ใจเย็นจ๊า...เนทหลุดอ่ะ
รักจัง.........ตอนที่12
สองทุ่มสิบห้า บนพื้นปูนเย็นเฉียบ ณ ลานวัดประจำตำบลดอนดอกประดู่ บรรยากาศแสนจะเงียบเชียบชวนสยิว ความมืดถูกส่องผ่านด้วยแสงจากดวงจันทร์และไฟจากกระบอกไฟฉายไม่กี่กระบอก นับเวลาได้สองอาทิตย์ถัดจากหัวหินอินเตอร์ หัวหินที่แม้ไม่ใช่เสม็ดแต่ก็เกือบเสร็จจนได้
“เรื่องมันมีอยู่ว่า ผู้หญิงต่างจังหวัดคนหนึ่งเข้ามาทำงานในกรุงเทพ พอช่วงปีใหม่ได้หยุดก็คิดจะกลับไปเยี่ยมบ้าน แต่บ้านมันอยู่ลึกเข้าไปในสวนยาง หรือสวนอะไรสักอย่างนี่แหละกูก็จำไม่ค่อยได้ จำได้แต่ว่าแม่งไกลโคตรๆ จะกลับทีต้องโทรให้คนที่บ้านออกมารับปากทาง”
ไอ้จั๋วเริ่มเรื่องด้วยน้ำเสียงเนิบๆ กะใช้ความสงบสยบเคลื่อนไหวสร้างความสยึมกึ๋ยให้กับความเงียบในบรรยากาศ บลิ้วอารมณ์คนฟังที่ล้อมวงอยู่ร่วมสิบห้าชีวิต
“แต่พอถึงวันกลับเจ๊เสือกตกรถ กลายเป็นว่ากว่าจะไปถึงก็มืดค่ำ เลยเวลาที่บอกคนที่บ้านไปแล้วหลายชั่วโมง”
“เลยไม่มีใครรอ?” ไอ้โยมขัดขึ้นมากลางป้องพร้อมเสียงเคี้ยวฮานามิกรุบกรอบแบบไม่เกรงใจบรรยากาศ
“มึงจะมาเล่าเองเลยไหมไอ้โยม ขัดกูมากี่รอบแล้ว” ไอ้จั๋วทำหน้าเซ็งเหมือนหมดอารมณ์เล่าขึ้นมาทันใด พลางยกโค้กผสมสไปร์ทขึ้นดื่มอั่กๆ
“ก็มึงเล่าช้า กูก็ช่วย แม่งมัวแต่เกริ่นแล้วเมื่อไหร่จะได้เจอวะ ผีมึงน่ะ” ไอ้โยมแสดงเจตนารมย์
“ไอ้ห่า กูเล่าเรื่องผี ไม่ได้ร้องเพลงแร็ฟ จะให้เร็วจนลุกขึ้นขยับตีนเลยหรือยังไง แล้วก็แดกเบาๆหน่อยเสียเรื่องกูหมด” ไอ้จั๋วหันไปด่าแบบขัดใจเล็กน้อยก่อนต่อ
“ตอนนั้นเกือบห้าทุ่ม ต่อรถสองแถวเข้ามาถึงปากทางเข้าบ้านแล้วก็ไม่รู้จะเอายังไงเพราะไม่เห็นใคร สมัยนั้นมือถือยังไม่เกลื่อน อย่างดีก็เพจเจอร์ เลยติดต่อคนที่บ้านไม่ได้”
เล่าประหนึ่งว่าอยู่ร่วมในเหตุการณ์ พาคนฟังพยักหน้ากันหงึกหงัก ขนาดไอ้เดย์ว่าปวดฉี่ยังไม่ยอมลุกไปไหน
“เหลียวซ้ายก็ป่า แลขวาก็สวนยาง มืดก็มืด มองทางยังแทบไม่เห็น แม่งก็เลยตัดสินใจจะเดินตัดป่าเข้าบ้าน แต่แล้วเสือกเหลือบไปเห็นเงาตะคุ่มๆจากหางตา!” ไอ้จั๋วหยุดนิ่ง ใช้เพียงสายตากวาดไปรอบวง วินาทีระทึกใจว่านี่ผีมึงจะโผล่มาแล้วใช่ไหม!
