เอ๊า ใครกรี๊ด กะประโยคเด็ดเมื่อตอนที่แล้ว เร่ เข้ามาๆ
รักจัง.........ตอนที่10
กว่าจะได้รับอนุญาติให้ขึ้นจากน้ำก็ตอนที่ลูกมือป้าแม่บ้านวิ่งมาเรียกทุกคนให้ไปล้อมวงบาร์บีคิว มองลิบๆเห็นวงวอลล์เล่ย์ชายหาดกระโดดตบส่งท้ายแล้วสลายตัวไปตามกลิ่นกุ้งหอยปูปลา ส่วนผมไม่ต้องออกแรงว่ายน้ำกลับเข้าฝั่งเอง เพราะคนที่ลากคอกันออกมาทำหน้าที่เป็นทุ่นชูชีพให้ผมเกาะคอเกาะไหล่ลอยตัวเข้าฝั่งไปแบบไม่ต้องเสียพลังงาน
ลากกันมาถึงระดับน้ำยืนถึงได้ผมก็สละร่างแล้วโกยอ้าวไม่เหลียวหลัง ปล่อยคนบ้าพลังที่ลากกันออกไปถึงกลางทะเลย่ำทรายตามมาตามที่แรงหล่อยังเหลือ เข้าเขตตัวบ้านได้เห็นหลายคนเริ่มรูดกุ้งรูดหมึกออกจากไม้ทั้งที่หัวยังเต็มไปด้วยทรายก็ต้องรีบก้าวกระโดดขึ้นบ้านไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยความเร็วสูงเพื่อจะได้มาร่วมวงหมูหมึกกุ้งกับเขาบ้าง
แต่ไอ้มิคที่ไม่รู้ก้าวทันกันมาตั้งแต่เมื่อไหร่คว้าคอผมไว้ก่อนมือจะทันได้ดันประตูห้องเปิด ปากร้อนๆแนบลงมาเชื่องช้าอย่างไม่กลัวใครมาเห็น ลิ้นอุ่นชื้นยื่นมาเลียริมฝีปากกันอย่างอ้อยอิ่งจนพอใจเขาแล้วเจ้าของปากก็ระบายยิ้มทิ้งท้ายก่อนผละไปเข้าห้องตัวเอง ปล่อยผมยืนมึนกับอารมณ์เสน่หาของอีกฝ่ายค้างอยู่หน้าห้อง ต้องกระพริบตาเรียกสติสตังค์อยู่เป็นนาทีกว่าจะควานมือไม้ไปเปิดประตูห้องเข้าไปเอาน้ำราดหัวราดหางเรียกวิญญาณกลับเข้าร่างได้
อะไรหลายๆอย่างที่เกิดในตลาดและหน้าห้องทำให้ผมใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำนานกว่าใจคิด กว่าจะได้คว้าเสื้อยืดตัวใหม่มาสวมหัวลงไปร่วมกินบาร์บีคิวกับทุกคน อีกคนที่เป็นผู้ร่วมเหตุการณ์กันมาก็ยืนปิ้งหมึกปิ้งกุ้งอยู่หน้าเตา ข้างกันมีฮิโรชิยืนพลิกไม้เหมือนมืออาชีพ โดยมีตองจากเบาะหน้ากับน้องสองจากรถอีกคันคอยเสียบเนื้อเสียบสับประรดเข้าไม้คอยส่งยื่น ส่วนคนอื่นจับกลุ่มกินกันอยู่เป็นหย่อมๆไม่ใกล้ไม่ไกล
ผมเดินเข้าไปร่วมวงหน้าเตาบาร์บีคิวแล้วยกมือตบหลังคนที่หันมายิ้มทักกันด้วยใบหน้าหล่อเหลาขาวสะอาด ไอ้มิคยังคงหล่อเทพไม่มีร่องรอยว่าพึ่งดำผุดดำว่ายดำเป็นทุ่นให้ผมเกาะอยู่กลางทะเลมาเป็นชั่วโมง ผิดกับผมที่เห็นหน้าตัวเองแว็บๆในกระจกแล้วถึงกับผงะหลัง หน้าซีดปากเหี่ยวตาแดงเป็นปืด มือเปื่อยเท้าเปื่อยหมดสภาพความหล่อไปถึงไหนต่อไหน จนอดสงสัยไม่ได้ว่าหรือไอ้มิคจะมีครีมวิเศษซุกซ่อนไว้ใช้เป็นการส่วนตัว
ฮิโรชิพลิกไม้นี้วางไม้นู้นมือเป็นระวิงเหมือนตกอยู่ในโลกส่วนตัว น้องสองจากรถอีกคันที่ยังไม่ได้คุยกันแม้แต่หนึ่งประโยคสนทนาเงยหน้ามายิ้มตอบการยิ้มกราดจากผม ส่วนตองจากเบาะหน้าปรายตามาตกเหมือนเห็นหัวหลักหัวตอโผล่ขึ้นมาจากพื้นแล้วหันไปชวนไอ้มิคคุยตามเดิม แต่คนโดนชวนคุยกลับหันมาหาผมพร้อมบาร์บีคิวควันฉุยห้าหกไม้ในจานกระดาษ เสียงทุ้มๆส่งมาว่าให้ไปจัดการหาที่นั่งกินก่อนตามสบาย เล่นเอาคนมาที่หลังแต่ได้กินก่อน มาเฉยๆเหมือนมากินแรงคนอื่นอย่างผมต้องรีบกระตุกปากปฏิเสธแทบไม่ทัน
“เอาไปเถอะพี่กิม มีคนย่างให้กินอย่างนี้จะมาเล่นตัวทำไม” ตองจากเบาะหน้าส่งเสียงเจื้อยแจ้วตอบรับคำปฏิเสธของผมทันควัน
“สองกับตองเอาไปดีกว่า หน้าเตามันร้อน เดี๋ยวพี่ทำเอง”
ผมทำหูทวนลมพลางเอื้อมมือไปหยิบไม้จะมาเสียบของสด แต่โดนคนที่ยืนอยู่ก่อนตีมือดังเพี๊ยะ เสียงจากน้ำหนักมือบ่งบอกว่าตีจริงไม่ตีเล่น
“ร้อนก็ยืนมาตั้งนานแล้ว ไม่ต้องมายุ่ง” หากฟังแต่เสียงไม่มองหน้าจะคิดได้ว่าคนพูดกำลังงอนรอให้ผมง้อ เหมือนคนเป็นแฟนเขางอนกัน แต่ถ้าเห็นหน้าเห็นสายตาตองจากเบาะหน้าเหมือนที่ผมเห็นอยู่ตอนนี้บอกได้คำเดียวว่าชีต้องการประกาศความเป็นศัตรูกันอย่างเปิดเผย
ผมรีบกระทุ้งศอกเข้าเอวไอ้มิคที่กำลังจะเปิดปาก เพราะรู้ดีว่าปากสวยๆของเพื่อนจะเปิดออกมาให้สาวได้หน้าม้านจนมองหน้ากันไม่ติด แต่ก่อนที่ผมจะได้เอ่ยปากตอบโต้ด้วยตัวเอง เสียงแหบห้าวที่ยืนอยู่ตรงข้ามกันก็โพล่งออกมาแก้สถานการณ์ไว้เสียก่อน
“เอ่อ งั้นสองเอาไปนะ… พี่กิมมากินด้วยกันสิ”
น้องสองเอ่ยปากชวนผมเหมือนรู้จักมักจี่กันมาชั่วระยะเวลาหนึ่ง พร้อมมือที่ยื่นไปรับจานบาร์บีคิวจากไอ้มิค
ผมรีบสอดมือเข้าไปช่วยน้องสองที่แม้จะยังไม่ได้คุยหรือแม้แต่แนะนำตัวแต่รู้สึกถูกชะตากันขึ้นมากะทันหัน รับจานจากมือคนข้างๆแล้วตบไหล่เจ้าของจานไปเบาๆเป็นเชิงว่ากูหายหน้าไปก่อนจะเป็นการดี แล้วเดินตามสาวเจ้าของเสียงแหบห้าวไปที่โต๊ะไม้ริมรั้ว
รอบโต๊ะไม้นั่งล้อมวงกันอยู่สี่ชีวิต หนึ่งพี่ชายสอง สาวหน้าใสตัดผมม้าเต่อที่คาดว่าจะเป็นเพื่อนสนิทน้องสอง มินท์และสตีฟที่กำลังกระดกโค้กให้เกิดเสียง ส่วนมิกาเอลกับแอนนาแอบไปนั่งกินหมึกกินไก่อยู่กับเดอะร็อคที่ถึงขนาดมีจานวางไม้ของตัวเองอยู่ข้างๆ
ผมกวาดตามองแล้วยิ้มกราดไปทั่วหน้าตามประสาคนมีมิตรไมตรีก่อนวางจานลงแถวที่ว่างแล้วทำตัวเป็นสุภาพบุรุษที่นานๆจะได้งัดออกมาใช้ เดินไปยกโค้กยกแป็บซี่มาอีกสามถ้วยพลาสติกเผื่อคนที่อุตส่าห์ชวนกันมาร่วมโต๊ะ แล้วหย่อนก้นนั่งตรงที่เหลือๆซึ่งก็มีไม่มากนักพลางลงมือจัดการหมูหมึกกุ้งไก่ที่ได้รับแจกมาอย่างไม่สนใจจะเข้าร่วมวงสนทนา ปล่อยคนอื่นกินๆคุยๆกันไปโดยผมทำหน้าที่เป็นผู้ฟังที่ดีไม่มีเปิดปากนอกจากการรูดหมูออกจากไม้
กินไปได้สามสี่ไม้จิตใจค่อยสงบ ค่อยมีอารมณ์จะเปิดปากเออออห่อหมกไปตามเพื่อนร่วมโต๊ะระหว่างเหล่สายตาไปอยู่ที่อีกคนที่ยังยืนอยู่หน้าเตา คนที่ผมหันไปมองแทนหน้าเพื่อนร่วมโต๊ะระหว่างคุยกันไปเรื่อยเปื่อยยืนหันหลังมาทางนี้
ไอ้มิคที่ยืนพลิกไม้ปิ้งอยู่ที่เดิมมีสีหน้ายังไงผมไม่เห็น จะเห็นก็แต่หน้าแฉล่มของตองจากเบาะหน้าที่ส่งไม้เสียบของสดให้อีกฝ่ายระหว่างชวนคุยไม่หยุดปาก เสียงเจื้อยแจ้วที่เดี๋ยวพูดเดี๋ยวหัวเราะอยู่ฝ่ายเดียวดังจนได้ยินมาถึงนี่
ถึงจะไม่เห็นว่าไอ้มิคมีสีหน้าแบบไหน หัวเราะไปกับการชวนคุยที่แสนจะออกรสออกชาตินั่นหรือไม่แต่แค่เห็นอาการสาวที่มีต่อแฟนเราแล้วมันก็ให้รู้สึกคันยิบๆในหัวใจ ถ้าเป็นสาวอื่นอาการคันอาจไม่เข้าขั้นกลากเกลื้อนไม่ตะกุยเกาไม่หายขนาดนี้ แต่เนื่องจากเป็นสาวที่ประกาศความเป็นศัตรูหัวใจกันอย่างออกนอกหน้า หัวใจผมเลยคันยิบๆจนถ้าไม่หาอะไรมาแถถูไถคงจะทนไม่ได้
ผมรูดหมึกชิ้นสุดท้ายออกจากไม้ เคี้ยวหมึกที่รูดออกมาแรงเกินความจำเป็นจนรู้สึกปวดกรามหนึบๆ ก่อนลุกออกจากโต๊ะพร้อมจานเปล่ากับโค้กในมือ เดินดุ่มๆเข้าไปหาคนที่ยืนหันหลังให้กันจากสองตาที่เห็น ตองจากเบาะหน้าเหมือนจะชะงักจังหวะการคุยทันทีที่เหลือบมาเห็นผมแต่ยังแกล้งทำเหมือนเห็นหัวหลักหัวตอผุดขึ้นมาจากพื้น ส่งไม้เสียบพริกหยวกพร้อมยิ้มหวานๆให้อีกคนที่ยืนอยู่ตรงข้ามเหมือนไม่เห็นใคร
ผมเดินเข้าไปซ้อนหลังร่างสูงใหญ่ในเสื้อกล้ามโชว์แขน วางจานเปล่าลงบนขอบกระบะใส่ของสดแล้วเอื้อมมือไปเกี่ยวเอวคนข้างหน้าไว้หลวมๆในลักษณะอาการประมาณเพื่อนสนิท ส่งยิ้มยิงฟันให้หนึ่งสาวหน้าเตาที่เงยมามองกันตาแทบถลน
“อ่ะ เอาน้ำมาให้”
ผมบอกพลางยกโค้กในมือขึ้นให้ถึงปากคนที่หันมา เลื่อนแขนไปพาดไหล่แล้วเกี่ยวนิ้วขึ้นเช็ดเหงื่อข้างแก้มอีกฝ่ายเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ ทั้งที่ความจริงแอบเสียวสันหลังอยู่ว่าป้าเขาแม่เขาจะเหล่มาเห็นอาการไอ้กิมลวนลามลูกชายหัวแก้วหัวแหวนหรือไม่
คนที่ผมจ่อโค้กให้ถึงปากก็ช่างเล่นตามบท ไหลตามน้ำถึงขั้นน่าจับแจกตุ๊กตาทอง ไอ้มิคจิบโค้กไปอึกใหญ่แล้วซบทั้งหน้าลงมาบนไหล่ผมเป็นการเช็ดเหงื่อก่อนเงยขึ้นมาบอกขอบอกขอบใจกันเหมือนทั้งลานบ้านนี้มีเพียงเราสอง หัวดำหัวหงอกกลายเป็นหัวหลักหัวตอยิ่งกว่าหัวผมในสายตาตองจากเบาะหน้า เล่นเอาผมเองที่ต้องเป็นฝ่ายร้อนตัว มือไม้กระตุกออกจากไหล่แน่นๆแล้วขยับห่างออกมาเล็กน้อย ยอมรับว่าใจยังไม่ด้านพอ
“มา เดี๋ยวกูทำเอง มึงไปนั่งกินดิ เปลี่ยนกัน”
ผมกระตุกปากบอกไปไม่ค่อยเต็มเสียง หลุดบทแบบหลุดลุ่ยเพราะความร้อนบนหนังหน้า ที่ท่าจะไม่ได้เกิดจากไฟจากเตาปิ้งย่าง
“ดีเลย” คนที่ยังถลึงตามองผมอยู่ไม่เลิกลาร้องออกมาเสียงใสผิดกับหน้าที่เริ่มเบี้ยว แล้วหันไปทางไอ้มิคเต็มตัว “ไปกินกันมั่งดีกว่าค่ะ ตองหิวแล้ว”
