รักจัง.........ตอนที่8
หลังมื้ออาหารที่ทอดเวลากันเข้าไปเกือบสองชั่วโมง หัวหินอินเตอร์ก็ได้ฤกษ์ชักแถวขึ้นรถเพื่อตรงไปยังบ้านพักริมหาด แต่ครั้งนี้นอกจากรถตู้สิบหกที่นั่งแล้วยังมีแวนสีดำปลาบขับตามหลังมาอีกหนึ่ง แอบได้ยินมาแว่วๆจากหัวโต๊ะว่าคนรวยสองบ้านนี้เขาซื้อบ้านพักตากอากาศไว้ติดกัน เลยชวนกันยุบสมาชิกจากสองกรุ๊ปเป็นหนึ่งคณะ ดื่มกินเที่ยวด้วยกันซะเลย บอกแล้วว่างานนี้เจ้ๆเขาเตี็ยมกันมาอย่างเหนียว
ระหว่างทางจากร้านอาหารขับเรียบทะเลมายังที่พักไม่น่าเกินชั่วโมง แต่คนข้างๆผมทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ไม่มีความกระจ่างหลังโดนถามกึ่งปรักปรำเกี่ยวกับการปิดปากเงียบว่ารู้จักเบอร์สี่เบอร์นั้นตั้งนานแล้วทำไมไม่บอก ไอ้มิคทำหน้าเข้มตาคมแล้วบอกมาง่ายๆว่าเพราะไม่ใช่เรื่องสำคัญ ตีความได้ว่าไม่อยู่ในความสนใจ แล้วคนตอบมันก็เปลี่ยนกะมาทอดตัวยาวข้ามหลายเบาะแล้วก่ายหัวมาตกแหมะอยู่บนตักผมเป็นอันจบประเด็น
เห็นท่าทางหลับสบายเป็นทองไม่รู้ร้อนแล้วก็ขี้คร้านจะผลักไสไล่ส่งกันคนครหา ปล่อยเพื่อนกินอิ่มนอนหลับไปอย่างนี้ตื่นขึ้นมาจะได้อารมณ์แจ่ม ไม่มีอะไรมาทำให้ขุ่นข้องหมองใจได้ง่ายๆ ถึงไอ้มิคจะยังมีท่าทีนิ่งเฉยไม่มีแววจะบู้ล้างผลาญหรือดร่าม่านำหน้าใครไป อาการที่แสดงออกออกจะเฉยๆเหมือนดูเชิง ถามว่ามันจะรอดูเชิงใครก็ตอบได้เต็มปากเต็มคำว่าไม่พ้นเชิงผม เลยสรุปเอาเองว่าให้เพื่อนสบายใจสบายกายไว้ก่อนเป็นดี
“พี่กิมกับพี่มิคสนิทกันดีจังเนอะ”
มาอีกแล้วครับน้องตองจากเบาะหน้า น้องหันมาเป็นสักขีพยานได้จังหวะเหมาะเหม็งตอนไอ้มิคซุกหน้าเข้าเป้าผมเป็นการหนีแสงพอดิบพอดี น้องมองเป้าผมมองหัวไอ้มิคแล้วทำหน้าประหลาดก่อนประกาศความเป็นศัตรูอย่างโจ่งแจ้งกว่าเดิม
“ถ้ามินท์ไม่บอกว่าพวกพี่เป็นเพื่อนสนิทกัน ตองต้องคิดว่าพี่สองคนแอ๊บสาวกันแน่ๆ” น้องยิงเปรี้ยงมาตรงประเด็นทั้งสายตาและคำถามเล่นเอาปากผมกระตุกปล่อยหมาไปแบบดึงสายล่ามไม่ทัน
“ไม่ได้สาวครับแล้วก็ไม่ได้แอบด้วย พวกพี่เนี่ยผู้ชายเต็มตัวเพียงแต่ว่าขี้รำคาญผู้หญิงความคิดไม่ดีก็เลยหันมาสนิทกันเองสบายใจกว่า” ตอบไปอย่างนั้นพร้อมยิ้มพิมพ์ใจ ไม่รู้ว่าน้องตกตะลึงยิ้มหนุ่มหรืออะไรถึงได้ตาโตนิ่งค้างแล้วหันหลังกลับไปดื้อๆ
นั่งฟังเพลงพลางลูบหัวไอ้มิคไปซักพักก็มาถึงที่หมาย รถจอดนิ่มๆด้วยฝีมือลุงอ็อดแล้วบรรยากาศก็เปลี่ยนแบบฉับพลัน ทุกคนในรถที่หนังท้องตึงหนังตาหย่อน เก็บปากเก็บคำเก็บตาดำมาตลอดทางตั้งแต่รถออกเปิดปากกันทันที ทุกคนกระฉับกระเฉงลงจากรถ ออกไปยืดบิดขี้เกียจแล้วเฮโลกันขนของเข้าบ้าน ยกเว้นคนบนตักผมที่ตื่นแล้วแต่ไม่ยอมกระฉับกระเฉงตามใคร นอนเอื่อยไม่ยอมลุกแถมมีชวนคุยเหมือนนอนกันอยู่ชายหาด ลำบากผมต้องตบหัวเพื่อนเรียกสติถึงได้ฤกษ์ลงรถไปสูดอากาศริมทะเล
บ้านพักตากอากาศของไอ้มิคกว้างขวางโอ่โถงเหมือนบ้านเช่าไว้ถ่ายทำละคร บ้านไม้สีเทาหลังใหญ่เปิดโล่งไว้รับลมทะเลรอบด้าน ชั้นล่างเป็นห้องนั่งเล่น ห้องครัว ห้องอาหารและที่ว่างโล่งขนาดตั้งวงเตะฟุตบอลได้ ข้างนอกมีสวนหย่อมขนาดไม่ย่อมที่ปลูกต้นไม้ไว้ครึ้มอย่างร่มรื่น สภาพบ้านสะอาดเอี่ยมเหมือนมีแม่บ้านปัดกวาดเช็ดถูไม่เว้นวัน
แต่เดี๋ยวก่อนเป้าหมายเราไม่ได้อยู่ที่สภาพบ้านคนอื่นแต่อยู่ที่ห้องหับเอาไว้หลับนอนสำหรับคืนนี้ต่างหาก ถึงไอ้มิคจะมาค้างห้องผม ผมไปค้างคอนโดมัน นอนเตียงเดี่ยวเตียงเดียวกันมานับครั้งไม่ถ้วน แต่สถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้ว เมื่อก่อนไอ้มิคไม่เคยหน้ามืดขนาดคว้าคอกันจูบได้หน้าตาเฉยทุกที่ทุกเวลา แต่หลังจากสวมแหวนดำๆด่างๆมาแทนใจวันนั้น บอกได้คำเดียวว่าเพื่อนเปลี่ยนไป เพราะงั้นอย่าว่าแต่นอนร่วมเตียง ตอนนี้ให้นอนร่วมห้องเดียวกันยังว่าไม่น่าเสี่ยง
“กูนอนห้องนี้แล้วกัน”
ผมประกาศเจตนารมย์ก่อนวางเป้ลงข้างเตียง เมื่อกี้ไปเดินวนเช็คมาแล้วห้องหับยังเหลืออีกหลาย ไอ้มิคที่เดินตามเข้ามาเหมือนไม่ได้ยินหรืออาจได้ยินแต่ไม่สนใจ เฮียวางกระเป๋าลงข้างตู้เสื้อผ้า ปิดประตูห้องแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปหน้าตาเฉย ปล่อยผมหุบปากกลืนเจตนารมย์พลางเหล่สายตาไปตกที่เตียงกลางห้อง
เห็นผ้าปูเตียงตึงเปะกับขนาดสามคนนอนได้แล้วก็ยังไม่ช่วยให้สันหลังหายเสียว ถึงเตียงจะใหญ่ขนาดไหนแต่ถ้าตกดึกแล้วเพื่อนคึกขึ้นมาไอ้กิมคงไม่พ้นสมยอมนอนนิ่ง ว่าแล้วขอหิ้วเป้ย่องเงียบไปห้องว่างถัดไป ปลอดภัยไว้ก่อนจะดีกั่ว
ระหว่างการอพยพย้ายห้อง เจอสามฝรั่งกับหนึ่งสาวเอ่ยปากชวนกันไปเดินตลาดยามบ่าย แอนนายิ้มหวานท่าทางมีความสุขกับการช็อปที่จะมาถึง แต่ผมส่ายหน้าปฏิเสธเพราะอยากอาบน้ำแล้วแผ่ลงเตียงซักงีบเลยขอรับนัดวอลเล่ย์บอลชายหาดตอนห้าโมงแทน
เข้าห้องมาได้สิ่งแรกที่ทำคือล็อคประตู ไอ้กิมเว่อร์ไปไหมตอบเองก็ได้ว่าเว่อร์ไปหน่อย แต่สารภาพตามตรงว่านอกจากจะกลัวไอ้มิคบุกเข้ามาแล้วที่กลัวยิ่งกว่าคืออารมณ์พาลแต่จะสมยอมเขาอยู่นั่นของตัวเอง บอกตรงๆว่าเห็นตาสีจางขุ่นเข้มแสดงถึงอารมณ์พิศวงพิศวาสขึ้นมาเมื่อไหร่ มื้อไม้ผมก็พาลจะเป็นง่อย กระดูกกระเดี้ยวกลายเป็นวุ้นเมื่อนั้น เห็นหน้าไอ้มิคในอารมณ์นั้นทีไรอารมณ์ผมเป็นต้องเกิดตามไปทู้กที อันนี้ยังไม่นับการแตะสัมผัส ถ้าปากมามือมาเมื่อไหร่ผลเป็นยังไงคงไม่ต้องบอก โดนบี้มาถึงหัวนมยังไม่มีแรงต้านได้แต่ผันตัวไปเป็นนักพากย์เสียงกระเซ่า ส่งเสียงซูดปากเป็นการสู้ แจ่มจริงๆ
คิดแล้วอารมณ์ชักพุ่งพล่านเดี๋ยวจะต้านไม่ไหว ทางทีดีแก้ผ้าโทงๆเข้าไปเอาน้ำเย็นราดหัวให้จิตใจสงบเสียทีจะดีกว่า ผมอาบน้ำฮัมเพลง คาดผ้าเช็ดตัวออกมาเพื่อแหกปากต้อนรับบุคคลไม่พึงประสงค์บนปลายเตียง
“เฮ้ย!? เข้ามาได้ไงวะ” กูล็อคประตูแล้วแน่ๆ พยานออกเพียบ
“ย้ายห้องทำไม”
ไอ้มิคส่งคำถามมาแทนคำตอบแล้วกวาดตาจากหน้าไปยังตัวเปล่าเล่าเปลือยถึงปมผ้าขนหนู ถึงสายตาที่มองมาจะยังเรียบเรื่อยไม่ส่อแววอาเสี่ยมองอีหนูแต่อารามรักตัวกลัวเสียตู๊ดก็ทำให้มือผมกระตุก ปาผ้าขนหนูที่ขยุ้มเช็ดผมใส่หน้าอีกฝ่ายนำไปก่อนทันที
“ก็ห้องมันว่าง… แล้วครูไม่เคยสอนหรือไงว่าก่อนเข้าห้องคนอื่นต้องเคาะ ถ้าห้องมันล็อคต้องรอเขามาเปิด ไม่ใช่เสียบกุญแจผีเข้ามาเองอย่างนี้” ผมร่ายพลางคว้าเสื้อผ้าที่ถอดกองไว้บนเตียงมาสวมแล้วรูดผ้าขนหนูรอบเอวมาเช็ดหัวอีกที
เหล่รอดผ้าดูสถานการณ์ ไอ้มิคนั่งนิ่งไม่มีทีท่าว่าจะต่อปากต่อคำ ผมเงียบมันเงียบห้องก็เลยเงียบจนเกือบอึดอัดขัดข้อง
“ง่วงว่ะ สงสัยเมื่อกี้ตะกละไปหน่อย” เป็นผมที่ต้องเปิดปากในที่สุด
“กูว่าจะนอนซักงีบ… มึงจะไปตลาดป่ะ พวกแอนนาฝากมาชวน… ถ้าไปฝากซื้อมะพร้าวสองทลาย ไอ้อ่อนโทรมาพอรู้ว่าอยู่หัวหินแม่งบอกขอของฝากเป็นมะพร้าว กูถามมันทำไมต้องเป็นมะพร้าว กรุงเทพหาแดกไม่ได้หรือไง มันว่ากรุงเทพน่ะมีมะพร้าว แต่มะพร้าวฟรีๆยังไม่เคยเจอ”
เล่าไปปากเปียกกะให้เพื่อนบันเทิงแต่ไอ้มิคกลับยังเงียบไม่หือไม่อือ ผมเลยทิ้งก้นนั่งแล้วตั้งหน้าตั้งตาเช็ดหัวเช็ดหูพลางยิงรีโมทเปิดทีวีเผื่อเจอรายการตลกมาบันเทิงบรรยากาศ กดรีโมทแก็กๆเปลี่ยนครบทุกช่องแล้วยิงปิดเพราะอีกคนในห้องไม่ยอมมีอารมณ์ร่วม เอาแต่นั่งเงียบกดดันกันต่อไป
ผมเอื้อมมือไปพาดผ้าขนหนูไว้บนพนักเก้าอี้ข้างเตียงแล้วทิ้งตัวลงนอน เหล่คนที่นั่งอยู่ปลายเตียงแล้วอยากยกตีนขึ้นก่ายหน้าผาก ไอ้มิคกำลังไม่พอใจผมรู้ แต่ที่ไม่รู้คือวิธีรับมือกับความเงียบของอีกฝ่าย ทุกทีถ้ามีเรื่องไม่ถูกใจไอ้มิคไม่เคยเก็บเงียบ เป็นต้องโวยต้องเข้มไปก่อนตามที่ถูกเลี้ยงดูมาแบบลูกคุณหนู อยู่ดีๆวันนี้หักมุมมาอย่างนี้ผมก็เลยทำตัวไม่ถูกไปด้วย
กำลังตัดสินใจว่าจะสละการนอนแล้วชวนเพื่อนไปเดินเที่ยวผ่อนอารมณ์หรือเปิดปากปล่อยหมามาเดี่ยวไมโครโฟนแก้สถานการณ์ก็พอดีกับโทรศัพท์ที่โยนไว้กลางเตียงดังขึ้นขัดจังหวะความคิด ชื่อหน้าจอบอกให้รู้ว่าเป็นไอ้อ่อน เห็นแล้วอยากรับหรือเลิกยังตอบไม่ได้
“ว่าไงไอ้อ่อน คิดถึงกูมากหรือไงโทรมากี่ครั้งแล้วมึง” ผมส่งเสียงเนือยนอยเป็นการทักทาย แต่ตาจ้องอยู่ที่แผ่นหลังกว้างในเสื้อยืดขาวสะอาด
“เออคิดถึงมึงว่ะ แต่กูไอ้จั๋ว ไอ้จั๋วที่หล่อกว่าไอ้อ่อนหน่อยน่ะ” ไอ้จั๋วเก็กเสียงเข้มยืนยันคำพูดก่อนต่อ “สาดกิม ไปหัวหินไม่ชวนกู ไม่รู้หรือไงกูอยากเล่นน้ำทะเล”
“กูเองยังมาแบบไม่รู้ตัว… เอาไว้เที่ยวหน้าเดี๋ยวส่งบัตรเชิญ” แผ่นหลังในสายตาผมสะท้อนเหมือนเจ้าของกำลังถอนหายใจ
“งั้นพ้นผิด อย่าลืมซื้อกางเกงเลสีเจ็บๆมาฝากกูตัว ส่วนมะพร้าวไอ้อ่อนไม่ต้องหิ้วมาให้มัน โรงอาหารมีแก้วละสิบ เดี๋ยวให้มันไปซื้อกินเอง” เสียงไอ้จั๋วเข้าหูมาเลือนๆเพราะเตียงที่ยวบขึ้นกับร่างสูงใหญ่ที่ลุกออกไป
“… ได้ แล้วเจอกันวันจันทร์ว่ะ”
คิดว่าตอบไปอย่างนั้นแล้วตัดสาย ผมปิดตา โยนมือถือไปข้างตัว รู้สึกอึดอัดเหมือนสูดอากาศไม่เข้าปอด ไอ้มิคออกไปแล้วอย่างเงียบๆ ไม่แม้แต่จะพูดอะไรซักคำ
คิดๆดูแล้วเรื่องที่เป็นอยู่มันก็ประหลาด ไอ้มิคมีความรู้สึกดีๆที่มากกว่าความเป็นเพื่อนให้ผมจนถึงจุดที่ทำให้เกิดอารมณ์กับผู้ชายด้วยกันได้ ก็ต้องถือว่าเป็นความชอบแบบลึกซึ้งที่มากกว่าแค่ความใคร่เพราะกามอารมณ์ ถามว่าสิ่งที่อีกฝ่ายส่งมาเรียกว่าความรักได้ไหม ผมไม่กล้าตอบ ถึงแม้หลายครั้งเจ้าตัวจะพูดออกมาให้ได้ยินอย่างชัดเจน แต่คำว่ารัก หรือแม้แต่รักมากเกินไป ที่เล่นเอาน้ำตาลูกผู้ชายตกให้เห็นกันมาแล้วก็ไม่ได้ทำให้ผมกล้าจะแน่ใจกับอะไรทั้งนั้น
ผมจะไปกล้ามั่นใจได้ยังไรว่าผู้ชายอย่างไอ้มิคจะมีความรู้สึกที่เรียกได้ว่ารักส่งตรงมาให้ ไอ้มิคในสายตาใครต่อใครหรือแม้แต่กับผมที่เป็นเพื่อนสนิทที่เรียกได้ว่ารู้เช่นเห็นชาติ เห็นข้อดีข้อเสียกันมาหมด ก็ยังเห็นว่าผู้ชายคนนี้สมบูรณ์แบบ สมบูรณ์พร้อม เทียบกับไอ้กิมที่แม้จะมีดีอยู่บ้างแต่ก็จัดอยู่ในประเภทธรรมดาสามัญ เป็นผู้ชายระดับมาตรฐานที่เดินกันเกลื่อนประเทศ และแม้ว่าผมจะโตมาแบบค่อนข้างหลงตัวเอง ไม่เคยมีปมเด่นปมด้อยให้ต้องเดินหลบสายตาใคร และถึงแม้ไม่นับเรื่องเพศที่ดันเกิดมามีเหมือนๆกัน แต่ไม่ว่ายังไงไม่ว่าจะมองมุมไหน ผมก็บกพร่องเกินไปสำหรับความสมบูรณ์พร้อมของอีกฝ่าย
หลายครั้งที่ผมมองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า คนที่วันนี้หันกลับมามองกันแล้วเปิดยิ้ม มีเข้มมีหวานให้ได้ใจหายใจสั่น แต่จะอีกกี่วันกี่เดือนกันหรือที่ไอ้มิคจะมองมาและยังมีผมอยู่ในสายตา ไอ้มิคไม่ใช่คนเจ้าชู้ข้อนี้ผมรู้ มันไม่เคยไล่จีบใคร จะให้ถูกต้องว่าไม่น่าจะเคยจีบใครเพราะที่เห็นกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันก็คือผู้หญิงเป็นฝ่ายเข้าหา เข้ามาขอคบ ได้คบ สามเดือนสี่เดือนก่อนแยกกันไป ผมไม่รู้ว่าเวลาอยู่กับสาวไอ้มิคจะเข้มจะหวานจะเอ่ยคำชอบบอกคำรักเหมือนที่ทำกับผมไหม เพราะมันจะแยกเรื่องแยกราว แฟนส่วนแฟนเพื่อนส่วนเพื่อนจนกว่าจะเดินตัวปลิวเข้ามาให้ไอ้โยมไอ้จั๋วโห่ว่าโสดไม่สนิทเป็นครั้งที่ร้อย ไอ้มิคไม่เจ้าชู้แต่กลับเบื่อง่ายหน่ายเร็วจนคบใครไม่เคยนาน
ผมไม่เคยรู้มาก่อนจนวันนี้ ว่าความไม่แน่ใจในความสัมพันธ์ ไม่รู้ว่าสิ่งที่เป็นอยู่จะพลิกโผเปลี่ยนแปลงไปวันไหน จะทำให้หายใจไม่เข้าปอดจนเข้าขั้นอึดอัดทรมาน แม้พยายามข่มตาหลับตามที่ตั้งใจ แต่ความง่วงงุนกลับระเหยหายไปจากหัว พลิกตัวซ้ายขวาหงายหน้าแล้วก็ยังหายใจไม่เข้าปอด สุดท้ายเลยนอนคว่ำ ใช้ความมืดจากการกดหน้าบรรเทาอาการอึดอัดที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน นอนนิ่งๆอยู่อย่างนั้นจนได้ยินเสียงหัวใจตัวเอง แล้วก็ต้องสะดุ้งแทบเด้งขึ้นนั่งเมื่อเตียงทั้งหลังยวบลงพร้อมมือที่ยื่นมากวาดกันเข้าไปทั้งตัว
กลิ่นออดิโคโลญจ์คุ้นจมูกกับความอุ่นของร่างกายที่ไม่รู้สึกผิดแผก ทำให้ผมหุบปากที่เกือบแหกให้ได้ยินกันไปทั้งบ้านแล้วนอนนิ่ง เป็นนานคนที่ม้วนผมเข้าไปกกเป็นไข่ก็ยังคงเงียบอยู่ชิดติดหลัง มีเพียงความอุ่นร้อนจากลมหายใจไม่สม่ำเสมอแถวหลังหูที่บอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายยังไม่ได้หลับไหล
“… มิค”
ผมเรียกทั้งที่ยังหันหลังแล้วก็ได้คำตอบเป็นจมูกโด่งๆที่กดแนบลงมาแถวท้ายทอย
“อยู่อย่างนี้ แค่นี้… ได้รึเปล่า”
“…………”
เป็นคำถามกับความกระชับของวงแขนที่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นผู้ร้ายสุดถ่อยทำพระเอกชีช้ำเป็นครั้งที่ร้อย ถึงจะไม่แน่ใจเอาเสียเลย ถึงจะหายใจได้ยากเย็นอย่างนี้แต่คำถามจากเสียงแห้งๆที่ไม่ดังไปกว่ากระซิบก็ทำให้ใจผมอ่อนจนเหลว เรื่องที่เวียนวนอยู่ในสมองระเหยหายไปไม่เหลือแม้แต่ควัน
“… ทีหลังจะทำอะไร ถามกูหน่อย กูตกใจนะเว้ย”
“… ครับ”
“…………”
คำตอบรับง่ายๆแต่ฟังยาก ยากเพราะน้ำเสียง เพราะความสุภาพที่ให้ความรู้สึกไม่คุ้นเคย
ไอ้มิคไม่พูดอะไรอีกผมก็พูดอะไรไม่ออก ถึงจะบอกสิ่งที่คิดไปและได้การตอบรับมาแต่ความอึดอัดรอบตัวกลับยังอยู่ ผมสูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่แล้วนอนนิ่งปล่อยความคิดให้ล่องลอย เป็นนานบรรยากาศก็ไม่เปลี่ยน แรงกระชับรอบตัวที่ไม่คลายความเกร็งบอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายก็คงยังคิดอะไรอยู่ในหัวไม่ผิดไปจากผม
“… อยากกินเฉาก๋วยว่ะ ไปตลาดกันดีกว่าปะ”
ผมชวนพร้อมยันตัวขึ้นนั่ง นอนกันอยู่อย่างนี้เดี๋ยวจะกลายเป็นโรคซึมเศร้าหงอยเหงากันไปทั้งคู่
ไอ้มิคไม่ได้ตอบอะไรเพียงแต่ลุกนั่งแล้วยกมือขึ้นลูบหน้าเหมือนจะไล่อาการง่วงงุน แต่สายตาที่ส่งมาเจอกับยิ้มจืดจางกลับแสดงความรู้สึกอื่น สายตาเหงาๆกับยิ้มหงอยๆเหมือนเด็กถูกทิ้งส่งมาแว็บเดียวก่อนเจ้าตัวจะก้มหน้าลงเหมือนไม่มีอะไร
ไอ้มิคลุกขึ้นยืน ก้าวถอยไปจากเตียงท่าทางลังเลก่อนจะยื่นมือมา ถ้าเป็นปกติมือที่ยื่นมาต้องคว้าผมเข้าไปหนีบสีข้างแล้วตวัดขึ้นพาดไหล่เป็นที่พักแขนก่อนดันให้ออกเดินไปไหนต่อไหน แต่มือที่ยื่นมาตอนนี้กลับหยุดรอนิ่งเฉย เหมือนรอให้ผมเอื้อมคว้า เหมือนไม่กล้าล้ำเข้ามามากกว่านั้น
ท่าทางเก้กังกับมือที่หยุดนิ่งทำให้อะไรซักอย่างในใจมันขาด ผมเอื้อมคว้ามือตรงหน้า ดึงตัวเองขึ้นก่อนโถมใส่อีกฝ่ายแบบทิ้งทั้งตัว ไอ้มิคที่ไม่ทันตั้งตัวถึงกับเซถอยไปเกือบก้าวพร้อมคำว่า เฮ้ย ที่หลุดออกมา ผมไม่รอช้าเอื้อมมือประกบหน้าคนที่ยังตั้งตัวไม่ติดลงมาแจกจูบไปเต็มๆหน้าผากแล้วค้างนิ่ง กะจนแน่ใจว่าความรู้สึกมากมายหลายหลากมันซึมลงหน้าผากอีกฝ่ายไปแล้วผะออกไวยิ่งกว่าวอก พร้อมความรู้สึกว่าหน้าเห่อด้วยว่ายางอายแตกกระจาย
“ทีหลังขอแบบเบสิกอย่างนี้ก่อน โรแมนติกซ์ให้กูหน่อย” ปากยังกล้าเกินร้อยกลบเกลื่อนอาการหน้าไหม้
ไอ้มิคยืนนิ่งเหมือนโดนจิ้มด้วยฟอร์มาลีน แล้วก็ทำการบางอย่างที่ทำให้ผมต้องเป็นฝ่ายนะจังงัง ต้องลืมแล้วลืมเลยซึ่งความอายได้แต่กระพริบตาปริบๆมองหน้าขาวๆที่เข้มขึ้นจนแดงเถือกไปถึงหู ไอ้มิคกำลังอาย! ไอ้คนที่โน้มมาดูดปากดูดลิ้นแถมบี้หัวนมคนอื่นได้หน้าตาเฉยกลับมายืนหน้าแดงเหมือนโดนสาดน้ำยาอุทัยด้วยว่าโดนจูบหน้าผากไปจ๊วบเดียว ไม่ไหวจริงๆครับ ทำไมมันน่ารักอย่างนี้ล่ะวะ
ไอ้มิคก็คงงงกับอาการอายขึ้นหน้าของตัวเองถึงกับยกมือเกาท้ายทอยแก้เก้อ เกาไปแกรกๆกรากๆหน้าก็ยังแดงเข้มไม่ลดระดับสี ดูท่าคนไม่เคยอายพอได้อายแล้วจะทำตัวไม่ถูกยิ่งกว่าคนปกติ สุดท้ายเจ้าตัวก็เปิดหัวเราะก่อนกระแอมไอเรียกขวัญกำลังใจและความหน้าด้านให้กลับคืนอยู่พักใหญ่ แต่จนแล้วจนรอดหน้ามันก็ยังแดงแบบกู่ไม่กลับจนผมที่ยืนมองตาค้างเริ่มรู้สึกว่าโดนเชื้ออายแพร่มาติด หน้าจะเขียวจะดำตามเพื่อนอยู่รอมร่อ
“… ไปเหอะ เดี๋ยวตลาดวาย อดกินลอดช่อง”
อ้าวเวร เมื่อกี้ยังอยากกินเฉาก๋วย ไม่เป็นไรคนฟังมันกำลังขวยคงจับไต๋เราไม่ได้ ว่าแล้วต้องก้าวนำแบบแทบจะเขย่งก้าวกระโดดผ่านบานประตู ถึงวันนี้จะโดนรถชนกลางตลาดก็ไม่เป็นไร เพราะได้เห็นของดีเข้าขั้นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกเก็บไว้เต็มเม็มโมรี่แล้วครับ
โปรดติดตามตอนต่อไป
=========================================================================
อร๊ายยยยยยย...มิคเขิลลล หน้าแดง น่ารักได้อีกอ่ะ บี้หัวนมแก้เขิลอีกซักรอบดิ๊ เค้าชอบ 555+