหญ้ามานาน ในที่สุดการได้เห็นต้นไม้ต้นใหญ่ๆที่ไม่ใช่ต้นสนเหมือนด้านบนนั้นขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น เขียวครึ้ม บวกกับมีเสียงนก เสียงน้ำ และเสียงลมทั้งหมดนี้ มันทำให้เรารู้สึกดีใจ ประทับใจ และตื่นเต้นมากจริงๆ

“เฮ้ออออออออออ” ไอ้ซันถอนหายใจเสียงดังและเหยียดขาวางลงบนม้านั่งเมื่อพีพาเรามาถึงที่หมายแล้ว เราทั้งสี่คนนั่งลงบนโต๊ะปิกนิกใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง นอกจากพวกเราแล้ว รอบข้างก็ยังมีนักท่องเที่ยวคนอื่นๆเดินและนั่งพักผ่อนกันอยู่อีกหลายคนด้วย แต่ก็ไม่หลายคนเกินไปจนเสียงดังและอึกทึก ทุกคนต่างก็นั่งพักผ่อน นอนหลับ หรือทานอาหารของตัวเองกันอยู่เงียบๆ โดยรวมแล้วช่างเป็นบรรยากาศที่เงียบสงบและสวยงามมากจริงๆ

“เหนื่อยแล้วใช่มั๊ยล่ะ” ผมหัวเราะเบาๆ

“มันบอกไม่ถูกว่ะ มึงคิดว่าไงอ่ะ”

“กูเมื่อยนะ แต่ก็ยังไม่เหนื่อยอยู่ดีนั่นแหละ คือ มันก็เหนื่อยนิดหน่อยว่ะ พอให้หอบ แต่ไม่เหมือนกับตอนออกกำลังหรือตอนเล่นกีฬา และถ้าเป็นแบบนี้กูว่ามันคงไม่มีปัญหาอะไรเท่าไหร่ แล้วไคล์ล่ะ เป็นไงมั่ง” ผมหันไปถามไคล์ขณะที่หยิบน้ำและขนมออกมาวางไว้บนโต๊ะด้วย

“ผมก็เหมือนกันครับ ไม่แย่เท่าไหร่”

“นั่นเป็นเพราะเราเดินลงเขาไงครับ แต่อย่าประมาทนะครับ แล้วก็ถ้าเราคิดจะเดินไปพลาโต พ็อยท์อีกล่ะก็ ผมว่าเราไม่ควรพักกันนานเกินไปด้วย” พีพูด และบอกให้ไคล์นั่งเหยียดขาออกมาแบบที่ซันทำเพื่อกันการเป็นตะคริว

“แต่ที่นี่ร่มรื่นดีจริงๆนะ ลมก็เย็นดีด้วย” ผมพูด

“ใช่ ถ้าได้แบบนี้ก็ยังโอเคหน่อย เออจริงสิ ที่นี่มีตั้งแคมป์ค้างคืนได้ด้วยนี่ ตอนเดินมาเมื่อกี๊เห็นมีป้ายชี้บอกว่าส่วนตั้งแคมป์ให้เลี้ยวไปทางซ้าย”

“ใช่ครับ ผมเองก็เคยคิดอยากมาเหมือนกัน เพราะที่นี่มันสวย ร่มรื่น แล้วก็สงบดีจริงๆ” พีบอก

เราทั้งสี่คนนั่งพักและกินอาหารกันนิดหน่อยเพื่อไม่ให้จุกจนเกินไปแล้วก็เก็บกระเป๋าและออกเดินกันต่อ เส้นทางที่เราเดินต่อจากนี้ จะพาเราเดินออกจากหมู่ไม้อันร่มรื่นและต้องเดินผ่านทะเลทราย “ของจริง” ไปอีกเป็นระยะทางหนึ่งไมล์ครึ่ง เมื่อตอนที่มองมาจากทางด้านบนนั้น พื้นที่บริเวณนี้ก็ดูราบเรียบและดูจะเดินได้อย่างไม่มีปัญหาอะไรอยู่หรอก แต่พอลองได้มาสัมผัสกับตัวเข้าจริงๆ ต้องยอมรับเลยว่ามันเดินยากยิ่งกว่าตอนลงเขามาเมื่อครู่เสียอีก ทั้งพื้นที่เป็นทรายล้วนๆ ทางเดินที่คดเคี้ยว และต้องเดินอ้อมหรือเดินผ่านขึ้นและลงเนินลูกเล็กๆมากมาย เส้นทางที่ยาวออกไปจนดูเหมือนกับไม่มีที่สิ้นสุด และยังความแห้งแล้งและความรุนแรงของแสงแดดที่ทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจจริงๆ ถึงด้านบนอากาศจะค่อนข้างหนาว แต่ด้านล่างนี่มันร้อนกว่าที่คิดไว้ไม่น้อยเลยจริงๆ โดยเฉพาะหลังจากที่เราเดินกันมาสามชั่วโมงและนั่งพักไปอีกครึ่งชั่วโมงแล้ว ผมถึงเข้าใจว่าที่พีพูดว่าเราไม่ควรนั่งพักนานเกินไปนั้นมันหมายความว่ายังไง เพราะเมื่อเราได้นั่งพักกันมาครั้งนึงแล้ว พอต้องมาออกเดินไกลๆในเส้นทางโหดๆแบบนี้แล้ว มันเหนื่อยมากกว่าปกติขึ้นกว่าสองเท่าเลยทีเดียว

ผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมง จนผมเริ่มรู้สึกถึงเหงื่อที่ไหลออกมาตามส่วนต่างๆของร่างกายมากขึ้น เราก็มาถึงเป้าหมายสักที ก่อนที่จะถึงจุดชมวิว เราก็แวะล้างหน้าล้างตาและเติมน้ำที่แท็งค์น้ำขนาดใหญ่ที่ถูกตั้งไว้บริการนักท่องเที่ยวอยู่กันจนเต็มที่ก่อน และเมื่อเราต่างก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมากแล้ว เราก็เดินไปชมวิวตรงบริเวณริมหน้าผากันทันที

“โอ้โห สุดยอดเลย” ผมร้องออกมาเมื่อชะโงกหน้ามองลงไปยังเบื้องล่างหน้าผาสูงและเห็นกระแสน้ำที่ไหลอย่างเชี่ยวกราดของแม่น้ำโคโลราโดอันลือชื่อ เป้าหมายที่นักไฮค์ทุกคนอยากจะลงไปสัมผัส

“นี่ ตรงนี้มันไม่มีรั้วกั้นนะมึง ไอ้เมฆ เกิดตกลงไป ตายแบบไม่ต้องสงสัยแน่ๆ” ไอ้ซันเดินมาจับหลังของผมเอาไว้

พวกเราสี่คนเดินชมวิวและถ่ายรูปเล่นกันอยู่พักหนึ่งจึงตัดสินใจกลับกัน เพราะนอกจากการถ่ายรูปท้าความกล้าโดยแข่งกันไปยืนอยู่กันที่ริมหน้าผาแล้วก็ไม่มีอะไรให้เราทำกันอีก พวกเราจึงลงความเห็นว่ากลับไปนั่งพักอยู่ใต้เงาไม้ร่มๆที่อินเดียน การ์เด็นกันน่าจะดีกว่า และขาเดินกลับนั้นก็ยิ่งยากลำบากกว่าตอนเดินมาเสียอีก เราทั้งสี่คนต่างก็เริ่มที่จะรู้สึกเหนื่อยและล้ามากกว่าก่อนหน้านี้ขึ้นมาก จนกระทั่งเรากลับมานั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิมแล้ว พวกเราก็เรียกได้ว่าแทบจะหมดแรงกันเลยทีเดียว มีเพียงพีเท่านั้นที่ยังคงดูสดชื่นกว่าคนอื่นๆหน่อย

“จะเรียกว่าผมชินแล้วก็ได้มั๊งครับ ก็ไฮค์ครั้งที่สามแล้วนี่” พีตอบหลังจากที่ผมถามออกไป

“เฮ้ย เมฆ....... กูสารภาพแบบไม่อายเลยนะ” ไอ้ซันพูดขึ้น “กูไม่อยากนึกถึงตอนเดินกลับขึ้นไปข้างบนนั้นเลยว่ะ” มันชี้ไปยังทิศทางที่เราเดินลงมาจากทางด้านบนแล้วทำหน้าเบ้

“มึงก็อย่าไปมองมันสิ” ผมเงยหน้ามองตามนิ้วของมันไปแล้วก็อดใจหายเหมือนกันไม่ได้จริงๆ ต้นสนที่สูงกว่าตึกสี่ชั้น เมื่อมองจากตรงนี้มันมีขนาดเล็กลงจนเหลือแค่เพียงพอๆกับหนึ่งในห้าของขนตาเท่านั้นเอง “แล้วก็เดินกลับอีกสี่ชั่วโมง...........”

“ไอ้เมฆ ไหนมึงบอกว่าอย่าไปมองมันไง” ไอ้ซันเคาะหัวผมเบาๆ “โดยเฉพาะห้ามพูดถึงเรื่องเวลาที่จะต้องใช้เดินกลับอีกเด็ดขาด เข้าใจมั๊ย”

“ขากลับมันจะยากหน่อยนะครับ แต่เราก็สามารถทำเวลาได้ เพราะงั้น คือ พยายามทำตามอย่างที่ผมบอกให้ได้นะครับ แต่ว่าถ้าไม่ไหวหรือรู้สึกไม่ดีขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ให้รีบบอกด้วยเลย เพราะถ้าเกิดเป็นตะคริวหรืออะไรขึ้นมากลางทางล่ะก็ แย่แน่” พีบอก และพวกเราทุกคนก็พร้อมยินดีที่จะทำตามที่เขาพูดทุกอย่าง

หลังจากเวลาหนึ่งชั่วโมงของการนั่งพัก พูดคุย กินขนม และเล่นกับกระรอกจนพอใจแล้ว เราก็เตรียมตัวเดินกลับขึ้นข้างบนกันอีกครั้งทันที และก็เป็นอย่างที่พีพูดเอาไว้อีกแล้ว แค่เราก้าวขาเดินพ้นออกมาจากเหล่าแมกไม้สีเขียวนั่นมาจนถึงบริเวณต้นกระบองเพชรที่ไคล์มองเห็นธงชาติเมื่อครั้งแรก พวกเราก็หมดแรงกันจนแทบก้าวขาไม่ออกกันเลยทีเดียว

“นี่กูเป็นคนเดียวรึเปล่าวะ ที่เหนื่อยและเมื่อยโคตรๆเลยเนี่ย” ผมหยุดพักเพราะไม่สามารถก้าวขาได้อีกต่อไปแล้ว “ทั้งๆที่เพิ่งจะเดินมาได้แค่ห้านาทีเองนะ”

“กูก็เหมือนกัน” ไอ้ซันตอบ

“ผมก็ด้วยครับ ไม่น่าเชื่อเลยนะเนี่ยว่ามันจะทรมานขนาดนี้” ไคล์เห็นด้วย จากนั้นก็ทิ้งตัวนั่งลงบนก้อนกินก้อนใหญ่ริมทาง

“อย่าเพิ่งนั่งนะครับ” พีรีบบอก “หยุดพักได้แต่อย่าเพิ่งนั่งนะ ไคล์ ทนอีกนิดนะครับ ช่วงนี้แหละที่จะยากที่สุด แต่เดี๋ยวก็ดีขึ้นครับ เอาไว้ผมจะบอกเองว่าถึงช่วงไหนที่เราควรจะนั่งพักได้แล้ว ช่วยทนไปอีกสักราวๆสิบหรือสิบห้านาทีนะครับ”

เวลาแค่สิบห้านาทีมันฟังดูไม่เท่าไหร่จริงๆ แต่ในขณะที่กำลังเดินไฮค์ขึ้นเขาอยู่แบบนี้ สิบห้านาทีนี่มันยาวนานราวกับชั่วชีวิตเลยทีเดียว ทั้งผมและซันต่างก็เคยเล่นกีฬา เคยวิ่ง และเคยกระโดดกันแบบสุดๆมาแล้ว แต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่ทำให้เรารู้สึกเหนื่อยได้มากถึงขนาดนี้

“นี่ขนาดยังไม่ถึงช่วงที่ขึ้นแบบชันๆนะ” ไอ้ซันพูด “มึงแบกกระเป๋าไหวมั๊ย เมฆ”

“ไหวๆ อาหารก็กินไปแล้ว มันเลยเบาลงเยอะ”

“แล้วเท้ากับเข่าล่ะ ไหวรึเปล่า”

“ไหว ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้าเจ็บเมื่อไหร่เดี๋ยวกูบอกมึงเอง”

“เออ ดีแล้ว มึงอย่าฝืนนะ”

“อืมม ไม่ต้องห่วงหรอก ขอบใจมาก ว่าแต่มึงเถอะ ลมแรงๆอากาศก็เริ่มเย็นลงแบบนี้แล้วเนี่ย จะเอาเสื้อรึเปล่า”

“ไม่หรอก ไม่ถึงขนาดนั้น แต่ดูๆแล้วมึงนี่เหงื่อแทบไม่ออกเลยนะ ไม่อึดอัดแย่เหรอวะ”

“ก็นิดหน่อยมั๊ง ไม่รู้สิ กูชินแล้วว่ะ เหงื่อกูมันออกยาก โดยเฉพาะอากาศแห้งๆลมแรงๆแบบนี้ พอเหงื่อออกปุ๊บมันก็ระเหยไปหมดแทบจะทันทีแล้วว่ะ”

“เดี๋ยวเราไปพักกันตรงหัวโค้งหน้านี้ก็แล้วกันนะครับ” พีที่เดินนำอยู่หน้าสุดหันมาบอกพวกเรา เมื่อเราทั้งสี่คนทิ้งตัวลงนั่งลงริมทางแล้ว พีก็หันไปก้มมองดูขาของไคล์ทันที “ไหวมั๊ยครับ ผมว่าคุณเอาเสื้อมาใส่ดีกว่านะ ไคล์ เดี๋ยวมันจะหนาว แถมตอนนี้ก็เริ่มมืดลงแล้วด้วย”

ไคล์ยิ้มรับแล้วก็ชะโงกหน้าไปหอมแก้มพีเบาๆ เห็นแล้วมันก็อดรู้สึกอิจฉานิดๆไม่ได้จริงๆนะเนี่ย

“เมฆ กูหนาวแล้ว เอาเสื้อมาใส่ให้กูมั่งดิ๊” เมื่อไอ้ซันเห็นเขาทำแบบนั้นมันก็หันมาบอกผมบ้าง แต่ทำไมมันถึงได้ไม่มีความรู้สึกโรแมนติกแบบอีกคู่ที่อยู่ตรงหน้านี้เลยแม้แต่นิดเดียวนะ

“อ่ะนี่ครับ ที่รัก ห่มซะนะ เดี๋ยวจะหนาวแล้วไข่มันจะหด” ผมหยิบเสื้อออกมาจากกระเป๋าแล้ววางพาดลงบนบ่าของไอ้ซัน

“ดีมากกก มานี่มา ขอจุ๊บทีนึง”

พอผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ไอ้ซันก็จุ๊บผมจริงๆ แต่เป็นจุ๊บที่ปลายจมูกแทน

หลังจากที่เราลุกขึ้นเดินต่ออีกครั้ง คราวนี้เราแทบจะไม่มีเสียงหัวเราะหรือการพูดจากันอีกเลยตลอดเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงจนเรากลับขึ้นมาถึงที่เรสท์เฮาส์อีกครั้ง จากตรงนี้ไปอย่างเร็วก็คือใช้เวลาอีกประมาณสองชั่วโมงถึงจะกลับขึ้นไปถึงด้านบน แต่ว่าขาของผมมันก็เริ่มร้องอุทธรณ์แล้วเหมือนกัน โดยเฉพาะที่บริเวณหัวเข่าข้างขวา ผมรู้สึกว่ามันเริ่มจะเจ็บเหมือนเมื่อตอนที่ผมเคยเจ็บอีกครั้งแล้ว ถึงจะยังไม่มากเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ใช่สัญญาณที่ดีเลยจริงๆ ซึ่งนั่นก็คงเป็นเพราะเวลาเดินขึ้นเขานั้นมันต้องใช้กำลังและใช้หัวเข่ามากกว่าตอนเดินลงมานี่เอง

“ไหวมั๊ย เมฆ เจ็บขารึเปล่า” ไอ้ซันถามผมอีกครั้ง

“ไม่เจ็บๆ ยังโอเคอยู่” ผมโกหกออกไปเพราะไม่อยากให้มันต้องเป็นห่วง เนื่องจากยังเหลือระยะทางที่ต้องเดินขึ้นไปอีกถึงสองในสามทีเดียว

“ยื่นขามานี่” ไอ้ซันออกคำสั่งแล้วก็จับขาของผมเหยียดออกไป จากนั้นมันก็เริ่มออกแรงนวดให้ผมเบาๆ

เมื่อผมมองหน้าของมันที่เต็มไปด้วยเหงื่อและกำลังก้มมองดูขาของผมอย่างตั้งใจอยู่นั้น ผมก็เกิดความรู้สึกทั้งรักและขอบคุณมันขึ้นมาเต็มภายในอกจริงๆ และในขณะเดียวกันก็รู้สึกผิดที่โกหกมันไปเมื่อครู่นี้ด้วย แต่ว่าผมรู้ตัวดีว่าผมยังไหวอยู่ ผมจะไม่ฝืนตัวเองหรอก ถ้าผมไม่ไหวขึ้นมาผมก็จะบอกมันไปตามความเป็นจริง แต่ตอนนี้ผมยังไม่อยากให้มันกังวลจนเกินเหตุไปก่อนเด็ดขาด เพราะถ้าผมบอกว่าผมเจ็บขาขึ้นมาเมื่อไหร่ ไอ้ซันเองนั่นแหละที่จะต้องเป็นฝ่ายฝืนตัวเองแทนเพื่อช่วยผม

“เฮ้ย ดูนั่นดิ่” ผมได้ยินเสียงดังแซ่กมาจากทางพุ่มไม้ด้านหลังของศาลาจึงรีบฉายไฟฉายไปยังบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว ทั้งไคล์ พี แล้วซันก็หันตามไปทันทีเช่นกัน “กวางว่ะ หลายตัวเลยด้วย”

“พอตกค่ำๆแบบนี้ พวกกวางพวกสัตว์มันก็ออกมาหากินกันน่ะครับ โดยเฉพาะกวางกับเอลค์ ที่ด้านบนนี่มีเยอะเลย” พีอธิบาย

“ไม่ใช่กวางธรรมดาๆด้วยนะ มึงดูสิ” ไอ้ซันชี้ไปที่ฝูงกวางป่าสี่ห้าตัวที่กำลังเล็มหญ้าอยู่อย่างสบายอารมณ์

“ไม่ใช่กวางธรรมดาๆยังไงวะ” ผมถาม

“ก็นั่นไง....... กวางเหลียวหลังซะด้วย”

ผมกับพีระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเพราะมุขใต้สะดือของไอ้ซัน มีแต่ไคล์คนเดียวเท่านั้นที่ไม่เข้าใจ เขาพยายามถามพีหลายต่อหลายหนว่ามันหมายความว่ายังไง แต่พีก็ไม่ยอมบอก รวมทั้งผมที่กำชับไอ้ซันไม่ให้บอกไคล์อีกด้วย

“เดี๋ยวพีก็ไปสอนภาคปฏิบัติให้เองนั่นแหละ” ไอ้ซันหัวเราะ ทำเอาพีหน้าแดงและไคล์ก็ยิ่งงงมากขึ้นไปอีก

และอีกครั้งที่เราลุกขึ้นเดินต่อ เพียงแค่เดินออกมาจากเรสท์ เฮาส์ได้ห้านาทีผมก็หอบหนักแล้ว บางช่วงของทางเดินนั้นจะทำเป็นลักษณะของขั้นบันได ซึ่งก็สูงแค่ราวๆคืบหนึ่งเท่านั้น ทั้งๆที่ตอนขาเดินลงเราแทบไม่ได้สังเกตเลย แต่พอเดินขึ้นแบบนี้ จะยกขาขึ้นก้าวข้ามมันแต่ละก้าวนี่มันช่างแสนสาหัสจริงๆ และถ้ามีคนบอกว่าการเดินขึ้นภูกระดึงนั้นโหดสุดๆและเป็นการพิสูจน์รักแท้ ผมก็ขอบอกเลยว่าการเดินขึ้นแกรนด์ แคนยอนนี่ก็ไม่แพ้กันเลยจริงๆ เผลอๆอาจจะโหดกว่าด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเรื่องเส้นทาง สภาพอากาศ และสภาพภูมิประเทศที่พวกเราไม่ชิน และผมก็รู้สึกดีมากจริงๆ ที่พวกเราทั้งสี่คนนั้นคอยห่วงใย เดินรอ และสอบถามสภาพร่างกายของกันและกันเป็นระยะๆอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะคู่ของซันกับผม และคู่ของไคล์กับพีก็จะต่างคนต่างดูแลคนรักของกันและกันเป็นอย่างดี และไม่ว่ายังไงหรือเมื่อไหร่ พีเองก็เป็นคนเดียวที่ในหมู่พวกเรายังคงดูมีสภาพที่ดีที่สุด เขาคอยบอกเราว่าเราควรจะพักนานเท่าไหร่และควรจะพักตรงไหนอยู่ตลอดเวลา เพราะถ้าเสียเวลาพักมากเกินไปหรือพักบ่อยเกินไปก็จะทำให้เสียเวลาและทำให้ร่างกายมันล้าจนลุกขึ้นมาเดินต่อไม่ไหวด้วย

“อีกราวๆสิบนาทีก็น่าจะถึงห้องน้ำแล้วครับ” พีหันกลับมาบอกพวกเรา “ยังไหวอยู่ใช่มั๊ยครับ”

“ยังสบายดีอยู่ครับ ว่าแต่พีเหอะ ไม่เหนื่อยมั่งเลยเหรอ” ผมถาม

“เหนื่อยสิครับ แต่ยังพอไหวอยู่ และที่สำคัญ มันเป็นเพราะว่าผมพอจำทางได้มั๊งครับ มันก็เลยพอรู้ว่าควรจะคาดหวังหรือไม่คาดหวังอะไรบ้าง”

“นั่นสินะ...... เพราะพี่รู้สึกว่าการไฮค์แบบนี้นี่มันวัดใจมากจริงๆเลยว่ะ ถ้าไม่มีพีคอยบอกทางคอยบอกว่าอีกนานแค่ไหนถึงตรงไหนล่ะก็ กูคงรู้สึกสิ้นหวังกว่านี้แน่ๆเลย”

“ทำไมพูดจาอ่อนแอแบบนั้นล่ะวะ ไอ้เมฆ ไม่สมกับเป็นมึงเลยนะ”

“ค้าบบบ แล้วมึงไม่เหนื่อยมั่งรึไง ไอ้แสบเอ๊ยย”

“แหะ เหนื่อยดิ่ เหนื่อยเหี้ยๆเลยด้วย สงสัยกลับขึ้นไปถึงข้างบนกูหลับเป็นตายแน่ๆ”

“ฟังดูดีสำหรับศิลานะครับ เพราะแบบนี้ศิลาก็คงไม่ต้องเหนื่อยไปอีกหนึ่งคืน” ไคล์หันมาแหย่พวกเราและช่วยทำให้พวกเราหัวเราะกันได้อีกครั้ง

“มันเป็นเรื่องธรรมดานะครับถ้าจะรู้สึกไม่ไหวกัน เพราะตอนแรกที่พวกผมมาไฮค์กัน เพื่อนผมคนนึงที่เป็นนักกีฬามาตลอดตอนมอปลาย พอเดินขึ้นแบบนี้นี่ยังบ่นว่าจะตายๆอยู่หลายรอบเลย....... และที่แน่ๆคือวันรุ่งขึ้นมีปวดกันไปอีกหลายวันเลยล่ะ” พีเล่าให้พวกเราฟังถึงการไฮค์ครั้งแรกของเขากับเพื่อนๆ

หลังจากที่เราหยุดพักกันที่ห้องน้ำประมาณห้านาทีแล้ว พวกเราก็ออกเดินกันต่อ ตอนนี้รอบตัวของเรานั้นมืดสนิทหมดแล้ว อากาศก็เริ่มหนาวมากด้วยเช่นกัน โชคดีที่เรามีไฟฉายติดตัวมาด้วยสองกระบอกจึงแบ่งกันไปคู่ละหนึ่งกระบอกได้พอดี แต่ถึงอย่างนั้น เราทั้งสี่คนก็แทบจะเดินห่างกันไม่เกินสามเมตรเลย

“ระวังหินแถวนี้ด้วยนะครับ มันกลิ้งได้” พีที่เดินนำอยู่หน้าสุดเตือน

ผมที่ถือไฟฉายส่องทางอยู่ก็คอยฉายแสงไปบนพื้นเพื่อให้ไอ้ซันเดินได้สะดวกๆ และผมก็คงมัวแต่ห่วงทางเดินของมันมากเกินไป จนกระทั่งผมเองที่เป็นฝ่ายเหยียบก้อนหินพลาดและล้มลง

“ไอ้เมฆ!!” ไอ้ซันร้องและรีบเข้ามาประคองผมทันที

“แม่งเอ๊ยยยย” ผมร้องอย่างเจ็บปวดที่ข้อเท้าของตัวเอง “ตอนล้มเมื่อกี๊ข้อเท้ามันพลิกเข้าจังๆเลยว่ะ”

ทั้งไคล์และพีต่างก็รีบเดินมาดูอาการของผมเช่นกัน

“เป็นอะไรรึเปล่าครับ” พีถาม

“พีท จากตรงนี้ไปเหลือระยะทางอีกไกลมั๊ยครับ”

“ก็ราวๆสี่สิบนาทีน่ะครับ แต่พี่เมฆลุกขึ้นไหวรึเปล่าครับเนี่ย”

ผมค่อยๆลุกขึ้นยืนช้าๆและไอ้ซันก็คอยประคองผมเอาไว้ด้วย “ช้าๆ เมฆ ไม่ต้องฝืน”

“ไม่เป็นไร กูยังไหว” ผมค่อยๆวางเท้าข้างที่เจ็บลงบนพื้นช้าๆแล้วก็ค่อยๆออกแรงทิ้งน้ำหนักตัวลงไปทีละน้อย “ไม่เจ็บเท่าไหร่ว่ะ น่าจะโอเคนะ”

“มึงแน่ใจนะว่าข้อเท้าไม่เป็นอะไร”

“อืม แน่ใจ ยังเดินไหวสบายมาก ไม่มีปัญหาอะไร ไม่ต้องห่วง”

“โอเคครับ งั้นเราก็ไปต่อกันเถอะ เดี๋ยวมันจะดึกเกินไป พี่เมฆครับ ถ้าไม่ไหวพี่ก็อย่าฝืนนะ....... เอางี้ดีกว่า พี่เอากระเป๋ามาให้ผมช่วยถือก็แล้วกันนะครับ มันจะได้ไม่หนักมาก”

“ไม่เป็นไร พี พี่ยังไหว ขอบใจมากครับ ถ้าไม่ไหวเมื่อไหร่เดี๋ยวพี่บอกเองแล้วกัน ไปกันต่อเถอะ เดี๋ยวมันจะมืดเกินอย่างที่เราบอกจริงๆ”

เราสี่คนเริ่มต้นออกเดินกันต่ออีกครั้ง และไคล์กับพีก็ยังคงเดินนำหน้าเราอยู่เช่นเคย

“มึงส่งกระเป๋ามา” ไอ้ซันพูดกับผมจนเกือบเหมือนจะเป็นการออกคำสั่ง

“กูบอกกูยังไหวไง” ผมยืนกราน

“มึงเจ็บเข่าใช่มั๊ย”

ผมรู้สึกใจหายวาบขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินไอ้ซันพูดอย่างนั้น และที่สำคัญกว่าก็คือน้ำเสียงของมันที่พูดออกมาต่างหาก มันเป็นน้ำเสียงที่แสดงความไม่พอใจออกมาจริงๆ “กูไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ มึงไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” ผมหันไปยิ้มให้กับมัน

“ตั้งแต่เมื่อไหร่” ไอ้ซันยังคงถามเสียงแข็ง

“มึงหมายความว่ายังไง”

“กูถามว่าตั้งแต่เมื่อไหร่แล้ว”

ผมก้มหน้าเล็กน้อยเพราะไม่กล้าสบตากับมัน “ตั้งแต่ตอนอยู่ที่เรสท์เฮาส์แล้ว....... แต่ตอนนี้กูไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ มันก็แค่ลั่นๆแปล๊บๆนิดหน่อยเท่านั้นเอง ไม่ได้เป็นอะไรมากขนาดนั้นหรอก” ผมเงยหน้าขึ้นไปสบตากับมันอีกครั้ง

ไอ้ซันเดินนำหน้าและมาหยุดยืนขวางอยู่ตรงหน้าของผม ตอนแรกผมคิดว่ามันจะว่าหรือโกรธใส่ผมเสียอีก แต่ผมกลับคิดผิดหมดทุกอย่างเมื่อไอ้ซันใช้มือทั้งสองข้างวางลงบนบ่าของผมทำให้ผมต้องมองตรงเข้าไปในดวงตาของมัน

“ถ้ามึงเกิดเจ็บหนักไป........ แล้วกูจะทำยังไง เมฆ” มันพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยนและเป็นห่วงเป็นใยอย่างที่สุด มันเป็นน้ำเสียงที่ทำให้ผมเกือบจะต้องร้องไห้ออกมาเพราะความรู้สึกผิดเลยทีเดียว

“กูขอโทษ...... กูแค่คิดว่ากูไม่เป็นอะไรจริงๆเท่านั้นเอง”

“ส่งกระเป๋ามาซะ กูถือไหวน่า มึงไม่ต้องห่วงหรอก” ไอ้ซันยื่นมือมาแกะสายสะพายลงจากบ่าของผม ผมจึงปล่อยให้มันดึงกระเป๋าออกไป

“แบ่งมาให้กูด้วยนะ ถ้ามึงเมื่อยน่ะ กูรู้ว่าตอนนี้มึงเองก็เหนื่อยมากแล้วเหมือนกัน” ผมพูดขณะที่เราออกเดินกันต่อ

“อืมมม ถ้ากูไม่ไหวเดี๋ยวกูบอกเอง”

“แล้ว....... มึงรู้ได้ยังไงว่ากูเจ็บเข่า” ผมถาม

“กูเดินอยู่ข้างหลังมึงนะ กูก็เห็นสิว่าเวลามึงเดินขึ้นเนินหรือขึ้นขั้นบันได มึงจะใช้แต่ขาซ้ายเป็นหลักตลอด เพราะงั้นเมื่อกี๊มึงถึงได้เหยียบก้อนหินพลาดด้วยขาซ้ายไง”

ผมถึงกับอึ้งไปเลยอีกครั้ง นี่ไอ้ซันมันคอยสังเกตผมมากถึงขนาดนี้เลยหรือ........

“กูขอโทษ ซัน” ผมไม่รู้จะพูดอะไรออกไปได้มากกว่าคำๆนี้อีกแล้ว ผมไม่สามารถพูดคำอื่นได้นอกจากคำว่าขอโทษที่ผมต้องทำให้มันเป็นห่วงและคอยระวังผมอยู่มากขนาดนี้

“ช่างมันเถอะ มึงจะขอโทษทำไม....... คราวหลังมีอะไรก็บอกกู เข้าใจมั๊ย อย่ามัวแต่ปิดบังเพราะกลัวว่ากูจะต้องเป็นห่วงอีก เพราะถ้ามึงมีอะไรแล้วไม่บอกกูน่ะ มันยิ่งจะทำให้กูไม่สบายใจและไม่ชอบใจมากขึ้นไปอีกด้วยซ้ำ รู้รึเปล่า กูไม่อยากต้องมารู้สึกเสียใจและเสียอารมณ์ทีหลังนะเว้ย แล้วก็........ กูก็ขอบใจมึงมากด้วย ที่อุตส่าห์คอยส่องทางให้กูตลอดจนมึงต้องมาเป็นฝ่ายล้มไปเองแบบนี้.......” ถึงผมจะมองหน้ามันไม่ชัด แต่ผมก็รู้สึกได้เลยว่ามันกำลังเขินอยู่ และนี่ก็ทำให้ผมต้องยิ้มกว้างออกมาอย่างห้ามตัวเองไม่ได้

ตลอดเส้นทางที่เหลือนี่นับเป็นหายนะสำหรับพวกเราทุกคนอย่างแท้จริง ทั้งความชันของเส้นทางและกำลังใจหลอกๆที่คอยบอกว่า “โค้งหน้าก็จะถึงแล้วๆ” แต่ความเป็นจริงก็คือการได้เห็นเส้นทางคดเคี้ยวเบื้องหน้าที่ดูทอดยาวขึ้นไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด นี่เองที่คือความหมายของสิ่งที่พีบอกเอาไว้ว่ามันเป็นอะไรที่เขารู้อยู่แล้วว่าควรจะคาดหวังและไม่คาดหวังอะไร มันเป็นเรื่องของการบริหารกำลังใจจริงๆ ส่วนตัวของผมเองนั้นก็ไม่ได้รบกวนไอ้ซันมากนักหรอก เมื่อได้พักและได้ปลดน้ำหนักลงไปบ้างแล้วผมก็รู้สึกว่าหัวเข่าและข้อเท้าของผมดีขึ้นมาก ทั้งไคล์และพีต่างก็ช่วยกันแบ่งกระเป๋าของผมไปสะพายกันแทบจะทุกๆห้านาที จนเมื่อผมรู้สึกดีขึ้นมากกับขาของตัวเองแล้วผมจึงขอรับกระเป๋ากลับมาอยู่ในความรับผิดชอบของผมเองอีกครั้ง

จนท้ายที่สุด หลังการผจญภัยทั้งหมดทั้งปวง ทั้งคำพูดและการกระทำของพวกเราทุกคนที่คอยให้กำลังใจซึ่งกันและกันมาตลอดทาง รวมทั้งความพยายามอันแรงกล้าที่ไม่มีใครสักคนพูดว่า “ไม่ไหวแล้ว” เลยสักครั้งก็ตอบแทนพวกเราด้วยการที่พาเรากลับขึ้นมาถึงปลายทางได้สำเร็จ

เมื่อเราทั้งสี่คนเดินออกมาจากปากทางลงที่พวกเราเพิ่งเดินผ่านไปเมื่อตอนกลางวัน ทุกคนยกเว้นพีก็ทรุดตัวลงนั่งบนพื้นกันทันที

“อ้ายเหี้ยยยยย ถึงแล้วว้อยยยย” ไอ้ซันร้องตะโกนออกมา

“เหนื่อยชิบหายเลยยยย กูจะตายแหล่วววว อยากอาบน้ำ อยากนอน หิวข้าวววววว” ผมร้องโอดครวญออกมา

“ผมก็หิวมากเลยเหมือนกัน หวังว่าแมสวิคจะยังไม่ปิดนะครับ พีท”

“ตอนนี้เพิ่งจะสามทุ่มครึ่ง ยังไม่ปิดครับ แต่ว่าเราคงต้องรีบแล้วล่ะ ไม่อย่างนั้นคืนนี้คงไม่มีอะไรกินกันแน่ๆ”

“งันก็ไปกันเถอะ ไปกินข้าวมื้อใหญ่ฉลองชัยชนะอันยิ่งใหญ่และฉลองที่ไม่ต้องเสียค่าโรงแรมสี่คืนห้าวันของพวกเรากันหน่อยเว้ย” ไอ้ซันพูดขึ้นพลางลุกขึ้นยืนแล้วก็ดึงตัวผมกับไคล์ให้ลุกตามไปด้วย

“นี่ ซัน กูรู้แล้วล่ะ ว่าทำไมที่นี่ถึงมีชื่อว่า ‘ไบรท์ แองเจิ้ล’” ผมพูดออกมาขณะที่เรากำลังค่อยๆคืบไปที่ป้ายรถบัสอย่างอ่อนแรง

“ทำไมวะ” ไอ้ซันหันมาถามผม

“ก็ตอนเดินกลับขึ้นมานี่กูเห็นนางฟ้าน้อยๆบินมารอรับกูตั้งหลายองค์แน่ะมึง กูเกือบจะเดินตามแสงนั่นไปซะแล้ววว”

และพวกเราทั้งสี่คนก็หัวเราะออกมาพร้อมๆกัน.......... อย่างเหนื่อยอ่อน

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: tonsai_2520 ที่ 04-10-2007 12:26:32


เรียบร้อย . . .  สามวันติดเลยวุ้ย


ปล .  ฝนตกอ่ะ

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 04-10-2007 13:28:37
มาลงสองตอน อ่านซะสะใจ
สนุกมากจ้า เสียดายจังใกล้จะจบแล้วเหรอ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 04-10-2007 13:41:30
 :m4:
เก่งกันจังเลยยยยยย ชนะเลิศศศศศ... :a1:
สองคู่ชู้ชื่นนน เป็นห่วงเป็นไยกันดีจังเลยยย ถึงจะเหนื่อย แต่ก็หวานนนนซะ
ความผูกพันธ์ของปฐพี สายน้ำ ฟ้าครามและศิลา.... ประทับใจจัง
มาต่ออีกนะครับบบบ เรื่องนี้คงเป็นอีกเรื่องที่จะจบแบบ Happy นะ...หวังว่าเช่นนั้นนนน
 :bye2:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: Givesza ที่ 04-10-2007 15:05:40
Happy Ending น่ะค่ะ ลุ้นๆๆๆ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 04-10-2007 16:26:49
กี่ตอนก้อมิรู้...รู้ตะว่าอ่านจุใจ เอิ้กๆ   :laugh:
ตั้งก่าเลือดสาด..บู๊แหลกลาญ แหะๆ      :m23:

โห... ไม่คิดว่า เมฆ จะฝีมือดีเข้าขั้นอย่างนี้ ล้ม ยักษ์ได้ด้วย อิอิ    :m3:

เฮ้อ... ซิน แอบจิตตกไปก่อนแย้ว เอิ้กๆ

แบบนี้ค่อยโล่งหน่อย....ที่ไม่เป็น อย่างที่  แอบจิตตกไปก่อนหน้านี้    :m26:


ขอแบบหวานๆส่งท้ายนะคะ คุนต้นนุ่ม   :a2:
ไหนๆ ก้อ ตะลุย แกรนด์  มาซะเหนี่อยแล่ะ
ฉลองตบท้าย ด้วยความหวานเย๊อะๆ ฮี่ๆ     :m1:
 
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 04-10-2007 16:59:06
น่ารักกันจริงๆ เลย >.<
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 04-10-2007 19:03:38
จะจบแล้ว คงจะแฮปปี้น้า  :m18:  :m18:  :m18:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: graydragon ที่ 04-10-2007 19:11:09
ในที่สุดก็สามารถเดินมาถึงกันจนได้  :m19: :m4: ซันกะเมฆน่ารักดีจัง  พีกะไคล์ก็ไม่น้อยหน้าแฮะ :o8: :give2:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 04-10-2007 22:59:45
ตอนที่ 50


ถึงผมจะรู้อยู่ก่อนแล้วว่าการไฮค์ครั้งนี้มันจะไม่ง่ายและไม่หมูเลยเมื่อตัดสินจากระยะทางที่เรามองเห็นจากทางด้านบนนี้ แต่เมื่อได้ไปสัมผัสกับตัวเองผมถึงได้รู้อย่างชัดแจ้งเลยว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการดูแลตัวเอง การยอมรับตัวเอง และการเข้าใจถึงสภาพร่างกายและจิตใจของตัวเองอย่างแท้จริง แน่นอนว่าเส้นทางและระยะทางที่เราเดินกันนั้นมันโหดมากจริงๆ ไม่ว่าจะเส้นทางคดเคี้ยวที่ดูแทบไม่มีที่สิ้นสุด ความท้อแท้และเกือบจะสิ้นหวังว่าเราคงไม่สามารถจะกลับมาถึงปลายทางได้ สภาพร่างกายที่ร้องโอดครวญแข่งกับสภาพของจิตใจอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะที่ต้นขาและสะโพก ซึ่งเป็นส่วนสำคัญมากที่สุดของการเดินขึ้นเขา แต่ผมกลับมีปัจจัยเรื่องหัวเข่าและข้อเท้าเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอีก มันจึงยากยิ่งกว่าคนอื่นๆมากเป็นสองเท่าเลยทีเดียว

“ไง คิดว่าไงกันมั่ง ทุกคน” ผมถามขึ้นเมื่อเราทั้งสี่คนนั่งล้อมรอบอยู่ที่โต๊ะอาหารพร้อมกับมื้อเย็นที่วางอยู่จนเต็มโต๊ะแล้ว

“เหนื่อยอ่ะดิ่ ไอ้เหี้ย ถามได้ แม่งงง พูดตามตรงเลยนะ กูนับถือคนที่เดินขึ้นมาจากด้านล่างสุดจริงๆเลยว่ะ แม่งทำกันได้ไงวะ” ไอ้ซันตอบทั้งๆที่ยังเคี้ยวอาหารอยู่เต็มปาก

“เพราะงั้นสำหรับคนที่จะลงไปให้ถึงแม่น้ำโคโลราโดนั่นจึงต้องค้างคืนสินะครับ” ไคล์หันไปถามพี

“ใช่ครับ เคยมีคนหลายคนที่พยายามจะไฮค์ไปให้ถึงด้านล่างสุดและกลับขึ้นมาภายในวันเดียว แต่สุดท้ายก็ไม่ไหวจนต้องให้คนไปกู้ภัยกลับมา”

“กูไม่สงสัยเลยจริงๆ นี่ขนาดเราไปกันแค่ครึ่งทางนะ ลองนึกๆดูว่าที่เราเห็นคนหลายคนที่เค้าโทรมกันแบบสุดๆที่เราเจอเค้าเดินแบกเป้แบกเต็นท์กันขึ้นมาน่ะ เค้าเดินกันมาแล้วกี่ชั่วโมงวะเนี่ย”

“นั่นสินะ....... แต่ถ้าสมติว่ามีโอกาส มึงจะยังอยากไปอีกมั๊ย” ผมถาม

“ถ้าให้ไปอีกเหรอ...... อืมมม ก็คงไปมั๊ง เพราะยังไงๆกูก็อยากลองลงไปให้ถึงข้างล่างดูนะ”

“กูก็เหมือนกัน ถึงมันจะดูเป็นการเอาตัวเองไปทรมานก็เหอะ แต่กูก็ชอบว่ะ และที่สำคัญ มันเหมือนเป็นการวัดใจมากกว่าอย่างอื่นด้วย แต่สำคัญที่สุดคงต้องรู้ก่อนว่าสภาพร่างกายของเราไหวรึเปล่าน่ะ”

“นั่นแหละ ประโยคที่เพื่อนของผมคนนึงที่เคยลงไปถึงล่างสุดเคยพูดครับ” พีพูดขึ้น

“แล้วเค้าเป็นไงกันมั่งล่ะ หลังจากขึ้นมาแล้วน่ะนะ”

“เกือบตายครับ ไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชาย พอขึ้นมาถึงข้างบนนี่ยังกับซอมบี้กันเลยทีเดียว ตอนนั้นเค้าไปกันสี่คน ชายสองหญิงสอง ผู้หญิงก็ร้องไห้ ผู้ชายก็สาบานเลยว่าไม่เอาอีกแล้ว คนนึงนั้นกำลังใจดีครับ ไม่บ่นเท่าไหร่ เค้ายังบอกว่าอยากไปอีกเลยเพราะข้างล่างนั้นสวยมาก มากกว่าที่เราไปมาเยอะจริงๆ แต่อีกคนนี่สิ พูดไปทั่วเลยว่าเอาตัวเองไปทรมานชัดๆ แล้วก็แนะนำคนอื่นๆว่าไม่ต้องไปเลยด้วย”

“นั่นไง มันเป็นเรื่องของความเข้มแข็งของจิตใจจริงๆเลยนะเนี่ย........”

“ว่าแต่มึงเถอะเมฆ ขาเป็นยังไงบ้าง มึงพูดออกมาเองนะว่าเราต้องรู้สภาพร่างกายของตัวเองน่ะ แล้วตอนนี้หัวเข่าเป็นยังไงบ้างแล้ว”

“หัวเข่าเหรอครับ ใช่ข้างที่ศิลาเคยบอกผมรึเปล่า” ไคล์ถามผมด้วยความแปลกใจ “ผมนึกว่าพี่เจ็บข้อเท้าข้างที่พลิกนั่นซะอีก”

“ก็นิดหน่อยน่ะ พักหน่อยก็คงดีขึ้น พี่รู้สึกว่ามันคงเป็นอุปาทานด้วยแหละ มันไม่เจ็บเหมือนเมื่อก่อนแล้วหรอก พรุ่งนี้เช้าก็คงดีขึ้น”

“แล้วข้อเท้าล่ะ นั่นน่ะ ปัญหาใหญ่เลยไม่ใช่รึไง” ไอ้ซันยังคงถามต่อ

“เจ็บน้อยกว่าหัวเข่าอีก มันแค่รู้สึกตึงๆน่ะ บอกไม่ถูกเหมือนกัน กูบอกแล้วไงว่าไม่ต้องกังวลหรอก กูไม่ฝืนตัวเองให้กลับไปเจ็บเหมือนกับเมื่อตอนที่ออกจากโรงพยาบาลใหม่ๆหรอก” ผมยืนยันให้ไอ้ซันสบายใจขึ้น แต่เมื่อเห็นไคล์กับพีมีสีหน้าประหลาดใจ ผมจึงอธิบายให้เขาสองคนฟังเรื่องอาการเจ็บข้อเท้าและหัวเข่าที่ผมเคยเป็นอยู่ช่วงหนึ่ง ซึ่งไคล์นั้นรู้เรื่องหัวเข่าอยู่แล้วแต่ก็ไม่รู้เรื่องข้อเท้าของผม ผมจึงต้องเล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟังอีกครั้ง

หลังจากทานอาหารเสร็จ เราสี่คนก็เดินกลับไปที่เคบินของพีอีกครั้ง อากาศคืนนี้นั้นหนาวมากจริงๆ มากกว่าเมื่อสองคืนก่อนนี้เยอะมากทีเดียว

“สงสัยพรุ่งนี้หิมะตกแน่ๆ” ไคล์พูดขึ้นขณะที่พีกำลังไขกุญแจเข้าไปในห้อง

“ผมก็ว่าอย่างนั้นเหมือนกัน แต่ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากให้ตกหรอกครับ”

“อ้าว ทำไมล่ะ”

“ผมว่ามันเปียก แฉะ แล้วก็หนาวด้วยน่ะสิครับ สำหรับคนไปทำงานตีห้าอย่างผมนี่มันคือนรกเยือกแข็งชัดๆเลย”

เราทั้งสี่คนก้าวเข้าไปในห้องและไคล์กับซันก็ทิ้งตัวนอนแผ่ลงบนเตียงทันที

“เฮ้อ พอกันเลยพี่น้องคู่นี้ ตัวสกปรกน่า ซัน อย่าขึ้นไปบนเตียงเลย กลับไปอาบน้ำนอนที่ห้องเราเหอะ” ผมดึงตัวมันขึ้นมานั่ง แต่ไอ้ซันก็ทิ้งตัวกลับลงไปอีกครั้ง

“กูเหนื่อยนี่หว่า ไม่อยากเดินแล้ว ไม่อยากยืนแล้วด้วย ขากูจะลากอยู่แล้ว” ไอ้ซันโอดครวญ

“ไม่เป็นไรครับพี่เมฆ จริงๆแล้วพี่สองคนนอนที่นี่ก็ได้นะครับ เตียงก็ยังว่าง ผ้าห่มผ้าปูหมอนก็มีครบ ผ้าเช็ดตัวผมก็มีให้ จะได้ไม่ต้องเหนื่อยขับรถกลับไปอีก”

“ใช่ๆ ทั้งสองคนนอนนี่กันเถอะนะครับ” ไคล์รีบลุกขึ้นนั่งทันที “นะนะ จะได้มีเพื่อนคุยกันไง”

“แต่ว่าเราสองคนไม่มีเสื้อผ้ามาเปลี่ยนนะครับ”

“ใช้ของผมก็ได้ครับ แต่ผมมีแปรงสีฟันอีกแค่อันเดียว คือ....... สงสัยพี่สองคนคงต้องใช้แปรงอันเดียวกันแล้วล่ะครับ”

“มีปัญหามั๊ย ซัน” ผมหันไปถามมัน

“ไม่มีแน่นอนอยู่แล้ว” ไอ้ซันยิ้มกว้าง “ว่าแต่ใครจะอาบน้ำก่อนละเนี่ย”

เราสี่คนเงียบและมองหน้ากันและกันอยู่อึดใจหนึ่ง สุดท้ายพีก็เป็นฝ่ายพูดออกมาว่าถ้าอย่างนั้นเขาเข้าไปอาบก่อนก็ได้ และหลังจากที่พีอาบน้ำเสร็จก็เป็นผม ไคล์ แล้วก็ไอ้ซันเป็นคนสุดท้าย เมื่อเราทุกคนต่างก็รู้สึกสบายตัวกันดีแล้ว สิ่งถัดมาที่เราทำก็คือ จัดสรรที่นอนว่าเราจะนอนกันยังไง สรุปสุดท้าย ผมกับไอ้ซันก็ได้นอนในเตียงสองชั้นที่ชั้นล่าง ส่วนพีกับไคล์นั้นนอนด้วยกันที่เตียงของพีเอง

“ไหนเมฆ เอาขามาดูก่อนซิ” ไอ้ซันบอกผม จากนั้นมันก็นั่งลงบนพื้นข้างเตียงแล้วก็ยกเท้าของผมไปวางไว้ที่หน้าตักของมัน “มึงคิดว่าทายาหน่อยจะดีมั๊ยวะ”

“ผมมียาครับ” พีลุกขึ้นมาจากเตียงและเดินไปเปิดลิ้นชักหยิบเคาน์เตอร์เพนออกมา “มีอันนี้น่ะครับ ไม่รู้ใช้ได้กับอาการของพี่เมฆรึเปล่า แต่ก็คงดีกว่าไม่ได้ใช้อะไรเลย”

“โอเคครับ เอาล่ะ ถ้ากูนวดแรงไปแล้วเจ็บ มึงก็หัดบอกด้วยนะ” ไอ้ซันออกแรงนวดที่ข้อเท้าของผมเบาๆ จากนั้นก็เริ่มออกแรงเน้นมากขึ้นเรื่อยๆ ผมไม่รู้สึกเจ็บเท่าไหร่หรอก แต่ตรงกันข้าม มันรู้สึกดีมากๆเลยต่างหาก ทั้งความรู้สึกร้อนๆจากเจลที่ข้อเท้า ความรู้สึกอบอุ่นทางใจที่ได้รับจากสัมผัสของไอ้ซัน และการได้ถูกมันนวดตามจุดต่างๆทั้งที่ข้อเท้าและหัวเข่า มันช่างทำให้ผมรู้สึกดีมากจริงๆ......... ดีมากเกินไปจนผมรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวของน้องชายที่เริ่มจะตื่นขึ้นมาภายใต้กางเกงขาสั้นนี่ซะแล้ว และที่สำคัญ ผมไม่ได้ใส่กางเกงในอยู่ด้วยนี่สิ

“ซัน พอแล้วเหอะว่ะ กูไม่เจ็บแล้ว” ผมบอกมันและพยายามเอามือมากดตรงเป้ากางเกงเอาไว้ด้วยเพราะไม่อยากให้คนอื่นๆสังเกตเห็น

“ทำไมวะ........” ไอ้ซันเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผม และแน่นอนว่าเมื่อมันเงยหน้าขึ้นมา มันก็ต้องเห็นเข้ากับส่วนนั้นของผม “โถ ไอ้เมฆเอ๊ยยยยยย” มันทิ้งตัวลงไปขำกลิ้งอยู่บนพื้นทันที ทำให้ทั้งไคล์และพีต่างก็หันมาสนใจที่เราสองคนทันทีเช่นกัน

“เกิดอะไรขึ้นล่ะครับเนี่ย” ไคล์ถาม

“เปล่าๆ ไม่มีอะไรหรอก” ผมตอบด้วยใบหน้าที่แดงก่ำแล้วก็รีบทิ้งตัวลงนอนหันหลังให้สองคนนั้นก่อนที่เขาจะสังเกตเห็นความผิดปกติที่ส่วนล่างของผม

ไอ้ซันที่ยังคงหัวเราะชอบใจอยู่ค่อยๆคลานขึ้นมานอนอยู่ข้างๆผม แล้วกอดผมเอาไว้จากทางด้านหลัง

“มึงไม่ต้องมากอดเลย ถ้ามึงยังไม่หยุดขำนะ กูถีบมึงตกเตียงแน่” ผมหันไปพูดกับมัน “และถ้ามึงพูดมากล่ะก็ มึงโดนยิ่งกว่าถูกถีบตกเตียงแน่ กูสาบานได้เลย ไอ้ซัน” ส่วนประโยคที่สองผมกระซิบเพื่อให้เราได้ยินกันแค่สองคน

แต่สุดท้ายไอ้ซันก็ยังคงหัวเราะในลำคออยู่ดี “มีดีก็เอาไว้โชว์ มึงจะอายทำไม”

“พอๆ หุบปากไปเลย นอนกันดีกว่า” ผมยกหัวขึ้นไปมองไคล์กับพีก็เห็นเขาสองคนยังคงนอนมองเราทั้งคู่อยู่ “ทั้งสองคนจะนอนกันรึยัง”

“นอนเลยก็ได้ครับ ผมเองก็ง่วงแล้วเหมือนกัน” ไคล์ตอบ ส่วนพีก็แค่พยักหน้า

“ถ้างั้นก็ ฝันดีนะครับ ทุกคน” ผมชันตัวขึ้นนั่งแล้วก็ปิดสวิตช์โคมไฟ จากนั้นห้องทั้งห้องก็มืดลงทันที

ผมสอดตัวลงใต้ผ้าห่มกับไอ้ซันอีกครั้ง ลมเย็นๆที่พัดลอดเข้ามาจากทางที่ผนังด้านข้างเตียงที่พีเปิดแง้มเอาไว้ช่วยให้ผมไม่รู้สึกร้อนและอึดอัดจนเกินไป เพราะเตียงของผมนั้นอยู่ติดกับฮีทเตอร์พอดี และยังต้องนอนเบียดกับไอ้ซันสองคนด้วย แต่ถึงอย่างนั้น ความรู้สึกอบอุ่นและสบายใจมันก็ยังคงมีมากกว่าอยู่ดี และผมก็ไม่คิดจะเอาความรู้สึกนี้ไปแลกกับอะไรทั้งนั้นด้วย สิ่งที่ไอ้ซันมันทำให้กับผมในวันนี้ ความห่วงใยที่มันแสดงออกมาเมื่อตอนที่เรากำลังไฮค์อยู่ด้วยกัน ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นบอกผมได้อย่างเหลือเฟือว่ามันนั้นรักและห่วงใยผมมากแค่ไหน และมันทำให้ผมรู้ว่าต่อจากนี้ไป ไม่ว่าจะเป็นยังไง ไอ้ซันก็จะยังคงรักและอยู่เคียงข้างผมไปตลอดเวลาไม่ว่าจะยามทุกข์หรือยามสุขก็ตาม......... ซึ่งผมเองก็มีความรู้สึกแบบเดียวกันนั้นให้กับมันด้วยเช่นเดียวกัน

“ศิลา ซัน วันนี้ขอบคุณมากนะครับ” เสียงของไคล์ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบหลังจากที่ผมปิดไฟไปได้ราวๆห้านาที

“สำหรับอะไรครับ” ผมตอบหลังจากสบตากับไอ้ซันเงียบๆอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เราทั้งคู่จะหันไปหาเขา

ไคล์เองก็พลิกตัวนอนตะแคงหันมาทางพวกเราเช่นกัน “สำหรับทุกอย่างครับ ผมขอบคุณซัน สำหรับสิ่งที่ซันเคยสอนผมมาทั้งหมด ขอบคุณสำหรับความรักที่ซันเคยมอบให้แก่ผม ผมขอบคุณศิลา สำหรับมิตรภาพ ความรัก และความห่วงใยที่พี่มีให้แก่พวกเราครับ แล้วก็ขอบคุณทั้งคู่มากด้วยสำหรับเรื่องเมื่อวานนี้.........”

“พี่ว่าพี่ไม่ได้ทำอะไรเลยนะ” ไอ้ซันถามออกไป

“พี่ก็เหมือนกัน เมื่อวานมันทำไมเหรอ”

“เมื่อวานหลังจากที่พี่สองคนกลับไป ผมกับพีท........ เราได้คุยกันอีกนิดหน่อยน่ะครับ ศิลา ผมอยากจะบอกพี่ว่า ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งที่พี่ทำให้กับซันจริงๆนะครับ ตลอดเวลาที่พี่รู้จักกันมา และความรักที่พี่มีให้แก่เขา ทำให้เขาเปลี่ยนไปและเป็นพี่ชายที่ผมรักมากจริงๆ มันอาจจะไม่ใช่ธุระของผมที่มาพูดแบบนี้ แต่ว่าเรื่องทั้งหมดนั้นมันก็ทำให้ผมได้มีวันนี้ แล้วก็เพราะความรักที่พี่ทั้งสองคนมีให้แก่กันนั่นแหละ ที่ทำให้ผมรู้ตัวว่าความรักที่ผมมีให้ซันนั้นมันเป็นไปไม่ได้ และในขณะเดียวกันก็ทำให้ผมได้เรียนรู้ถึงสิ่งที่เรียกว่า ‘ความรัก’ มากขึ้นอีกด้วย ผมรู้สึกว่าผมโชคดีที่ได้รักซัน และยิ่งโชคดีมากขึ้นไปอีกที่ความรักของผมมันไม่สมหวัง เพราะมันทำให้ผมเรียนรู้เกี่ยวกับความรักของตัวเองและได้ทำให้ผมมาพบกับพีทด้วย........” ไคล์อธิบาย ส่วนพีนั้นก็นอนฟังอย่างเดียวโดยที่ไม่ได้พูดอะไรเลย “ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงยังไม่เข้าใจว่าตัวผมเองต้องการอะไรและคาดหวังอะไร แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าการที่ผมได้รักและได้เจ็บ ได้มีซันคอยสั่งสอนทั้งทางตรงและทางอ้อม และการได้เห็นความรักที่ซันกับศิลามีให้แก่กัน มันทำให้ผมรู้จักตัวตนของตัวเองดีขึ้นอีกมาก”

ผมกับซันมองหน้ากันด้วยความรู้สึกประหลาดๆข้างในใจ สำหรับมันนั้นผมไม่รู้หรอกว่ามันคิดยังไงอยู่ แต่สำหรับตัวผมแล้ว ผมรู้สึกแปลกใจและสับสนนิดหน่อยอย่างบอกไม่ถูก เพราะว่าผมเพิ่งรู้จักไคล์ได้ไม่นาน และผมเองก็ไม่เคยคิดว่าผมจะทำอะไรที่เป็นสิ่งพิเศษและฟังดูดีมากอย่างที่ไคล์พูดมาก่อนเลย ถึงผมจะรู้สึกดีใจนิดๆที่ถูกเขาชมแบบนั้น แต่ว่ามันก็รู้สึกกระอักกระอ่วนมากด้วยเช่นกัน

“จริงๆแล้วเมื่อวานนี้......... สิ่งที่ซันพูดไปเกือบทั้งหมดนั้นน่ะ ผมเองก็เคยคุยกับพีทมาก่อนแล้วเหมือนกันครับ” ไคล์เริ่มต้นพูดต่อหลังจากที่เขาเห็นเราสองคนเงียบกันไปพักหนึ่ง “แต่ว่า เมื่อได้ยินทั้งหมดออกมาจากปากของซันอีกครั้ง และได้ฟังสิ่งที่ศิลาพูด....... คือ ผมต้องบอกเลยว่า พี่ทั้งสองคนทำให้ผมรู้สึกทึ่งไปเลย ทั้งคู่เป็นคนที่สุดยอดมากจริงๆ ผมรู้สึกโชคดีมากๆที่ได้มีทั้งสองคนเป็นพี่ชายของผมนะครับ”

“เดี๋ยวนะครับ ไคล์........” ผมทักขึ้นเพราะไม่แน่ใจสิ่งที่ตัวเองเพิ่งได้ยินไป “เมื่อกี๊ไคล์เพิ่งพูดว่า ไคล์เห็นพี่เป็น ‘พี่ชาย’ ของเราอย่างนั้นเหรอครับ”

“ใช่ครับ ผมหมายความว่าแบบนั้นจริงๆ......” เขาหันมายิ้มให้กับผมในความมืด ถึงผมจะไม่แน่ใจ แต่ผมก็เห็นลางๆว่าเขากำลังยิ้มอยู่จริงๆ

“เอ่ออ คือ พี่ไม่รู้จะพูดยังไงดีนะครับ แต่พี่ก็ขอบคุณมากจริงๆ มันมีความหมายสำหรับพี่มากเลยครับ ไคล์” เพราะการที่ไคล์ยอมรับผมให้เป็นพี่ชายของเขานั้น ก็เท่ากับเขายอมรับผมในฐานะคนๆหนึ่งของครอบครัวของเขาแล้วด้วยเช่นกัน และที่สำคัญ การที่เขาเคยมีพี่ชายแค่คนเดียวนั่นก็คือไอ้ซันมาตลอด แต่ตอนนี้เขารับผมให้เป็นพี่ชายของเขาอีกคน นั่นก็หมายความว่าผมมีความสำคัญสำหรับเขามากเท่าๆกับไอ้ซันเลยนั่นเอง ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่วิเศษมากจริงๆ เพราะสำหรับเขาที่ต้องอกหักจากซันเพราะผมเป็นต้นเหตุ ถึงแม้ว่าผมจะรู้ว่าเขาไม่ได้โกรธหรือเกลียดผมก็ตาม แต่ผมก็หวังเอาไว้แค่ว่าผมจะได้เป็นเพื่อนของเขาเท่านั้น ผมไม่เคยคาดคิดเลยว่าเขาจะยอมรับในตัวของผมมากถึงขนาดนี้

“ไม่เป็นไรหรอกครับ เพราะผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ เมื่อก่อนผมเคยมีซันเป็นต้นแบบของผม แต่ตอนนี้ ทั้งสองคนยิ่งทำให้ผมรู้สึกนับถือและชื่นชมมากขึ้นไปอีก ไม่ว่าจะจากการกระทำและคำพูด หรือแม้แต่ความรู้สึกที่พวกเรารู้สึกได้จากทั้งคู่ ทุกๆอย่างนั้นมีความหมายสำหรับเราสองคนมาก และผมขอบอกตามตรงเลยนะครับว่า ผมรักทั้งสองคนมากจริงๆ และทั้งสองคนก็จะเป็นเป้าหมายและบุคคลที่ผมนับถือมากที่สุดตลอดไปด้วย”

เมื่อไคล์พูดจบผมก็รู้สึกหลงทางไปเลย ผมไม่เคยคิดเลยว่าในชีวิตของผมจะมีคนมาพูดกับผมแบบนี้ ไม่เคยคิดว่าจะมีใครรู้สึกชื่นชมและนับถือผมมากเท่านี้มาก่อน ยิ่งใครจะมาเห็นผมเป็นแบบอย่างนั้นผมยิ่งไม่เคยนึกไม่เคยฝันถึงเลย และที่สำคัญ ผมไม่เคยคิดว่าจะมีใครเห็นคุณค่าความรักของผมที่ผมมีให้กับคนที่ผมรักได้มากเท่านี้ด้วย........ ผมไม่เคยคิดว่าผมจะสามารถเป็นต้นแบบให้ใครได้มาก่อนเลยจริงๆ

“เราน่ะโตแล้วจริงๆ ไคล์......” ไอ้ซันเป็นฝ่ายพูดขึ้นบ้าง “เราไม่ใช่เด็กๆอีกต่อไปแล้ว ถึงพี่จะเคยพูดว่ายังไงๆพี่ก็เห็นเราเป็นเด็กตัวเล็กๆของพี่อยู่ตลอดเวลานั้นก็จริงอยู่ และพี่ก็ยังคงเห็นเราเป็นน้องชายคนเล็กของพี่อยู่ดีไม่ว่าจะยังไงก็ตามด้วย แต่ว่าพี่เองก็รู้อยู่แก่ใจมาตลอดว่าเราน่ะมีความคิดที่เป็นผู้ใหญ่มากกว่าใครๆในวัยเดียวกับเราที่พี่รู้จักเสียอีก และพี่ก็เชื่อมาตลอดด้วยว่าสักวันนึง เมื่อเราโตขึ้นและเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างที่พี่พูดออกไปล่ะก็ มันก็คงจะดีไม่น้อยเลย....... พี่หมายความว่า มันเป็นความรู้สึกภูมิใจและชื่นชมในตัวของน้องชายที่พี่ชายคนหนึ่งจะสามารถเห็นเขาเติบโตขึ้นจากเด็กคนหนึ่งเป็นลูกผู้ชายที่เข้มแข็งได้อย่างเช่นที่ไคล์กำลังเป็นอยู่ตอนนี้ไง......... พี่กับไอ้เมฆรู้สึกขอบคุณไคล์มากจริงๆที่คิดกับพวกเรามากถึงขนาดนั้น คนทุกคนต่างก็มีบุคคลที่เขาชื่นชมและนับถือเป็นแบบอย่างด้วยกันทั้งนั้น และพี่ก็อยากจะบอกว่า ถ้าไคล์คิดอย่างที่ไคล์พูดออกมาจริงๆล่ะก็ พี่อยากเห็นไคล์ใช้สิ่งที่ไคล์เรียนรู้มาหรือสิ่งที่ไคล์เพิ่งรู้สึกตัวว่าจริงๆแล้วความรักของตัวเองนั้นเป็นอย่างไรอย่างที่บอกมาเมื่อกี๊ให้แก่คนที่ไคล์รักให้ดีที่สุดเท่านั้นล่ะ....... นั่นคือคำสั่งและคำสอนอย่างสุดท้ายที่พี่ชายคนนี้อยากจะขอจากน้องชายของเขา น้องชายของพี่ที่พี่นับถือเขาในฐานะลูกผู้ชายคนหนึ่ง”

“ขอบคุณมากครับ ซัน........ ขอบคุณจริงๆ” ไคล์ตอบกลับมาด้วยเสียงอันสั่นเครือ ทำให้ผมรู้ว่าเขาเองคงกำลังร้องไห้อยู่แน่ๆ และแม้แต่ผมเองก็ยังอดรู้สึกหวั่นไหวไปกับคำพูดของไอ้ซันด้วยไม่ได้เลย ผมไม่เคยได้สัมผัสถึงความรักของพี่ชายที่มีต่อน้องชาย หรือถ้าพูดให้เจาะจงก็คือ ความรักของไอ้ซันที่มีต่อไคล์แบบนี้มาก่อนเลย ผมไม่เคยรู้และเข้าใจมาก่อนว่าความรักของสองคนนี้ที่เขามีให้กันนั้นมันเป็นยังไง ผมไม่เคยแม้แต่จะเข้าใจความรักของพี่น้องแบบลึกซึ้งได้เลยด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายแล้ว วันนี้ คืนนี้ ในเวลาเพียงแค่สิบกว่านาทีนี้ผมก็ได้รู้แล้วว่าทั้งคู่นั้นมีความรักและความผูกพันมอบให้แก่กันมากจริงๆ มากกว่าคู่พี่น้องแท้ๆที่เจอหน้ากันทุกวันมาตลอดสิบกว่าปีเสียอีก.......... ส่วนหนึ่งนั้นคงเป็นเพราะความรักของไคล์ที่มีให้พี่ชายของเขานั้นมันเคยแปรเปลี่ยนรูปแบบไปเป็นแบบอื่น แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ การที่เขาทั้งสองคนยังคงรักษาความรักและความสัมพันธ์แบบดั้งเดิมเอาไว้ได้ในเมื่อความสัมพันธ์ในแบบใหม่นั้นมันพังลงไปแล้วนี่ต่างหาก.........

ผมอดรู้สึกอิจฉาไคล์....... ไม่สิ อดรู้สึกอิจฉาทั้งคู่ไม่ได้จริงๆ เพราะว่าตลอดชีวิตยี่สิบปีของผมนั้น คำว่าครอบครัวสำหรับผมแล้วก็หมายถึงผมกับพ่อเพียงแค่สองคนเท่านั้นเอง

“เฮ้อออ จะซึ้งกันไปถึงไหนวะ แล้วจะนอนหลับกันมั๊ยเนี่ย” ไอ้ซันพูดออกมาดังๆหลังจากที่เราเงียบกันไปพักหนึ่งจากนั้นก็หันกลับมาซุกหน้าลงตรงหน้าอกของผมเหมือนเดิม “พี่นอนแล้วนะ แล้วคุยกันใหม่อีกทีพรุ่งนี้เช้า” มันพูดตัดบท ทำให้ผมอดรู้สึกขำไม่ได้

เมื่อทั้งห้องกลับสู่ความเงียบอีกครั้งแล้ว ผมก็กระซิบกับไอ้ซันเบาๆเพื่อให้มันได้ยินเพียงแค่คนเดียว “มีคนบางคนรู้สึกเขินเว้ยเฮ้ย” ผมหัวเราะเบาๆในลำคอ “เนี่ยเหรอ..... พี่ชายคนโตของน้องๆ”

ไอ้ซันยกมือขึ้นมาบีบจมูกของผมทันที จากนั้นมันก็กระซิบตอบกลับมา “กูไม่เคยคิดว่ากูเป็นที่พึ่งหรือเป็นแบบอย่างให้ใครได้มากขนาดนั้นหรอก เพราะเท่าที่ผ่านมา กูก็ยังคงทำได้แค่เรียนรู้ความนึกคิดและมองเห็นแต่แผ่นหลังของคนๆเดียวอยู่ตลอดเวลา.......... ซึ่งคนๆนั้นก็คือมึงนั่นแหละ ศิลา”


หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 04-10-2007 23:01:50

จะจบแว้วว นับถอยหลังกันได้เลยยย  :a11:


อีกจ๋องตอน


รีบๆแปะดีกว่าเนอะ


 o14


หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 04-10-2007 23:03:29
ตอนที่ 51


เช้าวันรุ่งขึ้น ผมตื่นขึ้นมาเพราะแสงแดดที่สาดส่องลอดผ้าม่านเข้ามาแยงตาของผม บวกกับความหนาวเย็นที่มีมากกว่าปกติจนผมรู้สึกได้ ผมรู้สึกถึงมือของไอ้ซันที่ยังคงพาดอยู่บนตัวของผมและหัวของมันที่กำลังวางอยู่บนหน้าอกของผมด้วย ผมพลิกตัวช้าๆเพื่อมองไปยังเตียงของพีก็เห็นว่าเขาทั้งคู่ก็ยังคงหลับอยู่เช่นกัน ผมค่อยๆยกมือของไอ้ซันออกพร้อมๆกับลุกขึ้นช้าๆ พยายามส่งเสียงออกมาให้น้อยที่สุด นาฬิกาบนตู้เสื้อผ้าบอกเวลาสิบโมงครึ่งแล้ว และเมื่อผมมองออกไปนอกหน้าต่าง ผมก็เห็นว่าวิวทิวทัศน์ภายนอกนั้นมันมีบางอย่างที่แตกต่างไปจากเมื่อวานที่ผมจำได้อยู่นิดหน่อย และสิงนั้นนั่นก็คือหิมะสีขาวโพลนที่ฉาบเคลือบไปทั่วทั้งบริเวณ ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เห็นว่าทั้งพื้นดิน ต้นไม้ และใบหญ้าล้วนแต่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวบริสุทธิ์ทั้งสิ้น

“ทำอะไรอยู่วะ” เสียงงัวเงียของซันดังขึ้นเบาๆจากทางด้านหลังของผม ผมจึงหันหลังเดินไปหอมแก้มของมัน

“ตื่นแล้วเหรอ จะนอนต่อมั๊ย”

“ไม่แล้วดีกว่า........” มันลุกขึ้นนั่ง อ้าปากหาวพร้อมๆกับบิดขี้เกียจ จากนั้นก็หันไปทางเตียงของพี “สองคนนั่นก็ยังไม่ตื่นเลยนี่ กี่โมงแล้ววะ”

“สิบโมงครึ่งแล้ว นี่ไอ้ซัน หิมะตกด้วยว่ะ มึงมาดูสิ” ผมเรียกให้มันลุกขึ้นมาดูข้างนอกหน้าต่าง ซึ่งมันก็ลุกเดินตามผมมาอย่างว่าง่าย “มึงดูดิ่ ขาวไปหมดเลย สงสัยเมื่อคืนคงจะตกหนัก”

“ยังไม่หยุดตกเลยด้วยนี่หว่า มึงว่ามันจะตกอีกนานมั๊ยวะเนี่ย”

“กูว่าไม่แล้วมั๊ง ดูท่าทางจะตกมานานแล้ว และนี่มันก็ดูเหมือนตกแค่ปรอยๆแล้วด้วย”

“ว่าแต่ว่า....... วันนี้น้องมึงตื่นด้วยรึเปล่า” ไอ้ซันถามผมพร้อมรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า

“วันนี้ไม่ว่ะ” ผมหัวเราะเบาๆแล้วก็ดึงมันกลับไปนั่งลงบนเตียง “สงสัยเมื่อเช้าหนาวจัด หรือไม่ก็เพราะไม่มีอะไรมาดุนก้นอีกล่ะมั๊ง” เมื่อพูดจบผมถึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าผมเพิ่งจะพูดเหมือนกับว่าผมชอบให้มีอะไรมาแหย่ก้นซะอย่างนั้น นอกจากนั้นแล้วหน้าตาของไอ้ซันก็ยังบ่งบอกอย่างชัดเจนด้วยว่ามันตีความหมายสิ่งที่ผมพูดไปว่าอย่างไร “เฮ้ย นี่กูไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น มึงไม่ต้องมาทำเป็นยิ้มไป”

“ตื่นกันแล้วเหรอครับ.......” เสียงของพีดังขึ้น และเขาก็ลุกขึ้นมานั่งอยู่บนเตียงเช่นกัน

“สิบโมงครึ่งแล้วครับ แต่ถ้าพีจะนอนต่อก็นอนได้นะ พวกพี่ขอโทษทีที่เสียงดัง” ผมบอกเขา

“ไม่หรอกครับ นี่ผมก็ตื่นสายมากแล้วล่ะ.......... อ้าว หิมะตกนี่” พีอุทานขึ้นเบาๆเมื่อเขาหันไปมองยังนอกหน้าต่างที่หัวเตียงของเขาเอง

“ใช่ครับ โชคดีนะที่พีไม่ต้องทำงานวันนี้น่ะ ไม่งั้นได้ฝ่าหิมะไปทำงานแน่ๆ”

“นั่นสิครับ........” เขาตอบ จากนั้นก็ก้มลงไปมองดูไคล์ที่ยังคงหลับอยู่

“ขี้เซาจะตายห่าไป ไอ้นั่นน่ะ” ไอ้ซันพูดขึ้น “ปลุกยากยิ่งกว่าอะไรอีก เหมือนเด็กๆน่ะ หลับง่ายตื่นยาก”

“พีจะปลุกเค้าเหรอ” ผมถามพี

“ไม่ล่ะครับ” เขาส่ายหน้า “ปล่อยให้เค้านอนไปเถอะ เดี๋ยวก็คงตื่นเองแหละครับ”

“งั้นพี่ขอไปอาบน้ำก่อนก็แล้วกันนะ” ผมพูดขึ้นพลางเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัว จากนั้นก็หันไปหาไอ้ซัน “มึงจะอาบรึเปล่า ไอ้แสบ หรือว่าจะกลับไปอาบที่ห้อง หรือไม่คิดจะอาบเลย” ผมยิ้มกว้าง และไอ้ซันก็ยิ้มตอบกลับมาเช่นกัน “มึงไม่ต้องมายิ้มแบบนั้น กูรู้นะว่ามึงกำลังคิดอะไรอยู่น่ะ อาบเองคนเดียวเว้ย ไม่มีการอาบด้วยกัน”

“ปากดีนะมึงงงง ทำเป็นรู้ว่ากูคิดอะไรอยู่”

“แล้วกูพูดผิดมั๊ยล่ะ”

“ไม่รู้เว้ย ตกลงมึงจะอาบมั๊ยเนี่ย ไม่งั้นกูจะเข้าไปอาบก่อนนะ” ไอ้ซันยื่นมือมาจะคว้าผ้าเช็ดตัวไปแต่ผมชักมือหลบทัน

“อาบดิ่ ขอเวลาสิบนาที” ผมพูด จากนั้นก็เดินเข้าห้องน้ำไป และเมื่อผมทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมก็นึกขึ้นมาได้ว่าผมไม่มีเสื้อผ้าที่จะใช้ใส่กลับไปที่ห้องของตัวเองนอกจากกางเกงขาสั้นของพีตัวที่ใส่นอนเมื่อคืนนี้เอง ผมจึงจำต้องใส่กางเกงตัวเดิมเดินออกมาจากห้องน้ำอีกครั้ง และเมื่อผมเปิดประตูห้องน้ำออก ผมก็เห็นว่าไคล์เองก็ตื่นขึ้นมาแล้วเช่นกัน

“อรุณสวัสดิ์ ศิลา”

“อรุณสวัสดิ์ครับ ไคล์” ผมหันไปยิ้มให้กับเขา จากนั้นก็หันไปหาไอ้ซัน “เฮ้ย ไอ้ซัน ไม่มีเสื้อผ้าใส่กลับห้องว่ะ ทำไงดี”

“ใส่ของผมกลับไปก่อนก็ได้นี่ครับ” พีพูดขึ้น

“อืมมม ถ้างั้นกูแปรงฟันอย่างเดียวดีกว่า แล้วค่อยกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องทีเดียว” พอไอ้ซันพูดจบ มันก็เดินเข้าห้องน้ำไปทันที

เมื่อพีที่เข้าห้องน้ำต่อจากไอ้ซันอาบน้ำเสร็จ เราทั้งสี่คนก็เดินฝ่าหิมะที่ยังคงตกปรอยๆไปยังรถของพวกเรา จากนั้นไอ้ซันก็รับหน้าที่ขับรถพาเรากลับไปยังที่พัก เมื่อรถจอดสนิทแล้ว หิมะก็หยุดตกพอดี และทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเราก็กลายเป็นสีขาวโพลนไปหมด ช่างเป็นภาพที่งดงามมากจริงๆ

“วันนี้ทำอะไรกันดี” ไอ้ซันถามขึ้นหลังจากที่มันกับไคล์อาบน้ำแต่งตัวเสร็จกันหมดแล้ว

“กินข้าวกันก่อนเหอะ กูหิวแล้ว” ผมตอบ จากนั้นก็หันไปถามไคล์กับพี “ทั้งสองคนหิวกันรึยังครับ”

“มึงถามไคล์ว่าหิวรึยังเนี่ยนะ กูว่ามันกินกวางได้ทั้งตัวแล้วมั๊งเนี่ย” ไอ้ซันหัวเราะ

พวกเราทั้งสี่คนจึงขับรถไปจอดไว้ยังลานจอดรถที่มาร์เก็ตพลาซ่าแทนที่จะเดินด้วยเท้าเปล่าไปกันเอง เพราะความหนาวเย็นของอากาศตอนนี้นี่ไม่ใช่เล่นเลยจริงๆ เมื่อเราเข้าไปในคาเฟทีเรีย พวกเราก็เจอเข้ากับเดฟที่กำลังยืนคุยอยู่กับแคชเชียร์ และเมื่อเขาเห็นพวกเราสี่คน เขาก็เดินยิ้มแย้มเข้ามาทักทันที เขาถามพวกเราถึงเรื่องการไฮค์เมื่อวานและถามว่าวันนี้รู้สึกยังไงบ้าง ซึ่งพวกเราก็ต้องรู้สึกปวดขาแน่นอนอยู่แล้ว

ขณะที่เราต่างคนต่างแยกย้ายกันไปเลือกซื้ออาหาร ผมก็สังเกตเห็นความผิดปกติอย่างหนึ่งของพี เขาดูค่อนข้างจะเงียบและดูเหมือนกำลังมีเรื่องให้คิดหรือไม่สบายใจอะไรสักอย่างอยู่ตลอดเวลา ซึ่งปกติเขาก็เป็นคนไม่ค่อยพูดอยู่แล้ว แต่พอมาวันนี้เขายิ่งดูผิดปกติมากขึ้นไปอีก และสิ่งที่ผมหมายความว่าผิดปกตินั้นก็คือ ดูเหมือนว่าไคล์จะไม่ได้สังเกตสิ่งนี้เลยแม้แต่นิดเดียว เพราะดูพีจะคอยปกปิดความรู้สึกส่วนนั้นเอาไว้ตลอดเวลาเมื่อเขาอยู่ต่อหน้าไคล์ แต่เมื่อไคล์ไม่ได้อยู่ใกล้ๆหรือไม่ได้มองเขาอยู่ เขาก็จะกลับมาเป็นเหมือนคนที่กำลังมีเรื่องไม่สบายใจขึ้นมาอีกทันที

“เป็นอะไรรึเปล่า พี” ผมเดินไปถามเขาขณะที่ซันกับไคล์เดินแยกไปเลือกอาหารอยู่

“ไม่ได้เป็นอะไรหรอกครับ........” เขาตอบออกมาขณะที่หันไปมองยังสองคนนั้น จากนั้นก็หันกลับมาหาผมอีกที “เอ่ออ....... พี่เมฆครับ........”

“พีทจะกินอะไรดีครับ ผมได้ของผมมาแล้วนะ” ไคล์เดินเข้ามาขัดจังหวะสนทนาของเราเข้าเสียก่อน จากนั้นก็ตามมาด้วยไอ้ซัน

“รีบๆไปซื้อสิ ไอ้เมฆ กูรอจ่ายเงินพร้อมมึงนะ”

ผมกับพีสบตากันอยู่แว่บหนึ่งก่อนที่เราจะต่างคนต่างต้องแยกย้ายไปซื้ออาหารโดยที่เขามีไคล์ตามประกบ ส่วนผมก็มีไอ้ซันยืนอยู่ข้างๆไม่ห่าง จนกระทั่งเราทั้งสี่คนจ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็เดินไปนั่งลงบนโต๊ะที่อยู่ติดกับกระจกใสที่สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์สีขาวโพลนด้านนอกได้

“ถ้าจะพูดกันจริงๆ วันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายแล้วนี่นะที่เราจะได้อยู่ที่แกรนด์นี่” ไอ้ซันพูดขึ้นหลังจากที่เรากำลังจัดการกับอาหารเช้ามื้อเที่ยงของพวกเรากันอยู่

“ก็แค่สำหรับเราสองคนเท่านั้นแหละว่ะ ไม่ใช่สำหรับไคล์สักหน่อย”

“ก็นั่นสินะ ว่าแต่ สรุปแล้ววันนี้เรามีแผนจะทำอะไรกันรึเปล่า”

พวกเราสามคนที่เหลือนั่งเงียบ ต่างคนก็ต่างมองหน้ากันไปมาเพื่อรอให้มีคนอื่นเสนอความคิดออกมา

“สำหรับกูนะ....... อืมมม หิมะตก หนาว ปวดขา เหนื่อย เพราะงั้น กูไม่มีแผนอะไรเป็นพิเศษว่ะ ถ้าจะให้ไปไหนก็ไปได้ แต่ถ้าไม่ไปและให้นอนอยู่ในห้องเฉยๆก็คงไม่มีปัญหาเหมือนกัน เอาไว้เย็นๆค่อยว่ากันอีกทีอะไรแบบเนี๊ย”

“ไอ้ขี้เกียจเอ๊ยยย อุตส่าห์มาถึงที่นี่แล้ว จะนอนเฉยๆรึไง”

“งั้นมึงจะทำอะไรล่ะ ไอ้ตัวแสบ ไหนลองบอกมาซิ” ผมหันไปถามมัน

“แหะ กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ” ไอ้ซันยิ้มแห้งๆ

“ผมกำลังคิดว่าผมอยากไปดูพระอาทิตย์ตกอีกครั้งน่ะครับ แต่คราวนี้จะไปให้ถึงปลายทางเฮอร์มิทเรสท์เลย แต่ว่ามันก็ต้องเป็นตอนเย็นๆอยู่ดี บ่ายๆแบบนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำอะไร แล้วก็คงต้องภาวนาไม่ให้เย็นนี้หิมะตกอีกรอบด้วย เพราะดูแล้วท้องฟ้ายังครึ้มๆอยู่เลย” ไคล์พูดขึ้น “ศิลากับซันไม่ไปด้วยกันเหรอครับ”

“ไม่ล่ะครับ” ผมรีบตอบออกไป “มันก็น่าสนใจดีอยู่หรอกนะ แต่ไหนๆวันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายของพี่สองคนทั้งที พี่ว่าพี่อยากลองไปเดินเล่นในที่ๆพี่ยังไม่เคยไปมากกว่า ไคล์กับพีไปเที่ยวกันให้สนุกเถอะ”

เราสี่คนนั่งทานอาหารกันต่อจนใกล้จะเสร็จและพูดคุยย้ำถึงเรื่องหลังจากวันพรุ่งนี้ไปอีกครั้ง สรุปแล้วผมกับซันก็จะได้ไปใช้เวลาอยู่ที่ฟีนิกซ์อีกสองวันหนึ่งคืนก่อนที่จะนั่งเครื่องไปเจอไคล์ที่แอลเอ และให้เขามาหาพวกเราที่โรงแรมที่เราจะพักกันด้านหน้าดิสนี่ย์แลนด์พอดีหลังจากที่เขาเสร็จธุระที่บ้านปู่กับย่าของเขาแล้ว ตลอดเวลาที่เราสามคนคุยกันนั้น พีก็นั่งฟังเพียงอย่างเดียวแล้วก็คอยตอบคำถามหรือโต้ตอบบ้างเป็นระยะๆ แต่สิ่งที่สะกิดใจผมมากที่สุดก็คือเขาจะคอยมองมาที่ผมอยู่ตลอดเวลา จนสุดท้ายผมคิดว่าผมคงต้องลองตัดสินใจทำอะไรสักอย่างดูซะแล้ว

“เดี๋ยวพี่ขอตัวไปห้องน้ำหน่อยนะครับ” ผมพูดขึ้นแล้วก็หันไปสบตากับพี จากนั้นก็หันไปบอกไอ้ซัน “เดี๋ยวกูมานะซัน”

ผมลุกออกจากโต๊ะและเดินตรงไปยังห้องน้ำชาย เมื่อผมเข้าไปถึงในห้องน้ำแล้วผมก็ล้างมือ แล้วก็ยืนส่องกระจกอยู่ได้ราวๆสองนาที พีก็เดินตามเข้ามาตามที่ผมคิดเอาไว้ และโชคดีที่ไม่มีแขกคนอื่นอยู่ในนั้นเลยด้วย

“ว่าไงครับ มีเรื่องอะไรไม่สบายใจงั้นเหรอ” ผมถามเขา

“ก็ไม่เชิงหรอกครับ........ แต่ว่าผมไม่อยากจะทำให้ไคล์คิดมากตอนนี้เท่านั้น”

“นั่นสินะ พอมานึกๆดูแล้ว เราไม่ค่อยจะได้อยู่กันสองต่อสองเท่าไหร่เลยเนอะ ไปไหนก็ไปกันสี่คนหรือไม่พี่ก็อยู่กับไอ้ซันตลอด”

“ผมเองก็อยากจะคุยกับพี่เมฆสองคนมาตั้งนานแล้วล่ะครับ แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงดี” พีก้มหน้า ท่าทางรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าใดนัก

“ไม่ต้องกังวลหรอกครับ คราวหน้าถ้าอยากจะคุยกับพี่สองคนหรืออะไรล่ะก็ พูดขึ้นมาได้เลย ไอ้ซันมันไม่ว่าอะไรหรอก แล้วก็ไม่ต้องกังวลว่าพี่จะเอาไปบอกใครด้วย เรื่องของเราก็จะเป็นเพียงเรื่องของเราสองคนเท่านั้น”

ผมได้ยินเสียงคนกำลังเดินตรงเข้ามาในห้องน้ำ เราทั้งสองคนจึงหันไปมองทางประตูทันที และคนที่เดินเข้ามาก็เป็นฝรั่งอ้วนๆคนหนึ่งที่พาลูกชายอายุไม่น่าจะเกินสิบขวบมาด้วย

ผมกับพีหันกลับมาสบตากันอีกครั้ง

“ถ้ามันมีครั้งหน้าก็คงจะดีนะครับ.......” พีพูดขึ้นจากนั้นก็หลบสายตาผมหันไปมองทางอื่น

“ว่ายังไงนะครับ” ผมถามเขาด้วยความสงสัย แต่เมื่อผมเห็นสีหน้าลำบากใจของเขาแล้ว ผมก็พอเข้าใจได้ทันทีว่าเขากำลังหมายถึงเรื่องอะไร

“ผมเพิ่งจะได้เจอไคล์เขาแค่ไม่กี่วันก็จริงนะครับ พี่เมฆ แต่ว่าผมกลับรู้สึกดีกับเขามาก ผมคิดว่าบางทีเราทั้งคู่อาจจะรอคอยใครสักคนแบบนี้มานานแล้ว และพอเรามาเจอกัน เราก็เข้ากันได้ดีมากจริงๆ....... มันอาจฟังดูตลกนะครับ ผมรู้ แต่ว่าผมก็รู้สึกแบบนั้นจริงๆ”

ผมส่ายหน้า “ไม่ตลกเลยแม้แต่นิดเดียวครับ บางทีมันอาจจะฟังดูตลกกว่าด้วยซ้ำถ้าพี่บอกว่า พี่เข้าใจความรู้สึกนั้นจริงๆ” ผมเดินเข้าไปวางมือบนไหล่ของเขา แต่พีกลับเบือนหน้าหนีผมไปอีกครั้ง “พีมีเรื่องอะไรอยู่ในใจกันแน่ครับเนี่ย บอกพี่ได้นะครับ พีบอกพี่ได้ทุกเรื่องจริงๆ ถ้าพี่พอจะช่วยได้ล่ะก็.......”

พีสูดหายใจเข้าลึกๆหนึ่งครั้งก่อนจะหันกลับมาสบตากับผมอีกครั้ง

“ผมมีเรื่องอยากจะปรึกษาพี่เมฆครับ..........”


หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 04-10-2007 23:14:20
ทำไมยิ่งจะจบยิ่งลุ้นหว่า  :m3:  :m3:  :m3: พีมีอะไรน้อ  :impress:  :impress:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 04-10-2007 23:20:41
 :impress:
จบสวย ๆ น๊า อย่าหักมุมมมม กลัวใจนักเขียนบอร์ดนี้กันจิง ๆ เล๊ยยยยย :try2:
ยิ่งหวาน ๆ ซึ้ง ๆ ประทับใจมาก ๆ แบบนี้.....ผ่านเรื่องร้าย ๆ มากันก็มากแล้ววววว
เอาใจช่วยให้ทั้งสองคู่ ประสบความสำเร็จในความรักกกกกกกก.... :call:
เผื่อมาถึงคนอ่านบ้างก็ดี   :m4:
 :catrun:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 04-10-2007 23:35:12
ตอนที่ 52


ผมเดินตรงเข้าไปหยุดอยู่ตรงรั้วเหล็กที่เย็นเฉียบเนื่องจากความหนาวเย็นของอากาศและหิมะที่เกาะอยู่เต็ม ผมใช้มือที่สวมถุงมืออยู่ปัดหิมะออก จากนั้นก็เท้าแขนลงไป โชคดีที่เสื้อแจ็กเก็ตของผมหนามากพอที่จะกันความเย็นเอาไว้ได้ ผมหันกลับไปมองยังรอบข้างของตัวเอง นอกจากผมแล้ว ก็ยังมีคนที่กำลังเดินสวนไปมาอีกเพียงสามคนแล้วก็มีผู้ชายอีกหนึ่งคนที่กำลังยืนถ่ายรูปอยู่ห่างๆเท่านั้น....... หิมะตกแบบนี้ ก็คงไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวคนไหนอยากจะออกมาจากห้องพักเท่าใดนักหรอก

หลังจากที่เราทานข้าวกันเสร็จแล้ว ไอ้ซันก็ขับรถพาพวกเรากลับกันไปที่ห้อง หลังจากที่เรานั่งคุยกันอีกพักหนึ่ง ไคล์ก็บอกว่าเขาอยากให้ซันขับรถไปส่งเขากับพีกลับไปที่เคบินให้หน่อย เพราะเขาอยากจะอยู่กันตามลำพังสักพัก ผมกับไอ้ซันก็ไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว ดังนั้นเราจึงขับรถพาเขากลับไปส่งที่เคบินของพีอีกครั้ง และเมื่อเราอยู่กันตามลำพังแล้ว ไอ้ซันก็เอ่ยปากขอยืมสมุดที่มันให้ผมมาเล่มนั้นคืนแป๊บหนึ่ง ตอนแรกผมก็ไม่เข้าใจสิ่งที่มันกำลังคิดอยู่ แต่ไม่ว่าผมถามยังไงถามเท่าไหร่มันก็ไม่ยอมบอกอยู่ดีว่ามันจะเอาไปทำอะไร มันแค่บอกผมว่าเดี๋ยวมันจะคืนให้ตอนเย็นนี้แน่ๆก็เท่านั้น และหลังจากที่ผมยื่นสมุดคืนให้กับมัน ไอ้ซันก็ขอตัวไปทำธุระส่วนตัวสักพัก มันบอกให้ผมนั่งเล่นนอนเล่นรออยู่ในห้องไปก่อน แต่ผมไม่อยากจะอยู่เฉยๆคนเดียวโดยที่ไม่ได้ทำอะไร ในเมื่อวันนี้เป็นวันสุดท้ายของผมที่อุตส่าห์ได้มายังสถานที่ที่ผมอยากมามานานแล้ว และเมื่อบวกกับความรู้สึกแปลกๆที่มันก่อตัวขึ้นมาในใจหลังจากที่คุยกับพีในห้องน้ำ ผมจึงตัดสินใจทิ้งโน๊ตเอาไว้ในห้องแล้วขึ้นรถชัตเติ้ลบัสมาที่นี่ทันที

ที่ๆผมนึกถึงขึ้นมาเป็นที่แรกก็คือทางด้านหลังของโรงแรมคาชินาและธันเดอร์เบิร์ด มันเป็นจุดชมวิวส่วนหนึ่งของไบรท์แองเจิ้ลเช่นกัน เมื่อวานตอนที่เราแวะมาทานข้าวกันที่อีแคฟตอนก่อนที่จะไปไฮค์ ผมก็รู้สึกสนใจบริเวณนี้และตั้งใจไว้ว่าถ้าเกิดมีหิมะตกขึ้นมาจริงๆเมื่อไหร่ผมจะต้องมาที่นี่ให้ได้ เพราะบรรยากาศโดยรอบและวิวทิวทัศน์ของแกรนด์ แคนยอนที่เราสามารถมองเห็นได้จากที่นี่มันสวยงามมากจริงๆ

ผมมองเห็นอินเดียน การ์เด็นอยู่ไกลๆเบื้องล่างนั่นแล้วก็ยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนเราจะสามารถใช้ขาสองข้างของตัวเองคู่นี้เดินไปได้ไกลถึงขนาดนั้น นอกจากการได้ไปเห็นและได้ไปสัมผัสกับแกรนด์ แคนยอนด้วยตัวเอง บวกกับอาการปวดขาจากการไฮค์แล้วนั้น การที่เราได้ลองไปไฮค์และพิสูจน์ในสิ่งที่เราสามารถทำได้เมื่อวานนี้ มันยังสอนอะไรผมได้อีกหลายๆอย่างด้วย........ ผมรู้สึกว่าผมได้ประสบการณ์ที่ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้อีกเยอะแยะมากมายเลยทีเดียว

“มาทำอะไรอยู่ที่นี่วะ” เสียงของไอ้ซันดังขึ้นทางด้านหลังของผม

เมื่อผมหันกลับไปมอง ก็เห็นมันกำลังเดินตรงเข้ามาพร้อมกับถือสมุดเล่มนั้นของมันเอาไว้ในมือข้างซ้ายทั้งๆที่มันก็สะพายกระเป๋าอยู่เหมือนกัน

“ก็ไม่อยากอยู่ในห้องเฉยๆน่ะ ก็เลยออกมาเดินเล่น” ผมหันกลับไปมองยังทิวทัศน์เบื้องหน้าอีกครั้ง “ตอนหิมะตกนี่มันก็สวยดีนะ”

ไอ้ซันเดินมาหยุดอยู่ข้างๆผม “อืมม แน่นอนอยู่แล้วว่ะ หิมะที่ตกแล้วไม่สวยน่ะ ไม่มีหรอก”

“ก็นั่นสิเนอะ.........”

“วันนี้วันสุดท้ายแล้วจริงๆสินะ”

“ใช่....... วันสุดท้ายแล้ว”

เราสองคนยืนกันอยู่เงียบๆแบบนั้นอีกสักพัก จากนั้นไอ้ซันก็ชี้ให้ผมมองขึ้นไปบนท้องฟ้า “มึงดูนั่นสิเมฆ........”

“อืมมมม” ผมเงยหน้าขึ้นไปแล้วส่งเสียงในลำคอออกมาเบาๆ “มึงให้กูดูอะไรวะ” ผมถามออกไปเพราะว่าท้องฟ้าตอนนี้มีเมฆหนามากจนมองแทบไม่เห็นท้องฟ้าและพระอาทิตย์เลยทีเดียว นอกจากนั้นตัวก้อนเมฆเองมันก็ไม่ได้ก่อตัวเป็นรูปทรงแปลกๆอะไรอีกด้วย

“กูไม่ได้ให้มึงดูอะไรเป็นพิเศษหรอก แต่แค่อยากให้มึงเห็นว่า ก้อนเมฆเวลาที่ตกลงมาสู่พื้นดินน่ะ มันไม่จำเป็นต้องกลายเป็นเม็ดฝนเหมือนกับหยดน้ำตา ไม่จำเป็นต้องมีเสียงฟ้าร้องและฟ้าผ่า และไม่จำเป็นต้องเป็นเมฆสีดำครึ้มที่ดูชวนให้หดหู่เสมอไปหรอก แต่มันก็สามารถที่จะตกลงมาเป็นหิมะที่ขาวสะอาดและสวยงามมากได้เหมือนกัน”

ผมหันกลับไปมองหน้าของมันด้วยความรู้สึกทึ่งและประหลาดใจแบบสุดๆ เมื่อไอ้ซันหันมาเห็นผมทำสีหน้าแบบนั้นอยู่มันก็เลยหัวเราะออกมาเบาๆ

“ทำไมวะ นานๆทีกูจะขอมีอารมณ์สุนทรีย์บ้างไม่ได้เลยรึไง........” มันเขยิบเข้ามาล็อคคอของผมอาไว้ “กูรักมึงนะเมฆ”

ผมรู้สึกว่าความรู้สึกและอารมณ์ของผมมันท่วมท้นขึ้นมาทันที จนผมต้องกลืนน้ำลายลงคอไปอึกหนึ่งก่อนจะพูดประโยคๆนั้นที่ผมเคยพูดออกไปไม่รู้กี่ร้อยหนแล้วแต่ผมก็ยังไม่เคยเบื่อที่จะพูดมันออกไปเลยออกมา

“กูก็รักมึงเหมือนกัน”

ไอ้ซันยืนกอดคอของผมนิ่งอยู่สักพักมันก็เปลี่ยนเป็นคว้ามือของผมแล้วก็พาผมเดินไปยังจุดชมวิวอีกจุดหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากตรงที่ที่เรายืนอยู่เมื่อครู่ เพียงแต่ว่าบริเวณนั้นมันจะไม่มีรั้วกั้นเอาไว้เท่านั้นเอง

“ว่าแต่ไคล์กับพีล่ะ มึงรู้มั๊ยว่าเขาทำอะไรกันอยู่” ผมถามออกไปขณะที่เรากำลังเดินผ่านผู้คนจำนวนหนึ่งช้าๆ คนบางคนเมื่อเห็นเราเดินจูงมือกันเขาก็มองเราด้วยสายตาแปลกๆตามเคย

“ก็คงอยู่ในเคบินเขาล่ะมั๊ง อีกราวๆสองชั่วโมงก็คงได้เวลาออกไปดูพระอาทิตย์ตกกันแล้วนี่ แต่เราก็นัดกันไว้เรียบร้อยแล้วนี่ว่าให้ไปเจอกันที่ยาวาพายหลังจากมันกลับมาจากดูพระอาทิตย์เรียบร้อยแล้วน่ะ”

ผมกับไอ้ซันหยุดอยู่ตรงขอบหน้าผาจากนั้นก็นั่งชันเข่าลงบนพื้นทั้งคู่โดยไม่ได้สนใจกับผู้คนที่เดินวนไปเวียนมาเลย เพราะว่าบริเวณนี้มันก็เป็นจุดชมวิวที่เราจะนั่งกันตรงไหนก็ได้อยู่แล้ว ขอแค่เราไม่ไปขวางทางเดินของเขาก็พอ และนอกจากเราสองคนแล้วก็ยังมีคู่ชายหญิงอีกคู่หนึ่งที่นั่งลงบนพื้นแบบเราด้วย เพียงแต่เขาทั้งคู่อยู่ห่างออกไปอีกนิดหน่อยเท่านั้นเอง

“ไม่น่าเชื่อเลยเนอะว่าจะสี่วันแล้ว” ผมพูดขึ้น “มีไอ้นู่นไอ้นี่เกิดขึ้นเยอะแยะเลย พอวันนี้ได้มาอยู่สงบๆไม่มีอะไรทำในบรรยากาศแบบนี้ ก็เลยรู้สึกแปลกๆเหงาๆขึ้นมาทันทีเลยว่ะ”

“ก็คงงั้นแหละมั๊ง” ไอ้ซันตอบ “ว่าแต่มึงสนุกรึเปล่าที่ได้มาที่นี่น่ะ”

ผมหันไปยิ้มให้กับมัน “สนุกที่สุดเลย ได้เจอได้รับรู้เรื่องราวอะไรหลายๆอย่าง แต่มันก็เป็นความทรงจำที่กูคงไม่มีวันลืมไปตลอดชีวิตแน่ๆ......... นอกจากนั้นนะ ถึงช่วงเวลานับตั้งแต่ที่กูได้กลับมาเจอมึงอีกครั้งจะเป็นช่วงเวลาที่พิเศษที่สุดแล้ว แต่ตลอดสี่วันมานี้ การที่กูได้มีมึงอยู่เคียงข้างและได้ทำอะไรๆแบบคนที่เป็นคนรักเขาทำกัน มันจึงเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของกูเท่าที่กูเคยมีมาเลยทีเดียว”

“ถ้าอย่างนั้น.........” ไอ้ซันยิ้มกว้างตอบให้กับผม “กูก็อยากจะทำให้มันเป็นช่วงเวลาที่ดีที่มึงจะประทับใจและไม่มีวันลืมได้จริงๆนะ”

“มึงหมายความว่าไง” ผมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

“ก็นั่นสินะ..........” ไอ้ซันยิ้มแล้วหันหน้ากลับไปมองยังทิวทัศน์เบื้องหน้าอีกครั้งทำเอาผมอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ว่ามันกำลังคิดอะไรอยู่อีกกันแน่นะ

แต่ก็ช่างเถอะ เพราะแค่เพียงตอนนี้ผมมีมันอยู่ข้างๆกายแบบนี้ผมก็พอใจแล้ว........... ตลอดสี่ปีที่ผ่านมาผมไม่เคยนึกไม่เคยฝันเลยว่าผมจะได้มีวันนี้กับมัน วันที่ได้เดินจูงมือกัน ได้พูดคำว่ารัก และได้แสดงออกให้ใครคนอื่นๆนอกตัวเราสองคนเองเห็นและรับรู้ว่าเราสองคนนั้นรักกันมากขนาดไหน โดยเฉพาะหลังจากที่เราทั้งสองคนต้องห่างกันไปครั้งนั้น ผมก็ไม่เคยคิดอีกเลยว่าชีวิตของผมจะมีวันไหนที่ผมสามารถมีความสุขได้มากเท่ากับตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี่ แต่เมื่อคิดๆดูแล้ว การที่เราต้องห่างกันไปนั้นมันก็อาจจะเป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้เราได้กล้าพูดและกล้าแสดงความรู้สึกของเราทั้งคู่ออกมาก็ได้ เพราะถ้าไม่เป็นอย่างนั้นแล้ว จนถึงบัดนี้ ผมกับมันก็อาจจะยังคงเป็นแค่เพื่อนกันอยู่ก็ได้ ใครจะไปรู้............ บางที ผมคงต้องขอบคุณโชคชะตาอันโหดร้ายที่กล้าเล่นตลกกับเราสองคนเมื่อตอนนั้นสักหน่อยแล้ว

“เสียเวลาไปตั้งนานเนอะ.........”

“อืมม เสียเวลาไปตั้งนานจริงๆ” ไอ้ซันพยักหน้า จากนั้นเราสองคนก็เงียบลงไปอีกครั้ง

ลมเย็นๆพัดผ่านมาเบาๆพาเอาความหนาวแทรกซึมเข้าไปได้ถึงภายในร่างกายของผม แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังคงไม่สามารถพัดพาเอาความอบอุ่นในใจที่ผมกำลังมีอยู่ให้สูญหายไปได้

“นี่ ซัน.......... มึงเคยคิดถึงเรื่องของอนาคตมั๊ยวะ”

“คิดสิวะ คิดหลายอย่างด้วย”

“แล้วมีเรื่องของกูอยู่ในนั้นด้วยรึเปล่า”

“ถามอะไรโง่ๆนะมึง” ไอ้ซันหันมามองผมพร้อมกับคว้ามือของผมเอาไว้ “มึงคือชีวิตของกูนะ ถ้ากูไม่คิดถึงมึงแล้วกูจะไปคิดถึงใครวะ ฮึ”

ผมบีบมือของมันให้แน่นขึ้นพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นก็หันกลับไปมองยังทิวทัศน์รอบข้างอีกครั้ง ลมเย็นๆที่ยังคงพัดมาพาให้ผมรู้สึกสบายและสงบมากจริงๆ ถึงจะหนาวกาย แต่ก็อุ่นใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีคนที่ผมทั้งรักและฝากชีวิตเอาไว้ได้อยู่กับผมแบบนี้ด้วยแล้ว......... ไม่มีช่วงเวลาไหนในโลกนี้ที่จะมีค่าและสวยงามมากไปกว่าช่วงเวลาที่ผมมีมันอีกต่อไป

“จริงๆแล้วกูเองก็เคยมีคิดอะไรอยู่เรื่องนึงเหมือนกันนะ...... อย่างมึงอาจจะคิดว่ามันไร้สาระก็ได้ แต่บางทีกูก็รู้สึกสับสนเหมือนกันว่ะ” ผมพูดขึ้นหลังจากที่หันไปเห็นคู่ชายหญิงคู่นั้นที่นั่งมองเราแล้วหันไปหัวเราะคิกคักกัน จากนั้นผู้หญิงก็หันมายิ้มกว้างแล้วชูนิ้วโป้งให้ผม ผมจึงส่งยิ้มกลับไปให้เขา

“เรื่องอะไรวะ”

“กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ...... คือ ซัน มึงก็รู้ใช่มั๊ยว่ากูรักมึงมาก และกูก็ไม่เคยรู้สึกอะไรแบบนี้ให้กับคนอื่นมาก่อนเลย โดยเฉพาะกับผู้ชายน่ะ”

“อืมม แล้วไง”

“แล้วมึงล่ะ เคยคิดอะไรแบบที่มึงคิดกับกูให้กับผู้ชายคนอื่นรึเปล่า......... กูหมายถึง แบบว่า คือ เราสองคนนี่เป็น ‘เกย์’ กันใช่มั๊ยวะ” ผมพูดออกไปจากนั้นก็หันไปมองหน้าไอ้ซัน แต่มันกลับมองหน้าผมด้วยสีหน้าแปลกๆจนผมต้องรีบพูดอธิบายสิ่งที่ผมคิดออกไปอีก “กูรู้ว่ากูพูดอะไรแปลกๆ คือ กูหมายถึงว่า กูก็ไม่รู้ตัวเองเหมือนกันอ่ะ กูไม่เคยรู้สึกอะไรแบบนี้กับผู้ชายคนอื่นเลยจริงๆไม่ว่าจะทางร่างกายหรือจิตใจ คือก็มีบ้างที่กูเห็นว่า คนนู้นหน้าตาดีคนนี้หล่อดีนะ อะไรแบบนั้น แต่ว่ามันก็แค่นั้นไง ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น กูก็เลยสงสัยว่ามึงคิดยังไงเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้าง มึงเคยสงสัยตัวเองมั่งรึเปล่าอะไรแบบนั้นน่ะ มึงคิดมั๊ยว่าตัวเองเป็นเกย์ไปแล้ว แล้วยังเรื่องที่คนอื่นๆเขาจะคิดเกี่ยวกับตัวของเรา....... ตัวของมึงอีก...... โอ๊ย ไอ้เหี้ย กูพูดห่าอะไรไม่รู้เรื่องเลยว่ะ ช่างมันเหอะ”

แต่เมื่อผมพูดจบไอ้ซันกลับหัวเราะออกมาจากนั้นก็จับหน้าของผมให้หันกลับไปสบตากับมันอีกครั้ง “ช่างหัวคนอื่นสิ กูไม่แคร์เรื่องที่คนอื่นคิดอยู่แล้ว กูแคร์แค่มึงคนเดียว ถ้าความรักที่เรามีมันเป็นเกย์ งั้นก็ช่างแม่ง กูเป็นเกย์สำหรับมึง และจะเป็นเพื่อมึงตลอดไป”

ผมไม่สามารถหาคำพูดอะไรมาบรรยายความคิดหรือความรู้สึกของผมได้อีกต่อไป คำพูดประโยคนั้นของมันตอบผมหมดทุกอย่าง ตอบทั้งคำถามและความรู้สึกของผมที่มีให้แก่มันด้วย ผมรู้สึกว่าน้ำตาของผมมันเริ่มรื้นมาที่ขอบตาเล็กน้อยแล้ว และไอ้ซันก็ดูจะสังเกตเห็นสิ่งนั้นด้วยเช่นกัน มันจึงหัวเราะและใช้มือข้างที่จับหน้าของผมนั้นตบแก้มผมเบาๆสามสี่ที

“อ่ะนี่ มึงเอาสมุดคืนไป” ไอ้ซันยื่นสมุดที่ถืออยู่ในมือคืนให้แก่ผม “มึงพร้อมจะอ่านรึยัง”

ผมมองหน้าของมันด้วยความประหลาดใจ “มึงหมายความว่ากูอ่านมันได้แล้วเหรอ”

“อ้าว ก็กูบอกมึงแล้วไงว่ามึงพร้อมจะอ่านเมื่อไหร่ก็แล้วแต่มึง”

“ไม่ใช่ๆ กูหมายถึงว่าถ้ากูอยากจะอ่านตอนนี้โดยที่มีมึงอยู่ด้วยเนี่ยนะ มึงยอมให้กูอ่านเหรอ”

“อืออ ใช่” ไอ้ซันพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มเล็กน้อย “จริงๆแล้วกูอยากให้มึงอ่านตอนที่มีกูอยู่ตอนนี้แล้วก็ที่นี่เลยด้วยซ้ำ...... มึงอยากมั๊ยล่ะ”

ผมพยักหน้าตอบกลับไปอยากรวดเร็วจากนั้นก็ค่อยๆเปิดมันออกช้าๆ ในที่สุดผมก็จะได้รู้สักทีแล้ว ว่าสิ่งที่ไอ้ซันมันตั้งใจทำและเขียนให้กับผมนั้นคืออะไรกันแน่ ตลอดเวลาที่ผ่านมา......... มันคิดอะไรอยู่ในใจบ้างนะ

“เดี๋ยวก่อน” ผมหยุดมือและเงยหน้าขึ้นไปสบตากับมัน “สมุดเล่มนี้นี่มึงเริ่มเขียนมันตั้งแต่เมื่อไหร่วะ”

“ตั้งแต่กูมาถึงที่อังกฤษ”

ผมพยักหน้าช้าๆแล้วก็หันกลับไปจะเปิดหน้าปกของสมุดเล่มนั้นออก แต่แล้วก็เกิดนึกอะไรขึ้นมาได้อีกและหยุดมือลงอีกครั้ง

“อีกอย่างนึง” ผมหันไปมองหน้ามันอีกครั้ง “กู........ คือไอ้สมุดเล่มนี้มันก็อีกเรื่องนึงนะ แต่ตั้งนานมาแล้ว ตั้งแต่ที่กูมาถึงอังกฤษแล้วว่ะ กูสงสัยว่า....... กูสงสัยว่าหนังสือที่กูซื้อให้มึงแต่ก็ไม่ได้มอบให้กับมึงด้วยตัวกูเองเล่มนั้นน่ะ มึงเก็บไว้ที่ไหนวะ”

ไอ้ซันยิ้มแล้วหัวเราะเบาๆ “ถ้ากูบอกมึง แล้วมึงจะหัวเราะมั๊ยวะ”

ผมส่ายหน้า “กูจะหัวเราะทำไมวะ อย่าบอกนะว่ามึงทิ้งมันไปแล้ว” ผมรู้สึกใจหายขึ้นมาทันทีว่ามันจะบอกว่ามันทิ้งหนังสือเปื้อนเลือดเล่มนั้นไปแล้วเพราะว่ามันไม่อยากจะเก็บเอาไว้หรือเก็บเอาไว้ไม่ได้ ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม

“เฮ้ย จะบ้าเหรอ กูจะทิ้งได้ยังไง” ไอ้ซันยิ้มแล้วส่ายหน้าเบาๆ “มึงก็รู้ว่าหนังสือเล่มนั้นน่ะ มันเปื้อนเลือดเยอะมากแล้วก็เยินแบบสุดๆเลยด้วย ตอนแรกพ่อกับแม่กูเขาไม่รู้ว่ามันคืออะไรเขาก็เกือบจะเอามันไปทิ้งทีนึงแล้ว โดยเฉพาะริต้านี่ตัวดีเลยล่ะ กูก็เลยต้องป่าวประกาศตั้งแต่ตอนก่อนที่มึงจะมาว่าห้ามมายุ่งกับหนังสือเล่มนี้ของกูเด็ดขาด เพราะว่ากูวางมันเอาไว้อย่างเห็นได้ชัดมากเลยไง” ผมเชื่อว่าไอ้ซันคงมองเห็นสีหน้าประหลาดใจของผมแน่เพราะมันยิ้มกว้างจากนั้นก็เริ่มเล่าต่อ “นั่นสิ กูเองก็แปลกใจเหมือนกันนะ เพราะขนาดมึงเองที่มาอยู่ห้องกูตั้งหลายหน มานอนห้องกูตั้งหลายคืน มึงยังหามันไม่เจอเลย”

ไอ้ซันเงียบไปพักหนึ่งจนผมทนไม่ได้ “เอ้า มึงก็รีบๆบอกมาสิวะว่ามึงเอาไปวางไว้ที่ไหน มันจะมีที่ไหนที่ ‘วางไว้อย่างเห็นได้ชัด’ แต่กูเป็นคนเดียวที่มองไม่เห็นวะ”

ไอ้ซันหัวเราะในลำคอเบาๆ “กูวางมันไว้ใต้หมอนของกูเอง”

ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังอ้าปากค้างเพราะความประหลาดใจ มันเป็นที่ๆเห็นได้ชัดแต่ก็ไม่แปลกเลยถ้าจะหาไม่เจอจริงๆด้วย เพราะใครจะคิดว่ามันจะเอาหนังสือเล่มนั้นไปเก็บไว้ใต้หมอนที่ตัวเองนอนอยู่ทุกคืน และถ้าแม่ของไอ้ซันหรือริต้าซึ่งเป็นคนทำความสะอาดจะเจอมันเข้าก็คงไม่แปลกเพราะทั้งคู่ต่างก็เคยเป็นคนที่เปลี่ยนผ้าปูที่นอนให้ไอ้ซันเป็นปกติอยู่แล้ว แต่ผมเองนี่สิที่ไปขลุกอยู่ห้องมันตั้งไม่รู้กี่หน แต่ก็ไม่เคยได้นึกถึงใต้หมอนใบนั้นที่ผมยังเคยแม้แต่นอนหนุนนอนมันมาแล้ว แถมนี่ก็หมายความว่า มันนอนโดยที่มีหนังสือเล่มนั้นอยู่ใต้หัวของมันทุกคืนเลยอย่างนั้นน่ะหรือ

“แล้ว แล้วทำไมกูถึงได้ไม่เคยเห็นมันเลยวะเนี่ย...... นี่กูเซ่อขนาดนี้เลยเหรอวะ”

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกน่า แต่กูก็คิดอยู่เหมือนกันนะ ว่ามึงจะเจอมันเข้ารึเปล่า โดยเฉพาะหลังจากวันที่กูเจอสมุดของมึงอยู่บนเตียงมึงวันนั้น.........”

ผมยิ่งรู้สึกช็อคมากขึ้นไปอีกเมื่อมันพูดออกมาแบบนั้น ความทรงจำเมื่อวันนั้นมันก็วิ่งกลับเข้ามาหาผมทันที

“มึงสังเกตด้วยเหรอ วันนั้น........” ผมอ้าปากค้าง

“ก็นิดหน่อยว่ะ” ไอ้ซันยักไหล่ “ก็ตอนแรกมันยังวางอยู่ข้างๆหัวกูอยู่เลย แต่พอมึงลุกไปมันก็หายไปอยู่ใต้หมอนซะอย่างนั้นเนี่ยนะ” มันหัวเราะเบาๆ “แต่กูไม่ได้เปิดอ่านหรอก วางใจเถอะ กูน่ะ สังเกตเห็นมันวางอยู่บนชั้นหนังสือของมึงข้างๆกับ เดอะ มิซซิ่ง พีซ มีทส์ เดอะ บิ๊ก โอ ที่กูซื้อให้มึงมาตั้งนานแล้ว แต่วันนั้นพอกูเข้าไปในห้องของมึง มันก็ดันมาวางอยู่บนเตียง และพอมึงเดินออกจากห้องไปผัดผักให้กูกิน กูก็เลยลองเปิดหมอนขึ้นมาดู แล้วมันก็อยู่ที่นั่นจริงๆด้วย........ ตอนนั้นกูก็แค่สงสัยเท่านั้นแหละว่ามันคืออะไร และแอบคิดว่ามึงจะมีมันไว้เพื่อมอบให้กับกูเหมือนสมุดเล่มนี้ที่กูตั้งใจมอบให้กับมึงรึเปล่าก็เท่านั้น และพอกูรู้ว่ามึงตั้งใจจะให้กูจริงๆกูก็ดีใจมากเลย........ เอาล่ะ คราวนี้ถึงตาของมึงที่จะได้อ่านสมุดของกูมั่งแล้วนะ ยังจะอยากอ่านมันอยู่รึเปล่าเนี่ย”

ถึงผมจะยังคงงงๆและปรับความคิดให้กลับมาเป็นปัจจุบันไม่ทัน แต่ผมก็พยักหน้าแล้วก็ก้มลงมองไปยังสมุดเล่มหนาบนมือของผมอีกครั้ง ผมค่อยๆเปิดมันออกช้าๆ

หน้าแรกนั้นมีวันที่เขียนเอาไว้ที่มุมบนขวา ผมจำลายมือนั้นได้อย่างดีทีเดียว

“อันนั้นเป็นวันที่วันแรกที่กูเริ่มเขียน และเป็นวันแรกที่กูมาถึงที่อังกฤษเลยด้วย” ไอ้ซันพูดออกมา “มึงอ่านไปแล้วกันนะ อ่านจบแล้วก็ค่อยเรียกกูก็แล้วกัน”

ผมเงยหน้าขึ้นมาพยักหน้าให้มันช้าๆ แต่ไอ้ซันไม่ได้กำลังมองหน้าผมอยู่ ผมสังเกตเห็นว่าหน้ามันแดงมากทีเดียว และเมื่อมันเห็นด้วยหางตาว่าผมกำลังอมยิ้มอยู่มันก็หันหลังให้ผมทันที
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 04-10-2007 23:36:17
ผมก้มลงไปอ่านสมุดในมือของผมอีกครั้ง ในหน้าแรกที่มันบอกเมื่อครู่นี้นอกจากวันที่ที่ด้านมุมบนขวาแล้ว ตรงกลางกระดาษก็ถูกเขียนประโยคสั้นๆเอาไว้ว่า..........


“ความยิ่งใหญ่ของท้องฟ้าจะมีค่าอะไร ถ้าไม่มีคนเข้าใจ และ แหงนมองดู”


เมื่อผมนึกถึงความรู้สึกของมันในวันที่มันต้องเขียนประโยคๆนี้ออกมา ความรู้สึกเจ็บแปลบภายในอก ความเหงา และความเศร้าที่มันต้องเคยรู้สึกก็วิ่งผ่านเข้ามาในใจของผมทันที ทุกๆลายเส้นในประโยคสั้นๆนั้นมันสื่อความหมายออกมาได้ทุกอย่างจริงๆ

ผมต้องพยายามควบคุมความรู้สึกของตัวเองไว้อย่างมากทีเดียวเพื่อที่จะไม่เผลอร้องไห้ออกมา ผมจึงตัดสินใจรีบพลิกเปิดสมุดหน้าต่อไป

หน้าต่อมาก็ยังคงมีวันที่ถูกเขียนเอาไว้อีก ซึ่งเป็นวันถัดมาจากวันแรกนั้น คราวนี้หน้ากระดาษถูกเขียนเอาไว้จนเกือบเต็มเลยทีเดียว.......


“รู้สึกเหมือนไม่ใช่ตัวของตัวเองเลยว่ะ ความรู้สึกแม่งเหี้ยมากๆ นี่กูจะต้องทนเป็นแบบนี้ไปอีกสักเท่าไหร่วะ เหี้ยเอ๊ย!! แค่ไอ้การมานั่งเขียนอะไรแบบนี้มันก็ไม่ใช่ตัวกูแล้ว แล้วนี่กูจะเขียนห่าอะไรดีวะเนี่ย ไอ้สัตว์ เขียนๆอยู่ก็ยังบ่นๆไปอีก สงสัยบ่นๆงงๆไปก็คงเขียนได้หน้านึงแล้วมั๊งเนี่ย.........”


เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ผมก็อดหัวเราะออกมาเบาๆไม่ได้ เพราะผมรู้ว่าไอ้การที่มานั่งเขียนอะไรแบบนี้มันไม่ใช่นิสัยไอ้ซันจริงๆนั่นแหละ


“.........แต่จะบ่นไปหาอะไรวะ อย่างน้อยๆก็ได้ระบายมันออกมามั่งก็คงดีแล้วล่ะมั๊ง คิดถึงไอ้เมฆว่ะ คิดถึงไอ้เมฆมาก คิดถึงโคตรๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ไอ้เหี้ยเอ๊ยย!! ทำไมกูเหี้ยแบบนี้วะ ไอ้สัตว์!! ไอ้เมฆ กูคิดถึงมึง!! ทำไมกูถึงต้องทำตัวให้มันเสียใจด้วยวะทำไมกูถึงได้เลือกทางเดินที่กูคิดว่ากูพอใจและน่าจะดีที่สุดสำหรับเราทั้งคู่แล้วแต่กูกลับต้องมานั่งเสียใจอยู่แบบนี้ ทำไมถ้ากูไม่มีมันแล้วกูก็คงไม่สามารถตัดสินใจทำอะไรที่ถูกต้องได้กับเขาบ้างเลยรึไง ทำไมกูถึงได้เป็นคนที่น่าสมเพชขนาดนี้ ทำไมกูต้องทำร้ายมันด้วย ทำไมกูต้องทำร้ายตัวเอง จะมีวันไหนที่กูจะได้เจอกับมันอีกมั๊ยวะ จะมีวันไหนที่กูได้มีโอกาสบอกมึงว่ากูรักมึงมั๊ยวะ เมฆ......... จะมีวันไหนที่มึงจะได้ยินคำว่า ‘รัก’ ออกมาจากปากของกูมั๊ย”


ผมรู้สึกน้ำตามันเริ่มไหลออกมาอีกครั้ง ผมเงยหน้าขึ้นไปมองไอ้ซัน แต่มันก็ยังคงนั่งหันหลังให้กับผมอยู่ดี ผมจึงก้มลงไปอ่านสมุดของมันต่อ


“ถ้าย้อนเวลาได้กูคงย้อนกลับไปแก้ไขมันแล้ว แต่นี่กูทำไม่ได้ แล้วมึงจะทำเหี้ยอะไรได้มั่ง ไอ้ซัน ไอ้ควาย เอาแต่พร่ำเพ้อไปไอ้เมฆมันก็ไม่รู้ แต่ถึงมันรู้ มันก็คงไม่ให้อภัยมึงอีกแล้ว มึงสมควรที่จะต้องทนอยู่กับความรู้สึกนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ ไอ้สัตว์!! จำเอาไว้ จงเดินต่อไป เดินต่อไป เดินต่อไปข้างหน้า มึงเลือกทางเดินนี้แล้ว มึงต้องเดินต่อไปให้ได้ และถ้ามีโอกาสเมื่อไหร่ มึงค่อยทำมันครั้งหน้าให้ดีที่สุด อย่าได้ทำพลาดแบบเดิมอีก

จะมีวันที่ไอ้เมฆมันจะได้อ่านสมุดเล่มนี้รึเปล่าวะ มึงจะได้อ่านลายมือของกูนี่มั๊ย มึงจะมีวันได้รับรู้ว่ากูเคยตั้งใจที่จะ “ทำ” สมุดเล่มนี้ให้กับมึงรึเปล่า ถ้าเมื่อไหร่ที่มึงกับกูได้มีโอกาสกลับมาเจอกันอีกครั้งนะ เมฆ กูจะต้องมอบสมุดเล่มนี้ให้แก่มึงให้ได้เลย”


หน้าแรกไอ้ซันเขียนจบลงเพียงเท่านี้ ผมจึงพลิกอ่านหน้าต่อไป แต่ทว่าหน้าถัดไปนั้นไม่มีวันที่เขียนเอาไว้ แต่มีเพียงประโยคสั้นๆถูกเขียนเอาไว้กลางหน้ากระดาษเท่านั้น ผมอ่านออกเสียงออกมาดังๆ

“ตะวันเอย ขอจงสดใสเรื่อยไป เรื่อยๆไป  ทั้งเธอและฉันตราบแม้สักวัน เราต้องจากกัน  หากถึงวันนั้น อย่าลืมสายใยผูกพัน - - ระหว่างเรา”

ไอ้ซันหันกลับมามองผมทันที “มึงอ่านถึงนั่นแล้วเหรอ”

“ไอ้นี่นี่มัน.........”

“ใช่ ประโยคหนึ่งจากหนังสือที่มึงเคยซื้อให้กูเมื่อตอนนู้นนั่นแหละ”

ผมพยักหน้าช้าๆ จากนั้นก็กำลังจะก้มอ่านหน้าต่อไปต่อ แต่ก็ไม่ลืมที่จะหันไปกำชับบางอย่างกับมันไว้ด้วย “ต่อจากตรงนี้มึงห้ามหันหนีกูไปอีกนะ ไม่งั้นมึงจะให้กูอ่านตอนที่มึงยังอยู่ตรงนี้กับกูทำไมวะถ้ามึงไม่ยอมมีส่วนร่วมด้วยเลยเนี่ย”

ไอ้ซันทำหน้านิ่วแต่ก็ยอมพยักหน้าออกมาแต่โดยดี

ผมพลิกดูหน้าต่อไป และมันก็มีรูปของท้องฟ้ากับก้อนเมฆแปะเอาไว้พร้อมกับวันที่และเขียนบรรยายสภาพอากาศของวันๆนั้น พร้อมกับประโยคสั้นๆว่า


“อยากให้มึงเป็นแบบนี้ได้ตลอดไป”


และอีกห้าหน้าถัดมาก็เป็นแบบนี้ตลอด มันเป็นภาพท้องฟ้าที่สวยมาก ทั้งก้อนเมฆที่ลอยอยู่เคียงคู่ท้องฟ้าสีคราม และบางครั้งก็เป็นรูปพระอาทิตย์ที่มีก้อนเมฆมาบดบังเอาไว้เล็กน้อย แต่เมื่อมาถึงรูปที่หกมันกลับกลายเป็นรูปท้องฟ้าที่มืดครึ้มและมีฝนกำลังตกอยู่อย่างรุนแรง และทางด้านล่างของรูปนั้นก็เขียนเอาไว้ว่า


“มึงจะกำลังร้องไห้เหมือนกับกูอยู่รึเปล่า”


ผมเงยหน้าขึ้นไปสบตากับมันทันที และไอ้ซันก็หลบสายตาผมพร้อมกับใบหน้าที่แดงก่ำ ผมหัวเราะออกมาเบาๆจากนั้นก็พลิกหน้ากระดาษต่อไป หลายๆหน้าหลังจากนั้นก็เป็นรูปของท้องฟ้ากับก้อนเมฆทั้งที่มันถ่ายเอง และไปตัดมาจากที่อื่นบ้างอีกสิบกว่ารูปสลับกับการที่มันเขียนบรรยายความรู้สึกต่างๆลงไปสั้นบ้างยาวบ้าง มีทั้งความดีใจท้องฟ้าแจ่มใส วันที่แดดแรงและรู้สึกร้อนใจ รวมไปถึงความเศร้าใจที่มีเมฆมืดครึ้มด้วย วันที่ที่มุมบนกระดาษก็บอกเวลาว่าผ่านมาได้ราวๆหกเดือนแล้ว จนกระทั่งมาถึงหน้าหนึ่งที่เป็นลายมือของมันล้วนๆเขียนเอาไว้ตัวโตกลางหน้ากระดาษโดยไม่มีรูปถ่ายของท้องฟ้าอีกครั้ง


“ครั้งนี้กูจะไม่ทำพลาดอีกแล้ว!!!”


ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะไม่เข้าใจความหมายของมัน แต่เมื่อพลิกไปอ่านหน้าต่อไป ผมก็เข้าใจแล้วว่าหน้าที่ผ่านมาเมื่อครู่นั้นหมายถึงอะไร............


“ในที่สุด ความหวังของกูมันก็คงจะได้เป็นจริงสักทีสินะ ในที่สุดกูก็จะได้เจอมันอีกครั้งแล้ว ไอ้เมฆ!! มึงจะรู้มั๊ยนะ ว่ากูคิดถึงมึงมากแค่ไหน มึงจะรู้มั๊ย ว่ากูรักมึงมากจริงๆ กูเฝ้ารอคอยและยึดมั่นในตัวของมึงมาตั้งนาน ไม่สิ กูคิดผิดไปหน่อย กูเฝ้ายึดถือในความรักที่กูมีให้มึงมานานแสนนาน กูไม่เคยยอมแพ้ในสายสัมพันธ์ที่กูมีให้กับมึง กูก็ไม่รู้หรอกว่ามึงจะยังคงรักกูอยู่มั๊ย กูไม่รู้ว่ามึงจะให้อภัยกูและพร้อมจะเริ่มต้นกับกูใหม่รึเปล่า กูคงต้องเจ็บปวดอีก แต่กูจะไม่ยอมทำให้มึงต้องเสียใจอีกต่อไปแล้ว เมฆ....... สักวันนึง กูจะทำให้มึงเป็นผู้ชายที่มีความสุขที่สุดในโลกให้ได้ กูสัญญา

ปล. พอกันทีกับความเจ็บช้ำ”


ผมยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดน้ำตาบนใบหน้าเบาๆ เพราะความรู้สึกเมื่อหนึ่งปีก่อนมันย้อนกลับมาวิ่งวนเวียนอยู่ในใจของผมอีกครั้ง ความรู้สึกเหงา เศร้า และเจ็บปวด ความรู้สึกรัก คิดถึง แต่ก็ท้อแท้...... น้ำตาของผมมันไหลออกมาเพราะจากความทรงจำของตัวผมเอง และจากความรู้สึกของไอ้ซันที่มันถ่ายทอดออกมาจากทุกๆตัวหนังสือที่มันเขียนนี่ด้วย....... ผมพลิกหน้ากระดาษต่อไป แต่ทว่ามันกลับว่างเปล่า ผมพลิกดูหน้าถัดไปอีก ก็เห็นว่ามันก็ยังคงไม่มีอะไรเขียนเอาไว้อยู่ดี

“หมดแล้วว่ะ ตั้งแต่พอกูรู้ว่ามึงจะมาที่อังกฤษกูก็เลิกเขียนเลิกแปะรูปไปเลย เพราะกูรู้ว่าก้อนเมฆของกูกำลังจะกลับมาหากูแล้ว กูก็ไม่จำเป็นที่ต้องคอยมองดูก้อนเมฆที่กูเอื้อมไม่ถึงอีกต่อไป........ แต่ว่าหน้าสุดท้ายของสมุดยังมีอยู่อีกหน่อยนึงนะ” ไอ้ซันพูดขึ้น

ผมรีบเปิดไปยังหน้าสุดท้ายอย่างที่ไอ้ซันบอกทันที ผมเห็นลายมือของมันเขียนประโยคที่มาจากหนังสือเล่มนั้นที่ผมเคยซื้อให้มันอีกเช่นกัน และวันที่บนมุมขวาก็บอกถึงวันที่ผมมาถึงที่อังกฤษเป็นวันแรกด้วย


“วันต่อไปจะมีกันหรือไม่ ไม่สำคัญ  วันนี้เป็นเวลาที่ดีที่สุด ที่เรา - - มีกันและกันก็พอ”


“ตอนแรกกูตั้งใจจะเอาสมุดเล่มนี้ไปแปะรูปเพิ่ม เพราะที่เจเนอรัลสโตร์มันมีอัดรูปน่ะ แต่ว่าพอมานึกๆดู กูก็เขียนปิดท้ายเล่มเอาไว้แล้วในวันที่มึงมาถึงที่อังกฤษเป็นวันแรก เพราะงั้นกูก็เลยคิดว่ากูไม่น่าจะไปยุ่งอะไรเกี่ยวกับมันอีกดีกว่าเพราะว่ากูยกมันให้มึงไปแล้ว....... ดังนั้นกูก็เลยซื้อสมุดเล่มนี้มาแทนและทำอะไรเพิ่มลงไปอีกนิดหน่อย” ไอ้ซันหยิบสมุดเล่มหนึ่งที่มีลายของแกรนด์ แคนยอนอยู่บนปกออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นมาให้แก่ผม “สมุดเล่มนี้จะเป็นของเราสองคน เมฆ”
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 04-10-2007 23:38:10
ผมรับสมุดเล่มนั้นมาแล้วก็เปิดออกดูรูปที่ถูกแปะเอาไว้ข้างใน เมื่อผมเห็นรูปๆแรกผมก็จำได้ทันทีว่ามันคือรูปที่ไหนและเมื่อไหร่ มันเป็นรูปตอนที่เราไปไฮค์กันเมื่อวานตรงช่วงที่กำลังจะเดินไปยังพลาโตพ็อยท์ และมันคือรูปของก้อนเมฆที่มีรูปทรงแปลกประหลาดและสวยงามที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมาเลยทีเดียว

“ไอ้ซัน นี่มึงถ่ายไว้เมื่อไหร่วะเนี่ย” ผมเงยหน้าขึ้นมาสบตากับมัน

“ตอนเรากำลังจะเดินกลับน่ะ กูหันหลังกลับไปเห็นมันพอดี ก็เลยถ่ายเอาไว้ได้” ไอ้ซันยิ้มกว้าง

ผมหันกลับมาดูรูปถ่ายในมือนั้นอีกครั้ง มันเป็นรูปของก้อนเมฆสีขาวที่สยายเป็นแฉกออกไปจากด้านหลังของภูเขาคล้ายกับปีกของนางฟ้าอย่างไรอย่างนั้น มันช่างเป็นรูปทรงราวกับปาฏิหาริย์จริงๆ ผมไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย ผมไล่สายตาลงไปยังด้านล่างของรูปมีลายมือของไอ้ซันเขียนเอาไว้สั้นๆว่า.......


(http://img181.imageshack.us/img181/5843/angelswingxu7.jpg)

"you're my angel"



 ผมเงยหน้าขึ้นมาสบตากับไอ้ซันก็เห็นมันยิ้มเขินๆรอผมอยู่แล้ว

ผมพลิกหน้ากระดาษหน้าถัดไป รูปนี้ก็เป็นรูปตอนที่เราไปไฮค์กันอีกเช่นกัน ทางด้านหลังของภูเขาแกรนด์ แคนยอนนั้นเป็นรูปก้อนเมฆที่โค้งยาวขึ้นไปเป็นรูปทรงคล้ายกับพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว ผมแทบไม่อยากจะเชื่อว่าเลยสิ่งเหล่านี้มันจะเกิดขึ้นได้จริง มันเป็นความงดงามที่ธรรมชาติรังสรรค์ให้เกิดขึ้นเพียงแค่ชั่วเวลาไม่กี่วินาทีเท่านั้น และไอ้ซันก็ยังอุตส่าห์เก็บภาพพวกนี้เอาไว้ได้......... แถมยังทำโดยที่ผมไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ ถัดจากนั้นมาอีกสี่รูปก็เป็นภาพของก้อนเมฆรูปทรงแปลกที่สวยมากๆเช่นกัน ผมจำได้ทันทีว่ามันเป็นรูปที่ถูกถ่ายบริเวณลานจอดรถที่มาร์เก็ตพลาซ่านั่นเอง



(http://img526.imageshack.us/img526/9177/moonxz6.jpg)

(http://img236.imageshack.us/img236/194/image392ww2.jpg)(http://img250.imageshack.us/img250/6735/image394mt5.jpg)
(http://img250.imageshack.us/img250/1399/image611mc3.jpg)(http://img526.imageshack.us/img526/7521/image612lo5.jpg)



“กูอยากให้มึงดูรูปสุดท้ายนะเมฆ” ไอ้ซันเอื้อมมือมาพลิกหน้ากระดาษไปยังรูปสุดท้าย มันเป็นรูปของท้องฟ้าที่ถูกถ่ายเหนือขึ้นไปจากป้ายรถบัสทางด้านหลังของยาวาพาย คาเฟทีเรีย และบนท้องฟ้านั่นก็ไม่มีก้อนเมฆลอยอยู่เลยสักก้อนเดียว “มึงจะคิดว่ายังไงกูก็ไม่รู้หรอกนะ แต่ว่ากูไม่อยากจะเป็นแบบนี้อีกแล้ว....... ครั้งแรกที่กูเห็นท้องฟ้าแบบนี้กูก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาทันที มันเป็นภาพของท้องฟ้าที่เหงาและเศร้าสร้อยที่สุดสำหรับกูจริงๆ ท้องฟ้าที่ไร้เมฆ.......” ไอ้ซันค่อยๆปิดสมุดเล่มนั้นลง ดึงมันไปจากมือของผมแล้ววางมันลงบนพื้น จากนั้นมันคว้ามือของผมทั้งสองข้างไปกุมเอาไว้ “มึงจะสัญญาได้มั๊ย ว่ามึงจะไม่ทำให้ท้องฟ้าของมึงเป็นท้องฟ้าสีครามที่ปราศจากก้อนเมฆอีกต่อไป.........”

(http://img511.imageshack.us/img511/9732/skyvg8.jpg)


ผมมองหน้ามันนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบออกไป “มึงมีปากกามั๊ย ซัน”

ไอ้ซันปล่อยมือของผมออกแล้วล้วงลงไปในกระเป๋าของมันทันที เมื่อมันหาของที่ผมต้องการเจอมันก็ยื่นปากกาด้ามหนึ่งมาให้ผม ผมรับมันมาจากนั้นก็เปิดไปยังหน้าถัดไปจากรูปท้องฟ้าสีครามรูปนั้นแล้วก็เริ่มต้นเขียนคำตอบของผมลงไป........


“Cloud belongs to the Sky, just like I belong to you, and I always will. I already knew I love you with all my heart and I know you feel the same way too. I can’t promise you a ‘forever’ but I can give you my ‘tomorrows’ my love. I love you”


ผมยื่นสมุดคืนให้ไอ้ซัน และเมื่อมันอ่านประโยคของผมจบลง มันก็เงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมพร้อมน้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตาของมันช้าๆ

“กูก็รักมึงเหมือนกัน เมฆ.........”

“กูรู้อยู่แล้ว.........” ผมยิ้มตอบแล้วคว้ามือของมันมากุมเอาไว้

“กลับห้องกันเถอะ กูชักหนาวแล้วว่ะ” ไอ้ซันพูดกลับมาพร้อมกับใช้แขนเสื้อของตัวเองเช็ดน้ำตาเบาๆ

เราสองคนถอดถุงมือออกแล้วเดินจูงมือกันไปขึ้นรถบัสกลับไปยังห้องของเราโดยที่ไม่ได้ปล่อยมือออกจากกันและกันเลย แน่นอนว่าเราทั้งคู่ตกเป็นเป้าสายตาของคนหลายคน แต่ผมไม่สนใจ และไอ้ซันก็ไม่สนใจด้วย จนเมื่อเรามาถึงยังห้องพักและเปิดประตูเข้าไปแล้ว ไอ้ซันก็จูบลงปากของผมอย่างดูดดื่มทันที เมื่อเราทั้งสองคนถอนปากออกจากกันและกัน ผมก็มองลึกลงไปยังดวงตาสีดำขลับคู่นั้นแล้วก็เอามือลูบหัวเกรียนๆของมันช้าๆ ผมรักมันมากเหลือเกิน ผมไม่เคยคิดเลยว่าผมจะรักใครได้มากถึงเพียงนี้ และจากสายตาของมันที่กำลังมองผมอยู่นั้น ผมก็บอกได้ด้วยว่ามันก็รู้สึกแบบเดียวกันกับผมเช่นกัน.........

“กูอยากจะรักมึงให้ตลอดไปจริงๆ ซัน แต่กูก็ไม่รู้ว่าอนาคตมันจะเป็นอย่างไร กูไม่รู้ว่ากูจะออกแบบความรักของกูให้มึงได้อย่างที่มึงต้องการรึเปล่า แต่กูสัญญาว่ากูจะรักมึงมากเท่าที่หัวใจของกูดวงนี้จะมอบให้แก่มึงได้ ซัน ในเมื่อกูรู้แล้วว่ามึงเองก็รักกูมากขนาดไหน กูจึงไม่สามารถรักมึงได้แค่หัวใจครึ่งดวงของกูอีกต่อไป....... กูพร้อมจะเดิมพันหัวใจทั้งดวงของกูเพื่อมอบความรักที่ไม่มีวันหมดนี้ให้แก่มึงคนเดียว ตลอดไป.......”

“ทำไมความรักถึงจะออกแบบไม่ได้ เมฆ สำหรับกูแล้ว กูออกแบบให้มันได้แน่นอน มึงรู้มั๊ยว่าเพราะอะไร....... เพราะความรักที่เรามีนั้นมันคือความรักของ ‘เรา’ สองคน เราสร้างมันขึ้นมาพร้อมๆกัน แล้วทำไมเราถึงจะออกแบบให้มันเป็นอย่างที่เราอยากให้มันเป็นไม่ได้ล่ะ อย่างน้อยๆ แค่การที่กูตั้งใจว่ากูจะรักมึงไปตลอดทั้งชีวิตของกูนั้นก็เท่ากับกูออกแบบให้มันเป็นความรักที่สวยงามที่สุดสำหรับมึง........ สำหรับเราสองคนไปแล้ว.......” ไอ้ซันลูบผมของผมช้าๆ เราสองคนสบตากันและกัน และผมก็เห็นน้ำตาหยดเล็กๆที่กำลังจะไหลออกมาจากดวงตาของมันอีกครั้ง “เมฆ มึงคือหัวใจของกูไปแล้ว เพราะฉะนั้นกูก็จะอยู่กับมึง อยู่เคียงคู่กับมึงไปตลอดเวลา”

ไอ้ซันจูบลงริมฝีปากของผมอย่างแผ่วเบา และครั้งนี้ผมก็รู้สึกถึงน้ำตาที่กำลังไหลลงมาอาบแก้มของผมเองด้วยเช่นกัน


.
.
.


ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมเฝ้าแหงนมองท้องฟ้าของผมอยู่เสมอๆ ทุกๆครั้งที่ผมได้แหงนหน้ามองขึ้นไปยังเบื้องบนนั้น ความสวยงามและความยิ่งใหญ่นั่นมันช่างดูเกินจริงและห่างไกลเกินกว่าที่คนตัวเล็กๆอย่างผมจะจับต้องและรู้สึกได้เหลือเกิน แต่ทว่าผมก็ยังคงพยายามเอื้อมมือและไขว่คว้าหามันไว้อยู่ตลอดเวลา........... และบัดนี้ หลายปีผ่านไป ผ่านช่วงเวลาที่ทั้งดีที่สุดและเลวร้ายที่สุดมาแล้ว ผมเดินผ่านความเหงา ความเศร้า และความเจ็บปวด ผมเก็บความทรงจำของเสียงหัวเราะ ความอบอุ่น และความรักเหล่านั้นเอาไว้ในใจ และเฝ้าภาวนาว่าผมคงไม่มีวันลืมเลือนและสูญเสียมันไปเด็ดขาด แต่ในที่สุด เวลานี้ผมก็มีท้องฟ้าที่จะคอยโอบอุ้มและปกป้องผมเอาไว้แล้ว เป็นท้องฟ้าที่ให้คำสัญญาว่าจะไม่มีวันลาจากก้อนเมฆไปไหน เป็นท้องฟ้าที่สวยงามและยิ่งใหญ่ที่สุดเพื่อคนตัวเล็กๆอย่างผม และเป็นท้องฟ้าที่สัญญาว่าจะรักก้อนเมฆของเขาไปตราบจนวันสุดท้ายของลมหายใจ เพราะฉะนั้น ผมเองก็จะเป็นก้อนเมฆที่จะรัก และไม่มีวันทรยศท้องฟ้าของเขาด้วยหัวใจดวงใหม่ทั้งดวงนี้ด้วยเช่นกัน ผมไม่ต้องจมปลักอยู่กับอดีต และไม่ต้องกังวลว่าผมจะไม่ได้เห็นรอยยิ้มและลืมเลือนความอบอุ่นของเขาในอนาคตอีกต่อไป เพราะว่านับจากนี้ เราสองคนจะโอบอุ้มซึ่งกันและกันไปจนถึงวินาทีสุดท้ายที่เข็มนาฬิกาหยุดเดิน...............


นับต่อแต่นี้ เวลา และ ทุกๆนาทีของเราจะไม่เหลื่อมล้ำกันอีกต่อไป


กูรักมึง ท้องฟ้าสีคราม...........



(จบ)

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 04-10-2007 23:49:28
จบแล้วครับ........  :undecided:

หวังว่าจะชอบใจกันนะครับ ขอบคุณที่ติดตามอ่านมาตลอด

จริงๆตอนแรกตั้งใจไว้ว่าแค่ยี่สิบห้าตอนนะครับเนี่ย แต่ไปๆมาๆก็กลายเป็นมากกว่าที่ตั้งใจไว้ตั้งสองเท่ากว่าๆ

ผมพยายามจะแปะให้ได้เกือบทุกวันเพื่อที่จะไม่ให้ทุกคนต้องรอนานกันเกินไปอ่ะคับ ก็หวังว่าจะสนุกไปกับศิลากับฟ้าครามนะคับผม
เพราะผมตั้งใจเอาไว้แล้วว่าอยากให้เรื่องนี้เป็นเรื่องราวความรักอบอุ่น ให้อ่านแล้วมีความสุขกัน (เศร้ามามากและ)
ถ้าทุกคนอ่านแล้วมีความสุขตาม ผมก็พอใจมากแล้วล่ะคับ

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านและเป็นกำลังใจให้ผมนะคับ
ขอบคุณมากๆๆๆๆจริงๆ ทุกๆรีพลายมันมีค่ากับผมมากเลยค้าบบบ

 o14

ปล. รอบทสรุปส่งท้ายความรักของทั้งสองคนเร็วๆนี้นะคับ  :bye2:

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 05-10-2007 00:02:30
......แถมด้วยบรรยากาศหนาวๆเหงาๆของหิมะสีขาวๆ......


(http://img505.imageshack.us/img505/389/008ur3.jpg)(http://img511.imageshack.us/img511/5674/007nh0.jpg)
(http://img511.imageshack.us/img511/7755/006rx6.jpg)(http://img505.imageshack.us/img505/6011/005zy3.jpg)
(http://img213.imageshack.us/img213/5167/004yz7.jpg)(http://img511.imageshack.us/img511/2668/003ns7.jpg)
(http://img505.imageshack.us/img505/5334/002nz9.jpg)(http://img511.imageshack.us/img511/336/001hb3.jpg)


หัวข้อ: Re: การเดินทางของŪ
เริ่มหัวข้อโดย: ninaprake ที่ 05-10-2007 01:19:19
 o7  แง่มๆๆๆๆ จบได้ประทับใจมากๆเลยยยยยยยย  :m1:  คุ้มค่ากับการที่ติดตามอ่านมาตั้งแต่ภาคแรกเลยนะค้าบบบบ

กับเรื่องราวในครั้งแรก ที่จบลงด้วยความรู้สึกที่เศร้าหม่นหมองด้วยความรู้สึกของความรักที่ไม่มีวันสมบูรณ์หรือถูกเติมเต็มได้ ......  :undecided:

กับครั้งต่อมาที่ให้ความรู้สึกของการมีความหวัง ความรู้สึกของการที่จะต้องตัดสินใจที่จะต้องการก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่คิดยอมแพ้หรือท้อถอยอะไร ......  :a2:

และกับครั้งนี้ .... กับความรู้สึกอบอุ่น ... ได้รู้สึกเหมือนถูกเติมเต็มกับความรักความผูกพันธ์ ความหวังต่างๆที่เคยได้คาดหวังและรอคอยก็กลับมาเป็นภาพที่เห็นได้ชัดเจน ไม่ได้เป็นเพียงความฝันอีกต่อไป ...... เมื่ออ่านจบเรื่องราวในภาคนี้อย่างสมบูรณ์แล้วนั้น .... ผมก็รู้สึกอุ่น ... รู้สึกอิ่มไปทั้งใจเลยครับ ....

ถ้าใครได้อ่านเรื่องราวไปเพียงแค่ภาคนี้ ผมขอแนะนำ .... highly recommend เลยครับว่าควรไปเริ่มอ่านตั้งแต่ภาคแรก .... จะได้ความรู้สึกที่เหมือนกับแบบ .... จากความรู้สึกโหวงๆ เหมือนหัวใจมันมีอะไรขาดๆหายไป เหมือนมีหมอกสีเทาๆแผ่ปกคลุมความรู้สึกอยู่  :sad2: ..... ก็จะเริ่มรู้สึกถึงแสงสว่างและภาพที่ชัดเจนมากขึ้นๆเรื่อยๆ ... พร้อมทั้งความอบอุ่นที่ค่อยๆแผ่ซ่านเข้ามาในหัวใจเลยครับ  :m1:

ขอบคุณต้นนะครับที่แต่งเรื่องดีๆแบบนี้มาให้พวกเราได้อ่าน  o13 ให้พวกเราได้อ่านเรื่องที่ทำให้รู้สึกดีๆ อบอุ่น และมองเห็นความสวยงามและความเป็นไปได้ในชีวิต .... ได้เห็นถึงความฝันและมีความหวังที่จะให้เกิดความรักดีๆแบบนี้ในชีวิตของตัวเองบ้าง .....  และขอขอบคุณต้นที่อุตส่าห์เสียสละเวลาทุกวันๆมานั่งโพสเรื่องให้พวกเราอ่าน และคอยตอบ reply พวกเราด้วยนะครับ  o15

........  :m11:

รอคอยเรื่องต่อไปของต้นอยู่นะครับ สำหรับเรื่องนี้ ลองรวมเล่มขายเลยมั๊ยครับ  o17 ผมว่ามีคนซื้อหลายคนแน่ อิอิ แบบว่า พิมพ์ขำๆ เอารายได้ส่วนหนึ่งไปทำบุญก็ได้ค้าบ  :m4:

------------------

ปล. ไหนๆก็จะเดินทางไปถึง California <Los Angeles> แล้ว ลองเขียนภาคพิเศษให้เมฆกะซันไปเถลไถลแถวๆ CA <Sanfrancisco> หรือ CA <Las Vegas> มั๊ยครับ แบบไปแอบจดทะเบียนสมรสกันอ่ะ อิอิ ไปตีตราจองกันไว้เลย .... 2 ที่นี้เค้ายอมให้ชาย-ชายจดทะเบียนกันได้แล้วนี่ใช่มะครับ  :m3:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 05-10-2007 02:51:48
บทลงท้ายที่ประทับใจมากๆ  :m3:  :m3: ขอบคุณ คุณต้นที่เขียนเรื่องราวสวยงามให้อ่าน

จะติดตามผลงานต่อไปจ้า  :give2:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 05-10-2007 03:07:20
^
ชอบที่BlueWizard รีข้างบน จังเลย  รีไว้หมดแย้ว เราจะรี..อะไรล่ะเอิ้กๆ 

ใช้เวลาอ่านอยู่นานเหมือนกัน 
ไม่เคยอ่านอะไรที่รู้สึกว่า  บางช่วง อ่านไปยิ้มไป
บางช่วงอ่านไป ใจโหวงๆ เหงาๆไป ทั้งๆที่ มันเป็นตอนที่อ่านแล้ว

เนี่ย อย่างรีข้างบนบอกเลย
 (.... จากความรู้สึกโหวงๆ เหมือนหัวใจมันมีอะไรขาดๆหายไป เหมือนมีหมอกสีเทาๆแผ่ปกคลุมความรู้สึก)     :sad2:
อ่านไปมันเป็นอย่างนั้นจริงๆนะ เอิ้กๆ
แต่พออ่านนจบนะ....มันโล่งหมดเลย       :give2:

ที่ว่าง...ของความรู้สึก ที่ถูกเติมเต็ม ด้วยความรักของกันและกัน
จบลงได้อย่างประทับใจ จริงๆ ค่ะ
ประทับใจ ทั้งเนื้อเรื่อง  ทั้งภาพ ทั้งคนแต่งเลยค่ะ  ยกนิ้วให้เลยจริงๆ   o13

แต่ถ้าจะมี  SP  ก้อดีนะค๊า...แฮ่ๆ      :m3:   :m3:   :m3:
ขอบคุณมากค่า... สำหรับนิยายดีๆ     o1
จะรออ่านเรื่องต่อๆไป ของคุณต้นนะคะ     o15

***เห็นภาพ "you're my angel"  เหมือนปีก แองเจิล จริงด้วยๆ
เหมือนกำลัง  คลี่ปีก เพื่อโอบอุ้ม ท้องฟ้าเลยเนอะ ดูแล้วขนลุก  สวยจริงๆ  
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: Ex'ecuzě ที่ 05-10-2007 03:50:16
ในที่สุดก้อได้อ่านของพี่ชายจนจบแร้น o7
ชอบมากมายเรยอ้ะ พี่ต้น ๆ คิดถึงน้า ๆ
ไว้ปายเที่ยวกานเท้อ (หลังสอบอ่ะ)
น้า ๆ ชวนพี่ปืน พี่วิก ปายด้วย น้า ๆ ๆ ๆ อยากเที่ยว (อยากมีคนเลี้ยง)  :o8:

ปล.หนึ่ง จามีใครในโลกนี้ เป็นแบบ ไคลน์ บ้างป่าวหว่า .... อยากเจอจางเร้ย  :undecided:
ปล.จ๋อง คุณ BlueWizard คับผม พี่ต้น แกทำบุญไม่ได้หรอกคับ หึหึ  :m19:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 05-10-2007 09:18:46
แหม ชมกันจนผมขนลุกเลยคับ คงม่ายขนาดนั้นมั๊งคับ แต่แค่ถ้าอ่านแล้วมีความสุขกันผมก้อดีใจคับ
 o14

ปล. sp นี่ไอ้ต้นไม่รู้จักอ่ะคับ  :m17: รู้จักแต่ sm  :m30:
ปล. ปากดีนะไอ้น้องชาย ว่าแต่สอบเสดเมื่อไหร่หวา กว่าจะมารีของกรูได้ จบพอดี  :angry2: เจอหน้าจะจับไปตัดสกินเฮดให้เข็ด


หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 05-10-2007 09:40:53
จบซะแล้ว อ่านแล้วซาบซึ้งชะมัด
จะรอบทสรุปนะจ๊ะ :m18:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: graydragon ที่ 05-10-2007 09:54:11
จบได้ประทับใจมากเลยงับ ซึ้งมากเลย อ่านจบน้ำตาซึมตามเลยอะ o7
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 05-10-2007 12:42:33
 :-[
จบแล้วววววว สวยงามครับบบบ ติดตามกันมาตั้งแต่ภาคแรก... เสียน้ำตากันตามอัตภาพ... :m15:
และดีใจมากมายยยยที่จบลงด้วยความประทับใจแบบนี้.....เชื่อสิ โลกยังมีความรักที่สวยงามเสมอ...
...ความรักที่งดงามล้วนต้องผ่านการทดสอบ.... :teach:
 :m26:
ชอบเนื้อเรื่องที่พาพวกเราร่วมเดินทางไปกับศิลาและฟ้าคราม...ได้ท่องเที่ยวไปพร้อม ๆ กัน...
ได้ติดตามการเดินทางของชีวิตทั้งคู่...ยามเจอเรื่องราวร้าย ๆ ก็ห่วง ก็เศร้า เหงาและเสียใจไปพร้อม ๆ กัน
แอบอมยิ้ม เขิน หรือ....ยามสเมิร์ฟกัน... ไม่ได้หื่นนนน อย่าเอาผมไป vote สาขานี้นา... :try2:
คิด ๆ ไปแล้วก็ใจหาย ยามที่เรื่องราวที่เราติดตามกำลังจะปิดตัวลง.... :เฮ้อ:
 o14 o15
ขอบคุณมากมายยยยกับการสละเวลานำเรื่องราวดี ๆ มาให้ได้ติดตามกัน +ความน่ารักให้เพิ่มเติม...
ติดสินบนไว้ล่วงหน้า เพื่อให้นำเรื่องใหม่ ๆ มาเสนอให้เพื่อน ๆ ในบอร์ดต่อไป.... :m13:

ปฐพีโอบอุ้มน้ำ...ฟากฟ้าครามงามวิไล
หมู่เมฆาประดับไซร้...ชื่นฉ่ำใจได้เฝ้ามอง
ตามติดชีวิตคู่...เริ่มเฝ้าดูยามเศร้าหมอง
สานรักสองคู่ครอง...หวังทั้งผองสุขนิรันดร์

 :m1:

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: ~prince™~ ที่ 05-10-2007 13:46:30





                              ............................จบได้อย่างซาบซึ้ง..........................  :m2:

                             ...................................กินใจ...................................... o7

                             .................................ประทับใจ.................................. :impress:

                             ......................และอบอุ่นใจมากเลยคับ......................... :o8:




....................อยากจะบอกว่าผมชอบเรื่องนี้มากๆคอยติดตามอ่านมาตลอดตั้งแต่ภาคแรกจนถึงภาคนี้..............

....................ชอบการใช้ภาษาและความหมายของความรักที่คนเขียนได้เรียงร้อยออกมาซาบซึ้งมากคับ.........

.....................เกินคำบรรยายจริงๆอ่านแล้วอยากจะร้องไห้เพราะความซาบซึ้ง.....ชอบจิงๆคับ.........................


.................ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆแบบนี้นะคับ.....ขอบคุณที่ทำให้ผมได้อ่านเรื่องที่ดีๆ........ขอบคุณครับ.. o1






หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 05-10-2007 17:19:47

...........ง่ะ... :o8:....อิจฉาจังเลย...........

..........“วันต่อไปจะมีกันหรือไม่ ไม่สำคัญ  วันนี้เป็นเวลาที่ดีที่สุด ที่เรา - - มีกันและกันก็พอ”

.........ขอบคุณพี่ต้นนะคับ......เขียนได้ประทับใจจัง........... o15 o14
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 05-10-2007 19:14:25
หุหุ จบไปแบบประทับใจอีกเรื่อง  :impress:  :impress:  :impress:
ขอบคุณคนแต่ง สำหรับเรื่องราวดี ๆ  o15
ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ จะรอติดตามผลงานต่อไปน้า  o1
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: t_warawut ที่ 05-10-2007 20:39:45
ขอชื่นชมจากใจจริงครับ ว่า "เยี่ยมมาก" ครับ

นอกจากเรื่องนี้ ภาษาจะสวย ตัวละครมีมิติ มีเหตุผลและที่มาที่ไปของการกระทำแล้ว  ผมขอชื่นชม ที่คุณทำการบ้านมาดีมาก เกร็ดความรู้ต่างๆ  ที่สอดแทรก เข้ามา มันทำให้รู้ว่า คุณใส่ใจรายละเอียดทุกส่วนของเรื่อง มันทำให้กลมกล่อมยิ่งขึ้น


ขอบคุณนะครับ ที่ทำให้ผมได้อ่าน เรื่องๆ ดี เช่นนี้


จะติดตามผลงานชิ้นต่อไปนะครับ




ปล.  พีมาคุยไรกับเมฆครับ....ยังอยากรู้อยู่นะครับ อิอิ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 05-10-2007 20:54:16
จบแบบซึ้งมากเลยคับ ประทับใจจิงๆเลย จะรอบทสรุปนะคับ

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: Givesza ที่ 05-10-2007 21:11:29
จบซะแล้วอ่ะน่ะ.....แต่ก็ แฮปปี้ๆ ๆ ๆ ชอบๆค่ะ ไม่แสดงความเห็นหละ :impress:
เค้าเขียนกันหมดเปลือกหละ พี่ต้นเขียนได้แบบว่า...สุดย๊อดดดดดดดด มาก๊อดแนส อิอิ สลิตอังกฤษแหมหละ :try2:
ว่างๆมาแอ่วเจียงใหม่น่ะ แล้วจะพาเที่ยว อิอิ........ อิจฉา เมฆกับซัน....อยากได้.....ซักคน อิอิ :m10:
ขอบคุณนะคะ ที่แต่งเรื่อง....แบบสุดยอดอ่ะ แถม.ขอบอกว่าพี่ต้นเข้าใจคนอ่านมากเลยค่ะ
พี่บรรยายได้ขนาดนั้นถ้าที่ทำให้มันจบแบบไม่แฮปปี้อ่ะนะ โกรธมากมาย..อิอิ โหวตค้า โหวตค้า o17
ปล. อยากไปเที่ยวด้วย....ไปด้ายป๊ะ อิอิ :m13:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 05-10-2007 21:28:45
แหม ชมกันจนผมขนลุกเลยคับ คงม่ายขนาดนั้นมั๊งคับ แต่แค่ถ้าอ่านแล้วมีความสุขกันผมก้อดีใจคับ
 o14

ปล. sp นี่ไอ้ต้นไม่รู้จักอ่ะคับ  :m17: รู้จักแต่ sm  :m30:
ปล. ปากดีนะไอ้น้องชาย ว่าแต่สอบเสดเมื่อไหร่หวา กว่าจะมารีของกรูได้ จบพอดี  :angry2: เจอหน้าจะจับไปตัดสกินเฮดให้เข็ด
 


งั้น ซินจะอ่าน SM SM SM SM SM SM SM SM SM SM SM SMSM SM SM SM SM SM อิอิ  
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: Ex'ecuzě ที่ 05-10-2007 21:51:09
เชียร์ด้วย ๆ ตาม คุณ sun
พี่ต้น ขอ sm sm sm sm sm sm sm sm sm sm
จะแต่ง รึว่า เรื่องกะพี่ทึ่ม ก้อด้ายนะ หึหึหึ  :o8:

ปล. ทุก ๆ คนอย่ายอตาต้นมากคับ เด๋วพี่แกตัวลอยอ้ะ ยิ่ง "สูง ๆ " อยู่ด้วย  :m20:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: zest ที่ 05-10-2007 22:59:20
ตามอ่านเรื่องของต้นมานานแล้ว
ตั้งแต่บอร์ดอื่น(คงรู้ว่าบอร์ดไหน)
อ่านแล้วหยุดไม่ได้ต้องตามอ่านจนจบตลอด
จบแล้วก็รอ
รอแล้วก็ได้อ่าน
มีความสุขเสมอที่อ่านเรื่องที่ต้นเขียน
ผมว่าพัฒนาการด้านการเขียนของต้นดีขึ้นเรื่อย
เรื่องนี้ดีมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
สื่อถึงอารมณ์ได้สุดจริง
เวลาเศร้าก็รู้สึกเศร้าตาม :m15:
เวลาสนุกก็สนุกจริงๆ :m4:
ได้ทุกอารมณ์จริงๆ

*** เขืยนเรื่องมาให้อ่านอีกบ่อยๆนะครับ ชอบ++ :m3: :m3:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: ไอ้ซูชิ ที่ 05-10-2007 23:27:39
ขอบคุณครับ

ชอบความรักของคู่นี้มากครับ o13
หัวข้อ: Re: การเดินทางของŪ
เริ่มหัวข้อโดย: ninaprake ที่ 06-10-2007 07:24:13
ในที่สุดก้อได้อ่านของพี่ชายจนจบแร้น o7
ชอบมากมายเรยอ้ะ พี่ต้น ๆ คิดถึงน้า ๆ
ไว้ปายเที่ยวกานเท้อ (หลังสอบอ่ะ)
น้า ๆ ชวนพี่ปืน พี่วิก ปายด้วย น้า ๆ ๆ ๆ อยากเที่ยว (อยากมีคนเลี้ยง)  :o8:

ปล.หนึ่ง จามีใครในโลกนี้ เป็นแบบ ไคลน์ บ้างป่าวหว่า .... อยากเจอจางเร้ย  :undecided:
ปล.จ๋อง คุณ BlueWizard คับผม พี่ต้น แกทำบุญไม่ได้หรอกคับ หึหึ  :m19:

1. อยากเจอ อยากได้บ้างเหมือนกันนนนนนน o9  แต่ขอแบบซันกะเมฆน้า ชอบๆๆ
2. ทำไมต้นทำบุญไม่ได้เหรอคับ? แปลกใจๆ หรือจะเกี่ยวกะที่เป็น SM  o17 อิอิ ล้อเล่นน่า .... ต้นทำไม่ได้ก็ฝากผมทำก็ได้นะค้าบ  :a10:  
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 06-10-2007 11:08:51
ขอเพียงเข้มแข็งและเชื่อใจกัน จะฝ่าฟันและคู่เคียงกันไปได้ตลอด

ขอบคุณสำหรับเรื่องราวๆดีครับ
ทั้งเพลิดเพลินและได้ข้อคิดเตือนใจในการดำเนินชีวิต

อยากจะพบรักแท้สักครั้ง ก็ต้องมอบรักแท้ให้คนอื่นเสียก่อน
 :m11: :m11: :m11:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: ~ScAreD:SAcreD~ ที่ 07-10-2007 00:21:22
 o13  o13  o13  o13  o13
เอาไป 5 รอบสำหรับความเยี่ยมของนิยายเรื่องนี้เลยครับ ต้น

รู้สึกเสียดายมากๆที่ทันมาอ่านตอนครึ่งหลังแล้ว ใกล้จะจบ

ขอบคุณมากๆสำหรับเรื่องราวดีๆแบบนี้นะครับ ไม่ได้มีความรู้สึก "อิ่ม" แบบนี้มานานแล้ว

แต่เรื่องนี้ มันทำให้ผมยิ้มได้เวลาอ่านจริงๆครับ

สุดยอดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด  o1 (ข้าน้อยขอคารวะ)
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: ninaprake ที่ 07-10-2007 02:38:22
ขอเพียงเข้มแข็งและเชื่อใจกัน จะฝ่าฟันและคู่เคียงกันไปได้ตลอด

ขอบคุณสำหรับเรื่องราวๆดีครับ
ทั้งเพลิดเพลินและได้ข้อคิดเตือนใจในการดำเนินชีวิต

อยากจะพบรักแท้สักครั้ง ก็ต้องมอบรักแท้ให้คนอื่นเสียก่อน :m11: :m11: :m11:

..... แล้วจะรู้ได้ยังไงหล่ะครับว่า ... ใคร ... คือคนๆนั้น ที่เราสมควรจะมอบรักแท้ให้  o7 ยังไม่มีใครที่มองมากกว่าความเป็นเพื่อนอยู่รอบตัวเล้ยยยย  o7
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 08-10-2007 11:11:30
Epilogue

(หนึ่งปีผ่านไป.............)


ผมกำลังวิ่งเหยาะๆพร้อมกับเลี้ยงลูกบาสเอาไว้ในมือ เมื่อผมเข้าไปใกล้ใต้แป้นบาสมากขึ้นผมก็กระโดดลอยตัวขึ้นสูงพร้อมกับปล่อยลูกบาสให้หลุดออกจากมือแล้วไหลลอดห่วงไป ผมรีบเอื้อมมือไปคว้ามันกลับมาไว้ก่อนที่มันจะกลิ้งกระดอนไปไกลแล้วผมต้องวิ่งไปตามเก็บมันกลับมาอีก

“ผมว่าผมต้องกลับแล้วล่ะ” ผมหันไปบอกเพื่อนร่วมสนามของผมอีกสามคน แล้วก็โยนลูกบาสคืนให้กับแอนดี้

“อ้าว ทำไมกันล่ะ เหนื่อยแล้วรึไง” แอนดี้รับลูกบาสเอาไว้แล้ววิ่งเหยาะๆขึ้นไปกระโดดชู๊ตซะเอง

“หรือว่าวันนี้ต้องรีบไปไหนรึเปล่า” โคล หนุ่มผิวดำที่เล่นบาสกับผมเป็นประจำถามขึ้นบ้าง

“เปล่าหรอก แต่ว่าเย็นนี้ผมมีธุระนิดหน่อยน่ะ” ผมหันไปยิ้มให้กับเขา เดินมานั่งลงข้างริมสนามแล้วยกขวดน้ำขึ้นดื่ม

“อย่างนี้ท่าทางจะมีธุระสำคัญจริงๆแฮะ ถึงขนาดไม่อยู่รอคนอื่นๆมาจนครบเนี่ย” แอนดี้หัวเราะเบาๆ

“ช่าย ธุระทางใจน่ะ” ผมตอบออกไป ทำให้ทั้งสามคนหัวชอบใจกันยกใหญ่

ผมมองไปรอบๆกาย แดดร่มๆ ลมเย็นๆที่พัดมาอย่างต่อเนื่องช่วยให้ผมรู้สึกสบายขึ้นได้มาก ทั้งร่างกายแล้วก็จิตใจ....... เปล่า ไม่ใช่ว่าที่ผมมาเล่นบาสวันนี้นี่เป็นเพราะผมกำลังมีเรื่องกลุ้มใจอยู่หรอก ผมเองก็มาเล่นบาสที่นี่เวลานี้เป็นปกติอยู่แล้ว และมันก็ทำให้ผมได้รู้จักคนอื่นๆและมีเพื่อนเล่นมากขึ้นหลายคนด้วย เพียงแต่ว่าวันนี้ ตอนนี้ เวลานี้ ผมกำลังคิดถึงบางสิ่งที่มันอาจจะเปลี่ยนแปลงอนาคตและความรู้สึกบางอย่างในใจของผมไปได้ตลอดการเลยทีเดียว....... บางสิ่งที่เป็นก้าวสำคัญที่ผมเฝ้ารอคอยมันมานานแสนนานแต่ก็ยังอดรู้สึกกังวลไม่ได้เมื่อมันกำลังจะมาถึงเข้าจริงๆ

ผมลุกขึ้นยืนบอกลาทุกคน และเดินออกจากสวนสาธารณะประจำของเรากลับไปยังบ้านหลังที่ผมใช้พักอาศัยมามากกว่าหนึ่งปี และเมื่อผมเปิดประตูบ้านเข้าไป ผมก็ได้ยินเสียงห้าวๆเสียงหนึ่งที่ผมคุ้นเคยดังออกมาจากบนชั้นสองทันที

“แม่ อย่าลืมบอกไคล์ด้วยนะว่าพรุ่งนี้ให้มันเอากระเป๋าเป้ผมมาคืนด้วย”

ผมเดินไปหยุดอยู่ที่โซฟาในห้องรับแขกและเห็นแม่กุ้งกับพ่อเล็กกำลังเดินลงมาจากบันได

“จ้าๆ รู้แล้วน่า เดี่ยวยังไงคืนนี้แม่โทรกลับมาหาอีกที........เอ แต่คิดไปคิดมาไม่โทรดีกว่า” แม่กุ้งหัวเราะคิกคักทำเอาผมที่ได้ยินอดรู้สึกเขินจนหน้าแดงไปด้วยไม่ได้

“อ้าวเมฆ กลับมาจากเล่นบาสแล้วเหรอ” พ่อเล็กเป็นคนเห็นผมแล้วทักขึ้นมาก่อน

นับตั้งแต่ปีที่แล้วหลังจากที่เรากลับมาจากแกรนด์ แคนยอน ผมก็เริ่มเรียกป้ากุ้งว่าแม่ และเรียกลุงสันต์ว่าพ่อเล็กแทนคำว่าคุณลุง และมันก็มีความหมายว่าเขาคือพ่อคนที่สองถัดจากพ่อเอก พ่อแท้ๆของผมนั่นเอง

“ครับ เพิ่งกลับมาถึงเดี๋ยวนี้เอง ว่าแต่นี่จะออกไปกันจริงๆเหรอครับเนี่ย”

“ไปสิ วันนี้มันไม่ใช่วันของพ่อกับแม่นี่นะ” พ่อเล็กเดินลงมาจากบันไดแล้วตรงเข้ามาตบบ่าผมเบาๆพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า “ตามสบายเลย คืนนี้บ้านหลังนี้เป็นของเราสองคนแล้ว”

ผมก้มหน้าเพราะความอายแต่ก็ยังคงมีรอยยิ้มกว้างอยู่เช่นกัน ถึงยังไงๆผมก็ยังคงไม่เคยชินกับการถูกคนอื่นนอกจากพ่อของผมพูดตรงๆกับผมในเรื่องแบบนี้อยู่ดี

“อ้าว เมฆ มาพอดีเลย นี่แม่กำลังจะออกไปกันแล้วเนี่ย แต่กำลังรออีกหนึ่งหนุ่มให้เขาแต่งตัวให้เสร็จก่อนน่ะนะ” แม่กุ้งเดินเข้ามากอดผมเบาๆ “อาหารอะไรก็เตรียมพร้อมแล้วใช่มั๊ย วันนี้แม่วานให้ริต้าเขามาทำไว้ให้แล้วนี่นะ เหลือแค่เอาไปอุ่นก็น่าจะใช้ได้แล้วล่ะมั๊ง”

“ครับ ขอบคุณมากนะครับ” ผมยกมือขึ้นไหว้ “ว่าแต่....... ไอ้ซันไม่รู้เรื่องนี้ใช่มั๊ยครับ”

“โอ๊ยยย ลูกแม่คนนั้นน่ะนะจะรู้อะไร ทั้งชีวิตมันเข้าไปในครัวก็แค่ไปเปิดตู้เย็นหาของกินกับดื่มน้ำเท่านั้นแหละ มันไม่เคยสนใจอย่างอื่นหรอก” แม่กุ้งหัวเราะ “ตอนนี้ก็นั่งเล่นคอมอยู่ในห้องนั่นน่ะ เห็นว่าต้องพิมพ์รายงายอะไรสักอย่าง ถ้าพร้อมแล้วค่อยขึ้นไปเรียกเขาก็แล้วกัน”

“แต่จริงๆแล้วพ่อกับแม่ก็ไม่จำเป็นต้องทำขนาดนี้หรอกนะครับ ผมเกรงใจจริงๆ”

แม่กุ้งวางมือลงบนบ่าของผมเบาๆ จากนั้นก็ยิ้มให้กับผม “แม่เคยพูดแล้วไง ว่าแม่ฝากลูกชายของแม่เอาไว้กับเมฆ แม่รักลูกชายของแม่ทั้งสองคนนะ ยิ่งแม่ได้เห็นความรักที่ลูกมีให้แก่กันแล้วแม่ก็ยิ่งภูมิใจมากขึ้นไปอีก พ่อแม่ทุกคนในโลกต่างก็มีความสุขเมื่อเห็นลูกของตัวเองมีความสุขทั้งนั้นแหละ ซันเป็นลูกชายคนเดียวของแม่ และความปรารถนาสูงสุดของแม่ก็คือการได้เห็นลูกแม่มีความสุข และเมฆก็เป็นคนๆนั้นที่ทำให้ซันเป็นแบบนี้ แถมดูตอนนี้สิ ลูกทั้งคู่ต่างก็กำลังมีความสุขกันมากจริงๆ เพราะฉะนั้น วันนี้ที่เป็นวันสำคัญของลูกทั้งสองคน ดังนั้นมันจึงไม่จำเป็นที่พ่อกับแม่ต้องอยู่บ้านเป็น กขค นี่จ๊ะ”

“ไม่ใช่แบบนั้นเลยนะครับ ผมไม่ได้คิดว่าพ่อกับแม่เป็น กขค อะไรเลยอย่างนั้นเลยจริงๆนะ” ผมรีบท้วง

“พ่อรู้ๆ แม่เขาก็พูดไปแบบนั้นเองล่ะน่า......” พ่อเล็กเดินมาจับบ่าของผมไว้แล้วดึงตัวผมออกไป “ถ้าเป็นวันครบรอบวันแต่งงานของพ่อกับแม่ เราสองคนก็อยากจะอยู่กันตามลำพังเหมือนกันนั่นแหละ และนี่ก็เป็นวันครบรอบครั้งแรกของลูกชายเราด้วย เพราะงั้นพ่อกับแม่ก็มีหน้าที่เดียวที่ต้องทำนั่นก็คือหายตัวไปจากที่นี่ให้ไกลที่สุดยังไง วันนี้เป็นวันสำคัญที่คนทั้งสองคนควรจะจดจำไว้นี่นะ ขอให้มีความสุขกันก็แล้วกัน เข้าใจแล้วนะ”

ผมรู้สึกว่าตัวเองหน้าแดงขึ้นมาอีกครั้ง............


.
.
.


คืนหนึ่ง ไม่นานหลังจากที่เรากลับมาจากท่องเที่ยวครั้งนั้น ผมกับไอ้ซันก็เดินเข้าไปในห้องนอนของพ่อเล็กกับแม่กุ้งเพื่อบอกถึงความสัมพันธ์ของเราสองคน และสิ่งที่พวกเขาทั้งสองคนตอบกลับมามันก็ทำให้ผมอึ้งไปเลยทีเดียว...........

“ไอ้ซัน มึงแน่ใจนะว่าจะให้กูเข้าไปด้วยน่ะ” ผมถามมันเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง รู้สึกราวกับว่าหัวใจของผมมันเต้นแรงจนกำลังจะหลุดออกมาจากหน้าอกอยู่แล้ว

“เออ แน่ใจสิ มึงเชื่อกูสักทีเหอะน่าว่าไม่เป็นอะไรหรอก กูพนันด้วยตูดปีโป้ของมึงสามคืนเลย” ไอ้ซันหัวเราะ

“มึงจะยังมีอารมณ์มาตลกอีกนะ” ผมหันไปทำตาเขียวใส่มัน รู้สึกอยากจะตบกบาลมันที่ทำเป็นเล่นตลกไม่รู้จักดูเวลากาลเทศะซะบ้าง

“กูบอกให้มึงเชื่อใจกูก็พอแล้ว เอ้า ไปเร็ว” ไอ้ซันยื่นมือให้ผมจับ ผมลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ไม่คิดว่าการที่มันจูงมือผมเดินเข้าไปในห้องนอนของพ่อกับแม่ของมันนั้นจะเป็นความคิดที่ดีเท่าไหร่นัก “มาเหอะน่า” ไอ้ซันคว้ามือของผมแล้วก็ฉุดให้ผมยืนขึ้น จากนั้นมันก็กึ่งเดินนำกึ่งลากผมไปหยุดอยู่ที่หน้าห้องนอนใหญ่ มันเคาะประตูลงไปสองสามที ไม่นานนัก แม่กุ้งก็เป็นคนเปิดประตูออก

“ผมขอเข้าไปคุยหน่อยได้มั๊ย แม่ มีเรื่องสำคัญจะคุยด้วยน่ะครับ” ไอ้ซันพูด

แม่กุ้งมองมายังมือของเราสองคนแว่บหนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองผม จากนั้นก็เปิดประตูออกให้กว้างขึ้น

เมื่อเราสองคนเดินเข้าไปในห้อง ไอ้ซันก็พูดขึ้นทันที “แม่ครับ พ่อครับ ผมรักไอ้เมฆครับ รักมากด้วย รักมานานมากแล้ว ผมเคยเกือบจะเสียมันไปแล้วหลายต่อหลายครั้ง เพราะงั้นตอนนี้ผมจะไม่ยอมสูญเสียมันไปอีก พ่อกับแม่เข้าใจผมมั๊ยครับ”

ผมมองหน้ามันด้วยความรู้สึกตกใจแบบสุดๆ ผมรู้สึกใบหน้าของตัวเองร้อนผ่าวแต่ก็รู้สึกราวกับกำลังจะเป็นลมไปได้ทุกเมื่อด้วย เมื่อผมละสายตาออกไปจากใบหน้าของมันแล้ว สิ่งเดียวที่ผมกล้าสบตาด้วยก็คือปลายเท้าของผมเอง

“แม่ว่าแม่เห็นมันได้ชัดเจนแล้วล่ะ” แม่กุ้งพูดขึ้น “เล่นจับมือกันเข้ามาแบบนี้เลยนี่”

ผมพยายามจะชักมือกลับทันที แต่ไอ้ซันก็ขืนแรงเอาไว้

“แล้วเมฆล่ะ คิดว่ายังไง” พ่อเล็กพูดขึ้นบ้าง

“ผม เอ่ออ..... ผม.......” ผมเงยหน้าขึ้นมาสบตากับท่านแค่เพียงครู่หนึ่งจากนั้นก็ก้มหน้าลงไปอีกครั้ง “ผมเองก็รักมันครับ” ผมไม่รู้เลยว่าตอนนี้สภาพในห้องตอนนี้คนอื่นเขาทำหน้ากันยังไงหรือยืนอยู่ตรงส่วนไหนกันบ้าง และสิ่งถัดมาที่ผมรู้สึกนั่นก็คือ ความอบอุ่นจากมือของแม่กุ้งที่จับอยู่บนแก้มของผมแล้วช้อนให้ผมเงยหน้าขึ้นมาเบาๆ

“ไม่เป็นไรหรอกลูก พ่อกับแม่รู้อยู่แล้วล่ะ” แม่กุ้งยิ้มอย่างอ่อนโยน

ผมหันไปสบตากับไอ้ซันแล้วก็เห็นมันยืนยิ้มรออยู่ก่อนแล้ว จากนั้นผมก็หันกลับมาสบตากับแม่กุ้งอีกครั้ง

“คนเป็นพ่อเป็นแม่น่ะย่อมดูออกอยู่แล้วล่ะว่าลูกของตัวเองกำลังมีความรักรึเปล่า และที่สำคัญ ยิ่งคนที่ลูกของแม่หลงรักมาอาศัยอยู่บ้านเดียวกับเราแบบนี้ มันก็ยิ่งดูออกง่ายเข้าไปใหญ่ จริงมั๊ย พ่อ” แม่กุ้งหันไปหาพ่อเล็กที่กำลังนอนยิ้มอยู่บนเตียง

“หึๆ อย่างไอ้ซันน่ะเหรอจะหัดเก็บความรู้สึกเป็น ถ้าเรื่องอื่นๆล่ะก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้าเป็นเรื่องของเราล่ะก็ เมฆ มันไม่เคยโกหกพ่อกับแม่ได้เลยสักที” พ่อเล็กหัวเราะเบาๆ

“แม่มองตาของเราสองคนแม่ก็รู้แล้วว่าเราทั้งคู่น่ะรักกันมากแค่ไหน ตั้งแต่สมัยที่เรายังเรียนอยู่ด้วยกันแล้วด้วยซ้ำ โดยเฉพาะหลังจากที่เมฆเข้าโรงพยาบาลน่ะนะ....... เฮ้อ แม่ก็แค่รอวันที่ลูกทั้งสองคนพร้อมจะเดินมาบอกพ่อกับแม่เองแบบนี้เท่านั้นแหละ”

“คือ...... คุณลุงกับ..... เอ๊ย ขอโทษครับ ผมหมายถึง แม่กุ้งกับพ่อเล็ก.......” ผมรีบแก้คำพูดตัวเองเมื่อเห็นสีหน้าของแม่กุ้ง “ทั้งสองคน....... แบบว่า รับเรื่องนี้ได้เหรอครับ.......” ผมถามออกไปอย่างยากลำบาก เพราะกลัวความคิดที่ว่าผมเป็นต้นเหตุที่ทำให้ลูกเขาเป็นแบบนี้ แถมยังมีหน้ามาอาศัยอยู่บ้านของเขาอีก

“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ พ่อกับแม่ก็บอกแล้วไงว่ารู้มาตั้งนานแล้ว คุณเอก พ่อของเราน่ะ ยังรับได้เลยนี่นา แถมเมฆก็เป็นเด็กดีมากด้วย มีอะไรให้เสียล่ะ” แม่กุ้งตอบ

“แต่ผมยังมีปัญหาอยู่สองอย่างนะครับ แม่” ไอ้ซันพูดขึ้นบ้าง ผมเองก็หันไปมองมันด้วยความประหลาดใจ รู้สึกว่าตอนนั้นหัวสมองของผมมันยังทำงานได้ไม่เข้าที่เข้าทางเท่าไหร่นัก

“ปัญหาอะไรอีกล่ะ พ่อกับแม่ก็บอกแล้วไงว่าเราเข้าใจและไม่มีปัญหากับเรื่องนี้” แม่กุ้งถาม

“อย่างแรกเลยคือ ผมอยากจะแน่ใจว่าพ่อกับแม่ไม่ได้โกรธ หรือ ไม่ผิดหวังในตัวของผมใช่มั๊ยครับ.......”

“จะผิดหวังทำไม เรารักลูกชายของเรา และลูกของเราก็เป็นคนดีไม่ได้ไปฆ่าไปแกงหรือทำตัวเหลวไหลอะไรสักหน่อย” แม่กุ้งพูด

“ใช่ และที่สำคัญ ถ้าเป็นเมฆล่ะก็ยังถือว่าดีกว่าคนอื่นๆเยอะ ดีกว่ายัยผู้หญิงที่แกเคยคบด้วยเมื่อก่อนหน้านี้หลายสิบเท่าด้วยซ้ำ ซัน” พ่อเล็กพูดเสริม

“โถ่ พ่อ ไม่พูดถึงเรื่องเดิมๆแล้วน่า......” ไอ้ซันโอดครวญ “แต่ปัญหาอีกอย่างนึงก็คือ พ่อกับแม่จะไม่ได้อุ้มหลานแล้วนะ”

“โอ๊ยยย ช่างมันเถอะ ถ้าได้อุ้มหลานแต่ลูกชายแม่ไม่มีความสุขล่ะก็ แม่ก็ไม่เอาหรอก และที่สำคัญ อุ้มหลานไอ้ไคล์มันก็ได้นี่นา คงต้องรออีกหลายปีหน่อยแต่ก็ไม่เป็นไรหรอก”

ผมกับไอ้ซันมองหน้ากัน แล้วไอ้ซันก็หัวเราะออกมาเบาๆ แต่ผมกลับรู้สึกแปลกๆและทำหน้าไม่ถูก

“ผมว่าเราสี่คนคงต้องคุยกันอีกเยอะเลยล่ะครับ” ไอ้ซันพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนใบหน้า “คืนพรุ่งนี้พ่อกับแม่กลับมากินข้าวเย็นที่บ้านนะ เดี๋ยวผมให้ที่รักทำกับข้าวไว้รอ แล้วเดี๋ยวเราค่อยคุยรายละเอียดกันอีกที”

ผมหน้าแดงขึ้นมาอีกครั้งแล้วก้มหน้าลงทันทีเมื่อได้ยินมันเรียกผมแบนั้นต่อหน้าพ่อและแม่ทั้งสองคน

“แบบนั้นก็ดี พ่อกับแม่เองก็อยากจะคุยเรื่องนี้กับเราสองคนเหมือนกัน แต่วันนี้มันก็ดึกมากแล้วด้วย พรุ่งนี้พ่อต้องตื่นไปทำงานแต่เช้า เพราะงั้น มีอะไรก็ค่อยว่ากันพรุ่งนี้อีกทีก็แล้วกัน” พ่อเล็กพูด

“ไม่ต้องกังวลไปนะ เมฆ” แม่กุ้งดึงตัวของผมเข้าไปกอด “แม่รักลูกนะจ๊ะไม่ว่ายังไงก็ตาม แล้วก็ฝากดูแลไอ้ลูกชายตัวแสบของแม่นี่ด้วยก็แล้วกัน”

คืนนั้นผมเดินออกมาจากห้องนอนของพ่อกับแม่ไอ้ซันด้วยความรู้สึกที่ท่วมท้นอย่างบอกไม่ถูก นอกจากความยอมรับที่ผมเพิ่งได้รับมาแล้ว ผมยังได้รับความรักและการต้อนรับเข้าเป็นสมาชิกส่วนหนึ่งของครอบครัวนี้อย่างเป็นทางการอีกด้วย เย็นวันต่อมาบนโต๊ะอาหาร เราทั้งสี่คนก็นั่งคุยเรื่องของเราสองคนอย่างจริงๆจังอีกครั้ง เราเล่าทุกอย่างเท่าที่เล่าได้ให้ท่านทั้งสองฟัง เราคุยกันถึงเรื่องในอดีต คุยถึงเรื่องของอนาคตที่ผมกับไอ้ซันตั้งใจไว้ว่าจะทำด้วยกัน และยังรวมไปถึง.......... เรื่องของไคล์กับคนอีกคนหนึ่งด้วย


.
.
.


ผมยกข้อมือขึ้นมาทำเป็นดูเวลาเพื่อแก้เขิน และตอนนั้นเองที่ผมได้ยินเสียงๆหนึ่งดังขึ้นจากตรงบันได

“ผมพร้อมแล้วครับ ขอโทษนะครับที่ให้รอ.........” พีเดินลงมาพร้อมกับกระเป๋าสะพายบ่าใบเล็กใบหนึ่ง “อ้าวพี่เมฆ กลับมาแล้วเหรอครับ” เขาเดินตรงเข้ามากอดผม

“ไปหาไคล์ใช่มั๊ย” ผมยิ้ม

“ถ้าพูดจริงๆแล้วต้องบอกว่า ผมหาเรื่องลี้ภัยออกจากบ้านหลังนี้ไปคืนนึงมากกว่าครับ” พียิ้มกว้าง

หลังจากที่เรากลับมาจากอเมริกา เราทุกคนก็ยังคงติดต่อกับพีอยู่อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะผมที่เขาอุตส่าห์เข้ามาคุยด้วยตั้งแต่ก่อนวันที่เราจะกลับออกจากแกรนด์ แคนยอนกันแล้วว่า เขาต้องการคำปรึกษาเรื่องการมาเรียนต่อที่อังกฤษนี่ เขาต้องการกำลังใจและการสนับสนุนจากพวกเราเยอะมาก ไม่ว่าจะทั้งจากไคล์ ผม ซัน และครอบครัวของเราทุกคนที่นี่ เขาต้องฝ่าฟันและพูดคุยหลายสิ่งหลายอย่างกับพ่อแม่ และเขาก็ยอมเสียเวลาไปอีกหนึ่งปีเพื่อที่จะได้มาอยู่ใน “สถานที่” ที่เขาต้องการจะอยู่และรู้สึกสบายใจมากที่สุด และท้ายที่สุดแล้ว...... ผมก็มีรอยเท้าๆเล็กที่เดินตามหลังผมมาโดยเห็นแผ่นหลังของผมเป็นแบบอย่าง และครอบครัวของเราก็ได้สมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน

“พูดดีเข้าไปเห้อออ แล้วอีกแค่ไม่กี่วันก็จะถึงวันของใครบ้างแล้วล่ะ” ผมหยิกแก้มเขาเบาๆ

“เอาล่ะๆ งั้นเราก็ไปกันเถอะ เดี๋ยวที่บ้านนั้นเค้าจะรอเราไปทานอาหารเย็นนานเกินไป” พ่อเล็กเร่ง จากนั้นก็เดินออกจากประตูบ้านไป ตามด้วยแม่กุ้งที่เดินตามไปติดๆ

“ฝากบอกไคล์ด้วยนะ ว่าเจอกันพรุ่งนี้” ผมหอมแก้มของพีเบาๆ และเขาก็หอมแก้มผมกลับเช่นเดียวกัน

“ขอให้มีความสุขนะครับ พี่เมฆ”

“พี่คิดว่าพี่ต้องมีแน่ๆครับ ไม่ต้องห่วง” ผมยิ้มกว้าง จากนั้นก็เดินไปส่งพวกเขาทุกคนขึ้นรถ จนกระทั่งพ่อเล็กขับรถออกไปแล้ว ผมจึงเดินกลับเข้าไปในบ้านอีกครั้ง คราวนี้บ้านทั้งหลังก็เหลือเพียงแค่ผมกับไอ้ซันอยู่กันตามลำพังตลอดทั้งคืนแล้ว ผมปิดประตูบ้านลง แล้วก็เดินขึ้นบันไดไปบนชั้นสอง ผมเดินผ่านหน้าห้องของพีที่เคยเป็นห้องของผมมาก่อนครั้งหนึ่งไปยังห้องของผมกับไอ้ซัน เมื่อผมเปิดประตูเข้าไป ผมก็เห็นไอ้ซันกำลังนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ของตัวเองอยู่ มันหันหลังกลับมามองผมทันทีที่ได้ยินเสียงประตูถูกเปิดออก
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 08-10-2007 11:13:14

“อ้าว เมฆ กลับมาแล้วเหรอ พ่อกับแม่ไปยังวะ” มันหันหน้ากลับไปพิมพ์งานต่ออีกครั้ง

“อืมม ไปเมื่อกี๊นี้เอง” ผมเดินเข้าไปหยุดอยู่ด้านหลังของมันแล้วก็กอดคอมันเบาๆ “ทำงานเหรอ ยุ่งอยู่รึเปล่า”

“ใช่...... แต่ไม่ทำแม่งแล้วว่ะ ขี้เกียจ” ไอ้ซันกดเซฟไฟล์ ถอดแว่นตาออกวางไว้บนโต๊ะ จากนั้นก็หันมาหอมแก้มผมเบาๆ “ได้กลิ่นเอ็กซ์ๆแบบนี้นี่ไม่มีอารมณ์จะทำงงทำงานแม่งแล้ว” มันลุกขึ้นยืนแล้วก็ซุกหน้าลงที่ซอกหูของผม

“เฮ้ยย ไม่เอาน่า” ผมหัวเราะเบาๆจากนั้นก็ดันตัวมันออกไป “หิวรึยัง”

“ก็นิดหน่อยว่ะ แต่หิวอย่างอื่นมากกว่า........” ไอ้ซันยิ้มกว้างจากนั้นก็โผเข้ามาหาผมอีกครั้ง แต่ผมก็ยังคงดันมันออกไปอีกอยู่ดี

“เดี๋ยวๆ กูหิวโคตรๆเลย เล่นบาสมาแบบนี้ แถมยังไม่ได้กินข้าวกลางวันอีกด้วย ขอกูไปเตรียมมื้อเย็นก่อนนะ แล้วเดี๋ยวค่อยว่ากัน”

“เออๆ ตามใจมึง งั้นกูทำงานต่อก่อนก็ได้ เสร็จแล้วมาเรียกด้วยก็แล้วกัน” ไอ้ซันหันกลับไปนั่งลงบนเก้าอี้คอมแล้วหยิบแว่นตากลับมาสวมไว้เหมือนเดิม

“ตามใจกูเหรอ งั้นกูอาบน้ำก่อนได้ป่ะ” ผมแกล้งแหย่

ไอ้ซันหันขวับกลับมามองผมทันที “ห้ามเรื่องนั้นเรื่องเดียว”

ผมหัวเราะ “เออๆ กูรู้น่า ถ้างั้นมึงทำงานไปก็แล้วกัน เดี๋ยวกูเตรียมอะไรเสร็จหมดแล้วกูมาเรียก” ผมหันหลังกลับแล้วเดินตรงไปยังประตู แต่สายตาของผมมันก็ไปหยุดอยู่ที่สมุดเล่มหนึ่งที่หน้าปกเป็นรูปของแกรนด์ แคนยอนที่วางอยู่บนตู้โชว์ที่ตั้งอยู่ข้างๆประตูห้องเสียก่อน

ผมเดินไปหยิบมันขึ้นมาพลิกดูด้านใน สมุดเล่มนี้เป็นเล่มที่ไอ้ซันซื้อมาไว้ให้กับ “เราสองคน” และนับตั้งแต่เรากลับมาจากแกรนด์ แคนยอนจนถึง ณ เวลานี้ หน้ากระดาษทุกหน้าของมันก็เต็มไปด้วยภาพถ่ายของท้องฟ้ากับก้อนเมฆที่ผมกับไอ้ซันถ่ายและเอามาแปะเอาไว้ เพื่อเตือนความจำถึงความผูกพันและสายใยที่เราทั้งสองเคยมี ยังคงมี และจะมีตลอดไป...........

ผมยิ้มให้กับตัวเองน้อยๆจากนั้นก็วางสมุดเล่มนั้นลงที่เดิมแล้วเดินออกจากห้องไป ผมมุ่งหน้าตรงเข้าไปในครัวเพื่อสำรวจอาหารที่ริต้าเตรียมเอาไว้ให้ ในเตาอบนั้นมีเนื้ออบจานใหญ่สองจานวางอยู่ นอกจากนั้นก็ยังมีน้ำเกรวี่ มันบด ผักลวกรวม แล้วก็ยังข้าวผัดอีกด้วย ผมจัดการอุ่นอาหารทั้งหด จากนั้นก็หยิบเครื่องจานชาม ของตกแต่ง และเชิงเทียนที่แม่กุ้งเตรียมไว้ให้ทั้งหมดออกมา มันเป็นเครื่องใช้ที่พวกเราจะเอาไว้ใช้เฉพาะเวลามีแขกหรือเป็นโอกาสพิเศษเท่านั้น ผมค่อยๆยกพวกมันทั้งหมดออกมาจัดเรียงเอาไว้บนโต๊ะ และคอยระแวงว่าไอ้ซันมันจะเดินลงมาหรือเปล่าตลอดเวลา ผมเดินกลับเข้าไปในครัวและหยิบขวดแชมเปญที่ผมซื้อเตรียมไว้ในตู้เย็นออกมาแช่น้ำแข็งรอ เมื่ออาหารทุกอย่างพร้อมเสร็จหมดแล้ว บนโต๊ะก็ถูกตบแต่งเสร็จอย่างสวยงามพอดี ผมยืนมองโต๊ะด้วยความรู้สึกภูมิใจและหวังว่ามันน่าจะชอบสิ่งที่ผมเตรียมไว้เพื่อมันนี่บ้างนะ ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้เป็นคนทำอาหารด้วยตัวเองก็เถอะ เพราะเวลามันไม่พอจริงๆ

แล้วมีเหตุผลอะไรที่ผมต้องทำแบบนี้ด้วยงั้นหรือ คำตอบนั้นมันง่ายนิดเดียว มันก็คือ “ความรัก” ยังไงล่ะ ถึงแม้ตอนแรกที่ผมได้เจอกับมัน ผมจะไม่เคยคิดเลยว่าผมจะสามารถรู้สึกอะไรกับมันได้มากถึงเพียงนี้ แต่ถ้าหากความรักคือการเรียนรู้แล้วล่ะก็ การเรียนรู้ของเราสองคนก็นำพามาซึ่งความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่ผมจะสามารถมีให้แก่มันได้จริงๆ ไอ้ซันมีอะไรบางอย่างที่แตกต่างออกไปจากคนอื่นๆ และความแตกต่างนั้นเองที่ช่วยเติมเต็มหัวใจในส่วนที่ขาดหายไปของผมได้ ตอนแรกที่เราคบกันนั้น ไม่ว่าจะในฐานะใดก็ตาม ผมไม่เคยรู้และแน่ใจเลยว่ามันนั้นคิดยังไงกับผม แต่เมื่อเวลาผันผ่านไป ความสัมพันธ์และสายใยของเรามันก็แน่นแฟ้นมากขึ้นเรื่อยๆจนผมไม่มีข้อสงสัยในเรื่องความรักที่มันมีให้แก่ผมอีกต่อไป.........

ทุกๆวันนี้ บางคืนที่ผมตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วเห็นใบหน้ายามหลับของมัน ผมยังเคยร้องไห้ออกมาเบาๆคนเดียวเลยด้วยซ้ำ ไอ้ซันไม่เคยรู้เรื่องนี้หรอก มันอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระก็ได้ แต่ไม่แน่ว่าสักวันหนึ่งผมอาจจะบอกมันออกไปก็ได้........ บางที ผมอาจจะบอกมันในวันที่เราฉลองครบรอบห้าสิบปีก็ได้นะ

ผมหันหลังกลับแล้วเดินขึ้นไปบนชั้นสองอีกครั้ง แต่ว่าคราวนี้ผมกลับเลี้ยวเข้าไปในห้องของพี แล้วเดินตรงเข้าไปยังโต๊ะเขียนหนังสือของเขาก่อน กล่องกำมะหยี่สีดำกล่องเล็กๆที่ผมฝากเขาเอาไว้เมื่อหลายวันก่อนวางอยู่ตรงนั้นพร้อมกับโน้ตแผ่นเล็กๆแผ่นหนึ่ง ผมดึงโน๊ตนั้นออกมาอ่านก็พบว่ามันเป็นลายมือของพีที่เขียนอวยพรให้ผมกับซันเอาไว้ ผมอ่านมันแล้วก็อดอมยิ้มไม่ได้ ผมวางกระดาษกลับลงไปบนโต๊ะเหมือนเดิมจากนั้นก็หยิบกล่องสี่เหลี่ยมนั่นขึ้นมา ผมเปิดฝาครอบออกช้าๆ ภายในนั้นเป็นแหวนทองคำเรียบๆสองวงที่มีขนาดเท่ากัน ทางด้านบนของแต่ละวงนั้นมีเพชรเม็ดหนึ่งฝังอยู่ซึ่งเป็นเพชรขนาดที่ไม่เล็กและไม่ใหญ่จนเกินไป เป็นอะไรที่ผมชอบและคิดว่าไอ้ซันเองก็คงต้องชอบแบบนี้ด้วยเช่นกัน

ผมหยิบแหวนวงหนึ่งขึ้นมาดูแล้วก็นึกย้อนไปถึงพ่อของผม............


.
.
.


เมื่อสองเดือนก่อนผมบินกลับไปเยี่ยมพ่อของผมอีกครั้ง เราสองคนใช้เวลาในคืนแรกนั่งทานข้าวเย็นกันที่บ้าน ผมมีเรื่องเล่าให้พ่อของผมฟังมากมายเหลือเกิน ทั้งๆที่ปกติเราก็คุยโทรศัพท์กันเป็นประจำอยู่แล้ว แต่เมื่อได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง ได้กลับมาอยู่บ้าน ได้นั่งทานข้าว ได้พูดคุย และได้หัวเราะด้วยกัน........ นี่แหละ คือความหมายของคำว่า “ครอบครัว” เพียงอย่างเดียวที่ผมคุ้นเคยมาตลอดยี่สิบปี

“แล้วซันล่ะเป็นยังไงบ้าง สบายดีรึเปล่า” พ่อของผมถามขึ้นเหมือนกับทุกๆครั้งที่เราคุยกัน “เมื่อวันก่อน ก่อนที่เมฆจะมานี่ พ่อก็ยังได้คุยกับเขาอยู่เลย พ่อชวนเขาให้กลับมาด้วยแต่เขาก็บอกว่าเขาไม่ว่างน่ะนะ”

“มันก็ไม่ค่อยว่างจริงๆแหละครับ แต่จริงๆแล้วมันบอกผมว่ามันอยากให้ผมมาอยู่กับพ่อสองคนมากกว่าน่ะ แต่ว่ามันก็ยังบอกอีกนะครับว่าเดี๋ยวครั้งหน้ามันจะมาด้วยแน่นอน”

“เกรงจงเกรงใจอะไรกัน คนครอบครัวเดียวกันแล้วแท้ๆ” พ่อของผมส่ายหัวแล้วหัวเราะเบาๆ

“พ่อครับ...... พ่อไม่เหงาเหรอครับ ที่ต้องอยู่คนเดียวแบบนี้” ผมถามพ่อออกไปอีกครั้ง หลังๆมานี่ผมถามคำถามนี้กับพ่อบ่อยเหลือเกิน และพ่อเองก็เข้าใจความหมายของผมดีด้วย

“ไม่หรอก พ่อก็ยังมีงานเป็นเพื่อนนี่น่ะ งานพ่อมันก็เยอะแล้วก็หนักอยู่เหมือนกัน พ่อไม่มีเวลาไปสนใจอย่างอื่นหรอก”

“แต่ผมไม่อยากให้พ่ออยู่คนเดียวแบบนี้นี่นา มันเหมือนกับผมหนีพ่อไปมีความสุขที่อังกฤษอยู่คนเดียว แล้วก็ทิ้งพ่อเอาไว้ที่บ้านแบบนี้......”

“ไร้สาระน่า เมฆ” พ่อพ่นลมหายใจออกทางจมูกแรงๆ “พ่อเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ แก่แล้วด้วยซ้ำ ไม่ต้องกังวลอะไรที่มันไร้สาระนักหรอกน่า พ่อไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย แค่รู้ว่าลูกพ่อกำลังมีความสุข พ่อก็มีความสุขมากแล้ว เรามันพ่อลูกกันครอบครัวเดียวกันอยู่แล้วนี่”

“นั่นแหละครับที่ผมพูดถึง พ่อเป็นครอบครัวของผมที่ผมมีคนเดียวมาตลอดยี่สิบปีนะครับ ผมเองก็เป็นครอบครัวคนเดียวของพ่อเช่นกัน ผมรู้ว่าพ่อมีความสุขเมื่อเห็นผมมีความสุข แต่ผมก็อยากให้พ่อรู้ว่าความสุขของผมก็เกิดขึ้นได้โดยการที่เห็นพ่อมีความสุขด้วยเหมือนกันนะ ผมอยากให้พ่อมีความสุขของตัวเองโดยที่มันไม่ต้องมาจากการที่เห็นผมมีความสุขก่อนบ้างนี่”

“ฟังนะเมฆ พ่อมีความสุขดีอยู่แล้ว ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอก ไอ้เหงาน่ะ พ่อก็มีเหงาบ้างตามประสาคนแก่นั่นแหละนะ แต่มันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรขนาดนั้น พ่อยังคงมีเพื่อนที่ทำงาน มีงาน แล้วก็มีลูกชายกับแม่ของเขาอยู่ในใจพ่ออยู่ตลอดเวลาด้วย”

“พ่อรักแม่มากมั๊ยครับ........” ผมถามประโยคเดิมๆออกไปอีกครั้ง ผมจำไม่ได้จริงๆว่าผมเริ่มถามประโยคนี้ออกไปครั้งแรกเมื่อตอนที่ผมอายุเท่าไหร่ แต่เท่าที่ผมจำได้ก็คือ ผมถามมันออกไปบ่อยมาก และไม่ว่ากี่ครั้งๆที่ผมถาม พ่อของผมก็จะตอบกลับมาด้วยประโยค สีหน้า และความรู้สึกแบบเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลง.......

“รักมากที่สุดในชีวิตของพ่อเลย” พ่อส่งยิ้มออกมาอย่างอบอุ่น และมันก็ทำให้ผมต้องยิ้มตอบกลับไปด้วยทุกครั้ง ไม่มีครั้งไหนเลยที่ผมได้ยินพ่อตอบแบบนี้แล้วผมจะไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นเด็กที่มีความสุขและรู้สึกอบอุ่นมากที่สุดในโลก

“อีกสองเดือนผมกับไอ้ซันก็จะครบรอบหนึ่งปีแล้วล่ะครับ” ผมพูดออกไป “ตลกดีนะครับ ทั้งๆที่รู้จัก ทั้งๆที่รักกันมาตั้งนานแล้วแท้ๆ แต่เรากลับเพิ่งจะครบรอบคบกันอย่างเป็นทางการได้แค่ปีเดียวเท่านั้นเอง”

“อ้าว อย่างนี้มันก็ข่าวดีน่ะสิ” พ่อของผมหัวเราะ “แบบนี้มันต้องฉลองกันหน่อยแล้ว รอพ่อแป๊บนึงนะ” พ่อลุกขึ้นเดินออกจากโต๊ะกินข้าวแล้วเดินหายเข้าไปในครัว เมื่อพ่อกลับมา พ่อก็เดินออกมาพร้อมกับไวน์แดงขวดหนึ่งแล้วก็แก้วไวน์อีกสองใบ “จริงๆแล้วเฉลิมฉลองน่ะ มันต้องแชมเปญนะ แต่พ่อไม่รู้เลยไม่ได้แช่มันเอาไว้ก่อน เอาไวน์แก้ขัดไปก่อนก็แล้วกัน” พ่อรินไวน์ลงในแก้ว จากนั้นก็ส่งมาให้ผมใบหนึ่ง

“ขอบคุณมากครับพ่อ” ผมรับแก้วไวน์มา จากนั้นก็จิบมันเล็กน้อย

“แล้วมีแผนจะทำอะไรกันรึเปล่าล่ะ วันนั้นน่ะ”

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ ยังไม่ได้คิดอะไรเป็นพิเศษเลย”

“ไม่ได้นา วันครบรอบปีแรกเนี่ย มีมื้อค่ำๆดีๆสักมื้อ มีแชมเปญสักขวด แล้วก็น่าจะมีของขวัญเล็กๆน้อยๆให้เขาหน่อยนะ ตอนพ่อกับแม่ก็ทำแบบนี้เหมือนกัน” พ่อแนะนำ

“เอ่ออ พ่อครับ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าผมจะทำได้ขนาดนั้นรึเปล่า อย่างแรกเลยก็คือ ครอบครัวของเขาก็อยู่ที่บ้านด้วย เราคงจะทำอะไรกันตามใจนักไม่ได้ ไอ้ครั้นจะพามันไปที่ร้านอาหาร ผมก็ไม่อยากตกเป็นเป้าสายตาของคนอื่นเท่าไหร่ ไม่ใช่ว่าผมแคร์หรอกนะครับ แต่ถ้าเป็นวันดีๆของเราสองคน ผมก็อยากให้มันเป็นวันพิเศษจริงๆที่ไม่ต้องมีคนอื่นมาซุบซิบนินทา แล้วก็อยากจะให้เป็นอะไรที่มีแค่ผมกับมันสองคนด้วย ส่วนอย่างสุดท้าย ผมนึกไม่ออกจริงๆว่าจะมีของขวัญอะไร ‘เล็กๆน้อยๆ’ อย่างที่พ่อบอกให้แก่มันได้ แบบว่า ถ้ามันอยากได้อะไร ปกติมันก็มักจะได้ทุกอย่างอยู่แล้วอ่ะครับ แถมมันเรื่องมากด้วยนี่สิ เดาใจยากจะตาย..........” ผมถอนหายใจ

พ่อของผมมองหน้าของผมนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง “ไอ้เรื่องครอบครัวของเขาน่ะ ไม่มีปัญหาหรอก เชื่อพ่อสิ แต่ไอ้การที่เมฆถอนหายใจแบบนั้นเนี่ย แปลว่าเรามีคิดเอาไว้อยู่แล้วเหมือนกันสินะ ว่าอยากจะซื้ออะไรให้กับเขาน่ะ”

“ก็........ ครับ” ผมยอมรับ “ผมอยากซื้อแหวนให้มันน่ะครับ แหวนแบบแหวนจริงๆ ไม่ใช่แหวนเครื่องประดับธรรมดาๆ ก็อย่างที่ผมบอกพ่อน่ะครับ ถึงมันจะเป็นครบรอบแค่ปีเดียว แต่ถ้านับระยะเวลาจริงๆแล้วล่ะก็ ผมคิดว่ามันก็น่าจะถึงเวลาแล้วเหมือนกัน......... แต่ตอนนี้ผมก็ยังซื้อมันไม่ได้หรอกครับ เงินเก็บผมยังมีไม่มากพอ”

“ทำไมล่ะ เล็งอะไรที่มันหรูหราเอาไว้รึไง”

“เปล่าครับ เปล่าเลย ไอ้ซันมันไม่ชอบอะไรที่มันเว่อร์ๆหรอกครับ นั่นล่ะ เป็นข้อดีของมันอย่างนึง มันชอบอะไรเรียบๆแต่ก็ต้องดูดี ซึ่งผมก็ยังหาอะไรแบบนั้นไม่ได้เลยจริงๆ” ผมถอนหายใจออกมาอีกครั้ง

“รอพ่ออยู่ตรงนี้แป๊บนึง” พ่อของผมลุกขึ้นเดินออกจากโต๊ะอาหารไปอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาเดินตรงขึ้นไปยังชั้นสอง ผมนึกแปลกใจว่าพ่อคิดจะทำอะไร และไม่ถึงห้านาทีถัดมา พ่อก็เดินกลับลงมาพร้อมกับกล่องสี่เหลี่ยมกำมะหยี่สีดำกล่องหนึ่งบนมือ จากนั้นก็วางมันลงตรงหน้าของผม “เอ้า ลองเปิดดูสิ”

ผมมองหน้าของพ่อผมงงๆ แต่ก็เอื้อมมือไปหยิบมันมาวางเอาไว้ที่ฝ่ามืออย่างทะนุถนอม ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมถึงต้องทำแบบนั้น แต่ความรู้สึกบางอย่างมันบอกผมว่า ไม่ว่าอะไรก็ตามที่อยู่ในนั้น มันเป็นของที่ควรค่าแก่การดูแล และการทะนุถนอมอย่างที่สุด ผมค่อยๆเปิดฝาออกช้าๆ และสิ่งที่วางอยู่ในนั้นก็คือแหวนทองคำที่มีเพชรเม็ดหนึ่งฝังประดับอยู่ทางด้านบน ผมจำมันได้ทันที มันคือแหวนแบบเดียวกับที่พ่อของผมใส่อยู่ที่นิ้วนางข้างซ้ายทุกวันนั่นเอง

“ใช่แล้ว นี่คือแหวนของแม่ของลูก เมฆ ก็อย่างที่ลูกรู้ มันเป็นแหวนวงแรกที่พ่อซื้อให้แม่ตั้งแต่พ่อเรียนอยู่มัธยมปลายน่ะ” พ่อของผมถอดแหวนที่พ่อใส่อยู่วางลงข้างๆกล่องนั้น และเมื่อลองมองเปรียบเทียบกันดูดีๆแล้ว แหวนของพ่อผมจะมีตำหนิและดูเก่าอยู่มากกว่านิดหน่อย “มันอาจจะไม่ได้เป็นของใหม่ และไม่ได้มีค่างวดอะไรมากมายนะ เพราะมันเป็นแหวนวงแรกที่พ่อซื้อมาตั้งแต่ยังเด็กอยู่เลย แต่มันก็มีความหมายกับพ่อและแม่มาก ลองหยิบมันขึ้นมาดูสิ แบบนี้เมฆชอบมั๊ย และมันน่าจะเป็นแบบที่ซันชอบรึเปล่า”

 “ไม่ครับพ่อ ไม่มีทาง” ผมเงยหน้าขึ้นมาสบตากับพ่อทันที และเมื่อเห็นสายตาของท่านแล้ว ผมก็ต้องรีบส่ายหัวอย่างรวดเร็ว “เอ๊ย ขอโทษครับ ผมไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น ผมหมายถึง มันสวยมาก สวยมากจริงๆ นี่แหละคืออะไรที่ทั้งผมและมันชอบล่ะ แต่ว่าผมรับไว้ไม่ได้หรอก มันเป็นของๆพ่อกับของๆแม่นะครับ แถมมันก็ไม่ใช่ราคาถูกๆด้วย ถึงพ่อจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่ผมรู้ว่ามันก็แพงมากอยู่ดี ไม่มีทางเลยครับพ่อ ผมไม่เอาของๆพ่อไปเด็ดขาด ไม่มีทาง” ผมยืนกราน จากนั้นก็วางแหวนลงไปที่เดิม

“ไร้สาระ” พ่อของผมพูด “มันไม่ใช่ของๆพ่อหรือของๆแม่เราหรอก แต่มันเป็นของๆครอบครัวเราต่างหาก เมฆ เราน่ะคือลูกชายของพ่อ และซันก็เป็นลูกชายของพ่อเช่นเดียวกัน แหวนของแม่ลูกน่ะ เก็บเอาไว้เฉยๆก็ไร้ค่า เชื่อสิว่าถ้ามันได้ไปอยู่บนนิ้วของคนที่ลูกรักล่ะก็ ทั้งตัวมันเองและแม่ของลูกก็จะต้องดีใจมากแน่ๆ”

“แต่...... แต่ว่า...... มันเป็นเหมือนเครื่องเตือนความทรงจำ เป็นเหมือนของดูต่างหน้าของแม่ไม่ใช่เหรอครับ”

“ทั้งใช่และไม่ใช่...... ฟังนะ ความทรงจำน่ะ มันอยู่ที่นี่” พ่อใช้นิ้วชี้เคาะที่ขมับของตัวเองเบาๆ “ส่วนแม่ของลูกน่ะ อยู่ในนี้” พ่อเลื่อนนิ้วลงมาจิ้มที่หน้าอกข้างซ้าย “เพราะฉะนั้น กะไอ้แค่สิ่งของน่ะ มันไม่มีค่าอะไรสำหรับพ่อหรอก สู้พ่อมอบมันให้แก่คนที่พ่อรักและคู่ควรกับมันยังจะดีซะกว่า เข้าใจมั๊ย....... เอ้า เอาล่ะ คราวนี้ก็แค่ปรับขนาดของแหวนเท่านั้น รู้ขนาดนิ้วของซันเค้ารึเปล่า”

ผมพยักหน้าออกไปช้าๆ “นิ้วมันเท่ากับผมเลยครับ”

“ดีมาก ถ้างั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้พ่อเอาไปให้ร้านเพื่อนพ่อเขาแก้ให้ ดูซิว่ามันจะทำอะไรให้ได้บ้าง ถ้าไม่ได้ เดี๋ยวพ่อก็หาทางให้ได้เอง ไม่ต้องห่วง อีกไม่กี่วันก็คงได้แล้วล่ะ น่าจะได้ก่อนเมฆกลับไปอังกฤษแน่ๆ”

ผมลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าของพ่อ จากนั้นก็ก้มลงกราบลงบนตักของท่าน ความรู้สึกทั้งสุขทั้งเศร้าหลายๆอย่างมันผสมปนเปกันจนบอกไม่ถูก แต่ที่แน่ๆผมรู้อยู่อย่างหนึ่งว่า ผมโชคดีที่ได้เกิดมาเป็นลูกชายของผู้ชายที่ยิ่งใหญ่คนนี้มากขนาดไหน

“ขอบคุณมากครับพ่อ ผมรักพ่อจริงๆนะครับ..........” ผมรู้สึกถึงน้ำตาหยดเล็กๆที่ค้างติ่งอยู่ที่หางตาของตัวเอง

พ่อดึงตัวผมขึ้นจากนั้นก็สวมกอดผมอย่างแนบแน่น “พ่อก็รักลูกมากเหมือนกัน...........”


.
.
.


ผมวางแหวนกลับเข้าไปที่เดิมจากนั้นก็ปิดฝากล่องลง ผมยัดมันใส่ลงไปในกระเป๋ากางเกงของผมอย่างระมัดระวัง แล้วก็เดินออกจากห้องของพีไปหยุดอยู่ที่หน้าห้องของเรา หลังการเคาะประตูสามครั้งผมก็เปิดประตูเข้าไป

“หิวข้าวรึยัง อาหารพร้อมแล้วนะ”

“หิวแล้ววว กำลังรออยู่เลย” ไอ้ซันหันกลับมาหาผมจากนั้นก็ลุกขึ้นเดินตรงเข้ามาดึงผมไว้ในอ้อมแขน “แต่ขอกินมึงก่อนได้ป่าววว”

“ไม่ได้” ผมหัวเราะ “ต้องกินข้าวก่อนเท่านั้น แล้วก็ต้องทำอะไรให้กูอย่างนึงด้วย”

“ทำอะไรวะ” ไอ้ซันนิ่วหน้า

“ปิดตา”

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 08-10-2007 11:13:51
“ปิดตาเนี่ยนะ” ไอ้ซันทวนคำด้วยความแปลกใจ “ปิดทำไมวะ”

“เอาเหอะน่า เดี่ยวมึงก็รู้เองแหละ กูแค่อยากเล่นอะไรให้มึงแปลกใจนิดหน่อย” ผมดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋ากางเกง จากนั้นก็ผูกมันเข้าที่ตาของไอ้ซัน ผมพามันเดินออกจากห้อง ประคองมันเดินลงบันได และเมื่อผมพามันมาถึงที่โต๊ะกินข้าวแล้ว ผมก็บอกให้มันเปิดผ้าออกได้

“เฮ้ยยยย เนื่องในโอกาสอะไรวะเนี่ย” ไอ้ซันร้องอุทานออกมาทันทีที่เห็นภาพตรงหน้า “แค่คืนนี้มึงจะได้เสียตัวอีกครั้งนี่มึงต้องทำขนาดนี้เลยเหรอวะ”

ผมหัวเราะ “มึงลืมไปแล้วจริงๆด้วยว่าวันนี้วันอะไร”

ไอ้ซันขมวดคิ้วและทำท่าใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่มันจะร้องออกมา พร้อมกับรีบเดินตรงเข้ามาคว้ามือของผมเอาไว้

“กูขอโทษ เมฆ กูลืมไปสนิทเลย วันนี้เป็นวันที่เราคบกันครบรอบหนึ่งปี วันแรกที่เราตกลงคบกันเป็นแฟน........” ไอ้ซันหน้าเสียลงทันที “กูขอโทษจริงๆเมฆ ช่วงหลังๆมานี้กูมัวยุ่งกับงานที่มหาลัยจนลืมไปเลย กูไม่เคยลืมวันที่หรอกนะ เพียงแต่ช่วงนี้กูมึนๆไปหน่อยจนลืมนับไปเท่านั้นเอง”

“ไม่เป็นไรหรอก กูเข้าใจ.......” ผมยิ้มแล้วก็ชะโงกหน้าไปหอมแก้มมันเบาๆ “เอ้า นั่งเถอะ เดี่ยวอาหารจะเย็นซะก่อน วันนี้ปล่อยให้กูบริการมึงเอง”

ไอ้ซันนั่งลงบนเก้าอี้ จากนั้นผมก็เดินไปยกอาหารจากในครัวออกมาเสิร์ฟ

“อื้อหือออ นี่มึงทำเองทั้งหมดนี่เลยเหรอวะ”

“เปล่า ริต้าทำน่ะ” ผมหัวเราะ “จริงๆกูก็อยากจะทำให้มึงกินด้วยตัวเองนะ แต่กูไม่มีเวลาว่ะ ทั้งวุ่นวายเรื่องที่พ่อแม่แล้วก็พีจะออกไปนอกบ้าน ทั้งกลัวว่าทำยังไงมึงถึงจะไม่รู้ว่ากูเตรียมของพวกนี้เอาไว้ และถ้ากูมัวแต่มาทำอาหารให้มึงเองล่ะก็ สถานการณ์มันก็คงไม่ได้ออกมาเป็นแบบนี้หรอก” ผมอธิบายขณะที่รินแชมเปญใส่แก้วของมัน

“นี่แปลว่าทุกคนรู้เรื่องนี้หมดเลยเหรอวะ แล้วที่เค้าบอกจะไปนอนค้างที่บ้านของไคล์นี่ก็เพื่อเรื่องนี้โดยเฉพาะเลยเหรอเนี่ย”

“ใช่” ผมนั่งลงบนเก้าอี้ของตัวเอง จากนั้นก็ยกแก้วแชมเปญขึ้นมา “อ่ะ มาเร็ว ดื่มเพื่อฉลองครบรอบหนึ่งปีแรกที่น่าจะมีมานานแล้วของเรา”

ไอ้ซันยิ้มกว้าง จากนั้นก็ยกแก้วขึ้นมาชนกับผม อาหารเย็นมื้อนั้นเป็นมื้อที่อร่อยและทำให้ผมมีความสุขมากที่สุดเท่าที่ผมเคยมีมาในบ้านหลังนี้เลยทีเดียว เราพูดคุยและหัวเราะกันหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องในอดีตที่เราต่างก็ช่วยกันรื้อฟื้นความเป็นมาของกันและกันจนกว่าที่เราจะมามีวันนี้ได้ ความทรงจำที่ทั้งสวยงามและขมขื่นต่างก็ถูกยกขึ้นมาเล่าให้ฟังกันและกันอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้ ความทรงจำในอดีตทั้งหลายเหล่านั้นที่ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์หรือความสุข มันก็กลับกลายเป็นความทรงจำที่อบอุ่นและสามารถเรียกเสียงหัวเราะออกมาจากเบื้องลึกในใจของเราทั้งสองคนได้ทุกเรื่องจริงๆ

เมื่ออาหารบนโต๊ะรวมทั้งของหวานที่เป็นพายบลูเบอร์รี่ที่ผมซื้อมาจากร้านที่ไอ้ซันชอบหมดลง เราสองคนก็นั่งสบตาและจิบแชมเปญกันเงียบๆอยู่ครู่หนึ่ง มันช่างเป็นช่วงเวลาที่ผมรู้สึกอบอุ่นและมีความสุขที่สุดเลย........ แต่ทว่าผมยังไม่ยอมให้ช่วงเวลาแห่งความสุขนั้นมันหมดลงไปง่ายๆแค่นี้หรอก

“มึงจำได้มั๊ยซัน ตอนที่กูเคยบอกมึงว่า เวลาที่กูมองดูท้องฟ้าน่ะ กูจะรู้สึกโหยหาและรู้สึกเหมือนไขว่คว้าหาบางสิ่งอยู่ตลอดเวลา แต่กูก็ไม่รู้ว่าสิ่งๆนั้นมันคืออะไร”

“อืมม จำได้ๆ แล้วตอนนี้มึงรู้คำตอบนั้นรึยัง”

“กูคิดว่ากูรู้แล้วล่ะ..........” ผมยิ้ม “และกูก็พาคำตอบของกูมาด้วย”

“มึงพาคำตอบของมึงมาด้วยงั้นเหรอ” ไอ้ซันเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ

“ใช่ กูมีเซอร์ไพรส์ให้มึงอีกอย่างนึงนะ”

“อะไรอีก นี่มึงยังทำอะไรไว้อีกล่ะเนี่ย”

“มึงหลับตาก่อนสิ”

“อีกแล้วเหรอ” ไอ้ซันทำเสียงโอดครวญ

“หลับตา” ผมเปลี่ยนเป็นออกคำสั่ง และคราวนี้มันก็ยอมทำตามแต่โดยดี ผมล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบกล่องกำมะหยี่สีดำนั้นออกมาวางไว้บนโต๊ะตรงหน้าของมัน “เอ้า ลืมตาได้แล้ว”

“นี่มันเรื่องอะไรกันวะเนี่ย” ไอ้ซันพูดขึ้นเมื่อมันลืมตาขึ้นมาเห็นของที่วางอยู่ตรงหน้า

“เปิดดูสิ” ผมพูดออกไปพร้อมรอยยิ้มกว้าง

ไอ้ซันหยิบกล่องที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา และเมื่อมันเปิดฝากล่องออก มันก็รีบเงยหน้ากลับขึ้นมาสบตากับผมทันที

“มึงชอบมั๊ย” ผมถาม

“เมฆ..... นี่มัน..... นี่มัน.........” ไอ้ซันอ้าปากค้าง

“หยิบมันออกมาดูสิ แล้วบอกกูทีว่ามึงคิดยังไง”

“คิดยังไงงั้นเหรอ มึงจะบ้ารึไง” ไอ้ซันร้องออกมาก่อนจะวางกล่องนั้นลงบนโต๊ะเหมือนเดิม “นี่มันเกินไปแล้วนะเว้ย นี่มันเกินไปจริงๆ”

“มึง...... มึงไม่ชอบเหรอ งั้น....... งั้นกูขอโทษ กูคงเร่งรัดมึงเกินไป......” ผมรู้สึกใจเสียมาก ผมเอื้อมมือออกไปจะคว้ากล่องนั้นกลับคืนมา แต่ไอ้ซันก็จับข้อมือของผมห้ามเอาไว้เสียก่อน

“ไมใช่แบบนั้นเมฆ กูขอโทษ กูแค่ช็อคมากไปหน่อยน่ะ นี่มันสุดยอดเลย นี่มันสวยมากจริงๆ กูไม่คิดเลยว่ามึงจะทำให้กูถึงขนาดนี้ นี่มึงไปซื้อเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน นี่มันน่าจะแพงมากเลยไม่ใช่เหรอวะ” ไอ้ซันปล่อยมือของผมออกแล้วก็หยิบแหวนขึ้นมามองดูใกล้ๆหนึ่งวง

“กูไม่ได้ซื้อหรอก.......” ผมยิ้มออกได้ในที่สุดเมื่อรู้ว่าไม่ใช่ว่ามันไม่ต้องการแหวนของผม “แต่มันเป็นของๆพ่อกับแม่กูเอง”

ไอ้ซันเงยหน้าขึ้นมามองผมพร้อมกับอ้าปากค้าง “มึง...... มึงว่าไงนะ แล้วมึงเอาของสำคัญแบบนี้มาให้กูได้ยังไง”

ผมลุกขึ้นเดินแล้วไปนั่งคุกเข่าข้างหนึ่งลงตรงหน้าของมัน “ก็เพราะมันเป็นของสำคัญไง กูกับพ่อถึงอยากจะให้มึงเก็บมันเอาไว้ และแม่ของกูก็ต้องดีใจมากด้วยเช่นกัน ถ้าเขารู้ว่ากูกำลังจะมอบความรักในแบบที่เขาเคยมีให้กับพ่อให้แก่คนที่กูรักมากที่สุดน่ะ.......... ซัน มึงจะใส่มันได้มั๊ย”

“กู........ กูไม่รู้จริงๆว่ากูทำอะไรให้มึงถึงได้คู่ควรกับของสำคัญแบบนี้นะเมฆ ขนาดวันนี้กูยังลืมเลย แถมกูยังไม่ได้เตรียมอะไรไว้ให้มึงอีกด้วยซ้ำ” ไอ้ซันพูดตะกุกตะกัก

“ความรักที่มึงมีให้กูนั่นแหละ ซัน ที่ทำให้มึงคู่ควรกับทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่กูจะมอบให้แก่มึงได้ แค่มีมึงนั่งอยู่กับกูตรงนี้ อะไรๆก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว...... และนี่ไง คือคำตอบของสิ่งที่กูบอกมึง คำตอบของความหมายของการที่กูเฝ้าแหงนหน้ามองท้องฟ้าและก้อนเมฆที่ลอยอยู่เคียงคู่กันตลอดเวลา......... และตลอดกาล” ผมดึงมือซ้ายของมันออกมากุมเอาไว้ แล้วจ้องมองเข้าไปในดวงตาของมัน “ตอนนี้กูมีท้องฟ้าเป็นของๆกูเองแล้ว และไม่ใช่เพียงแค่นั้น แต่มึงยังเป็นท้องฟ้าที่นำพาความรักมาให้แก่กูด้วย มึงเป็นคนที่สอนให้กูได้รู้จักความรัก และที่สำคัญ มึงยังเป็นคนที่พากูให้มาได้รู้จักกับคำว่า ‘ครอบครัว’ ถ้าไม่มีมึง กูก็คงไม่มีวันได้มีแม่เหมือนคนอื่นๆในโลกแบบทุกวันนี้ มึงเข้ามาในชีวิตของกูพร้อมๆกับความรัก ครอบครัว และสถานที่ที่เป็นของกูและกูควรจะอยู่........ นั่นแหละ คือคำตอบของสิ่งที่กูเฝ้าแหงนมองดูมาทั้งชีวิตนี้” ผมคลี่มือของมันออกแล้วหยิบแหวนวงนั้นออกมา ผมจำมันได้ทันทีว่ามันคือแหวนของแม่ของผม “คราวนี้กูขอถามอีกครั้งนะ ฟ้าคราม......... ด้วยแหวนวงนี้ แทนสัญญาและเป็นตัวแทนความรักที่กูจะมอบให้แก่มึงตลอดไป มึงยินดีที่จะรับมันเอาไว้มั๊ย”

เมื่อผมพูดจบผมก็เห็นน้ำใสๆเริ่มไหลออกมาจากดวงตาของมัน ไอ้ซันยิ้มให้กับผมทั้งๆที่มีน้ำตาอาบแก้มจากนั้นก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือ “ไอ้เหี้ยเอ๊ย กูรับ เมฆ........ กูยินดีรับจริงๆ”

ผมค่อยๆสอดแหวนเข้าไปในนิ้วนางของมันช้าๆ  และเมื่อแหวนของแม่ผมเข้าไปอยู่ในนิ้วของมันเรียบร้อยแล้ว ผมก็จูบลงบนแหวนเบาๆ เมื่อผมทำแบบนั้นเสร็จ ไอ้ซันก็ดึงให้ผมเป็นฝ่ายขึ้นไปนั่งอยู่บนเก้าอี้แทนมัน คุกเข่าลงตรงหน้าของผม แล้วก็คว้ามือซ้ายของผมไปกุมเอาไว้ด้วยเช่นกัน

“เมฆ มึงคือคนเดียวที่มองเห็นทะลุไปถึงเบื้องใต้หน้ากากของกู และมึงยังเป็นคนเดียวที่กล้ายอมรับในสิ่งที่กูเป็นด้วย มึงทำให้กูรู้จักตัวเอง ทำให้กูก้าวข้ามเส้นกั้นที่กูสร้างมันเอาไว้มาทั้งชีวิต มึงสอนให้กูรู้จักรัก รู้จักเจ็บ และที่สำคัญ มึงสอนให้กูรู้จักกับความรักที่บริสุทธิ์ที่สุด นั่นก็คือความรักที่ไม่หวังสิ่งตอบแทน กูอาจจะทำแบบนั้นให้แก่มึงหรือคนอื่นๆไม่ได้ แต่ว่ามึงก็แสดงมันออกมาให้กูได้เห็นและทำเพื่อกูมาตลอดระยะเวลาสามปีตอนมอปลาย และตอนนี้กูก็รู้แล้วว่า สิ่งที่บริสุทธิ์ที่สุดน่ะ ไม่ใช่ความรักของมึงหรอก....... แต่เป็นจิตใจและตัวตนของมึงต่างหาก” ไอ้ซันละสายตาไปจากใบหน้าของผมแล้วหันไปหยิบแหวนอีกวงบนโต๊ะลงมาถือเอาไว้ในมือ “ศิลา....... ด้วยแหวนวงนี้ แทนสัญญาและเป็นตัวแทนความรักที่กูจะมอบให้แก่มึงตลอดไป มึงยินดีที่จะรับมันเอาไว้มั๊ย”

น้ำตาของผมมันเริ่มจะไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ด้วยเช่นกัน ผมไม่เคยรู้สึกปลื้มใจและมีความสุขจนตัวเองต้องหลั่งน้ำตามากขนาดนี้มาก่อนเลยจริงๆ

“รับครับ........ ด้วยความยินดีอย่างที่สุดเลย” ผมตอบออกไปอย่างยากลำบากเพราะเสียงสะอื้นของตัวเอง ไอ้ซันค่อยๆสอดแหวนเข้ามาในนิ้วนางของผมอย่างช้าๆและทะนุถนอม จากนั้นมันก็จูบลงบนแหวนแบบเดียวกับที่ผมทำ

เมื่อพิธีเล็กๆของเราสองคนเสร็จสิ้นลง เราทั้งคู่ต่างก็สวมกอดกันแล้วก็ร้องไห้ออกมาโดยไม่มีคำพูดใดๆมาบรรยายความรู้สึกของเราสองคนได้อีก ในที่สุด ความรัก ความฝัน และความปรารถนาทั้งหมดของผมก็เป็นจริงขึ้นได้แล้วในคืนนี้ ผมรักมันมากเหลือเกิน และผมก็รู้ด้วยว่ามันเองก็รักผมมากเช่นกัน ต่อจากนี้ไปเราคงยังต้องเผชิญหน้ากับอะไรอีกมาก เราอาจต้องเจ็บช้ำ เราคงต้องล้มลุกคลุกคลาน แต่ตราบใดที่เรามีกันและกันและยึดมั่นในความรักของเรานี้ ผมเชื่อว่า ไม่มีสิ่งใดในโลกที่จะมาทำลายสายใยแห่งความผูกพันของเราสองลงได้อย่างแน่นอน


ความผูกพันของท้องฟ้ากับก้อนเมฆ และความรักที่จะไม่มีวันตายจากไปพร้อมกับกาลเวลา................


--------------------------------------------------------------------------------


ตะวันเอย ขอจงสดใสเรื่อยไป เรื่อยๆไป
ทั้งเธอ และฉันตราบแม้สักวัน เราต้องจากกัน
หากถึงวันนั้น อย่าลืมสายใยผูกพัน - - ระหว่างเรา

by ระจัน




หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 08-10-2007 11:19:44
บทส่งท้ายจากไอ้ต้นนุ่มนิ่ม


งานเขียนของผมถ้าแบ่งใหญ่ๆมันก็จะมีอยู่สองชิ้น นั่นก็คือ เรื่องเล่าที่มาจากชีวิตจริง ประกอบไปด้วย รักครั้งแรก รักครั้งที่สอง และรักครั้งที่สาม ซึ่งทั้งสามงานนั้นเป็นงานแรกที่ผมคิดเริ่มต้นเขียนอะไรบางอย่างออกมาเลยทีเดียว โดยเฉพาะรักครั้งแรกของผมกับไอ้เบียร์นั้น มันเป็นความสุข ความเศร้า ความเจ็บปวด และประสบการณ์ครั้งแรกของผมเลยจริงๆ และมันก็ยังทำให้ผมได้เป็นไอ้ต้น ExecutioneR หรือ ต้นนุ่มนิ่ม ในทุกวันนี้ด้วย แต่ต่อมาเมื่อผมรู้สึกสบายใจกับการเขียนมากขึ้น ได้เรียนรู้และฝึกฝนมากขึ้น (โดยที่ไม่ได้ตั้งใจ) จากการเล่าเรื่องทั้งสามเรื่องนั้น มันก็ทำให้ผมเริ่มเขียนงานอื่นๆออกมาอีก และงานชิ้นที่สองชิ้นใหญ่ของผม และคราวนี้มันก็เป็นเรื่องแต่งล้วนๆ นั่นก็คือ ซีรี่ยส์ของท้องฟ้ากับก้อนเมฆ ที่ประกอบไปด้วย เวลาที่ถูกหยุดเอาไว้ เวลาที่เริ่มเดินอีกครั้ง และ การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม นี่เอง

แต่ถึงจะบอกว่าเป็นเรื่องแต่ง แต่ยังไงๆมันก็ยังคงมีจุดเริ่มต้นมาจากเรื่องราว ความคิด และ ประสบการณ์ของผมบ้างอยู่ดี โดยเฉพาะเรื่องของท้องฟ้ากับก้อนเมฆนี้ เป็นเรื่องราวที่ผมอยากจะถ่ายทอดมุมมองทางความคิดและความรักออกมาให้เห็นกันอย่างชัดเจน ถึงภาคแรกและภาคสองนั้นมันจะเน้นอารมณ์ไปที่อย่างๆเดียว แต่ภาคที่สามนี้ เป็นเรื่องราวที่ผมเขียนออกมาเพื่อแสดงออกถึงเบื้องลึกและพื้นฐานของอารมณ์ของทุกๆคนมากขึ้น และความตั้งใจของผมนั้นก็คือ ผมอยากจะมอบเรื่องราวของพวกเขานี้ให้กับทุกๆคนครับ อยากให้ทุกคนได้รู้สึกอบอุ่น มีความสุข และได้เห็นมุมมองของความรักมากขึ้น ไม่ว่าจะความรักที่ถูกเก็บเอาไว้ในใจภายใต้ขีดจำกัดของตัวเองของซันเมื่อหลายปีก่อน ที่เหมือนเป็นทางเดินคู่ขนานกับความรักที่ทำทุกอย่างเพื่อความสุขของคนที่เขารักของเมฆ ความรักที่ไม่สมหวังของไคล์ที่มีให้กับซัน ความรักที่สมบูรณ์แบบแต่สุดท้ายก็ไม่ยั่งยืนของพีกับภู ความรักของพ่อที่มีให้กับลูก ความรักของลูกที่มีให้แก่ผู้เป็นแม่ที่แม้แต่ไม่เคยได้สัมผัสความอบอุ่น และยังความรักของคนอื่นๆที่มีให้แก่กันและกันอีกมากมาย

เรื่องราวการเดินทางของสองคนนี้นั้น อาจจะไม่ได้สวยหรูครบถ้วนทางอารมณ์แบบนิยายเรื่องอื่นๆมากนัก อาจจะไม่มีจุกหักเหใหญ่ๆ ไม่มีตัวร้าย ไม่ได้มีอะไรให้น่าติดตาม หรือพูดง่ายๆก็คือมันอาจจะ “น่าเบื่อ” นั่นเอง ผมยอมรับและก็รู้ตัวตั้งแต่ก่อนจะเขียนแล้วว่า เรื่องนี้นั้นอาจจะไม่ประทับใจคนหลายๆคนเท่าไหร่ ผมรู้ตัวว่ามันคงไม่ “สนุก” ได้เท่ากับเรื่องอื่นๆ แต่ก็เพราะผมตั้งใจจะถ่ายทอดชีวิตจริงให้ออกมาในรูปแบบของนิยาย หรืออาจจะเรียกได้ว่า ผมพยายามถ่ายทอดนิยายให้ออกมาในรูปแบบชีวิตจริงก็ไม่ผิดด้วยเช่นกัน เพราะความเป็นจริงนั้นเรื่องราวความรักของคนบางคน (หรือหลายคน) มันก็คงไม่ได้หวือหวาเสียวไส้ได้มากมายนัก มันอาจจะเรียบง่าย แต่ก็สามารถยิ่งใหญ่ และงดงามได้ไม่แพ้ความรักที่ต้องเจอกับอุปสรรคนานัปการได้เช่นกัน และนั่นก็คือที่มาของการเดินทางครั้งนี้ครับ.......

ถึงนิยายยังไงมันก็เป็นนิยาย แต่เรื่องราวความรักนั้นมันก็เกิดขึ้นได้จริง อย่างที่ผมบอกไงครับว่าเรื่องนี้มันก็มีพื้นฐานมาจากความเป็นจริงอยู่ด้วย ดังนั้นผมจึงขอมอบเรื่องราวความรักหลายแบบหลายมุมมองนี้ให้เป็นเหมือนบ่อน้ำเล็กๆให้ทุกคนที่อ่าน ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง เพื่อให้ช่วยปลอบประโลม และเป็นความหวังให้ทุกคนได้พบกับความรักที่บริสุทธิ์และสวยงามที่สุดกันนะครับ ถึงแม้มันอาจจะเป็นรักไม่สมหวัง แต่ก็ขอให้ทุกคนได้มีความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอยู่ในใจ ขอให้ทุกคนได้รู้จักกับตัวตนของตัวเอง และได้เรียนรู้ความรักที่งดงามที่สุดที่แฝงอยู่ในตัวของทุกๆคน และเมื่อไหร่ที่รู้สึกท้อแท้ ผมก็หวังว่าเรื่องราวของพวกเขาเหล่านี้จะสามารถเติมเต็มความหวัง และช่วยส่งเสริมทัศนคติของทุกๆคนได้ไม่มากก็น้อยนะครับ


และถ้ายังไม่เบื่อพวกเขากัน ศิลากับฟ้าครามและคนอื่นๆก็อาจจะกลับมาพบกับทุกคนอีกก็ได้หนา........ หุหุหุหุ


จุ๊บๆ ขอบคุณทุกคนมากครับ ^_^


ปล. เอาไว้ถ้าไอ้ต้นมีอารมณ์มาแก้ไขเนื้อหาและข้อผิดพลาดทั้งสำนวน เนื้อหา และ ตัวหนังสือของภาคยาวนี้แล้วจะมาบอกนะคับ สำหรับคนที่เซฟเก็บไปแล้วก็ไม่ต้องห่วงคับ ถ้าผมแก้เสร็จแล้วเดี๋ยวผมส่งให้ถึงที่อีกทีเลยคับพ้ม

ปล.สอง อีกประมาสามถึงห้าวัน ผมจะพาพวกเขาทุกคนมาคุยด้วยนะคับ ถือซะว่าเป็นของแถมชิ้นสุดท้าย จะให้เมฆ ซัน และคนอื่นๆมาพูดอะไรนิดหน่อย แต่นั่นแปลว่าทุกคนก็ต้องมีอะไรอยากจะถาม อยากจะคุยกับพวกเขาด้วยนะคับ ก็คิดซะว่าพวกเขาเป็นนักแสดง ไอ้ต้นเป็นผู้กำกับ และอยากถามอะไรก็โพสคำถามไว้ได้เลย อะไรก็ได้ เดี๋ยวผมลากพวกเขามาตอบให้เองเน้อออ เพราะผมคิดว่าบางคนอาจจะสงสัยความคิดหรือเรื่องราวในอดีตของพวกเขาบางคนกันอยู่บ้างแหละ คิดซะว่าขำๆ เป็นการส่งท้ายการเดินทางของพวกเขาสี่คนเนอะ ผมไม่อยากให้พวกเขาเป็นแค่ตัวละครน่ะคับ แต่อยากให้พวกเขามีชีวิตอยู่จริงๆ อย่างน้อยๆก็ในตัวหนังสือทุกๆตัวเนี่ยแหละ เพราะงั้น....... อีกไม่นานเจอกับพวกเขาแน่นอนคับ ถ้าชาติต้องการ ^o^

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: t_warawut ที่ 08-10-2007 11:52:42
ขอบคุณมากครับ


อยากอ่านต่ออีกอะ...ทั้งตัวผม และ ชาติก็ต้องการคราบ อิอิ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 08-10-2007 13:46:50
น่ารักอีกแระ พบกันอีกนะเพราะพี่ต้องการ มาบ่อย ๆ หน่อยก็ดีจ้า
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 08-10-2007 13:58:49
อ่านไป ยิ้มไป อย่างมีความสุขอีกครั้ง    :m4:
ทุกๆเรื่องราวที่ผ่านออกมาเป็นตัวหนังสือ
ถึงมันจะเรียบๆ ง่ายๆ
ไม่หวือหวา..
แต่อ่านแล้ว..
รับรู้ สัมผัสได้
ถึงความรัก 
ความสุข 
...ในมุมมอง ต่างๆ ได้อย่างดีเลแล่ะค่ะ   :m1:
"ขอบคุณนะคะ"  ที่ทำให้ยิ้มได้ อีกแล้ว

จอรอบทสัมภาษณ์ ของ ทั้ง สี่หนุ่ม นะคะ คุนต้น     :m3:
 :m21:    เอ?...แล้ว ซินจะถามอะไรน่อ อิอิ
ขอไปคิดคำถามก่อน ฮี่ๆ    :m18:

 :a12:      คร้อกกกกกกกกกกก!~    (เจ้ย.... ม่ายยจ้ายแล่ะ แหะๆ)         :m23:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 09-10-2007 00:32:26
 :impress:
ประทับใจอย่างสุดซึ้งงงง อ่านไปเขินไป จนสุดท้ายน้ำตาก็ร่วงจนได้....เมื่อถึง...

"ฟ้าคราม/ศิลา......... ด้วยแหวนวงนี้ แทนสัญญาและเป็นตัวแทนความรักที่กูจะมอบให้แก่มึงตลอดไป ...
มึงยินดีที่จะรับมันเอาไว้มั๊ย” :give2:
รู้สึกเป็นสุขและดีใจไปด้วยกับความรักของศิลาและฟ้าคราม.....ก้อนเมฆที่จะอยู่คู่ท้องฟ้าตลอดไป  :m1:
 :catrun:
...ร่วมเดินทางตามศิลามาหารัก
ผ่านปัญหาแสนหนักรักอ่อนไหว
พบฟ้าครามงามรื่นชื่นหัวใจ
การเดินทางถึงจุดหมายให้รื่นรมณ์...

 :bye2:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 09-10-2007 04:54:04
ตอนนี้ทำน้ำตาคลออีกแล้ว แต่แบบมีความสุขนะ นั่งยิ้มหน้าจอคอมฯ  :m1: :m1:

ขอบคุณคุณต้นมากๆสำหรับเรื่องราวความรักดีดีมีข้อคิด  o1 ติดตามผลงานต่อไปจ๊ะ

เดี๋ยวกลับไปคิดคำถามก่อนจะถามไรดีน๊า  o17 o17
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 09-10-2007 11:52:18
เป็นเรื่องราวที่รู้สึกยิ่งใหญ่มากๆ ครับ
เป็นอีกเรื่องที่จะประทับใจไม่ลืมเลือนแน่นอน

ขอโทษนะครับพอดีเขียนอะไรไม่ค่อยเก่ง แล้วจะมารออ่านบทสัมภาษณ์นะครับ

ป.ล. อยากให้มีคนเอาไปสร้างเป็นหนังจัง ทั้งสามภาคเลย
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 09-10-2007 14:47:33
ชีวิตจริงอาจไม่สวยงามแบบนี้ นั่นก็อาจเป็นเพราะมุมมองที่เรานึกคิด
บางคนก็อาจจะเจอมันได้ง่าย ถ้ารู้จักจะเลือก
 :m1: :m1: :m1:

อิอิ จะสัมภาษณ์ไรดีหนอ

ถามซันละกัน ตอนเจอหน้าเมฆครั้งแรก รู้สึกอย่างไรเหยอ
 :m11: :m11: :m11: :m11:

(ไม่รู้ในเรื่องมีป่าว อิอิ)  :m23:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของŪ
เริ่มหัวข้อโดย: ninaprake ที่ 09-10-2007 19:44:32
โหยๆๆๆๆ เป็นบทสรุปจบที่สวยงามและทำให้รู้สึกมีความสุขมากๆๆๆๆๆ เลยครับ  :m3:  :m3:  :m3:

.... ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆแบบนี้นะครับ เป็นเรื่องที่อ่านแล้วทำให้อบอุ่นๆและมีความหวังขึ้นมาจริงๆเลยเชียว  :impress:

--------------------------------

สำหรับคำถามนะครับ

1. ซันคิดว่า"รอยยิ้ม" ของเมฆเพียงอย่างเดียวมีส่วนกี่ % ที่ทำให้ซันหลงรักเมฆได้?  

ที่ถามไม่ใช่อะไรหรอกนะครับ พอดีผมเป็นคนที่ยิ้มง่าย ยิ้มเก่ง และอารมณ์ดีตลอดด้วย (แต่ไม่ได้บ้านะ)  ผมคิดว่าความรู้สึกหลายๆอย่างมันน่าจะสามารถสื่อทางรอยยิ้มและสายตาได้ใช่ม้า ทั้งความจริงใจและความรู้สึก ..... ผมก็เลยอยากรู้ว่า "รอยยิ้ม" ของผมเพียงอย่างเดียวเนี่ย จะสามารถทำให้ผมชนะใจคนได้มากน้อยกี่ %  เหอะๆๆๆ  :laugh3:  .... แบบว่าอยากรู้อ่ะ เพราะผมว่าผมคงไม่ได้หน้าตาดีเท่าเมฆที่จะทำให้มีแต้มบวกจากเรื่องหน้าตาด้วย อิอิ  ..... แต่ผมก็นิสัยดี จริงใจเหมือนเมฆนะ หุหุ  ถ้าใครได้รู้จัก ผมก็คงได้แต้มบวก (ไม่ใช่เลือดบวกนะ) จากตรงนี้บ้างแหละ

2. อยากเป็นเพื่อนกะซันและเมฆอ่ะ ได้ป่ะ?  

หุหุ ได้เป็นเพื่อนกะคนสนุกสนาน อย่างทั้ง 2 คนน่าจะสนุกนะ แถมเมฆยังใจดี เข้าอกเข้าใจคนอื่นดีด้วย  :impress:

3. ทำบุญยังไงหรือใช้คาถาบทไหน  :amen: ถึงจะโชคดีด้านความรักเหมือนซันกะเมฆอ่ะ? ถ้าไปไหว้องค์พระตรีมูรติจะช่วยได้มั๊ยครับ?   :m5:   

อยากโชคดีเรื่องความรักบ้างงงงง ขอสักคนก็พอ   :m5:

------------------------------------------

อ่ะๆ วันนี้ขอถามเท่านี้ก่อนละกันนะครับ อิอิ อย่าลืมตอบหล่ะซันกะเมฆ

ปล. งานพบปะนักแสดงคราวนี้พีกะไคล์ไม่ได้มาด้วยใช่มะ?  เพราะถ้ามาจะได้มีคำถามมาถามด้วยอ่ะ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: KevinKung ที่ 11-10-2007 13:40:17
เย้ยยยย มะได้เข้ามาเดือนเดียวจบแล้วหรอ  :m15:
เด๋วจะรีบอ่านให้จบแล้วมาเม้นต์ใหม่ค้าบ  :m17:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 11-10-2007 14:29:18
เหงาเลยเมื่อเรื่องนี้จบ คิดถึงเมฆกะซันจังเลย
ถามคำถามก่อนดีกว่า เผื่อไม่เจอกันจะได้ตอบได้เลย
1.  ซันกะเมฆมาเรียนอะไรที่อังกฤษจ๊ะ
2.  เรียนจบแล้วจะทำงานอะไร แล้วจะกลับประเทศไทยหรือว่าจะอยู่ที่อังกฤษตลอดไป
3.  อยู่ด้วยกันเนี่ย เมฆต้องคอยเป็นแม่บ้านให้ซันตลอดเลยหรือ เพราะเห็นแม่กุ้งบอกว่าซันทำเป็นแค่เปิดตู้เย็นหาอาหารและน้ำมากินเท่านั้น
4.  ทำไมเมฆถึงได้ทำอาหารเก่งล่ะ
5.  แล้วเมฆไปทำงานพิเศษด้วยหรือเปล่าขณะที่เรียน

พอก่อนดีกว่า เด๋วต้นจะตอบไม่ทัน  รักเมฆกันซันมากเลย ฝากจุ๊บๆ ด้วยนะ :m3: :m3: :m3:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: ~prince™~ ที่ 11-10-2007 16:59:10


                  ถ้าไม่ได้อ่านเรื่องนี้แล้วมันก็เหมือนจะขาดอะไรไปซักอย่าง

                  พอเข้ามาในบอร์ดทีไรก็ต้องเข้ามาอ่านเรื่องนี้ก่อนเลยทุกที

                  อยากให้มีภาคต่ออีกจังเลยครับ.........จะได้รึเปล่านะ :m17:

                 
                  ผมไม่อยากให้เรื่องดีๆแบบนี้จบลงแค่นี้เลยจริงๆนะครับ

                  แต่ไม่ว่าจะยังไงก็จะรอติดตามเรื่องต่อๆไปอีกนะครับ o15


                  คำถามคับ........
               
                 1).................ซันรู้สึกว่าตัวเองรักเมฆตั้งแต่ตอนไหนคับ..........................

                  ........เพราะตอนแรกซันจีบแฟนเมฆถึงมาเป็นเพื่อนกันใช่มั้ยคับ.........

                  ...................แล้วเปลี่ยนใจมารักเมฆตั้งแต่เมื่อไหร่...........................


                 2).........ตอนก่อนที่เมฆจะมาที่อังกฤษซันเคยมีแฟนแล้วหรอคับ...........

                    .....................ไหนบอกว่ารักแล้วก็คิดถึงเมฆมากไง..........................

                    ........................แล้วทำไมถึงไปมีแฟนที่นั่นได้ล่ะ..............................


               ...............วันนี้ถามแค่นี้ก่อนดีกว่าคับแล้วพอคิดคำถามออกอีกแล้วจะมาถามใหม่................  o1




หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 13-10-2007 02:13:10
หุหุ อ่านตอนจบแล้วยิ้มเลยอ่ะ  :m3:  :m3:  :m3:  :m3:
ชอบเรื่องนี้มาก รักตัวละครทุกตัวเลย  :m1:   :m1:  :m1:

ถามอะไรดีน้า
ถามว่า ช่วงเวลาที่ห่างกันไปหนึ่งปี รู้สึกยังไง  แล้วคิดมั๊ยว่าจะมีวันนี้ วันที่ได้มาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: ~Brand New Beat~ ที่ 14-10-2007 04:46:55
จบแว้ว จบได้สวยมากๆเลย ชอบตอนจบแบบนี้ที่สุด หุหุ

ก็เข้ากรุนิยายที่ชอบมากที่สุดเลย ถึงแม้จะไม่มีตัวร้ายก็เหอะ

ยอมรับเลยครับว่าเรื่องนี้สนุกมาก ขอบคุณสำหรับเรื่องดีดีแบบนี้นะครับ

ส่วนคำถามให้คนอื่นถามล่ะกัน เด๋วผมค่อยเข้ามาดู อิอิ  :m4:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของŪ
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 14-10-2007 10:32:55


ปล. งานพบปะนักแสดงคราวนี้พีกะไคล์ไม่ได้มาด้วยใช่มะ?  เพราะถ้ามาจะได้มีคำถามมาถามด้วยอ่ะ

เวรกรรม เพิ่งเห็น
ถามได้ครับ จะถามพ่อแม่พี่น้องเพื่อนข้างบ้านก็ถามไปเลย 5555

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: ~ScAreD:SAcreD~ ที่ 14-10-2007 11:49:29
เรียบง่าย แต่ก็ใช่ว่าจะไร้ค่านะครับ ต้น

ถึงแม้ว่าจะไม่มีตัวร้าย ไม่มีการหักมุม ไม่มีเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่

แต่ความรักของตัวละครที่มีให้กันในเรื่องนี้ ก็ยิ่งใหญ่ มากมายในทุกๆตัวอักษรอยู่แล้วไม่ใช่หรอครับ

นิยายเรื่องนี้มันก็เหมือนกับ คำบอกรักที่ไม่มีบทพรรณาโวหาร ไม่มีคำคล้องจอง ไม่มีของขวัญเลอค่าอะไรมากมาย

มีแค่ "ใจ" กับคำพูดง่ายๆว่า "กูรักมึง"

แต่คนที่ได้ฟังก็รับรู้ถึงความรักที่มอบให้ และความจริงใจของคนที่พูดออกมา

แค่นี้ก็คงจะเพียงพอกับชีวิตสั้นๆของเราทุกคนแล้วครับ

สำหรับคำถามคงไม่มี แค่อยากจะให้คำอวยพรให้คู่นี้ รักกันตลอดไป นะครับ

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 14-10-2007 16:05:29
พาไอ้ซันกะไอ้เมฆมาและนะคับ อยากให้พาใครมาอีกก็บอกหนา งั้นตอนนี้ไอ้ต้นขอทำหน้าที่เป็นคนอ่านคำถามของทุกคนให้พวกมันฟังเลยก็แล้วกันนะ

อ่ะแฮ่มๆ

หวังว่าคงไม่ตกคำถามของใครไปนา.........

.
.
.

ไอ้ต้น : ข้อแรก "ถามซันละกัน ตอนเจอหน้าเมฆครั้งแรก รู้สึกอย่างไรเหยอ"

ซัน : ไม่ชอบครับ ไม่ค่อยชอบหน้ามันเท่าไหร่ ตอนนั้นผมเป็นคนขวางโลกหน่อยๆด้วยล่ะมั๊ง พอมานึกๆย้อนดู ตอนนั้นผมเองก็มีเพื่อนหลายคนอยู่แล้ว แต่พอไอ้เมฆมันกลายเป็นเหมือนแม่เหล็กดูดเพื่อนๆไปได้ด้วยรอยยิ้มของมัน ผมก็รู้สึกหมั่นไส้มันขึ้นมาทันที แบบว่า “เฮ้ย แม่ง ไอ้เหี้ยนี่แม่งไม่จริงใจเลยว่ะ” คิดว่าจริงๆแล้วมันคงใส่หน้ากากเข้าหาคนอื่นเพื่อให้เป็นที่ยอมรับ......... คล้ายๆกับผมล่ะมั๊ง ผมก็เลยรู้สึกเหมือนมันเป็นคู่แข่งคนนึง แล้วก็เลยไปจีบแฟนมันที่มันคบมาตั้งแต่มอต้นซะอย่างนั้นเลย

เมฆ : (หันมามองซันแบบเหยียดๆ) ไอ้ชั่ว.......

ไอ้ต้น : อ้าวๆพวกมึง อย่าเพิ่งกัดกัน เดี๋ยวปั๊ดกูกดปุ่มดีลีทลบพวกมึงทิ้งซะนี่ ข้อต่อไปๆ "ซันคิดว่า 'รอยยิ้ม' ของเมฆเพียงอย่างเดียวมีส่วนกี่ % ที่ทำให้ซันหลงรักเมฆได้" อืมมม...... คนถามเค้าบอกว่าเค้าเองก็เป็นคนยิ้มง่ายเหมือนกันน่ะ เลยหวังว่าเค้าจะทำให้ใครประทับใจได้บ้าง ประมาณนั้นมั๊ง

ซัน : มึงกล้าลบพวกกูมึงก็ลองลบดูดิ่

ไอ้ต้น : อ๊ะ ไอ้เหี้ยนี่ท้า ถ้างั้นคราวหน้ากูเขียนไม่ให้มึงสองคนได้อึ๊บกันแล้วนะ สัด

ซัน : เชี่ย เออๆ ขอโทษๆ เล่นแรงนะมึง...... ตอนแรกเนี่ย ศูนย์เปอร์เซ็นต์ไปเลย แต่พอคบไปคบมา พอได้รู้จักกันมากขึ้น ผมถึงได้รู้ว่ารอยยิ้มนั้นมันเป็น “ของจริง” และจากไอ้การที่ตอนแรกผมอคติกับมันอยู่แล้ว พอได้เห็นว่าตัวผมเองนั่นแหละที่คิดผิด และได้สัมผัสกับ “ความจริง” ในตัวของมัน ความรู้สึกดีๆมันก็เลยพุ่งพรวดเป็นเต็มร้อยไปเลยครับจากอคติเปลี่ยนเป็นดีไปในฉับพลัน ความประทับใจมันก็เลยมีมากขึ้นไปตามสัดส่วนน่ะ....... แล้วก็อย่างที่คุณ BlueWizard บอกนั่นแหละครับ ความรู้สึกมันส่งออกมาได้จากทางสายตาจริงๆ เพราะงั้นผมจึงมองเห็นความห่วงใย ความจริงใจออกมาจากภายในตัวของมันได้แทบตลอดเลย

ไอ้ต้น : มึงรู้ได้ไงว่าเป็นบลูวิสาดวะ กูยังไม่ได้บอกมึงเลยนี่

ซัน : กูเก่งไง ฟาย

เมฆ : ส่วนตัวของผมนะ ผมไม่เคยรู้เลยว่ารอยยิ้มของผมมันจะไปประทับใจใครได้ ก็มีคนเคยบอกมาเหมือนกันว่าผมยิ้มสวย หลายคนชอบรอยยิ้มของผม แต่ผมก็ไม่ได้คิดว่ามันจะสื่ออะไรภายในตัวของผมออกมาได้มากขนาดนั้นหรอกครับ ผมคิดว่ามันคงเป็นนิสัยของผมด้วยที่ชอบเปิดเผย ชอบแสดงความรู้สึก และมองโลกในแง่ดีล่ะมั๊ง พอมารวมๆกับการเป็นคนอารมณ์ดีอยู่แล้ว ความรู้สึกที่ถูกสื่อออกมามันก็เลยเป็นรอยยิ้มและทัศนคติด้านบวกไปโดยปริยายซะส่วนมาก

ซัน : มึงน่ะ ชอบเปิดเผยความรู้สึกมากจริงๆ อันนี้กูเห็นด้วย

เมฆ : ก็คงงั้นแหละ กูกับมึงต่างกันก็ไอ้ตรงนี้ไง ซัน........ ช่างเถอะ คือ ผมว่ารอยยิ้มมันมีส่วนมากนะครับในการสร้างความสัมพันธ์และปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ เพราะมันเป็นความประทับใจแรกที่คนจะได้เห็น เพียงแต่เราก็ต้องรู้ตัวเราด้วยว่าเรายิ้มเพราะอะไร เรายิ้มเราหัวเราะเพราะเรามีความสุขเพียงคนเดียว เรายิ้มเพราะเราอยากให้คนอื่นเห็นรอยยิ้มของเรา เรายิ้มเพราะเราอยากให้เขามีความสุขไปด้วย หรือเรายิ้มจนมันกลายเป็นอะไรที่ติดตัวเราไปแล้วและไร้ความหมายอะไรใดๆไปเลย......

ซัน : เหมือนรอยยิ้มพยักงานห้างสินะ ยิ้มรับแขก ยิ้มเพื่อให้คนอื่นรู้สึกดี แต่ไม่ได้ถ่ายทอดความรู้สึกดีๆจริงใจจากภายในออกมาเลย

เมฆ : ก็ประมาณนั้นแหละ เพราะงั้นผมว่ายิ้มมากยิ้มน้อยมันไม่สำคัญเท่ากับมอบรอยยิ้มที่มันออกมาจากความรู้สึกดีๆในใจของเราหรอกครับ ถ้าทำได้อย่างนั้นจริงๆจนเป็นนิสัย ไม่ใช่รอยยิ้มแห้งๆที่เปื้อนอยู่บนหน้าทุกวันแบบที่ไอ้ซันพูด ผมว่าต้องมีใครสักคนที่เห็นและชื่นชมมันแน่ๆครับ...... ผมไม่ได้หมายถึงชื่นชมรอยยิ้มนะ แต่หมายถึงชื่นชมความสุขและความจริงใจที่มาจากภายในและถูกสื่อออกมาในรูปของรอยยิ้มนั่นต่างหาก ยังไงก็ยิ้มไว้นะครับ มีใครบ้างล่ะที่ไม่ชอบเห็นรอยยิ้มของคนอื่น

ไอ้ต้น : ดีๆ ตอบดี สมกะเป็นเด็กกู เอาล่ะ ข้อต่อไป "อยากเป็นเพื่อนกะซันและเมฆอ่ะ ได้ป่ะ" เค้าชมว่ามึงใจดี เข้าอกเข้าใจคนอื่นด้วยนะ เมฆ

เมฆ : ได้ครับ ถ้าไอ้ต้นมันมีภาคสี่ต่อนะ (หัวเราะ) แต่ยังไงก็ขอบคุณมากนะครับ ที่คิดกับผมแบบนั้น

ไอ้ : อ้าวไอ้เชี่ยนี่ แอบกัดกูซะงั้น ระวังกูเขียนให้มึงจู๋หดเหลือแค่สามนิ้วนะมึง เอาล่ะๆ ข้อต่อไป "ทำบุญยังไงหรือใช้คาถาบทไหน   ถึงจะโชคดีด้านความรักเหมือนซันกะเมฆอ่ะ ถ้าไปไหว้องค์พระตรีมูรติจะช่วยได้มั๊ยครับ" อืมมมม องค์พระตรีมูรติคืออะไรวะ

ซัน : กูจะรู้มะ อ่านกูยังอ่านไม่ออกเลย

ไอ้ต้น : อ้าวไอ้นี่ ใครฟายกันแน่วะ เออ ว่าแต่ตอบคำถามมาเร็วๆ

ซัน : นั่นสิ กูไปทำอะไรถึงโชคดีที่ดีที่ได้มีมึงวะเมฆ จนถึงตอนนี้กูก็ยังไม่รู้เลยเหมือนกันนะ

เมฆ : กูก็เหมือนกันนั่นแหละ...... แต่ว่ามันคงเป็นเหมือนที่มึงเคยพูดมั๊ง ว่ามันอาจจะเป็นพรหมลิขิตที่ทำให้เรามาเจอกัน แต่ที่เหลือก็อยู่ที่ความพยายามของเราเอง ผมว่านะครับ มันก็คงต้องใช้ทั้งกำลังกายและกำลังใจทุกอย่างในตัวแบบสุดๆเลยล่ะที่จะพิสูจน์ความรักในใจของตัวเองน่ะ อย่างเช่น ตอนแรก หมายถึงตอนมอต้นก่อนที่จะได้มาเจอกับไอ้ซันน่ะนะ ผมเองก็มีแฟนอยู่แล้ว นั่นก็คือนัท จากนั้นผมถึงจะได้เริ่มมารู้สึกดีๆกับซันมัน ส่วนไอ้ซันเอง ตอนแรกก็มาจีบแฟนผมก่อน แล้วค่อยไปชอบเอ๋ พอโดนรถชน ก็ไปแรดกับผู้หญิงอื่นอีก พอไปอังกฤษ....... (หันไปหาซัน) เฮ้ย นับไปนับมาทำไมมันเยอะจังวะ ไอ้เชี่ยนี่

ซัน : เหรอ...... กูก็เพิ่งสังเกตนะเนี่ย (หัวเราะ)

เมฆ : เออๆ ช่างเหอะ....... พอไอ้ซันมาอังกฤษ มันก็คบกับผู้หญิงคนนึงอยู่ช่วงนึงอีก แล้วก็ไปเจ๊าะแจ๊ะกับไคล์อีกนิดหน่อยด้วย และสำหรับมัน ผมน่ะไม่รู้หรอกนะครับ (หันไปมองซันด้วยหางตา) แต่ผมน่ะ รักคนที่ผมเคยรักมาก่อนมากจริงๆ ผมรักนัทมากก่อนที่ผมจะได้มาเจอกับไอ้ซัน ถึงมันจะเริ่มต้นมาจากปั๊ปปี้เลิฟล่ะมั๊ง แต่พอโตขึ้น หลายๆอย่างมันก็โตตามไปด้วย แต่พอมาถึงมอสี่ ผมได้รู้ความรู้สึกลึกๆของตัวเองที่มีให้กับมัน ผมถึงได้รู้ว่าผมรักใครมากกว่า....... นี่ถ้าผมไม่ได้เจอกับมัน ผมก็อาจจะหลงหลักปักฐานกับนัทเขาไปแล้วก็ได้มั๊งครับ ผมถึงคิดว่า มันคงอยู่ที่โชคชะตาส่วนหนึ่งด้วย แล้วก็อยู่ที่ความพยายามของเรา ผมหมายถึง ความพยายามของคนทั้งสองคนด้วยน่ะครับ ที่จะทำให้รักมันสมหวังได้ ผมสองคนเองก็ล้มลุกคลุกคลานอยู่เยอะเหมือนกันนา

ซัน : ถ้ายังไงผมก็อวยพรให้สมหวังในความรักนะครับ ทุกๆคนเลย มันอาจจะใช้เวลานาน มันอาจต้องเจ็บก่อน หลายครั้งคงต้องเจ็บเจียนตาย แต่ถ้าไม่รู้จักเจ็บ คนเรามันก็ไม่รู้จักจำ และถ้าไม่งั้นก็คงไม่ได้เรียนรู้ เพราะงั้น ถือซะว่าถ้าหากต้องเจ็บ ก็เจ็บเพื่อที่จะได้เตรียมพร้อม และสามารถเป็นคนเข้มแข็งที่มีความรักอันแข็งแกร่งให้กับคนที่กำลังจะต้องมาเป็นคนของเราแล้วกันนะครับ

เมฆ : อวยพรด้วยคน ถึงจะเห็นด้วยกับไอ้ซัน แต่ผมก็มีมุมมองของผมนิดนึงตรงที่ว่า ถามใจตัวเองให้แน่แหละครับ และที่สำคัญถามใจเขาด้วย อย่ารีบ อย่าไปเร่งรัด ถ้าเราสองคนมีความเห็นตรงกันก็พยายามไปพร้อมๆกัน คนที่ใช่อาจจะไม่ได้มีความเห็นตรงกับเราแต่แรกก็ได้ หรือกลับกัน คนที่แค่ผ่านมาอาจจะดูเข้ากับเราได้ทุกอย่างในตอนแรก แต่ทุกๆอย่างมันใช้เวลา ปรับตัวเข้าหากัน คนของเรามันอาจจะไม่ใช่คู่แท้เพอร์เฟ็กต์ร้อยเปอร์เซ็นต์แบบในหนังหรือในนิยายก็ได้ แต่ถ้าเราปรับตัวเข้าหากันบวกกับความเข้าใจอีกหลายหน่วย เราสองคนก็สามารถมีความรักให้กันแบบร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มเลยก็ได้นะ

ซัน : เหมือนในหนังไง พวกที่ตอนจบพระเอกนางเอกดีกัน รักกัน สมหวัง แต่ถ้าหนังมันทำยาวต่อไปอีกหน่อยสักหนึ่งชั่วโมง อาจจะเจอฉากที่พระเอกนางเอกทะเลาะกันเรื่องกระเป๋าหรือรองเท้าแล้วเลิกกันไปเลยก็ได้นะ กูว่า (หัวเราะ)

เมฆ : (พยักหน้า) จริงของมึง

ไอ้ต้น : ตอบยาวไปและมึง ใครเขาจะอ่าน ต่อไปๆ "ซันกะเมฆมาเรียนอะไรที่อังกฤษจ๊ะ"

ซัน : เรื่องมาเรียนที่อังกฤษเนี่ย จริงๆแล้วผมกับที่บ้านมีแผนกันมานานแล้วล่ะครับ แต่ก็ไม่ค่อยเป็นตัวเป็นตนนัก เพราะว่าพ่อของผมอยากให้ผมมาอยู่กับลุงกับป้า เพราะลุงคาร์ลก็มีบริษัทอยู่ที่นี่ ตอนนั้นผมก็ยืนยันว่าเรียนที่ไหนก็เหมือนกัน ผมเรียนที่ไทยแล้วค่อยไปทำงานที่นั่นก็ได้ แต่สุดท้ายพ่อของผมก็ย้ายมาทำงานที่เดียวกับลุงคาร์ล ผมก็เลยต้องย้ายมาด้วย ส่วนเรื่องเรียน ผมก็เลยเลือกเรียน International Business Study ครับ...... แต่ก็ใช่ว่าจะอยากเรียนมากมายน่ะนะ

เมฆ : ส่วนผมเองก็เรียนคล้ายๆมันครับ ผมเลือกเรียน Accounting and Business ครับ แต่ผมกะไว้ว่าจะกลับไปทำงานที่ไทย และอาจจะเรียนต่ออีก

ซัน : ผมเองก็เหมือนกัน ถ้าเรียนจบแล้วคราวนี้ผมก็จะเลือกใช้ชีวิตของผมเองล่ะ ไอ้เมฆไปไหนผมไปนั่น

ไอ้ต้น : "เรียนจบแล้วจะทำงานอะไร แล้วจะกลับประเทศไทยหรือว่าจะอยู่ที่อังกฤษตลอดไป" อ้าว เหมือนจะตอบไปแล้ว

เมฆ : อ้าว เผลอตอบไปแล้วข้อเมื่อกี๊จริงๆด้วย คือ ผมกลับไทยครับ ยังไงผมก็คงไม่ทิ้งพ่อผมแน่ๆ ส่วนไอ้ซันก็คงกลับไปกับผมด้วย แต่เราทั้งคู่ต่างก็อยากเรียนต่ออีกเหมือนกัน ดังนั้นคงต้องกลับตั้งหลักกันใหม่ก่อนแล้วค่อยว่ากันมั๊งครับ ตอนนี้ทำตรงนี้ให้ดีก่อน อนาคตวางแผนไว้แต่ก็ยังไม่ได้ยึดติดกับมันมากนัก

ซัน : แง้มๆให้ว่าไคล์มันจะไปเรียนต่อที่ไทยด้วยนะ ผมก็คงต้องตามไปคุมมันอีกคนด้วยล่ะ

ไอ้ต้น : ข้อนี้กูชอบๆ "อยู่ด้วยกันเนี่ย เมฆต้องคอยเป็นแม่บ้านให้ซันตลอดเลยหรือ เพราะเห็นแม่กุ้งบอกว่าซันทำเป็นแค่เปิดตู้เย็นหาอาหารและน้ำมากินเท่านั้น" คราวหลังกูเขียนให้มึงแต่งสาวใส่ผ้ากันเปื้อนมั่งดีมะ เมฆ

เมฆ : ป้ามึงแน่ะ ไอ้ต้น เดี๋ยวจะโดนมิใช่น้อย

ซัน : อันนั้นแม่ผมก็พูดเกินไป........ ผมก็ทำอะไรเป็นนะ แพนเค้ก ไข่ดาว ไข่เจียวเนี่ย ผมก็ทำได้ แต่ขี้เกียจซะมากกว่า ก่อนที่ไอ้เมฆจะมาก็เลยไม่ค่อยได้ทำอะไร หรือถ้าอยู่คนเดียวส่วนมากก็จะเป็นอาหารแช่แข็งน่ะครับ

เมฆ : ก็นั่นแหละ ผมเห็นแบบนั้นก็เลยสงสารมัน มันอยากกินอะไรส่วนมากถ้าทำได้ก็จะทำน่ะครับ นานๆทีให้มันได้มีอะไรดีๆกินมั่ง แล้วก็เป็นการช่วยเหลือตอบแทนแม่กุ้งกับพ่อเล็กไปในตัวด้วย

ไอ้ต้น : ว้ายย เด็กอาหารแช่แข็ง กูล่ะสงสารมึงจริงๆไอ้ซัน เอาล่ะ ข้อต่อไป "ทำไมเมฆถึงได้ทำอาหารเก่งล่ะ"

เมฆ : เพราะผมอยู่กับพ่อสองคนตั้งแต่เด็กๆน่ะครับ พ่อผมท่านก็งานเยอะ พอผมโตขึ้นมาหน่อยผมก็เลยต้องหัดดูแลตัวเองให้เป็น ช่วยเหลือพ่อให้ได้ ท่านจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงผมมากนัก ผมก็เลยทำอาหารเป็น ตอนแรกตอนยังเด็กๆพ่อก็เป็นคนสอนหรอก พ่อผมทำอาหารเก่งนะ แต่ไปๆมาๆ พอได้ทำบ่อยๆก็เลยเก่งขึ้นเรื่อยๆ แล้วผมก็ชอบด้วยล่ะ เชื้อเดียวกันกับพ่อเลย ส่วนเรื่องงานบ้าน ก็เหตุผลเดียวกัน ผมไม่อยากให้พ่อมาเสียเวลากับเรื่องที่บ้านมากน่ะครับ ถ้าผมทำอะไรได้ผมก็ทำ

ไอ้ต้น : "แล้วเมฆไปทำงานพิเศษด้วยหรือเปล่าขณะที่เรียน" มีปัญญาทำไรกะเขาด้วยเหรอมึงน่ะ

เมฆ : กูทำหมันมึงให้ดูเอามั๊ยละ เชี่ยต้น เดี๋ยวๆขอกูตอบเสร็จก่อนเหอะ จนถึงตอนนี้ยังครับ แต่ในอนาคตอันใกล้นี้ หรือถ้าช่วงปิดเทอม ผมจะไปทำงานที่ร้านป้าแอ๊นท์ครับ

ไอ้ต้น : ทำหมันกูเหรอ ทำไปเหอะ ยังไงกูก็คงไม่ได้เจริญพันธุ์อยู่แล้ว กร๊ากกกกก อ่ะแฮ่มๆ ถามต่อๆ "ซันรู้สึกว่าตัวเองรักเมฆตั้งแต่ตอนไหนคับ พราะตอนแรกซันจีบแฟนเมฆถึงมาเป็นเพื่อนกันใช่มั้ยคับ แล้วเปลี่ยนใจมารักเมฆตั้งแต่เมื่อไหร่"

ซัน : อืมมมม........ จริงๆแล้วผมน่าจะรู้สึกดีๆกับมันมาตั้งนานแล้วล่ะครับ แต่ว่าตอนนั้นผมบอกตัวเองว่าผมไม่ได้คิดอะไร หรือถ้าพูดง่ายๆก็คือ ผมไม่เคยคิดไปเกินเลยกว่าคำว่าเพื่อนเลยเพราะมันเป็นไปไม่ได้น่ะ สัญชาติญาณมั๊งครับ ก็นะ ผู้ชายกับผู้ชาย ใครมันจะไปคิด แต่สุดท้ายผมก็เริ่มรู้ตัวมากขึ้นตอนหลังจากออกจากโรงบาลแล้วทำตัวเละเทะๆไปช่วงหนึ่งนั่นแหละ เพิ่งจะตอนนั้นเองที่ผมเห็นว่าผมมีคนที่เค้ารักและแคร์ผมมากขนาดไหน แล้วผมคิดถึงความปากเปียกปากแฉะของมันเวลาที่เราไม่ค่อยได้คุยกันมากขนาดไหนน่ะ (หัวเราะ)

เมฆ : แล้วที่มึงมาจีบนัทล่ะ เล่าด้วยสิ

ซัน : อ่อ อันนั้น ตอนนั้นผมก็จีบเล่นๆแหละครับ แค่ให้มันรู้สึกว่าผมไปเกาะไปแกะแฟนมันเท่านั้นเอง ไม่ได้ชอบเค้าหรอก พอพอใจแล้วก็เลิก ตอนนั้นผมนิสัยแบบนี้แหละ อยากได้อยากทำอะไรก็จะต้องได้และก็จะทำ ก็..... นิสัยแบบเด็กๆน่ะครับ แต่สุดท้ายไอ้เมฆก็เปลี่ยนผมไปได้

ไอ้ต้น : (ทำท่าจะอ้วก) "ตอนก่อนที่เมฆจะมาที่อังกฤษซันเคยมีแฟนแล้วหรอคับ ไหนบอกว่ารักแล้วก็คิดถึงเมฆมากไง แล้วทำไมถึงไปมีแฟนที่นั่นได้ล่ะ" นั่นสิ เจ้าชู้นะมึงเนี่ย ซัน

ซัน : โอ่ยย เจอคำถามโดนใจเลยกู (หัวเราะ) มึงก็ด้วยไอ้ต้น ก็มึงเขียนให้กูเป็นแบบนี้ สัดนิ่...... คือ ไอ้รักน่ะ รักมากครับ แต่ผมก็อยากจะเดินต่อไป ไม่อยากจะจมปลักอยู่กับอดีต ผมอยากจะลองดู อยากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยนั่นแหละ ว่าผมมันเป็นยังไง ว่า “ความรัก” ของผมมันเป็นยังไง อืมมม........ จะเรียกว่าแฟนก็คงไม่ใช่ แค่เดทด้วยกันอยู่ช่วงนึงน่ะครับ เค้าเป็นคนจีนที่ย้ายมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่มัธยม เดทกันอยู่ได้ราวๆสัปดาห์นึงผมก็พามาแนะนำให้พ่อแม่รู้จัก แต่จริงๆแล้วตลอดเวลาตอนนั้นผมก็รู้ตัวแหละนะ ว่ามันไม่ใช่ สุดท้ายก็หายๆกันไป เพราะเธอเองพอเห็นว่าผมพามาเจอพ่อแม่เข้า เธอก็เริ่มตีตัวออกห่างไปเลยเหมือนกัน ซึ่งผมก็โล่งใจ เพราะตอนนั้นผมรู้ตัวว่าผมจงใจผลักดันตัวเองมากเกินไปจริงๆ มันเป็นช่วงเวลาสั้นๆที่ผมไม่เป็นเหมือนกับตัวผมเองเลยแม้แต่นิดเดียว แต่มันก็มีข้อดีอยู่อย่างหนึ่งที่ทำให้ผมรู้ว่าจริงๆแล้วผมรักไอ้เมฆมากขนาดไหนน่ะครับ

เมฆ : หึๆๆๆ พูดดีมากกกกก......... ผมขอปิดท้ายนิดนึงก็แล้วกัน นั่นก็คือ เนื่องจากยังไม่แน่ใจว่าไอ้ต้นมันจะเขียนภาคต่อรึเปล่า ถ้าเขียนก็สงสัยจะอีกนาน (มั๊ง) เพราะฉะนั้นตอนนี้เราสองคนก็คงยังพูดอะไรมากไม่ได้ แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานขนาดไหน อนาคตของเราสองคนมันก็คงไม่สามารถพูดว่าแน่นอนได้ เพราะทุกๆอย่างมันถูกไอ้ต้นลิขิต แต่ว่าจากนี้ไป ถ้ามีโอกาสได้กลับมาเป็นหนังภาคต่ออีกครั้ง เราก็หวังว่ามันจะเป็นหนังภาคต่อที่ไม่ทำออกมาแล้วแป้กเหมือนกับหนังเรื่องอื่นๆส่วนมากนะครับ ขอบคุณทุกคนมากๆครับ ที่ติดตามพวกเรามาตั้งแต่ต้นจนจบ.......

ไอ้ต้น : ถือว่าตอบกันได้ดี แต่พวกมึงอย่ากดดันกูมากนักได้ม๊ายยยยยยยยย ว่างๆมาเข้าฝันกูสิ บอกว่าพวกมึงอยากมีชีวิตแบบไหน แล้วกูจะแต่งต่อให้ แสดด นี่กูยังไม่มีแนวทางเลยนะเนี่ย :m29: ไปๆ มึงกลับไปกันได้แล้ว ประสาทจะแดกอยู่แล้วกู ไป๊ๆๆๆ ไว้มีใครเค้าถามอีก มึงค่อยกลับมาใหม่ (ผลักๆเตะๆถีบๆตูดพวกมันสองคนออกจากห้องไป)

...................................................


ผมแก้ไขเรื่องราวตั้งแต่ภาคแรกของพวกมันสองคนเสร็จแล้วนะคับ ใครอยากได้ก้อส่งเสียงมาและกาน
ก้อไม่ได้แก้อะไรมากหรอกคับ ก้อแค่แก้คำผิด แก้บทพูด เรียบเรียงอะไรใหม่นิดหน่อย
ภาคสามนี่ก้อแก้แรกๆเยอะหน่อย หลังๆนี่แทบไม่ได้แตะเลย เพราะขี้เกียจ (อ้าว)
แต่ไม่ได้หมายความว่าแก้แล้วจะไม่มีตรงไหนผิดเลยหรอกนะคับ เบลอๆๆเหมือนกัน ห้าสิบกว่าตอน เยอะแสดดด

แต่ถึงกระนั้น ถ้าใครอยากได้ “ฉบับสมบูรณ์” (เท่าที่จะสมบูรณ์ได้) ไปเก็บก็บอกและกันเน้ออ
ขอบคุณทุกคนมากๆคับ ผมไม่สามารถบอกขอบคุณเรียงคนได้จริงๆ
แต่ขอบคุณมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ที่ติดตามและเป็นกำลังใจให้ผมจริงๆจังๆ

จุ๊บๆๆๆๆๆ


หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 14-10-2007 16:20:14
อยากรู้เรื่องของไคล์กะพีมั่งอะ ไปถึงไหนกันแล้ว  :m4: :m4:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 14-10-2007 16:39:41
อยากรู้เรื่องของไคล์กะพีมั่งอะ ไปถึงไหนกันแล้ว  :m4: :m4:

ยังไม่ได้แต่งต่อคับ (ฮา)

แต่ก็ so far so good

 :m4:

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 14-10-2007 16:59:54
งั้นจะรอคู่นี้บ้าง อย่าลืมแต่งคู่นี้นะจ๊ะ  :m4: :m4:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 14-10-2007 18:16:03
ขอไฟล์ที่แก้แล้วด้วยนะครับ

เหมือนงานใหญ่สัมภาษณ์ดาราดังเยย

ซันกับเมฆจุ๊บกันต่อหน้าพยายนหน่อย
 :m3: :m3: :m3:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 14-10-2007 19:44:22
ขอไฟล์ที่แก้แล้วด้วยคนค่ะ  o15  o15
หุหุ บรรยากาศสัมภาษณ์กันเอ๊งกันเองเนอะ  :laugh:   :laugh:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 14-10-2007 20:13:44
ยิ่งมาให้สัมภาษณ์ก็ยิ่งคิดถึงจัง เมฆกะซัน
ฝากจุ๊บคนละทีนะ

ปล.ขอไฟล์ที่แก้ด้วยนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: Ex'ecuzě ที่ 14-10-2007 20:30:45
อยากด้าย ไคล์ กะ พี อ้ะ ๆ ๆ :m17:

น้า ๆ พี่ต้นสุดเลิฟฟฟฟ  :m3: :m3:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 14-10-2007 20:46:23
 :a4:   คิคิ   สัมภาษณ์ น่ารักจัง      :a4:

เตะๆ ถีบๆ  ตูดออกไปซะแล่ะ    :m3:
ซินมามิทัน สัมภาษณ์ สดสิเนี่ย        o16



คราวหน้าเอาใหม่ๆ คิคิ 

ยังคิดคำถามมิออกตามเคย         :o8:        มัวตะเขิน   แฮะ

เอาเป็นว่า คิด ถึง ทั้งสี่หนุ่ม นะคะ คุนต้น 
คราวหน้า ขออีกคู่มา สัมภาษณ์ ด้วยนะคะ อิอิ

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 14-10-2007 20:54:22
อยากให้ไคล์กะพีมาก้อต้องมีเรื่องมาให้สำพาดอ่ะคับ
ไม่งั้นไม่รู้จะลากมันมายังไง 5555
พียิ่งขี้อายๆอยู่ เหมือนไอ้ต้นเป๊ะ  :impress:

ใครจะรู้มั๊ยนะ ว่าจริงๆแล้วบุคลิกของพีนี่คือต้นล้วนๆเลย 555   :impress:

ปล. นี่คับ รวมสามภาค http://download.yousendit.com/D54E00524E10B132 แปะไปเลยแล้วกันนะ ไหนๆก้ออัพให้น้องชายคนนึงไปแล้ว
มีเวลาเจ็ดวันในการดูดเน้ออ

 :a10:

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 14-10-2007 23:15:05
ขอบคุณมาก ดูดมาแระ  o17 o17
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: Ex'ecuzě ที่ 15-10-2007 02:11:08
พี่ต้นขี้อายหรอ?  :try2:

ม่ายช่ายแร้วม้าง ๆ ๆ

วันนี้ยังคุยอะไรกานอยุ่เร้ย ๆ อย่าทำเปงลืมซะล่ะ  :o8:

ยังงัยก้อขอบคุนนะคับ วันนี้  :m11:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 15-10-2007 08:02:32
ต้นคือพีหรือนี่ คงจะเหมือนสุดตรงมีเคยมีความรักที่ทั้งสวยงามและเจ็บปวดหล่ะสิ

ได้ไฟล์มาแล้วขอบคุณครับ  โหมันเยอะงี้เลยหรือเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 15-10-2007 13:20:49
อยากให้ไคล์กะพีมาก้อต้องมีเรื่องมาให้สำพาดอ่ะคับ
ไม่งั้นไม่รู้จะลากมันมายังไง 5555
พียิ่งขี้อายๆอยู่ เหมือนไอ้ต้นเป๊ะ  :impress:

ใครจะรู้มั๊ยนะ ว่าจริงๆแล้วบุคลิกของพีนี่คือต้นล้วนๆเลย 555   :impress:


 :a10:


^
^
จริงเหยออออออออออ...  :give2:
เพิ่งรู้ว่าคุนต้น ขี้อาย   คิคิ      :o8:

อยากรู้จัง อนาคต ของ ต้น...เอ๊ย.... พี  ก่า ไคล์ ตอนนี้เป็นยังไงน่อ ...อิอิ
ทั้งคู่ จะลงหลักปักฐาน อยู่ ที่นู่นหรือเปล่า ?
ความรัก สดใส แฮปปี้ ทุกวัน มะคะ    :m1:

 :m26:  อยากจะเห็นฉากหวานๆ ของคู่ ไคล์ก่าพีมั่ง  ...คู่พี่ๆนำหน้าไปแล้วนิ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: ~Brand New Beat~ ที่ 16-10-2007 00:34:39
แอบมาอ่านด้วย อิอิ พอเขียนเป็นบทสัมภาษณ์ก็สนุกดีเหมือนกันนะเนี้ย

มาจิ้มไฟล์ด้วยคนครับ ขอบคุณมากครับผม ^^
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 16-10-2007 10:38:19
 :m1:
น่ารักมากมายยยย ฝากความคิดถึงซันกับเมฆ...พีกับไคล์ด้วยครับบบบบบ
ดีใจได้ยินข่าวคราวกัน...ถึงเป็นตัวละคร...แต่ก็ผูกพันธ์กันมาตั้งนานนนนน :give2:
ดีใจที่เรื่องราวจบตัวได้สวยงามมมมม ขอบคุณต้นคนเขียน.....น่ารักมากก
 :bye2:

ปล. ตรีมูลติ หมายถึง เทพเจ้า 3 พระองค์คือพระพรหม-ผู้สร้าง  พระศิวะ-ผู้รักษา พระนารายณ์-ผู้ทำลาย
บางลัทธิเชื่อสลับกันระหว่างพระนารายณ์กับพระศิวะ...สำหรับคนไทยน่าจะติดพระนารายณ์ที่เป็นผู้ทำลาย
เสียมากกว่า...จะสังเกตได้จากพระนารายณ์มักจะอวตารลงมาปราบกลียุคในสมัยต่าง ๆ ที่ดัง ๆ ก็
รามเกียรต์ ...อวตารลงมาเป็นพระรามเพื่อปราบทศกัณฑ์....พอหอมปากหอมคอจ้ะ... :m26:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของŪ
เริ่มหัวข้อโดย: ninaprake ที่ 21-10-2007 05:54:08
ปล. ตรีมูลติ หมายถึง เทพเจ้า 3 พระองค์คือพระพรหม-ผู้สร้าง  พระศิวะ-ผู้รักษา พระนารายณ์-ผู้ทำลาย
บางลัทธิเชื่อสลับกันระหว่างพระนารายณ์กับพระศิวะ...สำหรับคนไทยน่าจะติดพระนารายณ์ที่เป็นผู้ทำลาย
เสียมากกว่า...จะสังเกตได้จากพระนารายณ์มักจะอวตารลงมาปราบกลียุคในสมัยต่าง ๆ ที่ดัง ๆ ก็
รามเกียรต์ ...อวตารลงมาเป็นพระรามเพื่อปราบทศกัณฑ์....พอหอมปากหอมคอจ้ะ... :m26:

ขอบคุณสำหรับคำอธิบายนะครับ คุณพี่นาท   :m4:  ส่วนตัวผมคุ้นกะการที่พระนารายณ์เป็นผู้รักษาและปกป้อง กับพระศิวะที่เป็นผู้ทำลายมากกว่าแหละ  :o8:  แต่ก็อย่างที่บอกว่าแล้วแต่ความเชื่อของแต่ละลัทธิหรือนิกาย เพราะมองในแง่นึงแล้ว การที่พระศิวะท่านทรงยอมกลืนพิษร้ายที่เกิดจากการกวนเกษียรสมุทรจนทำให้พระศอ(คอ)ดำนั้น มองมุมนึงก็เหมือนกับพระองค์ทรงเป็นผู้ปกป้องเช่นกัน

และขอเพิ่มเติมคร้าบ ก็เนื่องจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดูเนี่ย แต่ละนิกายก็จะนับถือเทพเจ้าต่างกัน เช่น ไศยวนิกาย (เขียนถูกป่าวหว่า?) ก็จะนับถือพระศิวะจะบูชาศิวลึงค์ที่เป็นเสมือนสัญลักษณ์แทนองค์พระศิวะ (หรืออีกพระนาม พระอิศวร)... ไวษยนิกายที่บูชาพระนารายณ์ (หรืออีกพระนาม พระวิษณุ) .... ที่นี้ก็จะขึ้นอยู่กับยุคแล้วว่า ช่วงไหนผู้นับถือนิกายใดมากกว่าหรือยิ่งใหญ่กว่า เช่นกษัตริย์ที่ขึ้นครองราชใหม่นับถือนิกายใดนิกายหนึ่ง ก็จะมีการสร้างหรือพบเห็นศาสนสถานสำหรับบูชาเทพองค์นั้นๆมากกว่าเทพเจ้าองค์อื่นๆ ....

ทีนี้เนื่องจากมีการนับถือเทพเจ้ากันหลายองค์ และนิกายก็มีหลากหลาย แต่โดยหลักๆแล้วเทพเจ้าที่ทุกคนนับถือในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูก็ยังคงมีอยู่ 3 องค์คือ พระพรหม, พระนารายณ์ (พระวิษณุ), และพระศิวะ (พระอิศวร) .... จึงได้มีผู้ดำริคิดค้นนิกายใหม่ที่นับถือเทพเจ้าทั้ง 3 พระองค์ โดยได้ทำการรวมเทพเจ้าทั้ง 3 องค์เป็นองค์เดียวที่เรียกว่า "พระตรีมูรติ" .... เพราะฉะนั้น ใครนับถือพระตรีมูรติ ก็คือนับถือเทพเจ้าทั้ง 3 องค์นั่นเอง ..... แต่นี่เป็นเพียงนิกายหนึ่งของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูเท่านั้น โดยนิกายอื่นๆของศาสนานี้ส่วนใหญ่ต่างก็ยังนับถือเทพเจ้าองค์เดียวของตนอยู่เช่นเคย ใช่ว่าทุกคนจะเปลี่ยนแปลงมานับถือองค์พระตรีมูรติกันหมด มิหนำซ้ำ หลายๆคนต่างก็ไม่มีความเชื่อในการมี การคงอยู่ของพระตรีมูรติด้วยซ้ำ โดยถือว่า พระพรหม พระนารายณ์ และพระศิวะ ต่างก็เป็นเทพเจ้าต่างองค์กัน มิสามารถจะมารวมเป็นองค์เดียวกันได้

ส่วนเรื่องคู่และความรักเกี่ยวกับพระตรีมูรติอย่างไร? ผมก็ไม่รู้ครับ  o17 รู้แต่ว่าคนไทยเค้าเชื่อกัน (หรือเฉพาะเพื่อนผมกับบรรดาสาวออฟฟิสทั้งหลายหว่า  :o8: ) ว่า ถ้าอยากได้คู่ อยากมีความรัก ให้ไปบนบานขอต่อองค์พระตรีมูรติที่หน้า Central World (เริ่มอ๋อกันบ้างยังค้าบ) หรือถ้าอยากจับคู่กะใครหรืออยากอยู่กะแฟนยืดยาว ก็หาทางพาตัวแฟนหรือเป้าหมายคนนั้นๆไปไหว้ท่านด้วยกันซะเลย  :m11:  โดยในการจะกราบไหว้ขอพรท่านนั้น จะต้องใช้ธูปแดง เทียนแดง ดอกไม้แดง ของแดงๆอ่ะคับ (หาเอาได้หน้าศาลหรือร้านแถวๆนั้นก็ได้ครับถ้าไม่อยากพกมาเอง) จุดและถวายต่อองค์ท่าน ส่วนบทสวดก็มีเขียนไว้อยู่ที่หน้าศาลครับ ..... แล้วก็ถ้าจำไม่ผิด เค้าว่ากันว่า ช่วงเวลาที่ขลังที่สุด ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดก็คือช่วง 3 ทุ่ม 33 นาทีครับ (ไม่แน่ใจว่า 3 โมง 33 นาทีด้วยป่าว) ..... ถ้ามาไหว้ช่วงนี้ โอกาสสำเร็จจะสูงมากครับ .... ส่วนตัวผมยังไม่ได้ลองพาใครไปไหว้ด้วยกันเลยครับ ไม่มีอ่ะ  :m17: เรื่องมันเศร้า .... เลยยังไม่รู้จะเป็นไง .... แต่ก็กะไว้แล้วว่าจะลองไปไหว้ท่านช่วง 3 ทุ่ม 33 นาทีให้ได้ซักที ..... ไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็ต้องเอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ ก็ต้องเอาด้วยคาถา ถ้ายังไม่ได้ ก็ต้องไหว้พระ(ตรีมูรติ)ขอพร หรือถ้ายังไงๆก็ยังไม่ได้ .... ก็คงต้องค่อยๆหาเดะๆมาเป่าหู เลี้ยงต้อยเอาหล่ะครับ  :laugh3:

ถ้าผิดพลาดประการใดก็ขออภัยนะครับ พอดียังไม่มีเวลาไปหาข้อมูลมาเพิ่มเติม ทั้งเรื่องคำสะกดและเนื้อหาอ้างอิงที่แน่นอน เพราะอันนี้ใช้ข้อมูลจากความทรงจำล้วนๆ ถ้ามีผู้รู้เจอข้อผิดพลาด รบกวนช่วย comment แก้ไขได้นะครับ   :m23:

-----------

ปล.ต้นค้าบ ผมยังนึกคำถามให้พีกะไคลไม่ออก .... ทั้ง 2 คนอย่าเพิ่งน้อยใจน้า  o17
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 21-10-2007 09:27:36
ได้ความรู้ใหม่ ต้องไปลองบ้างละ
3ทุ่ม 33 นาทีเลยหรือ แถวนั้นจะมีคนเหลือป่าวเนี่ยะ
 :a3: :a3: :a3:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: artday ที่ 21-10-2007 14:36:16
 :m3: ขอบคุณครับ o14
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 21-10-2007 15:02:45
 3 ทุ่ม 33 นาที เหรอคะ  คุณเรย์ ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะไม่มีคนเหลือ  คนตรึมเลยค่ะ
อบอุ่นมาก :m23:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 21-10-2007 17:57:24
 :โหลๆ:     รับรู้กันโดยทั่ววววว
ถ้า BlueWizard  แอบนัดใครไปแถว central world      :call:       ตอนช่วง 3 ทุ่มละก็.... :m10:
เอาใจช่วยยยยยกันทุ๊กกกกกกคนเลยยยยย .....
 :give2:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 21-10-2007 18:42:26
เข้ามาแทนพี่ต้นครับ

เค๊าฝากบอกว่า จะกลับวันอาทิตย์หน้า วันที่ 27 ครับ
แล้วเค๊าจะพาทั้ง 4 คนมาอีกน่ะครับ

 :bye2:

 
หัวข้อ: Re: การเดินทางของŪ
เริ่มหัวข้อโดย: ninaprake ที่ 21-10-2007 18:53:24
เข้ามาแทนพี่ต้นครับ
เค๊าฝากบอกว่า จะกลับวันอาทิตย์หน้า วันที่ 27 ครับ แล้วเค๊าจะพาทั้ง 4 คนมาอีกน่ะครับ  :bye2:

น้องทึ่มนี่ดีจังเลย เป็นแฟนที่ดีของพี่ต้นมากๆ มาคอย update ให้ตลอดเลย มีแฟนงี้รักตายเลยนะ อิอิ  :m3:

ปล. ขอโทษทีนะครับที่เรียกว่าน้องทึ่ม เรียกบ่อยๆแล้วตะขิดตะขวงใจกลัวโดนโกรธ ... แต่จำไม่ได้แล้วอ่ะว่าชื่อจริงๆชื่ออะไร  o17

ปล2. แหมๆๆ พี่นาท ผมก็มีนัดเพื่อนฝูงไปพบปะพูดคุยแถวนั้นบ้างก็ได้ไม่ช่ายเหรอออ ดูหนังรอบค่ำรอบดึกอะไรเงี้ย ไม่จำเป็นว่าจะจ้องรวบหัวรวบหางพาไปไหว้ท่านด้วยกันซะหน่อย อิอิ  :laugh3:

ปล3. Confirm ว่าตอน 3 ทุ่มแถวนั้นคนยังเพียบครับ คุณเรย์ไม่ต้องกลัวเหงา แต่ก็คงไม่มากขนาดหลบคนไม่พ้นถ้าเทียบกะตอนกลางวัน อิอิ (เผื่อคุณเรย์จะหนีกิ๊ก ๑ พากิ๊ก ๒ ไปไหว้)
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 23-10-2007 08:00:29
เง้อ มาดูดไม่ทัน  :m17: ใครมีบริจาคมั่งจิ  :impress:  :impress:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 23-10-2007 23:38:32
มาไม่ทันเหมือนกันเลยอ่ะ ไอ้คุณพีดูดแล้วส่งให้ด้วยเน้อ
แท้งหลาย
 o14 o15
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: Heater ที่ 27-10-2007 16:19:31
สุดยอดเลยคับเรื่องนี้ :give2:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 27-10-2007 19:30:02
กลับมาแว้วคับ แต่ขอออกไปแร่ดก่อน อิอิ
พรุ่งนี้ก้อไม่ว่าง เพราะงั้นรออีกหน่อยหนา จุ๊บๆ

 :o8:

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 29-10-2007 20:58:36
ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะคับ ได้ความรู้ใหม่ๆด้วย อิอิ
ส่วนเรื่องไอ้ทึ่ม ช่างมันเถอะคับ ปกติมันก็ไม่เข้ามาในเวบนี้อยู่แล้ว
มันยั๊งไม่เคยอ่านเรื่องที่ผมเขียนสักเรื่องเลยคับ คิดดู
เคยอ่านแต่รักครั้งแรกตอนที่คบกันใหม่ๆแล้วมันก็โทรมาขอโทษที่ทำตัวไม่ดีแค่นั้นเอง
หุหุ


เอาล่ะ ไหนๆก็ไหนๆมาคุยกับพีกะไคล์ต่ออีกหน่อยแล้วกันนะคับ มีคนถามถึงสองคนนี้มาพอสมควร

ไอ้ต้น : ไหนๆ........ ขอดูคำถามหน่อยซิ

ซัน : เดี๋ยวไอ้ต้น มึงลืมคำถามไปคำถามนึงรึเปล่า ครั้งที่แล้วอ่ะ

ไอ้ต้น : (ทำท่าตกใจ) จริงเหรอวะ ไหนๆขอกูเช็คก่อน......... เออ จริงด้วยว่ะ ชิบหายแล้ว

ซัน : ฟาย

ไอ้ต้น : มึงอย่ามาปากดี ว่าแต่มึงมาได้ไงเนี่ย ครั้งนี้กูจะถามไคล์กับพีนะ สัดนิ

เมฆ : ก็แล้วถ้าไอ้ซันไม่มา มึงจะรู้มั๊ยว่ามึงลืมไปคำถามนึง

ไอ้ต้น : เออ จริง........ เอาล่ะ เอาเป็นว่าถามเลยละกัน มึงสองตัว “ช่วงเวลาที่ห่างกันไปหนึ่งปี รู้สึกยังไง แล้วคิดมั๊ยว่าจะมีวันนี้ วันที่ได้มาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง”

ซัน : เซ็งตัวเองมากกว่าอย่างอื่น เสียใจที่ทำตัวงี่เง่าๆลงไป อยากจะย้อนเวลา อยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง อยากจะลืมมันแล้วเดินต่อไป แต่ก็ทำไม่ได้สักอย่าง คิดไว้เหมือนกันว่าคงต้องได้เจอกันอีก แต่ก็ไม่รู้ว่าการได้เจอแบบนั้นมันจะเป็นยังไงนะ แต่ไอ้เรื่องที่ได้อยู่ด้วยกันอีกนี่แทบไม่คิดเลย คิดว่ามันคงเกลียดและโกรธผมไปแล้วมากกว่า

เมฆ : ตอนนั้นผมก็เบลอไปเหมือนกันครับ หาอะไรหลายๆอย่างทำเพื่อให้ลืม แต่ก็ตัดสินใจไปแล้วล่ะว่าอยากจะเจอมันอีกครั้ง แต่ไม่ได้คิดถึงเรื่องขนาดได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ ตอนนั้นขอแค่ได้เจอก็มีความสุขแล้วล่ะ

ไอ้ต้น : โอเค พวกมึงสองคนหมดหน้าที่และ ต่อไปพีกะไคล์ มานี่ๆๆ (เอามือตบเบาะข้างๆตัว)

ซัน : แหม มึง เห็นเด็กๆหน่อยนี่ไม่ได้เลยนะ สัด

ไอ้ต้น : เออ เรื่องของกู แต่พวกมึงก็อย่าเพิ่งไป รอก่อน ขอถามไคล์กะพีก่อน อะแฮ่มๆ เอาล่ะ “พีเรียนอะไรที่อังกฤษ แล้วไคล์ล่ะอยากจะเรียนอะไร”

พี : ผมเรียนเหมือนพี่เมฆครับ

ไคล์ : ส่วนผมอยากเรียนวิศวะ แต่ว่าจะไปรียนที่ไทย แบบนั้นจะได้ไม่ต้องห่างจากพีทนานไง (หันไปยิ้มให้พี)

ไอ้ต้น : อืมมม........ หวานพอกันกะไอ้แก่สองตัวนี่เลยว่ะ กูชักรู้สึกเลี่ยนๆ งี้ก็แปลว่าไม่ต้องถามคำถามต่อไปแล้วสิเนี่ย เค้าถามกันว่าเราสองคนยังรักกันดีรึเปล่า เป็นยังไงกันบ้างอะไรประมาณนี้

ไคล์ : ดีที่สุดเท่าที่จะดีได้ล่ะครับ ถึงผมจะยังต้องหลบๆซ่อนๆไม่ให้เพื่อนรู้แต่พอพีทกับผมกลับไปไทยอะไรๆมันก็คงจะดีขึ้น

พี : ผมคิดว่าผมโชคดีนะครับที่ได้จอไคล์ เพราะเขาทนรับอะไรๆผมได้หลายอย่างมากๆ ส่วนพ่อกับแม่ของพี่ซันกับของไคล์ก็ดีมากๆด้วย ผมเลยรู้สึกมีความสุขมากกว่าที่ผมเคยคิดอาไว้เสียอีก ก็อยากให้มันเป็นแบบนี้ไปได้ตลอดล่ะครับ

ไอ้ต้น : ดูๆแล้วพีดูเหมือนพูดเก่งขึ้นนะเนี่ย ท่าทางจะมีความสุขดี แล้ว “ลืมภูไปรึยัง” กะ “อยากให้ต้นเขียนเรื่องเก่าๆของพีกับภูด้วย” อ้าว กรรม กู เข้าตัวเองซะงั้น

พี : ไม่ลืมครับ ยังไงก็ไม่ลืม แต่ผมไม่ร้องไห้เรื่องเขาอีกแล้วก็เท่านั้น ผมจะเก็บเขาไว้เป็นความทรงจำดีๆครับ ส่วนเรื่องในอดีตของผมกับภู ก็แล้วแต่พี่ต้นละกัน แต่จริงๆผมก็ไม่ค่อยอยากจะรื้อฟื้นเท่าไหร่นะครับ อยากจะใส่ใจกับเรื่องในอนาคตมากกว่า

ไอ้ต้น : อ้าว นี่กดดันกูกลายๆถึงภาคสี่อีกคนล่ะสิเนี่ย

ไคล์ : ก็รีบๆแต่งสิ ผมก็อยากไปไทยไวๆแล้วนะ

ซัน : สมน้ำหน้า โดนทวงเลยมึง (หัวเราะ)

ไอ้ต้น : กี๊ดดดดดดดดดดดด!! กุโดนรุม!! แต่งไปหน่อยนึงแล้ว สัด แต่ยังไม่พร้อม แต่ว่าถ้าแบบนี้มันจะยังไม่มีพีช่วงแรกๆนะ พีรับได้เหรอ

พี : ได้ครับ

ไคล์ : แต่ยังไงก็ให้พีทกลับมาไทยก็เร็วๆแล้วกัน ผมจะรอ (หันไปหอมแก้มพี)

ไอ้ต้น : โอยกุเครียด เมฆ ซัน เรื่องราวภาคสี่กุจะเปลี่ยนอะไรนิดหน่อยนะ มึงพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงรึยัง

เมฆกับซัน (ตอบพร้อมกัน) : พร้อม

ซัน : จะดีจะเลวกูก็อยากรู้เหมือนกันว่ากูสองคนจะฝ่าฟันไปได้มั๊ย เพราะงั้นมึงว่ามาเลย กูไม่กลัว

เมฆ : (ท่าทางลังเลนิดๆ) แต่กูกลัวนะ กูกลัวจะรักมึงได้ไม่เท่ากับแต่ก่อนว่ะ กูกลัวว่าพอเวลาผ่านไปนานๆแล้วบางอย่างในใจกูมันจะเปลี่ยนไปอ่ะ ซัน คือ กูรักมึงมากก็จริงนะ แต่ถ้ามันมีเรื่องราวอะไรแย่ๆมากๆมาบีบบังคับเราสองคนล่ะก็.........

ซัน : มึงจะกลัวไปทำไม เมฆ มึงชอบคิดมากแบบนี้อยู่เรื่อย หรือว่ามึงไม่ไว้ใจกู (เสียงเริ่มซีเรียส)

เมฆ : ไม่รู้ว่ะ ไอ้ไว้ใจมึงมั๊ย กูน่ะไว้ใจมึงแหงอยู่แล้ว แต่บางทีกูอาจจะไม่ไว้ใจตัวเองมากกว่า คือกูกลัวอนาคตน่ะ กลัวการเปลี่ยนแปลง กลัวอะไรที่ไม่ใช่มาจากเราสองคน แบบว่า ไม่ได้กลัวหรือวิตกมากถึงขนาดนั้นนะ แต่ว่าอนาคตมันไม่แน่นอนใช่มั๊ยล่ะ ดูอย่างเมื่อสี่ห้าปีก่อนสิ มันยังเกิดนั่นเกิดนี่ขึ้นกับเราตั้งหลายอย่างเลย แต่ถึงยังไงกูก็ตั้งใจจะทำวันนี้ตอนนี้ให้ดีที่สุดอยู่แล้วว่ะ มึงไม่ต้องเครียดดิ่คับ ซัน นะ........ (หันไปทำท่าอ้อนซัน) หรือไม่กูก็แค่ก็ไม่ไว้ใจไอ้ต้นมันเนี่ยแหละ เกิดแม่งแต่งอะไรเหี้ยๆขึ้นมากูก็แย่สิ

ไอ้ต้น : อ้าว เอ๊ะ มึงสองตัวนี่กัดกูอีกแล้ว ไปๆๆ ได้แล้วทั้งสี่คนเลย หายหัวกันไปสักพักนะพวกมึง ให้เขาลืมๆมึงกันไปก่อนแล้วค่อยกลับมาใหม่ ปีหน้านู่นแหละ แบบนั้นดีมะ

ไคล์ : โอ้โห ทำไมนานจังครับ

ไอ้ต้น : ก็เผื่อพี่หมดมุกแต่งต่อไม่ได้กลางคันขึ้นมา คนเขาจะได้ไม่ใส่ใจกันนักไง กร๊ากกกกก

เมฆ : ไม่เป็นไร ถึงยังไงความรักของเราสี่คนก็มั่นคงตลอดกาลอยู่แล้วเนอะ (หันไปยิ้มให้สามคนที่เหลือ)

ไอ้ต้น : โอ๊ยยย กูจะอ้วก วันนี้พอแค่นี้ดีกว่า ไปๆๆๆ เลิกๆๆๆๆ


.................. จบบริบาล ..................
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: tonsai_2520 ที่ 29-10-2007 21:17:44


จบบริบาร . .  .

เคยเหรอ  เคยบานเหรอ


หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 29-10-2007 21:19:50


จบบริบาร . .  .

เคยเหรอ  เคยบานเหรอ




พูดถึงตูดหรือหัว...... ล่ะ   :เตะ1:

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 29-10-2007 21:34:58
หุหุ ก็ว่าอยู่คำถามเราหายไปไหน  :a14:
ตกลงว่ามีภาค 4 ใช่ปะ  :m11:  :m11:  :m11: คราวนี้คงเป็น การพบกันของผืนดินกับสายน้ำ เนอะ  :impress:

ปล.คู่พีกับไคล์น่ารักมาก   :m3:  :m3: ตอนนี้คะแนนนิยมแซงหน้า ซันกับเมฆแระ   :m18:  :m18:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: artday ที่ 30-10-2007 04:33:49
 :m5: อย่าให้รอเก้อนะครับ :give2:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: Givesza ที่ 30-10-2007 04:41:53
ช่ายๆๆ มาตามพี่ต้นต่อ  ถ้าไม่มาโกธร  :impress:


คิดถึงพี่ต้นนนนน  แต่งต่อเอาแบบมันส?ๆน่ะ  :m10:    :laugh:    :laugh:

บะบาย บุ๋ยๆ ไปหลับตอนตี 5 เดี๋ยวจะเขียนเรื่องตัวเองต่อด้วย แหะๆ  :m23:


 :m1:     :m1:     :m1:      :m1:      :m1:   

ที่สงสัย กิฟ๊ว่าตูดพี่ต้นบานมากกว่า  :laugh:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของŪ
เริ่มหัวข้อโดย: ninaprake ที่ 03-11-2007 00:24:15
อ้อ! คิดได้อีกคำถามแล้วครับ .....

สงสัย กิฟ๊ว่าตูดพี่ต้นบานมากกว่า  :laugh:


อยากถามว่า .... จริงเหรอครับ?  :laugh3:

อย่าลืมมาตอบนะครับ ครี ครี
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 03-11-2007 01:16:39
:m3: :m3: :m3:      เข้ามาดี๊ด๊า.... ภาคสี่เหรอคะ คุนต้น       :m3: :m3: :m3:


จะทันได้อ่านมะน่อ..... ปีหน้านู่น เอิ้กๆ      o14

เอาเป็นว่า ให้กำลังใจเเต่เนิ่นๆคับป๋ม     :m1:


ป๋อล๋อ*....  เห็นอะไร ใครแว๊บๆๆ  "ใครบาน"?
หัวข้อ: Re: การเดินทางของŪ
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 03-11-2007 07:17:15
อ้อ! คิดได้อีกคำถามแล้วครับ .....

สงสัย กิฟ๊ว่าตูดพี่ต้นบานมากกว่า  :laugh:


อยากถามว่า .... จริงเหรอครับ?  :laugh3:

อย่าลืมมาตอบนะครับ ครี ครี

แหม ก้อไม่ใช่คนตูดแหลมนี่คับ ไม่งั้นนั่งลำบากแย่ (http://img527.imageshack.us/img527/2690/emoticon220il3.gif)

เกิดมาก้อบานเป็นสองซีกแย้วว วี๊ดว้าย อ๊ายๆๆ (http://img401.imageshack.us/img401/3619/telemanweedwyeid7.gif)

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 03-11-2007 21:49:22
ในที่สุดก็อ่านจบซะที  ประทับใจมากๆครับ
จะติดตามเป็นกำลังใจให้ในภาค 4 ต่อไปนะครับ
ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: しろやま としんや ที่ 04-11-2007 15:48:31
ชอบเรื่องนี้อ่ะคุณต้น

อ่านแล้วประทับใจมากเลย ถึงจะยังอ่านไม่จบก็ตามเถอะ

จะรีบๆอ่านให้จบน๊า

เพราะนี่เป็นอีกเรื่องที่อ่านแล้วประทับใจ

เป็นกำลังใจให้คุณต้น
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: TaDa ที่ 09-08-2008 15:23:39


 o13 o13 o13 o13


สุดยอดครับ ไม่รู้ว่ามีภาคที่สี่ออกมายัง อยากอ่านนนนนนนนนนนนนนน
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: pickki_a ที่ 13-08-2008 14:04:08
ขออนุญาติ ขุดกระทู้เก่านะคับ

หาเรื่องนี้มานานแล้ว ในที่สุดก็เจอ
ผมจะพยายามอ่านให้ทันในสามวันนะคับ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: blackberry2214 ที่ 14-09-2008 18:02:37
เพิ่งเข้ามาอ่าน

อ่านวันเดียวจบเลย ทั้ง 3 ภาค

ขอชื่นชมว่า แต่งได้ยิ่งใหญ่จริงๆ ครับ


ฝีมือเยี่ยมมากๆ


ป.ล. ขอไฟล์ที่รวมเรื่องด้วยได้มั้ยอ่ะครับ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: nongyuna ที่ 01-11-2008 17:52:09
มาดันเรื่องโปรดไปหน้าแรกกกกก

 :m13:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: Plabu ที่ 12-12-2008 00:43:24
อิอิ
ในที่สุดก็อ่านจบจนได้ :laugh: :laugh:
น่ารักอ่ะ :-[
มีทั้งซึ้ง เศร้า สุข  :m15:  :sad4: :oo1:
ครบเลย :กอด1:
ชอบจัง :m25:
ประทับใจมากมาย :m25: :m25:
อ่านแล้วอยากไปแกรนแคนยอนบ้างอ่ะ :z10: :z10:
อิอิ
 :bye2: :bye2:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: TONG ที่ 05-03-2009 15:46:03
กว่าจะอ่านจบ สนุกเศร้าเค้ลาน้ำตาค่า

รู้สึกดีมากๆที่อ่านเรื่องนี้

รักคนแต่งค่ะ จุบจุบ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 30-03-2009 11:57:17
ตามมาอ่านภาค 3 ด้วยคนครับ ภาคนี้นี่ครบรสจริงๆ หวาน ซึ้ง เศร้า ฮา บู๊ มีหมด ชอบๆ  o13
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: PeeraDHa ที่ 21-08-2009 14:43:09
น่ารักดีค่ะ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: wizard_tao ที่ 13-09-2009 18:48:41
เยสสสสส

จบแร้วววว

ตอนนี้กำลังตามไปอ่านอีกภาค ที่เปนรุ่นลูก

มันส์จิงๆๆๆ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: OhJa ที่ 18-10-2009 19:27:58
ประทับใจมากๆเลย 
อ่านแล้วซาบซึ้งมากๆ   :L2:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: keem ที่ 23-10-2009 21:08:40
อ่านเรื่องนี้แล้วอิ่มจริงๆชอบนะครับ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: 1582 ที่ 02-11-2009 13:43:13
ประทับใจมากๆ ค่ะ  เริ่มต้นด้วยหยาดน้ำตา  จบอย่างสวยงามด้วยรอยยิ้ม  :กอด1:

จะมีโอกาสได้อ่านเรื่องของ ไคล์กับพีต่อรึเปล่า  รอติดตามต่อไปค่า
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: kasarus ที่ 09-11-2009 00:10:14
ขออนุญาตขุดขึ้นมาชื่นชมด้วยอีกคนครับ
ตามมาอ่านเรื่องนี้เพราะนนท์กับนัทเลยนะเนี่ย
ว่าแล้วก็อยากล็อกคอหลานนนท์กับหลานนัท
มาหอมแก้มตบรางวัลซักคนละฟอด

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: NUTSANAN ที่ 01-01-2010 14:09:51
ในที่สุดก็จบบบ

กรี๊สมากกก

ประทับใจๆๆ

แต่ว่า.. .

อยากอ่านเรื่องของพีกับไคล์ง่ะ :o8:


หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: kaehoo ที่ 08-01-2010 16:23:08
 :n1: :n1: :n1:


น่ารักจัง.......ทั้งสองคู่เลยอิอิ :bye2:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: detex ที่ 26-01-2010 14:45:41
ขอแว่บมาชื่นชมเรื่องราวก่อน ยังอ่านไม่จบหรอกนะครับ อ่านไปได้แค่ตอนที่ 11 แต่ save ไว้หมดแล้ว ค่อยไปตามอ่าน จริงๆก็ตามมาอ่านเรื่องพ่อเล็กกับป๊า เพราะเรื่องของลูกๆ จากเรื่องกระดานดำฯ นั่นแหละนะ ชอบมากๆ ชอบทั้งเรื่องนั้นและเรื่องนี้  อบอุ่นและกินใจดีจัง  อ่านแล้วเข้าตัว  แอบมีน้ำตาได้บ้าง  ขอบคุณคุณต้นที่มีเรื่องราวดีๆมาให้อ่านและจะคอยติดตามผลงานต่อไปครับ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 28-01-2010 16:25:50
อ่านจบไปสักพักละ แต่ลืมเมนท์ให้น้องต้นหละ หุหุ
ตั้งใจมาอ่านหลังจากอ่านในหนังสือจบแล้วเกิดอาการ ค้าง!
(เข้าใจเรื่องของพีเยอะขึ้นอีก นอกจากเรื่องของเมฆกับซัน)
เนื้อเรื่อง งดงาม ลงตัว ซาบซึ้ง ประทับใจ (ทั้งคู่หลัก คู่รองเลยจ้า)
การใช้ภาษา นี่ขนาดเรื่องเก่า ไม่เทียบกับเรื่องใหม่นะ ยังรู้สึกเลยว่านักเขียนคนนี้มืออาชีพจริงๆ
บทบรรยาย และพรรณนาเยี่ยม อ่านแล้ว ยิ้มบ้าง น้ำตาคลอบ้าง แต่มีความสุข
บวก 1 แต้ม ชอบจ้า ขอบคุณมากนะจ๊ะ

ปล มีโครงการรวมเล่มเรื่องนี้บ้างมั้ยค้าบ หรือเคยทำไปแล้วแต่เรายังอยู่หลังเขาอ้ะ

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: หัดดิน เอ้ยหัดกิน ที่ 19-02-2010 00:40:00
อ่านมาถึงตอนนี้แล้วก็พบว่า...
ยังมีอีกตอนให้ต้องอ่านอีก
เฮ้ออออออออ
ตีสองตีสามเพราะว่าอ่านมาสองคืนแล้วครับ
แต่ก็ยังจะอ่านต่อไป
อิอิ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: ToeyTato ที่ 15-03-2010 09:50:48
อ่านจบ3ภาคแล้ว เย้ๆ เหนื่อยเลย 555 (พี่ต้น : ฉ๊านนนเหนื่อยกว่าอีก หุหุ)

สนุกมากกค่ะ สุดยอดจิงๆเลย ได้อะไรเยอะมาก มุมมองความรักหลายอย่างมากก

คือแบบว่าชอบเมฆอย่างแรงค่ะ ซันก็ด้วย โดยเฉพาะพี  น่ารักอ่า 5555

จะติดตามอ่านเรื่องอื่นๆนะค่ะ o13 :กอด1: :3123:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 16-03-2010 18:05:39
ขอบคุณมากครับ
เพิ่งเข้ามาอ่าน แล้วก็ติดหนึบเลยครับ ชอบมากๆ ทั้งอารมณ์ และภาษา
จะเป็นแฟนคลับตลอดไปครับ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: N.T.❁ ที่ 27-04-2010 23:57:22
เกือบหนึ่งวันเต็มๆ ..

อ่านจบไม่มีอะไรจะพูดค่ะ ..

คำเดียวเลย >>>> สุดยอด !!!!  o13

ขอบคุณคุณต้นมากๆสำหรับนิยายที่ทำให้เรายิ้ม เศร้า อบอุ่น แล้วก็ตื้อๆในอกได้ในเรื่องเดียวกัน....

ชอบมากจริงๆอะค่ะ ไม่รู้จะบรรยายอะไรแล้ว อิอิ

จะติดตามผลงานอื่นๆต่อไปเื่รื่อยๆนะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: Laxxeez ที่ 22-05-2010 14:28:01
ขอบคุณนะคับ :call:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: LittlePrince ที่ 07-06-2010 06:00:08
เป็นเรื่องที่สวยมากครับ ผมพูดไม่ออก อยากจะดื่มด่ำกับมันมากๆ แต่ก็มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว ความคิดการดำเนินเรื่อง รายละเอียดและภาษาสวยงามไปหมดเลยครับ ที่สำคัญบทสนทนาของตัวละคร พูดไม่ออกแล้วอะ ชอบจริงๆครับ คงเพ้อไปอีกหลายวัน
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 13-06-2010 21:13:33
หวานเลี่ยนกันจริงๆคู่นี้ ชอบอะ เมฆเป็นคนที่อ่อนไหว ได้ใจมาก
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: knew ที่ 18-06-2010 23:04:39
อิ่มครับ ไม่รู้จะพูดยังไงดี มันอิ่มเอมใจ รู้สึกดีมากๆ เหมือนความรักในอุดมคติอ่ะ

อ่านจบแล้วก็ถามตัวเอง ในสังคมอย่างเราๆเนี่ย มันจะมีไหม รักที่มั่นคงขนาดนี้

แล้วผมล่ะ จะมีโอกาสได้สัมผัสความรักที่บริสุทธิ์แบบนี้บ้างไหม

เพ้อมากไปละ

ขอบคุณที่แต่งเรื่องดีๆแบบนี้มาให้อ่านนะครับ ขอบคุณจริงๆ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: Annetemis ที่ 22-06-2010 01:11:11
เป็นรักที่บริสุทธิ์และสวยงามจริง ๆ ค่ะ ขอบคุณนะค่ะ :3123:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: Ramika ที่ 14-07-2010 01:42:47
กำลังอ่านอยู่ ถึงตอนที่พี มานอนกับ ซัน เมฆ และก็ไคลน์

ตอนนี้จิ้นไปไกลละ ลุ้นอยู่ว่า จะเดาถูกหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: Ramika ที่ 15-07-2010 00:37:36
อ่านจบแล้วครับ ต่อไปก็ไปอ่านภาคสี่

จริงๆ ก็เริ่มอ่านภาคสี่ก่อนแหละครับ

แต่อ่านไปอ่านมา ถึงได้รู้ว่ามี ภาคหนึ่ง สอง และสาม

ก็เลยพักภาคสี่ไว้ก่อน

ขอบคุณมากนะครับ ได้อ่านแล้วผมมีความสุขจริงๆ ครับ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: kingphai ที่ 25-07-2010 18:13:08
โหหห
เพิ่งอ่านจบอ่ะ
เพื่อนต้น
ซึ้งมากมาย
งืดๆๆๆ
เศร้า
แต่ก็มีความสุขแล้วนะ
ตอนท้ายอ่ะ
+1 นะคร้าบบ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: rainy_naja ที่ 25-12-2010 07:35:33
merry★ 。 • ˚ ˚ ˛ ˚ ˛ •
•。★Christmas★ 。* 。
° 。 ° ˚* _Π_____*。*˚
˚ ˛ •˛•*/______/~\。˚ ˚ ˛
˚ ˛ •˛• | 田田|門| ˚★ 。 • ˚ ˚ ˛ ˚ ˛ •
Jaaaaaaaa \\(^^)//
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: note ที่ 02-03-2011 12:19:10
ได้กับมาอ่านเรื่องเก่าของคุณต่นต้น o19
รู้สึกยิ่งประทับใจมากมากกับนักเขียนจริงจริง :impress2:
 ที่ได้เขียนเรื่องราวที่ทำให้รู้สึกเหมือนได้เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์จริงจริง :m2:
เสียน้ำตาไปหลายรอบเลย :o12: :o12:
ขอบคุณมากมาก :pig4:
ขอบคุณจิงจิง :pig4:
ขอบคุณจากใจ  :pig4:
ขอบคุณสำหรับความรับดีดีตลอดไป :pig4: :pig4: :pig4:

 :oni2: :oni2: :oni2:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: peppier ที่ 04-03-2011 15:26:42
เขิลจังถ้าจะบอกว่าเพิ่งจะอ่านเรื่องของอาซัน อาเมฆ อาไคล์ อาพี   :o8:
เรื่องนี้บอกได้เลยว่าสุดยอดเกินบรรยายเลยจริงๆ บางตอนก็ซึ้งจนน้ำตาไหล บางตอนก็โรแมนติกเรียกเลือดมากก   :m25: 5555555
งั้นตอนนี้ก็ขอตัวไปอ่าน 'นัทนน' ก่อนละกันคร้าบบบ :bye2:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: ฺBieKung ที่ 17-03-2011 23:07:12
เขิลจังถ้าจะบอกว่าเพิ่งจะอ่านเรื่องของอาซัน อาเมฆ อาไคล์ อาพี   :o8:
เรื่องนี้บอกได้เลยว่าสุดยอดเกินบรรยายเลยจริงๆ บางตอนก็ซึ้งจนน้ำตาไหล บางตอนก็โรแมนติกเรียกเลือดมากก   :m25: 5555555
งั้นตอนนี้ก็ขอตัวไปอ่าน 'นัทนน' ก่อนละกันคร้าบบบ :bye2:

เหมือนกันเลยอ่า
เริ่มอ่านจาก อาเมฆ อาซัน อาพี อาไคล์ ก่อน
เรื่องนี้สนุกมากๆคัฟ อ่านแล้วน้ำตาไหลแล้วไหลอีก
 o13
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: blackie ที่ 20-03-2011 06:34:06
ไม่ได้อ่านอะไรดีๆ และ ยาว อย่างงี้มานานแล้วอะครับ
ขอบคุณที่แบ่งปัน ขอบคุณที่แบ่งเบา และขอบคุณที่บรรเทา
ขอบคุณจริงๆครับ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: Saint De Jupiter ที่ 20-06-2011 21:30:23
ชอบมากอ่ะพี่พี เอ๊ย... พี่ต้น

^______^
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: Nuclear ที่ 25-06-2011 12:02:54
สนุกมากๆๆๆๆๆ

ขอบคุณค่ะ

 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: iota ที่ 02-07-2011 19:32:11
คิดถึง ศิลากับฟ้าคราม :กอด1:
อ่านกี่รอบก็ยังคงทำให้หัวใจเราอิ่มเอมและเต็มเปี่ยม
ไปกับความรักของทั้งสองคน :L1:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: gumrai3 ที่ 07-07-2011 20:59:50
ชอบมากๆเลยค่ะ อิ่มมากกับเรื่องนี้ :L2:

กว่าจะรักกันมันผ่านอะไรมาหลายเเต่ คู่นี้โชคดีมากที่มารักกันเหมือนเดิม :3123:

ชอบมากๆเลยค่ะ +1
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: ljk_sj_lovelove ที่ 29-09-2011 23:16:38
ชอบมากค่ะ เป็นงานเขียนที่อ่านแล้วให้ความรู้สึกอบอุ่นจริงๆนะคะ

มีทุกรสเลย ชอบมาค่ะ อ่านแล้วมีความสุขจริงๆ  o13

อยากให้มีต่อนะคะ  :monkeysad:

นี่อ่านมาหลายวันมากเลยนะคะกว่าจะจบทั้งสามภาค

พอดีเป็นช่วงสอบด้วย แต่ก็ยังมาอ่านเพิ่มกำลังใจค่ะ

สุดท้ายนี้ขอบคุณคนเขียนมากๆนะคะ  :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: KanomPhing ที่ 19-10-2011 14:45:30
ศิลา กับ ฟ้าคราม

ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็คู่กันเสมอ

>///<
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: NewYearzz ที่ 24-12-2011 19:06:23
หลังจากตามอ่านมาหลายวัน จบแล้ว  o13

ไม่รู้จะบรรยายยังไงดี เรื่องนี้อบอุ่นมากกกกก

อยากเจอรักแบบนี้บ้างครับ  :laugh:

และสุดท้ายอยากบอกว่า "คนเขียนน่ารักจัง"  :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: stdvic ที่ 02-03-2012 00:10:53
เพิ่งมาอ่านมีความสุขที่สดเลยครับ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: nutty ที่ 17-06-2012 12:26:36
จบได้ประทับใจ เขียนได้ดี
ถ้ามันเป็นส่วนหนึ่งของน้องคนแต่ง
ก้อขอให้ความรักนี้สมหวัง อยู่คู่กับคุณตลอดไป
เหมือนที่ซันเขียนไว้ ขอให้จำ&ทำได้นะจ๊ะ

“วันต่อไปจะมีกันหรือไม่ ไม่สำคัญ  วันนี้เป็นเวลาที่ดีที่สุด ที่เรา - - มีกันและกันก็พอ”

ดีใจที่ได้อ่านภาคนี้ มีครบทุกรสอีกแล้ว
แถมเซอร์วิสช่วงหลังรักกันหวานกันเยอะดี
มีแอบชำ้เล็กๆตอนที่ซันปันใจรักน้อง
บู๊ปนกลัวหน่อยนึกว่าจะแย่ตอนโดนรุม 3
เศร้าไปกับรักแรกของภูพี
อมยิ้มไปการเริ่มต้นใหม่ของน้องรักทั้งสอง
ซึ้งปนโล่งใจกับความรักของพ่อแม่ทั้งคู่
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: carenaka ที่ 09-09-2012 20:10:03
 o18 ไม่สามารถมีคำอธิบายได้  :o8: เสียน้ำตาไปหลายรอบ  :sad4: :o12: แล้วก็เสียดายที่เข้ามาเจอช้าไป อยากได้เรื่องที่แก้แล้วมาก ๆ แต่เก็บไว้ทุกตอน  o13 ขออนุญาติเก็บไว้อ่านนะค่ะ เรื่องนี้ได้คำเดียว่า

The best  o13

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: Azitten ที่ 17-09-2012 22:19:21
คงจะช้าไปที่เพิ่งจะได้อ่านเรื่องนี้ค่ะ เปิดๆเจอแล้วก็เลยลองอ่านดู
แบบว่า ภาษามันสวยยยมากกกค่ะ อ่านแล้วซึ้งมากกก
อินสุดๆๆๆๆๆ เราชอบแบบนี้นะค่ะ ไม่ต้องมีตัวร้าย มันดูเป็นชีวิตจิงๆๆมากๆๆเลยค่ะ

ร้องไห้ไปหลายรอบบบเลยอะ เราชอบมุมมอง ความคิด ความรัก ที่ซัน กับเมฆ มีให้กัน มันแบบสวยงามมาก

มีหลายคำพูดของเรื่องนี้ที่เราชอบมากๆๆ เป็นคำที่อ่านแล้วให้กำลังใจได้ดี เอาไปพูดกับคนอื่นได้อีกมากมาย ประทับใจจิงๆค่ะ

 :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: maru ที่ 23-09-2012 04:29:47
พีคิดมากเรื่องอะไรสงสัยอยู่ ที่แท้เรื่องเีรียนต่อนี่เอง ไคลล์ดูแลพีให้ดีนะ พีมีความสุขแบบนี้ภูก็คงจะมีความสุขเหมือนกัน เพราะความสุขของพีก็คงจะเป็นความสุขของภู พ่อเมฆกับพ่อแม่ซันน่ารักดี เมฆซันหวานนะนั่น
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: yong ที่ 28-03-2013 16:35:23
ชอบ ประทับใจ มีความสุขมากที่ได้อ่าน ขอบคุณนะครับ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: wargroup ที่ 06-04-2013 13:31:57
โรแมนติคอย่างแท้จริง ...ประทับใจในการถ่ายทอดและวางอารมณ์ ที่ทำให้รู้สึกถึงความเศร้าเหงาอยู่ลึกๆตลอดเวลา (ไม่ทราบว่าเป็นไปโดยตั้งใจหรือไม่) แม้จะเป็นเรื่องราวของความสุขแ่ต่ก็จะมีอารมณ์โศกเคล้าอยู่รอบๆ คล้ายเป็นรูปแบบเฉพาะตัว
//เพิ่งตามอ่านงานคุณ ExecutioneR ได้เพียง 4 เรื่อง...ในทุกครั้งที่อ่านแต่ละเรื่องจบ ความอินจะอยู่ในตัวไปห้วงหนึ่งเลย เจ๋งดี  :man1:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: Kfc_Pizza ที่ 10-04-2013 17:30:42
 :pig4: :pig4: :pig4:
 :mew1:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 12-04-2013 10:48:58
ชอบมากๆอ่านกี่รอบก้อยังรู้สึกเหมือนเดิม  o13
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: whynotme ที่ 11-05-2013 08:13:24
หลังจากซาบซึ้งใจกับความรักของก้อนเมฆที่มีมากมายให้แก่ท้องฟ้า " อารมณ์ ความรู้สึก ความรัก " นั้น ทำให้เรามองความรักเปลี่ยนไป มองคนเคยรักเปลี่ยนไป และมองคนแอบรักเปลี่ยนไปเช่นกัน ^^

ณ ตอนนี้ กำลังอ่าน ศิลากับฟ้าคราม ถึงตอนที่ ฟ้าครามกำลัง .......

“กูอยากให้มึงนั่ง และตั้งใจฟังเพลงนี้ให้ดีๆ เพราะว่า.......” มันทิ้งช่วง แต่ผมก็ยังคงไม่พูดอะไร “เพราะมันเป็นเพลงที่กูตั้งใจจะเล่นให้มึงฟังมาตั้งแต่ปีที่แล้วแล้ว แต่สุดท้ายมึงก็ดันเกิดอุบัติเหตุและเข้าโรงพยาบาลไปเสียก่อน”

1 ปีที่ผ่านมา การไม่ได้เจอกัน แต่ในใจทั้งสองคนมีอะไรมากมายที่เก็บซ่อนไว้

ซึ่งใจมากมาย ที่ ฟ้าครามก็คิดแบบเดียวกับศิลา
ในตอนที่กำลังอ่านเราก็ ลุ้นว่า ศิลาคิดเองเออเองแน่เลย รู้สึกเศร้านิด ๆ อารมณ์เทา ๆ แต่ ณ ตอนนี้ .....

ไอ้ซันเริ่มต้นร้องเพลงเบาๆ..............
เพลง วาย อาร์ วี สติล เฟนรด์ส ของ ไนน์ตี้เอ็ท ดีกรีส์
เราทำเกือบทุกอย่างเช่นเดียวกับที่คนรักเขาทำกัน และนั่นแหละที่ทำให้การเป็นแค่เพื่อนกับเธอมันยากเหลือเกิน
ทุกครั้งที่เธอต้องเจ็บปวดเพราะใคร รู้ไว้ว่าฉันเองก็เจ็บเช่นเดียวกัน................

“นั่นคือเพลงที่กูตั้งใจไว้นานแล้วว่าอยากจะเล่นให้มึงฟังเป็นเพลงสุดท้ายก่อนกูจากมา” ไอ้ซันพูดทำลายความเงียบขึ้น “และต่อจากนี้ จะเป็นเพลงที่กูตั้งใจไว้ว่าจะเล่นให้มึงฟังในวันนี้นี่แหละ”

ผมนั่งฟังมันร้องเพลง แต่คราวนี้ผมไม่ร้องตามไปกับมันอีกแล้ว ผมอยากจะฟังแค่เสียงของมันคนเดียวเท่านั้นจริงๆ บางครั้งผมกับมันก็สบตากัน บางครั้งผมกับมันก็ยิ้มให้กัน จนมาถึงช่วงท่อนสุดท้ายของเพลง

และไม่มีเพลงไหนที่ฉันสามารถร้องออกมาได้
และไม่มีคำพูดไหนที่ฉันสามารถเอื้อนเอ่ย
แต่ฉันมีสิ่งหนึ่งที่ยังคงอยากจะบอกเธอ
เราสองคนกำลังดีขึ้นไปพร้อมๆกัน

.........................
.....................
.................
............
........

ซึ้งมากมาก บรรยายความรู้สึกไม่ถูกเลย ตื่นตันในหัวใจ
มองย้อนกลับมาที่ตัวเอง คิดถึงเรื่องเก่า ๆ กับใครบางคน
เราเคยมีโอกาสเช่นนี้ ที่เจอกันแล้วเราจะบอกบางอย่างที่เราไม่เคยบอกเค้าเลย ว่าทำไมเราถึงจากมา ...
เราเพียงแค่ต้องการบอก เพื่อเรื่องคาใจจะได้หมดไป ไม่ต้องการให้เค้าคิดเองเอเองคนเดียว
แต่เค้า ... เค้าไม่ต้องการตอกย้ำความเจ็บครั้งนั้น และเปลี่ยนไปคุยเรื่องอี่น ๆ เลย
เราเศร้านะ เราเสียใจ แต่ไม่เป็นไร ก็ควเก็บเรื่องราวไว้ในใจแบบเดิม

ดังนั้น เราจึงดีใจมาก ตื้นตันใจ อิ่มเอมใจ ที่ศิลากับฟ้าครามได้มีโอกาสรับรู้ความรู้สึก ณ ตอนนั้น ของกันและกัน

อยากอ่านต่อ ... อยากเห็นความรักของสองคนเติบโตต่อไป หวาน ๆ โรแมนติก ให้ได้ชุ่มฉ่ำใจ
แต่อีกใจก็กลัว ... กลัวว่า ... ถ้าอ่านต่อไป จะเกิดอะไรขึ้นรึเปล่า
ทำให้อยากจะหยุดเวลา ของศิลากับฟ้าครามไว้ที่ตอนนี้
" ตอนแห่งความสุขใจ "

 :กอด1:

 :กอด1:

 :กอด1:

..

..

..


** คิดไปแล้วจะอ่านต่อละกัน  แต่ขอทำใจให้แข็งแรง สักแป๊บบบบ ละกัน เหอะ ๆ ๆ ( อินเกิ้นนนนน เรา )


ขอบคุณนักเขียนมากมากนะคะ ที่ถ่ายทอดเรื่องราวดีดี ให้คนอ่านได้เข้าใจอะไรหลาย ๆ อย่างมากกว่าเดิม
มันอาจจะไม่ใช่ความรู้วิชาการ ที่อ่านแล้วฉลาด แต่มันเป็นเรื่องของจิตใจ ความรู้สึกข้างในล้วน ๆ

 :pig4:  :pig4:  ศิลากับฟ้าคราม  :L2:  :L2:


ขอโทษที่เม้นยาว คือมันโดนอย่างจัง!! ไม่ว่ากันนะคะ  :bye2:




 
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: whynotme ที่ 11-05-2013 14:16:55
อ่านถึงตอนที่ 14 ละ  :a5:
เรามาช้าไป 6 ปีแสง เค้ามีตอนพิเศษหลังไมค์กันด้วย!!!!!!!
เศร้าจิตอย่างแรง~~~
เค้าอยากอ่านความเขินของฟ้าครามอ่า~~~~

คร่ำครวญ ๆ ตีอกชกตัวลงไปนอนดิ้น  :ling1:  :ling1: :ling1:  :ling1:

 :katai5: ไปอ่านต่อดีกว่า  :heaven
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: automaton ที่ 21-06-2013 14:49:16
เพิ่งอ่านจบทั้ง 3 ภาค และอ่านนิยายของน้องต้นเป็นครั้งแรก
คำพูดที่นึกออกเมื่ออ่านจบคือ " สุดปลายกิ่ง "  o13
ขอบใจที่สละเวลาสร้างความบันเทิงให้หลาย ๆ คน  :pig4:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: whynotme ที่ 06-07-2013 10:42:34
อ่านจบบริบาล .... หึหึหึ   :heaven

ขอบคุณนักเขียนมากมากนะคะ  :pig4:  :L2:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: zeaza ที่ 21-09-2013 13:43:14
ความผูกพันของทั้ง 4 คนที่แกรนแคนยอนที่คุณต้นถ่ายทอดออกมา
เป็นความรู้สึกที่สุดยอดมากๆเลยค่ะ
(อ่านตอนแกรนแคนยอนแล้วเหมือนได้ไปเที่ยวด้วยเลย จะหาโอกาสไปที่นี่สักครั้งให้ได้เลยค่ะ)

ตอนที่อ่านเรื่องพี เศร้ามากกกก อ่านแล้วรับรู้ถึงความรู้สึกของพีจริงๆเลย

จะติดตามผลงานดีๆของคุณต้นต่อไปนะคะ

หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: chaWice ที่ 21-10-2013 00:55:49
 :กอด1:

ลองตามอ่านนิยายเก่าๆดู
 
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: ฺBieKung ที่ 04-11-2013 18:11:16
อ่านกี่รอบกี่รอบก็ยังสนุกเหมือนเดิมมมมมมม ^^
ชอบนิยายพี่ต้นจังงงง 55555
ไม่ต้องเหมือนคนอื่นๆ ก็สนุกในแบบที่เป็นพี่ต้น
เพราะงี้ผมเลยชอบอ่านนน
ทุกเรื่องเลยนะ 555


มีความสุขๆๆๆๆๆ
 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 02-03-2014 15:47:48
เย้ๆๆๆ จบแล้ว อ่านมา3วัน!!!
เป็นบทสรุปที่อบอุ่นและประทับใจมาก
มีแง่คิดดีๆให้กับความรักเยอะเลยค่ะ
ภาคนี้มีทั้งรอยยิ้มและน้ำตา กับอาการหน่วงๆเป็นบางช่วง
พาเราอินไปกับการเดินทางของทั้งคู่ได้อย่างดีเลยทีเดียว
ขอบคุณค่ะ  ^^
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: thehackzzi ที่ 10-10-2014 02:27:30
เข้ามาลงชื่อไว้ว่าอ่านถึงตอนที่ 10 http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2104.msg68358#msg68358

ขอบคุณมากๆ นะที่เขียนเรื่องนี้ให้อ่านกันน่ะ
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: Polarexpress ที่ 27-05-2015 05:13:44
 :-[ ขอบคุณมากๆนะครับสำหรับเรื่องราวดีๆ เพิ่งมีโอกาสได้เข้ามาเป็นแฟนคลับ อ่านมาถึงตอนที่ 13
แล้วเห็นว่ามีขอตอนพิเศษหลังไมค์ด้วย  :a5: ไม่อยากพลาดไปแม้แต่ตอนเดียวเลย (เดี๋ยวไม่ได้อรรถรส)
ถ้าขอหลังไมค์ด้วยคนจะช้าไปหรือปล่าวครับคุณต้น  :impress2:  :hao5:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: reverofjs ที่ 10-08-2015 13:23:34
เพิ่งอ่านเสร็จรวดเดียวสามภาคเลยค่ะ
พี่ต้นเขียนได้ดีมากๆ ชอบทัศนคติเกี่ยวกับความรักในหลายๆมุมมองที่พี่เขียนมากเลยค่ะ
แอบรู้สึกว่าตัวเองจะโตขึ้นนิดนึงหลังจากอ่านเรื่องนี้จบด้วย อิอิ
เหมือนว่าจะเข้าใจความรักมากขึ้นทั้งๆที่ตัวเองก็ยังไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนเลยซักนิ๊ดดด
ขอบคุณนะคะที่เขียนเรื่องราวดีๆ มีข้อคิด มาแบ่งปันกัน
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: nin@ ที่ 27-11-2015 22:13:24
อ่านช้าไป 8 ปี..พลาดเรื่องนี้ได้ไงนะเรา

ขอบคุณคุณต้นที่เขียนซีรี่ส์ชุดนี้ออกมาได้อย่างสุดติ่งกระดิ่งแมวขนาดนี้นะคะ ประทับใจกับตัวละครและกลวิธีการเขียนนิยายของคุณต้นมากค่ะ ถ้อยคำ สำนวน ทุกอย่าง...มันลื่นไหล ไม่มีสะดุดเลยจริงๆ  :L2:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: GMT101 ที่ 25-06-2017 12:11:59
 :mew1:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 25-07-2018 20:54:16
ภาคนี้ ให้อารมณ์และความรู้สึกที่หลากหลายมาก
แต่สุดท้ายก็คือความรัก ความอบอุ่น และความสุข ^^
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 01-10-2020 18:51:16
 :-[
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: คนแต่งเป็นปลาดาว ที่ 05-10-2020 12:32:07
 :pig4:
หัวข้อ: Re: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 17-10-2020 19:48:15
 :pig4: :pig4: :pig4: