คนละปลายทาง
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: คนละปลายทาง  (อ่าน 197282 ครั้ง)

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #420 เมื่อ23-08-2007 19:12:21 »

หุหุ นัทจะยอมไปด้วยมั๊ยน้า ... ไม่น่าจะไปนะ เดาเอา  :m21:

blach

  • บุคคลทั่วไป
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #421 เมื่อ23-08-2007 22:14:36 »


ผมทายว่านัทไป  ทั้งที่จริงๆแล้วไม่ได้อยากไป  แต่คงต้องหลงกลอะไรซักอย่างแน่ๆๆๆ   :laugh: :laugh:

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #422 เมื่อ23-08-2007 22:15:24 »

ไปงานแต่งแล้วเศร้า
คงไม่มีโอกาสได้แต่ง
 :m17: :m17: :m17:

yuttaya

  • บุคคลทั่วไป
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #423 เมื่อ24-08-2007 12:23:03 »

ก็ลองดูสิว่าจะไปหรือไม่ไป...........ไม่ได้ร้ายนะ.........แต่พูดจริง........อิอิ

blach

  • บุคคลทั่วไป
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #424 เมื่อ24-08-2007 12:55:40 »


ไม่ร้าย จริงเหยอ   :m29: :m29:

lordhunter

  • บุคคลทั่วไป
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #425 เมื่อ24-08-2007 17:52:47 »

ติดตามมาถึงตอนล่าสุด  อ่านดูก็งั้นๆนะครับ  แต่ทำไมไม่อยากเลิกอ่านเรื่องนี้ก็ไม่รุ้  สงสัยจะติดอีกเรื่องหนึ่งแล้ว  หุหุ  หลวมตัวมาอ่านก็ต้องอ่านให้จบนะครับ อิอิ  (ล้อเล่นน้า~)  แล้วมาต่อไวๆนะครับ

yuttaya

  • บุคคลทั่วไป
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #426 เมื่อ27-08-2007 10:34:47 »

                          “เพื่อนสนิทพี่จะแต่งงานที่ขอนแก่น.........พี่ว่าจะไปร่วมแสดงความยินดีกับเค้าด้วย”.........ว้า........ไม่อยากจะพูดแบบนี้เลย..........แต่จะทำไงได้ล่ะ ถ้าผมไม่ชวนนัทไปด้วย.......ตอนขากลับมีหวังได้หลับในขับรถตกเขาแน่ๆ..............อีกทั้งถ้าเดียวรู้ว่าผมชวนนัทไปไม่ได้ ผมคงจะโดนหล่อนถากถางให้ได้อับอายไม่รู้จักจบสิ้น..............มีแฟนแต่พึ่งพาใช้สอยไหว้วานอะไรไม่ได้ แล้วจะมีไปทำซากอะไรกัน..............

                         นัทยังคงสนใจอยู่กับการกินข้าวไม่แสดงอาการรู้ร้อนหนาวถึงสิ่งที่ผมปรารภ..........ยิ่งทำให้ผมรู้สึกร้อนใจมากยิ่งขึ้น...........

                        จะว่าไปแล้วเราสองคนก็เป็นคู่ที่เข้าขากันได้ดีไม่เลว...........ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราแทบจะไม่มีปากเสียงกันเลย...........จะมีบ้างก็เรื่องเล็กๆน้อยๆ ที่ไม่ทันข้ามวันก็หายโกรธกันแล้ว (ส่วนมากก็มักจะมาจากผม ที่ขัดใจเพราะนัทไม่ได้อย่างใจ).........และก็ยังมีเรื่องบนเตียงที่ไม่ค่อยจะเอาไหนของเค้าด้วย (หุหุ) ......ผมรู้สึกว่านัทไม่ค่อยจะสนใจอย่างจริงจังที่จะทำให้ผมมีความสุขเท่าไหร่........เค้าสนใจแต่ว่า เค้ามีความสุขก็จบ..........ถึงยังไงผมก็ยังมองว่านั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรนัก.........เพราะสำหรับผมแล้ว เรื่องพรรณนั้น ยังไงก็ได้...........เรื่องความรู้สึกสำคัญกว่า............

                       “ใครแต่งเหรอ”..........นึกว่าจะไม่ถาม.........ผมแอบค้อนอยู่ในใจ............เมื่อเค้าถามก็เข้าแผนที่วางไว้พอดี........... เพราะฉะนั้นผมจึงเดินหมากต่อ...........

                       “ปิ๋ม........นัทไม่เคยเจอหรอก..........พี่นัดกับเดียวให้ชีขึ้นมาหาที่เชียงใหม่.......ตอนแรกก็ว่าจะขับรถไปด้วยกันและก็กลับมาเชียงใหม่ด้วยกัน..........แต่ชีดันเปลี่ยนแผน บอกว่าจะเอาแฟนมาด้วยและก็จะขึ้นรถกลับกรุงเทพจากขอนแก่นเลย...........นี่พี่ก็กลัวอยู่ว่าถ้าขับรถกลับมาคนเดียวจะทำยังไง”......ผมทอดเสียงลงในตอนท้ายประโยคเรียกความเห็นใจ พลางจ้องหน้าเพื่อกระตุ้นจิตสำนึกเบื้องลึกของเค้า........ลงทุนร่ายซะยาวยืดขนาดนี้.......หวังว่านัทคงจะจับทางออกนะว่าผมอยากให้เค้าไปเป็นเพื่อน...........

                        “ทำไมไม่ชวนน้องพรไปด้วยล่ะ”........ฮึ่มมมม........เย็นไว้นะโยม..............ผมพยายามบอกตัวเองในใจ........นี่เค้ายังจะเกี่ยงไปให้คนอื่นอีกหรือไงเนี่ยยยยยย.............

                        “เค้าไปไม่ได้หรอก..........เค้าต้องทำแลป............อีกอย่าง พี่ก็ไม่อยากรบกวนเค้าด้วยอ่ะ”...........ผมพยามระงับความโมโหเอาไว้ ค่อยๆรุกต้อนให้นัทจนมุมอีกครั้ง เพื่อจะสื่อให้เห็นว่า เค้าเป็นความหวังเดียวสุดท้ายของผมแล้วในตอนนี้............เพราะฉะนั้นเค้าควรจะต้องไป ถ้าเค้ายังมีหัวใจห่วงใยผมอยู่บ้าง..........

                        “ไม่ไปหรอก ไปกันเองเถอะ นัทขี้เกียจนั่งรถไกลๆ”............เออ............ให้มันได้อย่างนี้สิ...........ผมนึกบริภาษอยู่ในใจ...........นี่จะใจจืดใจดำกับผมได้ขนาดนี้เลยหรือไง.........

                        “ถ้านัทไม่ไปเป็นเพื่อน แล้วพี่จะกลับมากับใคร.............ขับรถคนเดียวไกลๆมันอันตรายนะ......เกิดพลัดตกเขาขึ้นมาจะทำยังไง”.............ผมยังไม่ยอมแพ้..............ความจริงแล้วผมมีแผนสำรองเอาไว้แล้วว่า ถ้านัทไม่ไปผมจะชวนคนอื่นไปแทน.............แต่เมื่อเค้าทำท่าไม่ไยดีแบบนี้........ผมยิ่งอยากจะพาเค้าไปด้วยให้ได้...........นี่ฉันเป็นแฟนนายนะ ไหว้วานนิดหน่อยแค่นี้ไม่ได้หรือไง........

                         “ตอนนี้นัทอยู่เฉยๆก็ไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้ว ไปเป็นเพื่อนพี่หน่อยไม่ได้หรือไง”..........ไม่รู้ล่ะ......วันนี้จะเอาคำตอบให้ได้........

                        “ไม่เอา......จะเล่นเกมส์”..........นัทขึ้นเสียงบ้าง.................โหยยยยยย...........นี่อ่ะนะเหตุผล............สติของผมขาดผึงทันที...............พลันก็บังเกิดทิฐิมานะขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้...........ดี...........จะได้รู้กัน...........

                        “งั้นก็ช่างเถอะ.......พี่ไปคนเดียวก็ได้”..........ผมตัดบททำหน้างอ............แม้ปากจะพูดตัดบทไปอย่างนั้น........แต่ใจผมนั้นมีคำตอบให้นัทเลือกเพียงทางเดียวคือ ต้องไป.........ถ้าไม่ไป จะต้องได้เห็นดีกันแน่.............




                        ผมเลิกพูดเรื่องขอนแก่นไปอีกสองสามวัน จนกระทั่งวันที่เดียวมาถึง..........ผมจึงเริ่มหวนนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง.............ถ้านัทไม่ไป ผมก็จะไปคนเดียว.........จะได้รู้กันไปว่าถ้าไม่มีเค้าแล้วผมจะทำไม่ได้............แต่ถึงยังไงผมก็ไม่คิดว่านัทจะแล้งน้ำใจกับผมได้ขนาดนั้นหรอก............ผมคิดว่าเค้าจะต้องไป........เชื่อสิ..........

                      “กั้ง........นี่พี่แดน.....” เดียวแนะนำแฟนของหล่อนให้ผมรู้จัก...........ผมยกมือไหว้พลางมองสำรวจพี่แดนเงียบๆ................หน้าตาเหมือนปลาบู่สูงอายุ (อิอิ).................คะเนว่าน่าจะเกือบสี่สิบแล้วกระมัง........นี่เดียวตกอับถึงขั้นหาแฟนที่ดีกว่านี้ไม่ได้แล้วหรือไง..............

                       “เค้าขอตามฉันมาเอง.......ฉันจะไม่ให้มาก็สงสาร”........เดียวมากระซิบบอก..........แหม.........ร้อนตัวเชียวนะ........ผมนึกขำอยู่ในใจ................

                        “ฉันยังไม่ได้ว่าอะไรแกสักหน่อย”...........ผมพูดดักคอเพื่อนสาว...........หล่อนจึงทำเฉไฉไปพูดเรื่องอื่นแทน................

                       “แล้วแฟนแกไปไหนล่ะ”...........เดียวยิงคำถามแก้เก้อซึ่งก็ได้ผลเอาการ เพราะเล่นเอาผมสะดุ้งสุดตัวเลยทีเดียว......
                        “เค้าก็อยู่ที่หอเค้าน่ะสิ...........ทำไมเหรอ”..........ผมแกล้งย้อนถาม พยายามกลบเกลื่อนพิรุธในดวงหน้ามิให้หล่อนสังเกตุได้ถนัด...........
                       “แล้วเค้าจะไปเป็นกับแกมั้ยล่ะ”...........เดียวยังไม่ลดละรุกไล่เอาคำตอบ เมื่อเห็นว่าผมแสดงท่าทางอึกอักกับคำถามของหล่อนเมื่อครู่นี้...............
                       “ยังไม่รู้เลย”..........ผมตอบเสียงอ่อย...............เดียวยิ้มอย่างผู้มีชัย............
                       
                        “แสดงว่าเค้าอาจจะไม่ไป”...............หล่อนจ้องหน้าผมคาดคั้นเอาคำตอบ
                        “ก็ลองไม่ไปดูสิ”...........ผมทำเสียงเขียว แล้วเดินจ้ำกลับไปที่รถ ก่อนที่หล่อนจะถามผมให้เกิดอารมณ์โมโหมากไปกว่านี้..............


                         หลังจากที่จัดการกับอาหารมื้อเย็นเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว ผมจึงพาเดียวกับพี่แดนกลับมาที่ห้อง.............พี่แดนขอตัวไปอาบน้ำเพื่อพักผ่อน ปล่อยให้ผมกับเดียวนั่งคุยกันตามลำพัง.......

                        อีตาพี่แดนดูท่าทางจะไม่ชอบหน้าผมนัก............บางทีเค้าอาจจะสัมผัสได้ว่า ผมไม่สนับสนุนให้เดียวชอบเค้าเท่าไหร่ก็ได้..............แต่ก็ว่าไม่ได้หรอกนะ...........ใครก็ต้องอยากให้เพื่อนได้คนที่เราคิดว่าดีที่สุดอยู่แล้ว..............

                        “พี่แดนเค้าเป็นอาจารย์สอนมหาลัยเชียวนะแก”...........เดียวอวดอ้างสรรพคุณแฟนของหล่อนเพื่อให้ผมมีทัศนะคติในทางที่ดีขึ้น..............เป็นอาจารย์แล้วไง...........ผมจบไปก็ต้องไปเป็นอาจารย์เหมือนกัน...........ก็ไม่คิดว่าจะวิเศษวิโสกว่ามนุษย์ธรรมดาตรงไหน..........

                        “ก็ดีแล้วนี่ ถ้าแกชอบเค้าจริงๆ”...........ผมบอกปัดเพราะความรำคาญ...........ถึงยังไงผมก็รู้อยู่แก่ใจอยู่แล้วว่า หล่อนคงคบกับอีตานี่ได้ไม่นานหรอก...............
                       “ว่าแต่ว่าแกโทรไปถามไอ้นัทหรือยัง ว่ามันจะไปกับเรามั้ย”...........เดียววกมาเข้าเรื่องสำคัญอีกจนได้...........ผมจึงหยิบโทรศัพท์เดินออกไปโทรที่ระเบียง............


                        “ฮัลโหล........” เสียงนัทดังแว่วมาตามสาย............
                        “เก็บของหรือยัง..........พรุ่งนี้จะต้องออกแต่เช้านะ”...........ผมทนหน้าด้านมัดมือชกทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้.....................

                         “ไม่ไป๊ปปป.........พี่กั้งก็ไปเองสิ........ก็บอกแล้วว่านัทไม่ไป.........”...............ฮึไม่ไปเหรอ..........แล้วทำไมต้องทำเสียงสูงขนาดนั้น...............ต่อมโมโหผมเริ่มทำงานอีกครั้ง...............นี่เค้าจะเอาแบบนี้จริงๆใช่มะ............
                        “ถ้านัทไม่ไปแล้วพี่จะทำยังไง.......จะให้ขับรถกลับมาคนเดียวเหรอ”.........ผมเริ่มขึ้นเสียงด้วยความโมโห........
                        “พี่กั้งก็ไปกันเองสิ............นัทจะอยู่เชียงใหม่”............จะอยู่ทำบ้าอะไรที่นี่...........ที่ขอร้องไม่ใช่ว่าไม่จำเป็นนะ.........ตอนนี้ผมต้องการเค้า............เค้าก็น่าจะอยู่เคียงข้างผมสิ..........

                        “จะเอายังงั้นใช่มั้ย............ได้..........ไม่ไปก็ได้.......งั้นแค่นี้นะ”............ผมปิดโทรศัพท์ด้วยมืออันสั่นเทา............ถ้าผมพึ่งเค้าในยามคับขันไม่ได้...........ผมก็ไม่รู้ว่าจะมีแฟนไว้ทำไม.........เลิกกันซะดีกว่า..............คำว่าเลิกแล่นขึ้นมาในหัวผมอย่างฉับพลัน..........ใช่...........ผมจะเลิกกับเค้า.........ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็ไม่ได้ว่าจะมีความสุขสักเท่าไหร่.............ผมทำได้เพื่อเค้าทุกอย่าง............แต่พอผมจะพึ่งเค้าบ้าง เค้ากลับปฏิเสธโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร...........เค้าทำไปได้ยังไง..........คิดจะให้ผมขับรถกลับจากขอนแก่นมาเชียงใหม่คนเดียว...........คิดได้ยังไง.........

                        ผมเดินกลับเข้ามาที่ห้องด้วยสีหน้าบึ้งตึง...............เดียวคงจะสังเกตเห็น หล่อนจึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง............
                        “เค้าไม่ไปเหรอ”............ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก............
                       “ช่างเค้าเถอะ.........ถ้าไม่ไปก็เลิกกัน”..........ผมพูดเป็นคำขาด แล้วชวนหล่อนคุยเรื่องอื่น..........


                        หลังจากที่ข่มความโกรธลงได้.........ผมจึงลงมือเก็บข้าวของที่จำเป็น เพราะพรุ่งนี้ต้องเดินทางแต่เช้าตรู่.............เมื่อไม่มีใครให้พึ่ง ผมก็จะพึ่งตัวเอง..........ไม่ต้องง้อให้เสียเกียรติ..............

                       เมื่อเก็บข้าวของเสร็จแล้ว ผมกับเดียวจึงได้มีโอกาสนอนคุยกันเรื่องสรรเพเหระ.........แม้ว่าเราจะติดต่อกันสม่ำเสมอ แต่ก็ไม่ใคร่มีโอกาสเล่าสาระทุกข์สุขดิบอะไรให้กันฟังมากนัก......ส่วนพี่แดนนั้นนอนที่พื้น...........เรานอนบนเตียง............ผมสังเกตว่าพี่แดนขยับตัวบ่อยๆ คงจะยังไม่หลับ สงสัยจะแอบฟัง........ผมจึงชวนเดียวคุยเรื่องผู้ชาย..........ก็จะมีอะไรสนุกไปกว่าการคุยถึงผู้ชายคนเก่าๆที่ผ่านมามั่งล่ะ..........ดังนั้นเรื่องร้อยแปดพันเก้าของบรรดาผู้ชายที่เราสองคนพานพบ จึงถูกยกนำมาแลกเปลี่ยนสู่กันฟังอย่างออกรส.............ผมเหลือบไปมองพี่แดนที่นอนอยู่ข้างล่างอีกครั้ง...........ได้ยินก็ช่างเถอะ........ถึงยังไงเค้าก็ไม่มีทางรู้อยู่ดีว่า ที่แท้แล้วผมเป็นคนแบบไหนกันแน่............ก็เรื่องเล่าสนุกเอามันส์ในหมู่เพื่อน ใครเค้าจะเอามาเป็นสาระกันบ้างเล่า...........

                       
                         นาฬิกาบอกเวลาสี่ทุ่ม...........ตอนนี้ผมทำใจได้แล้วว่าจะไม่มีนัทไปด้วย............และผมก็ตัดสินใจแล้วว่าจะเลิกกับเค้าแน่ๆ............เพราะฉะนั้นผมจึงไม่ใส่ใจอีกต่อไป...........การเดินทางครั้งนี้จะถือว่าเป็นการเดินทางเพื่อจบทุกอย่างระหว่างเรา............ผมจะกลับมาเชียงใหม่พร้อมกับหัวใจที่ว่างเปล่า............ถึงไงเราก็ต้องเลิกกันอยู่ดี ไม่วันใดก็วันหนึ่ง...........แล้วถ้าจะเลิกกันวันนี้ มันจะต่างอะไรกันกับเลิกกันในวันข้างหน้า.............

                         ระหว่างที่ผมกับเดียวคุยกันอย่างออกรสชาติ...........โทรศัพท์ของผมก็แผดเสียงดังลั่นห้อง.........ผมไม่กระตือรือร้นที่จะรับมากนัก เพราะคิดว่าก็คงเป็นนัทนั่นแหล่ะที่โทรมา............ถ้าไม่ไปก็เลิก..........นี่คือคำตอบที่ผมเตรียมเอาไว้.............

                        “ฮัลโหล........เก็บของเสร็จหรือยัง”............น้ำเสียงของนัทยังดูระรื่นดีอยู่.........จะโทรมาหาพระแสงอะไรกันอีก.............ผมคิด
                     
                        “เก็บแล้ว.........มีอะไร”.........ผมตอบเสียงเนือยๆ.............เนื่องจากการผิดหวังในตัวนัทเมื่อค่ำ จึงไม่มีอารมณ์จะฝืนเป็นทำร่าเริง...........

                        “แล้วพรุ่งนี้ออกกี่โมงล่ะ”..........นัทยังชวนคุยต่อ.........จะมาไม้ไหนอีกล่ะ.........ผมเริ่มปรับอารมณ์ใหม่............บางทีเค้าอาจจะเปลี่ยนใจก็ได้นะ..............

                       “ตีสาม.........แล้วจะไปด้วยมั้ยล่ะ”............น้ำเสียงผมยังฟังห้วนอยู่........เวลานี้ผมควรไว้เชิงเอาไว้ก่อน...........

                        “ตอนแรกก็ว่าจะไปด้วยอยู่หรอก...........แต่มาทำเป็นปากดีแบบนี้ก็ว่าจะไม่ไปแล้ว”...........ตาบ้าเอ๊ยยยยยยยยย.......ยังจะมาลีลา..........ลึกๆแล้วผมรู้ว่านัทต้องไป.........ในที่สุดเค้าก็ไม่ทำให้ผมผิดหวัง..........ผมว่าผมมองเค้าไม่ผิดหรอก...........

                        “ปากดีตรงไหน...........พี่ไม่ได้พูดอะไรซักหน่อย”..............เสียงผมเริ่มอ่อน........อ้อนไว้ก่อนน่าจะดีกว่า............

                        “ก็มาทำแว้ดๆใส่อย่างนั้นอย่างนี้...........ปากดี”..............นัทยังวกวนกำกวมเช่นเคย...........ก็มันน่าโมโหมั้ยล่ะ จะไม่ให้แว้ดได้ยังไง.............

                          “ก็พี่โมโหนี่.............ขอโทษก็ได้.........ขอโทษนะ........หายโกรธยัง”.............ผมหันมาใช้ไม้อ่อนพลางนึกขำ............ไม่แน่จริงนี่หว่า............สงสัยจะกลัวเราเลิกจริงๆอ่ะดิ...........

                          “ปากดี”..........นัทยังบ่นผมคำเดิมไม่จบสิ้น............ขืนปล่อยไว้แบบนี้อารมณ์ผมต้องขึ้นอีกแน่..............อย่ากระนั้นเลย..........รีบหาทางรวบรัดตัดความจะดีกว่า...........

                         “พรุ่งนี้ออกตีสาม............พี่จะโทรไปปลุกนะ.........รีบเก็บของแล้วเข้านอนซะ..........แค่นี้นะ”...........ผมสั่งเสียแล้วรีบวางสาย ก่อนจะหันมายิ้มให้เดียวอย่างผู้มีชัย.............เห็นมั้ย..........ในที่สุดเค้าก็ต้องไป......หุหุ..........ให้มันรู้ซะบ้างว่าใครเป็นใคร...............

blach

  • บุคคลทั่วไป
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #427 เมื่อ27-08-2007 18:20:28 »


อันไหนที่ไม่เอาไหนก้อสอนเค้าดิครับ   o16 o16

yuttaya

  • บุคคลทั่วไป
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #428 เมื่อ27-08-2007 18:40:40 »

พูดจนปากจะฉีกอยู่แล้ว.............หุหุ

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #429 เมื่อ27-08-2007 19:06:39 »

มีแฟนเด็กต้องกินยาทัมใจ มีแฟนผู้ใหญ่กินยาไรหว่า  o17  o17

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: คนละปลายทาง
« ตอบ #429 เมื่อ: 27-08-2007 19:06:39 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #430 เมื่อ27-08-2007 19:08:45 »

เหอ เหอ มีแฟนเด็กก็งี้แหละ  :m27:  :m27:  :m27:

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #431 เมื่อ27-08-2007 21:24:02 »

เอาแต่ใจจริงๆเลย เจ้านัท
 o16 o16

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #432 เมื่อ28-08-2007 22:03:54 »

ลูกล่อลูกชนกว่าจะไปได้  เหนื่อย 55

รออ่านต่อนะคุณกั้ง  :a2:

blach

  • บุคคลทั่วไป
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #433 เมื่อ28-08-2007 22:22:56 »



“ปากดี”       :m14: :m14:

yuttaya

  • บุคคลทั่วไป
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #434 เมื่อ29-08-2007 09:55:09 »

อืม...........ปากดี อิอิ............เดี๋ยวเย็นๆมาลงต่อนะครับ

yuttaya

  • บุคคลทั่วไป
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #435 เมื่อ29-08-2007 12:05:37 »

                         เหนื่อยจัง ง่วงก็ง่วง เพลียก็เพลีย............ผมงัวเงียขึ้นมาจากผ้าห่มอันแสนอุ่นหลังจากนอนฟังนาฬิกาปลุกแผดเสียงแสบแก้วหูอยู่นาน............เดียวยังคงหลับอุตุอยู่เหมือนเดิม คงเพราะอากาศยามดึกของที่นี่หนาวเย็นน่านอนนั่นเอง..........เสียงกุกกักดังแว่วมาจากห้องน้ำ มีแสงไฟลอดออกมารำไร..........คงเป็นพี่แดน..........คนอายุมากแล้วก็ตื่นเร็วแบบนี้แหล่ะ ผมคิดก่อนจะหันไปปลุกเพื่อนสาว...........

                       “แก ตื่นได้แล้ว............ทำตัวอืดอาดขี้เซางามหน้าพี่แดนเค้ามั้ยล่ะ”..........ผมเขย่าตัวหล่อนเบาๆ.........แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะค่อนขอด.............

                      “อืออออออออ........” เดียวส่งเสียงตอบอู้อี้........คงจะกำลังเรียกสติกลับจากนิทรารมย์แสนหวาน.............

                      “กี่โมงแล้วแก”..........หล่อนถามทั้งที่ยังหลับตาอยู่............ผมเหลือบไปมองนาฬิกา

                      “ตีสองครึ่ง แกรีบไปอาบน้ำเถอะ เดียวฉันจะโทรไปปลุกนัท”.........ผมบอก แล้วลุกไปหยิบโทรศัพท์โทรถึงนัท...............

                     
                       “ฮัลโหล...........นัทตื่นหรือยัง”       เสียงนัทตอบดังแว่วมาแผ่วเบา ยังดูสลึมสลืออยู่เลย

                      “ตีสามลงมารอพี่ข้างล่างเลยนะ เดี๋ยวพี่ก็ออกไปแล้ว”.............ผมสำทับก่อนจะวางสายแล้วหันมาจัดแจงความเรียบร้อยของสัมภาระ.................


                         บรรยากาศเชียงใหม่ยามวิกาลไม่แตกต่างกับจังหวัดเล็กๆที่ร้างผู้คนมากนัก..............ทั้งเงียบ ทั้งหนาว ไร้รถราสัญจร...........รถของเราค่อยๆแล่นเข้ามาจอดบริเวณหน้าหอพักคณะแพทย์...........เสียงสุนัขละแวกนั้นเห่าทักทายชั่วประเดี๋ยวก็เงียบลง...............สงสัยคงคร้านที่จะเห่า เพราะอากาศเย็นยามดึกแบบนี้ สู้เอาเวลาเห่าไปนอนงีบน่าจะฉลาดกว่า...............


                         ไม่นาน นัทก็เดินลงมาที่รถพร้อมกับเป้ปอนๆหนึ่งใบ...............ผมมองสำรวจการแต่งตัวของนัทจากระยะไกล..............ความจริงแม้ว่าผมจะชินและรับได้กับสภาพปอนๆของเค้า............แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เพื่อนสนิทของผมจะได้พบกับนัท............ไม่รู้ว่าหล่อนจะคิดยังไงบ้าง...........แต่ถึงยังไงความคิดของหล่อนก็ไม่มีอิทธิพลต่อผมหรอก..............เพราะผมเชื่อว่านัทมีคุณสมบัติที่ดีในระดับที่ผมไม่น่าจะต้องรู้สึกอายใคร.............ยกเว้นการแต่งตัวที่แสนจะซกมกของเค้าเท่านั้น........อิอิ..................


                       เมื่อนัทเดินมาถึงที่รถ เดียวก็ย้ายกลับไปนั่งที่เบาะหลังกับพี่แดน............ที่ว่างข้างคนขับจึงเว้นไว้สำหรับคนพิเศษของผมคนนี้..............ท่าทางทั้งคู่ดูประดักประเดิดเมื่อผมแนะนำให้รู้จักกัน...........คงเป็นเพราะว่าต่างฝ่ายต่างได้รับข้อมูลของกันและกันมาก่อน...............เมื่อมาเจอตัวจริงจึงไม่มีคำจะบรรยาย.............


                         ผมค่อนข้างจะใส่ใจสังเกตุดูพฤติกรรมของนัทมากเป็นพิเศษ..............แม้นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นัทเปิดตัวกับเพื่อนสนิทของผมอย่างเป็นทางการ...........แต่ก็ถือได้ว่าเป็นครั้งสำคัญเพราะเพื่อนสนิทของผมคนนี้เป็นเกย์.............และผมไม่แน่ใจว่า ตั้งแต่ครั้งที่เราคบจวบจนถึงวันนี้ ทัศนะของนัทที่มีต่อการใช้ชีวิตแบบเกย์ได้เปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหนแล้ว.............การเดินทางไปขอนแก่นในครั้งนี้จึงเหมือนเป็นการเก็บผลการทดลอง ที่ผมได้ใส่ปัจจัยต่างๆลงไปในตัวนัทมากมายตลอดเวลาที่ผ่านมา...........ส่วนจะได้ผลการทดลองที่น่าพึงพอใจหรือเปล่า คงต้องรอให้สิ้นสุดทริปนี้เสียก่อน...............


                        เมื่อรถแล่นออกมาจากเชียงใหม่ได้ไม่นาน............นัทกับเดียวก็เข้ากันได้อย่างรวดเร็ว.........นี่เป็นคุณสมบัติที่ดีอย่างหนึ่งของเดียว...............หล่อนเป็นเพื่อนคนเดียวของผมที่สามารถเข้ากับเพื่อนคนอื่นๆของผมได้..............เนื่องจากเพื่อนผมคนอื่นๆที่เป็นเกย์จะมีความเป็นอัตตาสูงมาก........เมื่อมีโอกาสมาเจอกัน ต่างฝ่ายต่างมักจะบอกให้ผมเลิกคบกับอีกฝ่ายเสมอ.........ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม........... คิดๆแล้วก็ตลกดี..............


                       “แฟนแกนี่ตลกดีนะ อ้วนกะปุกลุกเชียว” เดียวเข้ามากระซิบเมื่อเราแวะจอดพักรถที่ปั๊มแห่งหนึ่ง..............

                      ผมมองดูนัทยืนยืดเส้นยืดสายอยู่ไม่ไกลนัก.............ตลกสิ...........ตัวสูงๆอ้วนๆ..........ใส่กางเกงแบบทหารขาสี่ส่วนสีมอๆ.........เสื้อก็ดูปอนๆคับติ้ว......แต่ไม่ใช่คับเพราะว่าเป็นเสื้อเข้ารูป..........หากแต่คับเพราะว่าไม่พอดีตัว..........เหมือนเอาเสื้อน้องมาใส่............

                        “หัวเราะอะไร”...........นัทหันมาถามตาขุ่นเมื่อเห็นผมกับเดียวยืนกระซิบกระซาบหัวร่อต่อกระซิกกัน...........

                        “เปล่า.......หัวเราะไปเรื่อยเปื่อย”.............ผมแกล้งทำหน้าตายกลบเกลื่อน............ถึงเค้าจะดูตลกในสายตาผม แต่ผมก็รักเค้า............ไม่เคยนึกรังเกียจหรือดูหมิ่นแม้สักเพียงน้อยนิด..............หากแต่ขำเพราะว่าบังเกิดความเอ็นดูมากกว่า............เค้าเป็นตัวเค้าแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว.............


                           เรายังคงเดินทางต่อจนถึงเวลาอาหารมื้อเที่ยง..............เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นนัทไม่ค่อยงอแง และไม่เรื่องมาก............ผิดกับเวลาที่อยู่กันสองคน...........ตอนนี้นัทเป็นคนใหม่ที่กินอะไรก็ได้ (ยกเว้นหมู) ไม่พูดมาก..........นิสัยดี........ไม่ปากร้าย.........ดูๆไปก็ไม่ใช่นัทที่ผมคุ้นเคยสักเท่าไหร่........เวลาที่เราต้องเข้าสังคมกับคนอื่น เราก็คงต้องซ่อนสิ่งที่เป็นตัวเราเอาไว้ข้างในแบบนี้เหมือนกันกระมัง.............


                         ภาคบ่ายเป็นคิวที่พี่แดนต้องเปลี่ยนมาขับรถบ้าง................ตั้งแต่เช้ามานี่ แกไม่ค่อยสนทนากับคนอื่นนัก..........นอกจากนั่งนิ่งทำหน้าตูม...........เป็นอะไรก็ไม่รู้ หรือว่าจะท้องผูก..........

                          “พี่แดนเค้างอน ที่เมื่อคืนได้ยินเราคุยกันแต่เรื่องผู้ชาย..........เค้าหาว่าแกน่ะยุฉันให้แรด.....แบบแก”...........เดียวเน้นคำว่า แรดแบบแก ในตอนท้าย...........

                         
                            เชอะ............สำคัญผิดไปแล้ว.............ผมนี่นะแรด.........โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเดียว........กะเอาไว้แล้วไม่มีผิด ว่าเมื่อคืนเค้าจะต้องแอบฟังเราคุยกัน..........แสดงว่าอีตานี่ไม่มีสัมผัสข้างในเลยว่า ลึกๆแล้วใครเป็นยังไง.........คนไม่แรดกลับประเมินว่าแรด..............ส่วนแรดตัวจริง กลับมองว่าเรียบร้อยหัวอ่อน..............หุหุ.........แต่ผมไม่โกรธเค้าหรอก เพราะเค้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมเป็นใคร นอกจากรู้แค่ว่าชื่อกั้ง............


                             ผมกับนัทเปลี่ยนมานั่งที่เบาะหลังด้วยกัน.............ส่วนพี่แดนกับเดียวย้ายไปนั่งที่เบาะหน้า...........ตะวันคล้อยบ่ายแสงเริงแรงจัดจ้า.........บรรยากาศน่านอนเป็นที่สุด............


                              เพราะเหตุนี้ นัทจึงเอนตัวลงมานอนที่ตักผมในเวลาต่อมา..............ผมยกมือขึ้นลูบผมนัทเบาๆอย่างรักใคร่........แม้ว่าผมจะไม่ได้แสดงความรักอะไรออกมามากนักในตอนนั้น............แต่ในใจผมนั้นเต็มตื้นไปด้วยความปิติ...........การหนุนตักอาจจะเป็นสิ่งที่ดูปกติในการปฏิบัติต่อกันในฐานะคนรัก.............แต่การหนุนตักของนัทในครั้งนี้เป็นการกระทำต่อหน้าคนอื่น ซึ่งปกตินัทจะคอยระวังพฤติกรรมพวกนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นเสมอ...............หรือว่าเค้าจะยอมรับความรู้สึกของตัวเองแล้วว่า ความจริงแล้วเค้าคิดยังไงกับผม..............แต่ก็ไม่แน่หรอก.............การที่อยู่ในรถที่มีแต่เกย์ด้วยกัน อาจทำให้เค้ารู้สึกปลดปล่อยและปลอดภัย.............ความเป็นตัวของตัวเองจึงเผยออกมา.............ต่อเมื่อกลับเข้าสู่สังคมปกติอีกครั้ง เค้าก็คงกลับไปเป็นเหมือนเดิม................นี่ผมจะช่วยเค้ายังไงดี.............ผมอยากให้เค้าหาจุดสมดุลของชีวิตให้เจอ................อยากให้เค้าได้ทำในสิ่งที่ตัวเองปรารถนาและไม่ขัดกับความรู้สึกภายในใจของเค้ามากจนเกินไป.................ถ้าเค้ายอมให้ผมช่วย..............ผมจะคอยอยู่เคียงข้างเค้า.............ขอเพียงอย่างเดียว อย่าเพิ่งปล่อยมือแล้วเดินหนีจากผมไปก็พอ.............
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-08-2007 10:27:50 โดย moody »

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #436 เมื่อ29-08-2007 15:18:20 »

มาลุ้นช่วยคุณกั๊งนะ  :a1:  :a1:

blach

  • บุคคลทั่วไป
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #437 เมื่อ29-08-2007 18:17:17 »


งงคำว่าอัตตานิดๆ ไม่รู้ว่าแปลว่าอารายครับ  คาใจ      o2

ทำตัวดีๆกะเค้าก้อเป็นเนอะ หุ หุ

อืม ถึงจากะปุกลุก  ก้อร๊ากกกก แหวะ...อิ อิ

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #438 เมื่อ29-08-2007 18:50:18 »

หุหุ ตอนนี้มีหวานนิด ๆ แฮะ  :m1:  :m1:  :m1: นาน ๆ จะมีฉากสวีท ๆ ที  :a1:  :a1:  :a1:

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #439 เมื่อ29-08-2007 19:43:43 »

นอนตักกันแว้ว

 :m3: :m3: :m3:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-08-2007 03:01:07 โดย b|ueBoYhUb »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: คนละปลายทาง
« ตอบ #439 เมื่อ: 29-08-2007 19:43:43 »





ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #440 เมื่อ29-08-2007 21:38:00 »

 :m1:  :m1:  :m1:  :m1:

 :m4:  :m4:  :m4:

 :m10:  :m10:

 :m7:

yuttaya

  • บุคคลทั่วไป
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #441 เมื่อ30-08-2007 10:20:46 »

อัตตา ก็แปลว่ามีความยึดมั่นถือมั่นในความเป็นตัวเป็นตนสูง หรือมี ego สูง

yuttaya

  • บุคคลทั่วไป
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #442 เมื่อ31-08-2007 08:43:21 »

                         ทำไมขอนแก่นมันไกลมากขนาดนี้นะ.......................นี่ก็จวนจะมืดอยู่แล้วพวกเรายังมาถึงแค่ชุมแพอยู่เลย........................โชคดีนะที่มีนัทมาเป็นเพื่อน...............ไม่งั้นมีหวังขากลับ ผมคงต้องกลายเป็นผีเฝ้าโค้งที่ไหนสักแห่งเป็นแน่..............

                         “แกโทรถามนังปิ๋มทีสิ ว่ามันจองที่พักให้เราที่ไหน”...........เดียวเสนอความคิดให้ผมโทรไปเช็คที่พักกับปิ๋มเพื่อฆ่าเวลาแก้เบื่อ............

                         “ดีเหมือนกัน..........เมื่อไหร่จะถึงสักทีก็ไม่รู้.........ฉันเหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว”............ผมบ่นพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรถึงปิ๋ม..............เฮ้อ.......นี่ถ้าไม่เห็นว่าเป็นเพื่อนรัก ผมก็คงไม่ถ่อสังขารมาถึงนี่หรอกนะ.........ทั้งไกล ทั้งเปลือง..........แถมยังต้องลากเอาคนอื่นให้มาลำบากด้วยอีกตั้งเป็นโขยง...............


                          “ฉันจองที่พักให้แกแล้วนะ.........สองห้อง จ่ายตังเรียบร้อยแล้ว........พอเข้าที่พักแล้วแกรีบมาที่บ้านฉันเลยนะ ตอนนี้คุณแม่ลิลลี่มารออยู่นานแล้ว”............คุณแม่ลิลลี่ หรือลิลลี่ที่ปิ๋มพูดถึงเป็นเพื่อนเกย์คู่หูของผมตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาตรี..........พอเรียนจบเราก็ต่างแยกย้ายกันไปคนละทิศทาง........หล่อนไปเป็นครูแถวบ้าน.......ผมมาเรียนที่กรุงเทพ.......เราสองคนจึงแทบจะไม่ได้พบกันอีก........ได้ข่าวว่า ตอนนี้หล่อนออกสาวเต็มที่แล้ว หลังจากที่ทนเก็บกดความเป็นหญิงมานาน...........

                         “ฉันไปเยี่ยมมันที่บ้านพักครู.........ที่ตู้เสื้อผ้ามันมีแต่ชุดแบบผู้หญิงเต็มไปหมดเลยนะแก”...........เดียวเคยสาธยายให้ผมฟังด้วยใบหน้าขบขัน หลังจากที่หล่อนได้มีโอกาสไปเยี่ยมลิลลี่ที่บ้าน........

                         “พอตกกลางคืนมันก็พาฉันไปดูหมอลำ.........แถมมันยังแต่งหญิงด้วยนะแก........ฉันละอายแทน”........เดียวเล่าต่ออย่างมันส์ปาก

                         “แล้วไงอีก”........ผมซักไซ้ต่อด้วยความขบขันเมื่อนึกจินตาการถึงลิลลี่ที่ผมเคยรู้จัก

                        “มันก็ปล่อยฉันไว้คนเดียว แล้วมันก็หายไปทั้งคืน.........กลับมาอีกทีก็ใกล้สว่าง.........ฉันไม่อย่างบรรยายสภาพ...........แกเอ๊ยยยย........ กระเซอะกระเซิง........เดินหิ้วรองเท้าส้นสูงกลับมา ผมเผ้าหลุดลุ่ยจนฉันแทบจะจำไม่ได้.......”...........ผมนึกขำกับเรื่องที่ได้ฟัง ทั้งขำทั้งเป็นห่วง.........นี่หล่อนจะใช้ชีวิตเสี่ยงเกินไปแล้ว..............

                        “แล้วทำไมแกไม่ออกหากินกับมันด้วยล่ะ”........ผมพูดแดกเดียวเล่นเพื่อหยั่งเชิงว่าหล่อนจะทำอย่างว่าด้วยหรือเปล่า.......

                        “ฉันกินไม่ลงหรอก.........เถื่อนจะตาย แกก็รู้”...........เดียวทำปากเบะ......ผมเชื่อที่หล่อนพูด........คนบางคนก็มีทางเลือก........แต่บางคนก็ไม่มี.........ซึ่งก็แน่นอนว่าเดียวย่อมมีทางเลือกที่ดีกว่า.......ก็เกย์ในเมืองมีให้หล่อนล่าออกเพียบ..........แต่ถ้าจะเทียบความดิบ เถื่อน แมน แบบผู้ชายบ้านนอก คงเทียบกันไม่ติด..........

                         ปกติในชนบททางภาคอิสาน ชาวบ้านมักจะนิยมจ้างหมอลำมาแสดงในงานบุญต่างๆ............ซึ่งมักจะมีการแสดงตั้งแต่หัวค่ำยันสว่างคาตา.............คนจากหมู่บ้านต่างๆในละแวกใกล้เคียงต่างแห่แหนกันมาชมการแสดงกันอย่างคับคั่ง.............เพราะมันเป็นงานรื่นเริงเดียวที่คนในชนบทพอจะหาความบันเทิงได้นั่นเอง...............

                         บริเวณหน้าเวทีหมอลำ จึงเป็นแหล่งรวมของพวกผู้ชายขี้เมากลัดมันทั้งหลาย............และสีสันที่ขาดไม่ได้ก็คือบรรดากระเทยที่มักจะมาพร้อมกับขวดเหล้าพร้อมแก้วที่ถืออยูในมือในท่าเตรียมพร้อมเสมอ..........คอยรินให้คนนั้น........ยื่นให้คนนี้...........ซึ่งพวกผู้ชายขี้เมาก็มักจะไม่ปฏิเสธ..........ตกดึกเมื่อพวกผู้ชายเหล่านั้นเมาได้ที่แล้ว...........ไม่ว่ากระเทยหรือผู้หญิง ก็คงไม่ได้แตกต่างกัน ขอเพียงแค่ให้ใส่กระโปรงเหมือนกันเป็นอันพอ............ดังนั้นงานหมอลำจึงเป็นที่ชุมนุมของพวกผู้ชายและกระเทยทั้งหลายไปโดยปริยาย.............

                         “บางทีก็มีเขม่นกันนะแก....ประมาณว่าหากินทับเส้นกับเจ้าถิ่น........โดยเฉพาะถ้าพวกฉันสวยกว่า”...........ลิลลี่เคยเล่าให้ผมฟังอย่างภาคภูมิใจในความสวยของหล่อน...........ผมฟังด้วยความตื่นเต้น..........มันเป็นโลกที่ผมจินตาการไม่ถึง.............ทั้งนึกประหลาดใจเพราะไม่คิดว่าเพื่อนที่จากกันไปแค่หกเจ็ดปีจะเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้............คนรอบตัวผมที่เป็นเกย์รุ่นเดียวกัน ล้วนเปลี่ยนไปแทบทั้งสิ้น............ไม่ว่าจะเป็นเดียว หรือลิลลี่.........ในขณะที่ผมยังย่ำอยู่กับที่..........แต่จะว่าไปแล้ว ก็แอบเพิ่มดีกรีความแรงขึ้นมาบ้างทีละน้อยตามสมควรนะ.........อิอิ.........

                         “แกก็ระวังหน่อยแล้วกัน เป็นครูบาอาจารย์ ทำประเจิดประเจ้อเดียวคนอื่นเค้าจะเอาไปนินทา”...........ผมเตือนหล่อนด้วยความหวังดี..........แต่ไม่ได้จริงจังในคำพูดมากนัก........ชีวิตของเค้า ก็ควรปล่อยให้เค้าลิขิตเอาเอง...........

                        “แกไม่ต้องมาห่วงฉันหรอก........ว่าแต่แกเหอะเมื่อไหร่จะมีผัวกับเค้าสักที.........ระวังเหี่ยวแล้วจะไม่มีคนมาเอา”...........หล่อนยังไม่วายหันมาแขวะผมเข้าอีกจนได้...........

                        “แกไม่รู้อะไร......สมัยนี้มัวแต่จะคอยหาผัว มีหวังได้ขึ้นคานกันพอดี........เกย์ยุคใหม่เค้าต้องได้หมดเว้ย”...........ผมชี้ให้หล่อนเห็นถึงค่านิยมที่เปลี่ยนไปของเกย์ในเมืองยุคใหม่............หมดสมัยแล้วไอ้เรื่องที่จะไปตามรักตามชอบผู้ชายให้เค้าหลอกถลุงใช้เงินเล่นไปเปล่าๆปลี้ๆ...........สมัยนี้มันต้องช่วยๆกัน..........เปลี่ยนบทบาทกันมั่ง เท่าเทียมดี.........แม้ว่าเกย์จะหาความจริงใจได้ยาก..........แต่ก็คงง่ายกว่าการรอคอยความรักและความจริงใจจากผู้ชาย............เพราะอย่างมากก็คงได้แค่ความสงสาร.......ผมไม่อยากได้ความสงสารหรอกนะ.............

                         “ต๊าย........เฮอะๆ.........บัดสี.........ฟังแล้วขนลุก”............หล่อนว่าพลางทำเสียงสะบัดสะบิ้ง..........................................................



                         “กั้ง..........แกซื้อดอกไม้มาด้วยหรือเปล่า..........ที่บ้านฉันไม่มีดอกไม้ประดับเลย”.......ปิ๋มเอ่ยทวงดอกไม้ที่เดียวอาสาว่าจะซื้อมาให้จากเชียงใหม่..............

                         “ซื้อมาสิ............เอาไว้ไปถึงแล้ว จะเอาไปประดับบ้านแกให้สวยหรูไปเลย”............ผมบอก.......พลางนึกถึงดอกไม้ที่เก็บเอาไว้อย่างดีท้ายรถ..........มีทั้ง กุหลาบ ยิบโซ เฟิร์น และอื่นๆ หมดเงินไปพันกว่าบาท.........ขนาดว่าเชียงใหม่ดอกไม้ถูกยังกะดอกหญ้าแล้วนะ............



                             ตะวันลับขอบฟ้าไปได้ไม่นานนัก.........เราทั้งสี่ก็เดินทางมาถึงที่พักในที่สุด........ที่นี่อยู่ไม่ไกลจากบ้านงานมากนัก...........สภาพก็เรียบง่ายตามอัตภาพแบบชนบท.........แต่ก็พอได้ซุกหัวนอนอย่างสบายไปหนึ่งคืน.........ผมพักห้องเดียวกันกับนัท.........ส่วนเดียวก็พักกับพี่แดน...........ช่างเป็นสองคู่ชูชื่นซะจริงๆ...........พอขนข้าวของเข้าห้องเรียบร้อยแล้ว...........เราจึงได้มีโอกาสอยู่กันตามลำพังเป็นครั้งแรก........นัทดูมีท่าทีกระชุ่มกระชวยอย่างออกนอกหน้า.............สงสัยจะคึกเพราะได้เปลี่ยนบรรยากาศแน่ๆ..............ผมแอบคิดในใจ..........ในขณะที่ผมเอง ก็เกิดความรู้สึกใจหวิวๆ........ปั่นป่วนในท้องแปลกๆพิกล..........แสดงว่าผมเองก็รู้สึกคึกคักแบบเดียวกันกระมัง.......มิน่าล่ะ คู่รักที่อยู่กันมานานแล้ว เค้าจึงหาโอกาสออกไปสวีทกันที่นั่น ที่นี่บ้าง เพื่อเติมรสชาติให้กับชีวิตคู่ที่จำเจ.............เสียดายที่ตอนนี้ผมต้องรีบไปแล้ว..........เอาไว้ตอนกลับมาจากที่บ้านงานแล้วค่อยสวีทให้ชื่นใจทีหลังก็ได้........หวังว่าผมคงไม่เมาปลิ้นไปซะก่อนนะ.........

                           “นัทจะรออยู่ที่นี่ใช่มั้ย”..........ผมถามย้ำความมั่นใจกับนัทอีกครั้งหลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว แต่ก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะให้เค้าไปด้วยแต่อย่างใด..........เพราะขืนไปก็จะยุ่งยากเรื่องการกินอยู่ที่ไม่เหมือนชาวบ้าน...........ไหนผมจะต้องมานั่งคอยพะวงเป็นห่วงต่างๆนานาอีก......ให้รออยู่นี่ก็ดีแล้วล่ะ....................

                            “ไม่ไปหรอก.........พี่กั้งไปเหอะนัทอยู่ได้”..........นัทบอก.........ผมจึงหยิบกระเป๋าเดินออกจากห้องไป......................

                          “แล้วพี่จะเอาของกินมาฝากนะ”..........ผมหันมาสั่งเสีย ก่อนจะปิดประตูทิ้งให้นัทอยู่ตามลำพัง...........พวกเรายังไม่ได้กินข้าวเย็นกันเลย..........นัทจะหิวหรือเปล่าก็ไม่รู้..........แต่ก็พอมีของกินที่เราซื้อเอาไว้ระหว่างทางอยู่บ้าง..........คงจะพอใช้ประทังความหิวไปได้สักระยะ..........จะว่าไปแล้วผมก็นึกเป็นกังวลอยู่บ้างเหมือนกัน..........แม้ใจผมจะอยากรีบกลับมาหายอดรักให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้............แต่ประเมินตามสถานการณ์แล้ว คงจะเป็นไปได้ยาก............เพราะเรามาถึงช้ากว่าเวลาที่กำหนดเอาไว้มาก...........หากทำเป็นไปนั่งที่บ้านงานสักประเดี๋ยวแล้วกลับออกมาเลย คงดูไม่ดี...........อีกทั้งผมก็อยากจะอยู่คุยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบเพื่อนฝูงตามสมควร............แต่ยังไงก็จะพยายามรีบกลับมาก็แล้วกัน.............


                           ปิ๋มและลิลลี่รีบกระวีกระวาดออกมาต้อนรับเมื่อพวกเรามาถึงที่บ้านงาน..............หลังจากถามไถ่กันพอหอมปากหอมคอ..........ผมก็ได้รับฟังแผนการของพิธีแต่งงานอย่างคร่าวๆ.............พิธีแต่งจะจัดอย่างง่ายๆพรุ่งนี้เช้า.............มีขบวนแห่ขันหมาก.........บายศรีสู่ขวัญ และผูกข้อไม้ข้อมือเป็นอันเสร็จ...............ดังนั้นคืนนี้จึงมีญาติๆและเพื่อนฝูงของเจ้าบ่าวและเจ้าสาวอยู่เต็มบ้านไปหมด.............ต่างคนต่างช่วยกันหยิบนั่นจับนี่ ตระเตรียมสถานที่สำหรับงานวันพรุ่งนี้กันอย่างขมีขมัน............ส่วนพวกที่ไม่รู้จะช่วยอะไรก็นั่งสุมหัวจับกลุ่มดื่มเหล้าคอยเป็นกำลังใจอยู่ห่างๆ..............

                          พวกเราก็รีบลงมือจัดการกับดอกไม้ที่นำมาทันที............ต่างคนต่างออกไอเดียว่าจะตกแต่งตรงไหนบ้าง............

                         “ฉันว่าทำเป็นซุ้มดอกไม้ตรงนี้ดีมั้ย..........ตอนขบวนแห่มาจะได้ผ่านตรงนี้เข้าไป” .......เดียวออกความเห็น.............ซึ่งทุกคนก็เห็นดีด้วย...........

                        "ดอกไม้ที่เหลือก็จัดประดับเป็นพานคู่ เอาไว้วางกับพานบายศรี ตอนพิธีผูกแขน”..........หล่อนยังคงสั่งการต่ออย่างมืออาชีพ.............ผมแอบมองด้วยความแปลกใจ..............นี่นังเดียวมันก็เป็นเรื่องพวกนี้ด้วยเหรอเนี่ย.............นึกว่าดีแต่อ่อยผู้ชายไปวันๆ............ส่วนผมทำอะไรไม่เป็น จึงมีหน้าที่ช่วยตัดดอกไม้เรียงเอาไว้ ตามแต่จะมีใครเรียกใช้สอย................

                         ผู้คนที่อยู่ในงานต่างหันมาให้ความสนใจกับพวกเราผู้มาใหม่...........ซึ่งมาพร้อมกับดอกไม้และความโกลาหล...........ระหว่างนั้น ผมสังเกตเห็นว่ามีหนุ่มๆหน้าตาดีกลุ่มหนึ่ง นั่งล้อมวงดื่มเหล้าคอยแอบมองดูพวกเราอยู่เงียบๆ..............

                        เจ้าบ่าวเป็นทหารเรือ.........เพราะฉะนั้นพวกที่นั่งล้อมวงอยู่ตรงนั้นก็น่าจะเป็นทหารเรื่องที่มาจากสัตหีบสินะ..........ท่าทางไม่เลว...........ผมแอบประเมินอย่างรวดเร็วในใจ...........ในกลุ่มนั้นมีคนที่ดูเข้าทีอยู่หนึ่งคน...........ผิวขาวสะอาด พูดจาฉะฉาน เรียกความสนใจได้ไม่เลว สงสัยจังว่าชื่ออะไรนะ..........นิสัยชอบยั่วยวนมารยาของผมเริ่มออกแสง................ดูท่าทางลิลลี่ก็จะสนใจผู้ชายกลุ่มนี้อยู่เหมือนกัน............ยกเว้นเดียวที่ทำอะไรมากไม่ได้ เพราะมีพี่แดนหน้าปลาบู่ มานั่งทำหน้าตูมคอยคุมเชิงอยู่...............คิดแล้วก็ให้รำคาญแทน.............คนอะไร...........ทำหน้างอยังกะจวักอยู่ได้ทั้งวัน...........

                           ผมเริ่มวางแนวทางในการจัดการเป้าหมายเอาไว้ในใจอย่างคร่าวๆ..............ไม่ใช่ว่าจะทำพฤติกรรมนอกใจหรอกนะ........แต่บริหารเสน่ห์มันก็สนุกดีอยู่ไม่ใช่หรือ...........ผมรู้ตัวเองดีว่าอย่างมากก็ทำได้แค่คิดนั่นแหล่ะ.........ใจคอคุณคงไม่คิดจะให้ผมปิดกั้นแม้กระทั่งความคิดหรอกนะ..........ไม่งั้นคืนนี้คงจะเซ็งน่าดูเลย........หุหุ...............
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-08-2007 14:38:51 โดย moody »

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #443 เมื่อ31-08-2007 14:25:30 »


ริอ่านจะกินทหารเรือเรอะ?

ร้ายไม่หยอกนะเนี่ย  :m26:

yuttaya

  • บุคคลทั่วไป
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #444 เมื่อ31-08-2007 14:47:03 »

อ๋อ แน่นอนอยู่แล้ว........อิอิ

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #445 เมื่อ31-08-2007 15:27:31 »

ระวังจะกลายเป็นเรื่องทะเลาะกันนะ
 :m21: :m21: :m21: :m21:

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #446 เมื่อ31-08-2007 15:40:35 »

กินมันทุกเหล่าเลยคุณกั๊ง  :m26:

blach

  • บุคคลทั่วไป
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #447 เมื่อ31-08-2007 19:13:37 »


เห็นแล้วเป็นไม่ได้เชียว     o12 o12


ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #448 เมื่อ31-08-2007 20:12:06 »

หุหุ แล้วสำเร็จมั๊ยล่ะ  :m17:  :m17:

yuttaya

  • บุคคลทั่วไป
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #449 เมื่อ03-09-2007 09:52:33 »

                          ดอกกุหลาบและดอกไม้บริวารหลากชนิดถูกนำมาวางแยกไว้เป็นกองๆบนโต๊ะ พร้อมกับถังน้ำใบใหญ่..........ผมลงมือตัดแต่งใบและกิ่งของดอกไม้เหล่านั้นให้ได้ขนาดพอเหมาะ สำหรับนำไปใช้ตกแต่งขึ้นช่อ.............เดียว ปิ๋ม กับลิลลี่กำลังสาละวนอยู่กับการหาวิธีฝังเสาเพื่อทำเป็นซุ้มดอกไม้หน้างาน...........พวกผู้ชายยังคงจับกลุ่มดื่มเหล้าและคอยลอบมองมาเป็นระยะๆ............ดูท่าพวกเราจะเรียกความสนใจได้อย่างต่อเนื่องดีไม่น้อย.............เดี๋ยวตกดึก คงได้มีลุ้นอย่างไม่ต้องสงสัย...............แต่ขืนปล่อยให้มองอยู่แบบนี้คงไม่ทันการ ผมจึงลุกเข้าไปเพื่อที่จะช่วยให้อะไรต่ออะไรมันเร็วขึ้นมาอีกนิด................

                         “เอามานี่ซิ........เดี๋ยวฉันจะช่วยขุด”.............ผมเอ่ยปากขอเสียมมาจากเดียว ทั้งที่ปรกติงานพวกนี้ผมจะไม่เคยแตะถ้าอยู่กับพื่อนๆ............ดูสิว่าพวกนั้นจะทนดูดายต่อไปได้อีกนานสักแค่ไหน.............

                        ไม่หมูอย่างที่คิดเอาไว้แต่แรกเลย............ดินตรงนี้แข็งยังกะหิน............ผมเริ่มรู้สึกเจ็บที่มือจนอยากจะวางเสียมทิ้งเอาไว้เสียเดี๋ยวนั้น ถ้าไม่กลัวจะเสียฟอร์ม...........จึงได้แต่ทำท่าขุดแหยกๆพอเป็นพิธี..............ท่าทางคงจะขัดต่อสายตาผู้ที่ได้พบเห็นอยู่ไม่น้อย..........

                         “เฮ้ยไอ้แมค.............เอ็งก็ไปช่วยเค้าขุดหน่อยดิ๊วะ”............เสียงหนึ่งดังแว่วมาจากกลุ่มเพื่อนเจ้าบ่าว............ได้ผลแฮะ........ผมวางเสียมลงแล้วหันไปมอง.............

                          “มาครับ.........เดี๋ยวผมช่วย”..........ผู้ชายที่ชื่อแมค หรืออีกนัยหนึ่ง ก็คือผู้ชายผิวขาวที่ดูดีที่สุดในกลุ่มคนนั้นนั่นเอง........อ๋อ.........ที่แท้ก็ชื่อแมคนี่เอง............ผมแอบคิดในใจ

                        ผมยิ้มแล้วยื่นเสียมให้แมคโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา.............เพียงแต่ถอยออกมายืนดูอยู่ใกล้ๆ.........ระหว่างนั้นผมจึงแอบพินิจดูเค้าไปพลางๆ............ผิวดูขาวดีจัง แต่ไม่ใช่ขาวแบบคนจีน เป็นความขาวนวลๆอมเหลืองแบบคนนครพนม หรือไม่ก็น่าจะเป็นมุกดาหาร.............ท่าทางทะมัดทะแมงดี หน่วยก้านก็ดูไม่เลว...........หน้าตาก็น่ารักคมคาย...........ที่สำคัญดูกะล่อนแพรวพราวไม่ใช่เล่น..............ท้าทายดีชะมัด.............

                        ลิลลี่เดินเข้ามากระแซะอยู่ข้างๆ.............ผมหันไปมอง เห็นหล่อนจ้องดูแมทตาเป็นมัน...........หึหึ...........ดีล่ะ ยุส่งไปเลยดีกว่า............

                        “น่ารักดีมั้ย” ผมหันไปถามแล้วยิ้มอย่างคนรู้ใจ............ลิลลี่ไม่ว่าอะไรนอกจากยิ้มตอบ ........ยิ้มแบบนี้แสดงว่าชอบ...............ทำให้ผมนึกย้อนไปถึงอดีต สมัยที่เรายังเป็นคู่หูกันเมื่อครั้งยังเรียนปริญญาตรี.............

                       ผมไม่รู้ว่าพฤติกรรมของผมในตอนนั้นเรียกว่าเป็นการทรยศเพื่อนหรือเปล่า...........แต่ผมก็ทำกับหล่อนไปแล้ว............เพราะเหตุผล คือความที่ตัวเองไม่กล้า และกลัวเสียหน้า จึงดึงเอาเพื่อนมาเป็นโล่ห์กำบัง........แล้วฉกผู้ชายมาเองในภายหลัง..............

                        สมัยนั้นผมแอบชอบรุ่นพี่ปริญญาโทคนหนึ่งชื่อพี่กาย..............ชื่อเสียงพี่กายค่อนข้างฮอทพอสมควรในหมู่เกย์รุ่นน้อง...........ผมรู้ว่าพี่กายเองก็แอบมองผมอยู่เหมือนกัน แต่ยังไม่สบโอกาสได้พูดคุย.........และผมก็ขี้อายยิ่งกว่านางอายในสวนสัตย์เชียงใหม่เสียอีก.............ดังนั้นผมจึงคิดหาแนวร่วมโดยดึงเอาลิลลี่เข้ามามีเอี่ยว..............ด้วยการยุส่งให้หล่อนชอบพี่กายเหมือนครั้งนี้ ....

                        เหมือนชะตาฟ้าลิขิต......ในที่สุดเราก็บังเอิญไปพบกันที่ตลาดโต้รุ่งในคืนหนึ่งเข้าจนได้.............ผม ปิ๋ม และลิลลี่ เดินมาด้วยกันหลังทานข้าวเสร็จ............พลันสายตาผมก็ไปปะทะกับสายตาคู่หนึ่งที่จ้องมองมาอยู่ก่อนแล้ว.........พี่กายนั่นเอง........หัวใจของผมหล่นวูบทันที...........ปรกติถ้าผมชอบใคร ผมจะมีอาการร้อนวูบวาบและก็มือไม้สั่นเสมอเมื่อได้พบสบตา............เค้าส่งยิ้มมาที่พวกเรา..............แม้ใจผมจะรู้ว่าคนที่เค้ายิ้มให้น่าจะเป็นผมมากที่สุดในกลุ่ม เพราะเราสองคนเคยแอบสบตากันมาก่อนหน้านี้แล้ว...........แต่ผมก็ยังไม่มั่นใจอยู่ดีว่าเค้ายิ้มให้ใครกันแน่................

                        “สงสัยเค้าจะชอบแก”............ผมโบ้ยให้ลิลลี่ทันที.......ซึ่งหล่อนก็เต็มใจรับไว้โดยที่ไม่ได้โต้แย้งอะไร...........หล่อนไม่ได้หลงตัวเองหรอก แต่หล่อนรู้นิสัยผมดีมากกว่า...........

                         ผมรู้สึกตกประหม่าจนควบคุมสติไม่อยู่ จึงลากเพื่อนๆเดินเลี่ยงไปที่ร้านขายผลไม้ที่อยู่ใกล้กันนั้น..........ขณะที่ผมกำลังเลือกซื้อผลไม้อยู่นั้น พี่กายก็เดินตามมายืนอยู่ข้างๆ............ถ้าตอนนั้นหากผมรู้เท่าทันผู้ชายอย่างเช่นที่เป็นในปัจจุบันนี้ ผมก็คงไม่ตกหลุมพรางของคนกะล่อนแบบพี่กายง่ายๆหรอก.........

                          “แม่ค้า.........ของน้องคนนี้คิดเงินที่ผมเลยนะครับ”...........พี่กายบอกแม่ค้าก่อนจะหันมายิ้มละไม...............ผมไม่กล้าแม้แต่จะพูดอะไรออกมา นอกจากยื่นเงินให้แม่ค้า แล้วรับเงินทอนเดินจากมา พร้อมความรู้สึกชาไปทั้งใบหน้าด้วยความอาย............

                          หลังจากที่กลับมาตั้งหลักเรียกสติกลับคือมาที่หอพักได้แล้ว.............ผมจึงเดินหมากต่อในวันรุ่งขึ้นทันที..............

                         “เราลองชวนเค้ามากินสุกี้กันดีมั้ย”..............ผมบอกแผนการที่วางเอาไว้ให้ปิ๋ม กับลิลลี่รับรู้ ซึ่งทั้งสองคนก็เห็นดีด้วย............แต่ผมไม่กล้าไปชวนเค้าตรงๆหรอกนะ.............เพราะผมไม่ถนัดเรื่องรุกไล่..........แต่ผมถนัดเรื่องทอดสะพานมากกว่า...........ถ้าจะเปรียบวิธีการทั้งสองนี้ ก็คงเหมือนกับวิชาของบู้ตึ้ง ที่เน้นใช้ความรุนแรงเข้าจู่โจม ฟาดฟัน.............ในขณะที่สำนักง้อใบ้ จะเน้นความอ่อนช้อย นุ่มนวลในการรับมือ..........และผมเอง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าถนัดแนวง้อใบ้................

                         “เย็นนี้ถ้าว่าง หนึ่งทุ่ม มาทานสุกี้ด้วยกันมั้ยครับ ที่ร้านหลัง ม. จากคนที่เจอกันที่ร้านขายผลไม้ที่ตลาดโต้รุ่ง ลงชื่อ ลิน”............ชื่อเดิมของลิลลี่ ก็คือ ลิน แต่ชื่อลิลลี่นั้น เพื่อนๆเอามาตั้งใหม่ให้เหมาะสมกับบุคลิกของหล่อนในภายหลัง...........ผมไม่กล้าแม้กระทั่งจะใช้ชื่อของตัวเองในการเขียนจดหมาย..........ทำไมถึงเป็นคนอย่างนี้นะ............ถึงกระนั้น ในปัจจุบันนี้ก็ยังเป็นแบบเดิมอยู่...........เวลาไปเที่ยวกลางคืนด้วยกัน หากเจอใครที่ถูกใจ ถ้าเดียวไม่ช่วย ผมก็คงไม่มีปัญญาทำอะไร นอกจากยืนมอง...........แต่ถึงได้เบอร์มาผมก็ไม่โทรไปอยู่ดี........เพราะอาย.......จึงได้แต่นั่งรอให้เค้าเป็นฝ่านโทรมาเอง ซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่า ได้แต่รอเก้อตลอดศก.............

