รักจัง....ตอนที่4.2
ไอ้มิคถอนหายใจแรงเหมือนอึดอัดขัดข้องแต่ทั้งมือทั้งแขนที่กวาดผมเข้าไปไว้กับตัวกลับยังล็อคไว้อย่างแน่นหนา เป็นอาการประหลาดที่ทำให้ผมที่โดนล็อคอยู่ตั้งแต่ต้นคอถึงแก้มก้นเกิดอาการประหลาดตามไปด้วย ประหลาดประแล่มเพราะดันรู้สึกว่าความกระชับรอบตัวมันผ่อนคลาย ไม่รู้สึกอึดอัด ไม่อยากหาทางหนี เป็นความรู้สึกที่หนักแน่นเสียจนต้องตวัดมืออีกข้างขึ้นกอดคออีกฝ่ายไว้เช่นกัน
ทันทีที่โดนคว้าคอ ไอ้มิคสะดุ้งเหมือนโดนไฟช็อตแล้วเบนหน้ามาทำมุมอยู่แถวหูผมก่อนพึมพำอะไรบางอย่างที่จับใจความได้ว่า ‘อย่าทำอย่างนี้ อย่าทำอีก’ สองประโยคสั้นๆที่ทำเอาชะงัก สองประโยคที่ฟังมาแล้วตีความไม่ออกจนต้องถามกลับด้วยเสียงพึมพำงึมงำไม่ผิดกัน
คำตอบที่ได้คือสายตาเข้มๆที่ดึงให้ต้องเงยขึ้นไปหา สายตาคมกับคิ้วขมวดมุ่นและริมฝีปากร้อนระอุที่แนบลงมาอีกครั้ง ผิดแต่ครั้งนี้เจ้าของปากไม่ได้ฉกวูบหรือทำอาการเอาปากมากระแทกแบบรวดเร็วว่องไวเหมือนเมื่อแรกเริ่ม ไอ้มิคมองตาผมนิ่งตั้งแต่ตอนโน้มหน้าลงมาและแม้ว่าตอนนี้ลิ้นร้อนๆของมันกำลังกวาดเข้ามาในปากผมอย่างไม่เร่งร้อน ตาสีน้ำตาลอ่อนจางก็ยังจ้องมาไม่ลดละ
เป็นผมที่ต้องกระพริบตาถี่แล้วหลับตาปี๋เพราะความปั่นป่วนที่มวนอยู่ในท้องน้อยกำลังฟุ้งกระจาย ผมหลับตาหนีเพราะคิดว่าสาเหตุที่ทำให้รู้สึกเหมือนมีผีเสื้อบินอยู่ในท้องคือตาคมๆที่จ้องเหมือนจะให้ทะลุไปถึงไหนๆ แต่การปิดตาไม่มองยิ่งทำให้ความรู้สึกมันแปลกจนต้องแอ่นตัวเข้าหาอีกคนที่ยืนอยู่ชิดติดกันเหมือนว่ายิ่งชิดยิ่งสนิทเท่าไหร่ก็ยิ่งไม่เพียงพอ
ไอ้มิคที่โดนผมตะกายคว้าตอบสนองด้วยการครางเสียงต่ำแล้วกวัดลิ้นเกี่ยวจนได้ลิ้นผมเข้าไปในปากพร้อมกับความเหนียวลื่น ก่อนกระชากเสื้อที่ใส่อยู่เหวี่ยงลงพื้นแล้วสอดแขนเข้ามาใต้รักแร้ รั้งให้ผมเกยขึ้นไปอยู่บนตัว ต้นขาในยีนส์สีซีดสอดเข้ามาหว่างกลางพร้อมกับคว้าขาข้างหนึ่งของผมเข้าไปเกี่ยวบั้นเอว
ไม่ต้องลืมตามองก็รู้ว่าท่าทางของเราสองตอนนี้มันล่อแหลมล่อเป้า เตรียมจะได้เสียแทงเสียกันขนาดไหน แต่สติผมที่ตะเหลิดเปิดเปิงไปแล้วไม่สั่งให้ทำอะไรเลยนอกจากทำตัวว่าง่าย เกี่ยวขาเข้าเอวอีกฝ่ายแล้วขยับถูไถเอาความคับแน่นเบียดบี้เข้าไปกับความแข็งขืนที่แม้ว่าจะมียีนส์เนื้อหนาขวางกั้นก็ยังรู้ได้ถึงความเต็มแน่น
ผมกำลังมีอารมณ์ อารมณ์ที่พีคยิ่งกว่าตอนดูฝรั่งกับสาวในจอทีวี อารมณ์ที่เกิดจากการกวัดรัดเกี่ยวอยู่กับผู้ชายที่เรียกได้ว่าเพื่อนสนิท กับไอ้มิคที่ทำให้ความเป็นเหตุเป็นผลมันจางหาย ทำให้ความผิดชอบชั่วดีเลือนลาง ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นเรื่องที่ไม่อยู่ในความสนใจเพียงเพราะลิ้นร้อนชื้นที่ดูดดึงไม่ปล่อย ปากร้อนผ่าวที่ไม่เคยละไปไหนและมือร้อนเป็นไฟที่ไล่เฟ้นตั้งแต่แนวกรามลงมาตามข้อกระดูก ทุกสัมผัสทุกความรู้สึกที่ทำให้ผมแน่ใจว่าเพื่อนสนิทคนนี้ก็กำลังตกอยู่ในอารมณ์ไม่ต่างกัน
ไอ้มิคเด้งเอวใส่ผมตอบรับทุกจังหวะเสียดสี มือหนาที่คลำหนักๆไปทั่วร่างตอนนี้เลื่อนมาหยุดอยู่ที่ขอบกางเกงลิงพร้อมการคลึงเคล้า บีบแล้วคลายคลายแล้วบีบอยู่แถวนั้นเหมือนเป็นการลดความเครียดทางอารมณ์ที่พร้อมปะทุเป็นประทัดอยู่ทุกนาที ส่วนผมบอกได้คำเดียวว่าอารมณ์มันเด้งถึงยอด นำหน้าจังหวะชะลอไปถึงไหนต่อไหนจนกลับกลายเป็นฝ่ายไล่ตามปี้โป้ในปากอีกฝ่ายซะเองโดยไม่รู้ตัว
อาการหน้ามืดเพราะอารมณ์ดำกฤษณาขึ้นหน้ามันคงเป็นอย่างนี้ ใช่ มันต้องเป็นอย่างนี้แน่ๆ เพราะไม่งั้นคนอย่างไอ้กิมที่ไม่เคยมีความคิดจะชวนเพื่อนมาเล่นจ้ำจี้จ้ำไชกันให้เป็นจ้ำๆ คงไม่ถึงกับเอาปากตบปากไอ้มิคแล้วกระชากปีโป้อุณหภูมิสูงของฝ่ายตรงข้ามเข้ามาในปากตัวเองชนิดไม่สนใจน้ำลายที่ย้อยออกมาหยดยืดอยู่ปลายคาง
ผมหลับหูหลับตาจดจ่ออยู่กับลิ้นร้อนๆที่แม้ว่าจะตวัดเกี่ยวกันอยู่ก็ยังสามารถกวาดจากกระพุ้งแก้มไปถึงเพดานเหงือก เรียกความเสียวให้พุ่งสูงได้ไม่ยากเย็น ความเสียวซ่านที่อัดอยู่เต็มปากมาพร้อมความคันในหัวใจ คันยิบๆว่าทำไมคู่กรณีผมมันถึงได้ใช้ปากใช้ลิ้นได้ขั้นเทพปานนี้ มันไปฝึกไปซ้อมกับใครหน้าไหนมานักหรือ แล้วตอนที่มันฝึกมันซ้อมอยู่นั้นมันจะรู้สึกเหมือนยืนอยู่บนสวรรค์ชั้นฟ้าเหมือนกับผมตอนนี้ไหมวะ
อาการคันทำให้ผมเริ่มป่ายมือไปมาบนตัวอีกฝ่ายหวังกระชากเรตติ้ง ป่ายลงไปปัดลงมาพรืดเดียวถึงซิปกางเกงยีนส์แล้วรูดด้วยแรงไม่มากไม่น้อยแต่เล่นเอาเจ้าของกางเกงหลุดครางเสียงต่ำ ได้ยินมาหนึ่งเสียงครางมือไม้มันเลยสั่น ตบวูบเข้าไปกลางซิบอ้าๆแล้วต้องสะดุ้งเนื่องจากขนาดและความแข็งที่ปะทะนั้นเกินบรรยาย
ความใหญ่โตแข็งแน่นที่จับอยู่กับมือทำให้อารมณ์อยากกระชากเรตติ้งหายวับไปกับหัว ผมรู้สึกเหมือนว่าของที่อยู่ในมือมีแรงดึงดูดมหาศาล ทั้งดึงทั้งดูดให้ต้องกดไว้มั่นๆแล้วสูดหายใจเข้ามาสุดปอดสุดหลอดลมก่อนขยับนวดท่อนลำที่กำเกือบไม่มิด แต่ทันทีที่มือผมเริ่มคลึงคู่กรณีมันกลับทำสิ่งไม่คาดคิดจนต้องสละอาการเคลิ้มแล้วเหลือกตาขึ้นมอง
มือไอ้มิคกดมาที่ลูกกระเดือกผมในจังหวะเดียวกับปากที่ดึงออกไปอย่างเร็วจนเกิดเสียง และมือผมบนไส้อั่วยักษ์ก็ถูกยึดไว้แน่นหนา แรงกดที่ลำคอบอกให้รู้ว่าคนกดต้องการให้หยุดทุกกิจกรรมที่ทำอยู่ แรงตะปบที่ข้อมือทำให้รู้สึกเหมือนว่าสวรรค์ชั้นฟ้าที่เหยียบอยู่ถล่มครืนเดียว ไม่เหลือแม้แต่ซาก
หน้าหล่อๆที่ผมกระตุกตาดำขึ้นมองยังคงกดปิดจนเปลือกตายับย่น คิ้วเข้มขมวดมุ่นยิ่งกว่าเหตุการณ์ก่อนหน้า ไอ้มิคที่ดึงปากหนีแต่หน้าผากยังโขกติดอยู่กับผมมีสีหน้ายุ่งเหยิงที่แทบจะเรียกได้ว่าเหยเก สีหน้าที่ผมไม่เคยได้เห็นมาก่อน
ไอ้มิคหลับตาแน่น หอบหายใจจนกล้ามอกกระเพื่อมอยู่ชั่วครู่ก่อนลืมตามามองกันด้วยสีหน้าที่ทำให้ผมต้องนิ่งสนิท นิ่งไปทั้งตัวได้โดยไม่ต้องมีมือบนคอบนแขน สายตาเข้มขุ่นเหมือนเจ็บปวดกับสีหน้าบูดเบี้ยวส่งตรงมาพร้อมอาการหอบเหนื่อยที่ทำเอาผมชะงักจนลืมแม้กระทั่งจะหอบหายใจ แล้วคนที่จ้องกันเหมือนโดนผมกระทำย่ำยี ทำให้เจ็บปวดจนหนักหนาก็พูดประโยคที่ยังไม่อาจตีความได้ออกมาด้วยเสียงแหบต่ำไม่คุ้นหู ประโยคที่ว่า ‘หยุดทำแบบนี้กับกู หยุดซะที’
ไอ้มิคจ้องผมไม่กระพริบพร้อมเพิ่มแรงกดย้ำที่ช่วงคอเหมือนเป็นการย้ำความเข้าใจ แต่ผมที่หาคำแปลยังไงก็ไม่เจอได้แต่ยืนนิ่งด้วยคิ้วที่เริ่มขมวด ‘มึงจะเอายังไงกับกูไอ้มิค จะให้กูหยุดอะไร? อย่าทำอะไร? ทำไมไม่บอกมาชัดๆ’ คำถามที่เกิดขึ้นในใจ แต่ปากที่กระตุกตอบออกไปกลายเป็นคนละอย่าง ผมจ้องตาที่อยู่ใกล้จนขนตาละเส้นแล้วตอบมันไปง่ายๆว่า ‘ได้ กูจะไม่ทำอีก’ ทำเรื่องอะไรยังไงไม่รู้แต่ถ้ามึงจะเลิกทำหน้าอย่างนี้กูตอบให้ได้
แต่คำตอบเออออห่อหมกของผมกลับทำให้อีกฝ่ายเม้มปากจนขึ้นเส้น ตาขุ่นเข้มที่จ้องมากลับส่งแววเจ็บปวดยิ่งกว่า ไอ้มิคส่ายหน้าแรงเหมือนไม่ยอมรับในคำตอบ มือหนาบนคอผมละไปเหมือนโดนของแสลงพร้อมกับความร้อนจากตัวอีกฝ่ายที่จางหาย ไอ้มิคถอยห่างจากผมไปหลายก้าว
“มึงเห็นกูเป็นอะไร” คำถามที่เหมือนไม่ต้องการคำตอบ เพราะเสียงขื่นๆที่ส่งตามมา
“เพราะกูอยู่กับมึงตรงนี้ กูที่สองตามีแต่มึง ตามติดเหมือนหมาตามเจ้าของ… แล้วเจ้าของมันก็ไม่เคยเห็นแม้แต่หัว”
คำถามคำตัดพ้อของไอ้มิคยิ่งทำเอาผมจับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่รู้ว่ามันเรื่องอะไร ผมทำอะไรไปตอนไหน ไอ้คนที่ยังดีๆกันอยู่ตอนบอกลากันในห้องเปลี่ยนเสื้อเมื่อบ่ายถึงได้กลายเป็นแบบนี้
“กูไม่รู้ว่ามึงพูดเรื่องอะไร” จนใจจนได้แต่เอ่ยปากถาม
“อยู่ดีๆเป็นอะไรไปไอ้มิค”
“ก็เป็นกูที่พึ่งรู้ไงว่าตัวเองมันน่ารำคาญ พึ่งรู้ว่าถึงจะทุ่มให้ไปแค่ไหนมันก็ไม่เคยมีค่า ไม่ว่ายังไงมึงก็ไม่เคยมองมาที่กู” เสียงไอ้มิคแหบและพร่าจนผมรู้สึกว่าลำคอตัวเองเริ่มตีบตัน
“กู… มองมึงอยู่”
“… มองที่กูแล้วเห็นเป็นใคร” ไอ้มิคเงียบไปอึดใจเหมือนว่าสิ่งที่กำลังจะออกจากปาก ต้องรีดเร้นเค้นออกมา
“ตอนที่มึงมีอารมณ์ ที่คว้ากูเข้าไปหา มึงเห็นกูเป็นใครกันไอ้กิม”
“…………”
คำถามที่ไม่เคยคิดว่าจะได้ยินทำให้ผมยืนนิ่งเบิ่งตามองคนถามด้วยความไม่เชื่อ เป็นครู่กว่าจะควานหาเสียงตัวเองเจอ
“กู… จะเห็นมึงเป็นใคร…” กูต้องเห็นมึงเป็นใครหรือไง
“มึงไม่สนใจ มึงรำคาญ กูทนได้ แต่หยุดมองผ่านกูเป็นคนอื่นเสียที” สีหน้าไอ้มิคเหยเกแต่กลับเป็นขอบตาผมที่ร้อนขึ้นมา
“มึงมองผ่านกูที่ซื่อสัตย์กับมึงยิ่งกว่าหมา มองให้เป็นคนอื่นที่มันไม่มีใจ ไม่ว่าหมาตัวนี้จะนั่งเฝ้ายืนเฝ้าไว้แค่ไหน พอมันไม่อยู่มึงก็ไปทันที… สำหรับมึงกูมันก็แค่คนที่ไม่น่าอยู่ให้เห็นหัวใช่ไหมไอ้กิม”
“พูดเรื่องอะไรของมึงไอ้มิค กูไม่เคยเห็นมึงเป็นใครแล้วก็ไม่เคยคิดว่ามึงเป็นหมาตามก้น มึงเป็นเพื่อน… เป็นคนที่กูคิดว่าดีแล้วที่ได้มาเจอ”
“… เพื่อน”
ไอ้มิคส่ายหน้าแรง หัวเราะออกมาเสียงขื่น
“รู้อะไรไหมไอ้กิม ตลอดเวลาที่คบกันมากูไม่เคยเห็นมึงเป็นเพื่อน ไม่เคยคิดแค่เพื่อน แต่เพราะไม่อยากเสียมึงไปกูทำได้ กูตีหน้าซื่อเป็นเพื่อนกับมึงได้ทั้งที่ในนี้” ไอ้มิคตบฝ่ามือเข้าอกตัวเองไม่ยั้งแรง
“ในนี้มันเจ็บ เจ็บอย่างที่กูไม่เคยคิด แล้ววันหนึ่งมันก็ชา วันที่ไอ้เบอร์สี่นั่นหลุดออกมาจากปากมึง… ถ้าชอบมันได้แล้วกูล่ะ กูที่อยู่ข้างๆ เฝ้ามึงอยู่ทุกวันทำไมมึงมองไม่เห็น”
“… มึงอยู่กับกู แต่คบผู้หญิงทีละสาม กูไม่ได้มีตาเป็นผีนะโว้ยจะได้มองทะลุใจใครต่อใคร แล้วกูก็ไม่ได้ชอบผู้ชายตั้งแต่เกิด” ผมตอบออกไปเสียงไม่ค่อยมั่นคงเนื่องจากโดนอารมณ์หนักๆเน้นๆของอีกฝ่ายตีใส่
“จริงอยู่กูรู้สึกดีๆกับหนึ่ง… แต่หลังจากตกลงกับมึงกูก็ไม่เคยเข้าไปยุ่งอะไรกับมัน”
“ก็เพราะไม้กันหมามันอยู่นี่!” ไอ้มิคตบอกตัวเองอย่างแรง
“แต่พอกูไม่อยู่มึงก็ไปนั่งเฝ้ามันจนได้” เสียงเข้มขุ่นที่ลอยมาเป็นเหมือนหมัดไม่มีรูปร่าง อัดเข้ามาเต็มหน้าจนมึนงง
“แค่ไม่กี่ชั่วโมงที่กูไม่อยู่ มึงคงดูมันจนอิ่ม มีความสุขจนเก็บมาฝันได้เลยใช่ไหม”
“………….”
ความเงียบของผมก็คงเป็นเหมือนกำปั้นหนักๆที่ทุบเข้าใส่อีกฝ่ายหนักหนาไม่แพ้กัน ไอ้มิคละสายตาที่จ้องผมอยู่ลงมองพื้น พยักหน้าหนักๆกับอะไรซักอย่างโดยไม่มีคำพูด แล้วก้าวผ่านผมไปยังประตูเหมือนหมดความสนใจ
“กูไม่รู้ว่ามึงไปได้ยินอะไรมาจากไหน แต่กูไม่ได้ไปเฝ้าใครมา” ผมบอกแล้วเอื้อมคว้าผ้าขนหนูบนราวมาพันรอบเอว นึกอุจาดตัวเองที่ยืนเป็นนายแบบโฆษณากางเกงในอยู่ได้ตั้งนาน
ผ้าขนหนูขนไม่ลื่นแต่ขมวดไม่เข้าปมจนอยากเขวี้ยงลงพื้น “กูเห็นมึงเป็นมึง ไม่เคยอยากมองให้เป็นใคร แต่ถ้ามึงจะคิดจะฟังเสียงในหัวตัวเองอยู่อย่างนั้น กูคงทำอะไรไม่ได้” ปมผ้าตวัดเข้าขอบพร้อมประตูที่เปิดออกด้วยมือผม
ความเย็นของแอร์ที่ก้าวออกมาปะทะทำให้หงุดหงิดอย่างไม่มีเหตุผล หงุดหงิดงุ่นง่านจนต้องยกตีนกระทืบรีโมทท์ ปิดภาพในจอทีวี แล้วถึงเห็นว่าไอ้อ่ำไม่อยู่ให้เห็นหัว แต่ผมเองก็ไม่อยู่ในอารมณ์จะเห็นใคร กวาดเสื้อผ้าที่ยังมีมาม่าวางรวมอยู่ครบถ้วนได้ก็ก้าวออกจากห้องโดยไม่สนใจอะไรอีก แม้จะเห็นจากหางตาว่าร่างสูงใหญ่ที่ยืนนิ่งอยู่เป็นนานก้าวยาวๆตามมา
อากาศหน้าประตูห้องร้อนอบอ้าวจนต้องเขวี้ยงกางเกงทิ้งหลังล้วงเจอกุญแจ แล้วเตะอัดไปเต็มตีนเมื่อประตูที่ไขอยู่ไม่ยอมเปิดในครั้งเดียว มือผมแหย่ลูกกุญแจเข้ารูอีกหลายครั้งพร้อมคำสบถที่หลุดออกจากปาก แล้วยื่นมือไปผลักอกคนข้างหลังทันทีที่อีกมือที่ใหญ่กว่ายื่นมาเหมือนจะช่วย
แรงผลักไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายเซไปไหนแต่ก็มีผลให้มือที่ยื่นมาชะงักค้าง ค้างนิ่งและเงียบสนิทจนกุญแจไขลงล็อคและประตูถูกถีบเปิด ผมเขวี้ยงกุญแจทั้งพวงลงพื้นด้วยความหงุดหงิดที่ไม่ยอมหายไปจากหัวก่อนก้าวเข้าห้อง อุณหภูมิอุ่นๆที่แทบจะแนบอยู่ติดหลังบอกให้รู้ว่ามีคนก้าวตามมาแบบไม่ทิ้งระยะ
ผมไม่ได้หันกลับแต่เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า กระชากเสื้อยืดตัวโคร่งออกจากราวเพื่อไปยัดใส่มือคนที่ก้าวตามมา ผมยัดเสื้อใส่มือไอ้มิคในขณะที่ตัวเองยังมีแค่ผ้าขนหนูผืนเดียวรอบเอว ไอ้มิคเหมือนจะรับรู้อาการผม มันรู้ความหมายของเสื้อที่ถูกยัดเยียดให้แต่ก็เลือกที่จะยืนนิ่งไม่ยอมรับ
“กลับบ้าน”
ผมกระทุ้งเสื้อใส่อีกฝ่ายเป็นการย้ำ แต่ไอ้มิคกลับไม่มีทีท่าจะขยับ ร่างสูงใหญ่ในยีนส์สีซีดยืนก้มหน้า ทุกส่วนของร่างกายนิ่งสนิทแม้แต่มือจะดันเสื้อออกยังไม่ยกขึ้นมา
ท่าทางหงอๆเหมือนเด็กจะโดนทิ้งที่พนันร้อยเอาพันว่าไม่เคยเกิดขึ้นที่ไหน ทำให้แรงในมือผมลดลงโดยอัตโนมัติพร้อมความหงุดหงิดที่เหมือนจะเลือนไปบางส่วน แต่แรงอัดจากหมัดไม่มีรูปร่างยังคงฝากความมึนไว้กับสมองไม่จืดจาง
ไอ้มิคถูก ที่ว่าบางครั้งผมรำคาญการตามติดชนิดแฝดสยามของมัน แต่ผมแน่ใจว่าไม่มีสักครั้งที่ตัวเองจะหลุดปากด่าใส่หรือออกอาการฟาดหัวฟาดหางเอากับคนที่เดินเบียดไหล่อยู่ทุกค่ำเช้า แม้จะอารมณ์เสียจนบางครั้งอยากดีดมันไปห่างๆแต่ขาผมไม่เคยขยับ เพราะรู้ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายหยิบยื่นจนถึงขั้นยัดเยียดให้มา มาจากความจริงใจจริงจังแบบทุ่มทั้งตัวของผู้ชายคนหนึ่ง ผู้ชายคนที่ไม่มีความจำเป็นแม้เพียงเศษเสี้ยวที่จะต้องมาตามเอาใจ มาเดินบังหน้าบังหลังทำตัวล่ำใหญ่ปิดบังสายตาผมเวลาเดินผ่านสนามกีฬา เพราะผู้ชายคนนี้มีดีมากกว่าผมเป็นไหนๆ
ผมเข้าใจดีว่าสิ่งที่ได้รับมีค่ามหาศาล มีค่าเกินกว่าจะทำร้ายน้ำใจกัน ความรู้สึกแน่นๆของไอ้มิคก่อร่างสร้างรูปเข้ามาในจิตใจผม ก่อเป็นรูปเป็นร่างที่แม้ว่าจะยังไม่ชัดเจนแต่ก็ปักฐานเข้ามาไว้อย่างมั่นคง ฐานที่มีมือของผมช่วยลงดินก่ออิฐไปโดยไม่รู้ตัว แต่ดูเหมือนว่าแรงและความรู้สึกของผมจะไม่เคยได้ล่วงล้ำเข้าไปในใจอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
วันหนึ่งหลังเปิดปากบอกความรู้สึก ไอ้มิคขอผมด้วยสีหน้าจริงจัง ขอไม่ให้เก็บมันไว้เป็นเบอร์รอง เบอร์สองต่อจากใคร ในระหว่างที่ความรู้สึกยังไม่ลงตัวขอให้ผมเลิกคิดเรื่องใครอื่นจนกว่าจะแน่ใจว่ายังไงก็เปลี่ยนจากความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนมาเป็นมากกว่านั้นกับมันไม่ได้ ขอให้ถึงวันนั้นก่อนแล้วค่อยเบนสายตาไปหาใคร
คำขอกึ่งบังคับที่ผมแน่ใจว่าตอบกลับไปอย่างชัดเจน ตอบด้วยเสียงเข้มๆเน้นความจริงใจว่าตกลง ได้ กูจะมองแต่มึงที่เดินอยู่ข้างๆ เอาให้ตาเขตาเหล่กันไปข้าง วันนั้นคนที่นั่งหน้าเคร่งอยู่ข้างผมเปิดยิ้มกว้าง ยิ้มจากริมฝีปากถึงดวงตา รอยยิ้มที่ผมยังจำได้ถึงวันนี้ วันที่ดูเหมือนว่าคำสัญญาของผมในวันนั้นไม่เคยเกิดขึ้น ไม่เคยมีอยู่ในใจอีกฝ่าย ยิ้มระยับที่ทำให้หมัดไม่มีรูปร่างมันหนักหนาสาหัสจนซวนเซ
“กูขอล่ะ กลับไปซะ”
“…………” ไอ้มิคยังคงยึดเอาความนิ่งเป็นการตอบรับ
“…………”
ผมที่กำลังเสียศูนย์ทางอารมณ์ถึงขั้นที่เรียกได้ว่าศูนย์แตก ทำได้ทางเดียวคือโยนเสื้อที่อีกฝ่ายไม่ยอมรับลงเตียง หันไปเปิดตู้หาเสื้อยืดคอย้วยกับกางเกงบอลมาเปลี่ยน ก้มเก็บพวงกุญแจแล้วก้าวยาวๆไปทางประตู
“กิม”
เสียงและสัมผัสที่ดึงให้ต้องหันไปตามแรง ไอ้มิคคว้าแขนผมไว้ด้วยท่าทางที่เหมือนไม่กล้าทำอะไรมากกว่านั้น สีหน้าที่เงยมามองกันบอกชัดว่ากำลังทำตัวไม่ถูก
“ถ้ายังไงมึงก็จะอยู่ กูจะไปนอนห้องไอ้อ่ำ”
ผมจ้องตาอีกฝ่ายนิ่ง เป็นการจ้องหน้าอย่างที่ไม่เคยทำ ผมไม่เคยเป็นแบบนี้กับคนตรงหน้าเพราะไม่เคยได้รู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีความเชื่อถือให้กันเหมือนวันนี้
“ขอโทษ” ไอ้มิคว่าออกมาอย่างนั้น คำเดียวสั้นๆ
คำสั้นๆกับสีหน้าที่ทำให้คนตรงหน้าผมในตอนนี้ไม่ใช้ไอ้มิคโหดเลวดี ผู้ชายเจ้าของคำนิยามโหดเถื่อนแต่บทจะดีก็เล่นเอาใจละลายจนสาวพากันมาหลงจมหัว แต่เป็นไอ้มิคคนที่ต้องพูดไทยปนอังกฤษด้วยสำเนียงเสียงภาษาไทยตกๆหล่นๆจนโดนล้อ จนพาลให้มีเรื่องต่อยตีกับฝ่ายตรงข้าม ทั้งๆที่รู้ว่าต้องโดนรุม แต่ไอ้เด็กหน้าขาวตาสีจางที่โผล่มาเป็นของแปลกประจำตำบลก็กระโดดเข้าใส่แก็งเด็กประจำหมู่บ้านอย่างไม่มีเกรงกลัว
ผมที่ผ่านไปเห็นการตะลุมบอนของแปดต่อหนึ่งโดยบังเอิญเลยกระโดดเข้าร่วมด้วยความไวของตีนที่มีมากกว่าสมอง ตอนนั้นยังไม่เห็นด้วยซ้ำว่าไอ้ที่สู้ไม่ถอยอยู่กลางวงเป็นใคร เหตุการณ์นี้ทำให้ผมได้เพื่อนใหม่ที่แปลกตาไปหมดตั้งแต่สีผิวสีตาสีผมแม้กระทั่งชื่อจะใช้เรียก เพื่อนใหม่ชื่อดอมินิค แปลกประหลาดจนออกเสียงไม่ถูกอยู่เป็นเดือน
เพื่อนใหม่ที่ผมไปสอยมาได้จากวงตะลุมบอนค่อนข้างเงียบขรึมเมื่อเล่นกันแรกๆ เงียบนิ่งไม่ค่อยพูดผิดจากเด็กทุกคนที่เคยเจอ ตอนแรกคิดว่าเป็นเพราะอีกฝ่ายไม่ถนัดภาษาไทย พูดมาพูดไปคุยยังไงก็คงไม่รู้เรื่อง แต่แล้ววันหนึ่งก็ได้ไปเห็น ถึงจะมีฝรั่งตาน้ำข้าวให้พูดจาภาษาเดียวกันไอ้มิคก็ยังคงนิ่งเฉย ผมเลยสรุปเอาเองว่าเพื่อนใหม่คนนี้คงไม่ชอบพูด เลยได้ทีเหมาการคุยมาเป็นหน้าที่ตัวเอง มันเงียบผมคุย มันนิ่งผมยิ่งโม้ ขนาดโดนเดินหนีก็ยังตามไปนั่งฝอยอยู่ข้างๆ
ที่จริงแล้วผมเองไม่ใช่เด็กช่างพูด อยู่บ้านอยู่โรงเรียนมีเพื่อนพ้องมากมายนับไม่ถ้วนแต่ก็พูดมากพูดน้อยไปตามอารมณ์ แต่พอมาเจอไอ้มิคผมกลับกลายเป็นคนพูดไม่หยุด ชวนพูดชวนคุยจนบางครั้งคนข้างๆถึงกับส่ายหน้าว่าข้าหน่าย แต่ผมก็ยังรู้สึกว่าต้องคุยต่อไป เหมือนเป็นการชดเชยความเงียบที่อีกฝ่ายสร้างขึ้น
แล้วจากที่นิ่งๆเงียบๆ ไอ้มิคก็เปิดปากปล่อยสำเนียงเพี้ยนๆประจำตัว ส่งภาษาไทยบูดๆเบี้ยวๆ ตอบรับเรื่องที่ผมสรรหามาคุยไม่รู้จักหยุด ภาษาไทยสำเนียงแปร่ง จากที่ได้ยินวันละไม่กี่คำก็กลายมาเป็นสิ่งคุ้นหูพร้อมๆกับดวงตาสีอ่อนจางที่จ้องตรงมา
เพื่อนใหม่ที่เข้ากันได้ดีจนทำเอาผมละเลยเพื่อนเก่า เลิกการรวมแก็งเด็กเล็กเด็กใหญ่ แล้วหันไปยิงนกตกปลาว่ายน้ำคลองกับไอ้มิคชนิดไม่มีวันหยุดราชการ ไปหามันที่บ้าน ลากมันมาบ้าน เรียกว่าตั้งแต่ตื่นเช้าจนถึงเวลาข้าวเย็นผมหนีบตัวเองติดอยู่กับอีกฝ่ายเหมือนปาท่องโก๋ คนที่โดนผมหนีบก็ออกอาการยินยอมพร้อมใจ ถอดเสื้อกระโดดน้ำคลองแข่งกับผมอยู่ทุกวี่วัน
จนแล้ววันหนึ่งก็มีเรื่องให้ขัดใจ เราทะเลาะกันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่หนีบตัวติดกันอยู่เป็นเดือน ผมโกรธถึงขั้นผลักอกอีกฝ่ายแล้ววิ่งหนีกลับบ้าน ถามว่าทะเลาะเรื่องอะไร มาถึงตอนนี้นึกยังไงก็ไม่ออก แต่สิ่งที่ติดตาอยู่ไม่เคยลืมคือสีหน้าของคนที่โดนผมผลักจนล้มก้นจ้ำเบ้า ไอ้มิคในตอนนี้มีสีหน้าเหมือนตอนนั้นไม่ผิดเพี้ยน