“ไปกินเลย”
ไอ้มิคไม่แม้แต่จะเงยหน้ามองสาว เสียงทุ้มเรียบเฉยเหมือนไม่เห็นว่าที่คนชวนแขวนท้องไม่ยอมไปไหนจนถึงป่านนี้ก็เพื่อรอตัวเอง
คนโดนบอกปัดถึงกับชะงักกับคำปฏิเสธแต่ยังมีไอคิวอีคิวพอที่ไม่ต่อความยาวสาวความยืด คาดว่าคงได้ยินได้ฟังอะไรเกี่ยวกับความขี้รำคาญของพระเอกในดวงใจมาจากเพื่อนอยู่ไม่น้อย ตองจากเบาะหน้าหันมาเขวี้ยงค้อนให้ผมวงเบ่อเริ่มก่อนตบเท้าย่ำทรายห่างไปพร้อมบาร์บีคิวเต็มจาน ตามไปด้วยฮิโรชิที่เหมือนพึ่งหลุดออกจากโลกส่วนตัว
หน้าเตาบาร์บีคิวเหลือแค่ผมกับไอ้มิคที่เริ่มลำเลียงหมูหมึกกุ้งเสียบไม้ย่างลงจากเตามาใส่จานกระดาษ แล้วอยู่ๆคนที่หยิบสับปะรดย่างไม้สุดท้ายออกจากเตาก็หันมาขอโค้กกินอีกคำ ผมส่งถ้วยโค้กให้ไปบริการตัวเองแล้วหันไปหาข้าวของที่จะต้องยก แต่คนที่ยืนอยู่ติดกันกลับเฉย หน้าหล่อเหลาระบายยิ้มระหว่างพยักเพยิดมาที่ถ้วยพลาสติกแล้วยกสองมือของตัวเองที่ถือจานบาร์บีคิวอยู่เต็มให้ดู ใช้ภาษากายบ่งบอกเป็นนัยว่าต้องการบริการโค้กจ่อถึงปากอีกครั้ง
ผมยกถ้วยในมือขึ้นแทบเสยคางอีกฝ่ายด้วยความหมั่นไส้ ไอ้มิคถึงกับผงะก่อนเปิดหัวเราะแล้วก้มลงจิบน้ำแบบถ่วงเวลา ชั่วแว็บหนึ่ง ชั่วขณะที่ตาสีอ่อนจางเงยขึ้นมาสบกับตาผม เพียงไม่กี่วินาทีที่รอยยิ้มในดวงตาสีอ่อนเปิดเผยให้ได้เห็น เป็นชั่วขณะที่ทำให้ผมรู้สึกว่าหัวใจกระตุกอย่างรุนแรง หัวใจกระตุกก่อนตกดิ่งทิ้งตัวหายไปจนหาไม่เจอ
ไม่รู้ว่าผีฟ้าห่าทะเลหรืออะไรดลใจทำให้ความรู้สึกมันเกิด ผมดึงมือกลับมาข้างตัวขณะมองตามแผ่นหลังสูงใหญ่ที่เดินนำออกไป ต้องสั่นหัวแรงๆหลายครั้งให้ความว่างเปล่าที่จู่โจมเข้ามาอย่างรวดเร็วและรุนแรงกระเด็นหายไปจากความคิด ความว่างเปล่าวูบโหวงกับภาพความเฉยชาไม่แยแส
สิ่งที่ไม่อยู่ในความสนใจมีความหมายเทียบเท่าอากาศธาตุในสายตาอีกคู่ เหมือนตองจากเบาะหน้า เหมือนผู้หญิงอีกนับสิบนับร้อยที่โดนตาคมๆคู่นี้มองผ่านเหมือนไม่มีตัวตน ตาคมๆคู่เดียวกันกับที่สะท้อนภาพผมซ้อนออกมากับรอยยิ้ม วันนี้ยังสนใจ ยังมองเห็นกัน แล้วถ้าวันที่เจ้าของสายตามองผ่านผมไปเหมือนหมดความสนใจมาถึง มันจะเป็นยังไง
“เฮ้”
เสียงทักข้างตัวเล่นเอาผมสะดุ้งออกจากโลกส่วนตัวที่เริ่มจะอึมครึม ปากกระตุกทักตอบไปก่อนจะได้กวาดตามองว่าคนทักเป็นใคร
“คืนนี้จะมากางเต็นท์นอนรับลมจริงรึเปล่า” คนถามยื่นมือมาพลิกไม้บนเตา ก่อนต่อเหมือนชวนคุย “ตั้งแต่มายังไม่ได้รู้จักกันเลย เราหนึ่งพี่ชายไอ้สอง”
“… กิมครับ” ผมตอบออกไปโดยอัตโนมัติมากกว่าจะผ่านการประมวลความคิด แล้วก็ได้เห็นอาการเลิกคิ้วจากอีกฝ่าย
“โห สุภาพว่ะ ผมนึกว่าคนกันเอง” คนตรงข้ามผมบอกหน้านิ่งพลางหยิบบาร์บีคิวลงจาน
“ผมมันคนขี้อาย คุยกับใครครั้งแรกต้องสุภาพนำไปก่อน” ผมทำเสียงขรึม “ดูเชิง”
“…………” คนที่นึกว่าโดนดูเชิงถึงกับอึ้งไป
“เฮ้ย ล้อเล่น… ที่จริงเราเคยเห็นนายแล้วที่มหาลัย” ผมว่าพร้อมรอดูปฏิกริยาจากอีกฝ่าย ไม่แน่ใจจนไม่กล้าต่อประโยค
“เราก็ว่าหน้านายดูคุ้นๆ” หนึ่งมองผมตกเป็นนาทีก่อนต่อ “แต่นึกไม่ออกว่าเห็นมากจากไหน”
เป็นคำตอบที่ทำให้หายใจโล่งขึ้นได้อีกหลายระดับ สรุปว่าอีกฝ่ายจำไม่ได้ว่าเคยโดนไอ้กิมเอ่ยปากชวนมาเป็นหวานใจอะไรทำนองนั้น
“จากโรงช้างมั้ง เราเป็นเพื่อนไอ้โอ้” ผมตอบให้พลางย้ำความมั่นใจ “เห็นนายบ่อยๆตอนเล่นบาส”
“เหรอ” หนึ่งยกมือเกาแก้ม “โรงช้างคนเยอะ ยังอุตส่าห์มาคุ้นหน้ากันได้… เอาไว้ถ้ามีแพลนขึ้นภูจะมาชวน จะได้ไปนอนกลางดินกินกลางทรายให้สบายใจ มีกิมไปด้วยคงหายห่วง”
ผมหัวเราะรับคำที่อีกฝ่ายเหมามาจากเมื่อเย็นก่อนตั้งข้อสังเกต “นายดูไม่เหมือนคนชอบเที่ยวป่าเที่ยวเขา”
“ไม่ได้ชอบมากไปกว่าเที่ยวเมือง แต่นานๆทีก็ดี” เสียงเข้มว่ามายิ้มๆ “เปลี่ยนบรรยากาศ”
ผมคุยกับอีกคนที่กลายมาเป็นเพื่อนใหม่อีกสองสามประโยคก่อนหันกลับมาเจอร่างสูงใหญ่ของไอ้มิคยืนอยู่ข้างหลัง ไม่ห่างแต่ก็ไม่ได้ขยับเข้ามาใกล้อย่างที่ควรเป็นทำให้ไม่รู้ว่าหยุดยืนอยู่นานเท่าไหร่ ชั่วแว็บที่เหลือบมาเห็นว่าใครลุกมายืนคุมอยู่ข้างหลังเล่นเอาต้องสูดอากาศเข้าปอดให้เต็มกำลังใจสำหรับการแจกแจงบทสนทนา
ผมหันกลับไปเต็มตัว คาดไว้ว่าต้องเจออาการหรี่ตามองกับใบหน้าบึ้งตึงอาจถึงขั้นเหี้ยมเตรียมข่มขู่ แต่เปล่าเลย คนที่รอให้ผมหันไปหากลับพยายามคลายปมคิ้วก่อนหลุบตาหนีกันไป ร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่ไม่ห่างแต่ก็ไม่ได้ขยับเข้ามาใกล้หยุดนิ่งอยู่ที่เดิมก่อนเป็นฝ่ายหมุนตัวเดินจากไปโดยไม่ได้เหลือบแลกลับมาที่ผมแม้แต่น้อย
ปฏิกริยาจากไอ้มิคเป็นอะไรที่ผมไม่เคยคิดว่าจะเจอ เรียกว่าแปลกประหลาดจนได้แต่ยืนมึนเหมือนรากงอกลงไปในทราย ปล่อยให้อีกฝ่ายเดินหายไปกับชายหาดที่ฟ้าเริ่มโรยตัวจนต้องเพ่งตามอง เป็นครู่กว่าสมองจะสั่งให้ก้าวตามแผ่นหลังที่กลายเป็นจุดเล็กๆในสายตา
ผมสาวเท้ายาวจนเกือบเป็นวิ่งตามคนที่เดินเรียบไปตามริมหาด รู้ว่าควรส่งเสียงเรียกแต่ปากกลับง้างไม่ออกจนขัดใจ สุดท้ายพอย่นระยะให้ตามได้โดยไม่ต้องวิ่งก็เปลี่ยนเป็นเดินเรียบหาดตามหลังอีกฝ่ายไปเงียบๆ เสียงคลื่นกระทบฝั่งกับเสียงย่ำเท้าของคนที่เดินอยู่ข้างหน้าทอดเป็นจังหวะกลางแสงสลัว ภาพที่ไอ้มิคหลุบตาหนีเหมือนตัดความสนใจ เหมือนไม่ต้องการมองเห็นกันแทรกตัวมาตามเสียงคลื่นถี่กระชั้นจนผมหมดความอดทน ต้องตะโกนส่งเสียงตัวเองแทรกเข้าไปในบรรยากาศ
“เมื่อยแล้ว จะเดินไปถึงไหนกันหา” ผมทำเสียงเข้มข่มอารมณ์ตัวเอง
“หิวด้วย ป่านนี้บาร์บีคิวคงเหลือแต่ไม้เสียบ โค้กคงเหลือแต่ขวด” ส่งเสียงให้ดังเข้าไปอีก
“… ทำเป็นเมินคิดว่าเท่ห์หรือไง ไม่เท่ห์เลย ห้ามเมินกันนะโว้ย” แต่คนข้างหน้าผมก็ยังเดินไปเรื่อยๆเหมือนไม่ได้ยินเสียงแหกปากโวยวาย
“… บอกว่าอย่าเมินกันไง! หันมาเดี๋ยวนี้เลยนะไอ้มิค”
ผมโพล่งออกไปเต็มเสียงพร้อมหยุดเดิน และเหมือนว่าคนที่ทำหูทวนลมมาเป็นนานจะจับบางอย่างในน้ำเสียงของผมได้ ไอ้มิคชะงักเท้าแต่ยังไม่ยอมหันกลับมา
“โกรธอะไรก็พูดมา หันหลังเดินดุ่มๆอย่างนี้กูจะรู้ไหม”
ผมตะโกนถามโดยไม่ได้ย่นระยะห่าง แผ่นหลังที่ยังนิ่งเฉยเหมือนจะส่งความหมายให้รอการตัดสินใจ
เสียงคลื่นซัดเข้าฝั่งผ่านไปครั้งแล้วครั้งเล่ากว่าอีกฝ่ายจะยอมหันมา ไอ้มิคหมุนตัวกลับสองมือซุกอยู่ในกระเป๋ากางเกง เสี้ยวหน้าที่เห็นได้จากแสงจันทร์ยังติดจะเครียดขึงแต่ดวงตาที่ยังหลุบต่ำ ไม่ยอมมองตรงมาทำให้เดาอารมณ์ไม่ได้
“… หึง ใช่ไหมเล่า” ผมทำใจกล้าหน้าด้านเปิดปากกระตุ้นอีกฝ่าย พยายามหาทางหย่อนความตึงของบรรยากาศ “แต่มุขหึงแล้วเดินหนีไม่เหมาะกับมึงเลย น่ารักไปหน่อยเปล่า”
ไอ้มิคไม่ยอมรับมุขหรือต่อคำ ยังคงหลุบตามองพื้นเหมือนใต้ตีนมีอะไรน่าสนใจกว่าหน้าผม จนใจจะเปิดปากเริ่มอะไรใหม่เพราะบรรยากาศรอบตัวคนที่ยืนนิ่งยังขมวดปมไม่ยอมผ่อน แต่เป็นปมที่ผมไม่แน่ใจว่าขมวดอยู่กับอะไร เพราะอีกฝ่ายไม่เคยเป็นแบบนี้ ไอ้มิคที่ผมรู้จักไม่เคยหวงแล้วถอย ไม่เคยเก็บอาการกับการแสดงความรู้สึก
ผมสูดลมหายใจเข้าปอดที่รู้สึกหดฟีบแล้วก้าวเข้าไปหาอีกคนที่อยู่ไกลออกไปหลายเมตร หลายเมตรที่ห่างที่สุดตั้งแต่รู้จักกันมา หลายเมตรที่กลายเป็นระยะห่าง ที่ไม่เคยมีระหว่างผมกับอีกฝ่าย
“… ไม่อยากมองหน้ากู ขนาดนั้นเลย”
ผมหยุดเท้าตรงหน้าไอ้มิคด้วยความใกล้ที่แทบจะเหยียบหัวแม่ตีนแล้วถามคำถามที่คาใจจนรู้สึกหน่วงในอก เอาหน้าที่อีกฝ่ายไม่อยากมองเสือกเข้าไปแทบโหม่งปลายคาง
“แล้วมองได้รึเปล่า” ร่างสูงใหญ่ที่โดนผมรุกรานยืดแผ่นหลัง สวนคำถามมาแทนคำตอบ
“กูมีสิทธิ์จะมองรึเปล่า”
“…………”
“ยิ้มแบบนั้น” สายตาที่ทิ้งเข้ามาในตาผมไม่ได้มีแววประชดหรือข่มขู่คุกคาม แต่กลับเต็มไปด้วยคำถามเหมือนประโยคที่พูดออกมา
“มีไว้ให้กูมองหรือไง”
“… พูดอะไรของมึง กูก็แค่คุย”
ผมคว้ามือไอ้มิคมากระชับข้างตัว รู้สึกได้ว่าสิ่งที่อยู่ในใจอีกฝ่ายไม่ใช่แค่ความหวง ไม่ตื้นแค่ความหึงเหมือนที่เคยเป็นมา
“คุยไปตามเรื่อง ไม่ใช่ตามใจ” ไอ้มิคไม่ดึงมือหนีแต่ก็ไม่ตอบรับสัมผัส
“… กูก็อยากจะเชื่อ” ปลายนิ้วขาวสะอาดบนมือที่ไม่ได้อยู่ในกำมือผมยกขึ้นเคาะขมับ “ในนี้ มันบอกให้เชื่อ แต่ตรงนี้ ที่นี่ It’s fucking hurt” ฝ่ามือหนาเลื่อนมาหยุดอยู่ตรงตำแหน่งหัวใจตัวเอง
“… แล้วจะให้กูทำยังไง ต้องทำยังไงมึงถึงจะเชื่อว่ากูไม่ได้คิดอะไรกับหนึ่งมันแล้ว” ผมยังกำอีกมือที่ใหญ่กว่าไว้ชิดติดตัว แม้ว่าเจ้าของมือจะไม่มีแก่ใจ
“ต้องให้กูหลบหน้า ทำหยิ่งไม่พูดไม่คุยกันไปเลยใช่ไหม”
ภาพเก่าที่ไม่ต้องย้อนกลับไปให้นานผุดขึ้นในหัว ภาพความขุ่นมัวจนออกปากไล่อีกฝ่ายหลังกวาดกองเสื้อผ้าพร้อมมาม่าออกจากห้องไอ้อ่ำ วันนั้นผมหงุดหงิดถึงขั้นเสียศูนย์เพราะได้รู้ว่าอีกฝ่ายไม่เชื่อใจกัน มาวันนี้เรื่องเดิมเหมือนจะย้อนกลับมาใหม่ แต่ไอ้มิคที่เดินหนีกันมา ไอ้มิคที่พยายามคลายปมคิ้วระหว่างยืนหลบหลัง อะไรบางอย่างที่คนตรงหน้าพยายามเก็บซ่อนทำให้ผมยังคงดึงอารมณ์ของตัวเองไม่ให้กลายเป็นอย่างวันวาน
“ถ้าทำให้มึงสบายใจ กูจะไม่คุยกับหนึ่งอีก”
ผมบอกเสียงอ่อน ยอมเป็นฝ่ายเอนไปในอารมณ์ของอีกฝ่าย แต่คนฟังกลับมีสีหน้าเหมือนโดนเตะเจาะยางจนตั้งหลักไม่อยู่ ปมคิ้วกดลึกยิ่งกว่าเดิม
“กูนี่มันน่าสมเพช” ไอ้มิคที่แม้ไม่ได้ดึงมือหนี ไม่ได้ก้าวถอยเพิ่มระยะแต่ใบหน้าหล่อจัดกลับบิดเบี้ยวจนเกือบเหยเก “ต้องให้กิมฝืนใจ… แล้วมันจะนานเท่าไหร่กัน”
“ถ้าหมายถึงเรื่องเลิกคุยกั…”
“อีกนานเท่าไหร่ที่มึงจะยังอยู่ตรงนี้” ไอ้มิคขัดขึ้นก่อนผมจะได้จบประโยค น้ำเสียงทุ้มต่ำฟังแหบแห้ง
“ที่ใจของกิมจะยังอยู่กับกู”
คำถามสั้นๆเปรียบได้กับลิ่มที่ทิ่มมากลางใจ จากความหึงหวงกับคนเพียงหนึ่งคนเหมือนจะเปลี่ยนเป็นความไม่แน่ใจ ลามไปเป็นความไม่มั่นคงในความสัมพันธ์ ทั้งที่วันนี้อีกฝ่ายพึ่งบอกกับผมว่าใจที่ได้ไปจะไม่มีวันเปลี่ยน ไม่มีวันคืน ใบหน้าหล่อเหลาที่ทำให้ตาผมพร่าพรายพึ่งเอ่ยคำมั่นว่าระหว่างเราจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
แล้วทำไมกัน แค่ไม่กี่ชั่วโมงถัดมาทำไมความเคลือบแคลงสงสัยถึงได้หลุดออกมาให้ได้ยิน ทั้งๆที่ผมเองยัดปิดปาก กดความไม่มั่นใจว่าจะเจ็บในวันไหนให้ลึกลงไปจนมองไม่เห็น ทั้งที่ผมแคร์คนตรงหน้าจนไม่อยากเอ่ยถาม ไม่มีวันถามให้คนฟังไม่สบายใจ
“… อาจจะนานกว่ามึงก็ได้ อาจนานจนเลยวันที่มึงอยากได้”
ผมตอบออกไปด้วยเสียงที่ยังคงพยายามให้อ่อน ทั้งที่ในใจมันปั่นป่วนจนอยากตีอกชกหัว อยากตะโกนถามออกไปว่าถามมาได้ยังไงกัน
“อย่าพูดอย่างนี้” ไอ้มิคขัดเสียงเข้ม “อย่าพูด โดยที่ไม่รู้อะไร”
“… ก็แล้วกูต้องรู้อะไรล่ะ! กูไม่รู้หรอกว่าใจมึงคิดยังไงถึงกล้าถามออกมาทั้งที่ไม่กี่ชั่วโมงก่อน มึงพึ่งพูดเองว่าใจกูใจมึงจะไม่มีเปลี่ยนไม่มีคืน มึงเองไม่ใช่หรือที่บอกว่าเราจะมั่นคงไปถึงไหนๆ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง” ผมโพล่งออกไปอย่างยั้งไม่อยู่ รู้สึกได้ว่าหัวคิ้วตัวเองขมวดเป็นปมยิ่งกว่าอีกคนที่มองมา
“ถ้ามึงจะหงุดหงิดไม่พอใจเรื่องหนึ่งกูไม่ว่า แต่อย่าเอาเรื่องขี้เล็บอย่างนั้นมาคิดให้ทุกอย่างมันเขว อย่าทำให้สิ่งที่พึ่งเริ่มต้องล้มเพียงเพราะความระแวง ได้ไหมไอ้มิค”
แต่คนตรงหน้าผมกลับเข็งขืน
“มึงไม่เข้าใจ กิม ไม่เข้าใจเลย… ทุกอย่างจากนี้จะไม่มีวันเปลี่ยน เพราะกูจะไม่มีวันยอมให้เปลี่ยน ตอนได้ยินมึงบอกว่าคิดไม่ต่างกัน ใจกูเต้นเหมือนจะหลุดออกมาจากอก เต้นแรงกว่าทุกครั้งตั้งแต่เกิดมาแล้วก็คงไม่มีวันไหนที่มันจะทำงานหนักไปกว่านี้”
“แต่ไม่ใช่ แค่ไม่กี่นาทีก่อนกูก็รู้ว่าหัวใจที่เต้นแรงอยู่ในอกเมื่อบ่ายมันเทียบไม่ได้เลยกับตอนนี้ ตอนที่มึงคุยกับไอ้หนึ่ง มึงยิ้ม มองตรงไปข้างหน้า ดูมีความสุขจนกูกลัว”
ไอ้มิคผ่อนลมหายใจหนัก “กับคนอื่นกูไม่สนใจ แต่กับไอ้หนึ่ง มึงถึงขนาดเมาเป็นหมาเพราะมันมาแล้ว…” สายตาที่มองเข้ามาในตาผมเต็มไปด้วยอารมณ์เดียวกับที่หลุดมาเป็นคำพูด
“กูไม่ได้ระแวง แต่กูกลัว… กลัวจับใจ”
“………….”
“… ไม่ใช่มึงคนเดียว ตั้งแต่ต้นมาแล้ว กูต่างหากที่กลัววันที่มึงจะเปลี่ยนใจ” ผมบอกด้วยอารมณ์ที่ไหววูบอย่างประหลาด
“พอกันเลยว่ะ ถือว่าหายกันได้ไหม”
“………….”
“ถ้ามึงถึงขั้นกลัวเหมือนที่กูกลัวแสดงว่ารักจริง งั้นต่อไปกูจะเลิกกลัวแล้วเอาเวลามาทุ่มทำเสน่ห์ มึงจะได้ไปไหนไม่รอด” ผมก้าวถอยเพิ่มระยะห่าง ปล่อยมืออีกฝ่ายที่จับอยู่นาน
“ส่วนกูยังไงก็ไปไหนไม่รอดอยู่แล้ว แค่มึงเดินดุ่มๆหนีมากูยังแทบน้ำตาเล็ด มึงยังจะต้องกลัวอะไรอีก”
ไอ้มิคตอบรับคำสารภาพซ้ำสองของผมด้วยการเป็นฝ่ายขยับย่นระยะ สองมือที่นิ่งเฉยมาตั้งแต่ต้นยื่นมาคว้าคอกันเข้าไปหา แม้ปมคิ้วยังขมวดไม่คลายแต่ความหวั่นไหวในดวงตาที่จ้องตรงมาผ่อนลงจนรู้สึกได้
“… คนที่ไปไหนไม่รอดจริงๆน่ะยืนอยู่ตรงนี้ แค่กิมมองไปทางอื่น ยิ้มให้คนอื่น กูก็ทำอะไรไม่ถูกแล้ว” คนที่คว้าคอผมไว้กดหน้าผากเข้ามาจนรับรู้ความอุ่นของลมหายใจ
“เราไม่หายกัน ยังไงก็ไม่… So please look only at me. Think only of me.”
ความดื้อดึงในน้ำเสียงที่ได้ยินอยู่ชิดติดลมหายใจทำให้ผมหุบปากแล้วยกแขนขึ้นกอดคนตรงหน้าแทนคำพูด ใช้สองแขนโอบอีกฝ่ายไว้ชิดติดตัวแทนคำตอบ แล้วพยักหน้าแรงๆโขกหน้าผากไอ้มิค ตอบรับคำร้องขอที่ยังคงได้ยินย้ำอยู่ข้างหู คำขอที่ไม่จำเป็นเลย เพราะไม่ว่าเมื่อไหร่ ที่ไหน สองตาผมก็มองไม่เห็นใครอื่นอีกแล้ว
โปรดติดตามตอนต่อไป
=========================================================================
มิค คิดมากอ่ะ สงสารจัง แต่พอกิมปลอบก็นะ อิอิ ช่วยเมนต์หน่อยนะจ๊ะ อีก 7 ตอนก็จบแล้วนะ