“ผู้หญิงก็ตกใจ ตะโกนถามไปว่านั่นใคร… ใครน่ะ!?” เอี้ยจั๋วเล่าไม่เล่าเปล่า เสือกตะโกนประกอบแอ็กติ้งให้ได้กรี๊ดรับกันไปรอบวง แล้วตามด้วยเสียงด่าเอี๊ยจั๋วกันงึมงำ
“ไม่มีเสียงตอบ… มีแต่เงาตะคุ่มที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เงาตะคุ่มดำมืดที่ก้าวออกมาจากสวนยาง” หยุดเว้นจังหวะให้คนฟังได้หายใจเข้า
“ปรากฏว่าเป็นคนรู้จักที่อยู่บ้านใกล้ๆกัน”
“ไอ้เวร! กูนึกว่าผีมึงออกแน่แล้วนะหนนี้”
ไอ้โยมอินจัดถึงขนาดปาถุงฮานามิทิ้งไม่ไยดี หลายคนหายใจออกแบบมีเสียงให้รู้ว่าพวกกูก็คาดหวัง แต่ไอ้จั๋วทำหูทวนลม เล่าต่อไปด้วยสีหน้าระทึกอย่างที่เป็นมาตั้งแต่เปิดเรื่อง
“กลายเป็นว่าหน้าที่เห็นลางๆมาเลือนๆกลายเป็นพี่ชายข้างบ้านที่รู้จักกันดี ผู้หญิงก็ถามว่าพี่มายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้มืดๆ ผู้ชายก็ตอบว่ามารอ ได้ข่าวว่าจะกลับมาวันนี้ก็เลยมารอ ผู้หญิงก็โล่งอกที่มีเพื่อนเพราะทางเข้าบ้านแม่งก็มืดสาด แล้วก็เลยเริ่มเดินเลาะป่าเข้าหมู่บ้านกัน”
“ระหว่างทางผู้หญิงก็ชวนคุยตามประสาคนเคยสนิท แต่ผู้ชายมันกลับไม่ค่อยคุย ถามคำตอบคำ ถามหลายคำก็ยังตอบคำเดียว เหมือนไม่อยากคุยด้วย แล้วผู้หญิงก็สังเกตเห็นว่าผู้ชายมันเดินกระเพลก ขาขวาติดจะลากไปกับพื้น แขนก็ห้อยเอียงมาข้าง หนำซ้ำเสื้อผ้าหน้าผมก็ออกจะยับยู่ ทีนี้ก็ฉุกใจขึ้นว่าตอนโทรมาจากท่ารถเมื่อเย็นไม่มีใครอยู่บ้านนี่หว่า แล้วไอ้นี่มันไปได้ข่าวมาจากไหนว่ากูจะกลับวันนี้”
โห เรื่องมันไม่ธรรมดา มันมีปมซ้อนซ่อนเงื่อนให้คิดตาม
“ผู้หญิงแม่งก็เริ่มกลัว แต่ไม่กล้าถาม ถึงจะคนเคยรู้จักแต่รู้หน้าใช่จะรู้ใจ แถมซ้ายก็ป่าขวาก็ป่า ก็เลยได้แต่ทำใจดีสู้เสือเดินไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายถึงบ้านค่อยโล่งอก แต่ในบ้านกลับไม่มีใครอยู่ซักคน บ้านร้าง เงียบเชียบ ไอ้คนที่เดินมาด้วยกันก็เงียบสาด ผู้หญิงเลยรีบเดินเข้าบ้าน หันไปบอกขอบอกขอบใจแล้วปิดประตู ผู้ชายมันก็ยืนนิ่งรอให้ผู้หญิงเดินขึ้นบ้านไป”
“จนวันรุ่งขึ้น คนที่บ้านกลับมาก็ตกใจที่เห็นผู้หญิง ถามว่าเดินเข้าบ้านมาได้ยังไงคนเดียวมืดๆค่ำๆ ช่วงนี้มันมีพวกติดยาคอยดักปล้นดักฉุดผู้หญิงไปข่มขืนซุ่มอยู่ตามป่า ผู้หญิงก็ตอบว่าพอดีมีพี่คนนี้ๆเดินมาเป็นเพื่อน เท่านั้น แม่งเงียบกันไปทั้งบ้าน” รวมทั้งไอ้คนเล่า
“บอกว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะไอ้คนนี้ที่ผู้หญิงบอกมันโดนพวกติดยารุมกระทืบตายไปตั้งแต่หลายวันก่อน สภาพศพเอน็จอนาจขาหักแขนเบี้ยว ศพถูกหมกทิ้งไว้ในรกในพงแถวๆที่ผู้หญิงลงสองแถวมาเมื่อคืนนั่นล่ะ” ไอ้จั๋วจบการเล่าด้วยการยกโค้กผสมขึ้นจิบแบบทิ้งทวนบรรยากาศ
“ที่ไม่มีใครอยู่บ้านเมื่อคืน เพราะเขาไปงานเผาศพไอ้นี่กัน”
“โห ผีมึง แมนจริง! สุภาพบุรุษโคตร” ไอ้อ่อนที่นั่งอยู่ข้างไอ้บีออกความเห็นหลังจากนั่งฟังไม่ปริปากมานาน
“กูก็นึกว่า แม่ง ผู้หญิงคนนี้เสร็จแหง หัวโกร๋นแน่ๆ นี่ นี่เลย มาฟังเรื่องกูมั่ง เรื่องมันมีอยู่ว่า…”
ไอ้อ่อนดึงความสนใจจากประชากรรอบวงไปที่ตัวเอง แล้วเริ่มการเล่าเรื่องผีด้วยหน้าตาจริงจัง ผมที่นั่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากมันเลยต้องรีบหมุนคลื่นตามดีเจอ่อน กำลังเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงัดกับความมืดของลานวัด ก็ต้องสะดุ้งแทบแหกปากหอนกับเสียงทุ้มๆที่กระซิบมาข้างหู
“อินอะไรขนาดนั้น เดี๋ยวคืนนี้ก็นอนไม่หลับ”
เจ้าของเสียงนั่งซ้อนลงมาข้างหลังผม แล้วดึงให้เอนพิงอกแน่นๆโดยไม่สนใจสายตาไอ้จั๋วที่เหล่มาจากพื้นที่ข้างๆ ดีที่คนอื่นๆยังหมกมุ่นอยู่กับเรื่องผีของไอ้อ่อน
“มิกาเอลจะกลับพรุ่งนี้” ไอ้มิครายงานผลการคุยโทรศัพท์ที่ลุกไปรับระหว่างเริ่มวงเล่าเรื่องผี
“เลยไม่ได้ไปส่ง”
ผมว่าพลางทิ้งน้ำหลัก เอนเต็มหลังใส่อกแน่นๆที่รองรับ เห็นไอ้จั๋วส่ายหน้าว่าข้าล่ะหน่ายกับพวกเอ็งสองคนก่อนหันกลับไปร่วมฟังเรื่องเล่าระทึกขวัญ
ผมนั่งพิงอกอุ่นๆของไอ้มิคพลางฟังเพื่อนผลัดเปลี่ยนจากผู้ฟังเป็นผู้เล่าเรื่องผีๆไปคนแล้วคนเล่า ปล่อยให้คนที่นั่งซ้อนหลังลูบหัวลูบหางไปตามใจ ไม่ได้แคร์กับสายตาใครที่หันมาเจออาการสนิทชิดเชื้อถึงขั้นน่าสงสัยระหว่างผมกับเดือนวดึงส์คณะ คาดว่าแทบจะทุกคนที่นั่งล้อมวงกันอยู่กลางลานวัดตอนนี้ก็คงจะชินตาชินใจไปแล้วกับความถึงเนื้อถึงตัวระหว่างผมกับไอ้มิค
จะไม่ให้ชินได้ยังไง ในเมื่อเดือนวดึงส์คณะเล่นจับผมคลุกวงในแบบไม่เคยแคร์สายตาใครอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ยิ่งหลังเหตุการณ์หัวหินอินเตอร์ หัวหินที่แม้ไม่ใช่เสม็ดแต่ก็เกือบเสร็จเสียสาว ไอ้มิคยิ่งออกอาการว่าพี่นี้ตีตราจอง ประกาศด้วยการกระทำใช่คำพูด ให้รู้ไปถ้วนทั่วว่าผมเป็นเด็กในคอลโทล