                        “แกเอาไปเสียบไว้ที่หน้ารถพี่เค้าเร็ว”..........ผมออกคำสั่งกับลิลลี่.........แล้วยืนมองตามด้วยใจระทึก............

                        ตกเย็นพี่กายก็ตามมาที่ร้านสุกี้จริงๆ...........ผมแทบหัวใจหยุดเต้น............ไม่อยากจะเชื่อว่าเค้าจะมา.........

                        “คนไหนชื่อลินครับ..”.............พี่กายถามถึงคนชื่อลิน............ซึ่งหล่อนก็ต้องออกหน้ารับแทนไปเต็มๆ..............ส่วนผมเองก็รู้สึกผิดอยู่หน่อยๆ............อีตาบ้านี่จะมาถามชื่อถามเสียงให้ได้อายไปทำไมกันก็ไม่รู้..............

                       “พี่ไปก่อนนะครับ กินให้อร่อยนะ” พี่กายกล่าวลา ก่อนจะทอดสายตามาทางผม ที่ก้มหน้านิ่งอยู่ด้วยความอับอาย..............เค้าก็น่าจะรู้ว่าเป็นผมนี่นา............แล้วทำไมต้องมาถามว่าเป็นคนไหนด้วย.............หรือว่าจะมองเอาไว้หลายคน...............

                        วันต่อมาผมกับปิ๋มไปแอบดักพี่กายที่ลอบบี้หน้าห้องเลคเชอร์..............แต่จะว่าไปดัก ก็คงไม่เชิง เพราะผมเองก็ไปรอเรียนเหมือนกัน แต่ไปเร็วกว่าปกติเฉยๆ..............อิอิ............

                         แล้วพี่กายก็เดินออกมาจากห้องเรียนพร้อมกับเพื่อนๆของเค้า..............เค้ายิ้มมาที่ผมทันทีเมื่อมองมาเห็น.........หัวใจของผมเต้นไม่เป็นจังหวะอีกแล้ว............ทั้งอายก็อายแต่อยากได้ก็อยากได้ จึงทนยืนทำหน้าด้านเหมือนคนไร้ยางอายอยู่ตรงนั้น.............

                         “สวัสดีครับ...........พี่ฝากเบอร์ไว้ให้ลินหน่อยสิครับ”..............พี่กายยื่นเบอร์โทรมาให้..........ผมยื่นมือไปรับด้วยความตื่นเต้น..............อีกใจหนึ่งก็นึกฉงนว่า นี่เค้าให้เบอร์กับผมหรือว่าให้ลินจริงๆกันแน่..........

                         “อย่าลืมโทรมานะครับ”...........พี่กายกล่าวทิ้งทายก่อนจะเดินจากไป...............เค้าคงให้เบอร์ผมมากกว่าจะเป็นลินนั่นแหล่ะ........ผมคิดเข้าข้างตัวเอง............


                         ตกเย็นผมรีบนำเรื่องนี้ไปเล่าให้ลินฟัง...............พวกเราสามคนจึงตัดสินใจโทรศัพท์ไปถึงพี่กายทันที.............และไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผมจะต้องเป็นคนโทร...............(เรื่องนี้จะไม่มีมลทินเลยถ้าผมไม่เอาลิลลี่เข้ามาเกี่ยวด้วยตั้งแต่แรก ถึงอย่างไรผมก็ได้รับผลกรรมที่ก่อเอาไว้ทันควันเช่นกัน)

                         หลังจากที่คุยโทรศัพท์กันได้สักพัก..........สรุปแล้วพี่กายเค้าก็ชอบผมนั่นเอง.............ผมหันมามองหน้าปิ๋มกันลิลลี่อย่างรู้สึกผิดแกมสะใจ..............เพื่อนทั้งสองคนหน้าเจื่อนไปเล็กน้อย.............คงจะกำลังลำดับความคิดกับเรื่องที่ผ่านมา แล้วลงข้อสรุปเสียใหม่ว่า..........ที่แท้นังกั้งมันก็วางแผนมาโดยตลอด........กูโง่เองที่หลงกลไปร่วมมือกับมัน.............ในตอนนั้นผมทำเป็นตีสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้.........แล้วก็คบกับพี่กายไปตามระเบียบ..............ความจริง ผมไม่ผิดในแง่ที่ว่า เรื่องความรักมันบังคับจิตใจใครไม่ได้ เพราะขึ้นอยู่กับคนกลางที่เค้าจะเลือกเอาใคร.............แต่ผมผิดที่ไม่ยอมรับความจริงกับเพื่อนรักทั้งสองคนแต่แรกว่า...........ที่แท้ผมชอบพี่กาย..........แต่ผมกลับเลือกใช้วิธีหลอกล่อ วางแผนสารพัด.......ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำกับคนที่รักและไว้ใจกันแบบนี้............เพื่อนกันน่าจะคุยกันตรงๆมากกว่า........นั่นคือสิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากเหตุการณ์ในครั้งนั้น พร้อมกับความรู้สึกผิดที่ตามติดมาจนถึงทุกวันนี้................

                          ผมคบกับพี่กายได้ระยะหนึ่งโดยที่ไม่ได้มีอะไรล่วงล้ำก้ำเกิน เพราะผมค่อนข้างจะไว้ตัวพอสมควร...............ในที่สุดผมก็พบว่าเค้าเป็นคนเจ้าชู้ และคบกับคนอื่นอีกหลายคน..........ทั้งจากการเห็นด้วยตาของตัวเอง และจากการคาบข่าวมาบอกของลิลลี่..............ในที่สุดผมจึงเลิกกับพี่กาย............ผมจึงต้องก้มหน้ารับความเจ็บช้ำโดยดุษฎี..........สิ่งที่ได้มาด้วยวิธีการไม่บริสุทธิ์ตั้งแต่แรก.............มันก็ย่อมต้องลงเอยแบบนี้แหล่ะ........



                         วงเหล้าของเพื่อนเจ้าบ่าวเริ่มเฮฮามากขึ้นเป็นลำดับตามดีกรีของแอลกอฮอล์..............และวงดอกไม้ของเราก็เริ่มขยับเข้าไปใกล้มากขึ้นเช่นกัน................เบียร์เริ่มถูกนำมาเสิร์ฟ หยิบยื่นแลกเปลี่ยนหมุนเวียน............ตอนนี้เวลาก็ล่วงเลยมาจวนสี่ทุ่มแล้ว...........บรรดาแขกเหรื่อและญาติๆ ต่างทยอยกันกลับไปนอนเอาแรงสำหรับวันรุ่งขึ้น...........ผมเริ่มนึกเป็นห่วงนัทขึ้นมาตะหงิดๆ.............ป่านนี้จะหิวหรือเปล่าน้อ..............

                         “แกเตรียมข้าวใส่กล่องให้หน่อย ฉันจะเอาไปให้แฟน เค้านอนรออยู่ที่ห้อง”...........ผมกระซิบบอกปิ๋ม.............หล่อนพยักหน้าอย่างเข้าใจแต่ก็ยังไม่วายค่อนขอด..........

                         “ทำไมเค้าไม่มาด้วยล่ะ”............ผมอึ้งกับคำถาม ทั้งที่คาดเอาไว้แล้วว่าจะต้องเจอ............

                        “ช่างเค้าเถอะ..........แค่มาเป็นเพื่อนก็บุญโขแล้ว”..........ผมตอบ แล้วยิ้มเย็นๆ ให้หล่อนเป็นเชิงว่าอย่าถามมาก...........หล่อนจึงเดินไปเตรียมข้าวใส่กล่องให้ตามบัญชาที่ท้ายครัว............

                        “แกอย่าเพิ่งกลับนะ....อยู่ช่วยฉันก่อน..........พวกผู้ชายกำลังเมาได้ที่เลย”............ลิลลี่เดินมาหยิกแขนไม่ให้ผมรีบกลับ..............

                        “จะรีบกลับไปทำไม..........ปล่อยมันไว้นั่นแหล่ะแฟนน่ะ..........ไม่มีใครเค้ามาขโมยไปหรอกน่า”..............หล่อนดึงดันจะให้ผมอยู่ต่อเพื่อเป็นตัวช่วยในการจัดการพวกผู้ชายเพื่อนเจ้าบ่าว........ผมจึงจำใจต้องนั่งอยู่ต่อ..................ในขณะที่เดียวกับพี่แดนนั่งอยู่ในวงเหล้ากับพวกนั้นเรียบร้อยไปแล้ว................

                        “ไม่เข้ามานั่งด้วยกันตรงนี้ล่ะครับ...........ทำไมไปนั่งซะไกลเลยล่ะ........รังเกียจกันหรือเปล่า”..............แมคส่งเสียงแซว เมื่อเห็นว่าผมเดินไปหยิบก้าวอี้มานั่งห่างจากกลุ่มออกมาเล็กน้อย..........ในขณะที่ลิลลี่เข้าไปนั่งกระแซะประจ๋อประแจ๋อย่างออกรสจนน่าหมั่นไส้.............

                        ก็แล้วมันเรื่องอะไรผมต้องเข้าไปนั่งในนั้นด้วยล่ะ.............นั่งอยู่ตรงนี้ก็น่าจะพอ.........ผมไม่ถนัดหรอกนะประเภทถึงเนื้อถึงตัว..........ยกเว้นแต่ว่าจะถูกใจจริงๆ.........หุหุ............

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด