“อยู่ไหน” เสียงของเค้าฟังดูแผ่วเบา...........ไม่ยักกะดูอวดดีเหมือนเมื่อวานนี้เลย
“ในมหาลัย กำลังจะกลับห้องแล้ว” ผมทำใจแข็งไม่ลง อย่างที่ได้ตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่แรก.........ปากบอกว่าเลิก........แต่ใจไม่เลิกตาม........นี่เป็นหนแรกที่ผมบอกเลิกเค้า..........เค้าคงจะยังจับจุดไม่ได้ว่าผมคิดอะไรอยู่.........คงจะนึกว่าผมหมายความว่าจริงตามนั้น............
การบอกเลิกกันมันง่ายนิดเดียว.........แต่กว่าจะมาถึงจุดที่เราอยู่นั้น สำหรับผม มันไม่ง่ายเลยสักนิด............ต้องทุ่มเททั้งเวลา....ความรัก.....ความเสียสละและอุตสาหะนานัปประการ เพื่อประคับประคองมาโดยตลอด.........ผมไม่ถอดใจเร็วขนาดนั้นหรอก.........
มันก็เปรียบเหมือนกับการนั่งทำแลปมานานๆนั่นแหล่ะ..........ทำแล้ว ทำเล่า ผลแลปก็ไม่ออกมาอย่างที่ใจเราต้องการ..........หากท้อใจและเหนื่อยนักกับสิ่งที่ได้ทุ่มเทไป.........ที่สุดก็พาลจะเลิกจะทิ้งไปเสียกลางทางเอาดื้อๆ.........แต่นักวิทยาศาสตร์ที่ดีโดยมาก ก็เพียงแต่มักจะบ่นในตอนท้อเท่านั้น.........ตราบใดที่ยังลงข้อสรุปไม่ได้ ก็คงต้องหาวิธีการร้อยแปด เพื่อมาพิสูจน์สมมุติฐานที่ได้ตั้งเอาไว้ให้จงได้.........ต่อเมื่อได้ข้อสรุปแล้ว ทุกอย่างจึงจะถือว่าจบ..............ส่วนจะเป็นความสำเร็จหรือล้มเหลวนั้น คงมีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้........สำหรับเรา ผมถือว่ายังไม่ควรจบในตอนนี้.........
“นัทโทรมาตั้งหลายครั้ง ทำไมไม่รับโทรศัพท์”.........ตลก.........นี่จะแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เรื่องข้อความที่ผมส่งไปบอกเลิกงั้นเหรอ.............แต่ก็ไม่น่าแปลกใจหรอก............เพราะว่าเค้าเป็นคนขี้ขลาด ไม่กล้าเผชิญความจริง............ไม่กล้าแม้แต่จะยอมรับว่าตัวเองเป็นเกย์..........
“อ๋อ........มันอยู่ในกระเป๋า.......พี่ไม่ได้ยิน”.........คราวนี้ผมพยายามทำสุ้มเสียงให้ดูเย็นชา.........อยากจะดูต่อว่าเค้าจะว่ายังไง...........บางทีผมก็สับสนว่า ตัวเองเป็นคนเลือดเย็นหรือเป็นคนขี้สงสารกันแน่.............เพราะบางครั้งผมก็ให้อภัยกับพฤติกรรมแย่ๆของคนอื่นได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขอเพียงแต่เค้ายอมอ่อนข้อให้เท่านั้น............แต่ในบางทีผมก็ไม่ใส่ใจ ทำเหมือนบุคคลคนคนนั้นเป็นอากาศธาตุ ถ้าผมตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ข้องเกี่ยวอีกต่อไป ด้วยว่าโปรดไม่ขึ้น.........มันคงจะขึ้นอยู่กับว่า อารมณ์ตอนนั้นผมอยากจะเลือกเป็นอย่างไหนมั้ง........
“กินข้าวหรือยัง” นัทถาม.......ผมเหลือบมองนาฬิกา............นี่จะสี่โมงเย็นอยู่แล้ว...........เค้าถามถึงข้าวมื้อไหนล่ะ.........ถ้าจะถามถึงข้าวเที่ยงก็คงจะช้าไปแล้วมั้ง.............แต่ถ้าถามถึงข้าวเย็นก็ดูจะเร็วเกินไป.........หรืออาจจะถามแก้เก้อไปอย่างนั้นเอง............
“ยัง..........ทำไมเหรอ” ผมถามกลับเพื่อหยั่งท่าที..........
“นัทยังไม่กิน............ทำไงดีล่ะ”..........ปัญญาอ่อน.........นี่น่ะเหรอวิธีการง้อของเค้า........ตลกดี........จะท่ามากไปถึงไหนกัน............
“เหรอ........แล้วจะให้พี่ทำยังไง” .............ผมเริ่มอึดอัด.........เยิ่นเย้อ มากความ..........จะเอาไงก็ว่ามาเร็วๆสิ.........นัทอึกๆอักๆอยู่ชั่วครู่
“ทำไงดีล่ะ” เค้าพูดทวนคำซ้ำๆซากๆ เหมือนคนปัญญาอ่อน...............มันต้องใช้ศักดิ์ศรีอะไรมากมายขนาดนั้นเลยหรือไง สมบัติกะอีแค่จะชวนไปกินข้าวเนี่ย...........
“งั้นเดี๋ยวพี่พาไปกินก็ได้..........รอที่หอนั่นแหล่ะ”...........ผมตัดบทในที่สุดเพราะทนรำคาญไม่ไหว...........
ผมมาถึงที่หอนัทในเวลาต่อมา.............เค้ายืนถือถุงกระดาษใบเล็กๆรออยู่ใต้ต้นหูกวางทำหน้าตาเจี๋ยมเจี๊ยม.........พอเห็นเค้าทำสีหน้าแบบนี้แล้ว พลันผมก็เกิดความรู้สึกสงสารขึ้นมาจับใจ..........มันคงเหมือนความรู้สึกของพ่อแม่ที่ตีลูกไปเพราะบันดาลโทสะกระมัง..........พอหายโมโห เห็นลูกเจ็บและทำท่าสำนึกผิด น้ำตาคนเป็นพ่อแม่นั้นแทบจะร่วงเอาเสียให้ได้.............หรือว่า.......ผมรู้สึกเหมือนเค้าเป็นลูกนะ........หุหุ...........
“ถุงอะไร” ผมถามเมื่อเค้าขึ้นมานั่งบนรถแล้ว...............แต่ยังไม่วายตีสีหน้าให้ดูเคร่งขรึมเอาไว้ก่อน.........
“ของใช้” นัทพึมพำเบาๆ..........หึ........แปลว่าคืนนี้จะไปค้างที่ห้องงั้นสิ...........อันที่จริงผมก็ดีใจอยู่หรอกที่เค้าทำเพื่อเอาใจผมแบบนี้...........แต่ว่าหากเค้ายอมตามใจผมตั้งแต่แรก ความรู้สึกมันย่อมจะดีกว่านี้หลายเท่านัก..........ทำไมเค้าไม่รู้จักคิดนะ ว่าเรื่องบางอย่าง หากเกิดรอยร้าวแล้วยากนักที่จะประสานกลับคืนให้เหมือนเดิม.........สิ่งใดหากไม่เหลือบ่ากว่าแรง ก็สมควรที่จะเอออวยเสียแต่แรก..........เพราะโอกาสแก้ตัวไม่ได้มีครั้งที่สองเสมอไปหรอก.......
“จะกินอะไรล่ะ” ตอนนี้ผมค่อยอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย.........จึงมีแก่ใจถามไถ่เรื่องปากท้อง.......
“กินอะไรก็ได้” ...........ยังจะมาเล่นลิ้นอีก.........ผมแอบค้อนในใจ
“งั้นก็ไปกินที่เดิมแล้วกัน” นัทตัดบทก่อนที่ผมจะอารมณ์เสียไปมากกว่านี้............เพราะภาวะอารมณ์ในตอนนี้ผมไม่พร้อมที่จะอดทนกับเรื่องอะไรทั้งสิ้น..........
ที่เดิมของเค้าหมายถึงย่านที่ขายอาหารตามหลักทางศาสนา............แต่ไหนแต่ไรมาผมไม่เคยเรื่องมากเรื่องการอยู่การกิน...........เราจึงมักแวะเวียนไปตามแหล่งอาหารที่นัทโปรดปรานอยู่บ่อยๆ......อาหารที่ผมชอบของที่นั่นอย่างหนึ่งก็คือ มะตะบะโรตี............แต่ผมไม่กล้าไปซื้อเอง (ปกติผมจะขี้อายมาก) จึงต้องไหว้วานให้นัทเป็นคนคอยไปซื้อให้เสมอ..............แต่ตอนนี้ท้องผมยังอิ่มอยู่....จึงคิดเอาไว้ในใจว่าจะไปนั่งเป็นเพื่อนเฉยๆ................
นัทเดินไปสั่งอาหาร ผมแกล้งนั่งนิ่ง อยากจะดูว่าเค้าจะถามผมสักคำมั้ย.....เค้าเหลือบมามองผมก่อนจะร้องถาม
“พี่กั้งจะเอาอะไร”...........ผมส่ายหน้า............นัทจึงเดินไปเอาน้ำดื่มมาให้.........เค้าทำท่ามองผมแปลกๆอยู่แวบหนึ่ง..........
“มีอะไร” ผมกระแทกเสียงใส่........แม้จะหายโกรธแล้วแต่ผมก็ยังปรับสีหน้าให้แช่มชื่นไม่ได้อย่างใจ...........ก็ผมไม่ใช่นักแสดงนี่...........จะได้เปลี่ยนสีหน้าได้ไวปานพลิกฝ่ามือ...........
“ไม่มีอะไรนี่” เค้าปฏิเสธ ผมจ้องตอบสักพักจึงหลบสายตาลงต่ำ.............ผมไม่ชอบการสบตา.........เพราะในดวงตาของผม มันมีความลับซ่อนอยู่ตั้งมากมาย.........แล้วมันเรื่องอะไรจะให้มาล้วงเอาไปง่ายๆกันเล่า........
“รออยู่นี่นะ เดี๋ยวมา” นัทหันมาสั่งก่อนจะเดินจากไป...........เขาจะไปไหนของเค้ากันนะ........ผมชะเง้อมองตาม.............เห็นเค้าเดินไปไกลพอสมควร สงสัยจะไปซื้อของ..........
ผมนั่งรอนัทอยู่นาน.......จนอาหารที่เค้าสั่งถูกนำมาเสิร์ฟ...........
“ไปไหนนะ,,,,,,,ป่านนี้ยังไม่มาอีก” ผมพึมพัมออกมาเบาๆ...........
อันที่จริงการรอคอย เป็นสิ่งที่ผมทำเสียจนชาชินตั้งแต่เริ่มมาคบกับนัท..........บางครั้งผมอยากจะอยู่เฉยๆ.........แล้วให้นัทเป็นฝ่ายทำนั่นทำนี่ให้บ้าง...........เค้าจะทำได้ดีแค่ไหนกันนะ.........ผมเคยคิดเล่นๆว่า ถ้าเค้าให้ความมั่นใจและดูแลผมได้บ้าง ก็คงดีไม่ใช่น้อย................บางทีผมอาจจะฝันไปไกลเกินไปก็ได้.........แค่เค้าไม่ก่อเรื่องให้ต้องปวดก็ดีจนเกินพอแล้ว.................
“อ่ะ.......ซื้อมาให้” นัทกลับมาถึงที่โต๊ะ พร้อมกับยื่นถุงบางอย่างมาให้............
ผมรับมาพิจารณาดู ก่อนจะอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา..........มันคือมะตะบะโรตี..........นี่จะมาทำทีเป็นเอาใจเพื่อลบล้างความผิดละซิ.............มันอาจจะดูเหมือนการกระทำแบบเด็กๆ..............แต่ก็ทำให้รู้สึกดีเป็นบ้าเลย................
ผมส่งยิ้มให้นัทก่อนจะลงมือกินมะตะบะโรตีที่เค้าซื้อมาฝาก.............นัทเองก็หันไปจัดการกับอาหารในจานของเค้า..............เค้าหยุดลอบมองผมแวบหนึ่ง ก่อนจะก้มหน้าก้มตากินต่อ.......นี่ถ้าเพียงแต่เค้าจะรู้จักทำตัวดีๆตั้งแต่แรก ก็คงไม่ต้องเสียเวลามานั่งง้อกันแบบนี้หรอก............แต่การโกรธและง้อกัน มันก็เป็นความรู้สึกที่ดีอีกแบบนะ.......... เพราะมันทำให้เราได้รู้ว่า........เค้าแคร์ความรู้สึกเรามากแค่ไหน.......
หลังทานอาหารเสร็จผมจึงหันไปถามนัทเมื่อเรากลับขึ้นมาบนรถแล้ว..................
“จะไปไหนต่อ”........ผมรู้อยู่แล้วว่าเค้าเตรียมของมาเพื่อมาค้างคืนแต่แกล้งถามดูเพราะอยากรู้ว่าเค้าจะพูดว่ายังไง
“ไปห้องพี่กั้งก็ได้” นัททำปากขมุบขมิบ............ผมแอบอมยิ้มในใจ..........หายพยศแล้วเหรอ............
“งั้นเราไปเช่าหนังกันก่อนดีมั้ย” ผมถามความคิดเห็น...........
“ดีเหมือนกัน เดี๋ยวซื้อของไปไว้กินด้วย”.............นัทพลอยผสมโรง..............เรายิ้มให้กัน........ก่อนที่ผมจะขับรถออกจากร้านอาหาร มุ่งหน้าไปยังร้านวิดีโอเจ้าประจำ...............ตอนนี้ผมหายโกรธเค้าแล้ว...............ใจง่ายพิลึกเลยเนาะ...........อิอิ..........