วันนี้มาออกค่ายอาสา สร้างโรงเรียนให้น้องถึงดอนดอกประดู่ ไกลจากกรุงเทพหลายร้อยกิโลกับเพื่อนร่วมค่ายเกือบสี่สิบชีวิต ทั้งรุ่นเดียวกัน รุ่นน้อง รุ่นพี่ บ้างคุ้นหน้าบ้างไม่เคยเห็น ไม่ได้มีเพียงวงเพื่อนอย่างเคยๆ แต่คนที่ตกเป็นเป้าสายตาตั้งแต่รถทัวร์ยังไม่ได้เคลื่อนขบวนก็ทำตัวตามสบาย ดูแลเทคแคร์ไอ้กิมเข้าขั้นจะยกขึ้นทูนไว้บนหัวแบบไม่แคร์สายตาใคร
ผมที่แทบจะเดินตีนไม่ติดพื้นเพราะโดนอุ้มสมเลยต้องไหลตามน้ำตามหัวใจ เลิกเล่นตัวแล้วหันมาตอบรับความเอาใจใส่ให้เขาไปในระดับทัดเทียม ไม่รู้ว่าดีหรือชั่วรู้แต่ว่าวันนี้โดนสาวๆเหล่มาแล้วไม่ต่ำกว่าสิบห้าคน
ผมรีบฉุดสติออกจากภวังค์แล้วคีบนิ้วหนีบต้นขาไอ้มิคที่ทำมึน ซุกหน้าเข้าคอมาประหนึ่งอยู่ในที่ลับกันสองต่อสอง บิดเนื้อแน่นๆไปจั๋งหนับจนเจ้าของขาออกอาการโอดโอยแบบโอเว่อร์แอ็กติ้งตามสไตล์ ส่งเสียงซูดปากแต่กลับยังฝังหน้าอยู่ที่เดิม
“อูย เจ็บครับ เจ็บ” ไอ้มิคโอดเสียงเบา ก่อนเงยหน้ามาทำตาปิ้งปั้งเรียกความสงสาร
“ใครใช้ให้มาทะลึ่งแถวนี้หา” ผมกระซิบด่าลอดไรฟัน กระพริบตาถี่ๆหนีตาปิ้งๆที่ส่งมา “ไม่อายคนก็อายผีอายพระซะบ้าง อยู่ในวัดนะมึง”
“งั้นไปนอนกันดีกว่า คิดถึงกิมจัง”
คนที่หนีบติดเป็นปาท่องโก๋อยู่กับผมตั้งแต่เช้าว่ามาอย่างนั้น แล้วทำท่าเหมือนจะอุ้มสมกันจริงจังจนต้องแยกเขี้ยวขู่ให้รู้ว่ากูไม่ยอม
“แค็กๆ! แค็ก!” ไอ้จั๋วที่คงทนไม่ไหวกับความหน้าไม่อายของไอ้มิค ไอเสียงดังเหมือนจะบอกให้รู้ว่าพวกกูก็อยู่แถวนี้ “ไอ้เดย์มึงตบหลังให้กูหน่อย แม่ง ขนลุกเหี้ยๆ”
“มากูช่วย”
ไอ้มิควาดขาถีบหลังไอ้จั๋วตามคำขอก่อนไอ้เดย์จะได้รับมุข เจ้าของหลังหันมาเจริญพรพอเป็นพิธีก่อนกระถดก้นหนีไปแทบทับไอ้โยม
แล้ววงทดสอบความกล้าด้วยการเล่าเรื่องผีๆกลางลานวัดอย่างไม่กริ่งเกรงสุภาษิตไทยที่ว่า เข้าป่าอย่าพูดถึงเสือ เข้าวัดอย่าพูดถึงผี ก็ดำเนินต่อไปอีกชั่วโมงกว่าๆ จนได้ยินเสียงหมาหอนรับกันมาแต่ไกลวงถึงได้แตก แตกฮือเหมือนแมงวันตอนขี้โดนไม้เขี่ย แยกย้ายกันไวปานวอกไปเต้นท์ใครเต้นท์มัน เต้นท์สำหรับสามคนนอนก็อัดเข้าไปเป็นห้าเพราะเสียงหมาหอน
ผมมุดหัวเข้าเต้นท์ที่ทำตำหนิไว้ตั้งแต่บ่าย ตามไอ้บีกับไอ้อ่อนไปติดๆโดยลากไอ้มิคที่ดันทำตัวเป็นฝรั่งผิดสถานการณ์ ไม่สนเสียงหมาเห่าหมาหอนตามเข้ามาแบบถูลู่ถูกัง จำได้ว่าเต้นท์นี้ตกลงไว้สามคนนอนแต่ไอ้จั๋วไอ้โยมที่โดนเสียงโก่งคอหอนไล่ กลับวิ่งหัวซุนตามเข้ามาสมทบให้สี่กลายเป็นหก ไอ้โยมที่ก้นแทบจะโด่งออกจากผ้าใบ รูดซิบปิดเต้นท์ด้วยความว่องแล้วล้มตัวลงนอนอยู่แถวปลายตีนเพื่อนฝูง ด้วยอาการนอนนิ่งยิ่งกว่าศพ ประกาศจุดยืนชัดเจนว่าจะไม่ยอมโดนเตะโด่งออกไปนอนเต้นท์อื่นเป็นอันขาด
ไอ้มิคที่ยังแมนไม่เลิกลาและเหมือนจะมีอากาศไม่พอหายใจในเต้นท์สามเหลี่ยมของหกเรา คว้ามือผมที่กำลังเล็งช่องว่างระหว่างผองเพื่อนพอให้เป็นที่ซุกหัวนอนของค่ำคืน มืออุ่นๆกระตุกเบาๆเป็นเชิงชักชวนก่อนเอื้อมอีกมือไปแหวกผ้าใบชั้นใน เหมือนเห็นภาพสโลโมชั่น เต้นท์จะโดนรูดซิบเปิดโดยมีเสียงหมาวัดหมาบ้านโก่งคอหอนให้โหยหวนรับกันเป็นช่วงๆ เคล้าเสียงลมพัดหวีดหวิวแถมให้ยิ่งเร้าใจ
เงาร่างไอ้มิคจากไฟฉายหนึ่งกระบอกช่างถมึงทึงดูกล้าหาญให้สมกับรูปร่างหน้าตาและบทพระเอก แต่ผมที่โดนกระตุกมือชวนขอยอมรับว่าปอดแหกถึงขั้นหมอส่ายหน้าไม่รับเย็บ ชิงทิ้งตัวลงนอนระหว่างไอ้อ่อนไอ้จั๋วแล้วกระตุกมือบอกเจตจำนงค์กับคนกล้า คืนนี้ไม่เหมือนคืนไหน นอนแออัดยัดเยียดกันไว้อย่างนี้จะเป็นการดี
ไอ้มิคที่หันกลับมาตามแรงกระตุกคงเห็นตาขาวผมที่ขยายใหญ่กว่าตาดำ บอกเจตจำนงค์ชัดแจ้งว่าคืนนี้มึงต้องยอมตามกู ทิ้งตัวนอนเบียดไอ้อ่อนหรือไอ้จั๋วมาซะโดยดี เพราะไอ้กิมจะไม่ยอมก้าวขาออกนอกเต้นท์ก่อนฟ้าสางเป็นอันขาด
เงาถมึงถึงเพราะแสงไฟฉายส่ายหน้าให้รู้ว่าข้าหน่ายก่อนทิ้งตัวทับลงมาไม่ยั้งน้ำหนักเหมือนจะช่วยไล่อาการขี้ขลาดให้หลุดออกไปพร้อมอากาศในปอด ก่อนตวัดตัวเปลี่ยนตำแหน่งม้วนผมขึ้นมาเกยอยู่บนตัวอุ่นๆเป็นการประหยัดพื้นที่ใช้สอย
เห็นหวานใจยอมทิ้งความแมนพร้อมความสะดวกสบายกับการแผ่ตัวนอนในเต้นท์ใหม่ ต้องมานอนเหยียดเป็นซุง ติดกันเป็นแผง กระดิกตัวแทบไม่ได้เพราะเห็นแก่ปอดแหกๆของไอ้กิม ผมควานมือไปเลื่อนปุ่มปิดไฟฉาย เหล่ตาเลิ่กหลั่กเห็นว่าอีกสี่คนในเต้นท์ปิดลูกกะตาหนีเสียงหมาหอนไปถึงไหนๆ เลยเหย่งตัวขึ้นจุ๊บอีกฝ่ายในความมืด ตบรางวัลให้พระเอกยอดนิยม คนโดนจุ๊บเหมือนโดนไฟช็อตเกิดอาการชักกะตุก มือไม้ป่ายปะมาให้วุ่น ต้องคีบนิ้วหนีบเนื้อไปหลายทีกว่าอาการชักกะตุกจะทุเลา ได้ปิดตาหลับพร้อมเสียงโซปราโน่ที่ยังหอนรับกันไม่รู้เลิก
--------------------------