การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)  (อ่าน 242838 ครั้ง)

~Brand New Beat~

  • บุคคลทั่วไป
ตอนนี้โรแมนติกมากมาย อ่านแล้วแอบอิจฉาด้วย  :m3: :m3: :m3:

มันจะบังเอิญอะไรกันขนาดนั้นเนี้ย อิอิ

sun

  • บุคคลทั่วไป
“ไป ‘สะเมิ๊ฟ’    <<<  และแล้วก้อได้ ความรู้ใหม่ ฮี่ๆ      :m3:

อ่าน  ...ศิลา ฟ้าคราม ปฐพี สายน้ำ.... เเล้ว ชุ่มชื่นหัวใจชะมัด   :m1:

อ่านแล้วมีความสุข สัมผัสถึงความรัก ความอบอุ่น  ความมีชีวิตชีวา   :o8: 

จากตัวละครทุกตัวที่คุณสร้างมันขึ้นมา    o7

ขอบคุน คนเขียนเจ้าค่ะ     :give2:



ninaprake

  • บุคคลทั่วไป
อ่านแล้วอบอุ่นๆอีกแล้ว อิจฉาๆๆๆๆด้วยยยยยย  o9

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
พรมลิขิต ชะตาฟ้ากำหนด ให้คนเราได้มาเจอกัน ซึ้งอีกแล้ว อิอิ

แต่ชอบคำว่า สะเมิ้ฟ แหมเอาเจ้าตัวเล็กสีฟ้ามาเปรียบได้ น่ารักมากๆ อิอิ สะเมิ้ฟ น่าเอาไปเป็นรหัสลับจัง อิอิ

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนที่ 46


เมื่อเราออกมาจากเคบินของพีก็เป็นเวลาสองทุ่มกว่าแล้ว บรรยากาศภายนอกโดยรวมถ้าไม่นับตรงบริเวณแมสวิค คาเฟทีเรียที่พวกเราไปทานอาหารกันมาสองมื้อแล้วล่ะก็ ส่วนอื่นๆก็เรียกได้ว่ามืดสนิทเลยทีเดียว รวมไปถึงบริเวณทางเดินเท้าเลียบถนนที่เราใช้เดินไปยังป้ายรถเฮอร์มิทเมื่อวานอีกด้วย ทั้งๆที่ในตอนกลางวันมันก็ดูสวยและไม่มีอันตรายอะไรดีอยู่หรอก แต่พอตกกลางคืนแบบนี้ปุ๊บ มันกลับดูมืดและน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูกขึ้นมามากจริงๆ ไม่ใช่ว่าผมเป็นคนกลัวผีหรือกลัวความมืดหรอกนะ แต่พอเห็นแบบนี้แล้ว ถ้าจะให้ผมเดินไปที่นั่นคนเดียวมืดๆอย่างนี้ล่ะก็ ผมเองยังไม่แน่ใจเลยว่าผมจะอยากทำรึเปล่า

“ไปเดินดูวิวตอนกลางคืนกันมั๊ย” ผมถามไอ้ซันขณะที่เรากำลังยืนอยู่หน้าประตูเคบินของพี

“มึงคิดยังไงของมึงเนี่ย” มันถามแล้วมองออกไปรอบๆตัว “ทั้งมืดทั้งหนาวขนาดนี้เนี่ยนะ”

“ทำไมวะ มึงกลัวรึไง” ผมแกล้งแหย่ เพราะผมรู้ว่าจริงๆแล้วมันกลัวผี

“ใครบอกมึงว่ากูกลัว ก็แล้วแต่ดิ่ ไปก็ไป จะไปไหนล่ะ”

“กูอยากเดินไปตามทางเดินที่เราเคยเดินเมื่อวานน่ะ” ผมชี้ไปยังทิศของเฮอร์มิทบัสสต็อป “เดินไปขึ้นรถที่ป้ายนั้นก็ได้ กูอยากเห็นแกรนด์ แคนยอนตอนกลางคืนน่ะ แถมอยากเดินดูดาวไปเรื่อยๆด้วย”

“ถ้าอย่างนั้นพวกพี่รอผมแป๊บนึงนะครับ” พีพูดแล้วเดินหายกลับเข้าไปในห้อง ผมชะโงกข้ามไหล่ของไคล์ไปดูก็เห็นเขากำลังเปิดลิ้นชักหาอะไรอยู่สักอย่าง และไม่กี่วินาทีถัดมาเขาก็เดินกลับมาพร้อมกับไฟฉายกระบอกสีเหลืองกระบอกหนึ่ง “พกนี่ไปด้วยก็แล้วกันนะครับ เพราะมันจะมืดมาก”

“ขอบคุณมากครับ” ผมรับไฟฉายมาถือไว้ในมือ “งั้นเราก็ไปกันเถอะซัน”

ไอ้ซันพยักหน้าเงียบๆ จากนั้นก็หันไปหาไคล์ “อย่าซนล่ะ”

พวกเราสี่คนหัวเราะขึ้นพร้อมๆกัน และแม้แต่พีเองก็ยังหัวเราะเขินๆไปด้วย

“มึงไม่ต้องไปยุ่งกับเขา ถ้างั้นพี่ไปแล้วนะทั้งสองคน แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้เจอกันที่นี่ตอนเช้าตามที่นัดไว้”

“เดี๋ยวครับ.......” ไคล์พูดขึ้นจากนั้นก็หันไปหาพี “พี ผมว่าเราสองคนเดินไปส่งพวกเขาที่นั่นด้วยเลยดีกว่านะ ผมเองก็อยากเดินเล่นเหมือนกัน อยู่เคบินเฉยๆก็ไม่มีอะไรทำอยู่ดีนี่”

“แน่ใจเหรอว่าไม่มีอะไรทำน่ะ” ไอ้ซันขัดขึ้น

“แน่ใจนะครับว่าจะเอาอย่างนั้นน่ะ เพราะเดี๋ยวขากลับก็ต้องเดินกลับกันมาแค่สองคนนะ” ผมถามย้ำ

พีสบตากับไคล์แล้วก็พยักหน้าพร้อมรอยยิ้มก่อนที่จะเดินกลับเข้าห้องไปแล้วก็หยิบเสื้อแจ๊กเก็ตของทั้งคู่พร้อมไฟฉายอีกกระบอกออกมา

“ไปกันเถอะครับ” พียื่นเสื้อของไคล์คืนให้เจ้าของ ส่วนเขาก็เหวี่ยงเสื้อของตัวเองคลุมตัวก่อนจะปิดประตูตามหลังไป

พวกเราสี่คนข้ามถนนไปยังฝั่งตรงข้ามแล้วก็เดินคุยเรื่องแผนการของวันพรุ่งนี้ไปเรื่อยๆ ที่นี่ตอนกลางคืนนี้มืดสนิทจริงๆ ขนาดที่ว่าถึงจะมีไฟถนนที่ตั้งกันอยู่ห่างๆแล้ว ผมก็ยังคงแทบจะมองไม่เห็นทางเดินข้างหน้าได้ไกลเกินไปกว่าห้าเมตรเลย และถึงแม้จะมีไฟฉายแล้วก็ยังไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเท่าไหร่เลยด้วยซ้ำ

พวกเราคุยกันว่าพรุ่งนี้จะตื่นมาแต่เช้าเพื่อเตรียมตัวจะออกไปไฮค์กันตั้งแต่เจ็ดโมงไม่เกินเจ็ดโมงครึ่งเพื่อหนีแสงแดด แต่ไอ้ซันกลับเรียกร้องว่ามันไม่อยากจะตื่นเช้าเกินไป เพราะถ้าอยากให้ร่างกายมีสภาพพร้อมเต็มที่แล้วล่ะก็ การตื่นเช้าเพื่อแหกขี้ตาไปไฮค์ล่ะก็คงไม่ใช่ความคิดที่ดีสำหรับมันแน่ๆ ดังนั้นเราจึงตัดสินใจเลื่อนเวลาออกไปเป็นสิบโมงเช้าแทน

“แต่แบบนั้นกว่าจะเริ่มเดินทางแดดมันจะแรงหน่อยนะครับ” พีพูดขึ้นเมื่อไอ้ซันเสนอเวลาที่มันอยากได้ “เพราะผมคิดว่าเราควรจะกินข้าวเช้ากันก่อน ไม่งั้นคงไม่มีแรงแน่ๆ”

“เรื่องแดดพี่ไม่กังวลอยู่แล้วว่ะ ทาครีมกันแดดเอาก็ได้ ใส่หมวก ใส่เสื้อแขนยาวอะไรเอาก็ได้ พี่ไม่ซีเรียสนะ พีกับไคล์ล่ะ อยากจะเลี่ยงแดดรึเปล่า กลัวดำ รึแพ้แดดอะไรมั๊ย” ไอ้ซันพูด ส่วนทั้งสองคนก็ส่ายหน้า “ก็นั่นน่ะสิ งั้นก็ไม่น่าจะมีปัญหาใช่มั๊ยล่ะ”

“นี่มึงไม่คิดจะถามกูมั่งเลยรึไง” ผมถาม

“ถามทำไม ถ้ามึงกลัวแดดมึงจะมาเป็นนักบาสเหรอวะ” ไอ้ซันหัวเราะเบาๆ

“คือ ที่ผมหมายถึงนี่ไม่ใช่เรื่องโดนแดดเผาหรอกครับ นั่นมันก็ส่วนหนึ่ง แต่ที่เขาว่ากันก็คือเรื่องของการสูญเสียความชื้นในร่างกาย ขาดน้ำ หรือเรื่องเป็นลมแดดอะไรแบบนั้นน่ะครับ” พีพูด

“อืม.....” ไอ้ซันหันมามองผมอย่างใช้ความคิด จากนั้นก็หันกลับไปหาพีอีกครั้ง “แต่ถ้าเดินจริงๆยังไงๆมันก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงแดดได้อยู่แล้วนี่นะ ช่างมันเถอะ มัวแต่กังวลไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะถ้านอนไม่พอแล้วไปเดินทางไกลร้อนๆอย่างนั้นมันแย่ยิ่งกว่าเรื่องจะเกิดปัญหาเพราะแดดจริงรึเปล่าก็ไม่รู้นั่นเยอะเลยว่ะ ความเสี่ยงมันต่างกันเกินไป”

“ก็แล้วแต่มึงนั่นแหละ เพราะกูเองก็ยังไงก็ได้อยู่แล้ว” ผมพูด “และอีกอย่างนะ กูว่าเราสี่คนก็นักกีฬากันทั้งนั้น มันไม่น่าจะมีปัญหาอะไรเรื่องการดูแลควบคุมตัวเองหรือการต้องเสียเหงื่อใต้แสงแดดมากนักมั๊ง ขอแค่เตรียมตัวตอนก่อนไปกับระวังตัวตอนเดินให้ดีๆได้ก็คงโอเคแล้วล่ะ”

เป็นอันว่าบทสนทนาในเรื่องที่ควรกังวลก็จบลงเพียงเท่านั้น นอกจากนั้นตลอดทางเดินที่เหลือเราก็คุยกันเรื่องของอาหารที่เราควรจะเตรียมไป โดยเน้นที่พวกแป้งและของเค็มๆ น้ำเปล่าและน้ำเกลือแร่ รวมทั้งอาหารกลางวันด้วย จนเมื่อเราเดินมาถึงยังป้ายรถบัส เราทั้งสี่คนก็เดินไปชะโงกดูวิวตรงจุดที่เราเคยดูเมื่อตอนกลางวันทันที แต่น่าเสียดายที่เรามองอะไรไม่เห็นเลยนอกจากความมืดและแสงจุดเล็กๆสองสามจุดข้างล่างลิบๆเท่านั้น พีบอกว่านั่นก็คงเป็นคนที่กำลังไฮค์กลับขึ้นมานั่นเอง

“ถ้าพรุ่งนี้เราเริ่มออกเดินกันเวลาประมาณนั้น เราก็ควรจะพกไฟฉายไปด้วยเหมือนกันครับ” พีย้ำ

หลังจากที่เดินเล่นรอบๆนั้นดื่มด่ำกับความหนาวเย็นของอากาศ ความเงียบสงบที่ไร้ผู้คน และความงดงามของดวงดาวดาษดื่นบนท้องฟ้ากันอยู่สักพัก ผมก็สังเกตเห็นคนสามคนกำลังเดินตรงมายังป้ายรถบัส เมื่อเขาเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ผมจึงเห็นได้ชัดมากขึ้นว่าพวกเขาเป็นผู้ชายสามคน เป็นคนดำสองคน คนขาวหนึ่งคน แต่ที่น่ากังวลใจก็คือพวกเขาดูไม่ปกติอย่างที่สุด ทั้งท่าทางการเดินและบุคลิกมันดูแปลกๆจริงๆ จนเมื่อเขาเข้ามาใกล้มากขึ้นจนอยู่ตรงแสงไฟผมจึงรู้ว่าทั้งสามคนกำลังเมาอยู่นั่นเอง

คนดำหนึ่งในสองคนนั้นตัวใหญ่มาก ดูแล้วน่าจะสูงราวๆเกือบร้อยเก้าสิบเซนติเมตรได้ ซึ่งถ้าพูดจริงๆแล้วก็ดูตัวสูงกว่าไคล์ไม่เท่าไหร่เพราะไคล์ก็สูงเกือบถึงร้อยแปดสิบห้าแล้ว แต่ว่าเขาตัวหนาและล่ำกว่าไคล์มาก หรือถ้าพูดให้ชัดก็คือหมอนี่มันก็ยักษ์ดีๆนี่เอง และนอกจากนั้นเจ้าตัวก็ยังดูท่าจะเมามากกว่าใครเพื่อนด้วยเพราะพูดจาโหวกเหวกเสียงดังมากที่สุด คนดำอีกคนตัวเล็กกว่าอีกคนเยอะ ดูๆแล้วน่าจะตัวพอๆกับผมเท่านั้น ส่วนคนขาวที่ใส่หมวกพนักงานอยู่ด้วยนั้นเป็นคนที่ดูท่าทางจะสงบกว่าอีกสองคนอย่างเห็นได้ชัด แต่ว่าเขาก็กลับดูมีหน้าตาน่ากลัวมากกว่าคนดำสองคนนั้นเสียอีก เขาดูอ้วนๆตัวใหญ่ๆ แต่ดูแล้วน่าจะสูงพอๆกับไคล์หรือราวๆร้อยแปดสิบต้นๆเท่านั้น

“ไอ้พวกเหี้ยนี่มันอะไรวะ” ซันพูดขึ้นหลังจากที่สามคนนั้นนั่งอยู่ตรงป้ายหยุดรถ

“มีหมวกพนักงานด้วยนะครับ พนักงานของที่นี่เหรอเนี่ย พีคุ้นหน้ารึเปล่า” ไคล์หันไปถามพี

พีมองหน้าสามคนนั้นพักหนึ่งก่อนจะหันกลับมาหาพวกเรา “คิดว่าไม่นะครับ ผมคุ้นก็แต่คนที่ตัวใหญ่ๆนั่น...... แต่ก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่” เขาก้มหน้าทำท่าเหมือนใช้ความคิด ผมจึงต้องรีบตัดบท

“อย่าไปสนใจเลย” ผมพูดขัดขึ้น “ไม่ต้องมอง ไม่ต้องไปสนใจ ไม่ใช่เรื่องของเราหรอก ไปมองมันมากๆ เดี๋ยวมันก็มาหาเรื่องเข้าให้หรอก”

“หืมมม มึงกลัวเหรออออ” ไอ้ซันทำเสียงล้อพร้อมทั้งหยิกแก้มผมเบาๆ

“เออออ กูกลัว กลัวว่ามันจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นน่ะสิ แต่ไม่ได้กลัวพวกแม่งสามคนนั่นหรอก กูแค่ไม่อยากทำตัวเองให้ไปอยู่ในเรื่องเหี้ยๆ โดยเฉพาะกูเป็นห่วงพีแล้วก็ไคล์ด้วย กูไม่อยากให้น้องสองคนต้องเจอปัญหา เข้าใจ๋”

“แล้วมึงไม่ห่วงกูมั่งเลยรึไง” ไอ้ซันถาม แกล้งทำเสียงน้อยใจอีกแล้ว

“ม่ายเลยยย ตัวยังกะควาย น่าจะดูแลตัวเองได้หรอกมึงน่ะ ทีเมื่อกี๊มึงยังไม่เห็นจะห่วงเรื่องกูโดนแดดมั่ง” ผมหยิกแก้มมันคืนบ้าง เราสี่คนหัวเราะขึ้นพร้อมๆกัน

เมื่อเราหยุดล้อเล่นกันแล้วผมก็ใช้หางตามองเห็นว่าทั้งสามคนนั้นก็กำลังมองมาที่เราอยู่เหมือนกัน แถมยังทำท่าคุยซุบซิบๆอะไรกันอีกด้วย แต่ผมก็ไม่ได้สนใจมากนัก เพราะว่ามันก็คงเป็นเรื่องปกติสำหรับเขาที่จะสงสัยหรือสนใจพวกเราที่กำลังคุยกันอยู่ในภาษาอื่นที่เขาไม่รู้จัก

“อ้าวนั่น รถมาแล้วครับ” ไคล์พูดขึ้น

เรารอให้รถเข้ามาจอดจนเกือบจะสนิทก่อนจากนั้นจึงหันไปโบกมือลาไคล์กับพี

“เดินกลับดีๆล่ะ ไคล์ดูแลพีด้วยนะ” ไอ้ซันพูดพลางหัวเราะเบาๆ

“กลับดีๆนะทั้งคู่ พีดูแลไคล์ด้วยนะครับ” ผมพูดขึ้นบ้าง แล้วก็เรียกเสียงหัวเราะออกมาได้อีกครั้ง

เมื่อรถบัสจอดสนิทและเปิดประตูรับพวกเราแล้ว ผมกับไอ้ซันจึงเดินขึ้นรถไป และรวมถึงสามคนนั่นด้วย แต่ผมกับซันนั่งอยู่ที่นั่งเบาะหน้าเกือบจะติดกับคนขับ ในขณะที่สามคนนั้นนั่งอยู่เบาะแถวหลังสุด และบนรถก็ไม่มีผู้โดยสารคนอื่นอยู่อีกเลย บอกตามตรงแล้วผมก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจเกี่ยวกับสามคนนั่นเท่าไหร่นัก เพราะอะไรบางอย่างในตัวผมมันคอยเตือนเอาไว้อยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อคิดดูดีๆแล้วผมก็คงจะคิดมากเกินไปเอง พวกนั้นก็คงเป็นแค่พนักงานที่ทำงานของที่นี่และกำลังจะกลับบ้านนั่นแหละ เขาคงไม่โง่พอจะทำอะไรบ้าๆกับแขกของบริษัทที่เขาทำงานให้หรอก

“ดูท่าทางจะไม่ใช่แค่กูกับมึงซะแล้วนะ ที่ถูกลิขิตให้เกิดมาคู่กันน่ะ” ไอ้ซันพูดขึ้นขณะที่เรานั่งเงียบกันอยู่บนรถได้สักพักหนึ่ง

“ไหนมึงบอกว่ามึงไม่เชื่อเรื่องถูกลิขิตมาอะไรนั่นไง”

“ใช่ แต่กูบอกแล้วไงว่ากูเชื่อว่าคนเรามาเจอกันก็เพราะเหตุผล กูเชื่อในสิ่งที่กูลิขิตเอาเอง อย่างเช่นตอนนี้และเมื่อก่อนที่ทั้งมึงและกูต่างก็ทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้เพื่อแสดงออกถึงความรักและเพื่อประคับประคองความสัมพันธ์ของเราเอาไว้ให้ได้มากที่สุด แต่การที่กูกับมึงได้มาเจอกันตั้งแต่แรกนั่นแหละที่กูหมายถึงว่าเรา ‘ถูกลิขิต’ มาให้คู่กัน เพราะว่าอีกอย่างนึงนะ อย่างน้อยๆถ้าจะบอกว่ากูไม่รู้สึกอะไรเลยกับเรื่องที่ชื่อของกูกับมึงคือท้องฟ้ากับก้อนเมฆล่ะก็ กูก็คงโกหกว่ะ เพราะเรื่องนี้ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้กูรู้สึกผูกพันกับมึงมากและไม่คิดจะตัดใจไปจากมึงง่ายๆ และที่สำคัญ มันยังทำให้กูคิดว่ามึงเองก็คงต้องรู้สึกเช่นเดียวกับกูด้วยเช่นกัน ใช่มั๊ย”

ผมหันไปยิ้มให้กับมันพร้อมกับพยักหน้า “ใช่แล้ว และไม่ใช่แค่ชื่อเท่านั้นนะ สำหรับกูแล้วมันเป็นทั้งนิสัยของเราสองคนด้วยจริงๆว่ะ กูว่าเรื่องนี้มันก็แปลกดี แต่ก็อย่างที่มึงพูดนั่นแหละ กูรู้สึกว่าเราสองคนมีสายใยบางอย่างเชื่อมโยงกันเอาไว้นะ แต่ว่าแค่นั้นมันก็คงไม่พอถ้าเราไม่แสดงออกหรือไม่พยายามอะไรเลย”

“พูดดีมากกกก” ไอ้ซันหันมาหยิกแก้มผมเบาๆ “จริงๆแล้วกูเองก็กังวลเรื่องที่กูพูดไปวันนี้เหมือนกันนะ ไม่รู้ว่ะ กูรู้สึกว่าพีมันเจออะไรมาเยอะจริงๆ และกูคิดว่าถ้าเกิดคนๆนั้นกลายเป็นกูขึ้นมาล่ะ........ ถ้าเกิดกลายเป็นกูที่ต้องเจอเรื่องๆเดียวกับเขา กูยังจะทำได้อย่างที่ปากกูพูดรึเปล่า และที่สำคัญคือ กูไม่แม้แต่มั่นใจแล้วด้วยซ้ำว่าสิ่งที่กูพูดไปนั้นมันถูกต้องและเป็นความจริง” ไอ้ซันพูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงกังวลและเหยียดแขนออกมาโอบบ่าของผมไว้

ผมได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้นมาจากสามคนทางด้านหลังทันที แต่ผมไม่สนใจ และก็ไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าเขาหัวเราะผมสองคนรึเปล่า เพราะคนเมาก็ดูเหมือนมันจะหัวเราะไปได้เรื่อยกับทุกอย่างนั่นแหละ

“กูไม่อยากจะคิดเลย.......... ว่าถ้าสักวันหนึ่ง กูเกิดต้องสูญเสียมึงไปแบบที่พีเคยสูญเสีย กูจะเป็นยังไง” ไอ้ซันพูดออกมาด้วยความไม่สบายใจจากเบื้องลึกของจิตใจจริงๆ

“กูเองก็เหมือนกัน ซัน แต่เราก็ไม่ควรไปมองอะไรให้มันอยู่แต่ในแง่ร้ายอย่างนั้นสิ ใช่มั๊ยล่ะ มึงก็พูดเองไม่ใช่เหรอ” ผมตบบ่าของมันเบาๆ

“เออ เรื่องนั้นกูก็รู้ มันก็เป็นแค่ความกลัวน่ะนะ........ แต่ก็อย่างที่บอก ไอ้ที่กูพูดกับพีไปแบบนั้นน่ะ มันจะถูกต้องรึเปล่าก็ไม่รู้” มันถอนหายใจ

“มึงทำดีแล้วซัน เชื่อกูเถอะ........ สิ่งที่มึงพูดน่ะถูกต้องทุกอย่างแล้ว กูเองก็กังวลเหมือนๆที่มึงคิดนั่นแหละ แต่พอคิดไปคิดมาแล้ว กูว่านั่นมันก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เราทำได้แล้วว่ะ เขาไม่สามารถมีชีวิตอยู่ตัวคนเดียวแบบนั้นได้อีกต่อไปแล้วหรอก.......”

“ใช่.......” ไอ้ซันเงียบไปพักหนึ่ง “แต่มึงรู้มั๊ยว่าตอนนี้กูกำลังกังวลและรู้สึกรำคาญใจเรื่องอะไรมากที่สุด”

“อะไรวะ”

“เรื่องไอ้เหี้ยสามคนข้างหลังนั่นน่ะสิ มึงเองก็ได้ยินที่มันคุยกันกับที่มันหัวเราะเมื่อกี๊แล้วนี่”

“กูได้ยินที่มันหัวเราะ แต่กูไม่ได้ยินที่มันพูดกันว่ะ มึงได้ยินเหรอวะ มันว่าไงอ่ะ”

“กูได้ยินตั้งแต่ตอนก่อนเราจะขึ้นรถแล้ว แต่กูก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่หรอกนะ ไอ้เรื่องที่พวกแม่งพูดน่ะช่างมันเหอะ แต่ที่แน่ๆคือกูไม่พอใจเลยสักนิดเดียวจริงๆ” ไอ้ซันทำท่าทางไม่พอใจ

“กูเองก็เหมือนกัน จริงๆปกติแล้วกูก็ไม่ได้ชอบคิดชอบกังวลอะไรมากเกินไปหรอกนะ แต่กูมีความรู้สึกบางอย่างที่ไม่ค่อยดีจริงๆว่ะ” ผมหันข้ามไหล่ไปมองยังสามคนนั้น และก็เป็นอย่างที่ผมคิด ไอ้ดำเล็กกับดำใหญ่นั่นกำลังมองมาที่พวกเราและยังหัวเราะกันอยู่ด้วย ส่วนคนขาวนั่นก็กำลังมองพวกเราอยู่ด้วยหางตาด้วยเช่นกัน “เอางี้ดีมั๊ย....... กูว่าเราลงกันที่ป้ายไชรน์ ออฟ ดิ เอจเจส ดีกว่า ต้องเดินนิดหน่อย แต่มันก็จะได้สลัดไอ้พวกเหี้ยนี่ออกไปได้ด้วยไง”

ป้ายไชรน์ ออฟ ดิ เอจเจส เป็นป้ายหยุดรถที่เราสามารถลงเพื่อไปยังยาวาพาย คาเฟทีเรีย ที่ทำการไปรษณีย์ ลานจอดรถ ธนาคาร และ เจเนอรัล สโตร์ หรือที่ถูกเรียกรวมๆกันทั้งหมดว่า มาร์เก็ตพลาซ่า ได้โดยที่เราไม่ต้องนั่งรถวนไปจอดป้ายอื่นก่อนอีกสามถึงสี่ป้าย ซึ่งพีเคยบอกเราว่าส่วนมากแล้วพนักงานที่เวลารีบและไม่อยากจะเสียเวลานั่งรถอ้อม ก็จะลงที่ป้ายนี้แล้วกึ่งเดินกิ่งวิ่งเอา เพราะระยะทางมันก็แค่ประมาณครึ่งไมล์และใช้เวลาเดินแค่ประมาณสิบนาทีไม่เกินสิบห้านาทีเท่านั้น ถ้าจะว่าไปมันก็แทบไม่ต่างกับเวลาที่รถใช้ขับวนไปจอดป้ายอื่นๆเลย เพียงแต่ว่ามันรู้สึกดีกว่าถ้าเราได้ออกมาเดินหรือวิ่งเพื่อควบคุมเวลาด้วยตัวเองเท่านั้น

“หมายความว่ายังไงวะ” ไอ้ซันถาม

“ก็กูรู้มาว่าที่พักของพวกพนักงานน่ะ มันลงป้ายก่อนที่จะถึงป้ายมาร์เก็ตพลาซ่าไง หรืออาจจะลงที่ป้ายเดียวกับเราก็ได้ เพราะงั้นถ้าเราอยากจะสลัดพวกนั้น เราก็ลงที่ป้ายที่กูบอกแล้วเดินเอา อีกอย่างนะ กูรู้สึกอยากเดินด้วยว่ะ อากาศดีออก มืดๆเงียบๆ เดินดูดาวกับมึงสองคน มึงไม่สนเหรอ” ผมยิ้มกว้าง พยายามเพื่อปกปิดสิ่งที่ผมกังวลเอาไว้ให้ดีที่สุด

“ถ้ามึงว่าอย่างนั้นก็แล้วแต่มึงก็แล้วกัน......” ไอ้ซันตอบหลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง “แต่ถ้าพวกแม่งเกิดมาลงป้ายเดียวกับเราด้วยล่ะก็........”

ใช่แล้ว นั่นล่ะคือสิ่งที่ผมกังวลอยู่ และผมก็ทั้งคิดและหวังว่ามันจะเป็นอะไรที่ผมแค่คิดมากเกินไปเองก็เท่านั้น “ก็แปลว่าพวกมันตามเรามาและก็คงต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ.......... เฮ้ย แต่มึงคิดมากไปมั๊ง คงไม่มีอะไรหรอก”


ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page

เราสองคนจบบทสนทนาที่ตรงนั้น เพราะอีกแค่สองนาทีถัดมา เราก็มาถึงป้ายที่เราต้องลงกันแล้ว เมื่อคนขับรถประกาศบอกชื่อป้ายที่กำลังจะมาถึง ผมกับไอ้ซันก็ลุกขึ้นยืน และเราสองคนก็มองเห็นทางกระจกมองหลังตรงคนขับด้วยว่าทั้งสามคนนั้นก็ลุกขึ้นยืนด้วยเช่นกัน มันทำให้ผมรู้สึกแย่ขึ้นมานิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะลงป้ายเดียวกับเราไม่ได้นี่นะ และที่สำคัญ พวกนั้นหรือบางคนในนั้นอาจจะเป็นแขกที่มาพักเหมือนกับเราก็ได้ แต่เพื่อที่จะพิสูจน์อะไรบางอย่าง ผมจึงตัดสินใจเดินตรงเข้าไปหาคนขับรถแล้วถามเขาเรื่องเวลาเดินรถว่ารถเที่ยวแรกเริ่มเมื่อไหร่และรถเที่ยวสุดท้ายนั้นมีจนถึงกี่โมงเพื่อดูว่าทั้งสามคนพอลงจากรถแล้วจะเดินไปที่ไหนกันต่อ แต่ปรากฏว่าเมื่อผมกับไอ้ซันอ้อยอิ่งอยู่บนรถสักพัก ทั้งสามคนนั้นก็กลับยืนอยู่ที่ป้ายหยุดรถเสียเฉยๆด้วยเช่นกัน........ ไม่ใช่สัญญาณที่ดีเลยจริงๆ

ผมบอกขอบคุณคนขับสำหรับข้อมูลจากนั้นก็เดินลงจากรถมาพร้อมกับไอ้ซัน ไอ้ซันเองก็ดูเหมือนจะรู้สึกได้ถึงความผิดปกติของคนสามคนนี้อยู่เช่นกัน มันจึงเดินเข้ามาชิดกับตัวผมแล้วโอบเอวของผมเอาไว้แน่น เราสองคนออกเดินข้ามถนนไปโดยที่ไม่ได้พูดอะไรกันสักคำและยังไม่ได้ทำท่าทางผิดสังเกตอะไรเลยอีกด้วย แต่ผมรู้สึกเลยว่าไอ้ซันเองก็กำลังกังวลในเรื่องเดียวกับที่ผมกำลังกังวลอยู่เหมือนกัน เพราะทันทีที่พวกเราออกเดิน ฝรั่งสามคนนั้นก็เดินตามพวกเราทันที ถึงจะไม่ใช่ในระยะทางที่ใกล้กับพวกเรามาก แต่ก็ไม่ได้ไกลจนถึงขนาดที่เราจะวางใจได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรอบข้างมืดสนิทและไม่มีคนเลยแบบนี้ด้วยแล้ว

“กูว่ากูพลาดแล้วว่ะ ซัน......” ผมพูดขึ้นหลังจากที่เราเดินข้ามถนนมายังบนทางเดินเท้าที่ฝั่งตรงข้ามได้สำเร็จ ผมแทบจะมองอะไรไม่เห็นเลย มันมืดถึงขนาดที่มองไม่เห็นข้างทางหรือทางเดินเบื้องหน้าเลยด้วยซ้ำ บริเวณนี้ไม่มีแม้แต่ไฟถนนสักดวง และผมยังคืนไฟฉายให้กับพีไปแล้วซะด้วย “เมื่อกี๊พอพวกมันลงจากรถไปแล้ว กูว่ากูน่าจะยังอยู่บนรถแล้วนั่งไปลงที่ป้ายคาเฟทีเรียเลยดีกว่าว่ะ ไม่น่าเลย”

“ช่างเถอะ กูไม่สนใจหรอก........ มันก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรนี่ ใช่ว่าจะมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นสักหน่อย กูว่ามึงนั่นแหละที่คิดมากไปเองรึเปล่า” ถึงไอ้ซันจะพูดอย่างนั้น แต่ผมก็รู้สึกถึงความไม่สบายใจของมันได้จากการที่มันเปลี่ยนจากโอบเอวผมมาเป็นกุมมือของผมแทน “เมฆ....... มึงกลัวรึเปล่า” มันถาม

“ไม่ว่ะ ไม่เลย” ผมตอบออกไปจากใจจริง “พูดจริงๆกูไม่ได้กลัวพวกมันหรอก แต่กูไม่อยากให้มันเกิดอะไรขึ้นเท่านั้นเอง เรามาเที่ยวนี่หว่า แถมกูไม่อยากให้มึงมาเจอปัญหาด้วย ถ้ากูจะกลัว กูก็กลัวจะเกิดอะไรขึ้นกับมึงมากกว่าอย่างอื่นเลย........ แล้วมึงล่ะ รู้สึกกังวลมั๊ย”

“กูก็เหมือนกัน สิ่งเดียวที่กูคิดก็คือกลัวว่ามึงจะเป็นอะไรไปนั่นแหละ” ไอ้ซันตอบเสียงนิ่ง “เราสองคนคงคิดมากกันเกินไปแล้วมั๊งเนี่ย กูว่า”

ผมบีบมือของมันเบาๆเพื่อแทนคำขอบคุณ และก็คิดว่ามันคงจะไม่มีอะไรให้ต้องกังวลจริงๆ ผมหันกลับไปมองสามคนนั้นที่กำลังเดินตามหลังเรามาห่างไปราวๆเจ็ดหรือแปดเมตร และผมก็ต้องรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นจำนวนคนที่เคยมีอยู่สามคนนั้นหายไปเหลือแค่เพียงสองคนแล้ว คนดำคนที่ตัวเล็กกว่านั่นหายไป

“ซัน ทำไมมัน.....” ผมหันกลับมาจะบอกไอ้ซันในสิ่งที่ผมเห็น แต่ทันใดนั้นเสียงๆหนึ่งก็ดังขัดขึ้นจากทางด้านหลังของเราเสียก่อน

“เฮ้ย!!”

ผมกับไอ้ซันมองหน้ากันแต่ก็ยังคงเดินต่อไปโดยไม่ได้หันกลับไปมองที่มาของเสียง ซึ่งผมคิดว่ามันคงเป็นเสียงของคนดำที่ตัวใหญ่ๆนั่นแน่ๆ แต่ถ้าเขามีธุระหรือคิดจะเรียกเราเพื่อให้หยุดดีๆ มันก็ไม่ควรที่จะใช้สำเนียงการเรียกแบบนั้น เราสองคนจึงทำเป็นนิ่งเฉยและเดินต่อไปโดยที่ไม่ได้พูดอะไร

“เฮ้ย! กูเรียกไม่ได้ยินรึไง ไอ้ลิงเหลือง!” เสียงๆเดิมดังขึ้นอีกครั้ง และผมได้ยินเสียงฝีเท้าเร่งความเร็วและกระชั้นขึ้นมาเรื่อยๆด้วย

ผมหยุดเดินและดึงให้ซันให้หยุดตามไปด้วย จากนั้นก็หันหลังกลับไป ไอ้ดำใหญ่กับไอ้ขาวเดินตรงเข้ามาหาเราสองคนช้าๆ ไอ้ดำดูท่าทางจะพอใจปฏิกิริยาของผมกับไอ้ซันทันทีเพราะผมเห็นรอยยิ้มกว้างอยู่บนใบหน้าของมันอย่างชัดเจน ถึงผมจะมองหน้ามืดๆของมันไม่เห็น แต่ผมก็เห็นฟันกับลูกตาขาวๆนั่นได้อย่างชัดเจนทีเดียว ส่วนไอ้อ้วนขาวก็ยังคงดูนิ่ง เงียบ และไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไรออกมาเหมือนเดิม

“มึงต้องการอะไร” ผมถามกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยจะเป็นมิตรนักเพราะมันก็ไม่ได้เรียกเราด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรก่อนอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นทำไมผมถึงจะต้องทำตัวสุภาพกับมันล่ะ แม้แต่ไอ้ซันเองก็ยังดูแปลกใจกับการที่ผมทำแบบนี้ไปด้วยเลย ผมรู้ว่าผมคงทำให้มันต้องกังวล แต่ผมก็ไม่ชอบอะไรแบบนี้เลยจริงๆ และผมรู้ว่าถ้าผมไม่หันมาคุยกับพวกมันให้รู้เรื่องแล้วล่ะก็ พวกมันก็คงต้องเข้ามาหาเรื่องเราก่อนแน่ๆ และที่แย่ไปกว่านั้นคือมันอาจจะตามราวีพวกเราไปจนถึงห้องพักแน่ๆ และการถูกคนแปลกหน้าที่มีท่าทางไม่น่าไว้ใจรู้จักที่พักนี่ก็ไม่ใช่ความคิดที่ดีเลยจริงๆ

ไอ้ดำใหญ่ หรือจะเรียกว่าไอ้ดำธรรมดาๆดีเพราะดำเล็กก็ไม่อยู่ให้เปรียบเทียบแล้ว ยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวเรียงรายอยู่เต็มปาก เมื่อมันเข้ามาใกล้ ผมก็ยิ่งรู้สึกขยะแขยงไปกับกลิ่นตัวและกลิ่นเหม็นเหล้าของมันมากขึ้นไปอีก ผมรู้สึกหัวใจของผมเต้นแรงขึ้นและอะดรีนาลีนของผมก็เริ่มสูบฉีดไปจนทั่วร่างกาย....... แต่ว่านี่มันก็ยังคงไม่ใช่ความกลัวอยู่ดี

“มึงสองคนมาจากไหนกันวะ มาทำงานที่นี่รึไง”

“เปล่า พวกเราเป็นแขกที่มาพักที่นี่” ไอ้ซันเป็นฝ่ายตอบกลับไปบ้าง มันก้าวเท้ามาข้างหน้าหนึ่งก้าวจนผมต้องเอื้อมมือออกไปขวางมันเอาไว้ไม่ให้มันทำอะไรที่หุนหันจนเกินไปเพราะผมรู้ว่ามันเป็นคนใจร้อน

ฝรั่งสองคนนั้นหันไปมองหน้ากันจากนั้นก็หัวเราะออกมา “ตอแหล!!” ไอ้ยักษ์มืดหันมาพูดเสียงดังจนเกือบจะเป็นตะคอกใส่ผม ซึ่งมันก็มักจะเป็นแบบนี้ประจำ ผมมักจะตกเป็นเป้าของคนอื่นเสมอๆ ก็เพราะว่าผมตัวเล็กกว่าไอ้ซันนั่นเอง ถึงผมจะเตี้ยกว่ามันไม่มาก และทั้งร่างกายรวมไปถึงส่วนสูงของผมจะไม่ใช่ขนาดที่ใครจะมาข่มเหงได้ง่ายๆ แต่คงเป็นเพราะหน้าตาของผมที่ดูเป็นมิตรและดูไร้พิษสงมากกว่า โดยเฉพาะเมื่อเทียบกันไอ้ซันในตอนนี้ด้วยแล้วล่ะก็ การที่มันจะเล็งมายังผมมากกว่านั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย และอีกอย่างที่ผมต้องขอยอมรับเลยก็คือกลิ่นเหล้ากับกลิ่นบุหรี่ที่หลุดออกมาจากปากจากตัวมันนั้นช่างสุดแสนจะเหลือทนจริงๆ “ไอ้พวกลิงเหลืองอย่างพวกมึงมันก็มาทำงานที่นี่ทั้งนั้น!! กูจะบอกอะไรให้นะ ถ้าคิดจะอ้างตัวว่าเป็นแขกล่ะก็ หัดดูหนังหน้ากับอายุตัวเองหน่อย คิดจะเป็นแขกที่มาพักแต่ตัวกะเปี๊ยกเท่านี้เนี่ยนะ! มีปัญญาจ่ายรึไง! พวกมึงมันก็เป็นแค่ไอ้พวกตกทองหวังมาสบายในอเมริกาเท่านั้นแหละเว้ย!!”

“พวกเราบอกแล้วว่าพวกเราเป็นแขกที่มาพักที่นี่ ถ้าไม่มีอะไรอย่างอื่นล่ะก็ พวกเราขอกลับก่อนก็แล้วกัน ไร้สาระชิบหาย” ไอ้ซันพูดจากนั้นก็จับข้อมือผมให้หันหลังกลับเพื่อจะออกเดินต่อ

“จะไปไหน!” ไอ้มืดร้องออกมาพร้อมกับจับหัวไหล่ของผมบิดกลับไปหามันเหมือนเดิม ผมถูกเหวี่ยงไปตามแรงของแขนอันใหญ่โตของมันจนเสียหลักและเกือบจะล้มลง

เมื่อไอ้ซันเห็นผมถูกเหวี่ยงแบบนั้นมันก็เดินเข้ามาผลักไอ้อ้วนดำออกไปทันที “มึงจะทำอะไรวะ!!”

เมื่อไอ้มืดถูกไอ้ซันผลักหน้าอกอย่างแรงจนถอยหลังออกไปถึงสองก้าว มันก็ระเบิดออกมาทันที “อะไรของมึง!! ไอ้ตุ๊ด!! กูล่ะเกลียดไอ้พวกคนเอเชียอย่างมึงที่สุด มึงรู้มั๊ย เข้ามาทำงานแล้วก็แย่งงานของพวกกูไปหมด ทำตัวเป็นขยันขันแข็ง แต่พวกมึงมันก็แค่หวังจะมาโกยเงินจากที่นี่กลับไปประเทศจนๆของพวกมึงเท่านั้นเอง ไอ้สัตว์!!” ไอ้ดำตะคอกพร้อมกับผลักอกไอ้ซันกลับไปอย่างแรงจนไอ้ซันเกือบจะล้มลง ผมจึงรีบขยับเข้าไปประคองแขนของมันไว้ทันที และตอนนี้ผมก็เริ่มจะรู้สึกเหลืออดบ้างแล้วเหมือนกัน อารมณ์ที่ผมไม่ค่อยจะได้รู้สึกนักมันเริ่มพลุ่งพล่านออกมาจนผมจะเก็บมันไว้ไม่ได้อีกแล้ว

“อ้ออ ห่วงแฟนมึงงั้นสิ! แต่มึงรู้อะไรมั๊ย กูล่ะเกลียดไอ้พวกลักเพศอย่างพวกมึงมากยิ่งกว่าอะไรอย่างอื่นซะอีก!!” มันเดินตรงเข้ามาหาผมอีกหนึ่งก้าวแต่ถูกไอ้ซันขวางและผลักออกไปเสียก่อน

“มึงไม่ต้องแม้แต่จะคิดเลย ไอ้สัตว์!” ไอ้ซันพูดออกไปด้วยความโกรธ และทันใดนั้นเอง ไม่มีใครทั้งผมและไอ้ซันคาดคิด ไอ้มืดนั่นก็เหวี่ยงหมัดออกมากระแทกเข้าที่หน้าของไอ้ซันดังพลั่กเข้าอย่างจัง

“เกะกะ!! คิดจะกล้ามาหาเรื่องกับกูรึไง ไอ้ลูกหมา! ไอ้ลักเพศ!!”

ไอ้ซันล้มลงไปนั่งอยู่บนพื้นเพราะแรงชก ผมร้องเรียกชื่อมันแล้วรีบก้มลงไปดูอาการทันที ไอ้ซันยกมือขึ้นมาปิดปากเอาไว้ ผมเห็นเลือดไหลออกมาจากริมฝีปากที่แตกพร้อมกับเลือดกำเดาด้วย เมื่อเห็นอย่างนั้นแล้วผมก็ไม่สามารถระงับอารมณ์เอาไว้ได้อีกต่อไป

“โอเค ตอนนี้กูกำลังโกรธจริงๆแล้ว” ผมลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับไอ้ยักษ์มืดนั่น และเมื่อเราสองคนยืนประจันหน้าห่างกันไม่ถึงสามนิ้วแบบนี้ ผมถึงเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าผมสูงแค่ประมาณหัวไหล่ของมันเท่านั้นเอง

“โอโห ประทับใจชิบหายเลยเว้ย! มีโกรธแทนแฟนด้วยเว้ยเฮ้ย เฮ้! มึงดูนี่สิ เจฟฟ์ ไอ้เตี้ยนี่มันคิดจะมาหาเรื่องกับกูว่ะ” ไอ้มืดหันไปพูดกับคนขาวที่ยืนอยู่ข้างหลังนั่น ทีนี้ผมก็รู้แล้วว่าไอ้ขาวนั่นมีชื่อว่าเจฟฟ์ “แล้วมึงจะทำอะไรกูได้ ห๊ะ ไอ้เปี๊ยก!” มันหันกลับมาผลักอกผมเซออกไปสองก้าว

“ไอ้เมฆ อย่า” ไอ้ซันพูดออกมาเบาๆอย่างยากลำบากเพราะเลือดที่ไหลอยู่จนกลบปาก ผมยื่นมือออกไปห้ามมันไว้โดยที่ไม่ได้ละสายตาไปจากไอ้คนที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเลยและรีบตัดสินใจว่าผมคงต้องลงมือทำอะไรบางอย่างที่ผมอยากจะทำสักทีได้แล้วก่อนที่ไอ้ซันจะลุกขึ้นมาเสียก่อน

“กูมีอะไรจะบอกมึงสามอย่างนะ ไอ้มืด.......” ผมเขยิบเข้าไปใกล้ไอ้ยักษ์มากขึ้นอีกก้าวหนึ่ง มันจึงรีบคว้าคอเสื้อของผมเอาไว้ เมื่อผมถูกดึงเข้าไปหามัน ผมก็กระทุ้งเข่าเข้าที่หว่างขาของมันอย่างเร็วและแรง แรงชนิดที่ว่าผมไม่ได้ยั้งกำลังของตัวเองเอาไว้เลยแม้แต่นิดเดียว และท่ามกลางความตกใจทั้งของซันและเจฟฟ์ที่กำลังมองดูอยู่นั้น ไอ้มืดก็เอามือทั้งสองข้างกุมเป้ากางเกงและทรุดตัวลงอย่างรวดเร็วพร้อมกับร้องโอดครวญออกมาเสียงดัง ซึ่งถ้าให้เปรียบเทียบอย่างที่เรารู้จักกันดีจริงๆก็คือร้องราวกับเสียงควายถูกเชือดนั่นเอง และในกรณีนี้มันก็หมายความว่าอย่างนั้นจริงๆด้วย

ผมมองไปยังใบหน้าอันบูดเบี้ยวของมันที่กำลังทรุดตัวต่ำลงมาเรื่อยๆจนอยู่ในระดับที่ผมพอใจ “ถ้าคิดจะมีเรื่องวิวาท อย่ามัวเอาแต่พูดแล้วก็ผลักอกคนอื่น แต่ต้องลงมือ”

ไอ้มืดมองหน้าผมด้วยสายตาที่เคียดแค้นและเต็มไปด้วยน้ำตาที่ไหลลงมาอาบแก้ม มันอ้าปากพะงาบๆเหมือนพยายามจะพูดอะไรออกมาหรือพยายามจะสูดลมหายใจเข้าไปผมก็ไม่รู้....... และผมก็ไม่แคร์ด้วย ผมยังคงจ้องตาของมันโดยที่ไม่แสดงความรู้สึกอะไรออกมาเลยแม้แต่นิดเดียว

“อย่างที่สอง.........” ผมพูด และก้าวถอยหลังออกมาเล็กน้อยก่อนที่มันจะทันตั้งตัวและยื่นมือออกมาคว้าผมเอาไว้ได้อีก จากนั้นผมก็เหวี่ยงสันมือเข้าที่คอหอยของมันอย่างแรง คราวนี้ไอ้มืดตาเหลือกขึ้นทันที แต่ไม่มีเสียงร้องออกมาสักแอะ ซึ่งถึงแม้มันอยากร้องออกมาใจจะขาดแต่ก็คงจะทำไม่ได้แล้ว น้ำลายของมันไหลออกมาจากปากที่ทั้งใหญ่และหนานั่นมากพอๆกับน้ำตาเมื่อสักครู่ และก่อนที่ผมจะทันได้อ้าปากพูดต่อ ไอ้ยักษ์อัปลักษณ์ที่ทั้งตาเหลือกและน้ำลายฟูมปากก็ล้มลงไปนอนตัวงออยู่บนพื้นเรียบร้อยแล้ว “อย่าใช้รูปร่างของคนมาตัดสินในการวิวาท ไอ้โง่”

ผมถอยออกมาเล็กน้อยและเอาเท้าเขี่ยมันเบาๆด้วยความรู้สึกสมเพช เมื่อผมละสายตาจากไอ้ดำที่นอนอยู่บนพื้นมองขึ้นไปยังเพื่อนของมันที่ชื่อเจฟฟ์ซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลจึงได้เห็นสีหน้าประหลาดใจราวกับเห็นผีของมัน และเมื่อเราสบตากัน จากความตกใจในสีหน้าและแววตาคู่นั้นก็เปลี่ยนเป็นความโกรธที่เห็นเพื่อนของตัวเองต้องลงไปกองอยู่ต่อหน้าต่อตาคนที่ตัวเล็กกว่าถึงหนึ่งช่วงหัวทันที

ผมยักไหล่ “ก็มันประมาทเองนี่นะ”

“ไอ้ชาติชั่วเอ๊ย!!” เจฟฟ์ร้องออกมาพร้อมกับเดินจนเกือบเหมือนจะวิ่งตรงเข้ามาหาผม “กูจะฆ่ามึง!! ไอ้ตุ๊ด!!”

ผมยังคงสบตากับมันอยู่จนกระทั่งมันเดินเข้ามาถึงตัวของผมและเงื้อหมัดจะต่อยออกมา แต่ผมแค่ก้มหลบนิดเดียว หมัดของมันก็วืดผ่านหัวของผมไปแล้ว และจังหวะนั้นเองผมก็ปล่อยหมัดออกไปที่พุงพลุ้ยๆของมันจนมันทรุดลงบนตัวของผม แต่น้ำหนักหมัดแค่นั้น ถึงจะทำให้รู้สึกจุก แต่ก็ไม่ได้สร้างความเสียหายอะไรได้มากอยู่แล้ว เพราะผมกำลังรอโอกาสนี้อยู่ต่างหาก เมื่อมันเริ่มเสียจังหวะเพราะหมัดเหวี่ยงวืดนั่นและยังถูกผมต่อยเข้าที่ท้องอีกด้วย ผมจึงฉวยจังหวะนั้นจับแขนเสื้อขวาและคอเสื้อของมันเอาไว้ จากนั้นก็สอดขวาขาของตัวเองเข้าไปที่หว่างขาของหมอนั่นแล้วก็ออกแรงหมุนตัวเหวี่ยงและเตะขาขึ้น จนหมูเจฟฟ์ถูกทุ่มลงไปกองอยู่กับพื้นข้างๆไอ้ยักษ์มืดเพื่อนของมัน และเชื่อเถอะว่าการถูกกระแทกหลังเปล่าๆลงบนพื้นปูนแข็งๆนั่นบวกกับการถูกเตะเข้าที่น้องชายแบบนี้คงต้องเจ็บหนักแน่

“และอย่างสุดท้าย........” ผมก้มลงไปเล็กน้อยเพื่อดูสภาพของไอ้หมูเจฟฟ์ที่ท่าทางจะสลบไปแล้วเรียบร้อย “ฝากบอกเพื่อนของมึงด้วยนะว่าอย่าบังอาจเรียกแฟนกูแบบนั้นอีก ไอ้หมูขาว”

ผมหันกลับไปหาไอ้ซันก็เห็นมันยืนขึ้นมาอยู่บนขาของตัวเองได้แล้ว ผมยิ้มกว้างให้กับมันแต่ไอ้ซันกลับมองผมด้วยสายตาราวกับไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เพิ่งเห็นไป ซึ่งก็คงไม่แปลก เพราะมันเองยังไม่เคยเห็นผมที่เป็นแบบนี้มาก่อนเลยจริงๆ

“มึงไม่เป็นไรนะ” ผมถามขณะที่กำลังจะก้าวขาเดินเข้าไปหามัน แต่ทันใดนั้นเองผมก็ได้ยินเสียงขยับตัวในป่าทางด้านหลังของไอ้ซัน และก่อนที่เราทั้งสองคนจะทันรู้ตัว ไอ้มืดเล็กก็กระโจนออกมาและคว้าไอ้ซันเอาไว้ด้วยแขนทั้งสองข้างในท่าล็อกคอแล้ว

“มึงทำเพื่อนกูได้แสบมาก ไอ้ชั่ว!! เพราะงั้นอย่าหวังว่าพวกมึงจะหนีไปเฉยๆได้นะ ไอ้พวกลูกหมาเอ๊ย!!”



tonsai_2520

  • บุคคลทั่วไป


วันนี้โชคดีโว้ย . . .

ได้มาทันจิ้มตูดไอ้น้องต้น

ปล ฟิตดีว่ะ


ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
เมฆเก่งโคตรเลย  :m3:  :m3:  :m3:

graydragon

  • บุคคลทั่วไป
ตืบมานเลย เมฆ เอาให้จมดินไปเลย อยู่ดีๆมาหาเรื่องอย่างนี้เอาให้จมดินไปเลย  :m16: :m16:

nartch

  • บุคคลทั่วไป
 o21
อ่านตอนนี้แล้วรู้สึกรางไม่ดียังไงไม่รู้  อย่าให้มีใครเป็นอะไรเลยยยยยยยย :a6:
รีบมาต่ออย่างไวเลยครับบบบ ทิ้งไว้แบบนี้ คนอ่านจะขาดใจซะก่อนนนน
 :m5:

ปล คุณต้นสายมาจิ้ม ๆ อะไรใครเนี่ยยยยย สงสัยได้ขาหื่นแล้วววว ไปลง vote ให้เจ้สองดีกว่า
 :catrun:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
มีครบทุกรสเลยนะ ทั้งเศร้า ทั้งหวาน ทั้งบู๊ล้างผลาญ
ว่าแล้วก็เชียร์เมฆ สอยไอ้คนสุดท้ายให้ร่วงแล้วฝังมันให้เรียบร้อยไปเลย

Jingjoh

  • บุคคลทั่วไป
ตื่นเต้นๆ
 :try2:

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
ตืบมันเลย ชั่วนัก ไม่พิการไม่สำนึก
 :m16: :m16: :m16:

sun

  • บุคคลทั่วไป
:sad2:      อ่านตอนนี้แล้วรู้สึก   sad   อย่างแรง    :a6:
ไม่ชอบจบแบบเศร้าๆเลยนะ จริง
แต่ถ้าวาง โครงเรื่องไว้แล้ว... มันก้อ นะ       :o11:

**************

อ่านตอนที่แล้ว ยัง อิ่มเอมใจอยู่เลย    :give2:

อ่านตอนนี้แล้วขอ...ไปนั่งทำใจ ก่อน จะอ่านตอนต่อไป      :o12:


ป๋อล๋อ*.... อย่าเป็นอย่าง ที่คิดเลยนะ       :m26:

~Brand New Beat~

  • บุคคลทั่วไป
สำหรับคนสุดท้ายนี้ซันจะเป็นคนจัดการเองอะป่าว รึจะให้เมฆบู๊อยู่คนเดียวน้า

แอบหวังว่าคงไม่เกิดเรื่องไรขึ้น กลัวจิงๆว่ามันจะต้องมีอะไรเกิดขึ้น   :m17:

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
อย่าเศร้านะ  :m17: :m17:

ninaprake

  • บุคคลทั่วไป
กลัวมากๆเลยอ่ะ กลัวเรื่องเศร้าอ่ะ  o21

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนที่ 47


ถึงผมจะสงสัยว่าทำไมไอ้มืดเล็กมันถึงได้หายไปเอากลางทาง และทำไมจู่ๆมันถึงได้โผล่ออกมาเอาตอนนี้ แต่คำตอบเหล่านั้นมันก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้วในเมื่อตอนนี้มันกำลังล็อกคอของซัน...... มันกำลังทำร้ายคนที่ผมรักอยู่

“ปล่อยเค้าเดี๋ยวนี้” ผมพูดขณะที่เดินเข้าไปใกล้ทั้งสองคนมากขึ้น

“มึงหยุดอยู่ตรงนั้นเลย!” ไอ้มืดเล็กออกคำสั่งและรัดคอของไอ้ซันให้แน่นขึ้นอีก ไอ้ซันมีสีหน้าอึดอัดขึ้นมาทันที

“ถ้ามึงคิดจะทำอะไรเค้าล่ะก็....... กูหักแขนมึงทิ้งแน่” ผมบอกกับไอ้มืดเล็กไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ในใจนั้นกลับกำลังคุกรุ่นอย่างที่สุด ถึงภายนอกผมจะยังดูสงบอยู่และแน่นอนว่าผมก็ยังคงควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดีพอด้วย แต่ความคุกรุ่นที่ว่านั้นก็คือการที่ผมอยากจะเดินไปกระชากตัวไอ้ซันออกมา แล้วก็ค่อยๆหักแขนไอ้มืดนั่นช้าๆ เพื่อให้มันรู้สึกทรมานและเสียใจที่สุดในชีวิตที่มันกล้าทำอย่างนี้กับแฟนของผม

“ซัน มึงโอเคมั๊ย” ผมถามออกไปเป็นภาษาไทยด้วยความเป็นห่วง

“พูดภาษาอังกฤษสิวะ ไอ้สัตว์!! ถ้ามึงพูดภาษาอื่นอีกล่ะก็ ไอ้กะเทยนี่เจ็บตัวแน่!!”

“โอเคๆ ใจเย็นๆน่า แล้วไง มึงต้องการอะไรจากพวกกูกันแน่” ผมถาม

ไอ้มืดเล็กมีท่าทางลังเลเล็กน้อยก่อนจะเปิดปากพูด “กระเป๋าเงิน! มึงโยนกระเป๋าเงินของมึงมาก่อน อย่างอื่นค่อยว่ากันทีหลัง” มันพูดด้วยเสียงอันสั่นเทาและลุกลี้ลุกลนอย่างเห็นได้ชัด ต่างจากเพื่อนของมันสองคนที่ยังดูจะมีสติมากกว่า แต่ก็อย่างว่า การที่มันต้องมาเห็นเพื่อนของมันลงไปนอนกองอยู่บนพื้นแบบนี้ทั้งคู่ก็คงทำให้มันขวัญหนีและทำอะไรไม่ถูกไปเลยอยู่เหมือนกัน

“อย่า เมฆ” ไอ้ซันร้องห้ามผมขณะที่ผมกำลังจะล้วงกระเป๋ากางเกงพอดี

“กูบอกให้พูดภาษาอังกฤษไง!” ไอ้มืดเล็กใช้มือข้างที่ใช้ล็อกคออยู่ตบเข้าที่ปากของไอ้ซัน และความอดทนของผมก็หมดลงอีกครั้ง ผมเดินตรงเข้าไปหาทั้งสองคนอีกหนึ่งก้าว หมายจะหักแขนของไอ้มืดนี่ทิ้งซะเดี๋ยวนั้นเลย แต่ทว่าไอ้ซันก็ขยับตัวขึ้นเสียก่อน

“พอกันที กูทนไม่ไหวแล้วว่ะ” ไอ้ซันพูด จากนั้นมันก็กระทุ้งข้อศอกเข้าที่ท้องของไอ้มืดเล็กอย่างแรงทำให้แขนที่รัดรอบคอของมันอยู่หลวมขึ้น และเมื่อไอ้ซันขยับตัวออกมาได้นิดหน่อย มันก็กระแทกหลังหัวเข้าไปที่ใบหน้าของไอ้มืดนั่นทันที เมื่อไอ้มืดเล็กผงะถอยหลังไปสองสามก้าวพร้อมกับยกมือขึ้นมากุมที่จมูกของตัวเอง ไอ้ซันก็หันกลับไปกระทุ้งเข่าแล้วก็ถีบเข้าที่ท้องของไอ้มืดนั่นอย่างแรงจนมันล้มลง ไอ้มืดทำท่าจะลุกขึ้นและขยับตัวหนีแต่ไอ้ซันก็เดินเข้าไปเหยียบและขยี้ข้อเท้าของมันเอาไว้เสียก่อนทำให้มันร้องลั่นออกมาเพราะความเจ็บปวด “กูไม่ใช่คนใจเย็นนักหรอกนะ ไอ้งั่ง เพราะงั้นกูให้เวลามึงแค่สามวินาทีไสหัวไปจากที่นี่ซะ!”

ไอ้ซันยกขาขึ้นและเตะไปที่ข้อพับของหมอนั่นอีกหนึ่งที ไอ้มืดมองหน้าไอ้ซันด้วยความเจ็บปวดและเคียดแค้น แต่ไอ้ซันไม่สนใจและหันหลังกลับเพื่อที่จะเดินมาหาผม แต่ว่านั่นเป็นความผิดพลาดอย่างที่สุดจริงๆ เพราะทันทีที่ไอ้ซันหมุนตัว และก่อนที่ผมจะทันได้อ้าปากห้ามไอ้ซันว่าอย่าหันหลังให้มัน ไอ้มืดเล็กก็ล้วงเข้าไปในเสื้อแจ๊กเก็ตแล้วหยิบมีดพกออกมา จากนั้นกระโจนเข้าไปหาไอ้ซันอย่างรวดเร็ว ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากและไอ้ซันก็ไม่รู้ตัวเลยด้วย แต่ผมที่เห็นท่าทางผิดปกติของไอ้หมอนั่นตั้งแต่แรกก็ไหวตัวทันและรีบวิ่งเข้าไปผลักไอ้ซันออกทันที

“ไอ้ซัน หลบ!!”

เมื่อไอ้ซันถูกผมเหวี่ยงออกไป ผมก็เตะเข้าที่ข้อมือของไอ้มืดนั่นอย่างแรงทำให้มีดกระเด็นลอยหายเข้าไปในป่าทางด้านหลัง ไอ้มืดเล็กใช้มือจับที่มือของตัวเองข้างที่ถูกเตะทันที และผมก็ไม่ปล่อยให้ช่วงเวลานั้นเสียไปอย่างไร้ประโยชน์แน่นอน เพราะจังหวะที่คนเราผ่อนแรงและมีช่องว่างแบบนี้คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่เราควรจะฉวยโอกาสเอาไว้ และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ผมสามารถจัดการกับไอ้สองคนนั้นที่ตัวใหญ่กว่าผมมากได้นั่นเอง

ผมถีบเข้าที่หน้าอกของไอ้มืดเล็กทันทีก่อนที่มันจะทันได้ตั้งตัว ผมไม่ได้ถีบแรงนัก แค่พอให้มันรู้สึกเจ็บและเสียหลักหงายหลังล้มลงไปอีกครั้งเท่านั้นเอง และเมื่อมันล้มลงไป ผมก็เดินตรงเข้าไปแล้วกระทืบเท้าลงไปที่มือข้างที่มันใช้จับมีดเมื่อกี๊ทันที ไอ้มืดร้องโหยหวนออกมาเสียงดังเพราะความเจ็บปวด

“มือข้างนี้สินะ ที่มึงใช้จับมีดและตั้งใจจะแทงแฟนกู.........” ผมยกเท้าขึ้นแล้วกระทืบลงไปอีกครั้งด้วยความรวดเร็วและรุนแรงก่อนที่มันจะทันได้ชักมือกลับ “และนี่ก็สำหรับที่มึงตบหน้าเขาเมื่อกี๊ด้วย”

เมื่อผมยกขาขึ้นอีกครั้ง ไอ้มืดเล็กก็ชักมือกลับอย่างรวดเร็วแล้วก็พยายามดันตัวถอยหนีด้วยมือข้างที่ยังดีอยู่ ผมเดินตรงเข้าไปหามัน ทำให้มันมองผมด้วยความหวาดกลัว “กูให้เวลามึงแค่สองวิ และกูหมายความว่าแค่สองวิจริงๆ รีบไปจากที่นี่ซะ ก่อนที่กูจะให้มึงชดใช้ที่กล้าเรียกแฟนกูแบบนั้น และมึงคงรู้นะว่าคราวนี้มึงจะต้องชดใช้ด้วยอวัยวะส่วนไหน”

ไอ้มืดเล็กยกมือข้างที่ไม่เจ็บขึ้นมาปิดปากทันที มันพยายามจะลุกขึ้นยืนบนขาของตัวเองให้ได้เร็วที่สุดอย่างลุกลี้ลุกลน จากนั้นก็วิ่งแบบกะเผลกๆหายไปในป่าด้วยความเร็วเท่าที่สังขารของมันจะพาไปได้ โดยไม่มีแม้แต่การหันหลังกลับมามองเพื่อนของตัวเองอีกเลยด้วยซ้ำ

ผมรอจนไอ้มืดนั่นวิ่งหายเข้าไปในป่าก่อนจากนั้นจึงหันกลับไปหาไอ้ซันและเดินตรงเข้าไปใช้มือประคองหน้าของมันให้หันมาหาผมทันที “ซัน มึงเป็นยังไงมั่ง”

“กูไม่เป็นไร” ไอ้ซันจับมือของผมออก “แต่ไปจากที่นี่กันดีกว่า กูไม่อยากให้เรื่องมันยุ่งยากมากไปกว่านี้”

“แล้วเราจะทำยังไงกับไอ้สาม....... กูหมายถึง ไอ้สองคนนี่ดี”

“ช่างแม่งเหอะ ทิ้งแม่งไว้ที่นี่แหละ” ไอ้ซันถ่มน้ำลาย....... หรือถ้าพูดให้ถูกก็คือถ่มเลือดลงบนพื้นใกล้ๆกับสองคนนั่น

“ก็ได้ ถ้ามึงว่าแบบนั้น แต่กูว่าเราควรไปขอความช่วยเหลือคนที่ร้านก่อนว่ะ ไปหายาทาหรือไปล้างหน้าล้างตามึงก่อน”

“กูบอกแล้วไงว่ากูไม่เป็นอะไรหรอก เลือดมันก็หยุดไหลแล้วด้วย” มันยืนกรานเสียงแข็ง

“กูขอร้องล่ะซัน...... นะ อย่างน้อยๆก็ขอกูได้ดูแผลของมึงในที่สว่างๆด้วย และจะได้บอกคนที่ทำงานที่ร้านของพีไงว่ามันเกิดอะไรขึ้นแล้วก็ให้เค้าจัดการกันไป ส่วนหลังจากนั้นเราก็จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวอีกแล้วก็ได้ โอเคมั๊ย” ผมขอร้อง

ไอ้ซันมองหน้าของผมนิ่งๆอยู่ราวๆสามวิก่อนจะตอบออกมา “ก็ได้ แล้วแต่มึง”

เราสองคนเดินไปตามทางจนไปถึงทางออกที่ด้านหน้าของที่ทำการไปรษณีย์และธนาคาร ถึงมันเพิ่งจะเป็นเวลาสามทุ่ม แต่ลานจอดรถที่ว่างเปล่าด้านนอกนี่ก็ไม่มีลูกค้าคนอื่นเดินอยู่เลยแม้แต่คนเดียว แต่ผมรู้ว่าด้านในคาเฟทีเรีย บริเวณร้านขายของ และตรงฟรอนท์เดสค์คงต้องยังมีคนอยู่เยอะแน่ๆ ผมไม่อยากจะทำให้คนอื่นต้องตกใจโดยการพาไอ้ซันที่ปากแตกเลือดเปรอะไปทั้งหน้าและเสื้อผ้าเดินเข้าไปข้างในจึงบอกให้มันรออยู่ที่ด้านนอก แต่ไอ้ซันยืนยันที่จะเดินเข้าไปกับผมด้วยเลย และก็เป็นอย่างที่ผมคิด เมื่อเราเดินเข้าไปในบริเวณร้าน คนหลายคนก็หันมามองเรากันเป็นตาเดียว ผมเดินตรงเข้าไปหาพนักงานที่เป็นคนไทยคนที่อยู่ใกล้ที่สุดทันที

“ขอโทษทีนะครับ ผมกับเพื่อนต้องการความช่วยเหลือหน่อยน่ะครับ” ผมบอกผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังทำหน้าที่เก็บโต๊ะ และเมื่อเขาเห็นซันในสภาพแบบนั้นเขาก็ดูมีอาการตกใจมากเช่นกัน “คือ ผมสองคนเป็นแขกที่มาพักที่นี่น่ะครับ แต่เมื่อกี๊เกิดมีเรื่องตอนระหว่างทางมาที่นี่นิดหน่อย รบกวนช่วยไปตามผู้จัดการมาให้หน่อยได้มั๊ยครับ” เขาพยักหน้าโดยไม่ได้พูดอะไรจากนั้นก็ออกวิ่งไปยังหลังร้านทันที

ผมหันไปหาไอ้ซันและบอกให้มันไปล้างหน้าล้างตาที่ห้องน้ำเสียก่อน และเมื่อมันเดินจากไปผมก็นั่งลงบนโต๊ะตัวที่ใกล้ที่สุด หลังจากนั้นราวๆสองนาทีผู้ชายคนเดิมเมื่อครู่ก็เดินกลับมาพร้อมกับผู้จัดการผู้หญิงคนหนึ่ง

“มีปัญหาอะไรรึเปล่าคะ ดิชั้นแซนดร้า เป็นผู้จัดการของที่นี่ค่ะ” เธอแนะนำตัว

“ครับ คือ ผมก็ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงดีเหมือนกันนะครับ” ผมหันไปมองชายหนุ่มคนเมื่อครู่ อ่านป้ายชื่อของเขาแล้วพูดกับเขาเป็นภาษาไทยอย่างรวดเร็ว “ขอโทษนะครับ เอ่ออ ไมค์ใช่มั๊ยครับ ผมรบกวนช่วยไปดูเพื่อนผมที่อยู่ในห้องน้ำหน่อยได้มั๊ยครับ แล้วก็เอาทิชชู่ไปให้เขาใช้ซับเลือดด้วย” เขายังคงยืนมองหน้าผมงงๆอยู่ ผมจึงกำชับเขาอีกครั้ง “รบกวนหน่อยนะครับ”

“เอ่อ ครับ ได้ครับ” เขาตอบแล้วก็หันหลังวิ่งเหยาะๆตามไอ้ซันไป

“ขอบคุณมากนะครับ” ผมบอกไล่หลังเขา และหันมาคุยกับแซนดร้าอีกครั้ง ผมเล่าเรื่องราวตั้งแต่ตอนที่เราเจอกับสามคนนั้นที่ป้ายเฮอร์มิทจนมาถึงเหตุการณ์ปัจจุบันให้เธอฟังคร่าวๆ โดยเว้นรายละเอียดที่ว่าผมกับซันทำอย่างไรถึงได้หนีออกมาได้เอาไว้ และสรุปไปแค่ว่าเราสองคนป้องกันตัวเป็นก็เท่านั้น ตอนแรกเธอก็นั่งฟังด้วยสีหน้าเรียบเฉยหรืออาจจะแสดงสีหน้าแคลงใจออกมานิดหน่อยด้วยซ้ำ แต่เมื่อผมเล่าถึงตอนที่ว่าเราสองคนเป็นแขกที่มาพักที่นี่และเธอได้เห็นหน้าของไอ้ซันที่กลับมาจากห้องน้ำแล้วนั่นแหละ เธอถึงได้เริ่มมีท่าทางกังวลขึ้นมาทันที จนเมื่อผมเล่าจบและมีไอ้ซันนั่งซับเลือดอยู่ข้างๆนี้แล้ว เธอจึงลุกขึ้นยืนและหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดปุ่มโทรออกทันที

“กูไม่ได้อยากให้มันมีเรื่องใหญ่โตหรอกนะ” ไอ้ซันบอกผม

“กูก็ไม่อยาก แต่กูก็ไม่อยากให้แฟนของกูเจ็บตัวฟรีเหมือนกันด้วย มึงเข้าใจมั๊ย” ผมตอบออกไปโดยลืมไปเสียสนิทว่าไมค์ยังคงยืนฟังอยู่ตรงนี้ด้วย แต่ผมก็ไม่ได้แคร์อยู่แล้ว

“ทั้งสองคนมาพักที่นี่เหรอครับ” ไมค์ ที่ผมมารู้ทีหลังว่าจริงแล้วมีชื่อภาษาไทยว่า ‘ไม้’ ถามขึ้นขณะที่แซนดร้ายังคงคุยโทรศัพท์อยู่

“ใช่ครับ” ผมตอบกลับไปสั้นๆ จากนั้นก็พูดคุยแล้วก็ตอบคำถามของเขาอีกสองสามคำถาม จนกระทั่งแซนดร้าคุยโทรศัพท์เสร็จ

“เอาล่ะ” แซนดร้าปิดฝาโทรศัพท์ลงแล้วหันมาหาพวกเรา “ไมค์ คุณกลับไปทำงานต่อเถอะ เดี๋ยวขอชั้นจัดการเรื่องตรงนี้เอง” เธอบอกกับไมค์แล้วก็นั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับผม “ดิชั้นต้องขอโทษจริงๆกับเรื่องราวทั้งหมดนะคะ เมื่อครู่ดิชั้นบอกให้เรนเจอร์ไปตรวจสอบตรงที่เกิดเหตุดูแล้วและก็พบกับสองคนนั้นจริงๆ”

“เร็วขนาดนี้เลยเหรอครับ” ผมถามด้วยความแปลกใจ

“ค่ะ เพราะที่ทำการเรนเจอร์มันอยู่ตรงป้ายไชรน์ ออฟ ดิ เอจเจส นั่นเอง แต่เรื่องของเรื่องก็คือ เราคงจะยังทำอะไรไม่ได้นอกจากจะรอจนถึงพรุ่งนี้เช้าเสียก่อน และทางเรนเจอร์รวมทั้งผู้บริหารของแซนเทอร่าก็อยากจะพบกับพวกคุณเพื่อฟังเรื่องราวทั้งหมดด้วยน่ะค่ะ”

“ผมไม่ต้องการจะคุยเรื่องอะไรกับใครอีกทั้งนั้นแล้วครับ” ไอ้ซันพูดขึ้น “สิ่งที่เพื่อนผมคนนี้เล่าไปก็คือเหตุการณ์ทั้งหมดแล้ว และพวกเราก็ไม่อยากจะทำเรื่องอะไรให้มันวุ่นวายไปมากกว่านี้แล้วด้วย”

“แต่ว่าคุณได้รับบาดเจ็บนะคะ.......” เธอพูดด้วยน้ำเสียงกังวล

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอกครับ ก็แค่ปากแตกเท่านั้น เรามาเที่ยวกัน ผมไม่อยากจะทำให้เรื่องนี้มาทำให้พวกเราหมดสนุกหรอก”

“ผมเห็นด้วยครับ” ผมเสริม “ถ้าเพื่อนของผมไม่อยากให้มันวุ่นวายไปมากกว่านี้ ผมเองก็ไม่อยากเหมือนกัน เพราะฉะนั้นผมขอแค่ให้ทางคุณจัดการเรื่องของสามคนนั้นให้เรียบร้อยและไม่ให้มายุ่งกับพวกเราอีกก็พอแล้ว”

“แต่ว่า....... มันก็มีปัญหาอีกหลายอย่างนะคะ อย่างที่เรนเจอร์บอกกับดิชั้นเมื่อกี๊ พวกเขายังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคุณสามารถจัดการกับผู้ชายที่ตัวใหญ่กว่าคุณถึงสองคนได้ขนาดนั้น”

“เมื่อกี๊ผมไม่ได้เล่ารายละเอียด แต่ว่าผมเองก็เคยเรียนศิลปะการต่อสู้มาครับ และนอกจากนั้นพวกเขาก็ไม่ได้เข้ามาทำร้ายผมทีเดียวพร้อมๆกันทั้งสองคนด้วย แต่เรื่องราวทั้งหมดมันก็เป็นอย่างที่ว่าไปนั่นแหละครับ ไม่มีอะไรผิดเพี้ยนหรือเกินเลยไปกว่านั้นอีกแล้ว” ผมอธิบาย โดยเว้นไปว่าจริงๆแล้วคนที่เจ็บตัวมากที่สุดนั้นคือ ‘สาม’ คนนั้นต่างหาก ไม่ใช่แค่สองคนและไม่ใช่ไอ้ซัน แต่แซนดร้าก็ยังคงมีท่าทางลำบากใจอยู่ดี “เอาอย่างนี้ก็แล้วกันครับ พวกผมพักอยู่ที่ยาวาพายเวสต์นี่เอง ถ้าตอนเช้าพวกเรามีเรื่องอยากจะมาคุยเพิ่มเติมล่ะก็ พวกเราจะกลับเข้ามาที่นี่เอง แต่ถ้าพวกเราไม่ได้มาให้ข้อมูลเพิ่มเติมหรืออะไร ผมขอร้องว่าอย่ารบกวนพวกเราเลยนะครับ มันไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการเลยจริงๆ ถ้าทางแซนเทอร่าอยากให้แขกที่มาพักพึงพอใจล่ะก็ พวกเราก็ขอเพียงแค่เรื่องนี้เท่านั้น”

แซนดร้ารับข้อตกลงและก็ให้นามบัตรกับเบอร์โทรศัพท์ทั้งของออฟฟิศและเบอร์ส่วนตัวของเธอไว้ด้วย นอกจากนั้นเธอยังบอกอีกด้วยว่าพรุ่งนี้เช้าเธอไม่ได้เข้ามาทำงาน แต่เธอจะฝากเรื่องไว้กับผู้จัดการกะเช้าเอาไว้เอง เราสองคนกล่าวขอบคุณเธอแล้วก็เดินออกจากร้านไป

ระหว่างทางที่ผมกับซันเดินกลับไปยังที่พัก ไอ้ซันเดินเงียบไม่พูดอะไรเลยสักคำ และผมเองก็รู้สึกได้เลยด้วยว่ามันเองก็คงไม่อยากจะได้ยินคำพูดใดๆของผมเช่นกัน เพราะฉะนั้นผมจึงเลือกที่จะปิดปากเงียบเอาไว้ดีกว่า จนกระทั่งเรามาถึงที่ห้อง ไอ้ซันก็เดินเข้าไปทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงและหันหลังให้กับผมทันที ทีนี้ผมก็รู้แล้วว่ามันมีอะไรบางอย่างผิดปกติเกินไปจริงๆ ผมปิดประตูตามหลังแล้วก็เดินลงมานั่งบนเตียงทางด้านหลังของมัน

“ซัน เป็นอะไรไป.......” ผมวางมือลงบนบ่าของมัน และตอนนั้นเองที่ผมรู้สึกว่าบ่าของมันกำลังกระตุกเบาๆซึ่งทำให้ผมรู้สึกแปลกใจ ตกใจ และกังวลใจมากขึ้นไปอีก ผมไม่เคยเห็นไอ้ซันเป็นแบบนี้มาก่อนเลย “ซัน นี่มึงร้องไห้เหรอ”

“เปล่า ช่างเหอะ แต่กูขออยู่คนเดียวสักพักได้มั๊ย” มันตอบด้วยเสียงอันสั่นเทา

“ไม่ กูจะไม่ไปไหนทั้งนั้น ซัน กูรักมึง และกูจะไม่ทิ้งมึงเด็ดขาด โดยเฉพาะเวลาที่มึงเป็นแบบนี้ด้วยแล้ว” ผมตอบอย่างหนักแน่น “กูขอโทษที่กูเอาแต่ใจ แต่มึงจะบอกกูได้มั๊ยว่ามึงเป็นอะไร กูทำอะไรผิดรึเปล่า ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงกูก็ขอโทษ......... กูแคร์มึงมากนะซัน” ผมเขยิบเข้าไปกอดมันจากทางด้านหลัง ทันทีที่แขนของผมโอบรอบเอวของมันไอ้ซันก็ร้องไห้ออกมาทันที ผมปล่อยให้มันร้องไห้อยู่อย่างนั้นสักพักจนมันเริ่มจะควบคุมตัวเองได้ ผมจึงปล่อยตัวของมันออกแล้วเดินอ้อมไปหามันทางด้านหน้า ผมช้อนคางของมันให้เงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมและสำรวจใบหน้าของมันชัดๆ นับว่าโชคดีจริงๆที่นอกจากรอยแผลเล็กๆตรงมุมริมฝีปากด้านซ้ายของมันแล้ว ใบหน้าของมันส่วนอื่นก็ไม่ได้มีบาดแผลอย่างอื่นอีก

“กูก็แค่รู้สึกแย่กับตัวเองเท่านั้นแหละ มึงไม่ได้ทำอะไรผิดหรอก” มันพูดออกมาเบาๆแล้วใช้หลังมือเช็ดน้ำตาของตัวเอง

“ถ้างั้นทำไมมึงถึงต้องรู้สึกอย่างนั้นด้วยล่ะ บอกกูได้มั๊ย” ผมใช้นิ้วมือช่วยปาดน้ำตาที่ขอบตาของมันช้าๆและอ่อนโยน

“กู..... กูก็แค่.......” ไอ้ซันหันหน้าหนีไปทางอื่นอีกครั้ง “กูก็แค่อยากจะเป็นคนที่สามารถปกป้องและดูแลมึงได้ก็เท่านั้นเอง....... แต่วันนี้มันก็เห็นกันชัดๆแล้วว่ากูไม่สามารถจะช่วยเหลือหรือดูแลอะไรมึงได้เลย” เสียงของไอ้ซันเริ่มสั่นเครือขึ้นมาอีกครั้ง

เมื่อได้ยินดังนั้นผมจึงเริ่มเข้าใจขึ้นมาทันที ตอนแรกผมคิดว่ามันไม่พอใจผมเรื่องที่ผมไปเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ผู้จัดการหญิงคนนั้นฟังเสียอีก แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าผมเข้าใจทุกอย่างผิดหมด ผมมัวแต่คิดถึงความรู้สึกของตัวเอง มัวแต่กังวลและคิดถึงแต่จะว่าผมอยากจะเป็นฝ่ายปกป้องมัน คิดแต่ว่าผมไม่อยากให้มันได้รับบาดเจ็บ จนผมลืมคิดไปเสียสนิทว่าความรู้สึกของไอ้ซันนั้นจะเป็นอย่างไร ไอ้ซันมันก็เป็นผู้ชายคนหนึ่ง และยังเป็นลูกผู้ชายมากๆด้วย การที่มันถูกคนที่มันคิดว่ามันน่าจะเป็นฝ่ายที่คอยดูแลปกป้องนั้นช่วยเหลือเอาไว้จึงอาจจะกลายเป็นการบั่นทอนความมั่นใจของตัวเองได้อย่างรุนแรงทีเดียว

“ซัน กูเข้าใจมึงแล้ว....... แต่กูรักมึงจริงๆนี่ กูทนเห็นมึงต้องเจ็บตัวหรืออยู่ในภาวะอันตรายแบบนั้นไม่ได้หรอก กูทนอยู่เฉยๆไม่ได้จริงๆ และกูก็รู้ด้วยว่าถ้าสถานการณ์มันเกิดกลับกัน มึงก็คงต้องทำแบบกูเหมือนกันนั่นแหละ ใช่มั๊ยล่ะ”

“ก็ใช่...... กูสามารถเสี่ยงชีวิตเข้าไปเพื่อช่วยมึงได้เลยด้วยซ้ำ กูไม่อยากจะเสียมึงไปอีกแล้ว กูทนเห็นมึงต้องอยู่ในอันตรายไม่ได้หรอก กูบอกแล้วไง ว่ากูกลัวว่ากูจะต้องสูญเสียมึงไปแบบที่พีเสียคนรักของเขาไป” มันตอบพลางเช็ดน้ำตาไปด้วย

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-10-2007 11:31:18 โดย ExecutioneR »

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page

ผมขยับตัวเข้าไปสวมกอดมันอีกครั้ง คราวนี้ผมเกยคางลงบนบ่าของมันแล้วพูดออกมาเบาๆ “กูก็เหมือนกัน กูรู้ว่ามึงรักกูมาก ซัน กูเองก็รักมึงมากเหมือนกัน เพราะฉะนั้นกูถึงจะไม่ยอมทนเห็นมึงต้องอยู่ในอันตรายเด็ดขาดไง กูเองก็ยอมใช้ชีวิตของกูเข้าแลกเพื่อมึงเหมือนกัน....... กูเคยบอกแล้วไงว่ากูจะไม่มีวันยอมเสียมึงไปอีก และที่สำคัญวันนี้มึงเองก็รักษาตัวรอดออกมาได้โดยที่กูไม่ได้เข้าไปช่วยเลย ซึ่งนั่นมันมีความหมายสำหรับกูมากที่สุดแล้วรู้มั๊ย การที่มึงเอาตัวรอดออกมาได้และการที่กูได้เห็นว่ามึงปลอดภัยน่ะ......” ผมตบหลังของมันเบาๆสองสามครั้งจากนั้นก็ดันตัวออกแล้วสบตากับมัน “กูเข้าใจความรู้สึกของมึงจริงๆซัน กูรู้ว่ามึงเคยเป็นฝ่ายที่ดูแลกูมาตลอด ไม่ว่าจะเมื่อตอนที่เราเคยมีปัญหากับรุ่นพี่ที่โรงเรียน หรือตอนที่โรงเรียนเราเคยมีปัญหากับเด็กโรงเรียนอื่น มึงเองก็จะคอยก้าวออกมายืนอยู่ข้างหน้าของกูอยู่เสมอๆ มึงจะคอยปกป้องกูเอาไว้ตลอดเวลา........ แต่ว่ามึงเองก็รู้ว่ากูก็ไม่ใช่คนอ่อนแอ ใช่มั๊ยล่ะ มึงเองก็รู้ว่ากูดูแลตัวเองได้ และในขณะที่มึงก้าวออกมาอยู่ข้างหน้ากูนั้น กูเองก็กำลังช่วยปกป้องและระวังหลังให้มึงอยู่ด้วยเหมือนๆกัน”

“กูรู้...... กูรู้ว่ามึงเป็นคนเข้มแข็งและดูแลตัวเองได้....... แต่กู.........”

“แต่พอมึงเห็นกูนอนหลับยาวในสภาพที่อ่อนแอแบบสุดๆเมื่อตอนนั้น และพอมึงได้มาเจอกูอีกครั้ง มึงก็เลยรู้สึกอยากจะเป็นฝ่ายที่คอยดูแลกูเพื่อไม่ให้เสียกูไปเหมือนเมื่อครั้งนั้นอีก ใช่มั๊ยล่ะ” ไอ้ซันพยักหน้าเงียบๆและเบือนหน้าหนีไปทางอื่น ผมจึงจับหน้าของมันให้หันมาสบตากับผมอีกครั้ง “กูบอกแล้วไงว่ากูเข้าใจ กูเองก็คิดเหมือนกับมึงนั่นแหละ....... กูเคยบอกมึงแล้วว่าปีนึงที่ผ่านมากูดูแลตัวเองมาตลอด ไม่ว่าจะเล่นบาส กลับไปเล่นยูโด รื้อฟื้นเทควันโด และทำอย่างอื่นๆอีก นั่นก็เพื่อเผื่อไว้สำหรับเหตุการณ์อย่างในวันนี้ กูเองก็อยากจะเป็นฝ่ายปกป้องมึงได้เหมือนกัน ตลอดเวลามึงเป็นฝ่ายที่คอยก้าวออกมายืนอยู่ข้างหน้าของกูเสมอ และคราวนี้ก็เป็นตาของกูบ้างแล้วที่จะได้ก้าวออกมายืนปกป้องมึงบ้าง...... มึงจะไม่เคารพความปรารถนาของกูที่จะได้ดูแลและคอยปกป้องคนที่กูรักบ้างเลยรึไง ซัน มึงไม่คิดว่ากูเองก็เป็นลูกผู้ชายคนหนึ่งที่อยากจะดูและคนรักของเขาบ้างเลยรึไงวะ หรือมึงเห็นกูเป็นคนอ่อนแอขนาดที่มึงจะต้องคอยดูแลกูไปตลอด.......”

“ไม่ กูไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น......” ไอ้ซันตอบด้วยสีหน้าปวดร้าว “แต่มึงก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี..... กูน่ะ........”

“และการที่กูเป็นคนช่วยเหลือมึง ปกป้องมึง หรือการที่มึงถูกไอ้เหี้ยนั่นต่อยจนปากแตกแต่กลับเป็นกูที่เป็นฝ่ายจัดการคว่ำมันแทนมึงได้ รวมทั้งการที่มึงร้องไห้แบบนี้ด้วย ทั้งหมดนี่ไม่ได้หมายความว่ามันจะทำให้มึงเป็นผู้ชายอ่อนแอหรือมีความเป็นผู้ชายน้อยลงเลย เข้าใจมั๊ย ห้ามมึงคิดแบบนั้นเด็ดขาด”

ไอ้ซันเงยหันมามองผมด้วยสีหน้าแปลกใจนิดๆปนความอายทันที

“ก็กูบอกแล้วไงว่ากูเข้าใจมึง......... คราวนี้มึงจะตอบกูได้รึยังว่ามึงยังคงเห็นกูเป็นผู้ชายคนนึงที่สามารถดูแลตัวเองได้อยู่รึเปล่า หรือมึงคิดว่าการที่มึงคอยปกป้องกูนั่นมันทำให้กูดูกลายเป็นไอ้ตุ๊ดอย่างที่ไอ้พวกเหี้ยนั่นมันพูดจริงๆ”

“กูขอโทษ..... เมฆ กูไม่ได้ตั้งใจจะว่ามึงอย่างนั้น มึงคือลูกผู้ชายคนนึงจริงๆ และมึงก็แข็งแรง แข็งแกร่ง และดูแลตัวเองได้ด้วย”

“ขอบใจมากซัน” ผมยิ้มให้มันอย่างอ่อนโยนแล้วบีบมือของมันเบาๆ “คราวนี้มึงฟังกูนะ....... กูเป็นผู้ชาย มึงเองก็เป็นผู้ชาย เราสองคนต่างก็แข็งแรงเพียงพอที่จะดูแลตัวเองได้ด้วยกันทั้งคู่ เพียงแต่ว่าถ้าวันใดวันหนึ่งใครคนใดคนหนึ่งในพวกเราเกิดตกอยู่ในอันตราย เกิดเพลี่ยงพล้ำ หรือต้องการความช่วยเหลือ เราต่างก็จะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือซึ่งกันและกันแน่นอน ถูกมั๊ย นั่นเป็นเพราะว่าอะไร มึงรู้รึเปล่า......... สำหรับกูแล้วน่ะนะ ไม่ใช่เพราะว่ามึงเป็นแฟนของกูหรอกนะจะบอกให้..........” ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆก่อนจะพูดต่อ “แต่เพราะว่ามึงเป็นเพื่อนของกู  เป็นเพื่อนรัก เพื่อนสนิท เป็นคนใกล้ชิด เป็นคนรัก เป็นครอบครัว เป็นคนๆเดียวในใจของกูที่กูฝากชีวิตของกูเอาไว้ มึงเป็นทุกๆอย่างของกู ซัน มึงคือ ‘ชีวิต’ ของกู..........” น้ำตาของผมเริ่มไหลรินออกมาช้าๆเมื่อผมได้พูดประโยคเหล่านั้นออกไป เพราะนั่นคือสิ่งที่ผมคิดเกี่ยวกับมันจริงๆ “กูจะไม่มีวันยอมให้มึงหรือยอมเห็นมึงต้องเป็นอะไรไปเด็ดขาด เพราะฉะนั้น มึงเลิกโทษตัวเองเรื่องวันนี้ได้แล้ว เข้าใจมั๊ย วันนี้มึงอาจจะพลาด แต่ถ้าวันไหนที่กูเป็นฝ่ายพลาด กูก็รู้ว่ากูจะยังคงมีมึงคอยช่วยเหลือกูอยู่เช่นกัน ซัน”

ไอ้ซันดึงตัวของผมไปกอดแล้วก็ลูบหัวของผมช้าๆ “ขอบใจมากเมฆ กูก็รักมึงมากเหมือนกัน มากกว่าชีวิตของกูเองเสียอีก........ กูขอโทษที่วันนี้กูคิดอะไรเหี้ยๆและเผลอพูดอะไรเหี้ยๆออกไป แต่หลังจากนี้มันจะไม่มีอีกแล้ว กูสัญญา......... ถ้ากูเป็นชีวิตของมึง มึงเองก็คือชีวิตที่งดงามที่สุดเท่าที่กูเคยมีมาเช่นกัน เมฆ มึงเปลี่ยนโลกของกูและเปลี่ยนแปลงกูไป นับจากนี้ กูจะเข้มแข็งขึ้นและจะไม่ทำให้มึงต้องเสียใจแบบนี้อีก กูสัญญา”

ผมดันตัวเองออกช้าๆแล้วสบตากับมัน มันกำลังยิ้มกว้างรอผมอยู่แล้ว ผมจึงจูบลงบนริมฝีปากของมันเบาๆ

“เจ็บแผลรึเปล่า” ผมถามหลังจากที่เราถอนปากออก

“ไม่เท่าไหร่หรอก ช่างมันเถอะ” มันยกมือขึ้นมาแตะที่มุมริมฝีปากบริเวณแผลของตัวเองเบาๆ “แต่กูสงสัยจริงๆว่ามึงทำแบบนั้นได้ยังไงนะ ไอ้เมฆ กูไม่เคยรู้เลยจริงๆนะว่ามึงจะเก่งขนาดนั้น”

ผมหัวเราะเบาๆ “กูชอบวิน ดีเซลน่ะ เลยลักจำมาจากในหนัง”

ไอ้ซันดึงตัวผมเข้าไปกอดและออกแรงเหวี่ยงทำให้เราทั้งสองคนกลิ้งลงไปอยู่บนเตียงทันที “แล้วได้ลักจำวิธีหนีจากการถูกปล้ำบนเตียงมาด้วยรึเปล่าวะ ลองโชว์ให้ดูหน่อยจะได้มั๊ย” มันยิ้มกว้าง

“เรื่องนั้นไม่จำเป็นต้องเรียนรู้หรอก เพราะส่วนมากกูมักจะยินยอมอยู่แล้ว” ผมหัวเราะ

“ไม่เอา เอาจริงๆดิ่ ทำไมมึงถึงได้เก่งขนาดนั้นวะ และที่สำคัญคือ ทำไมมึงกล้าได้อย่างนั้น มึงรู้มั๊ยตอนแรกกูยังรู้สึกกลัวมึงเลย มันดูไม่เหมือนมึงแม้แต่นิดเดียวเลยว่ะ เมฆ”

ผมนิ่งไปพักหนึ่งเพราะไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดี “อย่างแรกเลยนะ กูเองก็เป็นแบบนี้มาแต่ไหนไรแล้วล่ะ เพียงแต่คนอื่นจะไม่ค่อยได้เห็นเท่านั้นเอง หรือถ้าได้เห็น มันก็มักจะเป็นกูในแบบที่นุ่มนวลหรือต่างไปจากนี้นิดหน่อยน่ะ”

“ยังไงวะ กูไม่เข้าใจ” ไอ้ซันที่คร่อมตัวผมอยู่กลิ้งลงไปนอนอยู่ข้างๆผมแล้วดึงตัวผมเข้าไปกอด

“ก็อย่างเช่น ปกติกูก็เป็นคนอารมณ์ดี ยิ้มเก่งพูดเก่งหรืออะไรก็แล้วแต่ที่พวกมึงเห็นกันใช่มั๊ยล่ะ แต่มึงจำได้มั๊ยว่าเวลาที่กูโกรธน่ะ กูเป็นยังไง....... กูหมายถึงเวลาโกรธนะ ไม่ใช่เวลาที่กูเศร้า”

ไอ้ซันทำท่านึก “อืมมมมม..... กูว่ามึงจะเงียบๆนะ ยกเว้นเวลาที่มึงระเบิดออกมาเลยเท่านั้นแหละ แต่แบบนั้นก็ยิ่งไม่ค่อยได้เห็นเข้าไปใหญ่”

“นี่ไง ขนาดมึงสนิทกับกูที่สุดมึงยังต้องคิดเลย เพราะว่ากูไม่ค่อยได้เป็นแบบนั้นไง ใช่ อย่างที่มึงพูดนั่นแหละ เวลากูโกรธกูจะเงียบๆ และนั่นก็เป็นเวลาที่กูคงดูน่ากลัวมากที่สุดนอกเหนือไปจาก....... ไม่สิ หรืออาจจะยิ่งดูน่ากลัวกว่าเวลาที่กูระเบิดอารมณ์ออกมาเลยอีกซะด้วยซ้ำมั๊ง เท่าที่มีคนบอกมานะ แต่ว่าถ้าเวลาอยู่กับเพื่อนๆแล้วกูโกรธและได้ระบายอารมณ์ออกมาล่ะก็ กูจะไม่....... อืมม....... ไม่อันตรายเท่าไหร่หรอกมั๊ง เพราะกูรู้ว่านั่นคือเพื่อนของกู กูจะไม่ทำอะไรจนเกินเลยไปนัก”

“มึงพูดเหมือนมึงมีบุคลิกด้านมืดอีกอย่างเลยนะเนี่ย”

“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก....... แต่ก็ไม่เชิง” ผมหัวเราะ “คือจะว่ายังไงดีล่ะ มึงน่ะเป็นคนอารมณ์ร้อนใจร้อนอยู่แล้ว มึงก็เลยอาจจะไม่เข้าใจตรงนี้ แต่กูจะใจเย็นกว่ามึงไง และนั่นก็เพราะ เวลาที่เราใจเย็นน่ะ มันจะทำให้เรามีสติและควบคุมสถานการณ์อะไรๆได้ดีกว่าเท่านั้นเอง....... แต่นั่นมันก็อีกเรื่องนึง ไม่เหมือนกับเวลาที่เรามีเรื่องต้องวิวาทหรือต่อสู้อย่างเช่นวันนี้หรอก”

“ยังไงๆ เล่าต่อสิวะ” มันเร่ง

“เอ่อออ...... มันก็พูดยากนิดหน่อยน่ะนะ กูน่ะไม่ชอบหาเรื่องใครก่อน แต่ถ้ามีใครมาหาเรื่องกับกูล่ะก็ กูก็อาจจะน็อตหลุดได้ง่ายๆเลย อย่างเช่นถ้าเป็นเมื่อก่อนเกิดมีใครมาหาเรื่องกูแล้วมาผลักอกกูเกินสามครั้งล่ะก็ กูจะน็อตหลุดทันที มึงจำเรื่องตอนที่เคยมีเด็กโรงเรียนอื่นมาตีกับเราได้มั๊ยล่ะ”

“จำได้ๆ....... อ๋อออ กูนึกออกแล้ว วันนั้นที่กูไม่อยู่แล้วพวกเพื่อนๆเรามันมาเล่าให้กูฟังทีหลังว่ามึงเกิดน็อตหลุดขึ้นมาใช่มั๊ย”

“ใช่ ตอนนั้นแหละที่เป็นครั้งแรกที่คนอื่นเห็นกูเป็นแบบนั้น ก็แม่งมันหาเรื่องกูก่อน กูก็อุตส่าห์บอกแล้วนะว่ากูไม่เกี่ยว กูจะไม่เข้าไปยุ่งด้วยแล้วนะ แต่แม่งก็ยังกวนตีนจนกระทั่งทำให้กูน็อตหลุด กูก็เลยเป็นเหมือนๆแบบวันนี้นี่แหละ......... ส่วนเรื่องเมื่อกี๊นี้ สิ่งที่ทำให้กูทนต่อไปไม่ไหวอีกแล้วก็คือเห็นไอ้เหี้ยมืดนั่นมาต่อยมึงไง”

“แต่กูก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่ะ บอกตรงๆนะ ตอนที่มึงลุกขึ้นไปเผชิญหน้ากับมันน่ะ กูโคตรกลัวเลย แม่งสูงกว่ามึงเกือบยี่สิบเซ็นต์ได้มั๊ง แถมหนากว่ามึงอีกสามเท่า กูกลัวว่ามึงจะเจ็บตัวยิ่งไปกว่ากูซะอีก กูกลัวว่ามันจะฆ่ามึงเลยด้วยซ้ำ พอกูจะลุกขึ้นไปช่วยมึง มึงก็ห้ามกูเอาไว้ก่อน และขอสารภาพตรงๆเลย........ ตอนที่มึงยื่นแขนออกมาห้ามกูนั่นน่ะ นั่นมันยังกับไม่ใช่มึงแน่ะ กูเลยเปลี่ยนเป็นกลัวมึงแทนกลัวไอ้เหี้ยนั่นทำร้ายมึงไปชั่วขณะนึงเลยว่ะ ถามจริงๆเหอะเมฆ มึงไม่กลัวมันมั่งเลยเหรอวะ”

ผมส่ายหน้า “ไม่เลย พูดจริงๆนะ ไม่สักนิดเลยว่ะ กูไม่ได้จะทำตัวเก่งกล้าหรืออะไรนะ แต่กูรู้สึกแบบนั้นจริงๆ กูบอกแล้วไง กูกลัวอย่างเดียวก็คือกลัวว่ามันจะเกิดเหตุการณ์รุนแรงและทำให้มึงได้รับบาดเจ็บน่ะ ซึ่งครั้งนี้กูว่าพวกเราโชคดีที่ไอ้พวกเหี้ยนั่นมันเมา ทำให้มันไม่ค่อยจะสมประกอบเท่าไหร่ แถมไอ้คนที่ล็อกคอมึงก็ดูค่อนข้างจะขี้ขลาดด้วย”

“ถ้างั้นมึงไม่กลัวว่าตัวเองจะต้องเจ็บตัวมั่งเลยรึไง”

“ไม่เลย ไม่ใช่ว่ากูมั่นใจว่าจะสู้มันได้หรอกนะ แต่....... กูรู้สึกดีว่ะ” ไอ้ซันตาโตขึ้นมาทันทีที่ได้ยินผมพูดออกไปแบบนั้น “เฮ้ย ไม่ใช่แบบนั้น คือกูหมายถึงว่า ความรู้สึกตอนที่กูมีอารมณ์แบบนั้นหรือเวลาที่ต้องอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงๆอะไรก็แล้วแต่น่ะ กูจะรู้สึกตื่นเต้นและสั่นสู้เหมือนตอนก่อนที่กูกำลังจะ ลงแข่งบาสอะไรแบบนั้นน่ะ มึงเข้าใจป่าววะ..... ความรู้สึกมันเหมือนกับ....... เหมือนกับว่ากูกำลังจะได้ลงไปสู้ลงไปแข่งอยู่บนสนาม ซึ่งแน่นอนว่าแข่งกีฬาอย่างบาสมันก็ต้องมีเจ็บตัวบ้างอยู่แล้ว และไม่สำคัญด้วยว่ากูจะแพ้หรือชนะ ไม่สิ กูไม่เคยคิดอยู่แล้วว่าถ้ากูลงไปแข่งบาสแล้วกูจะแพ้ มันสำคัญที่กูจะต้องสู้อย่างเต็มที่ต่างหาก เพราะงั้นคำตอบของคำถามของมึงที่ว่ากูกลัวการเจ็บตัวมั๊ย กูกลัวพวกมันรึเปล่า กูก็คงตอบได้เลยว่าไม่กลัว เพราะถ้าเราคิดจะลงแข่งแต่เสือกไปกลัวคู่ต่อสู้ตั้งแต่แรกแล้วมันจะไปชนะได้ยังไงล่ะวะ จริงมั๊ย”

“โห เมฆ...... นี่มึงเห็นการชกต่อยที่อาจจะถึงชีวิตเป็นเหมือนการเล่นเกมหรือเล่นกีฬาเหรอวะเนี่ย”

ผมยักไหล่ “ก็อาจจะเป็นแบบนั้นมั๊ง เพียงแต่ว่าเมื่ออยู่ในสถานการณ์แบบนี้กูจะสงบกว่าและ เอ่ออ...... โหดกว่าตอนเล่นบาสนิดหน่อย เพราะตอนเล่นบาสกูเล่นเพราะความสนุกไง แต่นี่มันมาทำร้ายแฟนกู กูก็เลยไม่สนุกไปกับมันด้วย”

“นี่ยังดีนะที่ที่มึงบอกว่ามึงไม่สนุก เพราะตอนที่มึงบอกว่ามึงรู้สึกดีกูก็ยังช็อคแทบตายไปแล้ว กูไม่อยากมีแฟนไซโคนะมึง เกิดวันไหนกูทำมึงโกรธขึ้นมากูไม่ตายเหรอวะเนี่ย”

ผมหัวเราะ “ถ้าเกิดกูเข่าใส่ไข่มึงหรือทุ่มมึงโดยการกวาดขาไปที่ตรงนั้นของมึงแบบที่กูทำกับไอ้หมูขาวนั่น แล้วกูจะมีอะไรเอาไว้ใช้งานล่ะ”

“และนั่นก็นำมาสู่คำถามอีกข้อนึง....... มึงไปเก่งขนาดนั้นได้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ ไอ้ตอนที่เห็นมึงหลบหมัดไอ้เหี้ยนั่นน่ะ กูนึกว่ามึงจะยืนเฉยๆให้มันต่อยซะแล้ว แต่นี่มึงกลับหลบได้แถมยังทุ่มมันคืนได้อีกต่างหาก”

“กูบอกแล้วไงว่า เจ็ท ลี” ผมหัวเราะ

“ค๊วยยยย เมื่อกี๊มึงเพิ่งบอกว่าวิน ดีเซล ไอ้ทะลึ่ง ถ้าถามอีกทีมึงไม่บอกว่าเป็นเดวิด คารุสโซ่ รึไง” ไอ้ซันเขกหัวผมเบาๆ

“เดวิดก็เท่ดีนะ แก่ไปหน่อย แต่ในซีเอสไอไมอามี่ที่แสดงเป็นฮอเรโช่แม่งโคตรเท่เลย” ผมหัวเราะ “สงสัยจะเป็นสัญชาติญาณนักกีฬามั๊ง ก็เหมือนๆกับมึงนั่นแหละ ตัวมึงเองยังจัดการกับไอ้ดำเล็กนั่นได้เลยไม่ใช่รึไง ทั้งๆที่โดนรัดคออยู่อย่างนั้น”

“ไม่เหมือนหรอกว่ะ ก็ของกูนั่นมันเบสิคจะตายไป ขนาดตัวของมันก็พอๆกับกู ถ้าเกิดโดนรัดคอก็ศอกใส่ท้อง ใครๆก็รู้และทำได้ และพอกูหลุดออกมาได้กูก็ระบายความแค้นใส่แม่งเลยก็แค่นั้นเอง ทำไปตามสัญชาติญาณเอาตัวรอดมากกว่าว่ะ เหมือนการวิวาททั่วๆไปนั่นแหละ แล้วก็ไม่เหมือนมึงหรอก ไอ้เมฆ นี่มึงเล่นสับลงไปบนคอไอ้เหี้ยนั่นได้อย่างหน้าตาเฉยเหมือนกับไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิดนะ แถมยังตอนที่มึงกระทืบลงบนมือไอ้คนดำที่ตัวเล็กกว่านั่นด้วย แบบว่าไม่มีโชว์ความรู้สึกเลย ไร้อารมณ์มาก โหดโคตรๆอ่ะ นึกๆแล้วกูก็เสียวคอแทนไอ้เหี้ยนั่นเหมือนกันนะเนี่ย”

ผมหัวเราะขึ้นเบาๆ และตัดสินใจว่าการที่ไม่บอกไอ้ซันไปหมดทุกอย่างนั้นคงจะดีกว่าจริงๆ ปล่อยให้มันคิดแบบนี้ไปก็น่าจะดีแล้ว เพราะว่าตอนนั้นผม “เกือบ” จะรู้สึกดีและรู้สึกสนุกไปกับการที่ได้อัดไอ้สองคนนั้นลงไปหมอบกับพื้นแล้วจริงๆไม่ใช่ว่าผมไร้อารมณ์โดยสิ้นเชิงอย่างที่ไอ้ซันบอกหรอก และอีกอย่าง ถ้าไอ้มืดเล็กนั่นยังไม่ยอมหนีไปอีกล่ะก็ ผมว่าผมคงได้เลาะฟันมันออกมาสักสามสี่ซี่จริงๆแน่ เพราะเวลาที่ผมเป็นแบบนั้นทีไร ผมเองก็ยังอดรู้สึกแปลกใจตัวเองไม่ได้เลยว่าทำไมตัวเองถึงได้ใจเย็นและสามารถทำอะไรๆลงไปได้ถึงขนาดนั้น........ แต่ทว่าคราวนี้ผมมีคำตอบให้กับตัวเองได้อย่างชัดเจนทีเดียว ซึ่งนั่นก็คือความรักและความห่วงใยที่ผมมีให้กับคนที่กำลังนอนอยู่ตรงหน้าของผมนี่ไงล่ะ เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่ผมต้องสูญเสียมันไปโดยที่ผมไม่สามารถช่วยอะไรมันได้เลยหรือได้เอาแต่ยืนมองมันได้รับอันตรายล่ะก็......... ผมคิดว่าผมคงจะโกรธตัวเองมากและไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกแน่

“ถ้างั้นจากวันนี้และวันต่อๆไป กูขอไอ้เมฆของกูกลับคืนมานะ ไม่เอาไอ้เมฆโหมดมือสังหารนั่นอีกแล้วว่ะ คืนนี้อุตส่าห์ได้อยู่กันสองคนทั้งที กูอยากนอนกอดแฟนของกูคนที่กูเคยชินมากกว่า”

“กูก็เป็นไอ้เมฆแฟนคนเดิมของมึงเสมอนั่นแหละซัน...... ความรักที่กูมีให้มึงไม่ว่าจะในตอนนี้หรือตอนไหนก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ถ้ามันจะเปลี่ยนก็มีแค่ว่ามันจะเพิ่มขึ้นทุกวันๆเท่านั้นเอง และไม่ว่าเมื่อไหร่ที่มึงต้องการให้กูอยู่กับมึง กูก็พร้อมที่จะไปหามึงได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว”

“ถ้างั้น.......” ไอ้ซันยิ้มกริ่ม “กูต้องการให้แฟนกูเข้าไปอยู่ในห้องน้ำกับกูแล้วอาบน้ำให้กูอีกล่ะ เค้าจะไปด้วยมั๊ยวะ”

ผมรีบกระโดดลุกขึ้นจากเตียงแล้วยืนตัวตรงทันที “ครับพ้ม!! ขอเมื่อไหร่ได้เมื่อนั้นเลยครับพ้ม!!”


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-10-2007 11:32:16 โดย ExecutioneR »

tonsai_2520

  • บุคคลทั่วไป


ได้จิ้มตูดน้องมันสองวันซ้อน


หมดแรงเลยตรู

ปล.  อยากกินปูม้านึ่งว่ะ


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
:try2:..............ปลอดภัยทั้งคู่ก็โล่งใจแล้ว แต่เก่งทั้งสองคนเลยนะคับ นับถือๆๆๆ

แล้วดูเหมือนยิ่งเจอเหตุการณ์ที่หนักขึ้นๆทั้งสองคนก็เข้าใจกันและรักกันมากขึ้นทุกทีเลย ดีจัง อิอิ

nartch

  • บุคคลทั่วไป
 :m1:
โล่งอกไปที....กลัวแทบตายยย จบเรื่องละได้เวลาหวานนนนนน  :m10:

ปล. คุณต้นสายมาจิ้มอีกละ....ได้แน่ ขาหื่น  :try2:

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page



ปล.  อยากกินปูม้านึ่งว่ะ



ไหนบอกเบื่ออาหารทะเล


~Brand New Beat~

  • บุคคลทั่วไป
ดีจังอ่าที่ไม่เป็นอะไรกัน  :m4:

แต่ได้ข่าวว่าเพิ่งออกแรงกันไม่ใช่หรอครับ หึหึ   :m12:

gobgab

  • บุคคลทั่วไป

...........การปกป้องดูแลแฟนตัวเองไม่ได้..........

..........มันทรมานนะ........ :sad2: :sad2:

Givesza

  • บุคคลทั่วไป
เลือดตกยางออกด้วย อึ๋ยๆๆๆ เสียว อิอิ :give2:

อาบน้ามด้วยคนๆๆๆๆๆๆๆๆ :m10: จะไปขัดห้องน้ำ แหะๆๆ :m23:

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
น่ากัวจริงๆ ดีนะที่ไม่เป็นอะไรกันมา

ของแบบนี้ สู้ไปไม่ใช่พวกมืออาชีพก็ยอมแพ้มันดีกว่า
ีดีไม่ดีตายไปหล่ะ ไม่คุ้มเอาชีวิตดีๆไปแลกกะพวกเดนสังคม

ดีนะที่เมฆเตะมีดออกไปทัน
 o21 o21 o21

น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
มีมุมมองของเฆมกะซันให้เห็นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
โล่งใจเหมือนกันนะที่ปลอดภัยทั้งคู่ เฆมเก่งนะ ไม่เสียแรงที่ไปเรียนยูโด เทควันโดมา
ได้ใช้วิชากันตอนนี้ล่ะ

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
ลุ้นแทบแย่นึกว่าจะเสียเลือด แต่ดันจะเสียน้ำ  o17 o17

graydragon

  • บุคคลทั่วไป
รอดทั้งคู่ ดีจัง นึกว่าจะมีคนเดี้ยงซะละ o17 :m19:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด