พิมพ์หน้านี้ - คนละปลายทาง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: yuttaya ที่ 09-05-2007 16:18:00

หัวข้อ: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 09-05-2007 16:18:00
                    ผมเคยมีความเชื่ออย่างแรงกล้ามาตลอดว่า รักแท้ไม่ได้ถูกตีกรอบเอาไว้แค่เพียงในกลุ่มชายหญิงธรรมดาเท่านั้น มนุษย์ทุกคนควรจะมีสิทธ์เท่าเทียมกันโดยชอบธรรมที่จะได้พบเจอกับความรักแท้ รสนิยมทางเพศไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้ว่าบุคคลคนนั้นมีสิทธ์ที่จะสมหวังในความรักหรือไม่ ในเมื่อคนที่มีเพศธรรมดามีสิทธิ์ที่จะฝันหารักแท้ได้ แล้วทำไมเกย์อย่างผม ถึงจะฝันถึงมันไม่ได้...........

                    ใครกันนะช่างดูแคลนความรักของชาวเกย์เอาไว้ว่า “รักแท้ไม่มีในหมู่เกย์” บางครั้งผมสงสัยว่าคนที่พูดประโยคนั้นขึ้นมาคนแรกเป็นใคร เขามีเพศอะไร ชายหญิงธรรมดา หรือเกย์อย่างเราๆ และเพราะเหตุใดเขาถึงได้พูดประโยคนั้นออกมา แต่แค่ประโยคสั้นๆเพียงเท่านั้น มันกลับมีพิษสงในการบั่นทอนความศรัทธาในความรักของชาวเกย์ได้อย่างร้ายกาจ โดยเฉพาะกับเกย์ผู้ผ่านชีวิตรักมาอย่างโชกโชน ช่างไม่ยุติธรรมเอาซะเลย ก็ในเมื่อมนุษย์ทุกคนต่างก็ต้องการความด้วยรักกันทั้งนั้น.... แล้วเกย์ไม่ใช่มนุษย์หรือยังไง ถ้าเพียงแค่ใจเรารักกัน อุปสรรคใดๆก็ไม่อาจจะมาขวางกั้นความรักของผมได้..........

                    และแล้วโชคชะตาก็เล่นตลกกับผมจนได้ โดยได้นำพาให้ได้มาพบกับเขาคนนั้น เรื่องราวระหว่างเรามันเกิดขึ้นโดยบังเอิญอย่างที่สุด เสมือนพระเจ้าท่านจะแกล้งทดสอบความเชื่อมั่นในความรักของผมโดยแท้  แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ผมยอมรับว่า ณ ช่วงเวลานั้น ความศรัทธาในความรักของผมถูกสั่นคลอนจนแทบจะถอนรากโคนออกไปจากหัวใจของผมเสียสิ้น พร้อมๆกับการจากไปอย่างไม่มีวันกลับมาของเขา ถึงตอนนี้ผมชักไม่มั่นใจแล้วว่า มุมมองของผมที่มีต่อความรักในแบบเกย์นั้น ได้เปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหนแล้ว แต่ถึงอย่างไรผมก็ยังคงจะตามหาคนคนนั้นของผมต่อไป.......

                    เคยมีเพลงอยู่เพลงหนึ่ง พูดถึงความรักของสิ่งมีชีวิตที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว ระหว่างแมงมุมกับหิ่งห้อย ที่บังเอิญเกิดขึ้นในค่ำคืนที่แสนจะมืดมิด โดยเจ้าหิ่งห้อยผู้แสนดีได้ออกมาเที่ยวบินเล่นเพียงลำพัง และได้พบกับแมงมุมผู้น่าสงสารซึ่งกำลังเดินหลงทางอยู่ในความมืด เจ้าแมงมุมอยู่ในสภาพที่หนาวเหน็บ และหวาดกลัว ด้วยความสงสาร เจ้าหิ่งห้อยจึงอาสาใช้แสงของตัวเองนำทางพาเจ้าแมงมุมกลับไปยังบ้านของมัน ในระหว่างที่พวกมันเดินทางไปด้วยกัน มันทั้งสองได้พบเจอกับสิ่งต่างๆร่วมกันมากมาย จนเกิดเป็นความผูกพันธ์และกลายเป็นความรักในที่สุด ถึงแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่ามันทั้งสองนั้นแตกต่างกันมากมายเพียงใด และอนาคตของความรักจะริบหรี่สักเพียงไหน แต่สุดท้ายหิ่งห้อยก็เผลอรักเจ้าแมงมุมไปจนสุดหัวใจ............

                    เมื่อทั้งสองเดินทางมาถึงรังของเจ้าแมงมุม ด้วยความรักและไว้ใจ จนไม่ทันได้ระวังตัว เจ้าหิ่งห้อยที่น่าสงสารก็บังเอิญบินไปติดที่ใยของเจ้าแมงมุมจนไม่สามารถดิ้นหลุดออกมาได้ และสุดท้ายมันก็ต้องจบชีวิตของมันลงภายใต้คมเขี้ยวของเจ้าแมงมุมอย่างน่าเวทนา.....ก่อนที่ความรู้สึกสุดท้ายของมันจะดับสูญไปตราบชั่วนิรันดร์  เจ้าหิ่งห้อยน้อยจึงได้เรียนรู้ว่า ไม่มีชีวิตใดที่จะไปด้วยกันได้ไกล.....ถ้าหากทั้งสองนั้นมีจุดหมายในชีวิตที่แตกต่างกัน แต่ถึงอย่างไรกผ้ตาม.....มันก็ไม่เคยเสียใจในทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้ทุ่มเททำลงไปตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา.....เพียงเพราะคำว่ารัก เพียงคำเดียว ...............

       ตามผมมาสิ แล้วคุณจะได้รู้ว่า ผมควรเป็นหิ่งห้อย หรือ ควรเป็นแมงมุมกันแน่....................
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 09-05-2007 16:23:53
เป็นกำลังใจให้คร้าบบบบบ

 o13
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 09-05-2007 17:52:55
การนำเสนอเรื่องน่าติดตามดี  o13

หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 09-05-2007 17:59:27
ตามไปด้วยคน  :teach:

หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 09-05-2007 20:12:55
อารัมภบท ได้น่าติดตามมาก ๆ   :impress:
เป็นกำลังใจให้นะคะ   :teach:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 09-05-2007 21:45:38
บ่นได้น่าสนนะยะหล่อน อิอิ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Just let it be ที่ 10-05-2007 12:02:19
ตามมานั่งกางร่ม  ปูเสื่อรอ  ด้วยอีกคนนะคร้าบบบ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 10-05-2007 12:56:09

..........."เพราะบางทีสิ่งที่สำคัญ...ไม่ใช่ปลายทาง.........

...........แต่หากเป็นระหว่างทาง.........ว่าเราได้อะไรจากมันมา".........

...........นำเรื่องได้น่าติดตามมากคับ.....................มาต่อเร็วๆนะ.............
หัวข้อ: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 11-05-2007 10:39:09
                                                                                 ตอนที่ 1
                                                                          The origin of love

          ผมเป็นนักเรียนไทยธรรมดาๆคนหนึ่ง ที่บังเอิญโชคดีได้รับทุนรัฐบาล เพื่อศึกษาต่อระดับปริญญาเอกใน
มหาวิทยาลัยชั้นนำของเมืองไทย แถมยังมีทุนให้เดินทางไปทำวิจัยยังต่างประเทศอีกด้วยนะ แจ๊คพ็อตสองชั้นเลยใช่มั้ย
ล่ะ  แต่มันไม่ง่ายอย่างนั้นน่ะสิ ก็ไปตั้งเมืองนอกนะ แถมยังต้องไปคนเดียวอีกด้วย แค่คิดขึ้นมาท้องไส้ก็เริ่มจะปั่นป่วนซะแล้ว ก็คนอย่างผมชอบไปไหนมาไหนคนเดียวซะที่ไหนล่ะ ปกติจะกินข้าวที ก็ต้องคอยอาศัยไหว้วานให้เพื่อนๆตามกันไปเป็น
โขยง.....ก็อย่างว่าล่ะครับ คนมันน่ารักและแสนดีขนาดนี้ เพื่อนๆก็ต้องรัก...ต้องห่วงเป็นของธรรมดา จะปล่อยให้เดินลอย
ชายไปไหนมาไหนคนเดียวได้ยังไง...เดี๋ยวได้ตกเป็นเหยื่อ ปากเหยี่ยวปากกาแถวนี้กันพอดี....อิอิ.. ดังนั้นเวลาจะ
ไปไหนมาไหนที ผมต้องมีองครักษ์คอยตามไปพิทักษ์อยู่ตลอดเวลา..รู้สึกดีจัง..... แต่เอาน่า....ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ไปก็ไปวะ ทีคนอื่นยังบินไป บินมายังกะได้ตั๋วฟรี ดูหน้าตารึก็รุ่นลูก รุ่นหลานทั้งนั้น ไฉนเลยนักศึกษาปริญญาเอกอย่างผมจะไปเมืองนอกไม่ได้ คิดได้แค่นี้ก็ค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อย ทั้งๆที่ในใจลึกๆนั้น รู้สึกตุ้มๆต่อมๆพิกล...เฮ้อ........

          ฟังๆดูชีวิตผมก็ดูจะมีความสุขดีใช่มั้ยล่ะ? แต่ดังคำที่ว่า "โลกนี้ไม่เคยมีอะไรสมบูรณ์แบบ" ผมเองก็เป็นปถุชน
ธรรมดาคนหนึ่งเช่นกัน ดังนั้นจึงย่อมไม่อาจจะฝืนกฎเกณฑ์ธรรมชาติดังกล่าวไปได้ แถมยังเป็นการไม่สมบูรณ์แบบที่น่า
เศร้าที่สุด นั่นก็คือ ผมยังไม่มีแฟน..... เฮ้อ... แต่ก็เอาเถอะ ได้ข่าวว่าเพื่อนๆบางคนไปเมืองนอกแล้วได้แฟนฝรั่งกลับมาเป็น
กระบุงโกย เราเองก็คงจะไม่ยอมให้เสียเวลาไปโดยเปล่าดายเช่นกัน อุตส่าห์เอาทุนหลวงท่านไปแล้วนี่ คงต้องทำประโยชน์ให้
คุ้มค่าที่สุดนั่นแหล่ะ....ทำแลปไป...หาแฟนไป...ได้กำไรสองต่อ...จริงมั้ย? คิดได้อย่างนี้ก็ค่อยมีกำลังใจขึ้นมาหน่อยนึง แต่จะคิดไปอีกที เราเองก็ไม่นิยมฝรั่งดั้งขอ ถ้าเป็นตี๋ๆขาวๆล่ะก็ยังพอว่า แล้วไอ้เมืองฝรั่งนี่มันจะมีอะไรให้น่าพิสมัยเหลืออยู่อีกมั้ยเนี่ย...วัยรุ่นเซ็ง.....

          สุดท้ายผมก็เดินทางมาถึงต่างแดนอย่างปลอดภัยจนได้ ค่อยหายใจทั่วท้องขึ้นมาหน่อย ยังมีเหลือให้ลุ้นระทึกอีกทีก็อีตอนขากลับ แต่เอาไว้ค่อยว่ากันอีกทีก็แล้วกันเนาะ อย่างน้อยๆก็อีกตั้งห้าเดือนล่ะ....แต่จะว่าไปแล้วไอ้เมืองนอกนี้มันก็สวยดีอยู่หรอกนะ.....อะไรๆก็ดูน่าตื่นตาตื่นใจไปเสียหมด ทั้งอาคารบ้านช่อง ดอกไม้ดอกไร่ก็ดูสวยงามแปลกตา แต่จะให้ผมควักเอากล้อง
จากกระเป๋าขึ้นมาถ่ายภาพง่ายๆน่ะเหรอ ไม่มีวันซะหรอก ประเดี๋ยวเค้าก็ได้รู้กันพอดีว่าผมน่ะ ยังไม่เคยมาเมืองนอก....อิอิ...เรื่องจะให้ขายขี้หน้าฝรั่งน่ะ....ไม่มีวันซะล่ะ..
          อากาศของที่นี่ก็จัดว่าเย็นสบายดีไม่น้อย ผู้คนก็ดูหลากหลายเชื้อชาติ มีทั้งหัวทองหัวดำเดินกันให้ควั่ก มองดูเผินๆนึกว่าเป็นเมืองจีนเสียด้วยซ้ำไป แต่อย่าเผลอไปพูดภาษาจีนกับเขาเข้าล่ะ เพราะอาตี๋อาหมวยที่นี่ พูดภาษาอังกฤษเป็นไฟ แต่ภาษาจีนใบ้รับประทานครับ

          โชคดีที่ผมได้ที่พักใกล้กับมหาวิทยาลัย การเดินทางไปมาสะดวก แถมอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้เหงาอย่างที่คิด เพราะมีนักเรียนไทยอยู่หลายคน คิดๆดูแล้วผมเองก็โชคดีไม่น้อยที่ไปไหนมาไหนมักจะมีคนมาคอยดูแล ห้อมล้อมตลอด ทั้งๆที่เราเองก็ไม่ได้จะไปรู้จักมักคุ้นกับเค้ามาก่อน แต่ถ้าเป็นในอดีตชาติก็คงจะไม่แน่ ดังนั้นในระยะแรกๆจึงมีกิจกรรมให้ทำตั้งมากมาย แต่อย่าคิดว่าผมจะหลงระเริงจนลืมหน้าที่นะ ถึงยังไงก็ผมคอยระลึกอยู่เสมอแหล่ะว่า...มาที่นี่เพื่ออะไร ดังนั้นในระหว่างนั้น ผมจึงใช้เวลาว่างที่มีอยู่อย่างเหลือเฟือคอยสอดแนมทรัพยากรผู้ชายรอบๆตัว.....

          เริ่มต้นจากที่แลปก่อนเลยดีกว่า คนแรกคือดร. ลี เป็นชาวเกาหลี ตานี่มาทำวิจัยหลังปริญญาเอก ดูแล้วค่อนข้างจะผอมแห้ง แถมแก่ไปหน่อย ทั้งยังมาสืบรู้ทีหลังว่ามีเมียแล้ว จึงตัดทิ้งได้เลย คนต่อมาชื่อเดฟ เป็นนักศึกษาปริญญาเอก ดูท่าจะเป็นลูกครึ่งอาหรับ อีตานี่ชอบมาทำท่าว่าปลื้มเมืองไทยนักหนา เจอผมทีไรทำเป็นมาคุยเป็นคุ้งเป็นแคว ฟังเพลินๆบางทีก็เคลิ้มจนเกือบจะตามไปคุยต่อที่ห้องเค้าเหมือนกัน แต่เสียดายตัวโตไปหน่อย แถมน้ำหนักยังเกินซะจนน่าตกใจ เพราะฉะนั้นผมจึงตัดทิ้งทันทีที่เจอ โดยไม่ต้องใช้ไขสันหลังคิดให้เสียเวลา อีกคนหนึ่งชื่อไบรอัน เป็นนักศึกษาปริญญาโท คนนี้หน้าตาดูเข้าที ตัวสูงใหญ่ แต่ดูเซอร์ไปหน่อย ถึงยังไงก็อย่าเพิ่งตัดทิ้งตอนนี้เลย เก็บเอาไว้ก่อนดีกว่า ผู้ชายยิ่งมีน้อยๆอยู่ ส่วนอีกคนที่น่าสนใจชื่อเคนตะ เป็นนักศึกษาปริญญาตรี เชื้อชาติญี่ปุ่น แต่เกิดและโตที่นี่ หน้าตาก็ดูน่ารักเข้าที แต่ดูเหมือนตานี่จะมีสัมผัสที่หกยังไงก็ไม่รู้ เวลาเจอผมทีไรชอบเดินเลี่ยงไปทุกที ไม่ค่อยจะกล้าสบตา แต่ทีกะคนอื่นคุยน้ำไหลไฟดับเชียว.....ไม่ง้อก็ได้...แต่ผมยังไม่ตัดทิ้งหรอกนะ ยังไงจะต้องหาหนทางเอาชนะใจเค้าให้ได้ ต้องลองดูกันสักตั้ง...นี่คือปณิธานที่หาญมุ่ง......

         ถึงที่แลปพอจะมีผู้ชายอยู่บ้างแต่ก็ยังไม่เข้าตากรรมการชนิดคว้าคะแนนเต็มสิบสักคน มีแต่ขาดๆเกินๆทั้งนั้น ชนิด
ที่ว่าคัดให้เข้ารอบมาแบบฝืนใจกรรมการยังไงยังงั้น แต่อย่ากระนั้นเลยนักเรียนไทยก็ยังมีตั้งเป็นกระบุงนี่นา แรกเริ่มเดิมทีผมเองก็ใช่ว่าจะนิยมคนเชื้อชาติอื่นที่ไหน ไอ้ที่จะมาเห็นว่าฝรั่ง จีน ญี่ปุ่น เกาหลีนั้น วิเศษกว่าคนชาติตัวเห็นจะไม่มีทางเป็นแน่....ถ้ายังงั้นเรามาลองพิจารณาดูดีกว่าว่า พอจะมีหนุ่มไทยคนไหนที่น่าสนใจมั่ง..........คิคิ......................
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 11-05-2007 10:56:54
 เป็นกำลังใจให้ครับ

 :teach:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: MyLoveMyBabe ที่ 11-05-2007 12:40:07
แรกเริ่ม เกริ่นได้ดีมากครับ ชอบอ่ะ เลยอยากมาติดตามอ่านดูคับ

เป็นกำลังใจให้นะม่ลงต่อเรื่อยๆนะครับผม  :teach:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 11-05-2007 13:18:21

เอ่อ.....เขียนอัตชีวประวัติเจ้หรอเคอะเนี้ย  ทำไมมันคุ้นๆ จังเลยคร้า  :o9:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: LingNERD* ที่ 11-05-2007 14:50:50
ตามมาดัน :impress2: และ เปงกามลางใจให้คับ :teach:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 11-05-2007 20:23:21
น่าสนุก น่าสนุก  :interest:
เป็นกำลังใจให้นะคะ  o15
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 15-05-2007 10:52:13
               โลกเรานี่ก็แปลกอยู่อย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนๆ ก็มักจะมีผู้ชายน้อยกว่าผู้หญิงเสมอ และที่นี่ก็เช่นเดียวกัน ผู้ชายไทยที่ผมรู้จักมีเพียงสองสามคน ที่น้อยทั้งปริมาณและคุณภาพ เป็นอันว่าโครงการสำรวจชายไทย ณ ต่างแดนเป็นอันต้องพับไปโดยปริยาย.....ดังนั้นรวมความแล้ว คนดวงอับผู้ชายอย่างผม ยังๆไงก็ยังคงตามคอนเซ็ปส์เดิมไม่เปลี่ยนแปลง  ก็คือ อับผู้ชายต่อไป....

               สรุปว่าบรรดาผู้ชายที่อยู่รายรอบตัวผม ณ เวลานี้ ล้วนมีน้อยและไม่เป็นที่เจริญหูเจริญตาเท่าที่ควร แม้บรรยากาศที่นี่จะทั้งหนาวเย็นและแสนจะโรแมนติกสักเพียงใด แต่แทนที่ผมจะซาบซึ้งดื่มด่ำกับมัน.....เปล่าเลย.....มันกลับยิ่งทำให้ผมทวีความคิดถึงบ้านมากขึ้นเป็นลำดับ...แล้วผมจะอยู่อย่างไรต่อไปอีกตั้งห้าเดือน โดยที่มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ต่ำเช่นนี้......

               หน้าที่หลักๆของผมที่นี่ (ถ้าตัดเรื่องสำรวจทรัพยากรผู้ชายออกไปแล้ว เพราะเนื่องจากไม่คุ้มค่ากับการลงทุนลงแรงแต่ประการใด) ก็คือตื่นเช้ามาไปทำแลป ตกเย็นกลับห้อง และซุกตัวเงียบๆอยู่แต่ในห้อง ดูทีวี ทำกับข้าว เล่นเนต เพราะเนื่องจากบรรยากาศที่หนาวเย็นดังกล่าว ไม่เอื้อต่อการใส่ขาสั้นออกมาเดินเล่นตามชายหาดแม้แต่น้อย....และแล้วความเหงาก็เข้ามาเกาะกุมหัวใจของผมทีละน้อย “คิดถึงบ้าน” เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับผมบ่อยๆ จนเราแทบจะคุ้นเคยกันเหมือนเพื่อนสนิท.......

               เวลาที่คนเราไม่มีใคร รู้สึกเดียวดาย เราจะเริ่มคิดถึงบ้าน คิดถึงเพื่อน คิดถึงคนที่รักเรา แต่เหมือนผีซ้ำด้ามพลอย เพราะเนื่องจากเวลาของที่นี่ต่างกับเมืองไทยประมาณสิบสองชั่วโมง ดังนั้นในช่วงเวลาพักผ่อนหลังเลิกงานของผม จึงตรงกับช่วงเวลาที่ค่อนข้างดึกของเมืองไทยแล้ว ทำให้ผมมีเวลาแค่เพียงช่วงสั้นๆ ในการติดต่อ พูดคุยกับญาติ พี่น้อง รวมทั้งเพื่อนฝูงที่เมืองไทย ความรู้สึกของผม ณ เวลานั้น คือ ทั้งเหนื่อย..ทั้งเหงา....และไม่มีใครให้พูดจา ผมจึงเริ่มหาทางออกด้วยการหาเพื่อนคุยทางอินเตอร์เนต แต่ขอบอกเอาไว้ก่อนว่าผมไม่เคยศรัทธากับการหาแฟนทางอินเตอร์เนตเลยแม้แต่น้อย เพราะผมมีความคิดว่า มันทั้งง่ายและฉาบฉวย รวมทั้งเต็มไปด้วยสิ่งที่เราทั้งสองฝ่ายปรุงแต่งขึ้นมาจนแทบจะหาความจริงไม่เจอ บางทีผมน่าจะหาแค่เพื่อนคุยมากกว่า.... แต่คิดดูอีกที ใครเค้าจะอยากมาคุยกะคนที่เค้าไม่ได้สนใจที่จะจีบในช่วงเวลาตีหนึ่งตีสองของเมืองไทยแบบนี้ แม้กระทั่งตัวผมเองก็เถอะ ผมเองก็อยากจะคุยกับคนที่เราสนใจ ไหนๆก็เสียเวลาแชทไปแล้วนี่ เพราะฉะนั้นก็น่าจะหาทั้งเพื่อนคุยและก็หาแฟนไปด้วยเลยดีกว่า ถือเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว.........

                หลังจากที่ผ่านความพยายามมาได้สักระยะหนึ่ง  ผมก็พบว่า มันฉาบฉวยอย่างที่ผมคิดตั้งแต่แรกจริงๆนั่นแหล่ะ ไม่มีใครสนใจอยากจะเรียนรู้ซึ่งกันและกันทางอินเตอร์เนตหรอก ผมเบื่อที่จะต้องตอบคำถามซ้ำๆซากๆ ราวกับว่าพวกเขาเหล่านั้นได้ท่องมันเอาไว้จนขึ้นใจแล้ว “อย นน สส แบบไหน แถวไหน” ทำไมไม่มีใครถามมั่งว่า กินข้าวรึยัง  อาหารที่ชอบคืออะไร หรือไม่ก็กรุ๊ปเลือดอะไร พรรณนั้น

              ถ้ายังงั้นก็ลองเปลี่ยนแนวใหม่ดีกว่า ในเมื่อการแชทไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของผม ดังนั้นผมจึงหันมาค้นหาจากผู้ที่มาลงประกาศหาแฟนในเวปต่างๆแทน โดยผมจะเลือกดูจากข้อความที่เค้าบรรยายถึงตัวเองเอาไว้ รวมทั้งคุณสมบัติของแฟนที่อยากจะได้ แบบนี้น่าจะดูจริงจังมากกว่า อย่างเช่น ผมนาย ก หาแฟนวัยทำงาน ไม่สาว...... ผมนาย ข หาแฟนที่เป็นแมนเหมือนกัน และ ผมนาย ค หาคนที่ไม่แสดงออกเหมือนกัน อืม....... ยากแฮะ มีแต่คนอยากมีแฟนแมนๆเหมือนตัวเอง สรุปแล้วเกย์แมนน้อยกว่าอย่างผมจะขายออกเหรอนี่ ก็ในเมื่อเกย์แมนก็ดันไปจับคู่กับเกย์แมน ซะหมดแบบนี้.....

               หลังจากที่ควานหามานาน ผมก็มาเจอคนที่คิดว่าน่าสนใจที่สุด เค้าเขียนบรรยายเอาไว้สั้นๆ ว่า เค้าอายุสามสิบหก วัยทำงาน และกำลังมองหาคนที่จะคบกันอย่างจริงจัง ที่สำคัญเป็นเกย์แมนซะด้วย อิอิ  ถึงหน้าตาจะยังไม่เคยเห็น แต่เค้าบอกว่าเค้าหน้าตาใช้ได้ ถึงจะยังไงก็เถอะ ผมน่าจะหันมาพิจารณาคนที่คุณสมบัติอื่นมากกว่าหน้าตาบ้างดูแล้ว จากนั้นผมจึงเริ่มดำเนินการส่งเมลไปถึงเค้า โดยบรรยายว่าผมเป็นใคร ตอนนี้กำลังทำปริญญาเอกอยู่ และมาทำแลปที่เมืองนอก อยากรู้จักเค้าให้มากกว่านี้ ผมพยายามที่จะเขียนสั้นๆแต่ได้ใจความ โดยเน้นให้เค้าเห็นว่าผมมีความพิเศษกว่าคนอื่นๆแค่ไหน จากนั้นผมก็แค่นอนกระหยิ่มรอเก็บผลเพียงอย่างเดียว.......อยากให้เค้าติดต่อมาเร็วๆจัง........

               ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ในใจของผม มั่นใจเหลือเกินว่า คนคนนี้จะต้องติดต่อมาอย่างแน่นอน จนกระทั่งเช้าวันจันทร์ วันนั้นผมมีงานที่แลปแต่เช้าตรู่ วันนั้นผมเปิดเช็คเมลจากเครื่องของมหาวิทยาลัย โดยในใจลึกๆแอบหวังว่า บางทีเค้าน่าจะติดต่อมา.......และแล้วเค้าก็ไม่ทำให้ผมผิดหวัง  “ หวัดดีคับ พี่ชื่อดุ๊ก ยินดีที่ได้รู้จักน้องกั้งนะคับ กั้งจบมหาลัยเดียวกันกับพี่เลย พี่จบตรีวัสดุศาสตร์ แล้วก็ไปต่อโทที่ลอนดอน ตอนนี้กลับมาช่วยที่บ้านทำโรงงานเซรามิกส์ อยู่ทางโน้นเป็นยังไงบ้าง เรียนเหนื่อยมั้ยครับ”  อืม..... ไม่เลวสำหรับคุณสมบัติเบื้องต้นของเค้า แต่อย่าเพิ่งเทคะแนนให้เชียว ก็ในเมื่อหน้าตาก็ยังไม่เคยเห็นสักนิด มันไม่เร็วขนาดนั้นหรอกน่า.... คืนนั้นผมเข้านอนแต่หัวค่ำ แถมยังหลับฝันดี ความหว้าเหว่ในใจของผมกำลังส่อเค้าว่าจะจางหายไปในไม่ช้านี้แล้ว........
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 15-05-2007 12:55:22
 o21  ไอ้พี่ดุ้ก  มันออกมาแล้วววววววววววววววววววววววววววววววววววว  :oak:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 15-05-2007 14:17:15
               เราสองคน (พี่ดุ๊กและผม) เริ่มติดต่อกันทางเมลถี่ขึ้นเรื่อยๆ........จากวันละหนึ่งครั้ง กลายเป็นวันละสองหรือสามครั้ง.....ดังนั้นกิจวัตรประจำวันที่เพิ่มขึ้นมาอีกอย่างหนึ่งของผมคือ รอเมลจากพี่ดุ๊ก.......เค้าจัดว่าเป็นคนที่มีแนวคิดใช้ได้ทีเดียว คือ มีความตั้งใจจริงที่จะใช้ชีวิตคู่แบบเกย์ ไม่เจ้าชู้เหลาะแหละ และเห็นคุณค่าของสิ่งที่อยู่นอกเหนือจากคุณสมบัติภายนอก อืม....แบบนี้แหล่ะที่ผมกำลังตามหา เราเริ่มคุ้นเคยกันมากขึ้นเรื่อยๆ เค้าเริ่มส่งรูปของตัวเค้าเอง รูปแม่ และหลาน แม้กระทั่งสุนัข มาให้ผมดู......แปลกดี ผมยังไม่เคยเจอใครแบบนี้มาก่อนเลย....ส่งรูปหมาที่บ้านมาใด้ดูเหรอ....คิคิ...เค้าชอบเล่าเรื่องเกี่ยวกับแม่ หลาน ที่ทำงาน รวมถึงเจ้าหมาที่น่ารักทั้งสองตัวของเค้า.....เราคุยเรื่องพวกนี้กันอยู่บ่อยๆ จนผมรู้สึกคุ้นเคยกับคนที่บ้านและหมาของเค้า.....ดูท่าทางเค้าจะจริงจังกับความสัมพันธ์ของเราค่อนข้างมากทีเดียว.......แต่ผมกลับรู้สึกลังเล......

               จะว่าไปแล้วเค้าไม่ใช่คนหล่อ จัดว่าหน้าตาธรรมดาๆ... เมื่อเทียบกับหน้าตาและคุณสมบัติอย่างผมแล้ว ผมน่าจะหาคนที่ดูดีกว่าเค้าได้หลายเท่า แต่ด้วยคุณสมบัติ และความคิดอ่านของเค้า มันทำให้ผมคิดว่า......น่าเสียดายถ้าจะปล่อยเค้าหลุดมือไป......ในเมื่อรูปกายเป็นของที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอน แล้วทำไมผมจะต้องไปใส่ใจกับเรื่องพวกนั้น และนี่ก็อาจเป็นโอกาสสุดท้ายก็ได้ ที่ผมจะได้เจอคนดีๆแบบนี้ เค้าคือคนที่ผมตามหามาตลอดชีวิตไม่ใช่เหรอ........ผมจึงเริ่มสะกดจิตตัวเองให้ชอบเค้า.....ดุ๊กๆๆๆๆๆๆ

               จากเพียงแค่การเมลคุยกันบ่อยๆ พี่ดุ๊กเริ่มรู้สึกว่า.....มันยังไม่เพียงพอที่จะลดช่องว่างของระยะทางระหว่างเราลงได้......ดูท่าเค้าจะชอบผมมากทีเดียว.........เค้าเริ่มโทรมาคุยเสมอๆ.......ผมยอมรับว่าประทับใจในความพยายามของเค้ามาก.....ทั้งๆที่ยังไม่เคยได้พบตัวจริงของกันและกัน....โทรทางไกล เสียตังไม่ใช่น้อยๆ........ทุกครั้งที่ได้รับโทรศัพท์จากพี่ดุ๊ก ผมรู้สึกตื่นเต้น ดีใจ แต่อีกใจลึกๆ ผมกลับรู้สึกกลัว......กลัวที่จะเสียเค้าไป.......แต่ในขณะเดียวกันก็กลัวกับการลุกล้ำของเค้าเข้ามาในอาณาจักรของผมทีละน้อย ทำไมผมยังหวงพื้นที่ส่วนตัวกับคนคนนี้ อาจเป็นเพราะผมเองก็ไม่แน่ใจว่าคิดอย่างไรกับเค้ากันแน่......แต่อย่างไรก็ดีเราได้ทำข้อตกลงกันเอาไว้แต่ต้นแล้วว่า “เมื่อไหร่ก็ตามที่เราเจอกัน เราจะคบกันแบบคนรักหรือไม่ ค่อยว่ากันอีกที”.....อืม

               ในระหว่างนี้ โดยทางเทคนิคแล้วถือว่าผมคบอยู่กับพี่ดุ๊ก....ผมจะเก็บเค้าเอาไว้เป็นตัวเลือก....ฟังดูอาจจะเห็นแก่ตัว....แต่จะรู้ได้ยังไงว่าผมเองก็ไม่ใช่ตัวเลือกของเค้าเช่นกัน......ก็ลองคิดดูสิ คนไม่เคยเห็นหน้าค่าตา จะให้รักกันเข้าไปได้ยังไง ผมเองก็คิดว่าเค้าน่าจะเข้าใจในข้อนี้ดี.....รัก ไม่รัก เจอกันที่เมืองไทยเดี๋ยวก็รู้.....

               “พี่กั้ง นักเรียนไทยเค้ามีนัดกินข้าวที่ร้านอาหารจีนเย็นนี้ ไปป่าว”
               นักเรียนไทยที่นี่มักจะมีนัดปาร์ตี้กันเสมอๆ อย่างน้อยก็อาทิตย์ล่ะครั้ง ตอนนี้ผมกลายเป็นพ่อครัวประจำกลุ่มไปโดยปริยาย ทั้งๆที่อยู่เมืองไทยไม่เคยว่าจะได้ทำกับข้าว แต่ของอย่างนี้มันอยู่ในสายเลือดอยู่แล้ว คนทำกับข้าวอร่อย หยิบจับอะไรก็อร่อยไปหมดแหล่ะ..ที่นี่วัตถุดิบจากเอเชียหาง่ายมาก มีขายเยอะแย่ะที่ร้านเอเชียน ชอปส์ เสียอยู่อย่างเดียว ราคาแพงกว่าที่เมืองไทยตั้งสามเท่าแน่ะ....เมนูอาหารไทยๆจึงถูกเรียกร้องเสมอๆ เวลาที่นักเรียนไทยมาชุมนุมกัน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครเป็นคนทำกับข้าว...หุหุ

               น่าแปลกที่คราวนี้มาจัดเลี้ยงกันที่ร้านอาหาร ไม่ยักกะทำกับข้าวกินที่ห้องเหมือนเคย.....ดีเหมือนกัน ไม่ต้องเหนื่อยแรง.....ถึงผมจะอยู่มาสามเดือนแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้พบนักเรียนไทยทั้งหมด เพราะช่วงที่ผมมาอยู่ที่นี่....เป็นช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อนพอดี นักเรียนไทยบางคนจึงถือโอกาสกลับบ้าน หรือไปเที่ยวพักร้อนกัน....ดังนั้นงานเลี้ยงครั้งนี้จึงมีหลายคนที่ผมยังไม่ทันได้รู้จัก.....

               ผมมาถึงที่ร้านช้ากว่าคนอื่นๆ ด้วยความที่โต๊ะกินข้าวที้ร้าน นั่งได้จำนวนจำกัด เราจึงแยกกันนั่งสามโต๊ะ....หลังจากที่ทักทายกันพอหอมปากหอมคอ...ผมจึงเริ่มกวาดตาสำรวจดูแต่ละโต๊ะว่ามีใครแปลกหน้ามามั่ง....พลันสายตาผมก็ไปสะดุดกับสายตาคู่หนึ่ง....ผมตะลึงไปชั่วขณะ....ได้แต่พยายามซ่อนอาการตื่นเต้นเอาไว้ในใจ......หล่อ...นี่คือความคิดแวบแรกที่ผมรู้สึก... ไฮโซ....เกย์.....แต่เดี๋ยวสิ....อาจจะไม่แน่เหมือนกัน....เสียดายที่นั่งอยู่คนละโต๊ะ.....ผมรู้สึกแค่ว่า เค้าชอบแอบชำเลืองมองมาที่ผมบ่อยๆ....อาจจะเป็นเพราะเค้าอาจจะสงสัยใคร่รู้ว่าผมเป็นใคร....หรืออาจเป็นเพราะผมดูน่าสนใจ......อิอิ

               หลังจากกลับจากงานเลี้ยง ข้อมูลที่ได้ก็คือ เค้าชื่อเต้ จบถาปัตย์จากเมืองไทย แล้วมาต่อโทที่นี่ ด้วยทุนที่บ้าน....ว้าว....รวย...ข้อมูลที่เหลือผมยังไม่กล้าล้วงลึก.....เนื่องจากเกรงว่าจะเป็นที่โจษจั่นของคนอื่นๆ....ได้แต่คิดเอาไว้ในใจว่า “มีชุมนุมกันคราวหน้าอีกเมื่อไหร่ นายต้องเสร็จผมแน่ นายเต้”

               การพบเต้ครั้งนั้นทำให้ชีวิตอันแห้งแล้งในดินแดนอันไกลบ้านเกิดของผม กลับมีชีวิตชีวาขึ้นมาในทันที.....ขณะนั้นในใจของผมได้ลืมพี่ดุ๊กไปเสียสิ้น.....ก็มีเกลืออยู่กับตัว จะมัวไปกินด่าง ก็คงจะเสียสติเต็มที....ใจผมตอนนี้มีแต่คนชื่อเต้ๆๆๆๆๆ ผมต้องจัดการเค้าให้อยู่มือ.....แต่จะทำยังไงล่ะ.....ในเมื่อผมไม่มีช่องทางที่จะเข้าถึงตัวเค้าได้เลย.....คืนนั้นผมจึงนอนวางแผนเงียบๆอยู่ในใจคนเดียว.....ต้องมีสักทางสิน่า.....
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 15-05-2007 16:01:51
..........นี่แหละหนา........ชีวิตเกย์........... :o11:

..........ไขว่คว้ากันไม่รู้จักจบจักสิ้น........... o8

..........ว่าแต่คล้ายชีวิตเจ๊สองเลยเนอะ.......... :laugh: :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 15-05-2007 19:46:04
เขียนได้น่าติดตามดีค่ะ  :teach: ชอบมาก  :like6: เป็นกำลังใจให้นะคะ   :impress:
ปล. สงสัยจะคล้ายกับชีวิตเจ้อย่างมาก เจ้ถึงออกอาการขนาดนี้  :o9:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 15-05-2007 21:03:23

ตกลงกระเทยทำไมต้องเป็นแม่ครัวตลอดเลยเคอะ  เหมือนเจ้เลย  อิอิ


ปล. อีสองรีบนหัวอิชั้นเนี้ย  รู้ดีจริงจริ้ง  o12
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 15-05-2007 21:57:30
กร๊ากมันๆๆ
อ่านแล้วเหมือนถูกดึงให้ลอยไปใช้ชีวิตเมืองนอกเลย
 :impress2:

แถมได้อ่านชีวิตของสองด้วยแหะ
 :laugh:

อย่างที่แก๊บว่า มันเป็นเช่นนั้นแล
 :o12:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 16-05-2007 16:51:52
มั่วแล้ว! สอง....เสิง ที่ไหน ไม่เห็นจะรู้จัก คิคิ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 16-05-2007 17:01:03

เอ่อ.....เขียนอัตชีวประวัติเจ้หรอเคอะเนี้ย  ทำไมมันคุ้นๆ จังเลยคร้า  :o9:

อันเนี๊ยะ เลยคิดว่าชีวิตที่เล่าคงไปคล้ายสองเข้าพอดีด้วยอ่ะครับ
เพราะไปทำวิจัยเมืองนอกเหมือนกัน
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 17-05-2007 13:35:08
               เมลจากพี่ดุ๊กยังคงมีมาเสมอๆ  สลับกับการโทรศัพท์บ้างเป็นครั้งคราว จะว่าไปแล้วเค้าก็มีส่วนช่วยทำให้ผมหายเหงาไปได้ไม่น้อย.... แต่ถึงยังไงผมก็ยังไม่คิดจะจริงจังกับเขามากนัก..... เรื่องนี้เอาไว้ค่อยคิดกันอีกทีตอนกลับเมืองไทยแล้วดีกว่า....
              “ถ้ากั้งกลับมาเมืองไทยแล้ว พี่จะพากั้งไปแนะนำกับแม่ และเพื่อนสนิทของพี่ พี่ภูมิใจมากเลยนะที่จะมีแฟนเป็นถึงดอกเตอร์” พี่ดุ๊กมักบอกผมแบบนี้เสมอเวลาที่เราคุยกัน......ผมได้แต่รับฟังเงียบๆโดยไม่ได้แสดงอาการโต้แย้งใดๆ.......ความจริงผมยังไม่อยากจะจินตนาการไปไกลถึงขนาดนั้น.....แต่บางครั้งก็อดไม่ได้ที่จะปล่อยอารมณ์ให้เตลิดไปตามวิมานในอากาศที่เค้าพยายามสร้างมันขึ้นมา....นี่ผมกำลังจะปล่อยใจตัวเองให้รักคนที่ยังไม่เคยเห็นแม้กระทั่งตัวจริงกระนั้นหรือ...จะฝันเฟื่องไปหน่อยแล้วมั้ง...บางครั้งอารมณ์คนเราก็อ่อนไหว ยิ่งกว่าเปลวเทียนในยามต้องลมเสียอีก.....โดยเฉพาะในยามที่อยู่ไกลบ้าน ไร้ญาติขาดมิตรเช่นนี้...เค้าเป็นสิ่งเดียวที่ผมพอจะยึดเหนี่ยวได้ ณ เวลานั้น...

               นี่ก็ล่วงเข้าเดือนที่สี่ในต่างแดนของผมแล้ว........พี่ดุ้กหายไปพร้อมกับเมลสุดท้ายของเขา “อาทิตย์หน้า พี่จะไปเปิดบู๊ตแสดงสินค้าที่เยอรมัน ว่าจะไปหากลุ่มลูกค้าใหม่ๆแถวนั้นบ้าง ไม่แน่ว่าที่โน่นจะมีอินเตอร์เนตใช้หรือเปล่า ยังไงพี่จะพยายามหาทางติดต่อมานะครับ”
              เยอรมันเหรอ?.... ไปนานเป็นอาทิตย์แบบนี้ ผมก็เหงาแย่สิ......ส่วนข่าวคราวงานปาร์ตี้ครั้งต่อไปของนักเรียนไทยก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า....หนทางที่ผมจะได้รู้จักเต้ก็ดูเลือนรางเต็มที.....เฮ้อ..อุตส่าห์วาดฝันเอาไว้ตั้งนานนม.....ถึงจะสนใจในตัวเต้มากแค่ไหน แต่ผมก็คงทำอะไรไม่ได้มากเพราะไม่ใช่จริตนิสัย....คนอย่างผมทำได้มากที่สุดก็คงแค่สร้างสะพานเสริมใยเหล็กทอดเอาไว้เงียบๆเท่านั้น...หากเค้าไม่ประสงค์จะก้าวข้ามมาเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรี ก็คงจะจนด้วยเกล้า...สิ่งที่ผมพอจะทำได้สำหรับเต้ในตอนนี้ ก็คือการนึกคิดจินตนาการเล่นๆไปร้อยแปด ตามแต่ใจปราถนาภายในใจอันแสนซื่อของผมดวงนี้ก็เท่านั้นเอง.....

               ช่วงนี้งานที่แลปเริ่มทวีความหนักหน่วงมากขึ้นเรื่อยๆ..... ผลแลปไม่เป็นไปดังที่ผมคาดหมายเอาไว้ จากความเรื่อยเฉื่อย...สบายๆ....กลับกลายมาเป็นความตึงเครียดเข้ามาแทนที่.....ผมจะไม่ยอมกลับไปเมืองไทยมือเปล่าแน่นอน....อย่างน้อยๆจะต้องได้ผลแลปกลับไปด้วย.....แม้จะไม่ได้เปเปอร์ดังที่ฝันเอาไว้ตั้งแต่แรกก็ตาม.....ระยะหลังนี้ผมจึงเริ่มเก็บตัวเงียบ.....ไม่อยากสุงสิงกับใคร.....มีเพียงทีวีและอินเตอร์เนตเท่านั้นที่คอยเป็นเพื่อนคลายเหงาในยามค่ำคืน หลังจากการกรำงานในแลปที่แสนจะน่าเบื่อมาทั้งวัน......ผมกลับมาเหงาเหมือนเดิมอีกแล้ว...และเริ่มกลับมาติดแชทอีกครั้งอย่างไม่น่าให้อภัย........มีสิ่งที่น่าแปลกอยู่อย่างหนึ่งก็คือ ผมไม่สามารถเข้าไปคุยในห้องเกย์เชียงใหม่ได้..... แต่กลับเข้าได้เฉพาะห้องเกย์กรุงเทพเท่านั้น... แต่ก็ช่างมันเถอะ จะที่ไหนๆก็เหมือนกันนั่นแหล่ะ ผมเองก็แค่อยากหาเพื่อนคุยฆ่าเวลาไม่ใช่หรือยังไง......ห้องเกย์กรุงเทพจึงเป็นที่ ที่ผมคอยแวะเวียนเข้าไปหาเพื่อนคุยอยู่เสมอๆ....แต่จนแล้วจนรอด ผมก็ยังไม่เจอใครที่ถูกใจเลยสักคนเดียว....
   
               คืนนี้ก็เป็นอีกคืนหนึ่งที่แสนจะน่าเบื่อ.....หลังจากเพื่อนที่เมืองไทยในเอ็มเอสเอ็น คนสุดท้ายของผมออฟไลน์ออกไปแล้ว ผมจึงเปลี่ยนมาเข้าห้องแชทแทน ด้วยหวังว่าจะหาใครสักคนคุยเล่นก่อนเข้านอน ถ้าเทียบกับเวลาที่เมืองไทย ก็คงจะเป็นเวลาประมาณหกทุ่มพอดี...
               ผมมีหลักการในการเลือกเพื่อนคุยอยู่อย่างหนึ่งก็คือ ผมจะเลือกคนที่ใช้ชื่อในการเล่นขึ้นต้นด้วยคำว่า “Guest” เสมอ เพราะเนื่องจากผมคิดเอาเองว่า คนจำพวกนี้น่าจะเป็นประเภทขาจร คงไม่ได้แวะเวียนเข้ามาแชทบ่อยๆ เพราะฉะนั้นผมจึงน่าจะเจอเพื่อนคุยที่ถูกใจบ้าง....คุยหาเพื่อนหรือแฟนแต่ไม่เน้นเรื่องเซ็กส์...
               “หวัดดีคับ” ผมเปิดฉากทักคนๆแรกที่เจอ
               “หวัดดีครับ” อีกฝ่ายตอบกลับมาเกือบจะในทันที
               “มีเพื่อนคุยหรือยังคับ” ผมรีบถามต่อ
               “ยังครับ เพิ่งเข้ามา”
               “เล่นแถวไหนครับ” ผมยิงคำถามต่อตามความเคยชินประสาคนที่ผ่านการเล่นแชทมานาน
   “เชียงใหม่”
               เฮ้ย! เชียงใหม่ เหรอ .....มาอยู่ห้องเกย์กรุงเทพได้ไง? ผมอุตส่าห์มาเล่นที่ห้องกรุงเทพ...ยังดันมาเจอคนจากเชียงใหม่ด้วยกันจนได้... โลกนี้ช่างกลมจริงๆ.....จะว่าไปแล้วผมเองก็นับว่าโชคดีไม่น้อย เพราะถึงยังไงเราก็อยู่เชียงใหม่เหมือนกัน คุยอะไรกันก็น่าจะรู้เรื่องมากกว่าคนจากที่อื่น...อีกทั้งการได้คุยกับคนเชียงใหม่ก็ทำให้ผมคลายความคิดถึงเชียงใหม่ไปอีกอักโข.......
   “ทำไมเล่นห้องเกย์ กรุงเทพล่ะ”
   “ไม่รู้เหมือนกัน ผมเพิ่งหัดเล่นครั้งแรก”
               ไม่อยากจะเชื่อว่าเค้าจะพูดความจริง แต่ในตอนนั้นผมกลับเชื่อสนิทใจ.....มิหนำซ้ำยังบังอาจไปสอนวิธีการเล่นแชทให้เค้าต่างๆนานาอีกต่างหาก.....ใสซื่อจริงหนอเรา.....

               คืนนั้นเราคุยกันอย่างออกรส ผมบอกเค้าว่าผมเองก็เรียนอยู่ที่เชียงใหม่เหมือนกัน ตอนนี้มาทำแลปที่เมืองนอก แต่ผมไม่ยักกะบอกเค้าว่ากำลังเรียนปริญญาเอกอยู่ คงเป็นเพราะถ้าผมบอกไป เค้าอาจจะคิดว่าผมแก่และเรียนมากเกินไปก็ได้ เลยจะพาลไม่อยากคุยด้วยเสียเปล่าๆ...ปล่อยให้เดาเอาเองดีกว่า...
   หลังจากที่คุยกันมาได้สักพัก.....ผมจึงขอแอดเค้าในเอ็มเอสเอ็น......เค้าก็ตอบตกลงทันทีโดยไม่ลังเล...เสร็จผมล่ะ....อิอิ....จากนั้นเราจึงขอแลกรูปกันดู.....ท่าทางเค้าดูจะพอใจที่ได้คุยกับผมเหมือนกัน...... เค้าบอกว่าชื่อนัท กำลังเรียนหมออยู่ที่เชียงใหม่ปีสุดท้าย ช่วงนี้ว่างๆเลยอยากหาเพื่อนคุยเล่น 
   “ผมเป็นไบ อยากมีแฟนเป็นผู้หญิงมากกว่า”
                หึ....ตลกล่ะ.....อยากมีแฟนเป็นผู้หญิง แต่มาเข้าห้องเกย์นี่นะ.....ไปหลอกเด็กอนุบาลเถอะ 

               นัทมีกล้องด้วย ทีแรกเค้าไม่ยอมเปิดกล้องให้ผมดู โดยให้เหตุผลว่าเขิน....แต่เมื่อผมรบเร้าหนักเข้า...สุดท้ายเค้าจึงยอม.... ความรู้สึกของผมเมื่อมองนัทผ่านทางกล้อง....ดูท่าทางเค้าค่อนข้างจะขี้อาย....สงสัยคงจะไม่ค่อยได้ทำเรื่องแบบนี้บ่อยนัก....ดูน่ารักทีเดียวแหล่ะ....เรียกได้ว่าเป็นผู้ชายในแบบที่ผมชอบเลยล่ะ....สูงร้อยแปดสิบ....เป็นคนจีน...ตี๋....ขาว.....ใส่เหล็กดัดฟัน....แถมเรียนหมออีกต่างหาก....เพอร์เฟคส์..
ผมให้สัญญากับนัทว่าคราวหลังจะไปซื้อกล้องมาติดที่แลปทอปของผมบ้าง....เพื่อที่เค้าจะได้มีโอกาสมองเห็นผมผ่านทางกล้องเช่นกัน......

              หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป.....นัทกลายเป็นเพื่อนคุยขาประจำของผมในยามค่ำคืน เค้าเป็นคนแปลก บางทีก็ดูไม่มั่นใจในตัวเอง.....แต่บางทีก็ดูเอาแต่ใจตัวเอง.....บางทีก็พูดขวานผ่าซาก.....ถ้าจะเรียกว่าเถื่อนก็น่าจะเหมาะสมที่สุด.....เมื่อก่อนเพื่อนๆมักบอกผมเสมอว่า “อย่างแกมันโรคจิต...ชอบอะไรเถื่อนๆ” ซึ่งก็คงจะจริง ผมพอใจในตัวนัทมาก ยิ่งได้คุย...ยิ่งติดเค้าแจ วันไหนไม่ได้คุยจะมีอาการกระวนกระวาย.....อะไรบางอย่างในหัวบอกผมว่าผมกำลังจะปล่อยอารมณ์ตัวเองให้อ่อนไหวมากเกินไปแล้ว.....แต่นิสัยของผมที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ ไม่เคยห้ามใจตัวเอง.....นัทเองก็คงจะรู้ข้อนี้เช่นกัน...เค้าเริ่มเอาแต่อารมณ์ วันไหนอยากคุยก็จะคุย วันไหนถ้าเค้าจะเล่นเกมส์เค้าก็จะไม่สนใจผมเลย.....ผมปล่อยให้เค้าทรมานผมด้วยความเย็นชาของเขาอยู่แบบนี้ได้พักหนึ่ง จนสุดท้ายมันก็กลายเป็นความชาชิน.....ผมจะไม่สนใจเค้าอีกแล้ว.....อยากจะคุยก็คุย...ไม่อยากคุยก็ตามใจ...แต่เชื่อมั้ย...มันเป็นเหมือนยาเสพติด...ยิ่งห้ามใจตัวเอง...ใจมันกลับยิ่งถวิลหา...วันไหนที่เค้าอารมณ์ดี...เค้าจะร้องเพลงให้ผมฟังผ่านทางเอ็มเอสเอ็น...เพลงประกอบละครฟูลเฮ้าส์.... อืม...อยากจะร้องก็ร้องไปเถอะ ผมไม่ได้สนใจจะฟังมากนักหรอก แค่เพียงได้ยินเสียงเค้า ก็สุขใจพอแล้ว....

              ผมเริ่มป่าวประกาศไปยังบรรดาเพื่อนๆที่เมืองไทย ถึงช้อยส์ทั้งสองของผม (พี่ดุ๊กและนัท) คนนึง นิสัยดีและ ทัศนคติเยี่ยม รวย การศึกษาดี แต่แก่และหน้าธรรมดา.....ส่วนอีกคน อยู่เชียงใหม่เหมือนกันกับผม กำลังเรียนหมอ สูงขาวยาวใหญ่...แต่เด็ก...คงจะหาแก่นสารอะไรไม่ได้..
              บรรดากูรูทั้งหลายต่างฟันธงพร้อมเพรียงกันว่า ให้ผมเลือกที่ความเหมาะสม ดีกว่าจะมาช้ำใจในภายหลังเพราะเด็กไม่มีความคิด....เช่นนั้น......ผมจึงเริ่มสะกดจิตตัวเองให้คล้อยตามทัศนะของกูรูทั้งหลายดังกล่าว....แต่ในใจลึกๆของผมรู้ดีว่าผมชอบเล่นกับไฟมากกว่า........


             พี่ดุ๊กหายไปนานมากกว่าหนึ่งอาทิตย์แล้ว เค้าน่าจะติดต่อมาบ้าง.....ข่าวคราวของเค้าเงียบหายไปพร้อมๆกับความน้อยใจที่เริ่มพอกพูนในตัวผมมากขึ้นทุกวัน......จะน้อยใจทำไมนะ ในเมื่อตัวเราเองก็ไม่ได้ว่าจะชอบเค้าเสียด้วยซ้ำไป.....มนุษย์เราก็เป็นแบบนี้เสมอ....จะรู้คุณค่าของบางอย่างก็ต่อเมื่อได้สูญเสียมันไปแล้ว.....ผมกระหน่ำเมลไปตัดพ้อต่อว่าเค้าสารพัด.....แต่ทุกอย่างก็ยังเงียบหายเหมือนเดิม.....ประหนึ่งก้อนหินที่ถูกขว้างลงเหว....นี่เค้าจะทิ้งผมจริงๆหรือนี่?

            ในขณะที่ผมกำลังข่มจิตใจไม่ให้ฟุ้งซ่านเรื่องการหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยของพี่ดุ๊ก ทั้งยังอยู่ในสถานการณ์ลุ่มๆดอนๆสามวันดีสี่วันไข้กับนัท ผมก็ได้รับฟอร์เวิร์ดเมลจากเพื่อนนักเรียนไทย ส่งต่อๆกันมา เพื่อถามความสมัครใจในการเข้าร่วมงานปาร์ตี้วันเกิดของรุ่นพี่นักเรียนไทยคนหนึ่งช่วงสุดสัปดาห์นี้....ผมเห็นมีรายชื่อของเต้อยู่ในลิสต์ของฟอร์เวิร์ดเมลด้วยเช่นกัน.....หัวใจของผมพองโตขึ้นมาในทันที.....โอกาสที่ผมรอคอยกำลังจะมาถึงแล้ว....ผมได้แต่ภาวนาอยู่ในใจเงียบๆว่า ขอให้เต้มางานนี้ด้วยเถิด เพราะตั้งแต่เจอกันที่ร้านอาหารจีนคราวนั้น ผมก็ยังไม่มีโอกาสได้พบเค้าอีกเลย....ถ้าหากได้เจอเค้าในเวลานี้อารมณ์เซ็งโลกทั้งหลายของผมคงจะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น.....เจ้าประคู๊ณณณณ ขอให้มาทีเถ้อะ...เพี้ยงงงงงง…..

            หน้าที่ของผมในงานนี้ก็คือการเป็นกุ๊กกิตติมศักดิ์นั่นเอง....ในระหว่างที่ตระเตรียมรายการอาหาร อีกใจผมก็คอยลุ้นระทึกว่าเมื่อไหร่เต้จะตอบเมลกลับสักทีว่า จะเข้าร่วมได้หรือไม่......สุดท้ายเค้าก็มาตอบกลับมาว่า.....เข้าร่วมได้...เย้......ค่อยมีกำลังใจขึ้นมาหน่อย....เป็นไปอย่างที่ผมภาวนาเอาไว้จริงๆ....ผมตั้งใจว่าจะทำกับข้าวให้สุดฝีมือเลยทีเดียว....เสน่ห์ปลายจวักน่าจะยังคงใช้ได้เสมอ ถึงแม้ว่ากาลเวลาจะล่วงเลยมาจนถึงยุคปัจจุบันแล้วก็ตาม.......

            ผมรวบรวมสมัครพรรคพวกไปเป็นลูกมือในการจ่ายตลาดได้สองสามคน....หลังจากมาถึงที่ห้องของเจ้าของงาน (ซึ่งไม่อยู่ ทิ้งไว้แต่กุญแจ) บรรดาลูกมือต่างก็พากันสลายตัวไปด้วยเหตุผลนานาประการ...สรุปคือผมต้องทำกับข้าวเพียงคนเดียวเพื่อเลี้ยงคนนับสิบคน....เอาล่ะจะเริ่มต้นจากอะไรก่อนดี...ลาบไก่...ต้มไก่...น่องไก่ชุบแป้งทอด.....ผัดซีอิ้ว....ข้าวเหนียวเปียกใส่เผือก....บวชฟักทอง....และรายการอาหารเจอีกหนึ่งอย่างสำหรับคนกินเจ (กระแดะจริงจริ๊ง ใครนะช่างอยากกินเจ) ....มีเวลาเพียงแค่สี่ชั่วโมง...โอเค ต้องตั้งสติให้ดีว่าจะทำอะไรก่อนหลัง...

           แม้จะเหนื่อยในการทำกับข้าวแต่ผมก็มีความสุขใจ....ถ้าจะให้บรรยายถึงความสุขในการได้ทำกับข้าว คนที่ชอบทำกับข้าวน่าจะบอกได้ดีว่า ความสุขนั้นไม่ได้มาจากการได้ทำกับข้าวให้อร่อย หรือ หน้าตาน่ารับประทานเท่านั้น แต่ความสุขที่สุดของการทำกับข้าวของผมอยู่ที่การได้เห็นคนกิน...กินอย่างเอร็ดอร่อย...โดยเฉพาะคนที่เรารัก...อิอิ...ปลื้มสุดๆเลยล่ะ

           กับข้าวเสร็จทันเวลาเฉียดฉิว....ผมมีเวลาสำหรับการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพียงครึ่งชั่วโมง...อาหารอร่อย แต่คนทำกับข้าวสภาพโทรมไม่น่ามอง...คงต้องเสียชื่อเป็นแน่....มันต้องน่ากินทั้งกับข้าวและคนทำสิ ถึงถูก...จริงมั้ย?
           พอตกเย็น นักเรียนไทยก็เริ่มทยอยกันมาเรื่อยๆ...คนที่นี่จะมีธรรมเนียมอยู่อย่างหนึ่งเวลาไปงานปาร์ตี้ ซึ่งน่าจะตามอย่างพวกฝรั่ง ที่เรียกว่าพอตลักซ์..นั่นก็คือแต่ละคนจะนำอาหารติดไม้ติดมือมาคนละอย่างสองอย่าง..ไม่เห็นมีใครเดินมามือเปล่าอย่างที่เมืองไทยทำกันเลยสักคนเดียว ของที่นำมาก็อาทิเช่น กับข้าว ขนม ไอติม น้ำอัดลม เบียร์ แต่ส่วนใหญ่จะนิยมซื้ออะไรง่ายๆเนื่องจากไม่มีเวลาและไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะทำ...พอเลิกงานเจ้าภาพก็จะแบ่งของที่เหลือใส่กล่องแจกทุกคนกลับบ้านไป...เรียกได้ว่าทั้งสนุก..อิ่มท้อง...และได้อาหารกลับไปตุนไว้กินต่อ....ประหยัดไปได้อีกหลายมื้อ...เฮ......จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยหากนักเรียนไทยในต่างแดนจะนิยมจัดงานปาร์ตี้อยู่เสมอๆ เหตุผลประการแรกก็คือ ได้มีโอกาสพูดคุยกับคนชาติเดียวภาษาเดียวกัน พอให้คลายคิดถึงบ้านลงได้บ้าง......การมาอยู่ไกลบ้านท่ามกลางคนต่างเชื้อชาติต่างภาษา ต่างวัฒนธรรม เป็นความรู้สึกที่โดดเดี่ยวไม่ใช่น้อย เพราะฉะนั้นในต่างประเทศจึงมักจะเจอคนไทยรวมกลุ่มกันอยู่เป็นกระจุก..... บางคนเกาะติดคนไทยด้วยกันแจ......อยู่เมืองนอกสองสามปีภาษาไม่กระดิกหูก็มี.....ส่วนเหตุผลอีกประการก็คือ ทุกคนจะได้มีโอกาสกินอาหารไทย หลังจากที่ต้องอดทนกินนม เนย หรืออาหารขยะทั้งหลายแหล่มาเป็นแรมเดือน....ดังนั้นใครมีฝีมือในการทำอาหารประเภทไหน ก็จะเป็นโอกาสดีที่จะได้งัดฝีมือออกมาโชว์เพื่อนๆกันอย่างสุดความสามารถ....

   และแล้วคนที่ผมเฝ้ารอคอยก็มาถึงในที่สุด.....วันนี้เค้าดูหล่อกว่าครั้งแรกที่เราเจอกันเสียอีก...จะว่าไปแล้วผมกับเต้ยังไม่ได้รู้จักกันอย่างเป็นทางการเสียที เนื่องจากไม่เห็นจะมีใครมีแก่ใจจะแนะนำให้รู้จักกันนั่นเอง....ไอ้ครั้นผมจะเสนอหน้าไปทักทายเค้าเสียเอง ก็เกรงว่าจะไม่งาม....พอดีพอร้ายเค้าจะได้มองว่า ผมอยากจะรู้จักเค้าเสียจนเนื้อเต้น (แต่ก็จริงนะ คิคิ) จึงได้แต่ทนนั่งนิ่งอยู่ไม่ไหวติงกายา ทั้งที่ใจนั้นเดือดปุดๆ อยากจะกระโดดเข้าไปซบที่อกงามๆของเค้าเต็มที....บางทีอาจมีคนแอบเห็นรังสีพิฆาตที่ผมพยายามส่งไปถึงเต้บ่อยๆก็เป็นได้ จึงพากันหลีกเลี่ยงที่จะแนะนำให้รู้จักกันเสีย เพราะไม่มีใครอยากจะเตะเนื้อเข้าปากหมานั่นเอง.......
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: MyLoveMyBabe ที่ 17-05-2007 14:06:39
ตกลงเรื่องนี้คือประวัติเจ้สองเหรอคับ  แล้วตกลงเจ้ได้กะครายย พี่ดุ๊กหรือเต้ค้าบบ อิอิ 

เอ  หรือสงสันเจ้เหมาทั้งสอง เอิ๊กๆๆ    :o9:

แซวเล่นนะค้าบบบเจ้


คุณmoody เล่าเรื่องสนุกดีคับ น่าอ่านดี มาลงต่อเรื่อยๆนะค้าบบบ

หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 17-05-2007 14:29:53
คนที่เราชอบ กับคนที่ชอบเรา มักจะเดินกันคนละทางเสมอ

 :dont2:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 17-05-2007 15:42:26

..........มารอต่อคราบ........

..........จะได้คุยกับเต้ไหมหนอ..... o3 o3
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 17-05-2007 16:53:29
.........ขอย้ำอีกครั้งว่า ผม กับ คุณ สองเป็นคนละคนกัน ก่อนที่จะมีการเข้าใจผิด ลุกลามบานปลายกันไปมากมายกว่านี้ .......


..........แต่ก็แปลกเนาะ ทำไมใครๆถึงคิดว่าเป็นเรื่องของคุณสองนะ......


..........สงสัยต้องขออนุญาติเจอตัวจริงสักวันหนึ่งแล้ว.....
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 17-05-2007 18:54:19
หุหุ รับทราบค่ะว่าคนละคนกัน  :teach:
จะรอติดตามต่อนะคะ  :impress:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 18-05-2007 02:22:13

กรีดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด  :serius2:

ร้ายนะเคอะเนี้ย  อย่างนี้หรือเปล่าเคอะที่เค้าเรียกว่า "แรดนะ....แต่ไม่แสดงออก"  :laugh:

ปล. คิดถึงสมัยตอนที่อยู่เยอรมันเมือง  นักเรียนอยู่ที่ไหนก็สุมหัวกันดีแท้ ยกเว้นที่อังกฤษ แมร่ง เชิดใส่กันสุดๆ ชั้นเรียนยูฯนั้นแกเรียนยูฯนี่   ชั้นมาทุนส่วนตัว  แกมาทุนหลวง  ชั้นอยู่อพาร์ตเม้นท์หรูแกอยู่ห้องแบ่งเช่า  อิชั้นเกลียดจริงๆ

ปล. แคนนาดาก็เป็นอีกประเทศหนึ่งที่น่าไปเรียนต่อ  ค่าเรียนถูกกว่าเมกา  เรื่องคุณภาพก็ไม่ด้อยไปกว่ากัน เสียอย่างเดียว หิมะแปดแดดสี ก็เท่านั้นเอง  0 องศาเนี้ยเรียกว่าร้อนแล้วนะเคอะ ใส่ขาสั้นกันเป็นทิวแถว
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 21-05-2007 09:03:36
                ที่นั่งสำหรับกินข้าวถูกจัดขึ้นอย่างง่ายๆแบบไทยแท้ นั่นก็คือนั่งกินกับพื้นห้อง ตีวงล้อมรอบกับข้าวที่วางอยู่เรียงราย....เต้นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับผม.....เรายังไม่ได้คุยกัน เนื่องจากมีบุคคลอื่นอยู่ในวงสนทนาด้วย....ผมแสร้งทำเป็นไม่สนใจเต้.....คอยสังเกตดูท่าทีว่าเค้าจะทำอย่างไร.....
                นี่เป็นนิสัยประจำตัวผมอีกอย่างหนึ่งที่แก้ไม่หายสักที....นั่นก็คือ ถึงแม้ว่าในใจจะชื่นชอบเค้ามากสักแค่ไหน...เรื่องที่จะให้ยอมเสียหน้าเป็นฝ่ายเข้าไปคุยก่อนนั้น ไม่มีวันเสียหรอก.....ผมไม่อยากให้เค้ามองว่าผมแร่ด....ทั้งๆที่ในใจผมนั้นแทบจะอยากถลาเข้าไปมอบกายถวายตัวให้เค้า ณ เดี๋ยวนั้น...ถ้าทำได้นะ....ผมจึงได้แต่พยายามสงบสำรวมกิริยาเอาไว้....อยากให้เค้ามองว่าผมมีความพิเศษกว่าคนอื่นๆ....เค้าต้องรู้สึกว่าผมดูไม่ง่ายแต่ก็ไม่น่าจะยาก......ถึงจะยังไงผมก็ไม่ได้นั่งเป็นบ้าใบ้อยู่เฉยๆหรอกนะ...ผมก็มีวิธีการของผมเอง...นั่นก็คือการคอยส่งสัญญาณให้เค้ารู้อยู่เนืองๆ ว่าตอนนี้ผมกำลังสนใจเค้าอยู่...ส่วนจะทำอย่างไรนั้นขออุบเอาไว้เป็นความลับต่อไปก่อนก็แล้วกัน....

                ใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมาว่า “เรามาตำถั่วฝักยาวกินกันเถอะ เครื่องก็มีครบอยู่ตรงหน้านี้แล้ว จะมัวรออะไรอยู่อีกเล่า”
                เต้ถือโอกาสขยับตัวข้ามานั่งใกล้ๆผม เค้าทำท่าเก้ๆกังๆสักพัก สุดท้ายก็ยื่นครกกับสากมาให้
                “ให้กั้งตำก็แล้วกัน ผมทำคงไม่อร่อยหรอก”
                เค้ารู้จักชื่อผมด้วย......ไปสืบมาจากไหนเนี่ย.....ปลื้มมมมมมมมมมมม
                ผมรับครกกะสากมาด้วยหัวใจที่สั่นระรัว........ใส่อะไรก่อนหลังดีวะ....งงไปหมดแล้ว..สุดท้ายผมตัดสินใจที่จะตำเฉพาะถั่วฝักยาวก่อน....จากนั้นตักถั่วออกมา พักใส่จานไว้....แล้วจึงลงมือตำพริกกระเทียมเพื่อปรุงน้ำส้มตำ...สุดท้ายจึงใส่ถั่วฝักยาวที่ตำเอาไว้แล้วลงไป..คลุกๆให้เข้ากัน.....งามหน้าจริงๆ เค้าคงจะสงสัยว่าทำไมผมมีวิธีตำถั่วฝักยาวที่พิสดารเช่นนี้...ผมทนหน้าด้านทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ตำต่อไปเรื่อยๆ....ทั้งที่ในใจนั้นแสนอับอายแทบแทรกแผ่นดินหนี....เค้าอาจจะไม่รู้ก็ได้ว่าตำถั่วฝักยาวนั้นต้องทำอย่างไร.....สุดท้ายผมจึงข่มใจตักใส่จานยื่นให้เต้ชิมเป็นคนแรก....ผมรู้ว่ารสชาติมันก็งั้นๆแหล่ะแต่เค้าก็ยังมีแก่ใจชมว่าอร่อยมาก....ยังไม่ทันได้โต้ตอบว่าอย่างไร....คนอื่นๆก็พากันมาแย่งเอาครกกับสากไปเพื่อจะลองตำเองมั่ง....ไม่นาน มหกรรมการเล่นขายของก็บังเกิดขึ้นอย่างโกลาหล...เฮ้อ....รอดตัวไปที..

               หลังจากที่ทุกคนเฮโลไปสนใจกับการตำถั่วฝักยาวกันอย่างสนุกสนาน....ผมจึงมีโอกาสนั่งอยู่กับเต้ตามลำพังเป็นครั้งแรก.......กล้าเข้าไว้....ผมพยายามบอกตัวเอง....ผมเพิ่งได้อยู่ใกล้ชิดกับเต้เป็นครั้งแรก......นี่ถ้ามีโอกาสได้นอนมองดูใบหน้าหล่อๆของเค้าจากหมอนใบเดียวกันบนเตียงยามเช้าก่อนตื่นนอน ผมจะมีความสุขมากแค่ไหนนะ...เค้าเป็นคนไม่หล่อมาก แต่ก็ยังจัดว่าหล่ออยู่ดีในสายตาผม บุคลิคนุ่มนวลน่ามอง ที่สำคัญเค้าเป็นคนสุภาพอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด....ฐานะก็ดี....การศึกษาก็ดี...โอย....ดีไปหมด...เห็นแล้วก็พาลอยากเห็นหน้าพ่อแม่เค้า....อยากจะไปถามว่าเค้าเลี้ยงลูกมาอย่างไรจึงได้ออกมาเพอร์เฟคขนาดนี้

                  ผมรู้สึกชื่นชมเต้เป็นอย่างมาก อย่างที่ไม่เคยชื่นชมผู้ชายคนไหนมาก่อน...ผู้ชายในแบบเค้าคงหาไม่ได้ง่ายๆทั่วไป...ใครๆก็คงชื่นชม...สังเกตุได้จากนักเรียนไทยหลายคนในกลุ่มของเราต่างแสดงท่าทีว่าสนใจเต้อยู่เช่นกัน.....ถึงยังไงก็ต้องลองสู้กันสักตั้ง ไอ้เรื่องจะให้ยอมแพ้ทั้งที่ยังไม่ทันได้ลงสนามแข่ง ผมเองก็ยังไม่เคยทำสักที.......
                  “เต้จบที่ไหนมาครับ” ผมเปิดฉากถามเพื่อทำลายบรรยากาศอันขวยเขินระหว่างเรา
                 เค้าเอ่ยชื่อสถาบันเลือดสีชมพูชื่อดังที่เพิ่งจบมาจากเมืองไทย....สบช่องผมแล้ว...ฉวยโอกาสนี้ ใช้ความเป็นเด็กสถาบันเดียวกันสานสัมพันธ์เห็นจะไม่น่าเกลียด...ถึงแม้ผมจะไม่ใช่เด็กลูกหม้ออย่างเค้าก็เถอะ...
                “ทำไมพี่ไม่เคยเจอเต้เลยนะ ทั้งๆที่พี่ก็ไปแถวคณะเต้ออกบ่อย” ผมถือโอกาสเรียกตัวเองว่าพี่ เพราะดูจากประวัติการเรียนแล้วเค้าน่าจะเป็นรุ่นน้องผมอยู่หลายปี
                “กั้งเป็นรุ่นพี่ผมเหรอครับ ผมนึกว่าเรารุ่นเดียวกัน” ท่าทางเค้าดูจะไม่อยากเป็นน้องผมสักเท่าไหร่....เอหรือว่านี่เป็นวิธีจะชมอ้อมๆว่าผมหน้าอ่อน
                เราไล่อายุและก็ลำดับรุ่นในการศึกษากันสักพัก...สุดท้ายเค้าก็ยอมปรับข้อมูลในหน่วยความจำใหม่ว่า ผมเป็นรุ่นพี่เค้าหลายปี...แก่กว่าไม่ใช่ปัญหาสำหรับผม...ปกติผมมักมีใจโน้มเอียงไปในทางเอ็นดูเด็กๆมากกว่าผู้ใหญ่อยู่แล้ว...บางทีวันนึงข้างหน้าผมอาจจะได้ถือไม้เรียวไว้อันนึง เอาไว้คอยหวดเวลาที่เต้แกล้งลืมเรียกผมว่าพี่ก็ได้นะ...จะเรียกว่าพี่มั้ย....นี่แน่ะๆๆๆๆเพี้ยะๆๆๆ....อิอิ

                 “จะมีใครอาสาไปรับพี่ไก่ที่ป้ายรถเมล์ให้หน่อยได้มั้ยจ้ะ พี่เค้ามาถึงแล้ว และเค้ายังไม่เคยมาที่ห้องพี่เลย” เสียงพี่เจ้าของงานวันเกิดประกาศหาอาสาสมัครจำเป็น ดังมาจากอีกฟากหนึ่งของห้อง
                “เดี๋ยวผมไปให้เองครับ” เต้ขันอาสาทันที พลางหันมายิ้มให้ผมเป็นเชิงขอตัว ก่อนจะขยับลุกออกไป
โธ่...หมูกำลังจะหามแท้ๆ....ผมนึกเสียดายอยู่ครามครัน...แต่ก็ฝืนยิ้มตอบให้เต้อย่างเสียไม่ได้...ทำไมนายถึงได้เป็นสุภาพบุรุษขนาดนี้นะ....อากาศข้างนอกนั้นหนาวจะตาย...ยังมีแก่ใจอาสาออกไปรับคนอื่นอีก...ใจอยากผมจะขอตามเค้าไป แต่เกรงว่าจะกลายเป็นที่ครหาก็เท่านั้น....

                 เต้หายไปร่วมชั่วโมง....แม้ใบหน้าของผมจะยิ้มระรื่นอยู่ในกลุ่มสนทนากับคนอื่นๆ...แต่ในใจนั้นคอยพะวงว่าเมื่อไหร่พ่อยอดดวงใจของผมจะกลับมาสักที....ไม่มีเต้สักคนงานปาร์ตี้นี้ก็หมดความรื่นรมย์ไปเสียสิ้น....
                เค้ากลับเข้ามาพร้อมกับพี่ไก่..ได้ยินเค้าอธิบายถึงสาเหตุของการมาช้าเนื่องจากจักรยานยางแบน จึงต้องจูงโต้ลมหนาวกันมาทั้งคู่...โถน่าสงสาร...จากป้ายรถเมล์มาที่นี่ไม่ใช่ใกล้ๆคงจะหนาวแย่สินะ.....ในสถานการณ์แบบนี้ผมทำอะไรไม่ได้มากนัก นอกจากคอยชำเลืองมองเค้าอยู่ห่างๆ....
                 เราสองคนถูกแยกออกจากกันโดยกลุ่มสนทนาที่เริ่มตั้งเป็นวงย่อยๆ...เค้าไปจับกลุ่มคุยเรื่องสโนว์บอร์ดกับพวกผู้ชาย...ในขณะที่ผมถูกแยกให้มาคุยเรื่องไร้สาระในกลุ่มสาวๆ...หมดกัน...

                 งานปาร์ตี้ดำเนินมาจนใกล้จะถึงจุดจบ...ในขณะที่ความหวังที่จะได้คุยกับเต้ของผมก็กำลังจะถึงจุดจบเช่นเดียวกัน....
                “ทุกคนมาถ่ายรูปหมู่ไว้เป็นที่ระลึกกันหน่อยจ้า” พี่เจ้าภาพประกาศขึ้น เมื่อเห็นว่าสมควรแก่เวลาแยกย้ายแล้ว
เราขยับมารวมตัวกันที่ด้านหนึ่งของห้อง...ผมไม่อยากจะอยู่แถวหน้า จึงถอยมายืนอยู่ด้านหลัง พลางสอดส่ายสายตามองหาเต้...ไม่มีแม้เงาของเค้า...เฮ้ย...มายืนอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่...ผมหันไปมองเจอดวงหน้าเปี่ยมยิ้มละไม.......ใจผมเต้นระทึกอีกครั้ง...ชอบความรู้สึกแบบนี้จัง...เวลาที่เราชอบใครสักคน ใจเราจะเต้นไม่เป็นส่ำทุกครั้งยามเมื่อได้อยู่ใกล้...ผมเป็นบ่อยๆ...อิอิ
               เราสบตากันแวบหนึ่ง...เต้ชี้ให้ผมมองไปที่กล้อง พลางเอื้อมมือมาโอบที่ไหล่ผมเบาๆ...สัมผัสที่แผ่วเบาของเค้าทำเอาผมเคลิ้มจนอยากจะหยุดหายใจลงไป ณ ตรงนั้น...อยากจะเอียงศรีษะไปซบที่ไหล่เค้าจัง แต่เกรงว่าจะไม่งาม..จึงทนทำใจแข็งทำคอตั้ง หน้าตรง และก็ฉีกยิ้มแบบแห้งๆ....แชะๆๆและก็แชะ

              หลังจากถ่ายรูปจนเป็นที่พอใจแล้ว...เราจึงหันมาแบ่งสันปันส่วนอาหารเพื่อกลับไปกินที่บ้าน...ผมไม่เอาอะไรสักอย่างเพราะขี้เกียจหิ้ว...เต้ก็ไม่เอาอะไรเหมือนกัน (ผมว่าเค้าน่าจะห่อกับข้าวที่ผมทำกลับไปกินต่างหน้ายามคิดถึงมั่งนะ)
“คราวหน้าไปทำที่บ้านเรามั่ง” เพื่อนนักเรียนไทยชื่อนาเอ่ยปากชวน
             ทุกคนลงความเห็นว่าจะไปตามคำเชิญในช่วงสุดสัปดาห์หน้า....จากข้อมูลที่ผมมีคือ นาเรียนปริญญาเอกด้านทันตแพทย์ที่นี่......ที่บ้านเช่าราคาแพงของเธอมีสมาชิกคือสามีของเธอเอง ซึ่งก็เรียนปริญญาเอกเช่นเดียวกัน (ผัวเมียดอกเตอร์) รวมทั้งหวานใจของผมก็คือเต้
             ผมรีบอาสาไปทำกับข้าวอีกทันที....อืม...ผมจะรีบไปแต่วันเลยคอยดู....เต้น่าจะอยู่รอรับรองแขก เพราะว่าเป็นบ้านของเค้า...ผมคงจะได้มีโอกาสอยู่ใกล้ชิดกับเค้ามากยิ่งขึ้น....เค้าจะเป็นเกย์หรือไม่ก็ตาม...แต่ผมมั่นใจว่าถ้าผมได้มีโอกาสอยู่ใกล้ๆกับเค้า....ผมจะต้องสามารถหาหนทางเบิกเนตรเค้าได้ไม่ยาก...

             พวกเราแบ่งสายว่า ใครจะกลับรถเมล์สายอะไรกับใคร...จากนั้นจึงไปเปิดเวปเพื่อเช็คตารางเวลาเข้าป้ายของรถเมล์....ขนส่งมวลชนที่นี่จะมีเวปไชต์บอกสายรถเมล์และตารางเวลาที่จะเข้าจอดในแต่ละป้าย....เราจึงไม่ต้องเสียเวลาไปยืนรอ...เนื่องจากอากาศข้างนอกหนาวเย็นมาก....ดังนั้นเราจึงควรเช็คเวลาเข้าป้ายของรถเมล์ที่ต้องการขึ้นก่อนเสมอ...จากนั้นก็คะเนเวลาที่จะเดินไปถึงที่ป้ายให้ทันกันพอดี...ไม่ต้องมายืนชะเง้อคอยเหมือนอย่างที่เมืองไทย....ซึ่งก็แน่นอน เต้กับผมไปคนละทางกัน...ผมกลับไปกับพวกสาวๆ.....
             ผมซมซานฝ่าอากาศหนาวกลับมาถึงห้องด้วยความรู้สึกหลากใจเหลือประมาณ...ใจหนึ่งอิ่มเอมจากการได้พบคนที่เราพึงพอใจ...ส่วนอีกใจนั้นรู้สึกเศร้าจนสุดประมาณ...ก็นี่มันเหลือเวลาอีกแค่เพียงเดือนเดียว ผมก็จะกลับเมืองไทยแล้ว....แล้วผมจะทำยังไง....ชอบเค้า แต่ทำอะไรไม่ได้เพราะเกรงจะตกเป็นขี้ปากชาวบ้านให้ได้อายเสียเปล่าๆ......แม้ใจหนึ่งอยากจะต่อสู้ให้ได้มาซึ่งสิ่งที่เราต้องการ....แต่อีกใจก็คอยเตือนอยู่เสมอว่า หนทางข้างหน้ามันช่างแสนมืดมนเหลือเกิน....ถ้าเป็นคนอื่นป่านนี้คงไปถึงไหนต่อไหนแล้ว....แต่คนท่ามากแบบผม คงไม่แคล้วต้องกินแห้วอีกเช่นเคย...เฮ้อ...นอนเอาแรงดีกว่า...เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยคิดกันอีกที.....
   
                พี่ดุ๊กกลับมาพร้อมกับเมลของเค้า
                “พี่ขอโทษนะครับที่ไม่ได้ติดต่อมา พอดีช่วงนี้ที่บ้านมีเรื่องยุ่งหลายอย่าง”
                นี่คือคำอธิบายที่แสนสั้น ต่อคำตัดพ้อทั้งหลายแหล่ที่ผมได้กระหน่ำส่งไปต่อว่าเค้าในช่วงที่ผ่านมา ถึงความเหินห่าง...และเงียบหาย...
                ความน่าเชื่อถือของเค้าในสายตาของผมแห้งเหือดไปนานแล้ว....ผมเริ่มไม่ไว้ใจในสิ่งที่เค้าพูด และคอยจ้องจะจับผิดตลอดเวลา....
                ผมเป็นคนที่ประทับใจอะไรใครได้ง่ายๆ แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็เสื่อมศรัทธาในตัวเค้าได้ง่ายๆเช่นกัน ถ้าหากผมพบว่าเค้าไม่เต็มที่กับความสัมพันธ์ของเรา
                ผมเมลไปปลอบพี่ดุ๊กไม่ให้กังวลถึงสิ่งที่ผมได้ต่อว่าเค้าไป แน่ล่ะ...ผมทำไปตามมารยาทที่สุภาพชนทั้งหลายพึงกระทำ แต่ในใจผมนั้นเล่า...มีข้อสงสัยในตัวเค้ามากมายเหลือคณา

                เค้าคงจะสัมผัสได้ถึงความเย็นชาจากถ้อยคำ และข้อความทางเมลที่ตอบไป ผมจึงได้รับโทรศัพท์จากเมืองไทยในเย็นวันหนึ่ง
                “กั้งจะกลับถึงเมืองไทยเมื่อไหร่ครับ พี่จะพาเจ้าลูซี่ กับ โบโบ้ไปคอยรับที่สนามบิน”
เค้าดึงเอาเจ้าหมาทั้งสองตัวของเค้าเข้ามาเรียกคะแนนสงสาร เพราะรู้ว่าผมเป็นคนรักหมา ย่อมไม่อาจทำแข็งใจเย็นชาได้อีกต่อไป
   “ยี่สิบ ตุลา ตีสาม” ผมบอกวันที่ เวลาและเที่ยวบินให้เค้ารู้ แต่ในใจนั้นไม่คิดว่าเค้าจะมารอรับผมจริงอย่างที่เค้าได้เสนอตัวเอาไว้
   “จะมานอนค้างที่บ้านพี่ หรือจะให้พี่เปิดโรงแรมให้ก็ได้นะ” เค้ายื่นข้อเสนออย่างกระตือรือร้นจนดูเหมือนพยายามกลบเกลื่อนอะไรบางอย่าง.....
                 “ไม่เป็นไรครับ กั้งจะนอนที่ห้องเพื่อน” ผมปฏิเสธไป เนื่องจากการนอนค้างอ้างแรมกับคนที่เรายังไม่ทันได้ปลงใจ เห็นทีจะเป็นภัยแก่ตัวมากกว่าจะเป็นผลดี.....
                “ถ้ายังงั้น พี่จะไปรับที่สนามบินและก็พากั้งไปส่งที่ห้องเพื่อนนะครับ”
อยากจะทำอะไรก็ช่างเถิด....จะมาหรือไม่มา ผมคร้านจะใส่ใจแล้ว....แต่ยังไงผมก็จะคอยดูว่าเค้าจะทำได้จริงอย่างที่พูดเอาไว้ได้หรือไม่......
                บางคนอาจมองพฤติกรรมของผมว่าทำเสมือนคนมักมาก หลายใจ แต่ผมกลับคิดว่านี่เป็นสิ่งสามัญที่คนทั่วไปกระทำ....ในเมื่อผมยังไม่ได้ตกลงปลงใจกับใคร ผมย่อมมีสิทธิ์ที่จะปล่อยหัวใจให้ชื่นชอบใครก็ได้ตามแต่อารมณ์ปราถนาจะพาให้เป็นไป....สัมพันธ์ทางใจแต่ไม่สัมพันธ์ทางกาย....นี่เป็นหลักที่ผมยึดมั่นเอาไว้ในใจมาตลอด......ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะต้องมานั่งจริงจัง....แต่หากได้ตัดสินใจตกลงคบกับใครแล้ว......ถึงตอนนั้นผมก็พร้อมที่จะเต็มที่กับมันเสมอ.....

                ระยะหลังผมพยายามหาโอกาสออกไปเที่ยวชมบ้านเมืองบ่อยมากขึ้น เนื่องจากรู้ว่าจะต้องระหกระเหินกลับบ้านเกิดเมืองนอนในไม่ช้านี้.....ผมอาจได้กลับมาหรือไม่ได้กลับมาอีกเลยตลอดชีวิตก็ได้.....ที่นี่มีหลายๆอย่างที่บ้านเราเทียบไม่ได้เลย เช่น....ความสะอาด.....ทันสมัย....เป็นระเบียบ....แต่ถึงยังไงผมก็ยังอยากกลับบ้านอยู่ดี....
               ใบไม้เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้นเรื่อยๆ.....จากสีเขียวขจีกลายเป็นสีเหลืองอร่าม บ้างส้ม บ้างแดง กระจัดกระจายไปทั่วทุกหนแห่ง...ใบเมเปิ้ลแสนสวย....สีแดงจัดจ้า.....สวยเพราะว่ามันสวย.....หรือสวยเพราะว่ามันเป็นของใหม่.....ผมก็ไม่อาจจะคาดเดา....ไม่แน่ว่าถ้าอยู่ที่นี่ไปนานเข้า ความสวยของมันอาจกลายป็นของธรรมดา จนผมแทบจะนึกไม่ออกว่า ความประทับใจครั้งแรกที่ได้เห็นความสวยของมันเป็นอย่างไร....เสมือนความประทับใจในตัวผู้ชาย.....เพราะไม่นานจากที่เห็นว่าสวย มันก็จะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแก่เหมือนเป็นโรค....จากนั้นก็ร่วง....เน่า....แล้วก็ส่งกลิ่นอันน่ารังเกียจออกมาในที่สุด....แต่คนเราก็มักเลือกที่จะประทับใจเฉพาะความสวยในครั้งแรกที่ได้เห็น....ส่วนสิ่งเน่าเหม็นที่จะตามมาอีกไม่นานในภายหลัง ก็ต่างพากันทำเป็นวางเฉย ปลดปลงกับมันซะ.....

                “พี่กั้งจะกลับเชียงใหม่เมื่อไหร่” นัทถามผมในเย็นวันหนึ่งระหว่างที่เรากำลังคุยกันในเอ็มเอสเอ็น....พักหลังนี้ผมไม่ค่อยได้คุยกับเขามากนัก เนื่องจากเขามักจะห่วงแต่เล่นเกมส์ ผมเองก็เหนื่อยหน่ายเกินกว่าจะเรียกร้องอะไร.....เราคุยกันน้อยลง....แต่ก็ยังคุย
               “น่าจะปลายๆเดือนตุลา เพราะพี่คงอยู่ที่กรุงเทพก่อน และก็จะกลับบ้านสักระยะ หลังจากนั้นถึงจะไปเชียงใหม่”
               “ขอเบอร์หน่อยสิ ถ้าพี่กั้งมาเมืองไทยแล้วนัทจะโทรหา”
ผมให้เบอร์เค้าไป โดยที่ในใจไม่ได้คาดหวังเลยแม้แต่น้อย ว่าเราจะได้พบกัน
              “เดือนธันวา นัท ก็จะไปฝึกงาน เราคงจะมีโอกาสได้เจอกันแค่หนึ่งเดือน”
หึ....

               ระยะหลังมานี้ผมเริ่มรู้สึกถึงความไร้แก่นสารของนัท....เค้าเป็นเด็ก....ยังสนุกกับชีวิตไปได้อีกนาน....แต่ผมถึงพร้อมแล้วในทุกๆด้าน....ผมต้องการคนที่จริงจังในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเรามากกว่านี้....ณ ตอนนี้ก็คงจะมีพี่ดุ๊กเพียงคนเดียวที่เข้าข่ายดังกล่าว ถึงแม้ว่าเค้าจะมีเงื่อนงำในหลายๆอย่าง อีกทั้งผมเองก็ไม่ได้ชอบเค้าก็ตาม...อยู่ๆไปเดี๋ยวก็รักกันไปเองมั้ง...เค้าเป็นคนมีฐานะ...ผมคงจะกลายเป็นนกน้อยในกรงทองถ้าหากเราเป็นแฟนกัน....นี่คือสิ่งที่ผมต้องการจริงๆน่ะหรือ....ในเมื่อเราเองก็จัดว่าเป็นคนที่มีการศึกษาอยู่ในระดับที่จะสามารถหาเลี้ยงตัวเองได้ดีพอใช้.....แล้วทำไมเราจึงจะต้องไปอยากได้ใคร่ดีในของของคนอื่น.....มันก็ดีอยู่หรอกถ้าจะมีแฟนแล้วได้ความรวยของเค้ามาเป็นของแถม....แต่ความรักความพอใจต้องมาก่อนทุกๆเรื่อง....ผมไม่ได้รักพี่ดุ๊ก....แต่ผมจะลองคบกับเค้าดู ถ้าไม่เป็นการฝืนใจตัวเองจนเกินไป......
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 21-05-2007 09:27:32
ความรักบางทีก็ต้องเป็นฝ่ายให้ดูบ้าง
ถ้ามัวแต่กลัวที่จะต้องเจ็บ
และเริ่มหันหน้าหนีความจริง
คุณจะไม่มีทางได้เข้าถึงใครซึ่งบางทีเขาคนนั้นอาจเป็นคนที่คุณรอคอย
 o16
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 21-05-2007 09:42:47
จ้างก็ไม่เชื่อ...หุหุ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: jammy ที่ 21-05-2007 10:32:09
เรื่องความรักมันเเล้วเเต่ศรัทธาของเเต่ละคนอ่ะนะ  o18
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: tonsai_2520 ที่ 21-05-2007 11:40:06
เรื่องมันเศร้า . . . เฮ้ย

ความรัก  
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: MyLoveMyBabe ที่ 21-05-2007 14:15:37
หุหุ  ลุ้นแทบแย่กว่าจะได้คุยกาน อิอิ  o14


แต่ก็ดีนะ วางตัวดี จะได้ดูมีค่าเข้าไว้....ทั้งๆที่ในใจผมนั้นแทบจะอยากถลาเข้าไปมอบกายถวายตัวให้เค้า ณ เดี๋ยวนั้น.... อิอิ o3
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 21-05-2007 15:08:47

..........บางทีสิ่งที่ใจเราต้องการ.....กับสิ่งที่ต้องทำ......

..........มันก็ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน.......... :dont2: :dont2:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 21-05-2007 19:41:11
รู้สึกกั้งจะเป็นคนที่ไม่ให้ใจใครเต็มร้อยนะ (อันนี้อาจจะเป็นการอ่านแล้วคิดไปเองก็ได้)
จะเผื่อใจไว้ตลอด อาจจะเป็นเพราะกลัวที่จะเจ็บมั๊งแบบที่เรย์ว่า

เป็นกำลังใจให้นะคะ  :teach:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 22-05-2007 10:41:52
รู้สึกว่าคุณเรย์นี่จะมองผมซะทะลุ ปรุโปร่ง เลยนะ...อิอิ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 22-05-2007 10:49:49
                เหลือเวลาอีกไม่ถึงเดือน กำหนดการณ์กลับเมืองไทยของผมกำลังจะใกล้เข้ามาถึงทุกที ในขณะที่การทำแลปก็ทวีความกดดันมากขึ้นทุกขณะ...ตอนนี้ใจของผมแน่วแน่อยู่ที่การทำงานเพื่อให้ทันแก่เวลา เนื่องจากไม่อยากกลับไปทำต่อที่เมืองไทยเพราะมีข้อจำกัดในหลายๆด้าน....ดังนั้นเมื่อมีโอกาสมาทำงานในแลปที่มีความพร้อมสูงเช่นนี้แล้ว ผมจึงต้องพยายามจบมันให้ได้.....

                อนึ่งสถานการณ์ผู้ชายทั้งสามของผม ก็พลอยซบเซาไปตามกาลเวลาเช่นเดียวกัน พี่ดุ๊กก็มาๆหายๆ ส่อถึงสถานการณ์ที่ไม่น่าไว้วางใจ......นัทก็ลุ่มๆดอนๆ...พักหลังแทบไม่ได้คุยกันเลย เพราะเค้ามัวแต่ติดเล่นเกมส์ ส่วนเต้นั้น ยังห่างไกลความจริงยิ่งกว่าสองคนข้างต้น เนื่องจากว่า จีบกันก็ยังไม่ทันได้จีบ แม้แต่ความในใจของผมก็ยังไม่ทันได้บอกเค้าเลย.....ถึงแม้ว่าจะบอกไปแล้วทางสายตาก็ตาม....

               “ตาของกั้งนี่สวยนะ ดูเศร้าดี เวลามองแล้วเหมือนกับว่ากำลังพูดแม้ไม่ได้พูดอะไร”
               มีคนเคยบอกผมแบบนี้บ่อยๆ ผมเป็นคนไม่เคยเก็บความรู้สึก เวลารู้สึกอะไรจะแสดงออกทางสีหน้าและแววตาอย่างชัดเจน
               ผมเคยถามเพื่อนเวลาที่ผมไปแอบชอบใครสักคน ว่าเค้าจะรู้ตัวมั้ยว่าผมชอบเค้า เนื่องจากผมไม่ใช่ประเภทเข้าไปจีบตรงๆ ถนัดแต่ดูอยู่ห่างๆ
              “ขนาดหมามันยังดูออกเลย” นี่คือคำตอบที่สามารถจบทุกคำถามที่จะตามมาได้อย่างชะงัด
              เมื่อนำมาใคร่ครวญว่า ถ้าขนาดหมายังดูออก แล้วเต้เป็นคนที่ฉลาดกว่าหมาอย่างเปรียบไม่ได้ เค้าจะรู้มั้ยว่าผมปลื้มเค้าขนาดไหน......แล้วถ้าเค้ารู้ ทำไมเค้าไม่เห็นจะทำอะไรเลย ทั้งที่ผมเปิดโอกาสขนาดนั้น....หรือว่าเค้าจะไม่ได้คิดอะไร....ผมเป็นบ้าไปเอง...

             “พี่กั้ง ตีแบดที่เก่าเวลาเดิมนะ” เมลจากแพท เพื่อนรุ่นน้องนักเรียนไทย ที่คอยแวะเวียนมาเป็นเพื่อนตีแบดอยู่เสมอๆ พอให้ผมได้ผ่อนคลายจากความเหนื่อยหน่ายทั้งหลาย
             เรามาเจอกันที่โรงยิมในตอนเย็น ผมจ่ายค่าเล่นแบดไปสามเหรียญ เนื่องจากไม่ใช่นักศึกษาของที่นี่....สนามแบดที่นี่จะเปิดให้บริการบางวัน...เราจึงต้องตรวจสอบตารางเวลาการให้บริการในเนตเสียก่อน....ในการเล่นก็จะเวียนกันเข้าหรือออกไม่มีกฎตายตัว แต่เป็นที่รู้กันว่าเราควรจะแบ่งสนามให้คนอื่นที่นั่งรออยู่ได้เล่นบ้าง....ซึ่งทุกคนก็ปฏิบัติตามกฎโดยดี ไม่เห็นมีใครแย่งสนามกันสักคน... หลังได้เหงื่อจนเป็นที่พอใจแล้ว เราสองคนจึงหามุมมานั่งพักคุยกันเพื่อพักเหนื่อย
               “แพทจะไปงานที่บ้านเต้มั้ย” ผมถามถึงแผนการของแพทในสุดสัปดาห์นี้
               “ไม่แน่ค่ะ แต่จะพยายามไป แล้วพี่กั้งไปกับใครคะ”
               “อ๋อ มีเพื่อนอีกสองสามคน ไม่ต้องห่วง มีลูกมือทำกับข้าวเพียบ” ผมพยายามหาจังหวะเปลี่ยนบทสนทนาเพื่อสืบข้อมูลของเต้...
               “เต้เค้าดูเป็นคนดีจังเนาะ ทั้งหล่อ นิสัยดี พี่ไม่อยากจะเชื่อว่าจะมีผู้ชายดีๆแบบนี้อยู่จริงในโลก สาวๆคงติดเกรียว”
              “ได้ยินมาว่าเค้ามีแฟนแล้วนะคะ ตั้งแต่สมัยเรียนที่เมืองไทย ตอนนี้แฟนเค้าเรียนอยู่ที่อเมริกา เห็นว่าพี่เต้ไปเยี่ยมเค้าบ่อยๆ”
              “แพทเคยเจอแฟนเค้ามั้ย” ผมยิงคำถามต่ออย่างใคร่รู้
              “ยังไม่เคยเลยค่ะ แต่เค้าว่าไม่สวยนะ ดูธรรมดา”
              “เค้าคงเป็นคนดีมั้ง” ผมสรุป แล้วรีบชวนแพท ไปเล่นแบดต่อ....เพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกผิดหวังที่อาจจะฉายออกมาทางแววตาให้แพทจับได้....
              แม้จะรู้สึกเสียใจที่ได้รู้ข่าวว่าเต้มีแฟนอยู่แล้ว แต่มันเป็นความเสียใจที่ตื้นเขินมาก เนื่องจากโดยเปรียบเทียบแล้ว ผมเพียงแต่รู้สึกชื่นชมเต้เท่านั้น ไม่ใช่คนรัก เต้ก็เป็นเสมือนดาราที่มีแฟนคลับมาคอยชื่นชม....เมื่อแฟนคลับรู้ว่าดาราที่ตนชื่นชอบอยู่ มีแฟนแล้ว....บรรดาแฟนคลับก็จะพากันต่อต้าน.....เนื่องจากอยากให้ดาราคนโปรดเป็นโสดอยู่ให้เราชื่นชมอย่างนี้ตลอดไป....ถึงแม้ว่าไม่มีสิทธิ์ที่จะเอื้อมมือคว้าเอามาครองในชีวิตจริงก็ตาม.....

               ผมกลับมาที่ห้องด้วยความหมดหวังกับทุกๆเรื่อง......งาน.......ความรัก.....ตอนนี้ผมเหมือนคนกลับเข้ามาสู่สภาพความเป็นจริงภายหลังที่ตื่นจากฝันหวานแล้ว......ทำงานให้เสร็จ....กลับไปหาเพื่อนๆที่เชียงใหม่.....อยู่แบบโสดๆเหงาๆเหมือนเดิมต่อไป.....นี่คือบทสรุป ณ ตอนนั้น สำหรับคนที่ชอบฝันเฟื่องอย่างผม....

               วันสุดสัปดาห์มาถึงในที่สุด.....ผมนัดกับเพื่อนอีกสามคนไปที่บ้านเต้.......เราเป็นกลุ่มแรกที่ไปถึงที่บ้านก่อนใครๆ...เนื่องจากเราต้องไปช่วยทำกับข้าวเพื่อเลี้ยงแขก........แม้ว่าความหวังที่มีในตัวเต้จะริบรี่...แต่ผมก็ยังอยากจะเจอเค้า....อยากเห็นดวงหน้าที่อ่อนละมุน..รอยยิ้มละไม...อยากได้ยินคำพูดเพราะๆของเค้า...รวมทั้งท่าทางที่นุ่มนวลสบายตา...ในใจผมอยากจะเชื่อว่าเค้าเองก็มีใจให้ผมอยู่เช่นกัน...มีคนเคยบอกเอาไว้ว่า คนเรามักจะคอยคิดเข้าข้างตัวเองเสมอเวลาที่เราไปชอบใครสักคน...ผมเองก็เป็น แถมยังเป็นประเภทเข้าข้างตัวเองอย่างร้ายกาจอีกด้วย.......

              หลังจากที่เดินวนหาบ้านอยู่สักพัก ในที่สุดเราก็เจอบ้านที่เต้อยู่.....แม้ผมจะเช่าห้องที่จัดว่าแพงและดูดีแล้ว....แต่ก็เทียบไม่ได้เลยกับบ้านที่เต้อยู่....มันทั้งสวย...หรู....โอ่อา....ผมอิจฉาในความเพียบพร้อมที่เค้ามีจัง....
              เต้ออกมารับเราที่หน้าบ้าน เค้าอยู่ในชุดลำลองดูสบายตา....น่ารัก......เราเข้าไปนั่งพักที่ห้องรับแขก เพื่อเรียกความอบอุ่นคืนมาหลังจากผ่านความหนาวเย็นมาจากภายนอก.....เต้เดินกลับไปนั่งทำงานที่แลปทอปของเค้าต่อ ปล่อยให้พวกเรารื้อข้าวของที่เตรียมจะทำกับข้าว.....วันนี้เค้าดูเก๊กๆพิกล ไม่เป็นธรรมชาติเลย

             ขณะที่คนอื่นๆกำลังสาละวนกับการรื้อข้าวของอยู่....ผมจึงปลีกตัวมาเตรียมความพร้อมข้าวของในครัว.....เต้เดินตามมาเมียงๆมองๆอยู่ใกล้ๆ....
             “มีอะไรให้ผมช่วยมั้ยครับ” เต้ถามพลางยิ้มแป้นเข้ามา.....หวานเยิ้มซะจนใจผมแทบจะขาดรอนๆ.....อยากจะรู้จริงๆว่าเค้าใช้วิธียิ้มแบบนี้กับคนอื่นๆหรือเปล่านะ....
             “ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่ทำเอง เต้ยืนดูอยู่เฉยๆก็พอ” เค้ายิ้มพลางเดินเข้ามาประชิด....ใจผมเต้นระทึกขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง.....
            “ตรงนี้เก็บหม้อ....ตรงนี้เครื่องปรุง.....นี่เป็นถ้วยชาม....ส่วนลิ้นชักตรงนี้ใส่มีดช้อนส้อม” เค้าอธิบาย พลางเอื้อมมือไปเปิดลิ้นชักแต่ละชั้นให้ผมดูที่เก็บเครื่องครัวต่างๆ
            “ปกติเต้ทำกับข้าวเองบ่อยมั้ย” ผมแกล้งเสไปคุยเรื่องอื่น ไม่อยากให้เค้าเห็นว่าผมประหม่าอีกทั้งผมเองก็สงสัยว่าเค้าไม่น่าจะทำกับข้าวทานบ่อย......ก็เค้าเป็นผู้ชายนี่นา
            “ไม่เลยครับ ผมทำเองไม่อร่อย นานๆถึงจะทำที”
            แบบนี้ก็ไม่ค่อยได้กินอะไรอร่อยๆเลยน่ะสิ......น่าสงสาร.....อยากมาทำกับข้าวให้เค้ากินทุกวันจัง.....เวลาที่เต้ไปเรียนหนังสือ.....ผมจะอยู่บ้านคอยทำกับข้าว ทำงานบ้าน และคอยดูแลเค้าหลังจากเลิกเรียนกลับมา........อยู่เมืองนอกไม่มีใครรู้จักเรา มีแค่เราสองคน คงมีความสุขน่าดู.....ผมจะทำกับข้าวอร่อยๆให้เค้ากินทุกวันเลย...ขุนให้อ้วนเป็นหมู....ชอบ...อิอิ
           “อยากให้พี่ทำอะไรให้กินเป็นพิเศษมั้ย” ผมถามสิ่งที่เต้อยากจะทานเป็นพิเศษ พลางสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกไปจากหัว ก่อนที่จะจินตนาการลุกลามไปใหญ่โต
           เต้เดินไปรื้ออะไรบางอย่างจากตู้เย็น แล้วยื่นมาให้ผม
            “ผมมีหมู แต่ไม่รู้จะทำอะไร พี่กั้งช่วยคิดหน่อยสิ”
            “หมูมะนาวเป็นไง พี่ทำอร่อยนะ” ผมเสนอเมนูเก่งของผมเพื่อเอาใจเค้า
            “ดีเลยครับ ผมไม่ได้กินนานแล้ว” เต้สนับสนุน
            เราคุยต่อพักหนึ่ง เต้ก็ขอตัวออกไปข้างนอก เค้าบอกว่าต้องไปส่งงานอาจารย์......แล้วถึงจะกลับมาอีกทีในตอนเย็น.....ผมมองตามเค้าเดินลับประตูออกไปตาละห้อย......เรี่ยวแรงที่มีอยู่ในกายหายไปเสียสิ้น...ทำไมอะไรต่ออะไรไม่เคยจะลงตัวสักทีนะ...ผมพยายมสลัดอารมณ์ขุ่นมัวทิ้งไป....ถึงยังไงเย็นนี้ก็ยังมีอีกยาวนาน...เรายังมีเวลาเจอกันอีกเยอะ....คิดได้ดังนั้นจึงตั้งหน้าตั้งตาทำกับข้าวต่อไป...โดยที่ลืมคิดไปว่า แขกก็จะต้องมากันอีกเยอะกว่านี้หลายเท่า...แล้วจะเอาเวลาที่ไหนมาคุยกันล่ะ....
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 22-05-2007 12:22:24

.............ของบางอย่าง......เราก็ไม่ควรจะเอื้อมมาเป็นของเรา..... o7 o7
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 22-05-2007 13:31:24

.....เข้ามาแย้งกะรีบนเคอะ..... o4

ปล. ตาบลูก็เป็นอย่างงี้แหละคุณพี่คนเขียนเคอะ  เม้นต์แต่ละทีแสบไปถึงทรวงใน

ทำใจเถอะคุฯพี่ ก็คนมันแก่แล้ว :laugh:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 22-05-2007 15:10:28
ผมอ่ะ เก่งทฤษฎี แต่ปฎิบัติคงสู้ไม่ได้
 o3
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 22-05-2007 16:08:57
ขี้โม้......อุอุ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 22-05-2007 16:14:36
              เมนูสำหรับงานเลี้ยงเย็นนี้มี ขนมจีน (ไม่ใช่เส้นขนมจีนจริงๆ แต่เป็นเส้นบะหมี่ชนิดหนึ่งจากเมืองจีน ที่พอเอามาลวกแล้วจะเหมือนเส้นขนมจีนเป๊ะ) แกงเขียวหวานไก่ (ผมใส่มะเขือม่วงแทนมะเขือเปราะเนื่องจากไม่มีขาย ซึ่งพอทำแล้วกลับไม่เวิร์กเหมือนดังที่ตั้งใจเอาไว้) แกงส้ม เมี่ยงญวน ต้มยำไก่ สาคูใส่ข้าวโพด และก็หมูมะนาว....ที่เหลือก็เป็นอาหารที่แขกคนอื่นๆนำมาสมทบ
             ใครๆต่างก็พากันชมว่าผมทำหมูมะนาวอร่อยมาก.......พวกนี้มักจะมีวิธีหลอกกินฟรี ได้อย่างแยบยลเสมอ....แต่ก็ช่างเถอะ ก็ผมทำอร่อยจริงๆนี่...
              “พี่กั้งทำเหมือนง่ายๆ เห็นปรุงๆและก็คลุกๆทำไมออกมาอร่อยอ่ะ”
ผมนึกกระหยิ่มอยู่ในใจ....ก็มันเป็นเมนูกับแกล้มจานโปรดนี่นา...ทำบ่อยจะตาย เวลาตั้งวงกินเหล้ากับเพื่อนสมัยอยู่เมืองไทย...
            ทุกคนพากันแย่งชิมหมูมะนาวของเต้.....ตายล่ะ ผมนึกในใจ....เต้ก็ยังไม่กลับมา...แล้วมันจะเหลือมั้ยเนี่ย...ก็ผมอยากเหลือเอาไว้ให้เต้ได้กินมั่งนี่....แต่จะแสดงอะไรออกนอกหน้าก็ไม่ได้....โอ้ย..กลุ้ม..เมื่อไหร่จะกลับมาซะทีตาบ๊องเอ้ย...

             เราตั้งวงเล่นเกมเพื่อสร้างบรรยากาศครื้นเครง.....เกมแย่งดินสอ....ปัญญาอ่อนเนอะ...แต่ผมกลับหัวเราะเสียงดังกว่าใครเพื่อน....ก็มันสนุกง่ะ...
            ผมหัวเราะซะจนลืมมาดอันเสงี่ยมที่พึงกระทำ..... พลันผมก็เหลือบไปสบกับสายตาคู่หนึ่งที่กำลังจ้องมองอยู่....เต้กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่.....ผมไม่ทันได้สังเกตเลย...ตายแล้ว...นี่ผมเผลอหัวเราะปากกว้างไปหรือเปล่าเนี่ย.....เค้าหลิ่วตาให้ผมเป็นเชิงล้อเลียน.....ผมหลบตาลงต่ำ ทำทีว่าไม่สนใจ หันมาเล่นเกมกับคนอื่นๆต่อ.......ระหว่างนั้นผมคอยลอบมองเต้เป็นระยะๆ เพื่อจะดูว่าเค้าทำอะไรอยู่บ้าง.....เค้าไม่ได้มาร่วมเล่นเกมกับเรา คงจะคิดว่าเป็นเรื่องของเด็กๆ ไม่เหมาะกับเค้า...ชิ.....เต้จับกลุ่มคุยอยู่กับพวกผู้ชายอีกแล้ว.....เค้าแทบจะไม่ได้มองมาทางผมเลย....ดีล่ะ ผมจะเรียกร้องความสนใจจากเค้าดูบ้าง.....
            ผมพยายามสร้างบรรยากาศให้สนุกสนาน...คุยเสียงดัง...และหัวเราะเสียงดัง....เพื่อดึงความสนใจจากเต้....สุดท้ายก็ได้ผล.....คนอื่นๆหันเข้ามารวมกลุ่มกับพวกเรา รวมทั้งเต้....แต่เค้าก็เพียงแค่อมยิ้มนั่งดูอยู่รอบนอก ไม่ได้เข้ามาร่วมวงแต่อย่างใด....ผมรู้สึกสิ้นหวัง....เมื่อมองย้อนกลับไป ณ ตอนนั้นแล้ว ผมรู้สึกว่าพฤติกรรมของผมดังกล่าว ช่างโง่เขลาเสียจริงๆ มันไม่ใช่ตัวผมเลย...ผมรู้สึกละอายที่ทำตัวปัญญาอ่อนได้ขนาดนั้น เพียงเพื่อต้องการเรียกร้องความสนใจจากเค้า.....นี่ผมยอมสูญเสียความเป็นตัวตน เพียงเพราะอยากให้ใครคนหนึ่งมาสนใจงั้นหรือ...ทำได้แม้กระทั่ง การทำตัวงี่เง่า....เต้จะมองว่าผมไร้สาระมั้ยนะ...
         
           เราไม่ได้คุยกันอีกเลยตลอดงาน....จนกระทั่งตอนขากลับ หลังจากที่ทุกคนช่วยกันเก็บกวาดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว....ผมกลับออกมากับกลุ่มสุดท้าย.....เต้เดินออกมาส่งพวกเราที่ป้ายรถเมล์....ผมแสร้งเดินทอดน่องให้ช้าลง เพื่อหาจังหวะอยู่กับเค้าสองคน....กระทั่งเราเดินตามอยู่ท้ายกลุ่ม..
          “ได้ข่าวว่าพี่กั้งไปตีแบดบ่อยเหรอครับ” เต้ถามทำลายความเงียบระหว่างเรา
          “อืม ไปกับแพทสองคน อยากไปตีด้วยกันมั้ยล่ะ” ผมถามเปิดทางให้เต้ พลางนึกในใจว่า...ตะครุบเหยื่อซะทีสิ ตาบื้อ....
          “ดีเหมือนกัน ผมไม่ค่อยได้ออกกำลังกายเท่าไหร่ ช่วงนี้มีเรียนเยอะด้วย” เสร็จผมล่ะ...
          “เอาไว้พี่จะเมลมาบอก” หัวใจของผมพองโตด้วยความหวัง....เป็นความหวังสุดท้ายที่เหลืออยู่..ผมอยากให้เค้าได้มีโอกาสใกล้ชิดกับผมบ้าง....ถ้าเค้าได้รู้จักผมมากกว่านี้...บางทีเค้าอาจจะมองเห็นในสิ่งที่ผมอยากให้เค้าเห็นก็ได้....ผมคิดว่าผมมีดีพอ...
           “ครับ ไปแน่นอน แต่ผมเล่นไม่เก่งนะ” เค้ารับคำ พลางออกตัวไว้ก่อน
           “ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่จะสอนให้” จะสอนแบบตัวต่อตัวเลย ผมคิดต่อในใจ
            เราร่ำลากันที่ป้ายรถเมล์ ผมมีความรู้สึกอยู่สองอย่าง ณ เวลานั้น.....อย่างแรกเป็นความรู้สึกสุขใจ เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง อย่างที่สองเป็นความรู้สึกกลัว...กลัวว่าจะไม่ได้อย่างที่หวัง....และกลัวว่า ถึงแม้จะได้อย่างที่หวัง เราก็กำลังจะจากกันในอีกไม่ถึงเดือนข้างหน้านี้แล้ว.....พระเจ้าจะเล่นตลกอะไรกับผมอีกล่ะ..

           “เรามีแพลนจะไปตีแบดวันพุธนี้ ตอนห้าโมงเย็น ถ้าเต้ว่างเมลมาบอกพี่หน่อยนะครับ”
           ผมเมลไปแจ้งเต้เรื่องกำหนดการตีแบดของเรา ในสัปดาห์ต่อมา..........
           “ผมไปได้แน่นอนครับ แล้วเจอกันนะครับ” เค้าตอบกลับมาในค่ำวันนั้น......

            ผมเฝ้ารอวันพุธที่จะมาถึงด้วยใจระทึก....ถ้าเค้าอยู่ในชุดกีฬา จะดูเท่ห์ขนาดไหนนะ....แล้วเค้าจะตีแบดเก่งหรือเปล่า ถึงจะตีไม่เก่งยังไงก็ยังน่ารักอยู่ดีนั่นแหละ....ตีแบดเสร็จต้องชวนไปกินข้าวต่อ จะไม่ปล่อยให้กลับบ้านไปง่ายๆหรอก....ผมจินตนาการไปต่างๆนานาตามประสาคนชอบเพ้อฝัน......
            จนกระทั่งวันที่ผมเฝ้ารอมาถึง.....ผมเตรียมชุดกีฬาที่ดูดีที่สุดติดกระเป๋าไปที่แลปด้วย ทั้งยังวางแผนจะทำแลปให้เสร็จแต่วัน....เพราะอย่างน้อยๆผมต้องมีเวลาเหลือในการเตรียมความพร้อมก่อนจะเจอเค้า....
ตกบ่าย หลังจาก ว่างจากการทำแลป.....ผมเข้าตรวจเช็คเมลตามปกติ....มีเมลมาจากเต้ด้วย...
            “พี่กั้ง ผมขอโทษนะครับ วันนี้คงจะไปไม่ได้แล้ว อาจารย์เพิ่งนัดสอนเพิ่มตอนบ่าย เอาไว้โอกาสหน้านะครับ”
ความหวังของผมดับวูบทันที.....นึกอยู่แล้วเชียว...คนอย่างผมไม่มีวันได้ยิ้มกับใครเค้านานหรอก....ถ้าสมหวังต้องไม่ใช่กั้งตัวจริง......เพราะกั้งตัวจริงมักจะมาคู่กับความผิดหวังและน้ำตาเสมอ......
           “ไม่เป็นไรเต้ เอาไว้คราวหน้าก็แล้วกันนะ” ผมข่มใจตอบเมลเต้ ด้วยหัวใจอันห่อเหี่ยว......ผมลืมบอกเค้าไปว่า....ผมจะไม่ไปตีแบดอีกแล้ว.....


           ผมไม่ได้ข่าวคราวจากเต้อีกเลย.....จนกระทั่งวันสุดท้ายของงานเลี้ยงอำลาเพื่อกลับเมืองไทยของผม....แม้ความรักผมมักจะล้มเหลวเสมอ......แต่สำหรับเรื่องเพื่อนพ้อง ผมกลับจัดว่ามีความโชคดีมากเสมอ.....ทั้งๆที่มาอยู่ที่นี่ได้เพียงแค่ห้าเดือน แต่ผมสามารถเข้าถึงใจนักเรียนไทยที่นี่ได้ทุกคน....นักเรียนที่มาอยู่ระยะสั้นแบบผม มีน้อยรายนักที่จะถูกจัดเลี้ยงอำลาโดยนักเรียนไทยเจ้าถิ่นเช่นนี้....แถมยังมีการแย่งกันเป็นเจ้าภาพอีกด้วยนะ.....จนสุดท้าย ผมต้องออกโรงมาสงบศึก โดยการเลือกผู้ที่เสนอตัวไว้ก่อนใครให้เป็นเจ้าภาพ.........เป็นอันยุติข้อพิพาษทั้งปวง......เฮ้อ.....ทำไมทีผู้ชายไม่มารุมแย่งกันอย่างนี้มั่งนะ.....คนเรามักจะได้อย่างเสียอย่างเสมอ......มีเพื่อนแต่อับแฟน....มีแฟนแต่ขาดเพื่อน.....จะเลือกเอาอย่างไหนล่ะกั้ง....

           งานเลี้ยงจัดขึ้นที่หอพักของปุ๊ก ซึ่งเป็นผู้เสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงอำลาให้ผมเป็นคนแรก ทั้งยังมีความอุตสาหะในการเก็บคูปองอาหารในมื้อเย็นที่เธอไม่ได้ไปกินเอาไว้ จนได้จำนวนพอกับนักเรียนไทยทุกคน.....เราไปรวมตัวที่หอของปุ๊กในค่ำวันสุดท้ายก่อนการเดินทางกลับของผม......ปุ๊กแจกคูปองแลกอาหารให้กับทุกคน......อาหารที่นี่มีอยู่อย่างเหลือเฟือราวกับอาหารตามโรงแรม......
           เมื่อตักอาหารจนพอใจ....ทุกคนจึงมานั่งรับประทานอาหารรวมกันที่โต๊ะใหญ่......เพื่อนๆทำขนมมาให้ผมด้วย.....โดยมีข้อความที่ขนมว่า “งานเลี้ยงอำลาแด่เชฟกระทะเหล็ก...กั้ง” ผมตื้นตันกับน้ำใจของทุกคนจนพูดไม่ออก.......ในระยะเวลาสั้นๆเพียงแค่นี้ ผมได้รับความรักและอาทรจากทุกคนมากขนาดนี้ นับว่าเป็นโชคดีของผมจริงๆ......
           เต้นั่งอยู่ตรงข้ามกับผม (อีกแล้ว ทำไมเราไม่ค่อยได้นั่งใกล้กันเลยนะ) เพื่อนๆรุมแย่งกันคุยกับผมเพื่อเป็นการทิ้งท้าย จนผมไม่มีโอกาสได้คุยกับเต้เลย.....ผมเห็นเค้านั่งมองดูอยู่ห่างๆด้วยยิ้มละไมเช่นเดิม.....ทำไมมันช่างยากเย็นขนาดนี้นะ กับการที่จะรักใครสักคน ที่เขาไม่ได้รักเรา.....

           “ถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึกกันหน่อยดีมั้ย” ผมเสนอความคิด ก่อนจะวานพี่คนหนึ่งเป็นตากล้องจำเป็นให้
ผมเดินไปประกบถ่ายภาพกับเพื่อนๆทีละกลุ่ม....จนในที่สุดก็มาหยุดอยู่ที่กลุ่มของเต้..ผมเดินไปยืนอยู่ด้านหลังของเค้าในขณะที่เค้านั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้.....
           “ยิ้มนะครับ หนึ่ง สอง สาม” พี่ตากล้องให้สัญญาณ แก่พวกเราก่อนจะกดชัตเตอร์
ใจผมอยากจะเอื้อมมือไปโอบไหล่เค้าเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่เราจะจากกัน...แต่ก็กระดากเกินกว่าที่จะทำ....ลาก่อนนะเต้...ผมลอบถอนหายใจก่อนที่จะเดินจากไปเพื่อถ่ายภาพร่วมกับคนอื่นๆ......

            หลังจากถ่ายภาพและร่ำลากันจนเป็นที่พอใจแล้ว....พวกเราจึงแยกย้ายกันที่หน้าโรงอาหาร.....ผมเดินจากมาเงียบๆ........
            “พี่กั้ง เดี๋ยวก่อนครับ” เสียงเต้ตะโกนมาจากด้านหลัง...ผมหันกลับไปมองด้วยความรู้สึกประหลาดใจ.....เค้าเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้า.....ผมรู้สึกเหมือนฝันไป....
            “พี่กั้งอย่าลืมแอดผมในเอ็มเอสเอ็นนะครับ” เค้าพูดพลางส่งเมลที่ใช้เล่นเอ็มเอสเอ็นให้ผมพร้อมรอยยิ้มละไมเช่นเคย.......ผมพยามจะจดจำร้อยยิ้มสุดท้ายของเค้าไว้ในใจ....
           “ได้สิ ถ้าพี่กลับเมืองไทยแล้วพี่จะรีบแอดเต้ทันที” เสียงผมรับคำแผ่วเบา
           “ผมคงไม่ได้ไปส่งที่สนามบิน ยังไงก็ขอให้พี่โชคดีนะครับ” เค้ายื่นมือมากุมมือผมกระชับเอาไว้ชั่วขณะ ก่อนจะปล่อยกลับคืนเช่นเดิม
          “ไม่เป็นไรหรอก ถ้าว่างอย่าลืมไปเที่ยวเชียงใหม่บ้างนะ พี่จะคอย” ผมกล่าวทิ้งท้ายเอาไว้ ก่อนจะเดินจากมาด้วยหัวใจอันห่อเหี่ยว......วาสนาผมคงมีได้แค่นี้....จากนี้ไปเราคงไม่ได้พบกันอีก....คนบางคนอาจจะเกิดมาเพียงเพื่อที่จะสร้างความประทับใจให้ใครสักคน......แต่ไม่ได้เกิดมาเพื่อที่จะเคียงคู่กับเรา.....ผมจำเป็นต้องตัดใจ....ปล่อยวางเค้าไป......เมลที่เค้าให้ผมมาเพื่อใช้ติดต่อทางเอ็มเอสเอ็นนั้น...ไม่ใช่คำสัญญาใดๆระหว่างเรา....มันคงจบแต่เพียงเท่านี้.....ผมจะเก็บเค้าเอาไว้ในใจอย่างไม่มีวันลืม..........


           “พี่จะไปรอรับกั้งที่สนามบิน ยังไงเอาไว้เจอกันที่นั่นเลยนะครับ”
            พี่ดุ๊กเมลมารอบสุดท้าย ก่อนการเดินทางกลับของผม......ถึงตั้งตีสาม.....ผมไม่คิดว่าเค้าจะมา........เวลาแห่งการเผชิญหน้ากำลังจะมาถึงในไม่ช้านี้......ผมเริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง.....จำไม่ได้ว่าเคยพูดอะไรกับเค้าไว้มั่ง.....ที่แน่ๆก็คือให้ความหวังเค้าไปค่อนข้างมากพอดู.....ถึงยังไงเราต่างก็รู้ไม่ใช่เหรอว่า ถ้าเจอกันแล้วไม่คลิ๊ก ทุกอย่างก็คนจะจบลง ณ ตรงนั้น......ไม่มีการติดใจเอาความ......อะไรที่เคยพูดกันเอาไว้ที่ผ่านมาก็ทำเป็นลืมๆมันไปซะเถอะ......ผมนั่งเครื่องบินกลับกรุงเทพด้วยความกังวลถึงสิ่งที่ตัวเองได้ก่อเอาไว้ในอดีต....
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 22-05-2007 16:21:53
นั่งกันตูดบานเลยอะ  คุณพี่มาต่อเครื่องที่ไหนเคอะ 

แอร๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยส์

ตื้นเต้นชะมัดเลยที่จะได้เจอกลับตาดุ๊กแล้ว  :oak:

แล้วไอ้เด็กนัทนั้นอะคุณพี่

ปล.  มีแฟนแต่อับเพื่อน  มีเพื่อนแต่อับแฟน  โอ้วววววววววววววววววววววววววส์  ความเป็นจริงที่ทรมาน  :dont2:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: RN ที่ 22-05-2007 16:27:08
เข้ามารออ่านชีวิตในต่างแดน
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 22-05-2007 16:38:42
อ้างถึง
เมื่อตักอาหารจนพอใจ....ทุกคนจึงมานั่งรับประทานอาหารรวมกันที่โต๊ะใหญ่......เพื่อนๆทำขนมมาให้ผมด้วย.....โดยมีข้อความที่ขนมว่า “งานเลี้ยงอำลาแด่เชฟกระทะเหล็ก...กั้ง” ผมตื้นตันกับน้ำใจของทุกคนจนพูดไม่ออก.......ในระยะเวลาสั้นๆเพียงแค่นี้ ผมได้รับความรักและอาทรจากทุกคนมากขนาดนี้ นับว่าเป็นโชคดีของผมจริงๆ......

มีเพื่อนดี บางทีก็มีความสุขดีอยู่แล้วนะครับ
 o4
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 22-05-2007 18:01:02
ความรักจากเพื่อน กับความรักจากแฟน ถ้าจะเปรียบไปแล้ว คงเหมือนการกินข้าวและก็การดื่มน้ำ หากขาดอันใดอันหนึ่งไป การรับประทานอาหารมื้อนั้นคงจะไม่สมบูรณ์ จริงมั้ยครับคุณ Blue...... :o8:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 22-05-2007 18:23:08
หุหุ กลับมาลุ้นพี่ดุ๊กดีกว่า  :teach:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 22-05-2007 19:00:25
เพิ่งตามอ่านทัน  หนุกๆๆๆ   เขียนดีเชียว o13

แสดงว่าคุณ Moody เป็นเชฟกระทะเหล็กที่น่ารักของเพื่อนๆ จริงๆ นะเนี่ย  เพราะว่ามีน้อยมากจริงๆ แหละที่จะเลี้ยงให้คนที่มาอยู่แค่ระยะสั้นๆ อะ  นอกจากจะถูกชะตาแล้วก็น่าเอ็นดูจริงๆ  ดีใจด้วย  อย่างน้อยก็ได้เพื่อนอะนะ  เป็นเราดีใจมั่กๆ แล้วละ  เรื่องเต้นะ  เอาไว้อ่อยทาง MSN เอา 55 

ตอนนี้กลับมาเมืองไทยแล้ว  มาดูเป้าหมายที่เหลือดีกว่า พี่ดุ๊กกับน้องนัท :laugh3:  :laugh3:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 23-05-2007 11:47:46
                                                                                     ตอนที่ 2
                                                                                   I am in love

                 เครื่องบินลงจอดที่สนามบินดอนเมืองเป็นเวลาตีสามพอดิบพอดีไม่ขาดไม่เกิน.......ความรู้สึกของผมเสมือนตายแล้วเกิดใหม่......ไม่ใช่เพราะว่ากลัวการนั่งเครื่องบิน......แต่มันเป็นความรู้สึกโล่งใจเนื่องจากภารกิจที่แสนจะเหนื่อยหนักทั้งหลายทั้งปวงได้หลุดพ้นออกไปจากอกจนหมดสิ้นแล้ว....พอกันทีสำหรับความเดียวดาย....ความอดอยาก......ความเหนื่อยล้า....รวมทั้งความตึงเครียดทั้งหลาย.....นี่คงเป็นเพราะอานุภาพของแผ่นดินเกิดโดยแท้.....เพียงแค่ได้ย่างเท้าลงสัมผัสกับพื้นดินเป็นครั้งแรก พลังแห่งชีวิตก็ดูเหมือนจะกลับมาโลดแล่นในกายอีกครั้ง.....เพราะฉะนั้นโปรดอย่าได้ค่อนแคะคนบางคน ที่ถึงกับก้มลงจูบแผ่นดินเมื่อเดินทางกลับมาถึงเมืองไทยเลย.....มันไม่ใช่ความรู้สึกที่เกินจริงไปหรอก.....ถึงยังไงคุณก็ไม่มีทางได้ล่วงรู้ว่า คนผู้นั้นต้องเผชิญกับอะไรบ้างตลอดระยะเวลาที่เขาใช้ชีวิตอยู่ในต่างแดน....การกล่าวเปรียบเปรยว่าเสมือนตายแล้วเกิดใหม่ จึงไม่ใช่เรื่องที่กล่าวจนเกินความจริงไปแต่อย่างใด......

                หลังจากจัดการธุระเรื่องสัมภาระทั้งหลายเรียบร้อยแล้ว ผมจึงลากกระเป๋าขนาดเขื่องสองใบ พร้อมด้วยเป้บนหลังอีกหนึ่งใบเดินตรงไปยังห้องผู้โดยสารขาเข้าอย่างทุลักทุเล......เวลาของการหลับนอนแบบนี้ จะมีใคร มีแก่ใจถ่อสังขารออกมารอรับผมที่สนามบินบ้างไหมหนอ......ระหว่างทางเดิน ใจผมคิดไปถึงสิ่งที่พี่ดุ๊กได้เคยให้สัจจะวาจาเอาไว้ว่า จะมารอรับ...แต่ผมไม่ใช่เด็กอมมือที่จะมานั่งเชื่ออะไรโดยไม่ได้ไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน.....แม้ผมจะให้เบอร์เค้าไว้แล้ว แต่เบอร์ดังกล่าวยังอยู่ในช่วงระงับการใช้งานอยู่ เพราะฉะนั้นเค้าคงติดต่อผมไม่ได้ในตอนนี้.....ประการที่สอง ถึงแม้ว่าเราจะเคยเห็นรูปซึ่งกันและกันแล้ว แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่าจะจำเค้าได้อยู่ดี ถ้าเค้าคิดจะมารอรับโดยที่ไม่โทรมาคุยกับผมเสียก่อน (เสี่ยงต่อการหน้าแตกเหมือนกันนะ ถ้าหากผมไม่พึงพอใจเค้า เมื่อเราเจอกันแล้วแกล้งทำเป็นไม่รู้จัก)....และประการสุดท้าย ผมไม่เชื่อในสิ่งที่เค้าพูด......

                   เค้าไม่มาจริงๆอย่างที่ผมคิด.....ไม่มีแม้เงาของหมาสักตัว (เค้าเคยบอกว่าจะพาหมาสองตัวของเค้ามารับผมด้วย) ผมนึกอยู่แล้ว เพราะระยะหลังเค้ามีท่าทีแปลกๆ ดูเหมือนจะคลายความเสน่หาผมลงไปมาก....ผมก็คิดอยู่แล้วว่าคนยังไม่เคยเจอกันจะมาพร่ำเพ้อรำพันว่ารักนักรักหนาได้อย่างไร......มันจะไม่ดูใจง่ายไปหน่อยเหรอ......แต่ก็เล่นเอาผมเคลิ้มไปได้พักหนึ่งเหมือนกันนะ......หรือว่าเค้าจะมีคนอื่น...ใช่แล้ว ผมค่อนข้างมั่นใจว่าช่วงที่เค้าหายไปเค้าคงไปมีคนอื่น....เค้าเคยให้เบอร์ผมเอาไว้ แต่ผมไม่ได้ใส่ใจจำ....อยากโทรมาก็โทรมาเองก็แล้วกัน....
                  ผมนั่งแทกซี่กลับมาที่ห้องของเพื่อนเพียงลำพัง.......ในสถานการณ์เดียวกันนี้ ถ้าอยู่เมืองนอกผมคงรู้สึกเวทนาตัวเองน่าดู.....แต่นี่มันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของผมเอง......เพราะฉะนั้นเรื่องแค่นี้เป็นเรื่องจ้อย.....


                    วันรุ่งขึ้น ผมไปดำเนินการเปิดบริการใช้โทรศัพท์หมายเลขเดิม.....เพื่อนๆโทรมาถามข่าวคราวทั้งวัน ราวกับว่าผมเพิ่งกลับมาจากการรบที่สงครามเวียดนามกระนั้น.....ผมยังมีอาการเจ็ตแลกซ์ (ปรับตัวเรื่องเวลายังไม่ได้เนื่องจากบินข้ามไทม์โซนมา) แต่ด้วยสปิริตอันแรงกล้า คืนนั้นผมจึงแข็งใจแต่งตัวออกไปร่วมท่องราตรีตามคำเรียกร้องของเพื่อนๆ......อยู่เมืองนอกไม่ได้กินเหล้าเลย ตอนนี้รู้สึกอยากกินอยู่เหมือนกัน คิดแล้วก็เปรี้ยวปาก...อิอิ
                   เรามาถึงร้านประจำแถว อตก. ร้านนี้เคยมีประวัติคู่กับผมมายาวนาน....ใช่แล้ว....ผมเคยพบรักกับใครคนหนึ่งที่นี่....และก็เลิกกันที่นี่.....ตอนนี้ผมก็ยังชอบเค้าอยู่.....แต่เค้าคงไม่เหลือความรู้สึกอะไรให้ผมแล้ว........ดนตรีสนุก...เหล้าก็หวานดี....บรรยากาศท่ามกลางเพื่อนๆช่างอบอุ่น....จะมีอะไรสุขไปกว่านี้อีกมั้ยเนี่ย...
                  “กั้ง นั่นใช่ไอ้เก้งหรือเปล่า” เพื่อนผมกระซิบ พลางพยักเพยิดไปที่โต้ะตรงมุมร้าน
                 “ใช่จริงๆด้วย แกทำเฉยๆไว้ก่อน ไม่ต้องไปสนใจ” ผมกระซิบตอบ รู้สึกถึงความร้อนวูบที่ใบหน้า.....หัวใจเต้นระส่ำ
                 เสมือนปู่กระสันถึงไก่ในไพรพฤกษ์ นึกถึงไก่ไก่ก็มาดังกระสัน....แค่คิดถึงก็ได้เจอ.....ผมทำทีไม่เห็น คอยดูว่าเค้าจะทำอย่างไร....เค้ามากับน้องคนนั้นด้วย......แฟนของเค้า...ยังคบกันอยู่อีกเหรอ......ใจของผมพลุ่งพล่านด้วยไฟริษยา........การได้พบเค้าทำให้ผมหวนนึกถึงอดีต.....อดีตอันแสนเจ็บปวด....

                   ผมกับเก้งเจอกันเมื่อสามปีที่แล้ว ตอนนั้นผมลงมาทำแลปที่กรุงเทพเป็นเวลาสองเดือน....และผมก็ได้มานั่งที่ร้านนี้...เรารู้จักกันโดยการแนะนำของเพื่อน....จากนั้นเค้าก็เริ่มจีบผมตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา.....เค้าเป็นสเป็คของผม....สูง....ขาว.....ตี๋....ใส่แว่น...ใส่เหล็กดัดฟันด้วย.....(ผมชอบคนใส่เหล็กดัดฟันเป็นพิเศษ) นอกจากนี้ยังดูสุภาพมาก....เราเริ่มออกเดทกันบ่อยขึ้น...กินข้าว....ดูหนัง....ร้องคาราโอเกะ.....ผมหลงเค้ามาก............
                   จนมาวันหนึ่ง.....เค้าเริ่มพาน้องคนนั้นเข้ามาในชีวิตของเรา โดยบอกว่าเป็นน้องที่อยู่แถวบ้าน....แต่สัมผัสของผมบอกว่าเด็กคนนั้นต้องเป็นมากกว่าน้องแน่นอน..ระยะหลังของการออกเดท เก้งจะพาน้องคนนั้นมาด้วยเสมอ.....เราเริ่มมีปากเสียงกัน....เค้ายืนยันว่าเด็กนั่นคือน้อง.......ผมไม่เชื่อแต่ก็ต้องยอม เนื่องจากไม่มีหลักฐาน และไม่อยากให้เค้ามองว่าเป็นคนใจแคบ ไม่มีเหตุผล........จนครั้งสุดท้ายของการออกเดทของเรา ก็มาจบลงที่ร้านเดิมร้านนี้เช่นกัน.....ผมมากับเก้ง น้องคนนั้น รวมทั้งเพื่อนของเค้าอีกสองคน.....ท่าทางเก้งไม่อยากจะแสดงตัวว่าเป็นแฟนผมเมื่ออยู่ต่อหน้าน้องคนนั้น... ในขณะที่เพื่อนของเก้งคอยเชียร์ให้ผมแสดงตัวว่าเป็นแฟนของเค้าอยู่ตลอดเวลา......ผมซาบซึ้งในน้ำใจของเพื่อนเค้า แต่ผมไม่คิดว่านั่นเป็นวิธีที่พึงกระทำ.....ผมจะไม่แย่งในสิ่งที่เป็นของผมอยู่แล้ว......อยากเอาก็เอาไปเถิด...ถ้าไม่เห็นคุณค่าของกันและกันแล้ว จะยื้อไว้ก็เปล่าประโยชน์.....ไม่มีคำว่าอันดับหนึ่งหรือสองในพจนานุกรมของผม....มีเพียงแต่คำว่า หนึ่งเดียวเท่านั้น......
                      หลังร้านเหล้าปิด.....เก้งยืนกรานว่าจะไปส่งน้องคนนั้น.....โดยไม่ได้สนใจว่าผมกำลังยืนนิ่งฟังอยู่ดั่งบุคคลที่ไร้ตัวตน....ผมได้พบคำตอบสำหรับข้อสงสัยในทุกอย่างที่ผ่านมาแล้ว.......พอกันที...........ผมนั่งแทกซี่กลับห้องด้วยหัวใจร้าวราน.......กระหน่ำส่งข้อความไปต่อว่าเค้าสารพัด...
                      “ทำไมต้องทำแบบนี้กับพี่ ไหนบอกว่าเค้าเป็นแค่น้อง จะโกหกกันไปทำไม”

                      ข่าวคราวจากเก้งยังคงเงียบสนิท......ไม่มีคำอธิบายใดๆจากเขา......ผมนอนซม ไม่กินข้าวอยู่สามวัน...อยากร้องไห้แต่ร้องไม่ออกเลยซักนิดเดียว.......ผมตัดสินใจเก็บกระเป๋ากลับเชียงใหม่ ขืนอยู่ไปก็เป็นการทำร้ายตัวเองเปล่าๆ.....กลับไปที่นั่นเพื่อจะได้ลืมทุกๆอย่าง.....
                     “พี่กั้ง ผมขอโทษ ผมไม่ได้มีอะไรกับน้องเค้าจริงๆ” เก้งโทรมาอธิบายในค่ำวันที่ผมกำลังจะเดินทางกลับเชียงใหม่
                    “พี่ทนไม่ไหวหรอกเก้ง พี่จะกลับเชียงใหม่แล้ว” เค้าดูมีท่าทีตกใจเมื่อรู้ว่าผมตัดสินใจที่จะกลับเชียงใหม่โดยไม่ได้บอกกล่าว...
                    “พี่กลับไปก่อนเถอะ เดี๋ยวผมจะตามขึ้นไปหาทีหลัง” นี่เป็นคำสัญญาจากเค้า แต่ผมไม่เอาอีกแล้ว.....ถึงแม้จะรักแต่ผมทนไม่ได้ถ้าต้องเผชิญกับปัญหาการนอกใจซึ่งๆหน้าแบบนี้....ผมไม่ชอบคนเจ้าชู้...เราจึงจบกันตั้งแต่นั้นมา แต่เค้าก็ยังคงติดต่อกับผมบ้าง ตามโอกาส....และผมมารู้ทีหลังจากปากของคนเองว่าเค้าหันไปคบกับน้องคนนั้นเป็นแฟนแล้ว.....

                      “หวัดดีครับพี่กั้ง กลับจากเมืองนอกตั้งแต่เมื่อไหร่” เสียงของเก้งปลุกผมตื่นจากภวังค์....เขาเข้ามาทักจริงๆด้วย
                      “กลับมาได้สองสามวันแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็จะขึ้นเชียงใหม่” ผมตอบ ขณะที่เหลือบตามองดูแฟนของเก้ง ซึ่งจ้องมองมาที่ผมราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ.....ดีล่ะ
                      “ดื่มเหล้ากับพี่หน่อยสิ” ผมยกแก้วให้เก้งดื่ม เค้ารับเอาไปอย่างว่าง่าย.....เราเต้นรำคลอเคลียกันไปตามจังหวะเพลง.....สายตาหึงหวงคู่นั้นจ้องมองมาอีกแล้ว.......ผมกอดที่เอวเก้งกระชับให้แน่นยิ่งขึ้น.......แฟนของเค้าเดินออกออกไปนอกร้าน หายลับไปกับตา....
                      เก้งไม่ได้สนใจว่าแฟนของเค้าออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เค้ายังคงสนใจกับการเต้นรำคลอเคลียอยู่กับแฟนเก่าอย่างผม.....ผมค่อยๆใช้มือลูบไล้จากเอวของเค้าลงมาหยุดอยู่บริเวณต้นขา....เกาะกุมเอาไว้แผ่วเบาแต่แน่นกระชับ.....ผมรับรู้ถึงการสั่นสะเทือนของอะไรบางอย่างอยู่ในกระเป๋าของเก้ง.......โทรศัพท์ ผมคิด.....เก้งยังคงปล่อยให้มันสั่นสะเทือนอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน......จนในที่สุด
                      “กลับไปเถอะเก้ง มีคนโทรมาตามแล้ว” ผมตัดบท ก่อนจะผละออกจากการเกาะเกี่ยว
เก้งกล่าวคำอำลาอย่างร้อนรน ก่อนเดินออกจากร้านไป.........ผมเผลอยิ้มออกมาที่มุมปาก.....กินเหล้าต่อดีกว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็จะได้กลับเชียงใหม่แล้ว......
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 23-05-2007 12:40:21
แอร๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยส์

เหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ วันไหนกันยะ  ทำไมชั้นพลาดซีนสำคัญนี้ไปได้  โอ๊ะลืมไป! ชั้นไม่ได้อยู่ประเทศไทยนี้หว่าตอนนั้น  เอ!! หรือว่าอยู่อะ

ชิส์  ไอ้เก้งสารเลว  :angry2:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 23-05-2007 13:57:36
...........ผมจะไม่แย่งในสิ่งที่เป็นของผมอยู่แล้ว......อยากเอาก็เอาไปเถิด...
ถ้าไม่เห็นคุณค่าของกันและกันแล้ว จะยื้อไว้ก็เปล่าประโยชน์.....
ไม่มีคำว่าอันดับหนึ่งหรือสองในพจนานุกรมของผม....มีเพียงแต่คำว่า หนึ่งเดียวเท่านั้น......

..............ชอบประโยคนี้จังเลย......... o13 o13

..............เพราะต่อหั้ยรัก...แต่กรูก็มีศักดิ์ศรี......... :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: MyLoveMyBabe ที่ 23-05-2007 15:38:40
...........ผมจะไม่แย่งในสิ่งที่เป็นของผมอยู่แล้ว......อยากเอาก็เอาไปเถิด...
ถ้าไม่เห็นคุณค่าของกันและกันแล้ว จะยื้อไว้ก็เปล่าประโยชน์.....
ไม่มีคำว่าอันดับหนึ่งหรือสองในพจนานุกรมของผม....มีเพียงแต่คำว่า หนึ่งเดียวเท่านั้น......


จดยิกๆ แล้วบันทึกลงพจนานุกรมหัวใจตัวเอง...เมื่อไม่เห็นค่ากันแล้ว ยื้อไว้ก็เปล่าประโยชน์

If you don't feel being loved, so fuck it off  :angry2:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 23-05-2007 19:37:12
ไม่มีคำว่าอันดับหนึ่งหรือสองในพจนานุกรมของผม....มีเพียงแต่คำว่า หนึ่งเดียวเท่านั้น......  o7
ได้ใจมั่ก ๆ   o7
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 23-05-2007 23:51:49
สิ่งยั่วยวนมันก็เยอะนะ
ยิ่งถ้าพวกใจไม่เข้มแข็ง

อย่าเปิดโอกาสให้มันเกิดดีที่สุด
 :o12:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 24-05-2007 08:54:01
เอะอะอะไรก็โทษแต่สิ่งยั่วยวนหรือยังไง พวกผู้ชายก็เป็นแบบนี้ทุกคน....หุหุ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 24-05-2007 09:21:22
เอะอะอะไรก็โทษแต่สิ่งยั่วยวนหรือยังไง พวกผู้ชายก็เป็นแบบนี้ทุกคน....หุหุ
:sad3: :sad3: :sad3:
ผมไม่เกี่ยวน้า
 o21 o21 o21
ก็น่าคิดอีกกรณีหนึ่ง ถ้าเขาไม่รักเรา ฝืนไปก็เท่านั้น จะให้ไปเหมือนชายจริงหญิงแท้ ที่ต้องผูกพันกัน มันเกิดขึ้นได้น้อยมาก
พวกเรามักไขว่คว้าสิ่งที่เหนือกว่าตัวเองไปเรื่อยๆไม่รู้จักพอ อย่าไปโทษคนอื่นเลย มันเป็นเรื่องจริงไม่อิงนิยาย
จึงเกิดคำว่าไม่รู้จักพอ
 :dont2:

ถ้าทุกคนพอใจในสิ่งที่มีอยู่ มันคงไม่เกิดเรื่องเศร้า ให้เห็นกัน
 :o7:

ดังนั้นถ้าเขาไม่รักเรา ก็หันมามองตัวเองด้วย ว่าทำตัวให้มีค่าเหมาะสมกับคนที่เรารอคอยหรือยัง
 o1
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 24-05-2007 09:54:42
แค่แซวเล่นแค่นี้เอง แต่ตอบกลับมาเป็นคุ้งเป็นแควเชียว....สงสัยจะร้อนตัว.....อิอิ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 24-05-2007 10:44:53
              ถ้าตัดเรื่องของความรักออกไปแล้ว การกลับมาใช้ชีวิตที่เชียงใหม่อีกครั้งในช่วงเวลานี้ก็ไม่ถึงกับเลวร้ายนัก...อย่างน้อยๆแลปก็เสร็จกลับมาทันเวลาแบบเส้นยาแดงผ่าแปดพอดี......แถมที่บ้านยังใจดีให้รถใหม่มาใช้อีกด้วย.....เอาล่ะ ผมจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นี่อีกครั้งหนึ่ง....กลับมาอยู่ที่จุดศูนย์เหมือนเดิม....ตั้งหน้าตั้งตาเรียนและก็หาแฟนต่อไป...จะจบดอกเตอร์อยู่แล้วยังไม่เคยมีแฟนจริงๆจังๆซักทีเฮ้อ.....
               ผมไม่มีเบอร์โทรของพี่ดุ๊ก รวมทั้งของนัทด้วย....ดูเหมือนว่าพวกเค้าทั้งสองคน จะถูกกำหนดมาให้เป็นเพียงแค่เพื่อนคุยแก้เหงาของผม เฉพาะตอนที่อยู่เมืองนอกเท่านั้น แต่พอกลับมาถึงเมืองไทย ทุกอย่างก็พลอยจบสิ้นตามไปด้วย.....แปลกดี....ตอนอยู่เมืองนอกผมรู้สึกว่า คุ้นเคยและใกล้ชิดกับพวกเขาทั้งสองคน เสมือนเพื่อนที่รู้ใจ.....แต่พอกลับมาถึงเมืองไทย ผมกลับไม่แน่ใจว่าที่แท้แล้วพวกเค้ามีตัวตนอยู่จริงหรือไม่......หรือนี่เป็นเพียงแค่ฝันไป...

              “หวัดดีครับ นั่นพี่กั้งหรือเปล่าครับ” เสียงจากปลายสายนิรนาม โทรเข้าทักทายในคืนหนึ่ง หลังจากที่ผมกลับมาอยู่ที่เชียงใหม่ได้สักพักแล้ว
             “ใช่ครับ นั่นใครอ่ะ” ผมทักตอบ พลางนึกเดาในใจไปต่างๆนานา
             “ผมนัทไง พี่มาถึงเมืองไทยเมื่อไหร่อ่ะ” .....เฮ้ย.....เป็นไปได้ยังไง.....ผมแทบไม่อยากจะเชื่อว่าเค้าจะโทรมาจริงๆ
            “นี่เบอร์นัทเหรอ” ผมถามต่อเพื่อดึงบทสนทนา
            “ไม่ใช่คับ เบอร์เพื่อน” อันที่จริงผมไม่สนหรอกว่าจะเป็นเบอร์เค้าหรือเบอร์เพื่อน เพราะถึงยังไงผมก็ไม่โทรไปจิกเค้าอยู่แล้ว......ไม่ใช่นิสัย.....แต่ผมคิดเอาเองว่าเค้าน่าจะโกหกมากกว่า
             เราคุยกันต่อพักหนึ่งก่อนจะวางสาย.....ผมกลับมานั่งนึกถึงพูดบางคำของนัท.....ซึ่งผมรู้สึกไม่ชอบใจเอาเสียเลย
             “เสียงพี่กั้ง สาวจัง.....ส้าวสาว” เค้าพูดย้ำคำนี้ซ้ำไปซ้ำมา ราวกับว่าเค้าจะตอกมันลงไปในหัวของผมให้มิดจนถอนไม่ขึ้น......นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้ยินเสียงของผม.....เราเคยคุยโทรศัพท์กันผ่านเอ็มเอสเอ็นตั้งหลายครั้ง.....แล้วเพิ่งจะมาทำเป็นตินั่นตินี่....แล้วนายน่ะดีแค่ไหนกันเชียว....ผมได้แต่นั่งเจ็บใจอยู่คนเดียว.....รู้สึกโกรธกึ่งขำระคนกัน.....สาวแล้วไง.....ไม่อยากคุยก็ไม่ต้องมาคุย....ผมนึกในใจ....ถ้ารูปการณ์ออกมาเป็นอย่างนี้แล้ว...เส้นทางระหว่างผมกับนัทคงจะตีบตันอย่างไม่ต้องสงสัย......

             หลังจากไม่สบอารมณ์จากโทรศัพท์ของนัทเพียงไม่กี่วัน พี่ดุ๊กก็โทรเข้ามารายงานตัวอีกคน.....ระยะหลังมานี้ผมรู้สึกว่า เค้ามักจะมาพร้อมกับคำอธิบายห่วยๆเสมอ
             “ขอโทษนะที่พี่ไม่ได้ไปรับที่สนามบิน พอดีมีเรื่องยุ่งที่ทำงาน นี่พี่ก็เพิ่งกลับมาจากเมืองจีน” ส่วนใหญ่เค้าจะเป็นคนพูด ในขณะที่ผมมักจะต้องเป็นคนฟังเสมอ
            “ถ้าต้องมานั่งรอพี่ สงสัยกั้งคงต้องรอจนเหงือกแห้งกันพอดี โชคดีนะที่ไม่ได้ไปนั่งคอยอยู่แถววังบัวบาน ไม่อย่างนั้นกั้งคงได้กระโดดเหวล้างอายไปวันละหลายรอบ” ผมพูดกึ่งตลกเพื่อไม่ให้เขารู้สึกแย่มากไปกว่านี้....บางทีคำประชดประชันเล็กๆน้อยๆ ก็สามารถเรียกคะแนนพิศวาสได้มากกว่าที่คุณคิด.....พี่ดุ๊กหัวเราะระรื่น....คงเดาเอาเองว่าผมหายเคืองแล้ว....แต่มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก....
            “พี่อยากขึ้นไปเยี่ยมกั้งช่วงวันลอยกระทงที่จะถึงนี้จัง และก็จะถือโอกาสแวะไปดูโรงงานที่ลำปางด้วย ไม่รู้ว่ากั้งจะสะดวกหรือเปล่า”
            เอาล่ะสิ.....จะทำยังไงดี.....แต่ถึงจะยังไงผมก็ต้องเผชิญหน้าความเป็นจริงในที่สุดอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ.....จะออกหัวหรือก้อยก็ควรจะลองดูมันสักตั้ง..........
           “พี่มาพักที่ห้องกั้งก็ได้ กั้งอยู่คนเดียว พอเที่ยวงานลอยกระทงเสร็จ เดี๋ยวกั้งจะขับรถไปส่งที่โรงงานให้” ผมออกปากเชื้อเชิญให้พี่ดุ๊กมาพักที่ห้อง...ด้วยเห็นว่าเค้าเดินทางมาหาเรา...จะให้ไปนอนที่อื่นก็ดูจะแล้งน้ำใจเกินไป...ใครได้ยินเข้าจะหาว่าเป็นคนใจคอคับแคบ.....อีกอย่างผมเองก็ไม่ใช่ผู้หญิงยิงเรือมาจากไหน จะมามัวนั่งคิดเล็กคิดน้อยด้วยกลัวว่าจะเสียทีผู้ชาย ก็คงจะดูไม่ดี.....แต่ในใจนั้น ผมได้เตรียมหาทางหนีทีไล่เอาไว้แล้ว.....คงไม่มีผู้ชายที่ไหนปล้ำผู้ชายด้วยกันหรอกน่า ผมพยายามคิดมองโลกในแง่ดี....
            ณ เวลานี้พี่ดุ๊กเป็นตัวเลือกสุดท้าย เพียงทางเดียวที่เหลืออยู่ของผม มานั่งคิดๆดูแล้ว เค้าเองคุณสมบัติก็ไม่เลว เสียเพียงแต่หน้าตาอาจจะไม่ตรงตามสเป๊คของผม.....แต่ผมจะมารีบด่วนตัดสินอะไรตอนนี้จากเพียงแค่ภาพถ่าย....มันก็คงจะเป็นการอยุติธรรมกับเค้าจนเกินไป....

            ผมโทรไปนัดแนะกับน้องพร เกย์นักศึกษาปริญญาโทรุ่นน้อง ให้มาคุยกันเกี่ยวกับเรื่องวันลอยกระทงที่จะมาถึงเร็วๆนี้
            “ตกลงน้องหมอ (นัท) นี่ ไม่เวิร์กแล้วเหรอพี่กั้ง” น้องพรพูดเปรยๆ พร้อมกับทำท่าเสียดายจนออกนอกหน้า ทำเอาผมพลอยรู้สึกเสียดายตามไปด้วย......
            “ช่างเขาเถอะ ถึงยังไงพี่ก็ยังมีพี่ดุ๊กอยู่ทั้งคนจริงมั้ย” ผมพยายามมองหาข้อดีจากสภาวะการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่
            “ได้แฟนเป็นเจ้าของโรงงานเซรามิกส์แล้ว อย่าลืมน้องลืมนุ่งนะจ้ะ” น้องพรทำท่าประจบประแจง ฝากเนื้อฝากตัว.....น้องพรเอ๋ย...อนาคตข้างหน้าจะเป็นยังไงพี่เองก็ยังไม่ทันได้รู้.....อย่าเพิ่งมาคาดหวังอะไรในตอนนี้ให้มากนักเลย...ผมได้แต่รำพึงอยู่ในใจ.......
            “ถ้าถึงวันนั้นแล้ว เธอช่วยไปรับพี่ดุ๊กที่สนามบินเป็นเพื่อนพี่ด้วยนะ” น้องพรพยักหน้าหงึกหงักเป็นเชิงตกลง.....ผมไม่ถนัดเรื่องไปไหนมาไหนคนเดียวอยู่แล้ว.....โดยเฉพาะกรณีนี้.....ดังนั้นถ้ามีคนอื่นไปด้วย คงจะคลายความเคอะเขินลงไปได้ไม่น้อย.....การจะได้เจอตัวจริงของคนที่ผมเคยคุยเรื่องรักๆใคร่ๆด้วย มาตลอดระยะเวลาห้าเดือน เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมากพอสมควร....ถ้าผมไม่ชอบเค้า.....ผมจะเรียกเอาสิ่งที่ได้เคยพูดออกไปแล้ว คืนมาได้หรือเปล่า.....หรือผมต้องรับผิดชอบในคำพูดของตัวเองที่ได้เคยพูดออกไป......แล้วผมต้องแสดงความรับผิดชอบอย่างไรล่ะ.....โอ้ยปวดหัว....ความง่าย มักง่าย รักสนุก มักนำความยุ่งยากมาให้ในภายหลังเสมอ....

            ผมภาวนาขอให้ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี.....ถ้าทุกอย่างลงตัว...ชีวิตเกย์ของผมคงจะจบลงอย่างสมบูรณ์แบบ...ได้แฟนที่เป็นผู้ใหญ่ ฐานะมั่นคง (แม้จะเป็นองค์ประกอบรองที่ผมนำมาพิจารณา แต่มันก็ทำให้เค้าดูดีไม่ใช่เหรอ) มีความรับผิดชอบและรักเราด้วยความจริงใจ....อยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่า....ผมจะรักและดูแลเค้าให้ดีที่สุด.....ถ้าผมพิจารณาแล้วว่า เค้าเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดแล้ว ที่ผมจะเลือกเอามาเป็นคู่ชีวิต....
           
           “พี่กั้ง เรามาทำกระทงกันเองดีมั้ย” น้องพรเสนอกิจกรรมเพื่อสร้างความบันเมิงแก่พวกเราในค่ำวันหนึ่งขณะที่เรากำลังนั่งทานอาหารกันอยู่ ดูน้องพรจะตื่นเต้นกบการมาของพี่ดุ๊กมากกว่าผมเสียอีก.....เค้ามักจะเป็นคนที่จะคอยลุ้นเสมอว่า ผมจะมีหัวข้ออะไรใหม่ๆเกี่ยวกับผู้ชายที่เข้ามาจีบ เอามาเล่าให้ฟังบ้าง....มันดูเป็นความบันเทิงอย่างหนึ่งสำหรับเค้าเหมือนแฟนคลับที่คอยตามอัพเดตข่าวของดาราที่ตนชื่นชอบ.....ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ในครั้งนี้น้องพรดูกระตือรือร้นมากเป็นพิเศษ.....ทำกระทงเอง....เป็นความคิดที่ไม่เลวเลย
           “เอาสิ เราไปซื้ออุปกรณ์แล้วเอามาทำที่ห้องพี่ แล้วเธอก็ต้องมานอนด้วยกันดีมั้ย” ผมถือโอกาสรวบรัด เนื่องจากไม่อยากอยู่กับพี่ดุ๊กเพียงลำพัง.....
           “มันจะดีเหรอ พี่น่าจะอยู่กับเค้าสองคนมากกว่านะ” น้องพรทำท่าลังเล แต่เมื่อโดนผมหว่านล้อมด้วยเหตุผลนานัปการ สุดท้ายจึงยอมจำนนแต่โดยดี
            ผมวางแผนทุกอย่าง เอาไว้แล้วสำหรับการต้อนรับอดีตเพื่อนคลายเหงายามที่ผมอยู่ต่างแดน...และอาจเป็นอนาคตแฟนก็ได้.... เริ่มต้นจากผมกับน้องพรไปรับพี่ดุ๊กที่สนามบินในตอนบ่ายวันของพรุ่งนี้...พอตกเย็นก็มาทำกระทงที่ห้องพักของผม....วันรุ่งขึ้นพาเค้าไปเดินเที่ยวงานเกษตรแฟร์ในมหาวิทยาลัย....ตอนค่ำไปเที่ยวงานลอยกระทงริมแม่น้ำปิง....เช้าวันต่อมาพาไปส่งที่โรงงานเซรมิกส์ จังหวัดลำปาง....เป็นอันจบรายการ โดยในทุกรายการต้องมีน้องพรไปด้วยเสมอ.....

             วันนี้ผมตื่นนอนแต่เช้าตรู่เพราะความตื่นเต้น.....ก็มันน่าตื่นเต้นดีไม่ใช่หรือไง.....ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยนัดบอด (แม้ว่าจะไม่เคยประสบผลสำเร็จเลยสักครั้งเดียว) แต่คราวนี้มันต่างกันลิบลับ....เนื่องจากคราวนี้ผมได้คุยอะไรต่ออะไรกับเขาเอาไว้มาก....นี่ล่ะน๊า...เค้าเรียกว่าปากพาจน.....ใจจริงๆแล้วผมไม่ชอบการนัดบอดเลย....ผมชอบการหว่านเสน่ห์กับคนทั่วไปที่พบในชีวิตประจำวันมากกว่า....การได้เห็นตัวเป็นๆแล้วค่อยตัดสินใจทอดสะพาน.....ย่อมดีกว่าการทอดสะพานทั้งๆที่ไม่ได้เห็นตัวจริง.....เพราะการสร้างสะพานนั้นง่าย.....แต่หากเขาได้ก้าวข้ามสะพานมาแล้ว เราจะเปลี่ยนใจชักสะพานกลับคืนเห็นทีจะไม่ใช่เรื่องง่าย....ไม่ใครก็ใคร จะต้องเป็นฝ่ายเสียความรู้สึกแน่นอน.....แต่ถึงยังไงผมก็ไม่เคยประสบความสำเร็จจากการทอดสะพานกับคนทั่วไปที่พบในชีวิตประจำวันอยู่ดี....ทำได้อย่างมากที่สุดก็แค่เพียงได้รับความสนใจตอบกลับมาบ้าง.....แต่ก็ยังไม่เห็นจะมีใครกล้าเดินเข้ามายื่นความประสงค์จะขอจีบสักราย.....ก็อีกนั่นล่ะ.....ถ้าเขาไม่กล้าเข้ามาจีบ ผมก็จะมองว่าเขาไม่ได้ชอบเรามากพอ.....แต่ถ้าเขากล้าเข้ามาจีบ ผมก็จะมองว่า....แก่สังคมจัง....ผมนี่เรื่องมากจริงเนาะ.....อิอิ....สมควรแล้วที่จะขึ้นคานต่อไป

                มีข้อน่าสังเกตอยู่อย่างหนึ่งว่า.....การที่เกย์จะแสดงความเป็นเกย์ โดยการเดินเข้าไปจีบใครสักคนในที่สาธารณะเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความกล้าหาญค่อนข้างมาก.....เนื่องจากมีปัจจัยเสี่ยงหลายประการ อาทิ เสี่ยงต่อการแปลสัญญาณจากฝ่ายตรงข้ามผิด และลงเอยด้วยการหน้าแตก.....เสี่ยงต่อการโดนจับตามองจากบุคคลทั่วไป เนื่องจากโดยปกติแล้ว เกย์ธรรมดาสามัญมักจะมีความเจียมเนื้อเจียมตัว ไม่กล้าแสดงจุดยืนของตนเองอย่างเปิดเผยเมื่ออยู่ในสังคมของคนปกติ เพราะโดนฝังหัวมาตั้งแต่รู้ตัวเองว่าเป็นเกย์แล้วว่า การเป็นเกย์ไม่ใช่สิ่งน่ายินดีแต่ประการใด....ดังนั้นกุลเกย์จึงพึงเก็บงำความเป็นเกย์เอาไว้ให้จงดี อย่าได้แพร่งพรายออกมา....ประการสุดท้ายที่ผมพอจะคิดออกก็คือ ความเป็นมนุษย์ธรรมดาสามัญ ไม่ต่างจากชายหญิงทั่วไป ที่ย่อมจะไม่บุ่มบ่ามเข้าไปจีบใครต่อใครในที่สาธารณะ เพราะเนื่องจากบรรพบุรุษเห็นว่าเป็นสิ่งไม่ดีไม่งาม...ค่อนข้างจะก๋ากั่นเกินไป....รวมความแล้วเกิดเป็นเกย์นั้นแสนจะยากลำบากด้วยประการทั้งปวง........

               ผมพยายามแต่งตัวให้ดูดีที่สุด เท่าที่จะสามารถทำได้......ออกไปทำงานที่มหาวิทยาลัย....และเฝ้ารอ...รอเวลาที่จะชี้ชะตาว่า....จะหมู่หรือจ่ากันหนอ.....
              “หวัดดีครับกั้ง....พี่จะไปถึงประมาณบ่ายสามโมงนะครับ” พี่ดุ๊กโทรมาบอกเวลาและเที่ยวบินที่โดยสารมาเชียงใหม่
              “พี่เปลี่ยนเบอร์ใหม่เหรอครับ” ผมถาม เนื่องจากว่าเบอร์ที่เค้าใช้โทรมาไม่ใช่เบอร์เดิม ที่ผมบันทึกเอาไว้
             “ใช่ครับ พอดีแบตมือถือพี่หมดที่สนามบิน พี่ก็เลยซื้อเครื่องใหม่พร้อมซิม กลัวจะติดต่อกั้งไม่ได้น่ะ”   ห๊า....ซื้อเครื่องใหม่พร้อมซิม....จะอวดร่ำอวดรวยไปถึงไหนกัน....แต่ผมก็ประทับใจนะ ประทับใจในแง่ที่เค้าให้ความสำคัญกับผมค่อนข้างมาก.....อย่าทุ่มเทกับผมให้มากกว่านี้เลย....เรายังไม่ทันได้เป็นอะไรกันนะ....ผมยังไม่อยากจะทำร้ายใคร.....

             ผมกับน้องพรมาถึงที่ท่าอากาศยานเชียงใหม่ก่อนเวลาเครื่องลงราวสิบนาที.....เราทั้งสองยืนรอด้วยใจระทึก....น้องพรเองก็ดูจะตื่นเต้นไม่แพ้ผมเช่นกัน....แต่ต่างกันตรงที่ว่า เป็นความตื่นเต้นที่ไร้ความกดดันใดๆ.....
เครื่องลงจอดแล้ว......ผู้โดยสารเริ่มทยอยออกมาจากห้องผู้โดยสารขาเข้า.....ผมพยายามชะเง้อมองหาคนที่มีลักษณะใกล้เคียงกับพี่ดุ๊กที่ผมเคยเห็นในภาพถ่าย บวกกับจินตนาการเพิ่มเติมของผมเข้าไปอีกเล็กน้อย....ยังไม่มีวี่แววคนที่ว่านั้นเลย......

             “พี่กั้ง ใช่คนนั้นหรือเปล่า” น้องพรสะกิดผมดูผู้ชายวัยสามสิบต้นๆ ท่าทางดูดีคนหนึ่ง ซึ่งกำลังลากกระเป๋าเดินออกมา
             “ไม่ใช่ “ผมพิจารณาดูแล้วเห็นว่าไม่ใช่พี่ดุ๊ก พลางคิดในใจว่าถ้าได้เท่านี้ก็โอเคนะ แต่ผมกลัวว่าจะไม่น่ะสิ
พลันสายตามผมก็เหลือบไปสะดุดกับผู้ชายในเสื้อสีเขียวคนหนึ่ง.....ผมพยายามเขม้นมอง....ผมคิดว่าน่าจะเป็นพี่ดุ๊ก.....และก็เป็นเค้าจริงๆด้วย เนื่องจากผมเห็นเค้ายิ้ม และกำลังเดินตรงมายังจุดที่ผมกับน้องพรยืนอยู่......
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 24-05-2007 11:03:23
 :serius2: :serius2: :serius2:

ไอ้พี่ดุ๊กมันมาแล้ววววววววววววววววววววววววววววววววววววววว  :oak:

หน้าตามันยังไงหรอเคอะคุณพี่ อย่าลืมเขียนมาให้น้องอ่านด้วยนะ  :laugh:

ปล. ตอนนี้เขียนได้ดีขึ้นกว่าตอนแรกๆ เยอะเลย  แต่ก็ยังดูเหมือนว่าจะเนือยๆ ไปหน่อย แต่ก็ไม่เป็นไรถือว่าเป็นสไตล์การเขียนของคุณพี่นะเคอะ  เริ่มอ่านแล้วมีมิติมีเนื้อมากขึ้นแล้วเคอะ

คุณน้องพรเนี้ย  คุ้นๆ นะ หรือว่าจะเป็น...... o21
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 24-05-2007 11:15:31

..........ในที่สุดก็เจอตัวซักที.......... o13

..........คุยกันไป...ไม่เจอซักที....ก็ตัดสินใจอะไรไม่ได้หรอก..... :undecided:

..........คนเราเด๋วนี้มัน fake กันเยอะ...... o8 o8
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 24-05-2007 18:53:37
จากหลายตัวเลือก เหลือเพียงหนึ่งคือพี่ดุ๊ก จะออกหัวหรือก้อยหว่า  :try2:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 24-05-2007 22:00:08
อย่าพึ่งตัดสินคนจากความคิดของตัวเอง
 o12 o12 o12
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 25-05-2007 09:09:42
โกรธเหรอ ขอโทษนะ คราวหลังจะไม่ทำแบบอีกแล้วล่ะ  :o11:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 25-05-2007 09:24:41
โกรธเหรอ ขอโทษนะ คราวหลังจะไม่ทำแบบอีกแล้วล่ะ  :o11:

เหอะๆ แซวเล่นเหมือนกัน
อย่าน้อยใจนะ คิกคิก
 o17
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 25-05-2007 10:19:20
             โอว...พระเจ้า....ไม่นะ....ไม่มมมมมมมม....ต้องไม่ใช่คนนี้สิ....ผมรำพึงรำพันอย่างสิ้นหวังอยู่ในใจ....ขณะที่พี่ดุ๊กกำลังจะเดินใกล้เข้ามาถึงในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า.....
              “คนนี้ เหรออออ พี่กั้งงงง” น้องพรสะกิดถามผมด้วยน้ำเสียงละล่ำละลัก ในขณะที่ผมรู้สึกว่ากล้ามเนื้อหัวเข่าอ่อนแรงจนแทบจะทรุดลงไปกองอยู่กับพื้น....จะทำเป็นไม่รู้จักแล้วรีบชิ่งหนีไปเลยดีมั้ย....ทำตอนนี้ก็ยังทันนะ.....ผมคิดในใจ......ไม่ดีหรอก ทำแบบนี้มันไร้ความรับผิดชอบนะ....มโนสำนึกฝ่ายดีของผมแย้งขึ้นมา......เอาวะ... ไหนๆก็ไหนๆ....แสดงความรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองทำหน่อยสิกั้ง.....ผมพยายามกระตุ้นจิตสำนึกตัวเอง ให้แสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ได้กระทำลงไป.....
             พี่ดุ๊กไม่ได้ดูแตกต่างจากรูปถ่ายที่ส่งมาให้ผมดูตอนอยู่เมืองนอกสักเท่าไหร่หรอก....หากแต่ว่าผมจะต้องบวกความแก่เข้าไปอีกห้าถึงหกปีน่ะสิ .....ผมพิจารณาดูเขาอยู่เงียบๆ.....ตัวเล็ก...เตี้ย...เตี้ยกว่าผมอีก.....อ้วน....พุงปลิ้นออกมายังกับอุ้มท้องเด็กฝาแฝดอยู่.....เป็นโรคแพ้ผม (หัวกำลังจะล้าน)....ดูหวานกว่าผมเสียอีก แล้วยังจะมาบอกว่าเป็นแมน.....ชิ.....แต่งตัวเกย์นิยมสุดๆ แต่เป็นเกย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์นะ....ใส่เสื้อแขนยาวสีเขียวเชยๆ และกางเกงยีนส์เอวสูง แบบที่พวกป้าแก่ๆชอบใส่กันสมัยก่อน......ผมดูเหมือนจะเป็นคนใจร้ายใช่ไหมที่มองเค้าแบบนั้น...ผมดูเป็นคนที่ตัดสินคนโดยมองอย่างตื้นเขินแค่เพียงจากภายนอกใช่ไหม....ก็แล้วยังไงล่ะ ถ้าเขาเป็นคนที่ผมจะคบด้วยแบบพี่น้องธรรมดาทั่วไป ...ผมคงไม่มานั่งมองเรื่องภายนอกพวกนี้หรอก...เค้าจะแต่งตัวยังไงก็เรื่องของเค้า....เค้าจะแก่ยังไงมันก็เรื่องของเค้า....แต่นี่เขาเป็นคู่นัดบอดของผม....ซึ่งผมคาดหวังว่าจะเอามาทำแฟน....ผมควรจะมีสิทธิ์เลือกคนที่ผมพอใจใม่ใช่หรือ......เรื่องของจิตใจของเค้า ผมจะต้องศึกษาอย่างแน่นอน....แต่ต้องเป็นภายหลัง.....ภายหลังจากที่เค้าผ่านเกณฑ์เรื่องหน้าตาและบุคลิกภาพที่ผมตั้งเอาไว้เสียก่อน....
              “สวัสดีครับ กั้ง” เสียงทักของพี่ดุ๊กปลุกผมตื่นจากความตะลึงตะลานเมื่อครู่
              “สวัสดีครับ” ผมไหว้เค้า ก่อนจะยิ้มเพื่อซ่อนความผิดหวัง ที่พยายามจะฟ้องออกมาทางสีหน้าอยู่ตลอดเวลา
              “พี่ดุ๊ก...นี่น้องพรครับ”เค้าหันไปรับไหว้น้องพร....เราทักทายกันตามมารยาทครู่หนึ่ง ผมจึงชวนพี่ดุ๊กออกมาจากสนามบิน....เอาล่ะสิ...จะแก้ปัญหายังไงดี....สมองของผมทำงานอย่างหนัก ภายใต้สีหน้าที่ยิ้มระรื่น.....

              “เราแวะซื้ออุปกรณ์ ไปทำกระทงกันดีมั้ยครับ” ผมเสนอ...นี่คือแผน A ที่ผมได้วางเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว....ไม่คิดเลยว่าจะได้นำเอามาใช้จริงๆ.....ทำไมแกถึงได้เกิดมากับความโชคร้ายอย่างนี้นะกั้ง....ผมเผลอบริภาษตัวเองออกมาเบาๆ
              “หือ...ทำกระทงเป็นด้วยเหรอ ทำไมไม่ซื้อเอาล่ะ” พี่ดุ๊กแสดงความประหลาดใจกึ่งประทับใจเมื่อเห็นว่าพวกเราจะประดิษฐ์กระทงกันเอง
             “อ๋อ ไม่ดีกว่าครับ ทำเองสนุกดี อีกอย่างน้องพรเค้าเก่งเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว” ผมออกตัว....แหงล่ะ ของแบบนี้ใครๆก็ทำเป็น..แต่ผมไม่ใคร่อยากให้เค้ามาประทับใจในตัวผมอะไรนักหนา.....
             เราแวะซื้ออุปกรณ์ทำกระทงที่กาดดอกไม้ (กาดในภาษาเมืองแปลว่าตลาด) พี่ดุ๊กพยายามเอาอกเอาใจผมจนออกนอกหน้า...เค้าคงจะเห็นว่าผมน่ารักน่ะสิ....เมื่อตอนที่ผมอยู่เมืองนอกยังเห็นทำท่าลังเลอยู่เลยไม่ใช่หรือไง....
   
             “แวะทานข้าวกันก่อนดีมั้ยครับ พี่มีร้านอาหารเหนือจะแนะนำ ตอนเป็นเด็ก เวลาพี่มาเชียงใหม่ทีไร แม่พี่จะชอบพามากินที่ร้านนี้” ตอนเด็กๆเหรอ....คงตั้งแต่สมัยตั้งเมืองเชียงใหม่โน่นล่ะสิ...ผมคิด
            เขาพาเราไปยังร้านที่ผมไม่รู้จัก....จะว่าไปแล้ว ตั้งแต่อยู่เมืองเชียงใหม่มา ผมเองก็ได้มีโอกาสต้อนรับเพื่อนๆ ที่เทียวขึ้นมาเยี่ยมค่อนข้างบ่อย....แต่ผมก็ไม่เคยรู้จักร้านอาหารเมืองร้านนี้มาก่อน...แสดงว่าเค้ารู้จักเชียงใหม่ดีพอสมควร...
              อาหารที่นี่ถือว่าอร่อยใช้ได้.....เราคุยกันเรื่องสัพเพเหระต่างๆ ตามแต่จะนึกขึ้นมาได้....เค้าเป็นผู้ใหญ่แล้ว...รู้จักการเข้าสังคม...รู้จักวางตัว...และก็รู้จักสรรหาเรื่องต่างๆมาคุยได้ไม่เบื่อ....แต่ถึงยังไง ผมก็ยังไม่คิดจะชอบเค้าอยู่ดี...
             “กั้งลองทานนี่สิครับ อันนี้ก็อร่อย” เค้ายื่นมือไปตักอาหารส่งมาที่จานผม...ผมขยับจานไปรับอย่างเสียไม่ได้...พลางแอบทำตาเขียวใส่น้องพร ซึ่งคอยทำหน้าเหมือนมีเรื่องให้ขบขันเสียเต็มประดา...ผู้ชายจะมาสู่ขอแกพรุ่งนี้หรือยังไง...ถึงได้ทำหน้าบานซะขนาดนั้น....ผมก่นด่าน้องพรอยู่ในใจ...
   
              หลังจากทานอาหารเสร็จ ผมยืนยันจะจ่ายค่ากับข้าวมื้อนี้เอง เนื่องจากไม่ต้องการจะให้เค้าต้องเป็นภาระ.....เพราะถึงยังไงผมก็ไม่ชอบที่จะเอาเปรียบใครอยู่แล้ว....ที่สำคัญผมไม่อยากให้เค้าคิดว่าผมอยากจะคบเค้าเพราะเงิน.....
              “พี่ดุ๊กอยากแวะเดินดูของที่ถนนคนเดินมั้ยครับ” ผมเสนอเพราะเห็นว่าตอนนี้ยังหัววันอยู่ จึงไม่อยากรีบพาเค้ากลับเข้าห้อง ถึงภาวะการณ์ตอนนี้จะทำให้รู้สึกอึดอัดยังไง แต่การพาเค้ากลับเข้าไปอยู่ที่ห้อง คงจะอึดอัดมากกว่าเป็นไหนๆ

               ที่เชียงใหม่จะมีการจัดงานถนนคนเดินทุกวันอาทิตย์.....อยู่บริเวณถนนกลางเวียง...ในเย็นวันนั้นพ่อค้าแม่ค้าจะนำเอาสินค้าพื้นเมืองมาวางขายเรียงรายให้เลือกชมมากมาย.......ทั้งยังมีการแสดง ละเล่นต่างๆ สุดแท้แต่ใครอยากจะเอามานำเสนอ..ได้รางวัลเป็นเงินตอบแทนบ้างตามแต่ความพึงพอใจของผู้ชม.....เหนือสิ่งอื่นใดก็คือการได้มีโอกาสแสดงออกในสิ่งที่พวกเขาเป็น (แต่เกย์ยังห่างไกลเรื่องพวกนี้มากนัก การแสดงออกไม่ได้หมายถึงการกระทำวี๊ดว้ายในที่สาธารณะ หากแต่หมายถึงการได้แสดงถึงจุดยืน และตัวตนที่แท้จริงของพวกเราต่อสังคมต่างหาก).......คนเชียงใหม่นับว่าโชคดี ที่ได้เกิดมาในเมืองที่เก่าแก่และร่ำรวยวัฒนธรรมเช่นนี้....ทุกอย่างสามารถขายได้....ไม่ว่าจะเป็นความเป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม....ความขลังหรือความเก่าแก่....แค่เพียงไม้เก่าๆหนึ่งชิ้นที่ถูกหยิบจับขึ้นมาดัดแปลงเพื่อนำมาวางขาย ยังดูงดงามมีคุณค่า.....นอกไปจากนี้เชียงใหม่ยังเป็นเมืองที่มีธรรมชาติที่สวยงามและอุดมสมบูรณ์....ใครลองได้มาที่นี่แล้ว ถ้าไม่ตกหลุมรักเมืองเชียงใหม่ ก็คงจะเป็นบุคคลที่พิเศษแตกต่างจากคนทั่วไปไม่ใช่น้อย.....
   
              ผมรู้สึกว่าตัวเองใจร้ายพอสมควร....ที่ไม่ได้เทคแคร์พี่ดุ๊กตามอย่างเจ้าภาพที่ดีพึงกระทำต่อแขก.....ผมกลับเลือกที่จะปลีกตัวออกมาเดินคู่กับน้องพร...โดยปล่อยให้เค้าเดินดูข้าวของคนเดียวเพียงลำพัง.....จะหยุดรอบ้างก็ต่อเมื่อเห็นว่าอาจจะเกิดการผลัดหลงกัน แล้วเป็นเหตุให้ต้องได้ตามหากันให้วุ่นวายในภายหลัง....เค้าเองก็ดูไม่ได้มีท่าทีว่าจะเดือดร้อนอะไรกับสิ่งที่ถูกปฏิบัติ...บางทีเค้าอาจจะเก็บความเสียใจเอาไว้ลึกๆข้างในก็ได้.......แต่ในตอนนั้นผมไม่ยอมรับรู้อะไรทั้งสิ้น....ไม่แม้แต่ความเห็นใจต่อเพื่อนมนุษย์คนหนึ่งซึ่งเคยรู้สึกดีๆต่อกัน.......

              ขากลับ ผมพาน้องพรแวะไปเก็บเสื้อผ้าที่หอพัก...โดยบอกกับพี่ดุ๊กว่าจะให้น้องพรไปช่วยทำกระทงสำหรับวันพรุ่งนี้ ดังนั้นน้องพรจะต้องอยู่ค้างที่ห้องกับพวกเราคืนนี้ด้วย
              “ขี้เกียจขับรถกลับมาส่งตอนดึกๆ” ผมให้เหตุผลตื้นๆที่คิดว่าดูเข้าท่ามากที่สุด
ผมสังเกตุเห็นพี่ดุ๊กหน้าสลดไปวูบหนึ่ง....ก่อนจะฝืนยิ้มออกมาในที่สุด
              “มากันหลายๆคนก็สนุกดี” พี่ดุ๊กพูดอย่างคนมองโลกในแง่ดี......สนุกเหรอ....เชิญสนุกไปคนเดียวเถอะ...ผมอยากจะตะโกนใส่หน้าเขานัก

               พอถึงห้องพัก พี่ดุ๊กขอตัวไปอาบน้ำก่อน คงเพราะเหนื่อยจากการเดินทาง....น้องพรได้ทีรีบขยับเข้ามากระซิบ
              “พี่กั้งจะให้น้องนอนจริงๆเหรอ ให้น้องกลับดีกว่ามั้ง พวกพี่จะได้นอนกันสองคน”
              “เธอเสียสติไปแล้วหรือยังไง ลำพังนอนกับเค้าสองคนพี่ไม่ได้กลัวอะไรหรอก พี่แค่ไม่อยากพูดอะไรที่มันทำร้ายจิตใจเค้า ถ้าหากเค้าเกิดคิดจะทำอะไรรุ่มร่ามขึ้นมา ก็เท่านั้น” ผมถลึงตาใส่น้องพรเป็นเชิงข่มขู่ให้ทำตามคำสั่งแต่โดยดี...ซึ่งปกติผมไม่ทำแบบนี้บ่อยๆหรอก...
              น้องพรขยับกลับไปนั่งตัดใบตองต่อเพราะยอมจำนนต่อเหตุผลหรืออาจเป็นเพราะคร้านจะเถียงก็สุดจะเดา.....

              “กั้งดูนี่สิ พี่ออกแบบลายเซรามิกส์เป็นลายพรรณไม้ด้วยนะ พี่ตั้งชื่อชุดนี้ว่าโบตานิการ์” พี่ดุ๊กหยิบเอาภาพสเก็ตส์แก้วเซรามิกส์ ที่มีลวดลายของพรรณไม้แบบต่างๆออกมาให้ผมดูด้วยความภาคภูมิใจ
             “พี่เห็นว่ากั้งเรียนเกี่ยวพฤกษศาสตร์ พี่ก็เลยได้แรงบันดาลใจมาจากกั้งนะรู้มั้ย”
             ผมรับเอาภาพสเก็ตส์เหล่านั้นมาพิจารณา....อืม...เค้าก็ทำได้สวยไม่เลว...แต่ไม่อยากจะเชื่อว่าเค้าได้แรงบันดาลใจมาจากผม.....สงสัยจะพูดเพื่อทำคะแนน....เมินเสียเถอะ
             “ถ้ามะรืนนี้กั้งไปส่งพี่ที่โรงงาน ที่ลำปาง เดี๋ยวกั้งก็เลือกเอาเซรามิกส์มาฝากเพื่อนๆด้วยนะ เอามาเยอะๆเลย” ชิ...คิดจะเอาของมาล่อเหรอ....ผมดูเป็นคนละโมบมากนักหรือยังไง....
ผมเริ่มกังวลถึงความคาดหวังของพี่ดุ๊ก เรื่องที่จะให้ผมขับรถไปส่งที่ลำปางในวันมะรืน.......ก็ในเมื่อสถานการณ์มันเปลี่ยนไปอย่างนี้แล้ว...ผมไม่แน่ใจว่า ผมยังอยากจะไปส่งเค้าอีกหรือไม่.....แล้วผมจะหาเหตุผลอะไรมาอ้างดีล่ะ....โอ้ยยยยยย..กลุ้ม....

               พี่ดุ๊กนั่งดูเราทำเย็บใบตองอยู่เงียบๆสักพัก จึงขอตัวเข้านอน....ผมกับน้องพร ยังคงทำกระทงการเมืองต่อไปจนเสร็จ.....หลังจากอาบน้ำ ผมจัดแจงปูที่นอนให้น้องพรกับพื้นห้อง...จากนั้นจึงขึ้นไปนอนบนเตียงคู่กับพี่ดุ๊ก....เขานอนอยู่อีกฟากหนึ่งของเตียง ในขณะที่ผมพยายามขยับตัวมานอนให้ชิดกับขอบเตียงอีกฟากหนึ่งให้มากที่สุด....เตียงหกฟุตขนาดไม่เล็กเลย.....ถ้าเพียงแต่ขยับตัวแค่อีกนิดเดียว ผมคงจะหล่นลงไปกองอยู่ที่พื้นห้องอย่างไม่ต้องสงสัย....เหนื่อยจัง.....เมื่อไหร่จะจบสิ้นสักทีนะ....คิดแล้วก็อดไม่ได้ที่จะสาปแช่งตัวเองอยู่ในใจ....สมน้ำหน้า อยากแส่หาเรื่องดีนัก.......

               ผมตื่นนอนด้วยความอิดโรย เนื่องจากเมื่อคืนนอนไม่ค่อยจะหลับ บางทีการเลือกที่จะพูดอะไรออกไปตรงๆน่าจะดีเสียกว่าการที่ต้องมานั่งทนอึดอัดใจแบบนี้....แต่ผมคงขี้ขลาดเกินกว่าที่จะพูดอะไรแบบนั้นออกมาได้....
หลังจากแวะส่งน้องพรที่หอพัก ผมจึงพาพี่ดุ๊กออกหาข้าวเช้าแถวหน้ามหาวิทยาลัยทาน...ในที่สุดก็ถึงเวลาที่ผมจะต้องอยู่กับเค้าสองต่อสองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว...
                “พี่ดุ๊กอยากไปเที่ยวไหนเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ” ผมถามเพื่อทำลายบรรยากาศอันแสนจะอึดอัดระหว่างเรา
                “กั้งอยากแนะนำที่ไหนล่ะ” ดูเค้าจะไม่ค่อยจะใส่ใจเรื่องเที่ยวเท่าไหร่...ก็รู้อยู่แล้วว่าการมาในครั้งนี้ของเค้าเพื่อจุดประสงค์อะไร
               “ไปเที่ยวงานเกษตรแฟร์ในมหาวิทยาลัยดีมั้ยครับ” ผมรีบเสนอ เพราะมันอยู่ในแผนการของผมแต่แรกอยู่แล้ว
               “อืม ดีเหมือนกัน เผื่อจะมีอะไรน่าสนใจมั่ง” พี่ดุ๊ก เออออ ถึงยังไงเค้าก็ต้องแล้วแต่ผมอยู่ดีนั่นแหล่ะ
ระหว่างที่เดินเที่ยวงานเกษตรแฟร์...ภายในใจของผมว้าวุ่นอยู่ตลอดเวลา...คอยคิดแต่จะหาหนทางปฏิเสธเรื่องที่จะต้องไปส่งพี่ดุ๊กที่ลำปาง....ผมไม่ได้รู้สึกว่าเป็นภาระหนักหนาอะไรในการขับรถ....แต่ผมอยากให้ระหว่างเราจบลงให้เร็วที่สุดมากกว่า....
                  “พี่ดุ๊กครับ พรุ่งนี้ผมคงไปส่งพี่ไม่ได้แล้วนะ พอดีอาจารย์เพิ่งโทรมาจะให้ผมพาไปออกพื้นที่ไปเก็บตัวอย่างน่ะครับ” ผมรู้สึกว่าลำคอแห้งผาก ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาเค้า....... การกลับคำพูด ไม่ใช่นิสัยของผม แต่ในครั้งนี้มันจำเป็นจริงๆ....และนี่ก็เป็นคำแก้ตัวเดียวที่ผมพอจะคิดออก ในเวลานั้น
                “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวพี่จะให้คนที่โรงงานเค้าเอารถมารับก็ได้” เฮ้อ...โล่งอกไปที...ผมสังเกตุว่าเค้าไม่ได้แสดงท่าทีผิดหวังใดใดออกมาเลยแม้แต่น้อย...บางทีเค้าคงเตรียมใจไว้แต่แรกแล้วมั้ง.....

                 พี่ดุ๊กคอยตามติดผมแจ....ทั้งๆที่ผมก็แสดงท่าทีไปแล้วว่าไม่ได้รู้สึกพิศวาสเค้าแต่อย่างใด...แต่เหมือนประสาทสัมผัสของเค้าคงจะบกพร่อง....เพราะเค้าจะคอยเข้ามายืนประชิดเวลาคุยกับผมทุกครั้งที่มีโอกาส...ชอบทำเป็นยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ........ผมอยากตะโกนใส่หน้าเขาดังๆว่าให้ออกไปยืนห่างๆ....แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ปัญญาชนที่ดีพึงกระทำ.....จึงได้แต่กัดฟันอดทนเอาไว้....ดูท่าทางเค้าจะยังไม่ละความพยายามง่ายๆ....
                 “แตงโมสีเหลืองแปลกจัง” ผมเปรยขึ้นมาลอยๆ ระหว่างที่เดินผ่านแผงขายแตงโม....เนื่องจากยังไม่เคยเห็นแตงโมที่มีเปลือกสีเหลืองแบบนี้มาก่อน....พี่ดุ๊กรีบกุลีกุจอไปซื้อมาลูกหนึ่ง........จัดแจงเอาใส่ลงเป้ของเค้าเอง แล้วสะพายขึ้นบ่า....มันเป็นเป้ขนาดจิ๋วแบบที่ผู้หญิงใช้กัน อะไรดลใจตอนที่เค้าซื้อมันมานะ...
                 “เราเอากลับไปกินที่ห้องกันดีกว่า” พี่ดุ๊กแน่ะด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม.....อย่ามาทำหน้าตาไร้เดียงสาใส่ผมเหมือนไม่รับรู้อะไรแบบนี้นะ.......ผมตะโกนอยู่ในใจ......การที่เค้าทำเหมือนไม่โกรธในสิ่งที่ผมทำ....มันทำให้ผมรู้สึกผิด.....ให้เค้าเกลียดผมซะยังจะดีกว่า....
   
                 “เป็นไงมั่งพี่กั้ง สวีทกันไปถึงไหนแล้ว” เสียงน้องพรเจื้อยแจ้วมาตามสาย
                 “อยากจะบ้าตาย เธอเสร็จธุระหรือยัง รีบมาช่วยพี่เร็วๆ”   
                 “เสร็จแล้ว มารับที่ตึกวิทย์ตอนนี้ได้เลยจ้า” ค่อยโล่งขึ้นมาหน่อย....แต่ผมยังต้องวางแผนรับมืออีกรอบในคืนนี้.....คืนวันลอยกระทง....โอย...ทำไมเวลามันเดินช้าอย่างงี้งงงงงงงงง
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 25-05-2007 10:21:15
ไม่โกรธก็ดีแล้ว....ตกใจแทบแย่  :try2:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 25-05-2007 11:02:00

..........เจ๊สองมีเพื่อนและ.........

..........เรียนพฤษศาสตร์เหมือนกันด้วย........

.........รอลุ้นต่ออ่ะคับ.........ว่าจะทำไง..... :o9: :o9:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 25-05-2007 13:03:04
แล้ววันนี้อิชั้นก้ได้เรียนรู้ว่า  การสลัดผู้ชายออกจากชีวิตมันทำได้อยากพอๆ กับการหาผู้ชายเข้ามาในชีวิต  :laugh:

ปล. คงอีกไม่นานที่ชั้นจะเป็นกระเทยแก่ๆ  :sad2:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: MyLoveMyBabe ที่ 25-05-2007 19:01:10
อะไรกัน เจ้จะรีบเป็นกระเทยแก่ไปไหนกานนน  หุหุ  :o9:


จริงอย่างที่เจ้ว่านะ   "  การสลัดผู้ชายออกจากชีวิตมันทำได้อยากพอๆ กับการหาผู้ชายเข้ามาในชีวิต  " o21


หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 25-05-2007 19:15:10
พี่ดุ๊กคะแนนตกไปอีกแล้ว แล้วจะเหลือใครล่ะนี่  :try2:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 25-05-2007 19:51:25
เหอ เหอ  หน้าตานี่เป็น first impression เลย  หน้าไม่ผ่านเกณฑ์นี่ทำหมดอารมณ์ไปได้เหมือนกัน  o16
อ่านๆ ไปก็สงสารพี่ดุ๊กอะนะ  ไม่รู้ว่าเค้าเป็นไงหรอก  แต่ก็นะ ก็พยายามรักษาน้ำใจเต็มที่แล้วนี่

คนไม่รัก  ฝืนไปยิ่งทำให้เค้าเจ็บ  ให้เค้ารู้แต่ต้นแล้วก็ยอมรับจะดีกว่า
รออ่านต่อจ้า  เราเป็นคนเชียงใหม่เหมือนกันเลย  อ่านแล้วมีสำนึกรักบ้านเกิด คิดถึงจัง อิอิ  :impress2:

ปล  ตกลงรู้จักเจ้สองป่าวเนี่ย 
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 26-05-2007 11:03:46
ไปถามสองเองจิ...อิอิ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 26-05-2007 19:11:36
หึหึ บางทีมันก็ไม่ได้ลงตัวอย่างที่คิด
 o6
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 26-05-2007 23:57:54
เรารู้จักกันด้วยหรอเคอะคุณคนเขียน

แต่ก้ยินดีที่ได้รู้จักนะ  ดีใจจังมีคนเรียน บอทฯ อีกคนแล้ว  :give2:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 27-05-2007 11:00:07
อืม...ใช่...สำหรับบางคน.....บางทีมันก็ไม่ลงตัว....

........แต่กับบางคน มันก็มักจะไม่ลงตัวทุกที......เช่น..

........เค้ารักเรา เราไม่รักเค้า........

........เค้าไม่รักเรา แต่เรารักเค้า.....

.......หรือเค้าป่าวประกาศว่ามีเจ้าของแล้ว......เป็นต้น....หุหุ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 27-05-2007 20:04:14

กรีดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

เข้ามากรีดรีบนอย่างเดียว  :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 27-05-2007 20:23:29
^
^
คุณอิเจ้สอง  รีบน  เป็นอะไรไปคะนั่น  จะกรีดทำไมคะ อิฉันไม่รู้เหตุผล
ขอกรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด  ตามอิเจ้คะ  :laugh:  :laugh:

หุหุ  ว่าแต่ Moody  ยอกย้อนน่าดูนะ รู้จักอิเจ้ป่าวก็มะบอก ชิส์ๆๆ  แล้วก็ดูเหมือนกุ๊กกิ๊กๆ กับใครดีเนอะ

รออ่านต่อจ้า ตาละห้อย  :impress:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 28-05-2007 09:08:45
                        ในค่ำของวันนั้น หลังจากหาที่จอดรถซึ่งค่อนข้างจะหากยากอยู่สักหน่อยในช่วงเวลาที่มีงานเทศกาลเช่นนี้ เราสามคนเดินลัดเลาะไปตามถนน มุ่งหน้าไปยังสะพานนวรัฐซึ่งเป็นบริเวณที่มีการรวมตัวกันของนักท่องเที่ยวและชาวเมือง เพื่อทำกิจกรรมต่างๆในวันลอยกระทง ไม่ว่าจะเป็น การจุดโคมลอย การจุดเทียนเล่นไฟ การลอยกระทง หรือแม้กระทั่งการละเล่นที่รุนแรงอย่างเช่นประทัดเป็นต้น.....ถึงแม้ว่าจะมีประกาศห้ามเอาไว้แต่ก็ยังมีคนฝ่าฝืนเล่นอยู่ดี........กฎมีเอาไว้เพื่อแหกอยู่แล้วไม่ใช่หรือ...ถึงอย่างไรก็ไม่เห็นจะมีใครโดนจับสักคน......ก็คงจะห้ามยากอยู่สักหน่อยเพราะเค้าก็เล่นแบบนี้กันมาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ.....ตราบใดที่คุณไม่ได้ปามันไปใส่ใครให้ต้องแตกตื่นขวัญหนีดีฝ่อหรือเลือดตกยางออก ก็เป็นอันใช้ได้.....
                       คืนนี้มีขบวนแห่กระทงเล็ก ซึ่งเป็นขบวนแห่ที่ส่งเข้าร่วมจากชุมชนต่างๆ ที่เน้นทำแบบเรียบง่าย ไม่หวือหวา....ส่วนคืนพรุ่งนี้จึงจะเป็นขบวนแห่กระทงใหญ่ ซึ่งเน้นความสวยงามอลังการตามศักยภาพที่มีเหนือกว่าในทุกๆด้าน จากหน่วยราชการและสถาบันการศึกษาต่างๆ....
                       “พรุ่งนี้กั้งจะมาดูขบวนแห่มั้ยครับ” พี่ดุ๊กถามขึ้นมาลอยๆระหว่างที่เราหยุดพักดูขบวนแห่ที่กำลังจะเคลื่อนตัวผ่านไปอย่างช้าๆ
                       “คงไม่หรอกครับ กั้งไม่ชอบเบียดกับคนเยอะๆ” ผมรีบบอกปัด เพราะถึงแม้ว่าพรุ่งนี้เช้าเค้าจะไปลำปางแล้ว แต่หากผมบอกว่าจะมาเที่ยวงานในคืนพรุ่งนี้ พี่ดุ๊กอาจหาเหตุย้อนกลับมาอีกครั้ง เพราะถึงยังไงเค้าก็ต้องมาขึ้นเครื่องบินที่เชียงใหม่อยู่แล้ว......บรรยากาศนิ่งเงียบไปชั่วอึดใจ....ผมจึงเดินเลี่ยงออกไปหาซื้อโคมลอยสักอัน.....
   
                      “พี่กั้งไปเดินกับพี่ดุ๊กมั่งสิ ทิ้งเค้าไว้คนเดียวแบบนั้นมันน่าเกลียดนะ” น้องพรเดินเข้ามากระเซ้า....ซึ่งก็ได้ผล....ผมฉุนกึกขึ้นมาทันที
                      “เธออยากไปก็ไปเองสิ” ผมยักไหล่ เดินผละออกมา....ปล่อยให้น้องพรยืนทำท่ากระฟัดกระเฟียด ด้วยว่าขัดใจหรือจะแสร้งทำเพราะเป็นจริตนิสัยประจำตัวก็ไม่ทราบ
                      ผมทำทีเป็นไม่มอง แต่แอบชำเลืองดูทางหางตา เห็นน้องพรเข้าไปคุยกับพี่ดุ๊กที่กำลังง่วนอยู่กับการถ่ายรูป.....ความจริงเค้าก็ดูมีความสุขกับการมาเที่ยวของเค้าพอสมควร ไม่เห็นจะมีทีท่าว่าจะแง่งอนไม่พอใจที่ผมละเลยแต่อย่างใด.....สักพักน้องพรจึงเดินกลับมากระซิบ
                    “พี่กั้งๆ พอพี่กั้งไม่อยู่พี่ดุ๊กแตกสาวจิกน้องด้วย” ผมแอบขำ ท่าทางน้องพรอยู่ในใจ...ช่างประจ๋อประแจ๋น่าหมั่นไส้ดีแท้....
                   “เค้าว่าอะไรเธอมาล่ะ” ผมถามส่งๆ เพราะรู้อยู่แล้วว่าถ้าไม่ถาม ก็ต้องเล่าให้ฟังอยู่ดี
                  “น้องบอกว่าตอนขากลับจะให้ตำรวจไปส่งเราที่รถ แล้วพี่ดุ๊กก็ถามน้องว่าสวยเหรอเค้าถึงจะไปส่งน่ะ” น้องพรทำท่าสาธยายปากยื่นปากยาว
                  “แล้วเธอว่าไงล่ะ” ผมซักต่อ
                  “น้องบอกเค้าว่าไม่สวยหรอกค่ะ แต่กินอร่อยยย” น้องพรเน้นเสียง ทำท่าภูมิอกภูมิใจออกนอกหน้า
                  “แล้วพี่ดุ๊กก็ว่าให้น้องว่า เฮ้อะๆ อันนี้ก็ต้องลองงงงงงง” น้องพรจีบปากจีบคอทำท่าเลียนแบบพี่ดุ๊กทำเสียงสาวแตกต่อ.....ผมอดขำไม่ได้เลยตีเพียะที่แขนไปหนึ่งทีแก้เก้อ.....สมน้ำหน้าอยากแส่หาเรื่องเอง....อิอิ

                  ตั้งแต่อยู่เชียงใหม่มา ผมยังไม่มีโอกาสมาเที่ยวงานลอยกระทงจริงๆจังๆสักหน เพราะไม่ชอบคนพลุกพล่าน....ได้แต่คอยยืนมองโคมลอยที่ล่องลอยอยู่เต็มท้องฟ้าเมืองเชียงใหม่ที่ระเบียงห้องอยู่คนเดียวยามดึก....บางทีก็อดคิดเล่นๆในใจไม่ได้ว่า นี่ถ้ามีคนรู้ใจมายืนดูอยู่ด้วยกันข้างๆคงจะโรแมนติกดีไม่น้อย...คนไม่มีแฟนคงจะรู้ดีว่า เทศกาลโรแมติกแบบนี้ช่างทำร้ายจิตใจคนโสดได้อย่างแสนสาหัสนัก....ลองมาอยู่เชียงใหม่โดยที่ไม่มีแฟนดูสิ แล้วคุณจะรู้ซึ้งถึงใจถึงความรู้สึกดังกล่าว...

                  พอมาถึงเชิงสะพานนวรัฐ เราจึงนำเอาโคมลอยมาร่วมจุดกับนักท่องเที่ยวคนอื่นอย่างสนุกสนาน...นี่ถ้าพี่ดุ๊กมาเที่ยวกับเราในฐานะพี่น้อง คืนนี้คงจะสนุกไม่น้อย....เนื่องจากผมจะได้ไม่ต้องมาคอยพะวงกับการวางตัวเพราะเกรงว่าถ้าทำท่าสนุกมากไป เดี๋ยวเค้าจะมองว่าเป็นการให้ท่า...แต่ถ้าทำบึ้งตึงเกินไป ก็ดูจะเป็นคนใจทมิฬขาดความเมตตาอย่างไม่น่าให้อภัย..เราแลกเปลี่ยนกันถ่ายรูปจนเวลาล่วงเลยไปค่อนดึกจึงชวนกันกลับ....จากจุดที่จอดรถมาถึงที่เราอยู่ค่อนข้างไกลพอสมควร หากจะเดินกลับดูจะเป็นงานที่โหดพอดู
                 “เราเรียกตุ๊กๆไปส่งดีมั้ย” น้องพรเสนอ....เราตกลงใจเรียกตุ๊กๆกลับ....ด้วยความที่รถมีพื้นที่ค่อนข้างจำกัด....เราสามคนจึงจำเป็นต้องนั่งเบียดกัน....พี่ดุ๊กเอื้อมมือมาโอบที่ไหล่ผม อาจเพราะจงใจหรือเพราะพื้นที่แคบก็ไม่อาจทราบได้....
                 “อยากจะตบหน้าสักฉาดโทษฐานที่กล้ามาทำกิริยาจาบจ้วงกับเรานัก” ผมคิดในใจอยู่เงียบๆ แต่ก็ทำเป็นวางเฉยเสีย.....นี่ถ้าเป็นคนที่เราพอใจล่ะก็ ทำมากกว่านี้ก็จะสู้อดทนไม่ปริปากบ่นสักคำ หุหุ....
   
                 “เราไปจุดโคมลอยในมหาวิทยาลัยกันเถอะ” ผมออกความเห็น เพราะพิจารณาแล้วว่ายังไม่ดึกนัก ถ้าหากกลับเสียแต่ตอนนี้คงไม่สมเหตุสมผลที่จะให้น้องพรไปนอนค้างที่ห้องด้วยอีกคืน...ดึกแล้วขี้เกียจกลับไปส่ง....คือเหตุผลเดิมที่ผมคิดเอาไว้ในใจ....
                 ในมหาวิทยาลัยมีคนมาลอยกระทงมากพอๆกับข้างนอก แต่บรรยากาศดูเป็นเอกภาพมากกว่า เพราะส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยทั้งนั้น.....
                  “ขอยืมไฟแช็กหน่อยได้มั้ยครับ” หนุ่มน้อยน่ารัก กลุ่มข้างๆเข้ามาขอยืมไฟแช็ก.....ผมยิ้มหวานก่อนยื่นให้......เด็กๆก็น่ารักแบบนี้แหล่ะ..อิอิ...ผมถือโอกาสขอให้เค้ามาช่วยจับโคมไฟไว้ให้ระหว่างรอรมให้ควันมากพอที่จะส่งโคมให้ลอยขึ้นฟ้า.....
                  “เดี๋ยวพี่ช่วยจับโคมเอาไว้ให้ กั้งไปถ่ายรูปให้ที” พี่ดุ๊กเข้ามากระแซะแย่งโคมไปจากมือผม......เค้าจะทำอะไรของเค้าเนี่ย....ผมเดือดดาลอยู่ในใจ แต่ก็ไม่ได้ทักท้วงอะไรออกมา นอกจากทำตามคำสั่งแต่โดยดี.....ฮึ่มมมมม

                   คืนนี้ก็จบลงแบบเดิมเหมือนคืนที่แล้ว ผมได้แต่หวังว่าบัวคงไม่ช้ำ และน้ำก็คงจะไม่ขุ่นจนเกินไป....ผมไม่อยากบอกกับเค้าตรงๆว่าไม่ได้ชอบเค้า....คิดว่าจากอวัจนะภาษาที่ผมแสดงออกไปตลอดสองวันที่ผ่านมา น่าจะบอกอะไรเค้าได้บ้าง ไม่มากก็น้อย....ผมไม่อยากพูดอะไรที่ทำร้ายความรู้สึกใคร....แต่ใครจะรู้ว่าบางทีสิ่งที่ผมกระทำลงไปอาจจะทำร้ายเค้าได้มากกว่าคำพูดเป็นไหนๆ....คงมีแต่ตัวพี่ดุ๊กเองที่รู้คำตอบนี้ หรือไม่ก็สวรรค์.....
                   ผมหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย....จนรุ่งเช้า....รู้สึกขอบคุณที่เค้าไม่ได้ล่วงล้ำก้ำเกินใดๆให้ต้องลำบากใจ.....ผมพลิกตัวหันไปมองไปยังตำแหน่งที่พี่ดุ๊กนอนอยู่.......เขาจ้องมาที่ผมแต่แรกอยู่แล้ว.....หัวใจผมหล่นวูบด้วยความตกใจ.....แต่เค้ายังคงจ้องนิ่งอยู่อย่างนั้นโดยไม่มีคำพูดหรือแสดงปฏิกิริยาใดๆออกมา....ผมรู้สึกว่าช่วงเวลานั้นเนิ่นนานมาก...นานจนน่าอึดอัดใจ......ผมพลิกตัวลุกขึ้นเดินเลี่ยงไปเข้าห้องน้ำ....ล้างหน้า....แปรงฟัน....อาบน้ำ.....แต่ในใจผมคิดถึงแต่สายตาของเค้าที่มองมาเมื่อครู่....มันช่างอ้างว้าง....ว่างเปล่า....จะสื่อให้รับรู้ถึงอารมณ์ใดๆผมก็ไม่อาจจะพรรณนาได้....รู้แต่เพียงว่ามันทำให้ผมรู้สึกผิด....ผิดกับทุกๆอย่างที่ผ่านมา.....แล้วผมจะทำอะไรได้ในเมื่อความรักมันคือความสมัครใจของคนสองคนไม่ใช่หรือไง......ผมไม่สมัครใจและไม่ต้องการให้เค้าแสดงความรู้สึกต่อผมในแบบคนรัก....ถึงจะมองว่าผมเป็นคนใจดำไร้ความเมตตา แต่ผมก็ไม่มีทางเลือก...ไม่มีเลยจริงๆ....
                     เราร่ำลากันที่หน้าโรงแรม.....พี่ดุ๊กจากไปพร้อมรถยุโรปคันงามที่มาคอยรอรับ.....จบสิ้นกันทีความรักในวิมาน ที่ผมวาดมันขึ้นมาลวงๆ......แถมยังดึงเอาคนคนหนึ่งเข้ามาร่วมและทำลายมันลงให้ย่อยยับโดยน้ำมือผมเอง........ผมได้บทเรียนจากความสัมพันธ์ครั้งนี้อย่างหนึ่งว่าไม่ควรดึงใครเข้ามา โดยการใช้ความหวังเป็นสิ่งหลอกล่อ หากตัวเราเองยังไม่รู้แม้กระทั่งความต้องการที่แท้จริงภายในใจ.....

                     “น่าสงสารเค้าเนาะ แต่ก็ดีแล้วที่พี่กั้งตัดสินใจทำแบบนี้” น้องพรพยายามพูดปลอบใจระหว่างที่เราสองคนมาเดินเที่ยวงานลอยกระทงใหญ่ในค่ำวันนั้น....ผมเคยบอกพี่ดุ๊กว่าจะไม่มา...แต่ผมก็มา...ใช่ ผมโกหกเค้า...
                    “เสียดายเนาะ นึกว่าพี่กั้งจะได้แฟนรวย น้องจะได้พลอยสบาย” น้องพรพูดติดตลก เพื่อสร้างให้บรรยากาศ
                    “เธอก็เอาเองสิ” ผมแหวใส่....เราเดินชมงานต่อเงียบๆ...ผมยังรู้สึกแย่อยู่ แต่ผมไม่ได้ลบเบอร์เค้าทิ้ง....ไม่ใช่เพราะจะเอาไว้ติดต่อ...แต่หากเค้าโทรมาผมจะได้ไม่รับสายต่างหาก...
                    “พี่กั้งๆ นั่นใช่พี่ดุ๊กหรือเปล่า” น้องพรสะกิดผมให้ดูใครคนหนึ่งที่กำลังชมขบวนลอยกระทงอยู่ที่อีกฟากของถนน
                   “จะเป็นไปได้ไง ก็เค้าไปลำปางตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วนี้” ผมค้าน เพราะไม่คิดว่าเค้าจะหวนกลับมาที่เชียงใหม่อีก
                   “ดูดีๆสิ น้องว่าใช่นะ” น้องพรคะยั้นคะยอต่อ อย่างมั่นอกมั่นใจ
                   “เฮ้ย จริงๆด้วย” ผมมองไปในทิศที่น้องพรบอก เป็นพี่ดุ๊กจริงๆ...เค้ากำลังยืนถ่ายรูปขบวนแห่อยู่คนเดียวที่อีกฟากถนน....ตายล่ะผมจะทำยังไงดี....จากตำแหน่งที่เรายืนอยู่มีคนไม่มากนัก....เป็นไปได้ว่าเค้าอาจจะมองเห็นเราสองคนในอีกไม่ช้านี้......ยังไม่ทันที่น้องพรจะพูดอะไรออกมา ผมก็ตัดสินใจกระชากแขนพาวิ่งฝ่ากลุ่มคนออกไปจากจุดที่เรายืนอยู่อย่างรวดเร็ว.....เราสองคนทั้งวิ่ง...ทั้งหัวเราะมาหยุดยืนหอบที่มุมตึก.....นี่ผมทำอะไรลงไปอีกเนี่ย....ในตอนที่เราวิ่งออกมาพี่ดุ๊กต้องเห็นแน่ๆ.....จะไม่เห็นได้ยังไง คนวิ่งออกจะเอะอะมะเทิ่งขนาดนั้น........นี่ผมยังทำร้ายเค้าไม่พออีกหรือยังไง.....ผมเลือกที่จะหนีปัญหาแทนที่จะเผชิญหน้ากับปัญหา....ผมควรจะเดินไปทักเค้าแล้วพาเค้าไปส่งขึ้นเครื่องอย่างน้องที่ดีควรทำ.....แต่ผมกลับเลือกวิธีที่จะวิ่งหนี เหมือนเด็กๆไม่มีผิด....บางทีผมอาจจะทนความอึดอัดใจมานานจนเกินพอแล้ว จนไม่อยากจะแบกรับกับมันอีกต่อไป แม้เพียงแค่เสี้ยววินาทีเดียว........จบไม่สวยเลย......

                    ผมกลับมานั่งทำแลปอีกครั้งหลังจากผ่านความยุ่งเหยิงที่ตัวเองก่อเอาไว้มาอย่างสะบักสะบอม.....แต๊บๆๆๆๆๆแต๊บแก.....เสียงโทรศัพท์ดังทำลายความเงียบขึ้นมาจนผมสะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจ (เสียงโทรศัพท์ผมเป็นเสียงตุ๊กแกที่ผมเกลียดมาก แต่ก็เอามาตั้งเป็นเสียงโทรศัพท์)....ผมหยิบออกมาดูเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ใช่พี่ดุ๊ก....ผมยังผวาเค้าอยู่
                   “หวัดดีครับ พี่กั้งเหรอ นี่นัทพูดนะ” อ้าว นึกว่าจะหายไปซะแล้ว...โทรมาอีกทำไมล่ะเนี่ย ผมนึกฉงนอยู่ในใจ
                   “ใช่.....นัทเหรอ มีอะไรล่ะ” ผมไม่จำเป็นต้องปั้นเสียงให้ดูหล่อกับคนๆนี้...ก็ในเมื่อเค้าเคยว่าผมเอาไว้ซะมากเรื่อง....เสียงส้าวววววววสาว...ผมยังเคืองอยู่นะ.....ก็ถ้าคิดว่าเราสาวก็ไปหาคนแมนๆสิจะโทรมาอีกทำไมกัน....หรือยังว่าให้เรายังไม่สาแก่ใจ
                  “กินข้าวเที่ยงยัง” เค้าถามต่อ...นี่อีตานี่คิดว่าตัวเองเป็นใคร....พูดอะไรกับเค้าเอาไว้จำไม่ได้หรือไง ยังจะมีหน้ามาชวนไปกินข้าวอีก...ดีล่ะผมจะทำเป็นเล่นตัวสักหน่อย...
                   “กินแล้ว ทำไมอ่ะ” ผมทำท่าวางเฉย ไม่รู้ร้อนรู้หนาว...
                   “ว่าจะชวนไปกินข้าวสักหน่อย แต่ไม่เป็นไรเอาไว้คราวหลังก็ได้” ใครจะไปกับนายเชอะ...ผมคิด
                   “เอาไว้ตอนเย็นพี่เสร็จธุระแล้วจะโทรหาแล้วกัน” ผมกัดฟันพูดออกมาในที่สุด.....อิอิ...ผมเองก็อยากเจอเค้าเหมือนกันแหล่ะ...อยากจะรู้นักว่าจะวิเศษสักแค่ไหน ถึงได้มั่นใจซะขนาดนี้..
                   “ครับ งั้นแค่นี้นะ” เค้าวางสายไปแล้ว ทิ้งให้ผมอยู่กับความงงงวยต่อคนเดียว...จะมาไม้ไหนกับเราอีกนะ...เดี๋ยวเย็นนี้ก็จะได้รู้กัน....ผมหันกลับมาทำงานต่อ แต่ในสมองเริ่มวางแผนการอีกแล้ว.....
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ~ScAreD:SAcreD~ ที่ 28-05-2007 10:54:01
ตามเสียงกรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด อิเจ๊สองมา
เนื่องจากกรีดร้องดังมาก เหมือนโดนน้ำมนต์ 5 5 5  :laugh:(พูดเล่นนะ เจ๊)

ชักสงสัยแล้วสิ คนเขียนเนี่ย ....... ใช่คนที่เราคิดรึเปล่า หุ หุ  o3
ถ้าใช่งานนี้มีฮา  :laugh3:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 28-05-2007 11:28:26
ผูกเรื่องเป็นตุเป็นตะเชียว.....ไม่ใช่อย่างที่คิดซักหน่อย.....คิคิ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: MyLoveMyBabe ที่ 28-05-2007 12:57:04
ในที่สุดก้ปลดระวางออกจากบัญชีไปหนึ่งคน อิอิ

จะรอดูน้องนัทต่อว่าจะเป็นงายยย


ปล..คนชื่อนัทอ่ะ น่าร๊ากนะจะบอกให้ เอิ๊กๆๆ o14
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 28-05-2007 13:06:56

สงสารพี่ดุ๊กจัง  เพี้ยง!! ขออย่าให้เราเจอเหตุการณ์แบบนี้กะตัวเองเลย  :amen:

ปล. รีบนเคอะ  ช่างกล้านะเคอะ อิอิ  แต่เจ้ก็เห็นด้วย
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 28-05-2007 13:08:58

..........ถ้าไม่ใช่ฝืนไปก็เท่านั้น...... o7 o7

..........ยิ่งฝืนนานก็ยิ่งเจ็บลึก........ :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 28-05-2007 20:23:29
รอลุ้นน้องนัทดีกว่า   :give2:
อยากรู้นัก จะน่ารักสักแค่ไหน  :o9:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 29-05-2007 10:06:13
                        “นัทเหรอ เย็นนี้พี่จะไปตีแบด สนใจมั้ย” ผมรีบโทรศัพท์ถึงนัทในค่ำวันนั้น....ก็เรื่องอะไรผมจะปล่อยให้เค้าลอยนวลไปล่ะ......เค้าทำอวดดีกับผมเอาไว้มาก......ยังไงก็ต้องขอเจอตัวจริงกันหน่อยล่ะ.....
                       “พี่ไปกันกี่คนน่ะ” ผมบอกชื่อคนที่จะไปด้วยสองคน
                      “ผู้ชายหรือผู้หญิง เป็นเกย์หรือเปล่า” เค้าซักต่อ....บ๊ะเจ้านี่เรื่องมากจริง...ผมนึกฉุนในใจ
                      “ถามทำไม”
                      “ก็ไม่อยากให้ใครมองว่าเป็นเกย์ ไปหลายๆคนดีกว่า เดี๋ยวคนอื่นจะสงสัย” นัทให้เหตุผลอ้อมแอ้ม...ดูทีรึ...เป็นเกย์แต่ไม่อยากให้คนอื่นมองว่าเป็นเกย์.....ผมเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับคนจำพวกนี้มามาก....เกย์ประเภทแอบแฝง ไม่แสดงออก....และซีเรียสมากในการปิดบังตัวเอง...พวกเขาพร้อมที่จะตัดสัมพันธ์กับใครๆได้ในทันที โดยที่ไม่เหลือเยื่อใยใดๆ...ถ้าหากว่าคนผู้นั้นกระทำการอันจะส่งผลกระทบถึงภาพลักษณ์ของความเป็นชายที่เค้าพยายามสร้างมายาวนาน......ในเมื่อห่วงภาพลักษณ์ตัวเองมากขนาดนั้น แล้วจะมาเป็นเกย์ทำไม....อย่างว่าล่ะนะ...ก็ความอยากมันเข้าใครออกใครซะที่ไหน.....คนจำพวกนี้เค้าเรียกว่า เป็นคนประเภทเกลียดปลาไหล แต่กินน้ำแกง....เห็นแก่ความรู้สึกของตัวเองมากกว่าความรู้สึกของคนอื่น ต่อให้มีคนที่รักและดีกับเขามากแค่ไหนก็ตาม เขาจะไม่มีวันสร้างสัมพันธ์ให้ลึกซึ้งเกินไปกว่าความสัมพันธ์ทางกาย เนื่องจากเขาได้ตีกรอบการใช้ชีวิตเกย์ของเขาเอาไว้แต่แรกอยู่แล้ว.....อย่างไรก็ดีมันเป็นการอยุติธรรมต่อบางคนที่ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อความรักโดยคิดว่า....จะใช้ความรักเปลี่ยนเขาได้ในที่สุด.....แต่สุดท้ายก็มักจะจบลงด้วยน้ำตาและความพ่ายแพ้อยู่เสมอ....ชีวิตเกย์นี่เข้าใจยากจริงๆ

                       “พี่กั้งกำลังจะไปไหนเนี่ย” น้องพรถามอย่างสงสัย.....ก็ในเมื่อเราสองคนกำลังจะไปตีแบด แล้วทำไมผมถึงขับรถมุ่งหน้ามาที่หอพักนักศึกษาคณะแพทย์ ซึ่งอยู่คนละทิศละทางกับสนามแบดที่เรากำลังจะไป
                      “เออน่า เดี๋ยวก็รู้เอง” ผมแกล้งพูดเป็นปริศนาให้น้องพรสงสัยเล่นๆ......ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรถึงนัท
                     “พี่มาถึงแล้ว ลงมาสิ” หลังจากวางสาย ผมก็ตั้งหน้าตั้งตาคอยลุ้นว่า นัท ที่ผมเคยคุยด้วยทางเอ็มเอสเอ็นตั้งแต่สมัยอยู่เมืองนอกคนนั้น ตัวจริงของเค้าจะเป็นยังไง....จะเหมือนอย่างที่ผมคิดเอาไว้หรือเปล่านะ.....

                      ไม่นาน....ผมสังเกตเห็นผู้ชายคนหนึ่งวิ่งลงมาจากหอพัก.....เค้าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาใครบางคน.....แล้วเสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น.....
                     “ฮะโหล พี่กั้งอยู่ไหนอ่ะ” เค้าพูดผ่านสายโทรศัพท์ พลางสอดส่ายสายตามองหาผม ไปทั่วบริเวณลานจอดรถ
                     “อยู่ทางนี้” ผมเลื่อนกระจกรถลงโบกมือเรียกนัทให้หันมองมายังจุดที่พวกเรารออยู่.....เค้ากำลังเดินตรงเข้ามา
                    “คนนี้เหรอน้องหมอ ไม่เห็นจะหล่อเหมือนในรูปที่พี่กั้งเอาให้ดูเลย” น้องพรรีบฉวยโอกาสวิพากวิจารณ์ก่อนที่นัทจะเดินเข้ามาถึง
                   ความจริงเค้าก็ไม่ได้ดูหล่อเหมือนอย่างในรูปที่ส่งให้ผมดูจริงๆนั่นแหล่ะ.....ผิวไม่ขาวอย่างที่คิดแต่ก็ไม่ถึงกับดำ.....สูงประมาณร้อยแปดสิบเซ็นติเมตร.....น้ำหนักเกินค่อนไปทางอวบ.....ดูเซอร์ๆ คงจะไม่ค่อยดูแลตัวเองสักเท่าไหร่....ใส่กางเกงขาสามส่วนสีมอๆ ตัวใหญ่ๆ แบบที่พวกผู้ชายเค้าชอบใส่กัน...เสื้อเชิ้ตปอนๆ.....นี่ถ้าไปเจอข้างนอก ผมคงไม่คิดว่าเค้าจะเป็นเกย์แน่ๆ......เพราะคงไม่มีเกย์ที่ไหนที่จะเซอร์ได้ขนาดนี้....ไม่ดูแลตัวเองเอาซะเลย เป็นหมอประสาอะไร....ผมคิด..แต่เค้าก็มีบางอย่างที่ผมชอบ....มาดแมน....ใส่เหล็กดัดฟัน......ตัวสูงใหญ่...อวบ....ใช่.....ผมชอบคนอวบๆ น่ารักดี

                   “หวัดดีครับ” ความคิดผมสดุดลงพร้อมกับเสียงทักของนัท ผมพยักหน้ารับ เอื้อมมือไปเปิดประตูให้เขาก้าวเข้ามานั่งในตำแหน่งข้างๆคนขับ...นัทไม่ยักกะไหว้ผมแฮะ....ก็เค้าอ่อนกว่าผมตั้งสี่ปีนี่นา....แต่จะคิดอีกที คงไม่มีใครเค้าไหว้คนที่เค้าคิดจะจีบหรอกเนาะ...หุหุ....มีหวังแล้วเรา...
                 “คนนี้ชื่อพี่พร เรียนปริญญาโทอยู่ชีววิทยา ผมบุ้ยใบ้ไปทางน้องพร....ทั้งสองคนทักทายกันตามมารยาท...น้องพรเก๊กแมนขึ้นมาในทันตา...เพราะผมเคยบอกเอาไว้ว่า นัทค่อนข้างจะซีเรียสเรื่องแตกสาว ถ้าเป็นไปได้ ให้พยายามเก๊กแมนเข้าไว้....ซึ่งงานนี้ก็ไม่ถือว่าเป็นงานยากสำหรับน้องพร เนื่องจากเค้ามีใบหน้าที่ค่อนไปทางมาดแมนอยู่แล้ว ถ้าหากนั่งอยู่เฉยๆไม่พูดไม่จาแตกสาวออกมา คงจะหลอกใครต่อใครให้เชื่อได้ไม่ยากว่าเป็นผู้ชายแท้ๆ.....เกย์สาวแต่หน้าแมน...อิอิ
   
                  “พี่กั้ง กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่” นัทถามแก้ขวย....ผมรู้สึกว่าเค้าคอยชำเลืองมองดูผมบ่อยๆ....แต่ผมแกล้งทำเป็นเฉยเสีย พยายามวางหน้าให้ดูละมุนละไมเข้าไป...ใช่แล้วผมกำลังยั่วยวนเค้าอยู่..
                 “สักสองอาทิตย์แล้ว” ผมบอก.....ก่อนจะเข้าเกียร์และเหยียบคันเร่งมุ่งหน้าไปยังโรงยิม....ระหว่างการเดินทาง ส่วนใหญ่น้องพรจะเป็นผู้ผูกขาดการสนทนากับนัทซะมากกว่า เนื่องจากผมเองไม่ถนัดคุยกับคนแปลกหน้าเท่าที่ควร....
                “เรามากันสามคนเองเหรอ” นัทถาม เนื่องจากปกติในการเล่นแบด มักจะต้องเล่นกันสี่คนขึ้นไปจึงจะสนุก
                “พี่นัดปอเอาไว้แล้ว เค้าบอกว่าจะมารอพวกเราที่โรงยิมเลย” การที่จะรวมเอาทุกคนมาเพื่อตีแบดในครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก....เนื่องจากผมเพิ่งกลับมาจากเมืองนอก กลุ่มตีแบดของเราก็ได้ถึงกาลล่มสลายไปตั้งแต่ครั้งนั้น...แต่ด้วยความพยายามอย่างสุดความสามารถ....ในที่สุดผมก็เซ็ตทีมตีแบดเฉพาะกิจขึ้นมาจนสำเร็จ.....จะเพื่อใครล่ะถ้าไม่ใช่เพื่ออีตานัทคนเดียว.....เอ หรือว่าเพื่อตัวผมเองกันแน่นะ...อุอุ

                เรามาถึงโรงยิมตรงกับเวลาที่จองสนามเอาไว้พอดี.....ผมเห็นปอมานั่งรอเราอยู่ก่อนแล้ว..........เค้ายิ้มแต้เดินรี่เข้ามาทักทาย........
               “หวัดดีคับพี่กั้ง นึกว่าจะไม่มาซะแล้ว” ผมยิ้มตอบพยายามสงวนท่าทีเอาไว้
               “เข้าไปข้างในกันเถอะ” น้องพรรีบตัดบทเพราะเข้าใจสถานการณ์ดี

                 ความจริงแล้วปอกับผมก็มีประวัติร่วมกันมาแบบไม่โปร่งใสซะทีเดียว..... เราเจอกันครั้งแรกที่สนามแบดแห่งนี้เมื่อสองปีที่แล้ว......ครั้งนั้นผมเพิ่งมาอยู่ที่เมืองเชียงใหม่ได้ไม่นานและกำลังอยู่ในระหว่างการตั้งหน้าตั้งตาเสาะหาคนรู้ใจอย่างเอาเป็นเอาตาย....ในตอนนั้นทีมเล่นแบดของผมมีเพียงสามคน คือผม น้องพร และเพื่อนสาวอีกหนึ่งคน....การมาสามคนไม่ใช่เพราะเราไม่สามารถที่จะหาแนวร่วมได้ แต่มันเป็นกลยุทธ์อย่างหนึ่งในการจีบหนุ่มๆของผมตะหาก......เพราะผมจะใช้โอกาสที่เราขาดคนเล่นนี้ เป็นช่องทางในการเสาะหาอาสาสมัครจำเป็น(ที่เราหมายหัวเอาไว้แล้ว) มาร่วมตีแบดกับพวกเรา เพื่อให้ครบสี่คน....ซึ่งปอก็เป็นหนึ่งในบรรดาของหนุ่มๆที่ตกเป็นเหยื่อมารดังกล่าว......
   
                     ในตอนนั้นปอมากับเพื่อนๆกลุ่มใหญ่ ซึ่งกลุ่มดังกล่าวรวมตัวกันเพื่อทำกิจกรรมทางศาสนารวมไปถึงการร่วมกันทำกิจกรรมทางการกีฬาและอื่นๆอีกด้วย.....กลุ่มของปอมีผู้เล่นในหลายระดับฝีมือ...บางคนเล่นเก่ง...บางคนเล่นอ่อน.....เมื่อเค้าได้มาตีกับพวกเรา ผมจึงสามารถดึงให้ปอมาเข้ากลุ่มกับพวกเราได้ไม่ยาก......เพราะการได้เล่นแบดกับกลุ่มที่มีระดับฝีมือค่อนข้างดีอย่างพวกเราย่อมทำให้เค้าติดใจ....คอร์ทไม่ต้องจอง....มีน้ำให้ดื่มฟรี....ค่าลูกแบดถูก......เพื่อนเล่นแบดฝีมือดี....แถมยังน่ารักและเอาใจเก่งอีกต่างหาก....ไม่ติดใจก็ให้รู้ไปสิ........เมื่อทำให้เค้ามาเข้ากลุ่มกับเราได้สำเร็จ ผมจึงทึกทักเอาเองว่าเค้าคงมาเพราะความปรารถนาส่วนตัวที่เกิดจากผมเป็นแรงบันดาลใจ...หุหุ...หลงตัวเองซะไม่มี
   
                     “ไปชอบมันตรงไหนไอ้ปอ ดำก็ดำ” น้องพรแสดงท่าทีไม่เห็นด้วยกับความหลงผิดของผมในครั้งนั้น...เนื่องจากภาพของผู้ชายที่เหมาะสมกับผมในสายตาน้องพร ค่อนข้างจะสูงส่งมาก เมื่อเทียบกับปอ.....แต่ในตอนนั้นผมไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น......ผมมักจะหลงไหลได้ปลื้มกับใครที่เข้ามาใกล้ชิดได้ง่ายๆ...ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เพื่อนๆต่างรู้กันดี
                   “เดี๋ยวมันก็หายบ้าไปเอง” นี่คือข้อสรุปที่ทุกคนมองความรักที่ผมมีต่อปออย่างดูแคลน

                   แต่กว่าผมจะหายบ้าก็กินเวลานานพอสมควร....ผมลงทุนตามเค้าไปร่วมพิธีทางศาสนาในวันอาทิตย์ทั้งๆที่แสนจะอึดอัดใจ......ตามเค้าไปเข้าแคมป์ทางศาสนาบนดอยทั้งๆที่เป็นผมนับถือคนละศาสนากัน...และก็ตามเค้าไปในอีกหลายๆที่ โดยต้องลากเอาน้องพรและเพื่อนสาวไปด้วยเสมอๆ....ผมจะจีบใครแต่ละคน มักต้องคอยวุ่นวายไปถึงคนอื่นแบบนี้เป็นประจำแหล่ะ.....ในที่สุดเค้าก็เริ่มสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ผมมีต่อเค้า.....ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาก็คงพยายามหลีกเลี่ยงปัญหานี้มาโดยตลอด.....หลังจากนั้นเขาได้พยายามบอกผมเป็นนัยๆหลายครั้งว่าไม่ได้คิดอะไร.....แต่ผมไม่สนใจที่จะรับฟัง.....จนในที่สุดเราจึงได้เปิดอกคุยกันผ่านทางเอ็มเอสเอ็น....

                    “ผู้ชายชอบผู้ชายไม่ได้มันเป็นบาป ผิดหลักศาสนา” นี่คือเหตุผลที่เขาบอกผมในตอนนั้น
                   “พระเจ้าสร้างผู้ชายให้คู่กับผู้หญิง การที่ผู้ชายมารักกับผู้ชายเป็นสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ ผิดหลักพระคัมภีร์” ถ้าจะเอาเหตุผลความเชื่อทางศาสนามาอ้างผมก็คงไม่มีอะไรที่จะพูดอีกต่อไป........ผมเสียใจ......กินเหล้า......และก็ทำท่าแบบคนอกหัก....สะใจดี....เพื่อนผมบอกว่าผมชอบแกล้งหาเรื่องไปรักคนโน้นนี้ และก็ทำให้ตัวเองอกหัก เนื่องจากเป็นพวกโรคจิต ชอบเสพความเจ็บปวด.....ผมไม่รู้หรอกว่าจริงๆแล้วเป็นอย่างที่เขาว่าหรือไม่.....แต่บางครั้งผมก็ชอบความรู้สึกเวลาที่อกหักมากกว่าความรู้สึกตอนตกหลุมรักเสียอีก........

                    แม้จะผ่านเรื่องราวรันทดดังกล่าวมาแล้ว ผมกับปอก็ยังไม่ได้เลิกติดต่อกัน....เรายังคงคุยกันบ้างตามแต่จะมีโอกาส....แบบพี่น้อง......และเค้าก็มีประโยชน์มากจริงๆสำหรับผมในภาวะการณ์เช่นนี้...เพราะเค้าทำให้เรามีครบสี่คน...ทั้งความที่เค้าเป็นผู้ชายจึงทำให้นัทคลายความวิตกเรื่องจะถูกจับตามองจากคนทั่วไป......
                   นัทเล่นแบดได้เก่งใช้ได้...เก่งกว่าผมด้วยซ้ำ....
                  “นัทเป็นนักกีฬาแบดของคณะ” เค้าโม้ระหว่างที่เราหยุดนั่งพักดื่มน้ำ.....ไม่อยากจะเชื่อ...คณะแพทย์หาคนเล่นแบดเก่งๆได้แค่นี้เองเหรอ
                  เราผลัดกันเล่นสลับคู่ไปมา....ผมคู่กับนัทบ้าง...คู่กับปอบ้าง....แต่ไม่คู่กับน้องพร....มีหลักปฏิบัติที่เข้าใจร่วมกันง่ายๆในอดีตและยังใช้มาจนกระทั่งปัจจุบันก็คือ......เวลาที่เราต้องเล่นแบดกับเป้าหมายที่เราเรียกมา....ผมจะต้องโดนจับให้คู่กับเป้าหมายเสมอ....ยังกะเกอิชา (เกย์อิชา) แน่ะ....เพราะหน้าที่ของผมคือต้องคอยเทคแคร์ผู้ชายทั้งในระหว่างที่เราเล่นแบดและหลังจากเล่นแบดเสร็จแล้วด้วย......จะทำยังไงก็ได้เพื่อให้เค้าติดใจและอยากกลับมาเล่นกับเราอีก....ซึ่งก็ได้ผลทุกทีจริงๆ...
                 หลักในการเล่นแบดกับผู้ชายนั้น ไม่ใช่สักแต่ว่าตีให้เก่งแล้วจะพอ.....มันคือศิลปะอย่างหนึ่ง.....ทำยังไงก็ได้ที่จะทำให้อีกฝ่ายเกิดความรู้สึกรัญจวนใจ.........ไม่ว่าจะเป็นการหัวเราะหรือการอุทานแสดงความรู้สึกในขณะที่เล่น.....ต้องดูยั่วยวนแต่เป็นธรรมชาติ.........ท่วงท่าลีลาในการตีควรเน้นความสวยงามไว้ก่อน อาจจะมีล้มลุกคลุกคลานบ้างก็ขอให้เป็นท่าล้มที่สวยน่ามอง.....ท่าทางที่ปฏิบัติต่อคู่ของเราต้องทำให้เค้ารู้สึกเสมือนว่า ในขณะที่เล่นเราคอยแอบมองเค้าอยู่แต่ไม่อยากให้เค้ารู้ตัว.....ต้องทำให้เค้ารู้สึกแบบนั้นให้ได้ไม่ใช่ปล่อยให้เค้าไม่รู้ตัวจริงๆ.......และพยายามสงวนคำพูดเอาไว้.....ผมเชื่อว่าการใช้ท่าทางในการยั่วยวนได้ผลลึกซึ้งกว่าการใช้คำพูดค่อนข้างมาก......เรื่องการพูดคุยนั้นเอาไว้ค่อยมาทำหลังจากตีแบดเสร็จก็ยังได้........อีกอย่างเราต้องดูเปราะบางแต่ต้องไม่เป็นตัวถ่วงสำหรับเค้า......ไม่ง่ายเลยเนาะกับการเล่นแบดเพื่อหาแฟน
                ที่กล่าวมาทั้งหมดใช้ไม่ได้ผลกับนัทเลย.....เค้าไม่แสดงท่าทีใดๆให้ผมสัมผัสว่าเขาได้ตกหลุมเสน่ห์ของผมแล้ว......หลังจากตีแบดเสร็จผมตรงไปส่งนัทที่หอพักเลย.....เราสามคนต่างแยกย้ายกันกลับที่พัก.......ผมกลับมานั่งทอดถอนใจอยู่ที่ห้องคนเดียว.....สงสัยงานนี้จะหลุดมืออีกแน่ๆ......
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 29-05-2007 11:12:04

.......... :try2:...เพิ่งรู้นะเนี่ย......

..........ว่าการตีแบดต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ขนาดนี้..........  :o9: :o9:

..........ถึงว่า.....เราก็เลยหาไม่ได้ซักที...... :laugh: :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: MyLoveMyBabe ที่ 29-05-2007 13:01:41
ข้าน้อยขอคาระวะ  ได้โปรดรับเป็นศิษย์ด้วยเถิดด... o1


เอ่อ เปิดคอร์ส "การอ่อยอย่างมีศิลปะ"  "ทอดสะพานอย่างไรให้ดูดี"   ดีกว่านะคับ  ผมจะสมัครเรียน อิอิ o14


ได้ใจเจงๆๆ เหอๆๆ  o13
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 29-05-2007 16:34:59
ผมเองก็ยังหาแฟนไม่ได้เหมือนกันครับ สมัยนี้ใครๆเค้าก็นิยม fast food กันทั้งนั้นอ่ะ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 29-05-2007 18:35:39
อืม ขนาดคุณ moody เพรียบพร้อมทั้งภาคทฤษฎีและปฎิบัติ ยังหาแฟนไม่ได้  :o9:
 :laugh3:  :laugh3: มิน่า เราก็ยังหาไม่เจอเหมือนกัน  :laugh3:  :laugh3:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 30-05-2007 00:53:28
สงสารกั๊งจัง แต่ก็สุขุมดีนะ
 o8
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 30-05-2007 03:06:46

ศาสนา?       :undecided:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 30-05-2007 09:10:03
สงสารตรงไหน ยังไม่ถึงบทโศกซักหน่อย...
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 30-05-2007 12:23:34
                         คืนนี้ผมนอนไม่ค่อยจะหลับ....อาจเป็นเพราะอากาศข้างนอกมันร้อนหรือภายในใจของผมมันร้อนก็สุดคะเน.....ผมนอนพลิกตัวไปมาเงียบๆ....ภาพเหตุการณ์เมื่อตอนเย็นหวนเข้ามาในห้วงความคิดเป็นระยะๆ....ผมพยายามสลัดมันออกไปโดยเอาใจหันมาจดจ่อกับการท่องพุทธโธแทน....หลักการกำหนดจิตง่ายๆเพื่อเข้าสู่สมาธิก่อนนอน......ผมเคยทำอยู่เสมอๆ.......แต่มันไม่ง่ายสำหรับผม ณ เวลานี้เลย....ในที่สุดผมก็ยอมแพ้.....ปล่อยใจให้ล่องลอยไปตามจินตนาการ.......ผมคิดถึงเรื่องของนัท..........เค้าค่อนข้างจะระมัดระวังเรื่องภาพลักษณ์ความเป็นชายมาก......ดังนั้นนัทคงจะชอบคนที่ดูแมนๆ เพื่อความสะดวกใจเวลาควงคู่กันออกสู่สายตาของสังคม..........แต่ผมไม่ใช่คนประเภทนั้น......แม้ว่าภาพลักษณ์ของผมจะไม่ถือว่าสาวแตกก็ตาม แต่เมื่อมองโดยรวมๆก็จัดว่าออกแนวอ่อนหวาน......ยิ่งเมื่อโดนจับไปเข้าคู่กับผู้ชายที่ดูเข้มแข็งแล้ว ใครมองก็ย่อมจะรู้สึกสงสัยในความสัมพันธ์เชิงลึกของเรา.....ระหว่างเราคงจบเพียงเท่านี้.......ใจผมนึกเสียดาย.....เสียดายเวลาที่เราคุยกันมา....แม้ตอนนี้ผมจะไม่ได้ตกหลุมรักนัท......แต่ผมก็ไม่ได้รังเกียจอะไรเค้า.....ที่แน่ๆผมรู้สึกเหงา....อยากมีแฟน....ตั้งแต่เล็กจนโต...ผมมักอยู่กับความเพ้อฝันเรื่องความรักมาตลอด......ผมมีความรักแบบเด็กๆ....วูบวาบ ประเดี๋ยวประด๋าว แต่ก็ทำเป็นฟูมฟายใหญ่โต....จะว่ากันจริงๆแล้ว....จนบัดนี้ผมเองยังไม่เคยข้องแวะกับการมีความสัมพันธ์ทางกายกับใครเลย.....ผมไม่ใช่คนหัวโบราณ...เพียงแต่คิดว่าผมอยากให้มันดูมีคุณค่าบ้างสำหรับตัวผมเองและคนที่ได้รับมันไป.....เรื่องของความรักควรมาก่อนเรื่องอื่น....แต่จะให้ใช้เวลาพิสูจน์ใจยาวนานเช่นชายหญิงทั่วไปก็คงเป็นไปได้ยาก.....แต่อย่างน้อยๆไม่ว่าจะเป็นเพศไหนๆ ก็ควรจะมีเวลาสำหรับการพิสูจน์ใจกันสักระยะ....ไม่ใช่ต้องการพิสูจน์ใจเนื่องจากหวงเนื้อหวงตัวแต่อย่างใด หากแต่พิสูจน์ใจเพื่อจะได้รู้ว่า แท้ที่จริงแล้วอีกฝ่ายหนึ่งจริงใจกับเรามากน้อยแค่ไหนต่างหาก.....ถ้าเป็นไปได้ ผมว่าถึงเวลาแล้วที่ผมควรจะมีรูปแบบของชีวิตรักอย่างที่คนโตแล้วเค้าทำกัน.....และนัทก็เป็นคนที่ผมหวังจะให้เป็นคนๆนั้นคนแรกในชีวิตของผม.....ผมจะไม่ผูกมัด.....ไม่คาดหวัง....แค่คิดว่าอยากลองใช้ชีวิตอย่างที่ตัวเองไม่เคยได้ทำก็เท่านั้น...........ค่อนดึก ผมจึงเผลอหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย....

                       เพราะผลจากการเล่นแบดและนอนดึกเมื่อคืนเป็นเหตุให้ผมตื่นนอนสาย.....กว่าจะมาถึงแลปก็จวนเที่ยงวัน......จริงๆแล้วสไตล์การทำงานของผมไม่ใช่ประเภททำหามรุ่งหามค่ำ.....แต่ผมนิยมทำไปเรื่อยๆแต่เน้นสม่ำเสมอมากกว่า....ชีวิตคนเราต้องรู้จักจัดสมดุลให้กับตัวเองบ้าง....ไม่ควรเน้นหนักไปในทางใดทางหนึ่งมากจนเกินไป....ผมไม่ต้องการเป็นคนที่มีความสามารถเหนือคนอื่น.....เพราะคุณไม่รู้หรอกว่าการที่จะต้องเป็นคนแบบนั้น คุณจะต้องเสียอะไรไปบ้าง....ลองมองคนที่เก่งมากๆระดับดอกเตอร์ดูสิ....แล้วจะรู้ว่าเค้าต้องเสียอะไรไปบ้างเพื่อแลกกับความเก่งเหนือใครๆ....การทำงานหนัก...ใช้เวลาเกือบทั้งหมดไปกับการศึกษาค้นคว้า....ไม่มีแม้กระทั้งเวลาในการดูแลตัวเอง....รวมไปถึงผลข้างเคียงที่ส่งผลต่อบุคลิกภาพที่ดูแปลกแยกไปจากบุคคลทั่วไป.......ผมจึงอยากจะเป็นแค่คนที่อยู่ในระดับมาตรฐาน...มาตรฐานของคำว่าดอกเตอร์ก็พอ
                      “พี่กั้งไปกินข้าวกันมั้ย” มอลลี่ น้องร่วมแลปโผล่เข้ามาถามหลังจากที่ผมมานั่งที่โต๊ะได้ไม่นาน....ผมไม่เคยไปกินข้าวคนเดียวอยู่แล้ว....ไม่ใครก็ใครที่อยู่รอบตัวจะต้องมีสักคนที่โดนจิกให้ไปเป็นเพื่อนในทุกๆมื้อของผม....
                      “เอาสิ เดี๋ยวแวะไปกินกาแฟกันต่อ” ผมแนะ.....สิ่งที่ผมโปรดปรานอีกอย่างก็คือการไปนั่งกินกาแฟหลังอาหารเที่ยง....ในร้านกาแฟสุดหรูย่านถนนนิมมานเหมินทร์.....กาแฟอร่อย....บรรยากาศดี...หนุ่มๆน่ารักตรึม....สุขใจจริงๆ
                      “ได้ แต่ขอเคลียร์งานแป๊บนะ” มอลลี่รับคำ ก่อนจะขอตัวไปนั่งเคลียร์งานต่อที่โต๊ะ
                   
                      ผมนั่งเล่นเนตใจลอยไปเรื่อยเปื่อย....ตั้งแต่กลับจากเมืองนอกมา ยังไม่ทันได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน.....มีแต่เรื่องยุ่งๆ....ยุ่งเรื่องผู้ชาย.....แต่ถือโอกาสพักผ่อนจากงานแลปที่เมืองนอกก็น่าจะดี ตอนนั้นเราทำงานหนักจะตาย เครียดก็เครียด...ผมมักหาเหตุผลดีๆเข้าข้างตัวเองได้เสมอ....

                      เสียงโทรศัพท์ดังทำลายความเงียบ ปลุกให้ผมตื่นจากภวังค์.....ผมหยิบขึ้นมาชำเลืองมองผ่านๆ.....เฮ้ย...เบอร์นัทนี่....หัวใจองผมสั่นระทึก....ก็ผมไม่คิดว่าเค้าจะโทรมาอีกนี่นา..
                      “พี่กั้ง กินข้าวเที่ยงยัง” นัททักผ่านโทรศัพท์น้ำเสียงห้วนๆ.....เค้าเป็นคนที่พูดมะนาวไม่มีน้ำ.....ไม่เห็นจะสุภาพเลยสักนิด....จะโทรมาจีบเค้าแล้วพูดแบบนี้เหรอ.....แต่เชื่อมั้ยว่าผมชอบนะ...ผมชอบคนที่พูดอะไรตรงไปตรงมา ง่ายๆ ไม่ต้องใช้คำที่หวานหู เพราะถ้ามันไม่ใช่ธรรมชาติของตัวคุณเองแล้ว มันจะกลายเป็นการสร้างภาพดุไม่จริงใจ ซึ่งผมคิดว่าไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น เป็นตัวของตัวเอง ง่ายๆ แต่จริงใจ ดีกว่าเยอะ....
                     “ยังเลย ทำไมเหรอ” ผมแกล้งยั่ว ในใจคอยลุ้นว่าเค้าจะชวนไปกินข้าวด้วยไหม
                     “ไปกินด้วยกันมั้ยล่ะ” ในที่สุด นัทก็เอ่ยปาก....เสร็จผมล่ะ
                      “อืมมมม.....แต่ว่าพี่นัดกะน้องที่แลปเอาไว้แล้วนะ”  ผมแกล้งเล่นตัวต่อเพื่อดูเชิงอีกฝ่าย...แต่ขอแนะนำว่าไม่พึงกระทำบ่อยๆเพราะเสี่ยงต่อการโดนทิ้งได้ง่ายๆ
                    “ผู้หญิงหรือผู้ชาย” นัทซัก แต่ผมรู้วัตถุประสงค์ในการถามของเขาดี
                    “ผู้หญิง น้องที่แลปชื่อมอลลี่” ผมบอก พลางคิดในใจว่า จะไปก็ไป ไม่ไปก็ไม่เป็นไร เพราะผมเบื่อที่จะวุ่นวายกับนัทเต็มทีแล้ว.....เรื่องมากกกก
                    “ชวนเค้ามาด้วยกันสิ ไปหลายๆคนก็ดี” นัททำท่าดีใจออกนอกหน้า แต่ผมเริ่มเซ็ง...อะไรของเค้าอ่ะ....ตั้งกติกาเองหมด...จะให้ทำนั่น จะให้ทำนี่...เค้าคิดว่าเค้าเป็นใครกันนี่..เอาแต่ใจตัวเองฉิบ....
                   “อืมก็ได้ ให้ไปรับที่ไหนล่ะ” ผมตอบตกลง เพราะยังไงก็ยังอยากจะไปอยู่ แต่ก็ทำเป็นเล่นตัวพอเป็นพิธีนั้นเท่านั้น
                   “ที่หน้าคณะแพทย์ เดี๋ยวออกมาเลยนะ นัทจะไปยืนรอ”
                    “โอเค แล้วเจอกัน” ผมวางสายก่อนจะหันไปตะโกนบอกมอลลี่ว่า เราพร้อมที่จะออกไปทานข้าวเที่ยงแล้ว....แต่ผมยังไม่ได้บอกมอลลี่เรื่องนัท เพราะคิดว่าเค้าคงไม่มีปัญหาอะไร....เด็กในคาถาอยู่แล้วนี่...อิอิ

                   
                    “เดี๋ยวพี่ขอแวะรับน้องก่อนนะ” ผมบอกมอลลี่ ก่อนจะแวะเข้าไปจอดรถบริเวณหน้าคณะแพทย์
                    “ใครเหรอพี่กั้ง” มอลลี่แสดงอาการแปลกใจ เนื่องจากตั้งแต่คบกันมา ไม่เคยปรากฎว่าผมจะมีเพื่อนที่คณะแพทย์มาก่อน
                    “อ๋อ เป็นน้องของเพื่อนน่ะ” ผมโกหก....โชคดีที่มอลลี่ไม่ใช่คนขี้สงสัย
                    “นั่นไง เค้ามายืนรออยู่ตรงนั้นแล้ว” ผมชี้ให้มอลลี่ดู ขณะที่นัทกำลังเดินออกมาหยุดรอที่หน้าคณะ....เค้าหันมาเจอพวกเราแล้ว....ผมพยักหน้าเรียกให้นัทเดินมา....เป็นอันรู้กัน....นัทอยู่ในชุดเสื้อกาวน์สั้นสีขาว กางเกงสแล็กสีดำ....เค้าดูแปลกตาไปมากพอสมควร......ความใฝ่ฝันอย่างหนึ่งของผมคือการมีแฟนเป็นหมอ...ถึงแม้ว่าจะซกมกอย่างอีตานี่ แต่ยังไงก็ยังถือว่าเป็นหมอล่ะนะ....
                   “น่ารักดีนี่” มอลลี่ชม
                   “ลองจีบดิ ผมยุส่ง ทำท่าไม่รู้ไม่ชี้”
                   “เค้าจะชอบน้องเหรอ” มอลลี่พูดทีเล่นทีจริง....ผมแอบยิ้มด้วยว่าขำในความไม่รู้ประสาของน้อง


                  “หวัดดีครับ” นัททัก ก่อนจะขยับตัวเข้ามานั่ง
                 “นี่พี่มอลลี่ น้องที่แลปของพี่” ผมแนะนำคนทั้งสอง พลางลอบสังเกตุอาการว่า นัทจะมีปฏิกิริยาอย่างไรในการที่ผมพาคนอื่นมาร่วมด้วย.....คำตอบคือเค้าก็ยังดูปกติและมีความสุขดี
                  “จะกินอะไรกันดี” ผมหันมาถามความเห็นของทั้งสอง
   
                  นัทแนะนำร้านที่เค้าคุ้นเคยอยู่ร้านนึง ซึ่งผมยังไม่เคยไปมาก่อน.....เค้าจึงต้องเป็นคนคอยบอกทาง....จนมาถึงที่ร้าน.....ผมรู้สึกแปลกๆกับบรรยากาศของร้าน.....มันแตกต่างจากร้านอาหารทั่วๆไป.....ใช่แล้ว มันเป็นร้านอาหารตามหลักศาสนา......ผมเพิ่งจะรู้วันนี้เองว่านัทไม่ใช่คนพุทธอย่างผม.....การกินอาหารของเค้าจึงจะต้องพิถีพิถันและรอบคอบจนกว่าจะมั่นใจว่าถูกต้องตามหลักศาสนาแน่แล้ว....ผมกำลังจะเจอกับความรักต่างศาสนาเข้าให้แล้ว.......
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 30-05-2007 13:15:13

..........สงสัยจะได้เลิกกะน้องนัทก็เพราะต่างศาสนานี่แหละ.......... o8 o8
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 30-05-2007 13:27:38

55555

ไอ้นัทมันเรื่องมากแถมยังเป็นคนจอมบงการหรอ   สม!  :laugh:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 30-05-2007 15:04:02
อันนี้ถ้าเป็นคนเคร่งศาสนา คงเครียดกว่าที่คิดไว้แน่
 o7
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 30-05-2007 15:27:18
นั่นสิ แค่รักกันปกติก็เครียดอยู่แล้วเนาะ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 31-05-2007 07:52:52
หุหุ เป็นคนเคร่งศาสนา ท่าทางคงจบไม่สวยแฮะ  :amen:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 01-06-2007 08:48:02
                         มอลลี่ดูท่าทางมีความสุขกับการได้ลิ้มลองรสชาติอาหารอันแปลกใหม่ของที่นี่......ทั้งยังสนทนากับนัทเรื่องการเสาะแสวงหาร้านอาหารขึ้นชื่อในย่านต่างๆของเมืองอย่างถูกคอ...ซึ่งก็แน่นอนว่าจะต้องเป็นร้านอาหารตามหลักศาสนาของนัท......ถึงอย่างไรก็ทำให้ผมรู้สึกสบายใจได้อย่างหนึ่งว่า ในครั้งต่อๆไปของการออกเดทระหว่างผมกับนัท....มอลลี่จะเป็นตัวช่วยในการลดความกดดันอันเกิดจากการพยายามที่จะปกปิดความเป็นเกย์ของนัทเอง ได้เป็นอย่างดี.........

                         ผมไม่ทราบว่าจะต้องสั่งอาหารอย่างไร เนื่องจากวัฒนธรรมในการกินอาหารของพวกเขาเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนในชีวิต....นัทจึงเป็นคนแนะนำและจัดแจงให้เสร็จสรรพ....เค้าเลือกที่นั่งข้างๆมอลลี่ ในขณะที่ผมนั่งในฝั่งตรงกันข้าม....ผมรู้เหตุผลว่าทำไม แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่อยู่เหนือการยอมรับแต่อย่างใด....ถ้าเค้าสบายใจจะทำอย่างนั้นก็ปล่อยให้เค้าทำไปเถิด....

                        ผมค่อยๆละเลียดอาหารช้าๆ....ไม่ใช่เพราะว่ารสชาติอาหารอร่อยหรือไม่อร่อย....แต่มันเป็นนิสัยการกินที่แก้ไม่หายของผมเอง...คือกินเหมือนไม่อร่อย...
                       “ไม่อร่อยเหรอ”  นัทจ้องมาที่ผมอย่างจะเอาเรื่อง
                       “อร่อยสิ ทำไมเหรอ” ผมแกล้งย้อนถาม....ก่อนจะพยายามก้มหน้าก้มตาทำท่ากินให้ดูอร่อยมากขึ้นกว่าเดิม
                      “ก็นึกว่าไม่ชอบ” เขาทิ้งน้ำเสียงแดกดัน.....ผมไม่พูดอะไรนอกจากยิ้ม.....

                      ผมกินไม่หมดเหมือนเคย (เวลาอยู่ต่อหน้าผู้ชายผมมักจะกินได้น้อยกว่าปกติ)....นัทเหลือบตามามอง.....แล้วทำท่าฮึดฮัด
                      “กินไม่หมดเหรอ เอามานี่ เสียดายของ” เค้าหยิบเอาจานข้าวหมกไก่ไปจากหน้าผม ก่อนจะกวาดลงไปที่จานของตัวเอง
                       ผมชอบคนกินเก่งๆ....ผู้ชายในแบบของผมต้องกินเก่งๆถึงจะน่ารัก....ผมมองดูนัทกินข้าวอย่างชื่นชม

                     
                      “โรตีที่นี่อร่อยนะ” นัทแนะนำอย่างภูมิอกภูมิใจหลังจากจัดการกับอาหารที่อยู่ตรงหน้าจนเกลี้ยง
                      “เดี๋ยวพี่ลองซื้อไปกินบ้างดีกว่า” มอลลี่ทำท่าเห็นดีเห็นงาม....เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยจริงจริ๊ง..........ผมนึกหมั่นไส้อยู่ในใจ
                       เราจ่ายค่าอาหารเสร็จแล้วจึงเดินกลับมาที่รถ....ผมรู้สึกว่านัทพยายามที่จะเดินคู่กับมอลลี่ตลอดเวลา โดยปล่อยให้ผมเดินตามหลังมาห่างๆ.....แปลก ที่ผมไม่โกรธกับท่าทีดังกล่าวของเค้า....อาจจะมีบ้างแค่รู้สึกฉงนฉงายและขัดใจเพียงเล็กน้อย......

 
                     ผมกับมอลลี่แวะส่งนัทที่หน้าคณะ..........เค้าเหลือบตามาที่ผม พึมพัมกล่าวลาสั้นๆ ก่อนจะเดินหายลับเข้าประตูไปอย่างรวดเร็ว......
                    “นัทก็น่ารักดีนะ” มอลลี่กล่าวชม หลังจากที่นัทเดินลับตาไปแล้ว เธอไม่มีท่าทีสงสัยในความเป็นชายของนัทแต่อย่างใด.....ในขณะที่ความเป็นเกย์ในตัวผมนั้นเธอรู้แจ้งแก่ใจดีอยู่แล้ว
                   “สนใจมั้ย เดี๋ยวพี่ทาบทามให้” ผมแกล้งกระเซ้า
                   “เค้าไม่ชอบน้องหรอก” มอลลี่กล่าวลอยๆ ดูท่าทางเธอเองก็ไม่ได้สนใจนัทอย่างที่ปากพูด...หากเพียงแต่กล่าวชื่นชมตามมารยาท...ก็เท่านั้น
                   “ทำไมเค้าชอบหาเรื่องพี่กั้งจัง เห็นคอยกัดตลอดเลย” มอลลี่ตั้งข้อสังเกต....ซึ่งผมเองก็ยังไม่ทันได้คิดถึงข้อนี้ด้วยซ้ำ....
                   “เหรอ...เด็กก็งี้แหล่ะ” ผมตัดบท.....ในใจนึกทบทวนถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา....อืมมม เค้าชอบคอยหาเรื่องทะเลาะกับผมจริงๆด้วย.....แค่เรื่องเล็กๆน้อยๆก็จะทำเป็นหน้าหงิกงอไม่พอใจ.....ในขณะที่ผมกลับเป็นฝ่ายคอยหัวเราะด้วยความเอ็นดู.....คงเป็นเพราะว่าผมชื่นชอบการต่อปากต่อคำและก็แกล้งยั่วให้เค้าโมโหเล่น....สนุกดี

                   ผมกลับมานั่งทำงานต่อที่แลปจนพลบค่ำ....เย็นนี้ผมยังไม่มีนัดกับใคร....อยากจะชวนนัทไปกินข้าว....แต่ผมไม่อยากเป็นฝ่ายโทรไปก่อนเพราะว่ามันเป็นพฤติกรรมที่ขัดต่อจริตนิสัยประจำตัว......แม้ว่าในตอนนี้ผมมีสิทธ์ที่จะโทรหาเค้าได้แล้ว แต่ใจผมนั้นกลับอยากให้เค้าเป็นฝ่ายโทรมาเอง....เพราะมันแสดงถึงความปรารถนาที่มาจากตัวเค้าจริงๆ.....ในขณะที่ผมถนัดเป็นฝ่ายคอยตอบสนองมากกว่า....

                  “พี่กั้ง ทำงานเสร็จยัง  ไปกินข้าวกันเถอะ” และแล้วเค้าก็เป็นฝ่ายโทรมาเองจนได้
                 “ได้สิ พี่ขอเก็บของก่อนนะ ว่าแต่จะให้ไปรับที่ไหนอ่ะ” ผมถามถึงสถานที่นัดพบที่สะดวกสำหรับนัท
                 “ที่หอ” เสียงนัทตอบมาห้วนๆ
                “โอเค ห้าโมงครึ่งเจอกัน” ผมวางสาย แล้วรีบเก็บข้าวของอย่างรวดเร็ว.....ก็จะไม่ให้เร็วได้ยังไง เพราะว่าผมเองก็รอโทรศัพท์จากเค้าอยู่แล้วนี่นา.....การที่เค้ายังโทรมานัดผมไปนั่นมานี่อยู่บ่อยๆแบบนี้ แสดงให้เห็นว่าเค้าคงคิดจะจีบผมแน่ๆ.....แต่ทำไมเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน ผมกลับไม่เห็นจะรู้สึกว่าเค้าชอบผมเลยล่ะ....
   
                 นัทพาผมไปกินผัดไทยย่านหนองหอย....ซึ่งก็เป็นร้านในย่านที่ผู้คนนับถือศาสนาเดียวกันกับเค้านั่นแหล่ะ......ยากพอดูนะกับการต้องเสาะแสวงหาของกินที่ถูกต้องตามหลักศาสนาแบบนี้.....ไม่น่าแปลกเลยที่เค้าจะรู้จักซอกซอยต่างๆในเมืองเชียงใหม่เป็นอย่างดี......
                 ย่านหนองหอยนับว่าไกลพอดูจากมหาวิทยาลัย แต่ก็ดี.....มันทำให้เรามีโอกาสได้อยู่ด้วยกันนานขึ้น.....ผมจอดรถที่ฝั่งตรงกันข้ามกับร้านผัดไทย.....นัทเปิดประตู แล้วรีบลงจากรถเดินนำหน้าลิ่วๆไปที่ร้านโดยไม่หันกลับมามองผมเลย........ยิ่งเค้าเดินเร็วมากเท่าไหร่....ผมยิ่งแกล้งทำอะไรให้ช้าลงมากเท่านั้น....อยากเดินก็เดินไปสิ.....
                ผมเห็นเค้าเดินไปสั่งอาหารและเดินมาหาที่นั่ง....หยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมากาง ทำท่าอ่านอย่างตั้งอกตั้งใจ.....อีกแล้ว ผมคิด....ผมแกล้งทำเป็นเดินไปนั่งในฝั่งตรงกันข้ามช้าๆ โดยที่ไม่พูดอะไร.....ดูซิว่าเค้าจะปล่อยให้ผมนั่งอยู่เฉยๆ โดยไม่สั่งผัดไทยให้หรือไม่......ความดื้อของผมได้ผลในที่สุด.....นัทลดหนังสือพิมพ์ลง เงยหน้าขึ้นมาถาม......
               “จะกินอะไร มีผัดไท กับหอยทอด” ผมแอบยิ้มอยู่ในใจ.....นึกว่าจะแกล้งนิ่งได้นานซักแค่ไหน....
              “ผัดไทย” ผมเริ่มติดการพูดห้วนๆจากเค้ามั่งแล้ว.....นัทเดินไปสั่งผัดไทยให้ผม แล้วเดินเลยไปตักน้ำมาให้....จากนั้นก็หันกลับไปนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ต่ออย่างตั้งใจ.....ดูจะตั้งใจไปหน่อยแล้วมั้ง....ผมนึกหมั่นไส้กับท่าทางของนัท ที่ดูเหมือนกับจะกลัวเสียเต็มประดาว่าคนอื่นๆจะสังเกตุเห็นว่าเราสองคนกำลังคบกันอยู่...เค้าปล่อยให้ผมนั่งเป็นใบ้อยู่คนเดียวอยู่อย่างนั้น ในขณะที่ตัวผมเองก็คร้านจะเรียกร้องความสนใจจากเค้า จึงนั่งอยู่เงียบๆ.......
                “เป็นไร ทำไมไม่พูดอะไรมั่งอ่ะ” นัทเงยหน้าขึ้นมาถามหลังจากที่เห็นผมนิ่งเงียบไปพักใหญ่
                “ก็เห็นตั้งใจอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ เลยไม่อยากจะกวน” ผมแกล้งพูดประชด พยายามตีสีหน้าให้เรียบที่สุด
                เค้าส่ายหัวแสดงท่าเอือมระอากับความยอกย้อนของผม.....แต่ยังไม่ทันที่เราจะได้โต้เถียงกันต่อ ผัดไทยก็ถูกนำมาเสิร์ฟพอดี.....
                นัทลงมือปรุงแล้วก็กินอย่างรวดเร็ว....เจริญอาหารจังนะ ผมแอบค้อนอยู่ในใจ.....ผมกินไปได้ไม่กี่คำ นัทก็จัดการกับผัดไทยจานนั้นจนเกลี้ยง ก่อนจะหันไปสั่งหอยทอดเพิ่มอีกจาน.....ผมชอบนะ.......ชอบให้เค้ากินเยอะๆ......

                ผมใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการสังเกตุการกินของนัท......เค้าเป็นคนที่ชอบกินมาก.....กินอะไรก็ดูอร่อยไปหมด....ในขณะที่ผมกินได้แค่ครึ่งจาน (กระแดะจริงๆเรา)
               “กินไม่หมดอีกแล้ว” นัททำสีหน้าตำหนิ แล้วคว้าเอาจานของผมไปกินต่อ....อีตานี่ไม่รู้จักมารยาทเอาซะเลย....กินร่วมจานกันบางคนเค้าถือนะ ไม่รู้หรือยังไง....จะมีก็แต่คนเป็นแฟนกันนั่นแหล่ะที่เค้าจะกินร่วมจานร่วมแก้ว....ใจผมเต้นระทึกอีกครั้ง.....หรือว่าอีตานี่จะคิดว่าเราเป็นแฟน.....
   
                  “เพื่อนมันบอกว่าให้ซื้อขนมไปฝาก ตอนนี้พวกมันกำลังทำรายงานกันอยู่ที่ห้องนัท แต่ว่านัทแอบหนีมากินข้าวกับพี่กั้ง” เค้าบอกหลังจากที่เรากินข้าวเสร็จ......ทำรายงานอยู่ก็ไม่บอก....ถ้ารู้ว่ารีบไม่มาด้วยหรอก.....ผมแอบต่อว่าเค้าในใจ
                  “ก็ซื้อไปฝากเค้าสิ เดี๋ยวเพื่อนจะหาว่าไม่มีน้ำใจนะ” ผมแนะ.....การที่เราชอบเค้าทำให้เราพลอยมีแก่ใจเอื้อเฟื้อต่อเพื่อนเค้าไปด้วย....ความจริงก็ไม่ได้หวังคะแนนนิยมอะไรหรอก เพราะผมคงไม่ได้มีโอกาสรู้จักเพื่อนของนัทอยู่แล้ว.....แต่มันเป็นไปตามสัญชาตญาณของแฟนที่ดีที่ควรกระทำ......ผมจัดอยู่ในประเภทแฟนที่ดีอย่างไม่ต้องสงสัย......
                   “ไม่ต้องหรอก ขี้เกียจ ให้มันไปหากินกันเอาเอง” นัทตอบเสียงสะบัด.....ผมรู้สึกผิดอยู่หน่อยๆ ต่อเพื่อนของนัท ที่ไม่สามารถโน้มน้าวให้เค้าซื้อขนมไปฝากเพื่อนได้.......ทั้งยังนึกตำหนินัทในใจ....เค้าน่าจะมีน้ำใจกับเพื่อนบ้าง.....คนอะไรเอาแต่ใจตัวเองเป็นบ้า....
                   นัทเดินล่วงหน้าไปที่รถโดยที่ไม่รอผมเหมือนเคย.....ผมจึงเดินเลาะไปตามแผงขายขนม....มีอะไรน่ากินบ้างนะ.......สุดท้ายจึงตัดสินใจซื้อขนมสองสามอย่างใส่ถุง.....ก็เรื่องอะไรจะปล่อยให้เค้ากลับไปมือเปล่า.....เดี๋ยวคนอื่นจะได้ตำหนิแฟนเรากันพอดีว่า เป็นคนไม่มีน้ำใจ.....ผมเริ่มใช้คำว่าแฟนกับนัทแล้ว......แต่นิยามของตัวผมสำหรับนัทยังคงว่างเปล่าไม่มีคำอธิบายใดๆมารองรับ........
                    “เอ้านี่ เอากลับไปฝากเพื่อน เดี๋ยวเค้าก็โกรธเอาหรอก” ผมยื่นขนมให้นัท....เค้ารับมันไปอย่างว่าง่ายแต่ก็ไม่วายจะค่อนขอดให้เจ็บใจ..........
                    “ซื้อมาทำไม ขี้เกียจหิ้ว” ........ตาบ้าเอ๊ยยยยยยยย.......เราซื้อมาให้เพราะกลัวเพื่อนตัวเองประณามหรอก......ยังไม่รู้สำนึกอีก.....ขี้เกียจจะเถียงแล้ว......ผมสะบัดหน้าใส่นัทก่อนจะเปิดประตูเข้าไปนั่งรอในรถ.....ถึงจะแม้จะโมโหที่เค้าชอบพูดไม่ดี แต่ผมรู้ว่าเค้าประทับใจ....เค้าคงจะกระด้างเกินกว่าที่จะแสดงความรู้สึกขอบคุณออกมา.....นายโตมาจากครอบครัวแบบไหนกันแน่นะ.....ผมนึกอัศจรรย์ใจ.....
                    เรานั่งรถกลับมหาวิทยาลัยด้วยกันเงียบๆ.....บางทีแค่การได้นั่งอยู่ด้วยกันเฉยๆไม่ต้องพูดอะไรก็ทำให้มีความสุขได้....
                    “ช่วงนี้มีเรียนเยอะมั้ย” ผมถามเนื่องจากเห็นว่านี่เป็นเทอมปลาย ซึ่งเป็นเทอมสุดท้ายของนัทก่อนที่จะจบการศึกษา.....ผมจะมีเวลาอยู่กับนัทแค่เพียงหกเดือนเท่านั้น....ทำไมเราถึงไม่เจอกันให้เร็วกว่านี้นะ....ผมนึกโทษโชคชะตาไปต่างๆนานา.....ทั้งๆที่ ณ ตอนนี้ผมเองก็ไม่รู้หรอกว่าเราจะคบกันไปรอดหรือไม่.......
                    “ไม่มีแล้ว มีแต่วิชาสัมมนา เดี๋ยวเดือนมกราก็ต้องไปฝึกงานแล้ว” น้ำเสียงนัทเรียบเฉย....แต่ผมกลับรู้สึกสั่นสะท้าน.......อะไรนะ.....ไปฝึกงานเหรอ เรายังไปไม่ถึงไหนกันเลยนะ ตอนนี้ก็เดือนพฤศจิกายน....มกราคมก็ต้องโดนพรากแล้วเหรอเนี่ยยยยยยย.....
                   “ไปนานแค่ไหน” ผมพยายามคุมน้ำเสียงให้ดูเป็นปกติ
                   “หนึ่งเดือน แต่ก็คงได้มาเชียงใหม่เรื่อยๆนั่นแหล่ะ” นัทพูดต่อเหมือนจะล่วงรู้ในสิ่งที่ผมกำลังวิตก......บอกตรงๆว่าผมชักจะถอดใจแล้ว...ไหนจะมีเวลาอยู่ด้วยกันแค่เทอมเดียว....ไหนนัทจะต้องไปฝึกงานอีก....แล้วไหนเค้าจะมีความขัดแย้งกับตัวเองเรื่องการมีความรักแบบเกย์อีกล่ะ.....โอยยยยย....ปวดหัว.....ผมเซซังกลับถึงห้องพร้อมกับคำถามมากมายในหัว......ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติก็แล้วกัน.....อะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิด........
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 01-06-2007 10:53:04

.........รู้สึกว่านิสัยคุณนัทจะไม่น่าพิศวาสเท่าไหร่นะ......

.........แต่ก็อย่างว่า.....คงชอบเขาไปแล้วมั้ง.....ไม่งั้นคงไม่แคร์เขาขนาดนี้........ :impress: :impress:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 01-06-2007 12:42:16
แอร๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยส์

คุณพี่คนเขียนเคอะ  ตอนนี้เขียนได้ใจน้องมากๆ เลยเค่อะ  เอาไปหนึ่งบวกเลยนะเคอะ อิอิ

ปล. ที่คุณพี่เล่าว่า
              .....ในขณะที่ผมกลับเป็นฝ่ายคอยหัวเราะด้วยความเอ็นดู.....
ตกลงเมื่อไหร่จะได้ดูเอ็นละเคอะ อิอิ  :laugh:

ปลล. น้องคิดๆ ดูแล้ว ท่าทางคุณพี่จะชอบขี่ม้าพยศนะเคอะ  อร๊ายยยยยยยยยยยยยยยยส์ มันส์เร้าใจดีแท้  :-[
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 01-06-2007 12:52:04
หุหุ บรรยายได้เห็นภาพมั่ก ๆ  :haun5: รู้สึกหมั่นไส้นัทเล็ก ๆ แฮะ  o18
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: MyLoveMyBabe ที่ 01-06-2007 22:59:08
แอร๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยส์

คุณพี่คนเขียนเคอะ  ตอนนี้เขียนได้ใจน้องมากๆ เลยเค่อะ  เอาไปหนึ่งบวกเลยนะเคอะ อิอิ

ปล. ที่คุณพี่เล่าว่า
              .....ในขณะที่ผมกลับเป็นฝ่ายคอยหัวเราะด้วยความเอ็นดู.....
ตกลงเมื่อไหร่จะได้ดูเอ็นละเคอะ อิอิ  :laugh:

ปลล. น้องคิดๆ ดูแล้ว ท่าทางคุณพี่จะชอบขี่ม้าพยศนะเคอะ  อร๊ายยยยยยยยยยยยยยยยส์ มันส์เร้าใจดีแท้  :-[

ชอบคอมเมนต์เจ้สองจิงๆ อิอิ   ว่าแต่ตานัทนี่ดูแข็งๆนะ ...เจ้อย่าคิดไปไกลอีกหล่ะ หมายถึงนิสัยหน่ะ  o3
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 02-06-2007 11:02:18
เค้าก็แค่ดื้อนิดหน่อยเอง ไม่มีไรมากหรอก.......เด็กๆก็งี้แหล่ะ....อิอิ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 02-06-2007 12:47:00
หนุกดีๆ   :impress2:

ของที่ได้มาง่ายๆ มันไม่สนุก  ไม่ท้าทายไง  ถ้าน้องนัทตรงใจ ก็ลุยเล้ยย  ศาสนารึจะมากั้นรักแท้ได้  o22
มีมาแก้ตัวให้น้องนัทซะด้วยจิ

แต่ท่าทางจะเหนื่อยหน่อยนะ  รักนี้ (จะเป็นรักรึเปล่าก็มะยู้ )  :o7:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: krappom ที่ 02-06-2007 18:34:08
ถ้าเป็นแฟนกะอีตานัทนี่จริงๆ ท่าทางจะเหนื่อยน่าดู
ไหนจะต้องคอยวางตัวไม่ให้กระทบกับภาพลักษณ์ที่อุตส่าห์สร้างมาว่าแมนเหลือเกินอีกล่ะ
 :try2: :try2: :try2: :try2: :try2: :try2:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 04-06-2007 09:17:03
                         จวนจะเที่ยงแล้ว....นัทหายไปไหนนะ......ผมรอเค้าโทรมาชวนไปกินข้าวเที่ยงเหมือนเคย แต่ทว่าทุกอย่างก็ยังคงเงียบสนิท.......สุดท้ายผมจึงตัดสินใจหยิบมือถือขึ้นมาเพื่อที่จะโทรไปถามข่าวคราว.......ลำบากใจจัง ผมไม่ชอบตามจิกใครแบบนี้เลย....เค้าน่าจะรู้หน้าที่ของตัวเองนี่นา...
                        “อยู่ไหน” ผมยิงคำถามทันทีที่นัทรับสาย.....พักหลังนี้ผมชักจะพูดดีๆกับนัทไม่เป็นบ้างแล้ว..........อยากจะพูดหวานๆกับเค้าเหมือนกัน แต่ก็ทำไม่ได้........เพราะเค้าไม่ยอมให้ความร่วมมือด้วยเลยสักครั้ง...... เวลาโดนเค้าเบรกทีไร ทำเอาผมเสียอารมณ์ทุกที จนในที่สุดจึงต้องยอมแพ้....อยากกระด้างก็กระด้างวะ....แต่ผมว่าแบบนี้ก็จริงใจดีนะ....ดีกว่าพูดหวานๆแต่หาความจริงใจไม่ได้ มันรู้สึกเลี่ยนยังไงก็ไม่รู้.......ผมชอบแบบเถื่อนๆ
                        “ตอนนี้ออกมาข้างนอก มาเก็บข้อมูลทำรายงานอยู่” นัททำสุ้มเสียงเสียงกระซิบกระซาบ....สงสัยจะกลัวเพื่อนรู้.....
                       “เดี๋ยวเย็นนี้จะโทรไปหานะ แค่นี้นะ” เค้าพูดแล้วรีบวางสายไปทันที......ฮึ่ม.....ยังคุยกันไม่ทันจะรู้เรื่องเลย....ผมนึกหงุดหงิดอยู่คนเดียว....... ทำไมกับคนคนนี้ ผมถึงไม่สามารถจะงัดเอามารยาที่มีอยู่เพียบออกมาใช้ได้เลยนะ.....ปกติผมจะเป็นคนที่มีวาจาเป็นอาวุธชั้นเลิศประจำกายอยู่แล้ว......เรื่องต่อปากต่อคำ กลยุทธ์ในการเจรจาพาทีเพื่อกระชากใจชายนั้น เป็นสิ่งที่ผมถนัดมากที่สุดเรื่องหนึ่งก็ว่าได้...........อาจเป็นเพราะว่า นัทจะคอยสกัดไม่ให้ผมได้มีโอกาสอ้าปากพูดอะไรได้เลย..........ถ้าผมเริ่มจะพูดอะไรมากเข้า นัทก็จะคอยเบรคว่า.........พล่ามอีกแล้ว.....และก็ทำท่าไม่อย่างจะฟัง.............ผมจึงได้แต่นิ่งเงียบเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน ปล่อยให้เค้าคุยอยู่คนเดียว........รู้สึกว่าเค้าจะรู้ทางผมเป็นอย่างดี.........แต่อย่านึกว่าผมจะยอมแพ้ง่ายๆนะ....รอให้ผมกุมอำนาจได้หมดซะก่อน........ถึงตอนนั้นผมจะพูดอะไร จะสั่งอะไรเค้า ก็ย่อมได้ทั้งนั้น........เพียงแต่ตอนนี้อาจจะยังไม่ถึงเวลา..............รอไปก่อน........อะไรบางบอกผมอย่างนั้น...........

                      ตั้งแต่รู้จักกับนัท เวลาในแต่ละวันส่วนใหญ่ของผมหมดเปลืองไปกับการนั่งคิดฟุ้งซ่านถึงแต่เรื่องเค้า......ไม่มีกะจิตกะใจจะทำงาน.........ใจคอยจดจ่อเฝ้ารอคอยอยากให้ถึงตอนเที่ยงและตอนเย็นเร็วๆ เพื่อที่เราจะได้เจอกันซักที.....ดูเหมือนกับว่า ในแต่ละวันชีวิตของผมมีภาระกิจอยู่เพียงอย่างเดียวคือการรอคอยที่จะได้เจอนัท....ไม่ใช่เพราะว่าผมรักเค้ามากหรืออะไรทำนองนั้นหรอก..........แต่มันเป็นธรรมชาติของผมเอง ที่มักจะทุ่มเทลงไปจนสุดตัวเสมอในเวลาที่มีความรัก
                    “พี่กั้งเอาชีวิตไปผูกติดกับคนรักมากจนเกินไป เราจะควรปล่อยให้เค้ามีชีวิตเป็นตัวของตัวเองบ้าง” รุ่นน้องคนหนึ่งแสดงความคิดเห็นต่อทัศนคติในความรักที่แสนจะคับแคบของผม ระหว่างพวกเรานั่งรับประทานอาหารเที่ยงร่วมกัน.......
                   “จริงเหรอ พี่แค่คิดว่าถ้าคนเรารักกัน ก็ต้องน่าจะอยากอยู่ด้วยกันบ่อยๆไม่ใช่เหรอ” ผมแย้ง....เพราะในใจนั้นเชื่อว่าคนที่รักกันจะต้องอยากอยู่ด้วยกันตลอดเวลา
                  “ไม่เสมอไปหรอกพี่ แต่ละคนเค้าก็ต้องการอยากจะมีโลกส่วนตัวของเค้าบ้าง” รุ่นน้องแสดงความเชี่ยวชาญในการเข้าใจความรู้สึกของผู้ชายต่อ จนผมถึงกับอึ้งต่อมุมมองที่แปลกใหม่ดังกล่าว........ใครจะใจกว้างได้ขนาดนั้น
                 “ไม่มีทาง ถ้าเค้ารักพี่ เค้าต้องอยากอยู่กับพี่ตลอดเวลาสิ ก็ทีพี่เอง ยังอยากอยู่กับเค้าตลอดเวลาเลย” ผมนึกแย้งอยู่ในใจ..........แต่คร้านจะเถียง จึงนิ่งเงียบเสีย.........

                “ฮะโหล กินข้าวยัง” นัทโทรกลับมาหาผมตามที่ได้ให้สัญญาเอาไว้ในตอนค่ำของวันนั้น.....การรอคอยของผมจึงถือว่าสิ้นสุดลงโดยสมบูรณ์แล้ว...
                “ยัง.....อยู่ไหน” ผมทำทีเป็นตอบเสียงเนือยๆ แต่ในใจนั้นรู้สึกตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
   “เพิ่งกลับมาถึงหอ” ผมรู้ว่าเค้าอยากให้ผมไปรับ.........และผมก็เป็นคนไม่ชอบอ้อมค้อมให้เสียเวลา จึงรีบรวบรัดตัดบท...
                “งั้นเดี๋ยวพี่ออกไปรับ ลงมารอที่หน้าหอเลยนะ” พักนี้เราสองคนเริ่มจะเข้าขากันมากขึ้น.......ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรกันมากมาย.....ก็เป็นอันเข้าใจ

                 ผมมาถึงที่หอนัทในอีกครึ่งชั่วโมงต่อมา.....สถานะของผมกับนัทตอนนี้ยังอยู่ในความไม่แน่นอน..........ผมไม่รู้ว่าเค้าคิดจะเอายังไงกับเรื่องของเรา.........สุดท้ายผมก็คงแล้วแต่เค้าจะตัดสินใจ....เพราะผมเองก็คิดแค่ว่า จะลองหาประสบการณ์ความรักแบบคนที่โตแล้วทำกัน หลังจากที่ทำตัวดัดจริตเป็นเจ้าสาวที่กลัวฝนมานาน.....เอาแค่ประคองให้รอดจนกว่าเค้าจะเรียนจบก็โอเคแล้ว..........นี่คือแผนที่ผมวางเอาไว้แล้วสำหรับเราสองคน............
                นัทลงมายืนรอผมในที่ที่เคยรอ..........ผมขับรถโฉบเข้าไปจอดในตำแหน่งประจำที่เคยจอด...........เวลาเราเจอกันผมรู้สึกว่าเรามีพฤติกรรมเหมือนว่ากำลังคบชู้......เพราะนัทไม่อยากให้ใครล่วงรู้ถึงเรื่องการเป็นเกย์ของเค้า.......ทุกอย่างจึงต้องเงียบและดูลับๆล่อๆ.....น่าอึดอัดใจเหลือเกิน
                  “จะกินอะไร” นัทถามหลังจากที่รถเคลื่อนตัวห่างออกมาจากบริเวณหอพักได้ไม่ไกล
                  “นัทอยากกินอะไรล่ะ พี่กินอะไรก็ได้” ที่ผมบอกแบบนั้นไม่ใช่เพราะว่าอยากเอาใจเค้า....แต่ผมรู้ดีว่านัทมีข้อจำกัดในการเลือกกินอาหารบางประเภท ซึ่งถึงผมอยากจะกินบางอย่าง แต่ถ้าหากเค้ากินไม่ได้ผมก็อดอยู่ดี.....
                  “กินสุกี้กันดีมั้ย” นัทออกความเห็น
                  “อืม งั้นไปแถวไหนดีล่ะ” นัททำท่าคิดอยู่สักพัก.......ที่เค้าคิดนานคงเพราะว่า กำลังคิดที่จะพาผมไปในที่ลับตา....ห่างไกลจากผู้คนที่เค้ารู้จักแน่ๆ....ผมรู้หรอก
                  “ไปกินที่สิบสองห้วยแก้วแล้วกัน” เค้าออกคำสั่ง....ซึ่งก็แน่นอนผมหักพวงมาลัยไปตามทิศที่เค้าสั่งในทันที.......

                 ผู้คนที่ร้านสุกี้ยังดูบางตา อาจจะเนื่องมาจากตอนนี้ยังเป็นช่วงหัววันอยู่..........รายการอาหารต่างๆถูกนำมาวางไว้ตรงหน้าตามที่เรา (ความจริงต้องบอกว่านัท) สั่ง.....ดีล่ะผมจะแสดงให้เค้าเห็นว่าผมสามารถดูแลเค้าได้ดีแค่ไหน ในเรื่องกับข้าวกับปลา.....ง่ายนิดเดียว ก็เรื่องความเป็นแม่บ้านแม่เรือนผมนั้นมีเต็มเปี่ยมในกายอยู่แล้ว จึงไม่ต้องสร้างภาพให้เหนื่อยแต่อย่างใด.....
                 “น้ำซุปนี่กินได้เหรอ” ผมถามเนื่องจากนึกกังวลว่าน้ำซุปของทางร้านอาจทำจากบางอย่างที่จะผิดต่อหลักการกินในศาสนาของนัท
                “กินได้ เค้าทำจากถั่วเหลือง” นัทตอบอย่างคล่องแคล่ว.........เค้าคงศึกษาข้อมูลมาเป็นอย่างดีแล้ว........น้ำเริ่มเดือด.......ผมลงมือใส่เครื่องประเภทที่ให้กลิ่นหอมและชูรสลงไปก่อน........นัทช่วยลำเลียงเนื้อและลูกชิ้นต่างๆลงไปในหม้อ.......เค้าก็รู้จักช่วยคนอื่นเหมือนกันนี่....ผมนึกขำ
               “ฉีกให้เล็กกว่านี้ไม่ได้หรือไง ชิ้นตั้งเบ้อเร้อ” นัทบ่นอุบอิบ เมื่อเหลือบมาเห็นผมกำลังฉีกผักกาดขาว........
               “เดี๋ยวมันโดนน้ำร้อนก็ยุบแล้ว” ผมให้เหตุผล
               “เออ อยากทำไรก็ทำ” เค้าทำหน้างอขัดใจ
               “อ่ะๆ ฉีกให้เล็กๆก็ได้” ผมนำผักที่ฉีกไปแล้ว กลับมาฉีกใหม่อีกรอบ....เรื่องมากจริงๆ
....ระหว่างที่รอน้ำเดือดอีกรอบ ผมจึงลงมือตอกไข่ และตีให้ฟู
              “อย่าเพิ่งใส่นะ รอให้น้ำเดือดก่อน” เค้าออกคำสั่ง
              “เออ รู้แล้ว” ผมบอกปัดด้วยว่าเบื่อจะทะเลาะ

               เราสองคนลงมือกินเงียบๆ.........นัทดูตั้งอกตั้งใจกินมาก.........เค้าเหลือบขึ้นมามองผมเป็นบ้างระยะ
              “ทำไมกินน้อยจัง ไม่อร่อยเหรอ” โดนคำถามเดิมอีกแล้ว
              “อร่อยสิ นัทกินเยอะๆเถอะ ไม่ต้องห่วงพี่หรอก” ผมบอก เพราะไม่อยากจะฟังเค้าบ่นเรื่องผมกินน้อยอีก
              ผมนั่งสังเกตดูนัทกินไปเรื่อยๆ.....ความคิดบางอย่างแวบเข้ามาในหัว.........ลองแหย่เค้าเล่นดีกว่า ดูซิว่าจะทำยังไง.....ผมค่อยๆยื่นเท้าไปเขี่ยที่เท้านัท ซึ่งอยู่ใต้โต๊ะฝั่งตรงข้าม....ใช้เท้าหนีบที่ขากางเกงเอาไว้.....ได้ผล
              “เดี๋ยวคนอื่นก็เห็นหรอก อยู่ดีๆสิ” นัทเอ็ด...ทำตาเขียว......คิคิ ขำดี.....ผมรีบชักเท้ากลับ แกล้งทำหน้าเฉยๆ
               “อยากให้คนอื่นเห็นนักหรือไง” นัทบ่นต่ออีกยาวยืด....แต่ผมทำเป็นเอาหูทวนลมเสีย

               เดี๋ยวเราไปดูหนังกันต่อดีมั้ย.....นัทเสนอ......เค้าอารมณ์ขึ้นๆลงๆ เดี๋ยวก็ดีเดี๋ยวก็บ้า.....ผมไม่ชอบดูหนัง เพราะคิดว่าเสียเวลาที่จะต้องเข้าไปนั่งจุ้มปุ๊กอยู่ในโรงหนังตั้งสองสามชั่วโมง.......โดยเฉพาะเรื่องที่เราไม่ได้อยากจะดู
              “เอาสิ จะไปดูที่ไหนล่ะ” ผมตามใจเค้า เพราะผมมีนิสัยชอบตามใจหรือเพราะว่าชอบเค้าก็ไม่ทราบ.....แต่โดยปกติน้อยครั้งมากที่ผมจะขัดใจใครต่อใคร....ส่วนใหญ่มักจะเออออซะมากกว่า
               “เซ็นทรัลแอร์พอร์ทแล้วกัน” นัทตัดสินใจ.....เราขับรถมุ่งหน้าออกไปยังห้างสรรพสินค้าเพื่อจะหาหนังดูสักเรื่องตามที่นัทต้องการ

                   ผมนำรถมาจอดที่ชั้นบนสุดของห้าง ก่อนจะเดินไปยังประตูทางเข้าที่อยู่อีกฟากของลานจอดรถ........นัทเดินนำหน้าลิ่วๆตามเคย........ทำไมเค้าถึงต้องชอบทำท่าเหินห่างแบบนี้นะ ผมเบื่อเหลือเกินกับพฤติกรรมดังกล่าวของเค้า......มีกลุ่มวัยรุ่นหน้าตาดีสามสี่คนนั่งชุมนุมกันบริเวณฟุตบาทใกล้ๆกันนั้น.......ผมแกล้งเดินให้ช้าลง ค่อยๆเลียบไปตามฟุตบาทบริเวณที่หนุ่มๆกลุ่มนั้นนั่งอยู่.....อยากจะรู้นักว่านัทจะทำยังไง..........หนุ่มๆกลุ่มนั้นหันมามอง ผมแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ทำเป็นลอยหน้าเดินต่อ.........นัทหยุดกึกหันมามองตาเขียว.....เค้าแสดงท่าว่ากำลังยืนรอผมอยู่.....หึ....ทีนี้รู้จักรอแล้วเหรอ....ผมคิดในใจ....
                    “เดินเร็วๆสิ” เค้าออกคำสั่งหน้าบึ้ง.......ผมเร่งฝีเท้าเดินผ่านหน้าหนุ่มๆกลุ่มนั้นไป...เสียดายจังหล่อๆทั้งนั้น....อิอิ...
                    “แล้วก็ชอบมาว่านัทไม่รอ ก็ตัวเองเดินช้ายังกะเต่า” นัทบ่น........ผมไม่ได้โต้เถียงอะไร....นอกจากหัวเราะในใจเบาๆ.....
   
                      มีเวลาเหลือก่อนจะดูหนังตั้งครึ่งชั่งโมง.....ห้างสรรพสินค้าปิดแล้ว เหลือเฉพาะในส่วนของโรงหนัง..........ถึงกระนั้นก็ยังมีผู้คนเดินอยู่ขวักไขว่.......เราเดินออกมาหาที่นั่งหลังจากซื้อตั๋วได้แล้ว นัทไม่ยอมมานั่งใกล้ผมเลย.......เค้าเลือกที่จะนั่งอยู่อีกโต๊ะ......ทำท่าโทรศัพท์ถึงใครบางคน........ผมเดาเอาว่าคงเป็นใครที่พิเศษพอสมควรเพราะเค้าแสดงท่าให้ผมคิดแบบนั้น........ไม่ว่าเค้าจะทำเพื่อจุดประสงค์อะไรก็ตาม........ผมได้แต่นั่งมองด้วยความระอา.......เค้าจะทำแบบนี้ทำไม.......แล้วผมมาทำอะไรที่นี่.........
                   เค้าเดินกลับมาหาผมที่โต๊ะ หลังจากที่โทรศัพท์ได้พักใหญ่ ผมไม่ได้พูดอะไร........ไม่ได้โกรธ......เพราะผมไม่ได้รู้สึกว่ามีสิทธิ์ที่จะต้องโกรธ (ปกติผมเป็นคนขี้หึงมาก)..... ผมนั่งมองเค้าเงียบๆ ดูซิว่าเค้ากำลังพยายามทำอะไรอยู่กันแน่
                   “เค้าไล่ให้นัทมานั่งเป็นเพื่อนพี่กั้ง....หึ..ทำตัวเป็นคนดีศรีเชียงใหม่เหมือนพี่กั้งเลย” นัทกล่าวถึงคนที่คุยโทรศัพท์ด้วยเมื่อครู่ พร้อมทั้งทำหน้าล้อเลียนใส่ผม......แต่ผมไม่เห็นจะรู้สึกว่า มีอะไรให้ต้องน่าขำตรงไหนเลย......
   
                   หลังจากดูหนังเสร็จ ผมขับรถกลับมาส่งนัทที่หอ......เรากล่าวคำอำลากันสั้นๆ....หลังจากที่กลับมาอยู่กับความเงียบได้สักพัก ผมก็คิดอะไรบางอย่างออกมาได้........ผมจะทนคบกับนัทต่อไปทำไม.......ในเมื่อเค้าทั้งเอาแต่ใจตัวเอง.......หยาบคาย.........และก็ใจร้ายที่สุด....หล่อก็ไม่หล่อ.......รวยรึก็ไม่.......ไม่มีดีอะไรสักอย่าง........พอกันทีผมจะไม่ทนอีกต่อไปแล้ว.........
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: MyLoveMyBabe ที่ 04-06-2007 13:03:01
เอ  จะทนต่อไปป่าวเหรอ   ว่าแต่ที่ผ่านมาก็ดูเต็มใจทนและยอมรับเยอะแล้วนะค้าบบ  :o11:


นัทก็มีแอบหวงเล็กๆ  แต่หนักใจตรงที่ไม่แสดงออก และกลัวกับการที่คนอื่นรู้มากเกินเหตุอ่า   จะได้หวานกัยมั้งมั้ยนี่  :confuse:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 04-06-2007 13:55:25


ผมทายว่า  คนอย่างพี่คนเขียนคงไม่มีทางยอมแพ้กะคนอย่างนัทด้วยการตัดใจหนีไปเสียง่ายๆ หรอกว่ามะ?

เท่าที่ผมอ่านดูแล้วนะ  พี่นะเป้นคนชอบวางแผน  ชอบคิดนั้นคิดนี้ไปตามใจตัว

แล้วพอมาเจอคนอย่างนัทเข้า  มันก็เหมือนภาระกิจอันใหญ่หลวง  ที่พี่จะต้องกำราบให้อยู่มัด

ระวังเอาไว้ให้ดีก็แล้วกัน  อย่าไปหลงรักนายนัทเข้าละครับคุณพี่คนเขียน  อิอิ

แต่ผมว่าไอ้นัทมันก็พอตัวเหมือนกันนะเพ่   :o9:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 04-06-2007 16:23:58
บางทีความแตกต่าง ยิ่งนานวันยิ่งเห็นชัด
ยากจะบอกว่าให้ปรับตัวเข้าหากัน
ถ้าสองคนนั้นไม่ได้รัก แค่ชอบกัน
 o7
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 04-06-2007 17:03:51

...........ยิ่งเอาตัวไปผูกพัน..........ก็ยิ่งยากจะถอนตัว..... :impress: :impress:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 04-06-2007 18:11:20
ที่คุณ oaw_eang บอกมาทั้งหมด ยังกะมานั่งอยู่กลางใจคนเขียนแน่ะ.....อิอิ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 04-06-2007 18:40:03
กั้งกับนัท แตกต่างและแตกแยก  :impress:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 04-06-2007 19:12:48
สนุกดี  เป็นคนเขียนที่จริงใจดีอะ  :impress2:
แบบว่า  จริตมารยาอะไรที่มี เขียนใส่มาหมด  จะว่าไป นี่เป็นเสน่ห์ของเรื่องนี้นะเนี่ย
เราชอบอ่านความคิดคน อ่านเรื่องนี้แล้วเหมือนกันวิเคราะห์ตามไปด้วย  ชอบๆ

รออ่านต่อจ้า   :impress:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 06-06-2007 09:35:55
พอดีช่วงนี้งานยุ่งนิดหน่อย เลยไม่ได้มาเขียนต่อ ยังไงต้องขอโทษคนที่ติดตามอ่านด้วยนะครับ
...

                    ดูเหมือนนัทจะไม่รู้สึกตัว ในความร้ายกาจที่เค้าได้กระทำกับผมมาโดยตลอด ทั้งๆที่เราเพิ่งจะเริ่มคบกันแท้ๆ.........เค้ายังคงโทรมาชวนผมไปไหนมาไหนด้วยกันเหมือนเดิม.........และผมก็ใจอ่อนเหมือนเดิม...และทุกอย่างก็กลับเข้าสู่วัฎจักรเดิมๆ
                 “ตั้งแต่คบกับนัท พี่กั้งเปลี่ยนไปรู้ตัวหรือเปล่า” น้องพรตั้งข้อสังเกต......หลังจากที่ฟังผมพล่ามเรื่องความร้ายกาจของนัท......เวลาผมมีความรัก คนรอบตัวผมจะต้องรับภาระหนักในการคอยรับฟัง........ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์........ดีใจก็ป่าวประกาศ........เสียใจก็ซึมเศร้าคร่ำครวญ....นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่ผมกระทำมาตลอดตั้งแต่เริ่มที่จะรู้จักเรียนรู้เรื่องความรัก..............
                “เปลี่ยนยังไง” ผมถามทั้งๆที่สีหน้ายังซังกะตายอยู่
                “ก็ปกติพี่กั้งเคยทนใครกับเค้าเป็นที่ไหน พอไม่ได้ดั่งใจก็วิ่งหนี แต่กับนัทนี่พี่กั้งทนได้ทุกอย่าง” น้องพรอธิบายยาวยืด
                 “จริงเหรอ” ผมนึกแปลกใจ
                “นี่ล่ะน๊าความรัก” น้องพรทำท่าระอากึ่งปลงสังเวชในชะตากรรมของผม
   
                เมื่อมาคิดใคร่ครวญดูอีกที......ก็คงจะจริงอย่างที่น้องพรพูด ผมจัดเป็นมือวางอันดับต้นๆของตำแหน่งเจ้าสาวที่กลัวฝน.......หากผมพบว่าผู้ชายที่กำลังคบอยู่นั้น มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล.........ผมจะใส่เกียร์ถอยหลังทันที.........แล้วก็มานั่งคร่ำครวญ ทำท่าว่าอกหักจะเป็นจะตายให้เพื่อนๆคอยปลอบใจ...น้องพรอยู่กับผมมานาน คงจะเห็นเรื่องพวกนี้จนเคยชินแล้ว..........ผมคงจะรักเค้าเข้าแล้วจริงๆ......
               ในเมื่อผมยังอาลัยอาวรณ์ในตัวนัทอยู่ และยังไม่อยากจะตัดสัมพันธ์ในตอนนี้ แต่ขณะเดียวกัน ผมเองก็มักจะต้องเสียความรู้สึกทุกครั้ง เวลาที่เราควงกันไปไหนมาไหน........ ผมจึงควรจะต้องหาทางออกอื่น เพื่อกำจัดปัญหาในข้อนี้ออกไปให้ได้.... ผมจะเปลี่ยนยุทธวิธีใหม่โดยการหันมาออกเดทกับนัทในที่ลับตาคนแทนดีกว่า....หุหุ.....หวังว่าคงจะช่วยได้บ้างนะ

               ผมจึงออกไปจ่ายตลาดในบ่ายวันหนึ่ง หลังจากที่ได้วางแผนการไว้เรียบร้อยแล้วว่า จะแก้ปัญหาเรื่องความกดดันในการออกเดทระหว่างเราได้อย่างไร.........ผมจะทำกับข้าวให้เค้าทานที่ห้อง......เป็นการได้แสดงฝีมือในการทำกับข้าว........ทั้งยังประหยัดค่าใช้จ่ายในการออกไปเที่ยวข้างนอก......ลดปัญหาเรื่องการระแวงต่อสายตาคนรอบข้าง และทำให้เราได้อยู่ใกล้ชิดกันมากขึ้น......และก็อะไรต่ออะไรที่อาจจะตามมาอีกมากมาย ซึ่งจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเราแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น......
               เย็นนี้ผมจะทำกับข้าวสี่อย่าง.....นัทเป็นคนกินเก่งเค้าต้องชอบแน่ๆ.........เมนูถนัดของผมได้แก่ผัดซีอิ้ว.....แกงเผ็ด.......แกงจืด และก็ ผัดหน่อไม้ฝรั่งใส่กุ้ง..........ที่สำคัญห้ามใส่เนื้อสัตว์บางชนิด และต้องใช้น้ำมันพืชเท่านั้น......หลังจากจ่ายตลาดเสร็จ ผมจึงเริ่มลงมือทำกับข้าวตอนประมาณบ่ายสี่โมงเย็น.......นับได้ว่าค่อนข้างจะลำบากเอาการสำหรับการทำกับข้าวสี่อย่างโดยที่มีกระทะไฟฟ้าเพียงอันเดียว.....เพราะผมจะต้องคอยล้างกระทะและนำเอามาใช้ใหม่ซ้ำๆกันตั้งสี่ครั้ง....เรื่องล้างจานและอุปกรณ์อื่นๆไม่ต้องพูดถึง.......ผมยอมรับว่าค่อนข้างจะเหนื่อยกับการทำกับข้าวหลายอย่างในเวลาจำกัดและปราศจากผู้ช่วยแบบนี้.........แต่ผมก็ยังรู้สึกว่ามีความสุขกับการได้ทำอะไรเพื่อคนที่เรารัก.....การได้คอยนั่งมองเค้ากินอย่างเอร็ดอร่อย เป็นความสุขใจอย่างหนึ่ง ที่อธิบายให้ใครฟังก็คงไม่สามารถเข้าใจได้ลึกซึ้งถึงความรู้สึกดังกล่าว .........หากแต่คุณต้องลองสัมผัสด้วยตัวเอง.............มันเป็นความรู้สึกที่ดีจริงๆ........

                     หลังจากทำกับข้าวเสร็จ ผมจึงลงมือจัดแจงตั้งสำรับอาหารเอาไว้ให้เรียบร้อยสวยงาม......แล้วกวาดถูจัดห้องหับให้เรียบร้อย.........ที่เหลือก็คือนั่งรอเวลา..........จนกระทั่งถึงห้าโมงเย็น ซึ่งเป็นเวลาที่เราเคยออกไปกินข้าวเย็นด้วยกันทุกวัน... ผมจึงหยิบโทรศัพท์โทรไปถึงนัท....เค้าต้องแปลกใจแน่ๆ....
                     “ฮะโหล อยู่ไหน” รู้สึกแปลกหน่อยๆที่ต้องเป็นฝ่ายโทรหาเค้าก่อน
                     “อยู่ห้อง” นัทตอบเสียงห้วนตามเคย เดี๋ยวนี้ผมคร้านจะใส่ใจกับเรื่องพวกนี้แล้ว
                     “พี่ทำกับข้าวไว้ที่ห้องแล้ว จะมากินมั้ย” ผมทำทีถาม แต่คำตอบที่อยากได้ยินนั้นมีอยู่ในใจอยู่แล้ว........
                    “จริงอ่ะ ดีจัง ทำไรมั่ง” นัทดูท่าทางประหลาดใจดังที่ผมคาดเอาไว้........ผมไล่ชื่อเมนูอาหารให้เค้าฟัง ดูท่าเค้าจะพอใจอยู่ไม่น้อย
                    “เดี๋ยวพี่ออกไปรับ ลงมารอข้างล่างเลยนะ” ผมสั่ง ก่อนจะวางสายแล้วหันไปคว้ากุญแจเดินออกนอกห้องไป

                   “เราไปเช่าหนังไปดูที่ห้องกันดีมั้ย” นัทเสนอความคิด หลังจากที่ผมขับรถออกมาจากหอของเค้าได้ไม่ไกล
                   “เอาสิ พี่มีบัตรสมาชิกของร้านแถวๆหลังมอ”......ปกติผมใคร่ได้เช่าหนังมาดูสักเท่าไหร่....เพราะไม่เป็นคนชอบดูหนัง.........หากแต่จะนำมาใช้ประโยชน์จริงๆในยามที่ไม่มีใครๆให้ชวนออกไปเที่ยวตะลอนๆข้างนอก...........ก็ออกไปเที่ยวเล่น สนุกกว่านั่งจมจ่อมอยู่หน้าจอทีวีเป็นไหนๆ..............

                  นัทเลือกหนังได้สองเรื่อง........ส่วนใหญ่เค้าจะเลือกเช่าหนังไทย.........ซึ่งตรงกันข้ามกับรสนิยมของผมโดยสิ้นเชิง...........ผมชอบดูหนังการ์ตูนแอนิเมชั่นมากกว่า.........
                 “ทำไมเช่าแต่หนังไทย น่าจะเช่าหนังฝรั่งบ้าง” ผมออกความเห็น เมื่อนัทยื่นแผ่นหนังที่จะเช่ามาให้ดู........
                 “เป็นคนไทยก็ต้องสนับสนุนหนังไทยบ้างสิ อีกอย่างมันก็สนุกดีออก” เค้ายักไหล่........ไม่ได้มีทีท่าจะสนใจว่าผมจะอยากดูหนังแนวไหนเลย.........ทำไมเค้าไม่รู้จักเรียนรู้ที่จะใส่ใจความรู้สึกคนอื่นบ้างนะ......ผมไม่ได้พูดอะไรอีก...........อยากดูอะไรก็ดูไปเถอะ..........ในเมื่อผมแค่ได้นั่งมองดูเค้า..........แค่นี้ก็มีความสุขพอแล้ว......

                  “อยากกินรูทเบียร์” นัทเปรย หลังจากที่เราเช่าหนังเสร็จเรียบร้อยแล้ว
                  “มันมีขายที่ไหนล่ะ”......น่าแปลกใจจริงๆที่มีคนชอบกินเครื่องดื่มที่มีรสชาติคล้ายยาหม่อง.....แปลกทั้งนิสัย.....แปลกทั้งการกิน....แปลก
                 “ที่โลตัสน่าจะมีนะ” นัทบอก.......ผมจึงรีบบึ่งพาเค้าออกไปจากร้านเช่าวีดีโอ เพื่อไปซื้อรูทเบียร์.........อยากได้ ก็จัดให้.....เฮ้อ

                 เมื่อได้ของทุกอย่างครบดังประสงค์.....เราจึงมากลับมาที่ห้องพัก..........คอนโดที่ผมอยู่ค่อนข้างจะสันโดษและห่างไกลผู้คน.........แต่ใกล้ชิดธรรมชาติและขุนเขา...........ผู้เช่าส่วนใหญ่เป็นคนวัยทำงานและก็ชาวต่างชาติ...........นักศึกษาปริญญาตรีถ้าไม่มีรถยนตร์ก็ยากที่จะซอกซอนเข้ามาถึงได้......คงพอจะทำให้นัทหายกังวลในเรื่องกลัวจะมีคนรู้จักบังเอิญมาพบเข้า...........
                     “ไหนดูซิว่ามีอะไรกินบ้าง” นัทแสดงท่าตื่นเต้น วิ่งไปดูที่โต๊ะกับข้าว....ทำท่าเหมือนเด็กๆเลย.....เมื่อไหร่จะรู้จักโตซักทีนะ..........เค้าลงมือชิมนั่นนิด....ชิมนี่หน่อย............
                    “อร่อยมั้ย” ผมถามเพื่อเช็คความพอใจของผู้บริโภค
                    “พอกินได้” เค้าตอบแบบไร้อารมณ์.......เชอะ.....พอกินได้........ทำเกือบตาย..........และผมก็รู้ว่ามันอร่อยด้วย........อยากจะวิจารณ์ว่ายังไงก็ตามใจ.....แต่กินให้หมดก็แล้วกัน

                    ผมจัดแจงนำถ้วยจานช้อนส้อมมาวางให้นัท...........ก็จะปล่อยให้ตักโน่นตักนี่กินไปเรื่อยเปื่อยได้ยังไง.....จะกินก็ทำเป็นกิจจะลักษณะดีๆ......อ้อ...เกือบลืมไป....ประเดี๋ยวเอาแก้วใส่น้ำแข็งมาวาง.....เทรูทเบียร์เอาไว้ให้เต็มปรี่ เป็นอันเสร็จภารกิจแล้วจึงมานั่งคอยสังเกตดูเค้ากินอยู่เงียบๆ.....ทำท่าว่ากินนั่นกินนี่บ้างพอเป็นพิธี..........ไม่รู้เป็นอะไรเหมือนกัน เวลาอยู่ต่อหน้าคนที่เราชอบ มันจะไม่ค่อยนึกอยากอะไร...........สงสัยจะเป็นเพราะว่ากลัวจะเสียฟร์อมมั้ง......ก็การกินข้าวต่อหน้าคนอื่น เราต้องคอยระมัดระวังกิริยาท่าที......จะมุมมาม รุ่มร่ามก็ไม่ได้........จะหยิบจะจับอะไรต้องให้ดูงามตาเอาไว้........ไหนจะสรรหาคำพูดมาสนทนาเพื่อสร้างบรรยากาศ...........เหนื่อยจะตาย...........สู้นั่งอยู่เฉยๆแล้วเก๊กท่าสวยเอาไว้น่าจะดีกว่า...........

                    “เอาแก้วมาทำไมตั้งสองใบ กินใบเดียวกันก็ได้” นัทบอก.....จะบ้าเรอะ....ผมคิด....
                    “ไม่ดีกว่า แก้วใครแก้วมันดีแล้ว” ผมรินน้ำเปล่าใส่แก้วตัวเอง..........ก็ผมไม่ชอบไอ้เครื่องดื่มรสยาหม่องนั่นจริงๆนี่นา.....

                   หลังจากนัททานอาหารเสร็จ.....ผมจึงจัดแจงเก็บถ้วยจานไปล้าง.........ส่วนนัท....ก็หันไปสนใจกับการเปิดหนังที่เช่ามาจากร้าน..........เค้านอนดูหนัง........ผมล้างจาน........เพอร์เฟค....
                  “หนังเรื่องอะไร” ผมถาม พลางขยับตัวเข้ามานั่งใกล้ๆ...........นัทหันมามองแวบเดียว.......ก่อนจะหันกลับไปดูหนังต่อ
                 “ดูเองสิ”............เออ.....ดูเองก็ได้..........นี่เค้าจะไม่ยอมให้ผมมีส่วนร่วมเลยรึไง............ผมไม่อยากจะโต้เถียงด้วย จึงคว้าหมอนมานอนเกยคางดูหนังอยู่บนเตียงกับนัท.........แต่คอยเว้นระยะห่างเอาไว้ตามความเหมาะสม...........คงจะไม่ดีหรอกถ้าเค้าจะมองว่าเราชำนาญเรื่องการเข้าจู่โจมระยะประชิดจริงมั้ย.....อิอิ

                 เราคุยกันบ้าง แต่ค่อนข้างจะน้อย..........ส่วนใหญ่จะต่างฝ่ายต่างเงียบมากกว่า...........ผมไม่รู้หรอกว่าในใจเค้าสนใจกับการดูหนังมากแค่ไหน..........แต่ผมจะคอยดูซิว่า.........ระหว่างผมกับหนังบ้าๆนั่น.....อะไรมันจะน่าสนใจมากกว่ากัน....ถึงอย่างไร ผมก็ไม่ได้พยายามที่จะอ่อยเค้าเลย........เพราะคิดว่าขืนทำไปก็คงจะโดนเบรกอีกตามเคย.........อีกอย่างเค้าคิดว่าตัวเองเป็นคนคอยคุมเกมส์อยู่แล้วนี่........ผมจึงเป็นฝ่ายอยู่เฉยๆไม่มีปากมีเสียง............ก้มหน้าก้มตาทำตามคำสั่งอย่างเดียวก็พอ..............แต่ถ้าเค้าจะคิดว่าผมจะอยู่ในโอวาทของเค้าแบบนี้ไปตลอด..........เค้าคงจะคิดผิดไปเสียแล้ว............เพราะผมไม่ใช่คนที่จะอยู่ในคำสั่งของใครอย่างแท้จริง.........มันเป็นวิธีการทำให้เหมือนเราอยู่ในคำสั่ง.........แต่จริงๆแล้วเราต่างหากที่เป็นคนสั่ง.....หากแต่เราจะต้องรู้จักที่จะใจเย็นและรอเวลา......
 
                เราดูหนังจนค่อนดึก...........จนเรื่องสุดท้ายจบลง นัทจึงหันมาบอกให้ผมพาไปส่งที่หอ.........ผมนึกเซ็งอยู่เงียบๆในใจ........ไม่มีอะไรให้ระทึกใจเลย.....น่าเบื่อจริงๆ............นี่เค้าไม่รู้หรอกเหรอว่าภายใต้ท่วงท่าที่เรียบเฉย และเงียบสงบของผมนั้น มันแฝงเอาไว้ด้วยความร้อนแรงมากแค่ไหน........แต่ถ้าเค้ารู้เค้าอาจจะตกใจก็ได้....อิอิ.....แต่อย่างว่า......ใครจะมาล่วงรู้จิตใจคน.........มองดูจากภายนอกผมดูค่อนข้างจะระวังตัวด้วยซ้ำไป.........กรรมของผมจริงๆ.........แต่เค้าไม่เป็นคนมือไวใจเร็วก็ดีแล้ว...........อะไรที่มันเร็ว.......มันก็เร็วทั้งการเริ่มต้นและการจบลง..........เพราะฉะนั้นปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติดีกว่า............
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 06-06-2007 11:34:08

..........เหนื่อยใจ.....แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้........ :o9: :o9:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 06-06-2007 11:55:08
 :o

เค้านอนดูหนัง........ผมล้างจาน........เพอร์เฟค....

 :sad5:

คุณพี่คนเขียนเคอะ  อิชั้นเองก็เหมือนกันเคอะ  เรื่องทำครัวน่ะบ่ยั่น  แต่เรื่องล้างจานนั้นอิชั้นไม่สู้

ไอ้นัทนี้มันร้ายกาจมากเลยนะเคอะ

อิชั้นว่ามันมีแผนเคอะที่ไม่จัดการคุณพี่เสียแต่วันแรกที่มาที่หอคุณพี่  มันมาเหนือเมฆจริงๆ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 06-06-2007 14:00:27
แผนไรอ่ะ บอกหน่อยจิ....อิอิ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 06-06-2007 14:25:01
ดูมันช่างกดดันเจงๆ
 o12
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 06-06-2007 14:48:57
กดดันตรงไหน....เรื่องธรรมชาติ....หุหุ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: NewcoolstaR ที่ 06-06-2007 14:56:37
 :impress: ยังพูดอะไรมากไม่ได้..พึ่งเริ่มอ่านได้ไม่กี่ตอน  น่าสนใจดีครับ o8
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 06-06-2007 18:53:18
ผมไม่ใช่คนที่จะอยู่ในคำสั่งของใครอย่างแท้จริง.........มันเป็นวิธีการทำให้เหมือนเราอยู่ในคำสั่ง.........แต่จริงๆแล้วเราต่างหากที่เป็นคนสั่ง.....หากแต่เราจะต้องรู้จักที่จะใจเย็นและรอเวลา....

หุหุ นิสัยแบบนี้เขาเรียกว่า อ่อนนอกแข็งในใช่ปะ  :laugh3:  :laugh3:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 07-06-2007 08:41:08
                        เมื่อมีครั้งแรกก็ย่อมต้องมีครั้งที่สองเป็นสัจจะธรรม...........ผมเดาเอาว่านัทเองก็คงรู้สึกสบายใจที่พบกับทางออกสำหรับความสัมพันธ์อันน่าอึดอัดของเรา.......หลังจากเปลี่ยนกิจกรรมการออกเดทกลางแจ้งมาเป็นในร่มแทน.......อะไรต่ออะไรก็ดูจะก้าวหน้าขึ้นเป็นลำดับ..........

                         “เราซื้อลูกชิ้นไปทอดกินที่ห้องกันดีกว่า” นัทเสนอความเห็นหลังจากที่เราสองคนขับรถตะลอนๆเพื่อหาร้านทานข้าวไปจนทั่วเมือง.........แต่ยังไม่พบที่ถูกใจ.......แสดงว่าเค้าอาจจะติดใจรสมือผมก็ได้นะ.......
                         “เอาสิ ว่าแต่จะไปซื้อที่ไหนล่ะ” ผมไม่ทราบแหล่งที่จะหาซื้อลูกชิ้นในแบบที่นัทต้องการ
                         “แถวกาดเจดีย์ขาว เดี๋ยวนัทจะบอกทางเอง พี่กั้งขับรถไปเถอะ” เค้าพาผมขับรถลัดเลาะไปตามซอกซอย.........ผมไม่ค่อยถนัดเรื่องเดินตลาดสดมากนัก........ส่วนมากจะเดินจับจ่ายตามห้างหรือไม่ก็คอนวีเนียนสโตร์มากกว่า........นัทรู้เรื่องเสาะหาของกินพวกนี้มากจริงๆ.......ผมจึงไม่ต้องทำอะไร นอกจากเดินตามหลังเค้ามาห่างๆ...........รู้สึกหงุดหงิดใจเล็กน้อยที่นัทยังไม่ยอมเดินคู่กับผมในที่สาธารณะแบบนี้.........เมื่อไหร่เค้าจะยอมรับตัวเองได้ซักทีนะ.........แต่มองๆดูแล้วคงจะอีกนาน........จนกว่าเค้าจะรักผมมากพอ..........หรือไม่ผมก็อาจจะยอมแพ้ไปเอง......
   
                         “นัทอยากกินลูกชิ้นแบบไหน” ผมถามเนื่องด้วยว่าที่ร้านมีลูกชิ้นให้เลือกหลายแบบละลานตาไปหมด.........ซึ่งก็แน่นอนว่าถูกต้องตามหลักศาสนา.............
                        “พี่กั้งอยู่เฉยๆ เดี๋ยวนัทเลือกเอง” เวลาอยู่ข้างนอกนัทมักทำท่าเย็นชา ห่างเหินกับผมเสมอ เค้าดูไม่เป็นตัวของตัวเองเลย..........ผมทั้งรู้สึกทั้งน้อยใจผสมกับรู้สึกสงสารที่เค้าต้องกดดันตัวเองมากขนาดนี้........เค้าจะทำแบบนี้ไปทำไมกันนะ.....   
                        “เอานี่.....นี่ และก็นี่ด้วย” นัทยื่นถุงลูกชิ้นใส่ตระกร้าที่ผมเป็นผู้ถือเดินตามมาอย่างเสงี่ยมเจียมตัว....บางครั้งก็นึกโกรธตัวเองว่าทำไมจะต้องทำท่าเสงี่ยมขนาดนี้นะ.........หรือผมอาจจะกำลังสนุกกับการที่ต้องทำท่าเหมือนกับโดนใครบางคนคอยกดขี่อยู่ก็ได้.........แต่มันก็รู้สึกดีนะ ผมบอกไม่ถูกหรอก เพราะผมรู้สึกก้ำกึ่งระหว่างตัวเองดูน่าสงสารหรือจริงๆแล้วเราแกล้งทำให้ดูน่าสงสารเกินความจริงมากไป........เฮ้อ.....สับสนตัวเองจริงๆ

                        “อยากกินผลไม้มั้ย” ผมออกความคิดเพราะอย่างให้การเดทของเราออกมาสมบูรณ์แบบ....เราจึงเดินลัดเลาะหาซื้อผลไม้อีกอย่างสองอย่าง.........และลงเอยด้วยการแวะเช่าหนังตามระเบียบ........

                        เมื่อกลับมาถึงที่ห้อง...........ผมรีบกุลีกุจอ (ต้องใช้คำนี้แหล่ะถึงจะเหมาะสม) ปูเสื่อที่ระเบียงห้อง และลงมือทอดลูกชิ้น........ส่วนนัทก็นอนดูหนังตามเคย.........เค้าลุกขึ้นมาหยิบนั่นกินนี่บ้างเป็นบางครั้ง..........ผมเอารูทเบียร์ที่เค้าชอบไปเสิร์ฟให้.......แล้วค่อยมาทอดลูกชิ้นต่อ............หลังจากทอดลูกชิ้นจนเต็มจานขนาดใหญ่ซึ่งน่าจะพอเลี้ยงคนได้สักห้าหกคน........ผมจึงหันมาทำน้ำจิ้มลูกชิ้น..........ก็เรื่องอะไรจะปล่อยให้เค้ากินน้ำจิ้มสำเร็จรูปล่ะ........ทำอะไรง่ายๆอย่างนั้นก็ไม่ใช่ผมน่ะสิ..........ผมจึงลงมือปรุงน้ำจิ้มลูกชิ้นสูตรเด็ดเพื่อมัดใจนัทด้วยตัวเอง...........วิธีทำง่ายๆก็คือตั้งกระเทให้ร้อน แล้วเทน้ำจิ้มสำเร็จรูปลงไปก่อน จากนั้นก็ใส่น้ำมะขามเปียก และก็มะเขือเทศที่หั่นเป็นชิ้นขนาดเล็กๆประมาณถ้วยตวง ใส่พริกป่นลงไปตามแต่ว่าชอบเผ็ดมากหรือน้อย.........เคี่ยวจนกว่ามะเขือเทศจะเละเป็นเนื้อเดียวกับน้ำจิ้ม........แล้วจึงปรุงรสตามใจชอบ..........แค่นี้ก็เสร็จเรียบร้อย........ผมรีบยกไปวางที่โต๊ะพร้อมกับจานลูกชิ้น........
                          “มากินได้แล้ว เสร็จแล้ว” ผมร้องเรียก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเรียกไปทำไม ก็ในเมื่อเค้าเห็นอยู่แล้วว่ายกมาตั้งที่โต๊ะ......แต่ถ้าไม่เรียกเค้าอาจจะไม่ลุกมากินก็ได้นะ......
                         นัทลุกไปขยับทีวีหันมาในทิศที่โต๊ะกินข้าวตั้งอยู่.......แล้วจึงเดินมานั่งประจำที่ ลงมือกินอย่างเอร็ดอร่อย.....
                          “น้ำจิ้มอร่อยมั้ย” ผมหวังว่าจะได้รับคำชมสักนิดก็ยังดี.....แต่คงยาก
                          “ไม่เห็นจะอร่อยเลย” นัททำปากเบะ.....เดินไปหยิบน้ำจิ้มสำเร็จรูปที่เหลือมาเทใส่ถ้วย ก่อนจะลงมือกินต่อ...........ตาบ้านี่.....คนอุตส่าห์ทำแทบตาย......

                           ผมไม่ได้ใส่ใจกับพฤติกรรมดังกล่าวเพราะชาชินแล้ว............หน้าที่ผมยังไม่หมดเท่านั้นหรอก..........ผมหันไปหยิบเอาถุงมังคุดออกมาจากตู้เย็น........ลงมือเจียนใส่จานเอาไว้........ในขณะที่นัทนั่งกินไปดูทีวีไป ไม่เห็นว่าจะมีท่าทีซาบซึ้งกับการกระทำของผมตรงไหน.........หรือเค้าจะคิดว่าเค้าสมควรไปรับการปรนนิบัติแบบนี้อยู่แล้วนะ.....ช่างเค้าเถอะ ถึงไงผมก็เต็มใจทำให้อยู่แล้ว....มันอยู่ในสายเลือดน่ะ.....
                         จนกระทั่งจนนัทกินเสร็จเรียบร้อย ผมจึงจัดเก็บถ้วยจาน........เป็นอันว่าหมดหน้าที่..........แล้วผมจะทำอะไรล่ะทีนี้.....ก็เค้าไม่ได้สนใจผมเลยเอาแต่ดูทีวีอยู่ได้............ไปอาบน้ำดีกว่า

                          อาบน้ำเสร็จแล้วค่อยสดชื่นขึ้นมาหน่อย..........ผมนำเอาเสื้อผ้าไปเปลี่ยนในห้องน้ำด้วย เพราะไม่อยากทำไรประเจิดประเจ้อนัก เนื่องจากเรายังไม่ได้ไปถึงขั้นไหนกันเลย...........เดินออกมาจากห้องน้ำทาครีมและแป้งลวกๆ เดี๋ยวเค้าจะหาว่าผมเป็นคนเจ้าสำอางจนเกินไป..........นัทเหลือบมามองผมทำกิจกรรมต่างๆบ้างเป็นบางครั้ง.........แต่โดยมากก็ยังเห็นว่าสนใจดูทีวีมากกว่าอยู่ดี........
   
                          อาบน้ำและแต่งตัวเสร็จแล้วจะทำอะไรต่อดีล่ะ............
                         “หนังสนุกไหม” ผมขยับตัวไปนั่งใกล้ๆ พยายามดึงดูดความสนใจจากนัท
            “อยู่เฉยๆ คนกำลังดูหนังอยู่........ วู้ววว” นัทหันมาทำเสียงโวยวายใส่...........อะไรกันเนี่ย..........ใจคอจะสนใจดูแต่หนังหรือยังไง..........นี่เค้าไม่เคยแชร์ชีวิตร่วมกับใครเลยเหรอ..........เค้าน่าจะรู้วิธีปฏิบัติตัวในการอยู่ร่วมกับคนอื่นในเบื้องต้นบ้างนะ
                         ผมไม่อยากต่อล้อต่อเถียง จึงหันไปหยิบหนังสือมานอนอ่าน............ก็หนังพวกนั้นมันน่าเบื่อจะตาย.......ผมไม่มีความอดทนนั่งดูกับเค้าหรอก..........อีกอย่างหนึ่งผมก็ไม่มีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นอะไรระหว่างที่ดูหนังเลย เพราะจะโดนโวยวายตลอดเวลา.........แล้วมันจะมีอรรถรสอะไรล่ะ
....สู้นอนอ่านหนังสือเงียบๆดีกว่า

                        จนเวลาจวนจะห้าทุ่มแล้ว..........นัทยังไม่มีท่าทีว่าจะหันมาสนใจหนังสดที่นอนอยู่ข้างๆ มากไปกว่าหนังแห้งๆในจอทีวีเลย..........ผมจึงคลี่ผ้าห่มออกมาคลุมแล้วเอนตัวลงนอนก่อนจะม่อยหลับไป...........
                        สะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกทีก็เห็นนัทหลับไปแล้ว............เหลือบตาดูเวลาก็ค่อนข้างจะดึก จึงไม่อยากจะปลุก..............ผมลุกขึ้นไปปิดไฟ ก่อนจะหยิบผ้าห่มมาคลุมให้นัท...........ช่วงนี้กำลังจะเข้าหน้าหนาว.......เดี๋ยวก็เป็นหวัดกันพอดี...........ผมกลับไปนอนที่อีกฝากของเตียง............ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองจึงต้องลอบถอนหายใจเงียบๆ..........ผมผิดหวังเรื่องอะไรนั้นก็ไม่แจ้งแก่ใจนัก................หรือผมอาจจะอยากมีอะไรกับเค้านะ...........แต่ก็ยังไม่มั่นใจว่ารู้สึกแบบนั้น.............ถึงอย่างไรผมก็หวังว่าอย่างน้อยๆเราน่าจะได้แสดงความรักต่อกันโดยการใช้ภาษาทางกายบ้าง.....เคยมีบางคนบอกว่า การมีความรักที่สมบูรณ์นั้น เราจะสื่อสารกันด้วยวาจาเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ.............เนื่องการพูดเพียงอย่างเดียวไม่อาจจะทำลายช่องว่างระหว่างเราลงได้..........บางอย่างจะต้องสื่อสารกันด้วยภาษากาย..........เช่น การกอด หรือหอมแก้มอะไรเทือกนั้น.......ไม่ง่ายเลยกับการจะมีความรัก..........
                        สำหรับตัวผมเองมีแนวคิดเกี่ยวกับการใช้ชีวิตด้านความรักว่า.....เซ็กส์สามารถเกิดขึ้นโดยที่ไม่จำเป็นต้องมีแฟนก็ได้..........แต่การมีความรักจะทำให้เรามีทั้งแฟนและมีเซ็กส์.....ซึ่งผมปรารถนาจะใช้ชีวิตด้วยการมีความรักดีกว่า................แล้วกับนัทล่ะ เค้าจะเป็นแค่เซ็กส์ หรือว่าความรัก..............
ป่วยการคิดให้เวียนหัว............นอนดีกว่า.............

                       คืนนั้นผ่านไปอย่างว่างเปล่า...........ยอมรับตรงๆว่าผมค่อนข้างจะผิดหวังเล็กน้อยที่ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเกิดขึ้นเลย.........อีกใจหนึ่งก็แสนจะกระดากที่ตัวเองช่างหมกมุ่นคิดแต่เรื่องพวกนี้อยู่ได้........แต่มันก็น่าแปลกใจไม่ใช่หรือไง.............เราคบกันมาก็ได้ระยะหนึ่งแล้ว..........น่าจะถึงเวลาแสดงความรักทางกายกันได้แล้วแหล่ะ.............หรือว่าเค้าไม่ได้รู้สึกพิสวาสผมเลย...........บางทีผมอาจจะแก่แดดเกินไปก็ได้นะ.........แล้วคู่อื่นๆเค้าเป็นยังไงกันมั่งล่ะ.........ผมเองก็ใช่ว่าจะเคยคบกับใครจนข้ามขั้นไปถึงการมีความสัมพันธ์ทางกายมาก่อน........ไอ้เรื่องแบบนี้จะให้เราเป็นฝ่ายเริ่มก่อนเหรอ..........น่าอายจะตาย............แต่ถึงอย่างไรผมคงต้องทำอะไรบางอย่างแล้ว..............ไม่เช่นนั้นพัฒนาการของความสัมพันธ์ระหว่างเราจะต้องหยุดชะงัก ไม่ก้าวหน้าเป็นแน่.......ผมมีความจำเป็นต้องทำจริงๆ......หุหุ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 07-06-2007 13:33:49

...........เฮ้อ... :เฮ้อ: :เฮ้อ: .....เหนื่อยใจแทน....
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 07-06-2007 15:03:37
อย่างน้อยก็ถือว่าก้าวหน้าหละนา

ก็คุณพี่ลองคิดดูดดิ  ไอ้นัทหน้ามึนมันกล้ามานอนค้างที่ห้องคุณพี่ ความจริงมันอาจจะอยากพูดอะไรบางอย่างเพื่อที่จะขอค้างคืนกับพี่

แต่ด้วยสิ่งที่ขัดแย้งอยุ่ภายในใจของมันทำให้มันไม่สามารถที่จะยอมให้ตัวของมันเองพูดในสิ่งที่มันอยากพูดออกมาก็เป็นได้  ดังนั้น  มันจึงเลือกวิธีที่จะทำเฉยและเลยตามเลยไปแทน  พี่คิดดูดิ....ว่าเหตุใด  ใยไอ้นัทมันถึงได้ค้างห้องพี่คืนนั้น  :laugh:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 07-06-2007 15:12:42
คงง่วงมั้ง....
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 07-06-2007 19:16:25
เหอ เหอ เหนื่อยมั๊ยคนดีมีน้องเป็นแฟน  :try2:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 07-06-2007 20:51:57
ไหนๆ ก็ต้องทำอะไรบางอย่างละ  ทำๆ ไปเลยคุณพี่  ลุยโลดดดดด (ยุส่งซะเลย) :laugh3:  :laugh3:

รออ่านต่อจ้า   o15
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 08-06-2007 13:34:34
ฉลาดเนอะคุณพี่คนเขียน

คิดได้แค่เนี้ย  ง่วง?
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 08-06-2007 13:57:07
เอ๋า ก็คิดแบบคนใสซื่ออ่ะ........อิอิ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 08-06-2007 17:52:25
ตามทันเระ รออ่านต่อจ๊ะ

อึดอัดแทนกั๊งจัง อะไรที่อยากทำก็ทำมะได้  :try2:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 11-06-2007 14:01:53

หายไปนานแล้วนะ  :angry2:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: tor13 ที่ 11-06-2007 19:31:20
 o14เห็นด้วย o14สาธุมาไวไวได้โปรด o1
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 12-06-2007 07:34:49
ช่วงนี้งานยุ่งมากเลยยยย แล้วจะรีบมาเขียนต่อนะครับ อีกไม่นานหรอกจ้ะ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Just let it be ที่ 12-06-2007 08:22:45
ติดตามมาพอสมควรอะครับ

เป็นแรงใจสู้ๆ ต่อไปนะก้าบบบบ  :yeb:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 12-06-2007 09:18:27
                         วันนี้เป็นวันเกิดผม แต่ผมจะยังไม่บอกนัทหรอก.....เอาไว้ตอนไปกินข้าวเย็นด้วยกันแล้วค่อยบอกดีกว่า........เดี๋ยวเค้าจะว่าผมเห่อไม่เข้าเรื่อง.........ในสายตาของนัท ผมทำอะไรก็ดูไม่ได้เรื่องไปซะหมด.......ทำอะไรไม่เคยถูกใจเลย.......ไม่รู้จะคบกันไปได้อีกนานแค่ไหน.........ส่วนตัวแล้วผมไม่ได้เบื่อเค้าหรอก........กลัวแต่เค้าจะเบื่อผมซะก่อนมากกว่า...
                         ค่ำนี้ต้องเป็นคืนที่พิเศษสำหรับ ผม และเค้า.............เราสองคนยังไม่ได้ออกไปทานข้าวในบรรยากาศดีๆด้วยกันเลยสักที.......
                         “นัทเหรอ เย็นนี้ไปกินข้าวกันนะ พอดีวันนี้เป็นวันเกิดพี่ด้วย” ถึงเราจะคบกันมาได้สักระยะแล้ว แต่ผมก็ยังรู้สึกเหมือนกับต้องคอยหาข้ออ้างให้กับตัวเองเสมอ เวลาที่จะชวนนัทออกไปไหนมาไหน...........นี่มันคงยังไม่ใช่ความรู้สึกของคนที่เป็นแฟนกันจริงๆสินะ.....เพราะคนที่เป็นแฟนกันจริงๆจะต้องไม่มีคำถามว่า....ทำไมฉันต้องไปนั่นมานี่กับเธอ..........เค้าจะต้องพร้อมเสมอที่จะเคียงคู่ไปกับเราในทุกสถานการณ์....และทุกที่.....
                         “อ้าววันเกิดเหรอ ทำไมไม่บอกซะก่อนจะได้ซื้อของขวัญให้ นัทไม่ได้เตรียมอะไรไว้เลย”......โธ่เอ๋ย.......นี่เธอไม่รู้หรอกเหรอว่า..........เธอคือของขวัญที่วิเศษที่สุดแล้วสำหรับพี่.....บางครั้งเวลาโดนเค้าบ่น.......ผมกลับรู้สึกมีความสุข.....เพราะอย่างน้อยๆเค้าก็ยังแสดงให้เห็นว่าใส่ใจในตัวผม..........ดีกว่าเค้าเงียบหายและห่างเหินไป......
                          “ไม่ต้องให้อะไรหรอก แค่เราไปกินข้าวกันก็พอแล้ว เดี๋ยวทุ่มนึงพี่จะออกไปรับนะ” ผมบอกเวลานัดหมายให้เป็นที่เข้าใจกันดีแล้ว จึงหันมาเลือกเสื้อผ้าสำหรับจะไปกินข้าวในวันเกิดคืนนี้....ผมอยากจะดูดีที่สุดสำหรับเค้า.........
   
                          ปกติในวันเกิดของผม ผมมักจะจัดงานเลี้ยงเพื่อนๆที่รักใคร่ชอบพอกันทุกๆปี............เรามักจะทำกับข้าวกินกันเอง.............ดื่มเหล้า....คุยกัน....เล่าเรื่องสัปดน....โปกฮา ไปตามเรื่องตามราว......ผมเป็นคนมีเพื่อนไม่มาก.....แต่ทุกคนเป็นคนดี และรักผมมาก.....ผมมีหลักในการคบเพื่อนอย่างหนึ่งว่า เราจะต้องเต็มที่เสมอกับเพื่อน.....และเพื่อนก็ต้องเต็มที่เสมอกับเรา..........หากอันใดอันหนึ่งไม่สมดุลกันแล้ว............คิดว่าให้เป็นแค่คนรู้จักกันน่าจะดีกว่า.......แต่ปีนี้งานวันเกิดที่เพื่อนๆทุกคนรอคอยกลับเงียบสนิท...........ผมเลือกที่จะไปกินข้าวกับนัทสองคน............แทนที่กับการไปกินข้าวกับเพื่อนๆ.................เอ......หรือว่าตอนนี้ผมเองที่เป็นฝ่ายไม่เต็มที่กับเพื่อนๆซะเอง.....รู้สึกผิดอยู่หน่อยๆ.....แต่หวังว่าเพื่อนๆคงจะเข้าใจ.....เดี๋ยวเอาไว้ค่อยไปอธิบายทีหลังก็ได้.....คงไม่มีใครใจจืดกับผมได้ลงคอหรอก.........
                          “ถ้าแกลงมาอยู่ที่กรุงเทพแล้ว ห้ามแกมีแฟน” เดียว...เพื่อนสนิทชาวเกย์ของผมออกกฎข้อห้ามเอาไว้ล่วงหน้า.........เนื่องจากว่าภายหลังจากเรียนจบผมมีแผนจะลงมาอยู่ที่กรุงเทพ และเดียวก็คาดหวังว่าผมจะต้องอยู่เป็นเพื่อนกับหล่อนไปแบบนี้ตลอด
                         “ทำไมล่ะ” ผมนึกสงสัย....หล่อนมีสิทธิ์อะไรที่จะมาห้ามปรามการใช้ชีวิตของคนอื่น...มันจะก้าวก่ายมากไปหน่อยแล้วมั้ง
                        “เพราะว่าถ้าแกมีแฟน แกจะไม่มีเวลาให้ฉัน แกจะขลุกอยู่แต่กับแฟนของแกน่ะสิ” เดียวทำหน้าตาอวดรู้เรื่องนิสัยของผม..........เพราะว่าเราเป็นเพื่อนกันมานาน.........นานจนผมลืมไปแล้วว่าเราเริ่มรู้จักกันเมื่อไหร่...........จำได้แต่ว่าตอนนั้นผมเรียนปริญญาตรีรุ่นเดียวกันกับเดียว........และไม่น่าเชื่อเลยว่าเค้าจะมีแฟนเป็นผู้หญิง.............ผมมองเค้าออกว่า เป็นเกย์ แต่ก็ไม่ได้คิดจะไปสนใจอะไรมากมายเพราะคิดว่าเป็นเรื่องส่วนตัว.......ซึ่งในตอนนั้นเองผมก็ยังไม่กล้าพอที่จะเปิดเผยตัวเองเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้ถึงกับว่าปิดบังอะไร เลยกลายเป็นประเภทครึ่งๆกลางๆ.....จะใช่หรือไม่ใช่ให้คนตั้งคำถามกันให้ปวดหัวเล่นๆ.......การจะใช้ชีวิตแบบเกย์ในต่างจังหวัด จะต้องมีความแน่วแน่ และก็กล้าหาญในการเปิดเผยตัวเองมากพอสมควร เนื่องจากสังคมต่างจังหวัดค่อนข้างจะคับแคบ และบีบรัดด้วยความเชื่อ ค่านิยมแต่เก่าก่อน.......ไม่แปลกหรอกที่เด็กแค่ระดับปริญญาตรีจะไม่มีความหาญกล้าพอที่จะแสดงจุดยืนที่แปลกแยกจากสังคมของตนเองออกมา......บ่อยครั้งที่เราพบว่าเกย์ในต่างจังหวัดลงเอยด้วยการแต่งงานเฉกเช่นเดียวกับชายไทยปกติทั่วไป.......ทั้งๆที่มองยังไงก็หนีไม่พ้นคำว่าเกย์ไปได้........ดังนั้นเกย์ในต่างจังหวัดที่พอจะปกปิดตัวเองได้จึงมักจะปกปิด....ในขณะที่จำพวกสว่างจิตทั้งหลายเลือกหนทางที่จะเปิดเผยตัวเอง เพราะฝืนทำท่าเก๊กแมนไป ก็จะดูคล้ายทอมบอยซะมากกว่า.......จนภายหลังผมได้มาเรียนต่อที่กรุงเทพ เดียวก็ได้งานทำที่กรุงเทพเช่นเดียวกัน.........เป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่แฟนของเดียวเสียชีวิตลงด้วยโรคร้ายอย่างกระทันหัน............นับแต่นั้นมาเดียวจึงเปิดเผยตัวเองออกสู่สังคมชาวเกย์อย่างเต็มรูปแบบ โดยมีผมคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง และรุดหน้าไปไกลจนผมตามไม่ทัน....ตอนนี้ถ้าอยากจะรู้เรื่องอะไรดีๆต้องคอยมาถามเดียว....เพราะหล่อนกลายเป็นผู้มากประสบการณ์ไปซะแล้ว.....

                         “ก็แน่ล่ะสิ แกไม่มีแฟนแกก็ยังมีเซ็กส์ได้ แต่ฉันไม่มีแฟนฉันก็ไม่ได้มีเซ็กส์กับเค้าซักทีสิ” ผมแย้งเพราะรู้ว่า ถึงเดียวจะไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตน แต่หล่อนก็ยังมีผู้ชายให้ควงไม่ซ้ำหน้า.....แต่ผมน่ะสิ...ผมไม่ต้องแห้งเหี่ยวตายอยู่กับนังเดียวไปตลอดชีวิตหรือยังไง ถ้าหล่อนจะห้ามไม่ให้ผมมีแฟน.....เข้าใจคิดนะนังนี่.....

                          ผมมารับนัทตามเวลาที่เราได้นัดหมายกันเอาไว้............เค้าแต่งตัวธรรมดาๆ ไม่ได้แสดงความพิเศษอะไรออกมาให้เห็นเลยแม้แต่น้อย...........ไม่ว่าจะชุดไปเล่นกีฬา.....ชุดไปกินข้าว หรือแม้แต่ชุดไปออกเดท ล้วนไม่แตกต่างกันทั้งสิ้น..........ชุดอย่างโก้ของนัทอย่างมากที่สุดก็คงแค่กางเกงยีนส์ตัวเก่งกับเสื้อคอโปโล........นอกนั้นมักจะเป็นกางเกงทหารขาสาวส่วนสีมอๆ กับเสื้อตามแต่จะหยิบฉวยมาได้...........
                        “ไม่เห็นต้องแต่งเวอร์ขนาดนี้เลย แค่ไปกินข้าวแค่นี้เอง” นัทค่อนขอดผมทันที่ที่ก้าวเข้ามานั่งในรถ.......เราสองคนต่างกันมากเรื่องการแต่งตัว.....บางครั้งนัทจะพูดเปรยๆกับผมว่า
                       “พี่กั้งก็หน้าตาดี แต่งตัวก็ดี อะไรก็ดี แล้วทำไมถึงต้องมาชอบคนอย่างนัท ทำไม่หาคนที่ดีกว่า” เค้าไม่รู้หรอกว่าเค้ามีความพิเศษสำหรับผมมากแค่ไหน......ผมไม่ได้ชอบคนที่ดูดีแต่ภายนอก.....ถึงนัทจะเป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง....และชอบพูดจากระด้าง....แต่ผมคิดว่าเค้าเป็นคนที่จริงใจ.....ถึงจะเป็นความจริงใจภายใต้ความขัดแย้งทางด้านความเชื่ออย่างมหาศาลก็ตาม......

                        ช่วงนี้ยังหัวค่ำอยู่ คนที่ร้านจึงไม่มากนัก.....ผมเลือกร้านที่มีบรรยากาศสบายๆ และที่สำคัญค่อนข้างจะโรแมนติกเนื่องจากอยู่ติดเชิงดอยสุเทพแสนสวย.....อากาศเริ่มเย็นหน่อยๆแล้ว
                        เราสั่งอาหารมารับประทานกันสามสี่อย่าง.........ผมสั่งเบียร์ให้ตัวเอง....ส่วนนัทดื่มน้ำอัดลม....ผมนั่งดื่มเบียร์และมองดูนัทกินข้าวมากกว่าจะกินซะเอง..........นี่ถ้าเป็นผมต้องโดนใครมานั่งจ้องแบบนี้คงเขินจนไม่เป็นอันตักอะไรเข้าปากเป็นแน่...........แต่ตาบ๊องนี่กลับทำเฉยซะงั้น.....
                         ระหว่างที่เรากำลังทานอาหาร มีเด็กหูหนวกเดินเร่เข้ามาขายพวงกุญแจและของกระจุกกระจิกเล็กๆน้อยๆ......ผมส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ.......แต่นัทกลับสนอกสนใจดูของพวกนั้นอย่างจริงจัง
                          “นี่เค้าจะดูไปทำไม มันก็แค่ของพื้นๆ” ผมคิดในใจ....แต่ก็ไม่ได้ทักท้วงอะไร....เพียงแต่นั่งสังเกตดูอยู่เงียบๆ
                          “พี่กั้งเลือกเอาอันหนึ่งสิ นัทจะซื้อให้เป็นของขวัญ” ห๊า! เค้าจะซื้อให้ผมเหรอ ฟังผิดไปรึเปล่าเนี่ย
                         “ก็พี่กั้งบอกกะทันหัน นัทเลยไม่ได้มีเวลาซื้อของขวัญให้เลย” เค้าให้เหตุผล....ให้แค่พวกกุญแจถูกๆพวกนี้ จะไม่ง่ายไปหน่อยเหรอ.....
                 
                          ผมเลือกพวกกุญแจด้วยความรู้สึกทั้งประหลาดใจและประทับใจระคนกัน.....จนในที่สุดผมเลือกได้ปลาดาวสีชมพู.......คนขายหยิบมาและสาธิตให้ดูว่าสามารถกดตรงกลางลำตัวปลาดาว...แล้วจะเกิดไฟกระพริบขึ้นมา และถ้ากดอีกครั้งไฟจึงจะดับลง......แปลกดี ของเด็กเล่นแบบนี้ผมไม่เคยเห็นมาก่อน.....เป็นของขวัญที่ประทับใจผมมาก..........นัทถามราคาคนขาย และจ่ายตังค์.....สี่สิบเก้าบาทคือราคาของมัน.....แต่มันทำให้ผมรู้สึกดีมากที่สุด......สี่สิบเก้าบาทไม่แพงเลยสำหรับการจ่ายเพื่อซื้อความรู้สึกที่ดีๆแบบนี้.......หากแต่เราคงไม่สามารถควักเงินสี่สิบเก้าบาทเพื่อซื้อความรู้สึกแบบนี้ได้ด้วยตัวเอง.....ถ้าหากเค้าไม่เป็นคนซื้อมันเพื่อเรา..........
                       “เอาห้อยที่กุญแจรถแบบนี้ดีมั้ย” ผมถามนัทเมื่อคนขายเดินคล้อยหลังไปแล้ว
                       “พี่กั้งนี่ปัญญาอ่อนจัง อยากทำไรก็ทำสิ” นัทบ่นผมอีกแล้ว.....แต่คราวนี้ทำไมเค้าต้องเขินด้วยนะ.....คงไม่เคยทำอะไรดีๆให้ใครเลยล่ะสิ........

                         เราสองคนหันมาสนใจกับการทานข้าวต่อ......ผมกำลังเริ่มมึนหน่อยๆเพราะฤทธิ์เบียร์.....รู้สึกตัวว่าตอนนี้กำลังเริ่มใส่จริต.....ถึงจะมองไม่เห็นใบหน้าตัวเองในตอนนี้......แต่ผมรู้ว่าแววตาของผมจะต้องหวานเชื่อมมากพอสมควร...........มีคนเคยบอกว่า ตาของผมเหมือนพูดได้ จะโกรธ จะงอน จะเขิน หรือรัก มันแสดงโจ่งแจ้งออกมาทางแววตา.....ผมเองก็ไม่รู้ว่าความจริงที่แท้แล้วเป็นอย่างนั้นหรือไม่.....คงมีแต่นัทเท่านั้นที่จะบอกได้ในคืนนี้.....
นัทไม่ค่อยสบตาผมเท่าไหร่......เค้ายังคงใส่ใจกับการกินอย่างจริงจัง.......นั่นเค้าน้ำตาไหลหรือว่าผมตาฝาดไปเอง.....ผมพยายามเขม้นมอง
                         “เป็นอะไร ทำไมน้ำตาไหลล่ะ” เค้าอาจจะเผ็ดต้มยำก็ได้นะ
                         “ต้มยำมันเผ็ด นัทกินเผ็ดไม่เก่ง” เค้าให้เหตุผล แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าหยุดกินน้ำต้มยำแต่อย่างใด
                         “ถ้ามันเผ็ดก็หยุดกินซะสิ จะกินต่อทำไม” ผมบอกให้นัทหยุดเนื่องจากดูท่าว่าเค้าจะไม่หยุดน้ำตาไหล......ประหลาดคน เผ็ดจนร้องไห้ แต่ก็ยังกิน เกิดมาผมไม่เคยเห็น

                        หลังจากทานข้าวเสร็จเราสองคนขับรถกินลมเล่นไปเรื่อยๆ.......อากาศเริ่มเย็น...แต่ภายในใจรู้สึกอบอุ่น.....มีความสุขจัง
                        “ไปดูหนังที่ห้องกันเถอะ” นัทเอ่ยปากชวนผมไปเช่าหนังเพื่อกลับไปดูดีห้อง
                       “เอาสิ” ผมรับคำ ก่อนจะหักพวงมาลัยมุ่งหน้าไปยังร้านเช้าวีดีโอร้านประจำ.....นัทเลือกหนังอย่างที่เค้าอยากจะดู (พักหลังนี้ผมเลิกเสนอความเห็นเรื่องการเช่าหนังกับเค้าแล้ว”......เราแวะซื้อของกินเล่นสองสามอย่าง......เมื่อกลับมาขึ้นรถ......พอได้ถุงของกินนัทก็ลงมือจัดการทันที....
                       “อ่ะ กินไหม” นัทใช้ไม้จิ้มขนมยื่นมาจะป้อน.....ผมรู้สึกแปลกๆ....เกิดมายังไม่เคยมีใครมาป้อนข้าวป้อนน้ำ......แต่ก็ไม่ได้ขัดศรัทธา.....แบบนี้ค่อยเหมือนแฟนกันหน่อย............ผมขับรถมุ่งหน้ากลับหอด้วยใจเป็นสุข...........วันนี้เป็นวันที่ดีจริงๆ....อย่างน้อยๆนัทก็ทำตัวป็นเด็กดี ให้ผมพอได้ชื่นใจบ้าง......คืนนี้ผมจะใช้เวลาอยู่กับเค้าให้มีความสุขมากที่สุด..........ซึ่งก็หวังเหลือเกินว่าคืนนี้มันจะเป็นอย่างที่ผมปรารถนาจริงๆ..........
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: tor13 ที่ 12-06-2007 10:44:48
มาแย้ว แต่รู้สึกมันจะยึดๆยานๆไปหน่อยน่ะไม่รู้ดิ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 12-06-2007 10:56:07

...........ทำตวเป็นเด็กดี 1 วันเนื่องในวันเกิด.... :laugh: :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 12-06-2007 11:23:08

ถ้าอยากให้มีใครคอยป้อนข้าวป้อนน้ำ  ก็ลองป่วยเป็นอัมพฤกษ์ดูดิ  :laugh:

ปล. ไอ้นัทมันร้องไห้เป็นด้วยหรอ?  ถึกขนาดนั้นอะนะ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 12-06-2007 11:50:13
จะบ้าเรอะ ให้เป็นอัมพฤกษ์......เค้าหมายถึงป้อนแบบสวีทๆอ่ะ....เข้าใจป่ะ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 12-06-2007 19:42:07
นึกภาพสวีทหวาน ๆ ไม่ออกเลยแฮะ  :laugh3: เขาสวีทเป็นด้วยเหรอ  :laugh:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 12-06-2007 21:21:57
 :laugh:  ขำเม้นต์  ก็นะ เป็นวิธีการที่ดี  ลองเป็นอัมพฤกษ์ดู  เผื่อเนทจาใจอ่อนยอมเปิดบ้างเนอะ  o3

ไม่เป็นรายย  เอาใจช่วย  เกือบละ  ค่อยเป็นค่อยไป  เรียนรู้และยอมรับกันและกันไปเรื่อยๆ
ว่าแต่มันจาปิดกันไปอีกนานม้ายยยย

ขอคืนนี้เหอะนะ  :interest:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 13-06-2007 10:55:01
                         นัทดูหนังไทยอีกแล้ว.............ผมไม่ใช่พวกต่อต้านหนังไทยที่มีคุณภาพ.......แต่ถ้าเป็นหนังที่ทำแบบสุกเอาเผากิน ก็ไม่เห็นประโยชน์ที่จะมานั่งดูให้เสียเวลาไปโดยเปล่าดาย...........เนื้อหาของหนังเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตหลังความตาย ของวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งซึ่งบังเอิญประสบอุบัติเหตุรถยนต์ร่วมกัน.......นักแสดงในเรื่องเป็นดาราที่ไม่มีชื่อเสียง.........คงเป็นหนังต้นทุนต่ำกระมัง.....

                        “ศาสนาของนัทก็เชื่อเรื่องชีวิตหลังความตายเหมือนกัน....ใครทำชั่วก็ต้องตกนรกแบบนี้” นัทเปรยขึ้นมาลอยๆ หลังจากที่ดูหนังมาได้ระยะหนึ่ง
                       “จริงเหรอ พี่นึกว่ามีแต่ศาสนาพุทธซะอีกที่เชื่อเรื่องนรกสวรรค์” ......นัทนิ่งเงียบไปชั่วขณะ....ผมไม่อยากจะพูดอะไรที่สะกิดใจเรื่องศาสนาของเค้ามากนัก......จึงไม่ได้ซักถามอะไรต่อ...

                      “พระเอกคนนี้เคยแสดงหนังอาร์นี่” ผมทัก หลังจากที่พิจารณาอย่างถี่ถ้วนดีแล้วว่าเป็นคนๆเดียวกัน
                     “จริงเหรอ พี่กั้งมีแผ่นหรือป่าว” นัทเริ่มหันมาสนใจ.............ผมควรจะเอาออกมาให้เค้าดู หรือควรจะบอกว่าไม่มีดีนะ.........แทบจะไม่ต้องคิดให้เสียเวลา.....ผมเดินไปรื้อแผ่นหนังเรื่องที่ว่าจากลิ้นชักออกมาให้นัทดู

                    “อยากดูหรือเปล่าล่ะ” ผมชูแผ่นหนังที่ว่า แล้วแกล้งถามลองใจ........ซึ่งแน่นอนว่าเค้าจะต้องอยากดู..........แล้วผมจะคอยดูซิว่า ถ้าดูหนังเรื่องนี้แล้ว นัทจะมีอาการยังไง
                    “เปิดสิ” เค้าสั่ง......ผมจึงเดินไปปิดหนังนรกสววรค์ แล้วเปลี่ยนเป็นหนังที่เกี่ยวกับสวรรค์อย่างเดียวแทน.....

                   “ใช่จริงๆด้วย” นัทเห็นพ้องว่านักแสดงหนังทั้งสองเรื่องเป็นคนๆเดียวกัน.....แต่แสดงบทบาทแตกต่างกันอย่างชนิดที่คาดไม่ถึงเลยทีเดียว

                   เค้าตั้งใจดูจนตาแทบไม่กระพริบ............จากท่านั่ง..... ก็เริ่มเปลี่ยนเป็นเอนตัวลงนอน..........แต่ยังไม่มีท่าทีว่าจะสนใจผมแม้แต่น้อย.........แล้วผมจะมัวนั่งทำบื้ออะไรอยู่ล่ะ ก็ในเมื่อหนังเรื่องนี้ ผมดูจนแทบจะจำได้ทุกฉากอยู่แล้ว......ผมเริ่มหันมาสังเกตอาการของนัทอย่างจริงจัง พลางนึกใคร่ครวญอยู่ในใจ........

                    ผมไม่อยากให้ความสัมพันธ์ของเราสองคนหยุดชะงักเพียงแค่เท่านี้......ผมอยากจะก้าวข้ามขั้นไปสู่อีกขั้นหนึ่ง นั่นก็คือการสื่อสารกันด้วยภาษาทางกาย..........ผมกับนัทยังมีช่องว่างระหว่างกันและกันค่อนข้างมาก......ถ้าเราสองคนสามารถเข้าถึงกันและกันได้มากกว่านี้.....ความสัมพันธ์ของเราน่าจะพัฒนาต่อไปในทางที่ดีขึ้น

                    แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อผมเองยังไม่เคยมีความสัมพันธ์ทางกายกับใครมาก่อน......การจะเริ่มต้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย สำหรับผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ และผมเองก็ไม่รู้ว่าตัวนัทเองมีประสบการณ์ในเรื่องอย่างว่ามามากน้อยแค่ไหน......เค้าน่าจะต้องเป็นฝ่ายเริ่มต้นก่อนสิ.......แต่ที่ผ่านมา เค้าก็ปล่อยให้ผมรอมานานพอสมควรแล้ว.....ยังไม่เห็นจะพยายามทำอะไรที่สื่อไปในทางเสน่หาเลยสักครั้งเดียว.......ถ้าหากผมปล่อยให้โอกาสนี้ผ่านไป ก็คงจะน่าเสียดายอยู่ไม่ใช่น้อย.......ก็ในเมื่อเค้าออกเดทกับผมมานานแล้ว ก็ต้องแสดงให้เห็นว่าเค้าพอใจและรู้สึกเสน่หาในตัวผม.....เพราะฉะนั้นมันก็ควรจะถึงเวลาแล้วสิ…….

                   ผมขยับตัวเข้าไปนั่งๆใกล้นัท.....เอนศรีษะลงนอนบนหมอนใบเดียวกัน.........ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ....นอกจากเสียงหายใจที่แผ่วเบาที่ดูเหมือนจะขาดเป็นห้วงๆ........ผมไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองนัทตรงๆ จึงทำเป็นซบนิ่งอ้อยอิ่งอยู่ที่เนินไหล่เนิ่นนาน.........ไม่มีสัญญาณตอบรับ........ดีล่ะ......ผมจะรุกหนักขึ้น.......ค่อยๆใช้มือไล้ไปตามหน้าอกเบาๆ.....ผมสังเกตเห็นถึงอาการการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อบริเวณที่โดนสัมผัส......มันเป็นอาการต่อต้านหรืออาการตื่นเต้นกันล่ะ..........ทุกอย่างก็ยังคงเงียบอีกเช่นเคย.........ผมเงยหน้าขึ้นมอง.........นัทกำลังหลับตาอยู่............จะหลับตาทำไมกัน....อย่าบอกนะว่าง่วง.............หึ.......ผมเลื่อนหน้าเข้าไปประชิดใกล้ๆ ใกล้จนเราสองคนสามารถสัมผัสได้ถึงลมหายใจของกันและกัน.............ดวงหน้าของเค้าดูอ่อนละมุนในยามที่หลับตา......และในที่สุด ผมก็เป็นฝ่ายชนะ.....ความอดทนของนัทขาดสะบั้นลง........แล้วทุกอย่างก็ดำเนินไปตามครรลองของธรรมชาติ.............เนิบนาบ.........นุ่มนวล และเร่าร้อน........ท่ามกลางสายลมหนาวของค่ำคืนในอ้อมกอดของดอยสุเทพ.......

                       “สมใจแล้วสิ” นัทพูดประชด ขณะที่กำลังใส่เสื้อผ้าและจัดให้เข้าที่เข้าทาง
                       “พี่ไม่ได้คิดแบบนั้นสักหน่อย” ทำไมผมต้องมานั่งอธิบายในเรื่องแบบนี้ด้วยนะ......ผมไม่ใช่หรือที่ควรต้องเป็นฝ่ายคร่ำครวญถึงความบริสุทธิ์ที่เพิ่งจะสูญเสียไป
                        “กลับกันเถอะ พรุ่งนี้นัทมีเรียนแต่เช้า” เค้าชวนให้ผมไปส่ง.....ผมจึงลุกขึ้นมาใส่เสื้อผ้าซึ่งก็ไม่รู้ว่าเอาไปกองไว้ไหน..........เป็นครั้งแรกที่ต้องอยู่ในสภาพไร้อาภรณ์ปิดกายต่อหน้าคนอื่น........แต่ทำไมถึงรู้สึกไม่กระดากมากมายอย่างที่เคยนึกเอาไว้นะ.....คงเป็นเพราะว่าเราทำลายช่องว่างนั่นลงแล้วหรือไร......

                       ถนนว่างเปล่าผู้คนด้วยว่าเป็นเวลาค่อนดึก....มีรถจอดติดไฟแดงอยู่เพียงสองสามคัน....นัททำท่าเมินใส่ผม คงเพราะยังกระดากกับเรื่องที่ผ่านมา.........เค้าคงพยายามจะห้ามใจตัวเองมาตลอดว่าจะไม่ยอมให้เกิดอะไรเกินเลยระหว่างเรา....ซึ่งก็ไม่เข้าใจว่าอะไรคือสาเหตุ
                       ผมเอื้อมมือไปเชยคางให้เค้าหันมาสบตา
                      “พี่กั้งจะบ้าเหรอ เดี๋ยวคนก็เห็นหรอก” นัทปัดมือผมออกพลางเอ็ด.....ตลกดี....นี่มันดึกแล้วนะ.....ฟิล์มกรองแสงก็แสนจะมืด.....ใครมันจะมีตาส่องมาเห็นได้

                      ผมไม่ว่าอะไร นอกจากขับรถมุ่งหน้าไปส่งเค้าที่หอตามคำบัญชา.......ช่องว่างระหว่างเรายังไม่หมดลงง่ายๆอย่างที่คิดเอาไว้....นี่ผมต้องทำอย่างไรต่อไปดีล่ะ......
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 13-06-2007 11:05:31

..........เสียจิ้นกันแล้ว........ :laugh: :laugh:

..........คราวหลังส่งเจ๊ไปสอนดีก่า......ประสบการณ์เจ๊สูง..... o3 o3
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Just let it be ที่ 13-06-2007 11:15:29
ทำบ่อยๆ ไง

จ้ากกกกก  คิดไรไปเนี่ย 

ถูกแล้วๆ  ทำบ่อยๆ คือ  รักษาความสัมพันธ์  แล้วค่อยๆ เริ่มทำอย่างอื่นต่อ

ไปเที่ยวอารายเงี้ย  ดีป่าวเนี่ย   :confuse:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 13-06-2007 11:52:23
ถึงจะเป็นของกันและกันแล้ว ... แต่กลับไม่รู้สึกว่า นัทจะยอมรับมากขึ้นเลยนะ  o18
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 13-06-2007 12:01:50
ท่าทางเรื่องนี้จะอีกยาว

ปล.  ถั่ว(นัท)กินอร่อยมะ อิอิ  :laugh:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 13-06-2007 12:10:31
ทำตามหน้าที่ของแฟนไปงั้นแระ...........อิอิ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 13-06-2007 17:05:13
จริงเย้อ  คุณคนเขียน   :haun5:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 13-06-2007 17:55:10
พอกันทั้งคู่เลยอ่า  :o7:
คนนึงก็ฟอร์มจัด  รักษาท่าทีอยู่ไม่ใช่น้อย
อีกฝ่ายนึงก็กลัวความสัมพันธ์จะถูกจับตาจากสังคมรอบข้าง

แต่ก็นะ.... มาถึงวันนี้จนได้ (ดีใจด้วยเน้อ  บรรยายน้อยดิ ไม่ไหวๆ) o3
แต่จะทำยังไงกับความสัมพันธ์นี้ละ ในเมื่อใจอีกฝ่ายยังไม่พร้อมจะท้าทายสายตาจากโลกภายนอกเลย  o7

รออ่านต่อจ้า  :impress:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 14-06-2007 13:59:30
                        กลิ่นลูกชิ้นทอดหอมฉุยลอยเตะจมูก............การที่ต้องทำกับข้าวกินที่ห้องบ่อยๆแบบนี้รู้สึกเกรงใจคนข้างห้องเหมือนกันนะ.........แต่จะทำไงได้.....ในเมื่อมันเป็นทางออกเดียวที่ผมมีอยู่ในตอนนี้นี่นา.........ทำตัวเป็นนกน้อยในกรงทองด้วยความสมัครใจ...............แม้จะสุขบ้างทุกข์บ้างก็ช่างมันเถอะ.....
ผมยกลูกชิ้นทอดไปเสิร์ฟบนโต๊ะ.......ก่อนจะหันมารินรูทเบียร์ใส่แก้ว.............การปรนนิบัติแฟนเป็นหน้าที่ที่ผมคิดว่าสมควรกระทำ มิให้บกพร่อง......นัทรับแก้วรูทเบียร์ไปดื่ม....วันนี้ดูสีหน้าเค้าดูเครียดๆจัง.........ไม่เหมือนทุกวันเลย......

                        “นัทไม่ได้คิดกับพี่กั้งแบบแฟน” เค้าโพล่งออกมาขณะที่กำลังกินลูกชิ้นอยู่…ผมจ้องหน้าเค้านิ่งไปชั่วขณะ
                        “หา.....ว่าไงนะ” ผมไม่แน่ใจว่าที่ได้ยินเมื่อครู่นั้น......ฟังถูกหรือไม่
                       “นัทไม่ได้รักพี่กั้ง.......นัทเป็นแฟนกับผู้ชายไม่ได้” สีหน้าเค้าดูเรียบเฉย....ไม่ยอมสบตา....ขณะที่ผมกำลังตกตะลึงในสิ่งที่ได้ยินโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว
                       “แล้วนัทมาบอกพี่ทำไม” ผมพยายามข่มน้ำเสียงให้ฟังดูเป็นปกติ......แต่ในใจนั้นร้าวรานจนสุดจะทน........เรากำลังจะไปกันได้ด้วยดีแท้ๆ.......แล้วเค้าจะมาพูดให้ทุกอย่างมันแย่ลงทำไม......

                      “นัทอยากจะเลิกกับพี่เหรอ” ผมอยากรู้ว่าจุดประสงค์ของเค้าที่ต้องการจะบอกคืออะไร....หวังว่าเค้าคงไม่ใช่พวกเลือดเย็นที่ชอบมาหลอกให้รักแล้วถึงมาหักอกในภายหลังหรอกนะ
                        “ไม่ใช่แบบนั้น.....นัทแค่อยากบอกให้พี่กั้งรู้เอาไว้ ว่านัทเป็นอย่างที่พี่กั้งหวังไม่ได้” ผมไม่มีอะไรจะพูด....ไม่แม้แต่จะทวงถามถึงสิ่งต่างๆที่ผ่านมาว่าคืออะไร..........แล้วผมเป็นอะไรสำหรับเค้าในตอนนี้........แต่จะถามหาคำตอบไปก็ป่วยการ............ในเมื่อเค้าบอกอยู่โต้งๆแบบนี้แล้ว......ผมคงไม่หน้าด้านไปทวงถามสิทธิงี่เง่าอะไรพวกนั้นให้ต้องได้อับอายซ้ำสอง........

                      “นัทไม่อยากทำร้ายพี่กั้ง นัทรู้ว่าพี่กั้งเป็นคนดี พี่กั้งดีกับนัทมาก แต่นัทเป็นอะไรกับพี่กั้งมากไปกว่านี้ไม่ได้” โฮะ!...............นี่นายกำลังจะบอกว่าระหว่างเรามันเป็นแค่เซ็กส์สินะ
                      “พี่ก็ไม่ได้คิดว่าจะผูกมัดอะไรนัทนี่ เราคบกับไปแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว พอนัทเรียนจบเราก็ต่างคนต่างไปอยู่ดี” เป็นความจริงจากใจผมที่เคยคิดเอาไว้ว่า ระหว่างเราคงจบลงเมื่อนัทสำเร็จการศึกษาและไปจากเชียงใหม่..........แต่เค้าไม่น่ามาพูดเรื่องนี้ให้ผมเสียความรู้สึกเลย.....สิ่งดีๆที่ผมเคยรู้สึกกับเค้าที่ผ่านมามลายหายไปในพริบตา.........
                    “เวลานัทอยู่คนเดียวนัทคิดแต่เรื่องพี่กั้งตลอด พี่กั้งไม่รู้หรอกว่านัทกลุ้มเรื่องพี่กั้งมากแค่ไหน” นี่เค้ากำลังจะพูดอะไรอีกล่ะ............ผมก้มหน้านิ่ง...........ไม่โต้ตอบอะไร.........ไม่อยากให้เค้าเห็นแววตาของผมในเวลานี้..............ผมไม่ต้องการความสงสาร...............
                     “นัทอยากให้เราเป็นพี่น้องกัน ถ้านัทจบไปแล้วนัทอยากกลับมาเจอพี่กั้ง และก็เลี้ยงข้าวพี่กั้งบ้าง” เค้ายังคงพูดต่อไปเรื่อยๆ......ผมรู้สึกหูอื้อ..........พี่น้องเหรอ.....พี่น้องเค้าทำกันแบบนี้น่ะเหรอ.....ผมอยากจะตะโกนใส่หน้าเค้านัก........
                      “ถ้านัทอยากเลิกกับพี่ก็ได้นะ พี่ไม่ว่าอะไร” ผมเหนื่อยมาพอแล้ว..........จะอยู่หรือไปก็ไม่ได้แตกต่างกัน...............ถ้าไม่เต็มใจจะอยู่ก็ไปซะเถอะ.......
                      “นัทไม่ได้หมายความแบบนั้น.....เราก็คบกันแบบเดิมนี่แหล่ะ แต่ถ้าพี่กั้งอยากเลิกนัทก็แล้วแต่”......พูดง่ายดีนี่.............ผมหันหน้าหนี...........น้ำตาเริ่มเอ่อ............พยายามสูดลมหายใจลึกๆ...........ผมจะไม่มีวันแสดงความอ่อนแอให้เค้าเห็นเด็ดขาด............ผมก็มีศักดิ์ศรีเหมือนกัน ถึงแม้มันจะเหลืออยู่น้อยนิดในเวลานี้ก็ตาม...........
                       “พี่กั้งอย่าทำแบบนี้สิ........นัทจะร้องไห้แล้วนะ”................ผมเหลือบตาไปมอง....ด้วยอยากจะรู้ว่าคำว่าจะร้องไห้มันทำให้สีหน้าอวดดีของเค้าเปลี่ยนไปยังไง............นัทกระพริบตาถี่ๆ ทำปากเบะเหมือนคนจะร้องไห้............นี่อย่าบอกนะว่าเค้าเจ็บปวดกับสิ่งที่เค้าได้พูดไปแล้ว.........เค้าทำร้ายความรู้สึกคนอื่นอย่างเลือดเย็นแล้วยังจะมีหน้ามาทำทีว่าเจ็บปวดงั้นเหรอ............
                       “เราเลิกพูดเรื่องนี้เถอะ” ผมตัดบท.........เพราะถึงพูดไปก็มีแต่จะทำให้อะไรๆแย่ลงไปมากขึ้นเรื่อยๆ...............
                      “พี่กั้งยิ้มก่อนสิ อย่าทำหน้าเศร้าแบบนี้ได้มั้ย นะ.....ยิ้มก่อนนะ” เค้าคะยั้นคะยอให้ผมยิ้ม..........จะมีคนบ้าที่ไหนกันที่จะยิ้มออก.......แต่ผมก็บ้าพอที่จะยิ้ม............ไม่ใช่ว่ายิ้มเพื่อเอาใจนัท........แต่ผมยิ้มเพื่ออยากให้อะไรๆต่ออะไรมันจบๆไปซะที............ผมเหนื่อยมาพอแล้ว.........

                       “พรุ่งนี้แม่นัทจะมา นัทคงไปค้างที่บ้านญาติ” .....เค้ากำลังจะบอกว่าเราจะไม่ได้เจอกัน.......คงจะถือโอกาสบอกเลิกกับผมไปในตัว...........แต่ผมไม่มีเรี่ยวแรงจะทัดทานใดๆจึงได้นิ่งเงียบอยู่.........

                         ผมส่งนัทกลับไปแล้ว.............ตอนขากลับแวะซื้อเบียร์ติดมือมาสามขวด...........อยากจะดื่มให้เมาๆไปเลย..........ผมเปิดคลอเบาๆ พลางนั่งนึกทบทวนเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมา...........นี่เค้าจะบอกเลิกผมหรือยังไง..........พยายามจะบีบน้ำตาแบบในหนัง......แต่ทำไมน้ำตามันไหลยากอย่างนี้ล่ะ......มันรู้สึกแต่ว่าปวดร้าวอยู่ภายใน ทำอะไรไม่ได้มากนอกจากนอนครวญคราง.......เหมือนคนเมาเหล้า ที่รู้สึกอยากจะอ้วกแต่ก็อ้วกไม่ออก.....นี่ถ้าอ้วกออกมาได้คงจะโล่งกว่านี้......

                       ผมนอนครวญครางสลับกับดื่มเบียร์และเปิดเพลงอกหักฟังซ้ำไปซ้ำมาจนค่อนดึก....เมื่อโศกเศร้าจนสาแก่ใจ.....จึงค่อยได้สติ..............ในเวลาแบบนี้น่าจะหาที่ปรึกษาสักคน.....ผมจึงยกโทรศัพท์ถึงศิราณีจำเป็น..........ความเป็นจริงแม้เธอจะอยู่ไกลถึงกรุงเทพ..........แต่เธอก็รับรู้เรื่องผมกับนัทมาตั้งแต่เริ่มต้น.......
                      “หนูว่าเค้าก็จริงใจกับพี่นะที่บอกเรื่องนี้ตามตรง ดีกว่าหลอกลวงกัน ที่จริงเค้าเลือกที่จะไม่พูดก็ได้ แค่ทำเป็นเฉยๆ พอเรียนจบก็ต่างคนต่างไป แต่นี่เค้าเลือกที่จะพูดเพราะอยากให้พี่ทำใจให้ได้ ถึงตอนนั้นจะได้ไม่ต้องเจ็บมาก ก็ถือว่าแคร์ความรู้สึกพี่อยู่”...........ศิราณีของผมวิเคราะห์ไปในอีกแง่มุมหนึ่งซึ่งผมไม่เคยมองในมุมนี้มาก่อน........อาจจะจริงของเธอก็ได้........
                     “คนอย่างเค้านี่นะจะนึกถึงจิตใจคนอื่น” ผมพยายามหาข้อโต้แย้ง.....ไม่ใช่เพราะว่าไม่ชอบใจในคำอธิบายของศิราณี.........แต่ผมต้องการเหตุผลให้มากกว่านี้
                     “เค้าคงกลุ้มพอสมควร......พี่ก็คิดดูสิ เวลามีปัญหาพี่ยังระบายกับใครต่อใครได้ แต่เค้าต้องเก็บมันไว้คนเดียว เค้าจะคิดได้กี่แง่มุมกัน ในเมื่อเค้ามีหัวเดียว....ส่วนพี่มีคนให้ปรึกษาตั้งมากมาย.....ไหนจะยังศาสนาของเค้าอีก…..น่าเห็นใจเค้าเหมือนกันนะ” ผมเริ่มอ่อนลง.....ภายหลังจากที่คุยกับศิราณีได้เกือบชั่วโมง............มีเสียงเรียกซ้อนเข้ามา.............
                    “เดี๋ยวก่อนนะมีสายเรียกซ้อน” ผมบอกให้ศิราณีถือสายรอก่อน........แล้วพลิกดูที่หน้าจอมือถือ..........ใครกันนะโทรมาดึกดื่นขนาดนี้ ไม่รู้หรือไงว่าโลกกำลังจะแตกอยู่แล้ว.............นัท...........จะโทรมาทำไมอีก............
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 14-06-2007 14:11:13

..........จะคาดหวังอะไรกับความสัมพันธ์ที่มันไม่ชัดเจนมาตั้งแต่ต้น.... :o11: :o11:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 14-06-2007 14:42:36
รอลุ้นต่อไปจ๊ะ  :undecided:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 14-06-2007 19:00:32
เพิ่งรู้สึกดีกับนัท ก็ตอนที่บอกเลิกกับกั้งนี่แหละ  o8
ลุ้นต่อ อิอิ  o14
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 15-06-2007 10:32:56
                        “ฮัลโหล......เป็นไง” นัทถาม ทำเสียงยานคาง.....เค้าไม่ได้มีวี่แววว่าจะสำนึกผิดเลยแม้แต่น้อย...........นี่คงเป็นวิธีง้อของเค้าล่ะมั้ง.........ประมาณว่าฟอร์มเยอะ.......
                       “มีอะไร” แม้จะดีใจอยู่ลึกๆ แต่ผมก็ยังไม่มีอารมณ์จะเสวนาด้วยน้ำเสียงที่ดูดีกว่านี้ได้แล้ว........
                       “จะโทรมาถามว่าตายหรือยัง” ....โฮะ!.......ยังจะมาปากดีอีกแน่ะ
                       “ยัง.....ทำไมต้องตายด้วยอ่ะ” ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังยิ้ม.....หน้าบาน......อดขำในใจไม่ได้กับวิธีการง้ออันแสนจะกระด้างของเค้า......แต่แปลกที่ผมกลับชอบวิธีแบบนี้........มันบ้านๆดี..........
                       “จะรู้มั้ยล่ะ.....ก็เห็นทำท่ายังกะจะตายอยู่เลยเมื่อตอนเย็นอ่ะ” เค้าเน้นเสียงประชดประชัน..........เชอะ.....ทำมาเป็นพูดดี…………
                      “แล้วนี่อยู่ไหนอ่ะ” ผมเปลี่ยนเรื่องคุย....เพราะไม่อยากพูดเรื่องเดิมให้ต้องขุ่นมัวในอารมณ์อีก....
                      “อยู่บ้านน้า........วันนี้นัทอาจจะนอนที่นี่”
                      “อืม ดีแล้วล่ะ....แม่มาเยี่ยมก็ควรจะไปให้เค้าได้เห็นหน้าเห็นตามั่ง” ผมแสดงความเห็นในแง่บวกต่อแม่ของแฟน
                      “แต่นัทเบื่อ......พวกผู้ใหญ่คุยอะไรกันก็ไม่รู้ อยากกลับไปนอนห้องมากกว่า” เค้าทำท่าบ่นกระปอดกระแปด...........
                      “จะทำอย่างนั้นได้อย่างไง ไม่ดีหรอก” ผมรีบห้าม........ไม่อยากให้เค้าเอาแต่ใจตัวเองจนเกินไป......จนลืมความขุ่นใจไปเสียสิ้น
                      “ไม่รู้ล่ะ ดึกๆนัทคงจะกลับไปนอนที่หอ พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ก็ได้”
                     “ตามใจล่ะกัน” ผมคร้านจะเถียงอีก จึงต้องเป็นฝ่ายยอมอ่อนข้อให้อีกตามเคย.............

                      นัทวางสายไปแล้ว............ความรู้สึกแย่ๆเมื่อครู่ที่มีของผมหายไปจนหมดสิ้น...........แปลกใจตัวเองเหลือเกิน.......เมื่อกี้ทำท่าว่าจะเป็นจะตายอยู่แท้ๆ.........พอเค้าโทรมาหน่อยก็ทำเป็นลืมซะแล้ว.....ไอ้ที่ฟูมฟายไปใหญ่โตเมื่อสองสามชั่วโมงก่อนนั่นล่ะ…..เป็นอันสูญเปล่ากระนั้นหรือ.........เจ็บไม่รู้จักจำนะกั้งเอ๋ย.........ผมเก็บขวดเบียร์ที่เหลือเข้าแช่ในตู้เย็น.....ก่อนจะขึ้นไปนอนซุกผ้าห่มอุ่นบนเตียง........มึนหัวจัง........

                         “พี่กั้ง มารับหน่อย” นัทโทรมาตามผมในบ่ายของวันต่อมา
                        “แม่กลับไปแล้วเหรอ” เวลานี้เค้าควรจะอยู่กับแม่ไม่ใช่หรือไง
                         “กลับไปแล้ว นัทมีกระเพาะปลามาด้วย พี่กั้งช่วยยำให้กินหน่อย” เอาล่ะสิ....เกิดมาไม่เคยกินยำกระเพาะปลาเลยสักหน....แล้วจะทำเป็นมั้ยเนี่ย.........เอาน่าคงทำเหมือนยำปลาดุกฟูนั่นแหล่ะ
                        “เอามาสิ เดี๋ยวพี่ทำให้กิน” ผมรับปาก.......ถึงเค้าอยากจะกินอะไรนอกเหนือไปกว่านี้ ผมก็คงต้องสรรหามาให้อยู่แล้ว............

                        “ไม่เห็นจะอร่อยเลย” นัททำปากแหวะ.....หลังจากที่ชิมยำกระเพาะปลาของผมคำแรก
                        “จะให้อร่อยได้ไง กระเพาะปลาที่นัทเอามาเหม็นหืนจะตาย” ผมเถียง....ก็มันหืนจริงๆอ่ะ........แต่นัทก็กลิ่นจนเกลี้ยงตามเคย........
                        “วันนี้นัทถือศีลวันสุดท้าย” เค้าบอกหลังจากกินข้าวอิ่มแล้ว
                        “ช่วงนี้ถือศีลเหรอ ทำไมพี่ไม่เห็นรู้เลย” จะว่าไปแล้ว.......พักหลังนี้ผมเจอนัทแค่ในช่วงเย็นเท่านั้น จึงไม่ค่อยได้สังเกตเลยว่าช่วงกลางวันเค้าต้องอดอาหาร..........มิน่าล่ะ.....พอตกเย็นทีไร เห็นกินข้าวยังกะตายอดตายอยากมาทุกที.......
                       “ถ้าศีลขาดในวันไหนก็ต้องถือเพิ่มตามจำนวนวันที่ขาด” เค้าอธิบายต่อ.........ลำบากจังเนาะ ต้องอดอาหารด้วยเหรอนี่................

                       คืนนี้นัทนอนค้างที่นี่.......เค้าไม่ได้บอกแต่แรกว่าจะค้างหรือไม่ค้าง............แต่แค่ดู ผมก็รู้แล้วว่าคืนนี้เค้าไม่กลับ........เค้าไม่ยอมอาบน้ำ พอดูหนังเสร็จก็ผล็อยหลับไปเลย........ผมจึงลุกขึ้นไปปิดไฟ.......คลี่ผ้าห่มออกมาคลุมให้....ก่อนจะเอนตัวลงนอน............อดไม่ได้ที่จะเหลือบตาไปมอง.......เสียงหายใจสม่ำเสมอแผ่วเบาแสดงว่าหลับไปแล้ว
                       เค้านอนในท่าตะแคงหันหลังมาทางผม.........ดูจากท่านอนแล้วรู้สึกว่าระวังตัวจัง............ผมไม่ชอบให้เค้านอนหันหลังให้แบบนี้เลย.........มันดูแห้งแล้งยังไงพิกล..........อยากจะเอื้อมมือไปกอด...........คงจะพอแก้ความหนาวเหน็บในค่ำคืนนี้ได้ไม่น้อย.............พลันมือผมก็เอื้อมไปดังที่ใจปรารถนา..................ค่อยๆวางลงบนเอวเบาๆ.......ก่อนจะสอดเข้าไปเกาะกุมที่พุงหยุ่นๆ......กระชับให้แน่นขึ้น...........แล้วขยับตัวเข้าไปประชิดเพื่อสัมผัสความอบอุ่นจากแผ่นหลังกว้าง..............รู้สึกดีจัง........ยังไม่ทันที่จะได้รับไออุ่นให้สมใจอยาก..............นัทแกะมือผมออกจากการเกาะกุม แล้วขยับตัวหนีออกไปนอนชิดที่ขอบเตียง...................ผมพลิกตัวกลับมาที่ริมเตียงอีกข้างด้วยความร้าวรานใจ.....ทำไมเค้าต้องทำแบบนี้.......ก็ในเมื่อเค้าก็ดูเหมือนจะชอบผมเช่นกัน................แล้วทำไมเค้าถึงไม่ยอมให้ผมกอด......ผมมีอะไรน่ารังเกียจหรือยังไง.......ถ้าจะเอาแบบนั้นก็ได้..............งั้นเราก็เลิกคบกันเสียดีกว่า.........ผมพยายามข่มตานอนทั้งที่ภายในใจนั้นสุดแสนจะเจ็บปวด........ผมรักเค้า.....แต่ในเวลาเดียวกันผมก็เกลียดเค้า............

                      “พี่กั้งไม่รู้เหรอว่าศาสนาเค้าห้ามไม่ให้มีเพศสัมพันธ์ในช่วงถือศีล ไม่งั้นจะศีลขาด” ศิราณีแสดงความเป็นผู้ทรงภูมิเมื่อผมโทรไประบายปัญหาหัวใจเช่นเคย
                     “จริงเหรอ เธอไปเอาข้อมูลพวกนี้มาจากไหน พี่ก็นึกว่าเค้าแค่อดอาหารอย่างเดียวซะอีก” ก็ผมรู้มาแค่นี้จริงๆอ่ะ
                     “ก็เหมือนพวกเราบวชพระแหล่ะพี่.....จะทำผิดศีลได้มั้ยล่ะ หนูถามเพื่อนที่ถือศาสนาเดียวกับเค้าให้แล้ว” ศิราณียังคงยืนยันต่อด้วยความมั่นใจ โดยอ้างถึงแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้
                     “อ้าวเหรอ” ผมรู้สึกดีขึ้นที่ได้รู้ความจริง......ตลอดเวลาที่คบกันผมต้องคอยหาข้อแก้ต่างดีๆให้เค้าเสมอ.......แต่มันก็ไม่ทำให้ผมสบายใจได้อยู่ดี............รอดูต่อไปอีกสักระยะก็แล้วกัน เค้าออกจากช่วงถือศีลแล้วนี่............คอยดูซิว่าจะทำเหมือนเดิมอีกมั้ย.......ถ้าทำแบบนี้อีก คราวนี้คงต้องเลิกกัน.............เพราะไม่รู้จะคบกันต่อไปทำไม.....ในเมื่อเค้ามีข้อแม้เยอะแยะมากมายจนผมแทบจะทนรับไม่ไหวแล้วนะ........
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 15-06-2007 11:13:46

..........คุณกั้งยังไม่ยอมแพ้..... o3 o3
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 15-06-2007 11:19:53
ยังไม่ยอมแพ้หรอก จนกว่าจะหมดแรงไปซะก่อน....อิอิ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 15-06-2007 14:00:28
เขียนได้ผิดหวังมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

บอกตรงๆ

เสียแรง.....
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 15-06-2007 15:10:17
เสียแรงไรจ้ะ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 15-06-2007 18:48:05
นึกว่าจะถอดใจซะเเล้ว  :o9:

เอวใจช่วยให้สำเร็จนะ สู้ สู้  o13
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 15-06-2007 18:59:10
 :o11: ทั้งรักและทั้งเกลียด  :undecided:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 16-06-2007 15:43:45
ใจมันพร้อมจะรัก  ต่อให้มีข้อเสียมากยังไง
ก็ยังพร้อมจะเข้าใจเค้าอยู่ดี

รออ่านต่อนะ  ว่าเหตุผลที่ว่านะมันจริงเหรอ  o15
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 16-06-2007 23:02:54
ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 18-06-2007 07:29:22
                        “พี่กั้งอาบน้ำด้วยกันมั้ย” นัทโผล่หน้าออกมาร้องเรียกจากในห้องน้ำ .......เกิดเพี้ยนอะไรขึ้นมาอีกล่ะ...........พักหลังนี้เค้าทำตัวดีขึ้นผิดหูผิดตา...........ผมจึงลืมเรื่องที่เค้าเคยไม่ยอมให้กอดในคืนนั้นเสียสนิทใจ..............มันก็คงจะจริงอย่างที่ศิราณีพูดกระมัง.............เค้าถือศีลอยู่จึงอาจจะไม่อยากยุ่งกับผมก็ได้...........ตอนนี้ก็พ้นช่วงถือศีลมาแล้ว บรรยากาศเลยผ่อนคลายมากขึ้น........
                       ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยอาบน้ำร่วมกับใครเลย......น่าสนุกดีเหมือนกันนะ........แทบจะไม่ต้องรอให้ถูกเรียกเป็นซ้ำสอง.................ผมรีบถอดเสื้อผ้าถลาไปยังห้องน้ำทันที......................

                      รู้สึกเขินอยู่หน่อยๆเหมือนกันนะ แต่ระหว่างเราสองคนคงไม่มีอะไรให้ต้องอายอีกแล้วมั้ง เพราะต่างฝ่ายต่างก็เห็นทุกซอกทุกมุมของกันและกันจนหมดแล้วนี่...............เมื่อพ้นประตูห้องน้ำเข้าไป..........ผมเห็นนัทกำลังยืนสระผมอยู่ในสภาพเปลือยเปล่า..............
                        “มานี่ นั่งลงสิ เดี๋ยวพี่จะสระผมให้” ผมออกคำสั่ง.........นัทเอื้อมมือไปปิดฝาชักโครกแล้วนั่งลงอย่างว่าง่าย.....ปล่อยให้สระผมให้เหมือนเด็กๆ......
                       “อย่าขยี้แรงสิ มันเจ็บ” เค้าทำเสียงประท้วง เมื่อผมลงแรงขยี้หนักจนเกินไป.......
                      “อ่ะเสร็จแล้ว ลุกขึ้น เดี๋ยวจะถูสบู่ให้”  ผมหันไปหยิบสบู่มาฟอกให้นัทตามลำตัว ตั้งแต่ลำคอไล่ลงมาถึงปลายเท้า
                      “ทำไมเท้าดำจัง เหมือนคนไปทำนามาเลย” ผมแกล้งแซว.....แต่มันก็ดำจริงๆนั่นแหล่ะ.....เหมือนคนไม่ค่อยได้ล้างเท้ากระนั้น........ผมย่อตัวลงฟอกสบู่ที่เท้าและออกแรงขัดเบาๆ........นึกถึงสมัยยังเป็นเด็ก เวลาที่แม่อาบน้ำให้ทีไรจะชอบขัดที่เล็บเท้าแรงๆเพื่อขจัดคราบสกปรกตามซอกหลืบ.........ผมอยากทำให้นัทแบบนั้นมั่ง..............
                    “โอ้ยเจ็บ ถูเบาๆหน่อยสิ” นัททำเสียงงอแง.......การที่เค้ายอมให้ผมปรนนิบัติโดยดีแบบนี้ทำให้ผมรู้สึกมีความสุขมาก...............รู้สึกเหมือนเราเป็นแฟนกันจริงๆเลย.......
                    เราผลัดกันอาบน้ำให้กันและกันจนพอใจ..................
                    “มานั่งตรงนี้ เดี๋ยวพี่จะเป่าผมให้” ผมหยิบดรายเป่าผมขึ้น พลางกวักมือเรียกนัทให้มานั่งใกล้ๆ............ผมเค้านิ่มมือดีจัง...........ผมบรรจงหวีอย่างแผ่วเบา.................
                  “อ่ะ นอนลงสิจะได้ทาแป้ง” หุหุ.....สนุกดี.........เล่นเหมือนเด็กๆเลย..............นัทนอนหงายลงบนเตียงทั้งที่ร่างกายเปลือยเปล่า............ผมค่อยๆเทแป้งลงบนตัวเค้าก่อนจะลงมือละเลงทาไปทั่วทุกซอกมุม................
                  “เสร็จแล้ว ไปใส่เสื้อผ้าได้” ผมจูบที่หน้าผากเค้าเบาๆ  ก่อนจะปล่อยให้ไปหาเสื้อผ้าใส่..........เหมือนมีลูกน้อยเลย.............แต่มันก็เป็นมุมที่กุ๊กกิ๊กดีนะ........ในเวลาที่อยู่กับสังคมภายนอกคนเรามักจะทำตัวให้ดูเป็นผู้ใหญ่ วางมาดน่าเชื่อถือ............แต่ไม่ว่าใครก็ย่อมต้องมีมุมที่เป็นเด็กอยู่.........ดังคำที่ว่าผู้ใหญ่ก็คือเด็กที่ตัวโต............การที่มีใครสักคนไว้ให้เราได้ทำตัวเป็นเด็กๆที่ไม่ได้เรื่องได้ราว.............อยู่กับเราในมุมปัญญาอ่อนซึ่งคนอื่นๆไม่สามารถเข้าถึงได้.....มันเป็นความรู้สึกที่เยี่ยมจริงๆ.............ผมคิดว่านัทเองก็คงรู้สึกแบบเดียวกัน.........เวลาที่เรามีปัญหากันทีไร.......เราสองคนมักจะกลับมารอมชอมและทำตัวสวีทกันแบบนี้ทุกที...........มันเหมือนเป็นการชดเชยสิ่งแย่ๆที่นัทได้ทำกับผม.............แต่ผมเชื่อว่าผมจะต้องเปลี่ยนทัศนะคติของเค้าให้ได้สักวัน............ตราบใดที่เค้ายังไม่หนีไปไหน.............ผมก็จะพยายามทำจนสุดความสามารถ.........คำว่าน้ำหยดลงบนหิน ถึงแม้อาจจะฟังดูเชย แต่มันคือความจริง..........ผมเชื่อแบบนั้น.....เว้นเสียแต่ว่าเค้าจะเป็นฝ่ายบอกลา และจากไปเสียเอง..............


                      “หวัดดีครับพี่กั้ง” เจเข้ามาทักในเอ็มเอสเอ็นระหว่างที่ผมกำลังนั่งทำงานในช่วงบ่ายของวันหนึ่ง
                     “เป็นไงเจ ไม่ได้เจอกันซะนานเลย” ผมทักตอบไปตามมารยาท.........เจกับผมมีประวัติร่วมกันมายาวนาน......ผมเคยคลั่งไคล้เค้าอยู่พักหนึ่งตั้งแต่สมัยก่อนไปเมืองนอก...............แต่ดูเค้าดูเล่นตัวจนเกินไป........ชอบทำตัวเรื่องมาก.....ลูกล่อลูกชนแพรวพราวจนจับไม่ติด..............เดี๋ยวเข้ามาใกล้ชิด ประเดี๋ยวก็ถอยออกห่าง.........มันจะยากอะไรกันนักหนา สมบัติกะอีแค่คนเราจะชอบกัน.....ชอบก็บอกว่าชอบ.....ไม่ชอบก็ไม่ต้องมาเสียเวลา..........เรื่องมันง่ายนิดเดี๋ยว แต่เค้าทำให้มันดูยุ่งยากไปเสียหมด.......เราชิงไหวชิงพริบกันได้ระยะหนึ่ง..........โดยต่างฝ่ายต่างไม่มีใครเพลี่ยงพล้ำ...................จนผมเบื่อและยอมรามือไปเองในที่สุด..........ผมเป็นประเภทไม่เสียเวลากับสิ่งที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริงอยู่แล้ว..............และนี่เค้าคงจะได้ข่าวว่าผมมีแฟนแล้วล่ะสิ ถึงได้เข้ามาคุยด้วยในวันนี้............
                      “ได้ข่าวว่ามีแฟนแล้วเหรอ” นั่นไงล่ะ...........เป็นอย่างที่ผมคิดเอาไว้ไม่มีผิด.....
                      “ใช่ เค้าเป็นนักศึกษาแพทย์ปีสุดท้าย” ผมถือโอกาสอวด........คนอย่างกั้งไม่ได้สิ้นไร้ไม้ตอกหรอกนะบอกให้..........มีแฟนเรียนหมอเชียวนะ ดีกว่านายตั้งเยอะ..........ผมแอบยิ้มเยาะอยู่ในใจ.......
                     “เหรอ ไปหามาจากไหนล่ะ” เจซักต่ออย่างสนอกสนใจ..........สงสัยจะเสียดายที่ผมหลุดมือล่ะสิ.......ช่วยไม่ได้ อยากชักช้ายืดยาดเอง........
                    “อ๋อ......ค้าเป็นรุ่นน้องของเพื่อนน่ะ” ผมโกหกอีกแล้ว........ผมเล่าที่มาจอมปลอมระหว่างผมกับนัทให้ใครต่อใครฟังอย่างคล่องปาก.............จนบางครั้งทำให้ผมหลงเชื่อไปจริงๆว่า เราสองคนเจอกันเพราะเค้าเป็นรุ่นน้องของเพื่อน..............
                  “ดีจัง น่าอิจฉา พามาให้รู้จักมั่งสิ”ผมรู้ว่าเค้าทำท่าอิจฉาพอเป็นพิธีไปยังงั้นแหล่ะ..........คนอย่างเค้าไม่ชอบเห็นใครมีความรักหรอก........ขี้อิจฉาจะตาย.........เค้าต้องหาทางมาป่วนจนได้........ถ้าจะเป็นอย่างนั้น คงต้องลองดูกันสักตั้ง งานนี้ไม่ใครก็ใครต้องเป็นฝ่ายเจ็บสักทาง.........ผมจะสอนบทเรียนแห่งความพ่ายแพ้ให้เค้าเอง.........
                    “มาตีแบดด้วยกันมั้ยล่ะ” ผมเริ่มวางหมาก.........
                        “เอาสิ ไม่ได้ออกกำลังกายนานแล้ว” หึ.....อย่ามาตอแหล.....ฉันรู้หรอกว่านายอยากมาป่วน..........เค้าหุบเหยื่อและเดินมาตามหมากที่ผมวางเอาไว้............การที่ให้เค้ามาตีแบดด้วยมีประโยชน์สองสถาน......ประการแรก..........ผมจะใช้เค้าเป็นตัวกระตุ้นให้นัทแสดงความรู้สึกที่พยายามข่มไว้ในใจออกมา............ความรู้สึกหึงหวงเนื่องจากการคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าของยังไงล่ะ..............ประการที่สอง............ผมจะตอบแทนเค้าให้สาและสะแก่ใจด้วยการทำให้เค้าเห็นว่า ผมไม่ได้สนใจเค้าอีกต่อไปแล้ว...........เลิกลำพองตัวซะทีเถอะ....เค้าเป็นเพียงแค่อะไรบางอย่างที่ผมไม่เอาไงล่ะ.....น่าสนุกดีไม่หยอก......เค้ารนหาที่เองนะ ช่วยไม่ได้.....
                      “ถ้างั้นพรุ่งนี้หกโมงเย็นเจอกันนะ” ผมบอกเวลานัด..........ภายในใจเต้นระส่ำด้วยความรู้สึกสนุกในเกมส์ที่เพิ่งคิดขึ้นมาได้สดๆร้อนๆ...........งานนี้ต้องมันส์แน่ๆ.....

                     “ว่าไงนะ พี่กั้งนัดเจไปตีแบดด้วยเหรอ” น้องพรทำท่าตกใจเมื่อได้ยินผมเล่าถึงแผนการตีแบดในวันพรุ่งนี้
                    “ทำไมล่ะ ไปกันหลายๆคนก็สนุกออก” ผมให้เหตุผล....น้องพรเอียงคอ....หรี่ตามองผมเพื่อค้นหาความจริง.........ผมยักไหล่ ทำท่าเมินมองไปทางอื่น.....
                    “บอกมาก่อนว่าพี่กั้งจะทำอะไร พี่กับเค้าไม่ได้เจอกันตั้งนานแล้วนี่” น้องพรคาดคั้นเอาความจริง.........หล่อนเป็นคนที่เห็นการเริ่มต้นของผมกับเจตั้งแต่แรก............เรื่องมันก็เกิดขึ้นที่สนามแบดอีกนั่นแหล่ะ............วันนั้นเราไปตีแบดกันสามคน..........มีผม น้องพรและก็เพื่อนสาว.........เจมากับเพื่อนของเค้า.........เนื่องจากว่าเราขาดคนเล่น น้องพรจึงอาสาไปเรียกเจและเพื่อนของเจมาเล่นกับพวกเรา เพราะถึงยังไงเค้าก็ไม่ได้จองคอร์ทเอาไว้.........เจมาแต่โดยดีแต่เพื่อนเค้ามีท่าทีอิดออด.........ตั้งแต่นั้นมาเราก็ได้มาตีแบดด้วยกันเสมอๆ..............ผมเป็นฝ่ายเริ่มจีบเค้าก่อน.........เราไม่ได้คบกันอย่างเป็นทางการ........เนื่องจากเจมีอะไรหลายอย่างที่ไม่โปร่งใส.........เค้าทำเหมือนความสัมพันธ์ระหว่างเราเป็นเรื่องเล่นๆ..........แต่ผมไม่ชอบคบใครเล่นๆ........เมื่อเวลาผ่านมาได้ซักระยะ ผมจึงเลิกสนใจเค้าไปโดยปริยาย...........
                     “พี่จะไปมีปัญญาทำอะไรเค้าได้ ก็ถ้าเค้าอยากมาพี่ก็แค่ชวนเค้ามา มันก็เท่านั้น”....เหมือนงูกับไก่ที่รู้เช่นเห็นชาติกันดี.....เราสองคนไม่ต้องอธิบายอะไรมาก.....น้องพรพยักหน้าหงึกหงัก.........หล่อนเข้าใจแผนที่ผมคิดโดยที่ไม่ต้องอธิบายให้เปลืองน้ำลาย...........

                       “พรุ่งนี้เราไปตีแบดกันนะ” ผมบอกนัทระหว่างทานอาหารเย็น
                       “มีใครไปมั่ง” นัทซักไซ้........เค้าไม่มีปัญหาเรื่องไปไหนมาไหนกันเป็นกลุ่ม.........มันคงทำให้รู้สึกปลอดภัยจากการโดนเพ่งเล็งมั้ง.....
                      “ก็กลุ่มเดิม และก็มีเจมาเพิ่มอีกคน” ผมบอก.......ก่อนจะทิ้งปริศนาเอาไว้ในน้ำเสียงเมื่อกล่าวถึงเจ.............

                      ผมเห็นเจนั่งรออยู่ในสนามแบดก่อนแล้ว เมื่อพวกเรามาถึง...........วันนี้เป็นวันรวมกิ๊กและแฟนปัจจุบันของผม.........มีปอหนุ่มที่ไม่ยอมคบกับผมเพราะเหตุผลทางศาสนา........เจ กิ๊กเก่าที่เล่นตัวมากเกินไปจนน่าเบื่อ (คงคิดว่าตัวเองวิเศษนักหนากระมัง) และนัทคนเจ้าอารมณ์และชอบเอาแต่ใจ.....ที่ขาดไม่ได้คือน้องพรตัวช่วยที่สำคัญในทุกสถานการณ์.....
                      “หวัดดีครับพี่กั้ง” เจเดินรี่เข้ามาทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม...........ผมแนะนำนัทและปอให้เจรู้จัก.......สถานการณ์เริ่มส่อเค้าอึมครึม.............จากรูปการณ์แล้วผมอาจดูเหมือนคนมักมากหลายใจ.......แต่ความจริงหากจะถามผมสักคำโดยไม่รีบด่วนตัดสินจากภาพที่เห็นภายนอกเสียก่อน จะรู้ว่ามันไม่ใช่อย่างนั้นเลยแม้แต่น้อย.............ถ้าจะถามถึงในใจของผมตอนนี้ ผมมีเพียงนัทคนเดียวเท่านั้น.........โดยเนื้อแท้แล้วผมไม่ใช่คนหลายใจ.......ถ้าลงได้ตัดสินใจเลือกใครสักคนแล้ว เอาคอเป็นประกันได้เลยว่าผมจะไม่มีวันนอกใจเค้าโดยเด็ดขาด.........เพื่อนสนิททุกคนต่างลงความเห็นว่าผมเป็นคนดูมารยา......ลีลายั่วยวนเจนจัดชั้นเซียน.....ยากนักที่คนภายนอกจะรู้ได้ว่า จริงๆแล้วผมมีทัศนะอย่างไรหากไม่ได้เข้ามาสัมผัสให้ลึกซึ้ง........
                     “ความที่ดูแพรวพราวมากชั้นเชิงคงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้แกขึ้นคาน” นี่เป็นคำวิจารณ์อย่างตรงไปตรงมาของกูรูทั้งหลาย........ประการที่หนึ่งก็คือการที่ผมดูแพรวพราวจนเกินไปจะเป็นการสกัดคนดีๆที่อาจจะสนใจเราออกไปตั้งแต่ยังไม่ทันได้เข้าศึกษานิสัยใจคอ........ประการที่สองคนประเภทที่ชอบความแพรวพราวดังกล่าวเมื่อเข้ามารู้จักตัวตนที่แท้จริงอันแสนจืดชืด สนิมสร้อยที่ซ่อนอยู่ก็จะหนีหายเข้ากลีบเมฆไปโดยพลัน.....สรุปแล้วเป็นกั้งนี่ไม่มีอะไรดีสักกะอย่างเดียว..........ผมก็แค่อยากเจอใครดีๆที่จริงใจจะเข้ามาคบหาเหมือนคนอื่นๆนั่นแหล่ะ.....แล้วทำไมอะไรต่ออะไรสำหรับผมมันถึงได้ยากจังล่ะ..........

                     ในฐานะที่เจเป็นแขกที่มาทีหลัง ผมจึงให้เกียรติตีคู่กับเค้า ในขณะที่น้องพรตีคู่อยู่กับนัท....เจเล่นแบดได้ไม่ค่อยดีนัก.......ผมจึงต้องเหนื่อยแรงมากกว่าปกติ..........สถานการณ์ยังไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง......ผมสังเกตว่านัทชอบตีใส่เจแรงๆ.....ในขณะที่เจเองก็ไม่ยอมแพ้เช่นกัน..........เอ....หรือว่าผมจะคิดเข้าข้างตัวเองมากเกินไปเนี่ย....อิอิ.....

                      ระหว่างพัก....ผมเดินไปเข้าห้องน้ำ.........น้องพรรีบวิ่งรี่ตามมากระซิบกระซาบทำปากยื่นปากยาว....
                     “พี่กั้งๆ ตอนที่น้องตีคู่กับไอ้นัทนะ น้องยุมันด้วยว่าพี่กั้งกับเจเล่นเข้าขากันดีเนาะ”  ผมหยุดชะงักฟังอย่างตั้งใจ.....ทำงานได้อย่างใจผมจริงๆ.....ขนาดไม่ได้เตี้ยมกันไว้นะเนี่ย.....
                    “เหรอ แล้วเค้าว่าไงล่ะ” ผมทำเป็นไม่อยากรู้....
                   “มันก็บ่นพึมพำคนเดียวว่าเดี๋ยวโดนๆ ทำนองนี้แระ น้องเงี่ยหูฟังได้ยินพอดี” หล่อนคงมัวแต่เงี่ยหูฟังจนไม่เป็นอันตี
แบดสินะ.....อิอิ
                  “แล้วน้องก็ยุมันต่อว่าทำไมไอ้เจชอบตีใส่นัทแรงๆ ไอ้นัทมันก็เลยว่าจริงหรือพี่ เดี๋ยวเถอะมึงๆ เล่นมันมั้ยพี่ เล่นมันมั้ย” น้องพรเล่าพลางหัวเราะทำท่าชอบใจ
                  “เหรอ....ประสาท” แม้จะทำท่าว่าเรื่องที่ได้ยินเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ลึกๆแล้วผมรู้สึกสาแก่ใจนัก........... 

                      เรากลับมาเล่นต่อหลังจากพักเหนื่อยได้ครู่หนึ่ง………….
                  “อือหื้อๆ พี่กั้งลีลาสวยยยย” เจเดินเกร่เข้ามาส่งเสียงแซวอยู่ข้างสนามระหว่างที่ผมกำลังตีกับคนอื่นๆ.............เริ่มแล้วสินะ.....ผมคิดในใจ...........ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเค้ากำลังคิดจะทำอะไรอยู่......ผมไม่โต้ตอบใดๆ.........ตามน้ำน่าจะดีกว่าไม่ใช่หรือ......
เจพยายามทำตัวเหมือนสนิทสนมกับผมจนออกนอกหน้า.....เค้ายังคงนั่งอยู่ที่ขอบสนาม....พูดและก็พูดไม่หยุด..........นึกรำคาญอยู่เหมือนกัน แต่ผมจะไม่ยับยั้งเค้าหรอก.......เพราะผมเองก็อยากให้เค้าทำแบบนี้อยู่แล้ว..........
                     
                          “เจเข้ามาตีสิ เดี๋ยวพี่จะนั่งพักก่อน” ผมบอกให้เจเข้ามาเล่นแทน.........เจเข้าไปตีคู่กับปอส่วนนัทตีคู่กับน้องพร............เกมส์เริ่มต้นขึ้นอย่างดุเดือด..........ผมรู้ว่าทั้งเจและนัทต่างฝ่ายต่างพยายามชิงไหวชิงพริบกันอยู่.............นัทคอยพูดจาเยาะเย้ยถากกางเจต่างๆนานา..........แต่ในขณะเดียวกันเจเองก็ตอบโต้ตามสไตล์นิ่มๆของเค้า............ตลกดี...........ผมจะปล่อยให้เค้าสนุกกันโดยที่ไม่เข้าไปมีส่วนร่วมจะได้ยังไง.........ผมจึงเดินเข้าไปยืนที่ขอบสนาม........
                   
                    “ทำไมไม่รับอ่ะ” นัทตะโกนส่งเสียงเย้ยเจ............ทั้งๆที่ตัวเองตบลูกออกไปนอกสนามตั้งวา
                    “ลูกออกตั้งวา ใครรับก็โง่แล้ว” ผมยื่นปากเข้าไปสอด
                    ปอเดินไปเก็บลูกกลับมาเสิร์ฟใหม่.............และโดยที่ทุกคนไม่ทันได้คาดฝัน............นัทตบลูกผัวะมาที่ผมอย่างแรง............ผมขยับตัวหลบ.............ไม่พูดอะไรนอกจากหัวเราะแล้วเดินกลับไปที่นั่ง.............อิอิ สะใจจริงๆ............หึงจนเก็บอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่เลยเหรอเนี่ย..........ทำตัวยังกะเด็กๆ......
                        เรื่องสนุกๆแบบนี้จะปล่อยให้จบไปง่ายๆได้ยังไง............หลังจากที่กลับมานั่งดูอยู่ห่างๆ ผมจึงเดินกลับไปที่ขอบสนามใหม่อีกรอบ.........หุหุ...........แกล้งยั่วให้โมโหอีกดีกว่า..............ไม่ทันที่ผมจะได้ทำอะไรด้วยซ้ำ.......แค่เดินไปยืนที่ขอบสนามเฉยๆ........นัทก็ตบลูกขนไก่มาใส่ผมอีกครั้งคราวนี้แรงกว่าเดิม............ทุกคนในสนามตกตะลึงซ้ำสองกับพฤติกรรมดังกล่าว.............
                      “บ้าเอ๊ย” ผมบ่นเบาๆ ก่อนจะเดินออกมาแอบยิ้มอยู่คนเดียว...........อยากจะด่าอยู่เหมือนกัน............แต่จะด่าไปก็รังแต่จะอายคนอื่นเค้าเปล่าๆ สู้สงบปากสงบคำเอาไว้จะดีกว่า..........

                         ขากลับจากเล่นแบดผม นัทและน้องพรขับรถเลยไปกินข้าวเย็นกันต่อ............รถเคลื่อนมาหยุดตรงสี่แยกระหว่างที่สัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีแดง
                       “อ้าวนั่นเจนี่” น้องพรชี้ไปยังรถจักรยานยนตร์ที่จอดรอสัญญาณไฟอยู่ข้างๆ……..
                       “เจๆๆ” นัทเลื่อนกระจกลงก่อนจะตะโกนทัก พลางทำหน้าตาล้อเลียนหัวเราะชอบใจ.........เชื่อเค้าเลย.............เด็กจริงๆ..............ผมเห็นสีหน้าเจสลดวูบลง หุบเหลือเพียงแค่สองนิ้ว............ไม่เห็นจะสดชื่นดูเจ้าแผนการเหมือนเมื่อครู่นี้เลย.............ลิ้มรสความพ่ายแพ้แล้วสินะ...............ผมตวัดสายตาเหลือบมองเจเพียงแวบเดียวก่อนจะใส่เกียร์ขับรถพุ่งออกไปเมื่อสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว........ทิ้งเค้าเอาไว้เบื้องหลังกับความรู้สึกอย่างไรนั้นผมก็สุดจะคาดเดา.........รู้แต่ว่าคงไม่ใช่ความรู้สึกมีความสุขแน่ๆ.....
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 18-06-2007 11:48:21

............ณ ตอนนี้ก็อยู่ดีมีวามสุข........

............แล้วทำไมต้องหาเรื่องมาใส่ตัว.......... :undecided: :undecided:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 18-06-2007 12:07:44
ไอ้นัทมันน่ารักดีเนาะ

ว่าแต่  คุณพี่นะ-ดอก-ไม้จังเลยเนาะ

เอาฉายา...ประดิษฐ์...ไปใช้หน่อยไหมเคอะ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 18-06-2007 13:21:09
ดอกตรงไหน....ใส่ร้ายกันชัดๆ......หุหุ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 18-06-2007 14:19:25
ความรักไม่ใช่เกม
 m3
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: tor13 ที่ 18-06-2007 15:23:00
 o16เห็นด้วยกับรีบนว่าไม่ใช่เกม m4 m4
แต่ถ้ามีอะไรที่น่าตื่นเต้นก็น่าลองน่ะจะได้ไม่จืดชืด :teach: :teach:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 18-06-2007 17:15:45
ไม่ได้คิดว่าเป็นเกมส์สักหน่อย...........คุณ Blue น่ะ ชอบมองโลกในแง่ร้าย.............คิดแต่ว่าตัวเองรู้จักความรักอยู่คนเดียวรึไง
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 18-06-2007 17:23:05
แก่นเซี้ยวนะเคอะคุณพี่
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 18-06-2007 19:03:17
 :เฮ้อ: ถ้าคุมสถานการณ์ไม่อยู่ ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง  :undecided:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 18-06-2007 21:40:39
คุณพี่นี่ช่างคิดยอกย้อนจริงๆ
ซับซ้อน  การกระทำไม่ตรงกับใจ  เป็นแฟนคุณพี่นี่เหนื่อยเหมือนกันนะเนี่ย 
ไม่ธรรมดาๆ อิอิ  แต่ก็น่ารักดีนะ (ถ้าได้อ่านความคิดนะ)  :laugh3:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 19-06-2007 08:16:10
                         อาทิตย์หน้านัทก็จะออกไปฝึกงานที่โรงพยาบาลชุมชนแล้ว คิดเรื่องนี้ขึ้นมาทีไรก็พาลจะหายใจไม่ทั่วท้องเอาเสียดื้อๆ.........ช่วงที่ผ่านมาเราสองคนตัวติดกันตลอด...........แม้ว่าความสัมพันธ์จะยังไม่ชัดเจนนักสำหรับนัท............แต่สำหรับผมแล้วเค้าคือสิ่งเดียวที่มีค่ามากที่สุดในขณะนี้...........ดังนั้นช่วงนี้จึงเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขช่วงหนึ่งของชีวิตที่ผ่านมาของผมก็ว่าได้.............

                        “นัทเค้าจะสอบวันพรุ่งนี้แล้ว พี่จะซื้ออะไรให้เค้าดีนะ” ผมปรึกษาน้องพร ระหว่างที่เราสองคนกำลังเดินชอบปิ้งแถวย่านหลังมหาวิทยาลัย........ผู้คนคึกคักพอสมควรสำหรับช่วงหัวค่ำเช่นนี้....
                       “พี่กั้งก็ซื้ออุปกรณ์เครื่องเขียนสิ” น้องพรแนะ..........อืม........เป็นความคิดที่ดีไม่เลว........เราตัดสินใจแวะเข้าร้านเครื่องเขียนเล็กๆตรงหัวมุมถนน...........คนขายเป็นป้าแก่ๆท่าทางใจดี...........ผมเดินเลือกของที่คิดว่าจำเป็นสำหรับใช้ในการอ่านหนังสือสอบ สองสามอย่าง............อาทิ ปากกา ดินสอกด ยางลบ......ปากกาเน้นคำ น้ำยาลบคำผิด..........
                      “เค้าต้องประทับใจแน่ๆเลย พี่กั้งนี่ละเอียดอ่อนดีเนาะ คราวหลังน้องจะจำเอาไว้ใช้มั่ง” น้องพรทำท่าประจ๋อประแจ๋.........วิถีของผมมักโดนนำไปใช้เป็นต้นแบบของหล่อนเสมอ...........อยู่ใกล้ใครก็เลียนแบบคนนั้น เห็นทีจะจริงอย่างเค้าว่านั่นแล้ว.............ใช่สิน้องพรเอ๋ย........ต่อให้เค้าใจแข็งเป็นหินแค่ไหน เจอเข้าแบบนี้รับรองต้องอ่อนระทวย.......ผมแอบยิ้มกริ่มอยู่ในใจ

                     “อ่ะพี่ให้” ผมยื่นถุงอุปกรณ์เครื่องเขียนให้นัทหลังจากขับรถเข้ามาจอดใต้คอนโดแล้ว...........เค้าทำหน้าเหรอหรา.......สงสัยคงจะงง
                    “อะไรอ่ะ” นัทรับถุงไปแกะออกดู…..ท่าทางอยากรู้อยากเห็น
                    “พี่เห็นว่านัทใกล้จะสอบแล้ว เลยซื้ออุปกรณ์เครื่องเขียนมาให้” ผมว่า.....พยายามซ่อนยิ้มเอาไว้ในแววตา..........เมื่อเห็นท่าทางนัทดีใจกับสิ่งที่ได้รับจนออกนอกหน้า...........ถึงมันจะเป็นของเล็กๆน้อยๆ แต่มันแสดงถึงการใส่ใจต่อกัน.........เรื่องแบบนี้ถูกนำมาใช้มัดใจใครๆมานักต่อนักแล้ว..............
                   “น่ารักจัง” นัทเผลอเอ่ยปากชมออกมาในที่สุด............ผมรู้ว่าเค้าไม่ได้ตั้งใจพูดคำนั้น........แต่มันเป็นความรู้สึกที่หลุดออกมาเองโดยอัตมัติ.............ได้ผลเกินคาดแฮะ........เค้าเลือกเอาเพียงบางอย่างแล้วยื่นส่วนที่เหลือกลับมาให้ผม
                  “อ่ะ นัทเอาแค่นี้” ผมรับกลับคืนมาอย่าง งงงวย
                  “ทำไมล่ะ ไม่ชอบเหรอ” แปลกเหลือเกิน มีคนประเภทนี้ด้วยหรือ.....
                 “พวกนี้นัทมีแล้ว นัทเลือกเอาแต่อันที่นัทไม่มี” เค้าอธิบายเหตุผล.............มักน้อยจังเนาะ.........ทั้งๆที่ผมตั้งใจให้ไปทั้งหมด แต่เค้ากลับเลือกจะรับเฉพาะเท่าที่เค้าต้องการ............หวังว่าเค้าคงไม่ปฏิบัติในแบบเดียวกันต่อความรักที่ผมให้ไปหรอกนะ............เลือกรับไว้เฉพาะที่ต้องการ................

                 วันนี้นัทเอาหนังสือมาด้วย สงสัยจะเอามาอ่านที่ห้องผมเหมือนเคย................
                 “นัทไม่ค้างที่ห้องพี่กั้งนะ ขืนค้างเดี๋ยวก็ไม่ได้อ่านหนังสือกันพอดี” ดูพูดเข้าสิ..........ทำท่ายังกะผมจะเป็นมารผจญกระนั้น..........มาอ่านที่ห้องผมน่ะสิดี จะได้มีคนคอยปรนนิบัติพัดวีให้สำราญใจ อ่านหนังสือได้อักโข...........
                 “ตามใจสิ” ผมบอก.........เราควรจะคอยส่งเสริมแฟนของเราให้ทำในสิ่งที่จะเป็นผลดีต่อตัวเค้า..........จึงจะเรียกว่าแฟนที่ดี......
                  “วันนี้กินสุกี้นะ พี่ซื้อเครื่องมาเตรียมไว้แล้ว” กิจวัตรประจำวันของผมตั้งแต่คบกับนัทคือ..........หลังจากเลิกทำงานที่แลปในช่วงบ่าย..........ผมจะต้องรีบออกไปจ่ายตลาด........มาเตรียมอาหารไว้รอท่า.......ใจจริงอยากให้เค้าไปซื้อเป็นเพื่อนเหมือนกัน อย่างน้อยๆก็ยังจะพอมีคนช่วยหิ้วข้าวของบ้าง........แต่เมื่อนึกถึงท่าทางขึงตึง ร้อนเนื้อร้อนตัวของเค้าเวลาอยู่ข้างนอกด้วยกันทีไร.........ผมขอเลือกมาเดินซื้อเอง สบายใจกว่าเยอะ.........
สุกี้เป็นเมนูที่ทำง่าย ไม่ต้องเตรียมอะไรมาก.........ขอแค่มีน้ำจิ้มอร่อยๆก็พอแล้ว.............นัทชอบกินสุกี้มาก.............ทำทีไรเกลี้ยงหม้อทุกที.............เคล็ดลับของน้ำซุปต้องใส่ซุปไก่ก้อน....อิอิ.............จนบางทีเค้าจะชอบบ่นให้ผมว่า
                 “ทำอะไรก็ใส่แต่ซุปไก่ ไม่เห็นจะอร่อยตรงไหนเลย”...... หึ.........ก็เห็นกินหมดทุกทีแหล่ะ.........แล้วยังจะมาทำบ่น...........

                หลังจากทานอาหารเสร็จนัทก็ขึ้นไปนอนเอกเขนกบนเตียง อ่านหนังสือสบายใจเฉิบ...........นานๆเค้าถึงจะช่วยล้างจานหรือกวาดถูห้องสักที.............แต่ถ้าผมจะปล่อยให้เค้าทำงานพวกนั้น ผมเองก็คงจะไม่สบายใจ...........ใครมาเห็นเข้าก็คงจะเอาไปนินทาว่าเราใช้แฟนทำงานบ้านให้เสื่อมเสียชื่อเสียงไปเปล่าๆปลี้ๆ.......................ผมจะไม่ร้องขอให้เค้าทำงานพวกนี้หรอก...........เว้นแต่เค้าจะอาสาทำเอง.........ซึ่งก็ทำให้ผมปลื้มไปได้สามวันแปดวัน............แต่ก็นานๆจึงจะเกิดขึ้นสักที..........
                   "ไหนขอดูมั่งซิ.".........ผมเข้าไปคว้าเอกสารมาดูพลางล้มตัวลงนอนหนุนที่บั้นท้ายของนัท............เค้าเป็นคนอวบ บั้นท้ายนุ่มดี.............ผมชอบ...........บางทีก็ต่อยเล่นสนุกๆ.........
                   “อยู่ดีๆ” นัทขยับตัวหนี
                   “เดี๋ยวก็โดนหรอก.........เนี่ยชอบทำอย่างนี้อ่ะดิถึงไม่อยากมาอ่านหนังสือที่นี่อ่ะ” เค้าบ่นกระปอดกระแปด...........เดี๋ยวนี้ผมไม่สนใจแล้ว............อยากกอดผมก็จะกอด จะทำไม........ผมชอบกอดที่สุด.........โดยเฉพาะกอดคนตัวอวบๆแบบนี้...........อุ่นดี..........
                   “ไม่ยุ่งก็ได้” ผมแกล้งไม่ใส่ใจ เดินหลบออกไปยืนสูบบุหรี่ที่ระเบียง...............ใครๆก็บอกว่า ผมดูไม่เหมือนคนสูบบุหรี่เลย.........โดยเฉพาะเพื่อนๆ มักจะต่อต้านเนื่องจากเห็นว่าทำให้เสียภาพลักษณ์คุณหนู....
                    “แกเลิกสูบได้มั้ย ทำตัวเหมือนกระหรี่” เพื่อนผมสะบัดหน้าใส่ ทำท่ารังเกียจทุกครั้งที่เห็นผมสูบบุหรี่..........และผมก็หยักไหล่อย่างไม่ยี่หระทุกครั้งเช่นกัน..................ความจริง เดิมทีผมเป็นคนไม่สูบบุหรี่เลย...............แต่ภายหลังอกหักจากเก้งครั้งก่อน............ผมก็สูบบุหรี่เรื่อยมา..........เหมือนทำเพื่อประชดชีวิต............แต่ก็สะใจดีเหลือเกิน............เลือดบ้าในตัวผมก็ยังพอมีอยู่เหมือนคนอื่นๆนั่นแหล่ะ.....................เมื่อติดแล้วจึงยากที่จะเลิก...........โดยเฉพาะคนที่มีจิตใจอ่อนแอแบบผม.......

นัทไม่ชอบให้ผมสูบบุหรี่..........เค้าเดินทำหน้างอมาเลื่อนประตูปิด..........เมื่อสูบบุหรี่เสร็จผมจะเดินกลับเข้าห้องจึงได้รู้ว่าเค้าล็อกประตูไม่ยอมให้ผมเข้าเสียแล้ว............เฮ้ย..........จะบ้าหรือไงเนี่ยยยยยยยยย...........
                     “ปิดประตูเดี๋ยวนี้” ผมเคาะที่กระจกแรงๆ............นัทเดินมาทำหน้าตาล้อเลียน............
                     “บอกว่าให้เปิดไง ไม่ได้ยินเหรอออออ” ผมตะโกนซ้ำ.........นัทยังคงทำเฉย..........เชอะไม่เข้าก็ได้..........ผมสะบัดหน้าใส่ ทำเป็นไม่สนใจ...........ในที่สุดเค้าก็เป็นฝ่ายยอมเดินมาเปิดประตูให้.......ผมแกล้งเดิรนลอยหน้าเข้ามาในห้อง............นัทคว้าข้อมือเอาไว้..........ก่อนที่ผมจะได้ทันสะบัดหลุด............เค้าก็ผลักผมลงที่เตียง...............ก่อนจะโน้มตัวเข้ามาประชิดอย่างรวดเร็ว............ผมยังคงเชิดหน้าท้าทายต่อ ดูซิจะกระตุ้นแรงปรารถนาเค้าได้มากแค่ไหน................นัทยื่นหน้าเข้ามาใกล้ จนลมหายใจของเราแทบจะหลอมเป็นหนึ่งเดียว................ใจผมเต้นระส่ำ ตั้งตื่นเต้น ทั้งสะใจ.........
                   “ไปบ้วนปากก่อนไป เหม็นบุหรี่” โฮะ.....พูดซะหมดอารมณ์เลย...................

นัทอยู่กับผมจนเวลาล่วงเลยมาค่อนดึก เค้าจึงเอ่ยปากชวนให้กลับไปส่งที่หอเนื่องจากพรุ่งนี้มีสอบ...................
                  “พี่กั้งไปส่งหน่อย” ผมขยับตัวลุกขึ้น แต่งตัวลวกๆ............ไม่อยากออกไปส่งเลย ขี้เกียจจัง......แต่ถ้าต้องไปส่งเค้าที่ห้องสอบแต่เช้าก็คงไม่เอาด้วยหรอก............อยากนอนตื่นสายๆมากกว่า...........ระหว่างที่เราเดินออกมาที่ลิฟต์………..เสียงโทรศัพท์ของนัทดังทำลายความเงียบขึ้นมาจนผมสะดุ้งสุดตัว...................
                   “ฮัลโหล” นัทรับโทรศัพท์ ทำเสียงอือๆออๆ ผมพยายามเงี่ยหูฟัง.............ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมานัทไม่เคยมีเรื่องเจ้าชู้ให้ได้หมองใจเลยสักครั้งเดียว............สังเกตุได้ไม่ยาก เวลาผมอยู่กับเค้าไม่ว่าจะยี่สิบสี่ชั่วโมง หรือสี่สิบแปดชั่วโมงก็ตาม จะไม่เคยมีแม้แต่เสียงโทรศัพท์ดังเข้ามารบกวน...... ทั้งๆที่เปิดเครื่องไว้ตลอดเวลา.............โดยเฉพาะในยามวิกาลหลังสี่ทุ่ม.............ซึ่งหากมีสายแปลกๆเข้ามาหลังสี่ทุ่มแสดงว่าต้องมีอะไรแอบแฝง.........เพราะเวลาดังกล่าวผมถือว่าเป็นเวลาคุยโทรศัพท์ของคนพิเศษเท่านั้น............
                   “ไม่ช่ายยยย.....ไม่ใช่......ไม่ได้มีแฟน” นัททำท่าเขินอายแก้ตัวพัลวัล............เฮอะ ใครนะโทรมาถามเรื่องแบบนี้............แล้วทำไมนัทต้องแก้ตัวขนาดนั้นด้วย..........แคร์เค้ามากเลยหรือไง....ผมพยายามระงับความโมโหเอาไว้ รอจนเค้าวางสายไป..................
                   “ใครโทรมา” เสียงผมเครียดจนดูเป็นคนละคน.....นัทเองก็คงตกใจไม่น้อย
                   “เพื่อน” นัทตอบสั้นๆ
                   “เพื่อนเหรอ เพื่อนต้องโทรมาเวลานี้ และถามเรื่องพวกนี้ด้วยเหรอ” ผมซักต่อจะเอาเรื่องให้ได้................ผมเกลียดการนอกใจที่สุด...........ถ้าจับได้ว่านอกใจกันล่ะก็......ต่อให้รักมากแค่ไหนผมก็จะเลิก.........ถ้าเลวอย่างอื่นผมไม่ว่า ยังพอทนกันได้.........
นัทส่ายหัว ทำท่าว่าจะไม่ยอมอธิบาย............แต่เมื่อเห็นสีหน้าเอาจริงของผม สุดท้ายเค้าจึงยอมแพ้......
                   “อีพี่กั้งบ้า คิดเองเออเอง ก็บอกว่า เพื่อนๆๆ” ผมยังยืนกระต่ายขาเดียว...........ถ้าไม่อธิบายผมจะเลิกจริงๆ.....ไม่ได้พูดเล่น..........เหมือนนัทจะมีสัมผัสพิเศษ...........เค้าจึงอธิบายต่อ
                  “ก็เพื่อนจริงๆมันชื่อนังจูน เป็นกระเทย มันโทรมาตามเอาชีตส์ที่นัทยืมมันมา พี่กั้งก็เคยเห็นแล้วนี่” เหรอ........ผมคิดในใจ แต่ยังไม่ปักใจเชื่อ
                 “ถ้าไม่เชื่อ ก็พานัทไปที่หอมันเลย นัทจะเอาชีตส์ไปส่งมันเนี่ย” นัทย้ำความบริสุทธิ์ใจ จนผมคลายใจลงบ้างเล็กน้อย แต่ก็ไม่วายค่อนขอด
                  “จะให้พาแฟนไปส่งที่หอชู้เหรอ.....เฮอะ”  นัทหลิ่วตามอง.......ก่อนจะผลักศรีษะผมเบาๆ.....เป็นอันต้องจบคำถาม.........
                 
                 ไม่ใช่ว่าผมเชื่อในสิ่งที่เค้าพูดหรอก...........แต่ก็เป็นไปได้ค่อนข้างมากว่าเค้าจะพูดความจริง.........เพราะผมเคยเห็นรูปน้องจูนนั่นมาก่อนแล้ว เป็นภาพที่นัทเอามาให้ดูตอนเค้าไปงานเลี้ยงอำลานักศึกษาปีสุดท้ายของคณะ.....หล่อนแต่งสาวเลยล่ะ และก็ไม่สวยด้วย อิอิ........และนัทเคยเปรยให้ฟังว่ายืมชีสต์เพื่อนมา..........อีกอย่างช่วงนี้เค้าหายตัวไปจากหอบ่อยๆ เพื่อนย่อมต้องสงสัยว่านัทมีแฟนหรือเปล่า...........เมื่อโดนแซวเค้าจึงปฏิเสธพัลวัลแบบนี้...........และที่สำคัญดูจากแววตาผมเชื่อว่าเค้าไม่โกหก.........

                  ตลกดีนะ ผมหึงเค้าด้วยเหรอเนี่ย...............และเค้าก็กลัวเวลาผมหึงด้วย.............อย่างน้อยๆจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ ก็พอจะบอกได้ว่า ความสัมพันธ์ของผมกับนัทกระชับเข้ามาอีกก้าวหนึ่งแล้ว.....ผมมีสิทธิ์จะหึงเค้า.....และเค้าก็แคร์ผมด้วยแหล่ะ.......ไม่เสียแรงเลยกั้งที่สู้อุตส่าห์อดทนทำความความดีมาตลอด......พยายามอีกสักหน่อยก็คงจะเข้าใกล้ความจริงแล้วกระมัง............
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 19-06-2007 08:48:04
ขอสารภาพนะครับ ผมอ่านทีไรมีอึ้งทุกทีซิ    :try2: :try2: :try2:

ทำไม  ความคิดช่างแพรวพราว ขนาดนี้เนี่ย     o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 19-06-2007 11:31:59
จริงดิ....อิอิ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 19-06-2007 11:51:20
ก๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกๆๆๆๆๆ

น้องรู้นะว่าใครเป็นคนพูดประโยคนี้..

“แกเลิกสูบได้มั้ย ทำตัวเหมือนกระหรี่”

แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนเป็น..ขนมดังเมืองสระบุรี...แล้วนี่  :laugh:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 19-06-2007 12:07:46
ขนมทองม้วนเหรอ............ไม่รู้อ่ะ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 19-06-2007 13:05:06
แพรวพราวขนาดนี้ คิดว่าคนที่หมายปองไว้คงไม่พลาด  :m3:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 19-06-2007 13:09:30

.........แก่นเซี้ยว.....เปรี้ยวซ่าเลยนะเนี่ย... :m7: :m7:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: tor13 ที่ 19-06-2007 15:32:28
โปรดรอติดตามตอนต่อไป :m4:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 19-06-2007 19:19:11
ใกล้เข้าไปอีกนิด ความสัมพันธ์แนบชิดขึ้นอีกหน่อย  o8
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ~ScAreD:SAcreD~ ที่ 19-06-2007 19:34:30
เปรี้ยวได้ใจจริงๆ  :m11:

คาดว่า คนที่โดนหมายตา คงเสร็จแน่นอน หุ หุ

แว่บไปทำงานต่อดีก่า  :m7:

หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 20-06-2007 08:04:14
จริงเหรออออออ......
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 20-06-2007 08:22:55
                         ทุกอย่างกำลังจะไปได้สวยแท้ๆ.............นี่ถ้าเพียงแต่ผมมีเวลาต่อเนื่องอีกสักหน่อยล่ะก็...........ผมคงจะสามารถสร้างสายสัมพันธ์กับนัทได้แน่นแฟ้นมากกว่านี้.............คิดแล้วก็ให้นึกเสียดายอยู่ครามครัน....................ก็ได้แต่หวังว่า สิ่งที่ผมทำไปในช่วงเวลาที่ผ่านมาคงจะพอมัดใจเค้าเอาไว้ได้ในระดับหนึ่ง........ไว้ตอนกลับมาจากฝึกงานที่โรงพยาบาลชุมชนเมื่อไหร่ ผมค่อยลงมือร่ายมนต์อีกครั้งเป็นคำรบที่สอง....คราวนี้ล่ะ.........รับรองว่าดิ้นไม่หลุด......หุหุ............

                          “พรุ่งนี้จะไปกี่โมงล่ะ” ผมนั่งมองนัททานข้าวด้วยสายตาละห้อย..............ทำไมต้องมาแยกกันตอนนี้ด้วยนะ.........ไปฝึกงานตั้งเป็นเดือน.............ถ้าเค้ากลับมาแล้ว เรามิต้องมาเริ่มนับหนึ่งกันใหม่หรือยังไงกัน........
                          “หกโมงเช้า ไปกับรถตู้ของคณะ” เค้าไม่ได้มีท่าทีจะอนาทรร้อนใจอะไรเลยสักนิดเดียว............ผมซะอีกที่แสดงความอาลัยอาวรณ์ออกมาทางสีหน้าอย่างโจ่งแจ้งชนิดไม่มีปิดบัง.............
                          “เอาเพลงไปฟังด้วยสิ” ผมยื่นแผ่นเอ็มพีสามที่เตรียมเอาไว้ให้....อย่างน้อยๆ มีอะไรให้เค้าเอาไว้ดู ไว้ฟังต่างหน้าผมบ้างก็ยังดี..............
                          “พี่กั้ง แว่นตาของพี่กั้งไม่ค่อยได้ใส่ เดี๋ยวนัทจะเอาไปใส่ที่โน่นนะ จะได้ดูภูมิฐาน” ปกติแล้วผมจะใส่คอนแทคเลนส์..........เพราะรำคาญแว่นเวลาเหงื่อออก.........จึงเอาไว้ใส่เฉพาะตอนอยู่ห้อง..........ผมกับเค้าสายตาสั้นในระดับใกล้เคียงกัน.......
                          “ถ้าอยากได้ก็เอาไปสิ พี่ไม่ค่อยได้ใส่หรอก” ผมเอ่ยปากยกให้.......จริงๆก็เสียดายอยู่เหมือนกัน.......ตัดมาตั้งหลายพัน........แต่ถ้าลงได้รักใครแล้วอย่าว่าแต่ของพวกนี้เลย..........มากกว่านี้ก็ให้ได้.........หากแต่ว่า การให้และการรับควรจะต้องอยู่บนพื้นฐานของความจริงใจต่อกัน..........
                          “เดี๋ยวกลับมาแล้วนัทจะเอามาคืน” นัทเป็นคนที่ไม่เคยฉกฉวยเอาอะไรจากความรักของผมเลย............ถึงแม้ผมจะแสดงให้เค้าเห็นตลอดมาว่า ผมพร้อมจะให้เค้าได้ทุกอย่างก็ตาม........ ไม่แน่หรอกนะ....เค้าอาจจะกลัวว่า มันจะกลายเป็นสิ่งผูกมัดระหว่างเราก็เป็นได้..............
                          “ถ้าไปอยู่ที่โน่นแล้วโทรหาพี่บ้างนะ เพราะนัทก็รู้อยู่แล้วว่าพี่ไม่โทรไปหานัทหรอก” ผมสั่งเสีย.....และหวังใจเหลือเกินว่า มันจะเข้าหูของเค้าบ้าง ไม่มากก็น้อย............เรื่องจะให้เป็นฝ่ายโทรหาใครก่อนนั้นผมไม่ถนัด.............ไม่ใช่ว่าเล่นตัวหรือว่าเรื่องมาก...............แต่ผมคิดว่าผมแสดงให้เค้ารู้ตลอดเวลาอยู่แล้วว่า ผมปรารถนาที่จะได้รับข่าวสารจากเค้ามากมายเพียงใด..........หากมีใจตรงกันก็ขอให้เค้าเป็นฝ่ายโทรมาเองจะดีกว่า...............ผมคงไม่กล้าโทรไปรบกวน.....ทั้งๆที่อยากจะทำใจแทบขาด.............
   
                         “แกมันคนประหลาด เรื่องที่ควรกล้าก็กลับไม่กล้า เรื่องที่ไม่ควรกล้าดันกล้า” เพื่อนสาวมักจะคอยกระแนะกระแหนผมด้วยความหมั่นไส้ เวลาเห็นผมทำท่ากระบิดกระบวน ด้วยความไม่กล้าที่จะทำนั่นทำนี่ เป็นเหตุให้หล่อนต้องคอยออกหน้าให้แทนเสมอ...............ความไม่กล้าของผมมีหลายอย่าง.......ชนิดที่เรียกได้ว่าจาระไนกันแทบไม่หมด อาทิ.......ไม่กล้าตะโกน...............ครั้งหนึ่งผมเคยไปเดินป่ากับเพื่อนๆ และมีเหตุบังเอิญให้ต้องพลัดหลงกัน..........ระหว่างที่เดินตามหาคนอื่นๆ..........เพื่อนสาวต้องเป็นคนตะโกนเรียกหาเพื่อนๆจนคอแทบแตก........ในขณะที่ผมสามารถตะโกน (ไม่แน่ใจว่าควรจะเรียกว่าตะโกนดีมั้ย) ได้แค่เบาๆ............และนั่นก็เป็นสิ่งที่หล่อนยังสามารถนำมาใช้ค่อนแคะผมได้จนถึงทุกวันนี้..........อีกอย่าง เวลานั่งรถตู้โดยสารในกรุงเทพ.........หากผมได้นั่งเบาะหลัง.............ผมจะเลือกใช้วิธีลงป้ายที่ใกล้ที่สุด ที่ผู้โดยสารคนอื่นลง..........ซึ่งบางครั้งผมต้องเดินกลับมายังจุดที่ต้องการลงจริงๆไกลเกือบกิโลเมตร..........เหตุผลเพียงเพราะผมไม่กล้าตะโกนบอกให้คนขับจอดรถนั่นเอง......งี่เง่าสิ้นดี ว่ามั้ย........
                         “ไม่โทรหาแต่ส่งข้อความไปจิกสุดฤทธิ์” นัทหลิ่วตา ยิ้มล้อเลียน............ก็มันเป็นสิ่งเดียวที่ผมสามารถใช้บอกความในใจกับเค้าได้นี่นา..............ถ้ามีการแข่งขันพิมพ์ข้อความโดยใช้โทรศัพท์มือถือ.............ผมคงได้รางวัลชนะเลิศเป็นแน่...........รวดเร็ว.....ถูกต้อง.....และแม่นยำ.......อิอิ
                         “อยู่ที่โน่น พักกับใครเหรอ” ผมยังคงไม่คลายกังวล.....ด้วยเป็นห่วงว่าเค้าจะไปอยู่กินยังไง.....จนนัทรำคาญในความพิรี้พิไร....
                         “ก็อยู่กับเพื่อนๆ น่ะสิถามได้” เค้าตอบเสียงขุ่น.....เป็นสัญญาณเตือนให้รู้ว่าควรหุบปากเสีย............ผมจึงรีบหุบปาก.........
   
                         “กลับกันเถอะ เดี๋ยวนัทต้องไปแพ็คกระเป๋า” นัทเร่งเร้า ภายหลังจากที่ทานอาหารเสร็จแล้ว
                         “ดึกๆค่อยกลับไม่ได้เหรอ” ผมทำเสียงอ่อย.......พยายามต่อรอง.........นี่ยังหัววันอยู่เลย
                         “ไม่ได้ดดดดด นัทยังไม่ได้เตรียมกระเป๋าเลย” เค้าลากเสียงปฏิเสธน่าหมั่นไส้........จนผมต้องยอมแต่โดยดี...........ไม่รู้จะรีบร้อนอะไรกันนักหนา.............ในใจผมนึกหมั่นไส้เหลือประมาณ...........จะไปจากเชียงใหม่แล้วนี่ ถึงได้ทำท่ายังกับปลากระดี่ได้น้ำแบบนี้............เรื่องอะไรจะปล่อยให้ไปอย่างสบายอกสบายใจ..............ผมต้องทำให้เค้ารู้สำนึกเสียบ้างว่า ยังมีผมรออยู่ทางนี้นะ..............

                         ระหว่างทางที่ขับรถกลับไปส่งนัทที่หอ.............ผมทำท่ากระเง้ากระงอดไม่พอใจที่เค้าเร่งรัดอยากรีบกลับไปเก็บของจนเกินเหตุ.............………
                         “เป็นไร ทำไมทำหน้าบูดหน้างอ” เค้าเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าผมเงียบไปนานจนผิดสังเกตุ.........ปกติเค้าจะเคยใส่ใจอะไรที่ไหนล่ะ.........สงสัยจะสำนึกผิด
                        น้ำตาผมเอ่อด้วยความรักอาลัยผสมน้อยใจ.............ผมหันไปสบตาเค้าก่อนจะเบือนหน้าหนียกมือขึ้นปาดน้ำตา พลางทำท่าสูดลมหายใจแผ่วเบา รวยริน..............
                        “พอไม่ได้อย่างใจอะไร เอะอะก็จะทำเป็นบีบน้ำตา” นัทเอื้อมมือมาลูบศรีษะผมเบาๆ................น้ำเสียงเค้าดูอาทรจนผมใจสั่น...........ผมชอบมุมนี้ของเค้าจัง.......
                        “ไม่ได้บีบน้ำตาสักหน่อย แค่คอนแทคเลนส์มันแห้ง ก็เลยแสบตาตะหาก” ผมทำท่าแก้ตัว...........น้ำเน่าสิ้นดี...........ก็ไอ้เรื่องน้ำเน่าแบบนี้แหล่ะ............คนไทยชอบกันนักไม่ใช่เหรอ.........ถ้าตีบทแตกกระจุย.........ตุ๊กตาทองก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม........ผมก็แค่อยากให้เค้ารู้ว่า ยังมีผมรอเค้าอยู่ที่เชียงใหม่นะ...........ไม่ใช่ว่าพอจากไปแล้วจะทำตัวเหมือนปลาที่ถูกปล่อยลงน้ำ...........ไม่หันกลับมาเหลียวแล...............บางคนอาจจะคิดว่านี่เป็นวิชามาร.............ก็แล้วมันไปทำให้ใครเดือดร้อนบ้างล่ะ.............ในเมื่อผมจะทำเพื่อเรียกร้องความสนใจจากแฟนผมอ่ะ.....ผิดตรงไหน.......จริงมะ.......

                          หลังจากส่งนัทกลับไปแล้วผมจึงกลับมานั่งคิดอะไรอยู่ที่ห้องคนเดียวเงียบๆ..............อยากไปส่งเค้าเหมือนกัน.............แต่คงเป็นไปได้ยาก..........เนื่องจากสถานะของผมในตอนนี้คือบุคคลที่ไร้ตัวตน....ไม่ได้มีการรับรองสถานะทางสังคมจากนัทแต่อย่างใด..............คิดแล้วก็น่าน้อยใจในวาสนาของตัวเองนัก............

                          ค่อนดึก.......นัทโทรมาหาผม สงสัยจะเพราะบทบาทเมื่อตอนหัวค่ำนั้นจะทำให้เค้าเป็นกังวล....
                          “เป็นยังไงมั่ง” น้ำเสียงเค้าแสดงออกถึงความห่วงใย......เรื่องแบบนี้ไม่ได้ว่าจะเกิดขึ้นบ่อยๆหรอก........
                         “ก็ไม่เป็นยังไง เก็บของเสร็จแล้วเหรอ” ผมย้อนถาม เพราะผมเองก็ไม่ได้เสียอกเสียใจอะไรมากมายขนาดนั้น.............ก็แค่อาลัยรักประสาคนจะจากกันไปไกลก็เท่านั้น.......
                        “เก็บเสร็จแล้ว” เก็บเร็วดีนี่.........ผมนึกประชดในใจ
                        “เอาอะไรไปบ้าง” ผมซักต่อ
                        “ก็ทุกอย่างแหล่ะ ผ้าห่ม เสื้อผ้า คอมพิวเตอร์ ทีวี” โห......ทำไมเอาไปเยอะจัง.......ไปอยู่แค่เดือนเดียวเอง........
                        “อย่าลืมเอาพวกของแห้งไปกินด้วยนะ ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่นั่นจะลำบากมากรึเปล่า” ผมแสดงความวิตกกังวลต่อปากท้องของนัท..........เพราะรู้ดีว่าเค้าเป็นคนกินเก่งมากแค่ไหน........
                        “เอาไปแล้วววววววววว” เค้าเริ่มทำเสียงรำคาญ...........ส่วนใหญ่แล้วเราจะคุยโทรศัพท์กันดีๆได้ไม่นาน..........เพราะนัทจะชอบทำท่ารำราญที่ผมมีนิสัยร่ำไรไม่รู้จักจบสิ้น............
                        “ไปอยู่โน่น เจอพวกรุ่นพี่ๆในที่ทำงานอย่าลืมไหว้เค้าล่ะ ต้องไหว้ทุกวันด้วยนะ เดี๋ยวเค้าจะหาว่าเราไม่มีสัมมาคารวะ” ผมยังคงพล่ามต่อ.............ทั้งๆที่รู้ว่าตัวเองชักจะพูดมากเกินไปแล้ว........แต่ก็เตือนเพราะความเป็นห่วง............กึ่งๆกับอยากยั่วให้เค้าโมโหเล่นๆ.......
                       “นี่ คิดว่ารู้ดีแต่ตัวเองรึไง” นัทเริ่มเสียงเขียว............
                       “พี่ไม่ได้หมายความยังงั้นสักหน่อย ก็แค่เตือนเอาไว้เฉยๆ” ผมพยามอธิบาย เพราะเห็นน้ำเสียงเค้าเริ่มโมโห.....ดูท่าเอาเรื่องทีเดียว........
                       “ผมอยู่คนเดียวก่อนจะมาเจอคุณ ก็ไม่เห็นว่าจะเดือดร้อนอะไร ไม่เห็นจำเป็นต้องมีคนมาคอยตักเตือนให้ทำนั่นทำนี่ให้วุ่นวาย”......นัทบ่นผมเป็นชุด.......เอาล่ะสิ......ขึ้นคุณขึ้นผมเสียด้วย สงสัยจะโมโหมาก..........เคยมีคนบอกผมว่าถ้าคิดจะมีแฟนเด็กห้ามพูดจาสั่งสอน หรือปฏิบัติกับเค้าเหมือนเค้าเป็นเด็กกว่าเราเด็ดขาด......เพราะเค้าจะเสียความมั่นใจในตัวเองและจะโมโหเอามากๆ...............เนื่องจากว่าเป็นปมด้อยของเด็กที่มีแฟนเหนือกว่าทั้งคุณวุฒิและวัยวุฒิอย่างเราๆ.........
                        “เอ๋า เตือนเฉยๆแค่นี้ก็โกรธ” ผมตัดพ้อเสียงแผ่ว.......เพราะรู้ว่าตอนนี้เค้าโมโหแล้ว
                        “มีอะไรอีกมั้ย จะวางแล้วนะ” นัทตัดบทน้ำเสียงกระด้าง.......เอาแต่ใจตัวเองชะมัด…..
                        “อย่าเพิ่งสิ พี่ยังพูดไม่จบเลย" ผมพยายามยื้อเวลาเอาไว้
                        "มีอะไรอีกล่ะ จะวางแล้วนะ" เกลียดนักไอ้คำๆนี้..........
                        " อย่าลืมเอามาม่าไปเยอะๆล่ะ เผื่อที่นั่นไม่มีอะไรจะให้กิน” ผมยังคงพล่ามต่อ............จริงๆแล้วไม่ใช่ว่าไม่รู้ว่าควรจะยุติหรอก.............แต่มันสนุกดี เวลาที่ได้กวนประสาทให้เค้าโมโหเล่น..................
                        “รู้แล้ว งั้นแค่นี้นะ”...............

                        เค้าวางสายไปแล้ว..............นัทนี่ก็แปลกคน...........ผมพูดอะไรมักจะต้องเป็นอันขัดหูเค้าไปเสียทุกเรื่อง...........คนเป็นแฟนกันเค้าคุยตะคอกกันแบบนี้หรือไง..........ผมว่าไม่น่าจะเป็นแบบนี้หรอก........เวลาเห็นเพื่อนๆคุยโทรศัพท์กับแฟนทีไร ผมนึกอิจฉาทุกที......เพราะเห็นเค้าคุยจ้ะจ๋ากันดี......ไม่ยักกะมีทะเลาะตบตีกันแบบที่เราสองคนเป็นอยู่นี้เลย......กรรมของผมจริงๆ........
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 20-06-2007 12:23:56
ขนมทองม้วนเหรอ............ไม่รู้อ่ะ

คะ....สระบุรีนะทองม้วนอร่อย  ส่วนเมืองกาญจน์นะ "กระหรี่" ดังมากกกกกกกกกกกกกกกก

เจริญเคอะ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 20-06-2007 12:50:55
อยากรู้ว่าแนวอ้อนๆล่ะ นัทจะชอบไหม   :confuse:

หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 20-06-2007 13:58:01
 คุณ oaw_eang นี่เก่งจัง รู้ว่าที่ไหนอะไรอร่อย..........อะไรดัง..........อิอิ

ปล. คุณ Blanch นัทไม่ชอบแนวอ้อนๆหรอกมั้งครับ ถ้าทำแบบนั้นก็จะโดนด่าว่ามารยา .........ปากจัดจะตาย
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 20-06-2007 17:12:06

.............เอาใจยากอย่างนี้...

.............เกิดมาอยู่คนเดียวอ่ะดีและ.... :m14: :m14:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 20-06-2007 19:14:04
อ่าน ไป ก็สงสัยว่า กั้งรักนัทได้ยังไง  :try2: ไม่เหนื่อยหรือไง  :freeze:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 21-06-2007 09:26:28
เหนื่อยแต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ครับ.....อิอิ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 21-06-2007 09:46:32
                         เกือบอาทิตย์แล้วที่นัทไม่ได้ติดต่อมาเลย..................นี่นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่คบกันมาที่เราสองคนต้องแยกจากกันนานขนาดนี้............ที่ผ่านมาชีวิตของผมเคยมีเค้าอยู่เคียงข้างเสมอ..........แต่พอมาถึงตอนนี้ผมกลับกลายเป็นเหมือนคนหลักลอย......เคว้งคว้าง........... ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้งโดยลำพังยังไงดี............แบบนี้กระมังที่เค้าเรียกว่าโรคติดแฟน..........

                          เคยมีคนบอกผมว่า คนที่เคยมีแฟนจะไม่สามารถอยู่คนเดียวได้อีกต่อไป............เมื่อเลิกกับแฟนคนเก่า ก็จะรีบวิ่งหาคนใหม่เข้ามาแทนที่ทันที..............เพราะกลัวกับการที่จะต้องอยู่คนเดียว..........................ครั้นจะกลับไปเข้ากลุ่มกับเพื่อนๆที่เคยคบหากัน ก็ไม่รู้ว่าจะต่อกันติดเหมือนเดิมอีกหรือไม่........เนื่องจากสมัยมีแฟนก็ห่วงแต่จะขลุกอยู่กับแฟนและละเลยเพื่อนฝูงเสียสิ้น............พอจะกลับมาหาเพื่อนๆในอดีตก็ไม่เหลือใครอยู่แล้ว เพราะต่างคนต่างก็ไปมีวิถีชีวิตใหม่ของตน.................สุดท้ายจึงเลือกที่จะลงเอยด้วยการหาแฟนใหม่เพื่อเป็นการจบปัญหาทั้งปวง.......

                         แต่ผมนับว่ายังโชคดี ที่ตอนนี้ยังไม่ทันได้เลิกกับแฟน..........และเพื่อนๆก็ยังไปมาหาสู่กันสม่ำเสมอดีอยู่.....แม้ว่าผมอาจจะบกพร่องในหน้าที่ของเพื่อนไปบ้าง............แต่ก็ไม่ถึงกับบกพร่องจนไม่น่าให้อภัย..........ดังนั้นไม่นานนัก วิถีชีวิตประจำวันของผมจึงค่อยๆเปลี่ยนกลับมาเป็นแบบเดิม.......

                        “หา.....ว่าไงนะ...........พี่กั้งเป็นแฟนกับนัทจริงๆเหรอ” มอลลี่ทำตาโตเมื่อผมบอกความจริงว่ากำลังคบกับนัทอยู่.....เดิมทีผมตั้งใจว่าจะปิดบังหล่อนเอาไว้เพราะเกรงจะกระทบต่อภาพลักษณ์ของนัท.........แต่เนื่องจากภายในใจมันอัดอั้นจนแทบจะระเบิดออกมาอยู่แล้ว.............สุดท้ายจึงต้องยอมคายความในใจออกมา.....ก่อนที่มันจะทำให้ผมระทมทุกข์มากไปกว่านี้
                       “อืม ก็คบกันมาได้หลายเดือนแล้วล่ะ พี่เองก็ว่าจะบอกเธอหลายครั้งแล้ว แต่อยากจะดูให้แน่ใจกว่านี้ก่อน” ผมพูดปด...........แต่จะทำไงได้ล่ะ..........ก็ใครจะกล้าไปป่าวประกาศว่าตัวเองเป็นแฟนกับคนที่เค้าไม่ได้ให้ความชัดเจนกับเราบ้างล่ะ
                       “ทำไมล่ะ เธอดูไม่ออกเลยเหรอ” ผมย้อนถาม.........เนื่องจากคิดว่ามอลลี่น่าจะระแคะระคายอะไรบ้าง...........เพราะที่ผ่านมาเธอไปไหนมาไหนกับเราสองคนก็ออกบ่อย........บ่อยกว่าใครๆในกลุ่มเพื่อนของผมทั้งหมดด้วยซ้ำ.........
                       “ไม่เลย.........เค้าดูไม่เหมาะสมกับพี่กั้งเลยสักนิด ดูเหมือนพี่น้องกันมากกว่า” .........หัวใจผมหล่นวูบทันทีที่ได้ยินประโยคนี้...........จะเป็นไปได้ยังไง..........นี่ผมดูไม่เหมือนว่าเป็นแฟนกับนัทเลยเหรอ
                      “ทำไมล่ะ”.............ผมยังซักไม่เลิก.........อยากรู้เหตุผลจริงๆ
                      “เค้าไม่เห็นจะดีกับพี่กั้งเลย ชอบพูดจากระแนะกระแหน ประชดประชันตลอด และก็เวลาไปไหนมาไหนก็ไม่เห็นจะเทคแคร์พี่กั้ง.........แถมยังเอาแต่ใจตัวเองอีกต่างหาก” มอลลี่อธิบายเหตุผลยาวยืด
                      “เหรอ” ผมอึ้งไปกับเหตุผลของเธอชั่วขณะ...........นี่นัทดูเลวร้ายในสายตาของเธอมากถึงขนาดนี้เลยหรือ.........ทั้งๆที่สองคนนี้ออกจะดูเข้าขากันดีด้วยซ้ำไป.........นึกว่าเธอจะเห็นด้วยกับการคบหากันของเราซะอีก.......แต่ก็อย่างว่าแหล่ะ.........ยังไงเธอก็ต้องเข้าข้างผมซึ่งเป็นพี่ของเธออยู่แล้ว.......น้องก็ย่อมอยากให้พี่ได้แฟนที่ดีที่สุดเป็นของธรรมดา
                       “พี่กั้งไม่สนใจ ดร. คณิตเหรอ หนูว่าเค้าเป็นคนดีนะ และเค้าก็ดีกับพี่ออก” เธอพยายามโน้มน้าวให้ผมหันมาสนใจอาจารย์ที่ปรึกษาของเธออย่างออกนอกหน้า
                      “พี่ไม่มีวาสนามากขนาดนั้นหรอก” ผมยิ้มน้อยๆ......พยายามบ่ายเบี่ยงอย่างสุภาพ............ความจริงแล้วอาจารย์ของมอลลี่ก็จัดว่าเป็น ดร. หนุ่มไฟแรง หน้าตาอาจจะจืดไปนิด........แต่เค้าก็มีท่าทีว่าอยากจะสานสัมพันธ์กับผมอยู่ไม่น้อย.....บางครั้งก็ฝากขนมมาให้ หรือแวะเวียนมาคุยด้วยในยามว่าง...........ผมคงบุญไม่ถึงกระมัง.........จึงรู้สึกกับเค้าได้แค่คนที่นับถือกันเท่านั้น
                       “คนดีๆทำไมไม่รักนะ” มอลลี่บ่นพึมพำ..ในขณะที่ผมแกล้งทำเป็นเอาหูทวนลม........เสไปยกถ้วยกาแฟขึ้นมาจิบ.............


                        อาทิตย์ที่สองกำลังจะผ่านไปอย่างช้าๆด้วยความทรมาน............นัทก็ยังไม่ได้โทรมาหาผมเลย..........สิ่งเดียวที่ผมทำได้ ณ ตอนนี้ก็คือ รอคอย..................การรอคอยเป็นสิ่งที่ทรมานความรู้สึกอย่างหาที่เปรียบไม่ได้.........แต่มันก็สามารถทำให้ใจเราเต้นแรงทุกครั้ง เมื่อสิ่งที่เรารอคอยมาถึง............
                       ทั้งๆที่ผมสามารถจะโทรไปหาเค้าได้...............แต่ผมเลือกที่จะไม่ทำ...........เพราะว่าผมไม่มีสิทธิ์ที่จะทำแบบนั้น........เนื่องจากนัทยังไม่ได้ยอมรับผมเป็นแฟนอย่างเป็นทางการ.............ในเมื่อยังไม่ใช่แฟน ก็ไม่สมควรจะมีสิทธิ์โทรถึงเค้า นั่นเป็นสิ่งที่ถูกต้องอยู่แล้ว.............ผมจะทำแบบนั้นได้ ก็ต่อเมื่อเค้ายอมรับผมจากใจแล้วจริงๆ.................ไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ยด้วยวาจาหรอก..............เพียงแค่การกระทำ ก็สามารถรับรู้ด้วยใจแล้วว่า.......สถานะของเราสำหรับเค้าคืออะไร.........
                        สิ่งเดียวที่ผมพอจะทำได้โดยที่ไม่ขัดกับความรู้สึกจนเกินไปก็คือการส่งข้อความ............แต่จะส่งถี่มากไป ก็จะทำให้ตัวเราดูไม่ดีเสียเปล่าๆ.............มันดูเหมือนกับการตามตื้อโดยที่อีกฝ่ายไม่สมัครใจ............ดังนั้นผมจึงพยายามห้ามใจเอาไว้.........เลือกที่จะส่งก็ต่อเมื่อทนไม่ไหวแล้วจริงๆเท่านั้น.............ระยะหลังผมจึงกลายเป็นคนเหมอลอย.............ฟุ้งซ่าน.........และก็พร่ำบ่นแต่เรื่องเดิมๆของนัทจนคนรอบข้างเริ่มระอาที่จะฟัง..................

                        และแล้วหัวใจของผมก็ได้มีโอกาสเต้นแรงอีกครั้งในคืนของการรอคอยที่แสนจะจำเจ...........
                        “ฮัลโหล พี่กั้งนอนยัง” หัวใจของผมพองโตด้วยความปลื้มปิติ...............เค้าอุตส่าห์โทรมาหาผมเองเชียวนะ............แสดงว่าเค้าก็คงจะคิดถึงผมอยู่เหมือนกัน
                        “ยัง นัทเป็นยังไงบ้าง พี่เป็นห่วงแทบแย่” ผมระล่ำละลักถามไถ่ แสดงความห่วงใย......แต่อีกใจก็เต็มตื้นไปด้วยความน้อยใจที่เค้าหายสาบสูญไปไม่ดูดำดูดี.............ดูทีรึ........เราแสนจะเป็นห่วงและคิดถึงมากขนาดไหน..........จะมีแก่ใจโทรมาถามไถ่พอให้หายคิดถึงสักนิดก็ไม่มี............ทำเหมือนคนไม่มีใจให้กันแล้วกระนั้น..............
                        “ก็ดี แล้วนี่ทำอะไรอยู่ล่ะ นอนหรือยัง”
                        “กำลังจะนอนแล้ว นี่ยังไม่นอนอีกหรือ” ผมถามกลับเหมือนคนโง่เซ่อ............พอเค้าไม่โทรมาก็นั่งคิดถึงใจแทบขาด............แต่พอเค้าโทรมาจริงๆ กลับคิดอะไรไม่ออก จะถามอะไรก็ถามไปทื่อๆ เหมือนคนไม่มีสมอง.............
                        “ยัง ตอนนี้นัทออกมาเดินหาสัญญาณนอกบ้าน อยู่แถวนี้ไม่ค่อยมีสัญญาณเลยเวลาจะโทรศัพท์ทีก็ลำบาก” นี่เป็นคำอธิบายของการหายตัวไปของเค้าหรือเปล่านะ...........
                        “อยู่ที่นั่นลำบากมากมั้ย มีอะไรให้กินรึเปล่า” ผมมักจะเป็นห่วงเรื่องการกินของเค้า.......เพราะหลักการกินของศาสนาเค้าไม่เหมือนคนอื่น.........อยู่บ้านนอกแบบนั้นคงจะลำบากน่าดู............มันอาจจะฟังดูน่ารำคาญหากมีใครมาคอยนั่งถามเรื่องการอยู่การกินของเรา.........แต่ถ้าลองนึกดูให้ดีๆ จะมีแต่เฉพาะคนที่ใกล้ชิด เช่น พ่อแม่ หรือพี่น้อง เท่านั้น ที่จะมานั่งกังวลห่วงใยเรื่องพวกนี้กับเรา.........มันดูน่ารำคาญ.......แต่ผมมองว่ามันคือความจริงใจที่หาได้ยากจากคนทั่วไป...........
                         “มี.........วู้วววววววว ถามอยู่ได้” นัทเริ่มเอ็ดอีกแล้ว............สถานการณ์แบบนี้ผมต้องพยายามประนีประนอม.............ขืนพูดอะไรให้ขัดใจ พอดีพอร้ายจะพาลไม่โทรมาอีกเลย เห็นทีจะแย่..........
                        “ก็คนเป็นห่วงอ่ะ......ว่าแต่ว่าจะมาเชียงใหม่เมื่อไหร่” ผมรีบเปลี่ยนเรื่องคุยก่อนที่เค้าจะอารมณ์เสียมากไปกว่านี้
                         “ไม่แน่ อาจจะไปช่วงรับปริญญาก็ได้ เห็นว่าที่นี่เค้าจะหยุดให้” อืม...........แสดงว่าอีกไม่นานก็คงจะได้เจอกัน............
                         “เออนี่ แผ่นคาราโอเกะที่พี่กั้งให้มามันเปิดไม่ได้อ่ะ” นัทเปลี่ยนหัวข้อสนทนาฉับพลัน....ความจริงเค้าน่าจะมีแก่ใจถามไถ่ทุกข์สุขผมบ้าง..........แม้สักนิดก็ยังดี..........
                         “อ้าวเหรอ สงสัยจะเสียมั้ง” ผมเดาส่ง
                         “พี่กั้งแค่นี้ก่อนนะเดี๋ยวเพื่อนๆมันจะสงสัย” นัททำเสียงกระซิบกระซาบ ก่อนจะรีบวางสายไป.................
                          กรรมอะไรกันนักกันหนา...........มีแฟนทั้งที ก็เป็นแฟนแบบครึ่งๆกลางๆ..........หลบๆซ่อนๆ...............เหนื่อยก็แสนเหนื่อยกับการคบกัน...............แต่ผมดันรักเค้าเข้าไปแล้ว.......เพราะฉะนั้น ยังไงผมก็จะต้องฝ่าฟันไปให้ได้..........ถึงปลายทางจะออกหัวหรือก้อย............ก็คงต้องยอมรับชะตากรรม.................

                         

                          “พี่กั้งน้องมีแฟนแล้วนะ” น้องพรยิ้มร่าเข้ามาแจ้งข่าวดี...............นี่ผมไม่ได้เจอหล่อนนานจนตามติดข่าวสารไม่ทันเลยเหรอเนี่ย..........
                          “เค้าเป็นใครกันจ้ะ”.....ชักจะสงสัยแล้วสิว่า หล่อนไปคว้าใครจากไหนมาทำแฟน
                          “ก็น้องที่ตีเทนนิสด้วยกันนั่นแหล่ะ เค้าเรียนปีสี่......คณะเกษตร...... ตอนแรกก็ตีสนามใครสนามมัน....... ไปๆมาๆเลยรู้จักกัน” หล่อนสาธยายที่มาที่ไปของแฟนหนุ่มหน้าระรื่น........คิดแล้วก็น่าอิจฉาหล่อนจริงๆ...........ไม่ยอมน้อยหน้ารุ่นพี่อย่างผมเลยนะเนี่ย............มิหน้ำซ้ำยังทำท่าว่าจะแซงโค้งเอาเสียดื้อๆ............
                           “ทีแรกน้องไปชอบเพื่อนมันก่อน ไอ้นั่นมันทั้งหล่อทั้งขาว ส่วนมันนะ ตัวก็ดำ ไม่สเป๊กเลย ทำไมจับผลัดจับผลูไปเป็นอย่างนี้ได้ก็ไม่รู้” อย่างหล่อนนี่นะ.........ยังจะมีสิทธิ์เลือกกะเค้าด้วยเหรอ............ไอ้เรื่องแบบนี้มันต้องคนสวยๆเค้าพูดกัน...........ส่วนหล่อนมันยังอีกไกล........เฮ้อออ.......ทำไมผมถึงได้ขี้อิจฉาอย่างนี้นะ
                           “แต่น้องสงสัยว่ามันอาจจะเป็นคู่เกย์กันหรือเปล่า เพราะมันไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด แถมยังพักห้องเดียวกันด้วยนะ”.........อ่ะเหรอ
                          “ตอนแรกๆน้องก็ไม่ได้คิดอะไร แต่ระยะหลังๆมันโทรมาหาน้องทุกคืนเลยนะ.....แถมยังมานั่งเฝ้าน้องทำแลปทุกคืนด้วย” อะไรจะดีขนาดนั้นวะ............หรือหล่อนจะโกหก..........ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามีผู้ชายที่ดีขนาดนี้
                           “น้องอยากกินอะไรมันจะรีบไปซื้อมาให้กินเลยอ่ะ ขอแค่ให้ชายตาไปมองเท่านั้นแหล่ะ.... ขนาดว่ามันต้องทำงานพิเศษนะ มันยังลางานมาพาน้องไปเที่ยววันเด็กเลย” โห..........สวีทสุดๆเลยนะ.........ผมทำหน้าหงึกหงัก.......ด้วยไม่รู้ว่าจะหาช่องแทรกที่ตรงไหน นอกจากนิ่งฟังเพียงอย่างเดียว...........อ้อ......เกือบลืมยิ้มด้วยแน่ะ...........ประเดี๋ยวจะหาว่าเราอิจฉาตาร้อน....อิอิ
                           “มันไม่มีเงิน มันก็ยังอุตส่าห์หยอดตู้โทรหาน้องทุกคืนนะ ถ้าน้องอยากให้มันโทรหา น้องก็แค่โทรไปโชว์เบอร์ มันก็จะรีบโทรกลับมาทันที” อะไรกันเนี่ย........มันจะดีขนาดนั้นเลยเหรอ.........ขนาดผมครบเครื่องกว่าหล่อนเป็นไหนๆ.........ยังได้มาแค่นี้...........แล้วนี่หล่อนทำบุญมาด้วยอะไรเนี่ย..........หรือว่าหล่อนจะโม้..............ผมนึกเดือดดาลอยู่ในใจ............ทำไมอะไรๆของเค้ามันช่างดีไปซะหมด...........พอหันกลับมาดูของเรา...........เป็นอันให้ต้องส่ายหัวทุกที..............เมื่อไหร่นัทจะทำให้ผมได้มีโอกาสเอาไปเล่าอวดใครๆได้อย่างหน้าชื่นตาบานอย่างนี้มั่งนะ.............โอยยยยย

                         ผมแยกจากน้องพรแล้วขับรถบ่ายหน้ากลับห้องทันที.............ถ้าเป็นจริงอย่างที่หล่อนว่า ก็นับว่าเป็นบุญของหล่อนโขอยู่............ความจริงแล้วผมสมควรจะแสดงความยินดีกับหล่อนด้วยใจบริสุทธิ์ในฐานะของพี่ที่ดี.............แต่ลองคิดดูสิ.............พอหันมามองชะตากรรมของตัวผมเองในตอนนี้.........มันช่างไม่เอื้อต่อการแสดงความยินดีกับความรักของใครหน้าไหนเลย............มันมีแต่จะทำให้ต่อมอิจฉาของผมแตกทะลักก็เท่านั้น........ผมรู้สึกแย่ที่ไม่สามารถเก็บความรู้สึกอิจฉาเอาไว้ได้.............ผมควรแสดงความยินดีอย่างที่เค้าเรียกกันว่ามุทิตาจิตถึงจะถูก........ที่หล่อนพูดมามันจะดีจนโอเวอร์ไปรึเปล่า...............ยังไงผมต้องหาทางพิสูจน์เรื่องนี้ด้วยตัวเองให้ได้..............ใครมันจะมารักกันมากมายขนาดนั้น................หรือผมจะโชคร้ายอยู่คนเดียวที่ดันมาเจออีตานี่...........ดอกไม้ในมือโจรชัดๆ..........
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 21-06-2007 10:04:16
ไม่ต้องไปอิจฉาคนอื่นหรอกครับ  แหม ก้อคนอย่างนัทอ่ะ หายากจะตาย เราต้องภูมิใจสิ ถึงจะถูก

 :try2: :try2: :try2:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: tor13 ที่ 21-06-2007 10:33:12
กั้งอย่าไปอ่อนข้อให้นัทมากนักซิเด็กมันเหลิงหมดเล่นตัวบ้างเราไม่ใช่ลูกเป็ดในกำมือมันน่ะรักแต่อย่าหลง
เราคุณสมบัติออกจะพร้อมเลิกก่อนจะเสียใจไปมากกว่านี้น่ะ หรือไม่ก็เอาให้รู้แน่ชัดไปเลยว่าจะเอายังไง
 :angry2: :angry2: :angry2:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 21-06-2007 11:02:07

..........."ไม่ดีกูก็จะรักอ่ะ...ทำไม".....

...........นี่แหละนิสัยคนเรา........ :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 21-06-2007 11:43:19
ตอบไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมถึงรัก.........ตอนนั้นไม่ได้คิดเลยว่าอยากจะต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรีของตัวเอง

รู้สึกแต่อย่างเดียวว่า...............อยากให้เค้าเห็นใจเราบ้าง..........ก็เท่านั้นเอง
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 21-06-2007 13:30:16
ทำไมชอบอวดแฟนกันจัง

มีแฟนไว้เพื่ออวดหรือไร

หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: tor13 ที่ 21-06-2007 14:11:57
ไอ้พวกชอบอวดแฟน น่ะ โดนมาหลายรายแล้วน่ะโดนเพื่อนในกลุ่มแย่งไปรับทานน่ะเคยกันป่าว
แต่จะโทษเพื่อนฝ่ายเดียวก็ม่ายด้าย เพราะคนของเรามันมั่วเอง :m8: :m8: :m8:
เพราะฉะนั้นอย่าเอาไปอวดเลย
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 21-06-2007 14:17:38
ถ้าเป็นผมนะ ผมจะไม่โทษเพื่อนหรอก.........ที่จริงควรต้องขอบคุณเค้าด้วยซ้ำ ที่มาช่วยกระชากหน้ากากคนหลายใจ........ขนาดคนใกล้ตัวเราเค้ายังทำได้..........นับประสาอะไรกับคนไกลตัวที่เราไม่ได้ไปเห็นด้วยอ่ะ.......จริงมะ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 21-06-2007 15:44:21
จริงหรอพี่ :m12:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 24-06-2007 14:01:35
อ่านๆ ไปก็สงสารกั้งนะ
เลือกที่จะรักแบบนี้  ก็ต้องอดทนหน่อยละ  สู้สู้นะกั้ง   :m1:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 24-06-2007 14:17:20
การมีแฟนบางทีก็อยู่ที่ดวงเหมือนกันนะ คนดีกับคนดีมักไม่เจอกัน  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 25-06-2007 09:54:19
                         นัทเงียบหายไปหลังจากที่โทรศัพท์มาครั้งล่าสุดได้เกือบอาทิตย์........ผมไม่สบายใจต่อสภาวการณ์ความสัมพันธ์ในปัจจุบันของเราสองคนเอาซะเลย..............รู้สึกไม่มั่นคง..........แต่ก็ไม่กล้าพอที่จะละทิ้งความเพียรพยายามที่เคยได้ทุ่มเทไปง่ายๆ............เพราะในใจลึกๆของผมคิดว่าน่ายังจะพอมีความหวังอยู่บ้าง......................อย่างไรก็ตามสิ่งที่นัทได้ปฏิบัติต่อผมในยามที่เราห่างไกลกันเช่นในปัจจุบัน..........บอกให้ผมรู้ว่า.....ในอนาคตเมื่อเราสองคนต่างเรียนจบ และแยกย้ายกันไปทำงาน........ผมจะไม่สามารถคาดหวังอะไรจากเค้าได้เลย...............ก็ในเมื่อตอนนี้ อะไรต่ออะไรมันยังดูย่ำแย่ได้มากถึงขนาดนี้................แล้ววันหนึ่งข้างหน้า หากเค้าคิดจะทิ้งผมไปเฉยๆ ผมก็คงจะไม่สามารถไปทวงถามหาความถูกต้องจากใครได้......ในที่สุดความรักของผมก็คงจะเป็นเพียงแค่ความรักจอมปลอม...............ฉาบฉวย.......ง่าย.......และตื้นเขิน.........ไม่แตกต่างจากความรักของเกย์ที่พบเห็นกันดาษดื่นทั่วไปในสังคม...........ความรักแค่ชั่วข้ามคืน........เปรียบเสมือนไฟไหม้ฟาง.......เกิดขึ้นรวดเร็ว........วูบวาบอยู่ชั่วครู่..........และดับสูญไปในที่สุด...........มีเพียงทางออกเดียวให้เลือกเมื่อความรักเดินทางมาถึงจดจบที่แสนสั้นของมัน ก็คือ การพยายามทำใจให้ปล่อยวาง...........ในเมื่อทุกอย่างมีเกิดขึ้น ก็ย่อมต้องมีดับไป..........ไม่มีอะไรเที่ยงแท้จีรัง โดยเฉพาะเรื่องของความรัก............แต่จะมีใครสักกี่คนกัน.......ที่จะคิดและทำได้แบบนั้นจริงๆ.......


                        “มีความรักก็เหมือนไม่มี.....ก็ยังเหงา” เป็นประโยคที่ผมนำใช้ตั้งชื่อในเอ็มเอสเอ็นวันนี้......... เพื่อบ่งบอกถึงอะไรบางอย่างที่เกิดขึ้นกับชีวิตผม ณ ปัจจุบัน............โดยปกติผมมักจะเปลี่ยนชื่อในการเล่นเอ็มเอสเอ็นไปตามเหตุการณ์สำคัญๆที่เกิดกับชีวิตของผมในช่วงเวลานั้นๆ.............ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักจะเกี่ยวกับเรื่องของความรักแทบทั้งสิ้น.......ก็เพราะว่าผมเป็นคนช่างฝัน.....ชอบคิดโน่นคิดนี่ไปเรื่อยเปื่อย..........จึงหาเรื่องมากุ๊กกิ๊กได้ตลอดไม่มีซ้ำ..........
                        “เป็นอะไรหนักหนากับความรัก” เต้เข้ามาทักขณะที่ผมกำลังรู้สึกเบื่อกับเหตุการณ์รอบๆตัวอยู่พอดี........ซึ่งก็คงไม่ต้องบอกว่าเรื่องอะไร...........
                        “ไม่เจอกันนานเลยนะเต้ ที่โน่นกี่โมงแล้ว” ผมทักตอบ........แม้ว่าตอนนี้หัวใจของผมจะเป็นของนัทไปแล้ว.......แต่เต้ก็ยังคงเป็นผู้ชายในฝันของผมไม่เปลี่ยนแปลง...........จึงไม่แปลกหากเวลาที่ผมได้พบเจอเค้าแล้วจะเกิดอาการตื่นเต้นเหมือนสาวน้อยยามเจอชายหนุ่มในฝัน........มันคงเหมือนกับการที่เราชื่นชมดาราสักคน.............แค่เพียงได้เฝ้ามอง ได้รับฟังข่าวสารของเค้า ก็ทำให้เราก็มีความสุขพอแล้ว..............ดังนั้นในเวลานี้ ผมจึงไม่คิดจะได้เต้มาเป็นแฟนอีกต่อไป..................นึกๆแล้วก็ให้รู้สึกเสียดายเหลือเกิน............ถ้าเพียงแต่เค้าอยู่เมืองไทย..........อะไรต่ออะไรก็คงจะดีกว่านี้.............ผมมีความรู้สึกดีและอบอุ่นเสมอเวลาที่ได้คุยหรืออยู่ใกล้ๆเค้า........แม้เราจะรู้จักกันเพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น..........แต่สัมผัสลึกๆของผมบอกว่าเค้าเป็นคนดี...........และเป็นเกย์............เกย์ที่มีแฟนเป็นผู้หญิง...
                       “เกือบหกทุ่มแล้ว” เต้บอก.........แต่ที่เมืองไทยยังเพิ่งจะเที่ยงวันเท่านั้น
                       “เมื่อไหร่เต้จะกลับเมืองไทย” ผมพยายามชวนคุยเรื่องอื่นเพื่อเบนความสนใจไปจากคำถามแรกที่เต้เคยถามเอาไว้...........
                       “คงยังหรอกครับ ช่วงนี้ยุ่งๆเรื่องเรียนอ่ะ” ผมได้ข่าวว่าเต้จวนจะจบแล้ว.........เค้าก็คงจะยุ่งจริงๆนั่นแหล่ะ..........ขนาดสมัยอยู่เมืองนอกเคยนัดกับผมเอาไว้ว่าจะไปตีแบดด้วยกัน ก็ยังมาเบี้ยวเอาในตอนท้าย.......ก็เพราะเหตุผลที่ว่ายุ่งเรื่องเรียนนี่เอง.......ตอนนั้นผมไม่โกรธเค้าเลย............ผมแค่รู้สึกเสียดายที่เค้าไปไม่ได้เท่านั้นเอง...........ถ้าได้เป็นแฟนกับเต้จริงๆชีวิตผมคงมีความสุขมาก........สุขจนใครๆต้องอดอิจฉาไม่ได้แน่ๆ.............
                      “ถ้ามาเมืองไทยอย่าลืมมาเยี่ยมพี่ที่เชียงใหม่บ้างนะ” ผมพูดเปิดทางเผื่อเอาไว้........บางทีถ้าเค้ามาเมืองไทยจริงๆ......เค้าอาจจะนึกอยากไถลขึ้นมาเยี่ยมผมที่เชียงใหม่ก็ได้.......พลันในใจผมก็แว๊บนึกถึงนัทขึ้นมาอย่างประหลาด.........นี่ผมกำลังประพฤตินอกใจอยู่หรือเปล่า............
                     “ครับ ผมเองก็ยังไม่เคยไปเที่ยวเชียงใหม่เลย” เต้แสดงท่าว่าอยากจะมาตามคำเชิญ...........ผมพยายามสลัดความรู้สึกดีใจออกไปจากความคิด..........จะดีใจไปทำไมกันนะ...........เรามีแฟนอยู่แล้ว........อย่าแกล้งทำเป็นลืมสิ.............
                     “แล้วพี่กั้งมีปัญหาอะไรกับคนรักเหรอ” เวียนมาเข้าคำถามเดิมจนได้..........ผมไม่อยากจะบอกเต้เลยว่าผมมีแฟนแล้ว.........แถมยังเป็นแฟนที่ไม่ค่อยจะได้เรื่องเสียด้วย........ถ้าจะเทียบกับเต้แล้ว ก็คงเทียบกันชนิดที่ไม่ติดฝุ่นเลย..........แต่เมื่อเค้าอยากจะฟังจริงๆผมก็จะเล่าให้ฟัง...........อีกทั้งผมเองก็กำลังนึกอยากจะระบายความในใจอยู่พอดี..........หลังจากที่พร่ำพรรณนาให้คนรอบข้างฟัง จนเค้าเอือมกันไปถ้วนหน้า.....
ผมลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้เต้ฟังคร่าวๆ...........เค้าตั้งใจฟังเงียบๆจนจบ โดยไม่พิมพ์ข้อความตอบโต้ใดๆ    
“เลิกกับเค้าเถอะ” ..........หา.........ทำไมเต้แนะนำแบบนี้ล่ะ.............อย่างน้อยๆเค้าควรจะรักษามารยาทบ้าง อย่างเช่น ช่วยหาข้อแก้ตัวให้นัท..........หรือไม่ อย่างน้อยๆ ก็แค่ปลอบใจผมสองสามคำก็พอ.......แต่นี่เค้าจะโมโหโทโสอะไรกันมากมายจนถึงขั้นมาบอกให้ผมเลิกคบกับนัทซะ..........หรือว่าเค้าจะโกรธที่นัทบังอาจมาทำลายดวงใจน้อยๆของเค้านะ...........ผมนี่ท่าจะเพ้อเจ้อไปกันใหญ่แล้ว.................
                          “ถ้าเลิกกับเค้าพี่ก็ไม่มีใคร...พี่เหงานี่นา” ผมให้เหตุผลไปแบบโง่ๆ...........เหงาเหรอ.............ผมหาเหตุผลที่จะไม่ยอมเลิกกับคนนิสัยเสียคนนั้นเพียงแค่เพราะว่าถ้าไม่มีเค้าแล้วจะเหงาเหรอ..............น่าอดสูใจจริงๆ........แต่ความจริงก็คือผมไม่อยากจะบอกเต้เลยว่าผมรักนัทไปหมดใจแล้ว.....
                          “เหงาก็อยู่คนเดียวสิ ผมยังอยู่ได้เลย ไปไหนมาไหนคนเดียว ทำอะไรคนเดียว เรียบง่ายดีออก” เต้ให้เหตุผล และพยายามชังจูงให้ผมเห็นดีเห็นงามกับความสุขที่เกิดจากการใช้ชีวิตคนเดียว
                         “เต้ก็พูดได้สิ เพราะเต้มีแฟนอยู่แล้ว” ผมแย้ง..........เค้าจะมาบอกให้ผมเลิกคบกันนัทง่ายๆ....โดยที่เค้าไม่สนใจเลยว่า ผมต้องฝ่าฟันอะไรมาบ้างกว่าจะคบกับนัทมาจนถึงวันนี้..........อีกใจหนึ่ง ผมเองก็อยากหาโอกาสแขวะเต้เรื่องที่เค้ามีแฟน แล้วยังจะปล่อยให้ผมแอบรักและก็ช้ำใจอยู่คนเดียวเมื่อครั้งกระโน้น.........
                          “ถ้าไม่มีแฟนคนนี้ ผมก็อยู่คนเดียวได้ แฟนพี่กั้งเค้าใจร้ายกับพี่กั้งมาก เลิกกับเค้าเถอะ” เต้ยังคงยืนยันเหตุผลเดิมคือให้ผมเลิกกับนัท...........นี่เค้าคบกับผู้หญิงคนนั้นโดยที่ไม่ได้รักเลยหรือไง..........ถึงได้พูดเรื่องแบบนี้ออกมา............


                          เต้ออฟไลน์ออกไปแล้ว..............ผมเอาคำพูดของเค้ากลับมานั่งครุ่นคิดต่อคนเดียว........เต้อาจจะพูดถูกก็ได้...........ถ้าไม่มีความสุขก็เลิกกับเค้าซะ.........หัดรู้จักคุณค่าของตัวเองซะบ้าง.........แต่เชื่อมั้ยว่า คำพูดพวกนี้ผมเองก็เคยใช้แนะนำคนที่มีปัญหาเรื่องความรักมาเหมือนกัน..........ถ้าเค้าไม่ดีก็เลิก..........ตอนนี้ผมรู้แล้วว่า ทำไมผมถึงกล้าแนะนำไปแบบนั้น...............ก็เพราะผมไม่ได้ไปใช้ชีวิตและผ่านเรื่องราวต่างๆร่วมกับเค้าสองคน...............ดังนั้นเมื่อเห็นเค้ามีปัญหากันจึงมองว่าเป็นเรื่องง่ายในการแก้ไข...........ดำเป็นดำ ขาวเป็นขาว..........เมื่อฟังเรื่องราวจบแล้วก็ตัดสินชี้ถูกผิด..........นั่นก็คือเลิกกับเค้าซะ.........แต่มันไม่ง่ายแบบนั้นเลย..........หากเราลองมาเป็นคนที่มีความรักเองดูบ้าง...........เราจะรู้ว่าเหตุผลกับความรู้สึกบางทีมันไม่ยอมรอมชอมไปในทิศทางเดียวกัน...........ตรงกันข้ามมันอาจเดินไปกันคนละทางชนิดที่ไม่มีวันมาบรรจบกันเลยก็ได้.............เพราะฉะนั้นหากมีใครมาขอคำปรึกษาเรื่องปัญหาหัวใจ........บางทีผมคิดว่าการรับฟังอย่างเห็นอกเห็นใจและคอยให้คำปลอบประโลม น่าจะเป็นอีกทางเลือกที่น่านำเอาไปใช้ นอกเหนือไปจากการชี้ถูกผิด หรือตัดสินดำขาว.............เพราะเชื่อได้เลยว่าน้อยรายนักที่จะเอาคำแนะนำของเราไปใช้จริง...........ส่วนมากก็เห็นกลับไปคบกันหน้าระรื่นชื่นบานเหมือนเดิม ไม่ยักกะมีใครเลิกกันสักราย....
เมื่อมาคิดถึงสิ่งที่เต้พูด.............บางทีผมอาจจะบ้างมงายเรื่องความรักมากจนเกินไปก็ได้...............รักในแบบที่เรียกว่า รักจนลืมรักตัวเอง...................


                      “มอลลี่ เสาร์นี้ว่างหรือเปล่า พี่อยากจะชวนไปทำบุญน่ะ ไปมั้ย” พักนี้จิตใจผมไม่ค่อยเป็นสุขเลย.......เป็นธรรมดาของคนเรา ที่เมื่อเกิดความทุกข์แล้วจะมองหาที่พึ่งพิง.........อาจจะเป็น.พ่อ แม่ พี่น้อง เพื่อนๆ หรือไม่ก็ศาสนา แล้วแต่ประเภทของปัญหาและความน้อยใหญ่.............ความทุกข์บางอย่างสามารถปลดเปลื้องได้เมื่อเราได้รับคำชี้แนะจากผู้มีประสบการณ์.............แต่ความทุกข์ของผม ณ ตอนนี้ ก็คงเห็นแต่ศาสนาเท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งในยามยากให้พอได้คลายทุกข์ภายในใจลงไปได้บ้าง
                      “ได้สิ พี่กั้งอยากจะไปกี่โมงดีล่ะ” มอลลี่ไม่เคยขัดอยู่แล้ว.....ผมรู้
                      “สักเก้าโมงเป็นไง เราไปทำสังฆทานก็น่าจะดี เอาเป็นว่าพรุ่งนี้พี่ไปรับที่หอนะ” ผมจัดการรวบรัดเสร็จสรรพ ตามนิสัย..........หากได้ทำบุญแล้ว จิตใจอาจจะโล่งสบายขึ้นมาบ้าง.........

                      ผมแวะไปหามอลลี่เก้าโมงตามเวลานัด...............เราสองคนตระเวนหาซื้อข้าวของเพื่อทำสังฆทานกันเอง...........คราวที่แล้วหลวงพ่อเคยบอกว่าสังฆทานสำเร็จรูปส่วนมากเป็นของที่พระเอาไปใช้จริงๆไม่ได้........ถ้าซื้อมาเองแบบนี้จะเกิดประโยชน์กับพระ เณร มากกว่า...........ผมเสียดายเหลือเกินที่นัทนับถือศาสนาอื่น..............หากเรานับถือศาสนาเดียวกัน ผมคงจะได้มีโอกาสทำบุญร่วมกับเค้าบ้าง............แม้เราอาจจะไม่ใช่คู่แท้กันในชาตินี้ หากได้ทำบุญร่วมกันบ่อยๆ............อย่างน้อยๆชาติหน้าเราคงจะได้มาเจอกันในสภาพที่ดีกว่าปัจจุบันนี้...........

                        เราหาที่จอดรถเมื่อมาถึงบริเวณลานวัด และเดินถือถุงข้าวของลัดเลาะไปตามทางเล็กๆที่ทอดยาวผ่านป่าไปสู่กุฏิเจ้าอาวาส.......ส่วนมากผมมักมาทำบุญที่วัดอุโมงค์เป็นประจำ เพราะใกล้มหาวิทยาลัย.........อีกทั้งยังร่มรื่นเงียบสงบ และพระสงฆ์ เณร ชี ล้วนมีจริยาวัตรน่าเลื่อมใส...........ในทุกๆวันสำคัญทางศาสนา ที่วัดแห่งนี้จะมีพีธีเวียนเทียนหลังพลบค่ำ...........นักศึกษาและประชาชนละแวกใกล้เคียงต่างพร้อมใจกันมาร่วมพิธีกรรมอย่างน่าชื่นชม...........เมืองเชียงใหม่จึงต่างจากกรุงเทพมหานครลิบลับ ทั้งในแง่ของความงามทางวัฒนธรรมที่เก่าแก่ และความงามทางธรรมชาติที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์........
                         ในวันสำคัญทางพุทธศาสนาที่ผ่านมา ผมต้องไปเวียนเทียนกับน้องพรเพียงลำพัง โดยทิ้งนัทเอาไว้ที่ห้องคนเดียว.............การได้มาร่วมทำบุญที่วัดกับคนที่เรารักคงจะเป็นความรู้สึกที่วิเศษที่สุด.........ผมเคยแอบฝันมาตลอดว่า ถ้าหากผมจะมีแฟนสักคน ผมอยากจะมีโอกาสไปทำบุญร่วมกับเค้า และคอยแอบมองในเวลาที่เค้ากราบพระ...........เวลาที่เค้ารับศีลรับพร.............หรือเวลาที่เค้าปฏิบัติต่อพระสงฆ์...............ถ้าผมกับนัทนับถือศาสนาเดียวกันผมคงจะภูมิใจมากเวลาได้คอยมองดูเค้าปฏิบัติหน้าที่ของพุทธศาสนิกชนที่ดี.............มันแสดงให้เห็นว่าอย่างน้อยๆแฟนเราก็ยังมีดีอยู่บ้างเหมือนกัน...............ผู้ชายที่รู้จักเข้าพระเข้าเจ้า เท่ห์จะตาย..............

                          หลังจากกรวดน้ำเสร็จสรรพ..............ผมและมอลลี่จึงขับรถออกมาหาข้าวเช้าทาน..........
                          “ไปกินร้านไหนกันดี” ผมหันไปถามความเห็น........ปกติมอลลี่จะรู้เรื่องที่กินที่อร่อยๆในเมืองเชียงใหม่ดีมาก.......จึงไม่แปลกเลยหากเธอจะคุยถูกคอกับนัท ซึ่งเป็นพวกนิยมการเสาะหาของกินอร่อยๆเหมือนกัน............
                         “ไปร้านอาหารปักษ์ใต้พัทลุงมั้ย” มอลลี้เสนอ..............ร้านนี้พวกเราเคยมากินกับนัทหลายครั้งแล้ว.............ผมรู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองสลดลงวูบหนึ่ง...........ผมคิดถึงเค้ามากเหลือเกิน.........
                        “นัทยังไม่ได้โทรมาเหรอ” มอลลี่คงสังเกตุเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทางสีหน้าของผม จึงเอ่ยปากถามขึ้นมา.............
                       “ยังเลย ก็ตั้งแต่ครั้งหลังสุดนี่ก็เกือบอาทิตย์แล้ว” หนึ่งอาทิตย์เองเหรอ แต่ผมรู้สึกเหมือนกับมันนานมาก.............นานจนแทบจะทนไม่ไหว..............
                        “ทำไมพี่กั้งไม่โทรไปหาเค้าล่ะ” มอลลี่พยายามช่วยหาทางออก...........เธอคงรู้สึกรำคาญกึ่งๆกับฉงนที่ผมชอบทำตัวเป็นฝ่ายรอคอยแบบนี้………..
                        “พี่ไม่อยากไปกวนเค้า เดี๋ยวเค้าจะไม่พอใจ เค้ายิ่งกลัวคนอื่นจะรู้เรื่องของเราอยู่ด้วย” นิสัยผมคือไม่ชอบตามราวีใคร.............ขอแค่บอกว่าไม่ต้องการผมแล้ว............ผมก็พร้อมจะจากไปทันที.....โดยที่ไม่แม้แต่จะถามให้ต้องลำบากใจ...............


                        ก่อนที่เราจะทันได้พูดอะไรต่อ รถก็แล่นมาจอดที่หน้าร้านพอดี...........เราสองคนจึงเดินลงไปหาที่นั่งและสั่งอาหาร...............
                        “ท่าทางนัทเค้าเป็นคนประหยัดมากเลยเนาะ ดูเสื้อผ้าที่เค้าใส่แล้วหนูว่าคงจะใส่จนขาด ถึงจะยอมทิ้ง” ผมแอบนึกขำความคิดของมอลลี่.............แต่ก็จริง นัทเป็นคนที่ดูประหยัดและไม่รู้จักแต่งตัวเอาซะเลย.......ออกจะเชยด้วยซ้ำไป……………
                        “อืม.........เสื้อผ้าที่เค้าใส่ไม่มีตัวไหนสวยๆเลย” ผมให้ข้อมูลเพิ่ม..........
                        “ที่บ้านเค้าคงเลี้ยงลูกมาดีถึงได้รู้จักค่าของเงินขนาดนี้” มอลลี่กล่าวเสริมขึ้นมา..............ผมพยักหน้าหงึกหงัก...........แกล้งทำเป็นเออออ..........แต่ความเป็นจริงแล้วผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่บ้านนัทมีอาชีพอะไร..........พ่อแม่เป็นใคร.............เค้าไม่เคยเล่าเรื่องที่บ้านให้ผมฟังเลย...........และผมก็ไม่เคยถาม เพราะผมเชื่อว่าถ้าเค้ารักและไว้ใจเรา สักวันเค้าจะต้องเล่าเรื่องพวกนี้ออกมาเองโดยไม่ต้องให้ถามไถ่.............และผมก็จะไม่ไปสืบเสาะให้วุ่นวายด้วย................
                         “ลองชิมนี่สิ อร่อยดีนะ” ผมแกล้งกลบเกลื่อน.........กลัวมอลลี่จะระแคะระคายว่าผมไม่รู้เรื่องส่วนตัวของนัทมากเท่าไหร่..........เพราะมันจะทำให้ผมรู้สึกแย่มากขึ้นไปกว่าเดิม จากที่แย่อยู่แล้ว...........
เมื่อหมดข้อสนทนา มอลลี่และผมจึงหันกลับมาสนใจกับการกินข้าวกันต่อ เพราะยังนึกหัวข้อสนทนาที่น่าสนใจที่นอกเหนือไปจากเรื่องของนัทไม่ออก........ระหว่างที่เราสองคนกำลังเข้าสู่สมาธิในการพิจารณารสชาติของอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย...........เสียงโทรศัพท์ก็ดังแหวกอากาศขึ้นมาทำลายสมาธิของเราทั้งสองคนให้ขาดสะบั้นลงโดยพลัน..............ผมมองมอลลี่เป็นเชิงบอกให้เธอรีบรับโทรศัพท์เสีย..............เธอส่งยิ้มหวานกลับมาก่อนจะบอกว่า
                       “พี่กั้ง รับโทรศัพท์สิ” ผมจึงได้สติ รีบลนลานควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋าของตัวเอง...........เดี๋ยวนี้ชักจะป้ำๆเป๋อๆไปกันใหญ่แล้ว...........ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู พลันหัวใจของผมก็พองโตด้วยความปิติ...............พลางชูให้มอลลี่ดู............
                     “นัทโทรมาแหล่ะ” ผมบอกมอลลี่เสียงใส รู้สึกว่าตัวเองหน้าแดงซ่านด้วยความอายระคนดีใจจนออกนอกหน้า............
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 25-06-2007 09:59:29
ที่คุณ Thip บอกอ่ะถูกเผ็งเลยครับ ผมเคยไปคุยกับร่างทรง แล้วเค้าบอกว่านัทเป็นคู่กรรมกับผมในอดีตชาติ ผมจึงต้องมาชดใช้ให้เค้าในชาตินี้............ผมเคยคิดว่าทำไมต้องทนและก็รักเค้าทั้งๆที่เค้าไม่ดูแลความรู้สึกผมเลย...........สุดท้ายก็หาคำตอบไม่ได้อยู่ดี...........เค้าว่าคนที่เกิดมาเป็นเกย์เพราะผิดศีลข้อกาเม...........ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ในอดีตชาติผมคงเคยนอกใจและทำร้ายความรู้สึกเค้าเอาไว้เยอะมั้ง..........แต่ก็แล้วแต่คนเชื่ออ่ะนะ.............นานาจิตตังครับ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: tor13 ที่ 25-06-2007 10:21:08
ถามรีบนถ้าคนเป็นเกย์ชาติที่แล้วผิดศิลกาเมแล้วชายหญิงในชาตินี้ที่มันมัวพวกดาราและประชาชนทั้งหลาย
ตายไปก็ต้องเป็นเกย์กันหมดดิโอ้ยชาติหน้าก็มีแต่เกย์แน่ๆเลยไม่มีชายแท้หรือมีน้อยเหมือนชาตินี้เนอะ :m3: :m3:ดีใจจัง
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 25-06-2007 10:36:37
สงสารคุณพี่จัง อิอิ

ว่าแต่ว่า  นายเต้นี้  มีอิทธิพลต่อคุณพี่จังเลยนะ :m12:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 25-06-2007 13:06:27

ผมอึดอัดแทนอ่ะ         :m8:  :m8:  :m8:  :m8:  :m8:  :m8:



หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 25-06-2007 14:05:44

...........จะทนไปได้กซักแค่ไหนกัน.... :o12: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 25-06-2007 19:53:32
อืม เคยได้ยินมาว่า คนที่เป็นเกย์ กะเทย หรือตุ๊ด นี่ ชาติที่แล้วเป็นผู้หญิง
แล้วอธิษฐานหรือขอให้เกิดชาติหน้าเกิดเป็นผู้ชาย  แต่บุญไม่ถึง
พอชาตินี้ถึงเกิดเป็นชายได้ แต่ก็เป็นเกย์ หรือกะเทยไป แล้วแต่บุญกรรมของเค้าง่ะ
อันนี้ก็แล้วแต่ความเชื่อละนะ ได้ยินมาอีกที  :m13:

หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 26-06-2007 09:31:03
                         “ฮัลโหล ทายซิว่านัทอยู่ไหน” คราวนี้มาแปลก.......เริ่มต้นด้วยการเล่นยี่สิบคำถามแฮะ
                        “แล้วอยู่ไหนอ่ะ อย่าบอกนะว่าอยู่เชียงใหม่” ผมทายไปตามน้ำ เพื่อเอาใจเค้า..........อีกใจก็คอยลุ้นว่าเค้าอาจจะมาเชียงใหม่จริงๆก็ได้.........
                       “ไม่ใช่ ตอนนี้นัทอยู่อำเภอนาน้อย” เค้าเอ่ยชื่ออำเภอแห่งหนึ่งในท้องที่จังหวัดน่าน
                       “อ้าว......แล้วมาทำไมล่ะ” ผมรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่นัทไม่ได้อยู่เชียงใหม่อย่างที่เดาเอาไว้แต่แรก........แล้วเค้าไปทำอะไรที่อำเภอนาน้อยล่ะ............ก็มันไม่ใช่อำเภอที่เค้าไปฝึกงานนี่นา
                      “ไปทำไมเหรอ” ผมซักต่อ.....ในใจก็นึกระแวงว่าเค้าอาจจะดอดไปหากิ๊กแถวๆนั้นหรือเปล่า…………
                      “อ๋อ.....พอดีมาเที่ยวกับพี่ๆที่โรงพยาบาล ตอนนี้เค้ากลับไปกันหมดแล้ว แต่นัทมานั่งรอรถเมล์อยู่ ว่าจะไปหาเพื่อนที่อีกอำเภอน่ะ”.............อ๋อ.....ที่แท้ก็นั่งรอรถอยู่คนเดียว และก็คงจะไม่มีใครให้คุยด้วยนั่นเอง..........จึงโทรศัพท์มาหาผมได้……
                     “เพื่อนที่ไหน มีเพื่อนอยู่แถวนั้นด้วยเหรอ”..........คนอย่างเค้านี่นะมีเพื่อน.........เฮอะ......ทีกับเพื่อนยังลงทุนถ่อสังขารไปหาเค้าได้.........แต่ทีกับผมแค่โทรศัพท์มาหายังยากเย็นแสนเข็ญ.........คิดแล้วก็ให้น่าน้อยใจนัก........
                     “ก็เพื่อนอ่ะ ถามเซ้าซี้อยู่นั่นแหล่ะ แค่นี้นะ รถมาแล้ว” เค้าสะบัดเสียงใส่ผมตามเคย......
                     “อย่าเพิ่ง เดี๋ยวก่อนสิ” ผมตะโกนห้าม.........แต่ไม่ทันซะแล้ว.........นัทวางสายไปแล้ว..........มอลลี่จ้องมองมาที่ผมตาค้าง...........ผมจึงได้แต่ยิ้มแห้งๆพลางนึกปลอบใจตัวเอง............อย่างน้อยๆเค้าก็โทรมาล่ะวะ……………

                     
                     อาทิตย์หน้าก็จะเป็นงานรับปริญญาแล้ว...........ปีนี้เพื่อนสาวของผมซึ่งเพิ่งจะจบดอกเตอร์ไปจะกลับมารับปริญญาเสียด้วย............สมัยที่เธออยู่ที่เชียงใหม่ เราสองคนเป็นเพื่อนรักกันมาก........ไปไหนไปกัน........ตีแบด.........ชอปปิ้ง.........กินเหล้า..........เหมือนกับมีเพื่อนผู้ชายเลย.........ชีวิตของผมแทบจะไม่มีเพื่อนสนิทเป็นผู้ชายเลย...........มีแต่เกย์และผู้หญิง.........ถ้าเป็นผู้หญิงผมจะชอบคบประเภทขาลุย แมนๆ.........อิอิ.........ผมคิดว่าจะเตรียมของขวัญให้เธอเป็นพิเศษสักหน่อย ให้สมกับการเป็นเพื่อนเลิฟสุดซี้ของเรา..................

                       “แก อาทิตย์หน้าลงไปรับปริญญา ฉันไปค้างที่ห้องแกได้มั้ย” เธอเอ่ยปากถามเมื่อเรามีโอกาสได้คุยโทรศัพท์เรื่องงานรับปริญญาที่ใกล้จะมาถึงนี้.............
                      “เอาสิ ถ้าแกมาถึงก็โทรมาแล้วกัน ฉันจะไปรับ” ผมรับคำ...........แต่อีกใจก็นึกกังวลว่าถ้านัทมาเชียงใหม่ในช่วงเวลาเดียวกัน ผมจะทำอย่างไร............แต่นัทเค้าก็มีห้องของตัวเองนี่นา.............ให้เค้านอนที่ห้องเค้าก็ได้............ถึงจะยังงั้นก็ตาม ถ้าเพื่อนสาวต้องมาค้างกับผมจริงๆ ผมคงไม่มีเวลาได้อยู่กับนัทสองคนเลย.............คิดแล้วกลุ้มใจจัง.........คนนึงก็เพื่อน อีกคนก็แฟน............ตัดสินใจไม่ถูกเลยจริงๆ..........อยากเจอนัทก็อยากเจอ...........อยากอยู่กับเค้าให้สมกับที่เราไม่ได้เจอกันมานาน...........แต่กับเพื่อนก็ไม่อยากจะบกพร่องต่อหน้าที่.............ถ้าปฏิเสธ เพื่อนคงจะเสียใจ........โธ่เว้ย................

                       “น้องพร ออกไปหาซื้อของขวัญกับพี่มั้ย” ผมโทรศัพท์ไปชวนน้องพรในอีกหลายวันถัดมา…………
                      “เอาสิพี่.......... น้องว่าจะไปอยู่พอดี ว่าแต่ว่าน้องพาแฟนไปด้วยได้มั้ย” น้องพรถามอ้อมแอ้ม ทำท่าเหมือนเกรงอกเกรงใจเสียเต็มประดา.............
                       “ได้สิ........เดี๋ยวพี่ไปรับที่ตึกแล้วกันนะ” ผมบอกเวลานัดหมายแล้วรีบเก็บข้าวของ........ในใจนั้นนึกอยากจะเห็นหน้าแฟนน้องพรเต็มแก่..........อยากจะรู้ว่าคนที่หล่อนอวดนักอวดหนาว่าแสนดีอย่างโน้นอย่างนี้จะมีหน้าตาเป็นยังไง.............

                        รถผมแล่นเข้ามาจอดใต้ต้นชมพู่เจ้าประจำ............น้องพรยังไม่ลงมา.........ผมเปิดประตูลงมายืนรอ พลางควักบุหรี่ขึ้นมาสูบ...........ตั้งแต่ติดบุหรี่มานี่............รอนิดรอหน่อยเป็นต้องหยิบมาสูบ..........มันกลายเป็นเพื่อนฆ่าเวลาตัวร้ายของผมไปซะแล้ว...........นัทไม่เคยชอบใจนิสัยนี้ของผมเลย.............เค้าจะส่ายหน้าทุกครั้งที่เห็น............บ่อยเข้าก็คงขี้เกียจห้ามปราม จึงปล่อยเลยตามเลย.........
น้องพรเดินยิ้มแฉ่งมาแต่ไกล............
                         “พี่กั้ง หวัดดีจ้ะ” ผมพยักหน้าเป็นเชิงแสดงอาการรับรู้.............พลางสอดส่ายสายตามองหาหนุ่มปริศนาคนนั้น..............คงเป็นคนที่เดินมาลิ่วๆแต่ไกลคนนั้นกระมัง.........ผมนึกเดาเมื่อเห็นเด็กผู้ชายร่างสูงเพรียวคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาที่เราสองคน
                        “พี่กั้ง นี่น้องอาร์” น้องพรแนะนำหน้าระรื่น...........น้องอาร์ยกมือไหว้ผมท่าทางนอบน้อม..........ผมรีบใช้สายตาสำรวจประเมินในทันที...............หน้าตาไม่เลวทีเดียว.........ไม่ขาวแต่ผิวเข้มเนียนตา.......รูปร่างสูงโปร่งคงราวๆร้อยแปดสิบ........ท่าทางสุภาพอ่อนน้อม.......ถ้าไม่บอกคงไม่รู้ว่าเป็นเกย์..........แสดงว่าผ่านการฝึกฝนวิธีการซ่อนเร้นความเป็นสาวมาเป็นอย่างดี........
                         “ขึ้นรถกันเถอะ” ผมชวน........พยายามระงับสายตาให้อยู่ในอาการสำรวม ไม่แสดงท่าเชิญชวนจนออกนอกหน้า........ผมไม่ได้ชอบเค้าหรอก...........แต่ไม่รู้ทำไมถึงมีนิสัยชอบโปรยเสน่ห์ไปเรื่อยเปื่อย.........โดยเฉพาะกับแฟนเพื่อน...........มันเหมือนกึ่งหยอกกึ่งเอาจริง...........รู้สึกตื้นเต้นดี...............แต่ถ้ามาสอบประวัติผมย้อนหลังแล้ว จะรู้ว่า..........ผมยังไม่เคยแย่งเอาแฟนของคนใกล้ตัวมาครอบครองเลยแม้แต่ครั้งเดียว...........จะมีก็แค่เพียงกระเซ้าเล่นๆพอหอมปากหอมคอก็เท่านั้น..............

                        เมื่อขึ้นมาบนรถแล้ว น้องพรมีท่าทีออดอ้อนแฟนของหล่อนจนออกนอกหน้า..........อาจจะอยากโชว์ความหวานให้ผมดูประการหนึ่ง............หรืออาจจะอยากประกาศให้ผมรับรู้ว่านี่แฟนฉัน.........พี่ห้ามยุ่ง........ทำไมใครต่อใครต้องคอยมาระแวดระวัง ว่าผมจะเข้าไปแย่งชิงเอาแฟนของเค้ามาเป็นของตัวกันนัก........หรือท่าทางผมมันดูยั่วยวน เจ้ามารยา ไม่น่าไว้ใจมากขนาดนั้นจริงๆ................
                       “ชั้นเกลียดสิ่งที่แกทำเวลาอยู่ต่อหน้าผู้ชาย” เดียว....เพื่อนสาวของผมจีบปากจีบคอต่อว่า.......เมื่อเพื่อนชายของหล่อนคล้อยหลังไปแล้ว......
                      “ทำไมล่ะ ฉันไปทำอะไรให้แกนักหนา” ผมแกล้งทำมารยาไขสือ..........ด้วยรู้อยู่เต็มอกว่าตัวนั้นชอบแกล้งอ่อยแฟนของเพื่อน...........
                      “ก็แกรู้วิธีปรนนิบัติเอาใจเค้าสารพัด ฉันจะไปสู้ได้ที่ไหน ดูซิพอเอาเงาะมาวางแกก็ลงมือเจียนใส่จาน ฉันน่ะเหรอจะไปรู้อะไร มีแต่ปล่อยให้มันกินไปตามยถากรรม” หล่อนต่อว่าผมอีกยาวยืด...........เดียวเอ๋ย...........บอกว่าสู้เราไม่ได้ แต่ก็เห็นเธอเปลี่ยนคู่ควงแทบไม่ซ้ำ..............ในขณะที่คนเจ้ามารยาร้อยเล่ห์อย่างเราซะอีก ที่ขายไม่เคยออกกับเค้าเลยสักหน.............แล้วอย่างนี้ เธอยังอยากจะเป็นแบบฉันอยู่อีกหรือ........

                       เราสามคนเดินเที่ยวชมของที่ระลึกน่ารักๆ จากร้านนั้นเวียนเข้าร้านนี้ไปเรื่อยๆ..........เทศกาลรับปริญญาที่เชียงใหม่คึกคักทุกปี...............ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่สวยที่สุดของมหาวิทยาลัย........ดอกไม้ทั้งของจริงและตอแหลถูกนำมาจัดตกแต่งเอาไว้อย่างสวยงาม............ของขวัญที่ระลึกทั้งหลายต่างก็ขายดีเป็นพิเศษ.........
อาร์ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเลือกของขวัญชิ้นไหนดี.............โดยมีน้องพรเดินตามประกบมาติดๆ และผมตามมาห่างๆ...............
                     “ไม่รู้จะซื้ออะไรก็ซื้อขี้ขขขขขขขสิ” น้องพรพูดจาประชดประชัน..........อาร์หันมามองแล้วยิ้มน้อยๆ.......พฤติกรรมดังกล่าวถ้าจะมองให้ดูขำก็อาจจะได้........แต่ผมมองว่ามันดูไม่น่ารักเอาซะเลย............นี่หล่อนกล้าทำอย่างนี้ก็แฟนหล่อนได้ยังไง............คิดแล้วก็น่าน้อยใจนัก..............มันผิดกับการกระทำของผมเวลาอยู่กับนัทชนิดที่เรียกว่าหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว.............ผมสังเกตดูว่าน้องพรจะชอบทำท่ากระเง้ากระงอดใส่อาร์จนดูน่าหมั่นไส้..............พลางในใจก็นึกวิตก ว่าถ้าขืนหล่อนทำแบบนี้เรื่อยๆมีหวังเค้าเผ่นหนีแทบไม่ทันแน่...........มีอย่างที่ไหน ตัวเป็นเกย์สาว...........แถมไม่สวย...........รวยหรือก็ไม่...........ยังจะมีหน้ามาทำท่าเอาแต่ใจใส่ผู้ชาย ซึ่งมันก็มีอยู่น้อยและขายดีจนเกย์สาวแทบจะตบแย่งกันวันละหลายหน.............คิดแล้วก็นึกเป็นห่วงแทนจริงๆ แต่ก็จนใจที่จะไปบอกกล่าว เพราะบางทีเค้าอาจจะชอบของเค้าแบบนี้ก็ได้...........ก็เค้าไม่เห็นว่าจะแสดงท่าทีรำคาญอะไรนี่นา.........

                        ผมไม่ได้ของขวัญเลยสักชิ้น เพราะยังไม่เจอที่ถูกใจ จึงเดินกลับมาที่รถมือเปล่า............อาร์มัวแต่ยุ่งคุยโทรศัพท์อยู่...........น้องพรจึงได้จังหวะเดินเข้ามากระซิบ.............
                       “น่าเบื่อเนาะพี่กั้ง.........จะเลือกอะไรก็ไม่เลือก......น้องล่ะรำคาญ อยากจะด่านัก” ผมยิ้มตอบ...........ไม่ว่ากระไร.............ทำเป็นปากดีไปเถอะ.............ทำแบบนี้โดนเค้าทิ้งมาแล้วจะรู้สึก...........
                      “พี่กั้งยังดีนะ ยังช่วยแนะนำให้มันเลือกอันนั้นอันนี้.......น้องซะอีกที่เอาแต่บ่นๆ” เอาละสิ.......หล่อนแขวะผมเข้าให้แล้ว.............อย่างว่าล่ะเนาะ ความรักมันไม่เข้าใครออกใคร.........ของๆใคร ใครก็ต้องหวงเป็นธรรมดา............
                     “พี่ก็ช่วยแนะนำไปตามเรื่องตามราวเท่านั้นแหล่ะ” ผมพูดปัดให้พ้นๆไป.........แต่ในใจนั้นรู้ดีว่าน้องพรกำลังพยายามจะบอกอะไรผมอยู่...........

                     “พี่กั้งไปตีเทนนิสด้วยกันสิครับ” อาร์เอ่ยปากชวนระหว่างที่เรากำลังนั่งรถกลับมหาวิทยาลัย..........
                     “จะดีเหรอ พี่ไม่ได้เล่นนานแล้ว ขืนไปก็รังจะเป็นตัวถ่วงเปล่าๆ” ผมทำเป็นแสร้งออกตัว........พยายามทอดน้ำเสียงให้ดูอ้อยสร้อย...........น่าสงสาร..........
                     “ไปสิพี่กั้ง ช่วงนี้นัทก็ไม่อยู่ ดีกว่าอยู่คนเดียว” น้องพรช่วยสำทับ...........เอาจริงเหรอ..........แต่ก็น่าสนุกดีนะ..........มีเรื่องให้ทำ...........ย่อมดีกว่าอยู่เปล่าๆ............
                     “ไว้หลังรับปริญญาแล้วกัน ตอนนี้พี่ยังไม่มีไม้เทนนิสเลย” ผมทำทีแบ่งรับแบ่งสู้...........แหม....ถ้าไปจริงๆ หล่อนอาจจะเคืองผมก็ได้............เอาเป็นว่าถ้าไม่มีอะไรทำ ก็ดอดไปป่วนชาวบ้านเล่นๆ คงจะพอหายเซ็งไปได้บ้าง..............หุหุ...........บอกไว้ก่อนนะว่าผมร้ายไม่จริงหรอก......ก็เพียงแต่คิดเล่นๆภายในใจอันแสนซื่อดวงนี้.......ก็เท่านั้นเอง...........

หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: tor13 ที่ 26-06-2007 10:12:47
มาเขียนแต่เช้าเชียวน่ะวันนี้ :m14:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 26-06-2007 10:38:59
ไม่ใช่ซะหน่อย เขียนไว้ตั้งกะเมื่อวานตะหาก............แค่วันนี้มาทำงานเร็วเลยโพสแต่เช้าเฉยๆ.....อุอุ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 26-06-2007 13:12:43
จะได้คุยกันแบบสวีทบ้างมั๊ยครับเนี่ย  เห็นคุยกันทีไรจบไม่เป็นท่า ทู๊กที     :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 26-06-2007 13:18:02

.............ขิงก็รา...ข่าก็แรงจิง... o16 o16
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 26-06-2007 14:49:54
ร้ายไม่จริง?

ขอเถียงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 26-06-2007 17:54:53
ร้ายไม่จริง?

ขอเถียงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง



เห็นด้วยครับ       
 :m12: :m12: :m12:   
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 26-06-2007 18:19:34
เข้าขากันเชียวนะ........รุมกันใหญ่เลย......ฝากไว้ก่อน.......อิอิ :m8:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 26-06-2007 18:53:40
บอกไว้ก่อนนะว่าผมร้ายไม่จริงหรอก......ก็เพียงแต่คิดเล่นๆภายในใจอันแสนซื่อดวงนี้.......ก็เท่านั้นเอง...........
ม่ายเชื่อ  :m14:   :m14:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 27-06-2007 08:47:03
ทำไมทุกคนถึงคิดว่าเราร้ายเนี่ยยยยยยยยยย..........แกล้งกันหรือป่าว
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 27-06-2007 09:12:31
                         “แก.....แกไปนอนที่บ้านพี่เติ้ลได้มั้ย พอดีแฟนฉันมันจะมาอ่ะ” .............ไม่อยากจะทำแบบนี้เลย..........แต่สุดท้ายผมก็เลือกแฟนก่อนเพื่อนจนได้...............เฮ้อ...........เวรกรรม
                         “ย่ะ......... ฉันรู้อยู่แล้วว่าแกต้องเลือกแฟน” .........เพื่อนสาวผมบ่นกระปอดกระแปด.......แม้ว่าปากหล่อนจะบอกว่าเข้าอกเข้าใจเป็นอย่างดี.............แต่ผมรู้ว่าเพื่อนคงจะน้อยใจจากเหตุการณ์ครั้งนี้มากพอดู.......
                        “เอาเป็นว่าถ้าแกมาแล้ว ฉันจะรับแกไปส่งซ้อมรับปริญญานะ” ผมให้คำมั่นสัญญา..........คิดว่าอย่างน้อยๆเพื่อนก็คงจะหายเคืองไปได้บ้าง..............
                        “ย่ะ เอาไว้ฉันจะโทรไปก็แล้วกัน”.............รู้สึกแย่จัง..............รู้ทั้งรู้ว่าเพื่อนเป็นสิ่งที่แน่นอนกว่า..........ในขณะที่แฟนนั้นสามวันดีสี่วันไข้หวังพึ่งพาอะไรไม่ได้เอาซะเลย...............แต่ผมก็ยังเลือกแฟนอยู่ดี.........อานุภาพของความรักนี่ช่างมหาศาลจริงๆ............ทำให้เพื่อนทิ้งเพื่อนได้ลงคอ.........เศร้า.......

                          เช้าวันรุ่งขึ้นผมขับรถไปรับเพื่อนสาวจากบ้านพี่เติ้ล แล้วพาไปส่งที่หอประชุมเพื่อซ้อมรับปริญญา...........ตั้งแต่หล่อนมาถึงเชียงใหม่เราสองคนยังไม่ได้มีเวลามานั่งคุยกันเป็นกิจจะลักษณะเลย..............ก็เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าบัณทิตใหม่นั้นมีเรื่องยุ่งๆต้องให้สะสางมากมายแค่ไหน.............หล่อนมาเชียงใหม่คราวนี้ไม่มีรถรามาใช้........ ในใจก็คงจะหวังพึ่งเพื่อนรักอย่างผมให้พาไปจัดการธุระนั่นนี่ตามสมควร............ในขณะที่ผมเองนั้นไม่สามารถจะแบ่งภาคได้ดังเจ้าแม่กาลีปางอวตารปราบมาร..........ความลำบากใจอย่างสุดแสนจึงคุกรุ่นอยู่ภายในใจเงียบๆ..........นัทก็ยังไม่โทรมาเลย..........เค้าเองก็คงมีแผนจะเดินสายไปร่วมแสดงความยินดีกับพี่รหัส พี่ชมรม พี่เทค และพี่อะไรต่ออะไรอีกสารพัด..........แม้ว่าเค้าจะไม่ได้ยืนยันว่าจะโทรมาหา.........แต่ผมรู้ว่าเค้าจะต้องหาเวลามาเจอกับผมจนได้..............และเพื่อการนี้..........ผมถึงกับยอมลงทุนเขี่ยเพื่อนสาวให้ออกไปพักที่อื่น............เพื่อที่จะเคลียร์ห้องให้ว่างเอาไว้สำหรับนัทเสมอ...........ทั้งๆที่ไม่แน่ใจเสียด้วยซ้ำว่านัทจะมาค้างด้วยเหรอไม่..............มันเป็นเหมือนการทรยศต่อเพื่อนอย่างไม่น่าให้อภัย............ผมจึงทั้งรู้สึกเครียดและก็วุ่นวายใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้..........

                          “แก....บ่ายนี้ซ้อมเสร็จแล้ว แกพาฉันไปเดินหาซื้อเสื้อนักศึกษา และก็รองเท้าหน่อยสิ” เพื่อสาวปรารภ ระหว่างที่ผมพาหล่อนมาส่งที่หอประชุม.........แปลกแต่จริงจบตั้งปริญญาเอกแล้วยังจะให้แต่งตัวเป็นเด็กปีหนึ่ง.........ตลกดี
                         “ได้สิ เอาไว้แกซ้อมเสร็จแล้วโทรมาหาฉันละกัน” ผมรับปาก........ในใจนั้นนึกภาวนาขออย่าให้นัทโทรมาช่วงเวลานั้นเลย.............ถ้าเป็นไปได้ผมอยากให้นัทมาเจอผมหลังจากที่เราทั้งคู่เสร็จภารกิจในช่วงเย็นจะดีกว่า.........แต่ผมคงทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะผมไม่มีสิทธ์ไปกะเกณฑ์ให้เค้าทำนั่นนี่แต่อย่างใด.........สิ่งเดียวที่ผมทำได้คือการรอคอย..............ถ้าเค้าโทรมา.........ไปได้ก็ไป.........ไปไม่ได้ก็ไม่ไป...........แต่ผมรู้ดีอยู่แล้วว่าผมจะเลือกเอาอย่างไหนระหว่างไปหรือไม่ไป.........

                          สุดท้ายโชคชะตาก็ไม่เข้าข้างผมจนได้...............เพราะพระเจ้ามักจะมีวิธีการกลั่นแกล้งมนุษย์ตาดำๆอย่างเราๆสารพัดรูปแบบนั่นแหล่ะ...........
                         “พี่กั้งอยู่ไหน” นัทโทรมาราวสิบเอ็ดโมง.............ในขณะที่ผมเพิ่งแยกจากเพื่อนสาว.........และกำลังจะบ่ายหน้าไปที่แลปพอดี........
                         “อยู่ในมหาลัย แล้วนัทอ่ะ อยู่ไหน” ผมถามต่อด้วยใจระทึก............ทั้งอยากเจอ..........และก็ไม่อยากให้มาเจอตอนนี้...........
                        “อยู่หอ มารับหน่อย หิวข้าว”.........ว่าแล้วเชียว............ทำไมซื้อหวยไม่แม่นขนาดนี้วะ......
                        “ได้ๆ รอแป๊บนะ” ผมรับปากอย่างร้อนรน...........เกลียดการวิ่งรอกเป็นที่สุดเลย.......

                        นัทยืนรอผมอยู่ใต้ต้นหูกวางที่หน้าหอพักอยู่ก่อนแล้ว..............ไม่เจอกันซะนานเลย..........ความจริงผมน่าจะรู้สึกเป็นสุขใจมากกว่านี้ ถ้าไม่ติดที่ว่าได้เอ่ยปากรับคำเพื่อนสาวเอาไว้แล้ว ว่าจะพาไปเดินซื้อของใช้จำเป็นในตอนบ่าย..............แค่ความผิดที่ไม่ยอมให้หล่อนมานอนค้างด้วยที่ห้องก็มากพออยู่แล้ว..........แล้วถ้ายังจะมาก่อความผิดซ้ำสองโดยการเบี้ยวนัดบ่ายนี้ เพื่อนคงไม่ให้อภัยผมเป็นแน่...........
                       “จะกินอะไรดี” ผมเอ่ยถาม............พลางใช้สายตาลอบสำรวจความเปลี่ยนแปลงของนัท..........ไม่ได้เจอกันนานเกือบสามสัปดาห์...........นัทดูซูบผอมไปเป็นกอง...............ใบหน้าเกรียมเพราะกรำลมและแดด......ผมเผ้าดูกะเร้อกะรัง.........
                      “ทำไมถึงได้ดูโทรมขนาดนี้ล่ะ” ผมเผลอรำพึงออกมาเบาๆ................น้ำตาพาลจะไหลเพราะความสงสารคนรักที่ต้องไปตกระกำลำบากในถิ่นทุรกันดาร............
                      “โทรมจริงๆเหรอ” นัทยกมือขึ้นลูบคลำใบหน้า.............ท่าทางเค้าดูขวยเขิน..........คงเป็นเพราะเราสองคนไม่ได้เจอกันนาน...........ปกตินัทจะไม่ออกฤทธิ์เดชเวลาอยู่ต่อหน้าผม.........ส่วนมากเค้ามักจะพูดอะไรแย่ๆเฉพาะตอนที่เราคุยโทรศัพท์กันมากกว่า..........ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม...........อาจเป็นเพราะเค้าได้กลับไปเป็นตัวของตัวเองอย่างเต็มที่กระมัง.............

                     เราขับรถออกมาตามเส้นทางสายรอบเมือง...........ช่วงเวลาที่ผู้คนเนืองแน่นไปทุกมุมเมืองเช่นนี้.............การได้หลบออกมาในมุมที่ห่างไกลแหล่งชุมชน ค่อยทำให้รู้สึกหายใจโล่งคอขึ้นมาหน่อย........อีกทั้งผมไม่อยากจะให้นัทรู้สึกอึดอัดจากการที่ต้องคอยระแวดระวังว่าจะโดนจับตามองจากคนรู้จักซึ่งอาจเพิ่มจำนวนมากขึ้นไปตามจำนวนคนที่หลั่งไหลมาจากทั่วทุกสารทิศ..............
                    “พี่กั้งแวะซื้อโรตีหน่อยสิ นัทอยากกิน”..........เห็นของกินเป็นไม่ได้เชียว............เป็นอันต้องแวะทุกทีสิ..............ผมชะลอรถแวะเข้าไปจอดที่เพิงไม้เล็กๆตามคำเรียกร้อง.........แม่ค้ายืนยิ้มแป้นรอท่า..........ที่แผงไม้ไผ่เล็กๆมีโรตีสายไหมหลากสีสันวางเรียงรายน่ากิน..............ผมไม่เคยขัดใจนัทเลยถ้าไม่จำเป็นจริงๆ...............

                      “อ่ะ กินมั้ย” นัทยื่นม้วนโรตีที่เค้าบรรจงพันด้วยตัวเองมาจ่อให้ที่ปาก..............แบบนี้ค่อยน่ารักหน่อย...............บางทีเค้าก็ทำอะไรหวานๆจนผมแทบจะตั้งตัวไม่ติดเหมือนกัน...........อาทิ ปิ้งขนมปังเอามาเสิร์ฟให้..........เอาน้ำมาป้อน...........หรือป้อนขนม อะไรพวกนี้............ถึงผมจะเป็นคนโรแมนติกอยู่บ้าง.....แต่การปฏิบัติต่อกันหวานๆแบบนี้ บางครั้งก็ชวนให้รู้สึกกระอักกระอ่วนใจพิกล..........
                      “อร่อยจัง” ผมเอ่ยปากชม........อยากจะถามคิวเย็นนี้ของเค้าจังเลย.........แต่ไม่กล้า...........เดี๋ยวเค้าจะหาว่าเราอยากจะให้มานอนค้างด้วยจนตัวสั่น...............เรื่องแบบนี้เค้าน่าจะเป็นคนบอกเองจะดีกว่า........
                     
                      “อยู่ที่โน่นทำอะไรมั่ง ลำบากมากหรือเปล่า” ผมถามไถ่ด้วยความห่วงใย..........ถ้าไม่ถามต่อหน้า เค้าคงไม่บอกผมแน่...........ปกติถ้าคุยโทรศัพท์กันทีไรเป็นอันต้องเอ็ดตะโรผมทุกที
                     “ก็ทำงานที่โรงพยาบาลและก็ออกชุมชุนไปเก็บข้อมูลบ้างแล้วแต่วัน” เวลาที่เราสองคนคุยกันมากที่สุดคือตอนที่อยู่บนรถ...........ถ้าอยากจะรู้อะไรจะต้องคอยตะล่อมถามเอาตอนนี้..........เพราะหากไปซอกแซกในเวลาอื่นเค้าจะไม่ยอมให้ความร่วมมือเอาซะเลย

                      นัทเล่าเรื่องราวการใช้ชีวิตของเค้าระหว่างที่ไปฝึกงานให้ผมฟังไปเรื่อยๆ ตามแต่จะนึกออก.............ธรรมชาติของนัทเป็นคนช่างพูด..............เค้ามักจะเล่าอะไรต่ออะไรมากมายเกี่ยวกับตัวเค้าให้ผมฟังเสมอๆโดยที่ไม่ต้องเอ่ยปากซักถามให้เหนื่อยแรง............ทั้งนี้เค้าจะต้องอยู่ในสภาวะที่ไร้ความกดดัน..........สภาวะที่เสมือนว่าในโลกนี้มีกันแค่เราสองคน............ซึ่งส่วนมากก็มักจะเป็นที่ห้องหรือไม่ก็ระหว่างการขับรถ...........
                     “เดี๋ยวเราแวะกินข้าวที่นี่กันนะ” ผมตัดสินใจเลือกร้านที่เห็นว่าเหมาะสมสำหรับการหลบมุมคุยกันของเราสองคน............

                       บรรยากาศของร้านรอบเมืองค่อนข้างเงียบเหงา.......ทั้งร้านมีลูกค้าเพียงไม่กี่โต๊ะเท่านั้น.........แต่กระนั้นก็ตาม...........นัทก็ยังคงมีท่าระแวดระวังจนน่าโมโห...........สุดท้ายเราจึงเลือกนั่งที่โต๊ะชั้นสอง ซึ่งมีลูกค้าบางตากว่า.............

                      หลังจากที่อาหารถูกนำมาเสิร์ฟที่โต๊ะเรียบร้อยแล้ว...........นัทลงมือทานอย่างเอร็ดอร่อย............ผมมองดูนัทกินข้าวด้วยความเป็นสุขใจ...........ผมชอบให้เค้ากินมากๆ.........โดยเฉพาะเค้ากลับมาหาผมในสภาพร่างกายที่ผ่ายผอมแบบนี้..........ผมยิ่งอยากให้เค้าได้กินของอร่อยๆและมีความสุข..........อยู่ที่โน้นคงจะอดอยากน่าดู..........จะมีใครไปคอยดูแลเรื่องกินเรื่องอยู่ให้.........ลำพังตัวเค้าเองจะมีความรับผิดชอบอะไรกับชีวิตได้นักหนา...............

                     ระหว่างที่เราสองคนกำลังเพลิดเพลินกับการกิน......พลันก็แว่วเสียงโทรศัพท์ดังลอดออกมาจากกระเป๋า..........ผมเอื้อมมือไปล้วงออกมาดู...........ในใจภาวนาขอไม่ให้เป็นเพื่อนสาว........ทั้งๆที่รู้อยู่เต็มอกว่าเนหล่อน.........ซวยแล้วหล่อนจริงๆนั่นแหล่ะ.............แสดงว่าตอนนี้ซ้อมเสร็จแล้วแน่ๆ.................
                      “ฮัลโหล.....เป็นไงจ้ะ” ผมพยายามทำใจดีสู้เสือเอาไว้ก่อน.............ลำบากใจจริงๆที่ต้องผิดคำพูด......
                      “เออ .....ฉันซ้อมเสร็จแล้ว ตอนนี้แกอยู่ไหน”............จะทำยังไงดีล่ะ.............จะผละไปแบบนี้นัทคงต้องโกรธแน่ๆ................แต่จะให้เพื่อนไปซื้อของเองก็คงจะลำบากน่าดู...............หล่อนไม่มีรถ...........ไหนจะเหนื่อยจากการเดินทางมาเชียงใหม่รวมทั้งเหนื่อยจากพิธีซ้อม..............หากมีสารถีคอยพาไปนั่นมานี่ก็คงจะช่วยบรรเทาความเหนื่อยล้าได้อีกอักโข.....................แต่ผมดันมาหักลำทรยศกลางอากาศซะแบบนี้..........ไม่อยากจินตนาการความแค้นที่จะลุกโชนภายใจของเพื่อนสาวเลย........
                      “แกไปเองก่อนได้มั้ย ตอนนี้ชั้นอยู่ข้างนอก” ในที่สุดผมก็ทำใจดำตัดเยื่อใยเพื่อนรัก...........จะทำไงได้ล่ะ ก็ผมไปไม่ได้จริงๆนี่............
                      “เออ.........อยู่กับแฟนล่ะสิ............ชั้นไปเองก็ได้ แกไม่ต้องห่วงหรอก” เพื่อนสาวผมออกตัว..........ดูเอาเถิดน้ำใจเพื่อนที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา............ขนาดว่าผมทรยศหล่อนอย่างไม่น่าให้อภัยขนาดนี้........หล่อนยังมีน้ำใจไม่ถือโทษโกรธเคือง.............แล้วผมจะดูดายเพื่อนได้อย่างไร...
                     “เดี๋ยวสักบ่ายๆ ฉันจะพาไปซื้อของมาทำกับข้าวงานปาร์ตี้แกนะ” ผมขันอาสาเพื่อกู้สถานการณ์..............คงต้องยอมสละนัทในเย็นนี้เสียแล้ว................หากขืนยังทำตัวบ้าผู้ชายต่อไปมีหวังได้ตัดเพื่อนกันพอดี...............แฟนเรายังจะได้เจอกันอีกนาน.............แต่เพื่อนนานๆมาเยี่ยมที...........จะไม่ดูดำดูดี ก็เห็นจะแล้งน้ำใจไปหน่อยกระมัง............

                       หลังจากรับประทานอาหารเสร็จผมจึงพานัทกลับไปแวะที่ห้อง..............นัทมีท่าทางเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด............
                       “นอนลงสิ เดี๋ยวพี่จะนวดให้” ผมเชิญชวนให้เค้ารับบริการนวดพิเศษ..........เผื่อว่าจะช่วยคลายเมื่อยล้าได้บ้าง
                       นัทนอนพังพาบไปกับที่นอน..........ผมขยับตัวขึ้นไปนั่งคร่อมบนหลัง............และลงมือนวดไปตามจุดสำคัญต่างๆ.............ขมับ........หัวไหล่ สะโพก.........น่อง........และก็ที่นั่น....อิอิ
                       “พี่กั้งนวดเก่งจัง เคยเรียนมาหรือเปล่า” นัทเอ่ยปากชม............หุหุ.........ไอ้เรื่องพวกนี้มันอยู่ในสายเลือดอยู่แล้ว..........แค่นวดนี่ยังน้อยไปด้วยซ้ำ...............

                       เราสองคนนอนคุยเรื่องราวต่างๆเบาๆ.............จนเวลาล่วงเลยไปถึงบ่ายคล้อย..........ผมเริ่มกระสับกระส่าย.............
                       “เป็นอะไร” นัทถามเมื่อเห็นอาการผมไม่ปกติ..........ดูนาฬิกา.....ผุดลุกผุดนั่ง.............จึงได้จังหวะที่ผมจะต้องบอกในสิ่งที่ไม่อยากจะบอกเสียที.................
                      “พี่นัดกับเพื่อน ว่าจะพาเค้าไปซื้อของมาทำกับข้าวเลี้ยงงานรับปริญญา ไปด้วยกันมั้ย” ผมบอกความจำเป็นเพื่อขอความเห็นใจ.......ทั้งยังเอ่ยปากชวนเค้ามาร่วมด้วย..........ทั้งๆที่รู้ว่าเค้าไม่มีทางจะมาด้วยแน่ๆ............
                      “ไม่ไปหรอก พี่กั้งไปเถอะ”........เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ไม่มีผิด..........แต่ทำไมเค้าไม่เห็นมีท่าทีว่าจะลุกเลยล่ะ.........จะแกล้งถ่วงเวลาไปถึงไหนกัน...........นี่ผมก็เลยเวลานัดมาพอสมควรแล้ว..........จะเร่งเค้าก็ไม่กล้า..........จึงได้แต่ทำท่าฟึดๆฟัดๆ ไปตามเรื่องตามราว
                      เหมือนเค้าจะสังเกตเห็นและคงรำคาญเต็มที.........จึงผลุดลุกขึ้นเดินไปเก็บของนำหน้าไปที่ประตู
                     “วันหลังจะไม่มาอีกแล้วนะ วันนี้อุตส่าห์ว่าจะมาอยู่ด้วย” เค้าบ่นน้ำเสียงน้อยใจ โดยที่ไม่หันมามองหน้าผมเลยสักนิด ก่อนจะเดินนำหน้าออกไปจากห้อง.........ผมเข่าแทบทรุดลงไปตรงนั้นเมื่อได้ฟัง.............ก็ใครมันจะไปรู้ล่ะว่าคุณจะว่างมาตอนไหน............ถามอะไรก็ไม่เคยบอกเคยกล่าว มีแต่เอ็ดๆๆ.............คิดวางแผนเอาเองอยู่ในใจโดยไม่ถามไถ่สักคำ.........คิดว่าคนอื่นเค้าจะมาว่างนั่งคอยตัวเองอยู่คนเดียวหรือไงกัน.............เค้าไม่รู้เลยเหรอว่าผมต้องยอมหักหลังเพื่อนเพื่อเค้าขนาดไหน.......กลายเป็นว่าเพื่อนก็เคือง........แฟนก็งอน...........เจริญล่ะ..........ไม่ได้ดีอะไรสักอย่างเดียว

                      หลังจากที่ส่งนัทกลับหอไปแล้ว............ผมขับรถมุ่งหน้าเพื่อไปรับเพื่อนสาวด้วยหัวใจที่ห่อเหี่ยว............เคราะห์ซ้ำกรรมซ้อนอะไรนักหนาฮึกั้งงงงงงง...........
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 27-06-2007 09:51:04
อย่างนี้ผมก้อเคยเป็นอ่ะ  แต่ตอนนั้นผมเลือกเพื่อน  หลังจากนั้นก้อตามไปง้อแฟน ( หรือกิ๊ก ) ทีหลังอ่ะ  :try2:

พอดีเค้าเป็นคนใจอ่อน  เลยไม่เป็นไร  แต่กะนัท โผมม่ายยู้  ฮ่า ฮ่า ฮ่า   :laugh:

( พลาดอย่างแรง ผมกะว่าดึกๆน่าจะมีศึกวันธงชัย    :m10:) 
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 27-06-2007 10:06:04
ลามก.....คิคิ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 27-06-2007 11:54:25
สงสารจัง











แต่...สมน้ำหน้ามากกว่า  อิอิ  :m14:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 27-06-2007 19:03:20
เพื่อนกับแฟน ระวังเสียทั้งสองอย่างพร้อมกันนา  :m14:  :m14:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 27-06-2007 19:04:03
อืมม  เป็นคราวซวย  เพื่อน VS แฟน (รึเปล่านะ 55)   :m12:

ช่วยสมน้ำหน้าอีกคนได้ปะ  อิอิ :m14:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 28-06-2007 09:21:56
แทนที่จะเห็นใจกันไม่มีหรอกนะ.........ใจร้ายจัง....คิคิ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 28-06-2007 09:32:53
                         ปาร์ตี้คงจะสนุกมากกว่านี้หลายเท่านัก..........หากผมไม่มีเรื่องให้ต้องคอยคิดกังวลอยู่ในใจ...........แต่จะมามัวนั่งทำหน้าอมทุกข์ให้คนอื่นต้องพลอยหมดสนุกไปด้วย ก็คงเห็นแก่ตัวมากไปสักหน่อย......ผมจึงพยายามทำตัวให้เนียนไปตามบรรยากาศอันครื้นเครงของงานปาร์ตี้อย่างเสียไม่ได้...............เบียร์แก้วแล้วแก้วเล่าถูกยกกระดกผ่านลำคอราวกับน้ำเปล่า..............ได้เบียร์เย็นๆสมองค่อยปลอดโปร่งขึ้นมาหน่อย.............ยิ่งดึกใบหน้าผมก็ยิ่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มระรื่น โดยที่ไม่ต้องเสแสร้งให้เมื่อยเหมือนเมื่อหัวค่ำอีกต่อไป............

                         ตอนนี้ผมก็ยังเข้าหน้าเพื่อนสาวไม่ค่อยติดเท่าไหร่..............ไม่รู้ว่าหล่อนจะเคืองเรื่องเมื่อตอนกลางวันมากน้อยแค่ไหน.................ถึงอย่างไร โดยรวมหล่อนก็ยังดูปกติดี ไม่ได้มีวาจาท่าทีกระแทกกระทั้นให้ผมต้องรู้สึกสะท้อนสะท้านหัวใจ..........แต่ไอ้ความรู้สึกผิดที่ว่านั้น มันไม่จำเป็นต้องให้ใครมานั่งสาธยายว่ากล่าวให้เปลืองน้ำลายเปลืองแรง............หากแต่มันรู้สึกสำนึกได้เองภายในใจ.................ราวกับว่ามันแปะหราที่หน้าผาก คอยประจานตามติดไปกับเราทุกอิริยาบถกระนั้น........
                         “พรุ่งนี้แกจะไปแต่งหน้ากี่โมง” ผมกระแซะเข้าไปถามเพื่อนรักเมื่อสบโอกาส….
                        “ตีสาม.........แกไม่ต้องมาหรอก เดี๋ยวชั้นให้พี่แจงไปส่งให้ก็ได้” เพื่อนสาวออกตัว........เพราะรู้ว่า การตื่นตีสามในคืนที่มีอากาศหนาวเย็นของเดือนมกราคมไม่ใช่เรื่องง่ายเลย..........โดยเฉพาะกับคนที่ดื่มเบียร์จนตาหวานเยิ้มอย่างผมขณะนี้............
                        “เฮ่ย......ไม่เป็นไรหรอก............อากาศหนาวจะตาย จะปล่อยให้แกนั่งซ้อนมอเตอร์ไซด์พี่แจงไปได้ยังไง..........อีกอย่างแต่งหน้าทำผมมาสวยๆ โดนลมตี เดี๋ยวก็ได้เป็นยายเพิ้งกันพอดี” ผมให้เหตุผลซึ่งเพื่อนก็มีท่าทีคล้อยตาม........แต่ที่ไม่อยากรบกวนคงเพราะว่ายังเคืองผมเรื่องเมื่อตอนกลางวันแน่ๆ (คิดมากไปหรือเปล่าเนี่ย) ............ถึงยังไงผมก็จะไม่ยอมใจดำปล่อยเพื่อนซ้อนรถมอเตอร์ไซด์โต้ลมหนาวไปแต่งหน้าตอนตีสามแน่ๆ...........
                       “อืม........ถ้าแกตื่นไหวก็โอเค” ในที่สุดเพื่อนสาวก็หายโกรธยอมรับความช่วยเหลือจนได้
                       “อ้อ....มีอีกอย่าง พรุ่งนี้แกไปช่วยเทคแคร์ญาติให้ฉันหน่อยนะ..........ช่วงที่ฉันเข้าหอประชุมแกก็ช่วยพาเค้าไปกินข้าวกินปลาหน่อยก็แล้วกัน”...........ได้คืบจะเอาศอกเชียวนะแก.........อิอิ........
                      “ได้สิ....สบายอยู่แล้ว” ผมยิ้มรับ.........ผมรู้ว่าถ้าถึงคราวผมรับปริญญาบ้าง.........เพื่อนๆทุกคนจะต้องมาคอยตามพะนอ เติมแป้ง ซับเหงื่อ....ถ่ายภาพกันให้วุ่น........ที่ผมทำให้เพื่อนแค่นี้มันยังน้อยเกินไปด้วยซ้ำ..........หวังใจเหลือเกินว่าการทำความดีไถ่โทษคราวนี้คงจะทำให้เพื่อนหายเคืองไปได้บ้างนะ..........

                        ตกดึกอากาศเริ่มหนาวเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ...........กับแกล้มก็เริ่มหร่อยหรอลงไปตามขนาดของหน้าท้องของพวกเราที่เริ่มยื่นขยาย...........กลุ่มสนทนาเริ่มตีวงแคบเข้ามา กลายเป็นทอล์คโชว์ขนาดย่อม........นำทีมโดยน้องพรและพี่แจง.........ผมขยับเข้ามายืนใกล้ๆ คอยทำหน้าที่เป็นลูกคู่ให้ทั้งสองฝ่าย เพื่อการสร้างความครื้นเครง
                        “ทำไมแกไม่พาแฟนแกมาด้วยยยยยยย...... ฉันอยากจะขอบคุณเค๊า” พี่แจงเปิดประเด็นซักน้องพรลิ้นรัว เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์........หล่อนเป็นสาวก๋ากั๋น.........มักพูดจาตึงตังแต่เรียกเสียงฮาจากคนอื่นๆได้เสมอ............
                        “เค้ามาไม่ได้..........เค้าติดธุระ........เดี๋ยวพรุ่งนี้น้องถึงจะพามาเปิดตัว” น้องพรลอยหน้าตอบโต้........ท่าทางสะบัดสะบิ้ง
                        “แล้วเจ๊จะไปขอบคุณเค้าเรื่องอะไร จะหลอกกินแฟนน้องล่ะสิไม่ว่า” ผมสอดขึ้นมา ทำท่าพยักเพยิดไปทางน้องพร.......เพื่อให้ทอล์คโชว์จำเป็นไหลลื่นไม่ติดขัด...........
                       “แกจะบ๊าเหรอนังกั๊งงงงงงง.......เจ๊แค่จะไปขอบคุณเค้า ที่ทำให้น้องเจ๊มีความสุขขขขข” เจ๊แจงยังไหลลื่นไปได้ ตามประสาคนแก่แต้ม.........
                       “ทำไมไม่ไปขอบคุณแฟนพี่กั้งบ้างล่ะ พี่กั้งก็มีแฟนนะ มีก่อนน้องอีก” น้องพรทำท่านินทาเสียงดัง ปากยื่นปากยาว..........ทุกคนหันมามองที่ผมเป็นตาเดียว
                       “แฟนมีแฟนก็ต้องมา ถ้าแฟนไม่มา แปลว่าแฟนไม่มี อิอิ” ผมหยิบเอามุขเฉิ่มๆมาใช้ เพื่อเอาตัวรอด ก่อนจะแกล้งเดินเลี่ยงออกมา ทำทีไปเข้าห้องน้ำ..........นี่เรามีแฟนจริงๆหรือเปล่าเนี่ย.........ผมรำพึงในใจ พลางขยับเสื้อกันหนาวให้กระชับยิ่งขึ้น........หนาวจัง.........ทำไมมันหนาวอย่างนี้..........หนาวไปจนถึงขั้วหัวใจเลย............

                         กริ๊งงงงงงงงงงงงงงงง...............เสียงนาฬิกาปลุกผู้ซื่อตรงดังเร่งเร้ามาจากโต๊ะหัวเตียง กระชากผมให้ลุกจากผ้าห่มอันแสนอุ่น...............ตีสาม...............ผมเหลือบตามองนาฬิกา ทำไมถึงง่วงอย่างนี้วะ...........ผมงัวเงียลุกขึ้นหาเสื้อผ้ามาสวม.......ใส่อะไรก็ได้มั้ง ไม่ต้องล้างหน้าหรอก........นี่มันตั้งตีสามแล้วจะมีใครมาสนใจดูใคร.........ผมแต่งตัวลวกๆก่อนจะผลุนผลันออกไปจากห้อง…………

                         “กั้ง ฉันดูดีหรือยัง” เพื่อนสาวหันมาถามความเห็น.............เรื่องความสวยความงามไม่ว่าใครก็ใครต่างต้องพิถีพิถันด้วยกันทั้งนั้น...............
                         “เติมตาอีกหน่อยดีมั้ย” ผมให้ความเห็น............ผมรู้ดีว่าความเห็นของผมไม่ได้มีอิทธิพลอะไรต่อการแต่งหน้าของเพื่อนมากมาย...........แต่มันเป็นการใส่ใจต่อกัน.........ซึ่งทำให้ผู้ได้รับมีความรู้สึกอบอุ่นใจที่มีเพื่อนรักคอยดูแล แบ่งเบาเรื่องเล็กน้อยๆออกไปจากอกบ้าง
                        “ไหนขยับมาซิ ฉันจะช่วยสวมครุยให้” ผมเอ่ยปากช่วยเหลือเมื่อเห็นเพื่อนหยิบชุดครุยขึ้นมาสวม............น่าปลื้มใจแทนเพื่อนจริงๆ หลังจากที่ทนลำบากตรากตรำมาตลอดชีวิต....ในที่สุดที่ประสบความสำเร็จซะที..............
                       “อะ.....นี่เงินขวัญถุงนะ ขอให้รวยๆนะเพื่อน” ผมชูธนบัตรใบแดงให้เพื่อนดู ก่อนจะสอดลงไปที่ฮู้ด............เป็นธรรมเนียมเพื่อให้บัณฑิตรุ่งเรืองในหน้าที่การงานและเงินทอง.........แต่จริงๆแล้วก็เอาไว้ให้หยิบใช้นั่นแหล่ะ......เพราะเข้าหอประชุมรับพระราชทานใบปริญญาบัตรนั้นเค้าห้ามพกอะไรติดตัวโดยเฉพาะพวกโลหะต่างๆ........เผื่อเพื่อนออกมาจากหอประชุมแล้ว เกิดคอแห้งอยากดื่มน้ำแก้กระหายขึ้นมาจะได้มีตังเอาไว้ไปแลกเค้ากินกันตาย...........
   
 
                           “ฉันส่งแกลงตรงนี้นะ เดี๋ยวสายๆจะพาแม่แกมารอที่หน้าหอประชุม ถ้าแกออกมาแล้วมาหาฉันที่ต้นลั่นทมตรงนั้นนะ” ผมซักซ้อมความเข้าใจกับเพื่อนเป็นมั่นเป็นเหมาะ ก่อนจะขับรถมุ่งหน้ากลับคอนโด............นี่ยังตีห้าอยู่ นอนต่ออีกสักหน่อยค่อยออกมารับคุณแม่ก็แล้วกัน..........ผมผล็อยหลับไปอย่างง่ายดายเมื่อหัวถึงหมอน เพราะความเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ..........

                            เลยเที่ยงมาได้สักหน่อยแล้ว............ประเดี๋ยวบัณฑิตรอบแรกคงจะถูกปล่อยตัวออกมาเพื่อให้รอบบ่ายได้เข้าไปแทนที่............ผมยืนชะเง้อคอยมองหาเพื่อนสาวอยู่กับญาติๆของหล่อน โชคดีที่มีพี่แจงคอยเทคแคร์เป็นตัวหลัก ผมจึงเบาแรงไปได้เยอะ............แค่ยืนยิ้มและคอยทำเสียงอือๆออๆเวลามีใครซักถามก็พอ..............
                           “โทรศัพท์แน่ะกั้ง...........พี่แจงสะกิดบอก ในขณะที่ผมกำลังนั่งหน้าตูมเพราะความร้อน” อากาศที่นี่ก็ช่างแปลกเหลือหลาย...........กลางคืนหนาวจนเข้ากระดูก............แต่กลางวันกลับร้อนยังกับทะเลทราย..........
                          “ฮัลโหล พี่กั้ง.....อยู่ไหนน่ะ” นัทส่งเสียงเจื้อยแจ้วมาตามสาย...........วันนี้ไปอารมณ์ดีมาจากไหนนะ
                          “พี่อยู่หน้าหอประชุม รอเพื่อนอยู่” ผมบอก.....สงสัยจะมาเรียกไปกินข้าวแน่ๆ
                          “วันนี้นัทอยากเลี้ยงข้าวพี่กั้ง”...............เฮ้ย............วันนี้มาแปลกว่ะ..........อารมณ์ไหนเนี่ย จะเลี้ยงข้าวเลี้ยงปลา.........ปกติเห็นใช้เงินประหยัดจะตาย.........
                          “ถ้าพี่เสร็จธุระแล้วจะโทรหาละกัน เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว”...........ทำไงดีล่ะ..........จะทำท่าร้อนรน ตัดช่องน้อยชิ่งหนีไป คงจะดูไม่ดีแน่..........อย่างน้อยๆก็ควรต้องรอให้เค้าถ่ายรูปและสนทนาพาทีกันจนเป็นที่พอใจก่อน.........สบช่องเมื่อไหร่ค่อยขอตัวลา..........แบบนี้คงดูไม่น่าเกลียด..........
 
                         นั่นไงหล่อนมาโน่นแล้ว...............เพื่อนสาวของผมเดินยิ้มแต้นำหน้าคนอื่นๆมาลิ่วๆ...............ผมโบกมือเรียกหล่อนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่ในใจนั้นร้อนรนเหลือหลาย.........ผมไม่กล้าบอกหล่อนหรอกว่ามีนัดต่อ..........จึงคิดจะอดทนรอให้มีการสลายตัวไปกันเองแล้วค่อยชิ่งจะดีกว่า..............แล้วนัทจะรอจนโมโหหิวมั้ยเนี่ย.........
                        “เดี๋ยวเราไปถ่ายรูปหน้าคณะเภสัชกันดีกว่า คนไม่เยอะดี” พี่แจงเสนอความเห็น.........ทุกคนคล้อยตามไม่มีปากเสียง.............คณะของเราจึงบ่ายหน้าไปในทิศของคณะเภสัชอย่างช้าๆ เนื่องจากระหว่างทางมีจุดให้แวะถ่ายรูปมากมาย............ผมเดินหลบมุมไปตามร่มไม้รายทาง ปล่อยให้คนอื่นๆถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน...........ในใจนั้นอยากจะฝืนเข้าไปร่วมวงให้เป็นที่ครื้นเครง.........ไม่อยากทำตัวเป็นคนขวางโลกแบบนี้..............แต่อากาศก็ช่างแสนร้อน............อีกทั้งผมเองก็ไม่ชอบการถ่ายรูปเอาซะเลย.............จึงจนใจที่จะฝืนความรู้สึกของตัวเองไปได้.........

                         หลังจากที่ทุกคนถ่ายรูปจนหนำใจแล้ว...........เพื่อนสาวจึงหันมาเอยปากชวนให้ไปกินข้าวกันต่อกับครอบครัวของเธอ...........โดยมารยาทผมควรจะไป..........แต่...
                         “แก........ฉันขอตัวนะ พอดีแฟนฉันมันให้ไปรับน่ะ” ผมบอกเพื่อนเสียงอ่อย..........ในใจนั้นนึกภาวนาขอให้เพื่อนเห็นใจในความพยายามของผมบ้าง.............ผมพยายามทำดีที่สุดแล้ว..........ไม่ใช่ว่าไม่รักเพื่อน..........แต่นัทกับผมจะไม่ได้เจอกันอีกตั้งสองหรือสามสัปดาห์...........ผมไม่อยากพลาดโอกาสที่จะอยู่กับเค้า...........ผมมีความจำเป็นจริงๆนี่...........
                         “อืมไม่เป็นไร เอาไว้ฉันจะโทรหาล่ะกัน” ..........เสียงหล่อนดูสลดลงเล็กน้อย...........เมื่อก่อนเราเคยไปไหนมาไหนด้วยกันเหมือนเงา..........จะทุกข์จะสุขก็มีเพื่อนอยู่คอยเคียงข้าง...........แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว.............ผมเปลี่ยนไป...........เพราะมีความรัก...............ความรักทำให้ผมเห็นแก่ตัว..........เห็นแก่ความรู้สึกของตัวเอง.............ไม่คิดถึงหัวอกเพื่อน............
                          “ขอโทษนะแก” ผมรำพึงในใจเบาๆ ก่อนจะเดินจากมา.........ถ้าเราได้เจอกันในภาวะที่ผมพร้อมมากกว่านี้.........เราสองคนคงได้มีโอกาสเรียกความรู้สึกดีๆของคืนวันเก่าๆกลับมาอีกครั้ง.......ไม่ว่าจะยังไงเพื่อนย่อมอยู่เคียงข้างเพื่อนเสมอ..........


                        “ทำไมมาช้าจัง” นัทบ่นกระปอดกระแปด
                         “เพิ่งแยกจากเพื่อนน่ะ รถติดน่าดูเลย” ผมหาข้ออ้าง...............เค้าจะรู้มั้ยนะว่าผมละทิ้งเพื่อนมาเพื่อเค้า...........จะรู้มั้ยว่าเค้าสำคัญกับผมมากแค่ไหน..........ถ้าเค้ารู้แล้วเค้าจะรักผมมากกว่านี้มั้ยนะ........
                       “ว่าแต่ว่าวันนี้นึกยังไงอยากจะเลี้ยงข้าวพี่น่ะ” ผมแกล้งกระเซ้า...........ค่อยชื่นใจขึ้นมาหน่อย..........นี่ล่ะหนาเขาถึงว่า พอได้เจอหน้าคนที่เรารัก ความทุกข์ในใจก็พลันมลายหายไปเป็นปลิดทิ้ง........
                        “ก็ไม่มีอะไร นัทแค่อยากเลี้ยงพี่กั้งเฉยๆ” เค้าบอกอายๆ.........นัทนี่ก็อายเป็นเหมือนกันนะ......ปกติเห็นชอบทำหน้าง้ำหน้างอเป็นจวัก............ถ้าเค้าทำตัวเป็นเด็กดีแบบนี้ตลอด ผมคงโชคดีมากที่ได้เค้ามาเป็นแฟน.......นัทไม่ใช่คนเจ้าชู้.........ไม่ชอบเที่ยว ไม่ดื่ม ไม่ทำเรื่องนอกลู่นอกทางให้ต้องหนักใจ.........เว้นแต่......เค้าไม่ยอมรับการใช้ชีวิตรักแบบเกย์.........ซึ่งผมยังคิดหาหนทางออกไม่เจอในตอนนี้ว่าจะเปลี่ยนทัศนะคติเค้าได้ยังไง................คงต้องรอให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ความจริงใจที่ผมมีต่อเค้า........ถ้าไม่โชคร้ายจนเกินไป ผมอาจทำสำเร็จ..........ผมเดิมขอพันด้วยแรงกายแรงใจทั้งหมดที่ทุมเทเพื่อนัทมาตลอดตั้งแต่วันแรกที่เราพบกันจนถึงปัจจุบัน............และอนาคตที่จะมาถึง.........ไม่ว่าจะสั้นหรือยาวก็ตาม..............

                       “อยากกินอะไรล่ะ” ผมถามความเห็น...........ปกตินัทก็เป็นคนกำหนดเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว........นานๆเค้าถึงจะตามใจผมสักที..............
                      “กินอาหารอินเดียแล้วกัน เดี๋ยวนัทจะบอกทางให้ ตอนนี้พี่กั้งขับรถไปแถวๆไนท์บาซาร์ก่อน” .........ผมพยักหน้าหงึกหงัก.............ผมไม่ชอบกินอาหารอินเดียเลย...........เผ็ดเครื่องเทศ........แต่ในเมื่อเค้าชอบ..............ผมก็จะกิน.........ขอให้เค้ามีความสุขและรักผมมากๆก็พอ...............
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 28-06-2007 09:56:51
 :เฮ้อ: หวังว่าคงกินข้าวด้วยกันอย่างมีความสุขนะ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 28-06-2007 11:55:02
แล้วก้อหวังว่าจะไม่แจ๊คพอต เจอเพื่อนๆพอดีนะ     :sad3: :sad3: :sad3:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: noombanban ที่ 28-06-2007 18:40:05
ถ้าผมพยายามได้เพียงครึ่งของคุณ กั้ง ผมคงมีแฟนไปแล้วหลายคนเนอะ

แต่ผมมันนิสัยเสีย.....เลยต้องโสดดดดอีกต่อปายยย
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 28-06-2007 18:52:13
ก็รักเค้าไปแล้วนี่ครับ.........ก็ต้องทำให้ดีที่สุดอ่ะ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 29-06-2007 02:12:24
เคยเจอแบบเพื่อนคุณกั๊ง คือเพื่อนเค้าเลิกนัดเราเพื่ออยู่กะแฟน

ตอนแรกๆก็น้อยใจมาก พอมันเลิกกะแฟน   :laugh3:

มันก็กลับมาให้เราด่า  :laugh:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 29-06-2007 08:33:11
                          นัทสั่งอาหารสำหรับเราหลายอย่างจนดูน่าตกใจ...........วันนี้ใจป้ำจังเว้ย............ผมแอบคิดในใจ.........ปกติแล้วผมไม่ใช่คนที่มีนิสัยอยากได้ใคร่ดีในของของคนอื่น.........เรื่องที่จะให้แฟนมาเลี้ยงมาจ่ายให้ ผมไม่ถือว่าเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจอะไรนักหนา..............หากแต่ครั้งนี้ผมอดไม่ได้จริงๆที่จะรู้สึกภูมิใจ...........ก็มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับว่าเราเป็นแฟนกันจริงๆ..........บางทีเค้าก็อาจจะดูแลผมได้เหมือนกันนะ............
                        “จะกลับน่านวันไหนอ่ะ” ...........ผมยิงคำถาม หลังจากที่เลื่อนจานไปรับอาหารที่นัทตักให้...........ปกติเค้าไม่ค่อยทำอะไรแบบนี้หรอก...........มันแล้วแต่อารมณ์เค้าอ่ะ
                        “วันอาทิตย์ นัทว่าจะเอาคอมไปใช้ด้วย คราวที่แล้วไม่ได้เอาไป ทำงานไม่สะดวกเลย” .........น่านจากที่นี่ ถือได้ว่าไกลเอาเรื่องพอสมควร................แม้จะเป็นจังหวัดที่อยู่ในภาคเหนือเหมือนเชียงใหม่ แต่ก็ตั้งอยู่คนละขอบของภาคเหนือ..............รวมๆระยะเวลาขับรถส่วนตัวแล้วคงราวๆ ห้า ชั่วโมงได้.........
                        “แล้วจะไปยังไงล่ะ” ผมนึกเป็นห่วง เนื่องจากข้าวของพะรุงพะรัง คงเดินทางด้วยรถขนส่งมวลชนไม่สะดวก.............
                       “ก็ นั่งรถบัสไป”...............ว่าแล้วเชียว................แต่เค้าก็ไม่ได้แสดงท่าทีเดือดร้อน.......คงจะนั่งบ่อยจนเคยชิน...........
                       “ให้พี่ไปส่งมั้ยล่ะ พอดีพี่ว่าจะไปเก็บตัวอย่างที่น่านอยู่เหมือนกัน”............ผมโกหกครึ่งหนึ่ง และพูดความจริงครึ่งหนึ่ง..................ความจริงคือผมต้องไปเก็บพืชบางชนิดที่จังหวัดน่านน่าน ซึ่งปีที่แล้วผมเคยไปเก็บมาหนหนึ่งแล้วจากดอยภูคา..........ตอนนั้นผมกับนัทยังไม่ทันได้รู้จักกัน............แต่โชคไม่เข้าข้างผมเท่าไหร่ เพราะผมไปเจอว่าดอกของมันร่วงโรยไปมากแล้ว.................ผมจึงได้ตัวอย่างมาแบบไม่ได้อย่างใจนัก...............จึงหมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องไปเก็บใหม่อีกรอบที่สองให้จงได้.............เพื่อให้ได้ตัวอย่างที่สมบูรณ์ที่สุด..............
                          สิ่งที่โกหกก็คือ...............เดือนมกรานั้นค่อนข้างจะเร็วเกินไปสำหรับการออกไปเก็บดอกที่กำลังบานพอดี..................อย่างน้อยๆควรจะเป็นสักประมาณปลายกุมภาพันธ์ หรือมีนาคมถึงจะเหมาะสม........แต่ผมอยากไปส่งนัท.............ไม่อยากให้เค้าลำบากเดินทาง.................และผมก็อยากหาเรื่องไปเที่ยวเล่นผ่อนคลายสมองบ้าง น่าจะเป็นการดี..................
                          “น่านตั้งไกล...........ค่าน้ำมันคงแพง...............เดี๋ยวนัทจะออกให้แล้วกัน” ............นัทแสดงท่าทีเกรงอกเกรงใจ จึงขันอาสาออกค่าน้ำมันรถให้เอง.................ปกติเค้าจะไม่ค่อยยอมรับความช่วยเหลือเรื่องเงินทองจากผม...............เว้นแต่ว่าจะยอมให้เลี้ยงข้าวเลี้ยงน้ำบ้างเป็นครั้งคราว ตามประสาคนเป็นแฟนกันเท่านั้น.................
                           “ไม่เป็นไรหรอก........พี่เบิกค่าน้ำมันได้” ผมอ้างว่าเบิกค่าน้ำมันได้.............แต่จริงๆแล้วมันก็เบิกได้นั่นแหล่ะ.............แต่เป็นการเบิกที่ไม่ได้งาน..............เพราะในใจผมนั้นรู้ดีว่าผมคงเก็บดอกของเจ้าพืชต้นนั้นไม่ได้แน่ๆ..............

                          “ถ้างั้น นัทจะเป็นคนจ่ายค่าข้าวระหว่างเดินทางละกัน” นัทยังขันอาสาแสดงความรับผิดชอบต่อการเดินทางกำมะลอ.............ที่เค้าไม่รู้ว่า จริงๆแล้ว ผมอุปโลกน์มันขึ้นเพื่อเค้าโดยเฉพาะ..............
                         “โอเค งั้นก็ตามนั้นแล้วกัน” .............ผมตกลงรับปาก..............แค่เค้าแสดงความรับผิดชอบอะไรออกมาบ้าง.........แค่นี้ผมก็ปลื้มใจมากพอแล้ว.............
                         “พี่กั้ง นัทต้องไปถึงที่น่านเที่ยงพอดีนะ เดี๋ยวอาจารย์จะมานิเทศน์อ่ะ” .............เอาล่ะสิ............เจอโจทย์ยากซะแล้ว...............ผมอุตส่าห์กะเอาไว้ว่า พอไปถึงน่านแล้วจะให้เค้าไปเดินป่าเป็นเพื่อนช่วยเก็บตัวอย่างบ้าง.............แต่ถ้าเราทำเวลาไม่ทัน............ผมก็ต้องไปเดินป่าเอง............แล้วมันจะดีตรงไหนเนี่ย..............
                         “นัทอยากไปเดินเที่ยวป่ากับพี่กั้งด้วย เราออกแต่เช้าๆก็น่าจะดีนะ”...........นัทแสดงท่าทางว่าอยากจะร่วมกิจกรรมเที่ยวป่ากับผมด้วย............แต่มันติดที่เงื่อนไขบ้าๆนั่น............แล้วต้องทำยังไงดีล่ะ...........ออกจากเชียงใหม่ตั้งแต่หกทุ่มเลยหรือไง...........ไม่ไหวมั้ง...........
                         “เอางี้แล้วกัน ถ้าไปทัน นัทก็ไปเดินป่ากับพี่ แต่ถ้าไปไม่ทันพี่ก็ไปเดินเองก็ได้” ..................ทำไมต้องมีโจทย์ให้แก้ตลอดเลยวะ...........มันจะลงตัวแบบง่ายๆไม่ได้หรือยังไง


                            ผมกลับมานั่งวิตกที่ห้องแลปถึงเรื่องการเดินทางไปน่านในวันต่อมา.............จริงๆแล้วผมเคยขับรถทางไกลคนเดียวมาบ้างแล้ว................แต่ว่าทั้งนี้ควรจะต้องมีใครสักคน นั่งมาเป็นเพื่อนคุยแก้เหงาระหว่างทางบ้าง........ตั้งห้าชั่วโมง ในตอนขากลับคงจะเป็นเวลาค่ำมืดพอดี.............ขับรถกลับมาคนเดียวตอนกลางคืนบนเขาคงไม่อุ่นใจเท่าไหร่..................แล้วใครจะเป็นเหยื่อของผมล่ะ................ใครๆเค้าก็ยุ่งเรื่องงานของตัวเองทั้งนั้น..............การเดินทางครั้งนี้ใช้เวลาตั้งวันหนึ่งเต็มๆ.....................ผมจะชวนใครดี...........


                          “มอลลี่วันจันทร์ไปเที่ยวน่านกับพี่มั้ย” ผมเจอเหยื่อรายแรก เมื่อมอลลี่เดินเข้ามานั่งที่ห้องแลป.............
                          “เอาสิ....พี่กั้งจะไปทำไมเหรอ” .............ทำไมมันง่ายอย่างนี้อ่ะ...............สวรรค์โปรดแท้ๆ...
                            “อ๋อ....พี่จะไปเก็บตัวอย่างน่ะ แล้วว่าจะเลยไปส่งนัทด้วย”............ผมจำเป็นต้องโกหกอีกแล้ว...............มอลลี่จะต้องสงสัยเมื่อเราไปถึงต้นไม้เจ้ากรรมนั่น แล้วพบว่ามันยังไม่ทันได้ออกดอก............แต่ผมหาทางออกเอาไว้แล้ว............ผมจะบอกเธอว่า
                           “พี่กะเวลาผิด”...........แค่นี้เธอก็คงจะไม่สงสัยแล้วล่ะ...............ก็ใครมันจะไปล่วงรู้ฟ้าดินว่าไอ้ต้นไม้นั่นมันจะออกดอกแน่ๆนอนๆเมื่อไหร่...............อย่างเก่งก็กะๆเดาๆก็เท่านั้นแหล่ะ...........


                       ผมไปรับนัทมานอนที่ห้องในตอนเย็น...............เค้าขนข้าวของมาพะรุงพะรังเต็มไปหมด...........พอรู้ว่าผมจะไปส่งก็ขนมาเต็มที่เชียวนะ.............
                      “พี่กั้งตื่นตีสามนะ” นัทกำชับกำหนดการณ์...............กลัวแต่จะไปไม่ทันอาจารย์มานิเทศน์อยู่นั่นแหล่ะ................ดูซิ....แทนที่จะไปแบบสบายๆ ก็ต้องมาสร้างเงื่อนไขให้ลำบากกันไปเป็นทิวแถว......
                      “รู้แล้วน่า...........นัทก็คอยปลุกพี่ดีๆก็แล้วกัน..........ถ้าพี่ตื่นสาย เราก็ได้ไปสายนะ” ผมแกล้งแหย่ให้เค้าวิตกเล่น..................การมีอำนาจต่อรองมันสนุกอย่างนี้นี่เอง...............โดยเฉพาะถ้าเรามีอำนาจเหนือกว่า................แต่ผมก็ทำเพราะเอ็นดูนั่นแหล่ะ............ไม่ได้คิดจะทำให้เค้ากังวลใจอะไรมากมาย…….

                       ผมนอนไม่ค่อยหลับเลย..........นัทก็มัวแต่ดูทีวี.............ก็แน่ล่ะสิ..........เค้าไม่ได้ต้องขับรถนี่..........พอขึ้นรถก็หลับปุ๋ยไม่รู้ร้อนรู้หนาวแล้ว...............แต่ผมน่ะสิ..............ถ้านอนไม่พอ............ผมจะไม่หลับในหรือยังไง............การที่ต้องรับผิดชอบมากกว่าคนอื่นมันเป็นความหนักใจมากจริงๆ.....
                      “ปิดไฟนอนได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าอีกนะ” ผมผงกหัวขึ้นร้องบอก..........เพราะนอนไม่หลับ.............การที่ต้องแชร์ชีวิตกับคนอื่น รวมไปถึงการแชร์ห้องนอน มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆสำหรับคนที่นอนคนเดียวมาตลอดชีวิตอย่างผม.............แค่เพียงเค้าขยับตัวนิดหน่อย........ผมก็ตื่นซะแล้ว............ไหนจะต้องมาคอยกังวลไม่ให้เราดูอุบาทว์ในเวลาหลับ (เพราะผมต้องดูดีตลอดต่อหน้าเค้า) ก็เหนื่อยยากพอแรงแล้ว..............
                          “พี่กั้งนอนไปเหอะ.....เดี๋ยวนัทก็นอนเองแหล่ะ”.............เค้าหันมาทำท่าดื้อใส่............ผมจึงพลิกตัวลงไปนอนอีกครั้ง.............เด็กยังไงก็ยังเป็นเด็กวันยังค่ำ...........ถ้ามีคนคอยรับผิดชอบอะไรแทนเป็นอันต้องโยนภาระให้ตลอด ไม่รู้จักโตซะที...........เฮ้อ...........
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 29-06-2007 14:47:16

.............รักไป.....เหนื่อยไป........ o16 o16
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 29-06-2007 16:42:47
ทำเป็นมาบ่น

แต่ก็ชอบใช่ไหมหละ

อิอิ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 29-06-2007 23:04:15
 :เฮ้อ: เหนื่อยมั๊ยสิ่งที่เธอทำอยู่  :m2:  :m2:  :m2:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 02-07-2007 09:08:39
                         อากาศคืนนี้เย็นจังเลย..........ผมพลิกตัว กระชับผ้าห่มให้แนบชิดลำตัวมากยิ่งขึ้น อยากจะนอนสบายๆแบบนี้ต่อไปอีกสักพัก...........ผมเหนื่อยสะสมมาหลายวันแล้ว นับตั้งแต่พิธีพระราชทานปริญญาบัตรได้เริ่มต้นขึ้น.........เหนื่อยทั้งกายและหนักทั้งใจ............ตอนนี้ผมสมควรจะได้พักผ่อนบ้าง.........

                         ผมยังคงนอนหลับตา ทั้งๆที่อยู่ในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่น.........ปล่อยใจหวนระลึกไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมา.........เมื่อคืนนี้นัทนอนกอดผมด้วย.........ไม่น่าเชื่อ..........ไม่ว่าเค้าจะมีเจตนาที่จะกระทำแบบนั้นหรือไม่ก็ตาม แต่มันหมายถึงแนวโน้มที่ดีของความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคน..........ถึงแม้เค้าอาจจะทำไปเพราะขาดสติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์ เนื่องจากมันเกิดขึ้นระหว่างการนอนหลับ......แต่ก็ถือได้ว่าเป็นพฤติกรรมที่ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน.............เริ่มต้นจากการต่างคนต่างนอนในระยะแรกของการคบกัน............การปฏิเสธไม่ยอมให้ผมกอด........ตามมาด้วยการยินยอมให้กอด.........และการเข้ามากอดผมด้วยตัวของเค้าเองในที่สุด.............แม้จะเป็นพฤติกรรมที่แสดงออกมาในขณะหลับไหล..........แต่ก็นับได้ว่า เค้าเริ่มลดการต่อต้านผมลงทีละน้อย............

                           ตั้งแต่เราคบหากันมา.....ผมคอยจับตาเฝ้าดูพฤติกรรมของนัทมาโดยตลอด.........แม้ผมจะเป็นคนที่มีความอดทนสูงในการรอคอยและทนรองรับพฤติกรรมแย่ๆต่างๆของเค้า...........แต่หากความรักของเราไม่มีพัฒนาการให้เห็นเป็นที่น่าพอใจเอาซะเลย ผมเชื่อแน่ว่า คนอย่างผมย่อมจะละทิ้งไปโดยไม่เหลียวแลได้ง่ายๆเช่นกัน..........แต่ตราบใดที่ยังมีพัฒนาการให้เห็นทีละน้อยนิดเรื่อยๆแบบนี้...........ผมก็จะยังคงอดทนรอคอย และเพียรพยายามต่อไป.........สิ่งที่ได้มาง่าย ย่อมสูญเสียไปได้ง่าย..............บางทีการพยายามในสิ่งที่ยากของผมอาจจะให้ผลคุ้มค่าในตอนท้ายก็ได้.......

                           เปลือกตาของผมสัมผัสถึงแสงสว่างจากหลอดไฟ............ในขณะที่หูสัมผัสถึงการเคลื่อนไหว.............เค้าคงจะตื่นและกำลังจัดการธุระส่วนตัวอยู่.............แต่ผมจะไม่ยอมตื่นง่ายๆหรอก............จะแกล้งทำเป็นนอนไม่รู้ไม่ชี้แบบนี้แหล่ะ..........เปลี่ยนกันดื้อบ้างก็น่าจะยุติธรรมดี.........

                            “พี่กั้งตื่นได้แล้ว เดี๋ยวจะไปไม่ทันนะ” นัทปลุกผมเสียงเร่งเร้า..........ฮึ.........ผมแอบยิ้มในใจ..........ถ้าไม่ยอมตื่นจะมีอะไรมั้ย..........
                            “ตื่นเร็วๆ ตื่นๆ” นัทกระชากผ้าห่มออกไปจากตัวผม พลางเขย่าตัวแรงๆ..............โอย.....ตื่นก็ได้.........ทีอย่างนี้ล่ะรู้จักหน้าที่ความรับผิดชอบดีนัก.............ทีเรื่องของคนอื่นล่ะก็ ทำเป็นเพิกเฉยไม่นำพา...........จะหัดรู้จักนึกถึงจิตใจคนอื่นเค้าบ้างมั้ย................
                            “อ่ะๆ....ตื่นแล้วๆ........ไม่รู้จะรีบร้อนไปไหนกันนักหนา” ผมบ่นอุบ............ก่อนจะเดินงัวเงียไปเข้าห้องน้ำ
                            “ก็นัทกลัวไปไม่ทันอาจารย์มานิเทศนี่” เสียงนัทบ่นไล่หลังมา ก่อนที่ผมจะปิดประตูห้องน้ำดังโครม..............

                             เรามาถึงที่บ้านมอลลี่ตามเวลานัด..............ผมยังอยู่ในสภาพงัวเงียอยู่เลย...........ก็คนวัยกำลังกินกำลังนอนนี่นะ ให้มาตื่นผิดเวลาแบบนี้ มันก็ต้องมีอืดอาดบ้างแหล่ะน่า..........
                             ท้องฟ้ายังคงมืดสนิท.............โชคดีที่วันนี้หมอกลงไม่จัดนัก...............แม้จะง่วงนอนแต่ผมก็ต้องรับผิดชอบชีวิตของผู้โดยสารที่ผมรักทั้งสองคน..........คนหนึ่งเป็นน้องสาวที่รัก.............ส่วนอีกคนเป็นยอดดวงใจ.....อิอิ.....
                              มอลลี่หลับไปแล้วที่เบาะหลัง............แต่นัทยังไม่มีท่าทีจะยอมหลับง่ายๆ............เค้าพยายามหาเรื่องมาชวนคุยไปเรื่อยๆ คงเพราะกลัวผมหลับใน..........หึ.........กลัวตายเป็นเหมือนกันเหรอ.......
                              เราคุยเรื่องสัพเพเหระตามแต่จะนึกได้...........ผมรู้สึกว่าตัดสินใจไม่ผิดที่มาส่งนัทในวันนี้..........อย่างน้อยๆมันก็ทำให้เราได้เข้าถึงกันได้มากขึ้น............ใจคนไม่ใช่ก้อนหิน..........ถ้าผมรักและทำดีกับเค้า ทำไมเค้าจะสัมผัสถึงมันไม่ได้............นัทเริ่มเป็นฝ่ายเล่าเรื่องส่วนตัวให้ผมฟังบ้าง........แสดงว่าเค้าเริ่มที่จะไว้ใจในตัวผมมากขึ้นแล้ว.......

                            “พ่อนัทไปทำงานที่ต่างประเทศตั้งแต่นัทยังเด็ก นัทจึงไม่สนิทกับเค้าเลย” ว่าแล้วเชียว.........ตามตำราคนเป็นเกย์เปี๊ยบเลย.........ถ้าไม่โดนเลี้ยงให้เป็นเด็กผู้หญิง ก็ต้องห่างเหินจากพ่อ............ผมนิ่งเงียบตั้งใจฟังและหาจังหวะคอยซักถามบ้างเป็นระยะ............เค้าอาจจะอยากระบายอะไรบางอย่างออกมาก็ได้........
                            “ตอนเด็กๆ นัทโตมากับพี่เลี้ยง เค้าเลี้ยงนัทมาแบบเด็กผู้หญิง”..........อืมไม่แปลกหรอก............เพราะโดยมากเกย์มักจะห่างเหินกับพ่อมาตั้งแต่วัยเด็กหรือไม่ก็ถูกเลี้ยงแบบเด็กผู้หญิง..........ผมคิดในใจ แต่ก็ไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์อะไรออกมา.............
                            “แล้วแม่นัทไปไหนล่ะ”.........ผมซักต่อ พยายามจะหว่านล้อมให้เค้าพูดในสิ่งที่อยากระบาย..........ผมอยากให้เค้าไว้ใจผม............และแบ่งปันเรื่องที่ไม่สบายใจให้ฟังในแบบของคนที่เป็นแฟนกันพึงกระทำ............ผมอยากจะแบ่งเบาปัญหาและความเศร้าในวัยเด็กของเค้า..........รับฟังและคอยปลอบประโลมให้เค้ารู้สึกมั่นใจและเข้มแข็ง.......
                            “แม่ไปหาพ่อบ่อยๆ คอยไปเยี่ยมและก็เอาของจากเมืองไทยไปขายที่โน่นด้วย” .......แล้วเค้าโตมายังไงกันนี่........ชีวิตคงลำบากน่าดู...........เด็กในวัยนั้นคงจะรู้สึกเคว้งคว้างไม่น้อยเลย........ที่คนในครอบครัวไม่ได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา..........ขนาดพ่อแม่ผมไปเยี่ยมญาติที่ต่างจังหวัดสองสามวัน ผมยังแอบร้องไห้วันละตั้งหลายหน........
                            “แล้วพ่อนัททำงานอะไรที่นั่น” ผมคิดเอาไว้ในใจว่าคงไม่ใช่งานที่สบายนัก..........
                            “ก็ทำงานพวกก่อสร้าง.........แต่ว่าพ่อนัทเป็นหัวหน้าคนงานนะ เพราะว่าพ่อพูดภาษาจีนได้” นัทรีบออกตัว คงเพราะคิดว่าผมจะดูแคลนที่พ่อเค้าทำงานไม่หรูหรามีหน้ามีตาตามค่านิยมของคนส่วนใหญ่ในสังคม..........ยอดดวงใจของพี่...........ต่อให้นายเป็นลูกของยาจกเข็ญใจพี่ก็ไม่ได้นึกรังเกียจแต่อย่างใด............ตรงกันข้าม.............หากนายเป็นลูกคนรวยมีเงินทองล้นเหลือ............พี่อาจจะไม่ชอบเธอก็ได้..........ผมไม่ชอบตีค่าคนที่เงินหรือชาติตระกูล...........การที่ได้พบคนที่เราอยู่ด้วยแล้วมีความสุขและเป็นตัวของตัวเองต่างหากที่ผมถวิลหา............ไม่ใช่คนร่ำรวย..........
                             “ตอนเด็กๆ ชีวิตนัทลำบากมาก นัทเคยเขียนเรียงความเกี่ยวกับครอบครัวและได้ออกไปอ่านที่หน้าชั้นเรียนด้วย”
                              นัทหยุดเล่าไปชั่วขณะ..........ก่อนจะเบือนหน้าออกไปมองสองข้างทางที่มีแต่ความมืดในยามรัตติกาล............ผมเหลือบไปมองอย่างห่วงใย...........ใจนึกอยากจะหาคำพูดมาปลอบ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา...........ผมปล่อยให้เค้าล่องลอยไปสู่อดีตอันแสนเศร้า.............ไม่ได้เข้าไปขัดจังหวะแต่อย่างใด..........แม้อดีตบางอย่างจะทำให้เราเจ็บปวด แต่เราไม่ควรที่จะหลีกหนีและทำเป็นลืมมันไป.........เพราะยิ่งเราทำเป็นลืมมันก็ยิ่งเด่นชัด จนยากที่จะเยียวยา...........เพราะฉะนั้นเราจึงควรที่จะหันกลับมาเผชิญหน้าและอยู่กับมันให้ได้อย่างสันติ.........

                               “ตอนนั้นนัทอ่านไปแล้วก็ร้องไห้ไป จนคุณครูร้องไห้ตาม”...........เสียงนัทดังแผ่วเบาเหมือนลอยมาจากที่ไกลแสนไกล...........ผมรู้สึกหนาวสั่นอย่างบอกไม่ถูก............นัทหันกลับมามองผมด้วยสีหน้านัทเรียบเฉย..........เค้าดูแตกต่างจากนัทที่ผมรู้จัก.........ชีวิตคนเราต่างก็มีมุมที่เศร้าเหมือนกันทั้งนั้น...........แต่น้อยคนนักที่จะยอมเปิดเผยมันออกมาให้คนอื่นได้รับรู้..........ผมแอบลอบถอนหายใจ............ในวัยเด็กเค้าคงหว้าเหว่และก็ต้องการความรักมาก..........
                              “ตอนนี้พ่อกลับมาอยู่ที่บ้านแล้ว นัทไม่ค่อยได้คุยกับเค้าเท่าไหร่ รู้สึกไม่สนิทเหมือนแม่ แต่นัทก็ไม่อยากให้เค้ากลับไปทำงานที่โน่นอีกแล้ว นัทอยากให้เค้าอยู่บ้าน”  .........ผมคิดว่า ความจริงเค้าคงโหยหาความรักจากพ่อมาก...........แต่ไม่รู้วิธีที่จะแสดงความรัก...........แถมยังขาดความมั่นใจที่จะแสดงออกความรักออกมาด้วย...........จึงไม่แปลกเลยที่เค้าจะดูเป็นคนที่ดูแข็งกระด้าง..........เค้าต้องการความรักจากผม...........แต่เค้ากลับแสดงท่าต่อต้านการแสดงความรักของผมในทุกๆรูปแบบ.............ผมคิดว่าเค้ายังมีปมอะไรลึกๆอีกมากที่ผมยังสะสางไม่ออก..............การพยายามเข้าใจความเป็นตัวเค้ามันไม่ง่ายอย่างที่เคยคิดเอาไว้แต่แรกซะแล้ว.....

                             
                               แสงสีเหลืองทาบทาที่เส้นขอบฟ้าทางทิศตะวันออก...........ในขณะที่พลังในกายผมกลับถดถอยลงเรื่อยๆเนื่องจากความเพลีย...........
                             “หนาวจัง” นัทบ่น ก่อนจะเอี้ยวตัวไปหยิบเอาผ้าห่มจากระเป๋าออกมา...........ผมเหลือบมองผ้าห่มสีตุ่นๆ.............นี่เค้าซักบ้างหรือเปล่าเนี่ย.............
                             “พี่ก็หนาวเหมือนกันนะ” ผมว่า พลางทำท่าตัวสั่นให้ดูสมจริง..........นัทมองค้อนแว่บหนึ่งแล้วแบ่งผ้าห่มมาทางผมบ้าง...............ผมค่อยๆสอดมือเข้าไปใต้ผ้าห่มควานไปเรื่อยๆ..........ก่อนจะไปหยุดนิ่งและกุมที่ไอ้นั่นของเค้าเอาไว้..............อิอิ........
                             “เดี๋ยวพี่มอลลี่ก็เห็นหรอก” นัทเอ็ดเบาๆ.............แต่ผมไม่สนใจ............ซ้ำยังคลึงให้หนักมือมากขึ้นกว่าเดิม.............นัททำหน้าระอาแต่ก็ไม่ว่ากระไร
                            อันที่จริงผมไม่ใช่คนหมกหมุ่นในเรื่องโลกีย์อะไรนักหนา...........เพียงแต่ว่ายิ่งเค้าต่อต้านผมก็ยิ่งพยายามที่จะเอาชนะ..............ผมชอบเวลาที่เค้าแสดงท่าไม่พอใจในเวลาที่ผมคอยเกาะแกะ....มันเป็นความสนุกอย่างหนึ่งที่บอกไม่ถูก..................ไม่ชอบให้ทำ แต่ไม่หนีไปไหน.........จะให้แปลว่าอะไรล่ะ..............ยอมรับซะทีเถอะ...............ว่าจริงๆแล้วชอบ.......

                        เรามาถึงตัวเมืองน่านเกือบสิบโมง..............คะเนตามเวลาแล้วนัทคงไม่ได้ไปเดินป่ากับผมแล้ว..............แต่ก็ช่างมันเถอะ.............ก็มันจำเป็นนี่นะ..........
                        “เราหาที่กินข้าวแถวนี้กันเถอะ” นัทเสนอ..........
                        “มอลลี่ตื่นได้แล้ว” ผมหันไปปลุก............ในใจนั้นนึกระแวงว่าเธอจะแอบได้ยินได้เห็นอะไรบ้างมั้ยนะ...........แต่ก็ช่างมันเถอะ..........เธอน่าจะเข้าใจเรื่องแบบนี้ดีอยู่แล้ว...............

                       หลังจากที่ขับรถวนหาจนทั่วเมืองเราจึงมาหยุดที่ร้านเล็กๆร้านหนึ่ง
                      “เดี๋ยวนัทเลี้ยงเองนะมื้อนี้” นัทประกาศ...........ผมแอบลอบยิ้มให้มอลลี่........นัทไม่อยากให้เธอมองว่าผมเป็นคนคอยเลี้ยงคอยจ่าย..........ทั้งๆที่บางทีไม่มีตัง..........นัทก็ต้องออกเองเวลาที่เราไปกินข้าวด้วยกัน.........
                     “เดี๋ยวเค้าจะคิดว่านัทให้พี่กั้งเลี้ยง” ..........นัทแอบมากระซิบผมในภายหลัง.........กลัวเสียหน้า..........หึหึ

                     อาหารมื้อเที่ยงผ่านไปอย่างชื่นมื่น............มอลลี่เป็นคนสนิทของผมที่เข้ากับนัทได้ดีมากที่สุด.........นัทจะไม่ค่อยชอบเพื่อนเกย์คนอื่นๆของผมเลย...........คงเพราะเกย์มักมักมีพิษสงเยอะแยะ......คอยจิกกัด กระแนะกระแหนให้ต้องรำคาญใจกระมัง............ต่างจากมอลลี่ที่ดูเย็นตา สบายใจเมื่อได้อยู่ใกล้.........อีกทั้งนัทยังมีปัญหาเรื่องไม่ยอมรับการเป็นเกย์ของตัวเอง..........แต่ผมก็ไม่เคยคาดหวังว่าเราต้องควงกันจี๋จ๋าให้ใครต่อใครอิจฉาเล่นหรืออะไรเทือกนั้น.............แค่เค้ายอมรับในตัวผม............เท่านั้นก็คงมากเกินพอแล้ว...........

                        หลังอาหารเที่ยงเราจึงขับรถบ่ายหน้าไปยังอำเภอที่นัทฝึกงาน.........ผมเตรียมใจเอาไว้แล้วว่าคงต้องปล่อยเค้าไปตามทางเมื่อไปถึงจุดหมาย...........ในขณะที่ผมกับมอลลี่ก็คงต้องจากไปอีกทางหนึ่ง.............เมื่อถึงเวลาอะไรต่ออะไรก็คงต้องไปตามทางแบบนี้กระมัง...........เฮ้อ............กลุ้ม...........ไม่อยากจะคิดให้ปวดหัวเลย................
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 02-07-2007 09:50:13
.........ยอดดวงใจของพี่........... :m1: :m1:

ชอบคำนี้จัง             :m3: :m3:



 :oak: :oak: :oak:


หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 02-07-2007 10:04:58
ชอบแล้วอ้วกเนี่ยนะ....อิอิ  :give2:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 02-07-2007 17:15:07
นัทยอมรับมากขึ้นนะนี่
มีเล่าความหลังให้ฟังด้วย แสดงว่าไว้ใจในระดับหนึ่งแล้ว
 :m11: :m11: :m11:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 02-07-2007 17:16:58
เหนื่อยใจแทน แต่ถ้าทำแล้วตัวเองมีความสุขก็ทำไปเถอะ  :m9:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 02-07-2007 18:29:27
ก็สุขมั่งทุกข์มั่งตามประสาล่ะครับ....... :m15:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 02-07-2007 18:47:11
ถึงจะสุขมั่งทุกข์มั่ง แต่ที่แน่ ๆ ก็ทำด้วยความรักใช่มั๊ยล่ะ  :m1:  :m1:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 02-07-2007 18:58:15
คนเราถ้าได้ทำเพื่อคนที่เรารัก  ยังไงก็ยอมอะเนอะ  :m1:

มีพัฒนาการความสัมพันธ์แบบนี้แหละ  ดึงดูดใจนักแล  :m2:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 02-07-2007 21:40:15
อยากเจอนัทจัง  อิอิ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 03-07-2007 07:59:24
จะเจอทำไมกันจ้ะ............. :bye2:

ปล. เดี๋ยวบ่ายๆมาโพสน๊า..........วันนี้งานยุ่งอ่ะ........
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 03-07-2007 12:48:07
มีหวงด้วยเหรอ ตะเอง    :o9: :o9:

 :o10: :o10: :o10:


หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 03-07-2007 13:27:12

.............หวังว่าจะทนต่อไป.............. :undecided:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 03-07-2007 14:04:25
                         “ที่นี่เหรอ โรงพยาบาลที่นัทมาฝึกงานน่ะ” ผมอดตั้งคำถามไม่ได้..........เมื่อเราเดินทางมาถึงบริเวณหน้าโรงพยาบาล.................ผมเหลือบมองดูนาฬิกา..........เวลาตอนนี้ก็เกือบเที่ยงวันพอดี................หวังว่าคงยังไม่ถือว่ามาสายหรอกนะ..........

                          ผมทอดสายตามองไปยังโรงพยาบาลประจำอำเภอเล็กๆ ซึ่งตั้งโดดเด่นอยู่บนที่ราบเชิงเขาสะท้อนเปลวแดดระยิบ...............มันดูเล็กมากเมื่อเทียบกับโรงพยาบาลในเมืองเชียงใหม่ที่ผมคุ้นเคย เล็กพอๆกับสถานีอนามัยของตำบลใหญ่ๆบางตำบลเท่านั้น..................เพราะที่นี่กันดารแบบนี้นี่เอง นัทถึงได้กลับไปบ้านด้วยสภาพผอมโซและอิดโรยอย่างที่เห็น...........กลุ่มเด็กๆนักศึกษาแพทย์สามสี่คนกำลังนั่งชุมนุมกันบริเวณระเบียงทางเดินหน้าตึก................ทุกคนหันมามองที่รถของเราเป็นตาเดียว...........คงสงสัยว่าใครขับรถยนต์ดูไม่คุ้นตามาในที่แบบนี้..........ผมภาวนาขออย่าให้มีใครสามารถมองทะลุทะลวงเข้ามาในนี้ได้เลย............

                        “พี่กั้งเปิดท้ายรถหน่อยสิ นัทจะเอาของลง” เค้าดูมีท่าทีร้อนรนกึ่งๆละอายแก่ใจผสมกัน.....................ร้อนรนเพราะเค้าอยากให้ผมจากไปโดยเร็ว............ละอายเพราะรู้ว่าความคิดดังกล่าวไม่สมควรจะเกิดกับคนที่เค้ารักซึ่งอุตสาหะขับรถมาส่งเค้าตั้งห้าชั่วโมง...........ผมทำตามคำสั่งด้วยหัวใจเลื่อนลอย...........เค้าไม่ได้ชวนผมเข้าไปที่บ้านพักของเค้าเลย....................แต่ถึงชวนผมก็คงไม่เข้าไปอยู่ดี.............ผมไม่ชอบที่จะถูกใครมองด้วยสายตาสอดรู้....................

                       “พี่กั้ง พี่มอลลี่ นัทไปแล้วนะ ขับรถดีๆนะ” นัทเดินมาบอกลา ก่อนจะหิ้วของพะรุงพะรังจากไป..............นี่เป็นคำบอกลาหรือคำขับไล่ที่แฝงอยู่ในคำบอกลา...................ผมฝืนยิ้มออกมาอย่างยากลำบาก.............ชีวิตผมมีสิทธิ์เท่านี้หรือ............เป็นเหมือนคนไม่มีตัวตนในชีวิตของเค้า..........อันที่จริงผมไม่ได้อยากจะไปเสวนา ทำความรู้จักมักจี่กับเพื่อนพ้องของเค้าแต่อย่างใด..............ผมแค่คิดว่า บางทีเค้าน่าจะนึกถึงหัวอกของผมบ้าง...............ไม่ใช่ว่ากลัวแต่ว่า คนอื่นจะรู้เรื่องของเราจนเกินไป.................พอมาถึงที่ แล้วก็รี่จากไปไม่เหลียวหลัง.....................หากจะมีน้ำใจตอบแทนความดีของผมสักเล็กน้อย............เค้าก็น่าจะพาผมไปหาที่นั่งพักให้สบายใจหายเหนื่อยเสียก่อน แล้วเราจึงค่อยแยกกันในภายหลังก็ยังได้..............แต่เค้ากลับเลือกที่จะทำแบบนี้...........แล้วผมจะไปเรียกร้องเอาอะไรได้เล่า...........เค้าให้เท่าไหร่ก็เอาเท่านั้นแหล่ะ..........

                         ผมเลี้ยวรถกลับออกมาอย่างรวดเร็ว..............การเดินทางที่แสนจะซาบซึ้งของเราจบลงอย่างง่ายๆ สั้นๆ ไม่มีพิธีรีตอง............แค่บอกลาแล้วก็เดินจากไป............ไม่มีคำเรียกร้องหรืออุทรณ์ใดๆหลุดออกมาจากปาก............มีแต่เพียงความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตาของผมเองเท่านั้นที่ท่วมท้นอยู่ภายในตอนนี้............
                        “เค้ากลัวเพื่อนจะรู้มากขนาดนี้เลยเหรอ” มอลลี่ถามเป็นเชิงปลอบใจมากกว่าจะต้องการคำตอบ.............
                        “อืม..........แต่ก็ช่างเค้าเถอะ พี่เองก็ไม่ได้อยากจะไปเสนอหน้าให้ใครต่อใครเห็นนักหรอก” ผมหันไปยิ้ม พยายามแสร้งทำเสียงให้ดูสดใส............แม้ผมไม่ได้อยากจะไปให้เพื่อนๆเค้าเห็นจริงๆ ก็ตาม.................แต่ผมไม่ชอบความคิดที่ว่า เค้ากลัวเพื่อนเค้าจะเห็นผมมากกว่า..............
                        “เราก็ไปเก็บตัวอย่างกันสองคนต่อเนาะ สู้ๆ” ผมว่าพลางส่งยิ้มให้กำลังใจมอลลี่............เธอยิ้มตอบให้ผมอย่างเห็นใจ...........ก่อนจะเหม่อมองออกไปยังทุ่งหญ้าที่เวิ้งว้างนอกกระจก........ผมไม่ชอบรอยยิ้มแสดงความเห็นใจแบบนี้เลย..............

                        แม้รถจะพาเราสองคนขึ้นมาถึงยอดดอยภูคาแล้วก็ตาม...........แต่เราก็ต้องเดินขึ้นเขาไปโดยเท้าทั้งสองของเราเองอยู่ดี..........
                        “พี่กั้งพักก่อน น้องเหนื่อย” มอลลี่เดินเสเข้าไปนั่งพักใต้ต้นไม้ริมทาง...........เธอมีอาการเหนื่อยหอบอย่างเห็นได้ชัด..................
                       “เอาน้ำมั้ย” ผมยื่นน้ำให้น้องแทนคำขอโทษ...............นี่ถ้าผมพาเธอมาเก็บตัวอย่างโดยตรงเพียงอย่างเดียว..........ผมคงจะไม่โมโหให้ตัวเองมากเท่านี้..............แต่นี่ผมพาเธอมาเพราะมีเหตุผลอื่นแอบแฝง............ซึ่งจากสภาพที่เธอกำลังลำบากอยู่ ณ ตอนนี้ ผมจึงรู้สึกว่าตัวเองเห็นแก่ตัวอย่างไม่น่าให้อภัย...........
                       “ไม่เป็นไร น้องมี” เธอล้วงขวดน้ำออกจากกระเป๋ามาดื่ม.............ผมจึงได้แต่นั่งมองเงียบๆ


                        ในที่สุดเราก็มาถึงต้นไม้เจ้ากรรมที่ว่า............และก็เป็นไปอย่างที่คาด..............ไม่มีดอกสักดอกให้พอได้ชื่นใจเลย...............เป็นอันว่ามาครั้งนี้ก็เสียเที่ยวเปล่า...........
                       “พี่กะเวลาออกดอกผิดอ่ะ” ผมแก้ตัวกับมอลลี่ตามที่วางแผนเอาไว้ในใจแต่แรกแล้ว..........โกหกซ้ำซาก..........กับเรื่องเดิมๆ.........เพราะผู้ชายคนเดิม............และผมก็เป็นคนเดิมที่ชอบโยนความผิดให้คนอื่นเพื่อจะได้โกหก.........อิอิ........

                      เราเดินหน้าเหี่ยวกลับมาที่ทำการอุทยาน............ตั้งแต่ข้าวเช้ามื้อนั้นแล้วยังไม่ทันได้กินข้าวกันอีกเลย.............มอลลี่รับหน้าที่สั่งอาหาร...........
                      “พี่กั้งมีผัดผักกูดด้วย ลองกินกันมั้ย” มอลลี่เสนอด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น.................
                      “ดีๆ พี่ยังไม่เคยกินเลย” .............น่าแปลกที่ผมเคยทำวิจัยเรื่องเฟินและรู้ว่าเฟินผักกูดตัวนี้ (Diplazium esculentum) ใช้กินได้.........แต่ยังไม่เคยลองสักคน............คราวนี้มีโอกาสได้ลิ้มลอง ก็ถือเป็นกำไรชีวิต...........คิดได้แบบนี้ค่อยสดชื่นขึ้นมาหน่อย............จริงๆแล้วความสุขหรือทุกข์ของคนเราอาจจะขึ้นอยู่กับมุมมองก็ได้............ถ้าหัดที่จะมองหาความสุขจากเรื่องเล็กๆน้อยๆรอบตัว........ชีวิตเราก็คงจะไม่เศร้าจนเกินไปนัก...........จริงมั้ย..........


                        อาหารมื้อนี้อร่อยทุกอย่างจริงๆ............อาจจะอร่อยด้วยบรรยากาศท่ามกลางป่าเขาที่แสนเย็นสบาย..........อร่อยเพราะความเหนื่อยและหิว............หรืออร่อยเพราะฝีมือแม่ครัว ก็สุดจะแยกแยะแจกแจงความดีความชอบ..............มอลลี่ดูมีท่าทางจะดื่มด่ำกับรสชาติของอาหารมากกว่าปกติ...................เธอเพลิดเพลินกับอาหารจนลืมระมัดระวังมารยาทไปบ้างเล็กน้อย...................ผมมองดูน้องแล้วอดสะท้อนสะท้านในใจไม่ได้...................เธอคงเหนื่อยและก็หิวมาก...........ผมพาเธอมาลำบากโดยแท้.....................

                        หลังจากจัดการกับอาหารมื้อบ่ายเสร็จเรียบร้อยแล้ว..............เราสองคนพี่น้องจึงขับรถมุ่งหน้ากลับเมืองเชียงใหม่.................ตะวันลอยทำมุมเฉียงคล้อยบ่ายแสบตานัก..................หลังมื้ออาหารที่เต็มอิ่ม ผสมกับความเหนื่อยล้าจากการอดนอนและการเดินทางไกล.............ผมจึงแทบจะขืนเบิกตาขับรถต่อไปไหว...............หากยังดื้อดึงขับต่อ..............คงไม่พ้นต้องหลุดโค้งลงไปนอนที่ก้นเหวเป็นแน่แท้.............ทีนี้เค้าจะได้ร่ำลือกันล่ะว่า นักศึกษาปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในทางภาคเหนือสู้อุตสาห์ขับรถมาส่งแฟนที่จังหวัดน่านแล้วดันมาตายเสียกลางทาง........ในใจก็นึกเป็นห่วงแต่มอลลี่นั่นแล้ว...........ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรด้วย ต้องพลอยมารับเคราะห์กรรมที่ตัวเองไม่ได้ก่อ............
                       “พี่ว่าเราแวะนอนที่ปั๊มกันก่อนดีมั้ย” ผมหันไปปรึกษามอลลี่ เพราะรู้ตัวเองดีว่า ถ้าขืนไปต่อคงเป็นผลเสียมากกว่าผลดีแน่ๆ............ทั้งๆที่ในใจนั้นอยากจะฝืน เพราะไม่อยากถึงเชียงใหม่ดึกดื่นมืดค่ำ.......แต่ก็จนใจด้วยร่างกายไม่เอื้ออำนวย.............
                       “เอาสิ พี่กั้งไม่ต้องรีบหรอก ถึงเมื่อไหร่ก็ได้” มอลลี่คล้อยตาม...........เธอคงเห็นว่าผมดูอิดโรยมากแล้ว....................เราจึงแวะเข้าที่ปั้มน้ำมันแห่งหนึ่ง.................มอลลี่ขอตัวออกไปเข้าห้องนน้ำ...........ในขณะที่ผมเอนเบาะลงนอน.......ก่อนที่จะม่อยหลับไป


                        ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกที มองไปโดยรอบก็เป็นเวลามืดค่ำเสียแล้ว...........เหลือบไปมองด้านข้างเห็นมอลลี่กำลังนอนหลับอยู่ด้วยท่าทางอิดโรย..........เธอคงไม่อยากปลุกจึงปล่อยให้ผมนอนไปตามสบาย...............คิดแล้วให้น่าเวทนานัก..........น้องไม่เคยมีแม้ท่าทีที่จะแสดงความอึดอัดรำคาญให้ได้ระคายใจ..............ผมซะอีกที่มัวแต่ห่วงเรื่องของตัวเอง.........และเรื่องของคนเฮงซวยคนนั้น..........คิดแล้วน้ำตาก็พาลจะไหล.......................ลำพังตัวเองมาลำบากนั้นยังไม่พอ.............นี่ยังลากให้ใครต่อใครเค้ามาลำบากด้วย.................คนคนนั้นก็ยังไม่โทรมาเลยตั้งแต่เราแยกกัน...........นี่ก็มืดค่ำแล้ว............อย่างน้อยๆ เค้าน่าจะมีแก่ใจโทรมาถามไถ่ แสดงความห่วงใยบ้าง..............พอส่งถึงฝั่งก็เงียบหายเหมือนปล่อยปลาลงน้ำ...........คนอื่นจะเป็นจะตายยังไงไม่อนาทรร้อนใจ............นี่ผมรักอยู่กับซาตานรึไงกัน..................

                           ผมแข็งใจทำหน้าเฉยไม่ทุกข์ร้อน..............ยังไงก็ต้องซ่อนความเสียใจเอาไว้ให้มิดชิด.........แค่น้องเหนื่อยแค่นี้ก็หนักหนาแล้ว...............อย่าเอาทุกข์มาซ้ำเติมเธอด้วยการเอาเรื่องร้อนมาใส่หูเพิ่มอีกเลย..................

                          “นัทยังไม่โทรมาเลยเหรอพี่กั้ง” มอลลี่ถามขึ้นมาลอยๆ............แต่ผมรู้ว่าเป็นคำถามเชิงตำหนิ................ผมไม่อยากให้ใครมาตำหนิแฟนของผม................แต่ก็ไม่มีอะไรให้โต้แย้ง........เพราะมันคือความจริง...........นอกจากก้มหน้ากลืนน้ำตาลงไปข้างใน
                         “ใจร้ายชะมัด” มอลลี่บ่นพึมพำ...............ผมไม่ตอบเพราะไม่อยากต่อความยาวจึงนิ่งเงียบเสีย.........
                         “ฝนจะตกหรือเปล่านะ” มอลลี่เปลี่ยนเรื่องสนทนาเมื่อเห็นว่าพูดเรื่องเดิมไปก็รังแต่จะทำให้เสียบรรยากาศเปล่าๆ................ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง..........ท้องฟ้ากำลังมืดครึ้มมากขึ้นเรื่อยๆ...........ลมหมุนหอบเอาใบไม้ล่องลอยกระจัดกระจาย..............หัวใจของผมตอนนี้ก็ไม่ต่างกับใบไม้.............ที่โดนตีให้แตกกระจายด้วยแรงลม.............วันนี้ถ้าเค้าไม่โทรมา........ผมจะไม่ให้อภัยเค้าเลย..................
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 03-07-2007 14:18:22
สงสารคุณมอลลี่ จัง

แต่คุณกั๊งก้โชคดีที่มีเพื่อนดีนะ  :m3:

หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 03-07-2007 14:21:40
คุณ Poes นี่ตอบมาทั้งๆที่ผมกำลังตรวจแก้คำผิดอยู่เลย ไม่รู้ว่าอ่านรู้เรื่องหรือเปล่า คิคิ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 03-07-2007 14:24:30

.............แน่ใหรอว่าจะไม่หั้นอภัย..........

.............ในเมื่อที่ผ่านมาก็หั้ยอภัยเขามาตลอด........ o7
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 03-07-2007 16:56:09
เศร้าจริงๆ ยิ่งคิดยิ่งเศร้าไปอีก
 :sad4: :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 03-07-2007 18:52:30
ท่าทางจะมีเรื่องต้องทนอีกเยอะ  เอ้าสู้ ๆ  :m5:  :m5:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 03-07-2007 19:43:15
เอ ผมว่าคุณกั้งก้อมีความเข้าอก เข้าใจในตัวนัทนี่นา  แต่ถ้ารู้สึกว่ามันเกินไปก้อน่าจะถอยนะ

เพราะว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรก และครั้งสุดท้ายแน่นอนอ่ะ      :sad4: :sad4:

อีกอย่าง  อีกไม่นาน ก้อต้องต่างคนต่างไปอยู่แล้วนิ  แล้วนัทก้อเคยบอกแล้วหนิว่าเค้าเป็นอย่างที่คุณกั้งหวังไม่ได้อ่ะ

ดังนั้นถ้าจะเลิกกันตอนนี้มันก้อไม่แปลก     


แต่ว่าก้อรู้ทั้งรู้ว่าเค้าเป็นคนแบบนั้น ก้อยังตัดสินใจเดินหน้าตั้งแต่แรกแล้วนี่นา  แล้วจะถอยกันง่ายๆยังงี้อ่ะเหรอ   

ไม่อาวน่า   :serius2: :serius2:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 03-07-2007 21:29:55
เข้ามานอนยันว่า ดอยภูคาสวยจริงๆ

ปล. แอบเคืองมากมายเมื่อรู้ถึงสาเหตุที่ลากมอลลี่เข้ามาเกี่ยวข้อง

ช่างเถอะ  ไม่พูดดีกว่า อิอิ  :m14:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 04-07-2007 09:11:11
อะไร.........บอกมาจิ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 04-07-2007 09:58:36
                         ฝนเทลงมาอย่างหนักภายหลังจากที่ตั้งเค้ามาได้พักใหญ่.........ผมชะลอความเร็วของรถลงเพื่อความปลอดภัย.............การขับรถบนเขาในสภาวะที่ทัศนะวิสัยไม่ดีแบบนี้ อาจเกิดอันตรายขึ้นได้ง่ายๆ.............ปกติผมจะชื่นชอบการขับรถเวลาฝนตก................มันทำให้รู้สึกโรแมนติกปนเศร้าอย่างบอกไม่ถูก.............แต่พอถึงบทที่เรามีความเศร้าจริงๆ ผมกลับไม่ยักกะรู้สึกโรแมนติกสักนิดเดียว..........ตรงกันข้าม................ในใจผมมีแต่คำถามและความรู้สึกร้อยแปด................ซึ่งล้วนแต่ทำให้สภาพจิตใจของผมแย่ลงไปตามลำดับ................

                       ท้องฟ้าย่างเข้าสู่ความมืดมิดแล้ว..............ใจของผมถูกปล่อยให้ล่องลอยไปตามแต่มันจะโบยบิน.............พลันเสียงโทรศัพท์ก็ปลุกผมให้ตื่นจากภวังค์...........ผมบรรจงหยิบขึ้นมาอย่างช้าๆ........ในใจภาวนาขอให้เป็นนัท.............ผมอยากให้เค้าโทรมา............เพราะผมไม่อยากจะสรุปว่าเค้าเป็นคนใจดำ........แค่โทรมาแป๊บเดียวก็ยังดี...........โปรดอย่าปล่อยให้ผมต้องตัดสินเค้าไปทั้งแบบนี้เลย...........

                         “ฮัลโหล เป็นไงมั่ง หายเงียบเลยนะ” ...........เอ๊ะใคร...........ผมไม่รู้สึกคุ้นเลย
                         “ใครครับ” ผมถามกลับ............คราวนี้จะมีใครโทรมาอำกันอีกล่ะ
                         “เปี๊ยกไง จำไม่ได้เหรอ”.........เสียงปลายสายบ่นแสดงความน้อยใจ................อ๋อใช่.........ผมจำเค้าได้แล้ว...............จะว่าแฟนก็ไม่เชิง................แต่ผมเคยคบกับเขาได้พักเดียวเมื่อนานมาแล้ว..........บทผมจะประทับใจใครก็ประทับใจเอาได้ง่ายๆ แต่บทจะละทิ้งก็ยิ่งทำได้ง่ายกว่า............

                        เราเจอกันเพราะการแนะนำของเดียวเพื่อนรักของผม ในระหว่างที่ผมไปทำแลประยะสั้นๆที่กรุงเทพ..........อันที่จริงเค้าเคยจีบเดียวมาก่อนได้พักหนึ่ง...........แต่เดียวไม่สนใจจึงเลิกรากันไป................พอมาเจอผมเค้าก็เปลี่ยนมาจีบผมแทน...........ในตอนนั้นผมกำลังอกหักจากเก้งมาหมาดๆ จึงไม่ลังเลที่จะเปิดรับเค้าเข้ามา............ผมมีความเชื่ออย่างหนึ่งว่า การเปิดรับคนใหม่เข้ามาจะช่วยให้เราลืมคนเก่าได้เร็วยิ่งขึ้น............อย่างน้อยๆถ้าเค้าไม่ดีพอเราค่อยชิ่งในภายหลังก็ไม่เป็นไร..........แต่ระหว่างนั้นเค้าจะช่วยเยียวยาเราได้ในระดับหนึ่ง...........ก็ยังดีกว่าปล่อยให้เวลาเป็นตัวรักษาอย่างช้าๆตามครรลอง.............
                       “แกจะชอบมันอยู่เหรอ ไม่เห็นจะเหมาะสมเลยสักนิด” เดียวทำปากเบะ.........ถ้าจะเทียบแล้ว เค้าถือว่าแตกต่างจากผมมาก โดยเฉพาะสถานะทางการศึกษา.........แต่ผมไม่สนเพราะถ้าผมจะชอบ ผมก็พร้อมที่จะมองข้ามในทุกๆเรื่อง.........ประเภทที่ว่าให้คะแนนจากร้อยแล้วค่อยหักออกทีละน้อยในภายหลัง...............

                        เรานัดกันออกเดทในเวลาต่อมาที่ย่านท่องเที่ยวของชาวเกย์แถว อตก. ............ซึ่งก็แน่นอนว่าเดียวก็ต้องไปด้วย...........แค่เพียงการออกเดทหนที่สองเค้าก็แอบไปยืนจับมือกับคนอื่นที่โต๊ะข้างๆให้ได้เห็นต่อหน้าต่อตา............และก็ล่องหนหายไปกับคนนั้นตอนผับเลิก ปล่อยให้ผมกับเดียวกลับห้องกันสองคน..........ผมจึงตัดสินใจจะเลิกสนใจเค้าในทันที...........

                        แต่ด้วยความที่ผมเป็นคนใจอ่อนหรือจะเรียกว่าอะไรก็ไม่อาจทราบได้..............สุดท้ายเค้าก็กลับมาตอแยกับผมใหม่.........ผมจึงคิดจะให้โอกาสเค้าอีกครั้ง โดยการยอมให้เค้าขึ้นมาหาที่เชียงใหม่.........เราอยู่ด้วยกันสี่วันเต็ม..............แต่เราไม่ได้มีอะไรกัน..........

                       “ต่อให้แกสาบานชั้นก็ไม่เชื่อว่าแกไม่ได้มีอะไรกับเค้า อยู่ด้วยกันตั้งสี่วัน” เดียวยืนกระต่ายขาเดียวไม่ยอมรับว่าผมไม่ได้เสร็จเค้าไปแล้ว……….
                        “จะให้ลุยไฟพิสูจน์ไหมล่ะ” ผมแกล้งแหย่เล่นไปตามประสา
                        “ลุยไปก็ตายเปล่า” หล่อนบอกอย่างมั่นอกมั่นใจ............แต่ผมไม่สนหรอก............เราเท่านั้นที่รู้ความจริง........จะสนไปทำไม...........ผมไม่ได้เป็นคนมักง่ายอย่างนั้นซะหน่อย.........

                         แค่ไปถึงวันแรกเค้าก็แอบออกไปโทรศัพท์นอกห้องตอนตีสามร่วมชั่วโมง.............วันต่อๆมาเค้าก็แสดงท่าหว่านเสน่ห์กับใครที่พบเจอไปทั่ว..............ผมจึงตัดสินใจได้ไม่ยากเลยว่าควรจะคบเค้าต่อไปหรือควรจะเลิกดี...............พอเค้ากลับไปกรุงเทพผมจึงเลิกติดต่อและลบเบอร์ทิ้งไปแล้ว............ไม่คิดเลยว่าเค้าจะยังระลึกถึงผมอยู่..............แต่ก็ไม่แปลกนัก เพราะผู้ชายส่วนใหญ่ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตผม มักจะชอบมาทำท่าว่าเสียดายในภายหลังเสมอ...........ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม.......

                        เปี๊ยกยังคงตัดพ้อที่ผมไม่ได้ติดต่อเค้าไปเสียนาน...........แต่ผมไม่สนใจ จึงนิ่งฟังและทำเสียงอือๆออๆไม่ให้น่าเกลียด...........
                       “อยากไปเที่ยวเชียงใหม่จัง คิดถึงเชียงใหม่” ..........มามุขนี้อีกแล้ว.............ผมเบะปากด้วยความระอา
                       “ก็เหมือนๆเดิม ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง” ............เรื่องอะไรจะชวนมาให้โง่........แฟนเราก็มีอยู่แล้วทั้งคน...........ถึงเค้าจะไค่อยดีเท่าไหร่..........แต่อย่างน้อยๆเค้าก็ไม่ได้เจ้าชู้เหมือนนายก็แล้วกัน............ผมแอบด่าเค้าในใจ................เค้าคุยต่อกับผมอีกสักพักจึงวางสาย........เมื่อเห็นท่าทีว่ารดน้ำไป ตอของต้นรักที่ตายไปแล้วก็ไม่มีวันหวนฟื้นคืนมาได้ จึงสมควรจะจรลีไปรดน้ำกออื่นจะเกิดประโยชน์มากกว่า...........

                       “แฟนเก่าโทรมาน่ะ” ผมหันมายิ้มให้มอลลี่...........แต่ก็ไม่ได้ช่วยเรียกคุณค่าและศักดิ์ศรีที่สูญเสียไปของผมให้ดูดีขึ้นมาได้เลย....................เพราะนัทยังไม่โทรมา.........ผมยังเฝ้ารอเค้าทุกขณะจิต........ได้โปรดเถอะนัท อย่าทำให้พี่ต้องเข้าใจเธอผิดเลย.............อย่าให้พี่ต้องคิดว่าเธอใจดำ........ผมได้แต่วิงวอนอยู่ในใจ..............

                       สายฝนซาเม็ดลงไปบ้างแล้ว.............ถนนลดความลื่นลงแต่ยังคงอันตราย.............ยามนี้ช่างเงียบเหงาร้างรถยนต์สัญจร นานๆจึงจะผ่านมาสักคัน..............ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู.......จะห้าทุ่มอยู่แล้ว.............นัทยังไม่โทรมาเลย

                      “รอโทรศัพท์นัทอยู่เหรอ” ผมหันไปทางต้นเสียง............มอลลี่ไม่ได้หลับ เธอคงเห็นผมหยิบโทรศัพท์มาดูหลายครั้ง จนทนรำคาญไม่ไหว..........
                     “อืม.......อันที่จริงเค้าน่าจะโทรมาบ้าง” ผมอดไม่ได้ที่จะตัดพ้อ........ได้พูดถึงบ่นถึงบ้างก็ยังดี.........ดีกว่าปล่อยให้มันแน่นจุกอกอยู่ข้างใน...............
                     “เค้าคงกำลังยุ่งอยู่มั้ง ถ้าว่างแล้วคงจะโทรมาเอง” ผมรู้ว่าเธออยากจะพูดปลอบใจ.........แต่มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกโกรธนัทมากขึ้นเป็นทวี.............เค้าทำให้ผมต้องอยู่ในสภาพน่าอับอายและอดสูใจต่อหน้าน้อง.......มีแฟนแทนที่จะได้เอาไว้คุยอวด...........แต่นี่อะไรกัน..........ต้องมานั่งคอยแก้ต่างให้สารพัด........
                     “นั่นไงโทรมาแล้ว” มอลลี่ตั้งข้อสันนิษฐานเมื่อเสียงโทรศัพท์ยามวิกาลของผมดังขึ้น..........ปกติไม่มีใครโทรมาหาผมเวลานี้อยู่แล้ว..........เพราะมันเป็นเวลาของคนพิเศษ.........เดาเอาว่าคงเป็นนัท.......ผมค่อยใจชื้นขึ้นมาบ้างเล็กน้อย..........ถ้าเป็นเค้าจริงก็คงจะพอกู้หน้าให้ผมได้บ้าง..........ถึงจะโทรมาช้าก็ดีกว่าไม่โทรมาเลย.......ไม่ได้จะสื่อว่าผมเป็นพวกสร้างภาพจี๋จ๋าอะไรหรอก...........แต่ว่าผมห่วงแต่ตัวนัทเองนั่นแหล่ะ..........ไม่อยากให้ใครมองว่าผมเป็นแฟนกับคนไม่ได้เรื่อง..........

                    “ถึงไหนแล้ว” ...........นัทจริงๆน่ะแหล่ะ...........โทรมาซะดึกเกือบห้าทุ่มแน่ะ
                   “กำลังจะเข้าลำปาง พี่กำลังพูดอยู่เลยว่าพอลงรถแล้วไม่มีน้ำใจจะโทรมาถามไถ่เลยนะ” ผมใส่เป็นชุด..............ปกติผมไม่ใช่คนประเภทชอบบ่นว่าให้ใครง่ายๆ...........แต่คราวนี้เค้ามาในจังหวะที่ผมอยากจะต่อว่าพอดี.........จึงไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้
                       “พอลงจากรถก็รีบไปเตรียมตัวต้อนรับอาจารย์เลย.........เค้าเพิ่งกลับไปเมื่อค่ำๆนี้เอง  นัทก็มัวแต่วุ่นๆ นี่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ”
                      “อืม แล้วเป็นไงบ้างล่ะ อาจารย์ว่าไรบ้าง” ........ผมมักอยากรู้เรื่องของเค้าไปเสียทุกเรื่อง.......ไม่รู้ว่าเป็นเพราะนิสัยสอดรู้ หรือว่าห่วงใย........แต่ก็รวมเอาว่าเป็นห่วงใยน่าจะดูดีกว่า........
                      “ก็ไม่มีอะไร แล้วนี่ทางโน้นฝนตกหรือเปล่า ที่นี่ตกแรงมาก” น้ำเสียงของเค้าแสดงออกถึงความห่วงใย........คงเพราะเกรงจะเกิดอันตรายเนื่องจากผมกำลังอยู่ในระหว่างเดินทาง..........
                      “ตกแต่หยุดไปแล้ว” ผมบอกไปตามจริง..........พลางนึกเสียดายว่าน่าจะสร้างเรื่องให้เค้าวิตกสักหน่อยก็ดี..............เสียดายปากไวไปหน่อย........

                     เราคุยกันต่ออีกสองสามคำ.........นัทจึงวางสายไป.............ผมหันมายิ้มให้มอลลี่อย่างผู้มีชัย..........พลางนึกในใจว่าเห็นมั้ย เค้าก็ไม่ได้เลวร้ายซะทีเดียวหรอกน่า..........อย่างน้อยๆเค้าก็ไม่ได้ทำให้ผมผิดหวัง...........สามัญสำนึกขั้นพื้นฐานของเค้าก็ยังพอมีอยู่............เพราะฉะนั้นจึงไม่ถือว่าอยู่ในประเภทโปรดไม่ขึ้น..................จริงมะ.....

                     เรากลับมาถึงเชียงใหม่เกือบตีหนึ่งในสภาพสบักสะบอม...........ผมส่งมอลลี่ที่บ้านแล้วรีบบึ่งกลับมาที่ห้องเพื่อพักผ่อน........อาบน้ำเสร็จก็รีบเข้านอน.........เมื่อหัวถึงหมอนจึงหลับเป็นตาย.......ตอนนี้ในใจผมกำลังเริ่มต้นนับวันรอ.........รอวันที่เค้าจะกลับมา...........อีกสองอาทิตย์เอง.......ไม่นานหรอก
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 04-07-2007 10:58:50
ขยันจริงๆ กับเรื่องรอเนี้ย  :m12:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 04-07-2007 11:21:42

..........รอต่อไป........... :undecided: :undecided:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 04-07-2007 18:45:36
นัทก็ยังดีนะ โทรมา อย่างน้อยก็รู้ว่าห่วงหล่ะ
 :m3:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 04-07-2007 18:54:02
รอ ร้อ รอ  :m4:  :m4:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 04-07-2007 19:36:25
นัทก็ยังน่ารักอยู่เนอะ  เฮ้อ นึกว่าจะกลัวซะจนหัวหดไปหมดแระ
ว่าแต่พี่กั้งจะทนสภาพรักเค้า แต่แสดงออกไม่ได้ขนาดนี้ไปอีกนานมะ  สู้สู้น้า   :m7:  :m7:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 04-07-2007 20:55:41
ไหนๆก็รักเค้าแล้ว ก็รอสักหน่อยเป็นไรไป  :m1:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 05-07-2007 10:11:18

รอ.......... o19 o19
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 05-07-2007 11:36:31
                         ชีวิตของผมกลับเข้าสู่สภาพเดิมๆอีกแล้ว.............คือไม่มีใครและก็เหงา..............ส่วนมากในช่วงกลางวันผมมักจะเกาะติดกับมอลลี่ออกไปไหนต่อไหนอยู่เนืองๆ.............ไม่ว่าจะเป็น ไปกินข้าวเที่ยง หรือไปดื่มกาแฟร้านหรูย่านนิมมานเหมินทร์............จิบกาแฟไปคุยกันไป นั่งเหล่หนุ่มๆแก้เซ็งไป ตามเรื่องตามราว...........ส่วนตอนเย็นผมก็จะว่างไม่มีกิจกรรมที่น่าสนใจให้ทำ...........และผมก็ควรปล่อยมอลลี่ให้ไปใช้ชีวิตกับเพื่อนๆของเธอบ้าง..............ปกติช่วงเวลานี้ในอดีต ผมได้เทให้นัทไปจนหมด............และก็ตัดทุกๆกิจกรรมออกไปเสียสิ้น...........ดังนั้นเพื่อนและน้องๆคนอื่นๆจึงหายหน้าเข้ากลีบเมฆไปตามๆกัน...........

                       น้องพรก็หายเงียบไปเลย..........แว่วๆว่า ความรักของหล่อนกำลังสุกงอม.............ได้ยินมาแต่ข่าว แต่ยังไม่ได้เจอหน้าค่าตากันสักหน...............ได้ยินว่าหล่อนไปตีเทนนิสกับเขาทุกวัน............
                      “พี่กั้ง น้องมีไรกับเค้าแล้ว” หล่อนโทรมาปรึกษากึ่งๆอวดอยู่ในที
                      “หา........เมื่อไหร่ ที่ไหน ยังไง” ผมซักอย่างประหลาดใจ...............อะไรมันจะรวดเร็วปานนั้นวะ..............
                      “ก็ไม่มีไรมาก แค่ผิวเผินยังไม่เต็มรูปแบบ”.......ดูหล่อนจะภูมิอกภูมิใจไม่น้อย ทำยังกะเพิ่งเคยเป็นครังแรกงั้นแหล่ะ...............ไม่น่าเชื่อว่าช่วงที่ผมมัวแต่วุ่นๆเรื่องตัวเอง.............หล่อนจะก้าวหน้าไปได้ไวขนาดนี้..............
                      “แต่มันมีไรแปลกๆอยู่อย่างหนึ่งนะพี่กั้ง” น้องพรอ้อมแอมก่อนจะหรี่เสียงลงต่ำ............ผมพยายามเงี่ยหูฟังว่าอะไรแปลกๆที่ว่านั้น.......มันคืออะไร.............

                      “ก็พอหลังจากเรามีไรกันแล้ว มันก็เอาแต่พูดว่า มันไม่ใช่แบบนี้พี่ๆ อยู่นั่นแหล่ะ” ..........อืม...........น่าสนใจ...........หรือว่าไอ้อาร์มันจะเป็นสาวแอ๊บแมน.............ผมพยายามนึกตรึกตรอง............ก็อาจเป็นไปได้นะ.............แม้น้องพรจะสาวแตกเมื่ออยู่ต่อหน้าผม.............แต่สำหรับคนภายนอกนั้นแทบจะดูไม่ออกเลยว่าหล่อนเป็น.........เนื่องจากใบหน้า ท่าทางและคำพูดของหล่อน ไม่เอื้อต่อการให้คิดว่าเป็นสาวแม้สักนิด............หากไอ้อาร์มันเป็นประเภทเดียวกัน คือสาวแอ๊บแมน..............ก็แสดงว่าเกิดการสื่อสารกันผิด..........แต่ผมจะยังไม่ด่วนสรุปหรอก............ยังไงก็ต้องหาข้อมูลมายืนยันสมมุติฐานเสียก่อน...........ไม่งั้นก็ไม่ถือเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ดีน่ะสิ..............

                       “ไม่มีไรมั้ง เค้าอาจจะกำลังสับสนอยู่” ผมพยายามปลอบใจ.............แต่ว่าผมค่อนข้างมั่นใจว่าไม่น่าจะผิดไปจากที่ผมคิดเอาไว้...........ก็คิดดูสิน้องอาร์เค้าเป็นนักกีฬาวอลเล่ย์บอลของมหาวิทยาลัย.............ซึ่งน้อยนักที่ผู้ชายจะเล่นกัน.............นอกจากพวกสาวๆ...............
                      “อืม อาจจะไม่มีอะไรจริงๆก็ได้ ยังไงก็ดูๆไปก่อน” น้องพรคล้อยตามแต่น้ำเสียงดูเหมือนพูดปลอบใจตัวเองเสียมากกว่า............
                     “เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่จะไปตีเทนนิสด้วยนะ” ผมสำทับในตอนท้าย.............เรื่องของชาวบ้านเค้าอ่ะ........เราชอบบบบบบบบบ............อิอิ

                       ผมโทรชวนให้เจไปเป็นเพื่อนเดินซื้อชุดกีฬา สำหรับการไปตีเทนนิสวันพรุ่งนี้........พักหลังนี้เจจะไม่ค่อยลีลาท่ามากเหมือนในอดีต...........เนื่องจากเค้ารู้ว่าผมมีแฟนแล้ว.........เพราะฉะนั้นเค้าจึงไม่อยู่ในสถานะที่จะทำมาเป็นเล่นตัวได้อีกต่อไป..............ถึงผมจะไม่ได้ชอบเค้าแล้ว.............แต่เค้าก็เป็นเพื่อนแก้เหงาได้ดี.............ผมจึงไม่อยากจะตัดเค้าทิ้งไป...........อย่างน้อยๆเค้าก็สามารถชดเชยในสิ่งที่นัทให้ผมไม่ได้........... นั่นก็คือการรับฟัง และพยายามเข้าอกเข้าใจ.........แม้จะรู้ว่าไม่ควรเสี่ยงกับเรื่องแบบนี้ เพราะผมรู้ว่าเจไม่ได้มีเจตนาดีต่อความสัมพันธ์ของผมกับนัทแน่ๆ.........แต่ผมคิดว่าผมเอาอยู่............มั่นซะอย่าง......อิอิ.....

                      “ลงทุนซื้อชุดใหม่เลยเหรอ คงกะไปแย่งของเค้าล่ะสิ” เจพูดดักทอเหมือนคนรู้ทัน...........ผมสะดุ้งเฮือก............ไม่คิดว่าจะโดนแซวแรงขนาดนี้.............
                     “พี่ก็แค่อยากซื้อ ไม่ได้เกี่ยวกับว่าอยากจะใส่ไปอ่อยใคร”............ผมหันมาย้อนอย่างไม่สะทกสะท้าน............แต่ถ้าจะให้ยอมรับกันตรงๆ...........ผมก็แค่อยากทดสอบเล่นๆเฉยๆ..........จริงๆนะ.........ไม่ได้คิดจะไปแย่งมาจริงๆหรอก.............ถ้าเค้ารักกันดี มันก็ดีกับเค้าทั้งสองคนไม่ใช่หรือ...........แต่ถ้าอาร์ไม่ใช่คนหนักแน่น............ผมก็ช่วยไม่ได้................คำพูดของเจทำให้ผมนึกย้อนไปถึงใครคนหนึ่งในอีต

                     “ไปอยู่เชียงใหม่ระวังจะโดนข่มขืนนะ” นี่เป็นคำพูดของเพื่อนข้างห้องในอดีตที่พูดกึ่งแซวกึ่งประชดกับผม หลังจากที่ผมไปบอกว่าจะรับทุนไปเรียนต่อที่เชียงใหม่...........
                    “ทำไมล่ะ” ผมยิ้ม พลางยักคิ้วท้าทาย...........เค้าไม่ตอบนอกจากยิ้มเย็นๆ..............ทำไมน่ะเหรอ.......ผมรู้คำตอบอยู่แล้ว...............ว่า เค้านั่นแหล่ะที่อยากจะเป็นคนข่มขืนผมซะเอง...............
เรารู้จักกัน ตอนที่เค้าเข้ามาเป็นอาจารย์ใหม่ที่มหาวิทยาลัยอและก็ได้มาพักที่ห้องข้างๆผม........ผมชอบเค้าในทันทีที่เจอ..........หล่อ.........สูง......ขาว........อวบ........มาดเท่ห์............เมื่อฟ้าส่งมาให้ถึงที่ขนาดนี้ ผมจึงจำต้องแวะเวียนไปคุยกับเค้าบ้างเป็นครั้งคราวไม่ให้น่าเกลียด............และก็มาสืบรู้ทีหลังว่าเค้ามีเมียอยู่แล้วเป็นผู้หญิง..............และความที่แวะเวียนไปบ่อยเกินหรือยังไงก็ไม่ทราบ มีอยู่ครั้งหนึ่งขณะที่เรากำลังนั่งคุยกัน.........เค้าได้พูดประโยคที่ผมไม่คิดว่าจะได้ยินออกมา.............
                       “มีอะไรกันแค่สนุกๆก็จบ ไม่ต้องผูกมัดต่อกัน”..........ผมไม่ชอบทัศนะคติแบบนี้เลย.......แม้เค้าจะหมายถึงผมหรือไม่ก็ตาม..........มิหนำซ้ำก่อนจะกลับยังจะเอาหนังสือธรรมะให้ผมยืมมาอ่านอีก........มือถือสากปากถือศีลชัดๆ...........ผมแอบแค้นในใจ...............เค้าจะคิดว่าผมจะอยากมีอะไรกับเค้ามากจนต้องยอมเข้าไปมอบกายถวายตัวให้เค้าเชยชมและทิ้งขว้างง่ายๆถึงขนาดนั้นเลยหรือยังไง..................ดีล่ะ............ผมจะทำให้เค้าอยากได้และเป็นฝ่ายเข้ามาหาผมเอง............

                       ผมจึงเริ่มต้นแผนการด้วยการ ยุติการไปคุยกับเค้าที่ห้อง.........เปลี่ยนเป็นมายืนดักรอที่หน้าหอพักก่อนไปทำงานทุกวัน............พอเค้าเดินมาผมจะแสร้งทำเป็นไม่เห็นและปล่อยให้เค้าเข้ามาทักผมเอง................ผมจะแกล้งทำเป็นเมินเสมอๆเวลาเจอกัน แต่พอถึงตอนเย็นผมจะแอบเอาถุงน้ำเต้าหู้ไปแขวนไว้ที่หน้าห้องพร้อมกับโน้ตสั้นๆ...........เช่น
                     “ดื่มน้ำเต้าหู้เยอะๆจะได้ แข็ง..........แรง”.........ได้ผลแฮะ......เค้ามาเคาะประตู ด้วยรอยยิ้มหวานหยด เมื่อกลับมาถึงห้องและเห็นถุงน้ำเต้าหู้แล้ว...........
                     “น้ำเต้าหู้ของกั้งเหรอ” ยังจะมาตีหน้าเซ่ออีก...........ผมยิ้มตอบ ก่อนจะบอกว่า
                      “ถ้าไม่ใช่ของกั้งก็คงเป็นผีมั้งที่เอาไปแขวนไว้”

                         การชิงไหวชิงพริบของเรายังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ..........จนไม้เด็ดสุดท้ายที่ผมงัดออกมาใช้นั่นก็คือ การส่งข้อความ.............นี่คือท่าไม้ตายของผม..........ผมนั่งนึกข้อความเด็ดๆจนในที่สุดเย็นนั้นผมก็นึกออกดังว่ามีผีจากนรกขึ้นมาดลใจกระนั้น............
                         “พี่โก้........มีหนังสือทำมะ ให้ยืมอ่านบ้างมั้ย?” ..........ผมเปลี่ยนคำว่า ธรรมะ เป็นทำมะ อย่างจงใจ..........ภายในใจนั้นสั่นระทึก.........ทำไมเราช่างกล้าบ้าบิ่นได้ขนาดนี้............ช่างไม่รู้จักประเมินกำลังของตัวเองซะบ้าง...........ไม่รู้หรือไงว่ากำลังต่อกรอยู่กับเสือร้ายอยู่..........พอดีพอร้ายจะพลาดท่าตกไปเป็นภักษาหารไม่มีเหลือหลอ...........

                         คืนนั้นผมกลับมานั่งคอยลุ้นว่า เมื่อไหร่เค้าจะกลับมาถึงห้อง.............จนค่อนดึก..........ขณะที่ผมกำลังจะเข้านอน.......พลันก็มีเสียงเค้าประตูดังขึ้น............
                        “ก๊อกๆๆ” เสียงเคาะเบาๆ......แต่มันดังก้องอยู่ในสมองของผม จนแทบจะอยากทรุดลงไปกอง ด้วยความดีใจในชัยชนะ.............

                        ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าใคร............ผมเหลือมองนาฬิกาซึ่งบอกเวลาหกทุ่มพอดี...........ก่อนจะเดินไปเปิดประตูแง้มออกไปดู…………

                        พี่โก้จริงๆด้วย.........ผมแทบผงะ.......ก็เค้าอยู่ในสภาพกางเกงขาสั้นตัวเดียว ปล่อยให้ท่อนบนเปลือยเปล่ายังกะชีเปลือย..........นี่ถ้าถอดกางเกงออกด้วยก็คงเป็นชีเปลือยไปแล้ว..........อิอิ.........เค้าก้าวเข้ามายืนค้ำประตูเอาไว้...........แต่ผมไม่ยอมถอยหนี...........เพราะหากผมถอยเค้าจะต้องถือโอกาสเข้ามาในห้องแน่นอน............ผมจึงยืนนิ่งอยู่…………
                        “กั้งได้เข้าไปในห้องพี่มั้ย” เค้าถามคำถามแปลกๆ.............ผมจะเข้าไปในห้องเค้าได้ยังไงในเมื่อผมไม่มีกุญแจ..........
                        “ทำไมเหรอ” .........อยากจะรู้นักว่าจะเอาอะไรมาอ้าง
                        “หน้าต่างด้านบนมันเปิด” เค้าให้เหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น.........ดูทะแม่งๆแฮะ
                       “มีรอยเท้าคนปีนมั้ย” ผมแกล้งไก๋.....ทำทีว่าเชื่อตามนั้น.........ในใจนั้น นึกอึดอัดกับหน้าอกขาวๆเนียนๆน่ากอดของเค้า..........ไหนจะหน้าท้องหยุ่นๆนั่นอีก.........พุทธโธ ธรรมโม สังโฆ.....ผมสัมผัสได้ถึงลมหายใจรวยรินออกมาจากตัวเค้า..........มันทำให้อุณภูมิภายในของผมพุ่งปรี๊ดดดดดดด จนแทบทะลัก.....
                        “ไม่มี”........ไม่มีแล้วใครมันจะเข้าไปในนั้นล่ะ........ผมคิด......
                        “สงสัยจะผีมั้ง...” ผมยิ้มให้อย่างมีเลศนัย.........เค้าจึงยิ้ม........แล้วยักไหล่ ก่อนจะขอตัวกลับเข้าห้องไป..........

                          ผมรีบล็อกประตูแล้วปิดไฟนอนทันที............รู้สึกใจหวิวๆและร่างกายสั่นสะท้านด้วยความตื่นเต้น........สะใจ..........และเสียดาย...........ทำไมผมปล่อยเค้าไปนะ..........ผมชอบเค้าจะตาย.........ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนที่ถูกสเป๊คผมได้เท่านี้.............แต่มานึกดูอีกที..........ก็ดีแล้วที่ทำแบบนั้น..........เค้าจะได้รู้ไว้ซะบ้างว่า..........เกย์ไม่ใช่เซ็กส์ทอย ที่ไม่มีหัวใจ.........อยากเชยชมก็จะทำ...........อยากทิ้งก็จะผลักไสไปง่ายๆ.............ผมคนหนึ่งละที่จะไม่ยอมให้ใครมาดูถูกผมแบบนั้นเป็นอันขาด............


                       ผมซื้อเสื้อผ้าเสร็จ........แยกกับเจแล้วจึงมุ่งหน้ากลับห้อง................หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรไปยืนยันเรื่องเวลากับน้องพร............ก่อนจะกลับมานอนคิดอะไรเงียบๆต่อ..............น้ำเสียงของหล่อนเมื่อครู่ ดูไม่สบายใจนักกับการที่ผมจะไปตีเทนนิสด้วย............บางทีผมอาจจะคิดมากไปก็ได้........ช่างมันเหอะ.........ผมสลัดความคิดดังกล่างออกไปโดยเร็ว............ก่อนจะลงมือรีดชุดตีเทนนิสให้เรียบกริบ.....
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 05-07-2007 14:36:53
นัทเอ๊ย  กลับมาเต๊อะ  พี่กั้งเค้าจะออกไปอ่อยเหยื่อแว้ว          o12 o12
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 05-07-2007 14:44:07
นี่............กล่าวหนักไปแล้ว..............อิอิ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 05-07-2007 15:30:04
เอาไปหนึ่งบวกงามจากน้องนะเคอะ  เพราะคำพูดคำนี้....

....เกย์ไม่ใช่เซ็กส์ทอย   o13
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 05-07-2007 15:35:19
จ้า..........ใจดีเนาะ.........ให้พี่มาตั้งหนึ่งคะแนน........หุหุ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 05-07-2007 16:42:33
เกย์ไม่ใช่เซ็กส์ทอย ที่ไม่มีหัวใจ.........อยากเชยชมก็จะทำ...........อยากทิ้งก็จะผลักไสไปง่ายๆ.............

.............เกย์มะใช่ sex toy แต่ส่วนใหญ่ก็มักจะทำตัวเป็น sex toy... :m9: :m9:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 05-07-2007 19:42:30
ม่ายมีอะไรจะพูด นอกจากรออ่านต่อปาย   :m12:  :m12:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 06-07-2007 10:58:33
 o19 o19 o19
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 06-07-2007 12:23:25
                         ผมรีบตรงดิ่งกลับห้อง เพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าทันทีหลังจากจัดการภารกิจประจำวันที่แลปเสร็จเรียบร้อยแล้ว......................รู้สึกแปลกๆอยู่เหมือนกันกับการต้องไปร่วมกิจกรรมกับคนที่ไม่คุ้นเคยอย่างนี้..............โดยเฉพาะการเข้าไปร่วมด้วยเหตุผลทางการเมืองแอบแฝง.............หุหุ.....

                         ผมขับรถเข้าไปจอดใต้ต้นชมพู่เจ้าประจำ เพื่อแวะรับน้องพรที่หน้าตึกวิทยาศาสตร์เช่นเคย.........ถือว่าห่างหายกันไปนานพอสมควรสำหรับเราสองคน..........

                         “หวัดดี่จ้ะพี่กั้ง” น้องพรกล่าวทักทายเสียงสดใสเมื่อมาถึงที่รถ..............จากสัมผัส ผมสามารถรับรู้ได้ถึงความอึดอัดใจของหล่อน..............คงหวงแฟนสินะ............ไหนว่ารักกันนักรักกันหนาไง.........แล้วจะมากลัวอะไรกับผมกันล่ะ............ผมก็แค่มาแจมด้วยตามคำเชิญเฉยๆ........ไม่เห็นจะมีไรต้องให้น่ากลัวเลยสักนิดเดียว.............

                         “พวกนั้นมากันหรือยัง” ผมแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ถามถึงแฟนของหล่อน...............รู้สึกผิดนิดๆเหมือนกันนะว่าเรากำลังคิดจะทำอะไรเนี่ย............ดูหน้าตาเค้าก็บอกโต้งๆว่าไม่ได้มีความสุขกับการมาของเรา.........แล้วนี่เรายังจะมาแสร้งตีสีหน้าระรื่นได้ยังไงกัน...........แต่ไหนๆก็มาถึงขั้นนี้แล้ว............ก็ตามน้ำไปแล้วกัน..........

                         “เค้าจะตามมาทีหลัง เราไปตีกันก่อน เดี๋ยวน้องจะช่วยฟื้นเบสิคให้พี่กั้งเอง” .........เป็นความคิดที่ดีไม่เลวเลย..........ผมไม่ได้ตีเทนนิสนานแล้ว.............คงต้องมาเริ่มใหม่หมดเลย........ระหว่างขับรถ ผมแอบลอบสังเกตุดูสีหน้าน้องพร...........วันนี้หล่อนไม่ร่าเริงเหมือนเคยเลย........ดูบึ้งตึง และซ่อนความกังวลเอาไว้ยังไงก็ไม่รู้....................เหมือนคนมีอะไรในใจกระนั้น...........ก็หล่อนเป็นคนชวนผมมาเองอ่ะ..........แล้วจะมานั่งทำหน้าตาแบบนี้ใส่ผมน่ะเหรอ...........มันไม่ยุติธรรมนะ.............

                        หลังจากที่เราซ้อมน็อคลูกกันมาได้ซักพัก............ผมก็ค้นพบว่า มันไม่ง่ายเลยกับการที่จะฟื้นทักษะเก่าๆให้กลับคืนมาในเวลาอันสั้น.........ผมคงต้องเริ่มจากการไปหัดน็อคบอร์ดใหม่จนกว่าจะคล่อง.........ซึ่งคงต้องใช้เวลานานอีกหลายวัน...........และผมก็รู้ดีว่าผมไม่มีความอดทนมากพอขนาดนั้น...........ไหนยังจะมาเป็นส่วนเกินในกลุ่มนี้อีก เพราะเนื่องจากว่าเค้ามีกันครบสี่คนอยู่แล้ว..........เมื่อคิดได้ดังนั้นผมจึงแอบถอดใจตั้งแต่น้องอาร์ยังไม่ทันได้มาถึงด้วยซ้ำ..........อีกอย่างผมเองก็ไม่ได้อยากจะให้น้องพรต้องมาเสียความรู้สึกมากไปกว่านี้อีกแล้ว.............พอเห็นความลำบากใจที่แสดงออกมาจากใจของเค้าจริงๆ ผมถึงได้รู้ว่าความคิดที่จะแกล้งคนอื่นแบบนี้มันไม่สนุกเอาเสียเลย............

                         อาร์กับเพื่อนมาถึงในอีกครึ่งชั่วโมงถัดมา...........หนึ่งในนั้นเป็นคนที่น้องพรสงสัยว่าอาจจะเป็นคู่ขากับอาร์..........แต่หล่อนยังหาข้อพิสูจน์ไม่ได้ ณ ตอนนี้
                         “หวัดดีครับพี่กั้ง” อาร์และเพื่อนของเค้ายกมือไหว้..........ผมพยักหน้ายิ้มตอบ........รู้สึกไม่ดีเลย อยากจะกลับแล้วอ่ะ...............
                        “พี่กั้งเล่นมั้ยครับ” อาร์หันมาถามหลังจากที่พวกเค้าน็อคลูกกันจนได้ที่แล้ว............ผมสังเกตเห็นว่าน้องพรมีสีหน้าบึ้งตึงอย่างเห็นได้ชัด............หล่อนไม่ได้แสดงความเป็นเจ้าบ้านที่ดีกับผมเลย.......ทั้งๆที่ในกลุ่มนี้ผมสนิทและรู้จักกับหล่อนเพียงคนเดียวเท่านั้น..........คงจะหึงจนหน้ามืดสินะ........หึหึ.....
                        “ไม่ดีกว่า พี่เล่นไม่ได้เรื่องเลย ตามสบายเถอะ” ผมปฏิเสธ.......แล้วหันไปน็อคลูกกับผนังเล่น...........

                         พวกเค้าตีเทนนิสกันอย่างสนุกสนาน..........ในขณะที่ผมกำลังเบื่อสุดขีด...........พลางนึกก่นด่าตัวเองในใจว่ามามัวทำบ้าอะไรอยู่ที่นี่............ผมน็อคลุกเล่นสลับกับหยุดมายืนดูพวกเขาเล่นบ้างเป็นระยะ............น้องอาร์ดูดีไม่เลวเลยตอนอยู่ในชุดนักกีฬา..............ท่วงท่าและลีลานับว่าน่ามองในยามเทิร์นลูกกลับไปยังฝั่งตรงข้าม.............ผมยืนพิจารณาดูเค้าเพลินๆจนสายตาเหลือบไปปะทะกับใบหน้าที่บึ้งตึงและแบกความทุกข์ของน้องพร.............จึงหันกลับมาน็อคลูกเล่นกับผนังต่อ............

                         “ตุ๊บ..........” อะไรบางอย่างลอยมากระแทกที่ศรีษะผมเบาๆ............ผมหันไปดูยังที่มา ถึงได้รู้ว่าที่แท้ลูกเทนนิสกระเด็นออกจากสนามมาโดนนั่นเอง............ทุกคนในสนามหน้าซีดขอโทษขอโพยกันใหญ่............ผมยิ้มแห้งๆ ก่อนจะเดินไปเก็บลูกโยนคืนไปให้.............สงสัยพระเจ้าคงจะไม่เข้าข้างคนเลวแบบเรากระมัง..........อิอิ.............

                          ผมเดินไปเดินมาข้างสนามเหมือนคนไร้ประโยชน์จนพวกเค้าเล่นเสร็จและชวนกันกลับ..........น้องพรไม่ได้มีท่าทีว่าจะชวนผมกลับเลย............ผมจึงแสร้งทำเป็นเฉยอยู่.........ดูซิว่าเจ้าหล่อนจะทำยังไง.........จากหางตาผมเห็นน้องอาร์ทำท่าละล้าละลัง........ก่อนจะเดินไปพูดอะไรกับน้องพรสองสามคำ...............
                         “พี่กั้งกลับกันเถอะ”...........หึ..........ในที่สุดหล่อนก็เดินมาเรียกผมจนได้.........ผมทำทีเป็นเพิ่งรู้ว่า ทุกคนจะกลับแล้ว............จึงหันกลับไป เก็บของแล้วเดินตามคนอื่นๆออกไป.............

                         ผมกับน้องพรตกลงว่าจะไปหาอะไรกินกันต่อ..............เราจึงขับรถตระเวนไปแถวๆย่านหลังมหาวิทยาลัย...................หล่อนคงจะเคืองผมไม่น้อย...........ผมจึงไม่พูดอะไรมาก...........แต่จะว่าไปแล้ว ผมยังไม่ทันได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ.............หล่อนซะอีกที่ร้อนตัวทำเป็นแม่ไก่กางปีกปกป้องลูกเจี๊ยบ................

                       “พี่กั้ง.........น้องแอบเคืองพี่กั้งอยู่นะ”..........อ้าวเวร............แล้วจะมาเคืองฉันเรื่องอะไรกันละเนี่ย...........ผมคิดในใจ..........
                       “ทำไมล่ะ”.........ผมทำทีถาม............อยากจะรู้นักว่าหล่อนจะพูดอะไรออกมา..........
                       “ก็ไอ้อาร์น่ะสิ มันแสดงท่าเป็นห่วงพี่กั้งโอเวอร์” เอาล่ะสิ.........ว่าแล้ว
                       “เหรอ.........ทำไมล่ะ” ผมยังคงไก๋ต่อ.........
                       “ก็มันบ่นให้น้องตลอดเลยว่า ทำไมไม่ให้พี่กั้งเล่นมั่ง ชวนเค้ามาแล้วก็ไม่ให้เล่น.......บ่นอยู่นั่นแหล่ะ........พอตอนจะกลับมันก็มาบอกให้น้องไปเรียกที่กั้งกลับด้วย”.......หล่อนบ่นเสียยืดยาว.......รวมความแล้วว่า หึงนั่นเอง..............

                        ผมไม่ได้แสดงความเห็นอะไรต่อ นอกจากยิ้มเฉยๆ............มันจะว่ายังไงฉันก็ไม่สนหรอก......เพราะว่าฉันจะไม่มาเล่นกับแกอีกแล้ว.........สู้ไปเดินชอปปิ้งยังจะสนุกกว่า.......ผมคิดในใจ........

                        จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ผมได้เรียนรู้ตัวเอง.........และได้บทเรียนบางอย่าง..........ผมรู้ตัวเองดีว่า จริงๆแล้วผมไม่ได้มีนิสัยคิดจะไปแย่งของใคร........เพียงแต่อาจนึกสนุกอยากเข้าไปแหย่เล่นเท่านั้น...........เนื่องจากในใจผมนั้นมีนัทอยู่เต็มทุกห้องแล้ว..........และคนอย่างผมจะไม่มีวันประพฤตินอกใจคนที่ขึ้นชื่อว่าแฟนเป็นอันขาด..........

                       แต่ถึงยังไงผมก็ยอมรับว่าการได้แกล้งอ่อยแฟนของคนใกล้ตัวนั้น มันเป็นความสนุกและตื่นเต้นดีจริงๆ...........ถึงอย่างไรที่ผ่านมานั้น ยังไม่เคยมีใครแสดงความทุกข์ร้อนให้ได้เห็นมากเท่าน้องพร............อย่างมากก็แค่เพียงประชดประชันกันเล่นแค่พอหอมปากหอมคอเท่านั้น..............ผมจึงไม่มีโอกาสรู้เลยว่าความสนุกของเรามันทำให้คนอื่นต้องร้อนใจ ไม่เป็นสุข........การไปยุ่งกับของรักของหวงของคนอื่นนั้น...........มันไม่ใช่เรื่องตลกเลย.............
บางครั้งนิสัยผมก็ชอบทำอะไรตามอำเภอใจตัวเองเหมือนเด็กๆที่ไม่รู้จักยั้งคิด............ครั้งนี้จะเป็นบทเรียนสำหรับผมไปอีกนาน..........ผมไม่อยากให้น้องพรต้องเกลียดผมทั้งๆที่ผมไม่เคยนึกอยากจะได้แฟนหล่อนจริงๆเลย............ถ้าผมชอบเค้าจริงๆแล้วลงทุนไปแย่งก็ว่าไปอย่าง...........เพราะฉะนั้นผมจะไม่มาเล่นเทนนิสอีกต่อไป.............นี่ถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่น้องพร ผมอาจจะโดนตบไปแล้วก็ได้นะ.........อิอิ.........

                        ว่าแต่..........มันก็สนุกดีนะเวลาเห็นคนหึงอ่ะ................อย่าพึ่งด่านะ...........ผมแค่พูดเล่นเฉยๆ.....อิอิ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 06-07-2007 12:43:02

รอนัท.......
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 06-07-2007 13:39:41
จะมารอเค้าทำไม..........คนไม่มีหัวใจพรรณนั้น.....หุหุ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 06-07-2007 13:53:40
อืมนะ....

คนเราก็คิดไป  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 06-07-2007 14:09:48

............นิสัยเข้าใกล้เจ๊เลยนะเนี่ย......... :m11: :m11: :m11:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 06-07-2007 17:20:17
เรื่องแหย่ รึ อ่อยแฟนเพื่อน ก็เป็นการช่วยเพื่อนได้เหมือนกัน

ถ้าเค้าเล่นด้วยก็แปลว่าคบไม่ได้ สกรีนแฟนให้เพื่อนงัย ว่ารักจิงมั้ย  :m14:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 06-07-2007 17:45:48
น้องพรเลยเครียดเลย
 o22
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 06-07-2007 18:27:07
หุหุ ชวนเอง เครียดเอง  :m14:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 09-07-2007 08:18:44



 o19 o19 o19
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 09-07-2007 09:15:15
คุณ blanch นี่แฟนประจำตัวจริง สงสัยต้องให้รางวัลซะหน่อยแล้ว..........หุหุ...........แป๊บนึงนะคับ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 09-07-2007 10:40:37
                         “พี่กั้ง นัทยังไม่กลับเชียงใหม่นะ ว่าจะไปเที่ยวกับเพื่อนๆต่อ”...............อะไรกันเนี่ย......นี่เค้าไม่รู้เลยเหรอว่า ผมเฝ้านับวันรอคอยการกลับมาของเค้าแทบทุกขณะจิต.............ทั้งๆที่เพื่อนๆคนอื่นๆที่ไปฝึกงานด้วยกัน ต่างรีบตรงดิ่งกลับบ้านช่องเรือนชานกันทุกตัวคน...........แต่นัทกลับยังมีแก่ใจจะไปเที่ยวเล่นต่อ โดยไม่นึกเลยสักนิดว่าหัวอกของคนที่รอคอยนั้นมันทรมานมากแค่ไหน.........

                           ผมจะไม่ร้องขอให้เค้าเห็นใจหรอก..........ความสำนึกดังกล่าวมันควรจะมาจากภายในใจของเค้าเองมากกว่า.......ถ้าอยากจะกลับมาก็ขอให้นึกอยากจะมาเอง..........เค้าอยากจะไปเที่ยวเล่นต่อก็แสดงว่าผมไม่สำคัญต่อเค้ามากพอ..........นึกแล้วก็ให้น่าน้อยใจในวาสนาเหลือเกิน......นี่เค้าไม่ได้มีความปรารถนาที่จะมาเจอผมอย่างที่ผมปรารถนาอยากจะเจอเค้าทุกลมหายใจเข้าออกกระนั้นหรือ..........

                          “จะไปเที่ยวที่ไหนอีก ทำไมไม่รีบกลับมาล่ะ” การรอคอยทำให้ผมไม่เหลือความอดทนที่จะเจรจาอย่างนุ่มนวลอีกต่อไป......ผมจึงใส่อารมณ์กับเค้าบ้าง.........อย่างน้อยๆเค้าก็ควรจะได้รับรู้ว่าผมหัวเสียและหงุดหงิดใจแค่ไหนกับการที่ต้องเป็นฝ่ายรอคอยอยู่อย่างนี้...........
                          “ก็ไปเที่ยวดอยภูคา ว่าจะไปสักสองสามวัน” แม้ใจผมนั้นจะร้อนรนเป็นที่สุด...........แต่อีกใจหนึ่งก็นึกไปถึงความจริงที่ว่า เค้านั้นก็ยังจัดอยู่ในวัยเด็กอยู่......ก็คงอยากจะไปเที่ยวเล่นตามประสากับเพื่อนฝูงบ้าง...........แต่เหตุผลที่นึกได้กับความรู้สึกของผมมันช่างสวนทางกันเสียเหลือเกิน..........ทำไมผมต้องเป็นฝ่ายรักเค้ามากกว่า...........คนที่รักมากกว่าย่อมเป็นทุกข์........โดยเฉพาะคนที่รักอย่างไม่รู้จักปล่อยวางเช่นผม.........

                          “เพื่อนที่ไหนกันอีก ไหนว่าเค้ากลับมาเชียงใหม่กันหมดแล้ว” แม้จะพยายามคิดไปในแง่ดีแล้วก็ตาม......แต่อีกใจของผมนั้นก็นึกระแวงไปต่างๆนานา..........กลัวเค้าจะนอกใจไปมีคนอื่น..............ใครกันนะที่จะมีอิทธิพลนจนกระทั่งทำให้เค้ายืดเวลาการอยู่น่านออกไปให้นานขึ้นเช่นนี้..........หวังว่าคงไม่ใช่คนสำคัญเกินกว่าคำว่าเพื่อนหรอกนะ...........
                         “เพื่อนคนละกลุ่ม......ก็พวกที่เล่นเกมส์ในเนตนั่นแหล่ะ” นัทชอบเล่นเกมส์ในเนตตั้งแต่สมัยที่เราแชทกันที่เมืองนอกแล้ว...........แต่ตอนนั้นผมไม่ได้เข้าไปก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของเขามากนักจึงไม่ได้สืบถามเรื่องราว..........อีกอย่างตั้งแต่เราคบกันมานัทก็ห่างหายไปจากการเล่นเกมส์ เพราะเอาเวลามาขลุกอยู่กับผมซะเป็นส่วนใหญ่........ไม่คิดเลยว่าเค้ายังติดต่อกับเพื่อนๆกลุ่มนี้อยู่...........
                        “แล้วจะกลับมาเมื่อไหร่” การรอคอยที่แสนจะทรมานทำให้ผมสูญเสียความนิ่งไปโดยสิ้นเชิง............ผมไม่อาจบังคับจิตใจให้วางเฉยได้ดังอดีตที่ผ่านมา............อีกทั้งผมคงรู้สึกรักและรู้สึกเป็นเจ้าของเค้ามากขึ้นกว่าแต่ก่อนนั่นเอง........
                        “ยังไม่รู้.......... วู้วววววว........... อย่าถามมากได้มั้ย กลับเมื่อไหร่ก็เห็นเองนั่นแหล่ะ.........มีอะไรอีกมั้ย........จะวางแล้วนะ” นัทหมดความอดทนที่จะเจรจากับผมอีกเช่นเคย.........คงรู้ว่าหากพูดไปให้มากความ ก็รังแต่จะมีแต่เรื่องให้ต้องยุ่งยากใจ..........เพราะโดยธรรมชาติของผมนั้นมักมีนิสัยชอบพิรี้พิไรไม่รู้จักจบสิ้น.......มิหนำซ้ำ ยังหว่านล้อมเก่งเป็นเลิศ.........หากแต่จะว่าไปแล้ว นัทเองก็ค่อนข้างจะเรียนรู้ธรรมชาติของผมได้ไวพอสมควร......และหาทางรับมือได้ค่อนข้างดีทีเดียว.........

                        “อือๆ รีบๆกลับมาก็แล้วกัน”…….สุดท้ายเมื่อไม่สามารถโน้มน้าวจิตใจของเค้าได้อีกต่อไป..........ผมจึงต้องจำยอมใช้ไม้อ่อนตามเคย............ตามใจแล้วกัน.........อยากทำอะไรก็เชิญ......ถ้าไม่รักไม่คิดถึงกันแล้ว........ผมก็จนใจ..........

                        นัทวางสายไปแล้ว............ผมพยายามข่มความโมโหเอาไว้สุดกำลัง..............อยากจะอาละวาดฟาดหางเพราะความไม่ได้อย่างใจนัก...............แต่ก็ทำอะไรไม่ได้............จึงได้แต่นั่งคิดคั่งแค้นอยู่คนเดียว............เวลาเราอยู่ไกลกัน เราไม่เคยได้คุยโทรศัพท์กันดีๆ นานๆเลย..........อย่างเก่งก็แค่สองสามประโยค...........และที่เหลือก็จะลงเอยด้วยการทะเลาะกันทุกที..........โดยนัทมักจะเป็นฝ่ายใส่อารมณ์และแสดงความหงุดหงิดก่อนทุกครั้ง............ผมไม่รู้ว่าทำไม.........และก็ไม่เคยถามเค้าสักหน.............ได้แต่คิดเอาเองว่าเค้าคงรำคาญที่ผมชอบพูดจาซ้ำๆซากๆ

                       “พล่ามอีกแล้ว” นี่เป็นประโยคที่เค้ามักพูดเสมอๆ หากผมเริ่มที่จะพูดจาอะไรไม่เป็นที่สบอารมณ์..........ที่ผ่านมาผมจึงต้องพยายามสงบปากสงบคำเอาไว้.........แต่ผมจะยอมสงบแค่ในบางทีเท่านั้นหรอก..........หากเค้าไม่ยอมตามใจผมบ้าง...........ผมก็จะพูดมันอยู่นั่นแหล่ะ...........ก็มันเรื่องอะไรเราจะเป็นฝ่ายยอมได้ตลอดเวลา..........รู้จักกั้งน้อยไปซะแล้ววว....


                       “พี่กั้ง คนนั้นเค้ามองพี่กั้งแหล่ะ”........อ้น.......เพื่อนรุ่นน้องสะกิดให้ผมดูหนุ่มหล่อที่นั่งดื่มกาแฟโต๊ะถัดไป............พักหลังนี้ผมไหนมาไหนกับอ้นบ่อยขึ้นเพราะน้องพรก็หนีไปมีแฟนแล้ว........ส่วนมอลลี่ก็สามารถสนองความต้องการผมได้แค่ในตอนกลางวันเท่านั้น..........ผมจึงได้อ้นซึ่งเมื่อก่อนเป็นคนรู้จักกันแต่ในวงนอก.............แต่ต่อมาเมื่อเราเริ่มรู้สึกว่าเป็นคอเดียวกัน (เกย์) ผมกับหล่อนจึงสนิทกันได้อย่างรวดเร็ว...........หล่อนจึงเป็นทั้งเพื่อนกินข้าว........เพื่อนดื่มกาแฟในยามบ่าย และเพื่อนชอบปิ้ง.........รวมทั้งเป็นเพื่อนท่องราตรีในยามเบื่อได้อีกด้วย...........

                         การมานั่งดื่มกาแฟของเราจึงเป็นแต่เพียงข้ออ้างเท่านั้น...........ความจริงแล้วที่ร้านกาแฟยังมีสิ่งอื่นที่น่าดึงดูดใจมากกว่ากาแฟหลายเท่าตัวนัก...........ไม่ว่าจะเป็นการได้อู้งานจับกลุ่มซุบซิบในยามบ่ายที่แสนจะน่าเบื่อ..............การได้นั่งในบรรยากาศที่แสนสบายและอบอุ่นซึ่งทางร้านกาแฟบรรจงสรรสร้างเพื่อบรรดาลูกค้าผู้มีอุปการคุณทั้งหลาย.............รวมทั้งมีหนุ่มๆสุดหล่อผู้มีรสนิยมละเมียดละไมมากมายเรียงหน้ามาให้ทัศนา............ซึ่งส่วนมากก็มักจะเป็นเกย์ หรือไม่ก็มีแนวโน้มที่จะสามารถเหนี่ยวนำให้เป็นเกย์ได้ง่าย...........แต่อย่างไรก็ตาม..........ผมเอง ก็ยังไม่เคยได้หนุ่มๆที่ร้านกาแฟมาทำแฟนเลยสักคน..........ไม่ใช่เพราะว่าไม่มีใครมามอง.............หากแต่ผมถนัดเพียงแค่การอ่อยเหยื่อ..........ไม่ใช่การตะครุบ........จึงคิดเพียงว่าแค่ได้มองก็มีความสุขเหลือหลายแล้ว............มีใครบ้างไม่ชอบมองของสวยๆงามๆ........หรือจะเถียง...........

                         “ไหน คนไหนเหรอ” ทั้งที่รู้ว่าหล่อนนั่นแหล่ะที่เป็นคนสนใจหนุ่มคนนั้น และการที่บอกผมว่าโดนเค้ามองก็เป็นแต่เพียงการหาข้ออ้าง...........แต่ผมก็อดไม่ได้ที่จะมองไปตามทิศที่หล่อนทำท่าพยักเพยิดให้ดู.............หนุ่มนั่นมองมาที่ผมอยู่ก่อนแล้ว........ผมสบสายตาเค้าเพียงแวบเดียว ก่อนจะตวัดสายตาหลุบลงต่ำ..........มันเป็นมารยาอย่างหนึ่ง...........คือการดึงความสนใจของฝ่ายตรงข้ามโดยการสื่อสารด้วยสายตาและกิริยาท่าทาง............ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมถนัดมาก.............แต่ถ้าเป็นในส่วนของการจู่โจมแบบประชิดตัวนั้น.............ผมไม่ถนัด.........และไม่คิดว่าจะฝึกฝน เพราะไม่เห็นว่าจะถูกกับจริตนิสัยแต่อย่างใด.................

                          “ไม่หรอกมั้ง เค้ามองเธอหรือเปล่า” ผมแกล้งทำทีไม่เออ ออ.........และโยนไปให้หล่อนแทน.........
                          “แต่น้องว่า เค้ามองพี่กั้งนะ เห็นมองมาตั้งหลายหนแล้ว”..........ผมใช้หางตาเหลือบมองไปอีกครั้งหนึ่ง........เนื่องจากการมองตรงๆไม่ใช่จริตมารยาที่พึงกระทำ...........เพราะมันจะทำให้เราดูแก่นกล้าและไม่น่าค้นหา..........เราจึงเพียงแต่ควรแสดงให้เค้าเห็นว่า เรารับรู้ถึงสิ่งที่เค้ากระทำ.........และกำลังรอดูอยู่ว่าเค้าจะทำอย่างไรต่อไป............หลังจากที่ดูให้ถ้วนถี่แล้ว..........ผมก็พบว่าเค้ากำลังมองมาที่พวกเราจริงๆ..........ผมรีบใช้สายตาสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างรวดเร็ว................เค้าดูดีที่เดียว............เทียบกับนัทแล้วเรียกว่าคนละชั้นกันเลย........แต่กระนั้นผมก็ไม่ยักกะเห็นว่าเค้าจะน่าสนใจไปกว่านัทตรงไหน..............คิดแล้วก็สะท้อนสะท้านในใจ.............ขนาดมีหนุ่มหล่อครบสูตรเยี่ยงนี้มานั่งมอง.............ในใจผมยังไม่นึกยินดีแต่อย่างใด................นี่นัทเค้าจะรู้มั้ยนะว่าผมรักเค้ามากมายแค่ไหน...............ซึ่งขอเดาเอาว่าคงไม่รู้ซะมากกว่า...............

                        “เดี๋ยววันนี้จะกลับแล้วนะ เอาไว้ไปถึงอาเขตแล้วจะโทรหา” นัทโทรมาแจ้งกำหนดการในการกลับเชียงใหม่แก่ผมในช่วงเช้าของวันหนึ่ง..............การรอคอยที่แสนจะยาวนานเดินทางมาถึงปลายทางแล้ว...........ผมพยายามระงับความตื่นเต้นดีใจเอาไว้............เราควรเก็บงำไม่แสดงความดีใจให้เค้ารู้จนออกนอกหน้า เพราะประเดี๋ยวจะเหลิงไปกันใหญ่.........
                       “กี่โมงอ่ะ” ผมพยายามบังคับสุ้มเสียงให้ดูเป็นปกติมากที่สุด..........แต่ก็คิดว่าทำได้ไม่ดีพอ........เพราะฟังๆแล้วมันช่างดูกระดี้กระด้า จนอดหมั่นไส้ตัวเองไม่ได้..............
                      “จะเอาอะไรหรือเปล่า”...........อ้ะ..........นี่ผมฟังอะไรผิดไปหรือเปล่าเนี่ย............นัทนี่นะจะซื้อของมาฝาก...............ไปกินยาผิดขนาดมาจากไหนกันละนี่...................
                      “แค่นัทกลับมาพี่ก็ดีใจมากแล้ว ไม่ต้องซื้อไรมาฝากหรอก” ผมแสร้งทำทีเป็นไม่อยากจะได้อะไร............มิหนำซ้ำยังพูดจาสำบัดสำนวนเหมือนนางเอกในละครน้ำเน่า ที่ไม่ต้องการสิ่งอื่นใดนอกจากขอให้พระเอกกลับมาโดยสวัสดิภาพก็พอ...........แต่ผมก็ไม่อยากได้อะไรจริงๆนะ..........เพียงแต่อยากมารยาเล่นๆสนุกสนานก็เท่านั้นเอง.............
                     “มารยา” นัทบ่นพำพัมแต่ก็ดูเหมือนจะชอบใจ...........ก่อนที่จะตัดบทไป.........
                      “งั้นแค่นี้นะ” ..........เค้ามักจะต้องเป็นฝ่ายคอยควบคุมให้ผมอยู่กับร่องกับรอยเสมอ...........ในขณะที่ผมก็ชอบทำเป็นเล่นและยั่วเย้าเค้าสารพัด..........ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่า เค้าจะมาทำวางฟอร์มไปทำไมให้เสียเวลา..........คนจะรักกัน มันก็ควรจะต้องเปิดความเป็นตัวตนออกมาหากัน.......ไม่ใช่มานั่งเก๊กท่าอยู่แบบนี้...........บางทีเค้าอาจจะกำลังพยายามห้ามใจตัวเองไม่ให้ถูกผมชักจูงมากจนเกินไป.........อีกทั้งเค้าคงจะยากควบคุมผมให้อยู่ภายใต้อาณัติด้วยกระมัง...........ก็ให้มันรู้ไปว่าใครจะชนะ........หุหุ.........


                        “มารับที่อาเขตหน่อยสิ” ..........การรอคอยอันยาวนานของผมเดินทางมาถึงในที่สุด...........นัทกลับมาแล้ว........และกำลังจะมาถึงสถานีขนส่งอาเขตในอีกไม่ช้า............บางครั้งผมก็ชอบการการรอคอย เพราะถึงแม้ว่ามันจะทำให้เรารู้สึกทุกข์ทรมานใจในระหว่างที่รอให้มันบรรลุตามเป้าหมาย........แต่มันก็สามารถทำให้หัวใจเราพองโตได้ทุกครั้งเมื่อมันเดินทางมาถึงจุดหมายที่เราต้องการ............ผมรีบขับรถบึ่งออกไปรับเค้าทันที..............อยากจะเห็นสภาพนักว่า ยับเยินมามากมายแค่ไหน...............

                        เมื่อผมมาถึงที่สถานีอาเขต........นัทยืนรออยู่ที่หน้าสถานีอยู่ก่อนแล้ว..............ผมตีไฟสูงหนึ่งทีเป็นการให้สัญญาณก่อนจะขับรถเข้าไปเทียบใกล้ๆกับบาทวิถี...........นัทก้าวเข้ามานั่งทำหน้าตาย.........จะยิ้มแย้มแจ่มใสทักทายสักนิดก็ไม่มี...........ไม่รู้ว่าจะวางฟอร์มไปถึงไหนกัน........
                        “เป็นไงไปเที่ยวสนุกมั้ย” ผมฝืนยิ้มทำทีเป็นไม่รับรู้ว่าเค้ากำลังวางฟอร์ม........
                        “อืม….ตอนแรกกะว่าจะไปต่อที่อื่นอีก แต่เพื่อนคนอื่นๆเค้าติดธุระเลยกลับ”...........หึ.......ก็ลองไปต่ออีกสิ...........ใครจะมาทนนั่งรอ.............
                        “เหรอ” ผมยังคงทำเป็นไม่รู้เท่าทัน..........คิดว่าจะยั่วให้ผมโมโหเหรอ..........ไม่มีทางซะหรอก........

                     
                        “อ่ะ..........นัทซื้อข้ามหลามกับส้มมาฝาก” นัทหยิบถุงข้าวหลามกับส้มเขียวหวานจากกระเป๋าออกมายื่นให้ เมื่อเรากลับมาถึงห้อง.............
                        “ซื้อมาจากที่ไหน” ..........ผมรับถุงข้าวหลามออกมาพิจารณา.........ข้าวหลามร้ายๆ..........กระบอกเล็กๆ.........เห็นวางขายเกลื่อนตามข้างทางจากน่านมาเชียงใหม่.............ส้มสีทองลูกเล็กๆเหมือนมะนาวมากกว่าจะเป็นส้ม
                        “ร้านข้างทาง ข้าวหลามแถวนั้นดังนะ” นัทดูปลื้มอกปลื้มใจนักหนากับของฝากของตัวเอง............ทำยังกับหนุ่มบ้านนอก..........ซื้อของไร้รสนิยมพวกนี้มาฝาก.......อิอิ.......
                        “อืม”............ผมพยักหน้าเออออ........หยิบข้าวหลามมาแกะกินสองสามคำพอเป็นพิธี.......ก่อนจะเอาไปวางไว้ที่หลังตู้เย็น............ผมไม่ชอบกินข้าวหลาม..............แต่การที่เค้าซื้อเอามาฝากก็นับได้ว่าเป็นสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายและน่าซาบซึ้งใจยิ่งนัก..........คนพรรณนั้นคิดได้แค่นี้ก็ดีเกินพอแล้ว..............
                         “แบ่งไปให้พี่มอลลี่กับพี่พรด้วยนะ” นัทยังไม่วายสำทับ.............นี่ยังมีแก่ใจจะเอาไปแบ่งคนอื่นๆอีกหรือนี่...........
                        “ได้ เดี๋ยวพี่จะเอาไปให้เค้าเองกับมือเลย” ผมบอก..........ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป.............


                        ขณะที่ผมกำลังนั่งฉี่อยู่เพลินๆ นัทก็โผล่เข้ามาที่ประตูทำหน้าตาแป้นแล้น.................โรคจิตชะมัด คงคิดจะมาแอบดูผมฉี่แน่ๆ...............เห็นจนหมดทุกซอกมุมแล้ว ยังจะอยากดูอะไรกันอีก.............
                        “อ้าวนึกว่าจะยืนฉี่ซะอีก”.........ปกติผมไม่ยืนฉี่เมื่อเข้าห้องน้ำที่ห้องตัวเอง.............เพราะว่านั่งมันสบายกว่ากันเยอะอ่ะ...............

                        นัทผลุบหายกลับออกไป..............ผมจัดการธุระของตัวเองเสร็จจึงรีบวิ่งตามไปกระโดดขึ้นเตียง................วันนี้ผมต้องคิดบัญชีย้อนหลัง..........โทษฐานที่เค้าทำให้ผมต้องรอจนแทบจะขาดใจ.......ขอกอดให้หายคิดถึงทีนะ............อิอิ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 09-07-2007 10:58:35
                                                 นัทผลุบหายกลับออกไป..............ผมจัดการธุระของตัวเองเสร็จจึงรีบวิ่งตามไปกระโดดขึ้นเตียง................วันนี้ผมต้องคิดบัญชีย้อนหลัง..........โทษฐานที่เค้าทำให้ผมต้องรอจนแทบจะขาดใจ.......ขอกอดให้หายคิดถึงทีนะ............อิอิ



แค่กอดเหยอ ???
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 09-07-2007 10:59:40

.............มารอบทคิดบัญชี...... :m13: :m13:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 09-07-2007 19:38:21
นั่นจิ แค่กอดจริงๆ เหรอ  :m14:  :m14:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 09-07-2007 20:09:45
เอาให้หนักๆ คุณกั้ง รอฉากนั้นอยู่  :m10:  :m10:  :m10:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 09-07-2007 21:09:04
เอาให้หนักๆ คุณกั้ง รอฉากนั้นอยู่  :m10:  :m10:  :m10:

มาสนับสนุนพิม มันห่างหายไปนานแระนะบทนี้  :m10:  :m10:  :m10:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 09-07-2007 21:16:17
มีมุมเด็กๆกัด้วยแหะ
 :m11: :m11: :m11:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 10-07-2007 09:25:34
บทเลิฟซีนนี่ขออนุญาติข้ามนะครับ พอดีไม่ใช่แนวถนัด..........อิอิ.............เสียใจด้วยนะจ้ะ

                         “พี่กั้งเอาข้าวหลามไปฝากพี่มอลลี่กับพี่พรหรือยัง” นัทถามถึงข้าวหลามที่อุตส่าห์หอบหิ้วมาจากน่าน ว่าไปถึงมือของคนทั้งสอง ตามที่ได้ฝากฝังผมเอาไว้หรือยัง..........นี่เค้ายังไม่ลืมอีกหรือ........ถ้าหากเค้าไม่ถามขึ้นมา ผมคงลืมไปซะสนิทเลยเหมือนกัน..............
                         “เอาไปแล้ว เค้ายังฝากมาขอบใจนัทด้วยนะ”........ นัทอมยิ้มน้อยๆด้วยความพอใจ เค้าคงอยากจะทำดีกับเพื่อนๆของผมบ้างกระมัง..........แต่ผมโกหก...........เพราะความจริงผมยังไม่ได้เอามันไปที่ไหนเลย.............ถ้าจำไม่ผิด ผมทิ้งมันเอาไว้ในตู้เย็นตั้งแต่วันที่นัทมาถึง...........ป่านนี้คงขึ้นอืดเหม็นหืนคาตู้เย็นไปแล้วมั้ง...............

                         วันต่อมาผมจึงรีบแอบเอาข้าวหลามดังกล่าวออกจากตู้เย็นไปทิ้งถังขยะเสีย เพื่อไม่ให้นัทมาพบ.............โดยไม่ลืมที่จะกำชับน้องพรและมอลลี่ว่า ถ้านัทถามถึงให้ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า

                         “พี่กั้งเอามาให้แล้ว อร่อยมาก”.........อิอิ.......ที่ทำแบบนี้ไม่ใช่ว่าผมจะเป็นคนแล้งน้ำใจ ขี้เกียจหอบหิ้วเอาไปฝากคนทั้งสองแต่อย่างใด............หากแต่ผมได้คิดใคร่ครวญดูแล้วว่า สมควรจะทิ้งไปมากกว่า..........เพราะบัดนี้ มันได้แปรสภาพจากพอรับประทานได้ กลายป็นเย็นชืดขึ้นหืน ไม่เป็นที่ต้องการ............หากขืนนำไปฝากคนทั้งสอง แทนที่เค้าจะขอบอกขอบใจ.........ตรงกันข้าม.........เค้าอาจจะแช่งชักหักกระดูกเมื่อยามอยู่ลับหลังเราก็เป็นได้.........โทษฐานที่บังอาจเอาข้าวหลามร้ายๆมาฝากประหนึ่งว่าจงใจจะแกล้งกันเล่น............

                          “นัทนี่ก็น่ารักเนาะ รู้จักซื้อของมาฝากด้วย” มอลลี่เอ่ยปากชมแกมขำเมื่อผมเล่าให้ฟังว่าจัดการกับข้าวหลามเจ้าปัญหานั้นด้วยวิธีใด..............
                          “คุ้มดีคุ้มบ้าน่ะสิ” ผมแกล้งบ่น ไม่คล้อยตาม...........แต่ในใจนั้นแสนจะภูมิใจที่แฟนของตัวเองดูเป็นคนน่ารักในสายตาคนอื่นบ้าง............ซึ่งมันก็ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนักหรอก...........


                         
                           “ฮัลโหล พี่กั้งเหรอคะ นี่แพทเองนะ”.........แพททักเสียงใสมาตามสาย............เธอเมลมาบอกผมก่อนหน้านี้แล้วว่า ถ้ากลับมาเมืองไทยเมื่อไหร่ จะแวะขึ้นมาเยี่ยมที่เชียงใหม่...............และผมเดาเอาว่าขณะนี้เธอคงจะมาถึงเมืองไทยแล้วเป็นแน่............สมัยอยู่เมืองนอกเธอได้ให้ความช่วยเหลือผมเอาไว้หลายอย่าง.............ผมจึงยินดีต้อนรับเธอด้วยความยินดีและเต็มใจเป็นอย่างยิ่ง..............

                           ขณะที่ผมกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ ผมสังเกตเห็นนัทคอยเงี่ยหูฟังอยู่ตลอดเวลา..............คงสงสัยว่าผมกำลังคิดจะมีกิ๊กแน่ๆ...........ผมจึงเดินเลี่ยงออกไปคุยโทรศัพท์ที่ระเบียง..............นัทเดินตามมายืนฟังอยู่เงียบๆ...........
                           “อะไรนะ พักที่กฤษฎาดอยเหรอ..........อืม.........รู้จักสิ.........เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่ไปรับแล้วกัน” ........ผมบอกเวลานัดก่อนจะรีบวางสายไป.........
                           “ใครโทรมา” นัททำฟอร์มถามเหมือนไม่สนใจอยากจะรู้นัก..........ดีล่ะ...........ผมจะใช้โอกาสนี้ทดสอบว่าเค้าจะหึงผมหรือเปล่า.............
                           “เต้...........เค้ากลับมาเมืองไทยแล้ว........ตอนนี้อยู่ที่เชียงใหม่แล้ว.......พรุ่งนี้เช้าเค้าจะให้พี่ไปรับพาไปเที่ยว”.......นัทยังคงทำสีหน้ายิ้มแย้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น..........นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นัทได้ยินชื่อของเต้..........เพราะที่ผ่านมาผมเคยเล่าให้นัทฟังหลายครั้งแล้วว่าปลื้มผู้ชายคนนี้มากมายแค่ไหนสมัยอยู่เมืองนอก..........ผู้ชายที่เหนือกว่านัทในทุกๆด้าน...........เค้ามาเชียงใหม่.............มาเจอผม........จะให้คิดว่ายังไงล่ะ...........หุหุ............
                            “เค้ามากับใคร” นัททำทีถามต่อเหมือนไม่สนใจ..........ผมเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าเค้าจะทำเป็นนิ่งได้สักแค่ไหน.........ก็ในเมื่อบอกว่าคิดกับผมแบบแฟนไม่ได้ งั้นก็คงไม่มีสิทธิ์แสดงความหึงหวงสินะ..........
                           “มาคนเดียว..........บางทีคืนพรุ่งนี้พี่อาจจะต้องค้างเป็นเพื่อนเค้าก็ได้” ผมยังคงเดินหมากต่อ.........นัทนิ่งเงียบไปชั่วขณะ.........ผมเดาไม่ถูกหรอกว่าเค้ากำลังคิดอะไรอยู่.........แต่ผมรู้ว่าผมกำลังคิดจะทำอะไร........
                           “พรุ่งนี้พามาแนะนำให้นัทรู้จักบ้างสิ.......นัทอยากเจอเด็กนอก กินข้าวเที่ยงด้วยกันก็ได้”  หึ........ลูกไม่ตื้นๆ เรื่องอะไรผมจะพามา........ถ้าพามาความลับก็แตกน่ะสิว่าผมโกหก..........
                           “นัทมีเรียนไม่ใช่เหรอ........พี่ขี้เกียจวิ่งเข้าวิ่งออก.........ไม่ต้องมาหรอก”........ผมบอกปัด.....สะใจนัก......ถ้าไม่รักกัน ก็ไม่ต้องมาแสดงท่าหึงหวงสิ ถึงจะถูก............
                            “เอ่อ.........ว่าแต่ว่ากฤษฎาดอยนี่มันไปทางไหนกันเหรอ”......เสียฟอร์มชะมัด.........เพราะผมยังไม่เคยไปรีสอร์ทที่ว่านั่นเลย............
                             “เดี๋ยวนัทจะเขียนแผนที่ให้” นัทอาสา ก่อนจะหันกลับไปสนใจกับการดูหนังต่อ.........ผมลอบสังเกตดูเค้าเงียบๆ..........เค้าไม่ได้แสดงท่าว่าหึงหวงหรืออะไรพรรณนั้นออกมาให้เห็นมากนัก......หรือเค้าจะไม่ได้รักผมอย่างที่ปากเค้าว่าเลยจริงๆ...........คิดๆแล้วก็ใจชักไม่ค่อยจะดี..........แต่ถึงยังไงก็คงต้องรอพิสูจน์กันพรุ่งนี้จะดีกว่า...............

                              หลังจากที่แวะไปส่งนัทที่หอในตอนเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้นเรียบร้อยแล้ว............ผมจึงขับรถออกไปตามเส้นทางเชียงใหม่สะเมิง...........เส้นทางสายดังกล่าวเป็นเส้นทางที่มีรีสอร์ทอยู่มากที่สุดสายหนึ่งของเมืองเชียงใหม่............อยู่ท่ามกลางธรรมชาติและขุนเขา.........ทั้งยังไม่แออัด........เหมาะแก่การมาพักผ่อนเพื่อหาความสงบอย่างแท้จริง.................ผมปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปตามจินตนาการตามนิสัย................

                               นี่ถ้าผมมีบ้านเล็กๆ น่ารักๆ อยู่กับนัทสองคนก็คงจะดีไม่น้อย.............ผมไม่อยากจะเลิกกับเค้า..........แม้ว่าหนทางข้างหน้าจะค่อนข้างมืดมนสักเพียงใดก็ตาม............ผมไม่อยากเลิกแล้วต้องไปเริ่มต้นกับคนใหม่...........การเรียนรู้และปรับตัวให้เข้ากับใครสักคนหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย.........มันต้องทุ่มเททั้งเวลาและแรงกายแรงใจ..............ผมไม่อยากคบแล้วก็เลิกซ้ำๆซากๆแบบที่คนอื่นๆเค้าเป็นกัน..............ผมอยากจะให้เราไปกันได้ด้วยดี.................ก่อนที่ผมจะคิดเตลิดไปได้ไกลกว่านั้น................เสียงโทรศัพท์ก็ดังลอดออกมาจากในกระเป๋า ปลุกผมให้ตื่นจากความฝัน..........ผมหันไปหยิบโทรศัพท์ออกมาดู..............ใครกันนะโทรมาแต่เช้า............หรือจะเป็นแพท......

                            “ฮัลโหลพี่กั้ง” เสียงนัททักมาตามสาย..........โทรมาทำไมกันเนี้ย..........เพิ่งจะแยกกันเมื่อตะกี้นี่เอง..............
                            “โทรมาทำไมอ่ะ มีอะไรเหรอ”........น่าแปลกใจจริงๆ...........หรือจะโทรมาเช็คว่าผมประพฤตินอกใจหรือเปล่า...........
                            “เปล่า แค่โทรมาถามเฉยๆ ว่าถึงไหนแล้ว” ............ตลกแล้ว.........ร้อยวันพันปีเคยแสดงความเป็นห่วงเป็นใยซะที่ไหนกัน............ผีเข้าหรือเปล่าเนี่ย.............
                            “อ๋อ.........จวนจะถึงแล้วล่ะ เดี๋ยวแค่นี้ก่อนนะ พี่กำลังขับรถอยู่” ผมรีบตัดบทวางสาย.........พลางนึกกระหยิ่มในใจ.............สงสัยจะหึง.........หุหุ


                              แพทเดินยิ้มร่าออกมาหาเมื่อผมไปถึงที่รีสอร์ท...............ผมแปลกใจเมื่อเห็นเธอเดินมาเพียงคนเดียว..............จึงเอ่ยปากถาม.........
                              “อ้าวเพื่อนไปไหนล่ะ” เดิมเธอเคยบอกผมเอาไว้ว่าจะพาเพื่อนมาด้วยหนึ่งคน..........น่าแปลกที่เห็นมีแค่เธอเพียงคนเดียว ณ ตอนนี้
                               “เค้าไม่สบายน่ะคะ เลยขอตัวนอนพัก” แพทอธิบายเหตุผลแทนเพื่อนของเธอ.........ผมพยักหน้าหงึกหงัก เป็นเชิงเข้าใจ............
                              “งั้นเราไปกันเถอะ” แพทเอ่ยปากชวนเมื่อเห็นว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต้องยืนคุยกันอยู่ตรงนี้ต่อไป..........เราสองคนจึงขับรถมุ่งหน้าไปยังดอยสุเทพ..........สถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิตของเมืองเชียงใหม่ที่ใครๆเมื่อได้มาจะต้องแวะเที่ยวไม่ให้ตกหล่น...........

                            หลังจากที่แวะกราบนมัสการพระธาตุดอยสุเทพเพื่อขอพรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว.........ผมจึงพาเธอขับรถขึ้นไปเที่ยวชมดอกไม้ที่พระตำหนักภูพิงค์ฯกันต่อ...........นาฬิกาที่ข้อมือบอกเวลา เกือบสิบเอ็ดโมง.............เสร็จจากจุดนี้แล้วเราคงจะแวะลงไปหาอะไรทานกันในเมืองก็เป็นอันเสร็จ....................

                             แพทเที่ยวเดินถ่ายรูปดอกไม้ตามจุดต่างๆอย่างเพลิดเพลิน.............ในขณะที่ผมเดินตามมาติดๆ.........
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกคราว.............แม้ที่นี่จะอยู่บนดอย แต่สัญญาณชัดแจ๋ว...........ผมหยิบออกมาก่อนจะพยักหน้าให้แพทเป็นเชิงขอตัว............ใครกันอีกล่ะเนี่ย..........
                            “ฮัลโหล พี่กั้งอยู่ไหน กินข้าวหรือยัง” ............นัทอีกแล้ว.............วันนี้เป็นอะไรเนี่ย.........ทำท่าแปลกๆตั้งแต่เช้าแล้ว
                            “พี่อยู่ที่พระตำหนักภูพิงค์ คงลงไปไม่ทันหรอก นัทกินก่อนเถอะ” ผมคะเนเวลาแล้วคิดว่าลงไปไม่ทันกินข้าวเที่ยงกับนัท จึงบอกปัดไป.............ทั้งที่ในใจนั้นอยากจะแบ่งภาคได้นัก........จะได้ลงไปรับยอดชู้พาไปกินข้าวเที่ยงให้อิ่มหนำสำราญใจ.........
                           “อยู่กับใครอ่ะ..........กับเต้เหรอ..........เค้าได้ยินเราคุยกันมั้ย”........ประสาทน่ะสิ.......แล้วจะมาอยากให้เค้าได้ยินทำไมกัน............
                          “ไม่หรอก เค้าอยู่ไกล” ผมทำเสียงกระซิบบอก.............
                          “งั้นแค่นี้นะ” นัทกล่าวลา.........ก่อนจะวางสายไป................ตานี่แปลกๆ ผมนึกฉงนในพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปในชั่วข้ามคืนของเค้า...........จะมาคอยเช็คทำไม...........แต่นึกดูอีกทีก็สาแก่ใจดีเหมือนกัน..........อยากทำปากแข็งดีนัก................

                            “แฟนโทรมาเหรอพี่กั้ง” แพทเดินกระแซะเข้ามาถาม.............ผมพยักหน้ารับ...........แล้วทำทีเดินเสออกไปดูดอกไม้ในสวน................พลางแอบอมยิ้มอยู่คนเดียว...........พฤติกรรมแบบนี้แสดงว่าหึงแน่ๆ..............อิอิ..............



หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 10-07-2007 09:40:04

ตอนนี้ สะใจที่สูดดดดดดดส์  มันต้องอย่างนี้ เหอ เหอ           o13 o13 o13

ป๋อหล๋อ
บท....ไม่ถนัด จริงเหยอ หุ หุ   :m12: :m12: :m12:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: bishonen ที่ 10-07-2007 18:47:40
ร้าย....นะคะเนี่ยยย
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 10-07-2007 18:51:58
หุหุ ไม่อยากจะคิดเลย ถ้านัทไม่ออกอาการหึงนี่ คุณ moody จะทำยังไง  :m12:  :m12:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 10-07-2007 19:24:15
ก็ควันออกหู มังครับ.........อิอิ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 11-07-2007 10:29:12
                         เมื่อเดินเที่ยวชมความงามของดอกไม้จนเป็นที่พอใจแล้ว..........ผมกับแพทจึงขับรถกลับลงมายังพื้นราบอีกครั้ง..........เราแวะไปหาข้าวเที่ยงทานและตบท้ายด้วยการหามุมนั่งละเลียดกาแฟต่อจนพลบค่ำ............

                         “เพื่อนของแพทเค้าจะให้เราไปเจอที่ไหน” ผมถามถึงแผนการที่เราจะทำต่อไป หลังเดินออกมาจากร้านกาแฟ
                         “เค้าจะมากับรถตู้ของรีสอร์ท แล้วให้เราไปเจอกันที่ไนท์บาซาค่ะ แพทว่าเราพาเค้าไปทานข้าวเย็นแล้วค่อยไปซื้อของกันต่อดีมั้ย”..........แพทเสนอแผนการ.........ซึ่งผมก็ไม่ขัดข้องแต่ประการใด...........วันนี้นัทไม่มาค้างที่ห้องด้วย เพราะพรุ่งนี้มีเรียน...........ฉะนั้นผมก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนแต่อย่างใด............

                          ผมพาแพทและเพื่อนชายของเธอไปกินข้าวที่ร้านอาหารเหนือชื่อดัง..........ต้องขอบคุณพี่ดุ๊กที่พาผมมารู้จักร้านนี้...........แม้เรื่องระหว่างเราจะจบลงอย่างไม่น่าประทับใจนัก แต่อย่างน้อยๆก็ยังมีความทรงจำที่ดีๆเหลือเก็บเอาไว้ให้ระลึกถึงบ้าง.............

                          เพื่อนชายของแพทหน้าตาท่าทางดูไม่เลว.............ผมสังเกตเห็นว่าเค้าเป็นคนพูดเพราะ ปากหวาน.........หวานจนน่ากลัว............หรือว่า ผมอาจจะอยู่กับนัทจนเคยชินกับความกระด้างไปซะแล้ว........เมื่อมาได้ยินได้ฟังคำพูดไพเราะเสนาะหูเช่นนี้.........จึงรู้สึกขัดๆอยู่ในใจพิกล..........แต่จากสัมผัสของผมบอกว่าเค้าเป็นคนไม่จริงใจ.........ถึงยังไงผมก็ไม่เกี่ยวอยู่แล้วนี่...........ไม่ใช่แฟนผมซะหน่อย
                          “คุณกั้งจะทานอะไรดีครับ” เพื่อนชายของแพทแสดงน้ำใจโดยให้ผมเลือกเมนูที่อยากทาน.........ผมยิ้มตอบ
                          “อะไรก็ได้ครับ”.......คิดแล้วก็ขนลุก เกิดมายังไม่เคยมีใครมาเรียกคุณเรียกท่านสักที.......อีตานี่จะสุภาพมากไปหรือเปล่าเนี่ย...........ดูเวลาพูดจากับแพทซิ.........จ้ะจ๋าซะไม่มี.........ยิ่งมองยิ่งรู้สึกหมั่นไส้เต็มกำลัง.............ผู้ชายอะไรมารยาชะมัด.............เอ..........หรือว่าผมจะอิจฉาน้องที่เธอได้แฟนทั้งน่ารักและแสนสุภาพขนาดนี้.............คงไม่หรอกมั้ง..........

                            “พี่กั้งว่า แฟนแพทเป็นไงมั่ง” เธอเดินมากระซิบถามระหว่างที่ยืนรอเพื่อนชายเลือกซื้อของฝากที่ตลอดไนท์บาซาร์
                            “ไม่รู้สิ พี่เพิ่งเจอเค้าแค่หนเดียวเอง คงตอบอะไรไม่ได้หรอก” ผมแกล้งบ่ายเบี่ยง.......ทั้งที่ในใจนั้นอยากจะบอกว่ารู้สึกอึดอัดกับผู้ชายคนนี้เหลือเกิน..........แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องไปพูดแบบนั้น..........อันว่าแฟนใคร ใครก็ว่าดี...........ขนาดของผมทั้งร้ายทั้งเอาแต่ใจขนาดนี้.........ผมก็ยังรักของผมเลย......จริงมะ

                            เราสามคนเดินเลือกซื้อของไปเรื่อยๆ.........ผมสังเกตว่าแพทกับเพื่อนชายของเธอสวีทกันจนออกนอกหน้า...........เมื่อคิดไปถึงคู่ของผมแล้วก็ให้สะท้อนใจยิ่งนัก............หากเราสามารถเดินควงคู่กันอย่างเปิดเผยได้แบบสองคนนี้ก็คงจะดีไม่ใช่น้อย...........ไม่รู้ว่ากรรมเวรอะไรนักหนา...........แต่มาคิดดูอีกทีแล้ว อย่าว่าแต่นัทเลย.......ต่อให้เป็นผมเอง บางทีก็รู้สึกไม่สะดวกใจเช่นกัน หากต้องโดนจับตามองเวลาที่เราควงกันไปไหนมาไหนในที่สาธารณะ.........เพียงแต่ผมไม่รู้สึกมากเท่านัท.........ก็เท่านั้นเอง.........

                           “พี่กั้งส่งเราสองคนแค่ตรงนี้แหล่ะ เดี๋ยวแพทจะกลับกับรถตู้ของรีสอร์ท” ........แพทขอตัวลงจากรถจุดที่เธฮนัดรถตู้จากทางรีสอร์ทเอาไว้..........ผมจอดรถและเดินออกมาส่งคนทั้งสอง......ก่อนจะกล่าวคำร่ำลา............หมดภาระไปหนึ่งอย่าง........การได้มาอาศัยอยู่ในเมืองท่องเที่ยวแบบนี้.......เลี่ยงไม่ได้เลยกับการที่ต้องคอยรับรองแขกจากที่ต่างๆ............แต่หากใครไม่มีคนมาเยี่ยมมาหาเลย......อันนี้ก็คงต้องพิจารณากันแล้วว่าเป็นเพราะเหตุใด.............

                          ขณะที่ผมกำลังจะเดินกลับไปขึ้นรถ..........เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกหน...........วันนี้มีคนโทรมาบ่อยจัง.............
                          “ฮัลโหลพี่กั้ง.......อยู่ไหนแล้ว”.............วันนี้เป็นครั้งที่สามแล้วนะเนี่ย...........ผมแอบนึกขำในใจ.............จะมาตาเช็คอะไรกันนักหนา............ไหนว่าไม่รักไม่หวงไง...........ปากกับใจไม่ตรงกันนี่.........
                         “อ๋อ.........ส่งเค้าขึ้นรถกลับรีสอร์ทไปแล้วเมื่อกี้ เดี๋ยวพี่ก็จะกลับห้องแล้ว มีอะไรหรือเปล่า” ผมย้อนถาม........อยากจะรู้นักว่าจะให้เหตุผลว่าอย่างไร.............
                         “ไม่มีอะไร นัทโทรมาถามเฉยๆ งั้นแค่นี้นะ”...........นัทรีบวางสายไป ก่อนที่ผมจะทันได้ซักไซ้อะไรต่อ.......หึ............แปลกๆ ตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว..............ไม่ต้องบอกก็พอจะรู้ว่าคิดอะไรอยู่.............


                         หลังจากที่แพทกลับไปแล้ว........ชีวิตของผมและนัทก็กลับเข้าสู่ภาวะปรกติสุขดังเดิมอีกครั้ง...........นัทจะมาค้างที่ห้องผมบ้างเป็นครั้งคราว............แต่โดยรวมก็คือผมจะต้องออกไปรับเค้าเพื่อไปกินข้าวเที่ยงเมื่อถึงเวลาเที่ยงวัน และก็รับมากินข้าวเย็นด้วยที่ห้องหลังเลิกงานที่มหาวิทยาลัย...........โดยไม่ลืมที่จะแวะเช่าหนังติดมือกลับมาด้วยเสมอ.................

                           เมื่อเราได้อยู่ด้วยกันมากขึ้น ผมจึงได้มีโอกาสเรียนรู้นัทให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นในหลายแง่มุม........มีบางอย่างที่ผมเข้าใจ.............บางอย่างที่ผมพยามจะเข้าใจ.............และบางอย่างที่ผมไม่เข้าใจเลย........ปกติเวลาเราอยู่ด้วยกันเรามักจะไม่ค่อยสวีทกันมากนัท.....เพราะนัทไม่ชอบให้คลอเคลีย พันแข้งพันขา.......เราสองคนจึงอยู่กันอย่างเรียบๆไม่หวือหวา............โดยส่วนมากแล้วผมมักจะเป็นฝ่ายตามใจเค้าในทุกๆเรื่อง........ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารที่อยากจะกิน..........หนังที่อยากจะดู.........รวมไปถึงเรื่องเซ็กส์..............

                          จะว่ากันตามตรงผมไม่ใช่คนที่มีความต้องการทางเพศสูง...............แต่ผมใช้การแสดงออกถึงความต้องการทางเพศของคนรักเป็นตัวชี้วัดความเสน่หาในตัวเราอย่างหนึ่ง..............คนที่รักเราควรจะต้องแสดงออกถึงความรักใคร่เสน่หาในตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นทางกิริยาท่าทาง..........วาจา........และแสดงออกถึงความต้องการอยากจะมีเพศสัมพันธ์ด้วย............

                          นัทไม่ใช่คนที่จะมานั่งพูดจาหวานๆ พร่ำพรอดถึงความรัก...........ไม่ใช่คนที่จะมาคอยเอาอกเอาใจใคร.......และเรื่องเซ็กส์ของเค้าก็ขึ้นๆลงๆตามแต่อารมณ์...........บทจะมากก็มากเกิน แต่บทจะน้อยก็น้อยซะจนน่าแปลกใจ................บ่อยครั้งผมต้องคอยเป็นฝ่ายยั่วยุให้เกิด...........ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกขัดอยู่ลึกๆภายในใจมาตลอด............ทำไมผมจะต้องทำแบบนั้น...........ในเมื่อตลอดชีวิตที่ผ่านมาผมไม่เคยมีเซ็กส์กับใครมาก่อน..........และผมไม่ใช่คนติดเซ็กส์อย่างแน่นอน......อีกทั้งการมีเพศสัมพันธ์ของเราก็ไม่ได้ทำให้ผมมีความสุขอะไรนักหนา............นัทไม่เคยจะสนใจด้วยซ้ำว่าผมรู้สึกอย่างไรเมื่อเราทำกิจกรรมอย่างว่านั้นร่วมกัน..............ผมคิดแต่ว่าจะมีความสุขหรือไม่ผมไม่สนใจ..............ผมไม่ได้ชอบมีเซ็กส์..........แต่ผมอยากให้เค้ามีเซ็กส์กับผม.............เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ผมมีความรู้สึกว่า เค้ายังคงมีความเสน่หาในตัวผมอยู่............เพราะถ้าจะไปสังเกตุเอาจากการแสดงออกทางคำพูด หรือการกระทำ.........คงต้องบอกว่ายากเหลือเกินที่จะเห็นอย่างเป็นรูปธรรม............

                           ผมไม่ชอบความรู้สึกที่ว่าเราต้องเป็นฝ่ายเริ่มต้นยั่วยุให้เกิดการมีเพศสัมพันธ์............ทั้งๆที่ใจผมนั้นอยากให้เค้าเป็นฝ่ายแสดงมันออกมาเองมากกว่า..............การกระทำแบบนี้มันเหมือนกับเรามีความต้องการอยู่ฝ่ายเดียว..........มันทำให้รู้สึกผมขาดความนับถือตัวเองลงไปเรื่อยๆ............นี่ผมกระหายในเรื่องนั้นมากขนาดนั้นเลยหรือ...........ผมไม่เข้าใจพฤติกรรมของเค้าจริงๆ...........หรือบางทีเค้าอาจจะพยายามห้ามตัวเอง ไม่ให้ถลำลึกกับผมมากไปกว่านี้...............ผมรู้สึกทรมานทุกครั้งที่ผมมีความคิดว่า นัทกำลังพยายามห้ามใจตัวเองจากผมอยู่..............บางทีผมก็รู้สึกเหนื่อยเหลือเกินกับการที่ต้องคอยหลอกล่อให้เค้าแสดงพฤติกรรมที่ผมต้องการจะเห็นออกมา..............ในเมื่อคนหนึ่งพยายามจะซ่อน.............ขณะที่อีกคนพยายามจะเข้าไปค้นหา...............เรื่องต่างๆมันจึงยืดยื้อไปไม่มีวันจบ...........ความรักมันน่าจะเป็นการเปิดเข้ามาหากันมากกว่าไม่ใช่หรือ............



                         คืนนี้ก็เหมือนอีกหลายๆคืนที่นัทไม่ได้แสดงท่าว่าจะมีความต้องการในตัวผมออกมาเลยแม้แต่น้อย..............ผมรู้สึกหงุดหงิดอยู่ในใจเงียบๆ.............นี่เราจะมานั่งอยู่ด้วยกันในห้องนี้ทำไม.............ในเมื่อเค้าก็ดูหนังของเค้าไป...........ในขณะที่ผมก็นั่งตบยุงเล่น................เค้าแทบจะไม่แสดงความสนใจในตัวผมออกมาด้วยซ้ำ..............ผมอยากมีแฟนในแบบที่คุยกันได้ทุกเรื่อง..............สนใจรับฟังสิ่งที่เราพูด..........และก็สื่อสารกันดวยภาษากายตามความเหมาะสม.............ไม่อย่างนั้นเราจะเป็นแฟนกันทำไม.............

                           หลังจากที่ผมอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว.............ผมจึงมานั่งดูหนังกับนัทบนเตียง...........ผมลอบมองนัทเงียบๆ.............ตั้งแต่เย็นหลังกินข้าว........เค้าแทบจะไม่พูดอะไรกับผมเลย..........เอาแต่นั่งดูทีวี............หรือเค้าจะลืมว่าผมมีตัวตนอยู่ในห้องนี้...............และผมก็ต้องหาเรื่องมายั่วยวนเค้าอีกจนได้
                “นัท” ผมกระซิบเรียกเบาๆ
                 “หือ” นัทขานโดยไม่แม้แต่จะหันหน้ามามองผมเลย
                “พี่ขอถามอะไรหน่อยสิ” ผมพยายามข่มน้ำเสียงให้เป็นปกติ.....
                “อะไร” นัทถามทั้งที่ตายังเพ่งไปที่จอทีวี............นี่ใจคอจะไม่สนใจกันบ้างเลยหรือไง......
                “ความต้องการทางเพศต่ำเหรอ”...........แรงไปมั้ยเนี่ย............แต่แฟนกันก็ควรจะถามได้ทุกเรื่องนี่...........เค้าจะหาว่าผมร่านหรือเปล่านะ.......
                “หา.........ทำไมถามแบบนั้นล่ะ”.........คราวนี้ได้ผล..........นัทหันกลับมามองผม..........ทำหน้าตาประหลาดใจ เหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่
                 “ไม่รู้ ถามดูเฉยๆ”..............ผมคว้าผ้าห่มขึ้นมาคลุมก่อนจะเอนตัวลงไปนอน............นัทลุกไปปิดทีวีก่อนจะตามขึ้นมาบนเตียง...........เบื่อที่ต้องคอยยั่วยวนแบบนี้จัง.........เฮ้อ.......
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 11-07-2007 11:27:13

No Comment แต่เป็นกำลังใจ ครับ

หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 11-07-2007 11:53:35
วันนี้มาแปลกแฮะ........หุหุ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 11-07-2007 19:46:39
หุหุ ถามแบบชวนอึ้งดีแท้  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 12-07-2007 01:01:59
มีอะไรก็คุยกันตอนอารมณ์ดีๆ
ไม่คุยกะแฟนแล้วจะคุยกะไผหวา
 :sad3: :sad3: :sad3: :sad3:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 12-07-2007 10:49:11
                        “พี่กั้งหัดรถให้นัทหน่อยสิ ตอนอยู่ที่โรงพยาบาลนัทยังหัดได้ไม่ถึงไหนเลย” นัทรบเร้าผมเรื่องขับรถมาหลายวันแล้ว............แต่ช่วงนี้ผมขี้เกียจ จึงไม่ได้แสดงอาการตอบสนองอะไรออกมา.....
                        “รู้หรือเปล่าว่าคนที่เค้าหัดรถให้กันมีอยู่สองจำพวกนะ” ผมเริ่มวางท่าให้ดูน่าเชื่อถือ..........ก็ปกติใครเค้าจะมานั่งหัดรถให้กันเล่า...............มันเสียเวลาและก็น่าเบื่อจะตาย............อีกทั้งรถใหม่ๆเค้าก็ไม่นิยมนำมาหัดกับคนขับไม่เป็น.............เดี๋ยวเครื่องก็ได้พังกันพอดี...........
                        “อะไร” นัทเอียงหน้ารอฟังว่าผมจะให้เหตุผลว่าอย่างไร
                       “ก็ถ้าไม่เป็นพ่อหัดให้ลูก ก็ต้องเป็นแฟนหัดให้แฟน” ผมยิ้มอย่างมีชัย...........เอาล่ะ ทีนี้จะยอมรับได้หรือยังว่าผมกับเค้าเป็นแฟนกัน.............
                       “งั้นไม่หัดก็ได้” นัททำหน้าง้ำหน้างอ ไม่พอใจ..............แต่ผมกลับชอบ..........ผมชอบทุกอย่างที่เป็นเค้า...........แม้บางอย่างจะทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดก็ตาม...........
                       “อ่ะๆ หัดก็หัด” ผมยอมแพ้ในที่สุด...........ตั้งแต่คบกันมาน้อยครั้งนักที่ผมจะขัดใจเค้า........ผมไม่อยากเห็นสีหน้าผิดหวัง............มันทำให้ผมไม่สบายใจ............เมื่อมาคิดดูอีกทีแล้ว ก็ดีเหมือนกัน...........เราจะได้มีเวลาใกล้ชิดกันมากขึ้น..............และหากวันใดที่เค้ามีรถเป็นของตัวเองแล้ว............เราสองคนอาจจะไม่ได้อยู่ด้วยกันเหมือนวันนี้...............ผมอยากให้เค้าเก็บผมเอาไว้ในความทรงจำในเวลาที่เค้าได้ขับรถของเค้าเองว่า..........คนที่เคยรักเค้ามากที่สุดคนนี้ เป็นคนสอนให้เค้าหัดขับรถเป็นครั้งแรกเมื่อนานมาแล้ว..........


                         หลังจากที่ตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว............เราสองคนจึงขับรถตระเวนออกหาสนามที่จะใช้ในการหัดในเย็นของวันต่อมา.............มันไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิดเลย...............เราตระเวนไปดูตามสนามฟุตบอล...............โรงเรียน.............สถานที่ราชการ.....................ไม่มีที่ไหนเหมาะกับการใช้หัดขับรถเลย...............ผมไม่อยากเอารถไปวิ่งในสนามฟุตบอล............สงสารรถ กลัวช่วงล่างมันพัง...........ส่วนสถานที่ราชการก็ไม่อนุญาตให้คนภายนอกเข้ามาหัดขับรถเด็ดขาด............

                         “สนามนั่นไง เค้ากำลังถมที่พอดี” นัทชี้ให้ผมดูลานกว้าง ซึ่งมีรถขนดินวิ่งเข้าออกอยู่ตลอดเวลา...........แสดงว่าเจ้าของที่กำลังจะถมเพื่อทำการอะไรบางอย่าง...........ผมชะลอรถมองก่อนจะขับผ่านเลยไป...........
                         “ไม่ดีอ่ะ ที่ส่วนบุคคล เจ้าของเค้าจะว่าเอา” ผมมองแล้วว่าไม่ควรเข้าไปในที่ส่วนบุคคลแบบนั้น..........สภาพพื้นที่ ที่มีรถขนดินวิ่งเข้าออก มีฝุ่นสีแดงฟุ้งกระจายอยู่ตลอดเวลา............หากขืนเอารถเข้าไปวิ่งวนในที่แบบนั้น.............รถสุดหวงของผมคงมอมแมมไม่ต่างจากเอาไปวิ่งคลุกฝุ่นมาเป็นแน่...............
                         “แล้วจะหัดที่ไหนได้ล่ะ ตรงนั้นก็ไม่ดี ตรงนี้ก็ไม่ได้ ” นัททำท่าขัดใจ..............ผมชำเลืองดูหน้าบูดบึ้งของเค้า............หึหึ...........เจ้าบ้านี่ จะเอาแต่ใจตัวเองไปถึงไหน..............นี่ถ้าเป็นรถของเค้าเอง อย่าว่าแต่ให้เอาไปขับในที่แบบนั้นเลย.............ชั้นแค่ผมเอ่ยปากขอให้เค้าหัดให้..........เค้าคงรีบปฏิเสธตั้งแต่เริ่มผมอ้าปากจะพูดแล้ว..........เค้าน่าจะหัดเข้าใจหัวอกของคนอื่นเค้าซะบ้างนะ............แต่ผมจะไม่ต่อว่าอะไรเค้าหรอก............เพราะผมไม่มีนิสัยชอบตำหนิว่ากล่าวอะไรใครตรงๆ...........อยากทำไรก็ทำไป..........ปล่อยเค้า............

                         “วันนี้ลองหัดตรงนี้ก็แล้วกัน” ผมจอดรถชิดขอบถนน............หลังจากที่เราสองคนขับวนในบริเวณศาลากลางมาได้พักหนึ่ง..........จนผมพิจารณาแล้วว่าถนนซอกซอยในศาลากลางแห่งนี้ค่อนข้างสงัด ไร้ผู้คนสัญจร..........น่าจะใช้หัดขับรถได้ชั่วคราว จนกว่าเราจะเจอที่ที่เหมาะสมมากกว่านี้.............
                           “อ่ะ เดี๋ยวเราเปลี่ยนที่นั่งกัน” ผมออกคำสั่ง แล้วเปิดประตูเดินอ้อมมาอีกฝั่ง.............นัทกุลีกุจอเข้ามานั่งในที่คนขับ............ดูท่าทางเค้ามีความสุข..........ยิ้มหน้าบานเชียว..........ผมแอบนึกหมั่นไส้กึ่งเอ็นดูอยู่ใจใน.............
                         “ผลักเกียร์มาทางซ้ายสุด แล้วดันขึ้นไปด้านบน เป็นเกียร์หนึ่ง” ผมเริ่มบทเรียน บอกให้นัททำตาม
                         “ทีนี้ก็ดึงกลับลงมาตรงๆ เป็นเกียร์สอง...........ส่วนมากเรามักจะออกตัวที่เกียร์สองเพราะรถจะได้ไม่อืดมาก...........แต่นัทเพิ่งหัดใหม่ก็ออกที่เกียร์หนึ่งก่อนแล้วกัน” นัททำตามที่ผมบอกเงอะๆงะๆ............รู้สึกว่าเค้าจะมีปัญหาในการเข้าเกียร์ เพราะไม่รู้จังหวะ...........ผมจึงเอื้อมมือไปกุมมือของนัทที่วางอยู่บนกระปุกเกียร์..........
                         “เอาล่ะ.........ไหนลองเข้าเกียร์ดูซิ.........ช้าๆ เบาๆ ไม่ต้องออกแรงมาก” ผมออกคำสั่งให้นัทลองทำตามอีกครั้ง............ผมจะลองเช็คดูว่าเค้าลงน้ำหนักมือในการเข้าเกียร์อย่างไร.......นัทหยุดนิดหนึ่ง ก่อนจะหันมายิ้มอย่างรู้ทัน...........
                         “แน่ะๆ...........จะหลอกจับมือล่ะสิ”...........คิดมาด๊ายยยยยยยยย.............แต่ก็มีส่วนนิดหน่อย........หุหุ...........ถึงยังไงผมก็ไม่ละทิ้งจิตวิญญาณของความเป็นครูไปหรอกน่า..........เรื่องสอนให้เค้าขับรถให้ได้ต้องมาก่อนอยู่แล้ว........ชิส์............

   
                         “ทีนี้ก็ลองมาเหยียบครัชกับคันเร่งดูนะ ลองทำให้สัมพันธ์กับการเข้าเกียร์” ผมเริ่มเปลี่ยนมาสอนเรื่องครัชและคันเร่ง.........เมื่อเห็นว่านัทเข้าใจในการเข้าเกียร์ดีแล้ว
                         “เข้าเกียร์ทุกครั้งจะต้องเหยียบครัชให้มิด.........พอแตะคันเร่งก็ค่อยๆถอนครัชออกมาช้าๆให้สัมพันธ์กัน อย่าปล่อยทีเดียวหมด.......เดี๋ยวรถจะดับ” ...........ส่วนมากคนที่หัดขับรถใหม่ๆ มักจะมีปัญหาเรื่องการใช้ครัช กับคันเร่ง..........นัทเองก็คงเหมือนกัน.............แต่แปลกแฮะ ดูตั้งใจเป็นพิเศษเชียว.........สงสัยจะเอาจริง...............

                         เมื่อซักซ้อมความเข้าใจกันจนแน่ใจแล้ว.............ก็ได้เวลาเริ่มภาคปฏิบัติ.............อากาศข้างนอกเริ่มขมุกขมัว..............ตะวันคล้อยลับขอบฟ้าแล้ว..........วันนี้คงจะให้ลองขับอีกสักหน่อยก็พอกระมัง.............
                        “ทีนี้ลองสตาร์ทเครื่องดูซิ” ผมออกคำสั่งอีกครั้ง..........ทั้งในใจก็ลุ้นระทึก...........อย่าขับชนนะเว้ย..........ถึงจะทำท่าไม่หวงรถแต่ก็ห่วงนะ จะบอกให้...........

                        “กึกๆๆๆๆ” นัทออกตัวไม่สวยเลยในครั้งแรก........รถจึงกระตุกสองสามทีก่อนจะดับไป.............
                        “ตื่นเต้นอ่ะ มือเย็นหมดแล้ว” นัทยื่นมือมาให้ผมจับ...........เย็นจริงๆด้วย.............อะไรจะขนาดนั้นนะ..........คนบางคนก็มีมุมบางอย่างที่ไม่เหมือนกัน.........ปกตินัทมักจะแสดงท่าทางว่าเป็นคนมั่นอกมั่นใจในตัวเองเวลาอยู่ต่อหน้าผม..............แต่ผมว่าจริงๆแล้ว เค้ามีจุดเปราะบางในหลายๆเรื่อง.......เค้าต้องการคนคอยสนับสนุนและให้กำลังใจ.........และเค้าก็ยังมีความสับสนในตัวเองอีกมากเพราะยังเด็กอยู่นัก...........สักวันหนึ่งเมื่อเค้าโตขึ้นและเรียนรู้ที่จะเข้าใจในตัวเอง ทั้งมีความมั่นใจมากกว่านี้แล้ว..........เค้าคงจะพบคำตอบในชีวิตของเค้าเอง.............ผมมาเจอเค้าเร็วเกินไป..........แต่ถึงอย่างไร หากผมจะเป็นตัวช่วยชี้ทางให้เค้าได้ค้นพบตัวเองบ้าง ผมก็ยินดี............แม้ในตอนท้าย เมื่อเค้าตกผลึกทางความคิดของตัวเองได้แล้ว ผมจะไม่ใช่คนที่จะอยู่เคียงข้างเค้าก็ตาม.............

                          “เอ้า.........ทีนี้ลองใหม่.........ปล่อยครัชช้าๆ..........แต่อย่าปล่อยหมด ให้เหลือไว้สักสามส่วนสี่” ผมบอกเทคนิคที่เพิ่งคิดได้เองให้ใหม่...........นัทค่อยๆพารถเคลื่อนที่ออกไปได้อย่างช้าๆ...........
                         “ทีนี้ลองเพิ่มความเร็วและก็เปลี่ยนเกียร์สูงขึ้น” ผมบอกอีกครั้งเมื่อเห็นว่าได้จังหวะที่ควรเปลี่ยนเกียร์..............

                         ขณะที่รถกำลังเข้าสู่ความเร็วคงที่...........พลันก็มีรถคันหนึ่งวิ่งพ้นโค้งสวนออกมา.........ตายละซิ............ผมกังวลว่านัทจะตกใจจนควบคุมรถไม่อยู่.............และก็เป็นอย่างที่คิดจริงๆด้วย
                         “พี่กั้งทำไงดี รถสวนมา” นัทมีท่าทีวิตกกับการที่มีรถวิ่งสวนมาจากฝั่งตรงข้าม............
                         “แตะเบรกเบาๆ” ผมร้องบอก...พยายามควบคุมท่าทางไม่ให้นัทเห็นว่าผมกำลังกังวลเช่นกัน............
                         “กึกๆๆๆ” รถสะดุดอีกครั้งแต่ยังไม่ดับ ทำท่าจะเสียหลักออกนอกเส้นทาง............นัทมัวแต่กังวลกับการเหยียบเบรกจนลืมบังคับพวงมาลัย...............รถยนต์คันนั้นวิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ...........ผมตัดสินใจเอื้อมมือไปคว้าพวงมาลัยบังคับให้รถวิ่งเข้าไปชิดข้างทาง.............
                        “กึก กึก และกึก” เครื่องยนต์ดับสนิทไปแล้ว............นัทหันมามองผมหน้าซีด..........เราจ้องตากัน นิ่งอยู่ชั่วครู่................เสียงรถต์ยนต์เจ้ากรรมคันนั้นวิ่งผ่านไปและค่อยๆเงียบหาย..........บรรยากาศภายนอกเริ่มสลัวลงทีละน้อย..................ผมสัมผัสได้ถึงความเย็นของอากาศที่กำลังเคลื่อนตัวเข้ามาปกคลุมไปทั่วบริเวณ..........
                        “ป่ะ.........กลับกันเถอะ” ผมกล่าวทำลายความเงียบออกมาในที่สุด..........วันนี้ตื่นเต้นมามากพอแล้ว..........เดี๋ยวกลับไปทำกับข้าวปลอบขวัญซะหน่อย......คงจะใจชื้นขึ้นมาบ้าง...........
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 12-07-2007 11:29:35

เช็คน้ำหนักมือในการเข้าเกียร์  ???   :confuse:  :confuse: :confuse:

เฮ้ยนัท  เข้าเกียร์เบาๆหน่อย  เดี๋ยวเกียร์พี่กั้งเค้าถลอก  พังไปเด๋วมันจะใช้การไม่ได้นะเฟ้ย
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 12-07-2007 11:39:36
นี่.............ลามก...........หุหุ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 12-07-2007 13:16:26

..........กะลังหัดขับขี่.......... :m11: :m11:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 12-07-2007 15:58:52
เกือบไปแล้ว
 :try2:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 12-07-2007 16:01:13
ขับ....

แล้ว....


ขี่....
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 12-07-2007 16:18:12
โห เอากันใหญ่  :laugh:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 12-07-2007 16:37:45
หุหุ คิดเรื่องขับขี่กันใหญ่  :m14:  :m14:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 13-07-2007 12:42:22

สบายดีหรือเปล่า ข่าวคาวไปถึงไหน..........................

 :o11: :o11: :o11:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 13-07-2007 13:30:36
คุณ blanch นี่สมเป็นแฟนตัวจริง จริงๆนะครับ น่าชื่นใจจัง อิอิ...........พอดีช่วงนี้ผมหมดไฟในการเขียนอ่ะครับ..........ขอพักสักระยะ.........แล้วจะมาต่อแน่นอน...........ขอบคุณนะครับ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 13-07-2007 14:02:23


รอได้ครับผม  แค่เห็นว่าหายไปผิดปกติเวลา  ก้อเลยเข้ามาทักทายเฉยๆครับ

ไงก้อ พักผ่อนมากๆนะครับ       :teach: :teach: :teach:



อืม...หมดไฟก็ต้องเติมเชื้อไฟครับ ต้องเอาแบบว่าใส่ปุ๊บ..ลุกปั๊บเลยนะครับ  :m12: :m12:

หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 13-07-2007 14:44:56
เป็นกำลังใจให้เหมือนกัน  ไม่ได้เป็นแฟนพันธ์แท้เท่าคุณ blach ก็ยังตามติดเสมอนะจ๊ะ

รออยู่น้า  :m3:  :m3:  :m3:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 13-07-2007 19:10:12
มาลงชื่อว่าจะรออ่านน้า  :m13:  :m13:  :m13:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 16-07-2007 08:25:29

แวะมาเฉยๆครับ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 16-07-2007 18:55:43
ยังมะมาต่อเย๋อ  :m13:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 17-07-2007 09:19:24
                         “พี่กั้งทำไมไม่ไปหัดขับรถที่แม่เหียะล่ะ” มอลลี่ให้คำแน่ะนำ หลังจากที่ฟังผมเล่าถึงปัญหาเรื่องการหาสถานที่ในการหัดขับรถจนจบแล้ว.............แม่เหียะ.............เป็นที่ตั้งของคณะสัตวแพทย์และ คณะอุตสาหกรรมการเกษตร.............แม้ไม่ไกลจากตัวมหาลัยแม่มากนัก..........แต่ก็ถือว่าไกลทีเดียวสำหรับนักศึกษาที่จะถ่อสังขารออกไปเรียนที่นั่นด้วยมอร์เตอร์ไซด์ (นักศึกษาที่นี่นิยมใช้มอร์เตอร์ไซด์เป็นพาหนะ)................ได้ยินว่าที่นั่นขึ้นชื่อในเรื่องความสงัดยิ่งนัก..............นับว่าเป็นทางเลือกที่ดีไม่เลวเลย............ไปป้วนเปี้ยนกันอยู่แถวๆนั้น คงไม่มีใครตามไปเห็นหรอกกระมัง........

                         เมื่อได้สถานที่หัดรถแล้ว.............ระยะหลังนี้ผมกับนัทจึงออกมาหัดขับรถกันแทบทุกวัน...........ผมหวังว่าการมีกิจกรรมร่วมกัน จะเป็นสิ่งที่ช่วยสร้างสัมพันธภาพของเราสองคนให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น.................

                         ความรักเป็นสิ่งไม่จีรังและเปราะบาง.........มีเกิดและมีดับได้ง่าย..........ดูตัวอย่างง่ายๆจากการใช้ชีวิตในแต่ละวัน ผมมักจะแอบตกหลุมรักใครต่อใครได้เรื่อยๆไม่เคยเบื่อ.............หากแต่ ความพึงพอใจที่แสนจะตื้นเขินดังกล่าวหาใช่ความรักที่แท้จริง.........เพราะความรักจะต้องเกิดขึ้นมาจากคนสองคนที่มีความรู้สึกตรงกัน............

                         อย่างไรก็ตาม........ถ้าหากการตกหลุมรักมีโอกาสเกิดขึ้นได้ง่ายๆ...............ความรักก็ย่อมมีโอกาสเกิดได้ง่ายพอๆกับการตกหลุมรัก..........และมีโอกาสจบลงได้ง่ายๆเช่นเดียวกัน หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งบังเอิญไปตกหลุมรักคนอื่นในเวลาต่อมา...........

                         เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะยึดเหนี่ยวให้ความรักของเรามั่นคงก็คือ ความผูกพันธ์ ..............ซึ่งเปรียบเสมือนการใส่รายละเอียดลงไปในภายหลังเวลาที่เราการสร้างบ้าน..........ยิ่งต่อเติมในรายละเอียดได้มากเท่าไหร่..........ความมั่นคงยิ่งมีมากขึ้นเป็นเท่าทวี..........

                         เสียดาย.........เวลาของผมใกล้จะหมดลงทุกที............มันกำลังจะหมดลงพร้อมๆกับการร่วงไปของใบไม้ที่เชิงดอยสุเทพเพื่อต้อนรับหน้าร้อนที่จะมาถึง...........

                         ยิ่งสัญญาณแห่งการสิ้นสุดของฤดูหนาวคลืบคลานเข้ามามากขึ้นเท่าใด...............ผมก็ยิ่งทวีความวิตกมากขึ้นเท่านั้น..............นัทยังเอาแต่ใจตัวเองเหมือนเดิม............เอาแน่เอานอนไม่ได้..........ผมเดาใจไม่ถูกเลยว่าเค้าวางแผนสำหรับเรื่องของเราเอาไว้ยังไงบ้าง............แต่ก็คงไม่น่าจะแตกต่างไปจากที่ผมคาดเอาไว้มากนัก.............

                       จากความกดดันภายใจดังกล่าว ทำให้ผมเปลี่ยนสภาพจากคนที่มีความอดทนสูงต่อพฤติกรรมต่างๆของนัท กลายมาเป็นคนที่มีความอดทนต่ำ เจ้าอารมณ์และไม่มีเหตุผล..........ผมมักจะหงุดหงิดง่ายๆหากไม่ได้ดั่งใจ.................และหากมีเรื่องที่ทำให้ไม่สบอารมณ์ขึ้นมาเมื่อใด ผมก็พร้อมที่จะพ่นคำว่า “เราเลิกกันเถอะ” ออกมาทันที เหมือนกับว่าได้อมเอาคำพูดเหล่านั้นเตรียมเอาไว้แล้ว.......แต่ ณ ตอนนี้.........มันยังไม่เคยได้หลุดลอดออกมาจากปากของผมเลยสักหน...........

                     “เย็นนี้มานอนที่ห้องนะ” ผมโทรบอกนัทในตอนบ่ายหลังจากที่วางมือจากแลปเรียบร้อยแล้ว
                     “ไม่เอ้าววว.......ไปทำไม.......จะนอนหอ.........ถ้าไปกินข้าวเฉยๆไป” นัทต่อรอง.........ระยะหลังมานี้เค้ามักมีข้ออ้างนั่นนี่ ให้ผมต้องได้โมโหตลอด............โดยเฉพาะการไม่ยอมไปนอนที่ห้อง...........เพราะมัวห่วงแต่จะเล่นเกมส์.............หรืออาจจะมีสาเหตุอื่นที่ลึกซึ้งมากกว่านั้นที่ผมยังไม่รู้ก็ได้ แต่ก็ไม่อยากเอามาคิดให้ปวดสมอง............

                       ผมยุติการโต้ถียงและขับรถไปรับเค้ามาทานข้าวตามปกติ...........โดยคิดเอาไว้ในใจว่า เค้าคงแค่จะทำลีลาไปตามประสาเท่านั้นนั่นแหล่ะ..........สุดท้ายก็ต้องยอมตามใจผมอยู่ดี...............ดังนั้นเมื่อทานข้าวเสร็จ ผมจึงถือวิสาสะขับรถมุ่งหน้ากลับห้องทันที............

                       “จอดพี่กั้ง.....นัทจะลง” นัทเอื้อมมือมาแย่งพวงมาลัย.........ไม่ยอมให้ผมเลี้ยวกลับเข้าหอ
                       “เฮ้ยอย่ามันอันตราย” ผมร้องบอก พลางปัดมือเค้าออกจากพวกมาลัย..........ยอมรับว่ารู้สึกตกใจกับพฤติกรรมดังกล่าวของเค้าอยู่ไม่น้อย............นี่เค้าไม่อยากจะไปที่ห้องผมมากขนาดนั้นเลยเหรอ.....................แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่า เค้าอาจจะไม่ได้จริงจังกับการอยากกลับหออะไรมากมาย............ก็คงแค่ทำงอนไปตามปกติเหมือนที่ผ่านมา...........ง้อสักหน่อยก็คงหายโกรธแล้ว.........จึงไม่ได้สนใจสังเกตอากัปกิริยาอื่นๆแต่อย่างใด...............

                         เมื่อเห็นว่าไม่เป็นผล.........ในที่สุดนัทจึงยอมรามือ และกลับไปนั่งอยู่เงียบๆ..........จนรถมาจอดที่ใต้ตึก...........ผมจึงเปิดประตูออกไปยืนรอข้างนอก.........แต่นัทยังคงนั่งนิ่ง..........เม้มปากแน่น ทำหน้างอไม่ยอมจะลงมาจากรถท่าเดียว...............

                          “ลงมาสิ” ผมบอก...........นัทไม่ยอมพูดอะไรออกมาเลยสักคำ...........นอกจากนั่งทำหน้าบึ้งไม่เคลื่อนไหว.................ผมยืนจ้องมองเค้าอย่างปวดร้าว..............นี่เค้าไม่ได้รักและอยากจะอยู่กับผมเลย.............ไอ้ห้องที่เค้าอยู่นั้น มันมีดีอะไรนักหนา ถึงได้อยากจะกลับไปนัก..........มันดีกว่าการที่ได้อยู่กับผมหรือยังไง...............สองสามวันมานี้ผมก็ปล่อยให้เค้าอยู่ห้องมาตลอดทั้งวันแล้ว อยากเล่นเกมส์ก็เล่นไปสิ............และผมก็ไม่ได้เรียกร้องให้เค้ามาอยู่ด้วยทุกวัน............มันหนักหนามากหรือยังไงถ้าผมจะขอแค่นี้.............

                         ผมยืนนิ่งเพ่งมองที่นัทด้วยหัวใจเลื่อนลอย............ผิดแล้วที่คิดจะมีแฟนเด็ก...........เค้ายังรับผิดชอบและดูแลใครไม่ได้...........นอกจากอยากจะเล่นสนุกและทำตามใจตัวเองไปวันๆ...............ความน้อยใจถาโถมเข้ามาประทะจิตใจของผมทุกทิศทาง...........จะเอาอย่างนั้นใช่มั้ย..............ดี............ผมรู้สึกถึงก้อนแข็งที่ขึ้นมาจุกอยู่บริเวณคอหอย..............ก่อนจะพยายามกลืนมันลงไปอย่างอยากลำบาก.................

                          “จะไม่ยอมลงมาใช่มั้ย” ผมถามย้ำอีกครั้ง..............นัทยังคงนั่งนิ่งไม่แสดงอาการตอบโต้ใดๆ..........ทิฐิมานะในใจของผมเดือดพล่าน..............ได้..............ในเมื่อไม่อยากจะอยู่ เราก็จะไม่ฝืนใจ...........นึกได้ดังนั้น............ผมจึงก้าวขึ้นรถ และขับกระชากออกไปอย่างแรง....................

                           เราไม่พูดอะไรกันเลยระหว่างทางจนมาถึงหอพัก....................ผมจอดรถให้นัทที่หน้าหอ.........เค้าเปิดประตู หันมาพึมพำขอบคุณโดยไม่มองหน้า........ก่อนจะก้าวเดินออกไปอย่างรวดเร็ว...

                            ความอดทนที่สั่งสมมาถึงคราวระเบิดแล้วจริงๆ....................ผมไม่ได้ร้องไห้เพราะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องร้อง..............ตรงกันข้ามผมกับรู้สึกนิ่ง...........และรู้สึกถึงการตรัสรู้...............ใช่.........ผมตรัสรู้ว่า.....ในเมื่อเค้าไม่ได้ต้องการในตัวผม.............แล้วผมจะมานั่งเสียดมเสียดายเค้าอยู่ทำไม.............

                            ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดๆๆ..............ผมไม่อยากพูดอะไรกับเค้าอีกแล้ว.............ผมกระหน่ำพิมพ์ข้อความบนแป้นมือถืออย่างเร็ว............
                           “เราเลิกกันเหอะ.........พี่ทนไม่ไหวอีกแล้ว” ............ผมอ่านดูซ้ำอีกสองสามครั้ง............เมื่อเห็นว่าชัดเจนไม่ตกหล่อน จึงกดส่งไปที่เบอร์ของนัททันที...........

                           หลังจากที่ผมส่งข้อความไปแล้ว.................ผมจึงกลับมานั่งคิดใคร่ครวญถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่อครู่..........
                           “นี่เราทำอะไรลงไป หึหึ” ผมนั่งหัวเราะและพำพัมอยู่คนเดียวในความมืด...............ผมโมโหให้เค้าจริงๆ............แต่ผมไม่ได้คิดที่จะเลิกกับเค้าจริงๆ.............และจริงๆก็คือผมแค่อยากจะให้บทเรียนกับเค้า................ถ้าหากเค้าอยากจะเลิกคบกับผมอย่างที่ผมบอกก็ตามใจ............เพราะผมถือว่า ผมได้ทนมามากพอแล้ว...........และผมต้องเป็นฝ่ายทนมากกว่า มาโดยตลอด (เพราะเค้าก็คงต้องทนบางเรื่องของผมเหมือนกัน)..............แล้วผมจะมาเสียดมเสียดายอะไรกับคนเฮงซวยคนนี้.............ผมขึ้นชื่อเรื่องทิ้งผู้ชายมาก็มาก..................กับคนคนนี้ก็คงไม่ได้แตกต่างไปจากคนอื่นๆมากมายสักเท่าไหร่...............เจ็บสักพักเดี๋ยวก็ลืม...............เลิกเป็นเลิก..........ถ้าเค้าไม่ยอมเลิก เค้าจะต้องปรับตัวเสียใหม่...........นี่คือสิ่งที่ผมคิดเตรียมไว้ในใจเพื่อรับต่อสถานการณ์ที่จะตามมาในอีกไม่ช้า..............

                        คืนนี้ผมไม่ได้โทรไปฟ้องใครต่อใครอย่างที่ผ่านๆมา...............เพราะปกติผมมักจะมีอาการคร่ำครวญก็ต่อเมื่อรู้สึกว่าโดนทำร้ายจิตใจ โดยผมยังอาลัยและละล้าละลังไม่ตัดสินใจเป็นหัวหรือก้อย...............แต่ถ้าหากผมเป็นคนตัดสินใจชี้ขาดในเรื่องใดๆไปแล้ว..............ผมจะถือว่านั่นคือสิ่งที่ผมมั่นใจและคิดดีแล้ว..................และจะไม่เปลี่ยนใจเด็ดขาด.........เว้นแต่ผมจะได้ตามเงื่อนไขที่ผมต้องการ..............


                       “มอลลี่ เดี๋ยวไปกินอาหารใต้กันนะ” ผมเก็บข้าวของเมื่อถึงเวลาเที่ยง ก่อนจะหันไปตะโกนข้ามตู้เอกสารที่กั้นระหว่างเราสองคน.........
                       “วันนี้ไปรับนัทหรือเปล่า” มอลลี่ถามตามความเคยชิน............ปกติเราสามคนไปกินข้าวกันทุกเที่ยง..............
                       “ไม่..........เราไปแค่สองคน”........ผมตีหน้าตาย...........ขณะที่มอลลี่เอียงคอมองอย่างแปลกใจ................

                        อาหารมื้อเที่ยงผ่านไปอย่างอเร็ดอร่อย.............แปลกที่ผมไม่รู้สึกกังวลใจใดใดเลย.............คงเป็นเพราะผมรู้จักนัทเป็นดีอยู่แล้ว...............ผมรู้ว่าเค้าจะต้องโทรมาง้อผมแน่ๆ..............คนอย่างเค้าไม่กล้าทิ้งผมหรอก..........คอยดูสิ............

                        หลังจากข้าวเที่ยงเราสองคนจึงแวะไปดื่มกาแฟกันต่อ...........
                       “พี่กั้งจะเลิกกับนัทจริงๆเหรอ” มอลลี่ถามหยั่งเชิง............ปกติเธอก็ไม่ได้เห็นดีเห็นงามกับผมมากสักเท่าไหร่เรื่องที่ไปคบกับนัท.............โดยส่วนตัวเธอไม่ได้เกลียดนัท..........แต่เธอคิดว่านัทไม่เหมาะที่จะให้ผมเอามาทำแฟนต่างหาก............
                      “ไม่หรอก แต่ถ้าเค้าอยากจะเลิก พี่ก็ไม่ว่า” ผมพูดเพราะใจคิดอย่างนั้นจริงๆ............ไม่ได้เสแสร้งว่าจะทำตัวเป็นนางเอกละครแต่อย่างใด...................
                     “เค้ายังไม่โทรมาอีกเหรอ” มอลลี่ตั้งข้อสังเกต...........นี่ก็เลยเวลากินข้าวเที่ยงไปแล้ว.........ตอนนี้เค้าคงจะรู้แล้วล่ะว่าผมเอาจริง...............

                      ผมล้วงโทรศัพท์จากกระเป๋าออกมาดู.............บางทีเค้าอาจจะโทรมาแล้วก็ได้..........อ่ะ......จริงๆด้วย.............ผมกดดูสายที่ไม่ได้รับ...............เป็นนัทจริงๆ...........ที่ผมไม่ได้รับไม่ใช่โกรธหรือว่างอน..........แต่เพราะไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ตะหาก..............ป่านนี้นัทคงจะเริ่มวิตกแล้วว่า......คนที่ยอมอ่อนข้อให้มาโดยตลอดได้ทำการปฏิวัติเสียแล้ว............

                      ผมวางโทรศัพท์กลับไว้ที่เดิม ก่อนจะหันไปยิ้มให้มอลลี่..............
                      “ไม่โทรกลับเหรอ” มอลลี่แกล้งกระเซ้า............ผมยิ้มหน้าบาน...........มองเห็นชัยชนะอยู่รำไร.......
                      “ไม่ดีกว่า” ผมหยักไหล่............แล้วยกกาแฟขึ้นมาดื่ม..........พลางสะกิดมอลลี่.........
                     “ดูหนุ่มคนนั้นสิ น่ารักมะ”.........เธอหันไปมอง และสบตาผมทำท่าพยักเพยิด.............วันนี้กาแฟอร่อยจัง................

                      ผมกลับมานั่งทำงานจนคล้อยบ่าย จึงเก็บข้าวของกลับบ้าน.............วันนี้ตั้งใจว่าจะออกไปชอปปิ้งให้หายเซ็งซะหน่อย..............ผมค่อยๆขับรถเคลื่อนออกมาตามถนนหน้ามหาวิทยาลัยอย่างช้าๆ........เปิดเพลงฟังเบาๆ ร้องตามอย่างสบายอารมณ์.............

                      พลันเสียงโทรศัพท์ก็ดังกังวานขึ้นมาขัดจังหวะอันสุนทรีย์...............ผมเอื้อมมือไปหยิบขึ้นมาดู..............นัท....................ผมยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้..........สะใจนัก..............ตอนนี้ผมไม่ได้โกรธเค้าแล้ว..............แค่เค้าโทรมาง้อผมก็หายโกรธจนหมดสิ้น............ผมนี่เหมือนคนไม่มีหัวใจเลยเนาะ.............
                     “แกเป็นคนใจอ่อน ขี้สงสารมากเกินไป” นี่เป็นคำจำกัดความ ในอีกด้านของความเป็นตัวผมจากเพื่อนสนิท............ก็จริง............ผมไม่เคยเกลียดใครจริงๆเลยสักครั้ง............และผมไม่ชอบด่าว่าใคร..........นั่นไม่ใช่เพราะผมเป็นคนดีหรือไม่ดี............แต่เพราะมันคือผมต่างหาก..............

                     โทรศัพท์ยังคนดังเร่งเร้า............ผมจะยังไม่รับ.............ผมจะปล่อยให้มันดังอยู่อย่างนั้นจนเงียบเสียงลงไปเอง...............ถ้าผมไม่สอนให้เค้ารู้จักความรู้สึกของการที่จะต้องสูญเสีย............เค้าจะไม่เห็นคุณค่าของผมเลย...........แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่า ผมมีค่ากับเขามากแค่ไหน..............

                     เสียงโทรศัพท์ดังเป็นคำรบที่สอง................ผมจึงตัดสินใจหยิบขึ้นมากดรับสายในที่สุด......
                    “ฮัลโหล มีอะไร” ผมแกล้งทำน้ำเสียงให้ดูเย็นชามากที่สุดเท่าที่จะทำได้..........หากคนอื่นมาได้ฟัง...........บางทีเค้าอาจจะกำลังคิดว่าผมพูดกลั้วเสียงหัวเราะอยู่ก็เป็นได้............หุหุ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 17-07-2007 10:07:03


จริงๆแล้วผมเห็นว่าความรักก้อกำลังมีแนวโน้วที่ดี  เลยไม่อยากขัดอ่ะครับ

แต่จริงๆใจลึกๆ ก้อคิดว่าความรักที่ต้องอดทนอยู่เรื่อยๆเนี่ย  มันก้อไม่เข้าท่าสักเท่าไหร่อ่ะครับ...

ผมก้อกำลังสับสนในการเชียร์อ่ะครับ ใจนึงก้ออยากให้เลิกกันนะ (ผมแอบเลวอ่ะ อย่าว่ากันนะครับ  :try2:)

อีกใจก้อกำลังลุ้นให้มีปาฏิหาริย์เปลี่ยนนัทให้เข้าใจและปรับตัวหาคุณกั้งมากขึ้น...อืม...จามีวันนั้นไหมหนอ ? :confuse:

ยังไงก้อเป็นกำลังใจครับ แต่อยากให้เลิกกันมากกว่า ( เอ๋..ยังไงกันแน่เนี่ย  o12 o12  .....ก้อมันอึดอัดอ่ะ   :try2: )

ตอนนี้กำลังค้างคาเลยอ่ะครับ  นัทโทรมาว่าไงบ้างครับ ?
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 17-07-2007 10:18:43

อือ ผมลืมนึกไป หรือว่าเป็นช่วงจำศีลของนัทเค้าอ่ะ

เค้าอาจจะทนความยั่วยวนของคุณกั้งไม่ได้หรือเปล่า เลยไม่อยากมาอ่ะ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 17-07-2007 10:51:44
ไม่มั้ง..........ก็มันเดือนกุมภาแล้วอ่ะ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 17-07-2007 12:36:38
มันต้องอย่างงี้สิเคอะคุณพี่  :m11:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 17-07-2007 12:55:20
มันก็ต้องมีบทโหดมั่งแหล่ะ.........อิอิ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 17-07-2007 16:43:57

.............นัทว่าไงอ่ะ....จะง้อหรือจะเลิก........ :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 17-07-2007 18:53:56
นัทน่าจะโทรมาง้อนะ หุหุ ขอเดา  :m4:  :m4:  :m4:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 19-07-2007 10:36:04

 :impress:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: tor13 ที่ 20-07-2007 16:44:53
ค้าง :m5:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 21-07-2007 02:33:42
รอจ้า  :m4:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 23-07-2007 09:38:30
                         “อยู่ไหน” เสียงของเค้าฟังดูแผ่วเบา...........ไม่ยักกะดูอวดดีเหมือนเมื่อวานนี้เลย
                         “ในมหาลัย กำลังจะกลับห้องแล้ว” ผมทำใจแข็งไม่ลง อย่างที่ได้ตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่แรก.........ปากบอกว่าเลิก........แต่ใจไม่เลิกตาม........นี่เป็นหนแรกที่ผมบอกเลิกเค้า..........เค้าคงจะยังจับจุดไม่ได้ว่าผมคิดอะไรอยู่.........คงจะนึกว่าผมหมายความว่าจริงตามนั้น............

                         การบอกเลิกกันมันง่ายนิดเดียว.........แต่กว่าจะมาถึงจุดที่เราอยู่นั้น สำหรับผม มันไม่ง่ายเลยสักนิด............ต้องทุ่มเททั้งเวลา....ความรัก.....ความเสียสละและอุตสาหะนานัปประการ เพื่อประคับประคองมาโดยตลอด.........ผมไม่ถอดใจเร็วขนาดนั้นหรอก.........

                          มันก็เปรียบเหมือนกับการนั่งทำแลปมานานๆนั่นแหล่ะ..........ทำแล้ว ทำเล่า ผลแลปก็ไม่ออกมาอย่างที่ใจเราต้องการ..........หากท้อใจและเหนื่อยนักกับสิ่งที่ได้ทุ่มเทไป.........ที่สุดก็พาลจะเลิกจะทิ้งไปเสียกลางทางเอาดื้อๆ.........แต่นักวิทยาศาสตร์ที่ดีโดยมาก ก็เพียงแต่มักจะบ่นในตอนท้อเท่านั้น.........ตราบใดที่ยังลงข้อสรุปไม่ได้ ก็คงต้องหาวิธีการร้อยแปด เพื่อมาพิสูจน์สมมุติฐานที่ได้ตั้งเอาไว้ให้จงได้.........ต่อเมื่อได้ข้อสรุปแล้ว ทุกอย่างจึงจะถือว่าจบ..............ส่วนจะเป็นความสำเร็จหรือล้มเหลวนั้น คงมีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้........สำหรับเรา ผมถือว่ายังไม่ควรจบในตอนนี้.........

                           “นัทโทรมาตั้งหลายครั้ง ทำไมไม่รับโทรศัพท์”.........ตลก.........นี่จะแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เรื่องข้อความที่ผมส่งไปบอกเลิกงั้นเหรอ.............แต่ก็ไม่น่าแปลกใจหรอก............เพราะว่าเค้าเป็นคนขี้ขลาด ไม่กล้าเผชิญความจริง............ไม่กล้าแม้แต่จะยอมรับว่าตัวเองเป็นเกย์..........

                            “อ๋อ........มันอยู่ในกระเป๋า.......พี่ไม่ได้ยิน”.........คราวนี้ผมพยายามทำสุ้มเสียงให้ดูเย็นชา.........อยากจะดูต่อว่าเค้าจะว่ายังไง...........บางทีผมก็สับสนว่า ตัวเองเป็นคนเลือดเย็นหรือเป็นคนขี้สงสารกันแน่.............เพราะบางครั้งผมก็ให้อภัยกับพฤติกรรมแย่ๆของคนอื่นได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขอเพียงแต่เค้ายอมอ่อนข้อให้เท่านั้น............แต่ในบางทีผมก็ไม่ใส่ใจ ทำเหมือนบุคคลคนคนนั้นเป็นอากาศธาตุ ถ้าผมตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ข้องเกี่ยวอีกต่อไป ด้วยว่าโปรดไม่ขึ้น.........มันคงจะขึ้นอยู่กับว่า อารมณ์ตอนนั้นผมอยากจะเลือกเป็นอย่างไหนมั้ง........

                          “กินข้าวหรือยัง” นัทถาม.......ผมเหลือบมองนาฬิกา............นี่จะสี่โมงเย็นอยู่แล้ว...........เค้าถามถึงข้าวมื้อไหนล่ะ.........ถ้าจะถามถึงข้าวเที่ยงก็คงจะช้าไปแล้วมั้ง.............แต่ถ้าถามถึงข้าวเย็นก็ดูจะเร็วเกินไป.........หรืออาจจะถามแก้เก้อไปอย่างนั้นเอง............

                          “ยัง..........ทำไมเหรอ” ผมถามกลับเพื่อหยั่งท่าที..........
                          “นัทยังไม่กิน............ทำไงดีล่ะ”..........ปัญญาอ่อน.........นี่น่ะเหรอวิธีการง้อของเค้า........ตลกดี........จะท่ามากไปถึงไหนกัน............
                           “เหรอ........แล้วจะให้พี่ทำยังไง” .............ผมเริ่มอึดอัด.........เยิ่นเย้อ มากความ..........จะเอาไงก็ว่ามาเร็วๆสิ.........นัทอึกๆอักๆอยู่ชั่วครู่
                          “ทำไงดีล่ะ” เค้าพูดทวนคำซ้ำๆซากๆ เหมือนคนปัญญาอ่อน...............มันต้องใช้ศักดิ์ศรีอะไรมากมายขนาดนั้นเลยหรือไง สมบัติกะอีแค่จะชวนไปกินข้าวเนี่ย...........
                         “งั้นเดี๋ยวพี่พาไปกินก็ได้..........รอที่หอนั่นแหล่ะ”...........ผมตัดบทในที่สุดเพราะทนรำคาญไม่ไหว...........

                           ผมมาถึงที่หอนัทในเวลาต่อมา.............เค้ายืนถือถุงกระดาษใบเล็กๆรออยู่ใต้ต้นหูกวางทำหน้าตาเจี๋ยมเจี๊ยม.........พอเห็นเค้าทำสีหน้าแบบนี้แล้ว พลันผมก็เกิดความรู้สึกสงสารขึ้นมาจับใจ..........มันคงเหมือนความรู้สึกของพ่อแม่ที่ตีลูกไปเพราะบันดาลโทสะกระมัง..........พอหายโมโห เห็นลูกเจ็บและทำท่าสำนึกผิด น้ำตาคนเป็นพ่อแม่นั้นแทบจะร่วงเอาเสียให้ได้.............หรือว่า.......ผมรู้สึกเหมือนเค้าเป็นลูกนะ........หุหุ...........

                            “ถุงอะไร” ผมถามเมื่อเค้าขึ้นมานั่งบนรถแล้ว...............แต่ยังไม่วายตีสีหน้าให้ดูเคร่งขรึมเอาไว้ก่อน.........
                            “ของใช้” นัทพึมพำเบาๆ..........หึ........แปลว่าคืนนี้จะไปค้างที่ห้องงั้นสิ...........อันที่จริงผมก็ดีใจอยู่หรอกที่เค้าทำเพื่อเอาใจผมแบบนี้...........แต่ว่าหากเค้ายอมตามใจผมตั้งแต่แรก ความรู้สึกมันย่อมจะดีกว่านี้หลายเท่านัก..........ทำไมเค้าไม่รู้จักคิดนะ ว่าเรื่องบางอย่าง หากเกิดรอยร้าวแล้วยากนักที่จะประสานกลับคืนให้เหมือนเดิม.........สิ่งใดหากไม่เหลือบ่ากว่าแรง ก็สมควรที่จะเอออวยเสียแต่แรก..........เพราะโอกาสแก้ตัวไม่ได้มีครั้งที่สองเสมอไปหรอก.......
                           “จะกินอะไรล่ะ” ตอนนี้ผมค่อยอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย.........จึงมีแก่ใจถามไถ่เรื่องปากท้อง.......
                           “กินอะไรก็ได้” ...........ยังจะมาเล่นลิ้นอีก.........ผมแอบค้อนในใจ
                           “งั้นก็ไปกินที่เดิมแล้วกัน” นัทตัดบทก่อนที่ผมจะอารมณ์เสียไปมากกว่านี้............เพราะภาวะอารมณ์ในตอนนี้ผมไม่พร้อมที่จะอดทนกับเรื่องอะไรทั้งสิ้น..........

                            ที่เดิมของเค้าหมายถึงย่านที่ขายอาหารตามหลักทางศาสนา............แต่ไหนแต่ไรมาผมไม่เคยเรื่องมากเรื่องการอยู่การกิน...........เราจึงมักแวะเวียนไปตามแหล่งอาหารที่นัทโปรดปรานอยู่บ่อยๆ......อาหารที่ผมชอบของที่นั่นอย่างหนึ่งก็คือ มะตะบะโรตี............แต่ผมไม่กล้าไปซื้อเอง (ปกติผมจะขี้อายมาก) จึงต้องไหว้วานให้นัทเป็นคนคอยไปซื้อให้เสมอ..............แต่ตอนนี้ท้องผมยังอิ่มอยู่....จึงคิดเอาไว้ในใจว่าจะไปนั่งเป็นเพื่อนเฉยๆ................

                              นัทเดินไปสั่งอาหาร ผมแกล้งนั่งนิ่ง อยากจะดูว่าเค้าจะถามผมสักคำมั้ย.....เค้าเหลือบมามองผมก่อนจะร้องถาม   
                             “พี่กั้งจะเอาอะไร”...........ผมส่ายหน้า............นัทจึงเดินไปเอาน้ำดื่มมาให้.........เค้าทำท่ามองผมแปลกๆอยู่แวบหนึ่ง..........
                            “มีอะไร” ผมกระแทกเสียงใส่........แม้จะหายโกรธแล้วแต่ผมก็ยังปรับสีหน้าให้แช่มชื่นไม่ได้อย่างใจ...........ก็ผมไม่ใช่นักแสดงนี่...........จะได้เปลี่ยนสีหน้าได้ไวปานพลิกฝ่ามือ...........

                           “ไม่มีอะไรนี่” เค้าปฏิเสธ ผมจ้องตอบสักพักจึงหลบสายตาลงต่ำ.............ผมไม่ชอบการสบตา.........เพราะในดวงตาของผม มันมีความลับซ่อนอยู่ตั้งมากมาย.........แล้วมันเรื่องอะไรจะให้มาล้วงเอาไปง่ายๆกันเล่า........
                          “รออยู่นี่นะ เดี๋ยวมา” นัทหันมาสั่งก่อนจะเดินจากไป...........เขาจะไปไหนของเค้ากันนะ........ผมชะเง้อมองตาม.............เห็นเค้าเดินไปไกลพอสมควร สงสัยจะไปซื้อของ..........

                           ผมนั่งรอนัทอยู่นาน.......จนอาหารที่เค้าสั่งถูกนำมาเสิร์ฟ...........
                          “ไปไหนนะ,,,,,,,ป่านนี้ยังไม่มาอีก” ผมพึมพัมออกมาเบาๆ...........

                           อันที่จริงการรอคอย เป็นสิ่งที่ผมทำเสียจนชาชินตั้งแต่เริ่มมาคบกับนัท..........บางครั้งผมอยากจะอยู่เฉยๆ.........แล้วให้นัทเป็นฝ่ายทำนั่นทำนี่ให้บ้าง...........เค้าจะทำได้ดีแค่ไหนกันนะ.........ผมเคยคิดเล่นๆว่า ถ้าเค้าให้ความมั่นใจและดูแลผมได้บ้าง ก็คงดีไม่ใช่น้อย................บางทีผมอาจจะฝันไปไกลเกินไปก็ได้.........แค่เค้าไม่ก่อเรื่องให้ต้องปวดก็ดีจนเกินพอแล้ว.................

                             “อ่ะ.......ซื้อมาให้” นัทกลับมาถึงที่โต๊ะ พร้อมกับยื่นถุงบางอย่างมาให้............

                             ผมรับมาพิจารณาดู ก่อนจะอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา..........มันคือมะตะบะโรตี..........นี่จะมาทำทีเป็นเอาใจเพื่อลบล้างความผิดละซิ.............มันอาจจะดูเหมือนการกระทำแบบเด็กๆ..............แต่ก็ทำให้รู้สึกดีเป็นบ้าเลย................

                               ผมส่งยิ้มให้นัทก่อนจะลงมือกินมะตะบะโรตีที่เค้าซื้อมาฝาก.............นัทเองก็หันไปจัดการกับอาหารในจานของเค้า..............เค้าหยุดลอบมองผมแวบหนึ่ง ก่อนจะก้มหน้าก้มตากินต่อ.......นี่ถ้าเพียงแต่เค้าจะรู้จักทำตัวดีๆตั้งแต่แรก ก็คงไม่ต้องเสียเวลามานั่งง้อกันแบบนี้หรอก............แต่การโกรธและง้อกัน มันก็เป็นความรู้สึกที่ดีอีกแบบนะ.......... เพราะมันทำให้เราได้รู้ว่า........เค้าแคร์ความรู้สึกเรามากแค่ไหน.......

                                หลังทานอาหารเสร็จผมจึงหันไปถามนัทเมื่อเรากลับขึ้นมาบนรถแล้ว..................
                                “จะไปไหนต่อ”........ผมรู้อยู่แล้วว่าเค้าเตรียมของมาเพื่อมาค้างคืนแต่แกล้งถามดูเพราะอยากรู้ว่าเค้าจะพูดว่ายังไง
                               “ไปห้องพี่กั้งก็ได้” นัททำปากขมุบขมิบ............ผมแอบอมยิ้มในใจ..........หายพยศแล้วเหรอ............
                               “งั้นเราไปเช่าหนังกันก่อนดีมั้ย” ผมถามความคิดเห็น...........
                                “ดีเหมือนกัน เดี๋ยวซื้อของไปไว้กินด้วย”.............นัทพลอยผสมโรง..............เรายิ้มให้กัน........ก่อนที่ผมจะขับรถออกจากร้านอาหาร มุ่งหน้าไปยังร้านวิดีโอเจ้าประจำ...............ตอนนี้ผมหายโกรธเค้าแล้ว...............ใจง่ายพิลึกเลยเนาะ...........อิอิ..........
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 23-07-2007 11:55:31

เพี๊ยะ....นี่แน่ะ ดื้อนัก...

ยังงี้ต้องทำโทษ...   :interest: :interest: :interest:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 23-07-2007 13:03:07
ยังเหนียวแน่นเหมือนเดิมนะครับ.........อิอิ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: tor13 ที่ 23-07-2007 16:17:33
ตายแล้วเล่นตัวแค่เนี้ยะ มะตะบะห่อเดียว ถ้าสองห่อก็ว่าไปอย่าง มันอร่อย :m3:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 23-07-2007 21:44:59
หุหุ นัทเค้าก็ง้อในแบบของเค้าเนอะ  :m1:  :m1:  :m1:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 24-07-2007 09:33:37
                         อีกสองสามวันก็จะเป็นวันวาเลนไทน์แล้ว..............ผมยังไม่มีแพลนอะไรสำหรับเราสองคนเลย........และผมก็ไม่ได้คิดว่า วันแบบนี้จะมีความสำคัญมากไปกว่าวันธรรมดาอื่นๆแต่อย่างใด............แต่ยังไงก็ตาม ผมน่าจะหาของขวัญให้นัทบ้างก็คงจะดีไม่น้อย...........เดี๋ยวจะหาว่าตอนจีบกันใหม่ๆขยันให้นั่นให้นี่..........พอนานเข้าชักจะทำเป็นลืมไม่ใส่ใจ.............

                         ช่วงนี้นัทมีสัมมนาเกี่ยวกับเรื่องไปฝึกงานเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมาต่อเนื่องกันหลายวัน...........ผมจึงมีเวลาว่างในช่วงเย็นๆของบางวันที่นัทเลิกคลาสค่ำ............

                         ธรรมดานิสัยผมจะไม่ชอบนั่งอยู่โยงเฝ้าห้องในช่วงหัวค่ำ............เพราะพาลจะรู้สึกปวดหัวและหายใจไม่ออกอย่างไรอย่างนั้น..........ผมจะต้องหาทางออกไปร่อนตามที่ต่างๆ เพื่อเป็นการผ่อนคลายเสมอ.........และปกติผมก็มักจะไปกับนัท........แต่หากไม่มีนัท ผมก็จะไปกับคนอื่นตามแต่จะหาได้จากรอบๆตัว...........

                         และคนที่ผมหาได้ในเย็นนี้คือ เจ...............ผมไม่ได้รู้สึกพิศวาสอะไรในตัวเค้าแล้ว...........แต่ผมยังสนุกกับเกมส์ชิงไหวชิงพริบของเราสองคนอยู่..........อ่อยกันไปอ่อยกันมา.........ดูซิว่าใครจะยอมแบไต๋ก่อนกัน.........ซึ่งเกมส์นี้ผมเป็นต่อ.........เพราะผมมีคนที่รักอยู่แล้ว.........แต่เจจะมีหรือไม่ผมไม่สน..........ผมแค่อยากจะพูดจาแดกดันให้เค้าได้เจ็บปวด หรือเสียหน้าบ้างก็เท่านั้น.........มันสมควรแล้วกับคนเหลี่ยมจัดพรรค์นั้น.......

                           “เจว่างหรือเปล่า.........เย็นนี้ไปชอบปิ้งเป็นเพื่อนพี่หน่อยสิ” เมื่อสมัยก่อนโน้น.........เวลาผมชวนเจไปไหนมาไหน เค้ามักจะอิดออด........และมีข้ออ้างนั่นนี่ให้ต้องรำคาญใจเสมอๆ........แต่เจในตอนนี้กับเจในตอนโน้นไม่เหมือนกันซะแล้ว........เพราะสำหรับเจที่ผมรู้จักตอนนี้ ทุกอย่างมันช่างง่ายดายเหลือเกิน เพียงแค่ผมเอ่ยปากขอเท่านั้น...........

                          “นัทไม่อยู่เหรอ” เจถาม ทำเสียงประชดอยู่ในที............แต่มีหรือที่คนอย่างผมจะแสร้งทำเป็นปิดบังให้เค้าเข้าใจว่าผมแคร์...........
                        “อืม......วันนี้เค้ามีสัมมนา คงเลิกค่ำๆ........เห็นว่าต้องทำรายงานกับเพื่อนต่อ”........เป็นไงล่ะ.......ผมยิ้มเยาะอยู่ในใจ.........อยากฟังนักไม่ใช่เหรอ...........
                        “ พี่มารับผมที่บ้านแล้วกัน” เจตกลงรับปากทันที..........เป็นอันว่าวันนี้ผมไม่เหงาแล้ว............แม้จะดีใจที่หาเพื่อนช้อปได้แล้ว แต่อีกใจก็ยังคิดกังวลว่า ถ้านัทรู้จะโดนด่ามั้ยนะ..........เหอะน่า......เค้าน่าจะเชื่อใจผมอยู่บ้างกระมัง............

                         จะว่าไปแล้ว ที่ผ่านมาผมเองก็ไม่ค่อยจะเชื่อใจนัทสักเท่าไหร่.............แม้ว่าเค้าจะไม่เคยแสดงให้เห็นว่ามีเงื่อนงำอะไรให้น่าสงสัยก็ตาม.........ตรงกันข้าม...........ผมซะอีกที่ชอบทำให้เค้าคิดว่าผมมีเงื่อนงำ (โดยใช้เจเป็นเครื่องมือ)...........ทั้งๆที่จริงๆแล้วมันก็ไม่มีอะไรในกอไผ่เลยแม้แต่น้อย............ถึงยังไงผมก็เชื่อใจตัวเองว่า ไม่มีทางทำอะไรนอกลู่นอกทางโดยเด็ดขาด ตราบที่ผมยังเป็นแฟนกับนัทอยู่..........

                         ...คนเรานี่ก็แปลก.........เชื่อใจตัวเอง แต่ไม่เชื่อใจคนอื่น..............ที่เป็นแบบนั้น ก็คงเป็นเพราะว่า.......เรารู้ความคิดของตัวเราเองดี........ว่าเราคิดอย่างไร เป็นอย่างไร.........แต่ว่าเราไม่สามารถรู้ความคิดของฝ่ายตรงข้าม........ดังนั้นเราจึงมักจะคอยระแวงและจับผิดอีกฝ่ายเสมอๆ..............

                            เมื่อรับเจออกจากบ้านแล้ว ผมกับเจมาถึงห้างเซ็นทรัลแอร์พอร์ทอีกครึ่งชั่วโมงต่อมา..............ช่วงเย็นๆแบบนี้ คนออกมาจับจ่ายใช้สอยกันหนาตา...........เราตกลงว่าจะเริ่มต้นเดินที่ชั้นล่างก่อน เพื่อเช็คดูว่ามีสินค้าอะไรลดราคาบ้าง............

                           “พี่กั้ง แดปเปอร์ ลดตั้งห้าสิบเปอร์เซ็นต์แน่ะ” เจชี้ชวนให้ผมดูเคาเตอร์แดปเปอร์ยี่ห้อโปรดของเราสองคน (เกย์ส่วนมากก็ชอบแดปเปอร์กันอยู่แล้ว)............จากนั้นเราสองคนจึงรี่เข้าไปทำการคุ้ยเขี่ยกองเสื้อผ้าทันที.............

                           ผมเลือกเสื้อให้ตัวเองได้สองตัวกับกระเป๋าหนึ่งใบ.......ในขณะที่เจยังไม่ได้อะไรเลย..........ระหว่างที่จับๆเลือกๆดูของอยู่นั้น................ผมก็เกิดความคิดขึ้นมาว่า น่าจะซื้อให้นัทสักตัว............ผมอยากดูแลนัทแบบคนเป็นแฟนเค้าทำกันบ้าง...........และก็เป็นของขวัญวันวาเลนไทน์ไปในตัวด้วย....

                            ผมจับๆพลิกๆดูเสื้อสองสามตัวสำหรับนัท...........แพงจัง...........แค่ซื้อของตัวเองก็หมดเงินไปเยอะแล้ว...........ความงกเริ่มคลืบคลานเข้ามาครอบงำในความคิด.............แต่ก็ยังไม่มากเท่ากับความปรารถนาดีที่ผมอยากจะมอบให้กับคนรัก..............

                            เสื้อใส่สักพักก็คงเสื่อมสภาพ..........ซื้อกางเกงยีนส์ให้ดีกว่า.........ของที่นัทมีอยู่ทั้งเก่าและเยินไปหมดแล้ว.............คิดได้ดังนั้นผมจึงเดินเลี่ยงมาดูที่กระบะกางเกงแทน................

                             “พี่กั้งจะซื้อกางเกงให้ใครเหรอ” เจเดินกระแซะเข้ามาถามพลางทำท่าจับๆเลือกๆดูกางเกงพวกนั้น..............
                           “อ๋อพี่ว่าจะซื้อให้นัทน่ะ...........เจช่วยเลือกหน่อยสิ”..........หุหุ............นี่ผมร้ายไปหรือเปล่าเนี่ย.............เจยังคงเก็บอาการเอาไว้ได้เป็นอย่างดี...............แต่ถึงยังไง ผมว่าหน้าเค้าก็ยังดูเจื่อนๆอยู่ดีนั่นแหล่ะ..................
   
                           กางเกงพวกนี้แพงกว่าเสื้อหลายเท่านัก...............จะซื้อให้ดีมั้ยนะ........ผมเริ่มชั่งน้ำหนักอีกครั้ง............ซื้อก็ซื้อวะ...........ผมตัดใจซื้อในที่สุด...........ถึงไงมันก็ยังใส่ได้อีกนานแหล่ะ.......อาจจะสักเก้าปีสิบปีเลยก็ได้..................หากภายหลังจากที่ผมเลิกกับเค้าไปแล้ว..........เค้าอาจจะยังใส่มันอยู่ก็ได้...........

                           “เจว่าตัวนี้สวยมั้ย” ผมยกกางเกงตัวที่เห็นว่าสวยที่สุดแล้วให้เจดู
                           “ก็สวยดีนี่” ........เจชำเลืองมองอย่างเสียไม่ได้
                           ผมไม่ว่าอะไรต่อนอกจากอมยิ้มที่มุมปาก..........พลางยกกางเกงตัวที่หมายตาเอาไว้ขึ้นมาพิจารณาอีกครั้ง.........ไซส์ใหญ่สุดก็ 36 นิ้ว..........นัทน่าจะใส่ได้แหล่ะ..........ปกติก็ไม่เคยมานั่งวัดเอวกันสักที...........

                           ผมจ่ายเงินค่าเสื้อผ้าและเดินดูของต่อสักพักก่อนจะชวนเจไปนั่งดื่มกาแฟกันต่อ...........ผมสามารถดื่มกาแฟได้ทุกเวลา...........ไม่ใช่เพราะว่าเป็นคอกาแฟ..........แต่เพราะมันเป็นที่เดียว ที่เราจะได้จ่ายน้อยแต่ดูดี..........และได้นั่งในที่บรรยากาศดีๆนานๆ โดยไม่ต้องมีใครมาเขม้นมองขับไล่ด้วยสายตาเพื่อให้รีบออกไปจากร้านให้เสียอารมณ์.........

                           “เดี๋ยวพี่เลี้ยงกาแฟแล้วกัน อุตส่าห์มาเดินซื้อของเป็นเพื่อน” ผมหันไปบอกเจเมื่อเราจวนจะขับรถมาถึงที่ร้านกาแฟวาวี...........
                           “ไม่เป็นไรพี่กั้ง ผมจ่ายเองได้...........ปกติคนอื่นเค้าให้พี่กั้งจ่ายให้บ่อยๆเหรอ”..............คนอื่น............นี่เค้าหมายถึงใคร............เค้าหมายความว่าผมจ่ายให้นัทบ่อยๆงั้นเหรอ...........
                          “ก็ไม่นะ........เค้าก็จ่ายของเค้าเอง” ผมรีบปกป้องคนรักทันที..............ใครจะจ่ายให้ใครมันสำคัญตรงไหน............คนรักกันเค้าไม่มานั่งคิดเรื่องเล็กๆน้อยๆแบบนี้หรอก.........ตราบใดที่เค้าไม่มาแบมือขอเงินเราใช้ก็น่าจะเป็นพอ............ขืนจะมานั่งคิดเรื่องพวกนี้.........ก็คงไม่มีความสุขกันพอดี...........คนโตๆกันแล้วใครจะดูไม่ออกว่าเค้าคบกับเราเพราะเงินหรือเพราะอะไร...........จะดูถูกมันสมองกันมากไปหน่อยแล้ว..............

                             สุดท้ายเจก็ให้ผมจ่ายให้อยู่ดี.........นึกว่าจะวิเศษเหมือนที่ชอบทำตัวคอยยกตนข่มท่านอย่างเมื่อครู่............เรานั่งคุยกันร่วมชั่วโมงจึงพากันกลับ.............ผมแวะไปส่งเจที่บ้านก่อนจะกลับเข้าห้อง........

                             หลังจากอาบน้ำเป็นที่สบายอารมณ์แล้ว ผมจึงหันไปหยิบกางเกงที่ซื้อให้นัทมาพิจารณาด้วยความสุขใจ..........พรุ่งนี้วันวาเลนไทน์ผมต้องหาโอกาสเอาให้เค้าตามที่ได้ตั้งใจเอาไว้............ว่าแล้วก็โทรไปถามข่าวดูซิว่าตอนนี้ทำอะไรอยู่นะ............

                             ผมจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดถึงนัททันที
                             “ฮัลโหล” เสียงปลายสายทักทายท่าทางอารมณ์ดี
                             “ทำไรอยู่” ผมยิงคำถามตามความเคยชิน
                             “ทำรายงานกลุ่มอยู่ห้อง กับเพื่อน”.........เหรอ........ทำไมเงียบอย่างนี้ล่ะ.........ในใจผมเริ่มนึกระแวง...........ไม่เห็นจะเจี้ยวจ๊าวเลยสักนิด...........เพื่อนประเภทไหนกันแน่นะ...........
                            “เพื่อนจริงเหรอ ทำไมเงียบอย่างงั้นล่ะ........อย่าเพิ่งพูด........อยู่เฉยๆ ให้พี่จะฟังเสียงคนในห้องซิ”..........ผมออกคำสั่ง...........อยากจะฟังซิว่ามีเสียงใครดังลอดเข้ามาในโทรศัพท์บ้างมั้ย........งี่เง่าสิ้นดี....อิอิ

                            “โบว์ๆ ส่งเสียงหน่อย” เสียงนัทหันไปตะโกนบอกเพื่อนที่ชื่อโบว์
                            “อะไร” ผมได้ยินเสียงผู้หญิงดังลอดกลับมาก่อนจะมีเสียงคนเจี๊ยวจ๊าวอึงคนึงตามมาติดๆ...........แล้วไป.........ถ้าเป็นผู้ชายล่ะก็น่าดู.....หุหุ...........
                            “เออๆ พอแล้ว อายเค้า” ผมรู้สึกงี่เง่าขึ้นมาในทันที..........หึงไม่เข้าเรื่อง........ถ้าเพื่อนเค้าสงสัยว่าแฟนนัทโทรมา.............เค้าก็คงจะคิดว่าแฟนคนนี้ช่างขี้หึงได้อย่างน่ากลัวนัก...........ผมไม่อยากให้ใครมองผมแบบนั้นหรอก.............

                            “อย่าลืมเอาแปรงสีฟันกับน้ำยาล้างคอนแทคส์มาให้ด้วยนะ นัทลืมไว้อ่ะ” .........นัทสั่งเสียให้ผมเอาของไปให้พรุ่งนี้แต่เช้า.............
                           “อืม.........ไม่ลืมหรอก............พรุ่งนี้เช้าก็ออกมารอที่หน้าคณะแล้วกัน” ผมรับปากก่อนจะกล่าวคำลาและวางสายไป.............

                             พรุ่งนี้ก็จะได้ให้ของขวัญเค้าแล้ว...........นัทจะดีใจมั้ยนะ..........ผมหยิบกางเกงยีนส์ตัวนั้นขึ้นมาลูบคลำอีกครั้ง.........กลิ่นหอมใหม่ของมันโชยมาจางๆ.........รู้สึกเป็นสุขจังที่ได้ดูแลคนที่เรารักแบบนี้................
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 24-07-2007 10:08:37

นัท จะชอบหรือเปล่าน๊า...หุ หุ

ยังไงก้อมีผมคอยช่วย (ซ้ำเติม) นะ...อิ อิ

 :impress2: :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 24-07-2007 10:26:33
จะช่วยหรือจะซ้ำเติมเอาให้สักอย่างแน่จิ.....อิอิ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 24-07-2007 16:40:04
รอลุ้นนัทจะชอบกางเกงมั้ย  :m1:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 24-07-2007 19:05:05
หุหุ ถึงนัทจะชอบแต่อาจจะมีฟอร์มอีกก็ด้ายยย  :m14:  :m14:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 25-07-2007 12:13:35
                         ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับเช้าของวันวาเลนไทน์ที่แสนจะเงียบเหงา..........กลิ่นอายของวันวาเลนไทน์ลอยกรุ่นอยู่ในใจผมจางๆ................ทำให้หวนนึกไปถึงเมื่อครั้งแรกรุ่นที่เพิ่งเริ่มจะรู้จักกับวันวาเลนไทน์ใหม่ๆ.............สมัยนั้นผมมักคอยแอบอิจฉาเพื่อนๆ ที่ได้รับดอกไม้วันวาเลนไทน์จากคนที่เค้าได้แอบหมายตากันเอาไว้เสมอ............หากใครได้รับดอกไม้เยอะเกินหน้าเกินตาคนอื่นๆ........สังเกตดูว่าวันนั้นพวกก็จะเดินชูคอหน้าบานไปทั่วโรงเรียนทั้งวัน...........น่าอิจฉาชะมัด............

                         ในช่วงนั้นผมเองใช่ว่าจะไม่เคยได้รับดอกไม้ในวันวาเลนไทน์..........แต่คนที่ให้ดอกไม้ผมกลับเป็นผู้หญิงเสียทั้งนั้น.............เพราะฉะนั้น.......ดอกไม้พวกนั้นจึงไม่มีความหมายต่อผมแต่อย่างใด............เนื่องจากว่า ผมอยากได้ดอกไม้จากผู้ชายมากกว่าน่ะสิ........

                          ยุคนั้นเกย์ยังไม่เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางเช่นปัจจุบันนี้........ดังนั้นเกย์รุ่นเยาว์อย่างผมก็ต้องพยายามหนีบความเป็นสาวเอาไว้ให้สนิทไม่ให้ประเจิดประเจ้อออกมาเกะกะสายตาคนอื่น.............พวกเธอทั้งหลายจึงไม่รู้ว่าผมเป็นเกย์.........อย่างมากก็แค่มองว่าเป็นผู้ชายประเภทเรียบร้อย เด็กเรียนก็เท่านั้น..........แต่ลึกๆในใจ ผมกลับแอบฝันหวานที่จะได้ดอกกุหลาบจากชายหนุ่มเช่นเดียวกันกับพวกเธอบ้าง............

                          ถึงนั่นมันจะเป็นเพียงอดีตชาติที่นานนมมาแล้ว.............และตอนนี้ผมก็โตขึ้นมากและมีวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปจากเมื่อครั้งยังเยาว์วัย.............แต่กระนั้น ลึกๆภายในใจผมก็ยังแอบฝัน ที่จะมีวันวาเลนไทน์สุดแสนโรแมนติกแบบในหนังหรืออะไรเทือกนั้นดูบ้าง..........คงจะรู้สึกดีแบบสุดๆ

                           สลัดผ้าห่มออกจากตัวขยับลุกขึ้นเดินไปเข้าห้องน้ำ...........ถุงกางเกงยีนส์ยังคงวางสงบนิ่งอยู่ที่เดิม...........ผมเหลือบไปมองก่อนจะทอดถอนหายใจ...........นัทไม่มีทางทำอะไรโรแมนติก แบบนั้นเด็ดขาด..........และผมเองก็คงรู้สึกประดักประเดิดใจไม่น้อย หากเค้าเกิดนึกเพี้ยนขึ้นมาทำอะไรหวานๆในวันวาเลนไทน์ดูบ้าง..............คิดไปแล้ว คนเราบางครั้งก็แปลก..........มักจะไม่ค่อยกล้าแสดงออกถึงความรักในแนวหวานๆ..............ทั้งๆที่ในใจของเราต่างก็ต้องการที่จะได้รับจากคนที่เรารักกันทั้งนั้น............

                           หลังจากแต่งตัวเสร็จผมเดินไปหยิบถุงกางเกงและของเล็กน้อยที่นัทลืมเอาไว้..........ก่อนจะเดินลงลิฟท์มายังลานจอดรถ...............ผมยังไม่ได้บอกนัทเลยว่ามีของขวัญให้เค้า..............แต่ก็ไม่ได้คาดหวังว่านัทจะตื่นเต้นอะไรมากมาย..............อีกทั้งธรรมดาแล้ว ผมไม่นิยมการให้ของกำนัลแก่ใคร...........มันเหมือนเป็นการไปให้ความสำคัญกับวัตถุมากจนเกินไป................ผมคงจะไม่ชอบใจ...........หากจะบังเกิดความคิดระแวงแคลงใจว่า เค้าประสงค์ในเรื่องวัตถุมากกว่าจิตใจ............แต่ในกรณีที่นานๆทีแบบนี้ คงไม่เป็นไรกระมัง.............เพราะถึงยังไงการได้ทำตัวเป็นผู้ให้ย่อมสบายใจกว่าการต้องทำตัวเป็นผู้รับเป็นไหนๆ.........

                          “ฮัลโหล..........พี่จะถึงที่หน้าคณะแล้ว ออกมารอเลยนะ” .........ผมต่อสายถึงนัท..........วันนี้นัทก็คงไม่ไปไปค้างที่ห้องอีกเหมือนเคย..............เห็นว่าต้องทำรายงานกลุ่มเรื่องสัมมนากับเพื่อนๆ.............ผมก็คงทำอะไรไม่ได้นอกจากคอยเป็นกำลังใจให้เค้า...............

                           นัทยืนรออยู่ที่หน้าคณะอยู่แล้วเมื่อผมมาถึง.............เค้าดูดีทีเดียวในชุดเสื้อกาวน์สีขาว...........ผมค่อยๆเคลื่อนรถเข้าไปเทียบใกล้ก่อนจะกดเลื่อนกระจกลง................

                           “หวัดดีคับ” นัทโผล่หน้ามาที่หน้าต่างพลางทักเสียงทะเล้น
                           ผมหันไปหยิบถุงกางเกงจากเบาะข้างๆ แล้วยื่นให้...............เค้ารับเอาไปท่าทางดูประหลาดใจไม่น้อย
                           “ของขวัญวันวาเลนไทน์”.............ผมบอก............
                           “อะไร”...........นัทแง้มถุงดูท่าทางอยากรู้.............แล้วเงยหน้าขึ้นมอง............
                          “ขอบคุณครับ”.........เค้ากล่าวคำขอบคุณออกมาในที่สุด............ผมได้แต่ยิ้มรับ ไม่ได้พูดอะไรออกไป...............
                          “เย็นนี้นัทจะทำรายงานกลุ่มกับเพื่อนนะ.” นัทบอกเป็นนัยให้รู้ว่า เย็นนี้หาข้าวกินเองนะ...........ผมยิ้มเป็นเชิงรับรู้.............
                         “พี่ไปแล้วนะ” .............ในที่สุดผมก็ตัดใจกล่าวคำลาออกมา............นัทโบกมือลาแล้วเดินหันหลังกลับเข้าไปที่คณะ.............ผมมองตามอยู่พักหนึ่ง............ถุงใบเบ้อเร่อ หิ้วเข้าไปที่คณะแบบนั้น ใครต่อใครมิซักไซร้จนป่นหรือนี่................

                             แล้ววันวาเลนไทน์ที่แสนจะน่าเบื่อก็เคลื่อนผ่านไปอย่างช้าๆจนพลบค่ำ...............เย็นนี้ผมไปกินข้าวกับน้องพร............หล่อนมีเรื่องมาให้อัพเดทอีกครั้ง หลังจากที่เงียบหายไปได้สักพัก.....
                           
                             “พี่กั้ง...........พักหลังนี้อาร์เค้าเป็นอะไรก็ไม่รู้........ดูห่างเหินพิกล........ไม่เหมือนเมื่อก่อน....โทรไปก็ไม่ยอมรับสาย”........เอาล่ะสิ..........นึกเอาไว้แล้วไม่มีผิด.........จากรูปการผมประเมินว่าอาร์เป็นสาวแอ๊บแมน........เมื่อมาเจอสาวแอ๊บแมนอย่างน้องพรเหมือนกัน............หลังจากที่ความจริงเปิดเผยแม่เหล็กทั้งสองจึงออกแรงผลักกันสุดฤทธิ์............
                             “แล้วได้เจอกันบ้างหรือเปล่า”........ผมเริ่มทำตัวเป็นนักสืบ..........
                             “เจอเฉพาะตอนตีเทนนิส...........เวลาอื่นไม่ค่อยได้เจอ.......พักหลังมานี่น้องทำอะไรมันก็จะมีแต่คอยบ่นนั่นบ่นนี่ตลอดเลย”.........น้องพรพูดพลางทำหน้าย่น..........
                         
                            ก็เป็นของธรรมดาที่คนเราเมื่อจะหมดรักกันแล้ว...........อะไรต่ออะไรก็ย่อมมองว่าไม่ดีไม่งามสักอย่าง.........อีกทั้งผมมองว่าน้องพรเอง ก็เดินหมากผิดมาตั้งแต่แรกแล้ว............จุดจบจึงไม่ผิดจากที่คาดเอาไว้............

                             ที่ว่าการเดินหมากผิดของหล่อนก็คือ ประการที่หนึ่งความไม่ชัดเจนในภาพลักษณ์เรื่องรสนิยมทางเพศ......... เนื่องจากน้องพรนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น หล่อนจะมีกิริยาท่าทางประหนึ่งหนุ่มน้อย ไม่มีเจือความสาวเอาไว้เลยสักนิด.........จะมาแตกสาวก็ต่อเมื่ออยู่กับคนใกล้ชิดเท่านั้น...........ถ้าจะให้เดาหล่อนคงแตกสาวต่อหน้าน้องอาร์มากขึ้นเรื่อยๆ.........และคำว่าไม่ใช่จึงติดตามมาเหมือนเงา.......เรื่องบทบาททางเพศไม่มีข้อกำหนดตายตัว.........อยู่ที่คนสองคนจะตกลงและปรับเปลี่ยนกันเอง.........แต่ผมมองว่าอย่างน้อยๆเราควรแสดงให้เค้าเห็นว่าเราพอใจในแบบไหนตั้งแต่แรก......โดยการใช้วิธีการใดวิธีการหนึ่ง ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องเป็นการแตกสาวให้เห็นว่าฉันเป็นรับนะคะเสมอไป...........

                              เคยมีเรื่องตลกเล่ากันขำๆในหมู่เกย์ที่ชอบเที่ยวหาคู่นอนรายคืนว่า...........หากจิกใครมาได้จากผับในคืนนั้น.........เมื่อมาถึงที่ห้องนอนแล้ว...........ใครแตะเตียงได้ก่อนคนนั้นจะได้เป็นเมีย.........นั่นก็แสดงว่าเราไม่มีทางจะรู้ความชอบของอีกฝ่ายเลย จนกว่าจะได้ขึ้นเตียงกันถึงจะมารู้ทีหลังว่าคืนนี้ต้องผัดไท เป็นต้น..........

                              “บางทีฉันก็ต้องเป็นผัวมัน ทั้งๆที่มันแมนกว่าฉันอีก” เพื่อนเกย์สาวก๋ากั๋นของผมจีบปากจีบคอเล่าให้ฟัง
                             “แล้วแกเอามันได้เหรอ” ผมพยายามซักไซร้เอาข้อมูลต่อ
                              “ได้สิ.....แต่โครตเซ็งเลยว่ะ..........พอถึงพรุ่งนี้ก็ทางใครทางมัน ไม่ต้องมาเจอะมาเจอกันอีก”...........หล่อนสาธยายต่อ..........อืม............ถ้าตัดเรื่องความมักมากหลายใจออกไป ผมว่านี่คงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พวกเกย์คบกันไม่ยืด...........คบกับคนนี้พักเดียวก็เลิก..........กับคนนั้นพักเดียวก็ลา............เหตุเพราะมาจับได้ภายหลังว่าอีกฝ่ายแอ๊บสาวนั่นเอง...........

                              ประการที่สองน้องพรสำคัญตัวผิดมาตั้งแต่ต้น..........เนื่องจากไม่มีเกย์ที่ไหนจะมานั่งคอยเทคแคร์เกย์อีกคนประหนึ่งว่าเธอเป็นหญิงสาวที่น่าทะนุถนอม............เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นจริงเค้าก็ควรจะหันไปชอบผู้หญิงจริงๆซะยังจะดีกว่า............จากที่ผมเก็บข้อมูลมาตลอดพบว่า น้องพรจะสำคัญตัวผิด คิดว่าเค้ารัก จึงทำตัวเยี่ยงสาวน้อยที่เอาแต่ใจตัวเองและแสนงอน...........จะเอานั่นจะเอานี่.....อยากได้นั่นอยากได้นี่..........อยากให้ทำอย่างนั้นอยากให้ทำอย่างนี้...........จึงไม่แปลกว่าเค้าจะเอือมระอาและอยากจะถอยห่างออกไปในที่สุด............ขนาดผมคอยดูแลเอาใจนัทขนาดนี้ ยังได้แค่นี้เลย......เรื่องอื่นอย่างไปคิดเล้ยยยยยย.....

                               “ไม่ต้องคิดมากหรอก..........เดี๋ยวมันก็ดีขึ้นเอง” .........ผมไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรนอกจากพูดปลอบอกปลอบใจไปตามเรื่องตามราว............
                               “อืม.........มันคงจะดีขึ้น........หรือไม่ก็แย่ลง........” น้องพรพึมพัมเบาๆ...........


                               ผมกลับมาถึงห้องเสียค่ำมืด.........เพราะมัวแต่ไปเดินเที่ยวตลาดกันต่อ............ปกติหากเจอน้องพรเมื่อไหร่ผมมักจะชวนไปซื้อของกินที่กาดดอกไม้กันต่อ..........ไม่ใช่ซื้อเพื่อผมเองหรอก........แต่ผมซื้อมาไว้ให้นัทน่ะ............อิอิ.........

                                “ฮัลโหลพี่กั้งเหรอ”.........นัทโทรกลับมาหาผมในคืนนั้น.......ไหนว่าทำรายงานกันอยู่ไง............หรือจะให้พาไปกินข้าวหรือเปล่านะ.............
                                “อืม........เป็นไง” .......ผมไม่รู้ว่าจะพูดอะไร นอกจากรอให้เค้าในเอ่ยสิ่งที่ต้องการมา............เพราะปกตินัทจะไม่โทรหาผมด้วยเรื่องไร้สาระ.........ส่วนมากก็เรื่องไปกินข้าว..........
                               “กางเกงที่ให้มาอ่ะ..........นัทใส่ไม่ได้........มันคับเกิน”............เอ๋า...........นี่ขนาดว่าเลือกไซส์ใหญ่สุดแล้วนะนี่.............
                               “ตอนถอดนัทต้องให้เพื่อนช่วยดึงด้วย”.............เวรกรรม............สงสัยจะขุนดีเกินจนอ้วนฉุไปแล้วมั้งเนี่ย..............
                               “เสียดายอ่ะ..........ซื้อมาตั้งแพง” ผมยังไม่วายบ่น............
                              “ไม่เป็นไร.........เดี๋ยวนัทจะลดน้ำหนักอีกหน่อยก็ได้”..........สงสัยจะงก........ลดน้ำหนักก็ยอม.......หุหุ
                              “เพื่อนนัทบอกว่าเค้าทำให้ขนาดนี้ก็ชอบๆเค้าไปเถอะ” ............จะพูดเอาอะไรกัน...........ไม่อยากชอบก็ไม่ต้องชอบสิ...........ฟังแล้วขัดหูพิกล.......

                              ผมแอบกลับมานั่งแค้นเคืองอยู่ในใจคนเดียวหลังจากที่นัทวางสายไปแล้ว.............นี่เค้าเอาไปเล่าให้เพื่อนฟังเกี่ยวกับผมว่ายังไง............คงพูดทำนองว่าผมรักเค้ามากแต่เค้าไม่ได้รักตอบเลยสักนิดสินะ..............นี่มันชักจะมากเกินไปแล้ว.........เค้าทำไปได้ยังไงโดยที่ไม่นึกถึงหัวใจกันบ้างเลย..........หลงตัวเองชะมัด...........
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 25-07-2007 12:59:19

โดนขายลับหลังซะแล้ว อิอิ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 25-07-2007 14:38:43

.........วันหลังถอดไม่ได้...ก็มาหั้ยคุณกั้งถอดหั้ยดิ......... :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 25-07-2007 15:24:44

 :o10:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 25-07-2007 15:39:45
รูปนี้แปลว่าอะไร.........อิอิ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 25-07-2007 22:46:51
เพื่อนๆเริ่มเชียร์แว้ว น่าจะดีนะ
 :m18: :m18: :m18:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 25-07-2007 23:01:35
นัทนี่จะว่าไปก็มีมุมน่ารักๆ อยู่ในตัวเหมือนกันนะ
สงสัยต้องรอคุณกั้งขุดมุมนั้นออกมาก่อนอะ  ถึงจะยอมเปิดออกมาทีละนิดๆ

ที่จริง  เราว่าคุณกั้งเอง ก็คาดหวังกับน้องเค้ามากเหมือนกันนะ
คนเราพื้นฐานต่างกัน  แสดงออกต่างกัน  พูดยาก

เอาใจช่วยจ้า  รออ่านต่อเสมอ 
:m1:  :m1:  :m1:  :m1:  :m1:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 25-07-2007 23:29:19

ถ้านัทเค้าเล่าให้เพื่อนฟังว่ากำลังดูใจกับชายสูงอายุ (กว่า) ผู้หนึ่ง ก้อดีแล้วไม่ใช่เหรอครับ

เพราะแปลว่าเค้าก้อกำลังเริ่มเปิดเผยตัวตนของเค้าบ้างแล้ว....หรือเปล่าครับ


ส่วนตัวก้อคิดว่านัทก้อคงชอบพอคุณกั้งอยู่บ้าง  แต่ไม่รู้ว่ามากน้อยแค่ไหนเท่านั้นเอง

(ผมประเมินว่าน่าจะเท่าเม็ดทรายนะ...    ไม่ใช่ปริมาณ แต่น่าจะเป็นขนาดอ่ะนะ 5 5 5 )

 :laugh3: :laugh3: :laugh3:


สู้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆนะครับ  ดูแลสุขภาพด้วยนะ อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยๆ (แถวนี้อ่ะนะ แถวโน้นไม่รู้)
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 26-07-2007 08:51:10
แถวโน้นอ่ะแถวไหน...........ถ้าหมายถึงที่ที่ผมอยู่ล่ะก็........กรุงเทพง่ะ (ย้ายมาอยู่ได้สามเดือนแระ)
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 26-07-2007 10:31:48
                        “เดือนมีนาคมนี้นัทก็ว่างแล้ว นัทไม่อยากกลับบ้าน อยากหางานคลินิกทำที่นี่มากกว่า” .........นัทเปรยออกมาระหว่างที่เราสองคนกำลังหัดขับรถกันอยู่...............ตอนนี้นัทก็ขับเก่งขึ้นเยอะแล้ว...........แต่ยังไม่เก่งพอที่จะปล่อยให้ฉายเดี่ยว.........ถ้าเรายังคบกันไปได้ตลอดรอดฝั่ง อีกสามปี ห้าปี..........ถึงตอนนั้นผมอยากมีโอกาสเป็นฝ่ายนั่งอยู่เฉยๆแล้วให้นัทขับพาไปไหนต่อไหนบ้าง.......แต่มันก็คงเป็นแค่ฝันลมๆแล้งๆ...........

                        ผมสังเกตุว่าหลังจากที่นัทเสร็จสิ้นจากการเข้าร่วมปัจฉิมนิเทศเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว พักหลังนี้นัทเอาแต่พูดเรื่องอยากจะหางานคลินิกทำในช่วงเวลาว่างหนึ่งเดือนที่เหลือนี้ ก่อนที่จะออกไปทำงานจริงๆในโรงพยาบาลชุมชุนประมาณกลางเดือนเมษายนที่จะมาถึง.........

                       แน่นอนอยู่แล้วว่า ผมย่อมไม่อยากให้เค้ากลับไปอยู่บ้าน..........เพราะนั่นหมายความว่าเราสองคนต้องแยกกันอยู่........ซึ่งก็ไม่แน่ว่า อาจจะเป็นการแยกกันไปเลยตลอดชีวิตของเราก็ได้............แต่ถึงอย่างไรผมก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่า เวลาเพียงแค่เดือนเดียว..........เค้าจะไปทำอะไรได้นักหนา........ทำไมเค้าไม่ถือโอกาสพักผ่อนหลังจากที่ต้องคร่ำเคร่งกับการเรียนมาเป็นเวลายาวนาน.........ใจจริงผมอยากให้เค้าอยู่เชียงใหม่ต่อ แล้วรอไปทำงานทีเดียวเลยดีกว่า.........จะได้ไม่ต้องย้ายข้าวของไปมาหลายรอบให้วุ่นวาย............

                         “ใบอนุมัติก็ยังไม่ได้........ใครเค้าจะรับเข้าทำงาน” .........ผมพยายามหาข้อแย้งเนื่องจากไม่อยากให้เค้าต้องไปดิ้นรนทำอะไรแบบนั้น..........

                         “เพื่อนนัทก็ยังทำเลย..........ไปทำที่คลินิกคนรู้จัก.........อย่างน้อยๆก็ได้เงินไว้ซื้อชุดทำงานใหม่......ไม่ต้องไปรบกวนที่บ้าน”..........นัทหลุดปากให้เหตุผลออกมาในที่สุด..........

                          เท่าที่ผมทราบ ฐานะทางบ้านของนัทไม่จัดว่าร่ำรวย........นี่คงเป็นแรงผลักดันที่ทำให้เค้าอยากจะหาเงินใช้เอง เพื่อที่จะได้ไม่ต้องไปรบกวนที่บ้าน...........ผมชอบที่เค้าเป็นคนรู้จักคิดและมีความรับผิดชอบแบบนี้............แต่บางครั้งผมกลับรู้สึกไม่สบายใจที่เค้าชอบพูดไปในแง่ของการให้ความสำคัญกับเรื่องเงินทองมากจนเกินไป.............

                           “อาชีพอย่างนัทนี่ทำเงินได้เยอะนะ........วันธรรมดาหลังเลิกงานก็ทำโอที........วันเสาร์อาทิตย์ก็ไปทำคลินิก......ชั่วโมงหนึ่งๆได้เงินตั้งเยอะ”.........เวลาที่เค้าพูดถึงเรื่องรายได้ในอนาคต ดูเค้ามีความสุขมาก.........ผมเห็นประกายตาที่แสดงถึงความอยากได้ใคร่ดีฉายออกมาอย่างชัดเจน............

                            “จะทำไปถึงไหน........คนเราไม่รู้จะอยู่จะตายเมื่อไหร่.........เอาแค่พอมีพอกินก็พอแล้วมั้ง.....จะไปดิ้นรนอะไรให้มากมาย.......ควรจะหาเวลาพักผ่อนบ้าง”........ผมพยายามรั้งให้เค้ามองในอีกแง่...........แต่ดูท่าทางแล้วคงจะไม่เป็นผล..........เพราะเค้ายังคงคิดตามแบบที่เค้าเชื่ออยู่ดี..........

                             “ยังมีแรงอยู่ ก็ทำไป” นัทพูดตัดบท..........ผมจึงหุบปากแล้วนิ่งเงียบเสีย...........

                              ผมไม่ใช่คนประเภทชอบใช้ชีวิตแบบประหยัดมัธยัสถ์.........ตรงกันข้าม บางคนอาจจะมองว่าผมเป็นคนติดฟุ่มเฟือยหน่อยๆด้วยซ้ำ............แต่ผมก็ไม่ได้มาจากครอบครัวฐานะร่ำรวยอะไร..........ก็แค่ครอบครัวข้าราชการธรรมดาๆ...........ดังนั้นผมก็ไม่ได้เป็นคนประเภทดูถูกคุณค่าของเงินแบบที่คุณหนูไฮโซทั้งหลายชอบทำกัน..........แต่ผมมองว่าเงินมันเป็นแค่ปัจจัยที่อาจจะทำให้คนเรามีความสุขได้ในบางครั้งเท่านั้น...............แต่ความสุขที่แท้จริงน่าจะมาจากจิตใจภายในที่เป็นสุขมากกว่า............การที่เค้าขนขวายหาเงินทองจนแทบจะไม่มีเวลาให้ตัวเอง........ครอบครัว........และตัวผมหรือคนรักของเค้าในอนาคตก็ตาม.......ผมคิดว่ามันไม่คุ้มค่าเลยกับเงินที่เค้าจะได้มา.............เพราะเมื่อถึงที่สุดแล้ว........เงินมันก็เป็นแค่ศษกระดาษที่ไม่มีความหมาย........อยู่แบบพอมีพอกิน ใช้ชีวิตให้สมดุลน่าจะดีกว่า........


                             ดูเหมือนว่านัทจะไม่ยอมฟังที่ผมเตือนเลย.............เค้ายังคงเดินหน้าสืบหาข้อมูลจากรุ่นพี่ทั้งหลายว่ามีคลินิกหรือโรงพยาบาลเอกชนที่ไหนที่เปิดรับหมอจบใหม่อย่างเค้าบ้าง............

                             “พี่กั้งพานัทไปสมัครหน่อยสิ..........ตอนนี้นัทเตรียมหลักฐานเอาไว้แล้ว......นัทจะไปสมัครที่คลินิกกับโรงพยาบาลในเชียงใหม่สองสามที่”.........นัทปรารภกับผมหลังอาหารมื้อค่ำที่ห้องของเรา.......ผมวางมือจากการรับประทานอาหารแล้วหันมามอง............นี่เค้าจะเอาจริงๆหรือนี่...........

                              ช่วงที่ผ่านมานัทเอาแต่วุ่นอยู่กับโทรศัพท์ถามคนโน้นคนนี้ เรื่องคลินิคที่อาจจะสนใจรับหมอเข้าทำงานเพิ่ม.........ผมไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไรอีก นอกจากเฝ้าดูเงียบๆ........คลินิคที่ไหนเค้าจะรับคนเข้าทำงานเพียงเดือนเดียว...........รับไป เค้าก็ต้องเอาไปฝึกใหม่........เสียเวลาเปล่าๆ เพราะเดือนเดียวก็จะออกแล้ว...........

                               “เอาสิ.......ว่าแต่จะใส่ชุดอะไรไปสมัครล่ะ”.........ผมถามถึงชุดที่นัทจะใส่ไปสมัครงาน........เท่าที่ผมเห็น นัทไม่มีชุดที่ดูดีอยู่เลย...........มีแต่แบบปอนๆทั้งนั้น..........ถ้าผมเป็นผู้รับสมัครก็คงจะหักคะแนนจนไม่มีเหลือเพียงแค่เห็นในแวบแรกเท่านั้น............

                               “นัทจะใส่อะไรดี.........กางเกงสีดำกับเสื้อกาวน์ดีมั้ย.........มันเก่าเกินไปอ่ะ” นัทเองก็ดูวิตกกับชุดที่จะใส่อยู่ไม่น้อย...........
                              “เลือกที่มันดูสะอาดและก็แมทช์กันสิ”.........ผมแนะ.......เป็นหมอเข้าไปได้ยังไง...........ทั้งซกมก..........ทั้งไม่มีสง่าราศี...........แต่ผมก็ยังรักเข้าไปได้.............กรรมจริงๆ


                              วันรุ่งขึ้นผมแวะไปรับนัทที่หอแต่เช้า...........เค้ามาในชุดเสื้อเชิร์ทกางเกงสแลค สีไม่เข้ากัน.......ดูแล้วรวมความว่า ไม่ภูมิฐานเลยสักนิด............แต่ผมก็ไม่ได้ทักท้วงอะไรให้เสียกำลังใจ นอกจากบอกว่า..........
                              “ดูดีแล้ว”.........แม้จะไม่เห็นด้วยนักกับการตัดสินใจของนัท.........แต่ในฐานะแฟน ผมก็ต้องสนับสนุนในสิ่งที่เค้าอยากจะทำให้ดีที่อยู่แล้ว...........

                                เรามาถึงที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในเวลาต่อมา..............ที่นี่ นัทค่อนข้างหมายมั่นปั้นมือว่าจะได้งาน เพราะมีรุ่นพี่ที่รู้จักกันซึ่งทำงานที่นั่นอยู่ก่อนแล้ว เป็นคนแนะนำมา...........
                               “เดี๋ยวพี่รออยู่ที่รถนะ” ผมเลือกที่จะรออยู่ข้างล่างไม่ตามนัทขึ้นไป..........ไม่ใช่เพราะว่าผมไม่อยากจะอยู่เคียงข้างเค้าในยามที่ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาต่างๆ..............แต่ผมไม่ไปเพราะผมรู้ว่านัทไม่สะดวกใจต่างหาก..........ถึงแม้ว่าเค้าจะไม่มั่นใจที่จะเผชิญหน้าเพียงลำพัง แต่เค้าก็ยังไม่ให้ผมไปเป็นเพื่อนอยู่ดี..........


                                นัทหายไปนานจนผิดสังเกต..........แดดเริ่มร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ.............จนผมทนรอในรถไม่ไหวอีกต่อไป..............หลังจากที่คิดใคร่ครวญอยู่นาน ผมจึงตัดสินใจว่าจะขึ้นไปรอนัทที่ตรงลอบบี้ของโรงพยาบาลจะดีกว่า..........ถึงแม้จะทำให้นัทต้องโกรธก็เถอะ..........
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 26-07-2007 12:04:49


ผมชอบความน่ารักในความคิดของนัทเค้านะครับ  ให้เค้าได้ทำในสิ่งที่เค้าชอบเถอะครับ

การดูแลและให้กำลังใจแก่เค้าคือสิ่งที่น่าชมเชยแล้วครับ    o14 o14 o14

ว่าแต่จบแบบค้างๆอ่ะ   
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 26-07-2007 16:23:50

ค้างอย่างแรง
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 26-07-2007 17:36:29
ไม่ได้ตั้งใจว่าจะจบแบบทื่อๆหรอก........แต่ว่าช่วงนี้งานยุ่งเลยเขียนได้แค่นี้ง่ะ.............
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 26-07-2007 18:16:42
รอได้จ้า ว่างๆแล้วก้มาต่อนะ  :m18:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 26-07-2007 19:10:52
 ทำไมนัทขึ้นไปนานจัง จะมีอะไรมั๊ยน้า :a11:   :a11:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 27-07-2007 10:53:40


 :m21: :m21: :m21:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: tor13 ที่ 27-07-2007 14:14:59
สงสัยไป :a4: :a4:กับหมออยู่มั้ง :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 27-07-2007 18:13:47
สงสัยไป :a4: :a4:กับหมออยู่มั้ง :laugh: :laugh:



หรือว่ามัวไปเป็นหุ่นให้หมอทดลอง ฉีดยาอยู่    :m26:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 27-07-2007 22:19:06
^
^
แย่แว้วว  งี้นัทก็อยู่ในภาวะคับขันอะจิ  :a5:

ยังรอคุณกั้งอยู่น้า   :m13:

ปล  เรื่องทำงาน  เราว่าไม่แปลกอะ  ที่นัทอยากทำงานก่อนไปใช้ทุน  จบใหม่ ไฟแรงจ้า  :a2:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: tor13 ที่ 28-07-2007 14:49:14
 :m18:เป็นหมอก็รายได้ดีน่ะ แต่ว่าเราไม่ได้เรียนหมอมานะซิ
ไม่เป็นไรไปเป็นหมอ(นวดแผนโบราณ) ก็ด้าย :a3: :a3: :a3:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 31-07-2007 08:17:42
 
:m22: :m22:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 31-07-2007 13:45:26

หยุดยาวแบบนี้ ต้องไปหาคุณหมอมาแน่ๆๆๆๆๆๆๆๆ   :m10: :m10:

แห่ะๆๆ เดาเอาอ่ะ  เจงป่ะครับ       :m12: :m12:

ปล่อยให้เรามานั่งรอ     :m16: :m16:

หายเหนื่อยแล้ว แวะมาทักทายหน่อยนะครับ คถ คถ  :m13: :m13:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: tor13 ที่ 31-07-2007 16:10:20
เค้าฉีดกันยังไม่เสร็จเหรอไม่เห็นมาต่อซักที :a4: :a4: :a4:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 01-08-2007 09:29:16
                          บรรยากาศภายในโรงพยาบาลค่อนข้างจะเงียบเชียบกว่าที่คิดเอาไว้..............มีคนไข้นั่งรอพบแพทย์เพียงสองสามคนเท่านั้น............สีหน้าแต่ละคนดูเรียบเฉย ไม่ได้แสดงถึงอาการเจ็บไข้ได้ป่วยเลยสักนิด...............เหมือนมานั่งแต่งตัวประชันกัน มากกว่าที่จะเป็นผู้ป่วยจริงๆ..............

                           ผมกวาดตามองดูรอบๆ ระหว่างที่เดินผ่านประตูเข้ามายังลอบบี้.........ที่นี่จัดได้ว่าค่อนข้างหรูหราทีเดียว.............ดูไม่เหมาะกับนัทเลยสักนิด.............นัทปอนจะตาย...........

                          พนักงานต้อนรับกำลังนั่งก้มๆเงยๆอยู่ตรงเคาเตอร์.............พวกเธอกำลังสาละวนอยู่กับงานที่ได้รับมอบหมายจนไม่รับรู้ถึงการมาของผมเลยสักคน.....................ผมเดินเลี่ยงมานั่งตรงบริเวณที่เข้าใจว่าจัดเอาไว้ให้สำหรับผู้ที่มานั่งรอญาติ.............รู้สึกแปลกๆอยู่บ้างตรงที่ว่า ผมไม่สัมผัสถึงความเป็นสถานบริการทางสุขภาพของที่นี่เลย.............บรรยากาศดูไม่ต้อนรับผู้คนเหมือนโรงพยาบาลทั่วๆไปที่เคยพบเห็น............ตรงกันข้าม...........ผมรู้สึกถึงความหยิ่งและเย็นชาของสถานที่แห่งนี้ จนต้องพยายามทำตัวให้ลีบเล็กที่สุด เท่าที่จะทำได้..............

                        หลังจากสำรวจดูรอบๆ ไม่มีวี่แววของนัทในบริเวณนี้เลย...........ผมจึงหยิบหนังสือขึ้นมานั่งอ่านฆ่าเวลาเล่น............ไม่นานก็แว่วเสียงคนสนทนากัน ดังลอยมาแต่ไกล............ผมหันไปมองตามที่มาของเสียงโดยอัตโนมัติ............นัทนั่นเอง...........เค้ากำลังเดินตามชายแก่ท่าทางภูมิฐานคนหนึ่งมายังทิศที่ผมนั่งอยู่..............ท่าทางนัทดูพินอบพิเทาอย่างไม่น่าเชื่อ..........ผมนั่งจ้องมองด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้เห็น.........ปกติเคยเห็นแต่นัทคนที่ชอบทำท่าอวดดีอยู่ร่ำไป............ไม่นึกว่าวันนี้จะมีโอกาสได้มาเห็นอะไรที่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิงแบบนี้............

                         คนทั้งสองเดินผ่านหน้าผมเข้าไปยังอีกห้องที่อยู่ใกล้ๆ.............ผมชำเลืองมองแวบหนึ่ง ก่อนหันมาทำทีว่ากำลังสนใจอยู่กับการอ่านหนังสือเสียเต็มประดา.............ในขณะที่หูก็คอยฟังสิ่งที่ทั้งคู่คุยกัน...........จากบทสนทนาที่ได้ยิน เข้าใจว่าคุณลุงคนนั้นคงเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลสุดหรูแห่งนี้..........เค้าคุยกับนัทภายในห้องนั้นด้วยเสียงที่ดังในระดับที่พอจะจับใจความได้............ผมเงี่ยหูฟังบทสนทนาของคนทั้งคู่ด้วยความตั้งใจ...........แม้ว่าฟังดูค่อนข้างจะเยิ่นเย้อ..............แต่รวมความแล้วก็คือ เค้าปฏิเสธที่จะรับนัทเข้าทำงาน............นี่ไม่ใช่เรื่องที่เหนือความคาดหมายของผม.............ใครจะบ้ารับคนเข้าทำงานเพียงแค่เดือนเดียว............ไม่ใช่พนักงานเสิร์ฟอาหารนี่ จะได้รับเข้าทำงานตอนเช้า ตกเย็นก็ให้ทำงานได้เลย................

                         หลังการสนทนาสิ้นสุดลง.........ทั้งคู่ก็เดินกลับออกมาที่ลอบบี้อีกครั้ง............นัทกล่าวลาเบาๆ แล้วหันมาพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้ผมเดินตามไป..........ผมหันไปมองคุณลุงคนนั้นอีกครั้ง ก่อนจะเดินตามนัทออกมา..........เมื่อครู่สีหน้านัทดูไม่ดีเลย.........ผมเห็นความผิดหวังและอับอายปรากฏอยู่บนใบหน้าของเค้าอย่างชัดเจน...........เค้าคงจะตั้งความหวังกับที่นี่ค่อนข้างมาก............แต่เค้าก็ควรจะรู้จักที่จะยอมรับความจริง............ไม่มีใครสมหวังในทุกๆอย่างหรอก.............

                        เราสองคนเดินกลับมาที่รถ..........ผมไม่พูดอะไรนอกจากเดินตามมาเงียบๆ..........ผมสงสารนัท.........แม้จะไม่เห็นด้วยกับโครงการที่นัทอยากจะทำงานในช่วงเดือนมีนาคมตั้งแต่แรก...........แต่ผมก็ไม่อยากจะให้เค้าต้องผิดหวัง............ผมอยากให้เค้าได้ทำในสิ่งที่เค้าอยากทำ............แม้ว่าผมจะไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ก็ตาม..........

                        “เค้าว่ายังไงบ้าง” ผมเอ่ยถามออกมาด้วยความอยากลำบาก.........เพราะกลัวจะกลายเป็นว่าไปซ้ำเติมคนกำลังผิดหวังเข้า.............แต่หากจะไม่พูดอะไรออกมา ก็ดูจะเหมือนไม่ห่วงใยถามไถ่กันเสียเลย.........ซ้ำยิ่งจะทำให้บรรยากาศอึดอัดมากไปกว่าเดิม..............
                       “เค้าบอกว่าเค้าไม่อยากมาเสียเวลาฝึกงานให้ใหม่..........อีกอย่างนัทก็ทำงานกับเค้าได้แค่เดือนเดียวเอง.........” .........สีหน้านัทยังดูเจื่อนอยู่เมื่อเล่าย้อนถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ แม้จะผ่านช่วงเวลานั้นมาแล้วก็ตาม....
“นัทกลับไปขอหลักฐานที่ใช้สมัครคือดีมั้ยพี่กั้ง”........นัทยังอาลัยอาวรณ์กับเอกสารที่ได้นำมายื่นเอาไว้ในตอนแรก..........
“ช่างมันเถอะ..........เดี๋ยวเค้าก็เอาไปทิ้งเองนั่นแหล่ะ.......อย่าไปสนใจเลย”..........ผมตัดบท........ไม่อยากให้นัทต้องไปวุ่นวายกับไอ้โรงพยาบาลนั่นอีก...........แค่นี้ก็หน้าแตกจนหมอไม่รับเย็บมากพออยู่แล้ว.........อย่าบากหน้ากลับไปขอหลักฐานพวกนั้นคืนเลย.............อายเค้าเปล่าๆ......


                         ผมขับรถพานัทออกมาจากโรงพยาบาลมุ่งหน้ากลับเข้าเมืองอีกครั้ง..........ท่าทางนัทจะยังคงไม่หมดหวังกับเรื่องหางานเอาง่ายๆ.........เค้ายังมีรายชื่อคลินิกในใจเหลืออีกแห่ง.........
                        “พี่กั้งพานัทไปถามที่นั่นดูได้ป่าว”..........นัทเอ่ยชื่อคลินิกชื่อดังแถวย่านนิมมานเหมินทร์....ผมอยากบอกให้เค้าเลิกล้มความตั้งใจ แล้วเอาเวลาที่เหลือมาพักผ่อนเพื่อรอเวลาไปทำงานจะดีกว่า.........แต่ทำไงได้........ก็ผมมันเป็นฝ่ายสนับสนุนอยู่แล้วนี่..........
                        “เอาสิ.......ลองไปถามดูจะเสียหายอะไร”..........ผมพยายามพูดให้กำลังใจ.........ทั้งๆที่รู้ว่าความหวังนั้นแสนจะริบรี่เต็มทน...........


                           “พี่กั้ง.....ถ้าเค้าไม่รับจะทำยังไงดีล่ะ” นัทหันมาถามความเห็นผมอีกครั้ง เมื่อเรามาถึงคลินิกที่ว่า........เค้าคงเสียความมั่นใจจากโรงพยาบาลเอกชนเมื่อครู่ไปไม่น้อย........
                          “เออน่า.........เข้าไปถามดูเฉยๆไม่เสียหายอะไรหรอก ไหนๆเราก็มากันแล้ว”...........ผมพยายามให้กำลังใจอีกครั้ง..........อยากให้เค้าได้ลองให้สุดๆไปเลย จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียดายในภายหลัง..........

                          นัทหายเข้าไปที่คลินิกดังกล่าวพักใหญ่...........สักพักจึงกลับออกมาพร้อมนามบัตร..........
                          “เค้าบอกให้นัทโทรไปถามกับหมอที่เป็นเจ้าของเอง..........วันนี้เค้ามาที่คลินิก”..........นัทชูนามบัตรที่ว่าให้ผมดู...........แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดตามหมายเลขที่อยู่บนบัตรดังกล่าว.........

                         การสนทนาดำเนินไปได้สักครู่.............คำตอบที่ได้คือไม่............แต่ผมไม่ทราบในรายละเอียดจากการนั่งจับใจความอยู่ข้างๆ.............
                        “เค้าว่าไงบ้าง”............ผมรีบถามเมื่อนัทวางสาย............สีหน้านัทดูไม่ดีเอาเสียเลย.........
                       “เค้าบอกว่าเค้าไม่รับหมอที่ไม่มีใบรับรองวิชาชีพ..........เดี๋ยวจะมีปัญหา...........ส่วนใหญ่เค้าจะรับพวกที่ทำงานโรงพยาบาลชุมชนมาแล้วสองสามปี”.............อืม..........คุณสมบัติยังห่างไกลจากที่นัทเป็นอยู่ในตอนนี้..............


                         ออกจากคลินิกแห่งนั้น.................เราสองคนขับรถไปเรื่อยๆจนถึงแม่เหียะด้วยไม่รู้จะทำอะไรต่อกันดี..............หลังจากที่ขับรถวนได้สองสามรอบ ผมจึงแวะเข้าไปจอดรถใต้ต้นมะม่วง............เปิดประตูออกมาเดินเล่นตามสนามหญ้า ปล่อยให้นัทเอนเบาะนอนอยู่ในรถคนเดียว...............เค้าคงได้เรียนรู้แล้วว่า ไม่มีอะไรง่ายดายเหมือนฝัน.............ความผิดหวังกับความสมหวังนั้นอยู่ใกล้กันนิดเดียว.............จากอาการของนัทในตอนนี้ผมค่อนข้างจะเป็นห่วงเค้าพอดู..............เค้าคงไม่อยากเป็นภาระที่บ้านอีกต่อไป.................การอยู่ที่นี่ต่อคือการที่ต้องยืดเวลาสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายของทางบ้านออกไป................ผมอยากจะขอให้เค้าอยู่...........แต่ผมก็ต้องเคารพการตัดสินใจของเค้า...............ถ้าเค้าเลือกที่จะไปผมก็คงห้ามไม่ได้..............เรื่องของเราสองคนคงจะจบลงเร็วกว่าที่คาดเอาไว้.................

                         ผมเดินกลับมาที่รถ.........เห็นนัทนั่งรออยู่แล้ว.............ท่าทางเค้ามีเรื่องต้องให้ขบคิดมากมาย...........ดูไม่เหมือนนัทคนเดิมที่ผมเคยรู้จัก............

                        “พี่กั้งกลับกันเถอะ............นัทจะไปเตรียมตัวเก็บของกลับบ้าน”.........นัทเอ่ยออกมาในที่สุด............ผมรู้สึกชาไปทั้งตัว................แทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน...........นี่เค้าจะจากผมไปแล้ว.............ทำไมมันเร็วอย่างนี้...........แล้วเรื่องของเราล่ะ..............จะปล่อยให้มันจบลงไปทั้งๆแบบนี้น่ะเหรอ................เค้าควรจะปรึกษาเรื่องนี้กับผมก่อนที่จะตัดสินใจ............ผมควรจะมีสิทธิ์ที่จะได้รับรู้ความเป็นไปของเราแต่เนิ่นๆ ไม่ใช่เค้านึกจะทำอะไรก็ทำตามอำเภอใจ โดยที่ไม่นึกถึงความรู้สึกกันแบบนี้..............แต่ผมก็หยิ่งในศักดิ์ศรีเกินกว่าที่จะร้องขอหรืออุทรณ์ใดๆออกมา...............
                       “งั้นก็กลับกันเถอะ”.............ผมกลั้นใจพูดออกมาอย่างยากลำบาก..............แล้วเข้าไปนั่งประจำที่คนขับ...............สตาร์ทเครื่องยนต์ด้วยหัวใจที่เลื่อนลอย..............

                       ระหว่างทางจนกระทั่งถึงหอของนัท ผมแทบไม่พูดอะไรออกมาเลย.............ผมรู้สึกว่านี่คือการทรยศ.............เค้าไม่ปรึกษาผมมาก่อนเลยว่าจะเอายังไงกับชีวิตต่อไป.............นี่เค้าเห็นผมเป็นแฟนเค้าหรือเปล่า.................ผมไม่สามารถฝืนซ่อนอาการเสียใจเอาไว้ได้อีกต่อไป...............นัทคงรู้และเข้าใจว่าผมช็อคกับการตัดสินใจของเค้ามากแค่ไหน...............ผมส่งเค้าลงที่หอและจากมา............ไม่มีคำร่ำลาใดๆระหว่างเราสองคน...................

                       ผมกลับมานอนซมที่ห้องเหมือนคนหัวใจสลาย.............นี่ผมจะเสียเค้าไปจริงๆหรือ...............ผมจะเสียเค้าไปทั้งๆที่ไม่มีโอกาสได้ตั้งตัวแบบนี้หรือ................
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 01-08-2007 09:30:30
เลิกเดาได้แล้วนะจ้ะ ที่หายไปเพราะไปเข้าฌาณมาตะหาก..........หุหุ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 01-08-2007 10:25:10

มาแว้ว ดีใจจัง   :m18: :m18:


แต่รู้สึกว่าจะค้างอีกแล้วอ่ะครับ   :m17: :m17:


ไปเข้าฌาณมา ไม่กล้าแซวเลยอ่ะ   :m14: :m14:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 01-08-2007 11:01:26
ค้างสิ ก็มันยังไม่จบนี่นา........ยังมีอีกยาวเรย..........ว่าแต่คุณ blanch นี่ เป็นพวกที่ชอบแอบพลิกไปอ่านตอนจบก่อนอยู่เรื่อยเลยใช่ป่ะ.......ทำตัวเป็นวัยรุ่นใจร้อน.........อุอุ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 01-08-2007 12:53:09
ไม่เห็นมีอะไรน่าห่วงนิ  กลับบ้านไปพัก  แล้วค่อยกลับมาหางานใหม่

หรือเราพลาดฉากไหนไปหวา
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 01-08-2007 17:05:46
ห่วงตรงที่ว่า เค้าจะหอบเสื้อผ้ากลับบ้านไปแล้วไม่กลับมาอีกอ่ะจิ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 01-08-2007 17:25:10
คนเราคู่กันแล้วก็ไม่แคล้วกันหรอก โบราณท่านว่าไว้   :a2:  :a2:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 01-08-2007 20:07:15
เอาน่าแค่เดือนเดียวไม่ใช่เหรอ  :a10:  :a10:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 02-08-2007 12:02:46

 :a10: :a10:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 02-08-2007 12:11:02
ขอโทษนะครับที่มาๆหายๆ พอดีช่วงนี้งานยุ้งยุ่ง.........เอาไว้ช่วงกีฬามหาลัยโลกจะมาเขียนให้อ่านเยอะๆนะจ้ะ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 02-08-2007 12:55:45

ช่วงนั้นจะว่างจริงเหร๊อ ????   

พอเห็นนักกีฬาหนุ่มๆ เด่ะๆ  ครั้นก้อจะไม่มีเวลามา อัพเดท  :m26: :m26:

เห็นว่าชอบเล่นแบตมินตัน  แต่ไหงไปนั่งข้างสระว่ายน้ำล่ะนั่น    :m10: :m25:

หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 02-08-2007 13:46:11
นี่..............รุ่นนี้ไม่กินเด็ก (ที่ไม่บรรลุนิติภาวะ)..........อิอิ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 02-08-2007 17:43:12
รอจ๊ะ  :a1:  :a1:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 02-08-2007 18:36:39
ที่แท้คนเขียนก็อู่นี้หว่า  งั้นศุกร์นี้งดเที่ยวเพื่อให้มาต่อนิยาย อิอิ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 02-08-2007 19:34:53
รอค่ะรอ  :m18:  :m18:  :m18:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 03-08-2007 05:30:02
เราว่ามีหลายคนแน่ๆ เลยที่คิดแบบคุณกั้งอะ 
ว่าอาจจะต้องเลิกกันตอนเรียนจบ 
ถ้าอยากเลิกกันนะ  ตอนจับฉลากใช้ทุนนี้แหละ  เป็นโอกาสดีที่สุด เหอ เหอ
ไม่เจอกัน  บอกเลิกกันตอนนั้นก็ไม่สาย  จะได้ไปเจอคนที่แต่ละคนคิดว่าใช่

นี่น้องนัท  เค้าไม่ได้งาน อยากกลับบ้านเองนา  ถ้าเป็นเรา เราก็กลับอะ
แต่น้องเค้าไม่ได้ปรึกษาคุณกั้งแค่นั้นเองอะ  อิอิ 

รออ่านอยู่น้า  อย่าอู้ๆ รออยู่  :a1:  :a1:  :a1:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 03-08-2007 11:32:56

เข้ามารอเผื่อจะฟลุ๊ค   :impress: :impress: :impress:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: tor13 ที่ 03-08-2007 12:46:19
โห่อุสาห์ไปเที่ยวมาตั้งหลายวันกลับมาอ่านมีแค่ตอนเดียว :a4: :a4: :a4:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 06-08-2007 08:35:53

 :a4: :a4: :a4:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 06-08-2007 08:58:01
                         นี่มันเป็นฝันร้ายชัดๆ............เมื่อตอนกลางวันเราสองคนยังไปไหนมาไหนด้วยกันดีๆอยู่แท้ๆ.......พอตกบ่ายนัทกลับมาบอกว่าจะเก็บข้าวของกลับบ้านเสียแล้ว..........ผมสังหรณ์ใจว่านี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่เราสองคนจะได้อยู่ด้วยกันก็ได้..................ครั้งนี้ผมคงจะต้องเสียเค้าไปจริงๆแล้วเป็นแน่...........แม้ไม่ได้ตายจากกันก็เหมือนตายจากกันอยู่ดี..........

                        นัทเคยพูดกับผมเอาไว้เมื่อนานมาแล้วว่า.............

                        “ถ้าวันหนึ่งข้างหน้า เราสองคนไม่ได้เป็นแฟนกันแล้ว นัทยังอยากจะคบกับพี่กั้งเป็นพี่น้องต่อไป ถึงตอนนั้นนัทจะแต่งงานมีครอบครัวแล้วก็ตาม เราก็ยังติดต่อกัน ถ้ามีโอกาสก็ไปกินข้าวด้วยกันเหมือนเดิม”

                       ในตอนนั้นผมไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไรออกไป..........นอกจากนั่งฟังอยู่เงียบๆ..........แต่ในใจผมรู้ดีว่า ผมไม่มีทางทำใจได้แน่นอน.......ใช่..........ผมไม่ได้เป็นคนใจกว้างมากขนาดนั้นหรอก.............อย่าเจอกันเลยจะดีกว่า..............ถ้าไม่ใช่ในสถานะของคนรักแล้ว...........พี่ไม่มีที่ว่างอื่นให้กับเธอ............ไม่มีแม้แต่คำว่าเพื่อนหรือพี่น้อง............เราคงเป็นได้แค่คนรู้จักกันเท่านั้น.........

                       ถึงแม้ว่าตลอดระยะเวลาที่เราคบกันมา..........ผมจะเตรียมใจเอาไว้มาตลอดว่า เราจะต้องจากกันเมื่อเวลานั้นมาถึง...........แต่ลึกๆแล้วผมไม่ได้อยากจะเสียเค้าไปเลยสักนิด...........แม้ว่าเค้าจะมีส่วนแย่ๆอยู่บ้าง แต่ผมก็รักเค้าและรับในข้อเสียของเค้าได้...........อีกทั้ง เค้าเป็นคนแรกของผม และถ้าเลือกได้ ผมไม่อยากจะมีความรักหลายๆครั้ง..........เมื่อเราเจอกับคนที่คิดว่าใช่แล้ว.........มันก็ไม่ใช่เรื่องจำเป็นที่เราจะต้องนึกอยากจะเปลี่ยนหรือมองหาคนใหม่มาแทนที่............เพื่อนผมหลายคนมองว่านัทยังไม่คู่ควรกับผมด้วยวัย และสถานะทางสังคม...........ถึงเค้าจะไม่ได้เหมาะสมกับผมมากที่สุด........แต่ผมคิดว่าคนแบบเค้าไม่ได้หาได้ง่ายนัก...........และเค้าก็ดีที่สุดแล้วสำหรับผม.........ต่อให้มีคนที่ดีกว่านัทมาให้เลือกในตอนนี้...............ผมก็จะยังคงเลือกนัทอยู่ดี.............

                         แล้วทำไมเรื่องของเรามันต้องลงเอยแบบนี้ด้วยนะ...........แถมยังเป็นการลงเอยที่รวดเร็วจนตั้งตัวแทบไม่ติด..............ผมเคยคาดการณ์เอาไว้ว่า อย่างน้อยๆเราน่าจะเลิกกันตอนที่นัทไปทำงานในช่วงเดือนพฤษภาคม............แต่นี่มันเพิ่งจะปลายเดือนกุมภาพันธุ์เท่านั้น......เวลาของความสุขมันมักจะสั้นเสมอจริงๆ..........


                          แสงจากภายนอกหน้าต่างค่อยๆสลัวลงเรื่อยๆ.............ผมผงกหัวขึ้นจากหมอน หันมองดูสิ่งต่างๆรอบตัว..........นี่เผลอหลับไปนานแค่ไหนก็ไม่รู้...............สมองของผมไม่รับรู้แม้กระทั่งความหิวหรือเวลาที่ล่วงเลยไป................ไม่คิดถึงนัท.............ไม่คิดถึงใครๆ................ภายในใจมีแต่ความว่างเปล่า............สลับกับการหมกมุ่นและจดจ่ออยู่แต่กับความทุกข์ของตัวเอง...................ผมไม่ได้รอโทรศัพท์จากนัท............ไม่ได้คิดคาดเดาอะไรทั้งสิ้น ว่าตอนนี้เค้าอยู่ที่ไหนและกำลังทำอะไรอยู่...............เพราะผมคิดแต่เพียงว่า...........ทุกอย่างจบสิ้นลงแล้ว.............ป่วยการที่จะมานั่งรอคอยความหวัง............เพราะฉะนั้นจึงปล่อยให้ใจจมดิ่งไปสู่ภวังค์แห่งความทุกข์แต่ถ่ายเดียว..............


                         ผมสลัดผ้าห่มออกจากตัว ก่อนจะยันกายลุกขึ้นเดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อรินน้ำมาดื่ม..............น้ำเย็นจากแก้วถูกเทไหลผ่านลำคอที่แห้งผาก............ผมพยายามกลืนมันลงไปด้วยความยากลำบาก..........ก่อนจะเดินโซเซกลับมานอนที่เตียงต่อ................

                        ตั๊บแก๊ๆๆ..........เสียงโทรศัพท์จากหัวเตียงดังกระชากผมให้สะดุ้งขึ้นมาจากที่นอนอีกครั้ง.............ผมค่อยๆเลื้อยตัวไปตามที่นอนเพื่อหยิบโทรศัพท์มาดูว่าใครจะเป็นเหยื่อผู้โชคร้ายในค่ำวันนี้ของผม...........มาได้เวลาเหมาะเหม็งจริงๆ..........กำลังอยากหาที่ระบายอยู่พอดี...........

                        “ฮัลโหล พี่กั้งทำอะไร”..............เป็นนัทนั่นเอง.............เค้าคงจะคิดห่วงกระมังว่าผมอาจจะคิดสั้นฆ่าตัวตายเหมือนในละครทีวี..................
                       
                        “ไม่ได้ทำอะไร นอนเพิ่งตื่น......... เก็บของเสร็จแล้วเหรอ”..............ผมยังมีแก่ใจถามไถ่เรื่องเก็บของ............บางทีนัทคงจะกลับบ้านพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้...............แต่จะกลับวันไหนก็มีค่าเท่ากัน............เพราะถึงยังไงก็กลับอยู่ดี...............

                         “ไม่ได้เก็บแล้ว.........ไม่กลับแล้ว”..............ผมสบัดหัวสองสามทีเพื่อเรียกสติที่เงื่องหงอยกลับคืนมาอีกครั้ง...............นี่ผมคงไม่ได้หูฝาดไปใช่มั้ยเนี่ย...........ตกลงว่านัทไม่ได้กลับแล้ว.............ดีใจที่สุดในโลกเลย...........เย๊...............คิคิ..............

                       “อ้าว ทำไมล่ะ”...........ถึงยังไงก็ยังทำเป็นข่มน้ำเสียงเอาไว้ ไม่ให้สั่นระริกจนออกนอกหน้า............ถึงเค้าจะทำความดีไถ่โทษไปแล้ว...............แต่ผมก็ยังโกรธเค้าอยู่ดี โทษฐานที่ทำให้ตกใจจนแทบสิ้นสติเมื่อตอนบ่ายที่ผ่านมานี้.......

                        “ขี้เกียจขนของหลายที...........อยู่นี่ดีกว่า.........ค่อยขนทีเดียวตอนไปทำงานเลย”...........เห็นมั้ย บอกแล้วก็ไม่เชื่อ............มันน่าตีนัก...........ผมไม่รู้ว่านี่เป็นการตัดสินใจของนัทเองโดยที่เค้าเอาผมไปชั่งน้ำหนักรวมกับเหตุผลอื่นๆด้วยหรือไม่...............หรืออาจจะเป็นความเห็นของที่บ้านของนัทก็ได้.................แต่จะยังไงก็ตาม............สรุปแล้วก็คือไม่กลับ...........เป็นอันแฮปปี้..........

                       “แล้วเรื่องงานล่ะ..........ยังจะหาอีกมั้ย”............ผมยังไม่นอนใจเรื่องนี้..........บางทีนัทอาจจะยังแน่วแน่กับเรื่องที่จะหางานอีกก็ได้............แต่เจอตั้งสองยกทั้งที่โรงพยาบาลกับที่คลินิก......น่าจะถอดใจไปแล้วมั้ง.............

                        “ไม่หาแล้ว...........อยู่เฉยๆให้พี่กั้งเลี้ยงดีกว่า”..........นัทไม่วายพูดติดตลก............แต่ถึงจะจริงผมก็ไม่เห็นจะสน.........แฟนคนเดียวทำไมจะเลี้ยงไม่ได้ (ถึงนัทจะกินจุเท่าคนปกติสองคนก็เถอะ).....

                         “ได้สิทำไมจะไม่ได้ล่ะ”.........ผมเออ ออ ด้วยความดีใจ..............นัทคงไม่รู้หรอกว่า.....ผมทำเพื่อเค้าได้ทุกอย่าง.........บางครั้งเรื่องผมจัดลำดับให้เรื่องของนัทมาก่อนของของผมเองด้วยซ้ำ.........นัทเคยถามผมเล่นๆว่า......

                        “พี่กั้งมาคบกับนัทแล้ว...ชีวิตพี่กั้งเปลี่ยนไปยังไงบ้าง”.............ผมทำท่าคิดนิดหนึ่งก่อนจะบอกว่า...........

                       “ก็ใช้เงินเปลืองขึ้น.........และก็มีเวลาทำงานน้อยลง”
                       “แป่ว” นัททำเสียงล้อเลียน..........อิอิ..........ความจริงก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก.........ถ้าเป็นเรื่องเงิน.........นัทไม่เคยขอผมใช้สักบาทเดียว...........และผมก็ไม่เคยให้เค้าด้วย.........โดยมากผมก็จะช่วยออกค่ากิน ค่าเที่ยวให้บ้างตามสมควร...........เพราะเค้ายังเด็กอยู่ ไม่มีเงินทองมาจับจ่ายอะไรมากมาย..........และผมมองแล้วว่าเค้าไม่ใช่คนที่จะอยากได้ใคร่ดีในของๆคนอื่น.........

                        ส่วนเรื่องเวลาการทำงานที่มีน้อยลง..........มันก็มาจากความปรารถนาของผมเอง.......ที่พยายามจะทำตัวว่างสำหรับนัทเสมอ..........ผมแทบจะไม่มีคำว่าไม่.............สำหรับนัท...........และด้วยทั้งสองเรื่องนี้ ผมก็ไม่เคยเอามาทวงเป็นบุญเป็นคุณอะไรกับนัททั้งสิ้น.............เพราะมันมาจากความสมัครใจของผมเองทั้งนั้น.........ตรงกันข้าม ถ้านัทไม่รับความปรารถนาดีจากผม..........ผมคงจะเสียใจมากกว่า............

                        แม้เค้าอาจจะไม่รู้ใจผมว่า คิดต่อเค้าอย่างไร..............แต่ผมก็อยากให้เค้ารู้สึกด้วยใจเองว่า เค้าเป็นทุกๆอย่างที่ผมมีในชีวิตตอนนี้............ขอเพียงแต่เค้าทำตัวดีๆให้ผมได้สบายใจบ้างก็พอ.............
                        “นัทหิวข้าวแล้ว พี่กั้งมารับหน่อย”...........สงสัยจังว่าผมมีลูกหรือแฟนกันแน่เนี่ย...........
                        “รอก่อนนะ..........เดี๋ยวพี่เปลี่ยนเสื้อผ้าแป๊บเดียว แล้วจะรีบออกไปรับ............เออ....แล้ววันนี้จะมานอนนี่ป่าว”........ผมยังไม่วายถามเรื่องสำคัญ.............ไม่ใช่ว่าอยากจะชวนมาทำอะไรๆหรอกนะ.........แต่อยากจะอยู่ด้วยอ่ะ........หุหุ..........ก็นอนคนเดียวมันหนาวจะตายนี่นา...........เวลาที่มีนัทมานอนด้วย.......หากผมตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วหันไปมองเห็นนัท.............ผมจะรู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก..........จริงๆแล้วผมอยากให้นัทอยู่ในสายตาตลอดเวลาด้วยซ้ำไป............แต่ก็ทำไม่ได้อย่างว่า.........ดังนั้นก็ขอแค่เพียงมีเค้าในเวลานอนก็พอ.............

                          “อืม” นัทรับคำ.............ผมจึงรีบวางสายแล้วเดินไปเลือกเสื้อผ้าในตู้ออกมาลอง..........วันนี้อยากจะดูดีเป็นพิเศษหน่อยนึง............เพื่อฉลองให้กับความสมหวัง ที่ตามมากอบกู้สถานการณ์ได้ทันเวลาพอดิบพอดี...............ความรักนี้ก็แปลก มันช่างมีพลังเหลือหลาย...........จะทำให้คนเป็นก็ได้ จะทำให้คนตายก็ได้...........ที่แน่ๆ มันทำให้คนที่นอนซมอยู่เมื่อสักครู่นี้ กลับกลายเป็นคนกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา ราวกับเป็นคนละคน..............แต่ถึงยังไงผมก็ยังรู้สึกดีที่ได้รักเค้า.............รู้สึกดีจริงๆ.............
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 06-08-2007 09:02:37
ขอโทษนะครับที่มาๆหายๆ ลักปิดลักเปิด..............เขียนทุกวันบางทีความคิดมันตัน............รู้สึกเหมือนมันขาดรายละเอียดยังไงก็ไม่รู้...............ยังไงจะพยายามมาลงให้ถี่ขึ้นนะจ้ะ...........
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 06-08-2007 09:11:35

ช่างเป็นเช้าวันจันทร์ที่สดใสที่สุด  วันนี้ทำงานสู้ตายยยยยยย


นัทเอ๊ย ชื่นใจจริงๆๆๆๆๆว่ะ


o13 o13 o13

 :o8: :o8: :o8:

 :m9: :m9: :m9:

หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 06-08-2007 09:23:28
ลุ้นโอเวอร์...............อุอุ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 06-08-2007 16:01:56
แล้วพี่กั๊งก็ไม่ต้องนอนหนาวคนเดียว  :a2:  :a2:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 06-08-2007 19:30:00
ทำไมนัทเปลี่ยนใจหว่า รึจะมีวาระซ่อนเร้น  :a5:  :a5:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 07-08-2007 10:36:53
                         “แก..............ไอ้ตุ้ยมันจะขึ้นไปเชียงใหม่อาทิตย์หน้า..........ฉันฝากแกเทคแคร์มันหน่อยนะ”..........เดียว.......เพื่อน(เกย์)สุดที่รักของผมโทรมาฝากฝังคนที่หล่อนชอบประกาศต่อใครๆว่ารักนักรักหนา...........แม้ปากจะว่ารัก แต่ผมก็ยังเห็นหล่อนเที่ยวตลอนๆไปกับผู้ชายคนอื่นไม่เคยขาด...........ก็ไม่รู้ว่าความรักของหล่อนเป็นความรักประเภทไหนกันแน่............ไม่เข้าใจเลยจริงๆ........

                         “ถึงฉันจะไปกับคนอื่น แต่ฉันก็รักมันที่สุด”...........นี่คือเหตุผลที่เดียวยกมาแก้ต่างในยามที่ผมหาเรื่องตำหนิในนิยามคำว่ารักตุ้ยของหล่อน.............

                        “แล้วมันจะมาทำอะไรล่ะ”.....ผมถามกลับ.....อันที่จริงตุ้ยเคยขึ้นมาเชียงใหม่หนหนึ่ง เมื่อปีที่แล้ว..........ตอนนั้นผมไม่ได้ไปเทคแคร์อะไรมากมาย เพราะเค้ามากับเพื่อนๆ เพื่อนำเสนอผลงานวิจัยซึ่งจัดโดยบัณฑิตวิทยาลัยแห่งประเทศไทย................ตกเย็น...เค้านัดผมไปทานข้าวที่ร้านแห่งหนึ่งไม่ไกลจากโรงแรมที่พักมากนัก...............ในครั้งนั้นผมพาน้องพรไปเป็นเพื่อนด้วย (เหมือนเดิมอีกแล้ว).............จึงไม่วายโดนตุ้ยค่อนขอด.............
 
                         “พามาเป็นไม้กันหมาล่ะสิ”...........หึ.........ก็แล้วยังไงล่ะ............ใครจะไปสน................


                         “เห็นว่าจะไปกับที่ทำงาน........ถ้ามันโทรหาแก.....แกก็พามันไปเที่ยวหน่อยละกัน”.........ตอนนี้ตุ้ยจบปริญญาโทแล้ว และก็ทำงานเป็นนักวิจัยต่อที่มหาวิทยาลัย...........ดูท่าทางเดียวจะเป็นห่วงเป็นใยผู้ชายคนนี้ซะเหลือเกิน.............ทั้งๆที่ความจริงหล่อนก็เลิกรากับเขามาตั้งนมนานเป็นแรมปีแล้ว...........

                         “ได้สิ.......ฉันจะคอยเทคแคร์ให้ถึงใจเลยทีเดียว”..........ผมแกล้งเน้นเสียงตรงคำว่าถึงใจเพื่อตอกย้ำถึงความลึกซึ้งในความหมาย เพราะรู้ว่าเดียวระแวงเรื่องผมกับตุ้ยมาโดยตลอดตั้งแต่อดีตจนกระทั่งปัจจุบัน.............ทั้งๆที่ความจริงนั้นไม่มีอะไรในกอไผ่อย่างที่หล่อนคอยระแวงเลยแม้เพียงกระผีกเดียว.............

                          “ก็ลองดูซิ ฉันจะได้ขึ้นไปยิงให้ตายด้วยกันทั้งคู่........ฉันไม่มีความสุขแกก็อย่าหวังว่าจะได้มีความสุข”...........หล่อนกระแทกเสียง ทำท่าเง้างอน.............ความจริงเราสองคนชอบพูดเล่นกันแบบนี้เสมอๆ...........และผมก็มองว่าเป็นเรื่องขบขันมากกว่าจะคิดจริงจัง...........ด้วยผมรู้ว่าเพื่อนย่อมต้องมาก่อนผู้ชายอยู่แล้ว...............

                         “ถ้ามันโทรมา ฉันถึงจะไป.........ถ้ามันไม่โทรก็คงแล้วแต่”..........ผมกล่าวทิ้งท้ายก่อนจะวางสายไป................

                         แปลกเหลือเกินที่คราวนี้เดียวไม่เอ่ยปากขอให้ผมยกเว้นผู้ชายคนนี้อย่างที่เคยทำเหมือนครั้งก่อนๆ.................หล่อนคงเหนื่อยหน่ายที่จะพูดแล้วกระมัง..................และผมเองก็ชอบทำเป็นเล่นซะจนติดนิสัยเสียด้วยสิ...............

                          ตุ้ยเข้ามาในสารบบของผมเมื่อนานมาแล้ว..............นับตั้งแต่สมัยที่ผมเรียนปริญญาโทอยู่ที่กรุงเทพฯ..........ในตอนนั้นเดียวทำงานอยู่ที่นครปฐม...................

                         “ฉันมีแฟนแล้ว..........เค้าเรียนปริญญาโทที่ศิลปากรชื่อตุ้ย” ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เดียวจะบอกว่ามีแฟน.............หากหล่อนบอกว่าไม่มีแฟนนี่สิ จึงจะเป็นเรื่องแปลกของจริง...........

                        “ว่างๆแกมาเที่ยวนครปฐมสิ ฉันจะได้แนะนำให้รู้จัก”.............เดียวยังคงสาธยายถึงตุ้ยต่อด้วยความภาคภูมิ............ปกติหล่อนก็มักรำพึงรำพันถึงผู้ชายที่หล่อนคบว่าดีเลิศให้ฟังอยู่เสมอๆ.......เป็นที่น่าแปลกอย่างหนึ่งคือ เดียวจะชอบกล่าวชื่นชมผมให้บรรดาผู้ชายของหล่อนฟัง......จนเค้าอยากจะเห็นตัวจริงของผมไปตามๆกัน (แล้วหล่อนก็มาทำเป็นหึงในภายหลัง เชอะ).......ตอนนี้ผมเองก็ชักอยากจะเห็นหน้าผู้ชายที่ชื่อตุ้ยคนนี้ซะแล้วสิ ว่าจะวิเศษสักแค่ไหนกันเชียว.............ว่าแล้วก็เก็บกระเป๋าไปนครปฐมดีกว่า.................


                          สุดสัปดาห์ต่อมาผมก็ไปโผล่ที่นครปฐมตามที่ได้นัดหมาย (ไม่ได้จะไปแย่งของเพื่อนนะ แค่จะไปดูเฉยๆ หุหุ)...............ตกเย็น เดียวก็นัดให้ตุ้ยพาพวกเราออกไปทานข้าว และฟังเพลงท่องนครปฐมในยามราตรี.................เมื่อแรกที่พบ.........ตุ้ยไม่ใช่ผู้ชายในสเป๊กของผมเลย...........เค้าเป็นคนตัวเล็ก.......รูปร่างผอมดำแบบคนนครปฐมแท้ๆ..........แต่จะว่าไปแล้วหน้าตาของเค้าก็ดูคมคายไม่เลว...........ที่สำคัญ.......ตุ้ยมีวาจาเป็นเลิศอย่างหาตัวจับได้ยาก........จึงไม่แปลกเลยที่เดียวจะหลงจนโงหัวแทบไม่ขึ้น..........ลูกล่อลูกชนจัดว่าแพรวพราวชั้นเซียน.........พูดจาสำบัดสำนวนเชือดเฉือนบาดใจ...........และผมเองก็จัดอยู่ในจำพวกที่ชื่นชอบการต่อปากต่อคำกับผู้ชายเป็นชีวิตจิตใจซะด้วยสิ............เพราะฉะนั้นตุ้ยจึงถูกใจผมแม้จะไม่ใช่สเป็กก็ตาม........

                           ตุ้ยค่อนข้างจะแสดงออกชัดเจนว่าชื่นชอบผม..............แต่ผมไม่ได้คิดว่าเป็นเพราะความพิเศษเลิศเลอเหนือคนอื่นของผมแต่อย่างใด............เค้าก็คงแค่แสดงออกตามประสาคนกะล่อน เจ้าชู้ไก่แจ้ไปตามเรื่องตามราว........อย่างไรก็ตาม นับแต่บัดนั้น เราสองคนก็ยังคงเล่นหมาหยอกไก่กันเรื่อยมา...........

                           เดียวไม่มีทางรู้ว่าที่แท้แล้วผมคิดยังไงกับตุ้ยกันแน่.............แต่ผมคิดว่าตุ้ยรู้ดีที่สุดว่าผมซื่อสัตย์ต่อเพื่อนมากแค่ไหน............จากเหตุการณ์ในครั้งสุดท้ายที่เราพบกัน..........ตุ้ยคงจะได้บทเรียนสอนใจว่า........เกย์บางคนก็ไม่ได้ใจง่ายเสมอไปเหมือนอย่างที่เค้าคิด.............และผมก็จะไม่แก้ตัวกับเดียวให้เปลืองน้ำลายถึงเรื่องนี้อีกด้วย..............

                           เหตุการณ์ครั้งนั้นเกิดขึ้นเมื่อเดียวเลี้ยงฉลองรับปริญญามหาบัณฑิตของหล่อน.............ผมลงมาจากเชียงใหม่ (ตอนนั้นนัทยังเป็นลมเป็นแล้งที่ไหนก็ไม่รู้).............และตุ้ยก็มาจากนครปฐม.............

                             พวกเราไปดื่มฉลองกันที่ร้านแถวย่านอตก. เจ้าประจำ..............วันนั้นตุ้ยเมามาก........จากอาการผมมองว่าเค้าคงจะอกหักมาจากใครบางคน............และคิดว่าเดียวก็คงจะรู้............เพราะตอนนี้สถานะของหล่อนกับตุ้ยกลับมาคลุมเครือไม่ชัดเจนเหมือนดังในอดีต................

                           ผมเองก็ยังคงแสดงบทบาทแบบเดิมๆ..........คือเข้าไปคลอเคลียเทคแคร์ตุ้ยต่อหน้าเพื่อนสาว............ซึ่งหล่อนก็ยังคงเก็บอาการเอาไว้ไม่ไหวติง.............น่าแปลกที่เดียวมักจะโดนเพื่อนๆคนอื่นๆแกล้งทำท่าจะแย่งแฟนแบบนี้เสมอๆ..........คงเป็นเพราะหล่อนมีความสามารถกว่าใครๆกระมัง...........หล่อนสามารถจิกผู้ชายได้ไม่เคยซ้ำหน้า...........ในขณะที่เพื่อนคนอื่นๆเรตติ้งร่วงลงเหวไม่เป็นท่า.............การได้แกล้งทำทีว่าจะแย่งของหล่อนจึงเป็นเรื่องสนุกและท้าทายไม่น้อย.............

                          เราโซซัดโซเซกลับมานอนที่ห้องหลังจากที่เมากันจนหัวราน้ำ............เดียวแถไปนอนที่โซฟาทันทีเมื่อมาถึง.............ในขณะที่ผมกลับไปหาผ้าชุบน้ำเย็นมาเช็ดตัวให้ตุ้ย.................ทำไมผมถึงทำแบบนี้.........เป็นสิ่งที่หาคำตอบไม่ได้.............ผมลืมแม้กระทั่งจะนึกถึงจิตใจของเพื่อน ทั้งๆที่หล่อนประกาศว่ารักเค้าอยู่ปาวๆ............นี่ผมเล่นจนชักจะเลยเถิดไปแล้วหรือไร...........ผมชอบแฟนเพื่อน..........หรือว่าผมทำไปเพราะอะไร................ผมไม่รู้.......


                          เดียวออกไปทำงานแต่เช้าตรู่โดยไม่ได้ร่ำลา.........ตุ้ยไม่ยอมตื่นกลับไปพร้อมกับหล่อน...........ผมจึงถูกทิ้งไว้ที่ห้องกับเค้าเพียงลำพัง...................จวบจนตะวันลอยโด่ง...............ผมตื่นขึ้นมาจึงพบว่าตอนนี้มีแค่ผมกับตุ้ยอยู่ในห้องเพียงสองต่อสอง..........เมื่อเหลือบไปมอง ก็เห็นตุ้ยนอนมองมาที่ผมก่อนอยู่แล้ว.............หัวใจผมหล่นวูบลงทันที................นี่เป็นครั้งแรกที่เราสองคนได้อยู่ด้วยกัน................หลังจากที่เล่นล่อเอาเถิดกันมาเป็นเวลานาน.............

                          “พี่กั้ง...........” ตุ้ยเรียกผมเบาๆ............บรรยากาศเริ่มชวนอึดอัด................
                          “ทำไมไม่รีบไปอาบน้ำแต่งตัวไปทำงาน..........หรือว่าจะไม่ไปแล้ว”............ผมแกล้งทำเป็นใจดีสู้เสือ...............
                           “ไม่ไปอ่ะ............ตุ้ยจะอยู่กับพี่กั้ง.............ตอนนี้มีแค่เราเพียงสองคนนะ”............ตุ้ยขยับตัวเข้ามาประชิด............ทำตาหวานเยิ้ม................อีกทั้งพยายามจะยกขามาก่าย............การได้อยู่ด้วยกันในภาวะคับขันแบบนี้ ทำให้ผมได้รู้ว่า..............ผมไม่ได้ชอบเค้าเลย...............ไม่แม้สักนิดเดียว.....

                            “จะทำอะไร............” ผมถามเหมือนคนโง่.............เป็นไงล่ะกั้ง.........เวลาอยู่ข้างนอกอยากจะทำเป็นปากดีกับเค้าดีนัก.............พอเจอของจริงถึงกับสั่นเลยหรือ.............

                           ผมพยายามหาเรื่องคุยเพื่อเรียกสติของตุ้ยคืนมา..................ก่อนที่เค้าจะคิดทำอะไรลงไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบ.............พลันสมองผมก็สั่งงาน............ไม่มีเรื่องไหนจะทำให้เค้าหมดอารมณ์ได้ดีกว่าการแกล้งทำเป็นปรึกษาเรื่องความรัก...............

                           “เมื่อคืนไม่น่าเจอเก้งเลย...........คนเลว..........เค้าหลอกพี่มาตลอด”...........ผมแกล้งทำเป็นพล่ามถึงเก้งแฟนเก่า ที่บังเอิญโคจรมาเจอกันเมื่อคืนโดยไม่ได้นัดหมาย............

                          ได้ผลจริงๆ.............ตุ้ยพลิกตัวกลับไปนอนหงายอีกครั้ง.............ผมได้ยินเสียงถอนหายใจของเค้าดังมาแผ่วเบา............

                           จากนั้นตุ้ยจึงกลายเป็นศิราณีจำเป็นให้ผมอย่างช่วยไม่ได้..............แต่เหตุการณ์ก็ไม่ได้เป็นไปได้เนิ่นนานอย่างที่หวัง..........หลังจากที่ผมหมดมุขจะคุยแล้ว..........ตุ้ยก็ขยับตัวเข้ามาประชิดอีกครั้ง............

                           “เรามาทำอะไรหนุกๆกันเถอะ”............เค้าเอ่ยปากชวน............อะไรที่ว่าหนุกๆ...........จะบ้าเหรอ..............ผมพยายามปัดป้องมือที่เกาะเกี่ยวของเค้าเป็นระวิง....ก่อนจะยื้อยุดค้างเอาไว้กลางอากาศเหมือนคนใช้กำลังภายในต่อสู้กัน.........

                           “ฟังนะ...........ถ้าเรามีอะไรกันแล้วความสัมพันธ์ของเราจะไม่เหมือนเดิม...........ตุ้ยอยากให้เป็นแบบนั้นเหรอ..........พี่ว่าเราเป็นพี่น้องกันก็ดีอยู่แล้วนะ”.............ผมพยายามให้เหตุผล........ไม่ใช่ว่ากลัวจะโดนปล้ำ.............แต่ผมอยากให้มันลงเอยแบบบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่นมากกว่า.........


                            เมื่อเห็นเค้านิ่งไป..........ผมจึงได้ทีว่าต่อ.........
                            “พี่อยากให้เราเป็นพี่น้องกัน..........พี่รักตุ้ยเหมือนน้องคนหนึ่ง.......อย่างต้องให้มันเปลี่ยนไปเลยนะ”................ในที่สุดตุ้ยก็ยอมแพ้..............เราจึงนอนคุยต่อกันด้วยเรื่องทั่วไป.......สักพักเค้าก็ขอตัวไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า..............

                           หลังจากที่ตุ้ยเก็บข้าวของเสร็จแล้วผมจึงเดินตามมาส่งเค้าที่ประตู.............
                           “พี่กั้งหวัดดีครับ”............ตุ้ยยกมือไหว้ผมก่อนจะบอกลา...............มันเป็นการแสดงออกที่เหนือความคาดหมาย............ถึงตอนนี้ตุ้ยคงรู้แล้วว่า แท้ที่จริงแล้วผมเป็นคนอย่างไร.............การที่เค้าไหว้ผมมันเป็นการแสดงออกถึงความยอมรับในฐานะพี่.............ทั้งๆที่เมื่อครู่เค้ายังพยายามจะเปลี่ยนให้ความสัมพันธ์ของเราเป็นอย่างอื่นอยู่แท้ๆ...............

                         ผมดีใจที่เรื่องระหว่างเราสองคนจบลงอย่างสวยงาม............ความสัมพันธ์แบบพี่น้องยั่งยืนที่สุด........ถ้าเค้าไม่ได้คิดว่าจะรักผมจริงๆ...........ก็อย่าได้ทำลายความสัมพันธ์ที่ดีดังกล่าวลงเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบนั่นเลย............ผมปิดประตูด้วยความรู้สึกโล่งใจ............จากวันนี้ไป ระหว่างตุ้ยกับผมถือว่าชัดเจนแล้ว...........แม้เราจะพูดเล่นกันแบบเดิมที่เคยทำ..........แต่เราสองคนต่างรู้ว่า............ระหว่างเราคืออะไร...........

                          ขณะที่ผมกำลังดื่มด่ำกับการเรียนรู้ตัวเองอยู่นั้น............เสียงเรียกจากโทรศัพท์ก็ปลุกผมให้ตื่นจากภวังค์..............ไม่ต้องบอกก็พอจะเดาออกว่าเป็นใคร.........

                         “ฮัลโหล.......ไอ้ตุ้ยกลับไปรึยัง”...........เป็นเดียวนั่นเอง............หล่อนคงไม่สบายใจนักที่ต้องทิ้งให้ผมอยู่กับตุ้ยสองต่อสองแบบนี้..............

                         “กลับไปนานแล้ว ขอบคุณนะที่ปล่อยให้ฉันกับเค้าได้มีเวลาสวีทกัน อิอิ”.......ผมยังไม่วายกระเซ๊า.............ป่านนี้ไม่รู้ว่าหล่อนจะเคืองผมไปถึงไหนต่อไหน............นี่หล่อนจะรู้น้ำใจเพื่อนของหล่อนหรือเปล่านะว่า.........เพื่อนไม่เคยคิดจะทำร้ายเพื่อนจริงๆหรอก..........เพียงแต่ชอบหยอกเล่นเพราะว่ารักเพื่อนก็เท่านั้น...........ถึงแม้จะเลยเถิดไปบ้างก็อโหสิกรรมให้เพื่อนก็แล้วกัน...........ถึงไม่มีฉัน มันก็ไปคว้าคนนั้นคนนี้ให้มั่วไปหมด.............แกอย่าได้ไปเสียดมเสียดายมันเลย...........ตอนแกตายมันก็คงหายไม่เห็นหัว...........ก็จะมีแต่เพื่อนคนนี้นี่ล่ะ ที่จะไปเผาศพแกเป็นคนแรก..........................
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 07-08-2007 12:40:37

ตุ้ยจะมีเรื่องมาให้ยุ่งยากมั๊ยหน๊อ    o12 o12

วันนี้ไม่มีฉากนัทเลยอ่ะ ฉากหวีตๆอ่ะไม่มีบ้างเหยอ   :m21: :m21:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 07-08-2007 19:23:45
ตุ้ย  :a5:  :a5: จะมีบทสำคัญมั๊ยเนี่ย  :a1:  :a1:  :a1:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 08-08-2007 12:43:02

อย่าลืมนะ ฉากหวีตๆ อ่ะ   :m13: :m13:

อืม...ว่าแต่จะมีหรือเปล่าหว่า    :m17: :m17:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 08-08-2007 13:43:39
คิดแต่เรื่องพวกนี้นี่นะ.........สัปดน
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 08-08-2007 16:28:45

อาเย้ยยยย.....ผมไม่ได้คิดอายายยยยยยยยย....      :a6:  :a6:   o22

ผมหมายถึง นั่งคุยกันจุ๋งจิ๋งๆอ่ะ  แบบว่าโรแมนติกอ่ะอยากรู้ว่านัทเค้าน่ารักยังไงบ้าง ประมาณเนี้ย เจงๆ  :m23: :m23:

แต่ไหนๆก้อไหนๆแย้ว  แบบที่ว่าสักตอนก้อดี เหอๆๆๆๆ :m14: :m14:

ไปดู Emo นะมันมีอยู่ตัวนึงอ่ะ ... ผมล่ะอยากใช๊ อยากใช้ แต่เกรงจายยยยย  แห่ะ แห่ะ

นี่ก้อจะแข่งกีฬาแล้วไม่ใช่เหรอ  อย่าลืมนะ  ( แอบทวง ฮ่าๆๆๆ )




หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 09-08-2007 18:54:20
สองคนนี้เล่นอะไรกันเนี้ย  คุยกันแค่สองคน  :m12:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 09-08-2007 22:55:25

แห่ะๆๆ  เจ๊ครับ  ก้อส่วนใหญ่มาอัพกันตอนมืดๆ ผมติดทำโปรเจคอ่ะครับ  ( แก้ตัว ) :m29: :m29:

พอดีคุณกั้ง เค้ามาอัพตอนเช้าอ่ะครับ ตอนที่ผมอู้งานก้อเข้ามาอ่านอ่ะครับ (แอบหัวหน้าอ่าน แห่ะๆ   :m22:)

ว่าแล้วทวงซะเลย....   กลับไปต่อทู้ตัวเองด้วยนะคร๊าบ  ติดอู้ซินโดรม มาจากรอยเหยอ...หุ หุ

เด๋วรอผมทำโปรเจค 2 ตัวนี้เสร็จ ผมจะบุกทู้เจ๊อ่ะ   :a2: :a2: :a2:

    o14       o14       o14
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 10-08-2007 09:22:39
วันนี้ไปรับเสด็จวันวิทย์อ่ะ อาทิตย์หน้าไปเป็นวิทยากรที่ ตจว. ขอมาต่อวันพฤหัสนะครับ .............ขอโทษนะ ผิดคำพูดจนได้......เฮ้อ........
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 10-08-2007 16:42:04
รอจ๊ะ  :undecided:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 10-08-2007 21:12:49

จะรอนะครับ     :m19:

ไป ตจว ขับรถดีๆนะครับ  ทางที่ดีควรพักผ่อนให้เต็มที่ เตรียมรถ

เตรียมตัวให้ดีเพราะว่าแวะพักที่ปั๊มก้อ ไม่ค่อยปลอดภัยนะครับ     :bye2:


หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 11-08-2007 05:09:20
รับทราบจ้า  :m12:  :m12:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 13-08-2007 22:44:38
นัทก็ยังห่วงอนาคต ต้องค่อยๆเป็นค่อยๆไป
 :a11: :a11: :a11:

ส่วนตุ้ยก้อดีแล้ว เด่วจะมาลำบากใจทีหลัง
 :a9:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 15-08-2007 12:27:47
อ๊ะ  :o

หายหัวไปไหนไม่ยักกะรู้เรื่องเลย

สู้ๆ

หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 17-08-2007 09:45:53
                         “ตุ้ยจะขี้นมาเชียงใหม่อาทิตย์หน้า” ............ผมบอกนัทในระหว่างที่เราสองคนกำลังนั่งทานข้าวเย็นด้วยกันที่ห้อง................ตั้งแต่นัทไม่มีเรียนและไม่ได้ทำงานพิเศษอย่างที่เคยตั้งความหวังเอาไว้ในตอนแรก.............เราสองคนก็เลยมีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้นกว่าแต่ก่อน...........ในบางครั้งนัทจะมาค้างที่ห้องของผมติดกันหลายๆวัน โดยที่ไม่ออกไปไหนเลย.........ผมรู้สึกทั้งมีความสุขระคนกับพะวงเรื่องงานที่ยังคั่งค้างรอการสะสางอยู่............อย่างนี้เองกระมังที่เค้าเรียกว่าหลงแฟนจนยอมทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง.............จะเรื่องสำคัญแค่ไหนก็เถอะ.............แฟนย่อมมาก่อนเสมอ.............

                       “อ๋อคนที่พี่กั้งเคยเล่าให้ฟังว่าเป็นแฟนพี่เดียวน่ะเหรอ” .............ผมผยักหน้ารับ ก่อนจะทำเป็นยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัยด้วยความจงใจ..............นัทเคยได้ยินเรื่องตุ้ยจากผมมาบ้างแล้ว.............ข้อมูลของตุ้ยสำหรับนัทคือแฟนของเพื่อนที่แอบบมากิ๊กกับผม แต่ผมอาจจะเล่นด้วยหรือไม่เล่นด้วยนั้น.......ยังไม่เป็นที่ชัดเจนในตอนนี้..............

                       “พามาให้เจอบ้างสิ...........นัทอยากเห็น”............หุ...........อยากไปเป็นก้างขวางคอมากกว่าล่ะไม่ว่า.............แม้ว่าในตอนนี้ผมจะสบายใจในเรื่องพฤติกรรมของนัทขึ้นกว่าแต่ก่อน..............แต่ผมก็ยังมองว่านัทแสดงความรู้สึกต่อภายในใจที่มีต่อผม ออกมาไม่ถึงที่สุดอย่างที่ผมอยากจะเห็น.............โอกาสดีเหลือเกินที่ตุ้ยมาในคราวนี้.............ผมจะใช้เค้าเป็นเครื่องมือเพื่อกระตุ้นนัทอีกคำรบคงจะเข้าท่าไม่น้อย.........ฟังดูแล้วเหมือนผมเป็นคนร้ายกาจร้อยเล่ห์เจ้ามารยายังไงพิกล.............แต่ทั้งหมดนั้นก็ล้วนมาจากเพราะนัทนั่นแหล่ะที่ทำให้ผมต้องเป็นแบบนี้.........ก็มันไม่ง่ายเลย กับการที่จะต้องมารักกับคนที่มีความซับซ้อนในความรู้สึกอย่างเค้า..................เพราะฉะนั้นผมจึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้เค้าแสดงมันออกมา............ซึ่งแม้ว่าบางครั้ง มันอาจจะเป็นวิธีที่ไม่ยุติธรรมกับคนอื่นไปบ้างก็ตาม............

                        “เรื่องอะไร.........เค้าจะไปกันสองคน คนอื่นไม่เกี่ยว”...........ผมทำเป็นเบะปากเยาะเย้ย..........ก่อนจะยกถ้วยชามอาหารไปเก็บ...........นัทไม่ได้แสดงอาการหึงออกมาให้เห็นอย่างโจ่งแจ้ง.........แต่ผมรู้ว่าเค้ากำลังวิตกกับเรื่องนี้ไม่มากก็น้อยแหล่ะ................


                        “แล้วเค้าพักที่ไหนล่ะ”...............นัทยังไม่วายถามเรื่องตุ้ยต่อหลังจากที่ผมจัดการเก็บกวาดโต๊ะกินข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว.................
 
                      “ก็พักกับเพื่อนๆเค้าน่ะสิ ถามได้”...........ผมตัดบท ทำเป็นใส่ใจอยู่กับการเจียนมังคุดใส่จาน..........

                       “แถวไหนเหรอ”............นัทไม่ยอมหยุดคุยเรื่องนี้ง่ายๆอย่างที่คิด..............ผมเงยหน้าขึ้นมา หรี่ตามองไปที่นัท.........ได้ผลเกินคาดแฮะ............
                     
                      “ก็แถวมหาลัยนั่นแหล่ะ.............เอ.........ว่าแต่ว่าถ้าเค้าขอให้พี่นอนเป็นเพื่อนจะทำยังไงดีน๊า”............. ก็รู้อยู่หรอกว่าเค้าไม่ใช่เด็กๆที่จะไม่รู้ว่านี่เป็นการแกล้งยั่วให้โมโห...............แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ......คนเราเมื่อโมโหซะแล้ว ต่อให้รู้ว่าโดนแกล้งยั่วยังไง สุดท้ายแล้วก็ยังคงติดกับมีอารมณ์โมโหอยู่ดี................

                       “ก็ไปซะสิ ไปนอนกับเค้าเลย”.........นัททำเสียงประชด............


                         ผมวางมือจากการเจียนผลไม้ขึ้นไปนอนเล่นบนเตียงโดยที่ไม่ใส่ใจกับนัทอีก................เค้าจะรักผมหรือเปล่าผมไม่รู้...........แต่พฤติกรรมในตอนนี้มันแสดงออกถึงการเป็นเจ้าของ.............

                         “ถ้าพี่ไปอยู่กรุงเทพแล้ว พี่อาจจะลองคบกับตุ้ยดูก็ได้”…………ผมยังคงเดินหมากต่อ........เมื่อเห็นว่านัทกำลังจะหลุดความสนใจเรื่องนี้ไปมุ่งอยู่กับการกินผลไม้แทน............สงครามจิตวิทยานี่ช่างสนุกดีแท้...........

                          “คงมีคนเค้าเอาหรอก...........กลวงซะขนาดนี้แล้ว”...........นัททำเสียงเย้ยไม่ยอมลดราวาศอก.........ดูเหมือนคราวนี้เค้าจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นต่อขึ้นมาบ้างแล้ว............เชอะ...........เรื่องอะไรผมจะยอมแพ้ง่ายๆ...............

                          “ของอย่างนี้พอไม่ได้ใช้งาน มันก็กลับเข้าสู่สภาพเดิมของมันเองได้..............อีกอย่างถ้าพี่บอกใครต่อใครว่ายังบริสุทธิ์อยู่ เค้าก็ต้องเชื่ออยู่แล้ว........เพราะพี่ก็ดูเหมือนคนที่ยังบริสุทธิ์อยู่จริงๆ”...........ผมยักไหล่ .............ใครเค้าจะมานั่งสนใจว่าผมเคยผ่านใครมากี่คนบ้างแล้ว.............ก็ในเมื่อทุกวันนี้ใครๆเค้าก็เปลี่ยนแฟนกันอยู่โครมๆกันทั้งนั้น.........

                         “ก็ลองดูสิ.........นัทจะตามไปแฉให้หมดเลย”.............เชอะ............ทำยังกะจะมีปัญญา...........แค่จะให้ยอมรับว่าเป็นเกย์ยังไม่กล้าเลย................ที่ไหนจะกล้าไปบอกใครต่อใครว่าเคยมีอะไรกับผมมาก่อน............

                         “นัทจะมาสนใจทำไม............เดี๋ยวนัทก็จะไปทำงานแล้ว.............ถึงตอนนั้นเราก็ต้องเลิกกัน..............พี่ก็ต้องมีแฟนใหม่อยู่ดี”............ผมพูดไปตามที่คิดแบบนั้นจริงๆ.............แม้ว่าในใจจะยังมองไม่เห็นทางว่าจะมีโอกาสเจอแฟนใหม่อย่างที่โม้เอาไว้หรือเปล่า............

                        นัทพุ่งพรวดขึ้นมาบนเตียงอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย.............แล้วหันไปดึงผ้าห่มมาห่อตัวผมเอาไว้.................

                       “โอ้ย......อย่านะ จะบ้าเหรอ”.............ผมร้องห้ามพลางหัวเราะ
                      “ถ้ารู้ว่าพี่กั้งมีแฟนใหม่........นัทจะขึ้นมาฆ่าให้ตาย” นัทพูดขู่..............แต่ผมไม่เชื่อว่าเค้าจะรู้สึกหวงผมแบบนี้ไปตลอดเมื่อถึงเวลานั้นจริงๆ..............

                       “ปล่อยยยยยย..........พี่หายใจไม่ออก”............ผมโอดครวญ.............แต่ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ.............นัทหันไปคว้าสายไฟมามัดผมเหมือนห่อศพ................

                        “นี่ไง.............ปากดีนัก”...........นัทพูดพลางรัดเชือกให้แน่นยิ่งขึ้น................ผมพยายามดิ้นแต่เพียงเล็กน้อยพอเป็นพิธี..................ก็จะให้ทำอะไรได้มากไปกว่านี้ล่ะ............หรือจะทำเป็นนอนเฉยๆเหมือนศพให้เค้ามัดเล่นๆ...........

                         นัทขึ้นมานั่งทับตัวผมเอาไว้ จ้องหน้าอย่างผู้มีชัย..............ตัวหนักเป็นบ้า.............ความรู้สึกบางอย่างภายในของผมเริ่งพลุ่งพล่าน............เค้ากำลังจะทำให้ผมมีอารมณ์ปรารถนาขึ้นมาอย่างรุนแรง................

                           บางครั้งผมก็เคยถวิลหาเซ็กส์ในรูปแบบที่แตกต่างออกไปจากแบบเดิมๆ............แต่ก็ยังไม่เคยคิดเลยเถิดไปถึงขั้นจะมีความสัมพันธ์กับคนอื่นที่ไม่ใช่แฟนหรือการมีเซ็กส์หมู่อย่างที่เกย์บางคนต้องการเพื่อเติมสีสันสร้างความแปลกใหม่ให้แก่ชีวิต...........

                           ผมเพียงแค่อยากมีเซ็กส์กับแฟนของผมเพียงคนเดียว..............เพราะผมเชื่อว่า การมีเซ็กส์ที่เกิดจากความรัก มันเป็นสิ่งที่สวยงามและอบอุ่น...........แต่ถึงยังไงก็ตาม ความตื่นเต้นก็เป็นสิ่งที่ผมต้องการจากคู่รักด้วยเช่นกัน............และตอนนี้ผมรู้สึกว่านัทกระตุ้นมันได้ถูกจุดของผมโดยที่เค้าไม่รู้ตัว........ผมคิดว่าผมอาจจะชอบความรุนแรงอยู่หน่อยๆ...............ใครบางคนเมื่อนานมาแล้วเคยทำเช่นเดียวกันนี้กับผม..........และมันทำให้ผมรู้สึกมีความสุขลึกๆ.............

                          เค้าไม่ใช่แฟน..........และเราก็ไม่เคยมีอะไรกัน.............สถานะของเราเป็นเพียงแค่เพื่อนร่วมชั้นในสมัยปริญญาตรีเท่านั้น...............ในตอนนั้นผมคิดว่าเค้าชอบผม แต่การเป็นเกย์เป็นสิ่งที่ไม่น่าภาคภูมิใจและลี้ลับสำหรับคนในยุคนั้น.............

                         ทุกครั้งที่เจอกัน เราสองคนมักจะชอบหาเรื่องมาต่อปากต่อคำกันอยู่เสมอๆ...............และผมก็จะชอบพูดยั่วให้เค้าโมโห (งานถนัด) ด้วยการใช้วาจาเหน็บแนมเชือดเฉือนตามแนวถนัด .............ดังนั้นเค้าจึงตอบแทนผมด้วยการทำอะไรกับผมแรงๆ อย่างเช่นการบีบต้นแขนให้เจ็บจนเป็นรอยช้ำ หรือการกดด้วยหมอนและผ้าห่ม เป็นต้น...............แต่ผมกลับรู้สึกมีความสุขอยู่ลึกๆ...........และเค้าก็รู้ว่าผมชอบให้ทำแบบนั้น............

                         แน่นอนว่าผมก็เหมือนคนอื่นๆที่ไม่ชอบให้ใครมาทำอะไรให้เจ็บๆ.............แต่สิ่งที่เค้าทำนั้นมันไม่ใช่การทำร้ายร่างกาย............มันเป็นการกระทำที่พอดีๆ...........เจ็บไม่มาก.........แต่ก็เจ็บ....และรู้สึกดีพิลึก............ผมชอบที่ความเจ็บนี้เกิดมาจากการที่เค้าทนผมยั่วยุไม่ไหว..........เกิดมาจากความหมั่นเขี้ยวผสมกับความปรารถนาของตัวเค้าเอง.............

                         มีอยู่ครั้งหนึ่งเค้าเคยเปรยกับผมเล่นๆว่า “เราไม่ไปห้องนายสองต่อสองหรอก............กลัวห้ามใจไม่ไหว”.............เค้าจะห้ามใจเรื่องอะไร............งง..............ก็ตอนนั้นผมยังไม่รู้ประสานี่..............อิอิ…………..

                         จนผมมาเรียนต่อปริญญาโทที่กรุงเทพฯ จึงได้รู้ข่าวว่าเค้าจะแต่งงาน.................และผมได้เดินทางไปร่วมงานแต่งงานของเค้าพร้อมกับเพื่อนๆคนอื่นๆ.................

                         เมื่อผมไปถึงที่งานแต่ง ซึ่งจัดที่บ้านของเจ้าสาวในตอนกลางคืน..............ผมก็พบเค้าอยู่ในสภาพเมามายเหมือนคนไม่เต็มใจจะแต่งงาน.............ทันทีที่ผมไปถึง เค้าก็ลากตัวผมขึ้นไปบนห้องต่อหน้าเพื่อนคนอื่นๆอย่างไม่ฟังอีร้าคร่าอีลมใดๆ................

                          ผมโดนลากถูลู่ถูกังมาที่ห้องของเค้า ก่อนจะถูกกดลงไปนอนบนเตียง และกอดถุมเอาไว้ไม่ยอมให้กระดุกกระดิกไปไหน...............อ้อมกอดของเค้ายังคงแข็งแรงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง............มันทำให้ผมรู้สึกอ่อนระทวยอย่างช่วยไม่ได้...........เค้าชอบใช้กำลังบังคับกับผมแบบนี้เสมอๆ..........น่าโมโหจริงๆ.........

                          จนเวลาล่วงเลยไปได้สักพัก..............เจ้าสาวก็เข้ามายืนทำหน้าเขียวอยู่ที่ประตู...............เราสองคนจึงเป็นอิสระออกจากกันโดยอัตโนมัติ..........ผมยิ้มแห้งๆให้เธอก่อนจะเดินเลี่ยงออกมาสมทบกับเพื่อนๆที่อยู่ข้างล่าง...............

                           หลังงานเลี้ยงเลิก...........ระหว่างที่เพื่อนๆคนอื่นๆกำลังล่ำลากัน เค้าจึงถือโอกาสแอบเดินเข้ามากระซิบเบาๆกับผมว่า
                           “ถึงเราจะแต่งงานไปแล้ว................แต่ระหว่างเราสองคนก็ยังเป็นเหมือนเดิมนะ”.........ผมอึ้งไปกับคำพูดนั้นชั่วขณะ.............หมายความว่ายังไง.............เป็นเหมือนเดิม..........ผมไม่อยากจะคิดว่านี่คือการบอกรัก เพราะว่าเราไม่เคยเป็นแฟนกัน.................แต่ผมก็อดคิดไม่ได้ว่านี่คือการบอกรัก..............ที่ผ่านมาผมคิดแต่เพียงว่าเค้าคงคิดกับผมเหมือนเพื่อนทั่วๆไป............แม้ผมจะแอบชอบ (ความรุนแรง) เค้าอยู่ลึกๆก็ตาม...............แต่จะมาบอกเอาตอนนี้ ก็คงจะสายไปเสียแล้ว...........เพราะผมคงไม่พาเค้าหนีงานแต่งงานเหมือนอย่างละครในทีวีหรอกนะ............

                            แน่นอนว่าเมื่อโดนนัทกระทำในแบบคล้ายๆกันนั้น ..............ผมจึงเกิดอารมณ์ปรารถนาขึ้นมาเป็นสิบเท่าอย่างช่วยไม่ได้................

                             “มานี่.............เก่งนักใช่มั้ย”..............ผมเข้าไปกอดปล้ำกับนัทหลังจากที่ถูกปล่อยตัวเป็นอิสระแล้ว...............เราสองคนต่อสู้กันอยู่บนเตียงสักพัก..............ก่อนที่อะไรๆมันเป็นไปตามครรลองที่ควรจะเป็น.............
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 17-08-2007 11:08:38

มาแว้ว............ :m4: :m4:

แว้บ.................ฟิ้ว................
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 17-08-2007 11:34:03
แว้บ.................ฟิ้ว................

แปลว่าอะไรเหรอ..........งง
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 17-08-2007 19:21:03
แล้วทำไมคุณกั้งไม่บรรยายบทหื่น  ขัดจายยย  :a6:  :a6:
เกริ่นมาซะตบจูบๆ  หง่ะ

คิกๆ รออ่านต่อจ้า  เป็นกำลังใจให้น้า   :a2:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 17-08-2007 20:28:08
อยากอ่านบทหื่นเหมือนกัน รองคุณกั้งบรรยาย  :a4:  :a4:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 18-08-2007 11:42:31
เหอ เหอ มีแต่คนอยากอ่านบทบรรยายเพิ่มเติมอ่ะ  :m26: เราก็อยากอ่านน้า  :a9:  :a9:  :a9:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 19-08-2007 11:08:18
 :o :o :o
หาความแปลกใหม่ในชีวิตเหยอ
 :m18: :m18:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 20-08-2007 08:46:12

อือ แล้วครรลองที่ควรจะเป็น............. มันเป็นยังไงน้อ... :m28: :m28:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 21-08-2007 09:51:39
ช่วงนี้ศึกษาธรรมะมากไปหน่อย ใจคอเลยโน้มเอียงไปในทางสร้างกุศลกรรม...........เพราะฉะนั้นงดบทหวือหวานะจ้ะ..........เดี๋ยวพรุ่งนี้มาลงต่อครับ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 22-08-2007 10:10:40
                         ตอนนี้ตุ้ยคงมาถึงเชียงใหม่แล้วกระมัง..............เค้าไม่ได้ติดต่อมาหาผมเหมือนอย่างที่ได้คาดคะเนเหตุการณ์เอาไว้แต่แรก...........แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังแอบเอาเค้ามาใช้ประโยชน์ในการกดดันนัทบ้างเล็กน้อย..........นัทจะได้รู้ซะบ้างว่าผมเองก็ยังมีคนเห็นคุณค่าบ้างอยู่............ไม่ใช่ของตายที่เค้าจะทำอย่างไรก็ได้ตามอำเภอใจ...............

                        “ตุ้ยยังไม่ติดต่อมาอีกเหรอ โฮะๆ” นัทถามพลางทำเสียงเยาะเย้ยอยู่ในลำคอ............ผมจ้องมองทำหน้าถมึงทึง...........เชิญพูดไปเถอะ ถ้าเค้ามาเมื่อไหร่อย่าหึงจนควันออกหูก็แล้วกัน..........หัวเราะทีหลังย่อมดังกว่า เป็นสัจธรรม.............

                       “ออกไปซื้อสตรอเบอรี่กันเถอะ อยากกินไม่ใช่เหรอ”............ป่วยการต่อปากต่อคำกันให้เสียเวลาไปเปล่าๆ........สู้หาสิ่งมาบำรุงบำเรอซึ่งกันและกันจะไม่เกิดประโยชน์กว่าหรืออย่างไร..........

                     
                      นัทชอบกินทุกๆอย่างยกเว้นหมู (อิอิ) ...........ช่วงต้นมีนาคมแบบนี้เป็นช่วงปลายฤดูกาลของสตรอเบอรี่................สองฝากฝั่งถนนจึงดารดาษไปด้วยเพิงไม้เล็กๆที่ประกอบขึ้นจากไม้ไผ่มุงหญ้าแฝกเอาไว้อย่างหยาบๆ......................เมื่อมองเข้าไปด้านในก็จะเจอบรรดาลูกสตรอเบอรี่สีแดงฉ่ำถูกกองเอาไว้ล่อตาล่อใจแก่ผู้ที่ผ่านไปมา...............

                 
                      ปกติเมื่อซื้อสตรอเบอรี่มาแล้ว ผมจะนำมาล้างและคลุกด้วยน้ำตาลใส่ชามใบโตๆแช่เย็นเอาไว้.........รอจนน้ำตาลจับตัวเป็นเกล็ดและซึมเข้าไปในเนื้อสตรอเบอรี่ดีแล้ว จึงยกมาเสิร์ฟ.........เป็นเมนูที่นัทชอบมากอย่างหนึ่ง............ต่อเมื่อเค้ากินแล้ว ผมจึงค่อยกินส่วนที่เหลือ..........รอให้เค้าอิ่มก่อนจะดีกว่า.......

                        เราสองคนมาจอดรถที่ร้านสตรอเบอรี่ใกล้ที่พัก..............ระหว่างที่ผมยืนเลือกสตรอเบอรี่อยู่จำนวนหนึ่งนั้น..........นัทเองก็ง่วนอยู่กับการหยิบนั่นชิมนี่ตามคำเชิญชวนของแม่ค้า..............พลันเสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังลอดออกมาจากกระเป๋า............เราสองคนหันมาสบตากันโดยอัตโนมัติ....

                       “ฮัลโหลพี่กั้งเหรอครับ..........ตอนนี้ผมอยู่เชียงใหม่แล้วนะ............เย็นนี้พี่กั้งว่างหรือเปล่า.......ออกมากินข้าวด้วยกันหน่อย”.............เสียงตุ้ยเจื้อยแจ้วมาตามสาย...........ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน........เค้าก็ยังคงช่างจำนรรจาเช่นเดิม.............ได้ยินมาว่าตุ้ยเลิกกับเดียวอย่างเด็ดขาดแล้ว และตอนนี้กำลังคั่วเด็กคนหนึ่งอยู่ที่นครปฐม.............

                       “ฉันจะบอกให้ลูกศิษย์ฉันไปสืบว่ามันเป็นใคร............ถ้ารู้ตัวเมื่อไหร่จะตบล้างน้ำเสียให้เข็ด”
เดียวทำท่าเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเมื่อผมถามถึงเรื่องนี้.............

                       “แกจะไปทำเค้าทำไม..........คนเค้าไม่ได้ชอบเราแล้วก็ควรจะปล่อยเค้าไป”...........ผมชี้ช่องทางเพื่อให้หล่อนรู้จักปลงตกเสียบ้าง.............แต่ในใจนั้นรู้ดีว่าเดียวไม่ใช่คนแบบนั้น...........หล่อนก็แค่พูดไปตามแรงแค้นเพื่อความสะใจเล่นๆ ก็เท่านั้นเอง..........

                         “ในเมื่อฉันไม่ได้.........คนอื่นก็อย่าหวังจะว่าได้” .............แหม........พูดอย่างกะในละครหลังข่าวเชียวนะแก..........ผมแอบหัวเราะในใจ...........ใครที่ยึดหลักแก้ปัญหาตามวิถีนี้.............ไม่เห็นจะลงเอยด้วยดีเลยสักราย........ตัวอย่างในละครก็มีให้เห็นๆกันอยู่............


                         ผมทำทีคุยเสียงดังเพื่อให้นัทรู้ว่าตอนนี้ผมกำลังคุยกับตุ้ยอยู่..............นัทหยุดสนใจกับการชิมและหันมาฟังอย่างตั้งใจ...............

                        หนแรกที่ผมหันไปมอง เห็นทำทีจดๆจ้องๆไม่ยอมเข้ามาใกล้นัก............แต่ก็ยังจัดอยู่ในระยะที่พอจะได้ยินว่าผมกำลังสนทนาอะไรกันอยู่............ผมจึงหลิ่วตาไปมองเพื่อให้เค้ารู้ตัวว่า ไม่ดีเลยถ้าจะมาแอบยืนฟังคนอื่นคุยโทรศัพท์กันแบบนี้.............แต่มันกลับได้ผลในทางตรงกันข้าม............

                       “ใครโทรมา”.........นัทเดินเอาหูมาแนบเพื่อฟังเสียงของอีกฝ่าย................ผมเอี้ยวตัวหลบไปอีกทาง.........ก่อนจะทำสายตาตำหนิอย่างโจ่งแจ้ง.........แล้วเดินนำไปที่รถ.............

                     “งั้นแค่นี้ก่อนนะ เย็นนี้ค่อยเจอกัน แล้วพี่จะไปรับ”..............ผมวางสายไปในที่สุด...........นัทเดินเข้ามานั่งที่เบาะด้านข้างคนขับ พลางเอ่ยถาม.............

                        “ตุ้ยนัดกินข้าวเหรอ”..........ทำท่าอยากรู้ขึ้นมาเชียวนะ..........ผมนึกหมั่นไส้อยู่หน่อยๆ.........แต่ก็ตอบไปแต่โดยดี
                       “อือ”.........
                      “ที่ไหนอ่ะ..........ไปด้วย”..............ถึงนัทไม่ขอ ผมก็ตั้งใจจะให้เค้าไปอยู่แล้ว............ผมอยากเอาแฟนที่ไม่ค่อยได้เรื่องคนนี้ไปอวดตุ้ยอยู่เหมือนกัน.............จะว่าไปแล้วนัทก็เป็นแฟนจริงๆคนแรกของผม...........เพราะฉะนั้นผมถึงได้ภูมิใจกับตัวเค้านักหนายังไงล่ะ..............อยากจะไปบอกตุ้ยว่า ดูไว้ซะ.......นี่แหล่ะแฟนฉัน.........อิอิ

                      “ไปสิ พี่ต้องให้นัทไปเป็นเพื่อนอยู่แล้ว”............นัทเองก็คงอยากจะเห็นหน้าตุ้ยชู้รักที่ผมเคยเล่าให้ฟังอยู่เหมือนกัน..............นี่ถ้าเค้าไปเจอแล้วเกิดชอบกันเองขึ้นมาผมจะทำไงเนี่ย........บรึ๋ยยยยยย........แค่คิดก็สยองแล้ว.............

                       เหตุผลที่ผมต้องการให้นัทไปด้วยเพราะผมอยากให้นัทรู้ว่าระหว่างผมกับตุ้ยนั้นไม่มีอะไร.........ความจริงแล้ว ผมทั้งรักและซื่อสัตย์ต่อนัทมากเพียงไหน...........นัทคงจะได้ประจักษ์แก่สายตาและประจักษ์แก่ใจของเค้าเองในคืนนี้..........ที่ผ่านมา ผมก็เพียงแค่พูดไปเพราะอยากเรียกร้องความรักความสนใจจากเค้าบ้าง ก็เท่านั้นเอง.................


                     
                      “แฟนพี่กั้งเหรอครับ”..............ตุ้ยเข้ามากระซิบถามเมื่อสบโอกาส ระหว่างที่เราสามคนนั่งทานข้าวอยู่ที่ร้านอาหาร...............ผมพยักหน้าหงึกหงักเป็นเชิงยอมรับ..............ผมรับเค้าเป็นแฟแล้ว น่ะใช่..............แต่เค้าน่ะสิจะรับผมเป็นแฟนหรือเปล่ายังสงสัยอยู่

                        ดูท่าทางนัทจะค่อนข้างเบาใจอย่างเห็นได้ชัด เมื่อพบว่าผมไม่ได้แสดงความพิเศษต่อตุ้ยอย่างที่เคยขู่เค้าเอาไว้ในตอนแรก................ไม่ใช่เพราะว่าผมเกรงใจนัทแต่อย่างใด..............แต่เพราะใจผมไม่ได้รู้สึกยินดีในตัวตุ้ยต่างหาก................มันเป็นธรรมชาติของตัวผมเอง ที่เมื่อปักใจว่าจะรักใครสักคนหนึ่งแล้ว........ผมไม่มีวันเปลี่ยนใจง่ายๆหรอก.............เว้นเสียแต่ว่าเค้าจะไม่ต้องการตัวผมแล้ว..............เมื่อถึงตอนนั้นผมจะเลิกรักเค้าเอง...............เพราะผมไม่เสียเวลารักคนที่ไม่ได้รักและต้องการในตัวผม..................

                      “ได้ข่าวว่ามีแฟนใหม่แล้วเหรอ” ............ผมแกล้งหลอกถามเพื่อสืบข่าวไปแจ้งกับเพื่อนสาว..........เพื่อที่ว่าหล่อนจะได้ตัดใจจากผู้ชายคนนี้ซะที...............

                      “ มีแล้วครับ............ผมรักเค้ามาก...........ตอนนี้ผมกำลังพยายามทำตัวเป็นคนดีเพื่อเค้าอยู่”...........สาธุ............ประเสริฐแท้...............ผมนึกอนุโมทนาอยู่ในใจ...............แต่ก็นึกโกรธแทนเพื่อนอยู่หน่อยๆ

                        ระหว่างที่เราสองคนนั่งสนทนากันอยู่นั้น........นัทไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมแต่อย่างใด............เพียงแต่นิ่งฟังอยู่เฉยๆเท่านั้น............

                         “แล้วเค้าเป็นใครมาจากไหนล่ะ”..........ผมพยายามล้วงข้อมูลต่อไปอีก........ทั้งยังเป็นการถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันกลายๆ..............ตอนนี้ความรู้สึกเชิงพิสวาสระหว่างผมกับตุ้ยไม่เหลือหลอแล้ว.........คงเหลือแต่เพียงความปรารถนาดีในฐานเพื่อนตามสมควร.............

                       “เค้าเรียนที่ศิลปากร ผมเจอเค้าตอนที่กำลังจะเข้าบ้าน............เห็นเค้าขับมอร์เตอร์ไซด์ผ่านมาแล้วยิ้มให้............ผมก็เลยยิ้มตอบ............เค้าก็เลยชวนไปกินข้าว ”..................ช่างง่ายดายดีแท้หนอ............ผมแอบส่งยิ้มให้นัท.............เรื่องพรรณนี้ถ้าจะทำให้ง่ายก็ง่าย.........แต่ถ้าจะทำให้ยากก็ยาก..........

                          “แบบนี้เพื่อนพี่ก็อกหักน่ะสิ”............ผมแกล้งกระเซ้า.............ตุ้ยยิ้มรับก่อนจะบอกว่า......

                         “ผมเลิกกับเค้ามาเกือบสองปีแล้วพี่.........ตอนนี้เจอกันก็เจอแบบพี่น้องไม่ได้เกี่ยวข้องกัน”.........โธ่เอ๋ย นังเดียว............แกตามรักตามหวงเค้าปานแก้วตาดวงใจ.............แต่เค้ากลับไม่ใยดีแกเลยสักนิดเดียว............ไม่คุ้มค่าคุ้มราคาที่แกรำพึงรำพันถึงเลยสักนิด..............ผมนึกทอดถอนอยู่ในใจ.............

                        “ผมมีรูปเค้าในมือถือด้วยนะ.........พี่กั้งอยากดูมั้ย”...........ตุ้ยว่าพลางยื่นรูปถ่ายในมือถือมาให้ดู.............ผมรับเอามาพิจารณา

                        คนในรูปนั้นดูเด็ก...........ออกสาวหน่อยๆ...........แต่ก็ถือว่าดูดีไม่เลว..........เมื่อเทียบกับเดียวแล้วก็คงให้ความรู้สึกในคนละแบบ.........คนหนึ่งเป็นสาวน้อยดูสดใสร่าเริง มีชีวิตชีวา.........อีกทั้งสังขารเนื้อหนังยังเคร่งครัด............คงกระตุ้นกำหนัดแก่คู่รักได้ดีไม่น้อย............ส่วนเดียวนั้นอยู่วัยที่กำลังบานสะพรั่งเต็มที่............คงขาดความสดใสเมื่อเทียบกับวัยแรกรุ่นเช่นคนในรูป..........แต่ความถึงพร้อมแล้วด้วยวัยและประสบการณ์......คงจะเป็นเพื่อนคู่คิดและให้ความอบอุ่นใจได้ดีกว่า........

                        “อ่ะ........ดูสิ”..........ผมยื่นรูปให้นัทดูเพราะเห็นทำท่าชะเง้อชะแง้อยากเห็นเสียเต็มที่...........ตุ้ยยิ้มน้อยๆ..............ดูท่าเค้าภูมิใจกับแฟนคนนี้ไม่น้อยเลย.............เดียวเอ๋ย แกคงจะหมดหวังเสียแล้ว................ผมนึกสงสารเพื่อนขึ้นมาอยู่ครามครัน.............แต่อีกใจก็อยากให้รู้ความจริงซักทีว่าเค้าพูดถึงหล่อนว่าอย่างไรบ้าง.........จะได้เลิกละเมอเพ้อพก และก็ทำท่าหวงก้างบ้าๆบอๆอย่างที่เคยทำกับผมอยู่เสมอๆ..............

                        เราแวะไปส่งตุ้ยที่โรงแรมก่อนจะร่ำลากันพอหอมปากหอมคอ...............การมาของตุ้ยคราวนี้ไม่ได้เกิดเรื่องโกลาหลอย่างที่คาด..........แต่อย่างน้อยๆผมเชื่อว่ามันทำให้ความสัมพันธ์ของผมและนัทแน่นแฟ้นขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง.............การที่นัทได้มาเห็นว่าไม่ว่าใครหน้าไหน ก็ไม่มีทางดีไปกว่านัทของผมหรอก คงจะทำให้เค้ารู้สึกมั่นใจในความรักและซื่อสัตย์ที่ผมมีต่อเค้าบ้าง ไม่มากก็น้อย...........นี่คือสิ่งที่ผมอยากจะบอกนัทมาตลอด...........หากแต่การบอกด้วยวาจานั้นไม่ได้มีน้ำหนักเท่ากับการกระทำ.............ซ้ำร้ายอาจจะถูกมองว่าเป็นคนพูดจาเพ้อเจ้อหาความจริงไม่ได้......จากเหตุการณ์วันนี้ไป นัทคงได้รู้จักผมมากขึ้นกว่าแต่ก่อน........แม้ว่าเค้าจะไม่พูดวิจารณ์ ชื่นชมอะไรออกมาก็เถอะ........คนอะไร ไม่โรแมนติกเอาซะเลย.......เฮอะ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 22-08-2007 11:03:27

นัทคร๊าบ  อย่าไปหลงผิด ขอบอก    :m26:

ไม่ใช่ พี่กั้ง ไม่สนใจเค้า   แต่เค้าอ่ะไม่สนใจพี่กั้งเองตะหาก อิ อิ   :m30:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 22-08-2007 11:59:18

 :a5:

เพิ่งรู้เรื่องไอ้ตุ้ยเต็มๆ ก็คราวนี้เอง

ปิดเงียบเลยนะเคอะ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 22-08-2007 13:03:41
ไม่ได้ปิดนะ.........มันไม่สำคัญตะหาก...........ส่วนคุณ blanch อ่ะ......จะหยามกันมากไปม้าง หุหุ.....................
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 22-08-2007 19:29:33
เหอ เหอ ลองเชิงลองใจ  :m12:  :m12:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 22-08-2007 21:00:21
เห็นด้วยกับคุณ blach กร๊ากกกกกกกกกกกกกก  :m14:
รักกันด้วยมันสมองเลยนะเนี่ย 555 ต้องมีการเล่นชั้นเล่นเชิง ลองใจกัน  อิอิ
รักกันนานๆ เน้อ
 :a2:  :a2:  :a2:  :a2:  :a2:

ปล คุณกั้งหื่นหลบในอะดิ คึคึ ไม่กล้าบรรยายบทนั้น :m12:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 23-08-2007 00:11:27
บริสุทธิ์ใจอ่ะ พาไปเจอเพื่อนก็ดี จะได้ไม่ตามหึงจนมากเกินไป
 :a4: :a4: :a4:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 23-08-2007 02:34:00
รอลุ้นต่อจ้า   :m3:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 23-08-2007 09:46:22
แต่ผมว่า คนบางคนก็ไม่ชอบพาแฟนมาเจอเพื่อนหรอก........หุหุ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 23-08-2007 18:56:54
                         ในบรรดาเพื่อนๆรุ่นเดียวกัน ส่วนใหญ่ต่างก็แต่งงานแต่งการมีลูกมีเต้ากันไปหมดแล้ว................จะเหลืออยู่เป็นหนุ่มแก่ สาวเทื้อคาบ้านก็มีอยู่ไม่กี่มากน้อย...............และผมก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วยความไม่สมัครใจ..........มันคงไม่ใช่ความน่าภาคภูมิใจอะไรนักหนา หากจะต้องบอกใครต่อใครว่า ฉันยังโสดอยู่นะจ้ะ ทั้งๆที่อายุก็จวนจะสามสิบในอีกวันสองวันข้างหน้านี้แล้ว................

                         คำว่า ไม่โสด สำหรับคนที่เป็นเกย์คงไม่ได้หมายถึงการแต่งงานกับผู้หญิง หรือการแต่งงานกับผู้ชายด้วยกัน...............เพียงแค่มีแฟนเป็นตัวเป็นตน นั่นก็น่าจะเพียงพอแล้วกระมัง.........ซึ่งก็หาได้ยากนักในสังคมปัจจุบัน.........ในกรณีของผมจะเรียกว่าโสดหรือไม่โสด ผมเองก็ไม่กล้าฟันธงลงไปให้แน่ชัด............ไม่ใช่เพราะว่าหวงแหนความโสดหรืออะไร.........แต่การไปตู่เอาว่าใครเป็นแฟนโดยเจ้าตัวเค้าไม่ได้เอ่ยปากยืนยันออกมาเอง.........คงไม่ใช่เรื่องที่น่าภาคภูมิใจอะไรนักหนา........

                         การใช้ชีวิตเสมือนคนโสดนั่นก็ดีอยู่หรอก.............แต่การใช้ชีวิตทวนกระแสของสังคมจะมีความสุขได้มากแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับวิธีคิดของแต่ละคน............หากไม่มีเรื่องมาตอกย้ำกระทบจิตใจก็ยังพอจะทำหน้าชื่นตาบานเอาตัวรอดได้ไปวันๆ..........แต่ในบางครั้งบางคราวก็มักจะมีเหตุให้ต้องได้รู้สึกสะท้อนสะท้านใจบ้าง.............โดยเฉพาะเจ้าการ์ดสีชมพูตัวร้าย............คนโสดทั้งหลายต่างก็กลัวที่จะได้เห็นมันพอๆกับกลัวใบแจ้งหนี้ฉันใดฉันนั้น................

                         แม้จะไม่อยากพบเจอ แต่ผมก็ได้เจอกับมันเข้าอีกจนได้............เจ้าการ์ดนรกสีชมพูหวานแหวว...........แถมมันยังถูกส่งมาจากเพื่อนสาวสุดเลิฟ ที่ผมไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่า ชีวิตนี้หล่อนจะมีโอกาสได้มีวันมงคลสมรสกับเค้าบ้าง.............เฮ้อ...........อิจฉาก็อิจฉา............แต่จะทำนิ่งเฉยไม่ร่วมอนุโมทนากับเพื่อนก็รังแต่จะก่ออกุศลกรรมให้ตัวเราต้องมัวหมองทั้งในชาตินี้และชาติหน้าเสียเปล่าๆ.........โดยเฉพาะเพื่อนสนิทแบบนี้แล้ว..........ผมควรจะต้องไปด้วยตัวเองจึงจะไม่น่าเกลียด........

                        “แกจะแต่งที่ไหนล่ะ............กรุงเทพหรือที่บ้าน”...........กรุงเทพคือที่ๆหล่อนทำงาน.........ที่บ้านหมายถึงขอนแก่น.............เจ้าบ่าวของหล่อนเป็นใครผมเองก็ยังไม่เคยพบหน้า............จะมีหูมีตาครบสามสิบสองหรือเปล่านะ..........

                         “ที่บ้าน.......จัดแบบง่ายๆ.......แกต้องมาด้วยนะ”.........หล่อนคะยั้นคะยอ...........
                         “เออ..........ฉันต้องไปแน่...........เพื่อนแต่งงานทั้งที..........ไม่ไปแสดงความยินดีได้ยังไง”........ผมรับปาก..........ในใจนึกวางแผนเอาไว้คร่าวๆ............จะต้องชวนนังเดียวไปด้วยเพราะเราเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกัน.............ให้หล่อนขึ้นมาหาผมที่เชียงใหม่ แล้วขับรถลงไปขอนแก่นด้วยกัน.........แบบนี้น่าจะดี..........

                        “เอาเป็นว่าฉันจะขับรถไปเองกะนังเดียว........แกก็จองที่พักให้หน่อยแล้วกัน........เอาไว้ใกล้วันจะโทรไปบอกอีกที”............ผมตกปากรับคำ ก่อนจะวางสายไป...........

                        เชียงใหม่ - ขอนแก่นไม่ใช่ใกล้ๆ............คงต้องขับรถไม่น้อยกว่าสิบห้าชั่วโมงแน่ๆ............เสร็จจากงานแต่งแล้วจะชวนนังเดียวกลับมาที่เชียงใหม่อีกครั้ง แล้วค่อยให้หล่อนนั่งรถกลับกรุงเทพ หล่อนจะยอมมั้ยนะ...............ว่าแล้วก็โทรไปถามดูจะดีกว่า..............


                      “เดียวเหรอแก............นังปิ๋มจะแต่งงานแกรู้ข่าวยัง”..............ผมรีบรวบรัดเข้าเรื่องทันทีเมื่อหล่อนรับสาย................
                     
                       “รู้แล้ว”..........หล่อนไม่แสดงอาการตื่นเต้นอย่างที่ผมคาดเอาไว้.............คงเป็นเพราะว่าหล่อนไม่สนิทกับปิ๋มมากเท่าที่ผมสนิทกระมัง............บางครั้งเดียวก็มักจะบ่นน้อยใจในตัวผมเรื่องรักเพื่อนไม่เท่ากันให้ได้ยิน..........
                     
                       “แกรักนังปิ๋มมากกว่าฉัน”.............ผมนึกขำความคิดแบบนี้ของหล่อน.............ทำตัวเป็นเด็กขาดความอบอุ่นไปได้...........
                 
                        “ฉันก็รักเหมือนๆกัน เพียงแต่นังปิ๋มมันน่าสงสาร..........แกก็เป็นผู้ชาย ยังไงก็ดูแลตัวเองได้”.......ผมให้เหตุผลข้างๆคูๆ เพราะคร้านจะต่อความยาวสาวความยืดกับเรื่องไร้สาระ...........


                      “แล้วแกจะไปมั้ยล่ะ”..........นี่ไม่ใช่ประโยคคำถาม..............แต่ผมหมายถึงหล่อนจะต้องไปกับผม.......ซึ่งเดียวก็รู้ข้อนี้ดี...............

                     “ไปสิ...........แล้วแกจะขับรถไปเองเหรอ..............”หล่อนถามจี้จุดที่ผมคิดเอาไว้อยู่แล้วพอดี...........

                    “อืม.........เดี๋ยวแกนั่งรถขึ้นมาเชียงใหม่ แล้วเราขับรถไปด้วยกันนะ”.............ผมจัดการออกคำสั่งเสร็จสรรพตามความเคยชิน..................
                     “ได้.............ใกล้วันแล้วฉันจะโทรไปหาอีกที”...................เดียวรับปากแล้ววางสายไป......


                       สองสามวันต่อมา.....ผมยังไม่ได้บอกนัทเรื่องที่จะเดินทางไปขอนแก่นเลย............คิดเอาไว้ว่าใกล้วันแล้วค่อยบอกดีกว่า................อันที่จริงก็อยากจะชวนไปด้วยกันอยู่หรอก............แต่ถ้านัทไปด้วย คงเป็นภาระมากกว่าจะคล่องตัว..............อีกทั้งผมอยากมีเวลาคุยกับเพื่อนๆสมัยปริญญาตรีที่ไม่ได้เจอกันมานานมากกว่าจะมานั่งห่วงแฟน.................

                       “ฮัลโหลกั้ง...........ฉันจะพาแฟนไปด้วยนะ...........ตอนขากลับจะนั่งรถจากขอนแก่นกลับกรุงเทพเลย”..............เดียวโทรมายืนยันกำหนดการณ์และการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขเล็กน้อย...........ซึ่งไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยสำหรับผมเลยสักนิด................แล้วใครจะนั่งรถกลับมาเป็นเพื่อนผมล่ะคราวนี้........สิบหน้าชั่วโมงไม่ใช่ของหมูๆ.........ถ้ามีคนนั่งกลับมาเป็นเพื่อน คอยคุยนั่นคุยนี่ระหว่างทาง ก็คงจะพอแก้ง่วงไปได้บ้าง.............
 
                       “แล้วฉันจะกลับมากับใครล่ะ”............ผมปรารภขึ้นมาลอยๆ..............ในใจนั้นคิดถึงนัทเป็นคนแรก................เค้าไม่ได้เรียนแล้ว อยู่ว่างๆคงไปเป็นเพื่อนผมได้.............แต่ผมคงไม่สามารถบังคับเค้าได้หรอก..............ไม่อยากจะเสียฟอร์ม..............

                        “ก็แฟนแกไง..........ไอ้นัทน่ะ........ตอนนี้มันอยู่เฉยๆไม่ใช่เหรอ”.............เดียวจัดการแนะทางออกให้เสร็จสรรพ...............แกนะแก จะเอาแฟนไปด้วยก็ไม่บอก............ผมนึกก่นด่าหล่อนอยู่ในใจ..........

                        “เออ...........เดี๋ยวฉันจะลองถามเค้าดูก็แล้วกัน”.........ผมตัดบท ทั้งที่ในใจนึกหวั่นอยู่ลึกๆว่านัทจะเห็นดีเห็นงามกับการเดินทางไปในครั้งนี้ด้วยหรือไม่........
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 23-08-2007 19:12:21
หุหุ นัทจะยอมไปด้วยมั๊ยน้า ... ไม่น่าจะไปนะ เดาเอา  :m21:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 23-08-2007 22:14:36

ผมทายว่านัทไป  ทั้งที่จริงๆแล้วไม่ได้อยากไป  แต่คงต้องหลงกลอะไรซักอย่างแน่ๆๆๆ   :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 23-08-2007 22:15:24
ไปงานแต่งแล้วเศร้า
คงไม่มีโอกาสได้แต่ง
 :m17: :m17: :m17:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 24-08-2007 12:23:03
ก็ลองดูสิว่าจะไปหรือไม่ไป...........ไม่ได้ร้ายนะ.........แต่พูดจริง........อิอิ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 24-08-2007 12:55:40

ไม่ร้าย จริงเหยอ   :m29: :m29:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: lordhunter ที่ 24-08-2007 17:52:47
ติดตามมาถึงตอนล่าสุด  อ่านดูก็งั้นๆนะครับ  แต่ทำไมไม่อยากเลิกอ่านเรื่องนี้ก็ไม่รุ้  สงสัยจะติดอีกเรื่องหนึ่งแล้ว  หุหุ  หลวมตัวมาอ่านก็ต้องอ่านให้จบนะครับ อิอิ  (ล้อเล่นน้า~)  แล้วมาต่อไวๆนะครับ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 27-08-2007 10:34:47
                          “เพื่อนสนิทพี่จะแต่งงานที่ขอนแก่น.........พี่ว่าจะไปร่วมแสดงความยินดีกับเค้าด้วย”.........ว้า........ไม่อยากจะพูดแบบนี้เลย..........แต่จะทำไงได้ล่ะ ถ้าผมไม่ชวนนัทไปด้วย.......ตอนขากลับมีหวังได้หลับในขับรถตกเขาแน่ๆ..............อีกทั้งถ้าเดียวรู้ว่าผมชวนนัทไปไม่ได้ ผมคงจะโดนหล่อนถากถางให้ได้อับอายไม่รู้จักจบสิ้น..............มีแฟนแต่พึ่งพาใช้สอยไหว้วานอะไรไม่ได้ แล้วจะมีไปทำซากอะไรกัน..............

                         นัทยังคงสนใจอยู่กับการกินข้าวไม่แสดงอาการรู้ร้อนหนาวถึงสิ่งที่ผมปรารภ..........ยิ่งทำให้ผมรู้สึกร้อนใจมากยิ่งขึ้น...........

                        จะว่าไปแล้วเราสองคนก็เป็นคู่ที่เข้าขากันได้ดีไม่เลว...........ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราแทบจะไม่มีปากเสียงกันเลย...........จะมีบ้างก็เรื่องเล็กๆน้อยๆ ที่ไม่ทันข้ามวันก็หายโกรธกันแล้ว (ส่วนมากก็มักจะมาจากผม ที่ขัดใจเพราะนัทไม่ได้อย่างใจ).........และก็ยังมีเรื่องบนเตียงที่ไม่ค่อยจะเอาไหนของเค้าด้วย (หุหุ) ......ผมรู้สึกว่านัทไม่ค่อยจะสนใจอย่างจริงจังที่จะทำให้ผมมีความสุขเท่าไหร่........เค้าสนใจแต่ว่า เค้ามีความสุขก็จบ..........ถึงยังไงผมก็ยังมองว่านั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรนัก.........เพราะสำหรับผมแล้ว เรื่องพรรณนั้น ยังไงก็ได้...........เรื่องความรู้สึกสำคัญกว่า............

                       “ใครแต่งเหรอ”..........นึกว่าจะไม่ถาม.........ผมแอบค้อนอยู่ในใจ............เมื่อเค้าถามก็เข้าแผนที่วางไว้พอดี........... เพราะฉะนั้นผมจึงเดินหมากต่อ...........

                       “ปิ๋ม........นัทไม่เคยเจอหรอก..........พี่นัดกับเดียวให้ชีขึ้นมาหาที่เชียงใหม่.......ตอนแรกก็ว่าจะขับรถไปด้วยกันและก็กลับมาเชียงใหม่ด้วยกัน..........แต่ชีดันเปลี่ยนแผน บอกว่าจะเอาแฟนมาด้วยและก็จะขึ้นรถกลับกรุงเทพจากขอนแก่นเลย...........นี่พี่ก็กลัวอยู่ว่าถ้าขับรถกลับมาคนเดียวจะทำยังไง”......ผมทอดเสียงลงในตอนท้ายประโยคเรียกความเห็นใจ พลางจ้องหน้าเพื่อกระตุ้นจิตสำนึกเบื้องลึกของเค้า........ลงทุนร่ายซะยาวยืดขนาดนี้.......หวังว่านัทคงจะจับทางออกนะว่าผมอยากให้เค้าไปเป็นเพื่อน...........

                        “ทำไมไม่ชวนน้องพรไปด้วยล่ะ”........ฮึ่มมมม........เย็นไว้นะโยม..............ผมพยายามบอกตัวเองในใจ........นี่เค้ายังจะเกี่ยงไปให้คนอื่นอีกหรือไงเนี่ยยยยยย.............

                        “เค้าไปไม่ได้หรอก..........เค้าต้องทำแลป............อีกอย่าง พี่ก็ไม่อยากรบกวนเค้าด้วยอ่ะ”...........ผมพยามระงับความโมโหเอาไว้ ค่อยๆรุกต้อนให้นัทจนมุมอีกครั้ง เพื่อจะสื่อให้เห็นว่า เค้าเป็นความหวังเดียวสุดท้ายของผมแล้วในตอนนี้............เพราะฉะนั้นเค้าควรจะต้องไป ถ้าเค้ายังมีหัวใจห่วงใยผมอยู่บ้าง..........

                        “ไม่ไปหรอก ไปกันเองเถอะ นัทขี้เกียจนั่งรถไกลๆ”............เออ............ให้มันได้อย่างนี้สิ...........ผมนึกบริภาษอยู่ในใจ...........นี่จะใจจืดใจดำกับผมได้ขนาดนี้เลยหรือไง.........

                        “ถ้านัทไม่ไปเป็นเพื่อน แล้วพี่จะกลับมากับใคร.............ขับรถคนเดียวไกลๆมันอันตรายนะ......เกิดพลัดตกเขาขึ้นมาจะทำยังไง”.............ผมยังไม่ยอมแพ้..............ความจริงแล้วผมมีแผนสำรองเอาไว้แล้วว่า ถ้านัทไม่ไปผมจะชวนคนอื่นไปแทน.............แต่เมื่อเค้าทำท่าไม่ไยดีแบบนี้........ผมยิ่งอยากจะพาเค้าไปด้วยให้ได้...........นี่ฉันเป็นแฟนนายนะ ไหว้วานนิดหน่อยแค่นี้ไม่ได้หรือไง........

                         “ตอนนี้นัทอยู่เฉยๆก็ไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้ว ไปเป็นเพื่อนพี่หน่อยไม่ได้หรือไง”..........ไม่รู้ล่ะ......วันนี้จะเอาคำตอบให้ได้........

                        “ไม่เอา......จะเล่นเกมส์”..........นัทขึ้นเสียงบ้าง.................โหยยยยยย...........นี่อ่ะนะเหตุผล............สติของผมขาดผึงทันที...............พลันก็บังเกิดทิฐิมานะขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้...........ดี...........จะได้รู้กัน...........

                        “งั้นก็ช่างเถอะ.......พี่ไปคนเดียวก็ได้”..........ผมตัดบททำหน้างอ............แม้ปากจะพูดตัดบทไปอย่างนั้น........แต่ใจผมนั้นมีคำตอบให้นัทเลือกเพียงทางเดียวคือ ต้องไป.........ถ้าไม่ไป จะต้องได้เห็นดีกันแน่.............




                        ผมเลิกพูดเรื่องขอนแก่นไปอีกสองสามวัน จนกระทั่งวันที่เดียวมาถึง..........ผมจึงเริ่มหวนนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง.............ถ้านัทไม่ไป ผมก็จะไปคนเดียว.........จะได้รู้กันไปว่าถ้าไม่มีเค้าแล้วผมจะทำไม่ได้............แต่ถึงยังไงผมก็ไม่คิดว่านัทจะแล้งน้ำใจกับผมได้ขนาดนั้นหรอก............ผมคิดว่าเค้าจะต้องไป........เชื่อสิ..........

                      “กั้ง........นี่พี่แดน.....” เดียวแนะนำแฟนของหล่อนให้ผมรู้จัก...........ผมยกมือไหว้พลางมองสำรวจพี่แดนเงียบๆ................หน้าตาเหมือนปลาบู่สูงอายุ (อิอิ).................คะเนว่าน่าจะเกือบสี่สิบแล้วกระมัง........นี่เดียวตกอับถึงขั้นหาแฟนที่ดีกว่านี้ไม่ได้แล้วหรือไง..............

                       “เค้าขอตามฉันมาเอง.......ฉันจะไม่ให้มาก็สงสาร”........เดียวมากระซิบบอก..........แหม.........ร้อนตัวเชียวนะ........ผมนึกขำอยู่ในใจ................

                        “ฉันยังไม่ได้ว่าอะไรแกสักหน่อย”...........ผมพูดดักคอเพื่อนสาว...........หล่อนจึงทำเฉไฉไปพูดเรื่องอื่นแทน................

                       “แล้วแฟนแกไปไหนล่ะ”...........เดียวยิงคำถามแก้เก้อซึ่งก็ได้ผลเอาการ เพราะเล่นเอาผมสะดุ้งสุดตัวเลยทีเดียว......
                        “เค้าก็อยู่ที่หอเค้าน่ะสิ...........ทำไมเหรอ”..........ผมแกล้งย้อนถาม พยายามกลบเกลื่อนพิรุธในดวงหน้ามิให้หล่อนสังเกตุได้ถนัด...........
                       “แล้วเค้าจะไปเป็นกับแกมั้ยล่ะ”...........เดียวยังไม่ลดละรุกไล่เอาคำตอบ เมื่อเห็นว่าผมแสดงท่าทางอึกอักกับคำถามของหล่อนเมื่อครู่นี้...............
                       “ยังไม่รู้เลย”..........ผมตอบเสียงอ่อย...............เดียวยิ้มอย่างผู้มีชัย............
                       
                        “แสดงว่าเค้าอาจจะไม่ไป”...............หล่อนจ้องหน้าผมคาดคั้นเอาคำตอบ
                        “ก็ลองไม่ไปดูสิ”...........ผมทำเสียงเขียว แล้วเดินจ้ำกลับไปที่รถ ก่อนที่หล่อนจะถามผมให้เกิดอารมณ์โมโหมากไปกว่านี้..............


                         หลังจากที่จัดการกับอาหารมื้อเย็นเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว ผมจึงพาเดียวกับพี่แดนกลับมาที่ห้อง.............พี่แดนขอตัวไปอาบน้ำเพื่อพักผ่อน ปล่อยให้ผมกับเดียวนั่งคุยกันตามลำพัง.......

                        อีตาพี่แดนดูท่าทางจะไม่ชอบหน้าผมนัก............บางทีเค้าอาจจะสัมผัสได้ว่า ผมไม่สนับสนุนให้เดียวชอบเค้าเท่าไหร่ก็ได้..............แต่ก็ว่าไม่ได้หรอกนะ...........ใครก็ต้องอยากให้เพื่อนได้คนที่เราคิดว่าดีที่สุดอยู่แล้ว..............

                        “พี่แดนเค้าเป็นอาจารย์สอนมหาลัยเชียวนะแก”...........เดียวอวดอ้างสรรพคุณแฟนของหล่อนเพื่อให้ผมมีทัศนะคติในทางที่ดีขึ้น..............เป็นอาจารย์แล้วไง...........ผมจบไปก็ต้องไปเป็นอาจารย์เหมือนกัน...........ก็ไม่คิดว่าจะวิเศษวิโสกว่ามนุษย์ธรรมดาตรงไหน..........

                        “ก็ดีแล้วนี่ ถ้าแกชอบเค้าจริงๆ”...........ผมบอกปัดเพราะความรำคาญ...........ถึงยังไงผมก็รู้อยู่แก่ใจอยู่แล้วว่า หล่อนคงคบกับอีตานี่ได้ไม่นานหรอก...............
                       “ว่าแต่ว่าแกโทรไปถามไอ้นัทหรือยัง ว่ามันจะไปกับเรามั้ย”...........เดียววกมาเข้าเรื่องสำคัญอีกจนได้...........ผมจึงหยิบโทรศัพท์เดินออกไปโทรที่ระเบียง............


                        “ฮัลโหล........” เสียงนัทดังแว่วมาตามสาย............
                        “เก็บของหรือยัง..........พรุ่งนี้จะต้องออกแต่เช้านะ”...........ผมทนหน้าด้านมัดมือชกทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้.....................

                         “ไม่ไป๊ปปป.........พี่กั้งก็ไปเองสิ........ก็บอกแล้วว่านัทไม่ไป.........”...............ฮึไม่ไปเหรอ..........แล้วทำไมต้องทำเสียงสูงขนาดนั้น...............ต่อมโมโหผมเริ่มทำงานอีกครั้ง...............นี่เค้าจะเอาแบบนี้จริงๆใช่มะ............
                        “ถ้านัทไม่ไปแล้วพี่จะทำยังไง.......จะให้ขับรถกลับมาคนเดียวเหรอ”.........ผมเริ่มขึ้นเสียงด้วยความโมโห........
                        “พี่กั้งก็ไปกันเองสิ............นัทจะอยู่เชียงใหม่”............จะอยู่ทำบ้าอะไรที่นี่...........ที่ขอร้องไม่ใช่ว่าไม่จำเป็นนะ.........ตอนนี้ผมต้องการเค้า............เค้าก็น่าจะอยู่เคียงข้างผมสิ..........

                        “จะเอายังงั้นใช่มั้ย............ได้..........ไม่ไปก็ได้.......งั้นแค่นี้นะ”............ผมปิดโทรศัพท์ด้วยมืออันสั่นเทา............ถ้าผมพึ่งเค้าในยามคับขันไม่ได้...........ผมก็ไม่รู้ว่าจะมีแฟนไว้ทำไม.........เลิกกันซะดีกว่า..............คำว่าเลิกแล่นขึ้นมาในหัวผมอย่างฉับพลัน..........ใช่...........ผมจะเลิกกับเค้า.........ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็ไม่ได้ว่าจะมีความสุขสักเท่าไหร่.............ผมทำได้เพื่อเค้าทุกอย่าง............แต่พอผมจะพึ่งเค้าบ้าง เค้ากลับปฏิเสธโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร...........เค้าทำไปได้ยังไง..........คิดจะให้ผมขับรถกลับจากขอนแก่นมาเชียงใหม่คนเดียว...........คิดได้ยังไง.........

                        ผมเดินกลับเข้ามาที่ห้องด้วยสีหน้าบึ้งตึง...............เดียวคงจะสังเกตเห็น หล่อนจึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง............
                        “เค้าไม่ไปเหรอ”............ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก............
                       “ช่างเค้าเถอะ.........ถ้าไม่ไปก็เลิกกัน”..........ผมพูดเป็นคำขาด แล้วชวนหล่อนคุยเรื่องอื่น..........


                        หลังจากที่ข่มความโกรธลงได้.........ผมจึงลงมือเก็บข้าวของที่จำเป็น เพราะพรุ่งนี้ต้องเดินทางแต่เช้าตรู่.............เมื่อไม่มีใครให้พึ่ง ผมก็จะพึ่งตัวเอง..........ไม่ต้องง้อให้เสียเกียรติ..............

                       เมื่อเก็บข้าวของเสร็จแล้ว ผมกับเดียวจึงได้มีโอกาสนอนคุยกันเรื่องสรรเพเหระ.........แม้ว่าเราจะติดต่อกันสม่ำเสมอ แต่ก็ไม่ใคร่มีโอกาสเล่าสาระทุกข์สุขดิบอะไรให้กันฟังมากนัก......ส่วนพี่แดนนั้นนอนที่พื้น...........เรานอนบนเตียง............ผมสังเกตว่าพี่แดนขยับตัวบ่อยๆ คงจะยังไม่หลับ สงสัยจะแอบฟัง........ผมจึงชวนเดียวคุยเรื่องผู้ชาย..........ก็จะมีอะไรสนุกไปกว่าการคุยถึงผู้ชายคนเก่าๆที่ผ่านมามั่งล่ะ..........ดังนั้นเรื่องร้อยแปดพันเก้าของบรรดาผู้ชายที่เราสองคนพานพบ จึงถูกยกนำมาแลกเปลี่ยนสู่กันฟังอย่างออกรส.............ผมเหลือบไปมองพี่แดนที่นอนอยู่ข้างล่างอีกครั้ง...........ได้ยินก็ช่างเถอะ........ถึงยังไงเค้าก็ไม่มีทางรู้อยู่ดีว่า ที่แท้แล้วผมเป็นคนแบบไหนกันแน่............ก็เรื่องเล่าสนุกเอามันส์ในหมู่เพื่อน ใครเค้าจะเอามาเป็นสาระกันบ้างเล่า...........

                       
                         นาฬิกาบอกเวลาสี่ทุ่ม...........ตอนนี้ผมทำใจได้แล้วว่าจะไม่มีนัทไปด้วย............และผมก็ตัดสินใจแล้วว่าจะเลิกกับเค้าแน่ๆ............เพราะฉะนั้นผมจึงไม่ใส่ใจอีกต่อไป...........การเดินทางครั้งนี้จะถือว่าเป็นการเดินทางเพื่อจบทุกอย่างระหว่างเรา............ผมจะกลับมาเชียงใหม่พร้อมกับหัวใจที่ว่างเปล่า............ถึงไงเราก็ต้องเลิกกันอยู่ดี ไม่วันใดก็วันหนึ่ง...........แล้วถ้าจะเลิกกันวันนี้ มันจะต่างอะไรกันกับเลิกกันในวันข้างหน้า.............

                         ระหว่างที่ผมกับเดียวคุยกันอย่างออกรสชาติ...........โทรศัพท์ของผมก็แผดเสียงดังลั่นห้อง.........ผมไม่กระตือรือร้นที่จะรับมากนัก เพราะคิดว่าก็คงเป็นนัทนั่นแหล่ะที่โทรมา............ถ้าไม่ไปก็เลิก..........นี่คือคำตอบที่ผมเตรียมเอาไว้.............

                        “ฮัลโหล........เก็บของเสร็จหรือยัง”............น้ำเสียงของนัทยังดูระรื่นดีอยู่.........จะโทรมาหาพระแสงอะไรกันอีก.............ผมคิด
                     
                        “เก็บแล้ว.........มีอะไร”.........ผมตอบเสียงเนือยๆ.............เนื่องจากการผิดหวังในตัวนัทเมื่อค่ำ จึงไม่มีอารมณ์จะฝืนเป็นทำร่าเริง...........

                        “แล้วพรุ่งนี้ออกกี่โมงล่ะ”..........นัทยังชวนคุยต่อ.........จะมาไม้ไหนอีกล่ะ.........ผมเริ่มปรับอารมณ์ใหม่............บางทีเค้าอาจจะเปลี่ยนใจก็ได้นะ..............

                       “ตีสาม.........แล้วจะไปด้วยมั้ยล่ะ”............น้ำเสียงผมยังฟังห้วนอยู่........เวลานี้ผมควรไว้เชิงเอาไว้ก่อน...........

                        “ตอนแรกก็ว่าจะไปด้วยอยู่หรอก...........แต่มาทำเป็นปากดีแบบนี้ก็ว่าจะไม่ไปแล้ว”...........ตาบ้าเอ๊ยยยยยยยยย.......ยังจะมาลีลา..........ลึกๆแล้วผมรู้ว่านัทต้องไป.........ในที่สุดเค้าก็ไม่ทำให้ผมผิดหวัง..........ผมว่าผมมองเค้าไม่ผิดหรอก...........

                        “ปากดีตรงไหน...........พี่ไม่ได้พูดอะไรซักหน่อย”..............เสียงผมเริ่มอ่อน........อ้อนไว้ก่อนน่าจะดีกว่า............

                        “ก็มาทำแว้ดๆใส่อย่างนั้นอย่างนี้...........ปากดี”..............นัทยังวกวนกำกวมเช่นเคย...........ก็มันน่าโมโหมั้ยล่ะ จะไม่ให้แว้ดได้ยังไง.............

                          “ก็พี่โมโหนี่.............ขอโทษก็ได้.........ขอโทษนะ........หายโกรธยัง”.............ผมหันมาใช้ไม้อ่อนพลางนึกขำ............ไม่แน่จริงนี่หว่า............สงสัยจะกลัวเราเลิกจริงๆอ่ะดิ...........

                          “ปากดี”..........นัทยังบ่นผมคำเดิมไม่จบสิ้น............ขืนปล่อยไว้แบบนี้อารมณ์ผมต้องขึ้นอีกแน่..............อย่ากระนั้นเลย..........รีบหาทางรวบรัดตัดความจะดีกว่า...........

                         “พรุ่งนี้ออกตีสาม............พี่จะโทรไปปลุกนะ.........รีบเก็บของแล้วเข้านอนซะ..........แค่นี้นะ”...........ผมสั่งเสียแล้วรีบวางสาย ก่อนจะหันมายิ้มให้เดียวอย่างผู้มีชัย.............เห็นมั้ย..........ในที่สุดเค้าก็ต้องไป......หุหุ..........ให้มันรู้ซะบ้างว่าใครเป็นใคร...............
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 27-08-2007 18:20:28

อันไหนที่ไม่เอาไหนก้อสอนเค้าดิครับ   o16 o16
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 27-08-2007 18:40:40
พูดจนปากจะฉีกอยู่แล้ว.............หุหุ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 27-08-2007 19:06:39
มีแฟนเด็กต้องกินยาทัมใจ มีแฟนผู้ใหญ่กินยาไรหว่า  o17  o17
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 27-08-2007 19:08:45
เหอ เหอ มีแฟนเด็กก็งี้แหละ  :m27:  :m27:  :m27:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 27-08-2007 21:24:02
เอาแต่ใจจริงๆเลย เจ้านัท
 o16 o16
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 28-08-2007 22:03:54
ลูกล่อลูกชนกว่าจะไปได้  เหนื่อย 55

รออ่านต่อนะคุณกั้ง  :a2:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 28-08-2007 22:22:56


“ปากดี”       :m14: :m14:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 29-08-2007 09:55:09
อืม...........ปากดี อิอิ............เดี๋ยวเย็นๆมาลงต่อนะครับ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 29-08-2007 12:05:37
                         เหนื่อยจัง ง่วงก็ง่วง เพลียก็เพลีย............ผมงัวเงียขึ้นมาจากผ้าห่มอันแสนอุ่นหลังจากนอนฟังนาฬิกาปลุกแผดเสียงแสบแก้วหูอยู่นาน............เดียวยังคงหลับอุตุอยู่เหมือนเดิม คงเพราะอากาศยามดึกของที่นี่หนาวเย็นน่านอนนั่นเอง..........เสียงกุกกักดังแว่วมาจากห้องน้ำ มีแสงไฟลอดออกมารำไร..........คงเป็นพี่แดน..........คนอายุมากแล้วก็ตื่นเร็วแบบนี้แหล่ะ ผมคิดก่อนจะหันไปปลุกเพื่อนสาว...........

                       “แก ตื่นได้แล้ว............ทำตัวอืดอาดขี้เซางามหน้าพี่แดนเค้ามั้ยล่ะ”..........ผมเขย่าตัวหล่อนเบาๆ.........แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะค่อนขอด.............

                      “อืออออออออ........” เดียวส่งเสียงตอบอู้อี้........คงจะกำลังเรียกสติกลับจากนิทรารมย์แสนหวาน.............

                      “กี่โมงแล้วแก”..........หล่อนถามทั้งที่ยังหลับตาอยู่............ผมเหลือบไปมองนาฬิกา

                      “ตีสองครึ่ง แกรีบไปอาบน้ำเถอะ เดียวฉันจะโทรไปปลุกนัท”.........ผมบอก แล้วลุกไปหยิบโทรศัพท์โทรถึงนัท...............

                     
                       “ฮัลโหล...........นัทตื่นหรือยัง”       เสียงนัทตอบดังแว่วมาแผ่วเบา ยังดูสลึมสลืออยู่เลย

                      “ตีสามลงมารอพี่ข้างล่างเลยนะ เดี๋ยวพี่ก็ออกไปแล้ว”.............ผมสำทับก่อนจะวางสายแล้วหันมาจัดแจงความเรียบร้อยของสัมภาระ.................


                         บรรยากาศเชียงใหม่ยามวิกาลไม่แตกต่างกับจังหวัดเล็กๆที่ร้างผู้คนมากนัก..............ทั้งเงียบ ทั้งหนาว ไร้รถราสัญจร...........รถของเราค่อยๆแล่นเข้ามาจอดบริเวณหน้าหอพักคณะแพทย์...........เสียงสุนัขละแวกนั้นเห่าทักทายชั่วประเดี๋ยวก็เงียบลง...............สงสัยคงคร้านที่จะเห่า เพราะอากาศเย็นยามดึกแบบนี้ สู้เอาเวลาเห่าไปนอนงีบน่าจะฉลาดกว่า...............


                         ไม่นาน นัทก็เดินลงมาที่รถพร้อมกับเป้ปอนๆหนึ่งใบ...............ผมมองสำรวจการแต่งตัวของนัทจากระยะไกล..............ความจริงแม้ว่าผมจะชินและรับได้กับสภาพปอนๆของเค้า............แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เพื่อนสนิทของผมจะได้พบกับนัท............ไม่รู้ว่าหล่อนจะคิดยังไงบ้าง...........แต่ถึงยังไงความคิดของหล่อนก็ไม่มีอิทธิพลต่อผมหรอก..............เพราะผมเชื่อว่านัทมีคุณสมบัติที่ดีในระดับที่ผมไม่น่าจะต้องรู้สึกอายใคร.............ยกเว้นการแต่งตัวที่แสนจะซกมกของเค้าเท่านั้น........อิอิ..................


                       เมื่อนัทเดินมาถึงที่รถ เดียวก็ย้ายกลับไปนั่งที่เบาะหลังกับพี่แดน............ที่ว่างข้างคนขับจึงเว้นไว้สำหรับคนพิเศษของผมคนนี้..............ท่าทางทั้งคู่ดูประดักประเดิดเมื่อผมแนะนำให้รู้จักกัน...........คงเป็นเพราะว่าต่างฝ่ายต่างได้รับข้อมูลของกันและกันมาก่อน...............เมื่อมาเจอตัวจริงจึงไม่มีคำจะบรรยาย.............


                         ผมค่อนข้างจะใส่ใจสังเกตุดูพฤติกรรมของนัทมากเป็นพิเศษ..............แม้นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นัทเปิดตัวกับเพื่อนสนิทของผมอย่างเป็นทางการ...........แต่ก็ถือได้ว่าเป็นครั้งสำคัญเพราะเพื่อนสนิทของผมคนนี้เป็นเกย์.............และผมไม่แน่ใจว่า ตั้งแต่ครั้งที่เราคบจวบจนถึงวันนี้ ทัศนะของนัทที่มีต่อการใช้ชีวิตแบบเกย์ได้เปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหนแล้ว.............การเดินทางไปขอนแก่นในครั้งนี้จึงเหมือนเป็นการเก็บผลการทดลอง ที่ผมได้ใส่ปัจจัยต่างๆลงไปในตัวนัทมากมายตลอดเวลาที่ผ่านมา...........ส่วนจะได้ผลการทดลองที่น่าพึงพอใจหรือเปล่า คงต้องรอให้สิ้นสุดทริปนี้เสียก่อน...............


                        เมื่อรถแล่นออกมาจากเชียงใหม่ได้ไม่นาน............นัทกับเดียวก็เข้ากันได้อย่างรวดเร็ว.........นี่เป็นคุณสมบัติที่ดีอย่างหนึ่งของเดียว...............หล่อนเป็นเพื่อนคนเดียวของผมที่สามารถเข้ากับเพื่อนคนอื่นๆของผมได้..............เนื่องจากเพื่อนผมคนอื่นๆที่เป็นเกย์จะมีความเป็นอัตตาสูงมาก........เมื่อมีโอกาสมาเจอกัน ต่างฝ่ายต่างมักจะบอกให้ผมเลิกคบกับอีกฝ่ายเสมอ.........ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม........... คิดๆแล้วก็ตลกดี..............


                       “แฟนแกนี่ตลกดีนะ อ้วนกะปุกลุกเชียว” เดียวเข้ามากระซิบเมื่อเราแวะจอดพักรถที่ปั๊มแห่งหนึ่ง..............

                      ผมมองดูนัทยืนยืดเส้นยืดสายอยู่ไม่ไกลนัก.............ตลกสิ...........ตัวสูงๆอ้วนๆ..........ใส่กางเกงแบบทหารขาสี่ส่วนสีมอๆ.........เสื้อก็ดูปอนๆคับติ้ว......แต่ไม่ใช่คับเพราะว่าเป็นเสื้อเข้ารูป..........หากแต่คับเพราะว่าไม่พอดีตัว..........เหมือนเอาเสื้อน้องมาใส่............

                        “หัวเราะอะไร”...........นัทหันมาถามตาขุ่นเมื่อเห็นผมกับเดียวยืนกระซิบกระซาบหัวร่อต่อกระซิกกัน...........

                        “เปล่า.......หัวเราะไปเรื่อยเปื่อย”.............ผมแกล้งทำหน้าตายกลบเกลื่อน............ถึงเค้าจะดูตลกในสายตาผม แต่ผมก็รักเค้า............ไม่เคยนึกรังเกียจหรือดูหมิ่นแม้สักเพียงน้อยนิด..............หากแต่ขำเพราะว่าบังเกิดความเอ็นดูมากกว่า............เค้าเป็นตัวเค้าแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว.............


                           เรายังคงเดินทางต่อจนถึงเวลาอาหารมื้อเที่ยง..............เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นนัทไม่ค่อยงอแง และไม่เรื่องมาก............ผิดกับเวลาที่อยู่กันสองคน...........ตอนนี้นัทเป็นคนใหม่ที่กินอะไรก็ได้ (ยกเว้นหมู) ไม่พูดมาก..........นิสัยดี........ไม่ปากร้าย.........ดูๆไปก็ไม่ใช่นัทที่ผมคุ้นเคยสักเท่าไหร่........เวลาที่เราต้องเข้าสังคมกับคนอื่น เราก็คงต้องซ่อนสิ่งที่เป็นตัวเราเอาไว้ข้างในแบบนี้เหมือนกันกระมัง.............


                         ภาคบ่ายเป็นคิวที่พี่แดนต้องเปลี่ยนมาขับรถบ้าง................ตั้งแต่เช้ามานี่ แกไม่ค่อยสนทนากับคนอื่นนัก..........นอกจากนั่งนิ่งทำหน้าตูม...........เป็นอะไรก็ไม่รู้ หรือว่าจะท้องผูก..........

                          “พี่แดนเค้างอน ที่เมื่อคืนได้ยินเราคุยกันแต่เรื่องผู้ชาย..........เค้าหาว่าแกน่ะยุฉันให้แรด.....แบบแก”...........เดียวเน้นคำว่า แรดแบบแก ในตอนท้าย...........

                         
                            เชอะ............สำคัญผิดไปแล้ว.............ผมนี่นะแรด.........โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเดียว........กะเอาไว้แล้วไม่มีผิด ว่าเมื่อคืนเค้าจะต้องแอบฟังเราคุยกัน..........แสดงว่าอีตานี่ไม่มีสัมผัสข้างในเลยว่า ลึกๆแล้วใครเป็นยังไง.........คนไม่แรดกลับประเมินว่าแรด..............ส่วนแรดตัวจริง กลับมองว่าเรียบร้อยหัวอ่อน..............หุหุ.........แต่ผมไม่โกรธเค้าหรอก เพราะเค้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมเป็นใคร นอกจากรู้แค่ว่าชื่อกั้ง............


                             ผมกับนัทเปลี่ยนมานั่งที่เบาะหลังด้วยกัน.............ส่วนพี่แดนกับเดียวย้ายไปนั่งที่เบาะหน้า...........ตะวันคล้อยบ่ายแสงเริงแรงจัดจ้า.........บรรยากาศน่านอนเป็นที่สุด............


                              เพราะเหตุนี้ นัทจึงเอนตัวลงมานอนที่ตักผมในเวลาต่อมา..............ผมยกมือขึ้นลูบผมนัทเบาๆอย่างรักใคร่........แม้ว่าผมจะไม่ได้แสดงความรักอะไรออกมามากนักในตอนนั้น............แต่ในใจผมนั้นเต็มตื้นไปด้วยความปิติ...........การหนุนตักอาจจะเป็นสิ่งที่ดูปกติในการปฏิบัติต่อกันในฐานะคนรัก.............แต่การหนุนตักของนัทในครั้งนี้เป็นการกระทำต่อหน้าคนอื่น ซึ่งปกตินัทจะคอยระวังพฤติกรรมพวกนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นเสมอ...............หรือว่าเค้าจะยอมรับความรู้สึกของตัวเองแล้วว่า ความจริงแล้วเค้าคิดยังไงกับผม..............แต่ก็ไม่แน่หรอก.............การที่อยู่ในรถที่มีแต่เกย์ด้วยกัน อาจทำให้เค้ารู้สึกปลดปล่อยและปลอดภัย.............ความเป็นตัวของตัวเองจึงเผยออกมา.............ต่อเมื่อกลับเข้าสู่สังคมปกติอีกครั้ง เค้าก็คงกลับไปเป็นเหมือนเดิม................นี่ผมจะช่วยเค้ายังไงดี.............ผมอยากให้เค้าหาจุดสมดุลของชีวิตให้เจอ................อยากให้เค้าได้ทำในสิ่งที่ตัวเองปรารถนาและไม่ขัดกับความรู้สึกภายในใจของเค้ามากจนเกินไป.................ถ้าเค้ายอมให้ผมช่วย..............ผมจะคอยอยู่เคียงข้างเค้า.............ขอเพียงอย่างเดียว อย่าเพิ่งปล่อยมือแล้วเดินหนีจากผมไปก็พอ.............
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 29-08-2007 15:18:20
มาลุ้นช่วยคุณกั๊งนะ  :a1:  :a1:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 29-08-2007 18:17:17

งงคำว่าอัตตานิดๆ ไม่รู้ว่าแปลว่าอารายครับ  คาใจ      o2

ทำตัวดีๆกะเค้าก้อเป็นเนอะ หุ หุ

อืม ถึงจากะปุกลุก  ก้อร๊ากกกก แหวะ...อิ อิ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 29-08-2007 18:50:18
หุหุ ตอนนี้มีหวานนิด ๆ แฮะ  :m1:  :m1:  :m1: นาน ๆ จะมีฉากสวีท ๆ ที  :a1:  :a1:  :a1:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 29-08-2007 19:43:43
นอนตักกันแว้ว

 :m3: :m3: :m3:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 29-08-2007 21:38:00
 :m1:  :m1:  :m1:  :m1:

 :m4:  :m4:  :m4:

 :m10:  :m10:

 :m7:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 30-08-2007 10:20:46
อัตตา ก็แปลว่ามีความยึดมั่นถือมั่นในความเป็นตัวเป็นตนสูง หรือมี ego สูง
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 31-08-2007 08:43:21
                         ทำไมขอนแก่นมันไกลมากขนาดนี้นะ.......................นี่ก็จวนจะมืดอยู่แล้วพวกเรายังมาถึงแค่ชุมแพอยู่เลย........................โชคดีนะที่มีนัทมาเป็นเพื่อน...............ไม่งั้นมีหวังขากลับ ผมคงต้องกลายเป็นผีเฝ้าโค้งที่ไหนสักแห่งเป็นแน่..............

                         “แกโทรถามนังปิ๋มทีสิ ว่ามันจองที่พักให้เราที่ไหน”...........เดียวเสนอความคิดให้ผมโทรไปเช็คที่พักกับปิ๋มเพื่อฆ่าเวลาแก้เบื่อ............

                         “ดีเหมือนกัน..........เมื่อไหร่จะถึงสักทีก็ไม่รู้.........ฉันเหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว”............ผมบ่นพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรถึงปิ๋ม..............เฮ้อ.......นี่ถ้าไม่เห็นว่าเป็นเพื่อนรัก ผมก็คงไม่ถ่อสังขารมาถึงนี่หรอกนะ.........ทั้งไกล ทั้งเปลือง..........แถมยังต้องลากเอาคนอื่นให้มาลำบากด้วยอีกตั้งเป็นโขยง...............


                          “ฉันจองที่พักให้แกแล้วนะ.........สองห้อง จ่ายตังเรียบร้อยแล้ว........พอเข้าที่พักแล้วแกรีบมาที่บ้านฉันเลยนะ ตอนนี้คุณแม่ลิลลี่มารออยู่นานแล้ว”............คุณแม่ลิลลี่ หรือลิลลี่ที่ปิ๋มพูดถึงเป็นเพื่อนเกย์คู่หูของผมตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาตรี..........พอเรียนจบเราก็ต่างแยกย้ายกันไปคนละทิศทาง........หล่อนไปเป็นครูแถวบ้าน.......ผมมาเรียนที่กรุงเทพ.......เราสองคนจึงแทบจะไม่ได้พบกันอีก........ได้ข่าวว่า ตอนนี้หล่อนออกสาวเต็มที่แล้ว หลังจากที่ทนเก็บกดความเป็นหญิงมานาน...........

                         “ฉันไปเยี่ยมมันที่บ้านพักครู.........ที่ตู้เสื้อผ้ามันมีแต่ชุดแบบผู้หญิงเต็มไปหมดเลยนะแก”...........เดียวเคยสาธยายให้ผมฟังด้วยใบหน้าขบขัน หลังจากที่หล่อนได้มีโอกาสไปเยี่ยมลิลลี่ที่บ้าน........

                         “พอตกกลางคืนมันก็พาฉันไปดูหมอลำ.........แถมมันยังแต่งหญิงด้วยนะแก........ฉันละอายแทน”........เดียวเล่าต่ออย่างมันส์ปาก

                         “แล้วไงอีก”........ผมซักไซ้ต่อด้วยความขบขันเมื่อนึกจินตาการถึงลิลลี่ที่ผมเคยรู้จัก

                        “มันก็ปล่อยฉันไว้คนเดียว แล้วมันก็หายไปทั้งคืน.........กลับมาอีกทีก็ใกล้สว่าง.........ฉันไม่อย่างบรรยายสภาพ...........แกเอ๊ยยยย........ กระเซอะกระเซิง........เดินหิ้วรองเท้าส้นสูงกลับมา ผมเผ้าหลุดลุ่ยจนฉันแทบจะจำไม่ได้.......”...........ผมนึกขำกับเรื่องที่ได้ฟัง ทั้งขำทั้งเป็นห่วง.........นี่หล่อนจะใช้ชีวิตเสี่ยงเกินไปแล้ว..............

                        “แล้วทำไมแกไม่ออกหากินกับมันด้วยล่ะ”........ผมพูดแดกเดียวเล่นเพื่อหยั่งเชิงว่าหล่อนจะทำอย่างว่าด้วยหรือเปล่า.......

                        “ฉันกินไม่ลงหรอก.........เถื่อนจะตาย แกก็รู้”...........เดียวทำปากเบะ......ผมเชื่อที่หล่อนพูด........คนบางคนก็มีทางเลือก........แต่บางคนก็ไม่มี.........ซึ่งก็แน่นอนว่าเดียวย่อมมีทางเลือกที่ดีกว่า.......ก็เกย์ในเมืองมีให้หล่อนล่าออกเพียบ..........แต่ถ้าจะเทียบความดิบ เถื่อน แมน แบบผู้ชายบ้านนอก คงเทียบกันไม่ติด..........

                         ปกติในชนบททางภาคอิสาน ชาวบ้านมักจะนิยมจ้างหมอลำมาแสดงในงานบุญต่างๆ............ซึ่งมักจะมีการแสดงตั้งแต่หัวค่ำยันสว่างคาตา.............คนจากหมู่บ้านต่างๆในละแวกใกล้เคียงต่างแห่แหนกันมาชมการแสดงกันอย่างคับคั่ง.............เพราะมันเป็นงานรื่นเริงเดียวที่คนในชนบทพอจะหาความบันเทิงได้นั่นเอง...............

                         บริเวณหน้าเวทีหมอลำ จึงเป็นแหล่งรวมของพวกผู้ชายขี้เมากลัดมันทั้งหลาย............และสีสันที่ขาดไม่ได้ก็คือบรรดากระเทยที่มักจะมาพร้อมกับขวดเหล้าพร้อมแก้วที่ถืออยูในมือในท่าเตรียมพร้อมเสมอ..........คอยรินให้คนนั้น........ยื่นให้คนนี้...........ซึ่งพวกผู้ชายขี้เมาก็มักจะไม่ปฏิเสธ..........ตกดึกเมื่อพวกผู้ชายเหล่านั้นเมาได้ที่แล้ว...........ไม่ว่ากระเทยหรือผู้หญิง ก็คงไม่ได้แตกต่างกัน ขอเพียงแค่ให้ใส่กระโปรงเหมือนกันเป็นอันพอ............ดังนั้นงานหมอลำจึงเป็นที่ชุมนุมของพวกผู้ชายและกระเทยทั้งหลายไปโดยปริยาย.............

                         “บางทีก็มีเขม่นกันนะแก....ประมาณว่าหากินทับเส้นกับเจ้าถิ่น........โดยเฉพาะถ้าพวกฉันสวยกว่า”...........ลิลลี่เคยเล่าให้ผมฟังอย่างภาคภูมิใจในความสวยของหล่อน...........ผมฟังด้วยความตื่นเต้น..........มันเป็นโลกที่ผมจินตาการไม่ถึง.............ทั้งนึกประหลาดใจเพราะไม่คิดว่าเพื่อนที่จากกันไปแค่หกเจ็ดปีจะเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้............คนรอบตัวผมที่เป็นเกย์รุ่นเดียวกัน ล้วนเปลี่ยนไปแทบทั้งสิ้น............ไม่ว่าจะเป็นเดียว หรือลิลลี่.........ในขณะที่ผมยังย่ำอยู่กับที่..........แต่จะว่าไปแล้ว ก็แอบเพิ่มดีกรีความแรงขึ้นมาบ้างทีละน้อยตามสมควรนะ.........อิอิ.........

                         “แกก็ระวังหน่อยแล้วกัน เป็นครูบาอาจารย์ ทำประเจิดประเจ้อเดียวคนอื่นเค้าจะเอาไปนินทา”...........ผมเตือนหล่อนด้วยความหวังดี..........แต่ไม่ได้จริงจังในคำพูดมากนัก........ชีวิตของเค้า ก็ควรปล่อยให้เค้าลิขิตเอาเอง...........

                        “แกไม่ต้องมาห่วงฉันหรอก........ว่าแต่แกเหอะเมื่อไหร่จะมีผัวกับเค้าสักที.........ระวังเหี่ยวแล้วจะไม่มีคนมาเอา”...........หล่อนยังไม่วายหันมาแขวะผมเข้าอีกจนได้...........

                        “แกไม่รู้อะไร......สมัยนี้มัวแต่จะคอยหาผัว มีหวังได้ขึ้นคานกันพอดี........เกย์ยุคใหม่เค้าต้องได้หมดเว้ย”...........ผมชี้ให้หล่อนเห็นถึงค่านิยมที่เปลี่ยนไปของเกย์ในเมืองยุคใหม่............หมดสมัยแล้วไอ้เรื่องที่จะไปตามรักตามชอบผู้ชายให้เค้าหลอกถลุงใช้เงินเล่นไปเปล่าๆปลี้ๆ...........สมัยนี้มันต้องช่วยๆกัน..........เปลี่ยนบทบาทกันมั่ง เท่าเทียมดี.........แม้ว่าเกย์จะหาความจริงใจได้ยาก..........แต่ก็คงง่ายกว่าการรอคอยความรักและความจริงใจจากผู้ชาย............เพราะอย่างมากก็คงได้แค่ความสงสาร.......ผมไม่อยากได้ความสงสารหรอกนะ.............

                         “ต๊าย........เฮอะๆ.........บัดสี.........ฟังแล้วขนลุก”............หล่อนว่าพลางทำเสียงสะบัดสะบิ้ง..........................................................



                         “กั้ง..........แกซื้อดอกไม้มาด้วยหรือเปล่า..........ที่บ้านฉันไม่มีดอกไม้ประดับเลย”.......ปิ๋มเอ่ยทวงดอกไม้ที่เดียวอาสาว่าจะซื้อมาให้จากเชียงใหม่..............

                         “ซื้อมาสิ............เอาไว้ไปถึงแล้ว จะเอาไปประดับบ้านแกให้สวยหรูไปเลย”............ผมบอก.......พลางนึกถึงดอกไม้ที่เก็บเอาไว้อย่างดีท้ายรถ..........มีทั้ง กุหลาบ ยิบโซ เฟิร์น และอื่นๆ หมดเงินไปพันกว่าบาท.........ขนาดว่าเชียงใหม่ดอกไม้ถูกยังกะดอกหญ้าแล้วนะ............



                             ตะวันลับขอบฟ้าไปได้ไม่นานนัก.........เราทั้งสี่ก็เดินทางมาถึงที่พักในที่สุด........ที่นี่อยู่ไม่ไกลจากบ้านงานมากนัก...........สภาพก็เรียบง่ายตามอัตภาพแบบชนบท.........แต่ก็พอได้ซุกหัวนอนอย่างสบายไปหนึ่งคืน.........ผมพักห้องเดียวกันกับนัท.........ส่วนเดียวก็พักกับพี่แดน...........ช่างเป็นสองคู่ชูชื่นซะจริงๆ...........พอขนข้าวของเข้าห้องเรียบร้อยแล้ว...........เราจึงได้มีโอกาสอยู่กันตามลำพังเป็นครั้งแรก........นัทดูมีท่าทีกระชุ่มกระชวยอย่างออกนอกหน้า.............สงสัยจะคึกเพราะได้เปลี่ยนบรรยากาศแน่ๆ..............ผมแอบคิดในใจ..........ในขณะที่ผมเอง ก็เกิดความรู้สึกใจหวิวๆ........ปั่นป่วนในท้องแปลกๆพิกล..........แสดงว่าผมเองก็รู้สึกคึกคักแบบเดียวกันกระมัง.......มิน่าล่ะ คู่รักที่อยู่กันมานานแล้ว เค้าจึงหาโอกาสออกไปสวีทกันที่นั่น ที่นี่บ้าง เพื่อเติมรสชาติให้กับชีวิตคู่ที่จำเจ.............เสียดายที่ตอนนี้ผมต้องรีบไปแล้ว..........เอาไว้ตอนกลับมาจากที่บ้านงานแล้วค่อยสวีทให้ชื่นใจทีหลังก็ได้........หวังว่าผมคงไม่เมาปลิ้นไปซะก่อนนะ.........

                           “นัทจะรออยู่ที่นี่ใช่มั้ย”..........ผมถามย้ำความมั่นใจกับนัทอีกครั้งหลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว แต่ก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะให้เค้าไปด้วยแต่อย่างใด..........เพราะขืนไปก็จะยุ่งยากเรื่องการกินอยู่ที่ไม่เหมือนชาวบ้าน...........ไหนผมจะต้องมานั่งคอยพะวงเป็นห่วงต่างๆนานาอีก......ให้รออยู่นี่ก็ดีแล้วล่ะ....................

                            “ไม่ไปหรอก.........พี่กั้งไปเหอะนัทอยู่ได้”..........นัทบอก.........ผมจึงหยิบกระเป๋าเดินออกจากห้องไป......................

                          “แล้วพี่จะเอาของกินมาฝากนะ”..........ผมหันมาสั่งเสีย ก่อนจะปิดประตูทิ้งให้นัทอยู่ตามลำพัง...........พวกเรายังไม่ได้กินข้าวเย็นกันเลย..........นัทจะหิวหรือเปล่าก็ไม่รู้..........แต่ก็พอมีของกินที่เราซื้อเอาไว้ระหว่างทางอยู่บ้าง..........คงจะพอใช้ประทังความหิวไปได้สักระยะ..........จะว่าไปแล้วผมก็นึกเป็นกังวลอยู่บ้างเหมือนกัน..........แม้ใจผมจะอยากรีบกลับมาหายอดรักให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้............แต่ประเมินตามสถานการณ์แล้ว คงจะเป็นไปได้ยาก............เพราะเรามาถึงช้ากว่าเวลาที่กำหนดเอาไว้มาก...........หากทำเป็นไปนั่งที่บ้านงานสักประเดี๋ยวแล้วกลับออกมาเลย คงดูไม่ดี...........อีกทั้งผมก็อยากจะอยู่คุยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบเพื่อนฝูงตามสมควร............แต่ยังไงก็จะพยายามรีบกลับมาก็แล้วกัน.............


                           ปิ๋มและลิลลี่รีบกระวีกระวาดออกมาต้อนรับเมื่อพวกเรามาถึงที่บ้านงาน..............หลังจากถามไถ่กันพอหอมปากหอมคอ..........ผมก็ได้รับฟังแผนการของพิธีแต่งงานอย่างคร่าวๆ.............พิธีแต่งจะจัดอย่างง่ายๆพรุ่งนี้เช้า.............มีขบวนแห่ขันหมาก.........บายศรีสู่ขวัญ และผูกข้อไม้ข้อมือเป็นอันเสร็จ...............ดังนั้นคืนนี้จึงมีญาติๆและเพื่อนฝูงของเจ้าบ่าวและเจ้าสาวอยู่เต็มบ้านไปหมด.............ต่างคนต่างช่วยกันหยิบนั่นจับนี่ ตระเตรียมสถานที่สำหรับงานวันพรุ่งนี้กันอย่างขมีขมัน............ส่วนพวกที่ไม่รู้จะช่วยอะไรก็นั่งสุมหัวจับกลุ่มดื่มเหล้าคอยเป็นกำลังใจอยู่ห่างๆ..............

                          พวกเราก็รีบลงมือจัดการกับดอกไม้ที่นำมาทันที............ต่างคนต่างออกไอเดียว่าจะตกแต่งตรงไหนบ้าง............

                         “ฉันว่าทำเป็นซุ้มดอกไม้ตรงนี้ดีมั้ย..........ตอนขบวนแห่มาจะได้ผ่านตรงนี้เข้าไป” .......เดียวออกความเห็น.............ซึ่งทุกคนก็เห็นดีด้วย...........

                        "ดอกไม้ที่เหลือก็จัดประดับเป็นพานคู่ เอาไว้วางกับพานบายศรี ตอนพิธีผูกแขน”..........หล่อนยังคงสั่งการต่ออย่างมืออาชีพ.............ผมแอบมองด้วยความแปลกใจ..............นี่นังเดียวมันก็เป็นเรื่องพวกนี้ด้วยเหรอเนี่ย.............นึกว่าดีแต่อ่อยผู้ชายไปวันๆ............ส่วนผมทำอะไรไม่เป็น จึงมีหน้าที่ช่วยตัดดอกไม้เรียงเอาไว้ ตามแต่จะมีใครเรียกใช้สอย................

                         ผู้คนที่อยู่ในงานต่างหันมาให้ความสนใจกับพวกเราผู้มาใหม่...........ซึ่งมาพร้อมกับดอกไม้และความโกลาหล...........ระหว่างนั้น ผมสังเกตเห็นว่ามีหนุ่มๆหน้าตาดีกลุ่มหนึ่ง นั่งล้อมวงดื่มเหล้าคอยแอบมองดูพวกเราอยู่เงียบๆ..............

                        เจ้าบ่าวเป็นทหารเรือ.........เพราะฉะนั้นพวกที่นั่งล้อมวงอยู่ตรงนั้นก็น่าจะเป็นทหารเรื่องที่มาจากสัตหีบสินะ..........ท่าทางไม่เลว...........ผมแอบประเมินอย่างรวดเร็วในใจ...........ในกลุ่มนั้นมีคนที่ดูเข้าทีอยู่หนึ่งคน...........ผิวขาวสะอาด พูดจาฉะฉาน เรียกความสนใจได้ไม่เลว สงสัยจังว่าชื่ออะไรนะ..........นิสัยชอบยั่วยวนมารยาของผมเริ่มออกแสง................ดูท่าทางลิลลี่ก็จะสนใจผู้ชายกลุ่มนี้อยู่เหมือนกัน............ยกเว้นเดียวที่ทำอะไรมากไม่ได้ เพราะมีพี่แดนหน้าปลาบู่ มานั่งทำหน้าตูมคอยคุมเชิงอยู่...............คิดแล้วก็ให้รำคาญแทน.............คนอะไร...........ทำหน้างอยังกะจวักอยู่ได้ทั้งวัน...........

                           ผมเริ่มวางแนวทางในการจัดการเป้าหมายเอาไว้ในใจอย่างคร่าวๆ..............ไม่ใช่ว่าจะทำพฤติกรรมนอกใจหรอกนะ........แต่บริหารเสน่ห์มันก็สนุกดีอยู่ไม่ใช่หรือ...........ผมรู้ตัวเองดีว่าอย่างมากก็ทำได้แค่คิดนั่นแหล่ะ.........ใจคอคุณคงไม่คิดจะให้ผมปิดกั้นแม้กระทั่งความคิดหรอกนะ..........ไม่งั้นคืนนี้คงจะเซ็งน่าดูเลย........หุหุ...............
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 31-08-2007 14:25:30

ริอ่านจะกินทหารเรือเรอะ?

ร้ายไม่หยอกนะเนี่ย  :m26:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 31-08-2007 14:47:03
อ๋อ แน่นอนอยู่แล้ว........อิอิ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 31-08-2007 15:27:31
ระวังจะกลายเป็นเรื่องทะเลาะกันนะ
 :m21: :m21: :m21: :m21:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 31-08-2007 15:40:35
กินมันทุกเหล่าเลยคุณกั๊ง  :m26:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 31-08-2007 19:13:37

เห็นแล้วเป็นไม่ได้เชียว     o12 o12

หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 31-08-2007 20:12:06
หุหุ แล้วสำเร็จมั๊ยล่ะ  :m17:  :m17:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 03-09-2007 09:52:33
                          ดอกกุหลาบและดอกไม้บริวารหลากชนิดถูกนำมาวางแยกไว้เป็นกองๆบนโต๊ะ พร้อมกับถังน้ำใบใหญ่..........ผมลงมือตัดแต่งใบและกิ่งของดอกไม้เหล่านั้นให้ได้ขนาดพอเหมาะ สำหรับนำไปใช้ตกแต่งขึ้นช่อ.............เดียว ปิ๋ม กับลิลลี่กำลังสาละวนอยู่กับการหาวิธีฝังเสาเพื่อทำเป็นซุ้มดอกไม้หน้างาน...........พวกผู้ชายยังคงจับกลุ่มดื่มเหล้าและคอยลอบมองมาเป็นระยะๆ............ดูท่าพวกเราจะเรียกความสนใจได้อย่างต่อเนื่องดีไม่น้อย.............เดี๋ยวตกดึก คงได้มีลุ้นอย่างไม่ต้องสงสัย...............แต่ขืนปล่อยให้มองอยู่แบบนี้คงไม่ทันการ ผมจึงลุกเข้าไปเพื่อที่จะช่วยให้อะไรต่ออะไรมันเร็วขึ้นมาอีกนิด................

                         “เอามานี่ซิ........เดี๋ยวฉันจะช่วยขุด”.............ผมเอ่ยปากขอเสียมมาจากเดียว ทั้งที่ปรกติงานพวกนี้ผมจะไม่เคยแตะถ้าอยู่กับพื่อนๆ............ดูสิว่าพวกนั้นจะทนดูดายต่อไปได้อีกนานสักแค่ไหน.............

                        ไม่หมูอย่างที่คิดเอาไว้แต่แรกเลย............ดินตรงนี้แข็งยังกะหิน............ผมเริ่มรู้สึกเจ็บที่มือจนอยากจะวางเสียมทิ้งเอาไว้เสียเดี๋ยวนั้น ถ้าไม่กลัวจะเสียฟอร์ม...........จึงได้แต่ทำท่าขุดแหยกๆพอเป็นพิธี..............ท่าทางคงจะขัดต่อสายตาผู้ที่ได้พบเห็นอยู่ไม่น้อย..........

                         “เฮ้ยไอ้แมค.............เอ็งก็ไปช่วยเค้าขุดหน่อยดิ๊วะ”............เสียงหนึ่งดังแว่วมาจากกลุ่มเพื่อนเจ้าบ่าว............ได้ผลแฮะ........ผมวางเสียมลงแล้วหันไปมอง.............

                          “มาครับ.........เดี๋ยวผมช่วย”..........ผู้ชายที่ชื่อแมค หรืออีกนัยหนึ่ง ก็คือผู้ชายผิวขาวที่ดูดีที่สุดในกลุ่มคนนั้นนั่นเอง........อ๋อ.........ที่แท้ก็ชื่อแมคนี่เอง............ผมแอบคิดในใจ

                        ผมยิ้มแล้วยื่นเสียมให้แมคโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา.............เพียงแต่ถอยออกมายืนดูอยู่ใกล้ๆ.........ระหว่างนั้นผมจึงแอบพินิจดูเค้าไปพลางๆ............ผิวดูขาวดีจัง แต่ไม่ใช่ขาวแบบคนจีน เป็นความขาวนวลๆอมเหลืองแบบคนนครพนม หรือไม่ก็น่าจะเป็นมุกดาหาร.............ท่าทางทะมัดทะแมงดี หน่วยก้านก็ดูไม่เลว...........หน้าตาก็น่ารักคมคาย...........ที่สำคัญดูกะล่อนแพรวพราวไม่ใช่เล่น..............ท้าทายดีชะมัด.............

                        ลิลลี่เดินเข้ามากระแซะอยู่ข้างๆ.............ผมหันไปมอง เห็นหล่อนจ้องดูแมทตาเป็นมัน...........หึหึ...........ดีล่ะ ยุส่งไปเลยดีกว่า............

                        “น่ารักดีมั้ย” ผมหันไปถามแล้วยิ้มอย่างคนรู้ใจ............ลิลลี่ไม่ว่าอะไรนอกจากยิ้มตอบ ........ยิ้มแบบนี้แสดงว่าชอบ...............ทำให้ผมนึกย้อนไปถึงอดีต สมัยที่เรายังเป็นคู่หูกันเมื่อครั้งยังเรียนปริญญาตรี.............

                       ผมไม่รู้ว่าพฤติกรรมของผมในตอนนั้นเรียกว่าเป็นการทรยศเพื่อนหรือเปล่า...........แต่ผมก็ทำกับหล่อนไปแล้ว............เพราะเหตุผล คือความที่ตัวเองไม่กล้า และกลัวเสียหน้า จึงดึงเอาเพื่อนมาเป็นโล่ห์กำบัง........แล้วฉกผู้ชายมาเองในภายหลัง..............

                        สมัยนั้นผมแอบชอบรุ่นพี่ปริญญาโทคนหนึ่งชื่อพี่กาย..............ชื่อเสียงพี่กายค่อนข้างฮอทพอสมควรในหมู่เกย์รุ่นน้อง...........ผมรู้ว่าพี่กายเองก็แอบมองผมอยู่เหมือนกัน แต่ยังไม่สบโอกาสได้พูดคุย.........และผมก็ขี้อายยิ่งกว่านางอายในสวนสัตย์เชียงใหม่เสียอีก.............ดังนั้นผมจึงคิดหาแนวร่วมโดยดึงเอาลิลลี่เข้ามามีเอี่ยว..............ด้วยการยุส่งให้หล่อนชอบพี่กายเหมือนครั้งนี้ ....

                        เหมือนชะตาฟ้าลิขิต......ในที่สุดเราก็บังเอิญไปพบกันที่ตลาดโต้รุ่งในคืนหนึ่งเข้าจนได้.............ผม ปิ๋ม และลิลลี่ เดินมาด้วยกันหลังทานข้าวเสร็จ............พลันสายตาผมก็ไปปะทะกับสายตาคู่หนึ่งที่จ้องมองมาอยู่ก่อนแล้ว.........พี่กายนั่นเอง........หัวใจของผมหล่นวูบทันที...........ปรกติถ้าผมชอบใคร ผมจะมีอาการร้อนวูบวาบและก็มือไม้สั่นเสมอเมื่อได้พบสบตา............เค้าส่งยิ้มมาที่พวกเรา..............แม้ใจผมจะรู้ว่าคนที่เค้ายิ้มให้น่าจะเป็นผมมากที่สุดในกลุ่ม เพราะเราสองคนเคยแอบสบตากันมาก่อนหน้านี้แล้ว...........แต่ผมก็ยังไม่มั่นใจอยู่ดีว่าเค้ายิ้มให้ใครกันแน่................

                        “สงสัยเค้าจะชอบแก”............ผมโบ้ยให้ลิลลี่ทันที.......ซึ่งหล่อนก็เต็มใจรับไว้โดยที่ไม่ได้โต้แย้งอะไร...........หล่อนไม่ได้หลงตัวเองหรอก แต่หล่อนรู้นิสัยผมดีมากกว่า...........

                         ผมรู้สึกตกประหม่าจนควบคุมสติไม่อยู่ จึงลากเพื่อนๆเดินเลี่ยงไปที่ร้านขายผลไม้ที่อยู่ใกล้กันนั้น..........ขณะที่ผมกำลังเลือกซื้อผลไม้อยู่นั้น พี่กายก็เดินตามมายืนอยู่ข้างๆ............ถ้าตอนนั้นหากผมรู้เท่าทันผู้ชายอย่างเช่นที่เป็นในปัจจุบันนี้ ผมก็คงไม่ตกหลุมพรางของคนกะล่อนแบบพี่กายง่ายๆหรอก.........

                          “แม่ค้า.........ของน้องคนนี้คิดเงินที่ผมเลยนะครับ”...........พี่กายบอกแม่ค้าก่อนจะหันมายิ้มละไม...............ผมไม่กล้าแม้แต่จะพูดอะไรออกมา นอกจากยื่นเงินให้แม่ค้า แล้วรับเงินทอนเดินจากมา พร้อมความรู้สึกชาไปทั้งใบหน้าด้วยความอาย............

                          หลังจากที่กลับมาตั้งหลักเรียกสติกลับคือมาที่หอพักได้แล้ว.............ผมจึงเดินหมากต่อในวันรุ่งขึ้นทันที..............

                         “เราลองชวนเค้ามากินสุกี้กันดีมั้ย”..............ผมบอกแผนการที่วางเอาไว้ให้ปิ๋ม กับลิลลี่รับรู้ ซึ่งทั้งสองคนก็เห็นดีด้วย............แต่ผมไม่กล้าไปชวนเค้าตรงๆหรอกนะ.............เพราะผมไม่ถนัดเรื่องรุกไล่..........แต่ผมถนัดเรื่องทอดสะพานมากกว่า...........ถ้าจะเปรียบวิธีการทั้งสองนี้ ก็คงเหมือนกับวิชาของบู้ตึ้ง ที่เน้นใช้ความรุนแรงเข้าจู่โจม ฟาดฟัน.............ในขณะที่สำนักง้อใบ้ จะเน้นความอ่อนช้อย นุ่มนวลในการรับมือ..........และผมเอง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าถนัดแนวง้อใบ้................

                         “เย็นนี้ถ้าว่าง หนึ่งทุ่ม มาทานสุกี้ด้วยกันมั้ยครับ ที่ร้านหลัง ม. จากคนที่เจอกันที่ร้านขายผลไม้ที่ตลาดโต้รุ่ง ลงชื่อ ลิน”............ชื่อเดิมของลิลลี่ ก็คือ ลิน แต่ชื่อลิลลี่นั้น เพื่อนๆเอามาตั้งใหม่ให้เหมาะสมกับบุคลิกของหล่อนในภายหลัง...........ผมไม่กล้าแม้กระทั่งจะใช้ชื่อของตัวเองในการเขียนจดหมาย..........ทำไมถึงเป็นคนอย่างนี้นะ............ถึงกระนั้น ในปัจจุบันนี้ก็ยังเป็นแบบเดิมอยู่...........เวลาไปเที่ยวกลางคืนด้วยกัน หากเจอใครที่ถูกใจ ถ้าเดียวไม่ช่วย ผมก็คงไม่มีปัญญาทำอะไร นอกจากยืนมอง...........แต่ถึงได้เบอร์มาผมก็ไม่โทรไปอยู่ดี........เพราะอาย.......จึงได้แต่นั่งรอให้เค้าเป็นฝ่านโทรมาเอง ซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่า ได้แต่รอเก้อตลอดศก.............

                        “แกเอาไปเสียบไว้ที่หน้ารถพี่เค้าเร็ว”..........ผมออกคำสั่งกับลิลลี่.........แล้วยืนมองตามด้วยใจระทึก............

                        ตกเย็นพี่กายก็ตามมาที่ร้านสุกี้จริงๆ...........ผมแทบหัวใจหยุดเต้น............ไม่อยากจะเชื่อว่าเค้าจะมา.........

                        “คนไหนชื่อลินครับ..”.............พี่กายถามถึงคนชื่อลิน............ซึ่งหล่อนก็ต้องออกหน้ารับแทนไปเต็มๆ..............ส่วนผมเองก็รู้สึกผิดอยู่หน่อยๆ............อีตาบ้านี่จะมาถามชื่อถามเสียงให้ได้อายไปทำไมกันก็ไม่รู้..............

                       “พี่ไปก่อนนะครับ กินให้อร่อยนะ” พี่กายกล่าวลา ก่อนจะทอดสายตามาทางผม ที่ก้มหน้านิ่งอยู่ด้วยความอับอาย..............เค้าก็น่าจะรู้ว่าเป็นผมนี่นา............แล้วทำไมต้องมาถามว่าเป็นคนไหนด้วย.............หรือว่าจะมองเอาไว้หลายคน...............

                        วันต่อมาผมกับปิ๋มไปแอบดักพี่กายที่ลอบบี้หน้าห้องเลคเชอร์..............แต่จะว่าไปดัก ก็คงไม่เชิง เพราะผมเองก็ไปรอเรียนเหมือนกัน แต่ไปเร็วกว่าปกติเฉยๆ..............อิอิ............

                         แล้วพี่กายก็เดินออกมาจากห้องเรียนพร้อมกับเพื่อนๆของเค้า..............เค้ายิ้มมาที่ผมทันทีเมื่อมองมาเห็น.........หัวใจของผมเต้นไม่เป็นจังหวะอีกแล้ว............ทั้งอายก็อายแต่อยากได้ก็อยากได้ จึงทนยืนทำหน้าด้านเหมือนคนไร้ยางอายอยู่ตรงนั้น.............

                         “สวัสดีครับ...........พี่ฝากเบอร์ไว้ให้ลินหน่อยสิครับ”..............พี่กายยื่นเบอร์โทรมาให้..........ผมยื่นมือไปรับด้วยความตื่นเต้น..............อีกใจหนึ่งก็นึกฉงนว่า นี่เค้าให้เบอร์กับผมหรือว่าให้ลินจริงๆกันแน่..........

                         “อย่าลืมโทรมานะครับ”...........พี่กายกล่าวทิ้งทายก่อนจะเดินจากไป...............เค้าคงให้เบอร์ผมมากกว่าจะเป็นลินนั่นแหล่ะ........ผมคิดเข้าข้างตัวเอง............


                         ตกเย็นผมรีบนำเรื่องนี้ไปเล่าให้ลินฟัง...............พวกเราสามคนจึงตัดสินใจโทรศัพท์ไปถึงพี่กายทันที.............และไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผมจะต้องเป็นคนโทร...............(เรื่องนี้จะไม่มีมลทินเลยถ้าผมไม่เอาลิลลี่เข้ามาเกี่ยวด้วยตั้งแต่แรก ถึงอย่างไรผมก็ได้รับผลกรรมที่ก่อเอาไว้ทันควันเช่นกัน)

                         หลังจากที่คุยโทรศัพท์กันได้สักพัก..........สรุปแล้วพี่กายเค้าก็ชอบผมนั่นเอง.............ผมหันมามองหน้าปิ๋มกันลิลลี่อย่างรู้สึกผิดแกมสะใจ..............เพื่อนทั้งสองคนหน้าเจื่อนไปเล็กน้อย.............คงจะกำลังลำดับความคิดกับเรื่องที่ผ่านมา แล้วลงข้อสรุปเสียใหม่ว่า..........ที่แท้นังกั้งมันก็วางแผนมาโดยตลอด........กูโง่เองที่หลงกลไปร่วมมือกับมัน.............ในตอนนั้นผมทำเป็นตีสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้.........แล้วก็คบกับพี่กายไปตามระเบียบ..............ความจริง ผมไม่ผิดในแง่ที่ว่า เรื่องความรักมันบังคับจิตใจใครไม่ได้ เพราะขึ้นอยู่กับคนกลางที่เค้าจะเลือกเอาใคร.............แต่ผมผิดที่ไม่ยอมรับความจริงกับเพื่อนรักทั้งสองคนแต่แรกว่า...........ที่แท้ผมชอบพี่กาย..........แต่ผมกลับเลือกใช้วิธีหลอกล่อ วางแผนสารพัด.......ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำกับคนที่รักและไว้ใจกันแบบนี้............เพื่อนกันน่าจะคุยกันตรงๆมากกว่า........นั่นคือสิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากเหตุการณ์ในครั้งนั้น พร้อมกับความรู้สึกผิดที่ตามติดมาจนถึงทุกวันนี้................

                          ผมคบกับพี่กายได้ระยะหนึ่งโดยที่ไม่ได้มีอะไรล่วงล้ำก้ำเกิน เพราะผมค่อนข้างจะไว้ตัวพอสมควร...............ในที่สุดผมก็พบว่าเค้าเป็นคนเจ้าชู้ และคบกับคนอื่นอีกหลายคน..........ทั้งจากการเห็นด้วยตาของตัวเอง และจากการคาบข่าวมาบอกของลิลลี่..............ในที่สุดผมจึงเลิกกับพี่กาย............ผมจึงต้องก้มหน้ารับความเจ็บช้ำโดยดุษฎี..........สิ่งที่ได้มาด้วยวิธีการไม่บริสุทธิ์ตั้งแต่แรก.............มันก็ย่อมต้องลงเอยแบบนี้แหล่ะ........



                         วงเหล้าของเพื่อนเจ้าบ่าวเริ่มเฮฮามากขึ้นเป็นลำดับตามดีกรีของแอลกอฮอล์..............และวงดอกไม้ของเราก็เริ่มขยับเข้าไปใกล้มากขึ้นเช่นกัน................เบียร์เริ่มถูกนำมาเสิร์ฟ หยิบยื่นแลกเปลี่ยนหมุนเวียน............ตอนนี้เวลาก็ล่วงเลยมาจวนสี่ทุ่มแล้ว...........บรรดาแขกเหรื่อและญาติๆ ต่างทยอยกันกลับไปนอนเอาแรงสำหรับวันรุ่งขึ้น...........ผมเริ่มนึกเป็นห่วงนัทขึ้นมาตะหงิดๆ.............ป่านนี้จะหิวหรือเปล่าน้อ..............

                         “แกเตรียมข้าวใส่กล่องให้หน่อย ฉันจะเอาไปให้แฟน เค้านอนรออยู่ที่ห้อง”...........ผมกระซิบบอกปิ๋ม.............หล่อนพยักหน้าอย่างเข้าใจแต่ก็ยังไม่วายค่อนขอด..........

                         “ทำไมเค้าไม่มาด้วยล่ะ”............ผมอึ้งกับคำถาม ทั้งที่คาดเอาไว้แล้วว่าจะต้องเจอ............

                        “ช่างเค้าเถอะ..........แค่มาเป็นเพื่อนก็บุญโขแล้ว”..........ผมตอบ แล้วยิ้มเย็นๆ ให้หล่อนเป็นเชิงว่าอย่าถามมาก...........หล่อนจึงเดินไปเตรียมข้าวใส่กล่องให้ตามบัญชาที่ท้ายครัว............

                        “แกอย่าเพิ่งกลับนะ....อยู่ช่วยฉันก่อน..........พวกผู้ชายกำลังเมาได้ที่เลย”............ลิลลี่เดินมาหยิกแขนไม่ให้ผมรีบกลับ..............

                        “จะรีบกลับไปทำไม..........ปล่อยมันไว้นั่นแหล่ะแฟนน่ะ..........ไม่มีใครเค้ามาขโมยไปหรอกน่า”..............หล่อนดึงดันจะให้ผมอยู่ต่อเพื่อเป็นตัวช่วยในการจัดการพวกผู้ชายเพื่อนเจ้าบ่าว........ผมจึงจำใจต้องนั่งอยู่ต่อ..................ในขณะที่เดียวกับพี่แดนนั่งอยู่ในวงเหล้ากับพวกนั้นเรียบร้อยไปแล้ว................

                        “ไม่เข้ามานั่งด้วยกันตรงนี้ล่ะครับ...........ทำไมไปนั่งซะไกลเลยล่ะ........รังเกียจกันหรือเปล่า”..............แมคส่งเสียงแซว เมื่อเห็นว่าผมเดินไปหยิบก้าวอี้มานั่งห่างจากกลุ่มออกมาเล็กน้อย..........ในขณะที่ลิลลี่เข้าไปนั่งกระแซะประจ๋อประแจ๋อย่างออกรสจนน่าหมั่นไส้.............

                        ก็แล้วมันเรื่องอะไรผมต้องเข้าไปนั่งในนั้นด้วยล่ะ.............นั่งอยู่ตรงนี้ก็น่าจะพอ.........ผมไม่ถนัดหรอกนะประเภทถึงเนื้อถึงตัว..........ยกเว้นแต่ว่าจะถูกใจจริงๆ.........หุหุ............
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 03-09-2007 14:41:07
เหอ เหอ  ขอให้พี่ทหารเรืออยู่หมัดนะ 5555

รออ่านต่ออยู่จ้า  :a2:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 03-09-2007 19:19:46
หุหุ ดูมีขั้นมีตอนจัง  :a3:  :a3:  :a3:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 03-09-2007 19:32:47
ขั้นตอนไรจ้ะ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 03-09-2007 19:42:29
ขั้นตอนการจีบไง  :m26:  คุย นัดเจอ ขอเบอร์ โทรหา ....... ฯลฯ    :m23:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 03-09-2007 20:14:07
อ๋อ...........อย่างนี้นี่เอง
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 03-09-2007 20:44:02

มาลุ้นต่อครับ   :m18:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 04-09-2007 21:12:17
ปล่อยนัทรอ มานั่งจู๋จี๋แบบนี้ ระวังโดนโกรธ
 :m16: :m16: :m16:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 05-09-2007 10:27:26
โกรธก็ช่างสิ............ใจคอจะไม่ให้คุยกะใครเลยหรือไง..........คุณ Blue
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 05-09-2007 10:42:23

อย่างงี้โบราณท่านว่า ให้เรียกเป็นสัตว์สงวนที่มี นอ ครับ  :m14:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 05-09-2007 11:32:01
หมายถึงนกหงส์หยกอ่ะเหรอ............มันมีนอด้วยเหรอเนี่ย.........ง้ง งง...........อิอิ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 10-09-2007 09:33:55
                         หลังจากที่ทนฟังคำรบเร้าของแมคไม่ไหว ผมจึงต้องทำทีเป็นจำใจ (ที่จริงรออยู่แล้ว) เข้าไปนั่งร่วมโต๊ะด้วยในที่สุด............ยิ่งดึก วงสนทนาก็ยิ่งสนุกมากขึ้นเรื่อยๆ...............และตอนนี้ผมก็ชักจะรู้สึกตึงๆขึ้นมาหน่อยๆแล้ว............แมคเป็นคนคุยเก่งไม่เบา ชอบทำทีเป็นหมาหยอกไก่ แต่ถึงยังไงเค้าก็ทำได้ไม่มากไปกว่านี้หรอก เพราะว่าผมวางตัวดีพอสมควร ถ้าขืนเค้ามาทำรุ่มร่าม ผมก็ไม่เล่นด้วยหรอกนะ ใครจะว่าผมเล่นตัว ทั้งที่ไม่มีดีจะให้เล่นก็ตาม แต่ผมก็เป็นแบบนี้ล่ะ ถ้าคิดจะคบกันต้องรู้จักให้เกียรติกัน อย่าคิดว่ามีไอ้นั่น แล้วเกย์ทุกคนจะต้องถลาเข้าไปศิโรราบ คนอื่นจะยังไงนั้นไม่รู้ แต่ยกเว้นผมคนหนึ่งก็แล้วกัน.............

                         ระหว่างการสนทนา และดื่มกิน ผมคอยสังเกตพฤติกรรมของแมคไปพลางๆ ..........ผมจึงได้ข้อสรุปว่า เค้าไม่กล้าเอาจริงหรอก.................ก็จะให้เอาจริงได้ยังไงล่ะ ก็นี่มันวงเหล้าของทหารเรือนี่นา.............ขืนมาทำท่าจิ๊จ้ะจนออกนอกหน้า คงไม่แคล้วโดนเพื่อนๆหาว่าเป็นเกย์เป็นแต๋วไปแน่ๆ............พลอยจะทำให้เสื่อมเสียเกียติภูมิของชายชาติทหารกันพอดี...........

                         แต่โดยรวมก็ถือว่าเค้าเทคแคร์ผมได้ค่อนข้างน่าประทับใจทีเดียว............คอยรินเหล้า เติมน้ำแข็ง..........ชวนคุยนั่นนี่..............แต่เนื่องจากผมได้ปวารณาตัวที่จะช่วยจิกแมคให้ลิลลี่ตั้งแต่แรกแล้ว..........จึงจำเป็นต้องเก็บงำความพึงพอใจเอาไว้ไม่ให้บานทะโร่ออกมาทางสีหน้า............ขืนมากลับคำเปลี่ยนใจตอนนี้ มีหวังได้โดนหล่อนประนามไม่จบสิ้น............

                        “อยากไปดูหมอลำจัง ได้ข่าวว่าเค้ามาแสดงที่หมู่บ้านข้างๆนี้เอง”...........ลิลลี่ว่าพลางกระพือขนตาถี่ๆ........กวาดสายตาทอดสะพานแก่บรรดาหนุ่มๆ เผื่อจะมีใครอาสาพาหล่อนไปดูหมอลำอย่างที่ปรารภเอาไว้บ้าง...............

                         “น่าสนุกดีเหมือนกันนะครับ แต่ว่าไปรถคุณกั้งได้ป่าว”................แมคหลิ่วตาล้อเลียนมาทางผม โดยใช้คำพูดเชิงหมาหยอกไก่เหมือนเดิม..........คิดจะเอาเราเป็นกันชนล่ะสิ...............ผมแอบคิดในใจ.............ไม่มีวันจะหลงกลเสียล่ะ.............

                          “ก็ซ้อนมอเตอร์ไซด์กันไปเองสิ ใกล้ๆแค่นี้เอง”............ผมเสนอทางออกให้ทั้งสองคน..............เมื่อพูดถึงการเดินทาง ในใจผมก็เริ่มจะพะวงถึงนัทมากขึ้นเรื่อยๆ..............ป่านนี้จะหิวหรือเปล่าก็ไม่รู้..............ถึงแม้ว่าแมคจะดูน่าสนใจเนื่องจากเป็นของเล่นชิ้นใหม่ แต่สำหรับคนที่มีโอกาสได้รู้จักกันแค่ชั่วข้ามคืนแบบนี้ คงจะหาความแน่นอนอะไรได้ยาก...........พรุ่งนี้ผมกับเค้าก็ต้องไปกันคนละทางแล้ว.............ผมไม่นิยมความสัมพันธ์ชั่วคราวแบบนั้น..............อีกทั้งธรรมชาติคนเรา พอเหล้าได้เข้าปากไปแล้ว อะไรๆก็ดูเหมือนจะดีจะง่ายไปเสียหมด.............ถ้าอยากรู้ว่า ที่เค้าทำท่าชื่นชมในคืนนี้เป็นจริงอย่างที่พูดหรือไม่ ก็ลองรอให้ถึงพรุ่งนี้ดูก่อนสิ...............พอเจอหน้ากันอีกที ขี้คร้านแต่จะทำเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น............ผู้ชายก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้นแหล่ะ................พอเหล้าเข้าปากความยากก็ไม่มี.........

                          “แก.........ฉันต้องกลับแล้วนะ........แฟนฉันรอกินข้าวอยู่”...............ผมสะกิดบอกลิลลี่.........ตอนนี้พวกเราก็ช่วยให้หล่อนได้มีโอกาสมานั่งร่วมโต๊ะกับพวกผู้ชายแล้ว..............ถึงเวลาที่หล่อนจะต้องดำเนินการต่อเอาเองบ้าง............ผมจะกลับไปหานัทที่ห้องดีกว่า............คุยกะผู้ชายพวกนี้ไปทั้งคืน ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เพราะก็รู้ๆกันอยู่ว่า มันก็แค่ขำขำ...............

                         “แกจะรีบไปไหน อยู่ช่วยฉันก่อนซี่”...............ลิลลี่หันมาหยิกผมที่ต้นขา............พลางถลึงตาทำเสียงขู่รอดไรฟัน...............

                        “ไม่ได้แฟนฉันรออยู่ ป่านนี้หิวข้าวแย่แล้ว”................ผมให้เหตุผลกับหล่อน.........อีกทั้งวันนี้ก็เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว.............ผมอยากพักผ่อนมากกว่า...............ต่อให้เอาผู้ชายหล่อกว่าแมคเป็นสิบเท่ามายืนอยู่ตรงหน้า ผมก็ไม่ยอมอดนอนอยู่ต่อหรอก...............

                           “ไม่รู้ว่าจะเอามาด้วยทำไม.........ยุ่งยาก”.......ลิลลี่บ่นอุบ ทำท่าทางกระฟัดกระเฟียด................แต่ใจผมไม่อยู่แล้ว................หล่อนต้องจัดการต่อเอาเอง...................


                           ในที่สุดลิลลี่ก็ยอมให้พวกเรากลับจนได้........เราสามคนจึงร่ำลาบรรดาเพื่อนเจ้าบ่าว รวมถึงลิลลี่และปิ๋ม ก่อนที่จะรีบบึ่งรถออกมาอย่างรวดเร็ว.............รู้สึกมึนๆแฮะ.............แต่ไม่เป็นไร แบบก็ดีเหมือนกัน .............ทำให้รู้สึกเซ็กซี่ขึ้นมาเป็นกองเลย........อิอิ...........


                           หากเดินทางได้เร็วอย่างใจคิด ป่านนี้ผมคงกลับถึงห้องไปนานนมแล้ว................เหลืออีกแค่โค้งหน้าก็จะถึงที่พักแล้ว............ผมเหลือบมองนาฬิกา...........เข็มของมันชี้บอกเวลาห้าทุ่มกว่า..............นัทต้องโกรธแน่ๆเลย......................แต่แปลกที่ไม่ยักกะโทรมาตามแฮะ..........เป็นไปได้ยังไง....................

                          ยังไม่ทันที่ความคิดของผมจะจบลง............เสียงโทรศัพท์ก็ดังแว่วมาจากกระเป๋ากางเกง............ผมควานมือเข้าไปล้วงออกมาอย่างทุลักทุเล................ตายยากจริงๆเพิ่งนึกถึงเมื่อกี้เอง............

                          “ฮะโหล ถึงไหนแล้ว...........” ..............น้ำเสียงของนัทไม่ได้ดูโมโหแต่อย่างใด ทำเอาใจผมชื้นขึ้นมาเป็นกอง.............

                         “เลี้ยวโค้งหน้าก็ถึงแล้ว...........หิวข้าวหรือเปล่า”............ผมถามกลบเกลื่อนความผิดที่มาช้า อีกทั้งในใจก็รู้ดีว่าช้าเพราะเหตุผลอื่นด้วย.............

                         “นัทกินขนมอิ่มแล้ว งั้นแค่นี้นะ”...........นัทตัดบทวางสายไป...............เฮ้อ...........โล่งอกไปที..........บทจะทำตัวดีไม่เรื่องมาก ก็ดีเกินคาด...........ผมซะอีกที่มัวแต่เถลไถลไม่รู้จักเวล่ำเวลา.........

                         
                          เดียวกับพี่แดนแยกเข้าห้องนอนไปแล้ว.............ผมจึงเดินโซเซมาเคาะประตูห้อง..........นัทยิ้มร่า ถลาออกมาเปิดประตูท่าทางดีใจ..............คงเหงาล่ะซี..........ผมแอบนึกขำอยู่ในใจ........รู้สึกผิดหน่อยๆที่ทิ้งเค้าไว้คนเดียวตั้งนาน............

                          “อ่ะ..........เอาของกินมาฝาก”.............ผมยื่นถุงของกินให้ ก่อนจะเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวเพื่อที่จะไปอาบน้ำ...........นัทเปิดถุงออกดู แล้ววางไว้ที่โต๊ะ..............ก่อนจะกลับไปนั่งดูทีวีต่อเหมือนเดิม..............สงสัยจะไม่หิวจริงๆ............ผมรู้สึกผิดน้อยลงหน่อยหนึ่ง..........

                          ขณะที่ผมกำลังฮัมเพลง อาบน้ำอย่างสบายอารมณ์อยู่นั้น นัทก็เปิดประตูผลัวะเข้ามาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เล่นเอาผมตกใจสะดุ้งโหยง................

                          “มีอะไร ปิดประตูสิ คนกำลังอาบน้ำไม่เห็นเหรอ”..............พิลึกคนจริงๆ........บางทีก็ชอบมาแอบดูผมฉี่...............คราวนี้ก็มาแอบดูผมอาบน้ำ...............ท่าทางจะโรคจิต............

                         นัทยิ้มแป้นไม่ว่าอะไร ก่อนจะเดินกลับออกไป...............ผมมีลางสังหรณ์แปลกๆ..............ท่าทางคึกคักแบบนี้ สงสัยจะมีอารมณ์ขึ้นมาล่ะสิ...........นานๆจะเห็นนัทมีความต้องการแบบนี้ที........ปกติต้องให้ผมคอยเป็นฝ่ายกระตุ้นอยู่เรื่อย จนพักหลังมาผมชักเริ่มเบื่อ อยากทำก็ทำไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำ...........


                          ผมนุ่งผ้าเช็ดตัวเดินออกมาจากห้องน้ำ คว้ากางเกงขาสั้นมาใส่ลวกๆแล้ว ล้มตัวลงนอน.........นัทหันมามองท่าทางกระดี๊กระด๊าผิดสังเกตุ..........

                            “จะนอนแล้วเหรอ งั้นปิดไปนะ”...........นัทหันมาถาม.........ผมจึงพยักหน้า แล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุม

                             นัทเดินไปปิดไปแล้วกลับขึ้นมานอนบนเตียง............ผมพลิกตัวหันไปมองเห็นเค้านอนจ้องอยู่ท่าทางแปลกๆ.............

                            “อะไร”.............ยังไม่ทันที่จะพูดจบนัทก็โถมตัวเข้ามาจูบอย่างรวดเร็ว..................เป็นไรไปเนี่ย วันนี้ดูเร่าร้อนผิดปกติ สงสัยจะผิดที่กระมัง...............ผมจูบตอบทั้งที่ ยังงงๆอยู่..................

                             นัทขึ้นมานั่งคร่อมบนลำตัวแล้วลงมือถอดกางเกงผมออกอย่างรวดเร็ว..............ผมแปลกใจกับพฤติกรรมของเค้าจนตั้งรับแทบไม่ทัน...............แต่อีกใจก็รู้สึกสนุกขึ้นมาหน่อยๆ............เค้าคึกแบบนี้แล้วทำให้ผมพลอยรู้สึกคึกคักตามไปด้วย..............

                             จวบจนเวลาผ่านไปได้ระยะหนึ่ง หลังจากเสร็จกิจ นัทก็ลงไปนอนแผ่หมดเรี่ยวแรงอยู่ข้างๆ........ก่อนหน้านี้เค้าพยายามจะช่วยให้ผมสำเร็จตามไปด้วย แต่ไม่สำเร็จจึงยอมแพ้ไป...............และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเป็นแบบนี้.................และทุกครั้งผมมักจะพูดว่า ช่างเถอะ............ไม่เป็นไร.............ผมถือว่าผมแค่ทำตามหน้าที่ก็พอ...........เนื่องจากผมรู้ดีว่าอารมณ์ปรารถนาของผมนั้นอยู่ลึกมาก จนใครก็เข้ามาไม่ถึง..............เนื่องจากผมยังก้าวข้ามความละอายออกมาไม่ได้............ผมรู้สึกว่าความต้องการทางเพศเป็นเรื่องส่วนตัว ที่ไม่สามารถแชร์กับใครได้...........แต่ผมก็ยินดีที่จะช่วยให้คนรักมีความสุข.................ส่วนความต้องการของผมนั้น ขอเก็บเอาไว้ในมุมส่วนตัวคนเดียวดีกว่า................บางทีผมอาจจะยังไม่พบคนที่จะสามารถไขกุญแจเข้ามาสู่ห้องแห่งความลับนี้ก็ได้.............

                           นัทหันหลังกลับไปนอน โดยทิ้งผมเอาไว้ในสภาพเปลือยเปล่าเช่นเดิม................คืนนี้ผมมีความต้องการที่จะถึงจุดสุดยอด เนื่องจากมีแรงขับบางอย่างอยู่ภายในใจมาตั้งแต่ตอนหัวค่ำ.......................ผมจึงละทิ้งความอาย เพื่อพาตัวเองไปให้ถึงจุดแห่งความสุขต่อตามลำพัง...............ในขณะที่ผมกำลังหลับตาปล่อยใจให้ล่องลอยไปนั้น....................ผมจินตนาการไปถึงแมค.............คิดถึงแววตาคู่นั้น......... และก็รอยยิ้มที่แสนหวานของเค้า.................คืนนี้ผมก็จะขอมีความสุขโดยมีแมคเป็นผู้นำทาง..............สักครั้ง..........ผมไม่รู้สึกผิดที่ทำแบบนั้น............เพราะระหว่างผมกับแมคไม่มีทางเป็นไปได้ในชีวิตจริงอยู่แล้ว.............แมคไม่ใช่ในผู้ชายในแบบที่ผมต้องการ...........ไม่ใช่ผู้ชายในแบบที่ผมอยากจะรัก.............แต่เค้าสามารถกระตุ้นความอยากในกามราคะของผมขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์.............ผมจึงแค่อยากมีเซ็กส์กับเค้าในจินตนาการ..............ก็เท่านั้นเอง.......................



                        เป็นอย่างที่ผมคาดเอาไว้ไม่มีผิด..............พอหมดฤทธิ์แอลกอฮอล์แล้ว รุ่งเช้าขึ้นมา นายแมคก็กลายเป็นแมวเซื่องๆที่ไม่มีพิษสงตัวหนึ่ง.................................

                         “เป็นไงบ้างล่ะเมื่อคืน”..............ผมแอบกระซิบถามลิลลี่เมื่อเรามานั่งล้อมวงรอบๆพานบายศรีพร้อมกับเจ้าบ่าวเจ้าสาว และแขกคนอื่นๆ.................

                          “จะมีอะไร............พอพวกแกกลับ ฉันก็นั่งต่อกับพวกเค้าจนดึกดื่น...........พอเมาแล้วเค้าก็แยกกันไปนอน ไม่เห็นจะมีใครเก่งอย่างปากว่าสักคน”..............ลิลลี่เบะปาก แสดงท่าขัดใจ.................ก็บอกแล้ว ว่าพวกผู้ชายพวกนี้ เค้าไม่กล้าเอาจริงหรอก.............เสียเวลาเปล่า............

                           “แต่แมคเค้าก็น่ารักดีนะ ฉันเองก็อยากได้อยู่เหมือนกัน”.............ผมเผยความในใจทีเล่นทีจริงกับลิลลี่..........หล่อนจึงทำท่าค้อนปะหลับปะเหลือก............ระหว่างที่เราสองคนหัวเราะกันนั้น.........พลันสายตาผมก็หันไปปะทะเข้ากับพี่แดนอย่างจัง.........อีตาปลาบู่นี่มาแอบนั่งฟังเราคุยกันตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย............เค้ายิ่งมองผมในแง่ลบอยู่ด้วย.............เวรกรรม...........



                           หลังจากผูกแขนเจ้าบ่าวเจ้าสาวเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเราจึงมานั่งล้อมวงกินข้าวคุยเรื่องสัพเพเหระกันต่อ.............เดียวถือถาดของกินเข้ามานั่งใกล้ๆ..................

                          “พี่แดนเค้านินทาแกว่า ทำเป็นบอกว่าจะจีบให้เพื่อน  ที่แท้ก็จะเอาเอง............เมื่อคืนแฟนตัวเองนอนรออยู่ที่ห้องแทนที่จะรีบกลับ.............มัวแต่มานั่งคุยกะผู้ชายจนดึกดื่น”...............ผมนึกขำในคำพูดของหล่อน.........กะแล้วไม่มีผิด..............อีตานี่เค้าชอบมองผมในแง่ร้ายอยู่แล้วนี่.........อยากจะคิดยังไงก็เชิญ ผมไม่สนหรอก................

                         “เหรอ............แล้วเค้าเป็นอะไรไปล่ะ เห็นทำหน้าบึ้งอยู่ได้”...............ผมหยักไหล่............ก่อนจะถามไถ่ไปเรื่อยเปื่อยตัดรำคาญ................

                         “ก็จะเป็นอะไรล่ะ..........เมื่อคืนฉันไม่ยอมมีอะไรกะเค้าน่ะสิ เค้าถึงได้อารมณ์บูดไงล่ะ”...........อ๋อ........เป็นแบบนี้นี่เอง..............เมื่อคืนเมียไม่ให้เอา เลยพาลมาจับผิดชาวบ้านเค้าไปทั่ว.............ท่าจะประสาท.........

                          “แกนี่ก็เหลือเกิน..........ไม่รักไม่ชอบแล้วพาเค้ามาทำไม”............ผมต่อว่าหล่อน.............พลางนึกในใจว่า..............แกอย่ามามุสากับฉันเลย...............พอคล้อยหลังเข้าห้องนอนปิดประตูไปแล้ว กลัวแต่จะอ้าขาผวาปีกใส่เค้าแทบไม่ทันละมากกว่า..............นี่คงเห็นว่าเพื่อนติว่าเค้าไม่หล่อน่ะสิ ถึงได้ทำท่าไม่มีเยื่อใยกับเค้าแบบนั้น..................ก็นังเดียวน่ะ ขึ้นชื่อเรื่องชอบหาแฟนมาอวดเพื่อนๆจะตาย.............ถ้าทำให้เพื่อนอิจฉาได้ล่ะก็ หล่อนจะหน้าบานเท่ากระด้งไปอีกหลายวันเลยทีเดียว..............บางทีหายไปกับผู้ชายทั้งคืน พอกลับมาถึง ก็จะมาคุยโวถึงความร่ำรวยของเค้าเป็นคุ้งเป็นแคว..............

                         “รวยแล้วไง.............มันเอามาแบ่งให้แกใช้ด้วยหรือยังไง”................ผมมักจะเบรกหล่อนแบบนี้เสมอๆ..............อย่าว่าแต่รวยเล้ย............ขอแค่หาคนจริงใจให้ได้สักคนเถอะ............เพราะสมัยนี้มันหายากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรเสียอีก..............ผมไม่ชอบเลยที่เพื่อนชอบไปหลงใหลกับเปลือกนอกของคนอื่นแบบนั้น..............


                           ตะวันลอยโด่งขึ้นเหนือยอดไม้ล่วงไปนานพอสมควรแล้ว................แดดเริ่มทวีความร้อนขึ้นเรื่อยๆ.............แขกในงานทยอยกันกลับจนหมดเกลี้ยงแล้ว...............เหลือแต่กลุ่มเรา และหนุ่มๆทหารเรือเป็นกลุ่มสุดท้ายเท่านั้น...............ผมไม่ได้สนทนากับแมคอีกเลย...........เนื่องจากการอยู่ต่อหน้าคนหมู่มาก จำเป็นต้องสงวนท่าที...............จึงได้แต่เพียงคอยสังเกตอยู่เงียบๆ...........ความประทับใจแค่ชั่วข้ามคืนของผมจึงจบสิ้นลงพร้อมกับการจากไปของกลุ่มเพื่อนเจ้าบ่าว............ทีนี้ก็เหลือแต่ผมกับนัทซึ่งตอนนี้กำลังเก็บของรออยู่ที่ห้องพักเท่านั้นที่จะเดินทางต่อเพื่อกลับไปยังเชียงใหม่..............ระยะเวลาอีกสิบห้าชั่วโมงที่เหลือนี้............เราจะได้มีโอกาสอยู่ด้วยกันบนรถเพียงลำพังสองคนโดยที่ไม่มีใครสามารถเดินหนีใครได้...........ปกตินัทมักจะเปิดความในในกับผมเวลานั่งรถไปไหนด้วยกันไกลๆเสมอ.............การเดินทางกลับในครั้งนี้ ผมจะได้เรียนรู้ตัวตนของเค้ามากขึ้นหรือเปล่าหนอ..............
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 10-09-2007 11:55:15

ลุ้นซะปวดขี้เลย อิอิ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 10-09-2007 12:17:36
สงสัยจะลุ้นเกิน..........หุหุ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 10-09-2007 15:06:00
ขำอิเจ้  ปวดขี้ตามเรยย  :a5:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 10-09-2007 19:00:08
ตอนหน้านัทคงเปิดเผยอะไรต่อมิอะไรมากขึ้นล่ะนะ รอลุ้นจ้า  :a1:  :a1:  :a1:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 11-09-2007 00:23:52
เปลี่ยนบรรยากาศ นัทเลยอารมณ์ดีขึ้นมา
ต้องไปเที่ยวกันบ่อยๆแว้ว
 :m18: :m18:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 11-09-2007 02:06:55

จินตการอ่ะได้  แต่อย่าเผลอเรียกชื่อออกมาเชียว  หุ หุ   :m26: :m26:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 11-09-2007 11:57:11
ไม่ถึงขนาดนั้นมั้ง..........หุหุ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 12-09-2007 00:25:35

ตั้ง 15 ชั่วโมง  ไม่ไหว  เหนื่อยแย่สงสัยต้องหาที่พักเปลี่ยนบรรยากาศ กลางทางซะแว้ว 

อิอิ ก้อมันติดใจอ่ะ  :m19:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 12-09-2007 02:54:00
รอลุ้นต่อจ้า  :m18:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 12-09-2007 17:06:08
                         รถบัสขอนแก่น- กรุงเทพเคลื่อนตัวออกจากสถานีขนส่งพร้อมกับการจากไปของเดียวกับพี่แดน................ผมรู้สึกใจหวิวๆเล็กน้อย เมื่อคิดขึ้นมาได้ว่า ตอนนี้เหลือเพียงแค่นัทคนเดียวเท่านั้นที่จะนั่งไปเป็นเพื่อนกับผมตลอดเส้นทางสู่เชียงใหม่...............ใจหนึ่งก็รู้สึกดีที่เราจะได้มีโอกาสอยู่ด้วยกันตามลำพังเสียที...................ไม่รู้สินะ บางทีผมก็คิดและรู้สึกอะไรซับซ้อนจนยากจะเข้าใจเหมือนกัน.....

                          นัทดูกระตือรือร้นและคุยเก่งขึ้นเมื่อเหลือแค่เราสองคน..............ผมคิดว่าเวลานี้เป็นเวลาที่นัทเป็นตัวของตัวเองมากที่สุด...............อยู่ในที่ที่มีแค่เราสองคน และปราศจากสายตาคอยจับจ้องของคนอื่น.............ผมอยากให้นัทรู้สึกแบบนี้ในทุกๆสถานะจัง.................แต่โลกนี้ไม่ได้มีแค่เราสองคนตลอดไป..............นัทยังมีพ่อแม่ พี่น้อง เพื่อน สังคม และศาสนาของเค้า...............จริงอยู่ ถึงแม้ว่าผมพร้อมที่จะทิ้งทุกอย่างมาเพื่อเค้าได้...........แต่เค้าคงไม่พร้อม........ไม่สิ.......... เค้าคงไม่แม้แต่จะคิดมากกว่า................

                         “พี่กั้งขับไปทางชัยภูมินะ และก็ลัดออกทางนครสววรค์”.....................นัทออกคำสั่งหลังจากก้มหน้าก้มตาศึกษาเส้นทางจากแผนที่เรียบร้อยแล้ว...............

                         “อืม” ผมพยักหน้า..........พลางแอบอมยิ้มในใจ.............เรื่องเส้นทางนี่ผมแทบจะไม่รู้เรื่องเลย พอๆกับเรื่องเครื่องยนต์ หรือคอมพิวเตอร์............งานพวกนี้ผู้ชายน่าจะถนัดมากกว่า..........ผมจึงไม่สนใจและก็ไม่คิดจะเรียนรู้ด้วย...........แค่รู้ว่าจะหาตัวช่วยได้จากที่ไหนก็น่าจะพอแล้ว.............

                        “มีแค่เราสองคนแบบนี้ดีจัง”.................ผมหันมายิ้มให้นัท ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบตรงเป้ากางเกงของเค้าเบาๆ.............

                         “ทำไรอะไร...........อยู่เฉยๆ.........ชอบจับนั่นจับนี่อยู่นั่นแหล่ะ”.............นัทพยายามแกะมือผมออกตาเขียว..........

                        “ก็มือนี้มันว่างนี่...........” ผมให้ข้อแก้ตัว พลางเพิ่มน้ำหนักมือในการเคล้นคลึงให้มากขึ้นกว่าเดิม..................ทีเมื่อคืนไม่เห็นเป็นแบบนี้เลย...............ยิ่งเค้าขัดขืน ผมยิ่งอยากเอาชนะ..........แต่ถ้าเค้าจับมือผมใส่.............ผมจะสะบัดมือออกทันที.............นี่ล่ะกั้งของจริง..............

                          “เอ้า..........อยากจับก็เชิญ”..............นัทยอมแพ้ในที่สุด............ผมชอบกระตุ้นอารมณ์ให้เค้าเกิดความรู้สึกแบบนี้แหล่ะ..............มันเป็นการลบปมในใจของผมอย่างหนึ่ง...........เพราะนัทชอบทำท่าปฏิเสธทั้งที่ใจนั้นปรารถนา..........ดังนั้นถ้าผมไม่สามารถรีดเอาคำพูดจากปากเค้าได้..............ผมก็จะหาคำตอบโดยการใช้ร่างกายนี่แหล่ะเป็นเครื่องพิสูจน์.............ก็คนที่ไม่ต้องการ มันจะแข็งโป๊กอยู่ได้ยังไง..................

                          “นัทจับดูของพี่สิ.............ทำไมมันแข็งแบบนี้ล่ะ”.................ผมจับมือนัทมาวางที่เป้ากางเกงของผมบ้าง..............นัททำท่าจะสะบัดมือออก แต่เป็นการสะบัดที่ดูไร้เรี่ยวแรงเสียเหลือเกิน............ผมชอบจังกับการยั่วยวนเค้าแบบนี้..............มันเป็นความหฤหรรอย่างหาที่เปรียบไม่ได้........


                          ผมเปลี่ยนให้นัทขับรถแทนบ้าง ก่อนที่เราจะเข้าตัวเมือง.................นัทดูตื่นเต้นดีใจอย่างออกนอกหน้า.............แต่ผมไม่ค่อยดีใจสักเท่าไหร่...........เพราะว่านี่เป็นครั้งแรกที่นัทขับรถบนถนนจริงๆ.................ผมจึงต้องคอยนั่งกำกับตลอดทาง...............รู้สึกเหนื่อยมากกว่าขับเองเสียอีก............

                         “ข้างหน้าเป็นแยกใหญ่ มีรถเยอะด้วย ขับเบาๆนะ”.............ผมเตือนนัท เมื่อเห็นว่าเราสองคนกำลังเข้าไปติดไฟแดงที่แยกขนาดใหญ่ข้างหน้าไม่ไกลนัก..................

                        “รู้แล้ว”..............นัทยังทำเป็นปากเก่ง ทั้งๆที่ผมเริ่มสังเกตเห็นอาการตกประหม่าที่แสดงออกมาทางสีหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ...............

                       
                          แดดใกล้เที่ยงวันทวีความร้อนแรงเป็นลำดับจนมองเห็นเป็นเปลวระยับตามพื้นถนน.............นัทค่อยๆนำรถเข้าไปจอดชิดกับรถที่จอดติดไฟแดงอยู่ข้างหน้าช้าๆ........

                         กึก...กึก....กึก..........รถระตุกเบาๆก่อนจะเงียบเสียงไป.....................

                         “เหยียบเบรกไว้ๆ” ผมร้องบอกนัทดังๆ เนื่องจากตอนนี้รถกำลังไหลถอยหลังช้าๆ........ในขณะที่รถคันอื่นๆ ตามมาจ่อท้ายรถของเรามากขึ้นเรื่อยๆ................

                         นัทหน้าซีด หันมามองผมเลิกลั่ก..............แต่ก็ยังมีสติเหยียบเบรกเอาไว้ได้ทัน..................ผมพยายามควบคุมสติไม่ให้นัทตื่นกลัวจนเกินไป...............

                        “ เข้าเกียร์ว่าง เหยียบเบรกเอาไว้..........และก็สตาร์ทเครื่องใหม่”..................ผมออกคำสั่งเป็นขั้นตอน เพื่อให้นัททำตามได้ง่าย..................แต่ดูเหมือนว่าในตอนนี้เค้าจะตกประหม่าจนไม่สามารถคุมสติเอาไว้ได้แล้ว....................

                          บรื้นนนนนนนนนนนๆๆๆ................กึกๆๆๆๆๆๆ.................รถดับไปหลังจากที่นัทพยายามเข้าเกียร์อีกรอบหนึ่ง..............มันอาจจะยากสำหรับมือใหม่สักเล็กน้อย ที่ต้องมาคอยพะวงกับถอนเบรก พร้อมๆกับเหยียบคันเร่ง เนื่องจากรถอยู่ในตำแหน่งที่กำลังไต่ขึ้นเนินเตี้ยๆ.............

                         “เดี๋ยวพี่จะไปขับเอง............เปลี่ยนที่นั่งกัน”.....................ผมเหลือบมองไปที่สัญญาณไฟ.............อีกไม่นานก็จะไฟเขียวแล้ว...........ขืนชักช้าคงได้งามหน้าคนทั้งสี่แยก..............

                       “พี่กั้งเดินอ้อมมา..........นัทไม่ออกไปหรอก อายเค้า”.............นัทขอให้ผมเดินออกไปที่เบาะคนขับ ในขณะที่ตัวเค้าเองจะเปลี่ยนมานั่งแทน ด้วยการก้าวข้ามกระปุกเกียร์ไปอีกข้าง โดยที่ไม่ออกมานอกรถ...............

                        นี่เค้าจะให้ผมบากหน้าออกไปสู้กับสายตาคนที่สี่แยกไฟแดงนี้เพียงคนเดียว โดยที่เค้าตัดช่องน้อยเอาตัวรอดไปคนเดียวงั้นเหรอเนี่ย.............ได้..............ไม่มีปัญหา..........

                        ผมเปิดประตูเดินอ้อมมาที่เบาะคนขับโดยที่ไม่ได้สวมรองเท้า................เนื่องจากเมื่อครู่ผมได้ถอดออกไปแล้ว หากมัวแต่ควานหาอยู่คงจะไม่ทันการ................พื้นถนนร้อนจนแสบเท้าไปหมด................ผมเข้าใจกับความอับอายที่นัทรู้สึก..............แต่นัทโยนปัญหาให้ผมเผชิญเพียงคนเดียวแบบนี้หลายครั้งแล้ว............และมันทำให้ผมมองว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่เข้าตาจน...........หากความสัมพันธ์ของเราสองคนถูกเปิดเผย หรือมีผู้ระแคะระคายสงสัย..............นัทจะต้องทิ้งผมเอาตัวรอดไปเพียงคนเดียว เหมือนเหตุการณ์เล็กๆน้อยๆที่เค้าได้ทำตลอดเวลาที่ผ่านมา..............นัทไม่เกี่ยว............นัทไม่ได้รักพี่กั้ง..................นัทไม่ได้ชอบผู้ชาย..............ไม่มีอะไรระหว่างเรา.............คือสิ่งที่ผมหวั่นใจว่าจะได้ยินในอนาคตอันใกล้นี้..................

                       
                          ผมกลับมานั่งในตำแหน่งคนขับอีกครั้ง.............หลังจากที่ขับรถมาได้สักระยะ............ผมก็หายโกรธนัทไปโดยสิ้นเชิง....................เค้าไม่เคยทำให้ผมโกรธได้นานๆเลย.................ไม่ว่าเค้าจะทำร้ายจิตใจผมมากแค่ไหนก็ตาม............ขอเพียงแต่ผมยังมีความหมายกับเค้าอยู่ก็พอ...........โง่สิ้นดี..........


                          เวลาล่วงเลยมาจนคล้อยบ่าย..............เราสองคนยังเพิ่งถึงแค่พิษณุโลกอยู่เลย..............

                         “พี่เหนื่อยจัง.............เราหาที่นอนสักคืนเถอะ............พรุ่งนี้ค่อยกลับเชียงใหม่”................ผมเสนอความเห็นระหว่างที่เราสองคนนั่งทานข้าวที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งระหว่างทางพิษณุโลกเชียงใหม่..................

                        “แล้วแต่พี่กั้งสิ”............นัทคล้อยตาม คงเพราะเห็นผมเหนื่อย หรือไม่ก็เค้าอาจจะเหนื่อยเหมือนกันก็ได้.................

                         ผมพยายามนึกไตร่ตรองภายในใจว่าจะมีหนทางไหนบ้างที่เราสองคนพอจะหาที่พักได้..........ทั้งที่หากฝืนใจขับต่อก็คงไม่สาหัสจนเกินไป..............แต่หากเราพักค้างคืน..........ผมกับนัทก็คงมีโอกาสสวีทกันต่ออีกหนึ่งคืน..............น่าจะดีกว่า................

                        “ไม่ต้องค้างหรอกเนาะ...........ขับไปเรื่อยๆเดี๋ยวก็ถึงเอง.............ไว้นอนทีเดียวเลยดีกว่า”...........ผมตัดสินใจชี้ขาดในที่สุด................แม้จะอยากสวีท...........แต่ผมก็เหนื่อยเกินพอกับการเดินทางแล้ว............สู้กลับไปตายรังดีกว่า.................

                         “ก็ตามใจแล้วกัน”...............นัทเออ ออ เพราะถึงไงการตัดสินใจเรื่องนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับผมอยู่แล้ว...............


                         การเดินทางที่แสนจะยาวไกลกำลังจะสิ้นสุดในอีกสามชั่วโมงข้างหน้านี้แล้ว................แม้ใจนั้นจะอยากถึงเชียงใหม่ให้เร็วที่สุด...............แต่การขับรถบนเขาในยามค่ำคืนไม่ใช่เรื่องง่าย...........ผมจึงต้องทุ่มเทสมาธิลงไปมากพอสมควร................บรรยากาศภายในรถจึงตกอยู่ในความเงียบอย่างน่าอึดอัด....................

                         “พี่กั้งรู้มั้ยว่าทำไมนัทถึงมาด้วย”...................นัทโผล่งถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย............ผมหันไปมองพลางพิจารณาในคำพูดและสีหน้าของเค้า..................นี่เค้ากำลังจะบอกอะไรผมเหรอ......................
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: t_warawut ที่ 12-09-2007 17:45:07
มาต่อแล้ว...ลุ้นต่อ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 12-09-2007 18:38:39
คุณกั้งจบตอนได้ลุ้นมั่ก ๆ  :serius2:  :serius2: 
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 12-09-2007 23:43:08
อ๊า  ค้างอย่างแรง  ทำงี้ได้งายยยยยยยยย  :serius2: :serius2: o9 o9
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 13-09-2007 09:12:32
อะไรค้าง..............หุหุ :m14:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 13-09-2007 13:14:49

นัทจะบอกอะไรเนี้ย  :m12:

หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 13-09-2007 18:36:19
นัทจะบอกไรน๊า รอลุ้น  :m11:  :m11:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 13-09-2007 21:38:11
เพราะขาดพี่กั๊งไป นัทจะอยู่ได้อย่างไร
 :m18: :m18: :m18:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 14-09-2007 00:16:31

ก้อเพราะว่าอยากเปลี่ยนบรรยากาศน่ะดิ  อิอิ :o8:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 14-09-2007 10:00:23
เหรอ.............เดี๋ยวเย็นนี้ก็รู้..........รออ่านนะจ้ะ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 14-09-2007 16:16:14
                         นี่เค้ากำลังต้องการจะบอกอะไรกันเหรอ...............อยู่ดีๆก็ถามขึ้นมาดื้อๆ..............ผมกำลังจะหายเคืองเรื่องนี้อยู่แล้วเชียว..........จะขุดขึ้นมาพูดให้เสียอารมณ์ทำไมอีกก็ไม่รู้.................

                         “ถามทำไม”............ผมย้อนถาม ในขณะที่ตายังคงเพ่งมองไปบนท้องถนนที่ดำมืด.............

                         “ก็นัทกำลังคิดว่า ทำไมนัทต้องมากับพี่กั้งด้วย”...................อะไรนะ...............นี่เค้าคิดแบบนี้จริงๆเหรอเนี่ย...............เค้าไม่รู้แม้กระทั่งว่าทำไมเค้าต้องมาขอนแก่นกับผม.............พระเจ้า.......นี่เค้าไม่มีสามัญสำนึกอยู่เลยหรือไง..............หรือเค้าคิดว่า เราเป็นแค่คนรู้จักกันเท่านั้น........ เพราะฉะนั้นผมจึงไม่มีสิทธิ์เรียกใช้ไหว้วานอะไรเค้าได้เลย............อารมณ์ของผมเริ่มเดือดขึ้นมาทีละน้อยด้วยความโมโห………

                        “ก็ลองไม่มาดูสิ”..............ผมพูดเสียงเรียบ ในขณะที่ตายังคงจ้องมองไปบนท้องถนนเหมือนเดิม.................

                         “ทำไม..........พี่กั้งจะเลิกคบกับนัทเหรอ”...............นัทยิ้มยั่ว..................หึ.............ถามได้ตรงจุดเผงเลย............เพราะความตั้งใจในตอนแรกของผมนั้นก็คือ..........ผมจะเลิกกับเค้าแน่นอนหากเค้าไม่ยอมมาด้วยในครั้งนี้...............ในเมื่อมีแฟนแล้วพึ่งพาอาศัยอะไรไม่ได้เลย..........แล้วจะมีไปทำไม.............ขนาดการเดินทางมาในครั้งนี้ เค้าแทบจะไม่ได้เสียอะไรเลยนอกจากเวลา (ถึงอยู่เชียงใหม่ก็เล่นเกมส์อยู่ว่างๆ)............แล้วถ้าหากผมต้องพึ่งพาอาศัยอะไรเค้ามากกว่านี้ล่ะ............คงไม่ต้องถามถึงให้เสียความรู้สึก.....................ไม่ใช่ว่าผมจะมาทวงบุญคุณอะไรหรอกนะ...............แต่ที่ผ่านมา ผมทำดีกับเค้าทุกอย่าง..............ผมจัดอันดับให้เรื่องของเค้ามาก่อนเรื่องของตัวเองด้วยซ้ำไป...............หากเค้ายังมีหัวใจเป้นคนและมีสามัญสำนึกอยู่บ้าง............เค้าก็น่าจะมาไม่ใช่หรือไง........

                          “อืม”...............ผมพยักหน้าช้าๆ อย่างเลือดเย็น.................

                          “ว่าแล้ว........ว่าพี่กั้งต้องคิดแบบนี้”...............นัทเดาทางผมออก..............แม้เราจะคบกันได้แค่ครึ่งปี...........แต่เค้าเรียนรู้ผมได้เร็วพอสมควร............

                           “นัทก็ไม่เข้าในเหมือนกันว่าทำไมนัทต้องมา”...............นัทพึมพำกับตัวเองเบาๆ...........ต่อมโมโหของผมถึงจุดระเบิดในที่สุด................นี่เค้าจะมาสงสัยบ้าบออะไรในสิ่งที่คนเป็นแฟนกันทั่วไปเค้าปฏิบัติกันอยู่แล้ว.................แค่การมาเป็นเพื่อนผมเฉยๆเนี่ย มันแปลกประหลาดจนต้องเอามานั่งขบคิดเลยรึไง....................

                          “พี่กั้งจำได้มั้ยว่าตอนที่เราเจอกันใหม่ๆ นัทเคยบอกพี่กั้งว่า ระหว่างเราคงเป็นได้แค่พี่น้องกันเท่านั้น”................ผมไม่ได้หันไปมอง แต่แสดงให้เห็นว่ากำลังฟังอยู่อย่างตั้งใจ...............เค้ากำลังจะพูดบ้าอะไรกันเนี่ย............จะเอาเรื่องเก่ามาพูดให้เสียอารมณ์อีกทำไม.............ผมไม่อยากจะฟัง.......

                         “แล้วไง..........ตอนนี้นัทอยากจะเลิกกับพี่งั้นเหรอ...........พี่จะบอกให้ก็ได้นะว่า..........นัทอยากเลิกกับพี่เมื่อไหร่ก็ได้............พี่จะไม่ตาม ไม่ตอแยอะไรทั้งสิ้น................แต่ขออย่างเดียว..........ขอแค่ให้นัทบอกพี่มาตามตรงเท่านั้น”...........ผมหันไปพูดกับนัทเสียงเรียบ ไม่แสดงอาการสะทกสะท้านต่อสิ่งที่ได้พูดออกไปเมื่อครู่...............ก็แล้วไงล่ะ.............ในเมื่อการที่เรารักกันอยู่ทุกวันนี้ มันก็ทุกข์ทรมานในผมมากพออยู่แล้ว........ถ้าเค้าไม่ยินดีจะต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ไปกับผม.............แล้วผมจะบ้าดึงดันต่อไปคนเดียวทำไม.........

                            นัทจ้องผมตาค้าง...........เค้าคงนึกไม่ถึงว่าผมจะไม่แยแสกับเรื่องการเลิกกันได้ถึงขนาดนี้..............ใบหน้าของเค้าเริ่มบิดเบี้ยว แสดงออกถึงความเจ็บปวดในสิ่งที่ได้ยินอย่างชัดเจน..................แต่ผมเหนื่อยเกินกว่าที่จะมารู้สึกเห็นใจเค้าในตอนนี้..................

                            “นัทเลิกกับพี่กั้งไม่ได้...............ตอนนี้ความรู้สึกของนัทมันเปลี่ยนไปไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว................นัทรู้สึกว่านัทผูกพันกับพี่กั้ง”....................นี่เค้าบอกรักผมเหรอ.........ทำไมผมถึงไม่รู้สึกดีใจเลยล่ะ..............ใช่สิ..............นี่มันเป็นการตบหัวแล้วลูบหลังกันชัดๆ..........ถึงเค้าจะบอกว่ารักผมมากแค่ไหน.............แต่เค้าก็ยังจะเลิกกับผมในอนาคตอยู่ดีไม่ใช่เหรอ................

                          ผมนิ่งเฉยไม่โต้ตอบใดๆ................บรรยากาศภายในรถเริ่มตึงเครียดขึ้นทุกขณะ.........นัทนั่งนิ่งเพื่อรวบรวมความกล้าอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ...............

                          “นัทอยากไปทำงานที่ภาคใต้................นัทจะได้ลืมทุกอย่างได้ง่ายขึ้น และกลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง..........แต่นัทคงทำทันทีไม่ได้.............นัทไม่อยากจะหักดิบ”................ความคั่งแค้นและความน้อยเนื้อต่ำใจแล่นเข้ามาจุกตรงหน้าอกของผมจนหายใจแทบไม่ออก.........ผมอยากพ่นคำพูดร้ายๆทั้งหลายแหล่ใส่หน้าเค้า เพื่อที่เค้าจะได้รับรู้ถึงความเจ็บปวดอย่างที่ผมรู้สึกเสียบ้าง...........แต่ผมกลับนึกถึงคำพูดเหล่านั้นไม่ออกเลยแม้แต่คำเดียว...........

                           “พี่เข้าใจ...........ไม่ต้องพูดหรอก...........พี่ไม่ได้คิดไปไกลถึงขนาดนั้น............ถ้านัทอยากจะเลิกกับพี่เมื่อไหร่ก็บอกได้เลย.............จะเลิกตอนนี้ก็ยังได้”.....................ผมตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา.................ใช่สิ.............เค้าได้ทำให้ผมกลายเป็นคนไม่มีหัวใจไปเสียแล้ว..........แม้ปากผมจะบอกว่าไม่ได้คิดไปไกล..............แต่ตอนนี้วิมานในอากาศที่ผมเคยแอบวาดฝันเอาไว้ ได้ถูกนัททำลายย่อยยับไปต่อหน้าเสียแล้ว..............

                            นัทเอื้อมมือมาแตะที่แขนผมเบาๆ................ผมแกะมือเค้าออกไปอย่างช้าๆ โดยที่ไม่ได้หันไปมอง...............นัทพยายามจะทำแบบนั้นซ้ำๆหลายรอบ.............แต่ก็โดนผมปัดป้องไปเสียทุกครั้ง.................จนในที่สุดเค้าก็ยอมแพ้.............

                           “ก็ไหนพี่กั้งบอกว่าเข้าใจไง...........แล้วทำไมพี่กั้งไม่ยอมให้นัทโดนตัว”..............นัททำหน้าเบะเหมือนจะร้องไห้...............ความเวทนาแล่นวูบเข้ามาเกาะกุมที่หัวใจผมโดยอัตโนมัติ........

                           “ห้ามใจอ่อนเด็ดขาดนะกั้ง”...............ผมกระซิบบอกตัวเองในใจ

                          “ตอนนี้เราไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว.............ต่อไปนี้นัทจะแตะต้องตัวพี่ไม่ได้อีก”..............ผมบอกออกไปเป็นคำขาด...............ผมไม่ได้พูดเพื่อประชด............แต่ผมไม่ปรารถนาให้ใครมาแทะโลมเล่นฟรีๆโดยไม่คิดจะรับผิดชอบในสิ่งที่ทำ................

                           “พี่กั้งอย่าทำเย็นชาแบบนี้กับนัทได้มั้ย นัทจะร้องไห้แล้วนะ”.............นัทที่เคยดื้อดึงหัวแข็ง.........ตอนนี้กลายเป็นแค่เด็กตัวโตๆคนหนึ่งเท่านั้น.............ทั้งน่าโมโห ทั้งน่าเวทนา และทั้งน่าขบขันปนกัน.............ผมสับสนกับความรู้สึกไปหมดแล้ว.............

                            “พี่กั้งรู้หรือเปล่าว่า นัททนไม่ได้เวลาพี่กั้งทำท่าเย็นชาใส่แบบนี้................นัทเคยเห็นพี่กั้งทำท่าเย็นชาใส่เจ............ตอนนั้นนัทยังแอบคิดเลยว่าถ้านัทโดนแบบนั้นบ้าง นัทคงทนไม่ได้แน่ๆ”..........นัทรำพึงรำพันเหมือนคนเสียสติ...............ในขณะที่สมองของผมเริ่มปลอดโปร่งขึ้นมาเป็นลำดับ...............ตอนนี้ผมคงเริ่มทำใจได้แล้ว อาจเป็นเพราะว่าผมเหนื่อยจนไม่อยากจะดึงรั้งอะไรอีกต่อไป.......

                            ในที่สุด นัทก็ละความพยายามที่จะแตะตัวผม...............เค้าหันกลับไปนั่งกอดในท่าเดิมอีกครั้ง............ผมคอยแอบสังเกตเค้าเงียบๆ โดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา..............................

                         “ในพระคัมภีร์บัญญัติโทษสำหรับคนที่เป็นเกย์ว่าเมื่อตายไปจะต้องตกนรก..............ตอนเด็กๆ นัทไม่กล้าแม้แต่จะอ่านพระคัมภีร์เลย...............ถึงตอนนี้นัทก็ยังไม่กล้าเปิดอ่าน”...............คำพูดของนัทดังแผ่วเบาเหมือนลอยมาจากที่ไกลๆ..................

                           “ทำไมจะต้องไปเชื่อในสิ่งที่ไม่มีเหตุผลด้วย.............เป็นเกย์แล้วทำให้ใครเดือดร้อนเหรอ..........พี่ก็อยากจะรู้เหมือนกันล่ะว่า ถ้านัทตายลงไปแล้ว พระเจ้าของนัทจะตัดสินให้คนที่เป็นเกย์ได้รับโทษหนักกว่าคนที่ฆ่าคนตายหรือเปล่า”......................ผมระบายความแค้นไปลงที่พระเจ้าของนัท..........ทำไมเรื่องแบบนี้จะต้องเกิดกับเราด้วย.............ผมเคยได้ยินว่า ในบางประเทศที่นับถือศาสนาเดียวกันกับนัท................หากโดนจับได้ว่าเป็นคู่เกย์กัน.............คนทั้งสองจะต้องถูกแขวนคอ.........ในครั้งนั้นผมยังหัวเราะเยาะความคิดดังกล่าวว่าช่างเป็นความคิดที่ล้าหลังเสียเหลือเกิน...........ไม่นึกเลยว่า วันนี้จะได้มาเจอกับตัวเองเข้าอย่างจัง....................

                        “ก็ในเมื่อพระเจ้าเป็นคนสร้างมนุษย์ขึ้นมา...........แล้วไม่ใช่พระเจ้าหรอกเหรอที่เป็นคนสร้างเกย์ขึ้นมาเหมือนกัน............แล้วจะมาลงความผิดที่เกย์ได้ยังไง”.............ผมเริ่มยั้งตัวเองเอาไว้ไม่อยู่................ความแค้นทั้งหลายโหมกระหน่ำมาจากทุกทิศทาง..............ผมไม่เข้าใจ...........ไม่มีวันจะเข้าใจ…………..

                           “พระเจ้าไม่ได้สอนให้รังเกียจคนพวกนั้นนะ..............แต่พระเจ้าสอนให้เห็นใจเค้า...........เพราะเค้าน่าสงสาร..............หากเค้ากลับตัวได้ พระเจ้าก็จะให้อภัย”..................นัทพยายามอธิบายให้ผมเข้าใจในความคิดของเค้า................แต่ผมไม่ต้องการจะฟัง.............ยังไงผมก็ไม่มีวันจะเข้าใจ..........

                          “แล้วในศาสนาของนัทไม่มีใครที่เป็นเกย์เลยเหรอ...........คนที่เค้าอยู่เป็นโสดโดยที่ไม่แต่งงานไม่มีเลยเหรอ”................ผมนึกสงสัยว่าหากนัทจะอยู่เป็นโสดโดยที่ไม่แต่งงาน มันจะเป็นความผิดมากหรือเปล่า

                          “ไม่มี..............เค้าก็แต่งงานกันทุกคน..............ในพระคัมภีร์กำหนดหน้าที่ของสามีและภรรยาไว้อยู่แล้ว................เราก็แค่ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด”..............นี่เค้าไม่สอนให้คนคิดเลยหรือไง นอกจากทำตามคำสั่งเพียงอย่างเดียวเท่านั้น...............ผมเริ่มมองเห็นปัญหาที่เคยส่อเค้ารางๆมาตั้งแต่ต้น ตอนนี้มันกลายเป็นปัญหาใหญ่อยางที่ผมแทบจะคาดไม่ถึง..............เราสองคนโตมาในศาสนาที่มีความเชื่อตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง...............ศาสนาหนึ่งสอนให้คนคิดหาเหตุและผล..............ส่วนอีกศาสนาก็สอนให้คนทำตามโดยไม่มีข้อโต้แย้ง ไม่ต้องคิด ไม่ต้องมีความรู้สึก ไม่ต้องมีหัวใจ..............เราสองคนไม่มีวันที่จะคิดตรงกันได้หรอก............ในเมื่อความเชื่อของเราต่างกันลิบลับเช่นนี้...................

                           มิน่าล่ะ............นัทถึงคอยพูดเสมอว่าเค้าไม่สามารถเป็นอย่างที่ผมหวังได้..............เพราะเค้าต้องแต่งงาน..............แล้วทำไมเค้าไม่ไปๆจากชีวิตผมเสียตอนนี้เลยล่ะ..............จะมาเสนอหน้าอยู่ทำไมกัน.............ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น.................

                          “เรียนมาตั้งมากมายก็เปล่าประโยชน์...........ทำไมไม่รู้จักใช้สมองคิดบ้าง ว่าอะไรคือเหตุ อะไรคือผล..............ไม่ใช่เชื่อเพราะว่าคำสอนที่บอกต่อๆกันมา.............หลับหูหลับตาเชื่อโดยไม่ใช้สมองคิดว่าอะไรถูกอะไรผิด”.................ผมโกรธทุกอย่างที่ขวางทางรักของผม...............โกรธแม้กระทั่งพระเจ้าของนัทที่ผมไม่รู้จัก..........โกรธแม้กระทั่งตัวเอง...............หากพระเจ้าท่านได้รับฟังถึงสิ่งที่ผมได้พูดจาจาบจ้วงพระองค์ไปในวันนั้น..............ขอพระองค์จงทรงอภัยให้แก่ผม ผู้ที่ล่วงเกินพระองค์เพราะมีดวงตาอันมืดบอดเนื่องจากความรัก และขอพระองค์จงทรงอวยพรให้นัทค้นพบหนทางแห่งความสุขให้ได้ในเร็ววันด้วยเถิด.................

                           “พูดไปพี่กั้งก็ไม่เข้าในหรอก...............เลิกคุยเรื่องนี้เถอะ”.................นัทพูดตัดบท ก่อนที่เราจะทุ่มเถียงกันไปใหญ่โตกว่านี้............เราสองคนจึงกลับเข้าสู่ห้วงของความคิดแห่งตนอีกครั้ง................ผมไม่อยากจะรู้ว่าเค้ากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ.............ผมรู้แต่เพียงว่าตอนนี้ผมอยากกลับถึงเชียงใหม่ให้เร็วที่สุด......................
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 14-09-2007 17:38:11
อ่านแล้วทำไมสงสารนัทหว่า อย่าว่ากันน้า แฮ่ๆ :m23:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 14-09-2007 18:42:45
คิดเหมือนพิมเลย นัทน่าสงสาร  :m17:  :m17:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 14-09-2007 21:24:59


เหมือนกัน ครับ 

หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 15-09-2007 14:11:40
แป๊ววววววววววววว แว๊ววววววววววววววๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

กำลังหวานๆกันดีแท้
 :sad2: :sad2: :sad2: :sad2:

ความรักเกิดจากความเข้าใจกันและกัน
ต่างคนต่างมีเหตุผลของตัวเอง
ลองเอาใจเขามาใส่ใจเรา ถ้าเราเป็นเขา เราจะทำอย่างไรกับสถานการณ์แบบนี้
 :m1: :m1: :m1:

อาจช่วยกันค่อยๆแก้ปัญหาไปทีละเปราะ
ถ้าเรามัวแต่ใช้อารมณ์ มันก็จะแย่ลงไปอย่างที่เห็น
ในสถาณการณ์นี้นัทควบคุมมันได้อย่างดีกว่า

 :a9: :a9:

ทุกศาสนาล้วนสอนให้ทุกคนเป็นคนดี
แต่บางทีคนเราต่างหากที่ตั้งกฎเกณฑ์เพิ่มเติมมาทำให้บูดเบี้ยวไป

 :a1: :a1: :a1:

กลัวว่าตายไปจะตกนรก ทำไมตอนอยู่ไม่ทำตัวให้ดี
และมีความสุขมากๆหล่ะ เพราะตายไปก็ยังไม่รู้ว่าจะรอดจากนรกหรือปล่าว
 :m26: :m26: :m26:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 16-09-2007 15:07:01

ตาบลูตอบได้ดี....

แน่ใจหรือว่าที่เขียนเอาไว้ในพระคัมภีร์นะ  พระผู้เป็นเจ้าท่านบอกให้เขียนอย่างนั้นจริงๆ   ไม่ใช่พวกที่มีหน้าที่คัดลอกพระคัมภีร์หรือพวกกาหลิบรุ่นหลังยัดเยียดใส่ลงเพิ่มเติมที่หลัง  แล้วอ้างว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงกำหนดเอาไว้  เพราะว่าไม่มีใครรู้นิว่าพระเจ้าพูดเอาไว้ว่าอย่างไรนอกจากพระนบีฯ ที่มีโอกาสได้ติดต่อกับพระเจ้าโดยตรง

นสถานการณ์ตอนนี้  นัทควบคุมตัวเองและคุมเกมได้ดีกว่า  ทำให้ภาพที่ปรากฏออกมา นัท ดูน่าสงสาร  เพราะนัทมีความจำเป็นที่ต้องทำอย่างนั้น  แต่ถ้าอ่านมาแต่ต้นแล้วจะรู้ว่า  พี่กั้ง ก็น่าสงสารเหมือนกันแต่สาเหตุของความอึดอัดและสาเหตุที่พี่กั้งต้องแสดงออกอย่างนี้มาจาก "ตัวของพี่กั้ง" เอง

นัท  มีความจำเป็นจากภายนอก

พี่กั้ง  มีความจำเป็นจากภายใน

ปล.  เท่าที่รู้มาศาสนาต่างๆ แรกเริ่มเดิมที่ก็ไม่มี นิกาย  พุทธก็ไม่มี  อิสลามก็ไม่มี  หรือแม้แต่คริสต์  แต่ทำไม....พอนานๆ ไป ลับหลังจากที่องค์ศาสดาของแต่ละศาสนาเสด็จล่วงไปแล้ว  ทำไมถึงมีนิกายขึ้น  มีคริสตัง-คริสเตียน  มหายาน-หินยาน  สุหนี่-ชีอะห์ 

ล่าสุดที่เพิ่งอ่านเจอมานั้น  อธิบายการเกิดนิกายในศาสนาอิสลามโดยฝรั่ง(?)  อ่านแล้วอดสูใจ เพราะเกิดจากการแก่งแย่งอำนาจของการเป็นสืบต่อพระศาสนาต่อจากพระนบีฯ  ในตำแหน่ง "กาหลิบ" ระหว่างลูกชาย(ชีอะห์)กะลูกเขย(สุหนี่)  ดูสิพระนบีฯ ท่านสอนสั่งมาดีๆ แท้ๆ คนรุ่นหลังยังมาทำให้แตกแยกกันได้  เจ้เลยไม่ค่อยเชื่อในคัมภีร์รุ่นหลัง  แต่ที่คิดเอาเองนะว่า  หลักการของศาสนาอิสลามนั้นคือ อยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข  เพราะเท่าที่อ่านๆ มา  มักมุ่งเน้นสอนให้ช่วยเหลือกัน  แบ่งปันกัน  กำหนดหน้าที่ที่ศาสนิกชนพึงปฏบัติทั้งต่อตนเอง ศาสนา และส่วนรวม (คล้ายขงจือ-เล่าจือ)

ส่วนคริสต์นี้  แยกกันเพราะเกี่ยงว่านับถือพระแม่มารีหรือไม่นับถือ(?)  นิยายหนึ่งว่าพระแม่คือคนธรรมดาสามัญ มิควรกราบไหว้ไม่  อีกนิกายนึงว่าพระแม่คือเทพหรือเซนต์ สมควรกราบไหว้เพื่อระลึกความดีงามของพระแม่ที่มีแก่โลกมนุษย์

ส่วนพรามหณ์  แบ่งกันเพราะแย่งกันชูว่าเทพที่ตนนับถือนั้นยิ่งใหญ่กว่าเทพที่คนอื่นๆ นับถือ ทั้งที่จริงๆ แล้ว  หลักการของพรามหณ์คือ การกลับสู่ปรมัต-เข้ารวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นเอง

ส่วนศาสนาพุทธนั้น  ละไว้ในฐานที่เข้าใจ......ก็อย่างที่รู้ๆ กัน  เจ้เซ็ง  :เฮ้อ:

จาก อิเจ้ คนบาป
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 17-09-2007 10:31:39
เรื่องศาสนาเป็นเรื่องเปราะบาง............ผมคงไม่วิจารณ์อะไรมากไปกว่านี้.............นัทเป็นเกย์ที่โตมาท่ามกลางความกดดัน.................จริงๆแล้วเค้าน่าสงสารมาก...............ผมอยากให้เค้าเป็นตัวของตัวเองและมีความสุข..........โดยที่คนรักของเค้าอาจจะไม่จำเป็นจะต้องเป็นผมก็ได้.............แต่หากคุณมาลองเป็นผมดูบ้าง..............มันไม่ง่ายเลยที่จะพยายามผสานความเข้าใจให้ไปกันได้ด้วยดีกับอารมณ์ส่วนตัว...............เพราะมันเจ็บปวดทุกครั้งเมื่อต้องพูดเรื่องนี้........บางทีเวลาโมโหก็ไม่อยากจะทนรับฟังอะไรอีกแล้ว............มันเป็นความรักที่อยู่กับความกดดันตลอดเวลา...........แต่อะไรก็ไม่กดดันเท่ากับการที่เค้าคอยย้ำเสมอว่า..........เราจะไปกันไม่ได้ในที่สุด...........ก็เหมือนกับการมองเห็นปลายทางของเรื่องแล้วว่าจะจบลงแบบไหน.............ดังนั้นความพยายามที่อยากจะทุ่มเทอะไรลงไปก็เลยหดหาย...........แม้บางคนอาจจะมองว่าทำไมไม่ทำวันนี้ให้ดีที่สุด.............แต่คงไม่มีใครที่ไหน ที่จะอยากรดน้ำลงไปบนตอไม้ที่ผุพังแล้ว.........ผมทำดีทีสุดได้แค่นี้จริงๆ..........เดี๋ยวเย็นๆมาลงต่อนะครับ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 17-09-2007 10:45:48
อยากเสริมนิดนึงว่า ที่บอกว่านัทน่าสงสารนั้น
เพราะตั้งแต่อ่านมา ในช่วงต้น นัทเป็นอะไรที่ออกจะเด็กมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นการกระทำหรือคำพูดต่าง ๆ
แต่สิ่งหนึ่งที่รู้สึกดีกับนัท คือ ความชัดเจนที่มีให้กับกั้งมาตลอดว่า เขากับกั้งจะไปด้วยกันไม่ได้ เขาไม่หลอกตัวเอง ไม่หลอกกั้ง
ยิ่งได้รับรู้ถึงเหตุผลของนัท ยิ่งเข้าใจนัทว่า ต้องสับสนกับตัวเอง กับสังคมรอบข้างมากแค่ไหน
มาถึงตรงนี้แล้ว ยิ่งรู้สึกว่า เห็นใจทั้งนัทและกั้งเท่า ๆ กัน
อย่างที่เจ้บอก คนหนึ่งมีความจำเป็นจากภายนอก อีกคนมีความจำเป็นจากภายใน
นาทีนี้ไม่ว่าเรื่องจะจบแบบไหน ก็รับได้ และเข้าใจทั้งสองฝ่าย

 :impress:  :impress:  :impress:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 17-09-2007 19:38:36

เห็นใจทั้งสองฝ่ายครับ  ขอให้เข้มแข็งทั้งคู่เลยนะครับ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 18-09-2007 11:03:54
                        หลังจากที่เราต่างฝ่ายต่างเงียบกันไปได้สักพัก...............ความเร่าร้อนภายในใจของผมก็เริ่มสงบลงพร้อมกับพุทธิปัญญาที่พวยพุ่งมากขึ้นเป็นลำดับ.............ผมจะวิตกไปทำไม ในเมื่อเหตุการณ์เมื่อครู่ก็ฟ้องให้เห็นอยู่แล้วว่า สถานการณ์ในตอนนี้ผมเป็นต่อ...............

                         ผมเหลือบมองไปดูนัท...................ท่าทางเค้าดูวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด..............คงเป็นเพราะการเปิดใจพูดอย่างหมดเปลือกของเค้าเมื่อครู่นั่นเอง...............ตรงกันข้าม ผมกลับมีท่าทีที่เยือกเย็นอย่างยากที่จะเดาความรู้สึกข้างในได้.................

                        “นัทไม่น่าพูดเรื่องเมื่อกี้เลย”.................นัทพึมพำออกมาเบาๆ หลังจากที่นิ่งเงียบไปนาน...........

                        “ก็ดีแล้วนี่............เราจะได้เข้าใจตรงกัน”..................ผมแค่นเสียงออกมาอย่างเย็นชา.....

                        ถึงตอนนี้นัทคงจะคิดได้แล้วว่า การเปิดช่องให้เห็นว่าเค้าคิดอย่างไรอยู่นั้น.......เป็นสิ่งที่ไม่ฉลาดนัก........แทนที่มันจะทำให้เราเข้าใจกันมากขึ้น.........แต่มันกลับทำให้เราห่างกันออกไปมากกว่าเดิม..........ผมกลายเป็นคนที่เย็นชาจนดูน่ากลัว และอาจจะตัดสินใจทิ้งเค้าไป ในภาวะที่สภาพจิตใจของเค้ายังไม่พร้อมอย่างเช่นในตอนนี้ก็ได้.............

                        อะไรบางอย่างบอกให้ผมนิ่งเอาไว้.............ทำเป็นใจกว้างเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น..........คนที่จะต้องเป็นฝ่ายร้อนรนควรจะเป็นเค้า ไม่ใช่ผม..............ผมเป็นฝ่ายโดนทำร้ายความรู้สึกโดยที่ไม่ได้ทำผิดอะไร................ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมไม่เคยแม้แต่ครั้งเดียวที่จะทำให้เค้าเสียใจ..........ผมอยู่กับเค้าด้วยความภักดีมาตลอด................แต่สิ่งที่เค้าตอบแทนความจริงใจของผมก็คือการบอกว่า..............แม้ผมจะดี และทำให้เค้ารู้สึกผูกพันได้มากแค่ไหนก็ตาม..............แต่เค้าก็ยังยืนยันว่า จะทิ้งผมไปอยู่ดี............ผมไม่เรียกร้อง ไม่โวยวาย ไม่ต่อว่าเค้า นั่นก็บุญโขอยู่แล้ว................ถึงตอนนี้ถ้าเค้าไม่รู้สึกผิด...............ก็ให้มันรู้ไป.................




                          โชคดีที่ผมเป็นคนลืมง่าย............โดยเฉพาะการให้อภัยต่อคนที่รัก.................หลังจากที่เราเปลี่ยนเรื่องคุยกันไปเรื่อยๆ.............ในที่สุดอารมณ์ของผมก็กลับมาแจ่มใสเหมือนเดิมอีกครั้ง.............แต่ผมก็ยังสงวนท่าทีเอาไว้พอประมาณ..............ไม่อย่างนั้น ผมเองจะต้องกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบกับนิสัยที่ชอบให้อภัยต่ออะไรๆไวจนเกินไปในอนาคตแน่นอน...............

                        “พี่กั้งจะไปเก็บตัวอย่างที่น่านอีกเมื่อไหร่..............นัทไปเป็นเพื่อนก็ได้นะ”..............หึ........ทีอย่างนี้ทำมาเป็นพูดเอาใจ..............คนอย่างนัทเคยเป็นอย่างนี้ที่ไหน..............เป็นห่วงเป็นใย.........ขันอาสาทำโน่นทำนี่ให้..............ไม่มีวันซะหรอก...............

                         “ก็ยังไม่รู้เลย............ต้องดูก่อน” ผมตอบแบ่งรับแบ่งสู้แบบไว้เชิงพอประมาณ...................นายอาสาเองนะ..............อย่ามากลับคำในตอนหลังก็แล้วกัน...............

                          ความจริงผมเคยหาเรื่องจะไปเก็บตัวอย่างที่น่านมาหนึ่งหนแล้ว เมื่อครั้งที่นัทไปฝึกงานที่โรงพยาบาลชุมชน.............แต่ก็กลับมามือเปล่า...............คราวนี้ผมจะต้องถือโอกาสตีเหล็กในตอนที่ยังร้อนอยู่...............เมื่อเค้าอาสา ผมต้องรีบคว้าไว้ แม้ว่าในใจนั้นจะรู้ดีว่า หากผมไปเก็บตัวอย่างในช่วงนี้..................ผมมีความเสี่ยงสูงที่จะได้ดอกไม้ที่อ่อนจนเกินไป........แต่ผมจะไป..........เพราะผมอยากใช้เวลาช่วงที่เหลือนี้อยู่กับเค้าให้มากที่สุด..............ใครจะว่าผมบ้ายังไงก็ช่าง.....................

                         “งั้นไปอาทิตย์หน้ากันดีมั้ย”...............ผมออกความเห็นหลังจากไตร่ตรองข้อดีข้อเสียอย่างถี่ถ้วนดีแล้ว...............ช่วงนี้นัทอยู่ว่างๆ..........เราก็ควรจะหากิจกรรมทำร่วมกันให้มากขึ้นไม่ใช่หรือไง.........


                          เวลาล่วงเลยไปจนเกือบห้าทุ่ม เราสองคนจึงเดินทางมาถึงเขตตัวเมืองเชียงใหม่..............ผมกำลังสงสัยอยู่ในใจว่า เมื่อเข้ามาถึงตัวเมืองแล้ว นัทจะเอ่ยปากให้ผมไปส่งที่หอพักของเค้าหรือไม่.....................ปกติเค้าน่าจะทำแบบนั้น..................เพราะเค้าหักห้ามใจได้เก่งกว่าผมมาก.............ถ้าหากมีเหตุการณ์ที่ต้องเอ่ยคำอำลา...........นัทคงเอ่ยปากได้เร็วกว่าผมมาก...........อาจจะเป็นเพราะเค้าคงฝึกการบังคับฝืนใจตัวเองมาตั้งแต่เด็กแล้วก็ได้................ในขณะที่ผม แทบจะไม่รู้จักคำคำนั้นเลย.........เพราะผมไม่เคยห้ามใจตัวเองอยู่แล้ว...............


                         นัทไม่เอ่ยปากอะไรออกมาเกี่ยวกับหอพักของเค้าอย่างที่ผมวิตก ว่าจะได้ยิน..............จนผมอดรนทนไม่ไหวจึงเอ่ยถาม............

                         “จะกลับหอ หรือเปล่า”...............นัทนั่งนิ่ง กอดกระเป๋าเอาไว้แน่น ท่าทางใคร่ครวญ ลังเล สักพัก.............

                        “ไม่...........นัทจะไปนอนที่ห้องพี่กั้ง”.................หึ..............ว่าแล้วเชียว..............คงยังไม่ไว้ใจว่าผมจะเคืองมากน้อยแค่ไหนจากคำพูดของเค้าเมื่อครู่.............สถานะการณ์ที่ไม่ชัดเจนอย่างนี้เค้าอาจจะจำเป็นที่ต้องตามมาประกบติดเพื่อดูท่าทีให้แน่ใจเสียก่อน..............

                         ผมแอบกับขำท่าทางของนัทในใจ...........เค้าไม่รู้หรอกว่า ผมรักเค้ามากแค่ไหน.........รักจนสามารถอภัยให้เค้าได้ทุกอย่าง.................แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจะต้องอยู่บนเงื่อนไขที่ว่า...........เค้าจะต้องแสดงให้เห็นว่า.............เค้ายังรักและต้องการผมเช่นกัน................แม้ใครจะมองหาความรักในอุดมคติที่ว่า...........รักแท้คือการไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ...............แต่ความรักของผมคงไม่มีวันเป็นอย่างนั้นไปได้...............เพราะผมคงใจแคบเกินกว่าจะไม่หวังอะไรคืนมาจากคนที่ผมรักเลย..............และสิ่งที่ผมต้องการก็เป็นสิ่งพื้นฐานที่คนรักควรมีให้แก่กันอยู่แล้ว............และผมคิดว่าผมคงไม่ได้ขอมากจนเกินไป...............สำหรับใครที่มีโอกาสได้สัมผัสกับความรักแท้แบบที่ไม่มีเงื่อนไขอย่างนั้นบ้าง..............ผมก็ขออนุโมทนากับท่านเหล่านั้นด้วยใจจริง..............ส่วนตัวผมเองนั้น คงไม่มีโอกาสได้เจอเพราะบุญไม่ถึง และจิตใจยังไม่สูงส่งพอ.................

                          แม้จะเสียความรู้สึกไปบ้าง............แต่คืนนี้ผมก็ได้หลับอย่างมีความสุขอีกครั้ง..............เพราะจากเหตุการณ์ระหว่างการเดินทางที่ผ่านมา............มันได้พิสูจน์ให้เห็นว่า.............ความรักที่ผมทุ่มเทให้นัทไปนั้น ไม่ได้สูญเปล่า.............และหากไม่เข้าข้างตัวเองจนเกินไป............คำว่า “ผูกพัน” ที่นัทบอก อาจจะแปลว่าเค้ารักผมก็ได้................แค่นี้ก็คงเพียงพอแล้วสำหรับผม ณ ตอนนี้............


ขอโทษด้วยนะครับ ที่ลงแบบกระปริดกระปรอย.........ช่วงนี้งานยุ่งมากกกกกกกก...........เอาไว้ว่างๆจะมาลงยาวๆนะจ้ะ........
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 18-09-2007 15:31:21
อ่ะ แบบนี้เขาเรียกฮันนีมูน สองต่อสองเป่า
 :m27: :m27: :m27: :m27: :m27:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 18-09-2007 16:47:48
อ่ะ............เหรอ..............ไม่รู้สิ.............พอดีไม่ค่อยชำนาญเรื่องพวกนี้น่ะ..........หุหุ :m14:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 18-09-2007 17:53:15
นัทปากกับใจไม่ตรงกันเนอะ  คุณกั้งก็ลูกล่อลูกชนเหมือนกานนน  :m17:
เอาวะ  มากันขนาดนี้แล้ว  มันจะคนละปลายทางจริงๆ เหรอ

รออ่านต่อคับ อยากให้ผูกพันกันตลอดไป  แต่มานเหมือนจาเศร้าใช่ม้ายยย  :a1:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 18-09-2007 19:15:24

ใช้ช่วงเวลาที่มีอยู่ให้มีความสุขมากที่สุดนะครับ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 18-09-2007 19:28:02
ได้เดินทางด้วยกันอีกสักครั้งอาจจะมีการเปิดใจกันมากขึ้นอีกก็ได้
รอติดตามต่อค่ะ  :impress:  :impress:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 20-09-2007 13:55:18
อยากไปดอยภูคาแสนสวย ที่น่านจัง
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 20-09-2007 14:54:53
ก็เหมือนดอยอื่นๆนั่นแระ...........จะไปทำไม........อิอิ :m13:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 20-09-2007 15:01:31
ค่ะ

รับแซ่บ

ตามนั้น

 :a14:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 21-09-2007 08:42:03
                           “แกว่างหรือเปล่าคืนนี้”..................ตั้งแต่อินเลิฟกับนัท ผมไม่ค่อยมีเวลาได้เจอะเจอเพื่อนๆเหมือนเมื่อก่อน............เมื่อครั้งที่ยังใช้ชีวิตแบบคนโสด ผมมักจะแวะเวียนไปดื่มเหล้าตามผับต่างๆเสมอเมื่อมีโอกาส..............และหนึ่งในบรรดาคู่หูของผมก็คือศร............เพื่อนเกย์ที่กำลังศึกษาปริญญาโททางด้านบริหารธุรกิจอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกันกับผม แต่หล่อนมักไปๆมาๆระหว่างกรุงเทพกับเชียงใหม่เนื่องจากมีงานประจำอยู่ที่โน่น..........พักหลังเราจึงไม่ได้เจอกันบ่อยนัก...........

                          “ว่างสิ.........ทำไมเหรอ”..............ตั้งแต่กลับมาจากขอนแก่น...........เหล้าสักหยดยักไม่ตกถึงปากผมเลย.............คิดแล้วก็น้ำลายสอขึ้นมาทันที...............

                          จะว่าไปแล้ว เกย์เป็นกลุ่มคนที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวในยามราตรีไม่แพ้คนเพศใดๆ............จากประสบการณ์ที่ผ่านมาในชีวิต ผมพบว่าเกย์ที่ไม่เที่ยวกลางคืนนั้นมีน้อยมากเมื่อเทียบกับชายหญิงทั่วๆไป........ส่วนแรงขับที่ทำให้ต้องออกไปท่องราตรีอาจจะมาจากหลายปัจจัยด้วยกัน..............บางคนอาจจะออกไปเพื่อมองหาเซ็กส์แค่ชั่วคืน.........บางคนอาจอยากออกไปเพื่อเต้นรำ และบางคนอาจจะชอบออกไปเพื่อพูดคุยกับเพื่อนๆ กินเหล้าและฟังเพลง.........แต่อย่างไรก็ดี ทุกครั้งที่ออกไปเที่ยวกลางคืน..........ลึกๆในใจทุกคนก็คงคาดหวังว่าจะได้พบกับใครสักคนที่ถูกใจไม่แตกต่างกัน...............

                        ต้องยอมรับว่าผมไม่ค่อยประสบความสำเร็จกับการหาแฟนจากที่เที่ยวมากนัก............อาจจะเป็นเพราะความขี้อาย และไว้ตัวมากจนเกินไป............อีกทั้งผมไม่นิยมความสัมพันธ์แบบ one night stand คืนเดียวจบ............สรุปแล้วคือผมเป็นคนเรื่องมาก จึงไม่เป็นที่ต้องการของตลาดนั่นเอง.............เพราะฉะนั้น แม้ว่าบางครั้งจะเจอคนที่ถูกใจ.............แต่สุดท้ายผมก็จะพยายามหักห้ามใจตัวเอง และกลับมานอนซดน้ำแห้วอีกตามเคย.........การเที่ยวกลางคืนของผม จึงเป็นแค่การออกมาเที่ยวจริงๆ ไม่มีสิ่งอื่นเจือปน...............

                         ตั้งแต่คบกันมา นัทไม่เคยมีโอกาสได้ออกไปเที่ยวกลางคืนกับผมเลย.............เพราะเค้าไม่ดื่มเหล้า............ชีวิตกลางคืนจึงเป็นสิ่งที่อยู่ไกลตัวสำหรับนัทมากพอสมควร............และผมก็ไม่ค่อยเล่าอะไรให้นัทฟังเกี่ยวกับเรื่องที่ไปเที่ยวกลางคืนสักเท่าไหร่...............เดาเอาว่าเค้าคงไว้ใจผมในระดับหนึ่ง........ผมจึงสามารถออกไปเที่ยวดื่มเหล้าได้โดยสะดวก ไม่มีปัญหาให้ต้องมาทะเลาะเบาะแว้งกันในภายหลัง..............จะว่าไปแล้วเราก็เป็นคู่รักที่เข้ากันได้ดีทีเดียว แม้ว่าจะมีความแตกต่างกันบ้าง เช่น นัทเป็นคนประหยัด แต่ผมติดฟุ่มเฟือยหน่อยๆ............นัทใช้เวลาว่างกับการเล่นเกมส์ ดูหนัง แต่ผมชอบชอปปิ้ง กินเหล้า..........และที่สำคัญเรามีเป้าหมายในชีวิตที่แตกต่างกัน..........ผมอยากมีคนรักที่สามารถใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันในแบบของเกย์ได้............แต่นัทอยากแต่งงานมีครอบครัวเหมือนคนธรรมดา.......คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาทีไรก็พาลทำให้อารมณ์ขุ่นมัวทุกที...........

                           “นัทจะกลับหอ หรือจะอยู่นี่”..............ตั้งแต่กลับมาจากขอนแก่น นัทยังไม่ได้กลับห้องเลย...........และผมก็พอใจกับการปฏิบัติตัวของเค้าในช่วงนี้พอสมควร...........ดังนั้นผมจะให้โอกาสเค้ากลับห้องไปเล่นเกมส์ที่ห้องได้ตามสบาย............เพราะผมก็จะออกไปกินเหล้ากับเพื่อน.........จะได้ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง..............จริงๆแล้ว ผมไม่อยากทิ้งเค้าไว้คนเดียว..........

                            “พี่กั้งไปเหอะ นัทจะดูหนังอยู่ที่ห้อง”............ข้อดีของนัทอย่างหนึ่งคือ เค้าจะไม่ค่อยวุ่นวายกับชีวิตส่วนตัวของผม...........เวลาผมทิ้งเค้าไว้คนเดียว ก็จะไม่ทำตัวงอแงให้ปวดหัว.........แต่ถึงยังไงผมก็ไม่อยากทิ้งเค้าไว้คนเดียวหรอก ถ้าทำได้นะ.............

                             “ถ้ายังงั้นพี่จะรีบกลับมานะ”............ผมให้สัญญาเพื่อเป็นการเอาใจ..........ในขณะที่นัทกลับทำเป็นเฉยๆ เหมือนไม่ทุกข์ร้อนกับการไปเที่ยวของผมเลย..........เชอะ........อย่าโทรเช็คก็แล้วกัน..........ผมรู้สึกขัดเคืองอยู่ในใจเล็กน้อย.........ว่าไปแล้วก็รู้สึกหน้าม้านไปหน่อยๆเหมือนกันนะนี่.....หรือเราจะสำคัญตัวผิดไปหว่า.............

                            “เจ ก็จะไปกับพี่ด้วยนะ”..............ผมตัดสินใจทิ้งระเบิด เมื่อเห็นว่านัททำท่าเป็นทองไม่รู้ร้อนเช่นนั้น...........ถ้าไม่เข้าข้างตัวเองจนเกินไป ผมสังเกตเห็นหูของเค้าผึ่งออกมาเล็กน้อย........หุหุ...คิดเหรอว่าจะได้อยู่ห้องคนเดียวแบบสงบๆ...........เค้าควรจะต้องกังวลใจบ้าง ว่ามั้ย.........


                            หลังจากทิ้งปัญหาคาใจไว้ให้นัทแล้ว...........ผมก็แต่งตัวออกมาเที่ยวได้อย่างสบายอารมณ์............ผมขับรถออกไปรับ ศร อ้น และก็เจ ตามลำดับ.............พวกเรามาถึงที่ร้านเฮือนสถาปนิกในช่วงที่คนกำลังเริ่มหนาตา.............ร้านนี้เป็นร้านที่ผมชอบมานั่งฟังเพลงเป็นประจำ............บรรยากาศของร้านเป็นกึ่งผับกึ่งดิสโก้เทค เนื่องจากตกดึกบรรดาขาแดนซ์ทั้งหลายก็สามารถปลดปลอยอารมณ์ไปตามจังหวะดนตรีได้...................อีกทั้งหนุ่มๆที่ร้านนี้ล้วนเป็นหนุ่มวัยทำงาน ดูดีมีระดับ.......อาหารหูอาหารตาเพียบ........อิอิ............

                          เจถือโอกาสนั่งประกบผมราวกับเป็นแฟน..............แต่ผมไม่ใยดีสักนิด............เวลาของเค้ามันหมดไปตั้งนานแล้ว..............ครั้งที่ผมเคยชอบ กลับทำเป็นเล่นตัว คบหลายคนทำเหมือนผมเป็นตัวเลือก.............พอคราวนี้จะมาทำกระดี๊กระด๊า..........เมินเสียเถอะ..........คนอย่างผมถ้าลองได้รักใครแล้ว ไม่มีวันเปลี่ยนใจซะล่ะ...........
บรรยากาศในร้านดำเนินไปอย่างชื่นมื่น.............จังหวะดนตรีเริ่มเปลี่ยนเป็นแนวแดนซ์เมื่อเวลาล่วงเลยเข้าสู่ยามดึก................พวกเราทั้งหมดจึงลุกขึ้นเต้นไปตามจังหวะดนตรีเฉกเช่นแขกโต๊ะอื่นๆ....................

                          “อ้าวพี่กั้ง.........หวัดดีครับ”...............ผมหันไปตามเสียงทัก จึงปะทะเข้ากับรอยยิ้มของหนุ่มน้อยหน้ามน.............

                         “อ้าวอั้ม.............มากับใคร.........มานั่งด้วยกันสิ”...............อั้มที่ว่าเป็นเกย์รุ่นน้องคณะศึกษาศาสตร์ที่แอ๊บแมนได้เนียนอย่างไม่น่าเชื่อ..............ดูเผินๆหากไม่รู้จะคิดว่าเป็นผู้ชายธรรมดา.........หากแต่หล่อนซ่อนความเป็นสาวน้อยเอาไว้ข้างในได้อย่างแยบยล............

                          อั้มถือวิสาสะเข้ามายืนคั่นระหว่างผมกับเจ................ผมเหลือบไปมองเจที่กำลังจับจ้องมาที่อั้มราวกับหมาเห็นเนื้อก็ไม่ปาน.............หุหุ............เดี๋ยวจะแกล้งให้เข้าใจผิดดีกว่า...........ผมวางแผนการสนุกๆเอาไว้ในใจ..............อยากจะรู้เหมือนกันแหล่ะว่าเจป็นคนยังไงกันแน่

                        “อั้ม นี่เจ สองคนคงเป็นรุ่นเดียวกันมั้ง”..............ผมเดินแผนตามอย่างที่คิดเอาไว้ทันที................ทั้งสองหนุ่มยิ้มให้กัน ก่อนที่อั้มจะเป็นฝ่ายละสายตาหันมาสนใจกับผมต่อ.....

                      “พี่กั้งขอบุหรี่ตัวดิ”............อั้มทำท่าเข้ามากระซิบกระซาบ............บรรยากาศภายร้านแบบนี้หากมองเผินๆ อาจเข้าใจผิดได้ง่ายๆว่าเรากำลังจีบกัน.................ทั้งๆที่มันไม่ใช่เลยสักนิดเดียว..........

                         เจกระเถิบออกไปยืนจ้องมองเราสองคนกระซิบกระซาบกันที่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะเงียบๆ............ตอนนี้คงกำลังนึกหึงผมหน่อยๆ.........ในขณะเดียวกันก็คงโมโหที่อั้มไม่สนใจเค้าสักนิด.............ถ้าผมเดาใจเค้าผิด..........ผมให้เตะเลยคอยดู......................ก็คนอย่างเค้าชอบคิดว่าตัวเองเสน่ห์แรงเสียเต็มประดา ใครๆก็ต้องสนใจ..............ขนาดผมเองยังเคยหน้ามืดตามัวมาแล้วพักหนึ่ง...........คิดแล้วอารมณ์เสีย...........


                           แม้ความเมาจะกำลังทวีระดับมากขึ้นตามความร้อนแรงของดนตรี.............แต่ผมก็ยังมีสตินึกถึงนัทเสมอ..............ป่านนี้อาจจะนอนไปแล้วมั้ง...............ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นกดดูเวลา............หกทุ่มกว่าแล้ว.............แบตก็กำลังจะหมด..............เดี๋ยวโอนสายเข้าเครื่องอ้นดีกว่า ก่อนที่แบตจะหมด เผื่อนัทโทรมา...........หลังจากนั้นผมก็ปล่อยให้ตัวเองเมาปลิ้นสุดสวิงให้สมกับที่เก็บกดมานาน.............


                            “เดี๋ยวเราไปกินไก่ทอดเที่ยงคืนกันต่อนะ”................ศรออกความเห็นหลังจากผับเลิกแล้ว..........ทุกคนจึงเห็นพ้องตามนั้น................ดีเลย............ของชอบผมเลยละ.............


                            ร้านไก่ทอดเที่ยงคืนหรือไก่นางฟ้า ตามแต่จะเรียก...........เป็นร้านขายไก่ทอด หมูทอด ไส้ทอด ไข่ต้ม ข้าวเหนียว และน้ำพริกหนุ่ม เสริฟพร้อมผักกาดดอง และกะหล่ำปลีลวกเป็นเครื่องเคียง............เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของร้านนี้คือจะต้องเปิดขายตอนห้าทุ่มครึ่งเป็นต้นไป และที่สำคัญรสชาติอร่อยมากกกกกกกก.............ขาเที่ยวทั้งหลายจึงแห่กันมาต่อที่ร้านนี้ก่อนจะกลับบ้านเป็นธรรมเนียม............ใครมาเชียงใหม่ไม่ได้แวะมากินเห็นทีจะโดนมองว่าเชยเปิ่นเทิ่นสุดกู่................

                          “ทำไมพี่กั้งไม่ชวนเด็กพี่กั้งมาด้วยล่ะ”.............เจเอ่ยถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

                           “ใครเหรอ.........อ๋อ........อั้มน่ะเหรอ”..............ผมถามพลางอมยิ้ม............ทำไมซื้อหวยถึงไม่แม่นแบบนี้บ้างวะ.............

                            “เค้าก็กลับไปกับเพื่อนเค้าสิ”................ผมทำทีไม่ใส่ใจ ก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อ............หึ....อยากจะรู้ข้อมูลของเค้ามากกว่านี้ล่ะสิ.................มันไม่ง่ายแบบนั้นหรอก...........รู้จักกั้งน้อยไปซะแล้วววววววว...........


                           รถของเราวิ่งเรียบไปตามถนนรอบคูเมือง............บรรยากาศในรถครื้นเครงเพราะความเมา...........พลันโทรศัพท์ของใครคนหนึ่งก็ดังเรียกสติขี้เมาทั้งหลายให้กลับเข้ามาอยู่กับร่องกับรอย..........

                           อ้นหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาคุยงึมงัมสักครู่ จึงส่งต่อมาที่ผม

                          “พี่กั้ง โทรศัพท์”..............ใครวะโทรมาตั้งตีสอง...............สงสัยจะเป็นนัท.............

                          “ฮัลโหล นัทเหรอออ โทรมาทามมาย”..........ผมถามน้ำเสียงอ้อแอ้............สงสัยระเบิดที่ทิ้งไว้เมื่อหัวค่ำจะทำงานแล้ว………..

                          “พี่กั้งกลับหรือยังอ่ะ..........ตอนนี้อยู่กับใคร”...........นัทถามน้ำเสียงปกติ...........ส่วนมากเค้าจะไม่ค่อยแสดงอาการอะไรมากมาย เพราะเป็นคนแข็งนอกอ่อนใน.............แต่ผมรู้ว่าเค้าเป็นกังวล..............

                        “จะกลับแล้ว ยังไม่นอนอีกเหรอ..........” ........สงสัยจะนอนไม่หลับ.........หุหุ.........หรือจะคิดว่าผมจะไปไถลที่อื่น.................

                            “ยัง.......กำลังดูหนังอยู่”..........โหยตั้งตีสองแล้วยังไม่นอนอีก

                           “เดี๋ยวพี่จะรีบกลับแล้ว.........งั้นแค่นี้ก่อนนะ”.............ผมวางสายไปด้วยหัวใจพองโตท่ามกลางเสียงกรี๊ดกร๊าดของบรรดาเพื่อนๆในรถ...........แค่ความห่วงใยเล็กๆน้อยๆแค่นี้..........ผมก็ปลื้มมากพอแล้ว..............


                           หลังจากที่แวะส่งทุกคน...........ผมจึงขับรถมาส่งเจเป็นคนสุดท้าย เพราะเราพักอยู่ทางเดียวกัน.............เจนั่งเงียบไม่พูดไม่จา............คงกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง........สะใจผมนัก.........

                         “นัทเค้าก็ดูรักพี่กั้งดีนะ”..............เหรอ..........แล้วไง...........ผมคิดในใจ

                         “อืมก็ดี”.........ผมยิ้มรับอย่างหน้าชื่นตาบาน...........รู้สึกดีใจที่นัทมาช่วยกู้หน้าให้ผมจากเจได้บ้าง.............

                          “แล้วอั้มเค้าเป็นแฟนเก่าพี่กั้งเหรอ”...........วกมาเรื่องนี้อีกแล้ว.............ท่าทางจะสนใจอั้มจริงๆ..........ที่แท้นายก็เป็นคนแบบนี้นี่เอง..........คนอย่างนายไม่มีค่าพอที่จะได้ความรักจากใครหรอก..........เพราะนายมันไม่เคยมีความจริงใจให้ใคร..............

                         “ทำไม.........สนใจเหรอ.........พี่มีเบอร์นะ..........เอามั้ย”.............ผมแกล้งถามลองใจ......ดูซิจะทำยังไง..........เนื่องจากสถานะของเจในตอนนี้เหมือนจะเป็นกิ๊กกับผมก็ไม่เชิง...........หากเค้าตัดสินใจแสดงตัวตนออกมา ก็แสดงว่าเค้าเสี่ยงที่จะไม่ได้รับคะแนนจากผมอีกต่อไป เพราะเท่าที่เห็นๆอยู่ปัจจุบันนี้ เค้ากำลังพยายามจะทำแต้มเพื่อแข่งกับนัท............แต่ผมจะไม่บอกเค้าหรอกว่า ผมได้ปิดประตูตายสำหรับเค้าไปนานแล้ว..............ผมจะเลี้ยงเค้าไว้แบบนี้แหล่ะ.........ผมอยากทำให้เค้ารู้สึกอดสูถึงการที่ไม่ถูกเลือก...........ให้สมกับความโลเลหลายใจของเค้า..............ในเมื่อเค้าชอบเล่นเกมส์กับความรู้สึกของคนอื่น...............ผมก็จะลองเล่นกับเค้าสักเกมส์ จะเป็นไรไป............

                         เจทำท่าครุ่นคิดสักครู่...................ก่อนจะหันมายิ้มหวาน...........

                         “เอาก็ดีนะ.......จะได้มีเพื่อน...........แต่เอาไว้ก่อนดีกว่า.........ไว้เจค่อยโทรมาถามจากพี่กั้งทีหลังก็ได้”..............เฮอะ.............อยากได้แล้วยังจะมาเรื่องมากอีก............ผมแอบคิดในใจ...........คิดแล้วก็อยากให้เจโทรไปหาอั้มเร็วๆ...............อยากจะรู้นักว่าจะเกิดอะไรขึ้น...........แต่เอ...........ถ้าเค้าเกิดชอบกันขึ้นมาจริงๆล่ะ............บรึ๋ยยยยยยยยยไม่อยากจะคิด......................


                          ผมโซเซกลับมาถึงห้องด้วยสภาพเมามาย................นัทนอนไปแล้ว..............ผมค่อยๆย่องเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำ..................เฮ้อ..............ได้อาบน้ำแล้ว ค่อยยังชั่วขึ้นมาหน่อย..............ผมเหลือบไปมองนัทที่ยังนอนหลับอุตุอยู่บนเตียง...........เมาๆแบบนี้รู้สึกคึกดีจัง..............เดี๋ยวต้องปลุกนัทขึ้นมาคุยกันซะหน่อยแล้ว..............คิดได้ดังนั้นผมก็รีบกระโจนขึ้นไปบนเตียงทันที...........ประเดี๋ยวจะตอบแทนรางวัลที่ทำตัวเป็นเด็กดีให้ถึงใจไปเลย คอยดูสิ..........อิอิ...........
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 21-09-2007 11:52:54


อย่างงี้  ที่บ้านน้องเรียกว่า..."แรด"  อิอิ  :m20:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 21-09-2007 13:14:19
จิงง่ะ...........ไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะเนี่ย............อิอิ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 21-09-2007 19:05:19
รอลุ้นต่อจ๊ะ  :m1:  :m1:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 22-09-2007 09:08:22
เหอ เหอ ลองเชิงลองใจกันเป็นระยะ ๆ  :m27:  :m27:  :m27:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 24-09-2007 21:07:09

มาได้แว้ว    :impress:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 25-09-2007 19:13:49
บรรยายมาซะ  เด๋วก็หื่นหดหายอีกอะ  :m14:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 28-09-2007 09:13:01
                        ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมพอมาอยู่กรุงเทพนานขึ้น.......งานมันก็มีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว.........ลงไม่ถี่เหมือนเดิมอย่าว่ากันนะครับ............

...

                      “พรุ่งนี้อย่าลืมเอาขวดมาให้พี่ด้วยล่ะ”..........ผมกำชับนัททางโทรศัพท์ก่อนจะวางสายไป............ขวดที่ผมพูดถึงนั่นก็คือ ขวดสำหรับใช้ดองตัวอย่างที่ผมกับนัทจะไปเก็บที่ดอยภูคาในวันพรุ่งนี้.......ไม่น่าเชื่อเลยว่า นัทจะเก็บขวดโหลพวกนี้เอาไว้ไม่ยอมทิ้งไป........ไม่ว่าจะเป็นขวดแยม ขวดกาแฟ หรือขวดมายองเนสต่างๆ...........แม้มอลลี่จะเคยตั้งข้อสังเกตเอาไว้เมื่อนานมาแล้วว่า คนอย่างนัทถ้าไม่ใส่เสื้อผ้าจนขาดล่ะก็คง จะไม่ยอมทิ้งไปง่ายๆหรอก............ตอนนั้นผมยังนึกขำในคำพูดของมอลลี่อยู่เลย..........แต่การที่เค้ายังเก็บขวดแก้วพวกนี้เอาไว้ มันก็เป็นการยืนยันถึงคำพูดของมอลลี่ไดเป็นอย่างดี............หึ...........รู้คุณค่าของเงินดีแท้ อีตาปลาเค็มเอ้ยยยยยย...........

                         คิดไปแล้วก็ตลกดีเหลือเกิน...........ก็ไอ้ขวดดองตัวอย่างพวกนั้นผมมีอยู่เป็นกุรุส.........มันเป็นอุปกรณ์พื้นฐานที่นักพฤษศาสตร์ควรต้องมี พอๆกับ กรรไกรตัดกิ่ง แอลกอฮอล์สำหรับดองตัวอย่าง หรือแม้กระทั่งแผงที่ใช้สำหรับอัดพรรณไม้แห้งเทือกนั้น.............เพียงแต่ผมเก็บมันเอาไว้ที่ห้องแลป ไม่ได้เก็บเอาไว้ที่ห้องพักเท่านั้นเอง...............ที่จริง ผมก็แค่อยากให้นัทมีส่วนร่วมกับการทำงานของผมบ้าง.........มันอาจจะดูเหมือนเป็นการหลอกให้เค้าต้องมาเสียแรงเปล่าเพื่อทำในสิ่งที่เราไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือจริงๆ.......แต่มันเป็นความสุขของผมนี่........ช่วยไม่ได้.........

                       “พี่กั้งชอบหลอกล่อให้คนนั้นคนนี้ ทำโน่นทำนี่ให้ ทั้งๆที่ไม่ได้ต้องการจริงๆ พี่กั้งจะทำอย่างนั้นทำไม คนอื่นเค้าอุตส่าห์ทำให้เพราะเค้าคิดว่าพี่กั้งต้องการมันจริงๆนะ”...........เพื่อนรุ่นน้องสมัยเรียนปริญญาโทเคยพูดเตือนสติผม เวลาที่หล่อนเห็นผมใช้วาจาออดอ้อนเพื่อขอความช่วยเหลือจากใครๆ........โดยเฉพาะกับผู้ชายที่เป็นเป้าหมายของผม............

                          “เอ๋า...........ก็พี่อยากให้เค้าช่วยนี่”..........ผมไม่มีคำพูดที่จะโต้แย้ง.......นอกจากหาทางบ่ายเบี่ยงไปตามเรื่องตามราว...........ก็ผมอยากให้เค้ารู้สึกว่าเค้ามีความสำคัญกับผมอ่ะ.........ผิดด้วยเหรอ.......ขืนทำตัวเก่งเกินหน้าเกินตา อะไรๆก็ทำได้เองหมด ไม่มีเล่ห์มารยาไว้คอยหลอกล่อ แล้วใครมันจะมาเอาทำแฟน...........ผู้ชายที่ไหนๆเค้าก็ต้องอยากให้ตัวเองมีความสำคัญกับเราเหมือนกันทั้งนั้นแหล่ะ...........จริงมะ..........


                          เราสองคนออกจากเชียงใหม่ในเวลาเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น................ผมรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย.......แม้ว่าเราสองคนจะอยู่ด้วยกันมานานแล้ว..........แต่การเดินทางไปน่านในคราวนี้ มันช่างเหมือนการออกไปฮันนีมูนเล็กๆเหลือเกิน..............เดินทางไปค้างแรมต่างจังหวัด........สองต่อสอง โดยที่ไม่มีคนอื่นมาเกี่ยวข้องให้ปวดกระดองใจเล่น.........จะสวีทแค่ไหนน๊า...........คิดแล้วก็อดไม่ได้ที่จะทำให้รู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นมา.......เหมือนคนเพิ่งแต่งงานใหม่ ยังไงยังงั้นเลย..........อิอิ.......

                        นัทเอาขวดแก้วที่ล้างมาอย่างดีมาให้ผมด้วย.............ผมภูมิใจในตัวเค้าเหลือเกิน..........เป็นแฟนกันมันต้องสนับสนุนซึ่งกันและกันแบบนี้สิ ถึงจะถูก.............

                        “เอาอะไรมาด้วยเยอะแยะ”............ผมมองดูถุงพลาสติกที่นัทหอบหิ้วมาด้วย มีหนังสือเล่มเล็กๆอยู่ในนั้นพร้อมดินสอยางลบพร้อมสรรพ..............ทำยังกะจะไปเข้าค่ายยังงั้นแหล่ะ............

                        “ก็พวกเกมครอสเวิร์ด”.............นัทตอบ พลางหยิบหนังสือเหล่านั้นออกมาให้ผมดู.........นัทซื้อหนังสือพวกนี้เป็นประจำ...............แถมบางทียังฝากผมส่งไปรษณีย์ไปชิงโชคให้ด้วย..........หึ.......ทำตัวยังกะเด็กๆ ติดเกมส์ปริศนาอักษรไขว้งั้นแหล่ะ...............ผมเคยพยายามจะเรียนรู้การเล่นเกมส์พวกนี้กับนัทบ้างแล้ว ทั้งที่จริงๆไม่ได้มีความสนใจเลยสักนิด............แต่ผมอยากเรียนรู้ความคิดของเค้าให้มากที่สุดมากกว่า........และผลก็ลงเอยด้วยการที่ผมไม่ใส่ใจ...........ปล่อยให้เค้าเล่นไปคนเดียวเถอะ...........


                       “เดี๋ยวเราแวะซื้อของกินที่ลำปางกันมั้ย”..............นัทออกความเห็น............ผมมองหน้าเค้าอย่างเอ็นดู..............เราแวะซื้อของกินแทบจะตลอดทางที่ผ่านมาอยู่แล้ว........นัทกับเรื่องกินนี่แยกกันไม่ออกจริงๆ..............

                         “เอาสิ........แวะที่บิ๊กซีก็แล้วกัน”...........เดี๋ยวคอยดูเถอะ.......พอถึงที่สาธารณะแล้ว จะทำทีเป็นต่างคนต่างเดินหรือเปล่า.........ฮึ่มมมม...........


                          แปลกแต่จริง...........คราวนี้นัทไม่ทำเป็นต่างคนต่างเดินจนน่าเกลียดแบบที่เคยทำบ่อยๆอีกแล้ว........อาจจะเป็นเพราะเราอยู่ไกลจากเชียงใหม่.............เค้าจึงคลายความวิตกกังวลต่อสายตาคนรู้จัก ที่อาจจะบังเอิญมาพบเราเข้า..........

                          ผมทำหน้าที่เข็นรถ ในขณะที่นัทเป็นคนเดินเลือกของ................การมีแฟนเด็กกว่าทำให้ผม รู้สึกเป็นทั้งผู้หญิงและก็ผู้ชายในเวลาเดียวกัน.............บางครั้งผมรู้สึกว่าผมปฏิบัติต่อนัทในแบบที่ผู้หญิงปฏิบัติต่อผู้ชาย............แต่ในบางครั้ง ผมปฏิบัติต่อเค้าแบบที่ผู้ชายปฏิบัติต่อผู้หญิง...........ขับรถให้เค้านั่ง..........คอยบริการ............ซึ่งปกติผมไม่เคยทำมาก่อน............เค้าเป็นคนขี้งอนให้ผมคอยแกล้ง..........เค้าเป็นคนเอาแต่ใจแบบเด็กๆให้ผมคอยตามใจ.....ซึ่งก็แน่นอนว่าผมควรต้องเข้มแข็งกว่าเค้า เนื่องจากเค้าดูแลผมไม่ได้.........เพราะผมสูงกว่าเค้าทั้งคุณวุฒิและวัยวุฒิ..........ถ้าหากผมมีแฟนเป็นผู้ใหญ่กว่า ผมคงไม่มีอารมณ์แบบที่เป็นอยู่นี้............อย่างเก่งก็คงคอยทำตัวง๊องแง๊ง ไร้สาระ คอยออเซาะฉอเลาะพันแข้งพันขาอยู่ทั้งวัน.....................การได้คบกับนัท...........ทำให้ผมค้นพบว่า ผมยังมีความเป็นผู้ชายซ่อนอยู่ในตัว........ทั้งที่ไม่เคยคิดมาตลอดว่าตัวเองจะมีสักเท่าไหร่........และผู้ก็รู้สึกว่าชอบเด็ก..........แต่ต้องเป็นเด็กที่มีวุฒิภาวะในระดับหนึ่ง.............ไม่งั้นคงปวดหัวตาย....

                         “พี่กั้งห้ามเปลี่ยนมามีเมียนะ น้องรับไม่ด๊ายยยย” ผมเคยนำความรู้สึกนี้มาเล่าให้เพื่อนเกย์รุ่นน้องฟัง.............แต่หล่อนค้านหัวชนฝา............เพราะในสายตาของหล่อน........ผมควรจะต้องวางตัวเป็นคุณหนู นุ่มนิ่ม..........สวยเริ่ดเชิดหยิ่ง ให้ผู้ชายคอยเทคแคร์ อะไรเทือกนั้น............ซึ่งผมยอมรับว่าเมื่อก่อนผมก็คิดแบบเดียวกันนั้น........แต่ตอนนี้ผมชักไม่มั่นใจซะแล้ว...............

                        แน่นอนว่าเกย์ทุกคนเมื่อถูกนำไปเปรียบกับผู้ชายธรรมดาแล้ว ย่อมเปรียบเทียบเรื่องความแมนกันแทบไม่ได้เลย...............แต่เมื่อเทียบกับเกย์ด้วยกันแล้ว...........เกย์ก็ยังสามารถแบ่งออกได้หลายระดับ ตามส่วนผสมของความแมนและความสาวที่มีอยู่ในตัว.............ใครมีความแมนมากกว่า ก็มักจะเป็นสามี...........แต่ผมไม่เห็นด้วยกับความคิดดังกล่าวมากนัก...........บุคลิกภาพ ไม่น่าจะเป็นตัวกำหนดบทบาททางเพศของคู่เกย์เสมอไป..............แต่ก็ไม่เถียงว่าส่วนใหญ่ก็มักเป็นแบบนั้น...........ก็คือ หากมีเกย์สองคนเดินควงคู่มาด้วยกัน..............คนส่วนใหญ่ก็มักจะต้องเดาว่า เกย์ที่แอ๊บแมนได้เนียนกว่าคือสามี.......แต่จะเถียงมั้ยว่า บางทีเราก็แทบจะเดาไม่ออกว่าใครเป็นอะไร...........เนื่องจากบางคู่ที่ควงกันมา ต่างก็สาวพอๆกัน แต่เป็นแฟนกัน...........อย่างที่เค้าเรียกว่าผัดไทย..................และคงจะขัดต่อความรู้สึกอยู่ไม่น้อย หากเรารู้ว่าคนที่แมนกว่าคือภรรยา...........ของแบบนี้นานาจิตตัง.........แล้วแต่ใครจะตกลงกันเอาเอง..........หากความต้องการไปกันได้.........ทุกอย่างก็ไม่เป็นปัญหา............

                        เราสองคนคุยกันไปเรื่อยๆ ระหว่างที่รถกำลังบ่ายหน้าไปยังจังหวัดน่าน.............หากใครมานั่งฟังเราคุยกันโดยที่ไม่ล่วงรู้เบื้องลึกเบื้องหลัง อาจจะคิดว่าไม่ใช่แฟนกัน............เพราะว่ามันช่างไม่หวานเอาซะเลยน่ะสิ...............

                         คำว่าไม่หวานไม่ได้หมายถึงการพูดคุยกันด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย............แต่หากเป็นการพูดคุยกันแบบธรรมดาทั่วไป มากกว่าที่จะมานั่งจ้ะจ๋า...............เพราะมันก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่แรกเริ่มที่คบกันแล้ว............ขืนนัทลุกขึ้นมาทำออเซาะฉอเลาะ..........ผมคงขนหัวลุกแน่ๆ.............

                         “เดี๋ยวเราหาที่พักแถวนี้กันดีมั้ย.........” ผมหันไปถามความคิดเห็นจากนัทเมื่อมองเห็นว่าตะวันคล้อยบ่ายแล้ว..............ในเมื่อเราไม่ได้รีบร้อนอะไร ก็ไม่น่าจะต้องหักโหมมากจนเกินไป...........อีกทั้งจากประสบการณ์ของผม........การนอนค้างคืนที่บ้านพักของอุทยานเพียงสองคนไม่ใช่เรื่องน่าสนุก............ตอนกลางวันมันอาจจะดูโรแมนติกดีอยู่หรอก..........แต่พอตกกลางคืนขึ้นมา บรรยากาศที่แวดล้อมด้วยป่าเขาของอุทยานจะดูวังเวงจนน่ากลัว.........ผมจึงไม่อยากจะเสี่ยง...............

                          “เอาสิ นัทก็เหนื่อยแล้วเหมือนกัน”.............นัทเห็นด้วยกับความคิดของผม

                          หลังจากที่ควานหาอยู่นาน.........ในที่สุดเราสองคนก็ได้ที่พัก เป็นรีสอร์ทเล็กๆที่ไม่ใหญ่โตนัก...........แต่สวยงาม สงบ น่าอยู่...............

                          “พี่ขออาบน้ำก่อนนะ....”.........ผมชิงขอตัวไปอาบน้ำก่อนเป็นคนแรกเพราะเหนื่อยจากการเดินทางมาทั้งวัน............

                           ได้น้ำเย็นๆจากฝักบัวตกมากระทบผิวกายค่อยทำให้รู้สึกสบายขึ้นมาหน่อย.............ไม่อยากจะจินตนาการเลยว่าคืนนี้เราจะสวีทกันมากแค่ไหน.............วิ้วววววววว..........ผมนึกพลางอาบน้ำอย่างสบายอารมณ์.................

                        “พี่กั้งโทรศัพท์”..............นัทเดินมาเคาะประตูห้องน้ำขณะที่ผมกำลังจะลงมือฟอกสบู่........ใครโทรมากันนะ...............ผมคิดพลางฉวยผ้าเช็ดตัวมานุ่งแล้วเปิดประตูออกมารับ.............

                        “อ้าว วางสายไปซะแล้ว ทำไมไม่รับล่ะ”...........ผมรับโทรศัพท์มากดดู............ใครโทรมานะ ยังไม่ทันรู้เลยก็วางสายไปซะก่อน...........

                        “ไม่รู้........นัทไม่รู้จัก”............นัทบอก แต่ยังยืนอยู่ที่เดิม เพื่อจะรอดูว่าใครกันแน่ที่โทรมาหาผม.............

                        “อ้าว..........นี่มันเบอร์ เจ นี่นา”.............ผมบอกหลังจากที่กดดูสายที่ไม่ได้รับ........โทรมาทำไมกัน..........ผมยักไหล่ พลางยิ้มให้นัท...........ดูซิว่าจะหึงมั้ย...............

                         ยังไม่ทันที่จะได้ทำอะไร เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง..............

                       “โทรมาอีกแล้ว”.........ผมแสยะยิ้มให้นัท แล้วหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้องน้ำ...................

                       “เอามานี่”............นัทเอื้อมมือมาเพื่อที่จะแย่งโทรศัพท์ไปจากผม...........เราสองคนจึงยื้อแย่งกันอยู่สักพัก และผมก็เป็นฝ่ายชนะ...............

                         แต่นัทยังไม่ยอมแพ้........เค้าพยายามจะดันประตูเข้ามาในห้องน้ำด้วยให้ได้...........ในขณะที่ผมทั้งขำทั้งพยายามดันประตูเอาไว้..........จนในที่สุดนัทก็ยอมแพ้  แล้วเดินลงส้นเท้าตึงๆ ออกไป............ผมจึงถูกปล่อยให้กลับมาอยู่ในความสงบอีกครั้ง...........

                      “ฮัลโหล..........เจโทรมาทำไม”..................ผมกระซิบถามที่ปลายสาย............

                     “พี่กั้งอยู่ไหน...........”..........เจไม่ตอบคำถาม แต่เปลี่ยนเป็นมาถามผมแทน

                       “อ๋อ......พี่มาเก็บตัวอย่างที่น่าน”............ผมบอกไปตามความจริง..........แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไรต่อ ผมก็ได้ยินเสียงนัทดังมาจากหน้าประตูห้องน้ำ...........ท่าทางฉุนเฉียวเอาการ.........

   
                       “เจ........เจ..........อยากได้นักก็เอาไปเลยยยยยยยยยยย”..............โหย...........ตาบ๊องเอ๊ยยยยยย............หึงจนหน้ามืดตามัว.............ผมไม่ได้ชอบเจสักหน่อย..............แต่เรื่องอะไรจะบอก...........ปล่อยให้โมโหจนควันออกหูไปคนเดียวเหอะ..............สม..........

                       “เจ..........แค่นี้ก่อนนะ.......พี่อาบน้ำอยู่ เอาไว้จะโทรกลับไป”.............ผมบอกเจ.......แล้วกลับมาอาบน้ำต่อ...........นัทคงไม่คิดไรมากหรอกน่า..............รู้อยู่เต็ม อก ว่าเราไม่ใช่คนหลายใจ และรักเค้ามากมายขนาดไหน............ยังจะมาทำเป็นหึงไม่เข้าท่าอยู่ได้..............ประสาท.............

   
                         หลังจากอาบน้ำเสร็จ เราจึงออกไปตระเวนหาข้าวเย็นทานในตัวอำเภอ...........นัทรู้จักแถวนี้ดีพอสมควร เพราะเค้าเป็นคนเหนือ แถมยังเคยมาฝึกงานที่น่าน..............การหาของกินจึงไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด...............

                         เมื่อกลับมาถึงที่พัก..........ผมลืมเรื่องที่นัทขุ่นใจเมื่อครู่ไปเสียสนิท เพราะใจผมนั้นไม่ได้คิดอะไร.........นอกจากอยากแกล้งให้เค้าหึงเล่นๆ.............จึงคิดว่านัทเองก็คงไม่ได้คิดเหมือนกัน.................อีกอย่างหนึ่ง ผมก็ไม่เห็นแล้วว่าเค้าจะยังคงงอนอยู่ จึงคิดว่านิ่งเฉยเสียจะดีกว่า..............

                         “เดี๋ยวพี่ออกไปโทรศัพท์ก่อนนะ”...............ผมนึกถึงคำสัญญาที่ได้ให้ไว้กับเจ จึงขอตัวออกไปโทรศัพท์นอกห้อง.............เพราะขืนโทรในห้องนัทต้องโกรธอีกแน่ๆ............

                         นัทไม่หันมามองที่ผมเลย..........เค้ายังง่วนอยู่กับการเล่นเกมส์ในหนังสือปริศนาอักษรไขว้อย่างไม่สะทกสะท้าน.............ในขณะที่ผมเดินตัวลีบออกมานอกห้อง..............

                         “เจโทรมาหาพี่ทำไม”.............ผมโทรถึงเจเมื่อเห็นว่าเดินออกมาไกลพอสมควรแล้ว..........อากาศยามค่ำคืนเริ่มหนาวเย็นมากขึ้น...........ผมจึงรู้สึกสั่นน้อยๆอย่างช่วยไม่ได้...........

                         “ขอเบอร์อั้มหน่อยดิ”.............อ่า............ว่าแล้ว........นึกว่าจะลืม......สงสัยจะเอาจริงแฮะ.......ดีล่ะ ให้ไปเลย.........อยากจะเห็นคนหน้าแตกเร็วๆเหมือนกัน.........ผมนึกกระหยิ่มในใจ..........

                        “เอาสิ........ว่าแต่เอาไปแล้วต้องโทรไปจริงๆนะ พี่จะโทรไปถามอั้มด้วย.........ไม่งั้นน่าดู”.........ผมขู่ เพราะรู้ว่าเจอาจจะหาเหตุเรียกร้องความสนใจจากผมส่วนหนึ่ง.........และอีกส่วนหนึ่งก็คงสนใจอั้มจริงๆ............เค้าคงคิดว่าเค้าแน่ ที่จะมาทำแผนตื้นๆแค่นี้เพื่อปั่นหัวผมเล่น.......หึ......เมินซะเถอะ.......เค้าคงไม่รู้ว่ากำลังเล่นเกมส์อยู่กับใคร..............

                        “อ๋อ......โทรไปแน่นอน..........ไม่ต้องท้า.........เจก็อยากมีเพื่อนเหมือนกัน”........เชอะ.......สตรอเบอรี่.........คิดเหรอว่าฉันจะโง่จนดูเด็กเมื่อวานซืนอย่างเธอไม่ออก.........อย่าคิดนะว่าที่ไม่พูด แปลว่าไม่รู้..............

                        “โอเค.......เดี๋ยวพี่ส่งข้อความไปให้.........งั้นแค่นี้นะ”..........ผมบอกปัดก่อนจะวางสาย แล้วกดส่งเบอร์อั้มไปให้เจตามที่รับปาก..........หุหุ..........แค่คิดก็สนุกแล้ว............อยากรู้จริงๆว่าเค้าจะไปตอแหลอะไรกับอั้มบ้าง..............

                        ผมกลับเข้ามาที่ห้องพบว่านัทยังนอนเล่นเกมส์ในหนังสืออย่างตั้งอกตั้งใจเช่นเคย...................เค้าเหลือบขึ้นมามองผมเพียงแว๊บเดียว ก่อนจะถามโดยไม่มอง............

                       “โทรหาใคร”.............ว่าแล้วเชียวว่าต้องถาม...........แต่ผมเตรียมคำตอบเอาไว้ในใจอยู่แล้ว จึงตอบออกไปโดยอัตโนมัติ.............

                       “โทรหามอลลี่”.............แค่นี้ก็เรียบร้อย...........ผมวางโทรศัพท์เอาไว้ที่หัวเตียงแล้วเดินเลี่ยงไปเข้าห้องน้ำ.............



                        “จะนอนหรือยัง พี่จะปิดไปแล้วนะ”............ผมถามนัทเมื่อเห็นว่าสมควรแก่เวลาเข้านอนแล้ว.......อีกทั้งเราควรจะเหลือเวลาเอาไว้สวีทกันด้วย ไม่งั้นเสียเที่ยวมาฮันนีมูนเปล่าๆ............

                        นัทไม่พูดอะไรนอกจากเก็บหนังสือที่หัวเตียงเงียบๆแล้วล้มตัวลงนอน................แปลกแฮะ..........ทำไมไปนอนหันหลังให้ผมอ่ะ แถมนอนชิดที่ขอบเตียงอีกฝั่งขนาดนั้น............หรือว่าจะงอน................

                        ผมขยับตัวเข้าไปใกล้ๆ พลางเอื้อมมือไปกอด........................
   
                       “อยู่เฉยๆได้มั้ย............คนจะนอน”...............นัทสะบัดมือผมออก ทำท่าฟึดฟัดรำคาญใจสุดขีด.............

                       ผมพลิกตัวกลับมานอนที่เดิมอย่างงวยงง.............เป็นไรเนี่ย..........งอนอะไรของเค้า.........ก็เค้าไม่น่าจะรู้นี่ว่าผมไปคุยโทรศัพท์กับเจ...............หรือว่าจะงอนเรื่องเมื่อตนหัวค่ำ.............แต่ตอนไปกินข้าวก็ยังดีๆอยู่นี่นา............โอย.........ฮันนีมูนของผม........จบกันพอดี...........ปวดหัว...........นอนดีกว่า.............

                      เมื่อเห็นว่าไม่มีประโยชน์ที่จะตอแย............ผมจึงพยายามกล่อมตัวเองให้นอนหลับ..........เอาไว้ดึกๆค่อยง้อก็ได้..................เดี๋ยวคงหายงอนเองแหล่ะ.................

   
                         จวบจนใกล้ฟ้าสาง ผมจึงสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อแว่วยินเสียงไก่ขันดังมาเจื้อยแจ้ว..............หันกลับไปมองดูเห็นนัท ยังเห็นนอนหันหลังให้ในท่าเดิมอยู่เลย..................ท่าทางจะโกรธจริงๆแฮะ.........แต่อากาศมันหนาวจัง..............ขอกอดหน่อยนึงนะ..............

                         ผมเอื้อมมือไปกอดนัทเบาๆ..............เค้ายังหลับอยู่คงจะยอมให้ผมกอดโดยง่าย............แต่กาลกลับไม่เป็นดังคาด.............นึกว่าจะหลับใหลไม่ได้สติ...........ที่ไหนได้ นัทยังคงยืนยันเจตนารมณ์เดิมโดยการแกะมือผมออกเช่นเคย......................ผมพลิกตัวกลับมานอนที่เดิมอย่างขัดใจ.........ตาบ๊าเอ๊ยยยยยยยยยย................งอนอะไรของเค้าเนี่ย...........ผมไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย.............ก็ผมบอกไปแล้วว่าโทรไปหามอลลี่นี่นา...............แล้วเค้าเป็นอะไรของเค้ากันล่ะ.............โอ้ยยยยยย กลุ้ม......เอาแต่ใจตัวเองชะมัด......................นอนต่อก็ได้วะ.................โธ่เอ้ยยยยยย............
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 28-09-2007 19:56:28
 :เฮ้อ: ลองใจจนได้เรื่อง   :m17:   :m17:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 01-10-2007 14:52:10
สมน้ำหน้า อิอิ :m20:


ปล. ยินดีด้วยนะเคอะ เป็นนักเขียนแล้วววววววววววววววววววววววววววววว
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 01-10-2007 17:28:19
ซะงั้น..........หุหุ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 01-10-2007 17:55:24
สงสัยตานัทจะแอบดูเบอร์หล่ะ
 :m26: :m26: :m26:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 01-10-2007 20:43:36

ผมก้อคิดๆอยู่หลายวันว่าจะมาบอกว่าไรถึงจะเหมาะสมกะตอนนี้  แต่ได้อ่านรีของเจ๊ แกแล้ว

คิดออกทันทีครับ คือว่า ก้อนะ สมน้ำหน้า จริงๆ  หึหึหึหึ   :m20: :m20:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 02-10-2007 09:45:23
เอาเข้าไป...........ซ้ำเติมกันเข้าไป...........ฮึ่มมมมมมมม :m16:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 02-10-2007 15:22:31
5555  ตลกดี

อืมม  ว่าจะคุยเรื่องร้านเฮือนสถาปนิก  ไม่อยากบอกว่าไปร้านเดียวกันเรยยย  ร้านนี้ไปบ่อยสุดแล้วอะ
มือเบสหล่อ อิอิ   แล้วก็ไปต่อไก่ย่างเที่ยงคืนซะด้วย  อะไรจะเหมือนกันขนาดนี้ เห่อ

รออ่านต่อค้าบบ  :a2:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 02-10-2007 15:27:46
ว้าว...........เจอแฟนคลับเฮือนสถาปนิกเหมือนกันเหรอเนี่ย.............เมื่อก่อนผมชอบนักร้องนำอ่ะ .........รู้สึกจะชื่อก้องนะ น่ารักดี อิอิ...........ส่วนมือกลองจำชื่อไม่ได้ (นี่ก็น่ารักอีกเหมือนกัน หุหุ)..........แต่วงนี้พักหลังไปเล่นที่บางรักแร้ว ไม่รู้ว่ากลับมายัง.........
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 02-10-2007 15:32:46
กรี๊ดดดดดดดดดดดดด  :m3: 
ใช่ๆ  มือกลองก็หล่อ  มีคนนึง ชื่อ หนึ่งอะ  เป็นใครหว่า 555 มือกลองหรือมือเบสนี่แหละ
โต๊ะประจำกลุ่มเรา  หลังประตูค้าบบบ  เอาไว้แอบมองนักร้องนักดนตรี 55 อีกอย่างเต้นได้ตามอัธยาศัย

หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 02-10-2007 15:38:44

ยังเต้นไหวกันหรือเคอะ คุณป้ารีบนทั้งสอง

ไม่น่าเชื่อ   :m20:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 02-10-2007 17:37:04
ว่าแต่คุณน้องสองเนี่ย ละอ่อนมากเลยนะจ้ะ   อิอิ......................

มีหนนึง ผมเคยไปทำบุญที่วัดอุโมงค์ตอนเช้ากับน้องพร แล้วบังเอิญไปเจอพ่อนักร้องนำวงเฮือนสถาปนิกนี่แระ เค้ามาทำบุญคนเดียวด้วยนะ ตอนที่ผมไปถึงเค้ากำลังเดินลงมาจากศาลาพอดี อารามที่ว่าอยากจะรีบลงไปแสดงตัวให้เค้าเห็นใบหน้าอันงามมากจนเกินไป ผมจึงรีบเสยรถเข้าไปจอดที่ตีนศาลาจนเกือบจะชนพระที่กำลังกวาดลานวัดอยู่..............เห็นน้องพรบอกว่า พระท่านกระโดดหนีแทบไม่ทันเลย.............สุดท้ายก็ลงจากรถไม่ทันอีตานั่นอยู่ดี.........เวรกรรมแท้ๆ.........จะบาปป่าวเนี่ย........อิอิ :m23:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 04-10-2007 10:32:42
                          “เมื่อคืนทำความผิดอะไรเอาไว้รู้ตัวหรือเปล่า”...............อะไรวะ..........งงชิบ.............ผมหันมองหน้านัทเลิกลั่ก............เมื่อเจอกับคำถามปริศนาระหว่างที่เรากำลังขับรถมุ่งหน้าสู่ดอยภูคา...........แล้วผมมีความผิดอะไรกันเนี่ยยยยย.........ไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย...จะว่าไปแล้วโดยรวมนัทก็ดูปกติดีนี่นา.......ยกเว้นแต่ว่าเมื่อคืนเค้าไม่ยอมให้ผมกอดเท่านั้นเอง........ดังนั้นผมจึงไม่ได้เฉลียวใจเลยสักนิดว่า ผมได้ไปทำอะไรให้เค้าเคืองตั้งแต่เมื่อไหร่...................

                         “ความผิดอะไร...........ไม่เห็นจะรู้เรื่อง”...............ผมไม่ได้เล่นบทผู้ร้ายปากแข็งหรอกนะ........แต่เพราะความจริงก็คือ ผมนึกออกจริงๆตะหาก..............

                         “เมื่อคืนนี้คุยโทรศัพท์กับใคร”...............นัทจ้องหน้าผม ราวกับนักสืบหัวเห็ดที่กำลังคาดคั้นเอาความจริงจากปากฆาตกรฆ่าซ้ำซ้อนใจโหดก็ไม่ปาน.............

                         เมื่อถึงคำถามนี้ของนัท ผมจึงถึงบางอ้อทันที..............ความงวยงงเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นความขบขันเข้ามาแทนที่..............ที่แท้ก็แอบดูโทรศัพท์ตอนผมไปเข้าห้องน้ำผมนี่เอง...........เนียนเชียวนะ.........ไม่มีพิรุธสักนิด...........มิน่าล่ะ ถึงไม่ยอมให้ผมกอดเมื่อคืนนี้......คิดแล้วก็สียดายชิบเป๋ง..........ไม่น่าแส่หาเรื่องจนต้อง อดสวีทเลยเรา...............

                         “อ๋อ.........ก็คุยกะมอลลี่ไง”..........ถึงจะเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว แต่ผมจำเป็นที่จะต้องยืนกรานทำปากแข็งต่อไป............เค้าอาจจะไม่ได้แอบดูโทรศัพท์ผมจริงๆก็ได้............บางทีนี่อาจจะเป็นกลลวงในการล้วงข้อมูลจากฝ่ายตรงข้ามก็ด้ายยยใครจะไปรู้...........ประมาณว่าไม่รู้ แต่ทำเป็นรู้.........ขืนผมบ้าจี้ปากสว่าง คายความลับอะไรออกไป..........ก็เป็นอันจบเห่กันพอดี............เพราะฉะนั้น นักโกหกที่ดี จึงต้องโกหกจนถึงวินาทีสุดท้าย ห้ามหมดศัทธาในการโกหกเด็ดขาด..........เพราะของอย่างนี้มันเป็นเรื่องของการวัดใจกัน........หุหุ........ใช้วิชามารมากไปป่าวเนี่ย..........

                         “อย่ามาโกหก.........ไม่เห็นมีสายโทรออกชื่อมอลลี่เลย.........เห็นมีแต่ชื่อเจ”.............นัทจ้องหน้าอย่างผู้ชนะ...........เค้าต้อนผมให้จนมุมด้วยการโยนไผ่ใบสุดท้ายออกมา.........

                        เมื่อหลักฐานมัดตัวแน่นหนาแบบนี้แล้ว.......ผมคงหมดหนทางปฏิเสธ แต่ถึงอย่างไรผมก็ต้องหาช่องทางผ่อนหนักเป็นเบาไว้ก่อน............อย่างน้อยๆความผิดก็จะได้เบาบางลงไปบ้าง...........

                          “ก็พี่ไม่อยากให้นัทโกรธนี่นา...........ก็เห็นนัทไม่ชอบให้พี่คุยกะเค้าอ่ะ........พี่ก็เลยต้องโกหก”...............เป็นการเอาตัวรอดที่อยู่บนเรื่องจริงล้านเปอร์เซ็นต์..............เมื่อวานนัทยังโวยวายอยู่เลย ตอนที่ผมรับโทรศัพท์เจในห้องน้ำอ่ะ.............และการที่ผมไม่ต้องการให้เค้าโกรธ ผมก็ต้องโกหกว่าโทรไปหามอลลี่.........ดังนั้นผมจึงไม่ผิด....หุหุ............

                          “แล้วโทรไปทำไม”...............นัทยังคงซักต่อเสียงเรียบ.............ถึงกระนั้นตัวผมเองก็ไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านแต่อย่างใด เพราะว่าผมบริสุทธิ์ใจ...............แต่ที่ต้องทำให้ดูเหมือนมีเงื่อนงำให้เค้าระแวงสงสัยแบบนี้......ก็เพราะผมอยากยั่วให้เค้าหึงเล่นๆเท่านั้น............แล้วเค้าก็ติดกับผมเข้าจังเบอร์เลย..........อิอิ.............

                         “ก็เค้าโทรมาจะเอาเบอร์อั้ม ตอนที่พี่อาบน้ำอยู่ พี่ก็เลยบอกว่าจะโทรกลับไปบอกทีหลัง แค่นั้นเอง”............ผมสาธยายให้นัทฟังไปตามความจริง.............ซึ่งสังเกตดูว่า เค้าค่อนข้างพอใจในคำตอบ และไม่มีทีท่าว่าจะติดใจอะไรอีก บรรยากาศของการซักฟอกจึงค่อยๆเจือจางและสลายตัวไปในที่สุด...............


                        ดอยภูคาเป็นอุทยานแห่งชาติที่สูงจากระดับน้ำทะเลค่อนข้างมากไม่แพ้ดอยอื่นๆทางภาคเหนือ.........ผมค่อยๆพารถไต่ระดับความสูงขึ้นไปเรื่อยๆจนถึงที่ทำการอุทยาน...........เวลานี้ยังเป็นช่วงเช้าอยู่ อีกทั้งยังเป็นวันทำงานปกติด้วย...........ดังนั้นบริเวณที่ทำการอุทยานจึงดูเสมือนว่าร้างผู้คนไปโดยปริยาย...........

                        เมื่อผมกับนัทเตรียมอุปกรณ์เก็บตัวอย่างใส่กระเป๋าเรียบร้อยแล้ว..............เราจึงค่อยๆเดินลัดเลาะไปตามเส้นทางเล็กๆไปสู่หุบเขาข้างล่าง ที่มีลำธารสีเงินทอดยาวไหลลงสู่พื้นราบ.............เมื่อพ้นจากหุบเขาแล้ว เราก็เปลี่ยนเป็นปีนป่ายขึ้นสู่เขาสูงในเวลาต่อมา..........เล่นเอาเหนื่อยหอบไปตามๆกัน............

                        โดยทั่วไปอุทยานแห่งชาติทุกแห่งในประเทศไทย จะไม่อนุญาตให้เก็บสิ่งของ พืช สัตว์ หรืออะไรก็ตามออกจากพื้นที่อุทยาน เว้นแต่จะได้รับอนุญาต..........ซึ่งนักพฤกษศาสตร์ที่ทำวิจัยส่วนใหญ่ จะต้องทำเรื่องขออนุญาตต่อกรมป่าไม้โดยตรงก่อน จึงจะเข้าไปเก็บหาพรรณไม้ที่ตัวเองต้องการในปริมาณที่แค่ให้พอการทำวิจัยเท่านั้น.....เพราะฉะนั้นหากคิดจะไปหยิบเก็บอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าในอุทยาน นอกจากจะเป็นการทำลายทรัพยากรทางธรรมชาติของประเทศชาติแล้ว ท่านยังอาจเสี่ยงต่อการโดนปรับอีกด้วยนะจ้ะ...................


                       จากภายนอกนัทดูแข็งแรงกำยำกว่าผมมาก (ก็สูงตั้งร้อยแปดสิบ แถมยังจ้ำม่ำอีกตะหาก)............แต่เรื่องการปีนเขา เค้าไม่เอาไหนเลย.........ไม่นาน นัทก็เซถลาเข้าไปนั่งหอบหน้าซีดอยู่ใต้ต้นสน..........

                       ผมรู้สึกกึ่งขำกึ่งเอ็นดู............ท่าทางเค้าคงจะเหนื่อยมากกว่าที่เห็น.............แต่คงไม่อยากจะแสดงออกมาเต็มที่ เพราะไม่อยากเสียฟอร์มต่อหน้าผมเท่านั้นเอง..............ผมยืนมองนัทอย่างพินิจพิเคราะห์ (ผมชอบมองดูเค้าตลอดเวลาเมื่อมีโอกาส)........ดูๆไป.............ท่าที่เค้านั่งแผ่ขาแบบนี้ก็เซ็กซี่ดีเหมือนกันนะ.............กระตุ้นอารมณ์ดีชะมัดเลย...............

                         ผมเดินเข้าไปโน้มตัวลงจูบนัทเบาๆ............แล้วไถลลงไปนั่งอยู่ข้างๆ..............ในป่าเปลี่ยวแบบนี้มีแค่เราสองคน รู้สึกฮอทจัง............แค่คิดขึ้นมาก็เสียวซ่านไปถึงท้องน้อยแล้ว...............ผมเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับการมีเซ็กส์ในป่า น้ำตก หรือลำธาร หรือที่เรียกว่า out door..............ช่างน่าตื่นเต้นดีแท้...............บางทีผมน่าจะชวนนัททำอะไรแบบนั้นดูบ้าง.................

                        “พี่อยากลองมีอะไรกันในป่าแบบนี้ดูมั่งจัง”..............ผมกระซิบบอกนัทเบาๆทีเล่นทีจริง.............นัทดูมีสีหน้าไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ผมพูด...........

                         “จะบ้าเหรอ.......คิดอะไรพิเรนทร์ๆ”............หุหุ...........ตลกดี..........

                         “ล้อเล่น”..............ผมยิ้มตอบในความตื่นตระหนกของนัท...........แม้ว่าในใจคนเราจะอยากทำอะไรโลดโผนโจนทะยานแค่ไหน.........แต่ความมีหิริโอตัปปะภายในใจนั้นย่อมเป็นตัวคอยห้าม...........ผมรู้ว่าความคิดนี้ก็เป็นได้แค่ความคิด.........แม้นใครจะไม่บังเอิญผ่านมาเห็นเข้า แต่ผีสางเทวดาย่อมเห็น...........สมสู่กลางป่าเขาโดยไม่ละอายต่อฟ้าดิน ก็คงไม่ต่างจากสิงสาราสัตว์ทั่วไป............แต่ก็น่าตื่นเต้นดีเหมือนกันนะ.........อิอิ..........


                        หลังจากที่สลัดความเหนื่อยอ่อนทิ้งไป............เราสองคนจึงมุงหน้าไปยังต้นไม่เจ้าปัญหานั้นต่อ.............แม้ว่าจะเคยมาสองหนแล้ว แต่ผมก็ยังเลอะเลือนเรื่องเส้นทางอยู่ดี.............เราจึงต้องเสียเวลาในการคลำหาเส้นทางอยู่พักใหญ่................และในที่สุดก็พบเข้าจนได้.............

                        “เจอแล้วๆ”.............ผมตะโกนบอกนัท.........ในขณะที่เค้าเร่งฝีเท้าเข้ามาสมทบ..............

                       “เนี่ยเหรอ”..............นัทหลุดคำพูดออกมาถึงสิ่งที่เค้าได้เห็น................

                        ใช่..............มันก็แค่ต้นไม้ธรรมดาต้นหนึ่งสำหรับคนทั่วไป...............แต่รู้มั้ยว่า........ต้นไม้ต้นนี้ มีญาติในสกุลเดียวกันกับมันที่ผมกำลังรวบรวมอยู่เกือบ 20 ชนิดในประเทศไทย และมีอยู่เกือบ 120 ชนิดทั่วโลก ณ ตอนนี้ ตัวมันยังพบแค่ที่ดอยภูคาแห่งเดียวในประเทศไทยเท่านั้น............แถมยังมีแค่ต้นเดียวอีกด้วย...........แล้วมันสำคัญยังไงน่ะเหรอ............การศึกษาทรัพยากรธรรมชาติที่เรามีในประเทศว่ามีอะไร อยู่ที่ไหน จำนวนมากเท่าไหร่ ย่อมเป็นผลดีในการจะหยิบจับมาใช้ประโยชน์ในอนาคต..........เปรียบเหมือนกับการที่เรารู้ว่า เรามีเงินออมเอาไว้ในบัญชีไหน จำนวนเท่าไหร่นั่นแหล่ะ..........คนที่มีเงินเยอะแต่ไม่รู้ว่าตัวเองมีเงินนั้นน่าสงสาร ด้วยว่าไม่มีปัญญาเอาเงินของตัวเองมาใช้ประโยชน์นั่นเอง.............วันนี้เราอาจจะไม่เห็นประโยชน์ของมันนอกเหนือไปจากการเป็นแค่ต้นไม้ต้นเดียว..............แต่ใครจะรู้ว่าวันหนึ่งข้างหน้า เราอาจค้นเจอคุณค่าอันมหาศาลที่ซ่อนอยู่ในตัวมันก็ได้...............และจากการศึกษาเอกสารพบว่า ปัจจุบันพืชในสกุลนี้กำลังมีการศึกษาฤทธิ์ในการต้านเซลล์มะเร็งกันอย่างกว้างขวางในต่างประเทศ............เสียดายที่เรามีตั้งยี่สิบตัว..........แต่ไม่มีใครมาหยิบไปทำวิจัยแบบนั้นเลยสักคน (เลกเชอร์ซะยาวเชียว หุหุ)

                        เราสองคนลงมือถ่ายรูปและเก็บตัวอย่างใบและดอก..........น่าเสียดายที่มันยังบานไม่เต็มที่.........แต่ผมคงไม่มาเก็บอีกแล้ว.............เพราะลำพังแค่การมาในครั้งนี้ ก็เป็นการมาแบบอุปโลกกลายๆ........เนื่องจากผมอยากหาเหตุออกมาเที่ยวกับนัทสองต่อสองมากกว่าอยากมาเก็บตัวอย่าง........ก็คิดซะว่าเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวก็แล้วกันนะ...............

                         “นัทช่วยเก็บดอกที่อยู่บนกิ่งโน้นให้พี่หน่อยสิ”..............ผมชี้ให้นัทดูดอกที่อยู่บนกิ่งสูงๆที่ผมเอื้อมไม่ถึง...............การมีแฟนก็ดีแบบนี้แหล่ะ..........รู้สึกดีเวลาที่มีคนที่รักคอยอยู่เคียงข้าง คอยช่วยเหลือสนับสนุนโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน.........มันก็ย่อมต้องดีกว่าอยู่ตัวคนเดียวเป็นไหนๆ..........

                          นัททำท่าเขย่งเก็งกอยอยู่สักพัก เค้าก็สามารถหยิบสิ่งที่ผมต้องการมาให้ได้...............จากนั้นเค้าก็ดินเลี่ยงออดไปยืนชมวิว ปล่อยให้ผมทำงานในส่วนที่เค้าช่วยอะไรไม่ได้นอกจากจะทำให้รู้สึกเกะกะมากขึ้น.................

                          ผมจัดการกับตัวอย่างและบรรจุลงประเป๋าเรียบร้อยแล้ว จึงเดินมาสมทบกับนัทที่กำลังถ่ายรูปสิ่งต่างๆรอบๆตัวอย่างตั้งอกตั้งใจ...............ผมยืนมองดูนัท พลางสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อสัมผัสบบรยากาศรอบๆตัวด้วยความรู้สึกที่เป็นสุข..............ในที่นี้ มีแค่เราสองคน ไม่มีสิ่งใดๆเข้ามากระทบจิตใจ..............ผมรู้สึกถึงความสงบ ความสุข และความห่างไกลจากปัญหายุ่งเยิงที่นัทคอยแบกมันเอาไว้ภายในใจและบางส่วนที่มักแสดงออกมาทางสีหน้าเสมอๆ.................ถ้าโลกนี้มีแค่เราสองคนก็คงดีสินะ ถ้านัทได้ปล่อยให้หัวใจของเค้ารักผมอย่างอิสระโดยปราศจากสิ่งบีบคั้นก็คงดีสินะ...................แต่ทุกอย่างกำลังจะกลับเข้าสู่สถานะเดิมอีกครั้ง เมื่อเรากลับถึงเชียงใหม่..........ถ้าผมขออะไรได้หนึ่งอย่างในตอนนี้................ผมอยากขอให้หัวใจของเราสองคนรักกันโดยอิสระ อยากให้มีแค่ความรู้สึกรัก จากใจถึงใจ ไม่ต้องมีเหตุผลใดๆมาเกี่ยวข้อง อยากให้มีแค่เราสองคนอย่างเช่นที่เป็นอยู่ในตอนนี้ตลอดไป.................
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Just let it be ที่ 04-10-2007 11:23:12
มีคนบอกว่า  "ความจริงกับความฝันต่างกันแค่เส้นคั่นบางๆ"

แต่บางทีในโลกความจริง

"ความจริงกับความฝัน  ต่างกันลิบลับ  ไกลเกินเอื้อมเลยทีเดียว"

 :m17:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 04-10-2007 15:34:26
อยากให้รักกันนานๆ จัง ไม่อยากให้มีขอบเขตของสังคมมากั้นความรู้สึกของกั้งกับนัทเลย  :m1:

อ่านเรื่องงานวิจัยคุณกั้ง  ก็น่าสนใจดีนะ  เราเคยคิดนะว่า  วิจัยต้นไม้ใบหญ้า  จะมีประโยชน์ยังไง  ทำอะไรได้บ้าง
แต่จริงๆ คงเยอะมากๆ  ท่าทางมีความสุขด้วย ตอนไปเก็บตัวอย่าง  อิอิ

รออ่านต่อค้าบบ  :a2:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 04-10-2007 16:10:20
สนุกสิครับ..........แต่บางทริปแทบกระอักเลือดก็มีนะ...........เช่นแบกเป้เสื้อผ้า ถุงนอน อาหาร น้ำ กล้อง อุปกรณ์เก็บตัวอย่าง เดินขึ้นเขาที่ความสูง 1,200 เมตรจากระดับน้ำทะเล ค้างคืนสามคืน ผูกเปลนอนตามต้นไม้ ฝนตกพรำๆ และทากเยอะโคตรๆ..........ไม่คิดว่าผมจะทำได้ใช่มั้ยล่า...........อิอิ...... :m19:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 04-10-2007 16:42:05
อ่านเรื่องงานวิจัยคุณกั้ง  ก็น่าสนใจดีนะ  เราเคยคิดนะว่า  วิจัยต้นไม้ใบหญ้า  จะมีประโยชน์ยังไง  ทำอะไรได้บ้าง
แต่จริงๆ คงเยอะมากๆ  ท่าทางมีความสุขด้วย ตอนไปเก็บตัวอย่าง  อิอิ

ก็มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยนิเคอะเพื่อนสาว อิอิ

นี่ขนาดคุณพี่กั้ง  มี ผ. ไปคอยช่วยเหลือในการเก็บตัวอย่างภาคสนามนะเคอะ

เจ้นะ  ไม่มีเลย  ฉายเดียวตาหลอดดดดดดดดดดดดดดดดด  กลุ้ม!

เหนื่อยสายตัวแทบขาด  มิได้ต่างไปจากกับเดินป่าของระพินทร์ในเรื่อง เพชรพระอุมาเลย

มิน่า อิชั้นถึงอ่านเรื่องนั้นแล้วอินจัด

ปล.  ที่บอกว่า   “พี่อยากลองมีอะไรกันในป่าแบบนี้ดูมั่งจัง”..............ผมกระซิบบอกนัทเบาๆทีเล่นทีจริง.............นัทดูมีสีหน้าไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ผมพูด...........

ไม่ทราบว่าอะไรดลให้ให้พูดไปเคอะน้านนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน

อุแม่เจ้า  เด๋วเอามะพร้าวยัดปากเสียเลยนี่  :a14:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 04-10-2007 18:51:11
หากโลกนี้มีเราเพียงสองคน รักคงหลุดพ้นความวุ่น ไม่มีกฏหมายมาตราใด ลงโทษลงทัณฑ์รักสองเรา
 :m13:  :m13:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 05-10-2007 17:45:52
ยังไม่มา อิอิ

น่าหนุกดี  อยากไปเก็บตัวอย่าง 55 แต่ท่าทางจะเหนื่อย  ต้องหาเท่ร้ากกก ไปเก็บ คึคึ
มีพี่คนนึง  ทำวิจัยเกี่ยวกับต้นไม้เหมือนกาน  ที่ทำงานอยู่ใน Botanic Garden ด้วยนะ
ออกมานั่งพักสายตา พักใจได้ 

รออ่านต่อคับ  :a2:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 05-10-2007 18:05:06
มารออ่านต่อจ๊ะ

 :m18: :m18:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 06-10-2007 20:28:22
อยากรู้จริงๆเลยว่า จะลงเอยกันยังไงนะ ลุ้นสุดใจขาดดิ้นเลย :a1:
เพราะถ้าเป็นเรา คงถอดใจไปตั้งกะแรกๆที่นัทบอกว่าไม่คิดแบบแฟนแล้ว
แต่ต้อง o13 ให้กับความอดทนรอคอยของคุณกั้ง
สู้ๆนะเอาใจช่วย o14
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 07-10-2007 10:15:41
เดินป่ากันสองต่อสอง
คงเป็นความทรงจำที่สวยงาม ไม่ลืมเลือนแน่
 :m3: :m3: :m3:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 08-10-2007 09:28:36
                          “พี่กั้งดูสิ นัทเพิ่งไปถ่ายรูปชุดครุยติดทรานสคริปมา เป็นไงมั่ง”...........สัญญาณแห่งการจากลาของเราสองคนกำลังส่อเค้าชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆตามลำดับ..............เริ่มต้นจากการปิดคลาสเรียนของนัท.........ตามมาด้วยการเลือกโรงพยาบาลชุมชนที่จะต้องออกไปทำงานในเดือนพฤษภาคมที่จะมาถึงนี้............และการถ่ายรูปชุดครุยติดทรานสคริป..........เฮ้ออออ.............

                          ผมรับรูปขนาดหนึ่งนิ้วมาพิจารณาด้วยความภาคภูมิใจปนเศร้า.....................ผมภูมิใจที่นัทเรียนจบแล้ว ต่อไปนี้ก็จะได้เป็นหมอสมกับที่สู้อุตส่าห์พากเพียรมานานปี..............แต่ผมก็อดใจหายไม่ได้ เมื่อนึกถึงวันที่เค้าต้องจากผมไปกำลังจะมาถึงในไม่ช้านี้.............อนาคตข้างหน้าของเราสองคนจะเป็นอย่างไรต่อไป คงมีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้.........แต่ผมเดาเอาว่าคงจบไม่สวยแน่ๆ..................

                        “พี่ขอเก็บเอาไว้ใบหนึ่งได้มั้ย”..............ผมชูภาพของนัทขึ้นมาเป็นเชิงขอความเห็นชอบ.............ผมอยากเก็บพกติดกระเป๋าเอาไว้เป็นที่ระลึก.............ความจริงผมก็มีภาพที่นัทเคยถ่ายเก็บเอาไว้เก็บในแลปทอปอยู่แล้วบางส่วน..............แต่ภาพชุดครุยแบบนี้ ถึงจะดูเชยหน่อยๆ แต่ก็น่าประทับใจมากกว่า..............

                        “เอาไปสิ” นัทเอ่ยปากอนุญาตอย่างไม่ใส่ใจนัก แล้วก็หันไปจัดการกับของกินที่วางอยู่ข้างหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจต่อไป..............

                         ผมยิ้มแอบอมยิ้มกับความช่างกินของเค้า..............ก่อนจะบรรจงเก็บภาพใบจิ๋วนั้นลงในกระเป๋าสตางค์............แม้วันข้างหน้าเราจะไม่ได้เป็นแฟนกันแล้วก็ตาม แต่ผมก็จะยังเก็บภาพใบนี้เอาไว้กับตัวตลอดไป.................


                         ระยะหลังเราสองคนใช้เวลาขลุกอยู่ด้วยกันแทบทั้งวันทั้งคืนเลยก็ว่าได้............จากหนึ่งวันเพิ่มเป็นสองวัน สามวันและสี่วัน โดยแทบจะไม่ได้ออกไปไหนเลย.......................ผมมีหน้าที่คอยทำกับข้าว ล้างถ้วยจาน เก็บกวาดห้องหับ..............ส่วนนัทน่ะเหรอ..........หน้าที่ของเค้าก็คือ กิน นอน ดูทีวี และก็เล่นเกมส์.....................

                        “พี่กั้ง...........นัทยังไม่มีชุดใส่ไปทำงานเลยอ่ะ.......พี่กั้งพานัทไปซื้อหน่อยสิ”...........นัทหันมาปรารภกับผมหลังจากเบื่อกับการกินแล้ว..............ดูเค้าตื่นเต้นไม่เบากับการที่จะต้องออกไปทำงานครั้งแรกในชีวิต...........แต่กว่าจะได้ที่ทำงาน ก็นับได้ว่าผ่านความวุ่นวายกับเรื่องการเลือกโรงพยาบาลเจ้ากรรมนั่นพอสมควร............

                        “นัทอยากไปทำงานที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มากกว่า...........เห็นรุ่นพี่บอกว่าได้ค่าตอบแทนเยอะมาก...........อีกอย่างนัทไปอยู่ที่นั่นก็ไม่มีปัญหากับวัฒนธรรมของคนที่นั่นอยู่แล้ว”...........นัทเคยบอกความคิดดังกล่าวกับผมเมื่อครั้งที่กำลังอยู่ในระหว่างการตัดสินใจเลือกสถานที่ที่จะไปทำงาน.................ผมไม่ชอบกับความคิดนี้เลย................ประการแรก ผมไม่อยากให้เค้าคิดเรื่องเงินทองมากจนเกินไป...........ประการที่สองผมอดมีอคติไม่ได้ว่าสิ่งที่เค้ากำลังจะทำ มันคือการพยายามจะวิ่งหนีไปจากผมให้ไกลที่สุด................เค้าช่างสามารถพูดถึงแผนการที่จะทิ้งผมไป..............โดยเอาเรื่องงานมาอ้างกับผมได้อย่างเลือดเย็น..............

                        “จะไปทำไม.........ที่นั่นไม่ปลอดภัยนะ ขนาดพี่อยากลงไปเก็บตัวอย่างยังไม่กล้าไปเลย”............ผมให้เหตุผลไปตามความจริง เนื่องจากอดเป็นห่วงไม่ได้หากเค้าต้องไปอยู่ในพื้นที่เสี่ยงอันตรายแบบนั้น..........

                        “ไม่เห็นเป็นไร นัทก็อยู่แต่ในโรงพยาบาลก็ได้”..........นัทเถียงไปข้างๆคูๆตามประสาคนชอบเอาแต่ใจตัวเอง............แต่ผมรู้ว่าในใจเค้าก็วิตกเรื่องความปลอดภัยที่ว่านี้เหมือนกัน...............


                         และในที่สุด นัทก็ตัดสินใจเลือกโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดแพร่จนได้..............โดยเค้าได้ให้เหตุผลในภานหลังว่าเพราะทางบ้านขอร้องเอาไว้..............แต่ถึงยังไงก็ไม่วายเก็บเอามาค่อนขอดผมอีกเช่นเคย.................หรือเค้าจะบอกว่าที่เค้าไม่ไปภาคใต้เพราะผมเป็นสาเหตุหนึ่ง.........ไม่มีวันซะล่ะ.........

                        “นัทไม่น่าเอามาเล่าให้พี่กั้งฟังเลย............พอเล่าให้ฟังก็ชอบมาวุ่นวาย..........ชอบมาบงการนั่นนี่........น่ารำคาญ”..............ผมอึ้งกับสิ่งที่เค้าพูดไปชั่วขณะ...............อะไรวะ...............มาเล่าให้เราฟังเอง...........มาปรึกษาเราเอง.............พอเราแสดงความคิดเห็น ก็หาว่าบงการ...............พาลชัดๆ.............

                         “นัทก็ขอย้ายไปที่นั่นสิ ทำงานแค่หกเดือนก็ขอย้ายได้แล้ว ย้ายเข้าพื้นที่ที่นั่นง่ายจะตายไป ใครๆเค้าก็มีแต่อยากจะย้ายออกมากันทั้งนั้น คนอยากจะย้ายเข้าไปคงน้อย กลัวแต่ว่าเขียนย้ายวันนี้ก็อนุมัติวันนี้นั่นแหล่ะ”…………….ผมรู้ว่าเค้าไม่ได้เอาคำพูดของผมไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจครั้งนี้ของเค้าเลย..............เค้าเพียงแค่อยากหาเรื่องมาลงที่ผมตามนิสัยชอบพาลมากกว่า............ดังนั้นผมจึงแกล้งพูดยั่วให้เค้าเจ็บใจเล่นๆ................อยากไปนักก็ไปซะสิ...............กลัวแต่เอาเข้าจริงจะไม่กล้าล่ะมากกว่า..............

                        “พอเถอะ..........ไม่ต้องพูดแล้ว รำคาญ”..............นัทสะบัดหน้าใส่ผมอย่างขัดใจ...............อย่างงี้ทุกที...............พูดอะไรขัดใจก็ชอบทำงอนเหมือนเด็กๆ.............เฒ่าทารกเอ้ยยยยยยยยย.......



                         นัทไม่ค่อยมีเงินมากนักสำหรับค่าซื้อชุดทำงานใหม่.............ผมกะเอาไว้ในใจอยู่แล้วว่าจะช่วยออกให้บางส่วน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมอยากจะดูก่อนว่าเค้าจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไง.............ปกติเค้าไม่ใช่คนที่จะเอ่ยปากรบกวนเงินทองจากใคร.........ต้องยอมรับว่าศักดิ์ศรีและวินัยเรื่องการเงินของเค้าดีมากกกกกก....

                        ผมโทรไปชวนมอลลี่มาชอปปิ้งเป็นเพื่อนในครั้งนี้ด้วย..............แม้ว่าจะคบกันมานานแล้ว.........แต่ถ้าเลือกได้.......เวลาที่ออกไปสู่สายตาสาธารณะชนนัทมักจะอยากให้มีบุคคลที่สามไปกับเราด้วยเสมอ............ผมเคยลองถามถึงสาเหตุก็ได้คำตอบจากเค้าว่า.........

                        “นัทกลัวคนรู้จักเห็น..........เดี๋ยวเค้าก็รู้กันพอดี”.............นี่เป็นเหตุผลที่ฟังแล้วขัดหูพิกล........ก็ในเมื่อเพื่อนที่ออกไปฝึกงานกับเค้าก็เป็นเกย์ แถมสาวแตกเสียด้วย ผมยังเห็นนัทไปไหนมาไหนกับเค้าไม่เคอะเขิน................

                        “ก็นั่นมันเพื่อนนี่”..........นัทยังคงยืนกรานถึงเหตุผลแปลกๆของเค้า..........

                       “ถ้างั้นนัทก็คิดว่าพี่เป็นเพื่อนหรือเป็นพี่สิ ไม่เห็นจะต่างกันเลย”...........ผมพยายามหว่านล้อมให้เค้าคิดว่าผมก็เป็นเหมือนเพื่อนคนหนึ่งของเค้า เพื่อให้เค้าคลายความกังวลลงเวลาเราออกไปไหนมาไหนด้วยกัน...............

                       “มันไม่เหมือนกัน นัทคิดแบบนั้นไม่ได้อ่ะ............หรือว่าพี่กั้งอยากจะให้คิด”............นัทหันมาทำตาเจ้าเล่ห์ใส่ผมเป็นเชิงขู่.............ผมจึงหุบปากเสีย..............ยังไงก็จะพยายามเข้าใจละกัน......ผมเองก็ไม่ได้อยากจะควงเค้าไปไหนมาไหนนักหรอก.............ขอเพียงแต่รักและซื่อสัตย์กับผมคนเดียวก็พอ...................อย่างอื่นก็ช่างหัวมัน...............

                        เราสามคนเดินเลือกเสื้อผ้าย่านกาดสวนแก้วจนมาเจอร้านที่ถูกใจ....................นัทไม่ถนัดเรื่องพวกนี้เลย...........เสื้อผ้าที่เค้าใส่ส่วนใหญ่มักจะเป็นเสื้อผ้าเชยๆล้าสมัย............จริงๆแล้วผมว่าเค้าเองก็คงอยากจะแต่งตัวดีๆเหมือนกัน แต่ว่าคงติดที่ต้องประหยัดเรื่องค่าใช้จ่าย.............อีกทั้งแต่งมากไปคนจะหาว่าเป็นเกย์........เค้าจึงตัดปัญหาโดยการทำตัวซกมกแทน...................


                        ผมและมอลลี่ช่วยเลือกเสื้อผ้าให้นัทสองสามชุด...............นัทลองชุดนั้นชุดนี้อย่างมีความสุข..........ท่าทางเค้ายังดูประดักประเดิด เคอะๆเขินๆอยู่บ้าง............ก็คนมันไม่เคยทำอะไรแบบนี้...............ก็ต้องดูเก้ๆกังๆบ้างแหล่ะ............อีกหน่อยขี้คร้านแต่จะคล่องยิ่งกว่าคนพามานั่นแหล่ะ..........

                        “นัทยังไม่ได้รองเท้าเลย”...............นัทดึงมือผมไว้เมื่อเราก้าวออกมาจากร้านขายเสื้อผ้า..........

“ได้...........เดี๋ยวจัดให้”..............ผมยิ้มพลางขยิบตาให้มอลลี่.............ดูท่าตาเฉิ่มนี่จะช้อปจนติดลมบนเสียแล้ว...............

                        ดังนั้นเมื่อออกจากร้านเสื้อผ้า...............เราจึงมาแวะที่ร้านรองเท้าต่อ.................นัทวุ่นวายอยู่กับการลองรองเท้าคู่นั้นคู่นี้.............ใส่แล้วก็เดินไปเดินมาจนผมนึกรำคาญ....................อะไรกันนักกันหนา ช่างเลือก จุกจิก จู้จี้ยิ่งกว่าผู้หญิงเสียอีก...........แม้ผมจะชอบชอปปิ้ง...............แต่ผมไม่เสียเวลาเลือกนั่นลองนี่ให้วุ่นวายแบบนี้หรอก................เหมือนนิสัยผู้หญิงเลย............จุกจิกชะมัด............

                          “พี่กั้ง นัทกดตังมาไม่พอ ขอยืมที่พี่กั้งก่อนสิ”................นัทเอ่ยปากของยืมเงินจากผมเพื่อนำมาจ่ายค่ารองเท้า และเข็มขัดที่เค้าตกลงใจเลือกไปเรียบร้อยแล้ว................

                          ผมควักตังในกระเป๋ายื่นให้โดยง่าย.............ถ้าเค้าไม่ให้คืนก็ถือว่าผมซื้อให้ก็แล้วกัน............ไม่เป็นไรหรอก..........ผมแอบคิดเอาไว้ในใจ..................

                         “พี่กั้งจ่ายค่าเข็มขัดให้นัทนะ..........”...............นัทหันมาอ้อนเมื่อเราเดินออกมาจากร้านรองเท้าได้สักพัก.................ผมเหลือบมองที่มอลลี่ แล้วหันมายิ้มกับนัทไม่ว่ากระไร...............จะมาอ้อนอะไรไม่รู้จักอายพี่มอลลี่เค้ามั่ง..............เดี๋ยวเค้าก็จะหาว่าโดนผมตามใจจนเสียเด็กหรอก................

                        กลายเป็นว่าผมได้จ่ายน้อยเกินคาดแฮะ..............อุตส่าห์ว่าจะช่วยสมทบทุนซะหน่อย...............แต่ก็ดีแล้วให้เค้ารู้จักพึ่งตัวเองจะได้ภูมิใจ...........อีกหน่อยพอเค้าไปทำงานแล้ว เดี๋ยวก็คงจะมีเงินใช้มากกว่าผมเยอะแยะแล้ว..............

                        ระหว่างที่เราสามคนแวะซื้อของกินที่กาดหลวง..............นัทเดินหายไปจากกลุ่มสักครู่ แล้วกลับมาพร้อมกับยื่นเงินคืนให้ผม..................

                         “อ่ะ...........นัทคืนตังที่ยืมเมื่อกี้ให้”.................ผมยื่นมือไปรับด้วยความประหลาดใจ.............ไม่คิดว่าเค้าจะคืนตังให้เร็วขนาดนี้...............ถ้าเค้าแกล้งลืมๆไปซะ ยังไงผมก็ไม่ทวงอยู่แล้ว........อื มมมม...........เค้าทำให้ผมประหลาดใจจริงๆ...............


                        ผมกับนัทกลับมาที่ห้องพร้อมกับข้าวของพะรุงพะรัง................นัทง่วนอยู่กับการหยิบนั่นลองนี่อย่างมีความสุข...................แม้เค้าจะพยายามเก็บซ่อนความเป็นเกย์เอาไว้...............แต่นิสัยเกย์ก็ยังไงก็ต้องชื่นชอบการแต่งตัว ชื่นชมเสื้อผ้าสวยๆอยู่ดี.............ผมยืนมองเค้าลองเสื้อผ้าสักพักหนึ่ง จึงเดินเลี่ยงไปเปิดตู้เย็นเพื่อดื่มน้ำ.................

                        เมื่อปิดตู้เย็นแล้วหันกลับมาอีกครั้ง ผมก็พบกับความประหลาดใจนแทบตั้งตัวไม่ติด เมื่อนัทก็เดินมาไหว้ที่อกของผมอย่างซาบซึ้งในน้ำใจ.................

                         “พี่กั้งขอบคุณนะครับที่พานัทไปซื้อเสื้อผ้า”.................ผมไม่ทราบว่าจะพูดอะไร จึงได้แต่ยิ้มเฉยๆ................คิดไม่ถึงเลยว่า เรื่องเล็กๆน้อยๆแค่นี้เค้าจะเอามาคิดซาบซึ้งเป็นบุญเป็นคุณ...........ทีเรื่องอื่นผมทำให้เค้ามากกว่านี้ตั้งเยอะยังเห็นเฉยๆ............ประหลาดดีแท้...............วันนี้เค้าทำให้ผมประหลาดใจอีกเป็นครั้งที่สองแล้วนะเนี่ย..............ผมนึกว่าผมเข้าใจความคิดของนัทดีแล้วซะอีก............แต่บางทีผมชักไม่แน่ใจแล้วว่า.............จริงๆแล้ว ผมเข้าใจในตัวเค้ามากแค่ไหนกัน.............
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 08-10-2007 13:22:10


กว่าจะเข้าใจในตัวใครสักคนหนึ่งนะมันยากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก นะ

บางที...เรื่องที่ใหญ่ในสายตาเรา  อาจจะเล็กในสายตาเขา  เรื่องที่จิ๊บๆ ในสายตาเรา  อาจจะบิ๊กบึ้มในสายตาเขาก็ได้

ใครจะรู้?



ปล. ที่บ่นๆ ว่าเงินไม่พอใช่ทั้งๆ ที่ แต่ละเดือนได้มากกว่าอิชั้นสามเท่านะ  ที่แท้ก็เอาไปบำเรอ ผ. นี้เอง  พี่สาวอิชั้น  กลุ้ม  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 08-10-2007 14:55:29
บ้าเหรอ..........พูดไปเรื่อย.........เรื่องไม่จริง............ใครมาได้ยินเข้ามันจะไม่งาม..........
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 08-10-2007 15:31:35
^
^
ได้ยินไปแล้วอะ  :m14:

เห็นด้วย บางที...เรื่องที่ใหญ่ในสายตาเรา  อาจจะเล็กในสายตาเขา  เรื่องที่จิ๊บๆ ในสายตาเรา  อาจจะบิ๊กบึ้มในสายตาเขาก็ได้  ใครจะรู้?

รออ่านต่อ  :a2:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 08-10-2007 17:23:05
ได้ยินด้วยคน  :m20:

เห็นด้วยกะพี่สอง  รออ่านต่อนะคุณกั๊ง  :m18: :m18:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 12-10-2007 16:27:40
                          “วันนี้นัทไม่ไปนอนที่ห้องด้วยนะ ยังเก็บของไม่เสร็จเลย”...............นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ที่ผมได้ยินคำว่า “เก็บของจากนัท”...............เก็บบ้าเก็บบออะไรกันนักหนา...................ผมนึกเดือดดาลอยู่ในใจ........ผมรู้สึกว่าพักนี้นัทไม่ค่อยใส่ใจอยากจะเจอผมเท่าที่ควร..........นี่เราก็ไม่ได้เจอกันหลายวันแล้ว ทั้งๆที่อยู่ใกล้กันแค่นิดเดียว............อีกทั้งเวลาของเราก็จวนจะหมดลงไปทุกที............เค้าควรจะต้องรู้จักแบ่งเวลา จัดลำดับความสำคัญมั่งสิ.............ตอนกลางวันที่ผมไปทำแลป ผมก็ปล่อยให้เค้าไปอยู่ห้องเก็บของได้ทั้งวัน.........พอตกเย็นก็ควรจะเป็นเวลาที่เราจะได้อยู่ด้วยกันไม่ใช่หรือ.............หรือว่าสิ่งที่ผมขอเนี่ย มันเป็นการเรียกร้องมากจนเกินไป..............ดังนั้น เมื่อได้ยินคำว่าเก็บของที่ไม่รู้จักจบสิ้นของเขา..........สติของผมจึงขาดผึงลงทันที............คนคนเดียว.............ห้องเล็กนิดเดียว...........จะมีสมบัติพัสถานอะไรกันนักหนา..........การเก็บแพคของทำคืนเดียว รุ่งเช้าขนขึ้นรถผมยังเคยทำออกบ่อย............นี่มันกินเวลามาร่วมสัปดาห์แล้วสำหรับข้ออ้างบ้าๆนี่...........แล้วจะไม่ให้ผมโมโหได้ยังไง...........

                           “เห็นบอกว่าเก็บของๆ ตั้งนานแล้ว....นี่ยังไม่เสร็จอีกเหรอ สมบัติอะไรกันนักหนา”...........ผมระเบิดอารมณ์ใส่นัทอย่างหมดความอดทน...............ถ้าเค้าตั้งใจเก็บจริงๆอย่างที่ปากว่า ป่านนี้คงเสร็จไปตั้งนานแล้ว............แต่นี่คงมัวแต่เล่นเกมส์ล่ะมากกว่า...................

                            ผมทั้งโมโห ทั้งน้อยใจที่เค้าไม่ได้ให้ความสำคัญกับการใช้เวลาร่วมกันของเราสองคนอย่างที่ผมต้องการ............ผมมีความเชื่อตามคติของตัวเองว่า...........เมื่อคนรักกัน ก็ย่อมจะต้องอยากอยู่ใกล้กัน.............เมื่อไม่ได้อยากจะมาอยู่ใกล้ ก็แสดงว่าหมดรักกันแล้ว............เพราะฉะนั้น เค้าต้องกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่แน่ๆ..................

                          เมื่อคิดได้ดังนั้นต่อมโมโหของผมก็ยิ่งพุ่งปรี๊ดมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม..............ปมในใจที่เคยนอนนิ่งตกตะกอนมานาน ถูกเขี่ยให้ฟุ้งกระจายขึ้นมาอีกครั้ง.......................แน่สิ...........เค้าไม่ได้คิดจริงจังกับผมอยู่แล้วนี่...........ที่เค้าบอกว่ารัก บอกว่าผูกพันก็เป็นแค่เพียงอารมณ์ชั่ววูบ พูดไปตามความคะนองปากเท่านั้น............จะมีความหมายอะไรให้น่าจดจำ...............ผมซะอีกที่หลงละเมอเพ้อพกเป็นบ้าเป็นบออยู่คนเดียวมาตลอด...............

                           “นี่ตกลงว่าจะไม่มาใช่มั้ย”................ผมแค่นเสียงถามเป็นครั้งสุดท้าย.............ถ้าไม่มาก็เลิก.........นี่เป็นความตั้งใจที่แน่วแน่.............ผมยอมรับว่าบางทีผมก็เป็นคนที่ขาดความอดทนในเรื่องเล็กๆน้อยๆ...........แต่กับบางเรื่องผมกลับผมอดทนได้อย่างเหลือเชื่อ.............

                          “ไม่ไป...........จะเก็บของ วู้วววววววว.........เซ้าซี้อยู่ได้รำคาญ............มีอะไรอีกมั้ย จะวางแล้วนะ”..........เค้ารู้ว่าผมเป็นคนยังไง แต่ก็ยังจะทำตัวดื้อแพ่ง.........ดี........แล้วเราจะได้เห็นดีกัน..........เวลาผมไม่ได้ดั่งใจ ผมจะโมโหสุดๆ.............แต่ถ้าปล่อยให้เวลาผ่านไปแล้ว ผมก็จะกลับมาใจดีเหมือนเดิม.........เพราะผมมีนิสัยชอบให้อภัยคนอื่นเสมอ..........ซึ่งอาจจะเป็นข้อดีหรือไม่ดีก็ไม่อาจทราบได้...............รู้แต่ว่าตอนนี้ผมกำลังขัดใจอย่างแรง...............

                            “เออ........งั้นแค่นี้ล่ะ”................ผมวางสายแล้วกลับมานั่งมือไม้สั่นอยู่คนเดียว..........ความคับแค้นใจจากเรื่องราวต่างๆในอดีตที่เค้าเคยทำร้ายจิตใจผมเอาไว้ ผุดขึ้นมาในหัวสมองเป็นลำดับลำดา.............

                           ตั้งแต่คบกันมาเค้าคอยพูดกรอกหูผมเสมอว่า เค้าไม่ได้คิดจะจริงจังอะไรกับผม.............เวลาไปไหนมาไหนด้วยกัน ไม่เคยเลยแม้สักครั้งที่เค้าจะอยากเดินเคียงข้างผมด้วยความเต็มใจ............เค้าไม่เคยคิดว่าผมจะรู้สึกอย่างไรกับการที่ต้องมาคอยนั่งตามใจเค้าต่างๆนานา...........เค้าคิดเพียงอย่างเดียวว่าเค้าต้องการอะไร ส่วนผมจะต้องการอะไรก็ช่างหัวมัน.............นี่ผมมองคนผิดไปจริงๆหรือ..............เค้าใจดำกว่าที่ผมคิดเอาไว้มาก..........ใช่......เค้าใจดำมาก.................

                           ความเสียใจหลั่งไหลมาจากทุกทิศทาง............ผมรู้สึกโกรธ โง่ และสิ้นหวัง...........เค้ากำลังจะไปจากเชียงใหม่แล้ว.............นี่คงกำลังจะคิดตีตัวออกห่าง...............เค้าไม่ได้ให้ความสำคัญกับผมเลยแม้แต่น้อย.............ไม่เคยแคร์ความรู้สึกของผมเลย เอาแต่ตัวเองเป็นใหญ่.........นึกอยากจะมาก็มา นึกอยากจะไปก็ไป............ไม่เคยเห็นผมอยู่ในสายตา..............แล้วผมจะมานั่งทนให้ตัวเองเสียใจไปทำไมกัน............ไหนๆก็ต้องจากกันอยู่แล้ว..........สู้ผมบอกเลิกตอนนี้ไปเลยดีกว่า.........บอกตรงๆว่าผมสู้ต่อไปไม่ไหวแล้ว.............ณ ตอนนี้ ผมพร้อมที่จะถอยอยู่ตลอดเวลา..........ที่ผ่านมานี่ก็ถือว่าอดทนได้มากพอแล้ว............หากเป็นคนอื่นคงบอกเลิกลาไปตั้งแต่เริ่มได้ยินประโยคแรกที่เค้าบอกเงื่อนไขของการคบกัน......

                          ผมนั่งนึกย้อนไปถึงครั้งแรกที่ผมบอกเลิกกับเค้า คราวนั้นก็เป็นเหตุการณ์คล้ายๆกันนี้ คือเค้าอยากจะมีเวลาส่วนตัว.............. ...ตอนนั้นผมใช้วิธีส่งข้อความไปบอกเลิก...............แต่คราวนี้ผมจะไม่ทำอย่างนั้น...............คราวนี้ผมเอาจริง เพราะฉะนั้นผมควรต้องโทรไปบอกเค้าด้วยวาจา................เมื่อคิดได้ดังนั้น ผมจึงยกโทรศัพท์ขึ้นมา กดสายถึงนัททันที.....................

                          “ฮัลโหล.............”...............เสียงนัทฟังดูแผ่วเบาอย่างเห็นได้ชัด...........แสดงว่าคงสำนึกได้แล้วว่าเมื่อครู่ตัวเองทำเกินกว่าเหตุ................แต่จะมาคิดได้ตอนนี้ก็สายเกินไปเสียแล้ว............เพราะผมไม่มีวันเปลี่ยนใจง่ายๆหรอก…………

                           ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก...............ก่อนจะกลั้นใจพูดในสิ่งที่ได้ตรียมเอาไว้แล้วออกมา.............

                          “นัท...........พี่มาคิดๆดูแล้ว พี่ว่าเราไปด้วยกันไม่ได้หรอก เราเลิกกันเถอะ.........ถึงยังไงเราก็ต้องจากกันอยู่แล้ว........จะเลิกตอนไหนก็คงไม่ต่างกันหรอก”...............เฮ้อ..........ผมแอบลอบถอนหายใจหลังจากที่พูดในสิ่งที่คิดว่าผ่านการใคร่ครวญอย่างดีแล้วออกมา (จริงๆแล้วก็ผสมอารมณ์โกรธไปไม่น้อยเลยล่ะ)...............

                          “เป็นอะไรไปอีกล่ะเนี่ย”..............นัทถามเสียงอ่อน แต่ยังคงเจือความหงุดหงิดเอาไว้บางๆ

                          “ไม่ได้เป็นอะไร...........พี่ว่า ถ้านัทไม่ได้รักพี่ เราก็ควรจะเลิกกัน”...............ผมเริ่มระบายสิ่งที่อัดอั้นภายในใจออกมา.............ถ้าได้บอกให้เค้ารับรู้บ้าง...........บางทีผมอาจจะรู้สึกดีขึ้นก็ได้..............

                         “ทำไมพี่กั้งต้องคิดว่าอยู่ไกลกันแล้วต้องเลิกกันด้วย นัทไม่เข้าใจ” นัทมีท่าทีอ่อนลง........คราวนี้เค้าคงรู้ว่าผมเอาจริง..............

                         “ขนาดเราอยู่ใกล้กันแค่นี้ นัทยังเป็นแบบนี้เลย แล้วจะให้พี่คิดยังไง”........ผมชี้ให้เค้ายอมรับความเป็นจริงในข้อนี้............ถ้าเราต้องไปอยู่ไกลกันแล้ว ผมคงไม่มีตัวตนสำหรับเค้าแน่ๆ......

                         “ช่วงนี้นัทมีเรื่องให้ต้องกังวลหลายอย่าง ไหนจะเรื่องที่จะไปทำงาน เรื่องที่บ้าน ไหนจะเรื่องต้องเก็บของ ตอนนี้นัทอาจจะดูแลพี่กั้งได้ไม่ดี แต่ต่อไปนัทอาจจะทำได้ดีกว่านี้ก็ได้”.............เค้าคิดว่าผมจะเชื่อความหวังลมๆแล้งๆที่เค้าให้มาเหรอ..............เค้าคิดผิดถนัด...........

                           “ก็ไม่เป็นไร พี่เข้าใจ.........พี่ว่านัทคงยังไม่พร้อมที่จะดูแลใคร..........แค่สิ่งพื้นฐานของการเป็นแฟนกันนัทยังทำไม่ได้...” ..........แน่ล่ะ..........แค่ไปมาหาสู่ คอยดูแลความรู้สึกของกันและกันแค่นี้เค้ายังทำไม่ได้.........เค้าไม่รู้จักเรียนรู้ที่จะเป็นฝ่ายให้ความรู้สึกดีๆแก่ใครเลย..........คอยทำตัวเป็นผู้รับตลอด.......ผมพยายามจะเปลี่ยนเค้าแล้ว..........แต่ได้ชั่วประเดี๋ยวเท่านั้น.........เป็นธรรมดาของไม่แก่ที่มักจะดัดยาก..............

                          “พี่กั้งทำให้นัทรู้สึกว่าเราต้องอยู่ด้วยกันตลอด........นัทก็อยากมีเวลาส่วนตัวของนัทบ้าง”........ติดกันตลอดเหรอ...........เฮอะ...........ผมไปตามติดเค้าเป็นเงาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน.........โทรจิกผมก็ไม่เคยทำ.............ตอนกลางวันผมก็ไปทำแลป ผมแค่ขอเวลาจากเค้าในช่วงกลางคืนแค่นั้น......มันมากไปเหรอ.......เค้าพูดเหมือนกับว่าผมเป็นฝ่ายต้องการเค้าเพียงฝ่ายเดียว ในขณะที่เค้าไม่ได้ต้องการผมเลยงั้นแหล่ะ...............

                         “ช่างมันเถอะไม่ต้องสนใจหรอก”............ผมพยายามจะตัดบทเพราะยิ่งพูดมากยิ่งเจ็บปวดกับสิ่งที่เค้าพูดออกมา

                         “ถ้าพี่กั้งอยากเลิก นัทก็แล้วแต่พี่กั้ง..............แต่นัทไม่ได้อยากเลิก”............นัทพยายามประวิงเวลาเอาไว้...........แต่ไม่มีประโยชน์.............ก่อนจะทำอะไรลงไปเค้าควรจะหัดคิดซะบ้าง..........เพราะบางอย่างไม่มีโอกาสให้แก้ตัวได้บ่อยๆ............โดยเฉพาะเรื่องความรัก............

                          “ถ้าไม่อยากเลิกนัทก็ต้องปรับตัวสิ..........พี่ไม่เห็นว่านัทจะทำอะไรเพื่อพี่สักอย่าง”.........ว่าจะไม่พูดแล้วเชียว.............แต่มันเหลืออดจริงๆ.................

                          “นัทก็ปรับแล้ว...........พี่กั้งไม่คิดว่านัทปรับเหรอ..........นัทก็พยายามปรับตัวตลอด........แต่นัททำได้แค่นี้”...............ปรับแล้วงั้นเหรอ...............พูดมาได้.............ปรับให้เลวลงน่ะสิ..........

                         “พี่เห็นนัทพูดเรื่องเก็บของนี่นานมากแล้วนะ..........พี่ไม่เข้าใจว่าเก็บอะไรกันนักกันหนา.........หรือว่าเป็นแค่ข้ออ้าง”............ผมไม่มีทางเชื่อว่าเค้าตั้งใจจะเก็บของจริงๆ.............เค้าโกหก........เก็บบ้าเก็บบออะไร เกือบอาทิยต์แล้ว ทำยังกะอยู่บ้านเป็นหลัง..........สมบัติกะอีแค่ห้องเท่าผืนเสื่อ จะมีอะไรให้เก็บมากมาย...........ไปหลอกเด็กอนุบาลเถอะ.........ฉันน่ะเด็ก ป. เอก...........

                          “ถ้าไม่เชื่อพี่กั้งมาดูก็ได้”...........นัทเอ่ยปากชวน..............แต่เรื่องอะไรผมจะไป...........ตั้งแต่คบกันมาผมไม่เคยเหยียบไปที่ห้องของเค้าเลย เพราะนัทอายเพื่อน เนื่องจากเป็นหอนักศึกษาแพทย์............แต่พอถึงเวลาผมจะบอกเลิกเข้าจริงๆ ถึงกับกล้าชวนให้ไปดูที่ห้อง..............สายไปซะแล้ว............

                           “ไม่ล่ะ..........นัทเก็บของต่อไปเหอะ.............เดี๋ยวบ่ายๆพี่จะแวะไปเอาซีดีที่นัทยืมมอลลี่ไป มาคืนเค้านะ...........แล้วพี่จะโทรไปหา”............ผมทวงซีดีหนังที่นัทเคยยืมมอลลี่ไปดู............ถึงเราจะเลิกกันแล้วผมก็ควรจะสะสางทุกๆอย่างไม่ให้คั่งค้าง เพราะคนอื่นเค้าไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้............ของๆเค้าเอามาก็ต้องคืน..........

                           ผมวางสายจากนัทไปแล้ว..............ตอนนี้สมองของผมกำลังมึนงงกับสิ่งที่เกิดเมื่อครู่..........มันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนผมตั้งตัวแทบไม่ติด............จากเป็นแฟน ตอนนี้จะมีคำว่า “เคย” นำหน้า กลายเป็นคำว่า “เคยเป็นแฟน”..............ผมไม่แน่ใจนักว่าได้ฟังเสียงหัวใจตัวเองดีแค่ไหน............แต่ผมเจ็บปวดกับเรื่อพวกนี้เกินกว่าที่จะทนอะไรได้อีกแล้ว.............

                        อากาศข้างนอกนิ่งสนิท ชวนให้อึดอัดเป็นที่สุด......... ผมสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างช้าๆ..............เดินไปหยิบบุหรี่ออกมายืนสูบตรงหน้าต่างของห้องแลป...........คล้อยบ่ายแล้ว ลานจอดรถว่างเปล่าไร้ผู้คน............ผมพ่นควันบุหรี่ออกมาอย่างช้าๆพลางทอดสายตามองตามควันสีเทาจางๆที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ แล้วจางหายไป...........ก็แค่แวะไปเอาซีดีของมอลลี่ แล้วทุกอย่างก็จะจบ........จบจริงๆ...........ผมตั้งใจอยากให้เป็นอย่างนั้น.........แต่ผมไม่แน่ใจเท่าไหร่..............
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 12-10-2007 16:46:24
เหอ เหอ คิดว่าไม่จบง่ายขนาดนี้หรอก  :m13: สงสัยงานนี้นัทง้อแน่ ๆ  :m4:  :m4:  :m4:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 13-10-2007 10:09:37
ต้องปรับกันทั้งสองฝ่าย
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 13-10-2007 21:32:15
ปรับอะไร.........บอกมาสิ  :m14:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 17-10-2007 16:01:11
อ่านตั้งนานแล้ว  ดันลืมเม้นต์ อิอิ

คุณกั้งตั้งความหวังกับนัทเกินไปรึเปล่า
คาดหวังว่าเค้าจะต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้  ต้องมีแนวคิดแนวทางเดียวกัน
บางครั้งคนเราก็มาจากพื้นฐานครอบครัวต่างกัน  ความคิดการแสดงออกก็ไม่เหมือนกันหรอก
จริงๆ ก็อาจจะไม่เลวร้ายก็ได้นา  รักเค้าในแบบที่เค้าเป็น
ส่วนเรื่องจุดหมายปลายทาง  เฮ้อ  พูดยากเนอะ รักกับคนที่บอกว่าไม่มีอนาคตร่วมกัน
แต่ถ้าเรื่องระยะทางที่นัทต้องไปทำงานต่างจังหวัดอ่า  ไม่น่าเป็นไรนา อิอิ

รออ่านต่อค้าบบบ สู้ๆ หายหน้าหายตาไปเยยอะ  :a2:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 19-10-2007 08:44:56
ขอบคุณสำหรับกำลังใจครับ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 19-10-2007 09:53:56
                         น่าแปลก..............ทั้งที่ปากผมบอกว่าอยากจะเลิก............แต่ลึกๆแล้ว ผมไม่ได้คิดแบบนั้นเลยสักนิด..............ผมนี่มันเป็นคนประเภทไหนกันแน่............ปากอย่างใจอย่างหรือไง?

                        นี่เป็นหนที่สองแล้วที่ผมบอกเลิกกับนัท.............ถ้าหากครั้งนี้เราไม่ได้เลิกกันจริงๆ อย่างที่ผมได้ลั่นวาจาออกไป.............ในอนาคตผมคงจะต้องลำบากกับความสัมพันธ์ของเรามากกว่านี้............ผมจะกลายเป็นคนโลเล..........ทำไม่ได้จริงอย่างที่พูด...........และชอบต่อความยาวสาวความยืด ต่อรองกันไปไม่รู้จักจบสิ้น............เพราะคำพูดจากปากจองผม แรกๆมันอาจจะดูว่าเป็นเรื่องจริงจัง แต่หากว่าเกิดขึ้นบ่อยเข้า มันจะกลายเป็นเรื่องไร้สาระอย่างไม่ต้องสงสัย..........ท้ายที่สุดนัทก็จะเรียนรู้ว่า ผมรักเค้ามากเกินกว่าที่จะกล้าทิ้งเค้าได้ลง..........และถึงตอนนั้นเค้าก็จะไม่แคร์ความรู้สึกของผมอีกต่อไป.............อยากทำอะไรเค้าก็จะทำ...........ถ้าผมไม่อยากจะเจ็บซ้ำๆซากๆ ผมควรจะต้องแข็งใจ.............ผมจึงเพียรบอกตัวเองเสมอว่า จะต้องแข็งใจ.........

                          บรรยากาศที่ลานจอดรถหน้าหอพักของนัทเงียบเชียบอย่างประหลาด.......................คงเป็นเพราะว่าช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอม............นักศึกษาส่วนใหญ่จึงกลับบ้านกันหมดหรือไม่ก็ย้ายออกไปเนื่องจากเรียนจบแล้ว..............

                          ผมข่มใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจากกระเป๋าอย่างยากลำบาก...............รู้สึกอยากจะวิ่งหนีจากปัญหาตรงนี้ไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้.............ผมไม่ชอบการเผชิญหน้าในสภาวะแบบนี้เลยจริงๆ.........ให้ตายสิ.........

                         “พี่มาถึงแล้ว”.............ผมกรอกเสียงลงในโทรศัพท์อย่างแผ่วเบา แล้ววางสายนั่งรอคอยนาทีแห่งการเผชิญหน้า.......แม้ว่าจะบอกเลิกกับนัทไปแล้ว แต่ผมก็ไม่กล้าที่จะออกไปยืนรอนัทข้างนอกรถอยู่ดี ด้วยว่าเคยชินกับการที่จะต้องคอยหลบซ่อนตัวอยู่แต่ในรถมาตลอด................สายลมร้อนภายนอกพัดต้องยอดหูกวางไหวระริก.................ผมหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน...........พยายามสูดลมหายใจเข้าให้ลึกที่สุด.............หน้าร้อนมาถึงแล้ว.......เวลาของเราก็คงหมดลงแล้วเช่นกัน.............เสมือนดอกทองกวาวที่ชูช่อผลิบานไสวล้อสายลมหนาว...........และร่วงโรยจากต้นไปเมื่อลมร้อนมาเยือน............ปล่อยให้อะไรๆมันจบไปแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน...........มันคงถึงเวลาที่จะต้องจากกันจริงๆซะที...........ชิงลงมือบอกเลิกตอนนี้ ก็คงไม่ต่างจากรอให้เค้าย้ายไปจากเชียงใหม่หรอก...................

                          แล้วเราจะจบกันแบบนี้จริงๆน่ะหรือ..............ผมเพียรถามตัวเองซ้ำๆซากๆ..............นี่ผมใจร้อนเกินไปหรือเปล่านะ.............มโนจิตฝ่ายอ่อนเฝ้าคอยกระซิบถาม จนหัวใจผมสั่นไหวเมื่อหวนระลึกถึงเรื่องดีๆที่เราเคยทำร่วมกันมา................ไม่...........เราทนมามากพอแล้ว...............เค้าไม่เคยทำตัวให้ดีขึ้นเลย........เค้าไม่เคยแคร์ความรู้สึกของผมเลย.............อีกใจหนึ่งของผมแย้งขึ้นมาอย่างกราดเกรี้ยว เมื่อนึกถึงสิ่งแย่ๆที่เค้าได้ทำกับผมเอาไว้ รวมถึงเรื่องที่เพิ่งจะผ่านมาสดๆร้อนๆนี้ด้วย.............

                          ผมเหลือบตามองไปที่บันไดชั้นสี่อย่างเคยชิน............เวลาที่ผมมาคอยนัทที่นี่...........ผมมักจะจดจ่อสายตาอยู่ที่บันไดชั้นสี่เสมอ.............และไม่นานนัทก็จะวิ่งหน้าบานออกมา................แต่ครั้งนี้หน้าของเค้าคงจะไม่บานเช่นเคยอีกแล้ว......................

                         ไม่นานนัก นัทก็โผล่ออกมาตรงหัวมุมบันไดชั้นสี่............ผมขยับตัวขึ้นนั่งในท่าเตรียมพร้อม...........ผมไม่อยากให้เค้าเห็นว่าผมอ่อนแอ...........พูดคำไหนต้องเป็นคำนั้น.............นัทหิ้วถุงกระดาษใบเล็กมาด้วย เดาเอาว่าคงเป็นถุงใส่ซีดีหนังที่ยืมมอลลี่ไป..............สีหน้าเค้าดูไม่ดีนัก.........บางทีผมก็อดคิดไม่ได้ว่า.............นัทคนที่คุยโทรศัพท์กับผม กับนัทคนที่อยู่ต่อหน้า ช่างดูไม่เหมือนกันเอาซะเลย............เวลาที่เค้าอยู่ต่อหน้าผม เค้าจะเป็นคนที่คุยรู้เรื่อง มีเหตุผล.............แต่เวลาที่เราคุยโทรศัพท์กัน เค้าจะกลายเป็นคนฉุนเฉียว ไม่มีน้ำอดน้ำทน และคอยพูดจากทำร้ายจิตใจผมตลอดเวลา............เค้ามีความสับสนในตัวเองอย่างรุนแรง..............ผมไม่รู้ว่าเค้าจะมีความสุขอยู่ได้อย่างไรหากยังขัดแย้งในตัวเองมากขนาดนี้..............มันเป็นพฤติกรรมเหมือนคนสองบุคลิกยังไงยังงั้นเลย.................

                          “นี่ซีดีของพี่มอลลี่............ส่วนอันนี้นัทเอามาให้พี่กั้ง”.............นัทยื่นซีดีให้ผมสองแผ่น..........ผมรับมาโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกไป...............บรรยากาศระหว่างเราชวนให้อึดอัดจนผมรู้สึกคลื่นไส้............นัททำท่าอึกอักอยู่ครู่หนึ่ง เหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง............ผมจ้องมองที่ดวงหน้าของเค้าไม่ละสายตา เพื่อจะรอดูว่าเค้าจะสั่งเสียอะไรกับผมเป็นครั้งสุดท้าย...............

                          “นัทยังเก็บของไม่เสร็จเลย ถ้าไม่เชื่อพี่กั้งจะขึ้นไปดูก็ได้”............หึ........ทีอย่างนี้ล่ะชวนขึ้นห้อง.........ร้อยวันพันปีเห็นแต่คอยกีดกันไม่ให้ผมเข้ามาใกล้กับอาณาเขตของเค้า.......ด้วยกลัวว่าคนอื่นจะล่วงรู้ถึงความสัมพันธ์ของเรา..............มาคราวนี้กลับทำทีจะชวนขึ้นไปดู............

                           “ไม่ดีกว่า..........เดี๋ยวเย็นๆพี่จะเก็บของของนัทที่ห้องมาคืนให้”.............ผมบอกอย่างเย็นชา.............รู้สึกสะใจอยู่ลึกๆ...........สมน้ำหน้า............ทีตอนทำไม่รู้จักคิด.............พอถึงตอนนี้จะมาทำเป็นร้อนรน.................

                          นัทเดินคอตกจากไปอย่างเชื่องช้า.............ถึงตอนนี้เค้าคงจะรู้แล้วว่าผมจะทำอย่างที่ผมพูดจริงๆ.............ไม่ได้ล้อเล่น..........

                            ผมยังไม่ได้ขับรถจากไปในทันที.............อยากมองส่งเค้าให้ขึ้นไปถึงห้องจนกว่าจะลับตา.........นี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่เราได้เจอกันก็ได้.............

                          นัทหันหลังกลับมามองด้วยท่าทางละล้าละลัง เมื่อเห็นว่าผมไม่ได้ขับรถจากไปดังคาด..........ผมจ้องมองเค้าผ่านกระจกรถอย่างไม่เข้าใจในอารมณ์ของตัวเองนัก..............ในตอนนี้อารมณ์ขุ่นใจนั้นแจ่มชัดยิ่งกว่าอารมณ์ใดๆทั้งหมด.............แม้จะเจ็บปวดกับสิ่งที่ตัวเองได้แสดงความเฉยชากับเค้าออกไป..........แต่ผมก็ไม่คิดว่าจะทำอะไรเพื่อแก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้นไปกว่านี้.................

                         นัทเดินขึ้นไปถึงชั้นสี่แล้วหยุดหันกลับมามองดูผมชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะตัดใจเดินหันหลังลับตาไป............

                          ผมสตาร์ทรถแล้วเหยียบคันเร่งออกมาจากลานจอดรถอย่างรวดเร็ว.............ได้ระบายอารมณ์ลงไปกับการขับรถค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย.............ตอนนี้ผมรู้สึกมึนงงจนปวดหัวไปหมด.............ความง่วงงุนทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ............นอนพักสักงีบแล้วค่อยเก็บของมาคืนให้เค้าก็แล้วกัน..................



                          ร่องรอยของนัทยังคงเหลือทิ้งเอาไว้ที่ห้องของผมตามมุมต่างๆ..............ผมลงมือเก็บข้าวของเหล่านั้นใส่ถุงเงียบๆ...............ความเจ็บปวดแล่นเข้ามาทิ่งแทงจิตใจของผมจากทุกสารทิศ............เราเคยมีความสุขด้วยกันที่นี่..............และตอนนี้มันกำลังจะจบ.................ใครๆก็คงต้องเคยผ่านความรู้สึกแบบนี้มาด้วยกันทั้งนั้น................แล้วทำไมผมจะผ่านมันไปไม่ได้...........แต่อาจจะโชคร้ายหน่อยที่บังเอิญว่า นัทเป็นคนรักคนแรกจริงๆจังๆที่ผมเคยมี............แต่ถึงยังไงผมก็ไม่ได้เกิดและโตมากับเค้า.........แล้วจะมามีความรักความผูกพันอะไรกันนักหนา.................

                         แม้ว่าร่างกายอยากจะพักผ่อนเพราะผ่านความตึงเครียดมาตลอดทั้งวัน แต่ความอยากรู้ของผมนั้นมีมากกว่า..............ดังนั้น หลังจากเก็บของทั้งหมดของนัทเรียบร้อยแล้ว ผมจึงหยิบเอาแผ่นซีดีที่นัทให้ไว้ออกมานั่งพิจารณาดู..............

                         มันเป็นซีดีสองแผ่นที่มีตัวอักษรสีฟ้าอมม่วงเขียนเอาไว้เพียงรางๆจนยากที่จะอ่านออก.................เดาเอาว่าคงเป็นหนังอะไรสักอย่างหนึ่ง............นี่เค้ามีหนังอะไรที่อยากให้ผมดูหรือไง.............มันอาจจะเกี่ยวกับการเลิกกันของเราด้วยก็ได้..........บางทีเค้าคงจะอยากสื่อสารอะไรบางอย่างกับผมผ่านทางหนังเรื่องนี้..............หึ...........ทำยังกะในละครน้ำเน่า................


                          และก็เป็นจริงดังที่คาดเอาไว้ไม่มีผิด............มันเป็นหนังที่ใช้เพื่อส่งสารจากเค้าถึงผมจริงๆ.............เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วก็สุดจะคะเน.........รู้แต่ว่าผมปล่อยให้ตัวเองนั่งจมอยู่กับการดูหนังที่นัทให้มาโดยไม่รู้สึกตัว.........ผมพยายามค้นหาสิ่งที่นัทต้องการจะบอกว่ามันคืออะไรกันแน่..........


                          ตามท้องเรื่องของหนัง กล่าวถึงพระเอกหรือจะเรียกว่านางเอกก็สุดจะเดา............เนื่องจากเค้าเป็นเกย์...........ขอสมมุติชื่อว่าราม...........รามเป็นชาวอินเดีย แต่หนีจากบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองมาใช้ชีวิตยังต่างประเทศนานหลายปีโดยแทบไม่ได้กลับไปเยี่ยมบ้านเกิดเลย.............สาเหตุก็เนื่องมาจากว่าสังคมและศาสนาของเค้าไม่ยอมรับการเป็นเกย์นั่นเอง...........

                          เค้าอาศัยอยู่กับแฟนหนุ่มชาวฝรั่งชื่อโทนี่อย่างมีความสุขราบรื่นเรื่อยมา........โดยแกล้งทำเป็นลืมเรื่องราวในอดีตและทิ้งแม่ผู้เป็นที่รักเอาไว้เบื้องหลังเพียงลำพัง.......ลึกๆแล้วรามรู้ดีว่าถึงอย่างไรเค้าก็ไม่อาจหนีจากรากเหง้าของตัวเองไปได้พ้น..........และนี่คือความกดดันที่เค้าพยายามเก็บซ่อนมันเอาไว้มาตลอด โดยที่แฟนหนุ่มของเค้าไม่มีทางล่วงรู้.............

                          จวบจนกระทั่งคุณแม่ผู้ทนความคิดถึงลูก รวมถึงทนคำถามจากบรรดาญาติๆและคนรอบข้างเรื่องลูกชายที่ถึงวัยมีครอบครัวแล้วไม่ไหวอีกต่อไป............เธอจึงตัดสินใจเดินทางมาเพื่อเกลี้ยกล่อมให้ลูกชายอันเป็นที่รักกลับไปอยู่บ้านด้วยกัน............และความวุ่นวายต่างๆก็ได้เริ่มต้นขึ้น.................

                          รามเอ่ยปากขอแยกห้องนอนกับโทนี่ทันที อีกทั้งยังขอให้แสดงละครตบตาแม่ของตนว่าเป็นเพียงเพื่อนร่วมห้องธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้น.........เค้าพยายามกลบเกลื่อนหลักฐานทุกอย่างเพื่อไม่ให้แม่ที่กำลังจะเดินทางมาถึงจับพิรุธได้..............

                          ด้วยความแตกต่างทางด้านความคิดและวัฒนธรรม ทำให้โทนี่ผู้อยู่ในโลกแห่งอิสระเสรีมาโดยตลอดไม่อาจจะทนรับกับเหตุผลอันพิสดารนั้นได้...............ทั้งสองจึงเริ่มมีปากเสียงและเกิดความไม่เข้าใจกัน จนกลายเป็นความหมางเมินและเฉยชาในที่สุด..............

                          โทนี่ตัดสินใจประชดรักด้วยการออกเดทกับชายอื่น.............ในขณะที่รามเองแม้จะรู้สึกเจ็บปวดกับเรื่องดังกล่าว แต่เค้าก็ไม่กล้าพอที่จะออกมาจัดการกับปัญหาเหล่านั้น เพราะเค้ามัวแต่หวาดกลัวอยู่กับปัญหาที่ตัวเองกำลังเผชิญ.........

                           เมื่อแม่เดินทางมาถึง เธอมองโทนี่เป็นเพียงเพื่อนต่างวัฒนธรรมของลูกชายเท่านั้น..........อีกทั้งจิตใจของเธอหมกหม่นอยู่แต่กับการพาลูกชายกลับบ้าน โดยที่ไม่ได้คำนึงถึงความรู้สึกที่ลูกของตนต้องการเลยแม้แต่น้อย...........เธอต้องการให้เค้ากลับบ้าน แต่งงานและใช้ชีวิตตามอย่างที่ควรจะเป็น ตามความเชื่อทางศาสนาที่พวกเค้านับถือ..............

                           รามตัดสินใจหนีปัญหาด้วยการคอยหลบหน้าแม่โดยอ้างว่างานยุ่ง..........ความไม่เข้าใจระหว่างแม่ลูกจึงถูกปล่อยทิ้งเอาไว้ให้ค้างคาต่อไป............คนทั้งสองต่างยืนอยู่บนจุดยืนของตนเอง..........แม่ที่เอาแต่อยากจะให้ลูกชายเป็นในอย่างที่ตัวเองต้องการ แม้ว่าหล่อนจะระแคะระคายถึงความเป็นเกย์ของลูกมาโดยตลอดก็ตาม...............ในขณะที่ลูกชายผู้พยายามแต่จะคอยเดินหนีปัญหาอยู่ตลอดเวลา ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเค้าจะต้องหนีไปอีกนานแค่ไหน..........

                          เมื่อเวลาผ่านไป จากการได้ใช้ชีวิตและเรียนรู้ซึ่งกันและกัน...........มุมมองของแม่ที่มีต่อโทนี่ก็ค่อยๆเปลี่ยนไป.............จากเดิมที่เคยมองเค้าเป็นเพียงคนต่างวัฒนธรรม ก็กลายกลับเป็นการเปิดใจยอมรับและเอ็นดูเสมือนลูกชายอีกคนหนึ่งของเธอ............

                          แต่หากอะไรต่ออะไรมันจะจบลงด้วยดีก็คงจะดูง่ายจนเกินไป...............ในที่สุดแม่ก็จับได้ว่ารามและโทนี่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกันมากกว่าการเป็นแค่เพื่อนร่วมห้องธรรมดาๆ...........เมื่อความจริงถูกเปิดเผย เธอไม่สามารถทำใจยอมรับเรื่องดังกล่าวได้ ......เธอจึงตัดสินใจเก็บข้าวของเดินทางกลับบ้านโดยลำพังด้วยความเสียใจอย่างสุดประมาณ..................

                          ความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกนั้นยิ่งใหญ่เหนือสิ่งอื่นใด..............เมื่อทราบเรื่อง........รามจึงรีบเดินทางติดตามแม่ของเค้ากลับอินเดียไปในทันที.............โดยทิ้งโทนี่เอาไว้ให้อยู่กับความสับสนระหว่างการเลือกที่จะปล่อยให้คนรักกลับไปยังโลกของเค้า...........หรือจะติดตามไปเพื่อพิสูจน์ถึงความรักแท้ที่พวกเค้ามีต่อกัน..................

                          เมื่อกลับมาถึงที่บ้าน............รามก็พบว่า ราเมศซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของเค้ากำลังจะแต่งงาน...........จากภายนอก ราเมศเป็นคนที่ดูเหมือนประสบความสำเร็จในชีวิตการทำงานงาน อีกทั้งยังได้แต่งงานกับผู้หญิงดีๆตามความต้องการของพ่อแม่ทุกอย่าง................แต่ใครจะรู้ว่าเบื้องลึกแล้วราเมศเองก็เป็นเกย์เช่นเดียวกันกับราม..........แต่เค้าเลือกที่จะซ่อนมันเอาไว้โดยการแต่งงาน.........และยังคิดว่าจะแอบมีสัมพันธ์กับผู้ชายเมื่อมีโอกาส..........ซึ่งในอดีตรามกับราเมศเองก็เคยมีความสัมพันธ์กันมาก่อน...............

                         ระหว่างที่รามกับราเมศกำลังคุยถึงเรื่องราวดังกล่าวอยู่.................แม่ของรามเองก็บังเอิญเข้ามาได้ยิน..........จึงทำให้เธอได้เข้าใจถึงความรู้สึกของลูกชายตนเอง.............และยอมรับตัวตนที่เค้าเป็นได้ โดยไม่สนใจอีกแล้วว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร เพราะเธอคิดได้แล้วว่าความสุขและความต้องการที่แท้จริงของลูกคือสิ่งที่เธอต้องการจะเห็นมากที่สุด...............

                         เมื่อรามสามารถปรับความเข้าใจกับแม่ของเค้าได้แล้ว...........ปัญหาที่เหลือก็คือรามจะทำอย่างไรเพื่อที่จะทำให้โทนี่ยอมกลับมาคืนดีกับเค้าได้เช่นเดิม หรือเค้าจะต้องสูญเสียโทนี่ไปตลอดกาล.............ซึ่งก็ดูเหมือนว่าโชคทางด้านความรักของรามจะยังดีอยู่...........เพราะในตอนท้าย โทนี่ได้ตัดสินใจเดินทางตามเค้ามายังอินเดีย............และแล้วความรักของทั้งคู่ก็ลงเอยอย่างมีความสุขพร้อมกับความเข้าใจของแม่อันเป็นที่รักของพวกเค้าอีกด้วย...............


                          มันเป็นหนังที่ดีทีเดียว.........ดูเป็นหนังที่พยายามทำเพื่อให้กำลังใจเกย์อย่างค่อนข้างเพ้อฝันอยู่บ้างเล็กน้อย..............ผมยังเฝ้าครุ่นคิดถึงสิ่งที่นัทต้องการจะบอกผ่านมาทางหนังเรื่องนี้............ซึ่งก็แน่นอนว่ามันไม่ใช่สิ่งใหม่สำหรับผมเลย.........เพราะผมเข้าใจดีมาโดยตลอดว่านัทมีความกดดันมากแค่ไหนกับเรื่องความเชื่อทางศาสนาและความรักของเรา...............

                           เมื่อเปรียบเทียบกันกับหนังเรื่องนี้แล้ว ผมมองว่าจุดจบของเราสองคนไม่มีทางลงเอยด้วยดีอย่างในหนังได้แน่นอน...............และที่สำคัญนัทใช้วิธีสื่อสารกับผมถึงความคับข้องใจของเค้าแตกต่างจาก รามที่พยายามขอความเห็นใจและแสดงความรู้สึกว่าแคร์ต่อโทนี่หากแต่เค้ามีความจำเป็นบางอย่างเท่านั้น.................ผมอาจจะรู้สึกดีกว่านี้หากนัทจะเปิดอกพูดกับผมดีๆอย่างตรงไปตรงมาว่าเค้ารู้สึกอย่างไร และต้องการให้ผมทำอย่างไร.......และหากเค้าต้องการให้ผมยังอยู่กับเค้า เค้าก็ควรจะแสดงให้เห็นว่า เค้าแคร์ความรู้สึกของผมเช่นเดียวกัน ไม่ใช่คอยกราดเกรี้ยวใส่แบบที่เค้าทำอยู่นี้..........
 
                          ที่ผ่านมา นัทเลือกทำในทางตรงกันข้าม.............เค้าระบายความคับข้องใจใส่ผมด้วยการกราดเกรี้ยว...........แกล้งทำเป็นเมินเฉย หลีกเลี่ยงที่จะหันหน้าเข้ามาคุยด้วยดีๆ.............ถ้าเค้าไม่ต้องการผม เค้าก็แค่เพียงบอกมาตรงๆ ซึ่งผมก็จะยอมจากไปโดยดี............แต่นี่เค้ากลับทำท่าเหมือนกับต้องการตัวผม แต่จะไม่ยอมรับผิดชอบดูแลความรู้สึกของผมเลย.............แล้วมันยุติธรรมกับผมดีอยู่หรือ...............เรื่องอะไรผมต้องมานั่งคอยให้เค้าทำร้ายจิตใจต่างๆนานา.............ผมไม่เห็นความจำเป็นของการที่เราต้องคบกันต่อไป...........แม้ว่าจะเข้าใจความรู้สึกของเค้า แต่ผมไม่เข้าใจวิธีการแก้ปัญหาที่เค้าเลือกใช้............เพราะฉะนั้นแม้ว่าผมจะดูหนังจบไปแล้ว แต่ผมก็ยังคงต้องการจะเลิกกับเค้าอยู่ดี...........
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 19-10-2007 12:00:34
เฮ้อ  กำลังอยู่ในภาวะไม่เข้าใจทั้งตัวเอง แล้วก็คนข้างตัว  :a6:  :a6:  :a6:

รัก แต่หมดใจ   :m15:

รออ่านต่อดีกว่า  เป็นกำลังใจให้เหมือนเคยนะคุณกั้ง  :a2:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 19-10-2007 16:23:32
 :เฮ้อ:  ต่างคนต่างความคิด  :เฮ้อ:  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 19-10-2007 16:34:09
อย่าเครียดกันเลยนะ.........ข้อร้อง.........ฮืออออออๆๆๆๆ :o12:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 19-10-2007 17:52:57
^
^
สายไปแระ  :m14:

เรื่องมานเครียด  ต้องเครียดตาม 555555555555555555  :serius2:
(หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง  เครียดจนบ้าเลยเห็นมั้ย  อิอิ)

มาดันๆ รออ่านต่อค้าบบ สู้ๆ  :a2:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 19-10-2007 18:20:35
คุยกันดีกว่าคิดไปเอง
 o14
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 20-10-2007 19:03:48
ถามเค้าก็ไม่ยอมบอกดีๆ.......เค้ากลัวโดนครอบงำน่ะ.......ก็ต้องคิดเอาเองแระ :m26:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 20-10-2007 19:40:14
แสดงว่านัทก็คงกล้า ๆ กลัว ๆ กับการคบกับกั้งนะสิ  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 22-10-2007 08:46:43
                          ผมยันกายขึ้นจากที่นอนอย่างยากลำบากหลังจากที่หลับไปนานด้วยความเหนื่อยอ่อน...............เหลือบไปมองนาฬิกา เข็มชี้บอกเวลาเย็นย่ำ.............ความเครียดทำให้ผมหลับไปนานเพียงนี้เชียวหรือ...........แต่ถึงแม้จะได้นอนหลับพักผ่อนไปแล้วก็ตาม........จิตใจของผมก็ยังรู้สึกหดหูไม่เป็นปกติอยู่ดี.................

                          ถุงสัมภาระของนัทวางสงบนิ่งอยู่ที่มุมห้อง...........มันคือสายใยสุดท้ายระหว่างเรา............หากผมนำไปคืนเค้าในเย็นนี้........เราสองคนก็คงไม่มีอะไรติดค้างต่อกันอีกต่อไป............ตอนนี้ผมมาไกลจนเกินกว่าที่จะหันหลังกลับไปเสียแล้ว..............ที่ผ่านมา ไม่มีครั้งไหนที่ผมบอกเลิกกับนัทแล้วผมจะไม่รู้สึกเจ็บปวด............ลึกๆผมหวังอยู่เสมอว่าเค้าจะเป็นคนแรกและคนสุดท้ายสำหรับผม.........แต่นั่นคงเป็นเพราะว่าผมอ่านนิยายประโลมโลกมากจนเกินไป............ถึงคราที่ผมจะต้องยอมรับความเป็นจริงเสียที.............ชีวิตเกย์ก็เป็นแบบนี้แหล่ะ..........จะช้าหรือเร็ว.........ท้ายที่สุดก็ต้องเลิกกันอยู่ดี.........อย่าฝันเป็นเด็กไร้เดียงสาไปหน่อยเลย ว่าตัวเองจะได้รับการยกเว้นกั้งเอ๋ย............


                         น้ำอุ่นจากฝักบัวตกกระทบผิวกายเรียกความสดชื่นและสติสัมปะชัญญะคืนมาได้มากกว่าครึ่ง.............แม้ว่าตอนนี้ผมจะหายโมโหนัทแล้ว...........แต่เมื่อใคร่ครวญถึงเหตุและผล ผมก็ต้องเดินหน้าต่อ...........อยู่กันไปก็ไม่มีความสุขมากไปกว่านี้หรอก.........นานวันไปคนที่ต้องเจ็บคือผมอย่างไม่ต้องสงสัย........หากจะตัดเยื่อใย ผมควรต้องหนักแน่น..........ดังนั้นเมื่อจัดการแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยดีแล้ว.......ผมจึงมุ่งหน้าไปที่หอพักของนัทด้วยความมั่นใจอย่างคนที่ผ่านการตกผลึกทางความคิดมาอย่างดีแล้ว.........


                           บรรยากาศที่หน้าหอพักของนัทเงียบสงัดทั้งที่เป็นช่วงค่ำ..........ผมยื่นถุงให้เค้าอย่างเย็นชาพยายามซ่อนความปวดใจเอาไว้ให้แนบเนียนที่สุด..........สีหน้าของนัทดูซีดเซียวอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน...........อากัปกิริยาดูลุกลี้ลุกลนจนทำให้รู้สึกอึดอัดรำคาญใจ...........เค้ายืนละล้าละลังไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใดออกมาทั้งที่ดูเหมือนมีบางอย่างจะบอก............

                           “พี่จะขึ้นไปช่วยเก็บของให้เสร็จ”...........ผมเอ่ยขึ้นมาเรียบๆเพื่อทำลายความอึดอัด.............ทีแรกนัทมีท่าทีตกใจเล็กน้อย แต่ก็เปลี่ยนเป็นผ่อนคลายในเวลาต่อมา............ผมยังคงจ้องหน้าเค้านิ่ง............อยากจะรู้นักว่าเมื่อนาทีวิกฤตมาถึง เค้าจะเลือกที่จะไม่ให้ผมขึ้นไป..........หรือเค้าจะเลือกทางเลือกสุดท้ายที่ผมยื่นให้...............

                          “ไปสิ..........นัทยังเก็บไม่เสร็จเลย”.............นัทเอ่ยปากรับคำอย่างรวดเร็วท่าทางมีความหวัง..............เมื่อเห็นดังนั้นผมจึงทำหน้าตาให้ดูบึ้งตึงมากยิ่งขึ้น..............แค่จะขึ้นไปช่วยเก็บ ไม่ได้หมายความว่าจะคืนดีด้วยซะหน่อย...........อย่ามาทำหน้าระรื่นเรียกคะแนนสงสารเสียให้ยาก..........

                            แม้ว่าจะไม่มีคนเดินสวนทางมาเลย แต่นัทยังทำท่าลุกลี้ลุกลนเดิน (หรืออาจจะเรียกว่าวิ่งก็ได้) นำหน้าผมลิ่วๆขึ้นบันได...........จนในที่สุดผมก็คลาดกับเค้าที่ชั้นสาม...........ต่อมโมโหของผมเริ่มทำงานอีกครั้ง...........ดูเอาเถิด ถึงตอนนี้แล้วยังไม่วายที่จะกลัวคนรู้ว่าผมมากับเค้า.............แล้วถ้าบังเอิญคนอื่นมาเจอผมเดินบนหอพักต้องห้ามสำหรับบุคคลภายนอกนี่เพียงลำพังคนเดียว............ผมจะตอบเค้าว่าอย่างไร............ตอบว่ามากับนัทเหรอ........หึ............เค้ายังไม่เลิกนิสัยเดิม แม้กระทั่งในนาทีคับขัน.........เค้าก็ทิ้งผมเอาตัวรอดไปเพียงคนเดียวอีกตามเคย...............

                          ผมยืนละล้าละลังในความมืดที่ชั้นสามชั่วขณะ............นี่ผมควรจะเดินเข้าไปในชั้นสามซึ่งตอนนี้ประตูทุกห้องล้วนปิดสนิทไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตอยู่.........หรือเดินขึ้นไปที่ชั้นสี่.............หรือเดินกลับลงไปที่รถ...........ช่วยไม่ได้เลยจริงๆที่น้ำตาของผมจะรื้อออกมาที่ขอบตาอย่างแค้นใจ.............ความน้อยใจแล่นเข้ามาจุกอยู่ที่อก............ขนาดว่าผมกำลังโกรธเค้าอยู่.........เค้าก็ยังทิ้งผมเอาไว้อีกจนได้...............

                          ในที่สุดผมก็ตัดสินใจเดินขึ้นไปที่ชั้นสี่ เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่านัทน่าจะอยู่ที่ชั้นดังกล่าว............และเกือบจะชนกับเค้าเข้าอย่างจังที่ตรงหัวมุม............เค้าคงจะเห็นว่าผมหายไปนานจึงเดินกลับออกมาดู.............

                           “อ้าว........นึกว่าหายไปไหน”..........รู้อยู่แก่ใจ แต่นัทก็ยังแสร้งทำเป็นทักแก้เก้อ...............

                         “นัทพร้อมที่จะทิ้งพี่เอาตัวรอดเสมอเมื่อถึงคราวคับขัน”............ผมอดไม่ได้ที่จะค่อนขอดด้วยความขมขื่น.............นี่ถ้าหากต้องเผชิญอะไรที่เสี่ยงต่อการเปิดเผยสถานะของเราสู่สังคมแม้เพียงน้อยนิด..........คงไม่ต้องสงสัยว่านัทจะต้องทิ้งผมเพื่อเอาตัวรอดอย่างแน่นอน..........ทั้งๆที่คนพวกนั้นไม่ได้แคร์ด้วยซ้ำว่านัทจะมีสุขหรือทุกข์ยังไง.............ผมต่างหากที่รักและก็ห่วงใยเค้ายิ่งกว่าคนพวกนั้นอย่างเทียบกันไม่ได้.........แต่เค้ากลับเลือกแคร์คนในสังคมที่ไม่ได้แคร์เขาเลย........แทนที่คนที่รักและก็แคร์เค้ามากที่สุดคนนี้.........น่าน้อยใจในวาสนาของตัวเองเหลือเกิน............

                         “ก็พี่กั้งเดินช้าเองตะหาก”..........นัทเถียงข้างๆคูๆ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจดีว่าอะไรเป็นอะไร............ผมคร้านที่จะต่อปากต่อคำจึงเดินเลี่ยงเข้าห้องไป..............ไหนๆก็มาถึงที่นี่แล้ว สู้ทำหน้าที่ของตัวเองให้จบๆไปเสียดีกว่า..........อีกอย่างก็จะได้รู้ด้วยว่า ไอ้ข้ออ้างที่ว่า เก็บของๆ มาเป็นปีเป็นชาตินั้น..........ที่จริงแล้วเก็บจริงหรือเก็บหลอกกันแน่.........และก็ไอ้สมบัติบ้าบอพวกนั้น..........มันจะมีสักกี่รถสิบล้อกันเชียว.............ผมไม่อยากตัดสินอะไรลงไปโดยต้องให้ใครมาประนามว่าเป็นคนไร้เหตุผลในภายหลังหรอกนะ.................


                          ห้องของนัทดูรกรุงรังจนน่าตกใจ............ถ้าจะให้เรียกว่ารังหนูก็คงจะไม่กล่าวหนักจนเกินไปนัก.........ผมมองสำรวจดูรอบๆจนทั่ว...........กองหนังสือวางระเกะระกะ..........ที่นอนเหมือนไม่ใช่ที่นอน แต่เป็นที่เอาไว้สำหรับวางของมากกว่า..........เสื้อผ้าห้อยระเกะระกะดูไม่งามตาเอาเสียเลย............ผมเหลือบมองหาหลักฐานของการเก็บของที่เค้าชอบเอามาใช้เป็นข้ออ้าง..............พบว่ามีเพียงกล่องเล็กๆสองใบเท่านั้นที่บ่งบอกว่ามีการเก็บสิ่งของบรรจุลงไป.............นี่น่ะเหรอ ที่ว่าเก็บของ.........

                         เมื่อเทียบกับห้องของผมแล้วนับว่าต่างกันสุดขั้ว............แต่เค้าก็ยังพอใจที่จะขลุกอยู่ในนี้.........ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอยากจะมาเล่นเกมส์...........เอ๊ะ.......หรือว่าจะแอบมาแชทติ้ง..........ต่อมความหึงผมเริ่มทำงาน.............อย่างว่านั่นแหล่ะ ก็นี่มันห้องของเค้านี่ เค้าก็ย่อมต้องอยากจะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่บ้าง..........แต่ก็ไม่น่าที่จะหาข้ออ้างบ้าๆบอๆมาโกหกกันให้เสียความรู้สึกเปล่าๆ.........

                          ผมเดินไปนั่งที่เตียงมองดูข้าวของเกลื่อนกลาดอย่างเหนื่อยใจ............ถ้าเค้าเก็บจริงดังที่บอก คงเสร็จไปนานแล้ว............แต่ก็คงยากที่จะเริ่มต้น เพราะมันรกเหลือเกิน........ขนาดผมเองก็ยังนึกไม่ออกว่าจะเริ่มต้นเก็บอะไรก่อนหลังดี เพราะมันดูรกไปหมด......................

                         นัทหันไปนั่งเล่นเกมส์แก้เก้อ.............ถ้าหากมีคนรับผิดชอบแทนเค้าแล้ว เค้าก็จะโยนภาระทันที..........ไหนๆก็ได้เอ่ยปากว่าจะมาช่วยแล้ว ผมจึงกลั้นใจลุกขึ้น เริ่มต้นเก็บกวาดข้าวของลงกล่อง.......เริ่มจากกองหนังสือก่อนก็แล้วกัน...............



                        เราสองคนช่วยกันเก็บของเงียบๆ............จะมีคุยกันบ้างก็ต่อเมื่อนัทหันมาถามความคิดของผมเป็นบางครั้ง..............

                         “อันนี้จะเอาทิ้งไปดีมั้ย..........หรือจะเก็บเอาไว้ มันยังใช้ได้อยู่นะ”.............โอ...........พระเจ้า............ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า สิ่งที่เค้าลังเลใจว่าจะทิ้งหรือไม่ก็คือ นาฬิกาปลุกเก่าๆที่หน้าปัดหลุดออกจากตัวบอดี้ของมันแล้ว...............ผมชะงักมองด้วยความตะลึงตะลาน.............

                        “ทิ้งไปเถอะ............มันพังแล้วนี่”..............นัททำท่าลังเลสักพักจึงตัดใจทิ้งมันลงถุงขยะ........เค้าคงทำเพื่อเอาใจผมมากกว่า...........ไม่แน่ว่าถ้าเค้าอยู่คนเดียว..........ผมว่าเค้าคงเก็บมันลงกล่องไปอีกเหมือนกัน..............

                         “พี่กั้งเอาเสื้อตัวนี้ไปใส่สิ”............นัทเอ่ยปากยกเสื้อให้ผมหนึ่งตัว.........หึ...........แถมเงินให้ก็ไม่เอา...........เก่ายังกะขุดมาจากกองขยะ...........(หุหุ)..........ผมส่ายหน้าไม่รับสิ่งที่เค้ายกให้.......ทั้งขำทั้งโมโห.........เกือบลืมไปแน่ะว่ากำลังงอนอยู่นะ..........

                          “เอาทิ้งไปเหอะ............มันเก่าจะแย่อยู่แล้ว”...........ผมออกความเห็นปัดรำคาญ.............

                          “ไม่อ่ะ...........เก็บไว้บริจาคดีกว่า”...........นัทว่าพลางรวบรวมเสื้อผ้าเก่าๆพวกนั้นลงกล่อง.......เชอะ.........ขืนเอาไปบริจาค เค้าจะได้ด่าไล่หลังเอาน่ะสิ.............ทั้งเชยทั้งเก่าตั้งแต่สมัยไหนก็ไม่รู้ ยังจะเก็บเอาไว้อีก..........ถึงตอนนี้ผมจึงหวนนึกถึงคำพูดของมอลลี่ขึ้นมาในทันที..........

                          “นัทน่ะ.........ถ้าไม่ใส่จนขาดเค้าก็ไม่ทิ้งหรอก...........พ่อแม่เค้าสอนมาดีเนาะ”.........แต่ผมว่า จะมัธยัถส์ไปหน่อยม้างงง................

                           ผมเดินไปเก็บกวาดที่มุมห้องข้างตู้เสื้อผ้า ซึ่งเต็มไปด้วยบรรดาถุงพลาสติกที่นัทเก็บเอาไว้.........ผมค่อยๆหยิบขึ้นมาดู พบว่าส่วนมากเก่าจนยุ่ยไปแล้ว..........ไม่แปลกเลยที่นัทเค้ามีขวดดองตัวอย่างไปให้ผมเมื่อคราวที่เราไปน่านด้วยกัน...........เพราะเค้าชอบเก็บสะสมขยะไม่ทิ้งไปนี่เอง.........เฮ้อ...............


                           งานเก็บของดำเนินไปอย่างยากลำบาก ด้วยว่าผมไม่กล้าทิ้งโดยที่ไม่ถามความเห็นจากนัทเสียก่อน............จนเวลาล่วงเลยมาเกือบสามทุ่ม........สายฝนที่ถูกพัดพามากับลมร้อนก็เริ่มโปรยปรายลงมาเบาๆ..............ไม่อยากจะนึกสภาพเลยว่า ตอนนี้ตัวผมจะดูมอมแมมแค่ไหน................


                            หลังจากเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว เราสองคนนั่งมองกล่องเหล่านั้นด้วยความเหนื่อยอ่อน............ผมมองดูบรรดากล่องต่างๆด้วยความภูมิใจลึกๆ...........เห็นมะ...........ถ้าไม่มาคอยกำกับ จ้างให้ก็ไม่มีวันเสร็จ.............เมื่องานเสร็จ ความเงียบก็เข้ามาแทนที่........เราจ้องมองหน้ากันนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ผมจะได้สติขอตัวกลับก่อน

                            “พี่จะกลับแล้วนะ”............ผมว่าพลางเก็บข้าวของลุกขึ้นเตรียมตัวจะกลับ..........นัทฉวยข้อมือผมเอาไว้แล้วผลักผมให้กลับไปนั่งที่เตียงเหมือนเดิม

                            “จะรีบกลับไปทำไม”..........เค้าว่าพลางโน้มตัวลงมากดให้ผมนอนราบลงไปกับที่นอน.......ผมมัวแต่ตกตะลึงในการกระทำของเค้าจนลืมที่จะปัดป้องใดๆ............นี่เค้าจะทำอะไร........

                            นัทกดผมไว้บนที่นอน แล้วพยายามถอดเสื้อและกางเกงของผมออก.............สายฝนข้างนอกหน้าต่างเริ่มหนักเม็ดมากขึ้นเรื่อยๆ............ถึงตอนนี้ผมพอจะรู้แล้วว่าเค้าคิดจะทำอะไร..........

                           ผมใช้แรงหนึ่งในสี่ของที่มีอยู่ปัดป้องการกระทำของเค้า (หุหุ)..........มันคงไม่น่าจะเรียกว่าการข่มขืนหรอกกระมัง...........เพราะมันเป็นการสมยอมอยู่บ้าง............ในที่สุดเมื่อเค้าไม่ละความพยายาม...........ผมจึงยอมโอนอ่อนผ่อนตามแต่โดยดี......อยากจะทำอะไรก็เชิญ...........นี่เค้าจะไม่คิดถึงจิตใจกันบ้างหรืออย่างไร...........อยากจะทำอะไรก็จะทำ อยากจะรักก็จะรัก ถ้าอารมณ์ไหนไม่ใยดีก็ทำเป็นเฉยเมยไม่ใส่ใจ.............แบบนี้เค้าเรียกว่าคนรักกันหรือไง...........ผมไม่ใช่สิ่งของที่จะให้เค้าทำตามแต่ความต้องการของเค้าฝ่ายเดียว..........ผมก็เป็นคนคนหนึ่งเหมือนกันกับเค้า.......มีความรู้สึกนึกคิด..........เมื่อไหร่เค้าถึงจะรู้จักคิดเอาใจเขามาใส่ใจเราบ้าง..........ผมเหนื่อยกับคนอย่างเค้าเหลือเกิน............ผมเหนื่อยที่จะต้องมารักคนเห็นแก่ตัว.............

                             สายฝนยังคงพัดกระหน่ำที่นอกหน้าต่าง...............อารมณ์ปรารถนาของนัทยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่สิ้นสุด...........จวบจนฝนเม็ดสุดท้ายซาลงไป.........พร้อมกับลมหายใจที่รวยรินของเราสองคน..........



                         นัทลุกขึ้นเดินไปล้างเนื้อล้างตัว.............ปล่อยให้ผมนอนเปลือยเปล่าอยู่บนเตียงอย่างอ้างว้าง..........เค้าหายไปสักพักแล้วเดินกลับมาเปิดไฟที่หัวเตียง...............

                         “ร้องไห้ทำไม”............นัทดูมีท่าทีตกใจเมื่อพบว่าผมกำลังนอนร้องไห้อยู่เงียบๆโดยไม่มีเสียงเล็ดรอดออกมา.............

                          ผมไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะตอบคำถามใดๆนอกจากอยากจะร้องไห้..........นั่นสินะ............แล้วผมจะร้องไห้ทำไม............และผมก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นนางเอกที่โดนพระเอกรังแกเหมือนในละครทีวีหรอก...........แต่คงเป็นเพราะว่าผมเหนื่อยเหลือเกิน..........เหนื่อยกับการที่ต้องโมโหกับสิ่งที่เค้าทำ..........เหนื่อยกับการที่ไม่เข้าใจเค้า...........เหนื่อยกับการที่เค้าไม่เคยเข้าใจผม............และเหนื่อยกับการที่เราสองคนต้องมารักกัน...........ผมจะสู้ต่อไปยังไงไหว ถ้าเราสองคนยังเป็นแบบนี้............ผมสู้ต่อไปคนเดียวไม่ได้หรอก...........ผมอยากได้กำลังใจจากเค้าบ้าง..........ผมไม่ได้เข้มแข็งอย่างที่เค้าเห็นหรอกนะ..........บางครั้งผมก็อยากจบๆมันไปเสียที แต่มันไม่ง่ายอย่างที่คิดเลย........เพราะว่า.........ผมได้รักเค้าไปจนสุดหัวใจแล้ว............

                            นัทไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรเมื่อเห็นผมร้องไห้..............เขาจึงเดินไปเอาน้ำดื่มมาให้ผมหนึ่งแก้ว..............

                            “ดื่มน้ำมั้ย”..........เค้ายื่นแก้วน้ำให้ผมท่าทางเก้ๆกังๆ

                            “ไม่”........ผมตอบเสียงเครือ..........

                            เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรดีขึ้น...........เค้าจึงหันกลับไปนั่งเล่นเกมส์ต่อ ปล่อยให้ผมนอนร้องไห้คนเดียวจนพอใจ......................

                             จนเวลาผ่านไปจวบจนน้ำตาหยาดสุดท้ายแห้งเหือด...........ผมจึงลุกขึ้นมาแต่งตัวเงียบๆ........ได้ร้องไห้แล้วค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย............มันคงอัดอั้นมานานจนทะลักออกมาเอง..........สาบานได้เลยว่าผมไม่ได้คิดจะบีบน้ำตาเลยแม้แต่น้อย............แต่บางทีมันอาจจะอยู่ในสายเลือดไปแล้วก็ได้นะ.....อิอิ.........บางทีนัทก็ชอบว่าให้ผมว่า.......เจ้ามารยา........แต่ชีวิตคนเราไม่ใช่ละคร ใครจะมานั่งปั้นหน้ามารยาอยู่ได้.........หรือใครจะกล้าเรียกคนที่ร้องไห้ตอนพ่อแม่ตายว่ามารยาบ้าง...........ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ผมก็จะยืดอกรับแต่โดยดี.............

                            เมื่อเห็นว่าผมจะกลับแล้ว นัทจึงรีบปิดคอมแล้วเก็บข้าวของเดินตามออกมา............ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเค้าจะตามผมกลับไปที่ห้องด้วย...........หุหุ..........ไม่เสียแรงที่ลงทุนร้องไห้ (ล้อเล่นนนนน กิ้วๆ)...........




                       ที่ลานจอดรถยังคงเงียบสนิท...........มีเพียงแสงไฟจากรถเข็นขายผลไม้จอดอยู่ไม่ไกลกับลูกค้าอีกสองสามคน...........

                          “อยากกินแตงโม”.........ผมเปรยออกมาเบาๆ.............

                         ไวเท่าความคิด..........นัทรีบวิ่งตุ๊บๆไปที่รถขายผลไม้ แล้วกลับมาพร้อมถุงแตงโม..........ผมรับถุงแตงโมจากเค้า แล้วเบือนหน้าแอบไปยิ้มเพียงคนเดียวด้วยควมพอใจ..............ต้องให้ได้อย่างนี้สิ............อิอิ...............
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 22-10-2007 09:08:09
แหงะ...เพิ่งได้เข้ามา   :try2:

เฮ้อ  คิดถึงนะ แต่ไม่แสดงออก อิอิ    :m23:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 22-10-2007 09:32:30
ถึงว่าสิ...........หายไปนานเลย............กลับมาก็ดีแล้วแระ :m13:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 22-10-2007 12:47:23
 :เฮ้อ: แล้วจะเลิกกันได้มั๊ยเนี่ย  :a6:   :a6:  :a6:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 22-10-2007 13:07:39
ตัดบัวอย่าให้เหลือใย...... คุณกั้งนี่เหลือเป็นใยแมงมุมเลยเนี่ย   o16

ไหนๆ ก็รักแระ  เอาเลยมารยาพันเล่มเกวียน ขุดมันออกมา อิอิ :m18:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 22-10-2007 13:28:43
นัทคงเป็นพวกปากแข็ง
ต้องเข้าใจกันหน่อยหล่ะนะ
 :m18:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 22-10-2007 16:13:14

กำเวลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลส์
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 22-10-2007 16:55:34
สรุปแล้ว จะเลิกหรือจะอยู่ต่อดีล่ะ...............สงสัยจะยังเจ็บไม่พอมั้ง...........อิอิ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blach ที่ 22-10-2007 16:57:48

วัยรุ่นเซ็ง .... o12
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 26-10-2007 09:25:06
หายไปตั้งนาน...........กลับมาแล้วยังจะมาทำเซ็งอีก..........หุหุ :m12:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 26-10-2007 09:28:32
                         “แม่ให้พี่โทรมาถามว่าแกจะกลับบ้านวันไหน”............เฮ้อ..........คำถามเดิมอีกแล้วง่ะ..........ไม่รู้จะคาดคั้นกันไปถึงไหน................ทั้งแม่ทั้งพี่..................เซ็ง...........

                          คุณอย่าเพิ่งมองว่าผมเป็นคนแข็งกระด้างไปล่ะ............บางทีความรักที่ได้รับมากจนล้นเกิน ก็กลับกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีความสลักสำคัญเท่าไหร่ ทั้งๆที่บางคนโหยหามันจนแทบจะขาดใจ..................จะเรียกว่าผมเป็นคนโชคดีก็คงจะไม่ผิด ที่ได้เกิดมาในครอบครัวที่ทั้งรักและมะรุมมะตุ้มจนโอเว่อร์ซะขนาดนี้...........จนบางทีก็อดรู้สึกอึดอัดอยู่หน่อยๆ...........โดยเฉพาะการคาดคั้นให้ผมกลับบ้านในช่วงเวลาที่กำลังอินเลิฟแบบนี้.................

                         ตั้งแต่กลับจากต่างประเทศ จนกระทั่งมาคบกับนัท นับเวลาก็ร่วมหกเดือนพอดีที่ผมไม่ได้กลับบ้านเลย...............นี่ก็จะใกล้สงกรานต์แล้ว อีกไม่ถึงเดือนผมกับนัทก็ต้องแยกไปคนละที่คนละทาง..........ผมอยากใช้เวลาที่เหลือกับเค้าให้คุ้มค่าทุกนาที............โดยเฉพาะระยะหลังความสัมพันธ์ของเราสองคนกำลังสั่นคลอน เนื่องจากเพิ่งจะผ่านวิกฤตการมีปากเสียงและบอกเลิกกันมาหมาดๆ..............ผมควรจะต้องใช้เวลาในการประสานรอยร้าวและฝังรากแห่งความผูกพันให้แน่นหนามั่นคงมากกว่านี้...........ก่อนที่จะปล่อยเค้าโผบินไปจากอก...................ถึงตอนนั้นผมจะไม่มีโอกาสแก้ไขอะไรได้อีกเลย นอกจากนั่งรอผลบุญเก่าที่ได้ทำเอาไว้เท่านั้น..................

                          แม้คนรักจะสำคัญต่อผมมากสักเพียงใด แต่แม่และครอบครัวก็สำคัญเหนือกว่าอย่างเทียบกันไม่ได้..........ดังนั้นแผนการเดินทางกลับบ้านของผมจึงถูกวางเอาไว้ในใจอย่างเงียบๆ...........รอให้สบโอกาสเมื่อไหร่ค่อยบอกนัทก็แล้วกัน............บอกเองก็ใจหายเอง.............นี่ผมท่าจะเป็นเอามาก.....ทั้งรักทั้งหลงเค้าจนโงหัวแทบไม่ขึ้น............กรรมอะไรกันน้ออออ.........   

                           หลังจากสะสางตารางเวลางานได้ลงตัวแล้ว............ผมจึงนัดแนะกับเพื่อนอีกสองคนรวมทั้งน้องพรเพื่อขับรถกลับบ้านด้วยกัน..............เชียงใหม่กับอุบลไม่ใกล้เลย ถ้าขับรถทั้งวันก็ร่วมๆสิบหกชั่วโมงเป็นอย่างน้อย.............แม้จะไม่ได้ช่วยขับแต่นั่งไปเป็นเพื่อนกันก็ยังดีล่ะ.................

                            “พี่กั้งจะกลับมาวันไหน”............นัทถามถึงแผนการของผมระหว่างที่เรากำลังนั่งรถกลับจากการทานข้าวเย็นด้วยกัน...............

                           “ก็คงก่อนสงกรานต์น่ะ”..........ผมตอบพลางเหม่อมองออกไปนอกรถ...........ถูกปล่อยเอาไว้คนเดียวคงกระดี๊กระด๊าน่าดู............เห็นทีจะไม่ได้การ..........ต้องปรามเอาไว้แต่เนิ่นๆ.............

                           “อยู่ที่นี่ก็ทำตัวดีๆล่ะ.....”.............นัทหันขวับ จ้องที่ผมเป๋งอย่างคนถือดี................
“แอบไปหากิ๊กเก่าดีกว่า”...........เค้าอมยิ้มพูดจายั่วยวนกระตุ้นต่อมโมโหได้ผลชะงัดนัก............ซึ่งก็แปลกดีเหมือนกัน โดยปกติผมจัดเป็นคนที่มีความยืดหยุ่นและประนีประนอมสูงกว่าคนปกติค่อนข้างมาก.........แต่กับแฟน หากมีเรื่องให้ต้องขัดใจเล็กๆน้อยๆ...............ผมเป็นอันต้องปรี๊ดแตกทุกทีสิน่า.............

                            “ก็ตามใจสิ...........อยากทำไรก็เชิญ..........คนเราถ้าลองสมสู่ไม่เลือก ก็คงไม่ต่างอะไรกันกับสัตว์หรอก”............ผมชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าของนัทแดงซ่านด้วยความโกรธ...............รู้สึกผิดขึ้นมาตะหงิดๆกับสิ่งที่เพิ่งพูดออกไปเมื่อครู่................ถึงแม้ผมจะคิดแบบนั้นจริงๆแต่ก็ไม่ควรพูดเช่นนั้น..........เสียใจตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว................

                           “บอกตัวเองเหอะ”.............นัทสะบัดเสียงด้วยความน้อยใจก่อนจะหันมองออกไปนอกหน้าต่าง...........เฮ้อ..........ปากหนอปาก...........แต่มาคิดดูอีกที ก็ดีเหมือนกัน...............ผมเองก็อยากจะรู้ว่าเค้าจะทำได้จริงอย่างที่พูดหรือเปล่า............แม้ที่ผ่านมานัทจะไม่เคยก่อปัญหาเจ้าชู้ให้ผมต้องระคายใจเลยก็ตาม.............แต่ใครจะรู้ว่าอีกหน่อยเค้าจะไม่ทำ..............รู้ก็รู้กันอยู่ว่าเกย์น่ะขึ้นชื่อเรื่องความเจ้าชู้ยิ่งกว่าเพศใดๆในโลก...................



                           และแล้ววันเดินทางไกลก็มาถึงในที่สุด..................เราเดินทางออกจากเชียงใหม่ตั้งแต่เช้าตรู่...............คนที่รับหน้าที่คุยเป็นเพื่อนผมระหว่างทางก็คือน้องพร............เราคุยกันถึงเรื่องสัพเพเหระต่างๆนานา จนในที่สุดก็วกมาที่เรื่องรักๆใคร่ๆซึ่งคุยได้ไม่รู้จักเบื่อ..............โชคร้ายเดินทางมาถึงน้องพรเร็วกว่าผม...............ในที่สุดคนรักของหล่อนก็ตีจากไปพร้อมกับการเดินทางไปทำแลปที่ต่างประเทศ..............ก่อนหน้าที่เค้าจะเดินทาง น้องพรได้ผ่านความพยายามมาหลายครั้งหลายคราที่จะประสานความสัมพันธ์เอาไว้.........แต่ในที่สุดหล่อนก็ต้องยอมรับความจริงว่าทุกอย่างมันจบลงแล้ว...........โดยที่ไม่มีแม้คำอธิบายใดๆออกจากปากของอีกฝ่ายเลย...............

                          “ก็เป็นแบบนี้แหล่ะพี่กั้ง..........สุดท้ายมันก็ลงเอยแบบเดียวกัน..........ตอนรักกันก็ดีไปหมดทุกอย่าง..........แต่พอจะเลิกกัน เราทำอะไรก็ไม่เคยได้ดั่งใจเค้าหรอก”.............หล่อนเอ่ยถึงคนรักเก่าอย่างระทดระท้อ.........ผมแอบลอบถอนหายใจเบาๆเมื่อได้ฟัง............แล้วผมล่ะ.........จะต้องลงเอยแบบเดียวกันกับหล่อนงั้นเหรอ...........

                           “นัทเองก็เถอะ............สุดท้ายเค้าก็จะจากพี่กั้งไปอยู่ดี...........เค้าจะไม่เป็นฝ่ายบอกเลิกพี่กั้งหรอก..........แต่เค้าจะไม่ใส่ใจพี่กั้ง.........จากนั้นมันก็จะขึ้นอยู่กับว่าพี่กั้งเอง ว่าจะทนเค้าได้แค่ไหน.........ถ้าทนไม่ได้พี่กั้งก็จะบอกเลิกเค้าเอง”............โหย........นี่หล่อนกำลังแช่งผมเหรอเนี่ย.........ไม่อยากจะเชื่อว่าความผิดหวังจะทำให้หล่อนพาลมองว่าใครๆก็ไม่มีทางสมหวังเช่นเดียวกัน.........ทิฐิมานะในใจผมเริ่มสำแดงเดช............ไม่มีทาง........นัทไม่มีวันทำแบบนั้น..........รักสองคนเรากัน.........ความรักของเรามันลึกซึ้งกว่าคู่ของเธอมากนัก..........เค้าไม่มีวันทอดทิ้งผมหรอก........เรามันคนละคนกันน้องพรเอ๋ย...........ผมดีแสนดีและก็เพียบพร้อมขนาดนี้เค้าจะทิ้งไปไหนได้............แต่ทะว่า ลึกๆในใจผมนั้น มันกลับอ่อนเรี่ยวแรงและพร้อมที่จะยอมรับสภาพว่า เราเองก็ไม่แคล้วลงเอยแบบเดียวกันอย่างแน่นอน.....


                           ผมกลับมาถึงบ้านค่อนข้างดึกด้วยความอ่อนล้า..............หลังจากทักทายกับแม่และพี่ๆรวมทั้งหลานๆที่มารอคอยหน้าสลอน ผมก็ขอตัวไปอาบน้ำเพื่อพักผ่อน..........มีอะไรก็ค่อยไว้คุยกันพรุ่งนี้ก็แล้วกัน.........

                           “น้ากั้งเล่านิทานให้ฟังหน่อย”.......หลานสาวและหลานชายวัยซนเข้ามารุมล้อมอ้อนวอนไม่ยอมให้ผมนอนพักผ่อนดังที่คาด..........เฮ้อ.........นิทานก็มีแต่เรื่องผีๆสางๆเหมือนเดิม.........ผมเล่าให้ฟังจนปรุ แต่ก็ยังอยากจะฟังกันอีก............แม้จะเหนื่อยแต่ผมก็จำใจต้องต้อนหลานๆเข้านอนด้วยนิทานสยองขวัญอันคุ้นเคย.........เป็นอันว่าคืนนี้เตียงนอนของผมก็เบียดเสียดไปด้วยหลานตัวน้อยๆอีกสามคนเช่นเคย..........


                           “แม่.........นี่ไงแฟนผมที่เคยเล่าให้แม่ฟัง”........ผมควักรูปนัทจากกระเป๋าตังค์ออกมาอวดแม่และพี่สาวในวันรุ่งขึ้น............ผมเคยเปรยๆให้แม่ฟังทางโทรศัพท์มาบ้างแล้วว่าตอนนี้กำลังคบหากับนัทอยู่..........และผมเองก็จริงจังในความสัมพันธ์มากพอดู.........ถึงแม้ว่าฝ่ายนั้นจะไม่ค่อยร่วมมือเท่าไหร่ก็ตาม (อันนี้ไม่ได้เล่านะ หุหุ)

                           แม่ผมรับรูปของนัทไปดูแล้วส่งต่อให้บรรดาพี่สาวทั้งสามวนเวียนกันจนทั่ว............เกย์บางคนมีปมในการเป็นเกย์แตกต่างกันออกไป...........เท่าที่ผมสังเกตมาพบว่า เกิดจากสาเหตุสำคัญสองประเด็นหลักคือ..........หนึ่ง มีปมจากพ่อที่ห่างเหิน ดุ หรือไม่ก็เข้มงวด............และอีกปัจจัยหนึ่งคือถูกเลี้ยงมาด้วยสิ่งแวดล้อมที่เป็นผู้หญิงล้วนๆ หรือบางคนอาจจะมาจากทั้งสองปัจจัยรวมกันก็ได้............ส่วนใครจะมองว่าเป็นเรื่องของพันธุกรรม อันนั้นคงต้องรอผลการวิจัยในเชิงลึกต่อไป ตราบเท่าที่เกย์ยังมีให้ค้นคว้าอยู่ในโลกเบี้ยวๆใบนี้................แต่สำหรับผมเพียงแค่สังเกตุจากวงล้อมในการสนทนาของครอบครัวเราในตอนนี้ก็คงจะพอเดาออกว่ามาจากสาเหตุอะไร.............อ้อ..........อย่าเพิ่งคิดว่าที่ผมไม่กล่าวถึงพ่อเพราะมีปมกับพ่อล่ะ......ที่ไม่ได้พูดถึงก็เพราะว่าท่านเสียชีวิตไปนานตั้งแต่ผมเรียนปริญญาตรีแล้วต่างหาก..........

                          “ไม่เห็นจะหล่อเลย”.........พี่สาวผมยื่นรูปกลับคืนมาให้...........ผมยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ........จะติยังไงก็ช่าง เพราะผมชอบของผมแบบนี้...........

                           “ถ้าเค้ารักแกจริงๆก็ดี...........แต่แกอย่าริอ่านไปนอนกับเค้าเชียวล่ะ”.........อิอิ.............อยากจะบ้า..........นี่แม่คิดว่าผมเป็นลูกสาวหรือไง............หัวโบราณไม่เข้าเรื่อง.............

                           “แม่........นี่ลูกจะสามสิบแล้วนะ..........โตจนเรียนจะจบดอกเตอร์อยู่แล้ว แม่ยังจะมาบอกเหมือนลูกเป็นเด็กๆวัยรุ่น”.........ผมบ่นอุบด้วยความขบขัน............

                         “เค้าเป็นคนดีนะ.........แล้วเค้าก็เรียนหมอด้วย”..........ผมอวดแม่และพี่สาวด้วยความภาคภูมิ............ทั้งที่อีกใจนั้นคอยห้ามให้รีบปิดปากเสีย เพราะหากเอาคนที่ไม่แน่ใจมาพูดกับที่บ้าน เกิดต้องเลิกกันผมก็คงเสียเครดิตกับที่บ้านไม่เหลือ ทีนี้ล่ะ พวกเค้าก็จะมองว่าเป็นเกย์ไม่เห็นจะดีเลย เพราะยังไงก็ไม่มีทางสมหวังในความรักหรอก..........แล้วนัทนี่ จะเรียกว่าแน่นอนจนต้องเอามาอวดได้แล้วเหรอ........เฮ้ออออออออออออ..........


                           ฟังดูแล้วอาจจะเหมือนกับว่าที่บ้านผมเปิดใจยอมรับความเป็นเกย์ของผมเต็มที่แล้ว............แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ผมเองก็ต้องผ่านการพิสูจน์ตัวเองมาพอสมควร...........ผมยังจำได้ดีเมื่อครั้งที่ผมพยายามฝืนใจคบกับผู้หญิงคนหนึ่งในสมัยเรียนปริญญาโท............ตอนนั้นที่บ้านผมดีใจจนออกนอกหน้า เที่ยวคุยบอกญาติๆกันทั่ว..........ในที่สุดความรักของผมก็ไปไม่รอด............ซึ่งตอนนั้นเองผมจึงได้ตกผลึกทางความคิดว่า ต่อไปนี้ผมจะไม่ข้องแวะกับผู้หญิงให้เค้าต้องมาพลอยรับกรรมเพราะผมอีกต่อไป..........หากไม่เจอผู้ชายที่ดีพอ ผมก็จะอยู่เป็นโสดตลอดไป..........ไม่มีทางหลอกให้ใครมาแต่งงานเพื่อตัวเองเด็ดขาด............และช่วงนั้นเองที่ผมเปิดใจสารภาพความจริงกับแม่..............


                           แม้ว่าแม่จะรู้จักลูกที่ตัวเองเลี้ยงมากับมือดีมากแค่ไหน..............แต่หัวอกคนเป็นแม่ก็ยังไม่อยากจะยอมรับความจริงว่าลูกของตนเป็นเกย์.................ครั้งแรกที่ได้ยิน แม่ร้องไห้เมื่อผมสารภาพจนหมดเปลือก.........ผมรู้สึกทั้งเสียใจและโล่งใจในเวลาเดียวกัน............แต่แม่จะต้องยอมรับตัวผมอย่างที่ผมเป็นให้ได้...........ผมไม่อยากให้เราตายจากกันไปโดยที่แม่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า แท้จริงแล้วลูกเป็นใคร คิดและรู้สึกอย่างไร............เราสองคนแม่ลูกทำความเข้าใจกันอยู่ครู่ใหญ่ จนในที่สุดแม่ก็ยอมรับโดยดุสดี...........

                           “ผมไม่เคยทำตัวไม่ดี...........ไม่เคยมั่วผู้ชายให้แม่ต้องอับอายชาวบ้าน...........ผมตั้งใจเรียนและเป็นลูกที่ดีของแม่มาตลอด..........ผมมีอะไรที่ทำให้แม่ไม่ภูมิใจบ้าง”................ผมพยายามชี้ให้แม่เห็นว่าผมก็เป็นลูกที่ดีไม่ต่างจากลูกเพศธรรมดาทั่วไป.............

                           “แต่มันผิดธรรมชาตินะลูก แม่ไม่อยากได้ยินชาวบ้านเค้านินทา แม่อายเค้า”............แม่ยังไม่วายเป็นห่วงหน้าตาในสังคม.............จนผมรู้สึกขัดใจ............

                          “แม่จะไปสนใจคนพวกนั้นทำไม............เค้าไม่เคยมาหวังดีอะไรกับเรา นอกจากคอยนินทาและซ้ำเติม...........ผมไม่ได้ทำตัวเสื่อมเสียอะไร...........เป็นเกย์ก็เกิดจากธรรมชาติสร้างมาเหมือนกัน..............การที่มีอยู่น้อยไม่ได้หมายความว่าผิดธรรมชาตินี่”..........ระบบนิเวศนี้อยู่ได้ด้วยความหลากหลายและแตกต่างของสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติ...........แล้วคุณจะกำจัดสิ่งมีชีวิตกลุ่มน้อยทิ้งไปโดยให้เหตุผลว่าพวกมันผิดธรรมชาติหรือเปล่า.........แทนที่จะยอมรับในความแตกต่างและอยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจ..........ระบบนิเวศและสังคมจึงจะเกิดเป็นความสมดุล............เราจะเรียกสิ่งที่มีมากกว่าว่าเป็นธรรมชาติหรือไม่..............การที่มีเซ็กส์แล้วมีลูกคือธรรมชาติหรือ..........แล้วคู่สามีภรรยาที่ไม่มีลูกล่ะผิดธรรมชาติหรือเปล่า...............หากการเป็นเกย์เกิดจากผลทางด้านพันธุกรรมด้วยส่วนหนึ่ง..............มันก็ต้องเป็นธรรมชาติเช่นกัน..............แต่ป่วยการที่จะไปอธิบายกับแม่ที่ไม่รู้เรื่อง DNA เอาซะเลย..............


                           หลังจากพี่ผ่านการพยายามพิสูจน์ให้แม่และพี่สาวเห็นว่าการเป็นเกย์ไม่ได้ทำให้ผมเลวลงไปกว่าคนธรรมดาแต่อย่างใด..............ในทางตรงกันข้าม............ผมยังสามารถนำความภาคภูมิใจมาสู่ครอบครัวด้วยการตั้งใจเรียนจนได้ผลสำเร็จยอดเยี่ยม และครองตัวในกรอบอันดีมาโดยตลอด...........ในที่สุดพวกเค้าก็ค่อยๆเปิดประตูที่ขวางกั้นระหว่างความคิดที่ต่างกันของเราให้กว้างมากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นความเข้าใจและยอมรับซึ่งกันและกันในที่สุด............และผมก็สัญญากับตัวเองว่า ผมจะไม่มีวันทำตัวมากรักมั่วโลกีย์ให้ครอบครัวต้องได้อับอาย.............หากผมจะมีความรัก.............ผมก็จะมีความรักในครรลองของความถูกต้องดีงาม........มันต้องมีสิ เกย์ดีๆที่อยากจะรักใครจริงๆจังๆในแบบเกย์..........

                         “บางทีถ้าแกไม่เป็นเกย์...........แกอาจจะไม่ตั้งใจเรียนมาจนสูงอย่างทุกวันนี้ก็ได้”...........แม่เคยเปรยให้ผมฟังด้วยน้ำเสียงแห่งความภูมิใจ............ผมแอบยิ้มด้วยความปลื้มปิติ..........ถึงตอนนี้ผมได้พิสูจน์ให้แม่ได้เห็นแล้วว่า...........ผมก็ดีไม่แพ้ลูกเพศธรรมดาคนอื่นๆของแม่เลย...........
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 26-10-2007 12:02:46


เปรี้ยวนะเคอะคุณพี่  อิอิ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 26-10-2007 13:59:31
เปรี้ยวตรงไหน...................งง.........หุหุ  :m28:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 26-10-2007 15:12:31
เม้นต์ไม่ออก  เอาเป็นว่า  หวานนะคะคุณพี่ 5555 (เห็นเจ้บอกเปรี้ยว เง้อ)
 :m23:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 26-10-2007 18:21:48
ยื้อก็เหมือนเราจะยิ่งเหนื่อย  :m13:  :m13:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 28-10-2007 11:39:36
เลือกเกิดไม่ได้
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 28-10-2007 22:04:26
จะเศร้าทำไม.......นายไม่เหมาะที่จะทำหน้าเศร้าหรอก........ :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 28-10-2007 22:49:22
เม้นต์ไม่ออก  เอาเป็นว่า  หวานนะคะคุณพี่ 5555 (เห็นเจ้บอกเปรี้ยว เง้อ)
 :m23:


อะไรกันเคอะ

บ้าๆๆๆๆ  มู่นะ คนผีทะเล

ปล.  พี่กั้งรู้จักตามเฒ่าเรย์ด้วยหรอ?  สงสัย  อิอิ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 29-10-2007 01:57:17
อ้าว.........แล้วไม่ใช่รูปเค้าเหรอนั่น..........หล่อยังกะดาราเกาหลีแน่ะ.........อุอุ :m13:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 29-10-2007 03:10:54
ตอนนี้ผมอยู่เชียงใหม่นะครับ.........จะตีสามแล้วแต่นอนไม่หลับอ่ะ เลยลุกมาเขียนให้อ่านกันต่อ แก้คิดถึงไปพลางๆนะจ้ะ............


                         กำหนดเดินกลับเชียงใหม่ใกล้เข้ามาถึงทุกที..............ป่านนี้นัทคงแพคของที่เหลือเรียบร้อยไปแล้วกระมัง.............แย่จังที่น้องพรและเพื่อนๆคนอื่นๆไม่มีใครยอมกลับเชียงใหม่พร้อมกับผมเลยสักคน..........ก็แหม..........ใครๆก็รู้ว่าวันสงกรานต์มันวันครอบครัวชัดๆ................แต่ลูกไม่รักดีอย่างผมกลับพยายามตะเกียกตะกายกลับไปเชียงใหม่เพื่อสั่งลาสุดที่รักเป็นครั้งสุดท้าย................เคราะห์กรรมจึงตกมาอยู่ที่พี่สาวและพี่เขย รวมทั้งหลานชายตัวน้อยที่น่าสงสาร............พวกเขาจำเป็นต้องกำหนดแผนการเดินทางไปเชียงใหม่กระทันเพื่อเป็นเพื่อนร่วมเดินทางไปกับผมในครั้งนี้............แต่ก็ยังไม่น่าเกลียดจนเกินไปนัก อีตรงพี่เขยผมมีบ้านเกิดอยู่ที่ลำพูน.............ไม่อย่างนั้นผมคงจะรู้สึกแย่มากกว่านี้อย่างไม่ต้องสงสัย................


                         “แกจะรีบกลับไปทำไมนักหนา อยู่กับแม่ก่อนไม่ได้เหรอลูก”............แม่อดไม่ได้ที่จะบ่นกระปอดกระแปด เพราะนานๆทีจะได้เห็นหน้าค่าตาลูกอกตัญญูอย่างผมสักหน.............

                         “ก็ไอ้เดียวน่ะสิ..........มันจะขึ้นมาเที่ยวสงกรานต์เชียงใหม่น่ะแม่..........ผมก็เลยต้องขึ้นไปรอมันที่โน่น”............ไอ้เรื่องหาข้อแก้ตัวได้แนบเนียนไม่มีใครเกินผมหรอก...........แต่เดียวมันก็จะมาจริงๆนะไม่ได้โกหก.............ถึงกระนั้นลำพังแค่เพื่อนอยากมาเที่ยวสงกรานต์แค่นี้ ผมก็คงไม่อุตสาหะถ่อสังขารกลับขึ้นไปให้เมื่อยตุ้มหรอก หากแต่ผมต้องไปเพราะเสียงหัวใจมันเรียกร้องมากกว่า..................



                           “พี่กั้งเอารถพี่สาวมาขนของไปส่งนัทที่แพร่ได้ป่าว”..........นัทปรารภระหว่างที่เรากำลังคุยโทรศัพท์กันในคืนก่อนที่ผมจะเดินทางกลับ เมื่อทราบว่าพี่สาวผมจะขับรถกระบะขึ้นไปด้วย.........

                           “ได้สิ..........เดี๋ยวพี่จะเอารถไปเปลี่ยนกับรถพี่สาวที่ลำพูน.........แล้วเราก็ค่อยขนของไปแพร่กัน”........รถกระบะคงสามารถบรรทุกของได้มากกว่ารถเก๋งของผม.............แต่ผมไม่ได้บอกนัทว่า.............บ้านพี่เขยผมนั้นอยู่ลึกเข้าไปในอุทยานแห่งชาติดอยขุนตาลอักโขอยู่...............เส้นทางที่ผมจะขับเอารถไปเปลี่ยนนั้นไม่ง่ายเลย...................แต่ผมจะทำเพื่อเค้า..............บางทีผมอาจจะบอกพี่สาวว่าขอยืมรถกระบะของเธอไปขับสาดน้ำสงกรานต์สักวันสองวัน.............แต่ถ้าไม่เป็นไปตามแผนที่วางเอาไว้จริงๆ  ผมก็แค่เอารถเก๋งของผมขนสักสองสามเที่ยวคงไม่เป็นไรมั้ง.............ทะยอยขนสัปดาห์ละหนก็น่าจะได้.............ถึงไงก็ไม่ใช่เรื่องที่จะบอกนัทหรอกว่าผมต้องยุ่งยากเพื่อเค้าแค่ไหน.........เรื่องแค่นี้ผมจัดการเองได้............แม้จะหนักใจอยู่หน่อยหนึ่งเมื่อนึกถึงความลำบากที่จะตามมาอีกพะเรอ...........

   
                          ในเช้าวันเดินทางกลับ.........พวกเราสี่คนแยกกันนั่งรถไปสองทีม........พี่เขยขับรถไปกับหลานชาย..........ส่วนผมขับมากับพี่สาว.....................ผมยังไม่ได้เล่าความจริงให้พี่สาวฟังว่าทำไมจึงต้องการมาขอยืมรถช่วงสงกรานต์..........หาไม่ เธอจะมองว่าผมบ้าผู้ชายมากจนถึงขั้นต้องลงทุนขับรถจากเชียงใหม่มาเปลี่ยนกับรถของเธอที่ดอยขุนตาล............ผมจึงเพียงแต่บอกว่า บางทีอาจจะขอมายืมรถไปใช้ตอนสงกรานต์เท่านั้น..........บางทีเท่านั้นหรอกน่า.........จริงๆแล้ว ในใจผมอยากบอกนัทว่า เอารถเก๋งของพี่ขนไปเถอะ หลายรอบก็ไม่เป็นไรหรอก...........แต่ผมไม่อยากทำให้เค้าต้องยุ่งยากใจเพราะรู้ว่าคนขนของก็อยากจะขนทีเดียวให้เสร็จ.............เอาเถอะ รอให้จวนวันจริงๆก่อน............หากมีอะไรเปลี่ยนแปลงค่อยหารือกันใหม่ก็แล้วกัน.................


                          หลังจากพักรับประทานอาหารมื้อเที่ยง...........ผมก็แยกกับพี่สาว พี่เขยและหลานชายที่พิษณุโลก..............ถึงตอนนี้ผมต้องขับรถต่อไปคนเดียวตามลำพังเป็นระยะเวลาห้าชั่วโมงจนกว่าจะถึงเชียงใหม่................จากการที่ต้องตื่นนอนแต่เช้า ผนวกกับการขับรถติดต่อกันมาทั้งวัน............ส่งผลให้ร่างกายของผมเริ่มอ่อนล้าเมื่อตะวันย่างเข้าคล้อยบ่าย............ผมพยามปลุกเร้าตัวเองด้วยการร้องเพลงก็แล้ว เคี้ยวหมากฝรั่งก็แล้ว............หรือแม้กระทั่งจอดรถดูดบุหรี่สักมวนสองมวนก็แล้ว.........แต่มันก็ไม่ทำให้ผมรู้สึกสดชื่นขึ้นมาได้เลย...............ในใจของผมหวนระลึกถึงนัทขึ้นมาตะหงิดๆ..........นี่ถ้าหากพี่มีอันต้องขับรถพลัดตกเขาไป..............แล้วนัทจะทำยังไงนะ.........นัทจะร้องไห้ให้พี่สักนิดหรือเปล่า..............หรือว่านัทอาจจะดีใจที่จะได้เป็นอิสระจากพันธนาการที่คอยตอกย้ำถึงความรับผิดชอบที่ควรมีต่อพี่นะ............เฮ้ยยยยยยย......เลิกคิดได้แล้ว............ผมสะบัดหัวเพื่อเรียกสติและพละกำลังกลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง............ดูเอาเถิดคนเรา คิดเข้ารกเข้าพงไปกันใหญ่แล้ว..............จินตนาการสุดยอดดดดจริงๆ........


                         เหมือนจะมีอะไรบางอย่างสื่อถึงกันได้ระหว่างเราสองคน..............ในขณะที่ผมกำลังท้อถอยและหมดเรี่ยวแรงที่จะขับรถต่อไป นัทก็โทรศัพท์เข้ามาพอดี..................

                         “พี่กั้งถึงไหนแล้ว”...........แค่ได้ยินเสียงก็มีกำลังใจขึ้นมาเป็นกอง.............

                         “ตอนนี้จะเข้าลำปางแล้ว เก็บของเสร็จยังล่ะ”..............ผมเรียกกำลังใจคืนมาอีกครั้ง  พยายามตั้งสติให้จดจ่ออยู่กับโค้งอันแสนจะวกวนข้างหน้า...........

                          “เสร็จแล้ว..........พี่กั้งจะมาถึงเชียงใหม่กี่โมง”.............ผมเหลือบมองนาฬิกาพลางคิดคำนวณในใจคร่าวๆ..........

                           “คงสักหกโมงเย็น............พี่ว่าจะแวะกลับเข้าห้องเลย พี่เหนื่อยอยากพัก........เอาไว้ค่อยเจอกันพรุ่งนี้นะ”.............ผมรู้สึกล้าและอยากอาบน้ำนอนเต็มที................

                           “ไม่เอาอ่ะ............มาหานัทหน่อย คนอุตส่าห์รอ หิวข้าวด้วย”............นัทบ่นน้ำเสียงไม่พอใจ...........สงสัยจะอุดอู้อยู่แต่ในห้องมาหลายวันแล้ว คงจะเบื่อเต็มที................

                           “อืม.............ถ้างั้นก็รอที่นั่นล่ะ...........พี่จะรีบไปหาก็แล้วกัน”.............ได้คร้าบบบบ คุณชาย........ตามบัญชาเลยครับผม............เฮ้อ...........อยากเจอนะ..........แต่เหนื่อยอ่ะ.............แต่ก็ไม่อยากจะขัดใจเลยอ่ะ.............
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 29-10-2007 18:49:20
 :เฮ้อ: ยิ่งรักยิ่งเหนื่อย  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 29-10-2007 22:30:51
มีเวลาให้กันบ้าง ไม่มากไปไม่น้อยไป
 :m27:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 05-11-2007 09:22:12
                          “หา..............แกว่าอะไรนะ.............นี่ฉันอุตส่าห์ขึ้นมาหาแกถึงเชียงใหม่นะ........แต่แกกลับมาบอกว่าจะให้ฉันไปนอนกับคนอื่นก่อนยังงั้นเหรอ”................เดียวร้องอย่างเดือดดาลเมื่อหล่อนรู้ว่ากำลังจะโดนผมเขี่ยออกไปจากวิมานฉิมพลีสักระยะ.............มันก็สมควรอยู่หรอกที่หล่อนจะโกรธ............แต่ก็แค่แป๊บเดียวเองนี่นา..........ไม่ใช่ตลอดทริปนี้ซะหน่อย.............อีกไม่กี่วันนัทก็จะไปจากเชียงใหม่แล้ว หล่อนควรจะเห็นใจคนที่กำลังจะจากกันบ้างสิ..............


                        “เอาน่า.........แกใจเย็นๆก่อนได้ป่ะ..............อีกแค่วันสองวันนัทก็จะไปจากเชียงใหม่แล้ว ถึงตอนนั้นแกก็ค่อยย้ายมานอนที่ห้องฉันก็ได้...........ระหว่างนี้แกก็พักอยู่กับเพื่อนฉันไปก่อน พอถึงวันสงกรานต์แล้วฉันจะพาแก ออกตระเวนเที่ยวให้ทั่วเลยดีมั้ย”.............ผมพยายามหว่านล้อมให้หล่อนคล้อยตาม.............ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมถนัดอยู่แล้ว...............


                         เดียวเริ่มมีท่าทีอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อได้ยินคำว่าตระเวนเที่ยว...................ดวงตาของหล่อนดูเปล่งประกายขึ้นมาในทันที.............ตอนนี้คำว่าเที่ยวคงกำลังก้องอยู่ในหูของหล่อนพร้อมกับภาพจินตนาการอันสวยหรูอย่างไม่ต้องสงสัย...........ผมอมยิ้มน้อยๆพลางจ้องมองดูหล่อนอย่างผู้มีชัย......


                         หลังจากส่งเดียวเข้าที่พักพร้อมกับฝากฝังให้เพื่อนดูแลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมจึงแวะซื้อของกินติดไม้ติดมือกลับห้องด้วย...........ป่านนี้นัทคงกำลังนอนหลับอุตุอยู่แน่ๆ............หากผมไปถึงห้องแล้วรีบจัดเตรียมสำรับกับข้าวเอาไว้รอท่า ก็คงถึงเวลาที่นัทตื่นนอนพอดี................ผมเหลือบตามองไปยังถุงกับข้าวที่วางอยู่บนเบาะด้านข้างแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ................จากนี้ไปผมคงไม่ได้ดูแลนัทแบบนี้อีกแล้ว.............คิดแล้วก็อดสะท้อนสะท้านใจไม่ได้............ทำไมเมื่อมีพบแล้วจะต้องมีจากกันด้วยนะ..........แล้วคำว่านิรันดร์มันอยู่ที่ตรงไหนกันล่ะ..............


                         “พี่เดียวมาถึงแล้วเหรอ”...........นัทเอ่ยถามระหว่างที่กำลังนั่งกินข้าวเช้าที่ผมเพิ่งซื้อมา............ผมละมือจากการเจียนเงาะ แล้วลุกไปหยิบน้ำดื่มมารินใส่แก้วเตรียมเอาไว้ให้................

                          “อืม..........ตอนนี้พี่เอาเค้าไปฝากไว้กับเพื่อนก่อน..........พอนัทย้ายไปแพร่แล้ว ค่อยไปรับมานอนที่ห้อง”............สองคนนี้เคยพบกันครั้งเดียวเมื่อคราวไปงานแต่งงานที่ขอนแก่น.............แต่กลับดูเหมือนคุ้นเคยกันดี คงเป็นเพราะได้รับทราบข่าวสารของกันและกันผ่านทางผมเสมอ............

                         “นัดพี่เดียวมากินข้าวด้วยกันสักมื้อสิ ก่อนวันที่นัทจะเดินทาง”............อืม เป็นความคิดที่ดีไม่เลว.........ผมมีความปราถนามาตลอดว่าอยากให้นัทสนิทสนมกับคนใกล้ชิดของผมให้มากขึ้น...........เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นจริง............ความสัมพันธ์ของเราจะยิ่งมั่นคงแน่นแฟ้น...........ไม่หลักลอยแบบที่เป็นอยู่นี้.........คนที่รักกันควรจะต้องมีตัวตนอยู่ในโลกของกันและกันถึงจะถูก............

                          “เออ แล้วพี่กั้งจะไปเอารถวันไหนอ่ะ........นัทเก็บของเสร็จแล้วนะ”...........เฮ้อ...........ถามถึงเรื่องที่ผมกำลังกังวลอยู่พอดีเลย............จนบัดนี้ผมยังไม่กล้าบอกนัทเลยว่าผมรู้สึกยุ่งยากใจมากแค่ไหนกับการที่ต้องไปเอารถกระบะจากพี่สาวที่อุโมงค์ขุนตาล ไหนยังจะตอนเอากลับไปคืนอีก.............อีกทั้งยังติดที่จะต้องเทคแคร์เดียวด้วย...........ลำบากใจจัง............

                          “เหรอ..........ใกล้วันแล้วค่อยโทรไปก็ได้.........เค้าไม่ไปไหนหรอก”.............ผมพยายามบ่ายเบี่ยงที่จะให้คำตอบที่แน่ชัด.........นัทมองมาที่ผมด้วยสายตาที่ค้นหาคำตอบครู่หนึ่ง ก่อนจะก้มหน้าก้มตาสนใจกับการกินต่อไป.............ผมแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก............ถึงเวลาก็คงต้องไปจริงๆนั่นแหล่ะ...........ทำไมนัทไม่เอารถเก๋งของผมขนไปนะ...........จะได้ไม่ต้องยุ่งยากกับคนอื่น...........แต่ผมไม่กล้าบอกความคิดนี้กับเค้าเลย..........กลัวเค้าจะโกรธเอา............


                         ในระหว่างนี้ ผมต้องคอยวิ่งรอกไปมา ระหว่างนัทและเดียว............แม้ว่าคนทั้งสองจะรู้จักกันแล้ว แต่นัทก็ยังคงไม่สะดวกใจที่จะไปไหนมาไหนอย่างโจ่งแจ้งกับพวกเราในจังหวัดเชียงใหม่...........คงเพราะว่ากลัวจะไปเจอคนรู้จักเข้าโดยบังเอิญ..............เพราะฉะนั้นผมจึงจำเป็นต้องวิ่งกลับไปกลับมาอย่างที่เป็นอยู่นี้..........

                          “แกไปเรียกไอ้เจมาเทคแคร์ฉันหน่อยสิ”..............เดียวรบเร้าอยากจะให้ผมหาคนมาคอยเทคแคร์...........หล่อนรู้จักกับเจมาก่อนนัท..........เนื่องจากเจเข้ามาในชีวิตของผมก่อนหน้านัทได้ปีกว่า.........แต่เราก็ไปไม่ถึงไหนกันหรอก เพราะผมไม่ชอบคนไม่จริงใจ............ตอนนี้สถานะของเค้าจึงเป็นได้แค่เพื่อน เพราะถึงยังไงเค้าก็ยังช่วยแก้เหงาได้ดีพอสมควรถ้าไม่คิดอะไรมากอ่ะนะ...........

                         “อืม..........เอาไว้เดี๋ยวจะลองชวนดูแล้วกัน”............ผมรับปากแบบขอไปที...........เพราะตอนนี้จิตใจผมจดจ่ออยู่แต่กับนัทเพียงคนเดียวเท่านั้น..................พอนัทไปแล้วค่อยคิดดูอีกทีก็แล้วกัน........



                         ลมร้อนของค่ำคืนเดือนเมษายนค่อยๆบรรเทาอนุภาพลง พร้อมกับการมาเยือนของน้ำค้างในยามค่อนดึก................ในห้องของเรา ผมกับนัทต่างคนต่างสนใจอยู่กับกิจกรรมส่วนตัวของตนเองโดยที่ไม่ได้สนทนาอะไรกันมากนัก................ไม่นานเสียงโทรศัพท์ของนัทก็ดังขึ้นและเงียบเสียงลงไปเกือบจะในทันที............

                         “โทรมาโชว์เบอร์เหรอ”.............ผมแอบชำเลืองมองมาที่นัท พลางตั้งข้อสงสัยเอาไว้ในใจเงียบๆ............หันไปมองนาฬิกาตอนนี้บอกเวลาสี่ทุ่มค่อนไปทางห้าทุ่มแล้ว...........ใครกันนะที่โทรมาดึกดื่นขนาดนี้ แถมยังโทรมาโชว์เบอร์เสียด้วย.............แสดงว่าคงจะต้องคิดว่าตัวเองมีความสำคัญต่อนัทพอสมควร...........แล้วนัทจะโทรกลับหรือเปล่า...........ผมเฝ้าลุ้นด้วยใจระทึก...........

                         ปกตินัทไม่เคยมีโทรศัพท์ต้องสงสัยให้ผมมานั่งคอยระแวงมาก่อน...........ตรงกันข้าม นัทค่อนข้างจะชัดเจนว่าไม่มีใครแอบซ่อนเอาไว้ หรือไม่มีพฤติกรรมหลายใจอย่างที่เกย์ทั่วๆไปชอบเป็นกัน...........แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรก โทรศัพท์ในยามวิกาล แถมโชว์เบอร์เสียด้วย.............น่าสงสัยจริงๆ..........ผมพยามข่มอารมณ์หึงหวงเอาไว้ในใจ ภายใต้ท่าทางที่ปั้นแต่งให้ดูเรียบเฉยมากที่สุด...............

                          นัทหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดดูและโทรกลับไป.............หัวใจผมหล่นวูบทันที.............แม้เค้าจะคุยต่อหน้าผม และสนทนาเพียงไม่กี่ประโยค..............แต่มันก็มากพอที่จะทำให้ผมเกิดอารมณ์โมโหสุดๆแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน..............ทำไมถึงต้องโมโหน่ะเหรอ............ข้อแรกเห็นอยู่แล้วว่าโทรศัพท์ต้องสงสัยนี้มาในยามวิกาลซึ่งไม่ใช่เวลาของเพื่อนหรือคนในครอบครัว แต่มันเป็นเวลาของคนพิเศษ..........และนัทยังกล้าโทรกลับไป แม้จะอยู่ต่อหน้าผมก็ตาม................ส่วนข้อที่สอง เมื่อผมถามแล้วเค้ายังทำท่าอึกอักตอบไม่เข้าไม่ออกไม่ดำไม่แดง.............มันน่าโหมั้ยล่ะ

                         “ใครโทรมาโชว์เบอร์.........ดึกดื่นป่านนี้แล้ว”..........ผมพยายามข่มน้ำเสียงไม่ให้ดูอำมหิตจนเกินไปนัก............แม้ว่าใจนั้นอยากจะว๊ากใส่เค้าเสียเต็มประดา............

                         “ไม่มีอะไร.........”.......นัททำเป็นไม่ใส่ใจกับสิ่งที่ผมถาม แล้วหันไปตั้งหน้าตั้งตาดูทีวีต่อ.........ยิ่งมองดูท่าทางไม่รู้ร้อนของเขาผมก็ยิ่งเดือดร้อนใจมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม................

                          ดี.............ไม่พูดใช่มั้ย.............งั้นก็ไม่ต้องมาคุยกันเลย..................ผมจึงข่มความไม่พอใจเอาไว้ ทำทีเป็นไม่ถามไถ่ให้มากความอีกต่อไป...........แต่ผมจะไม่คุยกับเค้าอีกจนกว่าจะได้รับคำอธิบายที่น่าพอใจเสียก่อน....................

                          เวลาผ่านไปเมื่อเห็นว่าผมไม่ซักไซร้ถามไถ่อีกแล้ว.............นัทจึงหันกลับมาดูผมแว๊บหนึ่งก่อนจะลุกเดินไปเข้าห้องน้ำ..................พอเค้าเดินลับหายไปสักพัก ผมจึงรีบดีดตัวขึ้นมาจากที่นอนถลาเข้าไปกดดูเบอร์ที่โทรเข้ามาเมื่อครู่...............ใครกันนะถึงได้สลักสำคัญขนาดนั้น..........

                          อ้าว............นี่กลายเป็นชื่อผู้หญิงหรอกเหรอ............ผมรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่เห็นเบอร์ปริศนานั้นเป็นชื่อของผู้หญิง............หึ............ขนาดคบอยู่กับผู้ชายยังจะมักมากไปคั่วผู้หญิงด้วยยังงั้นเหรอ..........ไม่ว่าแม่นั่นจะเป็นใคร...........แต่ผมจะไม่มีทางยกโทษให้นัทง่ายๆ หากเค้าไม่มีคำอธิบายสำหรับเรื่องนี้...............

                         เสียงเปิดประตูดังกุกกักมาจากห้องน้ำ.............ผมรีบวางโทรศัพท์ของนัทไว้แล้วกระโดดกลับไปนอนยังที่เดิมทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น..................

                       

                          นัทยังคงนั่งดูทีวีต่อจนเวลาล่วงเข้ายามดึก..............ผมทำทีเหมือนนอนแต่เปล่าเลย............ผมยังตื่นเต็มที่ อีกทั้งยังกรุ่นด้วยอารมณ์โมโหไม่ต่างจากภูเขาไฟที่รอเวลาประทุ.............

                         ในที่สุดนัทก็ลุกขึ้นไปเดินไปปิดไฟแล้วขึ้นมานอนบนเตียง...........ผมสัมผัสถึงการสั่นไหวยวบยาบจากด้านหลัง.............พร้อมๆกับการเข้ามากอดของนัท...................

                         “เป็นอะไร............ฮึ........โกรธอะไรอ่ะ”................เชอะ..........คิดเหรอว่าจะหายโกรธง่ายๆ.............รู้ก็รู้อยู่ว่าผมกำลังโกรธเรื่องอะไรยังจะมาทำเป็นไขสือ............

                         ผมยังคงนอนนิ่งไม่พูดจา...........จนในที่สุดนัทก็หมดความอดทนและพลิกตัวกลับไปนอนตามเดิม..........เฮ้ยยยยย...........ผมร้องเรียกอยู่ในใจ................ยังไม่ทันได้คุยกันให้รู้เรื่องเลย............ตกลงว่าจะทำแบบนี้ใช่มั้ย............ได้.........ผมก็ไม่ง้อเหมือนกัน...............

                         เราสองคนจึงต่างคนต่างนอนจนรุ่งเช้า................อันที่จริงผมน่าจะคุยกับเค้าให้รู้เรื่องกันไปเลย..........ดีกว่าเก็บความไม่พอใจเอาไว้คนเดียวจนจะขาดใจตายเพราะความโมโหอยู่แล้ว.............ก็ผมไม่ชอบเซ้าซี้หรอกไม่ชอบพูดมาก............แต่ผมไม่ลืมง่ายๆแน่..........


                          รุ่งเช้าบรรยากาศระหว่างเรายังคงมึนตึงและอึมครึมไม่ต่างไปจากเมื่อคืนมากนัก...............ผมแอบมองดูนัทด้วยความเจ็บปวดอยู่ลึกๆ...............ไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้เลย.............แต่ในเมื่อเรื่องราวมันเลยเถิดมาถึงขั้นนี้แล้ว.............ก็คงต้องปล่อยให้เลยตามเลย...............ทิฐิมานะแม้จะไม่ใช่เรื่องดี........แต่ใครไม่เจอกับตัวก็คงไม่รู้ว่ามันยากนักที่จะให้วางมันลง หากเราได้ยกมันขึ้นมาใส่บ่าเอาไว้แล้ว............

                          “ฮัลโหล...........น้าเหรอครับ..............ตอนนี้รถที่บ้านว่างหรือเปล่า.........ช่วยขนของไปส่งนัทที่แพร่หน่อยสิ”...............ผมนิ่งขึงฟังสิ่งที่นัทพูดผ่านโทรศัพท์ด้วยความตั้งใจ..............รู้สึกผิดอยู่ไม่น้อยที่ตัวเองมัวแต่งอนจนเค้าต้องหันไปวานให้คนอื่นช่วยขนของไปส่งที่แพร่แทน..............แต่อีกใจก็รู้สึกโล่งเพราะผมก็ไม่ต้องถ่อสังขารไปแลกรถกับที่สาวที่ขุนตาลแล้ว..............ค่อยยังชั่วหน่อย.......เค้าควรจะต้องอาศัยไหว้วานญาติพี่น้องเค้าบ้างถึงจะถูก.............

                          “พี่กั้ง.........นัทต้องไปเก็บของแล้ว.........น้าเค้าบอกว่าเค้าว่างแค่วันพรุ่งนี้วันเดียว.........ยังไงคงต้องขนของพรุ่งนี้เลย รอให้แม่นัทมาถึงเชียงใหม่ก่อน บ่ายๆก็คงออกเดินทาง”.............นัทหันมาบอกผมเมื่อจบการสนทนาทางโทรศัพท์.............แม้จะยังไม่หายโมโหให้เค้า..........แต่ผมก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงกับกำหนดการเดินทางที่เลื่อนขึ้นมาเร็วจนเกินคาด..............เราจะจากกันทั้งๆที่ผมยังโกรธแบบนี้น่ะเหรอ............เวรกรรม..............



                           “พรุ่งนี้เช้านัทจะโทรมาหานะ...........เดี๋ยวชวนพี่เดียวไปกินข้าวด้วยกัน”.........นัทหันมาสั่งทิ้งท้ายก่อนจะเดินลับหายไปในตัวตึก.............

                            ผมมองส่งเค้าจนลับตาไป พลางก่นด่าตัวเองอยู่ในใจ..........บ้าชัดๆ..........ขี้หึงไม่เข้าเรื่อง..........บางทีมันอาจจะเป็นเรื่องส่วนตัวที่เค้าไม่อยากจะบอกก็ได้...........ถึงยังไงตัวเค้าก็อยู่กับผมตลอด.........ผมควรที่จะไว้ใจเค้า มากกว่าที่จะมานั่งคอยระแวงจนไม่มีความสุขแบบนี้.............แต่มันก็น่าโมโหอยู่ไม่ใช่หรือ............ถ้ามันไม่มีอะไรก็แค่บอกออกมาตรงๆสิ............จะมาทำเป็นอมพะนำให้ได้อะไรขึ้นมา...........ก็รู้อยู่ว่าคนมันขี้หึงน่ะ................


                          “แกเอ้ยยยยยย.........แกจะไปคิดอะไรมาก...........คนเค้าจะไปวันสองวันนี้แล้ว........ปล่อยเค้าไปเถอะ..............ว่าแต่แกโทรไปตามไอ้เจมาหรือยัง............เค้าก็ดูท่าทางมันจะชอบแกอยู่ไม่ใช่เหรอ........ฉันว่าเจมันดูเข้ากับแกได้ดีกว่าไอ้นัทตั้งเป็นไหนๆ”...........เดียววิพากวิจารณ์อย่างไม่ยี่หระ เมื่อผมนำเอาความทุกข์มาปรึกษา...........ก็หล่อนไม่ได้รักเค้าเหมือนที่ผมรักนี่...........จะพูดอะไรก็คงฟังดูดีดูง่ายหรอก...............

                         เป็นอันว่าตลอดบ่ายนั้นผมจึงต้องออกไปตลอนๆเที่ยวไปพร้อมกับเดียวและเจ.............เดียวดูมีท่าทีเชียร์เจจนออกนอกหน้า...............หล่อนคงไม่อยากให้ผมต้องมานั่งจมกองทุกข์.............แต่หล่อนจะไปรู้จักเจดีไปกว่าผมได้ยังไง...........เค้าเป็นคนไม่จริงใจ.............

                          “แกขยับเข้ามาใกล้ๆน้องเค้าหน่อยสิ............เออๆแบบนั้นแหล่ะ.........ยิ้มด้วย..........หนึ่ง สอง........สาม”...........ผมยิ้มแห้งๆอย่างเสียไม่ได้ เมื่อเดียวออกคำสั่งให้ถ่ายรูปคู่กับเจบริเวณน้ำตกห้วยแก้ว.............

                          “ดูสิ.......ใส่เสื้อเหมือนกันอีกต่างหาก...........ยังกะแฟนกันแน่ะ”.............เดียวยังไม่ยอมลดละที่จะ$เชียร์ต่อไปจนดูน่าเกลียด................ผมแอบถลึงตาให้หล่อนเป็นเชิงปราม.............คนมันจะคลิกมันก็คงคลิกกันไปนานแล้ว.............คงไม่ต้องรอให้หล่อนถ่อสังขารขึ้นมาเชียร์ถึงเชียงใหม่นี่หรอก............

                         “พรุ่งนี้มาพาพี่ไปสรงน้ำพระหน่อยนะ...........”..............เดียวร้องบอกเจ ก่อนที่เราสองคนจะออกรถจากมา หลังจากที่ส่งเค้าถึงบ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว..............

                          “แกเชียร์จนน่าเกลียด เดี๋ยวมันก็จะคิดว่าฉันชอบมันจริงๆหรอก”...............ผมเอ่ยปรามหล่อนเมื่อเรามีโอกาสอยู่ด้วยกันสองคนบนรถ............

                          “ก็ดีออก..........ฉันว่าเจมันคอยเทคแคร์แกดีนะ...........เวลาไปเดินเที่ยวสงกรานต์ก็คอยจูงมือ คอยกันคนให้...........ถ้าเป็นไอ้นัทน่ะเหรอ...........อย่าหวัง”.............ผมไม่ได้ต่อความยาว.........เพราะไม่รู้จะเอาอะไรมาเถียง..........ใช่สิ ของภายนอกพวกนั้นใครๆก็เสแสร้งแกล้งทำกันได้........ผมไม่มีวันหลงใหลไปด้วยง่ายๆหรอก...........แต่ป่วยการจะเถียง..........เพราะนัทเองแม้จะจริงใจแต่ก็ไม่ได้ว่าจะดีเด่จนจะเอามาอวดใครๆได้............สู้หุบปากเสียจะดีกว่า..............

                           “เออๆ แกเลิกพูดเหอะ.........พรุ่งนี้ไอ้นัทมันยิ่งชวนแกไปกินข้าวอยู่.........พูดมากไปจะพาลอคติกันไปปล่าวๆ”...........ผมตัดบทสนทนาระหว่างเรา.............เป็นธรรมดาที่เพื่อนเมื่อได้ยินผมระบายถึงสิ่งไม่ดีของแฟนให้ฟังบ่อยๆ..........ย่อมจะพาลมีอคติเพราะเข้าข้างเพื่อน...........แต่ถึงอย่างไรก็ยังไม่ถึงขั้นจะเกลียดขี้หน้ากันจนไม่ยอมร่วมสังคายนาด้วยหรอก............ขืนเป็นแบบนั้นมีหวังผมต้องได้เลือกแน่ๆว่าจะอยู่ข้างใคร...................
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 05-11-2007 13:41:43
เข้าใจคำว่าทิฐิเลย  :เฮ้อ:
ทั้งๆ ที่ก็เหลือเวลาอยู่ด้วยกันแค่นิดเดียว  ทำไมเราต้องทะเลาะกันด้วย
ไม่ได้มีความสุขแม้แต่น้อย  เพียงเพราะ ทิฐิ คำเดียว

รออ่านต่อน้า คุณกั้ง  :a2:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 05-11-2007 17:11:34
จากกันด้วยดี ดีกว่า
 :m18:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 05-11-2007 18:42:47
เหอ เหอ จากกันด้วยดี ดีกว่า  :m17:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 05-11-2007 19:37:09
ยังไม่ถึงเวลาจากจริงๆหรอก........ลองสู้ดูอีกสักตั้ง.........ดูซิว่าใครจะอึดกว่ากัน.........อิอิ :เตะ1:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 06-11-2007 16:47:23
แยกกันเสียทีเดะ

แยกเลยๆ :m27:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 08-11-2007 10:28:39
                                                                               ตอนสุดท้าย                                                       

                                                               Long distance relationships


                        “เพื่อนพี่เค้าเอาแต่ใจตัวเองมากไปหรือเปล่า หรือเธอคิดว่าเพื่อนพี่เป็นคนชอบบังคับเจ้ากี้เจ้าการ........เป็นคนไม่มีเหตุผล”..........เดียวยิงคำถามทีเล่นทีจริงกับนัท เมื่อเห็นบรรยากาศในการกินข้าวมื้อเช้าของเราสามคนดูฝืดๆ ไม่ออกรสชาติเท่าที่ควร.........

                        ผมไม่รู้ว่าจะทำสีหน้ายังไงถูก จึงทำได้แต่เพียงแกล้งทำเป็นก้มหน้าก้มตากินข้าวแบบฝืนๆ..........คอยเงี่ยหูฟังคนทั้งคู่สนทนากัน.............

                        นัทหัวเราะเฝื่อนๆ..........ก่อนจะหันมามองที่ผมแว๊บหนึ่งด้วยแววตาที่เอ็นดูระคนขบขัน.............

                       “ก็ไม่นี่...........ก็ดี”.............เชอะ...........ผมแอบทำเสียงประชดอยู่ในใจ..............ทีอยู่กะเรา จิกเอาๆ...........แต่พออยู่ต่อหน้าคนอื่นทำเป็นแกล้งชมว่าเราดี.............

                         “แล้วเธอชอบเพื่อนพี่หรือเปล่าล่ะ.........เพื่อนพี่เค้าชอบเธอมากนะ”.........นังเดียวบ้า..........พูดมาได้ ไม่กลัวเพื่อนจะเสียหน้าซะบ้างเลย..............ผมแอบนึกโมโหในความปากมากของเดียวอยู่ในใจ...........แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากก้มหน้านิ่งไม่พูดไม่จา..........หวนระลึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน น้ำตาแห่งความน้อยใจก็พาลจะไหลออกมาเอาเสียดื้อๆ............ช่วงหลังๆมานี่เราสองคนมักมีปัญหาลุ่มๆดอนๆกันอยู่เสมอ.........ต้องยอมรับว่าใจคอผมเองก็ไม่ค่อยจะปรกติสักเท่าไหร่นัก..............จากคนที่เคยมีเหตุผล อดทนอดกลั้นได้ดี.........ก็กลายเป็นคนอ่อนไหวเจ้าอารมณ์..........ฉุนเฉียวโมโหง่ายแม้กระทั่งเรื่องเล็กๆน้อยๆที่เค้าทำให้ไม่พอใจ..........สาเหตุก็คงมาจากการที่ ผมกลัวการต้องอยู่ห่างไกลกันของเราสองคน.........เคยมีคนกล่าวว่า “long distance relationships never work”..........คนอยู่ไกลกันจะเอาอะไรมาเป็นหลักประกันได้.........โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อใจเค้าอยากจะถอยอยู่แล้ว...............

                         “ก็ต้องดูๆกันไป”............นัทตอบเลี่ยงไปตามตำรา...........แน่ล่ะสิ...........ใครจะมาพูดจาอะไรผูกมัดตัวเองกันบ้างล่ะ.............

                         นัทหันหน้ามายิ้มให้แล้วยกมือขึ้นผลักที่หัวผมเบาๆเป็นเชิงหยอกเอิน.........

                          “คิดมากกกก”...........หึ..........คิดมาก ก็ดีกว่าไม่คิดอะไรเลย...............มารู้ตัวอีกที ก็ต้องมานั่งช้ำใจอยู่คนเดียว ไม่เอาด้วยหรอก...............



                          การกินข้าวของเรายังคงดำเนินไปเรื่อยๆ.............ผมไม่รู้ว่าตอนนี้นัทได้วางแผนเกี่ยวกับผมเอาไว้ยังไงบ้าง............ที่แน่ๆ ใจของผมมันเฝ้าจดจ่ออยู่แต่กับการจะจากกันของเราในไม่กี่อึดใจข้างหน้านี้...........

                         ผมพยายามนึกหาสิ่งปลอบใจตัวเองเท่าที่พอจะนึกได้...........มาได้ไกลแค่นี้ก็นับว่าเก่งแล้วล่ะ........นัทไม่ใช่เคสที่ธรรมดาเลย............ส่วนอนาคตจะเป็นยังไงก็ช่างมันเถอะ..........ถึงเค้าจะไปทำงานแล้ว แต่ยังไงเค้าก็ต้องกลับมาจัดฟันทุกเดือนอยู่ดีนั่นแหล่ะ..........ซึ่งก็ยังเหลือเวลาอีกตั้งเป็นปี.............ยังไงผมก็ยังมีโอกาสจะได้เจอเค้าเดือนละครั้งเป็นอย่างน้อย.............แต่ผมจะทนอยู่กับการรอคอยที่แสนทรมานได้ยังไงกันเล่า..........หรือผมจะหันไปคบกับเจ แล้วบอกเลิกกับเค้าดีนะ................แต่ผมไม่ได้รักเจสักหน่อย...........และผมก็รู้อยู่เต็มอกว่าผมรักใครด้วย.........

                         ที่ผ่านมา ผมคอยย้ำกับนัทเสมอว่า หากนัทจากไปแล้วขาดการติดต่อ ทำเสมือนว่าเราต่างคนต่างอยู่...........หมายความว่าเราสองคนเลิกกัน...........

                         “บ้าสิ..........คิดเองเออเองหมด”..........นัททำท่าหัวเสียใส่ผม เมื่อได้ยิน...........ก็ผมไม่มีวิธีไหนที่จะต่อรองกับเค้าได้อีกแล้วนี่...........นอกจากพยายามบีบทุกวิถีทางแบบนี้แหล่ะ.............หากเค้ายังรักผม..........ก็ขอให้นึกเห็นใจคนที่คอยอยู่ข้างหลังด้วย.........ว่าต้องอยู่กับความทรมานใจสักแค่ไหน..............


                         “แล้วนัทจะเดินทางกี่โมง”...........ผมเลี่ยงไปถามคำถามอื่น เพราะไม่อยากให้นัทกดดันมากจนเกินไปกับการคาดคั้นของเดียว.............

                        “ก็คงบ่ายๆ.........เดี๋ยวพอแม่มาถึงก็คงออกเดินทางเลย”..............ผมรู้สึกเหมือนใจจะขาดอยู่รอนๆเมื่อได้ฟัง..............แม้ว่าผมจะผ่านร้อนผ่านหนาวมาพอสมควรแล้ว............แต่สำหรับเรื่องของความรัก...........ผมแทบจะไม่มีประสบการณ์เอาเสียเลย...........ที่ผ่านมาก็แค่แกล้งยั่วคนนั้น อ่อยคนนี้เล่นไปตามประสา (เป็นความหฤหรรษ์อย่างหนึ่งที่ผมโปรดปราน).............มันเป็นความสนุกที่ผมนำมาใช้กลบเกลื่อนความจริงจังเรื่องความรักที่ฝังอยู่ลึกๆในใจ............หากใครมองแต่ภายนอกคงจะคิดว่าผมนั้นช่างดูแก่กล้าวิชามาร มากด้วยกลยุทธ์ร้อยแปดพันวิธี...........แต่ภายใต้ภาพที่ดูร้อนแรง เจ้ามารยานั้น..........ผมแอบเก็บซ่อนความอ่อนเดียงสาเรื่องหัวใจเอาไว้จนเกินกว่าที่ใครจะคาดถึง...........


                         เราร่ำลากันอย่างง่ายๆ ไม่มีพิธีรีตอง...............บรรยากาศช่างดูอึมครึม พอๆกับท้องฟ้าที่กำลังตั้งเค้าด้วยเมฆฝนทะมึน...........อีกไม่นานเมฆนั้นก็คงกลั่นตัวลงมาเป็นหยดน้ำหลังจากที่ผ่านการบีบอัดตัวกันอย่างแน่นหนักมานาน.........แล้วน้ำตาจากใจผมเล่า............มันจะกลั่นออกมาเป็นหยดน้ำได้เมื่อใด.........หรือผมจะฝืนบังคับให้มันไหลย้อนกลับเข้าไปในส่วนลึกของหัวใจอย่างนี้ตลอดไป.............


                         “ออกไปเที่ยวเล่นน้ำสงกรานต์กันเถอะแก.............อย่าคิดไรมากเลย”.............เดียว เอ่ยปากชวนผมออกไปเปลี่ยนบรรยากาศเล่นน้ำสงกรานต์ให้กระชุ่มกระชวยหัวใจเล่น แทนที่จะมานั่งทำหน้าตูมอมทุกข์แบบนี้...........นี่คือข้อดีของหล่อน..........ความสดใสมองโลกในแง่ดี.........และยอมรับอะไรง่ายๆ............เราตรงกันข้ามเหมือนดำกับขาว..........แต่เมื่อมาอยู่รวมกันแล้วกลับกลายเป็นความลงตัวและพอดีอย่างไม่น่าเชื่อ.............

                          “เอาสิ...........เดี๋ยวโทรไปชวนเจก่อนนะ”...........ผมไม่รู้หรอกว่านางโมรากากีคิดอย่างไรเวลาที่หล่อนไปกับผู้ชายคนนั้นทีคนนี้ที.............แต่สำหรับผม ผมก็แค่อยากหาที่พักใจชั่วคราวเท่านั้นเอง.............อย่างนี้จะเรียกว่าหลายใจได้หรือเปล่า.........


                          เจไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นอย่างที่คาด.............เค้าทำได้แค่ทำให้ผมรู้สึกเพลินๆ ซึ่งก็ดีกว่ามากับเดียวแค่สองคน...............ในทางตรงกันข้าม.............บางครั้งเค้าดูน่ารำคาญ เพราะพยายามแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของผมจนน่าเกลียด...............น่าเบื่อชะมัด...........

                          “พี่กั้งมายืนตรงนี้สิ”..........เจลากแขนผมไปยืนข้างหน้าเขา แล้วเอามือโอบเอวผมเอาไว้หลวมๆ เมื่อเห็นผู้ชายหน้าตาดีเข้ามายืนป้วนเปี้ยน ระหว่างที่เรากำลังร่วมสนุกอยู่กับคนอื่นๆบริเวณลานหน้าเวทีคอนเสิร์ตหน้าห้างสรรพสินค้ากาดสวนแก้ว..............

                         “ยืนตรงนั้น คงอยากอ่อยเค้าล่ะสิ”..............เจทำท่าพูดทีเล่นทีจริง เมื่อเห็นผมแสดงอาการขัดขืนพอเป็นพิธี...............ก็แล้วยังไง..............เค้าดีดูกว่านายเป็นไหนๆ............ผมแอบคิดในใจแต่ไม่ว่ากระไร.................

                          เราสามคนซื้อเบียร์มาดื่ม และร่วมเต้นรำไปตามเสียงเพลง...............จุดที่คึกคักที่สุดและมีเกย์มากที่สุด รวมทั้งมีผู้ชายที่ใจกล้าและดูดีที่สุดมารวมกันในช่วงสงกรานต์เมืองเชียงใหม่ ก็คงหนีไม่พ้นที่นี่............กาดสวนแก้ว.............จนมีคนเคยพูดติดตลกว่า หากมีระเบิดมาลงตรงนี้........เกย์คงตายเกือบค่อนเมืองเชียงใหม่.........ซึ่งก็คงจะจริง ไม่เถียงสักคำ...........

                         ในอารมณ์เพลินๆ มองดูใครๆก็ช่างหล่อน่ารักบาดตาดีเหลือเกิน..............แต่แปลกที่ผมกลับรู้สึกว่านัทก็ยังดีกว่าใครๆทุกคนอยู่ดี.............ซึ่งก็ไม่แน่หรอก หากว่าจะมีใครสักคนใจกล้าฝ่ากำแพงเข้ามา และคนๆนั้นมีดีพอ...........ผมก็ไม่ได้คิดว่าผมจะยังคงดำรงตัวเป็นคนดีเลิศ รักเดียวใจเดียว วิเศษไปกว่าใครๆอยู่ได้............แม้ความยับยั้งชั่งใจของผมนั้นจะมีมาก..........แต่หากผมเจอคนที่ดีและถูกใจจริงๆ ผมก็คงพร้อมที่จะลืมนัทได้รวดเร็ว พอๆกับเวลาที่ผมโยนเสื้อผ้าที่ใส่จนเบื่อแล้ว ไว้ที่ก้นตู้ รอวันโละให้คนอื่นต่อนั่นแหล่ะ...............


                          หลังจากที่เที่ยวสงกรานต์จนงอมกันถ้วนหน้าแล้ว จวบจนเวลาล่วงเข้าเย็นย่ำพวกเราก็พากันกลับ..............ผมเหนื่อยและอยากพัก.......ในขณะที่เดียวยังมีพลังเหลือมากพอสำหรับการจะออกไปเริงรื่นกับผู้ชายเชียงใหม่ที่หล่อนหมายมั่นปั้นมือเอาไว้ว่า มาถึงเชียงใหม่ทั้งที ก็ควรที่จะต้องให้ถึงจริงๆ..........

                         “แกพาฉันออกไปกินเหล้าหน่อยสิ ฉันยังไม่ได้ผู้ชายเลยนะ”............หล่อนบ่นออด เมื่อเรากลับถึงที่พักแล้ว............

                         “ไม่ไหวอ่ะ ฉันเหนื่อย..........ค่อยไปพรุ่งนี้ได้ป่ะ”...........ผมต่อรองอย่างเหนื่อยอ่อน..........ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นใครมีพลังมากมายขนาดนี้.........สงสัยแรงขับจะเยอะ.........หุหุ..........

                        “ฉันอยากได้ผู้ชาย”...........หล่อนว่าออกมาตามซื่อ ซึ่งผมก็เห็นใจอย่างสุดซึ้ง............ปีที่แล้วผมก็ทนด้านหน้าพาหล่อนไปซาวน่ามาหนนึงแล้ว................ในตอนนั้นผมต้องทนนอนตากยุงรอหล่อนออกล่าเหยื่อตั้งนาน..........จนตัวแดงเถือกไปหมด

                        ที่เชียงใหม่มีซาวน่าซุกซ่อนอยู่หลายแห่ง............แต่ผมไม่มีความต้องการมากพอที่จะต้องแวะเวียนไปใช้บริการสถานที่เหล่านั้น............จะมีโอกาสได้ไปบางทีก็ต่อเมื่อมีแขกที่เป็นเกย์อย่างเดียวมาเยี่ยม..........และทุกครั้งที่ไปผมก็จะต้องขอผ้าเช็ดตัวสองผืนเสมอ...............

                        “ทั้งนุ่ง ทั้งห่มแบบนี้เค้าจะมองว่าแกเป็นสาวนะ แกอย่าหวังว่าจะได้เกิดเลย”...............หล่อนจีบปากจีบคอกระแนะกระแหนเมื่อเห็นผมทั้งนุ่งและห่มผ้าเช็ดตัวอย่างมิดชิดราวกับสาวแรกรุ่นจะไปอาบน้ำคลอง.............

                        “ช่างฉัน”.............ผมตัดบท............ก็สองผืนแล้วจะทำไม.............แค่เข้ามาในนี้ก็อายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนีอยู่แล้ว............ถ้าไม่เพราะแกฉันจะยอมแบกหน้าเข้ามาเหรอ...........

                          โดยมากหลังจากปล่อยให้เพื่อนออกล่าแล้ว.............ผมมักจะเดินไปหามุมที่ห่างไกลจากผู้คน และก็แกล้งทำเป็นนอนหลับ เพราะกลัวจะมีใครหน้ามืดตาบอดเผลอเข้ามาคุยด้วย..............ผมไม่ได้คิดว่าจะมีใครเค้าอยากมาสนใจผมหรอกนะ........แต่ผมอายและไม่อยากเปิดโอกาสในการคุยกับใครมากกว่า............ทำนองว่าแค่พาเค้ามาเฉยๆนะ ไม่ได้มาหา เพราะฉะนั้นต่างคนต่างอยู่จะดีกว่า................


                         เมฆฝนที่นอกหน้าต่างเริ่มตั้งเค้าทะมึน............อีกไม่นานฝนคงจะเทลงมาเป็นแน่............หากจะออกไปเที่ยวก็รู้สึกทั้งเหนื่อยล้า ไหนฝนยังจะมาตกอีก.............ดังนั้นหลังจากที่คิดทบทวนว่าผมจะเอนเตอร์เทนเพื่อนสาวอย่างไรดี...........สุดท้ายผมก็เกิดไอเดีย............

                        “มีผู้ชายคนหนึ่งมันเคยลวนลามฉันในลิฟท์ครั้งหนึ่ง แกสนมะ ขับเบนซ์เชียวนะแก”............ผมหมายถึงผู้ชายที่เคยลวนลามผมเมื่อนานมาแล้ว........ผมสังเกตว่าเค้าสนใจในตัวผมมาก่อนหน้านั้น และเราก็มีโอกาสคุยกันแค่สงสามครั้งโดยบังเอิญในลิฟท์เท่านั้น................จนวันหนึ่งที่ผมไปตัดไฝบนใบหน้ามาใหม่ๆ จึงมีปลาสเตอร์ติดเอาไว้.....................เมื่อเราบังเอิญเจอกันในลิฟท์อีกครั้ง............ก็เป็นโอกาสของเค้าพอดี.............

                         “หน้าไปโดนอะไรมาครับ”.........เค้าถามพลางเอื้อมมือจับที่ใบหน้าผม..............ผมเบือนหน้าหนีแล้วบอกว่าไปตัดไฝมา.............พอดีลิฟท์เปิด............ผมจึงเดินออกมาคิดเสียว่าทำทานที่โดนจับหน้าหนึ่งที...........และไม่ทันที่จะได้คาดคิดเค้าก็พุ่งเข้ามากอดผมเอาไว้............ขณะนั้น ผมรู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่ก็คิดว่าคุมสถานการณ์ได้จึงไม่ได้ด่าว่าอะไร นอกจากแกะมือเค้าออกและเดินจากมา............ถึงกระนั้นเค้าก็ยังไม่ล่ะความพยายามโดยการเดินตามหลังผมออกจากลิฟท์มาที่หน้าห้อง................

                          “ขอผมเข้าไปคุยในห้องด้วยคนได้มั้ยครับ”............คราวนี้ผมค่อนข้างจะตกใจมากขึ้นอีกนิดนึง เพราะไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน.........จึงรีบลนลานเปิดประตู และเรียกเค้าเข้ามา (อ่ะ.....ล้อเล่นนนนนนน........อิอิ)

                         “เอาไว้โอกาสหน้าก็แล้วกันครับ”...............ผมรีบปิดประตูใส่หน้าเค้าทันที..............ไม่คิดเลยว่าเค้าจะกล้าทำถึงขนาดนี้.............รู้สึกโมโหนิดหน่อยที่เค้าทำเหมือนไม่ให้เกียรติกัน ทั้งๆที่เราต่างก็รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครมาจากไหน...............

                         เมื่อโทรไปเล่าให้เพื่อนฟัง แทนที่จะเข้าข้างผม หล่อนกลับย้อนว่า.........

                         “แกคงไปให้ท่าเค้าล่ะสิ”............เง้ออออออ...........เป็นงั้นไป..............ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ผมก็พยายามหลบหน้าเค้าตลอด...........หากวันไหนที่บังเอิญเข้ามาจอดรถพร้อมกัน ผมก็จะรอให้เค้าขึ้นไปก่อน จนแน่ใจแล้วว่าจะไม่เจอกันที่ตรงลิฟท์แน่ๆ จึงจะออกมาจากรถ...................


                         “เค้าหล่อป่าว”.............เดียวเริ่มสนใจขึ้นมาจริงๆจังๆ เมื่อได้ยินคำว่ารถเบนซ์............หล่อนชอบ ติดอะไรหรูๆแบบนี้แหล่ะ.............

                         “ก็ไม่หล่อ ไม่ขี้เหร่ อายุสามสิบค่อนไปทางสี่สิบได้มั้ง”...........ผมให้ข้อมูลไปตามที่มี........

                         “แล้วอยู่ห้องไหนล่ะ”...........ท่าทางจะเอาจริงแฮะ...............ผมแอบทึ่งในความกล้าได้กล้าเสียของเพื่อนสาว..........นี่ถ้าผมได้ครึ่งหนึ่งของหล่อน............ป่านนี้คงได้แอ้มผู้ชายหล่อๆไปไม่น้อย ไม่ต้องมานั่งง้ออีนัทบ้าอยู่แบบนี้..........คิดๆแล้วก็พาลให้รู้สึกเสียดายย้อนหลังยิ่งนัก ที่เรามัวแต่ทำเป็นลีลา.............ก็ผมมันพวกชอบทอดสะพานเสริมใยเหล็ก รอให้เค้าเป็นฝ่ายเข้ามาหา...........หายังมัวแต่ทำเป็นลีลารีๆรอๆไม่ข้ามมาสักที............ผมก็คงต้องระเบิดสะพานนั้นทิ้งเสีย ไม่มีทางจะทอดกลับไปอีกเป็นซ้ำสองให้เสื่อมเกีรยติ.......ผู้ชายในแบบของผมจึงต้องว่องไวทันเหตุการณ์เมื่อได้รับสัญญาณดังกล่าวจากผมแล้วต้องเข้ามา...........แต่โดยมากผมก็มักจะแห้วเสมอ..........ก็ผมมันคนประเภทหน้าตาก็งั้นๆ แล้วยังจะทำเป็นเรื่องมากทำนองนี้ (ฮา)

                          “ไม่รู้............แกก็ไปถามยามเอาสิ ว่าคนขับรถเบนซ์สีขาวอยู่ห้องไหน.............เสร็จแล้วก็โทรขึ้นไปห้องเค้า บอกว่ามาหาเพื่อนที่ห้องนี้ สงสัยว่าเค้าจะย้ายออกไปหรือยัง............จากนั้นก็แล้วแต่ความสามารถของแก”............ผมวางแผนให้เดียวเสร็จสรรพ............และหล่อนก็ลงมือปฏิบัติตามนั้นจริงๆ........เชื่อเค้าเลย.............



                          เดียวหายไปนานแล้ว............ป่านนี้หล่อนคงกำลังขึ้นไปเที่ยวสวรรค์ชั้นเจ็ดจนลืมเวลาบนโลกมนุษย์.............ฝนเริ่มลงเม็ดหนาขึ้นเรื่อยๆ..................ผมมองไปที่โทรศัพท์ และตัดสินใจยกมันขึ้นมาโทรถึงนัท.............

                           “นัท..........เป็นยังไงบ้าง”.............เป็นคำทักทายที่ดูเก้อเขินพอสมควร แต่ผมคิดได้แค่นี้...........

                           “ก็กำลังเก็บของอยู่”.........น้ำเสียงนัทดูเหงาๆ เค้าเองก็คงกำลังคิดถึงผมอยู่เหมือนกัน............

                            ผมไม่อยากให้บรรยกาศดูเศร้าไปมากกว่านี้ จึงเปลี่ยนมานินทาเรื่องวีรกรรมของเดียวให้นัทฟัง...............เราสองคนวิพากวิจารณ์กันอย่างสนุกสนาน..............จนกระทั่งไม่มีมุขจะคุยต่อ............บรรยากาศก็กลับมาสู่ความเงียบอีกครั้ง...........

                           “พี่คิดถึงนัท”...........นี่คือสิ่งที่ผมไม่เคยคิดว่าจะพูดออกมาได้..........แต่ผมก็พูดไปแล้ว..........

                            “เพิ่งจากกันเมื่อเช้านี่เอง..........จะมาคิดถึงอะไรเร็วขนาดนั้น........แมเนียร์ แล้วพี่กั้ง”..........นัทชอบว่าผมแมเนียร์เวลาผมออเซาะเค้าเสมอ..........คงหมายถึงดัดจริตมั้ง...........แต่ผมไม่สนหรอก...........

                           สายฝนข้างนอกเริ่มเทลงมาหนักขึ้นเรื่อยๆ............หลังจากที่ตั้งเค้าทะมึนมานานทั้งวัน.........ตอนนี้คงถึงเวลาที่มันจะได้ระบายสิ่งที่อัดอั้นมานานให้กลายเป็นสายฝนเพื่อสร้างความชื่นฉ่ำให้กับสรรพสิ่งบนโลกมนุษย์...............

                           ความทุกข์ของผมก็คงไม่ต่างจากเมฆดำนั่น...........มันถึงเวลาที่ควรจะต้องละลายลงมาเป็นสายน้ำ........แต่เป็นสายน้ำที่ไม่ทำให้พื้นธรณีชุ่มชื้น...........หากแต่ทำให้หัวใจของผมทุเลาความทุกข์ทรมานลง.........

                           “ก็คนเคยอยู่ด้วยกันทุกวัน..........จะให้พี่ทำใจได้ยังไง........มันเร็วเกินไป........ฮือออๆ”.........ผมร้องไห้โฮๆออกมาเหมือนเด็กที่ไร้ยางอาย............นัทเองก็คงตกใจไม่น้อยที่ผมกลายเป็นคนขาดสติเช่นนี้.........เค้าจึงได้แต่ปลอบประโลมผมไปตามเรื่องตามราว...........

                            “นัทก็ดีน่ะสิที่ได้ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่อื่น.............แต่พี่ต้องอยู่ที่เดิม............ไม่ว่าจะไปตรงไหนก็มีแต่เงาของนัทอยู่ทุกที่............แล้วพี่จะมีความสุขได้ยังไง”............ความอดกลั้นของผมทะลักออกมาแล้ว และยังไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุดลงง่ายๆ...........พร้อมกับน้ำตาที่ไม่มีวี่แววว่าจะแห้งเหือดไปเช่นกัน.............

                             นัทปล่อยให้ผมร้องไห้จนสาแก่ใจ และคอยพูดจากปลอบโยนสลับกันไป กว่าผมจะเรียกสติคืนมาได้เวลาก็ผ่านไปร่วมชั่วโมง..............ในที่สุดผมจึงตัดใจลงได้ และกำชับให้นัทดูแลตัวเองให้ดี ก่อนจะวางสายไป............เฮ้ออออออออ.............ไม่ได้ร้องไห้แบบนี้มานานแล้ว..........ค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย........จากเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ผมรู้สึกมั่นใจในความอาทรของนัทที่มีต่อผมขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง..........ผมจะอดทนเพื่อเราสองคน..................ผมจะไม่อ่อนแออีกต่อไป.................



                            “แกเอ๊ยยยยยยย.............แก๊แก่..........ขนก็เยอะ ฉันเอาไม่ลงหรอก”............เดียวเดินหน้าระรื่นกลับเข้ามาหลังจากที่หายไปเสียนาน...........พูดเวอร์ไปแล้ว ผมว่าเค้าก็ดูดีใช้ได้นี่นา.............หรือจะทำเป็นมือถือสากปากถือศีล..............

                            “อ้าว.............แล้วแกหายไปทำไมตั้งชั่วโมง”............ผมหันหน้ามาถามทั้งที่น้ำตายังไม่แห้งสนิทดี..........โชคดีที่เป็นกลางคืน ไม่งั้นหล่อนคงต้องสังเกตเห็นเป็นแน่.................

                             “ก็จะลงมาเลย ก็น่าเกลียด............ฉันเลยต้องนั่งคุยกับเค้าก่อน”............จ้ะ............คุยตั้งเป็นชั่วโมงนี่นะ.............ผมนึกขำ แต่ก็ไม่ได้ต่อความยาว..................วันนี้ผมเหนื่อยมาพอแล้ว...........อยากนอนพักสักงีบ...................

หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 08-11-2007 18:51:15
 “ไม่รู้............แกก็ไปถามยามเอาสิ ว่าคนขับรถเบนซ์สีขาวอยู่ห้องไหน.............เสร็จแล้วก็โทรขึ้นไปห้องเค้า บอกว่ามาหาเพื่อนที่ห้องนี้ สงสัยว่าเค้าจะย้ายออกไปหรือยัง............จากนั้นก็แล้วแต่ความสามารถของแก”

อืม ยอดกุนซือเจง ๆ  o13  o13
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 08-11-2007 19:06:02
จิงดิ..........อิอิ........อายจัง :m23:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 08-11-2007 19:13:41
จากกัน แต่ถ้ายังรักกัน สักวันก็ต้องได้เจอกันแหละนะ
 :a4:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 09-11-2007 09:40:27


ไม่เคยรู้มาก่อนว่าพี่เดียว แรด  ขนาดนี้

อิอิ

สงสัย  น้องคงต้องขอถ่ายทอดวิชาซะแล้นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน

 :a1:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 09-11-2007 11:51:36
ต้องเรียกว่า ขอแลกเปลี่ยนวิชาจะเหมาะกว่ามั้ง...........หุหุ :m12:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 09-11-2007 12:51:48
ตกลงคืนนั้น พี่เดียวก็ไม่มีผู้ชายตกถึงท้องเลยอะดิ  :m20:

รออ่านต่อค้าบบบ  :a2:

ปล  เจ้เรียกคุณกั้งว่าพี่ตลอดเลย  แสดงว่าอายุโขอยู่ อิอิ  :m18:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 09-11-2007 14:14:06
ก็คงแก่พอๆกะ Admin. ของ board นี้อ่ะม้าง..........อิอิ :m29:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 09-11-2007 17:41:53
เรย์ โดนพาดพิง กร๊ากกกกกกกกก  :laugh:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 12-11-2007 12:53:38


พี่เรย์ แก่ แล้วหยอ?

น้องไม่ยักกะรู้  มีแต่ น้องก มูมู่ เท่านั้น ที่ยัง สาว  และสวย อิอิ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 12-11-2007 13:52:59
ชักอยากเจอมูมู่แล้วสิ............ในฐานะกุหลาบเวียงพิงค์เก่าเหมือนกัน..........อิอิ :m19:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 15-11-2007 14:16:16
เจอแล้วจะผิดหวังอะจิ   :m23:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 15-11-2007 14:28:58
ชักอยากเจอมูมู่แล้วสิ............ในฐานะกุหลาบเวียงพิงค์เก่าเหมือนกัน..........อิอิ :m19:


กล้าพูดเนอะ  อายบ้างไหมนั้นนะ  กุหลาบเวียงพิงค์  กำ

นังดอกจานกลางทุ่ง   :a14:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 15-11-2007 14:37:45
^
^
เจ้อ่า  พูดซ้า  คุณพี่กั้งเสียหายหม๊ดดดดดดดดดดดดดดด
จากกุหลาบเวียงพิงค์ เป็น ดอกจานกลางทุ่ง (ขอขำหน่อยเตอะ) :laugh:  :laugh:  :laugh:

ชักอยากเห็น คุณพี่กั้งแล้วเหมือนกันดิ   :m3:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: kongkilmania ที่ 20-11-2007 21:37:42
เอ่อ    :m23:    ดอกจานนี่มานคือดอกไม้ชนิดไหนเหรอ

เหมือนๆจะเคยได้ยินเหมือนกันนะแต่นึกม่ายออก    :m28:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 21-11-2007 10:35:59
ดอกจาน เป็นภาษาอิสาน หมายถึงดอกทองกวาว ดอกมีสีแสดสดใส ชอบขึ้นในที่โล่งตามทุ่งนา ออกดอกในหน้าแล้ง เวลาออกดอกก็จะทิ้งใบหมดเลย เวลามองไปตามทุ่งนาโล่งๆในช่วงหน้าแล้ง จะแลเห็นสีสันโดดเด่นมาแต่ไกล....... แต่ผมไม่เคยเห็นหรอก ก็ฟังๆเค้ามาอีกทีน่ะ แถวบ้านมีแต่เอื้องแซะหลวง หรือไม่ก็เอื้อผึ้งทำนองนี้อ่ะ.......อิอิ........เดี๋ยวบ่ายๆจะมาลงคนละปลายทางต่อน๊า........ช่วงนี้เดินทางบ่อยเลยหายไปนานเรย...หุหุ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 21-11-2007 15:09:08
                          เดียวจากไปหลังสิ้นสุดวันสงกรานต์พร้อมกับหอบเอาความสดใสสุดท้ายที่เหลืออยู่ในชีวิตของผมจากไปด้วย................การไม่มีความรักเป็นความทุกข์อย่างหนึ่งของมนุษย์ผู้เวียนว่ายในห้วงสังสารวัฏ............แต่การมีความรักก็ไม่ได้แปลว่าจะทำให้เรามีความสุขเสมอไป..............เมื่อเริ่มต้นที่จะรัก ความยุ่งยากต่างๆก็ตามมาร้อยแปดพันอย่าง.........ยุ่งยากที่จะต้องปรับตัว............ยุ่งยากในการที่จะต้องมานั่งคอยเอาอกเอาใจ..........ยุ่งยากที่จะต้องพยายามเดาในสิ่งที่เค้านึกคิด................ยุ่งยากไปซะหมด............

                            “ถ้ามีแกอยู่เป็นเพื่อนกันไปแบบนี้ ฉันก็พออยู่ได้ไม่เหงาเท่าไหร่.............แต่ถ้าต้องใช้ชีวิตอยู่คนเดียว.............ฉันก็เหงา...........ฉันจึงต้องมีแฟนไง”...............เดียวเคยรำพึงรำพันทำนองนี้ให้ผมฟังเสมอๆ...........กับพฤติกรรมการมีแฟนชั่วข้ามคืนและไม่ข้ามคืนของหล่อน..........โดยมากผมก็จะแกล้งแซวกลับให้หล่อนต้องเง้างอนเล่น ๆ...............

                             “แกจะไม่ให้ฉันมีแฟนเลยหรือไง.............แกก็รู้ว่าฉันต้องมีแฟน”............นี่คือปณิธานที่หาญมุ่งของผม.............แต่ความรักที่ผมเคยนึกฝันเอาไว้ไม่ได้เป็นอย่างที่ผมคบกับนัทอยู่นี้.............มันเลิศลอยจนเกินกว่าจะกล้าเอามาพูดให้ใครๆได้ขบขันในความช่างเพ้อฝันของผม...........แต่รวมความแล้ว ผมก็แค่อยากมีความรักที่ดี..........ก็แค่นั้น...



                            ผมลงมือเก็บกวาดห้องหับเมื่อกลับจากส่งเดียวขึ้นรถกลับกรุงเทพ..............แม้ร่างกายจะทำงานแต่ใจผมกลับลอยข้ามเขาทะมึนสองสามเทือกที่กั้นระหว่างเชียงใหม่กับแพร่ไปถึงนัท.............น่าโมโหตัวเองเหลือเกินที่คอยพะวงคิดถึงแต่เค้าจนไม่เป็นตัวของตัวเองแบบนี้.............บ้าเอามากๆ..........แต่ไม่ใช่เพราะว่านัทดีวิเศษกว่าคนอื่นๆหรอกนะ..........หากเป็นเพราะคนอย่างผมลองได้รักแล้ว เป็นต้องทุ่มสุดตัวทุกทีแบบนี้แหล่ะ..........แม้ผมจะเลิกกับนัทและมีแฟนใหม่.............ผมก็ต้องรู้สึกแบบเดิมนี้กับแฟนคนใหม่เช่นกัน..........ว่าแล้วก็โทรศัพท์ไปถามข่าวคราวบ้างดีกว่า..........บอกไว้ก่อนนะว่าผมไม่ชอบโทรจิกใครหรอก.........ถึงแม้จะเป็นแฟน แต่ผมก็เกรงใจเค้ามากในเรื่องนี้...........แต่ว่าคิดดูอีกทีผมก็น่าจะมีสิทธิ์ที่จะทำแบบนี้นะ.............จริงมะ...........

                            “ฮัลโหล............ทำอะไรอยู่”..............รู้สึกเก้อเขินอยู่บ้างเหมือนกันกับคำถามเชยๆที่ถามออกไป.......แต่ผมก็ไม่มีหัวคิดที่จะมานั่งนึกสรรหาคำพูดเก๋ๆแบบที่คู่รักคู่อื่นๆเค้าทำกัน...........ก็อยู่ด้วยกันแบบกระด้างๆมาจนเคยชินแล้วนี่..............

                           “มาดูทีวีที่บ้านพี่เค้า”...............นัทกระซิบตอบน้ำเสียงร้อนรน................ใบหน้าของผมร้อนวูบขึ้นมาในทันที.............คำถามร้อยแปดแล่นเข้ามาสู่สมองจากทุกทิศทาง.............พี่ที่ไหน...........เพิ่งไปได้แค่ไม่กี่วัน............ทำไมไปรู้จักใครเร็วจัง.............หรือจะแอบมีกิ๊ก...........นี่เกือบจะสี่ทุ่มแล้วนะ..........จะไปนั่งๆนอนๆอยู่บ้านคนอื่นได้ยังไง เพิ่งรู้จักกัน...........โอยยยยยยย ปวดหัว............

                          “ใครเหรอ”..........ผมกระซิบถามเหมือนคนบ้าจี้ เพราะนัททำท่ากระซิบกระซาบจนน่าหมั่นไส้.............

                          “พี่ที่ทำงานนี่แหล่ะ..........แค่นี้นะ.........พี่เค้ามาแล้ว”...............นัททำท่าร้อนรนตัดบทวางสายไป.........ปล่อยให้ผมนั่งอารมณ์เดือดเพราะความหึงหวงอยู่คนเดียว............

                           บางคนก็ว่าผมเป็นคนชอบคิดมาก คิดเล็กคิดน้อย...........ก็จะไม่ให้คิดมากได้ไงล่ะ ในเมื่อเค้าทำอะไรไม่ชัดเจนคลุมเครือแบบนี้.............สิ่งที่นัททำให้ผมเป็นทุกข์ใจอย่างหนึ่งก็คือ การที่เค้าไม่ยอมพูดอะไรกับผมให้ชัดเจนหายข้องใจ............ชอบทำลับๆล่อๆ ซุกซ่อนปกปิดตลอดเวลา...........จากที่เป็นคนคิดมากอยู่แล้ว เมื่อมาเจอคนอย่างนัทเข้า ผมจึงต้องคิดมากเป็นสองเท่า.............

                           ผมเชื่อว่านัทไม่ใช่คนเจ้าชู้หลายใจ................แต่ผมกลัว กลัวเวลาที่เค้าแสดงท่าปิดกั้นไม่ให้ผมมีส่วนรับรู้ในเรื่องของเค้า.............ในขณะที่ผมกลับพร้อมที่จะเล่าในทุกๆเรื่องของผมที่เค้าอยากจะรู้.........

                           ยิ่งคิดก็ยิ่งเดือด.............ถ้าผมเป็นเค้า ผมจะเดินเลี่ยงออกมาคุยโทรศัพท์กับแฟนเสียก่อน แล้วจึงกลับเข้าไปใหม่ หรืออะไรก็แล้วแต่............เพราะมันมีวิธีตั้งมากมายที่จะทำเพื่อรักษาทั้งสถานะทางสังคมที่เค้าแคร์..............กับความรู้สึกของผมที่เค้าอาจจะแคร์หรือไม่นั้น ผมไม่แน่ใจ.........


                           “กลับถึงห้องแล้วโทรหาพี่ด้วย”..................ผมรัวกดข้อความลงบนโทรศัพท์อย่างเดือดดาล ผสมความน้อยใจ.........แม้จะรู้ว่ามันดูน่ารำคาญมากแค่ไหนกับนิสัยจุกจิกของผมแบบนี้..............แต่ผมไม่สนใจหรอกเพราะตอนนี้ผมกำลังโมโหอยู่............ผมไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะสนใจเหตุผลรวมถึงหลักการครองเรือนใดๆทั้งสิ้น...........



                             เวลาผ่านไปจวบจนห้าทุ่มนัทจึงโทรกลับมา..............ซึ่งผมก็หายโมโหไปเรียบร้อยแล้ว............

                            “กลับมาแล้วเหรอ”.............ผมถามเสียงอ่อน.............กลัวว่าเดี๋ยวเค้าจะว๊ากขึ้นมากับนิสัยจุกจิกของผมเมื่อครู่...........

                            “อืม..........มีอะไร”.............เป็นคำถามที่ฟังแล้วชวนให้ร้าวรานใจเหลือเกิน..............จะโทรหาคนรักนี่ต้องมีอะไรด้วยหรือ...............

                           “ไปดูทีวีที่บ้านใครมาเหรอ”...........ผมเลี่ยงไปถามคำถามอื่นเพราะไม่อยากชวนทะเลาะ.............แต่ก็ยังเป็นคำถามที่ฟังดูน่ารำคาญอยู่ดี.............ก็จะให้คุยเรื่องดีๆได้ไงล่ะ คนมันหมดอารมณ์ไปแล้วอ่ะ.............ผมก็แค่อยากจะโทรมาถามไถ่ตามประสาคนคิดถึง ไม่ได้อยากทำให้เค้าต้องหงุดหงิดรำคาญแบบนี้หรอก..............

                          “พี่เค้าเป็นเภสัชกร.........บ้านอยู่ใกล้กันนี้แหล่ะ............นัทก็แค่ไปดูทีวีที่บ้านเค้าแก้เบื่อเฉยๆ”.............นัทตอบน้ำเสียงซังกะตาย.............เราพูดคุยกันต่อสองสามประโยค............จนผมรู้สึกว่าการสนทนาของเราเริ่มส่อเค้าว่าชักจะกร่อยมากขึ้นเรื่อยๆ..........จึงชิงตัดบท............

                           “ไม่มีไรหรอก...........พี่แค่อยากคุยด้วยเฉยๆ...........งั้นเท่านี้ก่อนนะ”.............ผมตัดสินใจวางสายทั้งที่ใจนั้นคิดถึงและอยากจะคุยกับเค้าให้หายเหงา.............แต่เมื่อมันกลับกลายมาเป็นแนวนี้ ผมก็คงไม่มีอะไรจะพูด............นอกจากวางสาย............หึ...........ถามคำตอบคำ ทำเหมือนคนไม่คิดถึงกัน..........แต่แค่เค้าโทรกลับมาก็ว่าบุญโขแล้วแหล่ะ อย่าหวังไรมากเลยเนอะ..............นั่นคือสิ่งปลอบใจเดียวที่ผมพอจะคิดออก...............



                           “แกจะไปโทรหาอะไรเค้านักหนา...............ปกติฉันกับแฟนก็คุยกันอาทิตย์ละสองสามหนก็พอแล้ว”..........เพื่อนเกย์คนหนึ่งของผมให้ข้อมูลเมื่อผมนำเอาพฤติกรรมของนัทไปปรึกษา

                           “แล้วเค้าโทรหาแกบ้างป่าวล่ะ”..............ผมยังไม่หายข้องใจ............อันที่จริงผมไม่ใช่คนชอบคุยโทรศัพท์เลยจริงๆสาบานได้..............แต่จะห่างหายกันไปเลยแบบนี้มันไม่ปรกติหรอก............ใครที่ไหนเค้าทำกันบ้างล่ะ.............

                          “เค้าก็โทรมาบ้าง...........บางทีฉันก็โทรไป...........แต่บางคู่เค้าก็โทรคุยกันทุกวันนะ..........มันแล้วแต่คู่อ่ะ........ตอนนี้แฟนแกเค้าอาจจะเพิ่งทำงานใหม่ๆ คงจะกำลังปรับตัวอยู่..........หายยุ่งแล้วเค้าคงโทรมาเองแหละ”..............เพื่อนผมทิ้งท้ายด้วยการปลอบใจ..........ซึ่งผมไม่คิดแบบนั้นเลยสักนิด........แค่ผมโทรไปหาเค้ายังทำเหมือนไม่อยากจะคุยเลย........เรื่องจะให้โทรมาน่ะเหรอ.......ไม่มีวันซะหรอก...........


                           สองวันต่อมาหลังกับการพยายามหักห้ามใจไม่ให้โทรไปรบกวนเวลาของนัท.............โดยแอบหวังใจว่าเค้าอาจจะโทรกลับมาบ้าง..........แต่ก็ไร้วี่แวว...........จนในที่สุดผมก็หมดความอดทน...........

                           “ตื้ด.................ตื้ด.................”............หัวใจที่พองโตด้วยความตื้นเต้นระคนประหม่าของผมพลันห่อเหี่ยวลงเมื่อมีเสียงบอกให้ฝากข้อความเสียง หลังจากที่ผมถือสายรอมาได้สักพัก................

                           ไม่รับเหรอ..........ไปไหนนะ...........ผมกระหน่ำโทรๆๆๆๆๆๆๆๆ...............สุดท้ายก็ลงเอยแบบเดียวกัน..............จนผมหมดความพยายามและโยนโทรศัพท์ทิ้งไปอย่างคนสิ้นหวัง................ในใจนึกจินตนาการไปร้อยแปดพันอย่าง..............สี่ทุ่มแล้วเค้าไปไหน............ทำไมไม่เอาโทรศัพท์ไปด้วย..............นี่เค้าจะรู้สักนิดมั้ยว่าทำให้ผมคิดถึงและห่วงเค้ามากแค่ไหน...............ถ้าไม่อยากจะคบกันก็พูดมาตรงๆสิ..........คนใจดำแบบเค้าผมเชื่อว่าสามารถพูดออกมาได้อย่างไม่สะทกสะท้าน และผมก็จะไม่ต่อรองใดๆด้วย..........ผมยินดีจะจากไปด้วยดี.............ขอเพียงอย่างเดียวอย่างทรมานกันด้วยการปล่อยให้อะไรๆคาราคาซังแบบนี้.................

                         “เดี๋ยวเค้าคงโทรกลับมาเอง”............ผมนึกปลอบใจตัวเองก่อนจะผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน.................


                          แสงสว่างจากภายนอกสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง.................ผมงัวเงียขึ้นมาจากที่นอนด้วยความรู้สึกครึ่งๆกลางๆระหว่างหลับและตื่น.............นาฬิกาบนหลังทีวีบอกเวลาจวนเที่ยง.........ผมขยับตัวลุกไปหยิบผ้าเช็ดตัวเพื่ออาบน้ำเรียกสติกลับคืนมา..............

                         เที่ยงแล้วนัทยังไม่โทรกลับมาเลย..............นี่เค้าแคร์ผมบ้างหรือเปล่าเนี่ย.............ผมเหลือบมองนาฬิกาพลางคิดด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ.................ไม่ได้............จะต้องถามให้รู้เรื่อง.............

                        “ฮัลโหล”................คราวนี้นัทรับสายแล้ว...............แต่นาทีนี้ผมเหมือนคนบ้าที่คอยจ้องจะหาเรื่องทุกสิ่งอย่างที่ผ่านเข้ามาในสายตา..............

                        “เมื่อคืนไปไหนทำไมไม่รับสาย”..............ผมยิงคำถามเข้าประเด็นทันที เพราะเตรียมหาเรื่องเต็มที่มาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว................

                       “ลืมไว้ที่ห้องทำงาน........เพิ่งไปเอามาเมื่อเช้า”..............นัทตอบเสียงเนือยๆ ไม่สะทกสะท้าน.........ซึ่งยิ่งกระตุ้นต่อมโมโหของผมให้เดือดพล่านมากขึ้น...............

                       “แล้วทำไมไม่โทรกลับมา.............นัทก็ได้โทรศัพท์มาตั้งแต่เมื่อเช้า............แต่นี่พี่รอจนเที่ยง”...........ความเงียบบังเกิดขึ้นชั่วขณะ................แต่ผมจะไม่ปล่อยโอกาสให้เค้าได้ตั้งตัว..........เลิกก็เลิกสิ..........ผมไม่แคร์หรอก.............ถ้าจะอยู่กันแบบนี้ก็ไม่ต่างกับตกนรกทั้งเป็น...........

                        “นัทจำได้มั้ย............เคยมีคนโทรศัพท์มาโชว์เบอร์ที่เครื่องนัทแค่แป๊บเดียว..........แล้วนัทก็รีบโทรกลับไป..........ตอนนั้นพี่เคยถามนัทว่าถ้าเป็นพี่ นัทจะทำแบบนี้มั้ย..........นัทก็บอกว่าถ้าเป็นพี่นัทก็จะทำแบบเดียวกัน.............แต่นี่นัทให้พี่รอจนเที่ยง...........มันหมายความว่ายังไง”..............ผมต่อว่านัทเป็นชุดด้วยเสียงสั่นเครือ..............

                         “ก็คนมันไม่ว่างน่ะ โอ๊วววววววว”..............นี่คือสิ่งที่เค้าตอบมาสำหรับความเสียใจที่ผมได้รับดังกล่าว........

                          “อืม...........แค่นี้แหล่ะ”...........ผมกดสายทิ้งด้วยความโมโหจนมือไม้สั่น.............ถ้าไม่โทรมาง้อก็ไม่ต้องคุยกันอีก..............ทำให้ผมสบายใจนิดๆหน่อยๆแค่นี้มันจะยากเย็นอะไรกันนักหนา...........แล้วใครกันที่บอกว่าไม่อยากจะเลิกๆ...............
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 21-11-2007 15:46:24
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 21-11-2007 18:44:34
เดินสายกลางดีกว่า
 :a3:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 21-11-2007 18:51:37
งานนี้ระยะทางเป็นอุปสรรคของความรัก  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 22-11-2007 09:58:28
ถ้าจะให้สบายใจก็โทษระยะทางดีกว่าเนอะ.......... :m15:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 22-11-2007 16:50:58
อ่านมาถึงตรงนี้ แล้วอารมณ์ขึ้นตาม
“ก็คนมันไม่ว่างน่ะ โอ๊วววววววว”..............
โคตรเกลียดเลย  แบบมา โอ๊ววววววว  อะไรใส่นี่นะ  เด๋วได้ด่า

ถ้าคนรักกัน คิดถึงกัน  จากกันช่วงแรกๆ ยิ่งอยากโทรหากันจะตาย
รักแท้ แพ้ระยะทาง  มักถูกในช่วงระยะเวลาที่ห่างกันนานๆ ไปแล้ว
ในกรณีนี้มันแปลกดี  ถ้านัทไม่ได้คิดมีแผนอะไร ก็เป็นคนแปลกมาก  เหมือนไม่คิดถึงกันเลย

รออ่านต่ออยู่  :a2:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 22-11-2007 17:16:31
พี่ก็ว่างั้นแหล่ะ.......... :m16:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 22-11-2007 17:37:22
เลิกเหอะ จะทรมานตัวเองทำไม ระยะทางไม่ใช่ปัญหา มันอยู่ที่ตัวบุคคลมากกว่า  :เฮ้อ:

ผู้ชายไม่ไร้เท่าใบพุทรา อย่างคุณกั๊งรับรองยังมีคนดีดีรออยู่เยอะ  :a1: :a1:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 26-11-2007 10:07:35
อยากเลิกเหมือนกันแหล่ะครับ.............แต่เสียดายเวลาที่ผ่านมา..........กว่าจะมาถึงตรงนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย............ผมเลยว่าจะให้เวลาเค้าปรับตัวสักระยะ...........บางทีอะไรๆมันอาจจะดีขึ้นก็ได้นะ positive thinking ดีมะ หุหุ :m29:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 26-11-2007 10:17:10
                         “พี่กั้งอย่าไปคิดอะไรมากเลย...........พี่ต้องพยายามเข้าใจน้องเค้าให้มากกว่านี้...........บางทีเค้าอาจจะกำลังสับสนกับตัวเองอยู่ก็ได้”...............อ้นแสดงความเห็นด้วยท่าทีจริงจังเมื่อได้ฟังผมปรับทุกข์เรื่องพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของนัท.................

                         ระยะหลังผมมักไปไหนมาไหนกับอ้นบ่อยๆ.............หล่อนเป็นเกย์รุ่นน้องของผมที่นัทไม่ค่อยชอบขี้หน้าสักเท่าไหร่...........คงเป็นเพราะความปากเสียของหล่อนเองนั่นแหล่ะ.........ในขณะที่นัทเองก็ไม่ชอบให้ใครมาแหย่ด้วยคำพูดคำจา...........ผมจึงตัดปัญหาด้วยการหลีกเลี่ยงไม่ให้ทั้งสองคนได้เจอกันบ่อยนัก............แต่ถึงยังไงผมก็ชอบที่หล่อนทำตัวเป็นคู่หูที่เข้าขากับผมได้ดี..........ดีกว่าน้องพรและมอลลี่ที่ยังมีข้อจำกัดในหลายๆเรื่อง..........นึกไม่ถึงว่ามาในวันนี้ หล่อนจะกลายเป็นคนเดียวที่ให้เหตุผลยืนอยู่ในข้างของนัท...........ในขณะที่คนรอบตัวของผมคนอื่นๆต่างเอือมระอาที่จะออกความเห็น.................

                         ผมเผลอชักสีหน้าใส่หล่อนเมื่อได้ฟังความคิดเห็นดังกล่าว..............ก็แล้วมันเหตุผลอะไรกันล่ะ.............ถ้าเป็นเหตุผลอย่างที่มนุษย์ธรรมดาสามัญเค้าคิดกันล่ะก็.................ผมขอยอมรับเลยว่า ผมจนปัญญาที่จะคิดออกว่ามันคือเหตุผลอะไร................คงมีแต่สวรรค์เท่านั้นที่จะล่วงรู้ถึงความคิดของเค้า.........หรือไม่ก็อาจจะเป็น..........นรกก็ได้ (ได้ใช้คำนี้แล้วสะใจดี อิอิ)..............

                       “น้องก็เคยเป็น............สมัยที่น้องเริ่มใช้ชีวิตเกย์ใหม่ๆ............เวลาที่ต้องไปไหนมาไหนกับแฟน.........น้องมีความรู้สึกขัดแย้งอยู่ในใจตลอดเวลาว่า.....เรามากับเค้าทำไม.........เรากำลังทำบ้าอะไรอยู่”...........อ้นสาธยายถึงความน่าจะเป็นสำหรับพฤติกรรมของนัท โดยยกเอาความรู้สึกในอดีตกาลอันไกลโพ้นของหล่อนมาเป็นบรรทัดฐานด้วยสีหน้าเคร่งเครียด จนทำให้ผมใจอ่อนลงเมื่อฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า..........บางทีมันอาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้.............

                        ที่ผ่านมานัทเองก็มีปัญหากับเรื่องความสับสนระหว่างความรู้สึกที่แท้จริงภายในใจของเค้ากับสิ่งที่เค้าคิดว่าเค้าควรจะทำตามหลักศาสนามาโดยตลอด..............แต่เราสองคนก็ผ่านเหตุการณ์ตรงนั้นมาด้วยกันได้จนถึงทุกวันนี้..........หรือว่าพอเค้าไปอยู่ห่างไกลจากผมแล้ว ความคิดเก่าๆพวกนั้นจะกลับเข้ามาในหัวของเค้าอีก.............

                        “มันไม่แฟร์กับพี่เลยนะอ้น...........ถ้าเค้าไม่อยากจะรับผิดชอบความรู้สึกของพี่ เค้าก็แค่จากไป ทุกอย่างก็จบ........มันง่ายนิดเดียว..........ที่ผ่านมาพี่เคยบอกเลิกกับเค้าตั้งหลายหน............แต่เค้าก็เป็นคนยื้อเอาไว้เอง........ถ้าเค้าจะรั้งพี่ไว้เพื่อตัวเค้า โดยที่ไม่แคร์ความรู้สึกของพี่เลย มันจะไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยเหรอ”.............ผมเผลอใส่อารมณ์กับอ้นอย่างเดือดดาล เมื่อนึกถึงความร้ายกาจที่นัทได้ทำกับผมเมื่อวาน...........หล่อนอมยิ้มพลางส่ายหน้าน้อยๆอย่างใจเย็น.............

                        “ใจเย็นๆก็แล้วกันพี่.............เดี๋ยวเค้าก็โทรมาเองแหล่ะ.......ค่อยๆพูดกัน..........น้องเค้ายังเด็กอยู่นะ”........เด็กเหรอ..........หึ...........เด็กกว่าผมน่ะใช่.............แต่เค้าโตพอที่จะรับผิดชอบชีวิตคนไข้ได้แล้วนะ.............เค้าคงไม่คิดอะไรแบบเด็กๆหรอก.............ผมว่าเค้าคงวางแผนเอาไว้แล้วต่างหาก.........ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ก็ถือได้ว่าเค้าเป็นคนที่เลือดเย็นที่สุดคนหนึ่ง................


                          ผมยกแก้วกาแฟขึ้นมาดื่มเพื่อย้อมใจพลางครุ่นคิดอะไรเงียบๆคนเดียว............อ้นคงเบื่อที่จะพูดจาเกลี้ยกล่อมจึงหันไปเมียงมองผู้ชายในร้านแทน............ผมบีบแก้วกาแฟเอาไว้ในมือแน่น........หึ........ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ผมจะไม่มีวันให้อภัยเค้าเลย............เค้านึกถึงแต่ตัวเอง............เค้าหลอกลวงให้ผมคิดว่าเค้าแคร์ เค้าต้องการผม ไม่อยากให้ผมทิ้งเค้าไป.........เพียงเพื่อที่เค้าจะได้มีเวลาตัดใจถอยห่างออกไป...........เมื่อไหร่ที่เค้าทำได้สำเร็จ..........เค้าก็จะไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอะไร...........แต่คนที่จะต้องเจ็บปวดก็คือผมคนเดียว.............

                         ยังไม่ทันที่ผมจะได้ขมวดความคิดให้เป็นปม.............เสียงโทรศัพท์ก็ดังแว่วขึ้นมาจากกระเป๋า..........อะไรบางอย่างกระซิบบอกผมมาตามสายลมว่าต้องเป็นนัท.............และก็จริง.............

                        “ฮัลโหล............ทำอะไรอยู่”..............นัททักเสียงเรียบ.............ผมถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน..........มาสไตล์เดิมอีกแล้ว..............โทรมาแล้วแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับเรื่องเก่า..........และผมก็ปัญญาอ่อนพอที่จะไม่โกรธอีกเหมือนเดิม............ทั้งๆที่เมื่อครู่ยังออกอาการเป็นฟืนเป็นไฟอยู่แท้ๆ..............

                         “ไม่ได้ทำอะไร...........มานั่งดื่มกาแฟ”............ผมบอกเนือยๆ.............แต่ผมไม่ใจแข็งพอที่จะโกรธเค้าได้ลงหรอก..............เค้าโทรมาก็คงแสดงว่าสำนึกผิดแล้ว..............ผมไม่อยากจะปักใจเชื่อว่าเค้าจะคิดร้ายกาจกับผมได้ขนาดนั้นหรอก..............

                          “วันศุกร์หน้ามารับหน่อยสิ จะไปจัดฟัน”..............นัทบอกเสียงอ่อย.........บางทีเค้าอาจจะคิดว่านี่เป็นการง้อแล้วมั้ง...........แต่ออกจะเป็นการง้อที่แสนจะสบายไปหน่อย...........เนื่องจากการกระทำเช่นนี้ไม่ได้ทำให้เค้ารู้สึกผิดมากนักเพราะเค้าเลี่ยงที่จะไม่กล่าวถึงสิ่งที่เค้าได้ทำลงไปแล้ว รวมถึงไม่ได้กล่าวคำว่าขอโทษออกมา.......และแสนจะสบายเพราะผมต้องเป็นฝ่ายขับรถไปรับเค้าถึงที่แพร่ทั้งๆที่ผมควรได้รับการพะเน้าพะนอเพื่อง้องอน..............แต่ถึงยังไงผมก็เต็มใจนั่นแหล่ะ............เชื่อเค้าเลยมั้ยล่ะ............ความรักทำให้คนที่เรียนถึงระดับปริญญาเอกอย่างผม ซึ่งถือได้ว่าเป็นระดับการศึกษาสูงสุด ที่พึงเรียกว่าเป็นผู้มีปัญญาแล้วในยุคปัจจุบัน กลายเป็นคนที่ทำอะไรดูเหมือนคนโง่บ้า..............ไม่เด็ดขาด..........ไม่มั่นใจในตัวเอง............และไร้เหตุผลปัญญาอ่อน..............มันช่างมีอานุภาพมากมายจริงๆ........มีอานุภาพทั้งในทางสร้างสรรค์และทำลาย..........ซึ่งตอนนี้ถึงไม่ต้องบอกก็คงพอจะรู้ว่ามันกำลังทำลายความสุขของผมให้ย่อยยับลงไป โดยที่ผมยังไม่สามารถค้นหาทางออกที่ดีสำหรับทุกฝ่ายเจอ.............

                        “อืม...........กี่โมง...........ที่ไหน”............ผมรับปากอย่างว่าง่าย...........นี่ถ้าเค้าบอกให้ผมไปตาย........ผมยังสงสัยเลยว่า บางทีผมอาจจะไปตายตามที่เค้าบอกก็ได้นะ (ฮา)

                        “เดี๋ยวจะโทรมาบอกอีกที.............แค่นี้นะ”.............โฮะ.............วางสายไปแล้ว...............ผมคงตามใจเค้าจนเคยตัวแล้วมั้งเนี่ย.................จะถามไถ่กันสักคำก็ไม่มี...........บ้าชัดๆ..........

                        แต่ผมก็แอบยิ้มออกมาน้อยๆ..............อ้นจ้องมองมาที่ผมอย่างยากจะเดาว่าสายตาของหล่อนแสดงความยินดีด้วยหรือว่าสมเพชกันแน่.............

                        “เค้าโทรมาก็ดีแล้วนี่.............ค่อยๆพูดค่อยๆจากันก็แล้วกัน”.............อ้นเอ่ยออกมาในที่สุด............

                        ผมไม่ว่ากระไรนอกจากนึกทอดถอนใจอยู่คนเดียว...........ระยะหลังมานี้เสียงหัวเราของผมมักจะเป็นเสียงหัวเราะแห้งๆไม่เต็มเสียง............รอยยิ้มก็ไม่สดใสเพราะมันเจือความทุกข์เอาไว้อย่างยากที่จะสลัดให้หลุดไปได้.........ไกลกันก็ทุกข์ใจพอแรงอยู่แล้ว...........นี่ยังจะมาเจอปัญหาความไม่เข้าใจกันอีก...........เฮ้อ.........กรรมจริงๆ...........

                         “พี่ก็พูดดีๆตลอดนั่นแหล่ะ...........แต่เค้าไม่ยอมร่วมมือด้วยง่ายๆหรอก...........เค้าชอบเอาความรู้สึกของตัวเองเป็นใหญ่ตลอด”...........ผมรำพึงรำพันออกมาอย่างคนหมดอาลัยตายอยาก...........โดยปกติผมจัดเป็นคนที่มีจิตวิทยาในการชักจูงหว่านล้อม และประนีประนอมสูงคนหนึ่ง...........แต่กับคนๆนี้ผมพยายามงัดเอาออกมาใช้ทุกวิธีทางแล้ว............จนผมเองนั่นแหล่ะที่ต้องไปพบจิตแพทย์เสียเอง.........อิอิ............


                         “พี่กั้งไม่ชวนเจมากินข้าวด้วยกันล่ะ”.............อ้นเปลี่ยนเรื่องเสนอกิจกรรมแก้เบื่อ.............ดูหล่อนจะชอบเจอยู่ไม่น้อย...............แต่ผมกลับเฉยๆ.............ทัศนคติด้านความรักของผมจะคล้ายความคิดของผู้หญิงที่ว่า เมื่อได้รักแล้ว จะดีจะชั่วยังไงก็ขึ้นชื่อว่าแฟนเรา.............ถ้าจะเลิกกันก็ขอให้เป็นความผิดของเค้า..............อย่าให้เป็นเพราะว่าเราประพฤตินอกใจเลย.............ผมไม่อยากทำลายศักดิ์ศรีของตัวเอง........หากเราต้องมีเรื่องให้เราทะเลาะกัน อย่างน้อยๆผมก็จะได้เถียงคอเป็นเอ็นบ้างแหล่ะว่าผมไม่เคยนอกใจเค้าเลยและทำตัวดีมาตลอด.........เห็นมั้ยล่ะว่าการซื่อสัตย์ต่อคนรักก็มีดีตั้งหนึ่งข้อแน่ะ...........




                          ผมเฝ้านั่งนับวันรอ....................แค่อีกสองวันก็จะถึงวันศุกร์แล้ว...............แต่นัทก็ยังไม่โทรมาอีกตามเคย.............ครั้งที่นัทจากไปใหม่ๆ...........ผมเคยข้อร้องเค้าดีๆหนหนึ่ง เรื่องโทรศัพท์..........แต่เค้าก็แค่รับปากแบบส่งเดช...........สุดท้ายเค้าก็ปล่อยให้ผมนั่งรอนอนรออยู่กับความภักดีที่แสนจะทรมานเหมือนเดิม..............

                          “นัท...........ตั้งแต่เราคบกันมา........พี่ยังไม่เคยขออะไรนัทเลย.........คราวนี้พี่จะขออะไรสักอย่าง นัทจะให้พี่ได้มั้ย”..........นี่เป็นคำขอร้องในคราวนั้น ที่ผมไปจำมาจากละครน้ำเน่า..........ผมชอบทำอะไรเลี่ยนๆแบบนี้แหล่ะ.........หากดูจากบุคลิกภายนอกอาจจะจิตนาการไม่ออกเลยก็ได้..........ผมอย่าจะสื่อไปถึงเค้าประมาณว่า ฉันรักและเทิดทูนต่อเธอมาโดยตลอดนะ.........เพราะฉะนั้นขออะไรตอบแทนความดีฉันบ้าสิ ทำนองนั้น............

                            “อะไรล่ะ”..........นัทถามเสียงแผ่วเหมือนไม่แน่ใจนักว่าจะทำให้ได้อย่างที่ขอ............

                           “พี่ขอให้นัทโทรหาพี่บ้าง..............วันเว้นวันก็ยังดี..........นัทก็รู้อยู่แล้วว่าพี่ไม่โทรไปหานัทหรอก พี่เกรงใจ......แต่พี่ก็อยากคุยด้วยพอให้คลายทุกข์บ้างเท่านั้น”.............ผมพยายามใช้เหตุผลหว่านล้อมเพื่อชี้ให้เค้าเห็นว่าผมไม่ใช่คนชอบโทรไปเซ้าซี้............และผมก็อยากให้เค้าโทรหาผมด้วยความห่วงใยบ้าง..........ไม่ใช่ต่างคนต่างอยู่แบบนี้.............จริงๆแล้วผมไม่ควรจะต้องมานั่งหน้าด้านร้องขอเรื่องนี้จากเค้าด้วยซ้ำ..............ถ้าเค้าแคร์ผมเค้าก็ควรจะทำได้ เพราะคนรักกันมันต้องอยากคุยกันสิ........เว้นแต่ว่าจะไม่รัก...........

                         “ก็พี่กั้งน่ะ พอโทรไปหาก็ชอบชวนคุยนาน.........พูดแต่เรื่องไร้สาระ..........น่าเบื่อ”.............เออ...........น่าเบื่อมากใช่มั้ย........ฮึ่มมมม.....ผมรู้ว่าเค้าพูดไปตามประสาคนดื้อรั้น แต่สุดท้ายเค้าจะต้องยอมตามใจผมแน่ๆ........

                         “อืม..........จะพยายามก็แล้วกัน”...........นัทตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้..............

                         “ไม่เอา..........ต้องรับปากก่อน”..........ผมไม่ยอมรามือง่ายๆหรอก...........ต้องเค้นเอาสัจจะวาจาจากเค้าให้ได้...........แล้วคอยดูซิว่าจะทำได้อย่างที่พูดหรือเปล่า............

                          “อืม.........ก็ได้”...........นัทยอมรับปากในที่สุด..................แต่เค้าก็ทำได้เพียงแค่ระยะสั้นๆเท่านั้น............ไม่นานเค้าก็กลับไปเป็นเหมือนเดิม..............เฮ้อ............รู้สึกเหมือนผมรักเค้าอยู่ฝ่ายเดียวยังไงก็ไม่รู้...........นี่ถ้าไม่ถือว่าได้เสียอยู่กินกันมา...........ผมคงเลิกไปนานแล้วล่ะ........พอคิดย้อนหลังกลับไปทีไร ก็ยังเห็นความดีที่เคยทำต่อกันมา............ไม่อยากจะตัดสินใจอะไรลงไปโดยพละการ..........ผมจะทนจนกว่าผมไร้ความรู้สึกต่อเค้าไปเอง............เมื่อนั้นผมจึงจะเป็นอิสระและไม่เจ็บปวดอีกต่อไป...........


                         ในที่สุดความอดกลั้นของผมก็สิ้นสุดลง..............ไหนว่าจะให้ไปรับวันศุกร์...........แล้วทำไมป่านนี้ยังไม่โทรมาบอกอีกว่าจะให้ไปได้กี่โมงยังไง.........แค่อีกสองวันก็จะถึงวันศุกร์แล้วนะ............และอีกอย่างผมก็พยายามอดทนไม่โทรไปรบกวนเค้ามาตั้งสามวันแล้ว.............เค้าคงจะไม่โกรธหรอกมั้ง หากผมจะโทรไปหา............คิดๆแล้วก็น้อยใจในวาสนาตัวเองเหลือเกิน............จะโทรหาแฟนทั้งทีต้องมานั่งคิดละเอียดปลีกย่อย ราวกับว่าจะโทรถึงนายกรัฐมนตรีก็ไม่ปาน.............ว่าแล้ว ผมก็กลั้นใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรถึงนัทด้วยหัวใจที่สั่นระทึก.............
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 26-11-2007 18:17:00
ผมก็กลั้นใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรถึงนัทด้วยหัวใจที่สั่นระทึก

หุหุ พอได้คุยกัน ระวังช็อคไปเลยนา  :m14:  :m14:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 26-11-2007 18:40:23
แต่จะว่าไปคุณกั้งก็คิดมากเหมือนกันนา
จะโทรหาแฟนทั้งที  คิดมากทำไม  อย่ามีทิฐิต่อกันดิ
ทำไมต้องกลัวว่าเราจะเสียศักดิ์ศรีที่จะโทรหาด้วยอ่า

แต่ถ้าโทรหาหลายๆ ครั้งแล้วมันไม่เวิร์ก  เมื่อนั้นค่อย ตัดใจ ทำใจให้ไม่คิดถึงเค้า
มาคิดวนๆ เวียนๆ ไปมา  หาเหตุผลร้อยประการ  ปวดหมองมากๆๆเลย

รออ่านต่อ  :a2:  :a2:  :a2:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 26-11-2007 19:48:00
เห็นด้วยกะพิมนะจ๊ะ  โทรหาแฟนนะ คิดถึงก็โทรเลยคิดไรมาก ไม่ได้โทรทุก 5 นาทีซะหน่อย

คุณกั๊งสู้ๆนะ ถ้ายังไม่คิดจะเลิกก็เป็นกำลังใจให้ต่อ เอาชนะให้ได้  :m4:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 26-11-2007 19:52:50
จะไม่ให้คิดมากได้ไงล่ะครับ.......โทรไปทีไรโดยโวยทุกทีเลย...... :m15:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 26-11-2007 20:39:26
 :m1: งั้นก็ต้องถามเค้าแหละว่ารักกันรึป่าว คิดถึงก็โทรหาไม่ได้

อย่างน้อยจะได้รู้ ยิ่งเป็นอย่างนี้ต่อไปคนช้ำคือคุณกั๊งเอง

คิดมากสุขภาพแย่เอง ถ้ารอให้เค้าคิดได้คุณมิแก่ไปกว่านี้หรอแล้วจะหาแฟนใหม่ยากนา คิดดูนะ เอาใจช่วยอีกที   :a2:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 04-12-2007 09:50:51
อากาศก็เย็นลงทุกที............อยู่กรุงเทพมาตั้งเจ็ดเดือนแล้วยังหาแฟนไม่ได้อีก............เฮ้อ ทำไมชีวิตมันช่างแสนจะน่าเบื่อขนาดนี้นะ.........หุหุ........... :sad2:




...
                        “ฮัลโหล.........มีอะไร” นัทรับโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงที่แสดงความเซ็งสุดขีด..............ผมชักโมโหขึ้นมาหน่อยๆเมื่อได้ยิน..............นี่ขนาดว่าผมไม่ได้โทรมาหาเค้าสองวันแล้วนะเนี่ย...........ผมเป็นคนน่าเบื่อมากขนาดนี้เลยหรือยังไง.............นี่เค้าเป็นบ้าอะไรของเค้ากันแน่ หรือว่าเป็นโรคกลัวโทรศัพท์.............ทีโทรคุยกับคนอื่นเห็นคุยเป็นคุ้งเป็นแควตั้งนานสองนานไม่มีบ่นสักคำ..............

                        “จะให้พี่ไปรับกี่โมง ไม่เห็นโทรมาบอกเลย”..........ผมถามกลับเสียงห้วน........เพราะตอนนี้ก็ชักจะมีอารมณ์ขึ้นมาบ้างแล้วเหมือนกัน..............นี่มันธุระของเค้าไม่ใช่หรือ.............ตัวเองจะมาจัดฟัน จะให้ผมขับรถไปรับตั้งสองชั่วโมง.............ยังจะมีหน้ามาทำเสียงเบื่อหน่ายใส่อีกเหรอ.............

                        “ยังไม่รู้เลย..........วู้วววววววววว............ถามอยู่ได้ น่ารำคาญ.........จะกลับเมื่อไหร่เดี๋ยวก็โทรบอกเองนั่นแหล่ะ”..............เอ๋า.............แค่ถามแค่นี้มันน่ารำคาญตรงไหนวะ..........ผมทั้งรู้สึกงง และโมโห............มือที่กุมโทรศัพท์อยู่ สั่นระริกโดยไม่รู้สึกตัว........อยากจะด่ากลับให้สมแค้น แต่ตอนนี้สมองมันเต็มตื้นไปด้วยความน้อยใจจนพูดอะไรไม่ออก...........

                         “แล้วพี่ไม่มีสิทธิ์จะรู้อะไรเลยใช่มั้ย”..............ผมระเบิดเสียงใส่อย่างหมดความอดทน..........ตอนนี้ผมจะพูดอะไรก็ไม่ได้เลยสักอย่าง............จะทำอะไรก็ผิดไปหมด..............นี่เค้าเห็นผมอยู่ในฐานะอะไร.........ส่วนเกินของชีวิตของเค้าหรือยังไง..............

                          “ถ้าจะโทรมาหาเรื่องก็ไม่ต้องคุยกันเลยนะ...........แค่นี้นะ”...........นัททำท่าจะวางสาย.........แต่ตอนนี้ผมไม่ฟังเสียงอะไรแล้ว..........เค้าจะหนีหน้าผมด้วยวิธีนี้ไม่ได้.............อยากเลิกก็บอกมาตรงๆสิ........จะมาทำร้ายความรู้สึกกันต่อไปอีกทำไม...........คิดเหรอว่าผมจะอยากฝืนใจกับคนที่หมดรักกันแล้ว.............ผมไม่ใช่คนหน้าด้านแบบนั้นหรอกนะ.................ทำไมเค้าไม่พูดมันออกมาให้จบๆไปเลยล่ะ.........หรือคิดว่านี่เป็นการรักษาน้ำใจกันแล้วหรือยังไง...........เปล่าเลย..............มันเป็นการทำลายความรู้สึกที่ดีของผม ลงไปเรื่อยๆมากกว่า...........

                         “นี่..........พี่ยังพูดไม่จบนะ...........ห้ามวางสายนะ...........พี่ยังพูดไม่จบ”............ผมตะคอกใส่โทรศัพท์ด้วยความโมโหสุดขีด............ทำไมเค้าต้องเป็นฝ่ายหาเรื่องทุกครั้งที่ผมโทรมา............นี่เค้าจะไม่ยอมคุยกับผมดีๆเลยใช่มั้ย.............มิหนำซ้ำยังมากล่าวหาว่าผมโทรมาหาเรื่องเค้าอีกต่างหาก..........คิดได้ยังไง............

                         “มีอะไรอีกล่ะ….ว่ามาสิ”.............นัทย้อนกลับมาอย่างเย็นชา...........แม้คำสั่งของผมยังใช้ได้ผลอยู่บ้าง..............แต่น้ำเสียงของเค้าแสดงความดูแคลนจนผมสะท้านไปทั้งใจ................


                          “ทำไมนัทจะพูดดีๆกับพี่บ้างไม่ได้หรือไง............พี่โทรมาทีไรนัทต้องคอยหาเรื่องตลอด............พี่ไม่เข้าใจเลยจริงๆ”..............ผมพยายามกระตุ้นสามัญสำนึกในการใช้เหตุผล...........รวมถึงความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของเค้า.............ถ้ามันยังคงหลงเหลืออยู่บ้างในตอนนี้............เค้าคงจะยอมคุยเปิดอกกับผมดีๆ..............ถึงแม้ว่าเค้าจะบอกเลิกกับผม ผมก็จะไม่เสียใจสักนิด..............แต่อย่ามาทำร้ายจิตใจกันด้วยวิธีการแบบนี้อีกเลย.............ผมเจ็บจนจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว............ยิ่งคิดถึงคำขอร้องในอดีตที่เค้าไม่ต้องการให้ผมทิ้งเค้าไป...........คิดถึงความพยายามของเค้าที่จะทัดทานผมเอาไว้ ยิ่งทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวด........ผมไม่น่าใจอ่อนกับคนคนนี้เลย...........

                          “ก็พี่กั้งอ่ะโทรมาทีไรก็ถามแต่เรื่องเดิมๆ ซ้ำๆซาก..........ว่าจะกลับเมื่อไหร่............ทำไม............อะไร...........มันน่าเบื่อเข้าใจมั้ย”...........นัททำน้ำเสียงกระแนะกระแหนแดกดัน............มันช่างน่าอดสูใจเหลือเกินเมื่อได้ฟัง...............สาบานได้เลยว่าคู่รักที่ไหนๆ เค้าก็ต้องถามกันแบบนี้ทั้งนั้น..............ผมไปบีบคั้นกดดันเค้าที่ตรงไหน........เค้าจะไม่ให้ผมยุ่งกับเรื่องของเค้าเลยสักอย่างงั้นเหรอ............แล้วผมจะยังอยู่กับเค้าในฐานะอะไร...........แม้แต่คำว่าเพื่อนก็ยังจะดูดีเกินไปด้วยซ้ำสำหรับสิ่งที่เค้ากำลังทำกับผมตอนนี้...............

                          ผมนิ่งงันไปชั่วขณะกับคำพูดที่แสนร้ายกาจของนัทเมื่อครู่................เค้าช่างใจจืดใจดำกับผมได้ลงคอ.....เค้าไปขุดเอาคำพูดแดกดันที่แสนเจ็บแสบพวกนั้นมาจากไหน..............มันช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจคนที่ทั้งรักและเป็นห่วงเค้ายิ่งกว่าใคร อย่างผมได้อย่างเลือดเย็นยิ่งนัก.............

                          “ไม่มีอะไรแล้วใช่มั้ย...........จะวางสายแล้วนะ”.........เมื่อเห็นผมนิ่งเงียบไป นัทก็วกกลับเข้ามาที่การขู่จะวางสายอีกรอบ..............ผมได้สติจึงรีบร้องห้ามเอาไว้

                          “อย่าเพิ่งสิ...........เรายังคุยกันไม่จบนะ”..................แต่สายเกินไปเสียแล้ว.............สัญญาณที่ปลายสายถูกตัดเงียบหายไปพร้อมๆกับสิ้นเสียงห้ามของผม............

                          ผมกระหน่ำกดโทรศัพท์กลับไปที่เบอร์ของนัทราวกับคนเสียสติ............ไม่มีเสียงตอบรับนอกจากสัญญาณที่ทิ้งเอาไว้ให้ฝากข้อความ...........เมื่อเห็นว่าไม่มีประโยชน์ที่จะทำเช่นนั้น ผมจึงหันกลับมานั่งจมจ่ออยู่กับความคิดวนเวียนซ้ำซากเพียงลำพัง.................เค้ามีเหตุผลอะไรของเค้ากันแน่ที่ทำแบบนี้............จะว่ามีคนใหม่............นัทก็ไม่น่าจะเป็นคนแบบนั้น...........อีกอย่างเค้าก็เพิ่งจะไปได้แค่เดือนเดียว จะไปเจอใครได้ไวขนาดนั้น...........ยิ่งถ้าจะไปคบกับผู้ชายยิ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะเค้ากลัวคนอื่นจะรู้ว่าเค้าเป็นเกย์ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด................

                         แม้จะเสียใจและน้อยใจอย่างเหลือประมาณ แต่ไม่มีน้ำตาสักหยดไหลออกมาพอให้ผมได้ผ่อนคลายความรู้สึกลง...........ตอนนี้สมองของผมปั่นป่วนไปหมด............คงเป็นกรรมที่ผมได้เคยทำกับเค้าเอาไว้ในชาติปางก่อน.........ตอนนี้คงถึงคราวที่เค้าจะมาเอาคืนบ้างกระมัง...........ผมเดินไปหยิบเบียร์ในตู้เย็นมาเปิดดื่มเพื่อดึงจังหวะความคิดให้ช้าลง...........ดื่มอีกสักหน่อยอาจจะทำให้หลับได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องคิดมากฟุ้งซ่านกับเรื่องรกสมองพวกนี้.............



                         ผมงัวเงี่ยตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่พร้อมกับเสียปลุกจากโทรศัพท์............คงเป็นนัทนั่นแหละ.........เค้ามักจะโทรมาง้อหลังจากที่ทำให้ผมเสียใจเสมอ.............

                         “ฮัลโหล...........เดี๋ยวมารับนัทสักเที่ยงนะ”...............ไม่มีแม้แต่ความรู้สึกสำนึกผิดเจืออยู่ในน้ำเสียงของเค้า...........และผมก็รับคำด้วยความเคยชิน............เหมือนคนสิ้นแล้วซึ่งหัวใจ.............

                         เหลือบไปมองนาฬิกาที่วางบนหลังทีวีบอกเวลาแปดโมงเศษ............ผมลุกงัวเงียขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวอย่างอ่อนระโหย...........นึกแปลกใจเหลือเกินว่าทำไมตัวเองถึงอดทนได้มากขนาดนี้.........หากเป็นคนอื่นอย่าว่าแต่ตะคอกใส่เลย.............แค่เพียงไม่ถูกใจเล็กน้อยผมก็พร้อมที่จะจรลีไปอย่างไม่ใยดี............แต่ทำไมกับนัท ความคิดนี้มันไม่เคยแจ่มชัดในหัวสมองของผมเลย..........นอกจากจะแว๊บเข้ามาทักทายอย่างพร่าเลือนบ้างในบางทีเท่านั้น............

                         ผมพยายามแต่งตัวให้ดูดีที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อเค้า...........ขับรถออกไปโดยไม่ได้ฝากข่าวสารเอาไว้กับใครทางนี้............ในใจอยากจะเดินทางไปให้ถึงไวๆเพื่ออะไรก็ไม่อาจทราบ...........แต่อย่างน้อยๆก็อยากให้ถึงที่นั่นราวๆเที่ยง................


                           ระยะทางเชียงใหม่ถึงแพร่เป็นเส้นทางขึ้นเขา สลับกับที่ราบบ้างเพียงช่วงสั้นๆ.............บรรยากาศสองข้างทางเขียวชะอุ่มเพราะอยู่ในช่วงต้นฤดูฝน.............ผมแวะปั๊มข้างทางเพื่อเติมน้ำมันเมื่อผ่านตัวเมืองลำปางมาได้เพียงเล็กน้อย............รู้สึกหิวขึ้นมาตะหงิดๆจึงเดินเกร่เข้าไปหาอะไรดื่มตรงร้านกาแฟที่ถูกตกแต่งเอาไว้อย่างน่ารักใกล้ๆ.......

                         “ขับรถทะเบียนอุบล มาไกลเหมือนกันนะคะ”............แม่ค้าขายกาแฟทักทายเป็นภาษาเมืองอย่างคนมีอัธยาศัยดี............ผมยิ้มตอบก่อนจะรับกาแฟจากเธอมาวางไว้ที่โต๊ะเล็กๆด้านข้างเพื่อนั่งเปลี่ยนอิริยาบถ..........
“อ๋อ........ไม่หรอกครับ..........ผมเรียนอยู่ที่เชียงใหม่แค่นี้เอง..........ว่าจะไปแพร่นะครับ.........ว่าแต่ว่าอีกไกลมั้ยครับกว่าจะถึง”..............ผมเอ่ยถึงชื่ออำเภอที่นัทอยู่เป็นการหาเรื่องชวนคุยเพื่อตอบแทนอัธยาศัยอันดีของเธอ พลางควักบุหรี่จากกระเป๋าขึ้นมาสูบด้วยความเคยชิน............

                          “ไม่ไกลหรอกค่ะ...........ขับรถไปอีกไม่ถึงชั่วโมงก็คงถึง”.............หล่อนว่าพลางยกแก้วน้ำเปล่ามาเสริฟ............

                           “ไปหาเพื่อนเหรอคะ”..........คงเป็นคำถามชวนคุยเรื่อยเปื่อยแก้เบื่อธรรมดา..............แต่มันกลับชนเข้าที่ใจผมอย่างแรง...............

                          “ไม่ครับ..........ผมไปรับแฟน”.............ผมตอบเบาๆแล้วแกล้งหันมองออกไปที่นอกร้าน...........หวังว่าหล่อนคงไม่สามารถมองทะลุแว่นกันแดดเข้ามาถึงดวงตาที่ว่างเปล่าของผมได้หรอกนะ..........หาไม่ หล่อนคงคิดว่าแววตาของผมมันช่างสวนทางกันเหลือกันกับประโยคคำตอบที่เพิ่งบอกออกไปเมื่อครู่.........

                         นัททำงานในโรงพยาบาลชุมชนในอำเภอเล็กๆ.............ผมขับรถหลงและโทรถามทางนัทหลายรอบจึงมาถึงที่หอพักในโรงพยาบาลได้..............

                         นัทออกยืนรอรับอยู่แล้วที่ระเบียงด้วยสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิงเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน............เมื่อผมนำรถเข้ามาจอดเค้าก็ผลุบหายเข้าไปในห้อง ปล่อยให้ผมเดินตามขึ้นไปเองเพียงลำพัง.............ทำแบบนี้อีกตามเคยสินะ.........ผมแอบนึกในใจ............

                        สภาพห้องของนัทเป็นเหมือนแฟลตที่พักทั่วไปของพนักงานในโรงพยาบาล.......แต่ก็โอ่โถงพอดูสำหรับคนเพียงคนเดียว............มีห้องรับแขก...........ครัว ห้องน้ำ..........และห้องนอนเล็กๆสองห้อง..........

                        ผมเดินตามนัทเข้าไปถึงห้องนอนก็พบว่าเค้ากลับขึ้นมานอนบนเตียงต่อ..............ท่าทางเค้าเหมือนเด็กที่เพิ่งจะทำผิดและโดนจับได้แต่ไม่ยอมรับผิด.........ไม่พูดไม่จา...........ทำเป็นซึมกระทือไม่ยอมสู้หน้า............ผมยืนมองเค้าด้วยความรู้สึกหลากใจ...............ไม่รู้สิ............ผมรู้แค่ว่าผมอภัยให้เค้าได้เสมอ...........นึกถึงสิ่งที่เค้าทำกับผมแล้วก็ชวนให้น้อยเนื้อต่ำใจยิ่งนัก...............แต่ความรักและความคิดถึงของผมที่มีต่อเค้านั้นมากกว่า............

                         นัทนอนหันหลังให้ผมและแกล้งทำเป็นนอนหลับต่อ...........แต่ผมสัมผัสได้ถึงความทุกข์ใจที่เค้ากำลังแบกมันเอาไว้............ผมรู้ว่าเค้ารักผม...........ผมรู้ว่าเค้ากดดันกับการพยายามเป็นในสิ่งที่เค้าไม่ได้อยากจะเป็น...........ผมไม่อยากให้เค้าเลือกทางที่ถูกต้องสำหรับศาสนา...........แต่ไม่ถูกต้องสำหรับความรู้สึกของผมและเค้า...........มันน่าจะมีทางออกที่ดีกว่านี้.............แต่ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร..............ทำมันเรื่องแบบนี้ต้องเกิดขึ้นกับเราด้วย..............หรือนี่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่ต้องการลงโทษมนุษย์ผู้เปื้อนด้วยบาปหนาเช่นเราสองคน.........

                         ผมเดินย่องเข้าไปที่เตียงของนัท แล้วก้าวเท้าขึ้นไปนอนกอดเค้าจากทางด้านหลังอย่างแผ่วเบา ผมรู้ว่าเค้าไม่ได้นอนหลับอย่างที่เค้ากำลังพยายามจะทำ............ผมอยากจะกอดเค้าเอาไว้แบบนี้นานๆก่อนที่ผมจะไม่มีโอกาสได้ทำมันอีกต่อไป............ไม่มีคำพูดใดๆออกจากปากของเราสองคน.............มีเพียงแค่ความเงียบงันที่ชวนให้น่าหดหู่ใจ.............ผมซบใบหน้าเกลือกกลิ้งอยู่บนแผ่นหลังของนัทอย่างเป็นทุกข์..............ความรันทดใจทั้งหลายที่เคยแบกรับเอาไว้ ประดังประเดเข้ามาจนเกินจะต้านเอาไว้ได้............ผมจึงร้องไห้ออกมาเงียบๆ...............ผมรักเค้าเหลือเกิน.............ทำไมชีวิตของเราต้องเป็นแบบนี้ด้วย...........ทำไม.............
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: T-Jang ที่ 04-12-2007 10:21:06
 :sad2: :sad2: :sad2: เศร้า

 :o12: :o12: :o12: เสียใจ

 :undecided:  :undecided: :undecided:หาทางออกไม่ได้

รักกันไปเหอะ  มันก็มีเวลาที่น่าจดจำมากมายไม่ใช่เหรอ นะเอาใจช่วย :a2:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 04-12-2007 11:07:49
พี่กั้งอะ  ชอบเอาแต่ใจตลอดเลย

รู้อยู่แล้วว่าไอ้นัทมันไม่ชอบให้ใครไปจู้จี้กะเรื่องของมัน  พี่ก็ยังไปเซ้าซี้ถามอยู่นั้นแหละ  น่ารำคาญอย่างที่นัทมันว่าจริงๆ ด้วย

น่าเบื่อสุดๆ  คำถามมีมากมายอีกร้อยแปดทำไมไม่ถาม  ถามอยู่ได้แต่คำถามเดิมๆ

แฟนนะ  ไม่ใช่แม่  จะเซ้าซี้หาพระแสงดาบของ้าวอะไรมิทราบเคอะ?

ก็น่าจะรู้ดีว่า  ไม่ต้องถามมาก  เดี๋ยวมันก็จะโทรมาบอกเองว่าจะกลับเมื่อไหร่  แล้วเห็นไหมว่ามันก็ทำตามที่มันบอกจริงๆ

น้องก็เข้าใจอยู่ว่าคนรอคอยมันต้องกระวนกระวาย  อยู่กับความไม่แน่นอนมันก็ทุกข์เป็นธรรมดา

แต่ในเมื่อ "คู่"  ของพี่มันเป็นอย่างนั้น  พี่ก็น่าจะหาวิธีจัดการกับมันได้นะ

ใช่ว่าจะมีพี่คนเดียวซะเมื่อไหร่ที่ทุกข์ใจกับ "เรื่องนี้"

 :เฮ้อ:

ปล. เม้นต์ยาว  เหนื่อย  เอาค่าเม้นต์มาด้วยนะ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 04-12-2007 13:11:46
จะไปเข้าข้างเค้าทำไม...........เข้าข้างพี่เธอนี่ถึงจะถูก...........หุหุ :m16:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 05-12-2007 00:00:03
งานนี้เข้าข้างคุณกั้งอ่ะ ธุระของนัทนะ ทำไมไม่รู้จักรับผิดชอบ เกรงใจบ้างสิ  :m16:   :m16:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: kongkilmania ที่ 05-12-2007 17:29:19
 :เฮ้อ:

อึดอัดจังเลยอ่ะ  อยากให้คุณกั้งทำไรให้มานเด็ดขาดไปเลยจริงๆ

 :m26:  ทิ้งนัทไปเลยไม่ได้เหรอ  (ขออภัย  อินไปหน่อย นึกว่าเป็นตัวเองซะงั้น)

ก็รู้นะว่าไม่ได้เจอกะตัวก็พูดได้   แต่ถ้าเจอกะตัวก็คงจนปัญญาเหมือนกัน

เป็นกำลังใจให้คุณกั้งละกันเนาะ      :a1:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 06-12-2007 09:18:08
ออกกำลังกาย พักผ่อนไปเที่ยวธรรมชาติ พบปะเพื่อนๆ
อาจจะทำให้สิ่งที่กำลังทำ ไม่วนเวียนอยู่ที่เดิม
และมองเห็นทางออกของปัญหาก่อนตัดสินใจอะไรลงไป
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 06-12-2007 10:01:08
ไม่อยากเลิกทั้งที่ยังไม่ชัดเจนในความคิดครับ............ผมไม่อยากมานั่งเสียใจกับการตัดสินใจพลาด.............รอให้มันถึงเวลาเอง...........ถึงตอนนั้นถ้าเลิกก็คงแค่เสียใจ..............แต่ไม่เสียดาย :m8:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: T-Jang ที่ 06-12-2007 11:09:36
อ้างถึง
ไม่อยากเลิกทั้งที่ยังไม่ชัดเจนในความคิดครับ
อืมมม...คิดเหมือนกันเลย
ถ้าเป็นเราก็คงไม่เลิก...ปล่อยให้สถานการณ์มันไปเรื่อยๆเองดีกว่า
ถ้าไม่มีเรื่องมือที่3 เข้ามานะ


ก็เรายังรักเค้าอยู่นี่นา  แล้วเราว่านัทก็รักคุณกั้งนะ

เป็นแรงเชียร์ให้รักกันยืนยาวต่อไป :a2:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 06-12-2007 20:41:48
อืมม  รักคนที่มีพื้นฐานไม่เหมือนกัน ก็คงต้องทำใจ
ที่ทำได้ก็คือ  อย่าคาดหวังมาก ทำให้ดีที่สุด  เค้าตอบรับเรามาได้แค่ไหนก็แค่นั้น
ให้รับรู้ว่าเค้าก็รักเราเหมือนกัน  ไม่ว่าเค้าจะแสดงออกยังไงให้เรามั่นใจในตัวเองว่าเค้ารักเรา (เป็นอินึกไป55)
คิดมากวนไปเวียนมา  วนในอ่าง เปลืองสมอง  อิอิ

รอพี่กั้งมาต่อน้า  :m3:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 11-12-2007 09:53:32
เอางั้นเลยเหรอจ้ะมูมู่น้อย........ประเดี๋ยวคนอื่นเค้าก็ว่าพี่มโนไปเองอ่ะดิ..........อิอิ..........แต่ก็เป็น positive thinking เนอะ เอาสบายใจเราไว้ก่อนก็น่าดีนะ อิอิ.............

...

                         หนึ่งเดือนอันแสนยาวนานกับการที่จะต้องอยู่ห่างไกลกันของเราสองคน มันช่างก่อความทุกข์ทรมานให้ผมอย่างแสนสาหัสอย่างที่ไม่เคยมีทุกข์ใดในชีวิตจะเทียบเท่าได้มาก่อน.............ผมเพิ่งแจ้งแก่ใจกับคำที่ว่า “ความรักคือบ่อเกิดของความทุกข์” ก็ในวันนี้นี่เอง..........วันที่ทุกอย่างดูเหมือนจะมืดมนไปซะทุกทาง........มืดสนิทจริงๆ....

                          ผมไม่ใช่คนประเภทที่จะยอมถอดใจอะไรง่ายๆหรอก (ถ้าคุณอ่านเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้นก็คงพอจะรู้)............ถ้าผมลองได้ตกลงปลงใจกับใครแล้ว จะดีจะชั่วยังไงผมก็ต้องอดทน............ทนจนกว่าเค้าจะไม่ต้องการผม..........หากถึงตอนนั้น ผมก็ยินดีที่จะเป็นฝ่ายไปเอง............สำหรับนัท........ผมอยากให้เวลาเค้าได้อยู่กับตัวเอง และคิดใคร่ครวญอะไรๆให้มากกว่านี้อีกสักหน่อย..........ถ้าผมไม่มีความหมายอะไรต่อเค้าอีกแล้ว ผมก็คงไม่มีอะไรต้องพูดอีก......ดังนั้นตอนนี้ผมจึงจะต้องอดทน........แม้จะต้องแลกด้วยความทุกข์ทรมานใจมากแค่ไหนก็ตาม.............



                          นัทยังคงทำทีว่าหลับอยู่ในขณะที่ผมก็ยังคงนอนกอดเค้านิ่งแบบนั้นเนิ่นนาน............ในที่สุดนัทก็เป็นฝ่ายหมดความอดทนกับสงครามประสาทกลายๆของเรานี้.....โดยการขยับตัวลุกเดินออกไปจากห้องด้วยสีหน้าที่บ่งบอกถึงความยุ่งยากใจเต็มที่...........

                         หลังจากที่เช็ดคราบน้ำตาจนแห้งสนิทดีแล้ว สักพักผมจึงเดินตามเค้าออกมาที่ห้องรับแขกโดยไม่ได้พูดจาอะไรอีก..........

                         “กับข้าว กับของสดอยู่ในตู้เย็นน่ะ........ทำอะไรกินกันก่อนแล้วค่อยไปแล้วกัน”..........นัทออกคำสั่ง แล้วเดินเข้าห้องน้ำเพื่อจัดการธุระส่วนตัว..............

                         ผมมองตามหลังเค้าเงียบๆ.........ในภาวการณ์เช่นนี้ ผมทำอะไรไม่ได้มาก นอกจากพยายามสงบปากสงบคำเอาไว้ และคอยทำตามคำสั่งของเค้าเท่านั้น............

                         ข้าวของในตู้เย็นและเครื่องครัวที่นัทมีอยู่ไม่มากนัก.............เค้าไม่ใช่คนพิถีพิถันอะไรมากมาย........ทุกอย่างล้วนเรียบง่ายและสมถะ (จะเรียกว่าขี้เหนียวได้ป่าวนะ) มีอาหารถุงอยู่สองสามอย่าง แต่เย็นชืดไม่น่ากินแล้ว..........ไส้อั่ว (แบบมี่ไม่มีหมู) ลูกชิ้น (ที่ไม่ใช่ลุกชิ้นหมู) และก็ผักอีกสองสามอย่าง

                         หลังจากที่สำรวจดูวัตถุดิบ และวางแผนการเอาไว้ในใจคร่าวๆว่าจะทำอะไรก่อนหลังดี.........ผมก็เดินออกมาจัดการหุงข้าวที่ห้องรับแขก...........ทำแกงจืดก็น่าจะดี.........มีอะไรปรุงสุกใหม่ๆให้นัทได้กินบ้าง..........เค้าอยู่ตัวคนเดียวคงไม่ค่อยได้ทำกับข้าวกินเองบ่อยๆ...........ลำพังตัวผมเองไม่หิวหรอก.......เค้าให้ทำอะไรก็ทำไปอย่างนั้นแหล่ะ...........ก็ผมเคยดูแลเค้ามาตลอดนี่...........

                         “พี่กั้งอย่าลืมอุ่นอาหารด้วยในถุงด้วยนะ จะไม่อยู่หลายวันเดี๋ยวมันจะบูดซะก่อน”..........เสียงนัทร้องบอกมาจากในห้องน้ำ.............ผมไม่โต้ตอบอะไรนอกจากแอบนึกเคืองอยู่ในใจ..............หึ............สั่งได้สั่งเอาเชียวนะ..........ตอนนี้เราสองคนดูเหมือนจะยังทำเป็นตึงๆใส่กันอยู่.............คงเพราะเรื่องที่เพิ่งมีปากเสียงกันไปเมื่อวาน.............นัทเองก็มีท่าทีว่าจะคอยตั้งป้อมปกป้องตัวเองเต็มที่............ผมเองก็คอยระวังตัวแจ ไม่อยากหาเรื่องให้ต้องได้ทะเลาะกันอีก..............ปกติเวลาอยู่ต่อหน้าผม นัทก็ไม่ได้มีพิษสงอะไรมากนักหรอก จะมีร้ายกาจก็เฉพาะตอนคุยโทรศัพท์เท่านั้น ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน.........แต่ก็ช่างมันเถอะ........เดี๋ยวพออารมณ์ดีขึ้น ก็คงกลับไปเป็นเหมือนเดิมเองแหล่ะ..............

                             “กับข้าวเสร็จแล้วนะ”..........ผมร้องบอกนัทซึ่งตอนนี้กำลังง่วนอยู่กับการจัดข้าวของลงกระเป๋า........

                            “โหย ทำอะไรตั้งเยอะแยะ เดี๋ยวก็กินไม่หมดหรอก”...........นัทบ่นเมื่อเดินมานั่งประจำที่พร้อมจะลงมือกินข้าว.............หาเรื่องบ่นจนได้สิน่า............เชื่อเค้าเลย............

                            ผมแกล้งเป็นทำทีไม่สนใจกับคำพูดขอเค้า เสไปตักข้าวใส่จานแล้วยื่นให้.........จะบ่นให้ได้อะไรขึ้นมาก็ไม่รู้.........หรือจะแกล้งทำเป็นหาเรื่องเราไว้ก่อน กลัวจะขุดเอาเรื่องเก่าขึ้นมาพูดหรือไง..........มันก็แค่ของเหลือในตู้เย็นทั้งนั้นอ่ะ..........ถ้าไม่ทำวันนี้กลับมาถึงวันอาทิตย์มันก็เน่าอยู่ในตู้เย็นอยู่ดี.......

                             นัทดูเหมือนไม่ใส่ใจกับสิ่งที่เค้าได้พูดไปแล้ว........ลงมือกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อย...........ในขณะที่ผมนั่งเขี่ยข้าวในจานเล่น แกล้งทำเป็นกินพอเป็นพิธีเวลาที่เค้ามองมา..........นัทเหลือบมามองด้วยท่าทีขัดใจ...........

                           “กินเยอะๆสิ”.........นัทตักใส่อั่วใส่จานให้ผมแล้วก้มหน้าก้มตากินต่อ............แม้ว่านี่จะเป็นเพียงท่าทีห่วงใยอาทรแค่เล็กๆน้อยๆ..........แต่ทว่าในตอนนี้ มันกลับมีค่ามหาศาล เสมือนหยดน้ำที่หล่นลงบนผืนทรายที่แห้งผาก............ผมน้ำตาซึมด้วยความน้อยใจเมื่อนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมา...........อยากตัดพ้อต่อว่าเค้าให้สมกับที่ทำเป็นใจจืดใจดำกับผมนัก...........แต่พูดไปก็ป่วยการเปล่า..........จึงได้แตสู้ทนกล้ำกลืนฝืนกินทั้งที่รู้สึกฝืดคอจนสุดประมาณ.............

                          เราไม่ได้สนทนากันมากนัก...........ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง................เมื่อนัทกินอิ่มแล้วผมก็จัดการเก็บกวาด ล้างจานเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย ในขณะที่นัทก็กลับไปเก็บกระเป๋าต่อจนเสร็จ..........


                         กว่าจะได้เวลาเดินทางออกจากแพร่ เวลาก็ล่วงเลยไปจนบ่ายคล้อย.............หลังจากที่รถวิ่งออกมาจนทิ้งแพร่เอาไว้ที่เบื้องหลังไกลลิบ นัทก็มีท่าทีที่ผ่อนคลายมากขึ้น............เค้าหยิบยกเอาเรื่องนั้นเรื่องนี้มาเล่าให้ผมฟังมากมาย...........บางครั้งผมก็เผลอหัวเราะออกมาเมื่อได้ฟังสิ่งที่เค้าเล่า.........จนในที่สุดความรู้สึกของเราสองคนก็กลับมาแจ่มดังเดิม.............ผมสัมผัสได้ถึงอำนาจของการควบคุมที่กำลังจะกลับคืนมา.............แต่ก็เป็นเช่นนั้นได้ไม่นานนัก...........เมื่อนัทเอ่ยปากบอกถึงแผนการของเค้าที่ผมไม่เคยล่วงรู้มาก่อน............

                           “พรุ่งนี้นัทต้องกลับบ้านนะ”..........นัทพยายามคุมน้ำเสียงและสีหน้าให้ดูเป็นปกติ แต่เห็นได้ชัดว่าเค้ากำลังรอลุ้นอยู่ว่าผมจะเม้งแตกออกมาเมื่อไหร่..............

                           “อ้าว.........ไม่ได้เจอกันตั้งเดือน แทนที่จะอยู่กับพี่ก่อน”...........ผมบ่นออกมาอย่างหงุดหงิดกึ่งตัดพ้อ...........

                          “ใจคอพี่กั้งจะไม่ให้นัทกลับบ้านเลยหรือไงล่ะ”.........นัทแย้งเสียงอ่อน...........ผมมีสีหน้าสลดลงวูบหนึ่ง...........แล้วผมจะทำอะไรได้ล่ะ.......การกักขังหมายถึงการเร่งให้เค้าดิ้นหนีจากไปไม่ใช่เหรอ...........

                           “แล้วจะกลับมาเชียงใหม่วันไหน”...........ผมโอดครวญอย่างคนหมดหนทางต่อรอง............นี่เค้าจะอยู่กับผมแค่คืนเดียว ทั้งๆที่เราไม่ได้เจอกันตั้งเป็นเดือนเนี่ยนะ..........แผนการสุดสัปดาห์ที่ผมแอบวาดฝันเอาไว้พังครืนไปต่อหน้า.......หรือว่าเค้ากำลังจะพยายามถอยห่างจากผมไปอย่างที่เค้าเคยบอกเอาไว้ว่า  “นัทไม่อยากหักดิบ”........เค้ากำลังจะพยายามถอนตัว พยายามจะตัดใจจากผมงั้นเหรอ...............หรือว่าผมจะคิดมากไปเองนะ.............แต่ไม่คิดมากก็ไม่ได้หรอก.........ก็เค้าเคยบอกเอาไว้แบบนั้นจริงๆนี่...........

                         “นัทจะกลับทางลำปางเลย ไม่ผ่านมาเชียงใหม่หรอก”..........นัทตอบอ้อมแอ้ม.........แต่ก็ทำให้ผมรู้สึกเย็นยะเยือกไปถึงขั้วหัวใจเมื่อได้ฟัง.............

                         “กลับมาทางเชียงใหม่เถอะนะ..........เดี๋ยวพี่ขับรถไปส่งนัทก็ได้.............พี่อยากมีเวลาอยู่กับนัทบ้าง”........ผมพยายามอ้อนวอนขอความเห็นใจ..........นี่ใจคอเค้าจะไม่อยากอยู่กับผมเลยเชียวหรือ.......ช่างใจจืดใจดำจริงๆ

                         “นัทเกรงใจพี่กั้งอ่ะ.........ต้องขับรถไปส่งอีก”...........เอาอีกแล้ว........ผมเกลียดคำว่าเกรงใจที่สุด...........เกรงใจทั้งๆที่เราเป็นแฟนกัน...........เกรงใจทั้งๆที่ผมขันอาสาเองเนี่ยนะ.............ฟังไม่ขึ้นหรอก...........

                         “ไม่เป็นไรหรอก.......พี่เต็มใจ”...........ผมย้ำคำว่าเต็มใจอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นกว่าเก่า พลางจ้องหน้าเค้าเป็นเชิงยืนยันถึงความมุ่งมั่นว่าผมต้องการแบบนั้นจริงๆ.........

                        “เอาไว้เดี๋ยวนัทจะโทรมาบอกอีกทีก็แล้วกัน”...........นี่ก็เป็นคำที่ผมเกลียดมากที่สุดอีกคำหนึ่ง......เอาไว้จะโทรมา.........ผมไม่ชอบความไม่แน่นอน..........ผมต้องการความชัดเจน..........แต่น้อยครั้งมากที่นัทจะให้ความชัดเจนและแน่นอน................


                          เราสองคนนิ่งเงียบกันไปพักหนึ่ง...............จากนั้นนัทก็พยายามเปลี่ยนเรื่องสนทนาเป็นเรื่องอื่นๆแทน........แต่ตอนนี้ในใจผมเฝ้าครุ่นคิดวนเวียนซ้ำไปซ้ำมากับเรื่องที่เพิ่งได้ฟังเมื่อครู่........กลับบ้านเหรอ........ทำไมต้องเอามาเกี่ยวกันกับตอนมาเชียงใหม่ด้วยวะ..........ทำไมไม่กลับช่วงสุดสัปดาห์อื่นๆอีกสามสี่อาทิตย์ที่ผ่านมาอยู่ว่างๆไม่ใช่เหรอ..........ทำไม ทำไม และทำไม............โอย.........
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: T-Jang ที่ 11-12-2007 11:56:24
 :undecided: นั่นดิทำไม เป็นแบบนี้ล่ะ :monkeysad:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 11-12-2007 14:10:06
พี่ฉ้านนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน

น่าสงสาร  o7

ช่วงเวลาที่สามีกำลังจะบอกเลิก  มันน่าเศร้ามากกว่าตอนที่บอกเลิกกันแล้วเสียอีก

ยิ่งคุณพี่เป้นคนที่ไม่ชอบความคลุมเครือด้วยแล้ว

แงๆๆๆๆๆ

ไอ้นัทบ้าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 11-12-2007 14:43:57
มันไม่ใช่อารมณ์อยากเลิกกันง่ายๆอย่างนั้นนะสิจ้ะ..............ถ้าให้เดานะ เค้ายังอยากจะเก็บพี่ไว้แบบนี้ต่อไป แต่ก็ไม่อยากให้สิทธิพี่มากจนเกินไป.......อารมณ์ประมาณว่าเมียเก็บอ่ะ............ก็รออ่านต่อไปเรื่อยๆละกัน เดี๋ยวก็รู้เองแระ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 11-12-2007 15:32:53
หุหุ เป็นเรานี่เลิกกันไปหลายรอบแล้วนะเนี่ย  :a6:  :a6: :a6:
คิดอีกที นัทอาจจะสับสนกับตัวเอง ทั้งอยากเลิกและไม่อยากเลิก อย่างที่เคยอ่านเจอตอนต้น ๆ อ่ะ
 :เฮ้อ: สงสารก็แต่คุณกั้ง หวังว่าฟ้าหลังฝนคงจะสดใสนะ (ได้แต่หวัง)  :a10:  :a10:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: artday ที่ 14-12-2007 16:14:02
ตามมาทันสักที  :เฮ้อ: ขอบครับ เศร้ามากเลยครับ o7
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 14-12-2007 17:18:25

เมื่อไหร่จะมาต่อคร้าบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ

วันนี้งดเที่ยวนะเพ่  เด๋วเค้าจับ!

อิอิ  :m9:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 17-12-2007 09:47:24
                         ทุกอย่างยังคงดำเนินไปตามปรกติอย่างที่มันเคยเป็นเมื่อเรากลับมาถึงเชียงใหม่.............หากไม่สังเกตดีๆ อาจจะไม่มีทางล่วงรู้ได้เลยว่า ในตอนนี้มีอะไรบางอย่างเข้ามาคั่นกลางระหว่างผมกับนัทเสียแล้ว........

                         ผมพยายามเก็บซ่อนความรู้สึกผิดหวังและขมขื่นใจเอาไว้ข้างในให้มิดชิดที่สุด............เคยปฏิบัติต่อเค้าอย่างไร ก็ทำอย่างเดิมไม่ให้บกพร่อง............การโวยวายตีโพตีพายคงไม่ช่วยทำให้อะไรต่ออะไรดีขึ้นมาได้หรอก...........เราสองคนต่างอยู่ในมุมของตัวเอง คอยคุมเชิงระวังระไวดูท่าทีของอีกฝ่าย.................ในเมื่อตอนนี้ต่างคนก็ต่างยังตัดสินใจอะไรที่แน่ชัดลงไปไม่ได้........บรรยากาศโดยรวมระหว่างเราจึงดูอึมครึม ขาดชีวิตชีวา ชวนให้รู้สึกคลื่นไส้พิกล................

                         การพบกันของเราในเวลานี้ มันช่างแตกต่างจากที่ผมเคยจินตนาการเอาไว้อย่างลิบลับ............หลังจากที่ห่างเหินกันไปนานร่วมเดือน........เมื่อมีโอกาสได้กลับมาอยู่ด้วยกันเพียงลำพัง ผมก็ย่อมอยากที่จะนอนกอดก่าย........อยากกระซิบรำพันถึงความรักความห่วงใยที่มีต่อเค้า ตลอดจนอยากจะมีเซ็กส์ดีๆตามอย่างที่คนรักกันพึงกระทำ..........แต่ทิฐิมานะภายในใจมันคอยค้ำคอเอาไว้ไม่ให้ผมแสดงความรู้สึกดังกล่าวออกมา.........มันน่าละอายอยู่ไม่ใช่หรือ.........ในเมื่อตอนนี้ เขาอาจจะไม่ไยดีในตัวผมอีกแล้วก็ได้.............เพราะฉะนั้นก็คอยดูท่าทีต่อไปก่อนก็แล้วกัน.........หากความอดทนของเค้าสิ้นสุดลงเมื่อไหร่ เค้าก็คงเอ่ยปากออกมาเอง...........และผมก็จะได้เป็นอิสระจากความรักบ้าๆนี่เสียที.........

                         “พี่สัญญาว่าพี่จะไม่ไปจากนัท จนกว่านัทจะไม่ต้องการพี่แล้ว”..........นี่คือสัจจะวาจาที่ผมเคยพลั้งปากให้นัทเอาไว้เมื่อนานมาแล้ว...........มันน่าภาคภูมิใจน้อยเสียเมื่อไหร่ล่ะ ฟังดูช่างเสียสละซะไม่มี............หากแต่ในทางปฏิบัติ.........ผมกลับรู้สึกว่าตัวเองกำลังอ่อนแรงลงเรื่อยๆ และอยากจะผละหนีออกไปเต็มที.........ถึงอย่างไรผมก็จะพยายามรักษาสัจจะนั้นเอาไว้ให้ถึงที่สุด.............ไม่ว่าจะเป็นเพราะความรักหรือเหตุผลงี่เง่าอะไรก็ตาม............



                          คืนอันยาวนานผ่านพ้นไปอย่างทุกข์ทรมาน...........ผมไม่กล้าแม้แต่จะแตะต้องตัวนัททั้งที่อยากจะทำ...........เราต่างคนต่างนอนที่อีกฟากหนึ่งของเตียง..............ผมได้แต่นอนทอดอาลัยด้วยความน้อยใจในชะตากรรมของตัวเองจนกระทั่งรุ่งเช้า..............

                          “พี่กั้งไปส่งนัททำฟันเสร็จแล้วไม่ต้องรอนะ............เดี๋ยวนัทจะให้เพื่อนไปส่งขึ้นรถกลับบ้านเลย”........นัทเอ่ยออกมาเรียบๆระหว่างที่เรากำลังนั่งทานข้าวเช้าด้วยกัน.............
ผมชะงักจากการกินข้าวไปชั่วขณะ.............พลางจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาคู่นั้นเพื่อค้นหาอะไรบางอย่าง.............แต่ผมไม่เจออะไรเลยนอกจากแววตาที่ซ่อนความละอายและความไม่มั่นใจเอาไว้ข้างใน............เค้ารู้ว่าผมมองเค้าออกว่าเค้าคิดอะไรอยู่............แต่ผมเลือกที่จะไม่พูด............ผมรู้สึกว่านัทกำลังสับสนในสิ่งที่เค้ากำลังทำอยู่..........เค้าเป็นคนขี้ขลาด...........เค้าพร้อมที่จะทำร้ายผมเสมอเพื่อปกป้องตัวเอง............จะทิ้งก็เสียดาย แต่จะเอาไว้ก็คงทำไม่ได้งั้นสินะ...........ไม่แฟร์เลย...........

                            “อืม...........แล้ววันกลับล่ะจะเอายังไง”...........ถึงยังไงผมก็ยังอยากจะเจอเค้าอยู่ดี แม้จะต้องเหนื่อยกับการขับรถขึ้นเขาไปส่งเค้าถึงที่แพร่ก็ตาม..........การได้อยู่กับคนที่เรารักแค่สองชั่วโมงเศษๆระหว่างขับรถ แลกกับความลำบากเล็กๆน้อยๆก็นับว่าคุ้มแล้ว............อีกอย่างหนึ่ง ผมเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ ถึงแม้คนภายนอกจะมองว่าผมดูเหยาะแหยะปวกเปียกก็ตาม............แต่ตราบใดที่เกมส์นี้ยังไม่จบ ผมก็จะพยายามจนสุดความสามารถในแบบของผม.............หากเราจะต้องเลิกกันจริงๆ ผมจะทำทุกทางเพื่อให้เค้าต้องจดจำผมไปจนตายอย่างไม่มีวันลืมเลยล่ะ (ไม่ใช่การตามไปราวีหรืออะไรเทือกนั้นหรอกนะ แต่ผมหมายถึงทางจิตวิทยาน่ะ)........ไม่เชื่อก็คอยดูสิ.........

                             “เอาไว้นัทจะโทรมาบอกอีกที”............โทรมาบอกอีกทีสำหรับนัทหมายถึงตกลงตามนั้น.........แต่ยังไม่รับปาก........

                            ผมยิ้มออกมาน้อยๆด้วยความพอใจในผลของการต่อรอง..........อย่างน้อยๆเค้าก็ยอมตามใจผม........ก็แค่วันกว่าๆเองจะเป็นไรไปเล่า.........ขนาดอดทนรอมาทั้งเดือนยังทนรอมาได้...........หากจะขาดใจตายเพราะต้องรออีกวันเดียวก็ให้มันรู้ไปสิ...............



                            นัทเดินผ่านประตูคณะทัตแพทย์เข้าไป เพื่อรับการจัดฟัน.........ในขณะที่ผมขับรถจากมาอย่างเงื่องหงอย...........ความรู้สึกสับสนปนเป ระคนกันระหว่างความรัก ความน้อยใจ และความแค้นใจ.........เค้าตอบแทนความรักของผมด้วยการพยายามจะกันผมให้ห่างออกไปจากชีวิตส่วนตัวของเค้า...........เค้าอยากจะมาหาผมเมื่อไหร่ก็จะมาและผมไม่มีสิทธิ์เรียกร้องใดใด.........ถึงเค้าจะทำเป็นใจกว้างให้อิสระผมมองคนอื่นได้.............แต่เค้าก็น่าจะรู้จักนิสัยผมดี...........ใครมันจะบ้าทำไปได้ล่ะ ก็รู้อยู่แล้วว่าผมไม่ใช่คนแบบนั้น ตราบใดที่เค้ายังพันธนาการผมเอาไว้แบบนี้............ผมก็ไม่มีวันนอกใจไปมองคนอื่นได้หรอกหรอก..........เค้าแสดงให้เห็นว่าจะไม่ดูแลความรู้สึกอะไรของผมเลย............และผมต้องเป็นฝ่าย รอ รอ และก็รอ...........คิดแล้วมันช่างน่าอดสูเหลือเกิน...........ความรู้สึกในใจของผมเริ่มเดือดพล่าน............ตอนนี้อยากได้กาแฟเข้มๆสักแก้วและใครสักคนเพื่อระบายความอัดอั้นที่มี............ผมจึงควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋าด้วยมืออันสั่นเทา..........

                         “เจเหรอ..........ว่างป่าว........เดี๋ยวพี่เข้าไปรับนะ”.........ผมวางสายและยิ้มออกมาอย่างสะใจ.........รู้สึกดีขึ้นมาหน่อยๆที่ได้ทำอะไรแบบนี้...........มันเหมือนกับเป็นการแก้แค้นนัทเล็กๆ........แม้ว่าผมจะไม่รู้สึกยินดีในตัวเจเลยก็ตาม..........และผมรู้ดีว่านัทไม่ชอบให้ผมเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคนๆนี้.........แต่ผมจะทำ มีอะไรมั้ย......


                         เจผู้น่าสงสารออกมายืนรอผมที่หน้าบ้านอยู่ก่อนแล้ว..........ตั้งแต่นัทจากไป ผมเจอกับเค้าถี่ขึ้นเรื่อยๆ (บางทีผมอาจจะกลับมาคบกับเค้าก็ได้หากต้องเลิกกับนัทจริงๆ)........ผมรู้ว่าการให้ความหวังกับเจเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ..........แต่คนไม่จริงใจอย่างเค้าก็สมควรจะได้รับการปฏิบัติแบบนี้แล้วล่ะ..........ผมเคยชอบเค้าเมื่อนานมาแล้ว ก่อนหน้าที่นัทจะเข้ามาในชีวิตของผมด้วยซ้ำ.......แต่เค้าทำเป็นลวดลายลีลาคอยปั่นหัวผมเล่นมาตลอด...........เหตุก็เพราะเค้ายังมีตัวเลือกอื่นที่น่าสนใจมากกว่า.........ต่อเมื่อผมมาคบกับนัทแล้ว เค้าก็บังเกิดความเสียดายและพยายามใช้มารยาสารพัดเพื่อดึงผมคืน...........แต่ผมรู้เช่นเห็นชาติเค้าดีแล้วจึงไม่รู้สึกหวั่นไหวดังที่เคยเป็น.........ก็สมควรแล้วที่เค้าจะได้รับการเอาคืนอย่างเลือดเย็นแบบนี้บ้าง...........

                         “เป็นไรทำหน้าตาซึมกะทือเชียว”........เจแกล้งกระเซ้าเอาใจผมเมื่อขึ้นมานั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว..........

                           “เปล่า........แค่เบื่อๆ”........ผมตอบพลางส่งยิ้มแบบฝืนๆ........ถึงไงผมก็ไม่โง่พอที่จะบอกเค้าหรอกว่าผมกำลังมีปัญหากับนัทอยู่..........แม้จะไม่ได้รักไม่ได้ชอบ แต่เค้าก็ยังเป็นเพื่อนแก้เหงาที่ดีใช้ได้ทีเดียว.......แล้วเรื่องอะไรผมจะต้องปากบอนตัดหนทางทำมาหากินของตัวเองด้วยล่ะ...........

                          “ไปดู Broke Black Mountain กันมะ”..........ผมเสนอชื่อหนังที่อยากจะดู..........เจรีบตอบตกลงทันที...........นี่ถ้าเป็นนัทคงต้องรอชาติหน้าตอนบ่ายๆ...........ลำพังแค่ไปดูหนังธรรมดายังแทบจะต้องปลอมตัวกันไปเลย...........ที่ไหนเลยจะยอมไปดูหนังเกย์กับผม...........

                        “นัทติดต่อมาบ้างป่าว”.........เจโพล่งถามออกมาหลังจากที่นิ่งเงียบไปนาน............
 
                         “เปล่า.......ก็ต่างคนต่างอยู่”...........ผมข่มน้ำเสียงให้ฟังดูปรกติ...........จะมาคอยเช็กทำไม.........ฉันไม่ได้เป็นแฟนกะนายสักหน่อย และก็ไม่มีวันจะเป็นด้วย อย่าฝันไปเลย.........เชอะ.........



                          ดูเผินๆความรักของแจ็คและแดเนียลก็คล้ายๆกับชีวิตรักของผมกับนัทในบางส่วน (แต่ก็คงคล้ายกับชีวิตรักของเกย์ในตอนจบทุกคู่นั่นแหล่ะ)...........ตอนท้ายของเรื่อง ความรักของคนทั้งคู่จบลงอย่างค่อนข้างน่าเศร้า (ทำไมความรักของเกย์จะจบลงด้วยดีมั่งไม่ได้หรือยังไงกัน.........นี่ถ้าผมมีโอกาสเป็นผู้กำกับบ้าง ผมจะเปลี่ยนให้ตอนจบของหนังจบลงแบบ happy ever after มีความสุขตราบชั่วฟ้าดินสลายให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย ให้ตายสิ)..........มีหลายตอนที่ดูแล้วชวนให้สะดุดใจอยู่ไม่น้อย (ไม่รวมตอนที่ทั้งคู่แก้ผ้าวิ่งไล่ปล้ำกันกลางทุ่งนะ)............ผมไม่อยากให้นัทต้องมานั่งเสียใจภายหลังเมื่อได้สูญเสียผมไปแล้ว.........แม้ไม่จำเป็นว่าเราจะต้องตายจากกันจริงๆอย่างในหนังก็ตาม..........แต่หากเป็นความรักที่ผมมีต่อเค้าได้ตายไปจากใจของผมแล้ว ซึ่งนั่นอาจจะสร้างความเจ็บปวดได้มากยิ่งกว่าด้วยซ้ำ........

                           ผมมีทัศนะคติไม่แตกต่างไปจากแจ็คมากนัก ที่พร้อมจะทิ้งทุกอย่างในชีวิตเพื่อออกไปร่วมใช้ชีวิตคู่กับแดเนียล...........ในขณะที่แดเนียลก็ดูไม่แตกต่างจากนัทมากนัก...........ดูเค้าวาดกลัวในการใช้ชีวิตแบบเกย์ไปเสียหมดจนอดหมั่นไส้ไม่ได้..........และความเจ็บช้ำส่วนมากจึงต้องมาตกอยู่ที่แจ็ค อย่างไม่ต้องสงสัย (แดเนียลเองก็คงเจ็บอยู่เหมือนกัน แต่ในเมื่อเค้าใช้ความพยายามในการต่อสู้น้อยกว่า ก็ย่อมต้องผิดหวังและเจ็บน้อยกว่า)

                           “เวลาที่ผมคิดถึงคุณ บางครั้งมันทรมานมากจนแทบจะทนไม่ไหว”............เป็นคำพูดของแจ็คขณะที่ระบายความอัดอั้นภายในใจให้แดเนียลฟังด้วยความทุกข์ระทม........โดนใจอย่างแรง...........ผมรีบจดจำคำพูดเหล่านั้นเอาไว้ในใจ........ดีล่ะผมจะต้องนำเอามาใช้ประโยชน์ซะบ้างแล้ว.........นัทเองคงไม่กล้าไปดูหนังเรื่องนี้ถึงในโรงเป็นแน่ (แม้ว่าใจเค้าอยากจะดูมากแค่ไหนก็ตาม).........เดี๋ยวผมจะต้องเสาะหาแผ่นซีดีของหนังเรื่องนี้ แล้วจัดส่งไปให้เค้าถึงที่แพร่เพื่อตอกย้ำความเป็นเกย์ที่เค้าพยายามแกล้งทำเป็นลืมให้สาแก่ใจ..........หากเราจะต้องเลิกกัน ผมก็จะไม่ปล่อยให้เค้าลอยนวลไปโดยไม่มีบาดแผลในใจติดตัวไปหรอก.........ผมเจ็บเค้าก็ต้องเจ็บเหมือนกัน..............
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 17-12-2007 12:52:50

พี่ตู!!!

ยังเจ้าแผนการไม่เลิก

กับความรักน่ะ....แผนการมันใช้ได้ซะที่ไหนก๊านนนนนนนนนนนนนน  :เฮ้อ:


ปล. น้องส่ง paper ไปให้แล้วนะ  ส่งต่อให้น้องด้วย
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 17-12-2007 13:10:28
อือ ได้รับแล้ว เดี๋ยวจะรีบจัดการให้
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: T-Jang ที่ 17-12-2007 13:24:46
ลุ้นว่าจะเป็นยังไงต่อไป  :a1:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: kongkilmania ที่ 17-12-2007 15:05:21
 :o11:  กลัวแต่ว่ากว่านัทจะรู้สึกเจ็บ
คุณกั้งก็ช้ำในแย่ไปแล้วอ่ะดิ
แล้วต้องทนไปถึงเมื่อไหร่กันนี่

ยิ่งอ่านไปนัทก็ยิ่งไม่แคร์ แล้วคุณกั้งก็นะ  ที่สุดของความอดทนจริงๆ
คนอ่านนี่อยากกลั้นใจตายซะให้รู้แล้วรู้รอดจริงจิ๊ง   :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 18-12-2007 08:59:37
ขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย..........อิอิ :m15:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: kongkilmania ที่ 18-12-2007 14:34:38
จริงนะคุณกั้ง ไม่ได้ล้อเล่นน้า   :m14:
เหมือนเราเป็นกองเชียร์อยู่ข้างสนามบอล แล้วนักเตะมานก็เล่นไม่ได้ดั่งใจไง   :m16:
อยากลงไปเตะเองอ่ะ  (ถ้าลงสนามไปจริงสงสัยวิ่งไม่ถึง15นาที มีหวังหอบซี่โครงบาน) 
ก็ได้แต่เชียร์แหล่ะ   ตอนไหนลุ้นว่าเราจะเสียประตู  ก็เสียวซะลืมหายใจเลย     :serius2:
เหมือนอ่านเรื่องคุณกั้งอ่ะ  จะมีไม๊น้อ ให้นัทมานมาง้อคุณกั้งบ้าง
สงสัยถ้ากลั้นใจไปลุ้นไป  ได้ตายจริงแหงๆ     :m15:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 18-12-2007 16:04:59
หุหุ.....พูดซะเห็นภาพเลย.......แค่มีคนเข้าใจและรับฟัง ผมก็รู้สึกดีแล้วล่ะ....ไหนๆเรื่องมันก็ผ่านมาตั้งเกือบสองปีแระ.....ถือซะว่าแชร์ประสบการณ์สู่กันฟังแบบพี่ๆน้องๆแล้วกันนะครับ.... อย่าเครียดน๊า o2
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 18-12-2007 18:50:56
 :เฮ้อ:  :เฮ้อ:  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: artday ที่ 19-12-2007 18:28:35
 :undecided:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 20-12-2007 10:58:30

ก็ได้แต่เชียร์แหล่ะ   ตอนไหนลุ้นว่าเราจะเสียประตู  ก็เสียวซะลืมหายใจเลย     :serius2:



เสียประตู (หลัง) ?   ยืนยันว่าเสียวเจงๆ  :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 20-12-2007 19:39:57
อะไรคือประตูหลังเหรอ  :o8:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 20-12-2007 20:12:18
เอ่อ....คุณ moody คะ  เรื่องของคุณนี่อ่านแล้วอึดอัดชะมัดเลย

ไม่เข้าใจว่าทำไมคุณต้องทนถึงขนาดนี้ด้วยล่ะ  ก็ถ้าตรึกตรองดูแล้ว คิดว่าอยู่กันไม่ยืดแน่

ทำไมต้องไปทู่ซี้เป็นแฟนกันด้วย ต้องไปยอมมันถึงขนาดนั้น  เลิกกะมันไปเถอะ ไอ้คนเฮงซวย ที่คิดได้แต่เรื่องตื้นๆ พรรค์นี้ คนเราถ้ารักกันเค้าไม่ทำกันอย่างนี้หรอก ทำอย่างนี้แสดงว่าไม่ได้รักกันเลยแม้กระผีก

เสียดายความรู้สึกที่มีให้  แต่มันคงไม่มีประโยชน์หรอก  สำหรับมันคงไม่เห็นค่าแม้แต่น้อยนิด

เราอาจพูดแรงไปมั่ง แต่ก็พูดตามประสบการณ์นะ เพราะเคยเจ็บมาก่อน  แต่ก็ตัดใจได้ เพราะคิดว่าอยู่คนเดียวมันไม่ตายหรอก แต่ถ้าอยู่กะมันนะ ไม่มันก็เราอาจตายไปข้างนึง

แต่เหตุการณ์ผ่านมาสองปีแล้ว  ตอนนี้คงทำใจได้แล้วใช่มั้ยคะ

ขอโทษอีกทีนะ  คืออ่านแล้วมันอินน่ะ เลยแรงไปนี้ดนึง
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 21-12-2007 11:16:33
ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องทน............จนบัดนี้ก็ไม่เข้าใจตัวเอง...........มันคงเป็นวังวนอย่างที่คนเค้าว่า..........เส้นผมบังภูเขาเนอะ...........

...
                        ทำไมหนังที่เกี่ยวกับชีวิตรักของเกย์มักจะต้องลงเอยความความเศร้าตลอดเลยนะ.........หรือว่านี่มันคือสูตรสำเร็จของชีวิตเกย์ไปซะแล้ว..........แต่จะว่าไป ความรักของผมในตอนนี้ก็คงไม่แตกต่างกับหนังเกย์พวกนั้นมากนักหรอก.................ยิ่งดูก็ยิ่งสะท้อนสะท้านในหัวใจ............ดูๆไปแล้ว ส่วนใหญ่ความไม่ลงตัวของชีวิตคู่เกย์ทั้งหลาย ก็มักจะมาจากฝ่ายพระเอกนั่นแหล่ะ...........ไม่ว่าจะเป็นการไม่อยากยอมรับว่าตัวเองเป็นเกย์เอย นิสัยเช้าชู้หลายใจเอย นิสัยไม่ดีเอย โอ้ย สารพัดของความเลว........แต่จะมียกเว้นอยู่บ้างในหนังบางเรื่อง เช่น เรื่อง Happy together ที่ เลสลี่จางรับบทเป็นนางเอก...........อันนั้น ชีมั่นซะไม่มี.............ร่านซะจนพี่เหลียงเฉาเหว่ย ยอมรามือถอยทัพไปเลย..............หุหุ..........ส่วนพระเอกนั้นก็ดีแสนดีนักหนาจนน่าสงสาร..........อย่างว่าล่ะ คนเรามีของดีอยู่กับตัวมักจะไม่ค่อยรู้สำนึกกันหรอก...............อีกเรื่องก็เป็นเรื่องที่นัทเอามาให้ผมดู เมื่อครั้งที่ผมบอกเลิกเค้าล่าสุด...........ชื่อเรื่องอะไรจำไม่ได้แล้ว..........รู้แต่ว่าจบแบบ happy ending โอเวอร์ซะไม่มีอ่ะ...........นัทเองก็คงดูไปฝันไป.........แต่ในชีวิตจริงเค้าไม่มีทางกล้าทำแบบนั้นหรอก.............

                       “ใช่สิ.......นัทมันก็เป็นพวกไก่ได้พลอยอยู่แล้วนี่”............นัทมักพูดประชดผมแบบนี้เสมอ.........เวลาผมบ่นถึงความไม่ได้เรื่องต่างๆของเค้า.............
 
                       ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้ตัวเนอะ...........แต่ก็ยังทำอยู่ได้...............หรือว่าใครๆเค้าก็ชอบคนเลว อย่างที่ในเพลงเค้าร้องกันทั่วบ้านทั่วเมือง..............มิน่าล่ะ ผมถึงทิ้งเค้าไม่ลงซักที.......สงสัยผมเองก็คงชอบคนเลวเหมือนกัน..........อิอิ...........เอ....หรือว่าผมจะเป็นมาโซคิสต์กันนะ........บรึ๋ยยยย....


                      ผมออกมาจากโรงหนังด้วยความรู้สึกแจ่มใสกว่าที่คาด (ตอนแรกนึกว่าจะได้หลั่งน้ำตากลางโรงหนังซะอีก......ประมาณว่าไม่รู้จะสงสารนางเอกในหนัง หรือสงสารตัวเองกันแน่เทือกนั้น)............แต่ถ้าหนังทำได้รันทดแค่นี้ ก็ถือว่าชิวชิว..............ชีวิตผมรันทดกว่าเยอะ...............ยกเว้นก็แค่ผมไม่ได้ตายในตอนจบให้นัทต้องมานั่งคร่ำครวญเสียใจในภายหลังเหมือนอย่างในหนังก็เท่านั้นแหล่ะ..........



                     “พี่กั้งพรุ่งนี้มารับที่อาเขตด้วยนะ.........นัทขนของมาจากบ้านเยอะเลย”..........นัทโทรมาแจ้งกำหนดการเดินทางแก่ผมในตอนหัวค่ำ..........ตอนนี้ความรู้สึกของผมที่มีต่อนัทกำลังจะด้านชาลงเรื่อยๆตามวันเวลาที่ผ่านไป.........แต่ลึกๆในใจ ผมก็ยังแอบหวังว่าเค้าจะคิดได้..........ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป.........

                       “กี่โมงอ่ะ”..........ผมถามถึงเวลามาถึงที่แน่นอน..........จะได้ออกไปรับแต่เนิ่นๆไม่อยากจะให้เค้าต้องรอนาน...........

                       “ประมาณสิบเอ็ดโมงอ่ะ”..........เฮ้ย..........ยังเช้าอยู่เลยนี่หว่า..........เอ.......หรือว่าเค้าอาจจะอยากมีเวลาส่วนตัวกับผมก่อนจะกลับแพร่นะ...........

                      “แล้วจะกลับเข้ามาที่ห้องก่อนหรือเปล่า”............ผมถามเสียงสั่น.............เค้าจะรู้มั้ยเนี่ยว่าผมแอบคิดอะไรอยู่..........

                      “ไม่..........กลับเลยดีกว่า”...........นัทปฏิเสธเสียงเรียบ...........ผมแอบลอบถอนหายใจเงียบๆ........เค้าไม่ได้รู้สึกเหมือนเรา.............

                      “นัทอยากไปเที่ยวน้ำตกมากกว่า...........เราออกไปจากเชียงใหม่ก่อนเที่ยงจะได้แวะเที่ยวน้ำตกระหว่างทางกันก่อนดีมั้ย.........นัทไม่อยากไปถึงที่โรงพยาบาลแต่วัน”.............นัทเสนอแผนการอื่นทดแทนสิ่งที่ผมต้องการ.........แต่มันไม่ใช่แบบนี้.........ผมอยากใช้เวลาอยู่ด้วยกันเงียบๆเพื่อจะได้เปิดใจคุยอะไรต่ออะไรกับเค้ามากกว่าที่จะออกไปเที่ยวน้ำตก..............แต่เกมส์นี้ผมเป็นผู้ตาม.........เพราะฉะนั้นก็เลยตามเลย.........

                     “อืม..........เอางั้นก็ได้”...........ผมยอมตกลงโดยดี..........


                      อยากให้เค้ากลับเข้ามาที่ห้องแล้วอยู่กับผมที่นี่มากกว่า.........บ่ายๆเราค่อยเดินทางออกไปก็ได้.........ผมไม่อยากออกไปเที่ยวตะลอนๆ...........ผมไม่ชอบ.........แต่ก็ช่างมันเถอะ..........แทนที่จะเอาเวลามานั่งทอดถอนใจ.........สู้ทำตัวให้สดใสดีกว่า..........ยิ่งทำตัวเศร้าก็ยิ่งดูเหมือนคนกำลังจะโดนทิ้งยังไงก็ไม่รู้...........

                      คิดได้ดังนั้นผมก็ลุกขึ้นมาสำรวจใบหน้าตัวเองในกระจก............ดูซูบเซียวไปหน่อยหรือเปล่านะ.........ทั้งๆที่ผมก็จัดว่าดูดีพอแล้วสำหรับคนอย่างนัท..........แต่ตอนนี้ผมชักขาดความมั่นใจขึ้นมาหน่อยนึง..........หาอะไรมาประทินผิวบ้างดีกว่า...........

                      คิดได้ดังนั้นผมก็เดินไปรื้อวัตถุดิบจำพวกที่จะให้กรดผลไม้จากตู้เย็น...........รวมทั้งพวกที่จะให้ความชุ่มชื้นและความเต่งตึงแก่ผิว.........สิ่งที่ผมรวบรวมได้ก็มี ไข่ไก่ โยเกิร์ต น้ำผึ้ง มะนาว และกล้วยหอม..........แล้วพรุ่งนี้จะใส่เสื้อผ้าชุดไหนดีล่ะ............เอาแบบที่ดูทะมัดทะแมงและก็ดูดีหน่อยนึง.......ผมควรจะหวีผมแบบใหม่ดีมั้ยน๊า..........นัทเคยค่อนขอดเมื่อคราวก่อนว่าไม่ชอบให้หวีปรกหน้าผากลงมา...........อืม......แล้วจะทำอะไรก่อนหลังดีล่ะ..........รู้สึกเหมือนคนที่กำลังพยายามแต่งตัวเพื่อมัดใจสามีหลังจากที่จับได้ว่าเค้าแอบไปมีบ้านเล็กยังไงยังงั้นเลย.........น่าสมเพชตัวเองชะมัด........แต่ก็ทำ........


                        ผมแต่งตัวเนี้ยบเรียบเป๊ะตรงตามที่ได้ตั้งใจเอาไว้ ออกมายืนรอนัทที่สถานีขนส่งอาเขตก่อนถึงเวลานัดเล็กน้อย........ไม่นานรถโดยสารจากเชียงรายก็เคลื่อนตัวเข้ามายังสถานี..........นัทหิ้งกล่องและกระเป๋าเสื้อผ้าพะรุงพะรังตรงมาที่รถของผมเหมือนกับจะรู้ว่าผมมารออยู่ตรงนั้นก่อนแล้ว.........เราสองคนส่งยิ้มให้กันอย่างเก้อเขิน...........

                        “ไปกินข้าวกันก่อนมั้ย.........พอดีแม่ฝากของมาให้น้องชายด้วย..........เราไปหาอะไรกินแถวที่ทำงานมันก็แล้วกันจะได้ไปทีเดียวเลย”.............น้องชายของนัทเป็นนักเทคนิคการแพทย์ (ตระกูลนี้ชอบเรียนเกี่ยวข้องแต่กับสาขาแพทย์) อยู่ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในตัวเมือง.............แต่ผมก็ยังไม่เคยเห็นครอบครัวของนัทสักคน..........อย่าว่าแต่ครอบครัวเลย..........คนใกล้ตัวนัทคนอื่นๆผมก็ยังไม่เคยเห็นเลย.........นี่ถ้าผมเป็นผู้หญิง.......สถานการณ์อย่างนี้คงเข้าข่าย กำลังจะโดนหลอกฟันแล้วทิ้งแหง๋ม......โชคดีนะที่ผมไม่ใช่ผู้หญิง (ฮา).....

                        “หวีผมใหม่เหรอ........นัทบอกแล้วว่าให้หวีแบบนี้ดูดีกว่า”..........นัทมองมาที่ผมด้วยสายตาขบขันกึ่งพอใจ............

                       “นี่ไปซื้อแว่นกันแดดมาจากไหนอ่ะ.............”...........นัทเอื้อมมือมาจะหยิบแว่นกันแดดที่ผมใส่อยู่ออกไปดู..........ผมเอียงหน้าหลบเล็กน้อยพอเป็นพิธี.........พลางถามแก้เก้อ

                       “ทำไมเหรอ”..........

                       “เปล่า..........ก็สวยดี”..........แผนปรับลุกส์ใหม่ได้ผลเกินคาดแฮะ.........หรือจะเป็นอย่างที่เค้าว่า.........คู่รักที่กำลังจะจืดชืด........จะต้องเปลี่ยนบรรยากาศใหม่ๆ.........ปรับอะไรใหม่ๆเพื่อเพิ่มสีสันให้ชีวิตรักบ้าง............แต่ผมว่าได้ผลแค่บางส่วนเท่านั้นแหล่ะ...............ของอย่างนี้มันอยู่ที่ใจของเค้ามากกว่า..........เอาไว้ให้ไปถึงที่น้ำตกก่อนเถอะ.........ผมต้องหาหนทางดึงความรู้สึกเก่าๆของเค้ากลับมาให้ได้..........

                       เมฆฝนตั้งเค้าทะมึนมาแต่ไกล............เราสองคนแวะเข้าไปทานข้าวในร้านอาหารตามหลักศาสนาของนัท..........เค้าเป็นคนจัดแจงให้ผมเสร็จสรรพทุกสิ่งอัน............

                       “เดี๋ยววันนี้นัทเลี้ยงเอง”...........ได้ยินแล้วชื่นใจเหลือเกิน............เรื่องเงินทองโดยมากหากคิดว่าใครได้ใครเสียแล้วล่ะก็.........ส่วนใหญ่ก็มักเป็นฝ่ายเรานั่นล่ะที่ต้องเสีย............แต่จะมากจะน้อยก็ขึ้นอยู่กับธรรมชาติของแต่ละคู่.............หากจะมานั่งคิดเล็กคิดน้อยเรื่องพวกนี้ก็คงได้ขึ้นคานตายกันพอดี............สำหรับผมน้ำใจเล็กๆน้อยๆ ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันแบบนี้ก็ดีเกินพอแล้ว..........เธอออกมั่งฉันออกมั่ง...........แต่อย่าให้ถึงกับต้องให้ผู้ชายมาเป็นฝ่ายควักตังเลี้ยงตลอดเลย..........มันดูไกลความจริงจนเกินไป...........ไม่อยากจะฝันถึง...........


                        บรรยากาศภายในร้านไม่พลุกพล่านนัก............ผมนั่งกินข้าวอย่างสงบเสงี่ยมเช่นเคย...........ปกติหากต้องไปไหนด้วยกันข้างนอก...........ผมมักจะสำรวมมากกว่าปกติอยู่แล้ว............โดยเฉพาะเวลาอยู่ต่อหน้าผู้ชาย...........

                        “เวลากินข้าวต่อหน้าผู้ชายทำเป็นเสงี่ยมเรียบร้อย..........ทีกินกับเพื่อนๆกูนึกว่าปอปลง”……..เดียวและเพื่อนสนิทคนอื่นๆของผม มักว่ากระทบกระเทียบแบบนี้เสมอเวลาที่พวกเรากินข้าวด้วยกัน..........ก็แน่ละสิ จะมีใครเพอร์เฟ็คขนาดนั้นล่ะ.......ก็มันกินไม่ลงเองอ่ะ......ไม่ได้เฟคนะเว้ย.........ถ้าฉันเป็นปอป แกก็เป็นกระสือละวะ........อุอุ.........

                      “อ้าว กินไม่หมดอีกแล้วเหรอ.........เอามานี่เดี๋ยวนัทกินเอง”...........ผมยื่นจานข้าวที่เหลือให้นัท........ซึ่งเขาก็รับไปกินอย่างหน้าตาเฉย...........แต่รู้มั้ยว่า ผมชอบอะไรทื่อๆแบบนี้แหล่ะ.........มันดูจริงใจดี..........เสียดายที่เค้ามีข้อจำกัดหลายอย่าง...........ไม่อย่างนั้นเราสองคนคงไปได้สวย........แต่ก็ช่างมันเถอะ...........อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด.........ผมจะทนจนกว่าจะถึงวันที่เสียงหัวใจผมสั่งว่าไม่ต้องทนอีกต่อไป..............
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: T-Jang ที่ 21-12-2007 11:29:14
ลองมาคิดดูถ้าเราเป็นแบบคุณกั้งเราคงไม่ทนอ่ะ
ขนาดแค่เป็นคนอ่านเฉยๆยังทรมานใจเลย
ไม่รู้ทนได้ยังไง  :เฮ้อ:
แต่มันรักไปแล้วนี่เนอะ o7
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: kongkilmania ที่ 22-12-2007 14:31:32

ก็ได้แต่เชียร์แหล่ะ   ตอนไหนลุ้นว่าเราจะเสียประตู  ก็เสียวซะลืมหายใจเลย     :serius2:



เสียประตู (หลัง) ?   ยืนยันว่าเสียวเจงๆ  :o8: :o8: :o8:

 :m30:    :m25:     



เรื่อง Happry together เลสลี่จางเล่นได้น่าหมั่นไส้มาก
แต่ตอนจบดีนะ อย่างน้อยพี่เหลียงของเราก็ยังพอมีความหวังกะรักครั้งใหม่

ผิดกะเรื่อง lanyu ทำไมต้องจบแบบนี้ด้วย
น้องlanyuของเราสุดแสนจะซื่อแล้วก็แสนดีแต่โดนทำร้ายจิตใจตลอด 
ทำไมต้องเป็นแบบนี้   :m15:

ถ้าอ้างอิงเอาจากหนังนะ
คุณกั้งก็เหมือนนายเอกในหนังหลายๆเรื่องที่เคยดู
ชีวิตนายเอกต้องอดทน ต้องใจสู้ เจ็บแล้วไม่จำ  ให้อภัยคนรักได้ตลอด   :sad2:
แม้ว่าพระเอกมานจะน่าโดน   :เตะ1:  แค่ไหนก็ตาม
คนดูคนอ่านอย่างเราก็ได้แต่     :a6:

หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 22-12-2007 20:49:24
...........ผมนั่งกินข้าวอย่างสงบเสงี่ยมเช่นเคย...........ปกติหากต้องไปไหนด้วยกันข้างนอก...........ผมมักจะสำรวมมากกว่าปกติอยู่แล้ว............โดยเฉพาะเวลาอยู่ต่อหน้าผู้ชาย...........
^
^
^
^
^
^
ll
ll

เจ้นอนยันเลยเคอะ นู๋ๆ ขา  ว่าจริงล้านแปดเปอร์เซนต์

พี่กั้งอะ เจ้าแม่ประดิษฐ์  ประดิษฐ์มากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

 :m30:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 24-12-2007 00:32:43
รักน้อยๆแต่รักนานๆ
นานๆเจอกันที มันก็มีความสุขที่ได้คิดถึงกันนะ
 :mc1: :mc1: :mc1:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 24-12-2007 12:01:29
หุหุ ทนจนนาทีสุดท้ายเลยนะ  :m21: :m21:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: kongkilmania ที่ 26-12-2007 11:21:46
 :a3:  รอ ร๊อ รอ ตอนต่อปาย....
 :m13:
 :m1:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: MeepadA ที่ 29-12-2007 13:05:22



 :a12: :a12: :a12:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 07-01-2008 09:44:38
ดีใจจังที่ board กลับมาเปิดได้อีกครั้ง ยังไงก็สู้ๆนะครับ..............


...

                 สายฝนเริ่มลงเม็ดปรอยๆหลังจากที่พวกเราทานข้าวเที่ยงเสร็จพอดี..............เราสองคนออกวิ่งเหยาะๆ กลับมายังรถก่อนที่เสื้อผ้าจะเปียกปอนไปมากกว่านี้......วันนี้คงเป็นอีกวันหนึ่งของฤดูฝนที่สุดแสนจะโรแมนติกสำหรับใครต่อใครหลายคน.........ได้นอนกอดก่ายกับคนรักบนเตียงอุ่นๆ.............ชี้ชวนกันดูเม็ดฝนสีชมพูที่โปรยปรายอยู่ข้างนอกหน้าต่าง..........เหมือนฝันเลยเนอะ..........

                 “เดี๋ยวแวะเอาของไปส่งให้น้องชายนัทที่โรงพยาบาลก่อนนะ”........เสียงนัทดังทำลายจินตนาการของผมให้พังครืนลงมาในพริบตา........กำลังฝันหวานอยู่เลยเชียว.........

                 “อืม”.......ผมครางออกมาเบาๆ พยายามเรียกสติกลับคืนมา.....ในใจนึกเสียดายบรรยากาศอันแสนโรแมนติกอยู่ครามครัน..........


                 โรงพยาบาลที่น้องชายของนัททำงานอยู่ เป็นโรงพยาบาลเอกชนที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงตั้งอยู่ใกล้ตัวเมือง.............ผมไม่เคยล่วงรู้มาก่อนเลยว่าน้องชายของนัททำงานอยู่ที่นี่.........จะว่าไปแล้ว ผมก็แทบจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับนัทเลย........ยกเว้นแต่เรื่องที่เค้าอยากให้ผมรู้........ซึ่งก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า........แต่ผมก็ไม่ได้พยายามขนขวายหาข้อมูลพวกนั้นหรอก.......ถึงเวลาก็คงได้รู้เองแหล่ะ
........แต่ดูเหมือนเวลาที่เหลือของผมกำลังงวดเข้ามาทุกที............

                  “พี่กั้งรออยู่ตรงนี้นะ.........เดี๋ยวนัทเอาของไปส่งให้น้องแป๊บเดียว”........นัทยก ลังของฝากเดินตัวปลิวหายไปตรงมุมตึก.........รีบร้อนจริงนะ..........ผมแอบคิดในใจ..........กลัวเราจะตามไปด้วยหรือยังไง........ถ้านัทคิดแบบนั้นก็นับว่านัทไม่รู้จักผมดีพอ..........ตั้งแต่คบหากันมา ผมไม่เคยนึกอยากไปแสดงตัวกับคนรอบๆตัวนัทเลยว่าผมกับเค้าเป็นอะไรกัน.......มันน่าอายจะตายไปที่จะต้องตามไปเสนอหน้าเพื่ออยากจะแสดงตัวอะไรแบบนั้น.........ผมเลือกที่จะขออยู่เงียบๆในโลกของผมดีกว่า..........

                   “คนแบบแกหาแฟนยาก..........เงื่อนไขเยอะ.........ไม่อยากโทรหาเค้า.........ต้องรอให้เค้าเป็นฝ่ายโทรหา........เค้านัดไปเจอก็ไม่ไป...........ต้องให้เค้ามาหาเอง”.........เดียวเคยวิพากวิจารณ์ถึงนิสัยส่วนตัวของผม เมื่อครั้งผมนำปัญหามาปรึกษาว่าทำไมผมถึงหาแฟนไม่ได้เหมือนหล่อน ทั้งที่ก็ไม่ใช่ว่าจะมีตรงไหนที่ไม่ดีขนาดนั้น.........นัทเองก็น่าจะรู้ดีว่าผมเป็นคนยังไง............แต่เค้าก็ยังพยายามปกป้องพื้นที่ส่วนตัวเสียจนน่าหมั่นไส้..............เค้าทำให้ผมรู้สึกด้อยค่ายังไงก็ไม่รู้............


                    นัทหายไปนาน จนผมเริ่มกระสับกระส่าย..........สายฝนขาดเม็ดไปนานแล้ว.........แสงแดดอ่อนๆทอดทะลุผ่านก้อนเมฆสีขาวปุกปุยลงมายังเบื้องล่าง............ผมเริ่มรู้สึกร้อน และไม่อยากจะนั่งรอในรถอีกต่อไปจึงหยิบซองบุหรี่และไฟแช็คเดินออกมาหามุมหย่อนอารมณ์...........ชายวัยกลางคนมองมาที่ผมด้วยสายตาแปลกๆ..........สูบบุหรี่ในโรงพยาบาล.........แรง.........ผมอ่านคำประนามจากสายตาที่ฟ้องออกมาแบบนั้น.........ผมเบือนหน้าหนีทำทีเป็นไม่สนใจ พลางพยายามซ่อนสายตาที่ร้อนผ่าวเอาไว้ภายใต้แว่นกันแดดสีดำสนิท............ผมเกลียดที่นี่จัง...........

                   เดิมทีผมไม่ใช่คนสูบบุหรี่ แต่ดื่มแอลกอฮอล์บ้างตามโอกาส.........ผมเพิ่งจะเริ่มหัดสูบมันได้ปีกว่าเท่านั้น.........ความรู้สึกในตอนนั้น ก็แค่อยากทำตัวแร่ดๆแรงๆดูบ้าง........ผมไม่ชอบให้ใครมองว่าผมดูอ่อนเดียงสา น่าทะนุถนอมหรืออะไรเทือกนั้น.........เพราะมันไม่ใช่ตัวผมจริงๆ...........การสูบบุหรี่จึงเปรียบเสมือนการต่อต้านบุคลิกภาพภายนอกของตัวเองอยู่ลึกๆ..........ผมไม่อยากดูว่าเป็นคนเดียงสา........บุหรี่จึงเป็นสิ่งที่แสดงถึงความขัดแย้งอย่างแรงต่อบุคลิกภาพโดยรวมของผมเป็นอย่างดี.........ได้ทำแบบนี้แล้วสะใจดีนัก.......


                   นัทเดินกลับมาที่รถเมื่อผมเริ่มต้นสูบบุหรี่มวนที่สาม...........เขากวาดสายตามองหาผมไปรอบๆ..........ผมยืนมองเค้าอยู่เงียบๆ..........ไม่อยากจะให้เค้าเห็นผมในตอนนี้ แต่ก็ช้าไปแล้ว.........นัทมองเห็นผมในไม่กี่อึดใจต่อมา..........สายตาของเค้าแสดงออกถึงการตำหนิอย่างโจ่งแจ้ง พลางทำท่าฮึดฮัดด้วยความไม่พอใจ...........ก่อนจะก้าวเข้าไปนั่งรออยู่ในรถ..............

                   ผมทิ้งบุหรี่ลงถังขยะแล้วเดินตามมาที่รถอย่างสงบ............ในตอนนี้ ผมไม่อยากพยายามที่จะทำอะไรเพื่อเอาใจเค้าจนเกินไป............เคยเป็นอย่างไรจะเป็นอย่างนั้น............หากจะต้องให้ผมมาคอยตามพะเน้าพะนอเพื่อทำคะแนนเพราะเห็นว่าเค้ามีท่าทีว่ากำลังจะตีจาก..........สู้ให้เค้าจากไปเลยซะยังจะดีกว่า.........แม้พื้นนิสัยของผมจะเป็นคนชอบโอ๋เอาใจคนรัก..........แต่ผมก็ไม่ชอบวิธีการประจบประแจง..........ถ้าหากจะทำ ก็เป็นเพราะอยากจะทำมากกว่า..........

                   “สงสัยเราจะไม่ได้ไปเที่ยวน้ำตกแล้วล่ะพี่กั้ง”............นัทเปรยขึ้นมาเบาๆ พลางหยิบเอาแผนที่ประเทศไทยออกมากาง............

                   “ไอ้น้ำตกที่เราจะไปเนี่ย มันอยู่ไกลมาเลย..........พี่กั้งดูสิ..........ขืนไปเราคงกลับมาไม่ทันมืดแน่ๆ”............ผมรับเอาแผนที่จากนัทมาดู............เออ...........จริงแฮะ.........แล้วทำไมไม่รู้จักเช็คข้อมูลมาตั้งแต่แรกล่ะเนี่ย คนอุตส่าห์เตรียมตัวมา..............ผมนึกเคืองนัทอยู่ในใจ แต่ไม่ว่ากระไรนอกจากยื่นหนังสือแผนที่คืนให้.............

                   “แล้วจะเอายังไงต่อไปล่ะทีนี้”...........ผมถามความเห็นของนัทอย่างสิ้นหวัง............อย่าบอกนะว่าจะให้ผมไปส่งที่โรงพยาบาลแล้วจะให้กลับมาเชียงใหม่เลย.............ถ้าอย่างนั้นจะออกมาทำไมแต่ยังไม่ทันเที่ยง รู้งี้นอนเล่นที่ห้องก่อนแล้วค่อยออกมาตอนบ่ายๆก็ได้.............ผมพยายามข่มอารมณ์โมโหไม่ให้แสดงออกมาทางสีหน้า...............

                    “ไปเที่ยวแม่เมาะแทนมั้ยล่ะ...........นี่ก็ยังวันอยู่ นัทเองก็ไม่ได้อยากรีบกลับเข้าไปที่โรงพยาบาลนักหรอก”.........โอ้ย........เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ได้..........ชักจะหมดอารมณ์แล้วนะ.......อยากไปไหนก็ตามใจแล้วกัน........แม้ในใจจะนึกเช่นนี้ แต่ผมก็ต้องจำใจเออ ออไปตามเรื่อง..........

                     “อืม.........แล้วที่นั่นมันมีอะไรเหรอ”..........ผมพยายามกลบอาการไม่พอใจเอาไว้ภายใน.........ดูเหมือนวันนี้อะไรๆก็ผิดแผนไปซะหมด.........

                     “ก็มีอ่างเก็บน้ำ”............แล้วมันมีอะไรให้น่าดูตรงไหนหว่า..........เอาวะ...........ว่าไงก็ว่าตามกัน...........



                      รถแล่นฉิวขึ้นเนินไปตามรดับความสูง...........รู้สึกว่าวันนี้นัทจะคุยเก่งกว่าปกติ.............ดูขยันหยิบยกเอาเรื่องนั้นเรื่องนี้มาเล่าได้ไม่มีเบื่อ.......แต่โดยมากก็มักเป็นเรื่องส่วนตัวของตัวเค้าเองซะมาก.........ไม่เห็นจะถามถึงเรื่องของผมบ้างเลยเนอะ..........แต่ยังไงก็ดีกว่าให้มานั่งทำหน้าเป็นตูดล่ะวะ.........ผมมีข้อสังเกตอย่างหนึ่งว่า ส่วนใหญ่เวลาที่นัทพูดมากๆ มักจะต้องมีสาเหตุมาจากการที่เค้ารู้สึกผิดอะไรต่อผมบางอย่าง..............ครั้งนี้สงสัยเค้าอาจจะเกรงใจที่ผมต้องขับรถมาส่ง ถึงที่แพร่...........ทั้งๆที่ช่วงเวลาที่ผ่านมา เค้าทำไม่ค่อยดีกับผมเท่าไหร่............

                      “ที่โรงพยาบาลเค้าจะมีแข่งกีฬา........พี่ๆที่ทำงานเค้าชวนให้นัทไปเตะบอลด้วย”..........ผมเริ่มสนใจในประโยคที่ว่า เตะบอล...........เตะบอลเหรอ.........เกย์ส่วนใหญ่ไม่ชอบเตะบอลนี่............

                      “แล้วนัททำไงอ่ะ..........ไปเตะกับเค้าด้วยหรือเปล่า”.............ผมถามหยั่งเชิงดูท่าทีว่านัทจะทำอย่างไร กับเรื่องนี้

                           “ไม่.........นัทกลัวจะทำขายหน้า.........เดี๋ยวเตะไม่โดนลูก........อายเค้าเปล่าๆ”............หุหุ..........ก็อยากเป็นผู้ชายนักไม่เหรอ..........ก็ไปเตะบอลกะเค้าสิ.........ผมอยากเหน็บเค้ากลับด้วยคำคำนี้นัก...........แต่ก็ได้แค่อยาก...........

                       “อ้าว ทำไมล่ะ..........ไม่ลองไปซ้อมกับเค้าเล่นๆดูก่อนล่ะ เดี๋ยวก็เก่งเองแหล่ะ”............ลึกๆแล้วผมรู้สึกสะใจเหลือเกิน ที่เห็นว่าแม้เค้าจะพยายามหลอกลวงคนอื่นโดยการทำเก๊กแมน.....แต่แท้ที่จริงแล้ว เค้าเองก็ยังขาดความมั่นใจในตัวเองเรื่องนี้อยู่มาก.........เค้าจะมีความสุขไปได้อย่างไร......แล้วผมควรจะทำให้เค้ามั่นใจหรือควรจะทำให้เค้าเสียความมั่นใจดีล่ะ.............

                        ผมอยากจะพูดเพื่อตอกย้ำให้เค้ารู้สึกเจ็บปวดและรู้สำนึกซะบ้างว่าตัวเองเป็นเกย์............เค้าไม่มีทางจะเป็นผู้ชายไปได้หรอก...........แต่ในที่สุดผมก็เลือกที่จะเงียบ และก็ฟังเพียงอย่างเดียว..........ปล่อยให้นัทพล่ามเรื่องของตัวเองต่อไปเรื่อยๆ........ส่วนความคิดของผมกลับล่องลอยออกไปไกลแสนไกล...........ผมเหนื่อย.........ผมไม่อยากฟังคนที่พูดแต่เรื่องของตัวเอง..........



                        “พี่กั้ง......ไม่ต้องไปแม่เมาะหรอกเนาะ...........มันคงไม่มีอะไรให้น่าดูหรอก”.............นัทเอ่ยออกมาเมื่อเรากำลังเลี้ยวเข้าเส้นทางมุ่งสู่แม่เมาะได้สักพักหนึ่ง............ผมหันมามองด้วยท่าทีประหลาดใจ............จะเอายังไงของเค้าเนี่ย..........

                        “แล้วจะเอาไงอ่ะ.......”...........ผมถามออกมาเนือยๆ.............ไม่ใช่เรื่องอะไรใหญ่โตหรอก........แค่เค้าทำแผนพังมาโดยตลอดตั้งแต่เมื่อสองวันก่อนแล้วล่ะ.......มันพังมาตั้งแต่ตอนที่ผมไปรับเค้ากลับมาเชียงใหม่ แต่เค้าบอกว่าจะเลยกลับบ้านที่เชียงรายเลย.........และมันก็พังต่อเนื่องมาอีกนิดหนึ่งตอนที่เค้าบอกว่าอยากให้เราออกเดินทางแต่เช้า เพื่อจะได้แวะไปเที่ยวน้ำตกระหว่างทาง แทนที่เค้าจะมาอยู่ที่ห้องกับผมเมื่อเค้ากลับมาถึงเชียงใหม่แล้ว............ต่อมาเค้าก็บอกว่าไม่ไปน้ำตก แต่จะไปเที่ยวแม่เมาะแทน........แล้วตอนนี้กะอีแค่เค้าจะไม่ไปแม่เมาะ แต่จะกลับโรงพยาบาลเลย.......ก็แค่ยกเลิกแผนนิดๆหน่อยๆ มันคงไม่มีอะไรให้ต้องเสียความรู้สึกมากมายนักหรอก.........แค่นี้ชิลๆ.............

                         “กลับโรงพยาบาลเลยดีกว่า”..........อืม..........เยี่ยม........ถ้าจะให้มองในแง่ดี..........อย่างน้อยๆเราก็ได้มีโอกาสอยู่ด้วยกันตั้งหลายชั่วโมงในรถระหว่างที่เราเดินทางไปแพร่...........และมีโอกาสได้รื้อฟื้นความรู้สึกที่กำลังจะตายลงไปจากใจ ให้ฟื้นกลับคืนมาใหม่.............จนกว่าจะได้กลับมาเจอกันอีกครั้งในเดือนหน้า...........

                         การกลับมาของนัทในเดือนนี้.........ผมแทบจะไม่มีโอกาสได้เปิดอกซักถามความในใจของเค้าถึงเรื่องที่เค้าทำอะไรแย่ๆกับผมเอาไว้มากมายตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา...........ตอนนี้สถานการณ์ยังดูคลุมเครือ.........ผมยังมองไม่ออกว่าในใจของเค้าคิดอะไรอยู่..............คงต้องรอดูท่าทีให้ชัดเจนกว่านี้อีกสักนิด.....................หากเดือนต่อไปพฤติกรรมต่างๆของเค้ายังเป็นเหมือนเดิม...........บางทีเราควรจะต้องหันหน้ามาคุยกันดีๆ เพื่อที่จะหาคำตอบว่าเค้าจะเอาอย่างไรกันแน่.................

                        “นัทหาร้านทำป้ายชื่อติดหน้าอกแต่ก็ยังไม่เจอสักทีไม่รู้มันมีร้านแบบนั้นแถวไหน.........อันที่นัทมีอยู่มันเป็นอันที่ใช้สมัยเป็นนักศึกษา.......ตอนนี้คำนำหน้าชื่อมันไม่เหมือนกัน”...............นัทเปรยถึงป้ายชื่อที่เค้าอยากจะได้ระหว่างที่เรากำลังเข้าสู่เขตจังหวัดแพร่.........

                        “เดี๋ยวพี่ไปทำให้เอามั้ย........”.........ผมรีบขันอาสาในทันที............ผมแสนจะภูมิใจที่ตอนนี้นัทได้เป็นหมอเต็มตัวแล้ว..........ไม่น่าเชื่อเลยว่านัทที่แสนจะซกมกเฉิ่มเชยของผม จะได้เป็นคุณหมอกับเค้าด้วย........แต่ถึงยังไงผมก็ยังมองว่าเค้าเป็นนัทคนเดิมอยู่ดีนั่นล่ะ.......

                       “อืม..........เอาสิ.........พี่กั้งทำมาสักสามอันนะ”...........นัทออกคำสั่งตามความเคยชิน.........

                       “ได้สิ........เอาไว้ทำเสร็จแล้วพี่จะส่งไปให้ที่โรงพยาบาลนะ”.........ตอนนี้ผมยังนึกไม่ออกเลยว่าจะไปหาร้านที่ทำป้ายแบบนั้นได้ที่ไหน.........แต่คงไม่ยากเกินความสามารถหรอก...........อีกอย่างผมกำลังคิดว่าจะส่งซีดีหนัง Broke Black Moutain และก็ Lan Yu ไปให้นัทพร้อมกันเลย.........มันเป็นวิธีการเตือนให้เค้ารับรู้ถึงการมีอยู่ของตัวผมและก็ความเป็นเกย์ของตัวเค้าเองด้วย..........และนี่ก็เป็นวิธีเดียวเท่าที่ผมพอจะนึกออกในตอนนี้...............



                      บรรยากาศในบริเวณโรงพยาบาลดูเงียบสงบ คงเพราะเป็นบ่ายของวันอาทิตย์........นัทขนของลงจากรถด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลน...........ผมยืนมองดูด้วยความเหนื่อยใจ..........

                      เราสองคนยืนมองหน้ากันอยู่ในห้องเมื่อขนข้าวของลงจากรถเรียบร้อยแล้ว.............ผมกำลังนึกสงสัยอยู่ในใจว่าเค้าจะไล่ให้ผมกลับเชียงใหม่เลยหรือไม่............หรือเค้าจะชวนผมค้างที่นี่ รอให้ถึงพรุ่งนี้เช้าค่อยกลับ...........หรือ............

                      “ถ้านัทไม่มีรูมเมท นัทคงจะให้พี่กั้งนอนที่นี่ด้วยหรอก...........พรุ่งนี้ก็เช้าค่อยกลับ”...........นัทพูดถึงรูมเมทที่เป็นแพทย์ฝึกหัด ซึ่งตอนนี้ก็กลับบ้านเช่นกัน ตอนนี้คงอยู่ในระหว่างการเดินทางกลับมา.............นัทเคยพูดถึงรูมเมทคนนี้ให้ผมฟังบ้างเป็นครั้งคราว แต่ผมก็ยังไม่เคยเห็นหน้าคาดตาสักที.....ได้ยินว่าเค้าเป็นเพื่อนของเพื่อนนัทอีกทีหนึ่งด้วย แถมยังเป็นผู้ชายมากซะจนนัทต้องคอยระวังตัวแจเพราะกลัวโดนสงสัย (นัทชอบคบเพื่อนผู้ชาย เถื่อนๆเซอร์ๆเพื่อปกปิดตัวเอง)............หรือว่านี่จะเป็นสาเหตุที่นัทไม่ชอบให้ผมโทรมาหาเพราะกลัวเพื่อนรู้ว่านัทเป็นเกย์...........แต่ถ้ากลัวเค้ารู้ก็ออกมาคุยโทรศัพท์นอกห้องก็ได้นี่.......ไม่น่าจะใช่หรอก...........หรือว่านัทจะกำลังชอบกะเค้าอยู่..........แต่ก็คงไม่ใช่อีกนั่นล่ะ............นัทกลัวคนจะรู้ว่าเป็นเกย์จะตาย คงไม่กล้าเสี่ยงมีความรักในที่ทำงานหรอก..........อีกอย่างเค้ากลัวจะเป็นบาปจะตายไปที่ต้องเป็นเกย์.........ถ้าเค้าจะเลิกชีวิตเกย์มันน่าจะจบลงที่ผมสิ............แต่ก็ไม่แน่เหมือนกันนะ.........

                       “พี่อยากพักสักเดี๋ยวค่อยกลับ..........นัทไม่มีที่น่าเที่ยวแถวนี้เหรอ”.............ผมแสร้งถามที่เที่ยวกลบเกลื่อนความเสียใจที่นัททำทีเหมือนบอกให้รู้ว่าผมต้องรีบกลับไปก่อนที่คนอื่นจะมาเจอ...........

                       “ก็มีสวนสาธารณะใกล้ๆนี้ และก็วัดที่เค้ากำลังสร้างพระพุทธรูปขนาดใหญ่อยู่บนยอดเขา..........พี่กั้งอยากไปดูมั้ยล่ะ”..........นัทเสนอท่าทางกระตือรือร้นมากขึ้น...........เค้าอาจจะอยากตอบแทนด้วยการพาผมเที่ยวชมรอบๆก็ได้...........หรือว่าเค้าอยากจะให้ผมออกไปจากห้องนี้โดยเร็วกันนะ........

                        “เอาสิ”........ผมตอบตกลงทันที...........ก็ดีกว่าโดนไล่ให้กลับเลยล่ะวะ...........


                        แม้จะอยู่นอกโรงพยาบาล แต่นัทก็ยังไม่คลายความตื่นตระหนกลงไป...........เค้ายังหลุดท่าทีลุกลี้ลุกลนให้เห็นบ้างเป็นบางคราว ทั้งๆที่เพิ่งมาอยู่ที่นี่ได้แค่เดือนเดียวแท้ๆ จะมีใครมารู้จักอะไรนักหนา......อีกอย่างเราก็แค่เดินไปด้วยกันเฉยๆ ไม่ได้เดินไปจูบกันไปซะเมื่อไหร่............

                        “ถ้ามีคนมาเห็นทะเบียนรถพี่กั้งว่าเป็นอุบลราชธานี เค้าจะสงสัยว่าพี่กั้งเป็นใคร ทำไมต้องมารับนัท........ถ้าเป็นญาตินัททำไมต้องขับรถทะเบียนอุบล........ถ้าเป็นเพื่อนทำไมต้องมารับมาส่ง..........แล้วเค้าก็จะเอาไปเม้าท์กัน.......นัทขี้เกียจต้องมานั่งตอบคำถามและก็สร้างเรื่องโกหกอีกสารพัด”...........นัทเคยปรับทุกข์กับผมด้วยปัญหาทำนองนี้เสมอ...........จนบางครั้งผมรำคาญในความหวาดระแวงดังกล่าว......

                        “แล้วนัทบอกเค้าว่าไง”.........

                        “ก็บอกเค้าว่าเป็นเพื่อน มาจากพิษณุโลก จะขึ้นไปทำฟันที่เชียงใหม่เหมือนกัน ก็เลยแวะมารับ”.....ยุ่งยากจังเนอะ........การที่ต้องคอยโกหกแบบนี้.........นี่ผมเป็นปัญหากับเค้าถึงขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย........เค้าพารานอยด์เกินไปหรือเปล่า.......ดูๆไปเหมือนคนเป็นโรคประสาท.....

                        “นัทก็บอกเค้าไปสิว่าเป็นเพื่อนรุ่นพี่.........แล้วนัทก็วางตัวหมือนเราเป็นเพื่อนกัน ทำยังกะว่านัทไม่เคยมีเพื่อเป็นเกย์งั้นแหล่ะ........นัทวางตัวกะเค้ายังไงก็ทำกับพี่แบบนี้ก็ได้”.......ผมพยายามเสนอทางออกเพื่อลดความกดดันของนัทลง.........

                        “ไม่ได้หรอก........กับพวกนั้นนัทไม่ได้คิดอะไร.........มันไม่เหมือนกัน.........หรือพี่กั้งไม่อยากให้นัทคิด”...........เฮ้อ....เวรกรรม........เกลียดตัวกินไข่แท้ๆ...........


                        หลังจากแวะนั่งเล่นที่สวนสาธารณะริมน้ำ........เราสองคนจึงแวะขึ้นไปไหว้พระพุทธรูปบนยอดเขา (อันที่จริงผมไหว้คนเดียว นัทไหว้ไม่ได้).........ผมก้มกราบพระพุทธรูปและตั้งจิตอธิฐานต่อหน้าท่านรวมถึงต่อหน้านัทที่กำลังยืนดูอยู่เงียบๆ...........

                        “หากแม้นว่าเรามีบุญวาสนาต่อกัน ก็ขอให้เราผ่านพ้นปัญหาในครั้งนี้ไปได้โดยเร็ว และขอให้ได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข...........แต่หากเราหมดวาสนาต่อกันแล้วก็ขอให้ผมตัดใจจากเค้าให้ได้โดยไว และขอให้เราจบกันไปเสียที สาธุ”.........สายลมพัดกรูเกรียวต้องใบไม้ที่อยู่โดยรอบไหวระริก.......ท่านคงรับที่ผมอธิฐานแล้วกระมัง..........

                        จวบดวงตะวันใกล้จะลับเหลี่ยมเขา...........นัทจึงชวนผมกลับ.........เวลาที่เราได้อยู่ด้วยกันเพียงลำพังโดยปราศจากสิ่งรบกวนจิตใจจากภายนอกเช่นเย็นวันนี้........ผมมักได้สัมผัสถึงความรู้สึกที่แท้จริงของนัทที่มีต่อผมเสมอ..........จนบางครั้งผมก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสารเค้า...........ในขณะดียวกันผมก็รู้สึกสมเพชตัวเองพอๆกัน..........เมื่อไหร่ก็ตามที่เค้ากลับเข้าสู่สังคม ครอบครัว ศาสนา.........เมื่อนั้นผมก็จะไม่สามารถเข้าถึงความรู้สึกที่แท้จริงของเค้าได้อีก............เค้าจะคอยปัดป้องและโต้กลับมาอย่างแรงเสมอหากผมคิดจะลองดี..........จนบางครั้งผมอดสงสัยไม่ได้ว่านัทที่ผมรักคือคนๆไหนกันแน่..............


                        ผมเข้าไปนั่งตักนัทที่เตียง พลางกอดและหอมแก้มนัทเบาๆเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อเรากลับมาถึงที่ห้องเรียบร้อยแล้ว............

                        “เดี๋ยวใครก็มาเห็นเข้าหรอก”..........เสียงนัทครางออกมาเบาๆ.......แม้จะทำท่าบ่ายเบี่ยงและทำเสียงเหมือนดุแต่ก็ดูอ่อนแรงเต็มที............ความยับยั้งชั่งใจของเค้าคงกำลังจะหมดลงหลังจากที่ได้ต่อสู้กับมันอย่างดุเดือดมาตลอดบ่าย.............

                        “ใครเค้าจะมาเห็น..........ที่นี่มีแต่เราสองคน”.........ผมแกล้งยั่วต่อ ไม่ยอมปล่อยมือจากการเกาะเกี่ยวง่ายๆ.............

                         “อยากจะโดนหรือไง”.........นัทถามเหมือนเป็นคำขู่ แต่น้ำเสียงเจือไปด้วยไฟปรารถนา............ใครกันแน่ที่อยากโดน............

                         ผมมองไปที่หน้าต่างซึ่งไม่มีผ้าม่านปกปิด..........หากเกิดอะไรขึ้นคนอาจจะมองเข้ามาเห็นได้................และผมไม่ได้เตรียมตัวมาเพื่อการมีเซ็กส์...........อีกทั้งคำถามที่นัทถามเมื่อครู่ มันก็ยังทำให้ผมรู้สึกละอายอยู่ลึกๆอีกด้วย.........จะให้ตอบว่าอยากเหรอ..........ไม่มีวัน.........

                         ผมหอมแก้มนัทอีกทีเบาๆ ก่อนจะลุกเดินออกมา...............

                        “พี่จะกลับแล้วนะ”............ผมเก็บข้าวของเตรียมตัวจะเดินทางกลับเชียงใหม่.............นัทไม่ว่าอะไร นอกจากเดินตามมาส่งที่ตรงระเบียง..............เราสองคนโบกมือให้กัน ก่อนที่ผมจะตัดใจขับรถจากมา............สำหรับช่วงเวลาหนึ่งเดือนถัดไป ผมก็แค่กลับไปเตรียมตัวตั้งรับกับพฤติกรรมร้ายๆที่เค้าอาจจะแสดงกับผมแบบที่เคยทำมาแล้วอีกก็ได้.............แล้วผมจะสามารถอดทน จนกว่าเราได้กลับมาเจอกันอีกในเดือนถัดไปหรือไม่........อันนี้ผมไม่รู้..........เรื่องนี้คงต้องถามนัทแล้วล่ะ.................
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 07-01-2008 10:30:55
อ่านไปอึดอัดแทนคุณกั้งไป
เหนื่อยใจด้วย  :serius2:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 07-01-2008 11:06:23
ว้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

พี่ตู  น่าสงสาร  o7
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 07-01-2008 12:43:11
อดทน อดทน อดทน      :m15:  :m15:  :m15:  :m15:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: kongkilmania ที่ 07-01-2008 17:14:53
หลังจากรอ ร๊อ รอ....ตอนต่อไป
พอได้อ่านก็ต้อง ทน ท๊น ทน อึดอัดใจกันต่อปายยยยยย    :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 07-01-2008 17:23:09
อิอิ...........มีแต่คนอึดอัดอ่ะ..........เกรงใจจัง
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 14-01-2008 09:23:30
^
^
น่ารักจริงๆ  ไม่ต้องเกรงใจ  ปล่อยมาหมดแม๊คเลยพี่กั้ง  จะได้บ้าไปเลย  o7
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 14-01-2008 11:16:56
เรทติ้งไม่ค่อยขยับเรยอ่ะ........สงสัยจะเครียดเกินไปเนอะ..............งั้นมาต่อเลยละกันนะคับ

...

                        “จะรักทำไมให้เจ็บให้ช้ำ...........รักทำไมให้เหนื่อยให้ล้า.............อยู่กันไปก็เปลืองเวลา........ก็มีแต่ทุกข์ในใจ..............”...............ฮึ่มมมมมมม............เพลงบ้าอะไรวะ แต่งได้แทงใจอิ้บอ๋าย...........

                        ผมเอื้อมมือไปหรี่เสียงเพลงอันแสนเศร้านั้นลงช้าๆ...........ในใจนึกทบทวนถึงวันคืนเก่าๆที่เราสองคนได้ใช้ชีวิตร่วมกันมาเกือบหนึ่งปีเต็ม..........แม้จะรู้ซึ้งถึงแก่นของสัจธรรมที่ว่า “ความรักในหมู่เกย์ ไม่มีคำว่าสมหวัง”........แต่ผมก็ยังอดหวังไม่ได้ว่าผมอาจจะได้รับการยกเว้นจากกฎเกณฑ์ดังกล่าว......มาถึงตรงนี้ผมก็คงต้องยอมรับความจริงเสียที แล้วก็คงต้องยอมรับโดยดุสดีว่า สติปัญญาที่ผมพากเพียรสั่งสมมาเกือนค่อนชีวิต ก็ไม่อาจจะสามารถพาผมก้าวผ่านปัญญาหัวใจครั้งนี้ไปได้...........ส่วนเวลาที่เหลืออยู่ ผมก็คงได้แค่นั่งเฝ้ามองดูตัวเองกระเสือกกระสนหาทางออกต่อไป จนกว่าผมจะอ่อนแรงและยอมแพ้ไปเองในที่สุด................

                         “ถ้าไม่มีรูมเมท.......นัทก็คงให้พี่กั้งนอนค้างด้วย........พรุ่งนี้เช้าค่อยกลับ”.........หึ........ฟังดูดีเนอะ.......แต่สุดท้ายเค้าก็ไม่ได้แสดงออกถึงความห่วงใยดังที่ได้พูด...........แม้จะโทรมาถามสักนิดว่าตอนนี้ผมขับรถกลับมาถึงไหนแล้วก็ไม่มี........

                         เวลาสองชั่วโมงต่อจากนี้ ผมจะต้องขับรถขึ้นเขา ฝ่าความมืดมิดกลับเชียงใหม่เพียงลำพัง............ผมได้แต่เฝ้าเพียรถามตัวเองว่าจะทำอย่างไรต่อไปกับเรื่องของเรา.........แต่ผมก็ไม่พบคำตอบที่น่าพอใจ.........ผมสับสนเกินกว่าจะตัดสินอะไรในตอนนี้............
 

                          “พี่กั้ง ไปเดินถนนวัวลายกันมะ”...........ตั้งแต่นัทจากไป ผมก็มีอ้นคอยไปไหนมาไหนเป็นคู่หู สลับกับเจบ้างเป็นพักๆ........แม้ว่าอ้นกับนัทจะไม่ค่อยกินเส้นกันนัก..........แต่ผมก็คงไม่คิดจะเลิกคบกับใครเพียงเพราะว่า แฟนผมไม่ชอบขี้หน้าเค้าหรอก.........

                          “นัทเป็นไงบ้างอ่ะ..........หมู่นี้พี่กั้งดูหน้าอมทุกข์จัง”.............หล่อนทำหน้าตายกลบเกลื่อนความอยากรู้อยากเห็นได้ไม่แนบเนียนนัก..........แต่ผมก็ไม่มีเรื่องอะไรที่จะต้องปิดบังอยู่แล้ว.........

                           “ไม่ดีนัก........พี่ก็ไม่รู้ว่าจะทนรับสภาวะแบบนี้ได้อีกนานแค่ไหน”............ผมถอนหายใจออกมาดังๆอย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนที่โฉบเข้าไปนั่งเลือกเครื่องเงินหลากสไตล์ที่วางขายบนแผงขนาดกระทัดรัดริมทางเดิน..........


                           ถนนวัวลายเป็นถนนสายเศรษฐกิจที่สำคัญอีกเส้นหนึ่งของเมืองเชียงใหม่.........ตลอดสองข้างทางของถนนสายนี้เต็มไปด้วยร้านเครื่งเงินเก่าแก่มากมาย...........และในคืนวันเสาร์ ถนนเส้นนี้จะถูกปิดเป็นถนนคนเดินสำหรับขายของพื้นเมือง คล้ายๆกับถนนคนเดินที่มักเปิดในคืนวันเสาร์อาทิตย์ในตัวเวียง..........แต่ที่นี่คนไม่พลุกพล่านเท่า........และเดินสบายกว่า..........

                          “พี่กั้งจะไปคิดอะไรมาก........ให้เวลาน้องเค้าปรับตัวอีกหน่อยสิ........เค้าเพิ่งไปอยู่ที่นั่นได้ไม่นานเองนะ”..........อ้นเดินเข้ามานั่งเลือกเครื่องเงินอยู่ข้างๆ พลางพยายามปลุกเร้าให้ผมคิดในแง่บวกต่อเรื่องแย่ๆที่นัทได้ทำลงไป............แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องปรับตัววะ.........ผมได้แต่แอบนึกสงสัยอยู่ในใจ............

                         “วงนี้สวยมั้ย”.........อ้นชูนิ้วที่สวมแหวนเงินวงโตลวดลายแปลกตาเพื่อขอความเห็น........ผมมองพิจารณาดูแหวนวงนั้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะ get ไอเดียขึ้นมาอย่างแรง...........

                         “พี่ว่าพี่เลือกแหวนเงินเกลี้ยงไว้ใส่กับนัทคนละวงดีกว่า”..........ผมร้องบอกไอเดียสุดเจ๋งกับอ้น แล้วรีบก้มหน้าก้มตาค้นหาแหวนวงที่ถูกใจ...........ครั้งหนึ่งที่ผมเคยมาเดินเที่ยวกับนัทและมอลลี่ที่ถนนวัวลาย........นัทเคยอยากได้แหวนเงินเกลี้ยงๆแบบนี้...........แต่สุดท้ายก็ไม่ซื้อเพราะไม่พอใจที่แม่ค้าทักว่านิ้วใหญ่ (หุหุ)............

                         “อันนี้เป็นไง”........อ้นชูแหวนเงินวงเกลี้ยงสะท้อนแสงไฟแวววับ.............ดูดีไม่เลวเลย.................ยังกะแหวนแต่งงานแน่ะ..........ผมยิ้มออกมาพลางไพล่นึกไปถึงเรื่องโรแมนติกๆ........

                          ผมรับซองพลาสติกที่บรรจุแหวนเงินสองวงมาเก็บไว้ในกระเป๋าอย่างบรรจง ก่อนจะจ่ายเงินให้กับพ่อค้า.......วงหนึ่งสำหรับนัท............อีกวงหนึ่งเป็นของผม.......ผมจะต้องบังคับให้เค้าสวมให้ผมให้ได้..........แต่ เอ.........ว่าแต่เค้าจะยอมให้ความร่วมมือหรือป่าวเนี่ย........คิดแล้วสยองจัง.........



                          หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป..........ยังไม่มีวี่แววจากนัทแต่อย่างใด.........ในขณะที่ผมเองก็เริ่มยอมรับกับสภาพดังกล่าวได้มากขึ้นเรื่อยๆ.........ผมจะไม่โทรไปหาให้เค้าโวยวายใส่อีกแล้ว.........ดูซิว่าเค้าจะทำอย่างไรต่อไป.......เลิกก็เลิกสิ..........เป็นไงก็เป็นกัน...........

                         “มีคนรักก็เหมือนไม่มี.........ก็ยังเหงา”.........การได้ตั้งชื่อสำหรับออนเอ็มเอสเอ็นแบบนี้ ทำให้ผมรู้สึกสะใจกับความล้มเหลวในเรื่องความรักของตัวเองดีเหมือนกัน..........แต่โดยปกติผมก็มักจะตั้งชื่อออนเอ็มเอสเอ็นไปตามสถานการณ์ในชีวิตแต่ละช่วงอยู่แล้ว.............

                         “พี่กั้ง......เป็นอะไรนักหนากับความรัก”........คนที่ผมไม่คาดฝันว่าจะได้รับความสนใจกลับกลาย
เป็นคนแรกที่เข้ามาถามถึงความทุกข์ใจที่ผมกำลังเผชิญอยู่........การเข้ามาทักทายของเค้าทำให้ผมหวนระลึกย้อนกลับไปถึงเมื่อครั้งที่ผมยังใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศ........

                         “ที่โน่นกี่โมงแล้วเต้”..........ผมเลี่ยงไปถามคำถามอื่นเพราะไม่อยากให้เต้มองว่าผมเป็นคนขี้แย มีอะไรก็วิ่งร้องไห้มาฟ้องเค้าอะไรเทือกนั้น..........

                         “เกือบหกทุ่มแล้วครับ”...........เต้ตอบกลับมาเกือบจะในทันที...........ตั้งหกทุ่มแล้ว ดูซิ ยังมีแก่ใจมาถามไถ่ทุกข์สุข..........ค้าเป็นผู้ชายที่ดีที่สุดที่ผมเคยพบ.......หล่อ.......สุภาพ........ฉลาด.......การศึกษาสูง........ละเอียดอ่อนและแสนดี.........แต่ผมคงทำบุญมาไม่มากพอ ผมจึงได้พบเค้าในช่วงสุดท้ายก่อนจะกลับมาเมืองไทย.........แม้ว่าตอนนั้นเค้ากำลังจะหลงกลมาตีแบดกับผมอยู่แล้วก็ตาม.........เฮ้อ........ผมจึงต้องกลับมาเมืองไทยทั้งๆที่ยังอยากจะทำความรู้จักกับเค้าให้มากกว่านี้.....

                          “เมื่อไหร่เต้จะมาเมืองไทยสักที.........พี่คิดถึงเต้”...........กรี๊ดดดดด........ไม่อยากจะเชื่อว่าผมเพิ่งพูดอะไรออกไป..........ไม่มีความเป็นกุลเกย์ซะบ้างเลย.........ช่างสิ.........คนเราไม่มีโอกาสได้ทำอะไรอย่างที่อยากทำบ่อยนักหรอก.........

                         “ช่วงนี้คงไม่ได้กลับหรอกครับ กะลังมีสอบ”.........ถึงเค้าจะกลับมาก็คงไม่ได้มาเจอผมหรอก.........ผมไม่ได้เป็นอะไรกับเค้านี่........อีกอย่างเค้าก็รับรู้มาโดยตลอดว่าผมมีแฟนอยู่แล้ว.........

                        “ถ้าเต้กลับมาอย่าลืมมาเที่ยวเชียงใหม่นะ......พี่จะรอ”.......ผมยังไม่วายหยอดคำหวานทิ้งท้าย........ก็ใครมันจะไปรู้ล่ะว่าวันหนึ่งเราอาจจะได้กลับมาเจอกันอีกก็ได้........

                        “ครับ.......ผมเองก็ยังไม่เคยไปเชียงใหม่เลย”..........หัวใจที่ห่อเหี่ยวของผมได้สัมผัสกับความชุ่มชื่นอีกครั้ง จากคำปรารภลอยๆนั้น..........

                         “ว่าแต่พี่กั้งเป็นอะไรไปเหรอ กับความรักอ่ะ”..........ได้โอกาสที่ผมจะอ้อนเค้าบ้างแล้ว..........ถึงจะเป็นได้แค่ชู้ทางใจ..........แต่เค้าก็เป็นสุดยอดของผู้ชายในความฝันที่มีตัวตนอยู่จริงของผม.........แล้วผมจะปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไปทำไมกัน.............

                         หลังจากที่รับฟังผมประจานความห่วยแตกของนัทจนจบ..........เต้ก็ได้แสดงความเห็นออกมาตามตรง..........

                         “พี่กั้งเลิกกับเค้าเถอะ.........จะทนไปทำไมคนพรรณนั้น”............ผมดีใจที่เต้โกรธ และเข้าข้างผม.........แต่มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก..........

                         “ถ้ามีแฟนแล้วไม่ดี ก็อยู่คนเดียวยังจะดีกว่า..........ผมเองถ้าไม่มีแฟนคนนี้.........ผมก็อยู่คนเดียวได้........ไม่เห็นต้องกลัวเหงาเลย”..........แฟนคนนี้..........ผมเคยได้ยินมาว่าเต้มีแฟนแล้ว...........เป็นเพื่อนสมัยเรียนตั้งแต่ปริญญาตรี...........อีกไม่นานทั้งคู่ก็คงจะแต่งงานกัน...........แต่ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะมาได้ยินจากเจ้าตัวเอง...........ถึงยังไงผมก็คิดว่าเต้เป็นเกย์ชัวร์..........แต่ถ้าเค้าเลือกที่จะแต่งงาน มันก็เป็นเรื่องของเค้า...........

                        “เลิกกับเค้าเถอะนะ”............เต้ย้ำในตอนท้าย ก่อนจะพูดให้กำลังใจผมอีกสองสามประโยคแล้วลาจากไป...............

                        “ถ้าพี่เลิกกับเค้าแล้ว.........เต้จะดูแลความรู้สึกของพี่ได้มั้ยล่ะ”...........ผมพึมพำกับตัวเองเบาๆ.........ไม่มีประโยชน์ที่จะหน่วงเหนี่ยวเค้าเอาไว้...........แต่อย่างน้อยๆ การที่ได้พูดคุยกับเค้าในวันนี้ ก็ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าขึ้นมาเป็นกอง.........หลังจากที่โดนนัททำลายมันไปอย่างย่อยยับในช่วงเวลาที่ผ่านมา..........




                       นัทยังไม่โทรมาอีกเหมือนเคย.............ผมใช้เวลาส่วนใหญ่ที่เหลือในแต่ละวัน ไปกับการพล่ามพรรณนาถึงความทุกข์ใจเรื่องนัทให้อ้นฟัง............รวมถึงการออกไปไหนมาไหนกับเจบ้างตามโอกาส...........แต่เค้าก็เป็นได้แค่ตัวสำรอง.........ไม่มีวันเป็นตัวจริงไปได้หรอก.........บางครั้งผมก็เคยถามตัวเองว่าทำไมผมถึงไม่ลองให้โอกาสเค้าดูบ้างล่ะ.........บางทีการยอมรับใครสักคนเข้ามา อาจจะช่วยให้อะไรๆดีขึ้นก็ได้.............

                       “ผมขอไปดูหนังที่ห้องพี่กั้งได้มั้ย”...........หนังที่ว่า หมายถึงคลิปฉาวของคนดังที่หลุดออกมาสู่สาธารณะ....นี่เค้าจะขอไปดูคลิปที่ว่าที่ห้องผมงั้นเหรอ..........หมายความว่ายังไงกันเนี่ย............

                       “ได้สิ”............ผมตอบตกลงหลังจากที่คิดใคร่ครวญแล้วว่าผมควรจะเปิดโอกาสให้คนอื่นที่แคร์ความรู้สึกของผมมากกว่าบ้าง...........

                       น่าแปลกเหลือเกินที่ผมไม่รู้สึกว่าตัวเองใจเต้นแรง เมื่อเจมาอยู่ที่ห้องกับผมเพียงลำพัง.............ผมเปิดคลิปวิดีโอให้เจดู ก่อนจะเดินเลี่ยงไปเข้าห้องน้ำ..........

                       การที่เค้าขอมาดูคลิปวิดีโอโป๊ในยามค่ำคืนที่ห้องของผม...........นั่นก็แสดงว่าเราอาจจะมีเซ็กส์กันต่อ ถ้าอะไรต่ออะไรมันเป็นไปตามจังหวะจะโคนที่มันควรจะเป็น.............แล้วผมควรจะทำยังไงดีล่ะ...........ทำไมผมถึงไม่รู้สึกกระตือรือร้นหรือเกิดความปรารถนาแบบนั้นขึ้นมาบ้างเลย...........

                       ผมเดินกลับมานั่งที่เตียงและดูวีดีโอกับเจเงียบๆ............เค้าหันมายิ้มให้แล้วหันกลับไปตั้งหน้าตั้งตาดูวีดีโอนั้นต่อ..........ผมเอนตัวลงนอนเงียบๆและผล็อยหลับไป...........แน่นอนผมชอบมีเซ็กส์..........แต่สำหรับผมมันไม่ใช่แค่การกินอาหารจำพวกฟาสฟูดส์หรืออะไรง่ายๆแค่พออิ่มท้อง..........ผมอยากจะเห็นความเป็นไปของอาหารนั้น นับตั้งแต่การคัดสรรวัตถุดิบ........การปรุงอย่างละเมียดละไม........และการนำมาจัดตกแต่งเพื่อเสริฟขึ้นโต๊ะ........เซ็กส์ในนิยามของผมจึงละเอียดอ่อนกว่าการแค่พาใครสักคนหนึ่งที่ผมไม่ได้รักมาดูหนังโป๊........และลงเอยด้วยการมีอะไรกันในตอนท้าย..........

                        “พี่กั้ง........กลับกันเถอะ”............เจชวนผมไปส่งที่บ้านด้วยสีหน้าผิดหวัง...........ผมไม่ใช่คนประเภทที่ใครๆจะมาล่วงเกินทางเพศได้ง่ายๆหากผมไม่เป็นฝ่ายเชิญชวน..........บุคลิกภาพที่วางเฉย และเชื้อเชิญของผมแตกต่างกันราวกับคนละคน.........ไม่แปลกหรอกที่เจไม่กล้าแม้แต่จะแสดงท่าทีพิศวาสออกมา..........

                         ผมกลับมาถึงห้องภายหลังจากไปส่งเจราวหนึ่งชั่วโมงต่อมา...........การมาของเค้าในคืนนี้ไม่ใช่ว่าไม่เกิดประโยชน์ซะทีเดียว..........อย่างน้อยมันก็ทำให้ผมได้ค้นพบตัวเองว่า..........ผมมีความมั่นคงต่อนัทมากแค่ไหน..........ถึงแม้ว่าเค้าจะไม่แยแสว่าผมจะซื่อสัตย์ต่อเค้าหรือไม่ แต่ผมก็จะไม่มีวันทำลายศักดิ์ศรีตัวเองเป็นอันขาด..........ผมเหลือบไปมองแหวนเงินสองวงที่วางสงบนิ่งอยู่บนโต๊ะหัวเตียง.........มันส่งแสงวิบวับเมื่อยามแสงไฟตกกระทบ..........ผมหวังว่าผมจะมีโอกาสได้มอบมันให้นัท.........เราจะใส่กันคนละวง ที่นิ้วนางข้างซ้าย.........คงจะโรแมนติกน่าดู.........ใช่.......มันคงจะโรแมนติกน่าดู...............
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 14-01-2008 11:43:45
แววเศร้าส่อมาเลย  o7  o7  o7

มีแฟนห่วย  สู้อยู่คนเดียวดีกว่า  หากิ๊กแก้เหงาเล่นเอา เอิ๊กๆ
เป็นอาทิตย์ไม่มีโทรมาหากัน  แฟนกันประสาอะไรหว่า 

รอๆๆ อ่านต่อ    :oni2:
Happy New Year พี่กั้ง  ขอให้มีความสุข  พบกับรักที่รอคอยตลอดไป  :pig3:

หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 14-01-2008 11:54:51
 :เฮ้อ: เริ่มเห็นด้วยกะรีบน
มีแฟนห่วยๆอยู่คนเดียวดีกว่า
ฉะบายกว่าเยอะเลย :a1:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 14-01-2008 12:26:36
Happy new year เหมือนกันจ้ะ มูมู่น้อย...........
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 14-01-2008 13:03:36
 ไอ้นัทมันคงจะใส่อยู่หรอกนะเคอะคุณพี่  :m14:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 14-01-2008 19:00:28
น่านสิ คงจะใส่อยู่หรอกนะ   :m21: :m21: :m21:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: kongkilmania ที่ 16-01-2008 11:38:11
นับถือคุณกั้งสุดๆเลย     o13
การที่แฟนเราไม่ดี มานก็ไม่ใช่เรื่องที่เราต้องทำตัวตกต่ำประชดเค้า
ไม่ว่าจะเป็นการไปมีอะไรๆกับใครก็ได้ทั้งที่ไม่รัก   หรือทำตัวแย่ๆในทางอื่น
เพราะถ้ามานึกเสียใจทีหลังมานก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว
ขออยู่อย่างมีศักดิ์ศรีดีกว่า  ใครไม่เห็นคุณค่าของเรา เราเห็นเองก็ได้เนาะ
เป็นกำลังใจให้คุณกั้งนะ   
คุณกั้งสู้ๆ   fighting  ๆๆ        :a2:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: artday ที่ 16-01-2008 12:37:27
 :a6: ความรู้สึกเหมือนน้ำซึมบ่อทรายเลย
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 16-01-2008 18:25:57
น้ำซึมบ่อทรายนี่ หมายถึงความรัก หรือความเกลียดกันน๊อ......อิอิ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 16-01-2008 19:39:11
ยิ่งอ่านยิ่งเครียดแทน เหนื่อยแทนคุณกั๊ง  :เฮ้อ: สู้ต่อไปทาเคชิ  :a2:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 16-01-2008 21:03:15

มาต่อด่วน  ไม่งั้น ศุกร์นี้น้องไม่ไปเที่ยวด้วยนะ

เอาเจงนะเว้ย  :m16:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 17-01-2008 05:45:02
นึกว่ามาต่อแล้ว  :a6:

มาต่อให้ไวเลย  ไม่งั้นไม่ให้เจ้ไปเที่ยวด้วยนะ (ซะงั้น 55)

รออยู่นะจ๊ะ  :oni2: 
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 17-01-2008 09:46:44
ตายแล้ว.......สองคนนี้ก็พูดไปเรื่อย.........เผื่อใครเค้ามาได้ยินเข้าเดี๋ยวเค้าก็หาว่าพี่เป็นเด็กเที่ยวกันพอดี........ก็แค่ทุกวันศุกร์เองอ่ะ.......อิอิ

...


                        “เป็นไงล่ะเมื่อคืน........ดูหนังสนุกมั้ย”........อ้นถามด้วยสายตาล้อเลียนระหว่างที่เราสองคนนั่งหย่อนอารมณ์กับกาแฟถ้วยโปรดที่ร้านกาแฟวาวีเจ้าประจำ..........ผมแอบชำเลืองไปมองดูหนุ่มหน้าใสโต๊ะข้างๆ ก่อนที่จะหันมาตอบคำถามของหล่อน..........

                        “จะมีอะไรล่ะก็แค่ดูหนังเฉยๆ”............ผมตอบเนือยๆ.......แต่อ้นทำสีหน้าเหมือนกับไม่เชื่อในสิ่งได้ยิน..........

                        “ทำไมล่ะ........ก็เห็นว่าไปดูคลิปวิดีโอโป๊กันไม่ใช่เหรอ.......น้องก็นึกว่าคงถึงไหนต่อไหนกันไปแล้วซะอีก”.......นี่หล่อนคิดว่าผมไวไฟขนาดนั้นหรือไงเนี่ย.........

                        “จะบอกให้นะ.......การมีเซ็กส์น่ะ.......มันจะต้องตามมาด้วยความรับผิดชอบต่อการมีเซ็กส์นั้น........ไม่ใช่แค่ความรับผิดชอบของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง.........แต่มันต้องเป็นความรับผิดชอบของคนสองคนต่อสิ่งที่ได้ร่วมกันทำมันลงไป.........ถ้าไม่แน่ใจว่าจะรับผิดชอบได้.......ก็อย่าทำดีกว่า........เข้าใจมะ”........กรี๊ดดดด................เป็นวาทะที่หรูเริ่ดซะไม่มี........ผมยิ้มออกมาด้วยความภูมิใจในตัวเองนิดๆ.........

                       “ต๊าย.......เริ่ด.........เดี๋ยวก่อนนะน้องขอจดคำพูดเมื่อกี้แป๊บ”...............อ้มก้มลงจดสิ่งที่ผมพูดลงบนสมุดโน้ตยิกๆ...........ท่าทางจริงจังเชียว........อิอิ....ตั้งแต่เราเริ่มเข้าก๊วนมานั่งดื่มกาแฟด้วยกัน ผมเห็นหล่อนจดสิ่งที่ผมพูดไปได้ตั้งเยอะแน่ะ.........สงสัยจะแอบเก็บเอาไว้ใช้เองกระมัง..........

                        “แม่นี่ ท่าจะเพี้ยน”.........ผมแอบนึกขำอ้นในใจ........

                       “น้องว่าพี่กั้งน่าจะเขียนทริกต่างๆรวมเล่มบ้างนะ........ประเภท how to หรืออะไรเทือกนั้นน่ะ.......รับรองขายได้แน่นอน”..........อ้นแสดงท่าทางชื่นชมจนออกนอกหน้า.......อ้อ........ลืมบอกไปว่าตอนนี้ผมกลายเป็นไอดอลของหล่อนไปอีกคนนึงแล้วล่ะ..........อะไรๆที่ผมทำ ผมพูด ดูดีดูเข้าท่าไปเสียหมดสำหรับหล่อนนั่นแหละ..........

                        “พี่ก็พูดไปเรื่อยเปื่อยงั้นๆแหล่ะ..........คนอย่างพี่จะมีอะไรไปเขียนให้ใครเค้าอ่านกัน”........ผมถ่อมตัวไปตามที่คิดจริงๆ.................ผมมันก็แค่คนเจ้าความคิด ชอบเพ้อเจ้อ ฟุ้งซ่าน ทำตัวรู้มากแต่ในตำราตามอย่างพวกนักวิชาการทั้งหลาย........แต่เรื่องปฏิบัติ.........ห่วยแตก..........

                         “พี่ไม่ได้ชอบเค้า.......พี่คงมีอะไรกะเค้าไม่ได้หรอก”..........ผมชี้แจงกับอ้นอีกทั้งเพื่อเป็นการตอกย้ำแก่ตัวเองว่าอย่าลืมจุดยืนดังกล่าวกลายๆอีกด้วย........

                          “พี่กั้งน่าจะลองคบกับเค้าดู.........ท่าทางเค้าก็ชอบพี่กั้งอยู่นา”.......หล่อนไม่วายยุต่อ.......

                          “นั่นน่ะสินะ......ทำไมไม่ลอง”........ผมรำพึงกับตัวเองออกมาเบาๆ......เจก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรขนาดนั้นนี่นา.......อาจจะเป็นเพราะว่าตอนนี้หัวใจและความคิดผมไม่มีที่เหลือพอสำหรับคนอื่นแล้วมั้ง.......



                          วันต่อมาผมโทรไปวานให้น้องพรออกไปเป็นเพื่อนเพื่อไปรับป้ายชื่อที่นัทเคยขอร้องให้ไปดำเนินการจัดทำให้...........ผมตั้งใจว่าจะส่งไปให้เค้าพร้อมกับซีดีหนัง Broke Black Mountain และ Lan Yu รวมถึงหนังโป๊เกย์อีกหนึ่งเรื่อง........ยิ่งเค้าทำตัวเหมือนจะหลุดลอยไป ผมก็ยิ่งพยายามที่จะใช้ทุกวิถีทางเพื่อจะเหนี่ยวรั้งเค้าเอาไว้ตามแบบของผม........เค้าอยากกลับไปใช้ชีวิตอย่างผู้ชาย........ผมก็จะตอกย้ำเค้าด้วยการส่งหนังเกย์ไปให้เค้าดู.........คิดได้ไงเนอะ........นี่แหล่ะที่เค้าเรียกว่าสู้อย่างหมาจนตรอกล่ะ.......

                          “ป้ายชื่อสวยดีนี่”..........น้องพรหยิบป้ายชื่อสำหรับติดหน้าอกที่ผมไปสั่งทำเอาไว้ให้นัทออกมาชม........ตอนนี้หล่อนเลิกกับแฟนเก่าของหล่อนอย่างเด็ดขาดแล้ว.........เพราะฉะนั้นสิ่งบันเทิงอย่างหนึ่งของหล่อนในตอนนี้คือการคอยพูดชักใบให้เรือเสีย........

                           “พี่กั้งจะไปฟังอะไรนังน้องพรมันมาก.........ชีก็แค่พวกสุนัขจิ้งจอกหางด้วน........ตัวเองอกหัก ก็อยากให้คนอื่นเป็นเหมือนตัว”........อ้นเคยแอบนินทาเมื่อผมนำเอาพฤติกรรมของน้องพรไปเล่าสู่ให้ฟัง.......ตอนนี้อ้นเป็นคนเดียวที่ยังคอยกระตุ้นให้ผมอดทนสู้ต่อไป.........ในขณะที่คนอื่นๆดูเหมือนจะคอยแช่งชักให้เลิกกันเสียให้ได้ (คนมันไม่อยากเลิก พอมีคนมาบอกให้เลิก มันก็เลยฟังดูเหมือนคำแช่งน่ะ.......อิอิ)

                           ผมหยิบเอาป้ายชื่อของนัทออกมาดูบ้าง...........มันก็ดูดีอยู่หรอก.........แต่ยังไม่ดีพออย่างที่ผมต้องการ......

                          “แต่พี่ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่”.......ผมบ่นอุบก่อนจะพับมันใส่กระเป๋า.........

                          “ช่างมันเถอะพี่กั้ง........ไหนๆท้ายที่สุดเค้าก็จะต้องจากเราไปอยู่ดี จะไปทุ่มเทอะไรกันนักหนา.......คอยดูนะเค้าจะค่อยๆถอยห่างพี่กั้งไป แต่เค้าจะไม่เป็นฝ่ายบอกเลิกก่อนหรอก........เค้าจะรอให้พี่กั้งทนไม่ไหวจนต้องเป็นฝ่ายบอกเลิกเค้าเอง”.........น้องพรวิจารณ์ถึงนัทออกมาตรงๆโดยไม่กลัวว่าผมจะสะเทือนใจ.........ผมรู้สึกว่าพักหลังตั้งแต่หล่อนโดนผู้ชายทิ้งมาเนี่ย.......หล่อนเหมือนคอยจ้องแต่จะดูเรือรักของผมกับนัทอับปางลงเสียให้ได้.........มันคงเป็นความหฤหรรษ์มากเลยสินะ.........

                          ผมจึงเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาก่อนที่จะเสียอารมณ์มากไปกว่านี้..........แต่มาคิดดูอีกทีหล่อนอาจจะพูดเพราะต้องการเตือนสติผมก็ได้.........ถึงจะยังงั้นก็เถอะ.......ความจริงที่โหดร้ายคงไม่มีใครอยากจะฟังหรอก.....จริงมั้ย...........โดยเฉพาะคนที่ชอบหลอกตัวเองอย่างผม.........



                          เช้าของวันรุ่งขึ้น......ผมรีบตื่นและเข้ามาทำงานที่แลปเร็วกว่าปกติ...........ถุงที่บรรจุป้ายชื่อของนัทและซีดีหนังถูกวางเอาไว้ที่โต๊ะข้างๆ......เค้ายังไม่โทรถึงผมเลยตั้งแต่ครั้งล่าสุดที่ผมไปส่งเค้ามา..........ใจดำจัง.......ผมเอื้อมมือไปหยิบกระดาษมาเขียนโน้ตถึงนัท..........เขียนแล้วขยำทิ้ง ซ้ำๆซากๆ จนพอใจ.....

                          “หนังเรื่องนี้มีอะไรหลายอย่างที่คล้ายกับชีวิตของเราสองคน.....พี่อยากให้นัทลองตั้งใจดูมันให้ดี.........บางทีนัทอาจจะพบคำตอบให้กับตัวเองก็ได้........ในหนังมีอยู่ตอนหนึ่งที่แจ็คบอกกับเดเนียลว่า.........บางครั้งเค้าคิดถึงแดเนียลมาก.......คิดถึงจนแทบจะทนไม่ไหว.........พี่เองก็อยากบอกกับนัทว่า.......บางครั้งพี่ก็รู้สึกไม่แตกต่างไปจากที่แจ็ครู้สึกเลย.........รัก......ลงชื่อ พี่กั้ง.........”

                            ผมค่อยๆบรรจงพับแผ่นโน้ตดังกล่าวลงในซองจดหมาย..........แอบหวังอยู่ลึกๆว่า ถ้าเค้ายังรักผมอยู่.........บางทีข้อความที่ผมส่งไปพร้อมกับความห่วงใยที่มีต่อเค้า........อาจทำให้อะไรต่ออะไรมันเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้นก็ได้..........ก่อนที่อะไรต่ออะไรมันจะสายจนเกินไป.......และเพื่อให้เห็นแก่คุณงามความดีที่ข้าพเจ้าได้สั่งสมมาทั้งในอดีตชาติและปัจจุบัน.........ขอองค์พระธาตุดอยสุเทพและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย จงช่วยดลใจนัทให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมด้วยเถิด.......สาธุ........


                            หลังจากส่งพัสดุไปให้นัทแล้ว........ชีวิตของผมก็ยังคงดำเนินไปอย่างเรื่อยเฉื่อยเช่นเคย.........ป่านนี้พัสดุนั้นคงไปถึงนัทแล้ว........เค้าจะชอบป้ายชื่อที่ผมทำไปให้หรือเปล่านะ.........แต่คนอย่างเค้าบางทีก็เดาใจยาก...........ผมก็ได้แต่หวังว่าเค้าอาจจะชอบ.....ก็เท่านั้นเอง........

                            “พี่กั้งเหรอ........ขอบคุณนะครับ........นัทได้ป้ายชื่อแล้วล่ะ”.......สิ่งศักดิ์สิทธิ์คงดลใจเค้าแล้วจริงๆ........อย่างน้อยๆเค้าก็โทรมาขอบคุณผมแหล่ะน่า........

                             “ชอบมั้ยล่ะ”.....เราสองคนไม่ค่อยได้คุยใกล้ชิดกันบ่อยๆเหมือนเดิมแล้ว........ตอนนี้ผมเดาทางเค้าไม่ออกว่าอยู่ในอารมณ์ไหน.......คำพูดของผมจึงต้องห้วน สั้น และดูสงวนท่าที..........อึดอัดเป็นบ้าเลย......

                              “ก็ดีนะ.........ทำไมทำมาซะเยอะเลยล่ะ”........เสียงนัทฟังดูมีความสุขจนสัมผัสได้อย่างชัดเจน..........

                              “ก็เอาไว้เผื่อมันหายไง........แล้วดูหนังที่พี่ให้ไปหรือยังล่ะ”.........ผมถามต่อด้วยความปลื้มใจ.....อยากจะรู้จังว่าหมากที่ผมได้วางเอาไว้จะทำงานหรือเปล่า.........

                               “ดูแล้ว.....ตลกดี........เฮอะๆ....แล้วยังเขียนโน้ตอะไรมาอีกแน่ะ.......แมเนีย.......” นัทหัวเราะพลางกล่าวถึงโน๊ตของผมอย่างเขินๆ..........ก็แล้วไงล่ะ........ผมชอบทำอะไรซึ้งๆแบบนี้แหล่ะ........

                               “ว่าแต่นัทจะมาเชียงใหม่วันไหนอ่ะ.......” ผมตัดสินใจถามถึงสิ่งที่รอคอยอยู่........ตามกำหนดก็น่าจะเป็นอาทิตย์หน้านี้แล้วนี่นาที่เค้าจะต้องมาจัดฟัน.........ในใจลึกๆก็ยังแอบนึกหวาดๆอยู่ไม่หายว่าจะโดนเอ็ดตะโรแบบเดิมอีก.........

                                “คงวันศุกร์หน้าอ่ะ.........เอาไว้นัทจะโทรมาบอกอีกทีแล้วกัน.........พี่กั้งอ่ะชอบถามแต่ว่าจะกลับเมื่อไหร่ๆ.........น่ารำคาญ...........” นัทไม่วายที่จะบ่นให้ผมอีกตามเคย.........ปกติมีอะไรเค้าก็ชอบว่าให้ผมอยู่เสมอๆ จนเคยตัวอยู่แล้ว.........

                                 “เอ๋า.........ก็พี่จะได้แพลนถูกว่าจะต้องไปซื้ออะไรมาเตรียมไว้ทำกับข้าวให้กินไง.........ไม่บอกแล้วจะรู้เหรอ”........ผมตัดพ้อเสียงอ่อน...........

                                 “เออๆ.......เอาไว้ใกล้วันแล้วนัทจะโทรไปบอกอีกทีละกัน.........มีอะไรอีกมั้ย........แค่นี้นะ”..........ยังไม่ทันที่ผมจะได้กล่าวคำล่ำลา........นัทก็ชิงวางสายไปเสียก่อน...........แต่ก็เอาถอะ........อย่างน้อยๆเค้าก็พูดจาดูดีขึ้นมาบ้าง........ถึงแม้ว่าเค้าจะไม่เคยโทรมาถามข่าวคราวผมเลยก็เถอะ.................


                                  มาถึงตอนนี้......ผมแทบจะอดทนรอให้ถึงวันศุกร์หน้าไม่ไหวอยู่แล้ว...........แผนการอาหารและแผนอื่นๆผุดขึ้นมาในสมองจนยุ่งเหยิงไปหมด..........ไหนจะแหวนสองวงที่ซื้อมานั่นอีกล่ะ.........ผมจะต้องหาทางหว่านล้อมให้เค้าเห็นดีเห็นงามและยอมใส่มันไว้ที่นิ้วนางข้างซ้ายให้ได้..........ถ้าเป็นไปได้เราจะต้องผลัดกันสวมให้กันและกันถึงจะซึ้ง............อีกอย่างนึง ผมควรจะคิดประโยคซึ้งๆเอาไว้พูดตอนสวมให้เค้าด้วย อาทิเช่น

                                   “พี่อยากให้นัทใส่มันเอาไว้แบบนี้ตลอดไป..........วันหนึ่งข้างหน้าแม้ว่าเราสองคนจะไม่ได้อยู่ด้วยกันแบบนี้แล้วก็ตาม......ก็ขออย่าได้ถอดมันทิ้ง..........ขอให้มันเป็นตัวแทนของพี่.........พี่อยากให้นัทรู้ว่าพี่จะคอยอยู่ข้างๆนัทเสมอ”............

                                    อืม.........ฟังดูดีไม่เลว........ผมทบทวนคำพูดดังกล่าวซ้ำไปซ้ำมา........ตัดคำนั้นออกนิด เติมคำนี้เข้ามาหน่อย แต่ก็ยังไม่เป็นที่พอใจเสียที..........เฮ้อ..........ว่าแต่ว่า........ผมจะมีโอกาสได้พูดมั้ยเนี่ย.........กลัวแต่นัทจะทำเสียเรื่องไม่ซึ้งด้วยอ่ะดิ..........แต่ถึงยังไงได้แค่ซ้อมเอาไว้ก่อนก็ยังดีวะ.............

หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 17-01-2008 09:52:36
คุณกั้งขา คนอ่านลุ้นจนเหนื่อยแล้ว  :m23:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: MeepadA ที่ 17-01-2008 12:45:37
คุณกั้งขา คนอ่านลุ้นจนเหนื่อยแล้ว  :m23:


ผมก้อลุ้นเหมือนกัน เมื่อไหร่จะเลิกกัน ซักที   :angry2:

แห่ะๆๆๆ วิ่งหนี บาทาอย่างด่วนๆๆๆ  กลัวโดน   :เตะ1: :เตะ1:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 17-01-2008 13:12:24

ที่แท้ก็แค่ซ้อมพูดเหรอเนี้ย  กำ  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 17-01-2008 18:08:30
จะได้พูดมั้ยอ่า  พูดแล้วมันจะดีมั้ยอ่า  :sad2:  :sad2:

ต่อๆๆ   :oni2:  :oni2:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 17-01-2008 20:03:47
อ่านแล้วลุ้นแฮะ  เมื่อไหร่จะเลิกกันนนนนนนนน     :m14: :m14: :m14:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: kongkilmania ที่ 22-01-2008 15:04:03
 :m23:       มาเข้าแถว  รอลุ้น(ให้เลิก)อีกคนละจ้า
 :m12:        สงสัยแถวจะยาวนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: tor13 ที่ 22-01-2008 16:01:38
 :a11: :a11: :a11:เข้าต่อแถวรอลุ้นให้เลิกด้วยอีกคน :a4: :a4: :a4:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 22-01-2008 19:57:41
อย่าว่ากันนะ เพราะเราก็รอลุ้นว่าเมื่อไหร่จะเลิกกันเหมือนกันแหละ

อ่านแล้วเหนื่อยใจชะมัดเลย   :m29: คนอาไร้ อดทนเป็นที่สุด

ทำไม ความรักมันต้องเป็นอย่างนี้ด้วยนะ

ไม่เข้าใจจริงๆ o12
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 23-01-2008 05:30:34
มารออ่านชีวิตรักคุณกัํง  :เฮ้อ: เหนื่อยใจ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 24-01-2008 08:31:46
                 “อ้นไปเป็นเพื่อนพี่จ่ายตลอดหน่อยได้ป่ะ”............นับจากวันนี้ไปจนถึงวันศุกร์ก็เหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่วันเท่านั้น......แทนที่จะมานั่งกระวนกระวายจมจ่อรอคอยอยู่แบบนี้ สู้ผมเอาเวลาว่างที่เหลืออยู่ออกไปตระเตรียมซื้อหาของกินไว้ให้นัทเสียแต่เนิ่นๆจะดีกว่า...........พอใกล้ถึงวันจริงขึ้นมาจะพาลฉุกละหุกกันเสียเปล่าๆ..........


                  ลำพังตัวผมเองนั้น นับได้ว่าเป็นคนอยู่ง่ายกินง่ายพอสมควร.........ก็แค่ปากๆเดียว จะกินอะไรกันนักหนาล่ะจริงมั้ย.......ดังนั้น ปกติผมจึงมักจะออกไปฝากท้องกับร้านอาหารข้างนอกในยามหิว มากกว่าที่จะทำกับข้าวกินเองเสมอ..........เมื่อนัทไม่อยู่ที่เชียงใหม่แล้ว ตู้เย็นของผมจึงกลับมาว่างเปล่าบ๋อแบ๋อีกตามเคย....จะมีก็แค่น้ำดื่มแก้กระหายเอาไว้กินกันตายก็เท่านั้นแหล่ะ..........


                   การทำกับข้าวกินเองที่บ้านกับคนรัก แม้จะเหนื่อยแต่ก็ถือว่าได้ประโยชน์หลายสถาน...............ประการแรก เป็นการประหยัดสตังค์ที่ต้องเสียไปกับการออกไปกินข้าวนอกบ้าน..........ประการที่สองทำให้เรามีเวลาอยู่ด้วยกันแบบเป็นส่วนตัวมากยิ่งขึ้น..........ประการที่สามเป็นโอกาสอันดีต่อการอวดเสน่ห์ปลายจวักที่เรามีอยู่ เพื่อมัดใจคนรักของเราให้อยู่หมัด (อันนี้ก็ไม่รู้ว่าจะได้ผลแค่ไหนหรอก อิอิ)............ประการสุดท้ายเพื่อความสบายใจของนัทที่จะได้ไม่ต้องควงคู่กับผมออกไปอวดสายตาประชาชี (ก็เค้ากลัวแต่จะมีคนมาเจอ....ขอบอกตรงๆว่าผมเองก็ไม่ได้อยากจะออกไปไหนต่อไหนกับเค้ามากนักหรอก......มันเซ็ง!)


                   “ไอ้นัทมันจะรู้มั้ยเนี่ยว่าคนอื่นเค้าต้องมาลำบากเพื่อมันขนาดไหนอ่ะ”.......อ้นบ่นอุบระหว่างที่เราสองคนเดินหิ้วถุงของสดปุเลงๆไปรอบกาดเจดีย์ขาว...............


                  “อย่าบ่นนักเลย ถือว่ามาช่วยพี่เอาบุญก็แล้วกันนะจ้ะ”...........ผมหันมาปลอบใจอ้นพลางส่งยิ้มหวาน.........


                   แดดยามบ่ายของหน้าฝน ร้อนแรงจนแสบผิว............ผู้คนดูบางตาเพราะไม่ใช่เวลาของการจับจ่าย (ความจริงก็คือผมแอบโดดงานมาน่ะแหล่ะ อิอิ)..........โดยปกติผมถนัดที่จะจ่ายตลาดในห้องแอร์มากกว่าตลาดสด........แต่เมื่อเทียบราคาและคุณภาพของวัตถุดิบแล้ว.........ตลาดสดนับว่ากินขาดในทั้งสองด้านอย่างชนิดที่เทียบกันไม่ติดฝุ่น.........


                   ผมเลือกซื้อของสดในแบบที่เคยซื้อบ่อยๆ.........ลูกชิ้นชนิดต่างๆ เอาไว้สำหรับทอดกินเล่นหรือใช้ทำสุกี้ก็ได้..........เนื้อไก่.......ผักสด.......เส้นใหญ่สำหรับผัดซีอิ้ว.........ข้าวสวย.........ผลไม้สด.........และอื่นๆ........ความจริงผมเองก็ไม่รู้หรอกว่านัทชอบกินอะไรเป็นพิเศษ........ผมทำอะไรให้กินเค้าก็กินได้หมดไม่เคยบ่น..........อาจจะเป็นเพราะว่าเค้ามีเชื้อสายจีน จึงถูกฝึกนิสัยการกินง่ายอยู่ง่ายมาจนเคยชินเสียแล้ว........แต่ถึงกระนั้นผมก็ทุ่มเททำจนสุดฝีมือเพื่อเค้าอยู่ดี.......การได้ทำอะไรให้คนที่เรารักมันเป็นความสุขใจอย่างหนึ่งของผม.............ถึงแม้ว่าเค้าจะเห็นค่าของมันหรือไม่ก็ตาม...........


              “แล้วพี่กั้งจะไปรับไอ้นัทเมื่อไหร่ล่ะ”...........ผมชะงักกับคำถามของอ้นไปชั่วขณะ..........นั่นน่ะสินะ.............เมื่อไหร่ล่ะ............บอกว่าจะโทรมาคอนเฟิร์มป่านนี้ก็ยังเงียบฉี่อยู่เลย............


               “คงเป็นวันศุกร์มั้ง...........เค้าบอกว่าจะโทรมาบอกอีกทีอ่ะ”.............ผมตอบพลางก้มหน้าก้มตาเก็บข้าวของใส่ท้ายรถ.............เค้าบอกว่าจะมา เค้าก็ต้องมา..........นัทไม่เคยโกหกผมหรอก...........


                ระหว่างที่ผมกับอ้นกำลังขับรถเอาของกลับไปเก็บที่ห้อง.........นัทก็โทรเข้ามาพอดี............


               “นัทโทรมา.........” ผมหันไปบอกอ้นด้วยความดีใจ..........


                “ฮัลโหลพี่กั้ง.......มารับนัทพรุ่งนี้หลังเลิกงานได้ป่าว”...............ไหนว่าจะมาวันศุกร์ไง............แต่ก็ดีเหมือนกัน จะได้อยู่ด้วยกันนานขึ้น............อิอิ


                   “ทำไมล่ะ...........ปกติเห็นให้ไปรับวันศุกร์ตอนเที่ยงไม่ใช่เหรอ”.........แม้จะดีใจแต่ผมก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมนัทถึงรีบร้อนให้ไปรับผิดปกติ..............หรือว่าจะอยากรีบมาอยู่กะเรานะ...........


                “อาจารย์หมอเค้าไม่ว่างตอนบ่าย.......นัทเลยต้องไปให้ทันตอนเช้าวันศุกร์”...........เวร............นึกว่าจะคิดถึงผมซะอีก...........แต่ก็ถือว่าเป็นผลพลอยได้ก็แล้วกันเนอะ...............



                ถ้าจะให้ออกไปรับนัทตอนเย็น เห็นทีผมคงต้องไปถึงที่นั่นมืดค่ำแน่ๆ..............ขับรถขึ้นเขากลางค่ำกลางคืนคนเดียวคงไม่ปลอดภัย........โดยเฉพาะพักหลังมานี้ ผมยิ่งฝันร้ายบ่อยๆอยู่ด้วย.........แต่ถ้าให้ไปรอแต่หัววัน ผมเองก็ไม่อยากให้นัทต้องมาลำบากใจ เดี๋ยวคนที่ทำงานเค้าอาจจะเห็น.........ลองชวนอ้นไปเป็นเพื่อนดูดีกว่า...........แม้ว่านัทจะไม่ค่อยชอบขี้หน้าหล่อนเท่าไรนัก แต่ก็คงไม่ถึงกับร่วมทางกันไม่ได้หรอกมั้ง........นัทคงเข้าใจบ้างแหล่ะว่าผมเองก็อยากมีใครสักคนนั่งไปเป็นเพื่อนแก้เหงา..........


                “นัทจะให้พี่ไปรับพรุ่งนี้ตอนเย็น..........เธออยากไปนั่งรถเล่นกับพี่ไหม”..........ผมไม่ได้เอ่ยปากขอร้องเพราะเกรงใจหล่อน จึงใช้คำพูดเชิงปรารภถามความสมัครใจดูก่อน..........ไปได้ก็ไป ไปไม่ได้ก็ไม่เป็นไร.........


                “อืม........ก็ได้ ให้พี่กั้งขับรถไปเองกลางคืนคนเดียวมันอันตราย”..........อ้นพยักหน้าหงึกหงักเป็นเชิงตกลง....


                “งั้นพรุ่งนี้เจอกันในมอ เดี๋ยวพี่ไปรับตอนเย็นๆ”...........ผมนัดหมายเวลากับอ้นด้วยความโล่งใจ........แต่อีกใจหนึ่งก็วิตกว่านัทจะไม่พอใจผมหรือเปล่าเรื่องที่ชวนอ้นมาด้วย...........ถ้าเค้ามีแก่ใจเป็นห่วงผมบ้าง.........เค้าก็คงจะไม่อยากให้ผมขับรถขึ้นเขามาเองตอนค่ำคนเดียวหรอกนะ........



                 ตอนเย็นของวันรุ่งขึ้น ผมมาดักรออ้นตรงบริเวณอ่างแก้วในมหาวิทยาลัย.............ไม่นานหล่อนก็เดินยิ้มร่ามาพร้อมกับตลับเทปหนึ่งม้วน...........


                 “น้องซื้อรวมฮิตเพลงสากลมาฟังด้วย........เอาไว้ที่รถพี่กั้งนี่แหล่ะ”..........หล่อนว่าพลางแกะม้วนเทปออกมาเปิดฟัง............ทำท่ายังกะจะออกเดินทางไกลไปเที่ยวชายทะเลงั้นแหล่ะ........ผมแอบอมยิ้มกับท่าทีของอ้นระหว่างที่หล่อนหยิบแว่นตากันแดดที่พึ่งซื้อมาออกมาสวม........



                 เป็นเรื่องที่น่าขัน เมื่ออ้นค้นพบภายหลังว่า ม้วนเทปที่หล่อนเพิ่งซื้อมาเป็นเพลงฮิตสมัยเก่า........แม้ว่าเพลงเหล่านั้นจะมีการนำมาขับร้องและเปลี่ยนดนตรีใหม่ให้ทันสมัยอยู่เสมอ..........แต่โชคร้ายที่หล่อนดันเลือกซื้อม้วนต้นฉบับแบบดั้งเดิมจริงๆมา..........


                  “ใครมันจะไปรู้ล่ะ........ก็เห็นว่ารวมฮิตๆ.....น้องก็นึกว่ามันจะเอามาปรับปรุงใหม่อ่ะดิ”........อ้นแก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ..........แต่กระนั้นเราสองคนก็ยังช่วยกันร้องประสาทเสียงตลอดเส้นทางที่รถแล่นฉิวขึ้นเขามุ่งหน้าไปยังจังหวัดแพร่อยู่ดี...........


                  “ถ้าเราแก่ตัวลง.........เราจะยังทำตัวเปรี้ยวซ่าและก็ขับรถออกไปเที่ยวต่างจังหวัดกันแบบนี้บ้างไหมนะ”........อ้นปรารภขึ้นมาลอยๆภายหลังจากที่เราร้องเพลงกันจนเหนื่อยแล้ว.........


                  “แน่นอนอยู่แล้ว..........ถึงตอนนั้นเราก็ยังจะเป็นแบบนี้เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง”..........ผมหันมามองหล่อนภายใต้แว่นตาสีชา...........ตอนนี้หล่อนเองก็สวมแว่นตากันแดดคล้ายๆผม ผิดแต่เปรี้ยวกว่ากันมาก...........อ้มยิ้มตอบมาอย่างดีใจ..........ใช่........เราก็จะเป็นพี่น้องกันแบบนี้ไปจนตายนั่นแหล่ะ.........คงไม่มีมิตรภาพใดยืนนานได้เท่าคำว่าเพื่อนอีกแล้ว.........


                  เรามาถึงโรงพยาบาลของนัทตอนพลบค่ำพอดี..........หลังจากที่โทรนัดหมายกันสองสามครั้งระหว่างทาง...........ไม่นานนัทก็เดินออกมายังจุดที่เรานัดพบกัน..........เค้าเปิดประตูผลัวะเข้ามาตามความเคยชิน................แต่ก็ต้องชะงักเมื่อพบว่ามีอ้นนั่งอยู่ในรถด้วย.........


                  “อ้าวพี่อ้นมาด้วยเหรอ..........ทำไมพี่กั้งไม่มาคนเดียวอ่ะ”..........เวรกรรม.........เปิดฉากทักกันแบบนี้เลยเหรอ.......อ้นจะเคืองมั้ยเนี่ย...........ผมมองหน้าอ้นพลางนึกหวาดอยู่ในใจ...........มิหนำซ้ำนัทยังไม่แม้กระทั่งจะยกมือไหว้ทักทายอ้นเลยด้วยซ้ำ.......หรือว่าเค้าจะลืมว่าเค้าอ่อนกว่าอ้นอยู่หลายปี........สงสัยจะนับอาวุโสว่าเป็นแฟนพี่ก็ไม่ต้องไหว้น้องหรือเปล่า..........ไม่น่ารักเลย........ขายหน้าชิเป๋ง.............


                  โชคดีที่อ้นไม่ได้ปริปากว่ากระไร แม้ว่าปกตินิสัยหล่อนจะเป็นคนแรงก็ตาม..........หลังจากที่ทั้งสองเปลี่ยนที่นั่งกันเรียบร้อยแล้ว ผมก็ขับรถออกมาด้วยใจระทึก............มันจะทะเลาะกันมั้ยเนี่ย...........
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 24-01-2008 09:01:27
ยังคงติดตามเรื่องคุณกั้งอยู่ค่ะ :a1:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 24-01-2008 14:16:46
อุ้ย!

นังอ้นมันกินอะไรผิดสำแดงหรือเปล่าเคอะคุณพี่

ทำไมมันไม่เถียงไอ้นัท

หรือว่ามันแอบชอบไอ้นัทอยู่  อิอิ  :m14:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 25-01-2008 06:17:48
นัทอาจจะอยากจู๋จี๋กับพี่กั้ง เลยหงุดหงิดป่าว อิอิ

รออ่านต่อน้า  :oni2:  :oni2:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 25-01-2008 09:41:21
คิดในแง่ดี นัทอาจจะไม่อยากมีบุคคลที่ 3 อยู่เป็น กขค ก็ได้นะ  :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: kongkilmania ที่ 25-01-2008 10:03:46
 :m30:   นัทพูดตรงไปป่าวน้อง
ถ้าเราเป็นอ้นคง     o12
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 29-01-2008 09:17:49
                  “ใครซื้อเทปม้วนนี้มาอ่ะ........พี่กั้งเหรอ........เฮอะๆ”..........นัทส่งเสียงหัวเราะเยาะออกมาอย่างไม่ปิดบังความรู้สึก เมื่อเค้าหยิบเอาม้วนเทปที่อ้นเพิ่งซื้อมาสอดเข้าไปในเครื่องเล่น............เพลงฝรั่งยุค 60 s สุดเชยดังกระหึ่มขึ้นมาได้แค่เพียงอึดใจเดียว ก่อนที่มันจะถูกปิดลงไปแทบจะในทันที..........

                  ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลมา นัททำทีเหมือนกับว่าไม่มีอ้นนั่งอยู่บนรถกับพวกเราซะอย่างนั้น.........เค้าคอยชวนผมคุยนั่นคุยนี่อยู่ตลอดเวลา สลับกับเลือกเปิดอัลบั้มเพลงที่เค้าอยากจะฟัง...........ผมเหลือบมองดูอ้นที่นั่งอยู่เบาะหลัง เพื่อจะสังเกตดูว่าหล่อนจะมีท่าทีอย่างไรบ้างกับคำพูดของนัทเมื่อครู่.......โอยพระเจ้า........ไม่อยากจะมองเลยจริงๆ..........นับจากโรงพยาบาลจนถึงตอนนี้ หล่อนก็ยังคงนั่งทำท่าซึมกระทือเป็นผีตายซากอยู่เช่นเดิม..........เวรกรรม........แล้วจะทำยังไงดีล่ะเนี่ย.......ไม่น่าชวนหล่อนมารับเคราะห์ด้วยเลยเรา.......เฮ้ออออออออ.........

                   “เป็นอะไรไปจ้ะอ้น........ทำไมนั่งเงียบไม่พูดไม่จาเลยล่ะ”..........ผมสัมผัสถึงบรรยากาศในรถที่เริ่มคุกกรุ่นด้วยรังสีอำมหิตที่แผ่รัศมีออกมาจากคนทั้งสอง.........คนหนึ่งก็เป็นแฟน.........ส่วนอีกคนก็เป็นน้อง......แล้วผมจะเลือกเข้ากับฝ่ายไหนดีล่ะ........เห็นทีคงไม่พ้นต้องทำตัวเป็นคนกลางไปโดยปริยายนั่นแหล่ะ.......

                   “ไม่มีอะไรหรอก......น้องก็แค่หิวข้าว.........เมื่อตอนเย็นไม่ได้กินข้าวมา”...........อ้นทำท่าเอามือกุมท้องตอบประชดเสียงเรียบ.........แต่เล่นเอาผมแทบสะดุ้งด้วยความรู้สึกผิดแกมขำ (อิอิ)........ก็ปกติหล่อนเป็นคนช่างยอกย้อนแสนกลใช่ย่อย.......เคยยอมใครที่ไหนกันล่ะ.........มาคราวนี้กลับหุบปากเงียบเป็นเป่าสากเชียว...........หุหุ........

                     อันที่จริงเมื่อตอนขามาเราสองคนร่ำๆว่าจะแวะกินข้าวข้างทางกันหลายหนแล้ว...........แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้แวะสักที.........เพราะผมมัวแต่รีบเร่งทำเวลาเพื่อให้มาถึงแพร่ตามกำหนดการณ์ที่ได้วางเอาไว้..........การที่หล่อนปวดท้องหิวข้าวจึงถือเป็นความบกพร่องของผมโดยแท้เชียว...........

                    “เดี๋ยวแวะกินตรงปั๊มข้างทางกันดีมั้ย........คงจะมีปั๊มที่มีเซเว่นอยู่บ้างแหล่ะ”..........ผมปรารภเป็นเชิงขอความเห็นจากคนทั้งคู่.......ขณะที่สมองก็พยายามนึกไล่เลียงว่ามีปั๊มที่มีเซเว่นอยู่ระหว่างทางจริงหรือเปล่า...........

                     “ไม่เป็นไรหรอก.......เดี๋ยวน้องไปหากินเองที่เชียงใหม่ก็ได้”..........แป่ววววว.........แม้อ้นจะพูดเชิงออกตัวไม่ขอเป็นภาระแก่ใคร..........แต่น้ำเสียงของหล่อนกลับเหน็บเข้าไปถึงขั้วหัวใจผมเลยทีเดียว..........

                      “ถ้าพี่อ้นหิวนักก็ไปกินดินสิ…เฮอะๆ”...........นัทตอกกลับพลางหัวเราะทีเล่นทีจริง.........

                       เจอมุขนี้เข้า ผมจึงได้แต่อึกอักทำอะไรไม่ถูก........จะพูดอะไรขึ้นมาก็กลัวว่าจะเป็นการเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง.......จึงทำเป็นเอาหูทวนลมไปเสีย.........ปล่อยให้สองคนนั้นฟาดฟันกันเองให้สาแก่ใจไปเลย.......คิดดูอีกทีก็หนุกดีเหมือนกัน อิอิ...........

                      “จะให้ไปกินหญ้าเลยมั้ยล่ะ ถ้างั้นน่ะ”..........อ้นยังไม่ยอมแพ้.........หล่อนประชดสวนกลับมาทันควัน.......ไม่หรอกมั้ง นัทคงไม่ได้ตั้งใจจะว่าหล่อนแรงขนาดนั้นหรอก..........มานึกดูดีๆ........คงไม่ได้มีแต่ควายหรอกเนาะที่ชอบกินหญ้า........ผมเคยได้ยินมาว่ากระต่ายเองก็ชอบกินหญ้าเหมือนกันนี่นา........

                       “พี่อ้นพูดเองนะ...นัทไม่ได้ว่าให้พี่อ้นนะ.......เฮอะๆ”...........นัทหัวเราะเยาะเสียงระรื่นกับชัยชนะ..........ถ้าจะเถียงเอาแพ้เอาชนะกับเด็กนิสัยเสียแบบนี้ จ้างให้ก็ไม่มีวันชนะหรอก........สู้เก็บปากเก็บฟันเอาไว้กินข้าวยังจะดีซะกว่า...........

                        อ้นยอมแพ้ไปในที่สุด...........หล่อนนั่งกอดอกนิ่งไม่ยอมพูดจาอะไรอีก.........ถ้าแสงไฟจากข้างนอกสว่างกว่านี้ ผมคงมองเห็นใบหน้าของหล่อนเปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำอย่างไม่ต้องสงสัย........แต่ตอนนี้หล่อนถูกกลืนหายไปกับความมืดดำภายในรถเสียแล้ว............

                        ผมเอื้อมมือไปหรี่เสียงเพลงเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ..........บางทีเสียงเพลงก็ช่วยยุติสงครามได้เหมือนกันนะ........

                       “จะรักทำไมให้เจ็บให้ช้ำ........รักทำไมให้เหนื่อยให้ล้า...........อยู่กันไปก็เปลืองเวลา ก็มีแต่ทุกข์ในใจ”........แหม.......เพลงท่อนนี้ถูกใจเป็นบ้าเลย.......ประเดี๋ยวผมจะออกหน้ารับแทนอ้นและก็ถือโอกาสแดกดันนัทไปในตัวด้วยดีกว่า..........

                        “อ้น.......ฟังเพลงนี้สิ.........เหมือนชีวิตพี่เลย.......พี่ชอบบบบบ”..........

                        เงียบ..........ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ.........ผมเหลือบมองไปทางนัทซึ่งตอนนี้จากหน้าที่เคยบานอยู่เมื่อครู่ ได้แปรเปลี่ยนเป็นจวักไปเสียแล้ว.......อิอิ........ไม่เป็นไรวะ ร้องคนเดียวก็ได้........ดังนั้นผมจึงตะเบ็งเสียงร้องเพลงบ้าบอไปคนเดียวโดยไม่มีใครสนใจจะคุยกับผมอีกเลย.........


                         ในที่สุดเราก็กลับมาถึงเชียงใหม่พร้อมกับภูเขาก้อนเบ้อเร่อที่ถูกยกออกไปจากอกของผม..........และสุดท้ายเราก็ยังไม่ได้แวะกินข้าวกันอยู่ดี.......ขืนให้อยู่ด้วยกันนานกว่านี้ มีหวังไม่ใครก็ใครต้องออกอาการวีนแตกแน่ๆ.........และกรรมก็ต้องมาตกอยู่ที่ผมคนเดียวเหมือนเดิม......ให้ตายสิ..........

                          “พี่อ้น.........เอาม้วนเทปของพี่อ้นไปด้วย”........นัทไม่วายแสดงท่าทางว่าอ้นคือส่วนเกินที่เค้าไม่ต้องการ........แม้กระทั่งม้วนเทปของหล่อนก็ไม่อยากจะเห็นให้เสียสายตา........

                         “เอาไว้นี่แหล่ะ”........อ้นว่าแล้วเดินสะบัดก้นจากไป.............เวรกรรม........พรุ่งนี้ผมคงต้องโทรไปขอโทษหล่อนหน่อยแล้ว.........น่าอายจริงๆที่มีแฟนเอาแต่ใจตัวเองแบบนี้...........



                         “ทำไมไปพูดกะพี่เค้าแรงขนาดนั้น”........ผมบ่นกับนัทด้วยความอ่อนใจเมื่อเราสองคนกำลังขึ้นลิฟท์ไปยังห้องพัก.......

                         “แล้วพี่กั้งพาเค้าไปด้วยทำไมล่ะ”.........นัทตอบเสียงสะบัดแล้วเดินกระแทกไหล่ผมออกจากลิฟท์ไป..........พูดแค่นี้ก็ทำเป็นมากระฟัดกระเฟียดใส่..........บอกอะไรไม่เคยฟังสักอย่างเลย........



                          เวลาล่วงเลยไปจวบจนสามทุ่มกว่า..........หลังจากที่ผมทำกับข้าวให้นัทกินเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมจึงมีเวลาไปอาบน้ำชำระล้างร่างกายทำธุระส่วนตัว............ในขณะที่นัทเองก็นั่งเอกเขนกดูทีวีที่เบาะยาวบนพื้นห้องโดยไม่ได้ใส่ใจผมอีก..........

                       ผมเพลียเกินกว่าที่จะสนใจต่อล้อต่อเถียงด้วย จึงขึ้นไปนอนบนเตียงและผล็อยหลับไป...........จนเวลาล่วงไปเท่าใดก็ไม่อาจคะเนได้.........ในที่สุดผมก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง.........ผมแอบหรี่ตามองดูว่าตอนนี้นัทกำลังทำอะไรอยู่........และผมก็พบว่า เค้าไม่ได้ขึ้นมานอนบนเตียงอย่างที่เคยทำ.........หากแต่ผมเห็นเค้ากำลังจะจัดที่นอนอยู่บนพื้นห้อง.............

                    ความโมโหพุ่งปรี๊ดเข้ามาแทงที่หัวใจผมอย่างแรง...........นี่เค้ากำลังทำบ้าอะไรอยู่..........ทำแบบนี้หมายความว่ากำลังจะพยายามตัดความสัมพันธ์ของเราอยู่ใช่มั้ย...........คิดว่าผมโง่ไม่รู้เท่าทันแล้วจะปล่อยให้เค้าทำอะไรตามอำเภอใจง่ายๆเหรอ..........เค้าเคยบอกผมว่าเค้าไม่อยากจะหักดิบ นี่ก็แสดงว่าคงกำลังคิดที่จะตัดสัมพันธ์ทางกาย และทางอื่นๆลงทีละน้อยอยู่ล่ะสิ.........

                  แล้วมันเรื่องอะไรที่ผมจะยอมเป็นบ้าใบ้ให้เค้าทำอะไรตามชอบใจอยู่ฝ่ายเดียว........อยากจะเลิกก็เลิกสิ..........ผมไม่แคร์หรอก.........ที่ทนอยู่นี่ก็ทุกข์ใจมามากพอแล้วนะ........ไม่ใช่เพราะว่าติดใจความดี ความหล่อ หรือไอ้เซ็กส์ห่วยแตกบ้าบออะไรของเค้าหรอกนะ........แต่ที่ทนอยู่ก็เพราะเห็นว่าได้เป็นแฟนกันแล้ว ได้รักไปแล้ว จึงไม่อยากให้มันพังลงมาง่ายๆ เหมือนที่ใครๆเค้าปรามาสเอาไว้..........นึกว่าคนอย่างเค้าน่าจะมีหัวใจสำนึกดีชั่วบ้าง.........แต่นี่ไม่ต่างอะไรกับการรดน้ำลงบนตอผุ........ทำอะไรให้ไปไม่เคยเห็นคุณค่า.........พอกันที........ทำแบบนี้มันหยามกันมากเกินไปแล้ว........เลิกก็เลิกสิวะ........

                 ผมตัดสินใจลุกเดินไปปลุกนัท ทั้งพยายามข่มความโมโหเอาไว้ไม่ให้สติแตกเสียก่อน.........

                 “นัท......ตื่นๆ........ตื่นเดี๋ยวนี้.........ทำไมไม่ขึ้นไปนอนบนเตียงหา.......นอนตรงนี้มันสบายตรงไหนกัน เบาะก็เล็กๆแค่นี้”..........ผมพยายามข่มน้ำเสียงให้ดูเป็นปกติ.........ผมไม่อยากพูดด้วยอารมณ์......ไม่สิ......ผมไม่อยากให้เค้าคิดว่าผมพูดด้วยอารมณ์.....แต่ก็คงปิดไม่มิดอยู่ดี.........

                 นัททำทีเป็นงัวเงียตื่นขึ้นมา แล้วเดินมานอนที่เตียงไม่พูดไม่จา....มารยา......นึกหรือว่าผมจะยอมให้เรื่องนี้ผ่านไปง่ายๆ..........ผมเดินไปเปิดไปที่หัวเตียงแล้วนั่งคุมเชิงเอาไว้อย่างนั้นไม่พูดไม่จา..........แต่นัทเดินมาปิดไฟแล้วทำท่าจะไปนอนต่อ...........

               “เปิดไฟทำไมคนนอนไม่หลับวู้.......นอนได้แล้ว”...........คิดเหรอว่าผมจะยอม.........วันนี้ต้องคาดคั้นเอาคำตอบให้ได้........ก็แค่บอกว่าเลิก.........ถ้าอยากเลิกก็บอกมาสิ.........จะมัวอมพะนำอยู่ทำไมกัน.........

               “อยากจะเลิกก็บอกมาตรงๆสิ.........ทำไมต้องทำแบบนี้..........พี่เคยบอกแล้วใช่มั้ยว่าถ้าจะเลิกก็ขอให้บอกมาตรงๆ”........

                “เลิกอะไรกันล่ะอู้วว.......บ้าป่าว.......คนจะนอน”........นัทเอาหมอนมาปิดหูเอาไว้ไม่ยอมรับฟังในสิ่งที่ผมพูด...........

                 ความโกรธเมื่อได้พุ่งขึ้นแล้วย่อมหาทางลงได้ยาก..........ถึงผมจะยอมเค้ามาตลอด แต่ไม่ได้หมายความว่าผมจะยอมเป็นเบี้ยล่างให้ใครมาหมิ่นศักดิ์ศรีได้อยู่ร่ำไป........ที่ผ่านมา ที่ผมยอมเพราะมันคือวิธีการ.........มันไม่ใช่นิสัย.........แต่ตอนนี้ตะหากคือตัวผมจริงๆล่ะ............
นัทนอนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง.......ในขณะที่ผมยังคงนั่งกอดอกอยู่บนเตียงเช่นเดิม..........จนในที่สุดเค้าก็เป็นฝ่ายยอมแพ้..........

                 “นั่งทำหน้าเหมือนผีเลย”..........นัทชะโงกหน้าขึ้นมามองพลางพยายามแหย่ให้ผมหายโกรธ........แต่ผมไม่ยอมขำง่ายๆหรอก.......(แม้จะนึกขันท่าทางหงอๆของเค้าอยู่บ้างก็ตาม).........คืนนี้เราต้องคุยกันอีกยาว......
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 29-01-2008 09:31:22
คุณกั้งขอลงยาวๆหน่อยจิ มันค้างงงงงง :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 29-01-2008 10:28:43
ค้างจริงๆ ด้วย :a6:

นัทนี่น้า  เฮ้อ  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 29-01-2008 10:43:13
ค้างกันจริงๆเหรอเนี่ย........อุอุ......ไม่ได้ตั้งใจแกล้งนะครับ พอดีช่วงนี้งานยุ่งนิดนึง......เอาไว้คราวหน้าจะเขียนมาลงยาวๆเลย โอเคมั้ย? คราวนี้ขอติดไว้ก่อนก็แล้วกันนะจ้ะ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 29-01-2008 10:50:04
รับทราบค้าบบบ  ตั้งใจทำงานตั้งใจเรียนนะ   o13
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 29-01-2008 19:16:54
สงสารอ้น

แม้ว่าน้องจะสมน้ำหน้ามันด้วยก็ตาม


ถ้าเป็นน้องนะ....ไอ้นัทไปเฝ้าพญายมนานแล้ว
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 30-01-2008 10:41:11
ปกติเค้าก้ไม่ได้ปากเสียกะทุกคนหรอก เว้นแต่คนที่ไปทำเค้าก่อนน่ะ (สองคนนี้เคยมีคดีกันมาก่อน) อิอิ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 30-01-2008 17:10:24
^
^
ยังอุตส่าห์แก้ตัวให้อีก  :m14: :m14: :m14:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: kongkilmania ที่ 04-02-2008 12:07:12
คุณกั้งหายไปไหนจ๊ะ  กลับมาต่อก่อน มานค้างอ่ะ
อยากอ่านตอนคุณกั้งโหดมั่งอ่ะ     :angry2:    อึดอัดใจมาหลายตอนแล้ว
รอๆๆ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 04-02-2008 19:32:48
ยังไม่มาต่ออีกพี่ตู

ปล. วันก่อนน้องไปเที่ยวเจอไอ้เหี่ยวด้วย  แต่ว่าทำไมมันยอมให้น้องกอดอะ

น้องก้ไม่ได้ตั้งใจกอดหรอกนะ  น้องเมาผสม เพื่อนยุ  อิอิ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 04-02-2008 21:05:11
รออยู่  :oni2:  :oni2:

ปล  ไอ้เหี่ยวเป็นใครในเรื่องปะ  เจือก 555  :oni1:  :oni1:  :oni1:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 05-02-2008 08:57:40
เหี่ยวไหนอ่ะ........ไม่รู้จัก..........อีกอย่างคนมาเที่ยวกลางคืน พอกินเหล้าแล้วก็เมา..........ไอ้เรื่องกอดกันในเทคอ่ะ มันชิลๆ.....พอข้ามคืนเดี๋ยวก็ลืมแล้ว.....เผลอๆจำหน้ากันแทบไม่ได้ด้วยซ้ำ......อย่าไปตื่นเต้นเลยจ้ะคุณน้อง....หุหุ

ปล. เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่ค่อยมาลงต่อนะจ้ะ มูมู่น้อย (ตั้งชื่อได้น่ารักเนอะ คิดได้ไงเนี่ย อิอิ) จวนจะจบแล้วแระอีกนิดเดียว คนเขียนก็เหนื่อยใจเต็มที
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 05-02-2008 09:26:06
อ่ะนะนึกว่ามาต่อ  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 05-02-2008 09:54:14
ตอนจบอย่าดักตีหัวนัทนะพี่กั้ง 555
ทั้งรักทั้งแค้น 

รอจ้ารอ   :oni2:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 07-02-2008 10:16:58
                 “นอนได้แล้ววู้ววววว........” ตอนนี้นัทไม่สามารถจะนอนหลับอย่างเป็นสุขได้อีกต่อไปแล้ว.........ตราบใดที่ผมยังคงนั่งกอดอก ทำหน้าบึ้งตึง ยืนกรานว่าจะต้องคุยให้รู้ดำรู้แดงให้จงได้อยู่อย่างนี้....................

                 ท่าทีของเค้าดูเหมือนว่าอยากจะจบการสนทนาลงให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้...........บางทีอาจจะเป็นเพราะว่า เค้าคงยังไม่พร้อมที่จะพูดถึงปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างเราสองคนก็เป็นได้ (คงกำลังสับสนมั้ง)............หึ........แล้วจะเพราะอะไรล่ะ...... ถ้าไม่ใช่เพราะว่า พอเห็นผมทำท่าจะเอาจริงเข้าให้ เค้าก็ดันเกิดความลังเลขึ้นมาซะอย่างงั้นล่ะมั้ง..............

                  ผมยังคงใช้ยุทธวิธีนั่งนิ่งไม่พูดไม่จาท่ามกลางความมืดมิดต่อไป...........เสียงสั่นสะเทือนจากพัดลมบนเพดานห้องดังแว่วทำลายความเงียบมาเป็นครั้งคราว.........นัทนอนพลิกตัวไปมา ทำท่าทางฟึดฟัดอึดอัดใจกับพฤติกรรมดื้อแพ่งของผมดังกล่าว..........

                 “มานอนตรงนี้มา”.........ในที่สุดนัทก็เอื้อมมือมาลากแขนผมลงไปนอนอยู่ใกล้ๆ............

                 “จะทำอะไร”........ผมพยายามขืนตัวออกจากการกอดเกี่ยวของเค้าพอเป็นพิธี.........คิดเหรอว่าจะใช้วิธีนี้ได้ผล.......มุขเดิมๆ........

                  “หันมานี่”...........นัทดึงเอาตัวผมเข้าไปกอดไว้แนบชิดกับอก............ไออุ่นจากอ้อมกอดของเขาทำให้ผมรู้สึกปั่นปวนในท้องน้อยอย่างบอกไม่ถูก...........ให้ตายสิ เค้าชอบหาวิธีมาทำให้ผมใจอ่อนได้เสมอนั่นแหล่ะ...........

                   “ต้องให้นอนกอดแบบนี้ใช่มั้ยถึงจะพอใจ”............นัทประชดด้วยเสียงน้ำเสียงอ่อนระทวย............

                    แม้ว่าอ้อมกอดและความรักจากนัทจะเป็นสิ่งที่ผมถวิลหามาโดยตลอดในช่วงหลังนี้..........แต่ผมไม่เคยคาดว่าจะต้องได้มันมาด้วยวิธีนี้..........ผมเคยได้มันมาโดยที่ไม่ต้องร้องขอหรือใช้วิธีการข่มขู่ใดๆ............แต่ตอนนี้มันไม่ใช่............คิดแล้วก็ชวนให้รู้สึกเวทนาตัวเองเหลือเกิน..........นี่เค้ายังรักผมอยู่หรือเปล่า.........ถ้าไม่รักแล้วจะมาทนอยู่ด้วยกันให้เจ็บปวดต่อไปอีกทำไม.........ผมไม่เข้าใจเค้าเลยจริงๆ..............

                  นัทเลื่อนริมฝีปากไล้ลงไปตามซอกคอของผมอย่างแผ่วเบา............ผมรู้สึกร้อนวาบสั่นสะท้านไปทั้งร่าง.........ไฟปรารถนาของเราสองคนลุกโชนท่ามกลางความขัดแย้ง..............เค้าปรารถนาที่จะดำเนินตามครรลองที่ถูกต้องของศาสนา........ในขณะที่ผมปรารถนาที่ครอบครองเค้าทั้งกายและใจ...........เราสองคนไม่มีวันจะเดินทางร่วมกันไปจนถึงจุดหมายปลายทางได้หรอก..........เราคงเพียงแค่เดินทางมาบรรจบกันเพื่อรอวันที่จะแยกจากกันไปทีละน้อย.............

                 ผมพลิกตัวหันกลับไปเผชิญหน้ากับนัทด้วยลมหายใจที่รวยริน..............เราสองคนโถมเข้าหากันราวกับแม่เหล็กต่างขั้ว.................ความโมโหของผมเมื่อครู่ได้มลายหายสิ้นไปเสียแล้ว.........หลงเหลืออยู่ก็เพียงแต่ความปรารถนาที่กำลังคุกรุ่นอยู่ภายในใจเท่านั้น.........

                 แม้ว่านาทีนี้ผมจะไม่อาจทัดทานอารมณ์เบื้องต่ำของตนเองได้ก็ตาม..........แต่มันไม่ได้หมายความว่าผมจะลืมสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างที่นัทได้เคยกระทำและเพิ่งกระทำไป..........บัดนี้ เค้าได้สร้างรอยแผลเอาไว้ในใจให้กับผมแล้ว............ถึงแม้ว่าเซ็กส์จะเป็นวิธีการคืนดีที่ได้ผลชะงัดอีกวิธีหนึ่ง และผมก็ยอมรับว่าชื่นชอบมันซะด้วย........แต่มันก็คงจะใช้ไม่ได้ผลตลอดไปหรอก.......คงอีกไม่นาน..........


                 โธ่เอ้ย........ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเมื่อคืนผมทำตัวง่ายกับนัทแค่ไหน.........ยังช็อกกระหรี่ข้างถนนที่ไร้ศักดิ์ศรีกระนั้น.........ไม่ใช่สิ........คนพวกนั้นได้เงินนี่..........แต่ผมมีแต่เสียกับเสีย..........โดยเฉพาะ เสียใจ.....ถึงยังไงผมก็ไม่มีทางเลือกอื่นในตอนนี้ เนื่องจากนโยบายเดิมที่ได้ตั้งเอาไว้คือต้องพยายามประคับประคองความรักของเราสองคนให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้............เพราะฉะนั้นทำตัวง่ายๆเข้าไว้ก็ดี แม้ว่าจะรู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่บ้างก็เถอะ...........

                  นัทหายขึ้นไปจัดฟันที่ตึกคณะทันตแพทย์ได้สักพักหนึ่งแล้ว.........ตอนนี้ผมก็ไม่มีอะไรจะทำนอกจากเดินเตร็ดเตร่รออยู่แถวๆนั้น...........หวนคิดไปถึงเรื่องที่นัทได้ปากเสียเอาไว้กับอ้นก็พาลรู้สึกผิดขึ้นมาตะหงิดๆ.............คืนนั้นผมไม่ได้พาหล่อนกินข้าวก่อนกลับซะด้วยสิ ไม่รู้ว่าจะโกรธหรือเปล่า.........แม้ว่าผมไม่ได้เป็นคนก่อเรื่อง แต่ผมก็ควรจะต้องมีส่วนรับผิดชอบกับเรื่องนี้เหมือนกัน..........ขนาดหมาของเราไปกัดคนอื่น เรายังต้องจ่ายค่ารักษาให้เลย........ว่าแล้วก็โทรไปหยั่งเชิงดูดีกว่า............

                  “ฮัลโหล อยู่ไหนจ้ะสาวสวย”.........รู้สึกเหมือนเสียงตัวเองสั่นๆยังไงพิกล..........

                  “อยู่ห้อง........พี่กั้งอ่ะ อยู่ไหน”..........ฟังน้ำเสียงหล่อนยังดูตึงๆอยู่ สงสัยจะยังไม่หายโกรธ.........

                  “พี่พานัทมาจัดฟัน.......ตอนนี้ก็นั่งรออยู่ที่รถ.......คงสักพักถึงจะเสร็จ”..........อืม.........จะเริ่มตรงไหนดีหว่า........เว้ากันซื่อๆก็แล้วกันเนาะ..........

                 “เมื่อคืนพี่ขอโทษแทนนัทด้วยนะ........เค้าก็ปากเสียแบบนี้แหล่ะ อย่าไปถือสาเลย”..........

                  “ไม่เป็นไรหรอกพี่...........แต่มันก็พูดกะน้องแรงเหมือนกันนะที่บอกให้ไปกินดินน่ะ..........เอ..........หรือว่ามันจะหึงที่เห็นน้องไปกะพี่กั้งนะ”...........อ้นตั้งข้อสันนิษฐานเป็นตุเป็นตะ..........

                 “ไม่หรอกมั้ง........ใครมันจะบ้าคิดไปได้ หึหึ”............หึงแกนี่นะนังอ้น..........คิดได้ไง.........หรือนัทจะรู้ว่าหล่อนเป็นรุกนะ อิอิ............อันที่จริงอ้นก็ชอบประกาศตัวว่าเป็นรุกกับคนรอบๆข้างเสมอ (ปกติคนเป็นรุกนี่มันต้องประกาศตัวด้วยเหรอ ดูแค่ภายนอกก็รู้กันอยู่แล้วมั้ง)........ผมว่าอ้นดูออกสาวกว่าผมอีกในบางที.........เวลาที่ผมแหย่ว่าหล่อนสาว หล่อนจะโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงเสมอ......เรื่องความหล่อหรือสวยของหล่อนก็ไม่ต้องถามถึง เพราะไม่อยากจะบรรยาย........เพราะฉะนั้นเลิกคิดเรื่องหึงไม่หึงนี่ไปได้เลย..........

                 “ไม่รู้สิ.......ก็พอมันเห็นน้องมาด้วย มันก็แสดงท่าไม่พอใจอ่ะ”.........ผมควรจะบอกหล่อนดีมั้ยนะว่าที่นัทไม่ชอบขี้หน้าหล่อน ก็เป็นเพราะหล่อนชอบไปปากเสียใส่เค้า............อันที่จริงนัทบอกเรื่องที่ไม่ชอบอ้นให้ผมฟังมาตั้งนานแล้วล่ะ.......แต่ผมก็ไม่ได้คิดว่ามันจะรุนแรงถึงขนาดนี้.........แต่ก็ช่างมันเถอะ......เรื่องมันแล้วไปแล้ว.........

                 “อืม.......ไม่ได้ถือสาก็ดีแล้ว......พี่จะได้สบายใจ”.........เราคุยเรื่องนัทต่อสักพัก โดยมากอ้นจะเป็นคนรับฟังและแสดงความคิดเห็นบ้างเป็นบางครั้ง..........ผมเล่าเรื่องที่ปราบพยศนัทเมื่อคืนให้หล่อนฟังด้วย........รู้สึกภูมิใจในตัวเองอยู่หน่อยๆแฮะ.........แต่ถ้าเมื่อคืนนัทไม่ยอมหงอให้........บางทีวันนี้ผมอาจจะได้เล่าทั้งน้ำตาแทนก็เป็นได้..........

                “จำแหวนที่เราไปซื้อที่วัวลายได้มะ........พี่ว่าจะให้นัทวันนี้เธอว่าดีมั้ย”...........ผมปรึกษาหล่อนทั้งที่ใจก็ได้วางแผนเอาไว้แล้ว.........

                “ก็ให้มันเลยสิ......ใส่คนละวงโรแมนติกดีออก”.........อ้นเห็นดีเห็นงามด้วย

                   “แล้วเค้าจะยอมใส่เหรอ........คิดๆแล้วก็กลัวๆอยู่เหมือนกันนะเนี่ย อิอิ”........ผมพูดพลางหัวเราะคิกคักด้วยความรู้สึกตื่นเต้นแกมเขิน.........

                ก็ลองไม่ยอมใส่สิ.......แล้วเราจะได้เห็นดีกัน.......ตอนนี้ผมยิ่งหาเรื่องจะเลิกกับเค้าอยู่ด้วย........ถ้านัทไม่ยอมให้ความร่วมมือ โอกาสจะที่เราจะคุยเรื่องเลิกกันมันง่ายมาก.......เพราะว่าตอนนี้ผมได้ถอดใจแล้ว........ถอดใจทั้งที่ยังรักอยู่......ดังคำที่ว่าตบมือข้างเดียวไม่ดัง......เพราะฉะนั้นก็ควรจะเลิกตบมันซะเถอะ ถ้ามือมันจะไม่สามัคคีกันขนาดนั้นน่ะ.........


                รอแล้วรอเล่า..........นัทก็ยังไม่ลงมาซักที..........ยืน........เดิน........นั่ง........สูบบุหรี่..........บางทีผมก็ชอบอะไรแบบนี้นะ.........ชอบที่จะรับบทรอคอยคนรักด้วยความซื่อสัตย์.........ในขณะที่เค้าช่างกักขฬะ ไม่มีความเห็นอกเห็นใจเอาซะบ้างเลย........มันรันทดดี..........พอมาคิดดูดีๆแล้ว ผมอาจจะเป็นโรคจิตก็ได้นะ........บางครั้งผมก็ไม่รู้ว่าอันไหนเป็นความรู้สึกจริงๆของเราหรืออันไหนเป็นสิ่งที่เราปรุงแต่งขึ้นตามแต่ใจอยากจะให้เป็น........สับสนดีพิลึก.........

                หลังจากที่ผมรอคอยมาครึ่งค่อนวัน........ไม่นาน นัทก็เดินตัวปลิวลงมาจากตึก..........เฮ้อ........ถึงเวลาจะได้กลับกันซะที........พอไปถึงที่ห้องแล้ว ผมจะเอาแหวนนั่นให้เค้า..........ถ้าเป็นไปได้ บทสนทนาเกี่ยวกับแหวนแทนใจสองวงนั้นมันควรจะเป็นไปตามสคริปที่ผมได้วางเอาไว้..........แต่ถ้ามันจะไม่เป็นไปตามนั้นก็หยวนๆกันไปก็แล้วกัน.........ผมไม่ซีเรียสอะไรมากหรอก.......ขอแค่เค้ายอมใส่มันตามที่ผมต้องการเป็นพอ...........

                “กลับกันเถอะ”........นัทร้องเรียกมาแต่ไกล.........ผมส่งยิ้มเย็นๆไปให้เป็นการตอบรับ........การได้มาอยู่ด้วยกัน อะไรต่ออะไรมันคอนโทรลง่ายขึ้นกว่าเดิมเยอะ.........เสียดาย เค้าไม่น่าจากผมไปเร็วขนาดนี้เลย............

                ผมขับรถฝ่าเปลวแดดมุ่งหน้ากลับห้องด้วยความสบายใจ.........วันนี้ยังมีอะไรให้ต้องทำอีกมาก.......โดยเฉพาะเรื่องแหวนนั่น........แน่ล่ะ มันไม่ได้เป็นแค่แหวน.........แต่มันจะเป็นสิ่งบ่งบอกถึงสายสัมพันธ์ระหว่างเราว่า.......จะอยู่หรือไป...............
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 07-02-2008 11:38:41
ขอให้นัทยอมใส่นะ  :เฮ้อ:

ปล  ถ้านัทกับพี่กั้งไปวนๆเวียนๆอยู่แถวคณะทันตะบ่อยๆ ประมาณช่วงสามปีก่อน  เราอาจจะเคยเดินสวนกันก็ได้นะ  :a4:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 07-02-2008 12:52:24
ทำไมโลกถึงได้กลมงี้อ่ะ.........มันเป็นช่วงเวลาเดียวกันพอดีเรยจ้ะ..........
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 07-02-2008 13:00:17
จะเป็นยังไงต่อไปนะ
ลุ้นขอให้ลงเอยด้วยดีเถอะคุณกั้ง :a1:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 07-02-2008 13:33:21
โอ้ววววววววววววววววววววววววววววววววว

อ่านแล้วให้ความรู้สึกว่า  มันเหมือนแรงเทียนสุดท้ายก่อนไฟจะดับเลย

หรือคุณพี่ว่าไง

หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 07-02-2008 14:27:36
ทำนายแม่นยังกะตาเห็นแน่ะ....หุหุ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 07-02-2008 14:34:39
ก็พี่เขียนมาอย่างนี้

น้องก็อ่านแล้วรู้สึกแบบนั้นจริงๆ  อะ

หรือว่ามันจะ.....

 :serius2:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: kongkilmania ที่ 07-02-2008 17:16:47
ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ พอเหลาลงไปไหงกลายเป็นบ้องกัญชาซะได้
อ้ายเราก็นึกว่าจะมีโหด เดือด เลือดสาดกันมั่ง
กลายเป็นคนดูเลือดสาดไปซะงั้น   :m25:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 14-02-2008 11:11:53
                 “พี่มีอะไรจะให้นัทด้วยล่ะ”..........เอาล่ะกั้ง..........ใจเย็นๆ...........ค่อยๆต้อนเค้าไปตามหมากที่วางเอาไว้........ทุกอย่างต้องไหลลื่นและสุดแสนจะโรแมนติกแน่ๆ.........

                 นัททำหน้าตาเหรอหราด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็นผมชูแหวนเงินสองวงวาววับขึ้นบนอากาศ........

                 “เป็นไงสวยมั้ย”..........ผมเดินยิ้มกริ่มมาที่นัท ซึ่งตอนนี้กำลังทำสีหน้าตกตะลึงเล็กน้อย........ประหลาดใจใช่มั้ยล่ะ........ผมว่าเค้าน่าจะเดาออกนะว่าการใส่แหวนเงินเกลี้ยงคนละวง มันหมายถึงอะไร.........

                  “อะไรอ่ะ........ไปเอามาจากไหน......เฮอะๆ”........นัทหัวเราะถามเขินๆ แต่ก็ยังทำหน้าตาย ไม่ยอมรับมุข...........ผมว่าเค้าค่อนข้างมีปัญหาเรื่องการแสดงออกเกี่ยวกับความรักนะ..........

                  “ก็พี่ซื้อแหวนเอาไว้ให้ใส่กันคนละวงไง”...........ผมว่าพลางเดินเข้ามานั่งประชิดข้างๆ.........

                  “เอามือมานี่ เดี๋ยวพี่จะสวมให้”...............เอาล่ะ.........พอสวมให้เค้าแล้ว ผมจะต้องพูดอะไรซึ้งๆอย่างที่ได้ซ้อมเอาไว้..........รับรองคราวนี้ ต่อให้เป็นคนใจหินแค่ไหนก็ต้องอ่อนระทวยลงไปกองกับพื้นแน่ๆ............

                   ผมเอื้อมมือไปหยิบมือของนัทมากุมเอาไว้อย่างช้าๆ............จะเริ่มต้นพูดอะไรก่อนหลังดีนะ...........เริ่มตรงที่ว่า พี่อยากให้แหวนวงนี้เป็นตัวแทนของพี่ดีกว่า.............

                  “เอามานี่........เดี๋ยวนัทจะใส่เอง”...............ยังไม่ทันที่ผมจะได้อ้าปากพูดตามบทที่วางเอาไว้ นัทก็ชิงแย่งเอาแหวนจากมือผมไปซะก่อน.............หมดกัน.......แล้วที่ซ้อมเอาไว้จะทำยังไงกันล่ะทีนี้......

                  นัทคว้าเอาแหวนจากมือผมไปสวมที่นิ้ว..........ผมได้แต่ตลึงมอง เนื่องจากไม่คาดฝันว่าอะไรต่ออะไรมันจะกลับตาลปัตรไปอย่างนี้...........

                  “มันไม่พอดี.........สวมไว้ที่นิ้วกลางก็แล้วกัน”...........นัทขยับแหวนเข้าๆออกๆระหว่างนิ้วนางกับนิ้วกลาง........สุดท้ายเค้าก็เลือกที่จะสวมมันไว้ที่นิ้วกลาง

                      โหย............เล่นไม่ยอมรับมุขแบบนี้ผมก็เดินหมากต่อไม่ถูกเลยอ่ะดิ..............เอาล่ะ..........ไหนๆก็ไหนๆแล้ว........ถึงเค้าไม่ยอมให้ผมสวมแหวนที่นิ้วนางให้ แต่อย่างน้อยๆเค้าก็น่าจะยอมสวมแหวนอีกวงที่นิ้วนางของผมบ้างแหล่ะ............

                 “นัทสวมให้พี่ด้วยสิ”.........ผมพยายามข่มใจทำเสียงออดอ้อนต่อ.........รู้สึกอายตัวเองพิลึก..........

                  “พี่กั้งก็ใส่เองดิ”.........นัทว่า แล้วลุกเดินปุเลงๆหนีไปเข้าห้องน้ำเสียฉิบ.............โธ่เว้ย..........ไม่โรแมนติกเอาซะเลย...........อยากจะบ้าตาย..........ผมฟึดฟัดด้วยความขัดใจอยู่เงียบๆ.......

                  ในเมื่ออะไรต่ออะไรมันไม่เป็นไปตามที่คิดตั้งแต่ต้น.........ก็คงต้องปล่อยให้มันจบแบบอุบาทว์ๆ ไปแบบนี้ก็แล้วกัน.............

                  ผมก้มหน้าก้มตาสวมแหวนวงที่เหลือของผมต่อเพียงลำพัง............แหวนเงินวงเกลี้ยงสวยแวววับจับใจ...........เสียดายที่เค้าไม่ยอมสวมให้ผมตามที่ขอ..........แต่ก็ช่างมันเถอะ..........ถึงมันจะไม่เป็นไปตามที่คิด แต่ก็พออนุโลมได้ว่าเค้ายอมรับรู้ถึงพันธะสัญญาของแหวนทั้งสองวงที่เราสวมกันอยู่นี้ก็พอ.............หวังใจว่ามันคงจะเป็นเครื่องเตือนใจเค้าถึงผมได้บ้างไม่มากก็น้อย..........ผมคงทำได้แค่นี้แหล่ะ............


                   การกลับมาเชียงใหม่ของนัทในครั้งนี้ ทำให้ผมมีความสุขแค่ครึ่งๆกลางๆ........ได้อย่างใจบ้าง ไม่ได้อย่างใจบ้าง...........แต่อย่างน้อยๆเราก็มีเซ็กส์ดีๆกันในช่วงบ่าย และขลุกอยู่ด้วยกันตลอดทั้งคืนจนถึงค่อนสายของวันรุ่งขึ้น.........

                   “พี่กั้ง......ไปส่งนัทหาน้องชายหน่อย”............นัทเดินมาบอกผมหลังจากที่เค้าคุยโทรศัพท์กับใครสักคนเสร็จเรียบร้อยแล้ว.............

                   “อ้าว........จะไปไหนอีกอ่ะ”...........กำลังจะเอ่ยปากชมอยู่แล้วเชียวว่าทำตัวน่ารัก อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน.......แต่พ่อเจ้าประคุณดันเล่นหาเรื่องจะไปข้างนอกอีกแล้วเหรอ.........

                   “ใจคอจะไม่ให้นัทไปเจอญาติพี่น้องเลยหรือไง”.........นัทโวยวายเสียงอ่อน.........สงสัยจะกลัวผมไม่ให้ไป.........ช่างน่าหมั่นไส้นัก...........ทีอยู่ที่เชียงใหม่กะเราทำตัวยังกะลูกไก่อยู่ในกำมือเชียว............แต่ทำไมน๊า พอไปอยู่ที่แพร่ทีไร พฤติกรรมของเค้าถึงได้เปลี่ยนราวกับเป็นคนละคน.........ผมคงจะไม่ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปง่ายๆหรอก.......ยังไงตอนขากลับไปส่งเค้าที่แพร่ ผมต้องหาโอกาสคุยเปิดใจกับเค้าเรื่องนี้ให้ได้.........ผมรู้ว่าครั้งนี้เค้าจะต้องฟังในสิ่งที่ผมจะพูดแน่ๆ.........ถ้าไม่รีบพูดตอนนี้ผมคงจะไม่มีโอกาสได้พูดอีกต่อไป...........ถึงตอนนั้น อะไรต่ออะไรก็คงจะสายจนเกินกว่าจะแก้ไขได้เสียแล้ว...........

                  นัทหายไปตลอดเช้าจนคล้อยบ่าย เค้าจึงติดต่อกลับมา..........เมฆฝนกำลังตั้งเค้ามาแต่ไกลเหนือดอยสุเทพสูงทะมึน..........บ่ายนี้ผมต้องเดินทางไปส่งนัทที่แพร่..........แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว........เหนื่อยทั้งกาย........เหนื่อยทั้งใจ.........

                 “พี่กั้ง........นัทไม่กลับเข้าห้องแล้วนะ.........ตอนนี้กำลังอยู่ที่บ้านน้า........พอดีแม่นัทมา........เดี๋ยวนัทจะให้เค้าไปส่งที่อาเขต.........พี่กั้งมารอนัทที่นั่นเลย เก็บของนัทออกมาให้ด้วยนะ”.........

                 ผมปล่อยให้เค้าไปอยู่กับญาติตลอดบ่าย จนถึงเวลาที่เค้าจะต้องกลับแพร่..........รู้สึกเซ็งนิดๆที่ต้องโดนแย่งเวลาส่วนตัวไปแบบนี้........แต่จะทำไงได้ ก็นั่นมันแม่และก็ญาติพี่น้องของเค้านี่.........ผมควรจะสนับสนุนเค้าสิถึงจะถูก...........



หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 14-02-2008 11:27:29
หง่ะ นัทนี่ไม่ได้ดั่งใจเลยให้ตายเหอะ :m21:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: kongkilmania ที่ 14-02-2008 13:54:43
ดูหนังดูละครมาจนนับไม่ถ้วน
อ้ายฉากสวมแหวนก็เห็นบ่อยๆ
แต่ฉากสวมแหวนแบบนี้เพิ่งเคยได้ยินอ่ะ    :m23:
มีการเอาไปใส่นิ้วกลางด้วยนะ  เซ็งจริงๆ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 14-02-2008 15:00:31


(http://i223.photobucket.com/albums/dd277/akapong/Love/26-01-2006_02.gif)


หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 14-02-2008 17:04:41
555555555
เป็นฉากสวมแหวนที่จำไปอีกนาน

หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 14-02-2008 18:44:53
:L2: :c1: :L2:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 14-02-2008 18:56:54
 :เฮ้อ: ไม่รอดแล้วล่ะ รักครั้งนี้  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 14-02-2008 21:02:21
จะว่าไป  ไอ้นัทมันก็วางแผนได้แนบเนียนเหมือนกันเลยนะ

ให้ญาติไปส่งที่อาเขต อิอิ  คงจะบอกว่าตัวเองขึ้นรถทัวร์กลับแพร่อะดิ

เก่งนะ  อิอิ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 20-02-2008 11:28:46
เฮ้อ  ไม่ได้ดั่งใจเลยนัทนิ
เซ็งแทน

ปล  สุขสันต์วันวาเลนไทด์ย้อนหลังน้า
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 20-02-2008 15:48:27
หายศีรษะไปไหนเคอะเนี้ย?

กำ
 :sad2:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 21-02-2008 08:52:54
มารอคุณกั๊ง  :oni2: :oni2: จิ้มตูดเจ้ด้วย
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: kongkilmania ที่ 23-02-2008 11:02:25
 :โหลๆ:  คุณกั้งหายไปหนายยยย
ใครเจอรีบตามกลับเล้าด่วน!
รออ่านยุทธการหักเหลี่ยมนัทโหดอยู่จ้า
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 28-02-2008 11:42:45
                  เวลาแห่งการรอคอยอันแสนยาวนานผ่านไปเกือบสองชั่วโมง...........นาฬิกาที่ข้อมือของผมบอกเวลาบ่ายสองโมงตรงพอดิบพอดี........สงสัยว่าคืนนี้ผมต้องกลับมาถึงเชียงใหม่ดึกอีกแน่ๆ.........เรื่องที่จะได้นอนค้างที่ห้องนัทน่ะเหรอ..........ฝันไปเถอะ...........

                 ในที่สุดนัทก็มาถึงพร้อมกับข้าวของพะรุงพะรัง........ผมไม่ทันเห็นว่าใครเป็นคนมาส่งเค้า และก็ไม่ได้อยากจะรู้ด้วยว่าใคร.......แค่เค้ามาถึงเพื่อที่จะให้ผมขับรถไปส่งที่แพร่ให้มันจบๆภาระกิจกันไปก็เป็นพอ (ตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกว่ามันเป็นภาระกิจมากกว่าจะเป็นความสุข).........ผู้รู้สึกเหมือนอารมณ์ข้างในของตัวเองแกว่งไปแกว่งมา ระหว่างความสุขกับความทุกข์..........แน่ล่ะ มันคงไม่ใช่ความรู้สึกของคนที่มีความรักที่น่าพิสมัยสักเท่าไหร่...........แต่จะว่าไปแล้ว ผมเองก็ไม่เคยได้สัมผัสกับมันจริงๆสักครั้งหรอก ไอ้ความรักดีๆที่ว่านั่นน่ะ ไม่รู้ว่ามันมีอยู่ในโลกนี้จริงๆหรือเปล่า............

                 “พี่กั้งมารอนานแล้วเหรอ........ขอโทษทีนัทมาช้า.......รู้สึกผิดยังไงก็ไม่รู้ แฮ่ะๆ”.........นัทยิ้มเจื่อนๆ รีบขอโทษขอโพยเมื่อเข้ามานั่งในรถแล้ว...........

                  ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังยิ้มให้นัทอย่างเยือกเย็น..........ดูท่าก็รู้ว่าเค้ารู้สึกผิดจริงๆ.........สำหรับคนที่ผมรักต่อให้นานแค่ไหนก็รอได้ ถ้าเค้ายังคิดจะกลับมาหาผมอยู่อ่ะนะ...........

                  “พี่กั้งกินข้าวหรือยังล่ะ”............ผมใคร่ครวญคำตอบอยู่ในใจครู่หนึ่ง..........จะตอบว่ายังไงดีล่ะ.........โวยวายว่าเค้าปล่อยให้ผมรอตั้งเกือบสองชั่วโมง และผมก็ได้กินแค่ซาลาเปาร้ายๆกันตายดีมั้ย.......ผมมีสิทธิ์ทำได้อยู่แล้วนี่.........

                   “กินแล้ว”........เฮ้อ.......เป็นงี้ทุกทีเลยสิเรา.........

                   “กินที่ไหนล่ะ”........นัทยังไม่วายซักต่อ

                       “ก็แถวๆนี้แหล่ะ”..........รู้สึกสงสารตัวเองอยู่หน่อยๆที่ต้องโกหกเพื่อให้เค้าไม่รู้สึกผิดมากไปกว่านี้........แต่จะว่าไปแล้วผมก็ไม่ใคร่ชอบพูดทำร้ายจิตใจใครนักหรอก (เว้นแต่บางครั้งกับคนที่สนิทอ่ะนะ.......อิอิ)


                    รถของเราแล่นฉิวออกจากเชียงใหม่มุ่งหน้าสู่แพร่..........นัทเริ่มรื้อข้าวของที่ได้มาจากบ้านญาติออกมาอวด...

                   “พี่กั้งดูสิ มีทับทิมด้วยนะ ลูกเบ้อเร่อเลย”.........ผมเหลือบตาไปมองทับทิมที่นัทเอาออกมาโชว์อย่างภูมิใจ..........จริงแฮะ......ผมไม่เคยเห็นทับทิมลูกโตขนาดเท่าหัวเด็กแบบนี้มาก่อน.........ท่าทางจะเนื้อแดงหวานฉ่ำดีไม่น้อย............นัทคงไม่รู้หรอก ว่าทับทิมเป็นผลไม้ที่ผมชอบมากเป็นพิเศษ แต่ไม่ค่อยได้กินบ่อยนักเพราะมันมีขายในบางฤดูเท่านั้น.........

                   “พี่กั้งเอาไว้กินลูกนึงก็ได้ นัทแบ่งให้”...........นัทว่าแล้วจัดแจงวางทับทิมลูกเขื่องใบนั้นไว้ที่เบาะหลัง........สงสัยจะรู้สึกผิดที่มาสาย ถึงได้ทำทีมาเป็นเอาใจแบบนี้.......หึหึ........

                  “กินลิ้นจี่มั้ย เดี๋ยวนัทแกะให้”...........นัทเสนอเมนูลิ้นจี่ที่เอามาจากที่บ้านญาติอีกเช่นเดียวกัน.......

                  “อืม”.........ผมพยักหน้าหงึกหงัก.........

                  นัทค่อยๆแกะลิ้นจี่ป้อนให้ผมทีละลูกอย่างบรรจง........เค้าชอบปรนนิบัติผมแบบนี้บ่อยๆเวลาที่เราขับรถไปไหนมาไหนด้วยกัน.........บางครั้งผมก็รู้สึกว่านัทรักผมมาก.........แต่บางครั้งเค้าก็รู้สึกเกลียดที่ผมมารักและก็ทำดีกับเค้าแบบนี้.........และบางครั้งเค้าก็อาจจะเกลียดตัวเองด้วยที่ต้องเผลอใจมารักคนอย่างผม.........แต่จะมาพูดฟื้นฟอยหาตะเข็บกับปมในใจเดิมๆของเค้าซ้ำๆซากๆก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา.........มันฝังอยู่ในใจของเค้ามาเนิ่นนานจนยากที่จะเจือจางลงได้ด้วยพลังอำนาจใดๆแล้ว.........ที่ผ่านมา ผมได้แต่แอบหวังลึกๆว่า ความรักและความจริงใจที่ผมมีให้เค้า อาจจะพอช่วยเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อการใช้ชีวิตของเค้าได้บ้าง.........แต่ตอนนี้ความรู้สึกนั้นมันกำลังเลือนรางลงทุกที........เลือนรางลงไปพร้อมๆกับเรี่ยวแรงภายในใจของผมที่กำลังจะแห้งเหือดหายไปเช่นกัน...........
 

                  วันนี้นัทดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ........เค้าคอยชวนผมคุยเรื่องนั่นนี่มาตลอดทาง........และที่สำคัญผมสัมผัสได้ถึงความรู้สึกรักที่เค้ากำลังปลดปล่อยมันออกมาทีละน้อย หลังจากที่พยายามปฏิเสธมันมาตลอดระยะเวลาสองเดือนที่เราต้องแยกกันอยู่คนละทาง.........อาจจะเป็นเพราะการที่ผมอดทนทำดีกับเค้ามาตลอด รวมทั้งเหตุการณ์เมื่อตอนบ่ายนั่นด้วยที่ทำให้เค้ารู้สึกซึ้งใจในความรักที่ผมมีต่อเค้าก็ได้..........แต่ความรู้สึกนี้มันจะคงทนอยู่ได้นานแค่ไหนล่ะ........ในเมื่ออารมณ์คนเราเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา.........พอผมส่งเค้าลงจากรถคล้อยหลังออกมาแล้ว เค้าก็คงกลับไปคิดอะไรตามหลักศาสนาเหมือนเดิม..........และเหตุการณ์เดิมๆก็คงจะเกิดซ้ำๆซากๆไม่รู้จักจบสิ้น.........

                  ผมลอบชำเลืองมองดูนัทด้วยความความรู้สึกรักและอาลัย.........ผมคงจะต้องเสียเค้าไปในไม่ช้า เพราะผมไม่สามารถจมอยู่กับสภาวะกดดันแบบนี้ได้อีกต่อไปแล้ว........แต่ด้วยความรักและอาลัยดังกล่าว ผมจึงคิดว่าจะต้องเปิดใจคุยกับเค้าอีกสักครั้งเพื่อที่จะหาทางออกร่วมกัน........เผื่อว่าอะไรต่ออะไรมันอาจจะดีขึ้น.........และก็คงไม่มีโอกาสไหนเหมาะไปกว่าตอนนี้อีกแล้ว..........เพราะเค้าอยู่ในรถหนีไปไหนไม่ได้ เค้าจะต้องฟัง........เค้ากำลังรู้สึกรักและซึ้งใจในความดีของผม........เค้ากำลังอารมณ์ดี และผมเองก็มีความในใจที่อยากจะถามมากมาย..........

                 “นัท........พี่ขอถามอะไรหน่อยสิ”..........ผมกลั้นใจพูดออกมาได้ในที่สุด........บรรยาการศในรถเริ่มตึงเครียดขึ้นมาโดยอัตโนมัติ........ผมรู้สึกได้ถึงการตั้งป้อมป้องกันตัวของนัท.........

                 “อะไร”.........

                  “นัทไม่ชอบคุยโทรศัพท์เหรอ.......ทำไมเวลาที่พี่โทรไปหานัทถึงชอบโวยวายใส่พี่ตลอด.......พี่รู้สึกว่าพักหลังมานี้เราไม่เคยได้คุยโทรศัพท์กันดีๆเลยสักครั้ง”..........ผมยิงคำถามเข้าประเด็นทันที........สังเกตุว่าตอนนี้นัทมีท่าอึกอักเล็กน้อย..........ความจริงแล้วเค้าชอบคุยโทรศัพท์จะตาย บางทีเห็นโทรหาเพื่อนคนนั้นคนนี้ตั้งนานสองนาน...........

                  “ก็พี่กั้งอ่ะชอบเซ้าซี้.........โทรมาทีไรก็มีแต่ถามว่าจะกลับเมื่อไหร่ๆ.......นัทรำคาญ”........หึ........ไม่จริงสักนิด.........บทสนทนาดังกล่าวมันธรรมดาจะตายไปกับคนที่เป็นแฟนกัน.........และสาบานได้เลยว่าผมพยายามโทรหาเค้าให้น้อยลงด้วยซ้ำ เพราะเค้าไม่ยอมสนทนาเรื่องใดๆกับผมทางโทรศัพท์เลย.......แล้วจะให้ผมถามอะไรล่ะ นอกจากถามว่า จะมาเชียงใหม่วันไหน พอได้คำตอบก็ต้องรีบวางสาย...........นี่ถ้าเค้าไม่มีธุระต้องมาจัดฟันทุกเดือน ผมก็คงไม่ได้คุยและไม่ได้เจอเลยสินะ...........

                   “พี่เคยบอกนัทแล้วใช่มั้ยว่า การที่เรามาคบกันแบบนี้ วันนึงเราอาจจะต้องแยกทางกัน อันนั้นพี่เข้าใจ.......แต่ถ้าเราจะเป็นแฟนกันต่อไปนัทก็ต้องทำตัวให้ดีกว่านี้สิ”.........เงียบ.........

                  “พี่รู้ว่านัทไม่อยากจะใช้ชีวิตแบบนี้ไปตลอด.........แต่ถ้านัทอยากจะมีพี่ต่อไปนัทก็ต้องจริงจังและก็ดูแลความรู้สึกพี่บ้าง.......อนาคตจะเป็นยังไงพี่ไม่รู้ แต่ถ้าตอนนี้เรายังคบกันอยู่เราก็น่าจะทำให้มันดีกว่านี้.........มันก็เหมือนกับการเล่นเกมส์นั่นแหล่ะ..........ถึงแม้ว่าเราจะแข่งเอาแพ้ชนะ หรือว่าแข่งเอาสนุก แต่พี่ก็จะทุ่มเทและตั้งใจกับมันทุกครั้ง........ผลสุดท้ายมันจะเป็นยังไงก็ช่างมัน........เมื่อถึงตอนจบมันก็ต้องจบ........แต่อย่างน้อยๆก็ถือว่าเราก็ได้ทำเต็มที่แล้ว”..........

                  นัทนั่งนิ่งเงียบไม่ยอมเอื้อนเอ่ยอะไรออกมา.........เค้าค่อยๆหลับตาลงช้าๆ และเป็นอยู่อย่างนั้นนิ่งนาน...สีหน้าของเค้าบ่งบอกถึงความทุกข์ใจอย่างชัดเจน.........ผมรู้สึกโมโหขึ้นมาตะหงิดๆเมื่อได้เห็น........นี่เค้าเป็นอะไรของเค้ากันนักกันหนา........ผมไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมไอ้ความคิดบ้าๆนั่นมันช่างมีอิทธิพลเหนือความต้องการของเค้าได้มากถึงขนาดนี้............

                 “ที่พี่โทรไปหาก็เพราะว่าพี่รักและคิดถึงหรอก........พี่แค่อยากจะคุยกับนัทดีๆบ้างก็เท่านั้น........ถ้านัทอยากจะเลิกกับพี่เมื่อไหร่พี่ก็พร้อมจะไปจากชีวิตนัททันที ขอแค่ให้บอก.........แต่อย่างทำร้ายจิตใจพี่แบบนี้มันทรมานความรู้สึกกันเปล่าๆ.........”..........ตอนนี้นัทหันหน้าออกไปนอกหน้าต่างแล้ว........เค้าไม่ยอมโต้ตอบใดๆทั้งสิ้น...........ผมค่อยๆชะโงกหน้าไปมองว่าเค้ากำลังทำอะไรอยู่กันแน่ทำไมจึงนิ่งเงียบไป.........

                  ไม่รู้สินะว่าเค้าเป็นอะไรไป..........แต่ผมคิดว่าเค้ากำลังร้องไห้เงียบๆอยู่...........ถ้าผมจะพูดมากไปกว่านี้ก็คงมีแต่จะทำให้เสียบรรยากาศเปล่าๆ..........อย่างน้อยๆผมก็ได้พูดสิ่งที่ผมอยากบอก..........ถ้าจะมาคาดคั้นเอาคำตอบกันตอนนี้ก็คงดูจะใจร้ายเกินไป...........ถึงเค้าจะแสดงท่าทีว่าเจ็บปวดในสิ่งที่เค้ากำลังแบกรับอยู่.........และผมก็รู้ดีว่าเค้าคิดอะไร แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีนั่นล่ะ............

                   “อ่ะๆ.........พี่เลิกพูดก็ได้.......ไม่พูดแล้ว”..........ผมเอื้อมมือไปตบที่บ่านัทเบาๆเป็นการปลอบใจ........เฮ้อ.........เวรกรรม.........เจอไม้นี้ทีไรผมใจอ่อนทุกทีสิ.........


                   หลังจากนั้นไม่นานบรรยากาศต่างๆก็ค่อยคลี่คลายขึ้นมาเป็นลำดับ...........แต่ผมยังไม่ละความพยายามที่จะจิกกัดให้เค้าได้คิดไปง่ายๆหรอก..........

                   “นัทฟังเพลงนี้สิ........พี่ว่าเหมือนชีวิตของพี่เลย”..........ผมหรี่เสียงเพลงขึ้นช้าๆ...........เสียงดนตรีค่อยๆดังกระหึ่มขึ้นมาเหมือนจะสื่อความหมายมากกว่าแค่การให้ความบันเทิงใจธรรมดา.........

                    ใจความของเพลงมีอยู่ว่า.......ในค่ำคืนวันหนึ่ง เจ้าหิ่งห้อยน้อยได้ออกมาเที่ยวเล่นตามลำพัง........แล้วมันก็ได้มาพบกับแมงมุมน้อยผู้น่าสงสาร ซึ่งกำลังเดินหลงทางอยู่ในความมืด..... เจ้าแมงมุมอยู่ในสภาพที่หนาวเหน็บ และหวาดกลัว.........หิ่งห้อยจึงอาสาใช้แสงของตัวมันเองนำทางเจ้าแมงมุมกลับไปยังบ้านของมัน...........ระหว่างที่พวกมันเดินทางไปด้วยกันนั้น..........ทั้งสองได้พบเจอสิ่งต่างๆร่วมกันมากมาย จนสุดท้ายก่อเกิดเป็นความผูกพันและกลายเป็นความรักในที่สุด.........ถึงแม้หิ่งห้อยจะรู้อยู่แก่ใจว่ามันกับแมงมุมนั้นแตกต่างกันมากสักเพียงใดแต่สุดท้ายเจ้าหิ่งห้อยก็เผลอรักแมงมุมไปจนสุดหัวใจเสียแล้ว.........เมื่อทั้งสองเดินทางมาถึงรังของแมงมุม.......ด้วยความรักและไว้ใจจนไม่ทันนึกระวังตัว......หิ่งห้อยผู้น่าสงสารก็บังเอิญบินไปติดที่ใยของแมงมุมจนไม่สามารถจะดิ้นหลุดออกมาได้.....ยิ่งดิ้นก็ยิ่งรัดจนแทบจะขาดใจ.......และสุดท้ายมันก็ต้องจบชีวิตลงภายใต้คมเขี้ยวของเจ้าแมงมุมอย่างน่าเวทนา....ก่อนที่ความรู้สึกสุดท้ายของมันจะดับสูญไปชั่วนิรันดร์......หิ่งห้อยจึงได้เรียนรู้ว่า.....ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆที่จะร่วมทางไปด้วยกันได้ หากทั้งสองนั้นมีจุดหมายปลายทางในชีวิตที่แตกต่างกัน........แต่ถึงอย่างไรมันก็ไม่เคยนึกเสียใจในทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้เคยทุ่มเททำลงไป...... เพียงเพราะคำว่ารักเพียงคำเดียว ...............

                   “อย่างน้อยๆ พี่กั้งก็ไม่ได้ตายตอนจบเหมือนหิ่งห้อยแหล่ะ”.......นัทวิจารณ์หลังจากฟังเพลงนั้นจนจบ..........ดูมันพูดเข้า........น่าโมโหจริงๆ

                       “เดี๋ยวนี้ชักจะเอาแต่ใจตัวเองจนเคยตัวใหญ่แล้วนะ”.........ผมปรามทีเล่นทีจริง แต่ดูเหมือนนัทจะไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องสลักสำคัญอะไร..........

                    “ก็มีคนคอยตามใจนี่”....สงสัยผมจะตามใจเค้าจนเสียนิสัยไปแล้วจริงๆ........สักวันหนึ่งเถอะจะรู้สึก........


                     จวบจนห้าโมงเย็นเราจึงมาถึงที่โรงพยาบาล........ผมไม่ได้ขึ้นไปบนห้องนัท และนัทก็ไม่ได้ชวนผม.......เราจึงรำรากันอยู่ที่หน้าแฟลต.........

                      “อ้าว........ไหนว่าทับทิมลูกนั้นเอาให้พี่ไง”..........ผมท้วงเมื่อเห็นนัทหยิบเอาทับทิมลูกที่ยกให้ผมลงรถไปด้วย..........นัทหันยิ้มเขินๆ........

                      “เอาไปพี่กั้งก็ไม่กินหรอก..........ไม่ต้องพูดมาก.........เดี๋ยวก็เอาค่าน้ำมันรถคืนซะเลยนี่”..........เค้ารู้ได้ยังไงว่าผมจะไม่กิน..........คบเด็กสร้างบ้านจริงๆหนอ............คำพูดไม่ได้เคยอยู่กับร่องกับรอยเลยสักครั้ง............ไม่รู้ว่ารักเข้าไปได้ยังไง.........

                       ผมจึงได้แต่ยิ้มไม่ได้ว่ากระไร ก่อนจะเอ่ยคำลาและขับรถจากมา.........เวลาที่เหลือต่อไปนี้ ก็คงต้องกลับไปคอยตั้งรับกับพฤติกรรมแย่ๆของนัทก่อนที่เราจะมาเจอกันในอีกหนึ่งเดือนถัดมา........จะอยู่หรือจะไปเดี๋ยวก็คงได้รู้กัน..............

หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 28-02-2008 12:49:29
เป็นรักที่ไร้ปลายทางจริงๆ อ่านแล้วรู้สึกแบบนี้ค่ะคุณกั้ง :a6:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 28-02-2008 19:09:59
นับถอยหลัง รอการจากลา  :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 28-02-2008 19:21:51
สงสารทั้งคู่แฮะ  เฮ้อ
รอวันเลิกงั้นเหรอ  อย่างน้อยก็ยังได้รักกัน
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 02-03-2008 08:10:51
มานับถอยหลังรอคุณกั๊ง  :a6: :a6: เห็นลางไม่ค่อยดีเลย
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: kongkilmania ที่ 18-03-2008 16:33:32
ไม่ได้เข้ามาอ่านตั้งนาน คุณกั้งก็ยังไม่มาต่อเลย
งานยุ่งมากป่าวจ๊ะ  รักษาสุขภาพด้วยนะ
ตอนนี้อากาศร้อนตับแลบดีจริงๆ    :m29:
จะพาลเป็นหวัดแดดได้ง่ายๆนะเนี่ย

รอคุณกั้งมาต่ออยู่นะ    :m13:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 19-03-2008 10:48:37
มาแว๊ววววว.........ถามถึงก็มาพอดีเรย ใจตรงกันจริงๆ......โทษทีนะครับที่หายไปนาน.ช่วงนี้เดินทางบ่อยมากๆ




----------------------------------------------------------------------------------------------

                  ......โธ่เอ๊ย........เพิ่งพูดไปแหม็บๆอยู่แท้ๆ.........พอกลับไปถึงแพร่ก็หายลับเข้ากลีบเมฆอีกตามเคย.........เวรกรรมจริงๆ........

                  เกือบอาทิตย์แล้วที่นัทไม่เคยแม้แต่จะโทรมาถามข่าวคราวผมบ้างเลย.........ไม่เข้าใจเค้าเลยจริงๆว่าจะเอายังไงกันแน่.......ครั้นบอกว่าจะให้เลิกรากันไปให้สิ้นเรื่องสิ้นราวเสียที ก็ทำเป็นไม่หือไม่อือซะอย่างนั้น.........แต่ถ้าหากไม่ยังอยากจะเลิก ก็กลับทำตัวห่างเหินไม่ใส่ใจใยดีเช่นเดิม........ทำเหมือนผมเป็นสิ่งของไม่มีหัวจิตหัวใจ อยากจะมาเมื่อไหร่ก็มา อยากจะไปเมื่อไหร่ก็ไป...........


                  หลังจากที่ผ่านความทุกข์ทรมานในการรอคอยความรักจากนัทมาได้เกือบสามเดือนเต็มๆ.......ในที่สุดผมก็เริ่มปลงตกและยอมรับกับสภาพอันน่าอดสูที่เกิดขึ้นได้.........ผมอยู่อย่างคนไร้ศักดิ์ศรีมามากจนเกินพอแล้ว ถึงเวลาแล้วที่ต้องเรียกเอาทุกสิ่งทุกอย่างกลับคืนมาก่อนที่หัวใจของผมจะตายด้านจนไม่อาจนำพากับความรักได้อีกต่อไป...........ผมจะไม่ยอมปล่อยให้เรื่องนี้ยืดเยื้อซ้ำซากอีกแล้ว.........ต้องทำอะไรซักอย่าง.........คราวนี้คงต้องเอาจริงซักที.........ก่อนอื่นต้องลองใช้ไม้นวมดูซะก่อน.......ลางทีเรื่องมันอาจจะไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดก็เป็นได้.........

                  “วันหยุดยาวนี้นัทจะมาเชียงใหม่ป่าว”...........รู้สึกงี่เง่าจังที่ต้องถามคำถามโง่ๆ ซ้ำๆซากๆแบบนี้......จะโดนเอ็ดตะโรเหมือนเดิมอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้.........

                  “ไม่ได้ไป........นัทจะกลับบ้าน”..........น้ำเสียงนัทเริ่มตึงขึ้นมาอีกแล้ว........นี่ผมทำอะไรผิดอีกล่ะทีเนี้ย.........

                   “โหยยยนัท เราไม่ได้เจอกันนานแล้วนะ.......ถ้าอย่างนั้นนัทมาต่อรถที่เชียงใหม่ได้ป่าว......ได้เจอกันนิดนึงก็ยังดีนะ”.........ผมพยายามต่อรองทั้งที่ใจจริงอยากจะได้เวลาจากเค้าตลอดสุดสัปดาห์นี้มากกว่า.......ครั้งที่แล้วยังคุยกันดีๆอยู่แล้ว.......มาคราวนี้ก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว........แล้วจะมาเสแสร้งบีบน้ำตาทำซากอะไรกัน.........

                   “อือๆ........ไว้จะโทรบอกอีกทีก็แล้วกัน”.............นัทรับคำส่งเดชเพื่อตัดรำคาญ ก่อนจะวางสายไป


                      ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นกาฝากในชีวิตของนัทมากขึ้นเรื่อยๆ.........แต่อยู่ดีๆให้จะลุกขึ้นมาบอกเลิกกันง่ายๆ...มันเหมือนกับไร้เหตุผลเกินไป...........มันน่าจะมีสถานการณ์ที่เหมาะสมมากกว่านี้.........ถึงตอนนั้นทางออกที่สวยงามคงจะเปิดรอท่าอยู่ตรงปลายทาง....ถ้าจะจบ ผมขอจบแบบเศร้าและสวยงามดีกว่า.........คุณเคยได้ยินคนเลือกวิธีตายมั้ยล่ะ......อย่างน้อยๆเค้าก็ได้ตายแบบที่เค้าต้องการล่ะ........ถึงแม้ว่า ท้ายที่สุดแล้ว เค้าจะต้องแลกกับการตายในแบบที่ต้องการนั้น ด้วยความตายของตนเองจริงๆก็ตาม.........


                   นัทไม่แวะมาหาผมจริงๆอย่าที่คิดไว้ไม่มีผิด......เค้ามักจะมีเหตุผลเข้าข้างตัวเองอย่างเย็นชาเสมอๆ......ช่างไม่นึกถึงความรู้สึกของเราซะบ้างเลย.........เฮ้อ........

                 “พี่กั้ง....นัทไม่ได้แวะไปเชียงใหม่นะ.........นัทมากับพี่ที่ทำงานน่ะ.........พอดีเค้าจะกลับบ้านก็เลยติดรถเค้ามา”.............กะอยู่แล้วเชียวว่าต้องเป็นแบบนี้.........ถึงยังไงผมก็ยังคงอดทนกัดฟันแข็งใจเจรจาต่อ..

                  “ถ้าอย่างนั้นตอนขากลับก็มาเชียงใหม่ก่อนได้มั้ย..........พี่คิดถึงอ่ะ”..........อย่างน้อยๆได้เจอกันสักแว๊บก็ยังดีวะ.......ดีกว่าไม่ได้เจอเลย........

                  “ไม่ได้ไปทางนั้นหรอก........ที่บ้านเค้าจะไปส่ง........วู้ววววววว เดี๋ยวอาทิตย์หน้าก็มาจัดฟันแล้ว......เดี๋ยวก็ได้เจอกันเองแหล่ะ ไม่รู้จะคิดถึงอะไรกันนักกันหนา”...........นัทตอบเสียงสะบัดอย่างไม่ใยดี......หึ..........คนแบบนี้ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา.........สักวันหนึ่งเถอะ จะรู้สึก.............


                   ไม่รู้ว่าเป็นเวรกรรมอะไร..........ยิ่งเค้าไม่ใยดี ในตัวเรา ใจมันกลับยิ่งคิดถึง............แม้ตอนนี้ผมจะตั้งโปรแกรมการตายเอาไว้ในใจอย่างคร่าวๆแล้ว........แต่ด้วยความที่เป็นมนุษย์มีเลือดเนื้อและจิตวิญญาณ ผมย่อมหลีกไม่พ้นความเจ็บปวดจากการไม่สนใจใยดีของเค้าไปได้..........ผมผิดหวังที่มองคนอย่างนัทผิดไป........ผมเสียดายวันเวลาที่สู้อุตส่าห์ทุ่มเทความรักให้.........ผมเกลียด และอยากทำให้เค้าเจ็บปวดให้สาสมกับความอำมหิตที่เค้าได้ก่อเอาไว้...........ความรู้สึกรักและเกลียดเวียนไปวนมาในใจของผมอย่างไม่มีที่สิ้นสุด.........มันคงถึงเวลาที่จะต้องจบแล้วจริงๆเสียที...........



                  สุดสัปดาห์แห่งความระทมทุกข์ผ่านไปอย่างเชื่องช้า............ผมใช้เวลาทั้งหมดอยู่กับตัวเองและความฟุ้งซ่าน.......ผมมีเรื่องต้องให้คิดและทบทวนอย่างละเอียดรอบคอบมากมาย........ป่านนี้นัทคงกลับถึงแพร่แล้ว..........ศุกร์หน้าเค้าคงจะมาที่เชียงใหม่เพื่อรับการจัดฟัน.............ผมจะใช้โอกาสนี้บอกเลิกกับเค้าจริงๆเสียที........คบกันมาตั้งนานจะให้บอกเลิกกันทางโทรศัพท์คงดูไม่ดีหรอก..........อย่างน้อยๆเราน่าจะมีโอกาสอยู่ด้วยกันเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อเป็นการร่ำลา..........ลึกๆในใจ ผมก็ยังคงเหลือความหวังอยู่บ้าง แม้ว่าจะหริบหรี่เต็มทีแล้วก็ตาม..........โอกาสที่ผมจะลงมือมีถึงเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลืออีกสามสิบเผื่อเอาไว้สำหรับสถานการณ์ที่อยู่นอกเหนือความคาดหมาย...........ถ้าไม่มีอะไรคลาดเคลื่อน.......ผมจะทำตามแบบที่ได้วางแผนเอาไว้แล้ว.........เฮ้อไม่อยากจะนึกภาพเลยว่าผมจะอยู่ในสภาพยังไงเมื่อถึงตอนนั้น........มันน่าจะต้องเศร้าแบบดูดีหน่อยนึงดีมะ.......ไม่ต้องฟูมฟายโวยวาย.....พูดกันดีๆอย่างคนที่เจริญแล้วเค้าทำกันน่าจะดีกว่า........ว่าแล้วก็ลองโทรไปหยั่งเชิงดูหน่อย.........ป่านนี้เค้าคงถึงแพร่ไปนานแล้วมั้ง...........

                  “นัท.....ถึงนานหรือยัง”.........ผมพยายามทำใจดีสู้เสือสุดฤทธิ์.........ยังไงก็ต้องพยายามไม่เปิดช่องให้เกิดเรื่องทะเลาะเบาะแว้งให้ได้มากที่สุด.........

                  “อืม.......มีอะไร”........ผมพยายามระงับจิตใจไม่ให้โมโหกับคำถามของนัทดังกล่าว.........ถ้าไม่เข้าข้างตัวเองจนเกินไป.......ผมว่าผมทำดีที่สุดแล้วนะ แต่ทำไมเค้าถึงคอยจ้องแต่จะหาเรื่องกันอยู่ตลอดเวลาก็ไม่รู้สิ.........

                 “แล้วใครมาส่งล่ะ”.........คงเป็นพ่อแม่หรือไม่ก็ญาติๆของเค้าสินะ.....

                 
                 “โอ๊วะ........แล้วมายุ่งอะไรด้วยเนี่ย.....รำคาญ”.........สติสัมปะชัญญะของผมขาดสะบั้นลงทันทีเมื่อได้ยินคำพูดหยาบคายดังกล่าว........นี่ผมไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะถามอะไรเลยใช่ไม่เนี่ย........แม้แต่คำว่าเพื่อนก็ยังดูสูงเกินไปกับสถานะของผมในตอนนี้.........ผมระเบิดความโมโหออกมาทันทีเมื่อสิ้นสุดคำพูดของนัทเมื่อครู่........

                 “นี่พี่ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะถามหรือรู้อะไรเลยใช่มั้ย.........ถามแค่นี้มันผิดนักหรือไง”........ผมได้ยินน้ำเสียงของตัวเองตะโกนออกไปด้วยความโมโห.........มือที่กุมโทรศัพท์เอาไว้สั่นระริก........

                  “มันรำคาญน่ะ เข้าใจมั้ย”..........นัทยังไม่ยอมลดราวาศอก.......ผมรู้สึกเจ็บปวดจนไม่สามารถจะรับฟังคำพูดร้ายๆจากเค้าได้อีก...........ผมตัดสินใจกดโทรศัพท์วางสายไปในทันที..........ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าผมทำผิดอะไร........ไม่เข้าใจเลย........

                  สมองของผมเบาโหวงรู้สึกเหมือนหัวหมุนติ้วอยู่ตลอดเวลา........คำพูดเมื่อครู่ของนัทยังคงดังก้องอยู่ในหูซ้ำแล้วซ้ำเล่า........มายุ่งอะไรด้วย.........มายุ่งอะไรด้วย.........มายุ่งอะไรด้วย........ผมยกมืออันสั่นเทาขึ้นลูบใบหน้าอย่างแผ่วเบา......รู้สึกถึงลำคอที่แห้งผาก......ขอบตาของผมร้อนผ่าวอ่อนล้าและกำลังจะพังทลายลงด้วยแรงปะทะจากน้ำตาที่กำลังเอ่อล้น.........ผมแข็งใจกลืนน้ำตาทั้งหมดลงคอไปอย่างยากเย็น.......หมดเวลาแล้วสำหรับการร้องไห้.........ผมเจ็บมามากจนเกินพอแล้วกับคนๆนี้.........มันเกิดขึ้นซ้ำซากจนเกินจะทนรับไหวแล้ว......ผมรู้ว่าหลังจากที่เรามีปากเสียงกัน อีกสักสองสามวันเค้าต้องโทรมา และบอกว่าจะมาเชียงใหม่อย่างที่เคยทำ........ถึงตอนนั้นผมจะทำตัวให้เป็นปกติที่สุด.......ทำให้ดีที่สุดเป็นครั้งสุดท้าย............เพื่อความทรงจำที่ดีของเราสองคน............แล้วผมจะปล่อยเค้าไป พร้อมๆกับปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระเสียที.....
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 19-03-2008 11:54:06
เลิกเลย  :angry2: ไม่ต้องรอแล้ว  :angry2: งานนี้เลิกตลอดกาล  :m16:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 19-03-2008 12:06:50
อ่านแล้วสงสารพี่กั้งจัง

 o7 o7 o7


ปล. พี่กั้งเดินทางบ่อยจริงๆ เคอะคุณผู้อ่าน

อตก.-เสาวรีย์   เสาวรีย์-อตก.  ทู้กกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ศุกร์-เสาร์ เลยขรา  เอิ้กๆ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 19-03-2008 12:14:54
อืมม  สะเทือนอารมณ์ยิ่งนัก  แงแง
แบบนี้ กระชากมาตบจูบๆ เลยคะคุณพี่ขา  กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด

เฮ้อ   รออ่านวันเลิกน้า  ในเมื่อใครไม่เห็นค่าเรา เราก็ต้องเห็นค่าตัวเอง
ปล  หวังว่าตอนเขียนน้ำตาคงไม่ไหลนะ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 19-03-2008 14:29:58
ยัยสอง....ชอบให้ข่าวผิดๆ เดี๋ยวคุณผู้อ่านก็เชื่อแบบนั้นจริงๆหรอก คริ คริ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 19-03-2008 15:25:11
หุหุ เชื่อตามสองบอกอ่ะ เดินทางบ่อยเจงๆ  :oni2: :oni2:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: kongkilmania ที่ 28-03-2008 16:40:08
 :m23:  เห็นคุณกั้งหายไปนาน เราเลยพลอยหายหัวไปด้วย
 :a5: แล้วปรี๊ดดดดด
 :angry2:  คุณกั้งงงง ถ้างวดนี้ยังไม่ตัดใจ เราจะ จะ....



จะตามอ่านต่อจนกว่าจะเลิก    :เฮ้อ:
 :o12:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: bishonen ที่ 28-03-2008 21:00:18
เด๋วก็กลับไปง้อมันอีก

เห็นจะเลิกมาตั้งนานแระ  :angry2:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 30-03-2008 18:54:21
รีบนพูดได้น่าฟัง อิอิ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: nana ที่ 30-03-2008 19:54:29
ใจแข็งเข้าไว้ :oni3: :oni3: :oni3:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 31-03-2008 15:32:10
                 “เธอว่าอย่างไหนดีกว่ากัน” ผมชูเนื้อไก่สองแพ็คให้อ้นดู เพื่อขอความเห็นจากหล่อนว่าอย่างไหนดีกว่ากันระหว่างเนื้อส่วนอกกับเนื้อส่วนตะโพก............

                 อ้นทำท่าบุ้ยใบชี้ไปยังแพ็คที่เป็นเนื้อส่วนของอก......อันที่จริงหล่อนดูไม่ได้ใส่ใจกับการให้คำแนะนำเมื่อครู่เท่าไหร่นักหรอก.......หล่อนดูเป็นกังวลกับความทุกข์ที่ฟ้องออกมาทางสีหน้าของผมมากกว่า.........

                 เราสองพี่น้อง เดินเข็นรถเข็นผ่านเคาเตอร์ของสดไปยังโซนผักผลไม้ต่างๆอย่างช้าๆ......วันนี้ผมยังมีรายการผักที่ต้องซื้ออีกเพียบ.........ผมมองดูเงาตัวเองผ่านกระจกตรงอย่างเลื่อนลอย........เห็นใครบางคนจ้องตอบกลับมาด้วยแววตาเศร้าสร้อย.........ผมยกมือขึ้นแตะใบหน้าซูบเซียวของตัวเองอย่างเวทนา.........ขอบตาของผมยังบวมช้ำจากการอดนอนเมื่อคืนนี้ แม้ว่าจะพยายามใช้น้ำแข็งประคบหลังจากตื่นนอนเมื่อเช้าแล้วก็ตาม.......แต่ดูเหมือนมันจะช่วยได้เพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น..........

                แน่นอนว่าตอนนี้ผมได้เล่าถึงความชั่วร้ายที่นัทได้ทำกับผมครั้งล่าสุดให้อ้นฟังไปแล้วอย่างหมดเปลือก.........หล่อนมีสีหน้าไม่ค่อยสบายใจนักในตอนแรกที่ได้ยิน.......แต่สุดท้ายหล่อนก็ยังคงลงความเห็นว่าผมควรจะอดทนกับพฤติกรรมดังกล่าวต่อไปก่อนอีกสักระยะ............

               “พี่คงทนไม่ไหวอีกแล้วอ้น........ถึงทนต่อไปมันก็คงไม่มีอะไรดีขึ้นไปกว่านี้แล้วล่ะ”.........ผมฝืนทำน้ำเสียงให้ดูปลงตกเพื่อให้อ้นเห็นว่าผมทำใจได้แล้วจริงๆ.......ซึ่งอันที่จริงมันก็ควรจะเป็นอย่างนั้นมาตั้งนานแล้วล่ะ...........

                “เดี๋ยวเค้าก็โทรมาเองแหล่ะ........พี่กั้งใจเย็นๆก่อน”.............อ้นยังคงพยายามให้กำลังใจผมต่อไป......แม้ว่าน้ำเสียงของหล่อนในตอนนี้จะฟังดูแผ่วลงไปจากเดิมอยู่มากก็ตาม........

                “ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ก็ดีน่ะสิ”..........ผมพึมพำกับตัวเองเบาๆ................

               
                 ถึงจะเพิ่งมีปากเสียงกันไปเมื่อวาน แต่ผมก็รู้ว่านัทจะต้องโทรมา........เค้าต้องมาเชียงใหม่สุดสัปดาห์นี้เหมือนที่เคยทำแน่นอน.......และแม้ว่าตอนนี้ผมไม่ได้เหลือความหวังที่จะทำอะไรให้ดีขึ้นได้อีกแล้ว........แต่ถึงยังไง ผมก็ยังจะคงทำตามหน้าที่ที่ผมควรจะทำเหมือนเดิม.........ตราบใดที่เราสองคนยังไม่ได้เลิกกันอย่างเป็นทางการ........ผมจะทำกับข้าวให้เค้ากิน.........ผมจะไปรับเค้าที่สถานีขนส่ง และผมก็จะไปส่งเค้าที่แพร่........และผมจะบอกเลิกเค้าหลังจากที่ทำอะไรต่ออะไรที่กล่าวมาข้างต้นเสร็จสิ้นแล้ว..............
สุดสัปดาห์นี้ผมว่าจะทำลาบไก่ ต้มยำไก่ ผัดซีอิ้ว และก็สุกี้..........จะว่าไปแล้วผักกาดขาวที่ซื้อมามันก็ดูเยอะพอสมควร คงจะเหลือไว้ทำแกงจืดใส่เต้าหู้อ่อนได้อีก.........ว่าแต่ตอนนี้ยังขาดอะไรอีกบ้างนะที่ยังไม่ได้ซื้อ...........


                ระหว่างที่ผมกำลังนึกทบทวนรายการอาหารและวัตถุดิบที่ซื้ออยู่นั้น........เสียงโทรศัพท์ก็ดังลอดออกมาจากกระเป๋าสะพายที่ถูกวางทิ้งเอาไว้ในรถเข็น...........ผมลงมื้อคุ้ยเขี่ยข้าวของเพื่อควานหาโทรศัพท์อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกดรับ...........

                “ฮัลโหล.........อยู่ไหน”..........เสียงของนัทฟังดูกระดากอายอย่างเห็นได้ชัด..........ความน้อยใจจากเรื่องเมื่อวานแล่นเข้ามาในความรู้สึกของผมอย่างช่วยไม่ได้...........หึ.........ทำอะไรไปแล้ว ค่อยมาคิดได้ทีหลังเหรอ.........กี่ครั้งแล้วที่เป็นแบบนี้...........และกี่ครั้งแล้วที่ผมต้องให้อภัย..........รู้สึกเหมือนเค้าจะไม่เคยสำนึกเสียด้วยซ้ำ.........

                 “มาซื้อของที่ซุปเปอร์มาเก็ตไว้ทำกับข้าวสุดสัปดาห์นี้.......มีอะไรเหรอ”..............ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำน้ำเสียงให้เย็นชาเพื่อประชดประชันแต่อย่างใด..........หากแต่มันเป็นไปของมันเองโดยอัตโนมัติ...........

                  “พรุ่งนี้บ่ายมารับหน่อยสิ”...........ผมรู้สึดขัดๆกับน้ำเสียงที่พยายามเสแสร้งให้ดูร่าเริงของนัท จึงรีบตัดบทและวางสายไป..............เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย..........นี่ถ้าไม่ให้ผมไปรับก็คงไม่ทำมาเป็นพูดดีอย่างนี้หรอก..........ถ้าเค้าจะอดทนคบกับผมเพียงเพราะต้องการให้มีคนไปรับไปส่งแค่เดือนละครั้ง ผมว่าเค้าก็คงจะคิดตื้นเขินเกินไปแล้ว..........เค้าไม่น่าจะเป็นคนแบบนั้นหรอกน่า........เฮ้อ ไม่อยากจะคิด.........

                   “นัทว่าไง.........จะให้ไปรับเหรอ..........ค่อยๆคุยกันดีๆล่ะ”...........อ้นให้กำลังใจผมด้วยรอยยิ้มแสนหวาน............แต่ผมรู้สึกว่ากำลังผมยิ้มตอบหล่อนไปอย่างฝืดฝืนเต็มที...............



                  เมื่อคืนผมซักซ้อมคำพูดที่จะใช้เพื่อบอกเลิกนัทอยู่หลายรอบจนขึ้นใจ..............แต่จนบัดนี้แล้ว ผมเองก็ยังไม่รู้เลยว่าผมจะหาจังหวะตอนไหนที่จะเอ่ยมันออกมา..........แต่เดิมนัทเป็นเหมือนคนมีสัมผัสพิเศษ.........เค้าเหมือนจะรู้ทุกครั้งเวลาที่ผมตั้งใจอยากจะบอกเลิก.........และเค้าก็จะทำตัวดีไม่เปิดโอกาสให้ผมได้พูดในสิ่งที่ผมอยากจะพูดเลยสักครั้ง.........มันเหมือนเรื่องพวกนี้มันคาราคาซังมาเนิ่นนานจนเกินไปแล้ว...คราวนี้เค้าจะเอาตัวรอดไม่ได้อีก..........ผมจะพยายามคุยอย่างสันติ และผมจะไม่เหลือทางเลือกให้เค้าได้เลือกอีกต่อไป.........ทางเลือกสำหรับเค้าในตอนนี้มีเพียงทางเดียวคือ เราต้องเลิกกัน เท่านั้น..............



                  เมื่อผมมาถึงโรงพยาบาล นัทก็ก้าวขึ้นมานั่งบนรถพร้อมกับสีหน้าที่เงื่องหงอย.............หลังจากที่วางกระเป๋าไว้ที่เบาะหลังเรียบร้อยแล้ว เค้าก็กล่าวคทักทายผมเบาๆ แล้วเอนตัวพิงกับเบาอย่างช้าๆเหมือนคนเหนื่อยล้าเต็มที ก่อนจะเอียงหน้าออกไปทางนอกหน้าต่าง...........

                 “คราวนี้มาแปลกแฮะ”..........ผมแอบคิดอยู่ในใจ พลางคอยสังเกตดูกิริยาอาการที่ไม่เคยเป็นมาก่อนของนัทอยู่เงียบๆ..........

                 แปลกจริงๆ.........วันนี้นัทดูซึมเซาไม่พูดไม่จากับผมเลยสักคำ..........จะมาไม้ไหนกันอีกนะ...........เค้าแกล้งทำเป็นหลับตั้งแต่ขึ้นรถมาแล้ว...........เราจึงไม่ได้สนทนากันเลยสักคำ.........อีกอย่างผมก็ไม่ได้มีอารมณ์จะคุยด้วยนักหรอก..........ที่ทำอยู่ตอนนี้นี้ก็เพียงแต่ทำตามหน้าที่ที่กำลังจะจบสิ้นเท่านั้นแหล่ะ...........

                 เมื่อพิจารณาดูอีกที.........ใบหน้าของนัทวันนี้ช่างดูซึมเซาน่าสงสารจับใจ...........เค้ากอดอกแน่น หลับตาพริ้ม ทำสีหน้าเหมือนคนอมทุกข์..........ผมเหลือบไปเห็นแหวนที่ผมเคยซื้อให้เค้าเมื่อเดือนก่อนส่งประกายระยิบระยับอยู่ที่มือของนัท.............จำได้ว่าตอนนั้นเค้าใส่มันเอาไว้ที่นิ้วกลาง.........แต่ตอนนี้มันได้ย้ายมาอยู่ที่นิ้วนางตั้งแต่เมื่อไหร่แล้วก็ไม่รู้..........

                 “คิดเหรอว่าทำแบบนี้แล้วจะช่วยพ้นผิดได้”............ผมเผลอยิ้มเยาะออกมาอย่างเยือกเย็น..........ต้องยอมรับว่าการได้เห็นแหวนดังกล่าวอยู่ที่นิ้วนางของเค้า ทำให้หัวใจของผมอ่อนลงไปได้กว่าครึ่ง.........แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่ได้ทำให้ผมละทิ้งความตั้งใจเดิมที่เคยมีไปได้..........เอาไว้ให้เสร็จภารกิจก่อนเถอะ........บอกเลิกเค้าตอนขากลับมาส่งน่าจะเป็นการจากลาที่ลงตัวที่สุด........หวังว่า กว่าจะถึงวันนั้นผมคงไม่ใจอ่อนไปซะก่อนหรอกนะ............


หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 31-03-2008 15:35:31
อืม หวังว่าคงไม่ใจอ่อนไปซะก่อนนะคุณกั้ง
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 01-04-2008 12:54:42
วางแผนเลิกอย่างดี เฮ้อ

เลิกเป็นเลิกนะคุณกั้ง 
แต่เลิกแล้วก็จบเรื่องแล้วดิ  คนละปลายทาง

งั้น รอ ไปก่อนแล้วกัน  นัทตีหน้าเศร้าแบบนี้  สงสัยยังไม่ได้เลิกอีกป่าว
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 01-04-2008 12:58:01
ให้มันแน่เถอะคะคุณพี่

จากคุณน้อง....อิบุญมี :a1:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 01-04-2008 19:15:14
งานนี้ขอเดาว่าคุณกั้งใจอ่อนอีกตามเคย  :m14: :m14: :m14:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: nana ที่ 01-04-2008 19:28:32
 :เฮ้อ: :เฮ้อ:



    :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: kongkilmania ที่ 03-04-2008 11:55:06
 :เฮ้อ:  ทำไมเราอ่านแล้ว รู้สึกว่าคุณกั้งต้องใจอ่อนอีกหล่ะเนี่ย
เห็นนัทใส่แหวนที่นิ้วนาง กะทำหน้าตาซีดเซียว คุณกั้งก็ชักจะสงสารอีกแล้วสิ     :a6:
 :serius2:     :serius2:

 :m16:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Mp_qM ที่ 04-04-2008 13:12:11
มาต่อไวไวนะครับ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Mp_qM ที่ 11-04-2008 03:02:10
ก็ยังไม่มาเหมือนเดิม :oni1:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 11-04-2008 12:19:17
คุณพี่สาลี่เคอะ

มีคนเข้ามาทวงนิยายแล้วนะเคอะ

มาต่อด่วนคร่า  :laugh:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Mp_qM ที่ 11-04-2008 14:07:42
มาต่อได้แล้วครับ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Mp_qM ที่ 13-04-2008 18:11:31
ก็ยังไม่มา
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Mp_qM ที่ 16-04-2008 11:08:24
พี่ครับ  มาต่อได้แล้วน๊าาา

การต่อนิยายก็เป็นการทำบุญนะครับ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: kongkilmania ที่ 24-04-2008 10:09:17
คุณกั้งหายปายยย หนายยยย   :serius2:
เข้ามาดูหลายรอบแล้วนะเนี่ย  (แต่ไม่ได้เม้นท์   :m23:)
อย่ามัวแต่เดินทางสิจ๊ะ (วิ่งรอกระหว่าง อตก. กะ เสาวรีย์ใช่ป่ะ)   :laugh:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 24-04-2008 19:35:54
เข้ามากดบวกให้คุณน้อง Mp_qM

ค่าที่เข้ามาทวงนิยายแทนเจ้ อย่างสม่ำเสมอ

 o13
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 30-04-2008 10:53:57
 :กอด1:กลับมาแว๊วววววววว.........ขอโทษทีนะครับที่หายไปนาน พอดีมันเป็นช่วงสงกรานต์และก็ต่อท้ายด้วยลาพักร้อนอ่ะครับ........ยังไงก็ขอขอบคุณทุกคนที่ยังติดตามอย่างเหนียวแน่นทั้งๆที่เรื่องของผมก็งั้นๆแระ อิอิ......ครั้งหน้าก็คงอวสานแล้วสำหรับ คนละปลายทาง.......หากแต่จะจบแบบไหนต้องคอยติดตามกันเอาเองนะจ้ะ....คริคริ.....



...

                   “พี่กั้ง กินข้าวเสร็จแล้วเดี๋ยวไปส่งนัทที่ชมรมหน่อยสิ.......พอดีน้องๆที่ชมรมเค้าขอให้ไปช่วยทำงานหน่อยอ่ะ.........”

                       ยังไม่ทันได้พูดจาอะไรกันสักเท่าไหร่เลย พอมาถึงห้องไม่ทันไรนี่เค้าจะไปอีกแล้วเหรอ........ผมแอบนึกเคืองอยู่ในใจเงียบๆ แต่ยังคงพยายามวางสีหน้าให้ดูเป็นปรกติที่สุด........

ผมรวบช้อนส้อม แล้วลุกขึ้นเดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อหาน้ำดื่มแก้กระหาย..........ทำไมพักนี้ถึงได้รู้สึกคอแห้งบ่อยๆนะ.........

                    “ไปช่วยทำอะไรที่นั่นเหรอ”.........ผมถามโดยไม่หันหลังกลับไปมอง ในขณะที่นัทเองก็กำลังนั่งกินข้าวอยู่เหมือนไม่รู้ร้อนรู้หนาวที่โต๊ะตัวเดิมของเรา........มือของผมสั่นระริกขณะที่พยายามรินน้ำดื่มลงแก้วอย่างช้าๆ...........

                     “ก็ช่วยทำงานชมรมอ่ะ ช่วงนี้เค้ากำลังมีกิจกรรมกันพอดี”.........นัทพึมพำออกมาเบาๆ..........

                     ถ้าเค้าไม่ได้กำลังคิดจะทำอะไรเลวๆอยู่ ทำไมเค้าจะต้องทำน้ำเสียงเหมือนรู้สึกผิดแบบนั้นด้วยนะ........ผมยกแก้วน้ำขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด.......รู้สึกปวดร้าวไปทั่วลำคอ.........ห่าเอ๊ย.......ทำไมต้องรีบตระกรามกินขนาดนี้ด้วยวะ ผมก่นด่าตัวเองอยู่ในใจ.........

                     “แล้วจะให้พี่ไปรับหรือเปล่า”.........เสียงของผมดังแว่วมากระทบโสตประสาท รู้สึกเหมือนเสียงของใครบางคนที่ไม่คุ้นเคย.......มันทั้งแหบพร่า และก็เจือไปด้วยความรู้สึกขื่นขมอย่างสุดประมาณ........

                    .ถึงตอนนี้ ผมรู้สึกอย่างชัดเจนแล้วว่า นัทกำลังพยายามจะตีตัวออกห่างจากผมไปทีละน้อย.........แต่จะมาคิดได้ตอนนี้ก็สายเกินไปเสียแล้ว........ผมปล่อยให้เค้าดำเนินการตามแผนที่เค้าแอบวางเอาไว้ในใจมาตลอด ในขณะที่ผมได้แต่คอยเฝ้ามองและปลอบใจตัวเองว่า “ทุกอย่างอาจจะดีขึ้นในไม่ช้าขอเพียงแต่เรามีความอดทนอดกลั้น ถึงเค้าจะเอาแต่ใจตัวเองอยู่บ้าง แต่พื้นฐานเค้าก็เป็นคนมีจิตใจดี สักวันเค้าคงจะคิดได้เองว่ากำลังทำร้ายคนที่รักเค้าอย่างเลือดเย็น”..........

                    แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดแล้วว่า เค้าเจตนาจะทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลงไปเรื่อยๆ..........คนหนึ่งพยายามสร้าง........ในขณะที่อีกคนพยายามทำลาย.........คิดดูเอาเองแล้วกันว่าสร้างกับทำลาย........อย่างไหนมันจะทำได้ง่ายกว่ากัน..........

                   “ไม่ต้องหรอก..........เดี๋ยวนัทให้น้องเค้ามาส่ง”..............กึก.........ผมสะดุ้งเบาๆเมื่อรู้สึกตัวว่าเผลอวางแก้วกระแทกลงบนหลังตู้เย็นแรงจนเกินความจำเป็น.........

                    บรรยากาศภายในห้องกลับเริ่มเข้าสู่ความอึมครึม..........ผมเดินกลับมานั่งที่โต๊ะกินข้าวและลงมือเจียนมังคุดเงียบๆ..........เราสองคนนั่งประจันหน้ากัน หากแต่ทุกอย่างก็ยังคงดำเนินต่อไปตามปกติ.........นัทยังคงก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อไป..........ดูเหมือนว่าเค้าพยายามจะสงวนคำพูดเอาไว้ให้มากที่สุดเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเกิดเรื่องทะเลาะทุ่มเถียงกันตามมา...........

                   ผมแอบลอบมองดูเค้าเงียบๆ...........ความรู้สึกทั้งรักและเกลียดถาโถมเข้ามาเกาะกุมหัวใจอย่างไม่อาจต้านทาน........รู้สึกอ่อนแรงและก็อ่อนใจอย่างบอกไม่ถูก..........สิ่งที่อยากจะพูดก็ได้พูดได้บอกมาจนหมดสิ้นแล้ว..........ตอนนี้ผมไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้ว อยากจะทำอะไรก็เชิญ........ตอนขากลับไปส่งที่แพร่ ผมจะบอกเลิกกับเค้าให้มันจบๆกันไปเสียที..........ผมเหนื่อยมามากพอแล้ว........เหนื่อยที่เค้าจะเอายังไงก็ไม่เอาสักอย่าง........ยื้อไปยื้อมาอยู่ได้.........จะเลิกหรือไม่เลิก ก็น่าจะพูดไปให้มันจบๆกันไป........ในเมื่อผมก็ให้โอกาสพูดมาตั้งหลายครั้งหลายครา.........จะมามัวลังเลทำท่ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ทำไม........เค้าจะยื้อเวลาเอาไว้เพื่อทำร้ายจิตใจผมให้ความรู้สึกดีๆที่เคยมีให้มันหดหายไปทำไมกัน.......

                  “จะกลับมากี่โมง พี่จะได้ทำกับข้าวรอ”..........ผมนึกสะท้อนใจหลังจากสิ้นคำถามดังกล่าว.........ขนาดนี้แล้วยังจะไปห่วงใยใส่ใจเค้าทำไมอีกนะ........

                  “คงสักทุ่มสองทุ่มโน่นแหล่ะ....ไว้นัทจะโทรมาบอกอีกที”.......... ก็เป็นอันว่าตกลงตามนั้น..........ผมเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น........ไม่มีเหลาะแหละ..........ในเมื่อว่าจะทำอาหารก็จะทำ........เค้าบอกว่าจะมาเวลานั้น เค้าควรจะต้องมา..........



                    นัทเดินลับสายตาเข้าไปในตัวตึกอย่างช้าๆ...........ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ก่อนจะขับรถจากมาอย่างเดียวดาย..........มีใครอยู่ที่ชมรมนั่นบ้างนะ..........ผู้หญิงหรือผู้ชาย..........ทำไมเค้าต้องเลือกที่จะไปทำงานที่ชมรมบ้าบอนั่น ทั้งๆเค้าเองก็จบมาจนจะเป็นเทอมอยู่แล้ว...........คนพวกนั้นสำคัญกว่าผมมากนักหรือยังไง.........ทั้งๆที่ความสัมพันธ์ของเราอยู่ในช่วงที่เปราะบางขนาดนี้  เค้าควรจะใช้เวลาที่มีอยู่ รื้อฟื้นวันคืนเก่าๆที่เราเคยดีต่อกันกลับมาอีกครั้ง มากกว่าที่จะไปเสียเวลากับเรื่องอื่นแบบนั้น...........หรือว่าเค้าจะไม่รู้จักจัดอันดับความสำคัญว่าอันไหนควรมาก่อนมาหลัง.........หรือว่านี่อาจจะเป็นสิ่งที่เค้าจัดอันดับมันเอาไว้แล้วก็ได้........และผมก็อยู่ในอันดับหลัง.........

                   
                  หลังจากงีบหลับไปได้ครู่ใหญ่ๆ ผมก็ยันกายขึ้นมาจากเตียงนอนอย่างอ่อนล้า.............เหลือบไปมองนาฬิกาบอกเวลาห้าโมงเย็น จึงรีบกุลีกุจอลุกขึ้นมาทำกับข้าว..............ถ้านัทกลับมาเร็วเดี๋ยวจะทำไม่ทัน..........

                  การได้ทำกับข้าวให้กับคนที่เรารัก มันคือความสุขอย่างหนึ่ง.........เมื่อก่อนนั้นเราสองคนเคยช่วยกันทำกับข้าวเสมอๆ.........หรืออย่างน้อยๆที่สุด ระหว่างที่ผมทำกับข้าว เค้าก็จะมาคอยเลียบๆเคียงๆ ลุ้นอยู่ข้างๆ.........แต่เย็นนี้ผมต้องทำกับข้าวคนเดียว.......กับข้าวที่ต้องทำเพราะเป็นหน้าที่ รสชาติของมันคงจะจืดชืดไม่คุ้นลิ้นเหมือนเคย.........

                  ไม่นาน.....สำรับก็ถูกนำมาวางเอาไว้บนโต๊ะอย่างเรียบร้อยหมดจด........ผมบรรจงจัดวางทุกอย่างให้ดูดีอย่างที่เคยทำมาเสมอๆ.......ตอนนี้หกโมงนิดๆแล้ว ถ้าได้อาบน้ำล้างเหงื่อไคลให้สดชื่นขึ้นมาบ้าง ก็คงจะดีไม่น้อย.........พอนัทมาถึง เดี๋ยวก็คงโทรเรียกเองแหล่ะ.......



                   ผมกดรีโมททีวีเพื่อเปลี่ยนช่องอย่างเลื่อนลอย...........ในใจนึกพะวงถึงกับข้าวที่กำลังเย็นชืดลงอย่างทีละน้อย.........จะสามทุ่มอยู่แล้วยังไม่มีวี่แววของนัทเลย..........ผมพยายามแข็งใจที่จะไม่โทรไปตามจิกเค้า........เค้าควรจะรู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควร.........ถ้าเค้าคิดเองเป็น เค้าจะต้องเป็นฝ่ายโทรมา.........ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจประเดประดังเข้ามาจากทั่วทุกสารทิศ...........ยิ่งมองเห็นกับข้าวที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ ยิ่งทำให้ผมรู้สึกสะท้อนสะท้านหัวใจจนสุดจะทน...........ภาพวันคืนเก่าๆของเราสองคนหมุนเวียนย้อนกลับเข้ามาในห้วงคำนึงของผมอีกครั้ง.........เราเคยรักกัน........เราเคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา............ผมรักเค้ามากแค่ไหนเค้าย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ...........ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังจะไปได้ด้วยดีแท้ๆ ไม่น่าเชื่อเลยว่าแค่เค้าจากไปอยู่ที่แพร่ได้ไม่กี่เดือน เค้าสามารถเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้.........ผมพยายามยื้อทุกอย่างเอาไว้จนสุดกำลังแล้ว........ตอนนี้ผมเหนื่อยเหลือเกิน..........เค้ามีหัวใจบ้างหรือเปล่านะ.......ทำไมเค้าถึงได้ใจดำกับคนที่รักเค้าได้ถึงเพียงนี้...........ทำไม.............


                   เวลาแห่งการรอคอยผ่านไปอย่างเชื่องช้า.......ผมลุกไปเปิดตู้เย็น พยายามควานหาเหล้าที่เหลือจากการไปเที่ยวครั้งล่าสุดออกมา.............ผมต้องการแอลกอฮอล์มาดับความฟุ้งซ่านที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ...........ไม่อย่างนั้นผมจะต้องเป็นบ้าตายแน่ๆ..........กินเหล้าประชดชีวิตมันซะเลย สะใจดี.............

                   หลังจากที่เหล้าหยดสุดท้ายถูกกระดกผ่านลำคอลงไป..........ฤทธิ์ของมันก็ยังมีค่าแค่ทำให้ผมรู้สึกมึนๆเพียงเล็กน้อยเท่านั้น...........ตอนนี้ใกล้จะสี่ทุ่มแล้วนัทยังไม่ติดต่อมาเลย...........ความหวังของผมเริ่มลางเลือน.............ผมอยากจะเมาให้มากกว่านี้เพื่อจะได้นอนหลับไปเลยไม่ต้องมานอนคิดมาก..........ใช่..........ผมต้องออกไปหาแอลกอฮอล์มาดื่มแก้กลุ้มอีก..............กินให้เมามันไปเลย ช่างแม่ง.........


                  ผมเดินโซเซกลับมาที่ห้องพร้อมกับถุงเบียร์สามขวดในมือ..........ลงมือเปิดขวดแรกกระดกกินอย่างลืมตาย.........รู้สึกเปล่าเปลี่ยวและอัดอั้นจนอกแทบจะระเบิด.........รู้สึกอยากจะระบายกับใครสักคน........ผมจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดสายถึงเจ..........ไม่รู้สินะ.........ในเวลานี้ผมอยากคุยกับใครสักคนที่เห็นคุณค่าของผม........อย่างน้อยๆ เจ เค้าก็ยังแสดงออกมาว่ามีความห่วงใยและมีหวังในตัวผมอยู่นับตั้งแต่รู้ว่านัทย้ายจากไปแล้ว.........และผมก็ปกปิดเค้ามาโดยตลอดว่าเลิกกับนัทแล้ว.........ถึงตอนนี้ผมอยากจะระบายเรื่องราวของนัทกับเค้า แม้ว่าอาจจะเป็นการทำร้ายความรู้สึกของเค้าก็ตาม.........แต่การได้ทำร้ายใครซักคนในเวลานี้ คงจะช่วยทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง.........แม้ว่ามันจะไม่ยุติธรรมกับเค้าก็ช่างมันเถอะ...........

                   “พี่กั้ง.......ยังไม่นอนอีกเหรอ”........เสียงเจทักกลับมาตามสายอย่างอารมณ์ดี

                       “ยัง.......พี่นอนไม่หลับ”........ผมกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคออย่างยากเย็น........

                    “เป็นไรไปล่ะ”.......น้ำเสียงแสดงถึงความห่วงใยจากปลายสาย ทำให้ผมรู้สึกเต็มตื้นขึ้นมาในทันทีจนบ่อน้ำตาพังทะลายลงไปในที่สุด........แม้เค้าจะไม่ใช่คนที่ผมต้องการ แต่ในเวลานี้ผมอยากได้ใครสักคนที่ห่วงใยและรับฟัง..........

                     “เจ.........พี่ทนไม่ไหวแล้ว.........ฮือ ฮือๆๆๆๆๆๆ”...........ผมปล่อยโฮออกมาราวกับเด็กๆ.....เจดูมีท่าทีตกใจเล็กน้อย..........ในขณะที่ผมพยายามควบคุมสติและลำดับเรื่องราวต่างๆให้เค้าฟัง.........แน่ล่ะ แม้ว่าผมจะร้องไห้จนขาดสติ แต่ผมก็ไม่โง่พอที่จะคายความลับออกไปทั้งหมด.........แต่ถึงอย่างไร ตอนนี้เจก็คงได้รู้แล้วว่า ผมไม่ได้เลิกกับนัทอย่างที่เคยได้พูดเอาไว้........

                   ผมร้องไห้และก็พล่ามเรื่องไร้สาระให้เจฟังอยู่นานร่วมชั่วโมง จนสติเริ่มกลับคืนมาอีกครั้ง.........ขอบตาของผมบวมเป่งเพราะผ่านการร้องไห้มายาวนาน.........

                  “พี่กั้งไม่ต้องคิดมากนะ.........ไม่ต้องกินเหล้าอีกนะ และก็ไปนอนได้แล้ว.........ถึงใครจะเป็นยังไงก็ช่างเค้า......เราต้องรักตัวเองให้มากๆนะรู้มั้ย”.......เจกำชับก่อนจะวางสายไปเมื่อเห็นว่าผมค่อยยังชั่วขึ้นแล้ว.........

                   ผมถอนหายใจอย่างแรงและพยายามเรียกสติทั้งหมดกลับคืนมาอีกครั้ง..........ได้ร้องไห้ไปแล้วค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย.........ลึกๆในใจนั้นเป็นกังวลเล็กน้อยว่าเจคงจะเคืองที่ผมเคยโกหกเค้าเอาไว้.........แต่ก็ช่างมันเถอะ ตอนนี้รับมือกับปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อนดีกว่า.........เรื่องอื่นเอาไว้ค่อยว่ากันอีกที..........

                   ตื๊ดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ.........เสียงโทรศัพท์ดังปลุกผมให้ตื่นจากภวังค์........ผมหันกลับไปดู ก่อนจะหยิบมันขึ้นมาอย่างช้าๆ..........เป็นนัทนั่นเอง..........เค้ามักจะโทรมาหลังจากที่ผมได้ผ่านความเสียใจไปแล้วเสมอ.......มันคงสายไปเสียแล้ว เพราะตอนนี้ผมเหลือเพียงความรู้สึกที่ว่างเปล่า...........คนที่ชื่อนัทได้ตายไปจากหัวใจผมสิ้นแล้ว........ไม่ว่าจะยังไงผมก็จะไม่มีวันใจอ่อนอีกครั้ง............

                   ผมรวบรวมสติให้กลับคืนมาและกดรับโทรศัพท์ พร้อมทั้งพยายามระงับน้ำเสียงให้ฟังดูเป็นปกติอีกครั้ง...................
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: YO DEA ที่ 30-04-2008 10:58:57
 :m1: :m1:

มาจิ้มๆๆ พร้อมให้กำลังใจ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 30-04-2008 12:42:04
 :เฮ้อ: สิ้นสุดกันที  :o12: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 30-04-2008 21:10:06
ดีใจจังที่จะเลิกกันซะที :a11:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 01-05-2008 04:16:07
 :mc4: :mc4: :mc4:

นี้คือคำตอบของน้องนะเคอะคุณพี่

อิอิ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: thopia ที่ 02-05-2008 02:27:31
เราพึ่งเคยมาอ่านค่ะ เลยอ่านรวดเดียวจบเลย
รู้สึกแย่กับนัทแทนจริงๆค่ะ โดยเฉพาะนิสัย วู้ววว โว้วววว เนี่ยเกลียดมากจริงๆ  :angry2:
แล้วที่อ่านมาเรารู้สึกว่าอย่างคุณกั้งน่าจะหาได้ดีกว่านี้จริงๆ
ดีแล้วล่ะที่จะตัดสินใจเลิกจริงๆ(ย้ำจริงๆนะคะ)เพราะขืนคบต่อไปมีแต่เสียเปรียบ  o13
เหมือนเป็นของตายที่เราจะทำกับมันยังไงก็ได้
เราจะขอเป็นกำลังใจให้แล้วกันค่ะ ดำเนินชีวิตต่อไปแล้วหาคนที่ดีกว่ามาเย้ยเล่นเลย
สู้ๆนะคะ  o13
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 02-05-2008 09:53:11
ขอบคุณนะครับสำหรับทุกกำลังใจ........บางทีเค้าอาจจะมีเหตุผลส่วนตัวที่ผมไม่รู้ก็ได้เนอะ.......ยังไงเรื่องมันก็ผ่านไปแล้วก็ถือว่า อโหสิกรรมกันไป ชาติหน้าจะได้ไม่ต้องมาพบเจอกันอีก.......... :bye2:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 02-05-2008 13:06:56
เศร้าได้ใจ  แงแง

รออ่านต่อๆ  นะพี่กั้ง  สู้ๆ เค้าก็อาจจะมีเหตุผลของเค้า  เราก็มีเหตุผลของเรา 
ยังคงเศร้าได้อีก
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: kongkilmania ที่ 03-05-2008 12:28:27
 :L2: เป็นกำลังใจให้คุณกั้งเหมือนเดิม
รออ่านอยู่นะ ว่าคุณกั้งจะบอกเลิกนัทยังไง   o12
คงไม่ได้บอกช้าเกินไป จนกลายเป็นว่าเค้ามาบอกเลิกเราก่อน เพราะไปมีใหม่หรอกนะ   :o
เพราะแค่นี้ก็เกลียดนัทจะตายอยู่แล้ว   :เตะ1: ขออีกซักทีก่อนจากนะนัท
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 04-05-2008 00:37:02
อ่านเรื่องนี้แล้ว บอกเลยว่าเหนื่อยและเครียดไปกับคุณกั้งด้วย

สนุกมากนะ  เราได้อะไรหลายๆอย่างจากเรื่องนี้

 ฝากด้วยนะ :เตะ1: :เตะ1: :เตะ1:



หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: MeepadA ที่ 04-05-2008 00:46:06

เลิกกันเสียทีก้อดี  อยู่ไปก้อมีแต่ช้ำใจเปล่าๆ

เป็นกำลังใจให้นะครับ  ขอให้มีความสุขมากๆ   :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Mp_qM ที่ 04-05-2008 11:59:39
อ๊า  มาต่อไวไวนะคร๊าบบบบบบบบบบบ

จาจบแล้วนี่นา
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: kongkilmania ที่ 06-05-2008 11:24:01
 :serius2:  คุณกั้งหายไปไหน (อีกแล้ว)

 :m32:  แอบมายกเค้าซะเลย   :laugh:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: FC_PAN ที่ 09-05-2008 09:47:25
มาให้กำลังใจคุณกั้ง   :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: kongkilmania ที่ 13-05-2008 11:41:29
หายไปนานแล้วนะ    o7  คุณกั้งกลับมาเหอะ

แฟนคลับให้อภัยแล้ว    :oni2:

 :laugh:  รีบหนีก่อน   :oni1:  เด๋วโดนตื๊บ....
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 13-05-2008 19:52:28
ยังไม่มาต่ออีกเหรอ

หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: kongkilmania ที่ 20-05-2008 15:29:32
 :m23: มาตามทุกวันอังคาร
ถ้าอังคารหน้ายังต้องมาตามเพราะไร้วี่แววคุณกั้ง จะทำไงดีเนี่ย    :a6:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 20-05-2008 17:20:27
คนเขียนเรื่องหายศีรษะไปไหนน้อ

เด๋วไปตามมาก่อน อิอิ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: jeep89 ที่ 22-05-2008 17:02:19
ยู้หู้!!!คนแต่งอยู่หน่ายมาต่อด่วนเลยนะค่า
คนอ่านคิดถึง... :m22:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 22-05-2008 21:32:49
เด๋ว พรุ่งนี้ เจ้ถามให้  รับรองว่าจะด่าแทนน้องๆ ทุกคนเลย

ชิส์  เด๋วจะมอมเหล้าให้เข็ด
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 23-05-2008 16:40:56
อิเจ้ จะมอมเหล้าพี่กั้งแล้วตีฉิ่งหรอจ๊ะ  :laugh: :laugh: กรี๊ดดดดดดดดดดดดด รีบวิ่งออกไป  :oni1: :oni1: ก่อนโดนบาทาเจ้




เป็นกำลังใจให้จ้า  :a2: สู้ๆ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 24-05-2008 13:36:57
เข้ามาตอบคำถามคาใจคร่า

พี่กั๊งบอกว่า..."อ้าว! ฉันนึกว่าเล้าฯ ปิดตัวไปแล้ว  เอ๊ะ! ยังเปิดอยู่หรอกเรอะ  ไม่ยักกะรู้"


me//  :sad2:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 24-05-2008 14:39:33
 :m23: :m23: :m23: :m4: :m4: :m4: :m4:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: kongkilmania ที่ 26-05-2008 15:03:21
 :o 
 :m30:
คุณกั้งงงงงง    :serius2:
ป๊าดโธ่  อ้ายเราก็นึกว่างานยุ่ง หรือไม่ก็หลงทางอยู่แถวอตก    :laugh:
ถ้าเจ๊สองไม่ไปตาม ก็คงไม่ได้เข้าเล้าถาวรเลยมั๊งเนี่ย    :m20:
รีบกลับเข้าเล้าด่วนๆๆ   :seng2ped:
ลูกเป็ดทั้งหลายรออยู่    :oni2:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 27-05-2008 01:39:01
กรรมเวร บอกคุณกั้งมาต่อเถอะ ใกล้จะจบแล้วนิ  :a1: :a1: :a1:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: kongkilmania ที่ 31-05-2008 12:28:24
 :m23: ถ้าจะรบกวนเจ๊สองไปตามคุณกั้งกลับมาทีได้ไม๊เคอะ
 :L2: เอาดอกไม้มาให้คุณเจ๊ด้วย
ถือว่ารับปากแล้วเนาะ  :laugh: มัดมือชกซะเลย
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 31-05-2008 20:03:47
มาแว้วววววว................ต้องขออภัยที่ด่วนสรุปเอาเองว่าบอร์ดปิดไปแร้ว...........ต้องขอบคุณอิน้องบุญมี (เจ๊สองของทุกคน) ที่อุตส่าห์ไขข้อข้องใจให้ทราบ ไม่งั้น คนละปลายทาง คงจบแบบค้างๆคา..........สำหรับตอนนี้ก็เป็นตอนรองสุดท้าย.........ครั้งหน้ารับรองจบแน่นอนครับ..........have fun na ja



                 ให้ตายสิ.........หลังจากที่ผมผ่านได้ช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดไปแล้ว โดยการโทรศัพท์ไปร้องไห้คร่ำครวญกับคนอื่นเป็นวรรคเป็นเวร จนน้ำตาหยาดสุดท้ายแห้งเหือดไป.......สุดท้ายนัทก็เพิ่งจะมาคิดได้ว่ามีคนคนหนึ่งกำลังรอคอยเค้าอยู่ด้วยความเป็นทุกข์ใจ......ให้มันได้อย่างนี้สิ....

                 “ฮัลโหล”........ผมรับสายด้วยน้ำเสียงที่เหนื่อยอ่อนเจือกลิ่นแอกอฮอล์จางๆ พลางเหลือบตาไปมองที่กับข้าวบนโต๊ะซึ่งถูกวางทิ้งเอาไว้จนเย็นชืดน่ารังเกียจ..........

                 “พี่กั้ง.......คืนนี้นัทจะนอนที่ชมรมนะ ไม่ต้องรอ”...........ผมขบริมฝีปากเบาๆอย่างขมขื่น.........ป่วยการที่จะต่อว่าหรือทวงถามถึงความห่วงใยจากคนแบบเค้า.........

                 “อือ”.............ถ้าไม่ต้องกลับมาเลยคงจะดีมาก ผมจะได้ตื่นจากฝันร้ายนี่ซะที............แต่กระเป๋าของเค้าก็ยังถูกทิ้งเอาไว้ที่นี่........ถ้างั้นก็คงช่วยไม่ได้สินะ.........

                 “พี่กั้งกำลังกินเหล้าอยู่เหรอ”..........นัทยังทำเป็นเสียงใสไม่รู้ไม่ชี้...........ผมละเกลียดจริงๆ...........อันที่จริงเค้าก็เป็นแบบนี้มาตลอดนั่นแหล่ะ.........ขี้ขลาดจนเกินกว่าที่จะกล้าพูดอะไรออกมาตรงๆ........ผมอยากตะโกนใส่หน้าเค้าเหลือเกินว่า “โตเป็นผู้ใหญ่ซะที รู้จักรับผิดชอบซะมั่ง”.........

                 “อือ.........แล้วพรุ่งนี้จะให้ไปรับหรือเปล่า”........ผมกลั้นใจถามออกไปทั้งที่ใจนั้นเหนื่อยหน่ายเต็มประดา..........

                 “เอาไว้จะโทรมาบอกอีกทีละกัน”...........

                 
                 หลังจากที่พูดคุยกันอีกสองสามคำ นัทก็วางสายไป.........จึงผมกลับเข้ามาอยู่กับความเงียบเพียงลำพังอีกครั้งหนึ่ง............ในใจคิดจินตนาการไปร้อยแปด...........เค้ากำลังทำอะไรอยู่กับใครนะ...........ก็ไม่ได้หึงหวงหรอกนะ.........แค่อยากรู้อยากเห็นเฉกเช่นมนุษย์เดินดินคนหนึ่งเท่านั้นแหล่ะ.........

                 นาทีนี้ผมเปรียบเสมือนคนที่เพิ่งก้าวผ่านความยากลำบากนานัปการก่อนที่จะเข้าสู่การตรัสรู้..........และตอนนี้ผมก็สัมผัสกับความรู้สึกของการตรัสรู้นั้นแล้ว........ความรู้สึกของผมจึงว่างเปล่า ไม่ทุกข์และไม่สุข.........การตรัสรู้รูนั้นมีหลายระดับ.......เพียงแค่การ get ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งท่านก็ว่าเป็นการตรัสรู้........ถึงแม้จะเปรียบไม่ได้กับการตรัสรู้อันยิ่งใหญ่ของพระพุทธองค์ก็ตามที........แต่ผมก็ตรัสรู้หรือได้รู้แจ้งในเรื่องๆหนึ่ง.........ผมรู้แจ้งแล้วว่าการอยู่กับคนๆนี้รังแต่จะนำมาซึ่งความทุกข์ เมื่อเหตุแห่งทุกข์เกิดขึ้นที่ใด ก็ต้องดับที่ตัวเหตุนั้น..........ความห่วงหาอาลัยที่ผมเคยมีต่อเค้าจึงมลายหายสิ้นไปเหลือเพียงความว่างเปล่า...........นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าผมได้หลุดพ้นจากพันธนาการของตัวเองจากนัทแล้วจริงๆ.............



                  แม้ว่าจะผ่านการตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิตไปแล้ว….แต่ควันหลงของความรู้สึกอันแสนเจ็บปวดนั้นก็ยังคงลอยกรุ่นอบอวลอยู่ภายในห้วงคำนึง...........ผมจึงตื่นขึ้นมาในตอนเช้าของวันใหม่อย่างอ่อนเพลีย.........หน้าที่ที่เหลืออยู่ในช่วงสุดท้ายนี้ก็คือการส่งเค้ากลับไปให้ถึงฝั่งอย่างปลอดภัย..........ไม่มีคำต่อว่าและไม่มีคำชี้แจงซ้ำซากที่ได้เคยพูดไปแล้ว.........จบก็คือจบ..........นั่นล่ะคือสิ่งที่ผมได้เตรียมเอาไว้คอยต้อนรับนัทในเช้าวันนี้.......

                  ผมลงมือทำกับข้าวครั้งสุดท้ายอย่างบรรจง...........ของที่นัทเคยชอบ..........เค้าจะกินหรือไม่กินมันก็เรื่องของเค้า........ผมแค่อยากจะทำเป็นครั้งสุดท้ายเพราะไม่ชอบให้อะไรต่ออะไรจบลงแบบไม่สวย................

                 หลังจากที่ทำกับข้าวเสร็จแล้วผมจึงอาบน้ำและแต่งตัวอย่างใจเย็น...............เก็บกวาดของทุกอย่างที่เป็นของนัทใส่กระเป๋าคืนไปให้หมด.........เค้าคงพอจะเดาออกอยู่หรอกมั้งว่าเค้าจะเจอกับอะไรในวันนี้.......ก็เค้าไม่ได้โง่นี่.........อุตส่าห์ร่ำเรียนจนได้เป็นหมอเป็นหมากับเค้าทั้งคน........เรื่องแค่นี้ชิวชิว.......

                 “พี่กั้งมารับที่ชมรมหน่อยสิ”...........ผมเหลือบไปมองนาฬิกาบอกเวลาสิบโมง........กับข้าวเริ่มเย็นชืดอีกครั้งเหมือนความรักของเราที่เย็นชืดพอๆกัน............สายขนาดนี้เค้าคงกินข้าวมาแล้ว

                  ผมฉวยกุญแจรถเดินลงลิฟท์ไป............แม้จะปลอดโปร่งใจกว่าเมื่อคืนแต่ลึกๆก็ยังรู้สึกว่ามีอะไรกวนใจอยู่หน่อยๆ............คงเป็นเพราะระหว่างเรามันยังไม่ปิดฉากลงซะทีนั่นเอง..........ผมมักเป็นคนใจร้อนเสมอ....... ถ้าอยากทำอะไรต้องทำเดี๋ยวนั้น...........ถ้าจะเลิกก็ต้องเลิกเดี๋ยวนั้น.........แต่ในความเป็นจริงแล้วก็จะยากที่จะให้อะไรต่ออะไรมันเป็นไปอย่างที่ใจเราต้องการ.........ผมอาจจะพูดเค้าแบบง่ายๆว่า “เฮ้ นี่แนะนัท........พี่อยากจะเลิกกับเธอ.......เก็บข้าวๆของๆเธอและก็รีบไปจากชีวิตพี่ซะ”......อิอิ......คงแสบสันต์น่าดูเนอะ........อย่างน้อยๆเค้าเป็นคนที่ผมเคยรัก และเค้าก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ทำอะไรก็ควรจะให้เกีรยติเค้าบ้างสิจริงมั้ย (ถึงเค้าจะเคยทำกับผมเอาไว้มากมายกว่านี้ก็เถอะ).........

                  “พี่กั้งมีรูปนัทได้ไง เฮอะๆ”..........นัททักเมื่อเห็นผมเปิดกระเป๋าสตางค์เพื่อหยิบคีย์การ์ดเข้าประตูหอพัก.......

                  “พี่เคยขอนัทแล้ว นัทก็บอกเองว่าให้พี่จำไม่ได้เหรอ”.........ผมถามเพื่อฟื้นความจำให้นัท........รูปถ่ายชุดครุยติดใบทรานสคริปต์ของนัทใบนี้ผมเคยได้มาเมื่อนานมาแล้ว........รวมทั้งได้เอาไปอวดที่บ้านอย่างภูมิอกภูมิใจว่ามีแฟนเป็นหมอเป็นหมาซะด้วย มันเป็นการพยายามลบปมอย่างหนึ่งที่ผมต้องการพิสูจน์ให้คนในครอบครัวเห็นว่า ถึงผมจะเป็นเกย์แต่ผมก็จะทำตัวเยี่ยงกุลเกย์ที่ดี มีแฟนที่ดีไม่ส่ำสอนมั่วกามา แต่สุดท้ายก็ไปไม่รอด เฮ้อเวรกรรมแท้ๆ........ผมเคยเล่าให้นัทฟังแล้วแต่เค้าคงลืม........กระทั่งตัวผมเองยังลืมว่ามีรูปเค้าอยู่ในกระเป๋าตอนนี้.........

                  “เฮ้ย นัทไม่เคยให้.........ขอคืนนะ”.........นัทหยิบเอากระเป๋าสตางค์ไปจากมือผมพร้อมกับควักเอารูปใบนั้นออกมา........ทำยังกะผมจะเอารูปของเค้าไปทำไม่ดีไม่ร้ายงั้นแหล่ะ........อันที่จริงผมมีรูปของนัทในแลปทอปก็ตั้งพะเรอ......บางส่วน เค้าเป็นคนเอามาให้ผมเองด้วยซ้ำ..........อยากจะเอาคืนก็เอาไปเลย.......เดี๋ยวจะลบรูปในแลปทอปให้หมดเลยคอยดู ผมแอบเเช่งชักในใจ...........



                  “กับข้าวเยอะแยะเลย........ห่อไปกินด้วยได้มั้ย”..........นัททำท่าทางตื่นเต้นเมื่อเห็นกับข้าวถูกวางไว้บนโต๊ะอย่างซังกะตาย...........

                   “เอาสิ” ผมตอบแบบเนือยๆไม่ได้กะลีกุจอทำตามที่เค้าต้องการ..........ถ้าอยากจะงกกินนักละก็ ห่อใส่กล่องไปเองก็แล้วกัน...........

                   เมื่อเห็นว่าผมไม่ได้มีท่าทีตอบสนองตามที่เค้าต้องการ นัทจึงเพียงแต่ กินนั่นคำนี่คำแล้วเลี่ยงไปอาบน้ำแต่งตัว.........ผมไม่รู้ว่าเค้าคิดอะไรอยู่...........แต่ที่แน่ๆผมปฏิบัติต่อเค้าอย่างเฉยชาไม่มีเยื่อใย..........ก็มันสมควรที่จะเป็นแบบนี้แล้วไม่ใช่เหรอ............


                   คุณเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับวัวที่กำลังจะโดนเอาไปเชือดที่โรงฆ่าสัตว์มั้ยล่ะ...........แม้ไม่มีใครบอกมันว่ามันกำลังจะถูกนำไปฆ่า.........แต่มันก็สามารถรับรู้ได้เองโดยสัญชาตญาณ.......มันจึงได้พยายามดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดจากเงื้อมมือมัจจุราช ทั้ง ดิ้นรนตะเกียกตะกายและกรีดร้องอย่างน่าเวทนา.........นัทเองก็คงไม่ต่างจากวัวตัวนั้น..........หากแต่เค้าพยายามใจดีสู้เสือและเก็บซ่อนมันเอาไว้ข้างในเท่านั้น.......
นัทชวนผมคุยนั้นคุยนี่อย่างร่าเริงผิดปกติมาตลอดทาง...........ผมฟังบ้างไม่ฟังบ้างตามแต่ช่วงไหนจะเรียกสติกลับมาจากภวังค์ได้ทัน........ลึกๆลงไปในแววตาของนัทมีความหวาดหวั่นปรากฏอยู่.......เค้าคงกำลังรอฟังว่าผมจะพูดอะไรออกมา............แต่ผมจังไม่พูด ปล่อยให้เค้าทรมานรอคอยนาทีแห่งการประหารต่อไป...........เอาไว้พูดตอนใกล้จะถึงแพร่ดีกว่า........ขืนพูดตั้งแต่ขึ้นรถมา มีหวังได้นั่งอึดอัดไปนานนับชั่วโมงแน่ๆ..........

                  “พี่กั้งแวะให้นัทซื้อของที่บิ๊กซีก่อนได้มั้ย”........นัทเอ่ยปากขึ้นมาเมื่อเรากำลังเข้าเขตลำปาง.......ดูเค้ารีแลกซ์มาขึ้นกว่าเดิมหลังจากที่เรานั่งรถมาร่วมชั่วโมง และผมก็ไม่ได้เอื้อนเอ่ยคำต่อว่าใดๆออกมาเหมือนเคย นอกจากทำหน้าตาเฉยๆไม่รู้ร้อนหนาว............คงกำลังจะคิดว่าตัวเองจะรอดแล้วมั้ง.......อิอิ.........


                  ผมเดินเข็นตามหลังให้นัทเลือกซื้อของ..........เค้าชี้ชวนผมให้ดูนั่นนี่อย่างออกนอกหน้า..........ผมแอบมองด้วยความระอาใจอยู่เงียบๆแต่ไม่ได้พูดอะไร นอกจากพยักหน้าหรือพูดเออๆออๆไปตามเรื่องตามราว...........แน่ล่ะพฤติกรรมแบบนี้ไม่ใช่พฤติกรรมปกติที่นัทเคยทำ............ปกติหากเราสองคนได้มีโอกาสมาเดินชอบปิ้งแบบนี้ นัทจะต้องพยายามรักษาระยะห่างจากผมเสมอ.........ผิดกับคราวนี้.......ซึ่งไม่ต้องบอกก็คงพอจะรู้ว่าเพราะอะไร...........

                 
                   ทำไมเวลาแต่ละนาทีมันถึงได้ผ่านไปอย่างเชื่องช้าอย่างนี้นะ.........เมื่อก่อนผมเคยนึกอยากให้เวลาหมุนลงให้ช้ากว่านี้เวลาที่เราสองคนอยู่ด้วยกัน...........แต่ดูตอนนี้สิ ผมกลับคิดและรู้สึกไปในทางตรงกันข้าม.........ไม่น่าเชื่อว่าคนบางคนจะสามารถเปลี่ยนความรู้สึกได้ในแค่ชั่วข้ามคืน........มันไม่นาจะเป็นไปได้..........หากอธิบายโดยใช้ตรรกะแล้ว มันก็คงจะเป็นเพราะว่าผมทนมาจนเกินพอแล้วนั่นเอง..........เสมือนน้ำในอ่างที่น้ำดีคือความรัก ถูกแทนที่ด้วยน้ำเสียคือความไม่รักทีละน้อยๆ นานวันเข้าก็กลายเป็นน้ำเสียหรือความไม่รัก.........วันนี้คงเป็นน้ำเสียแก้วสุดท้ายที่ถูกเทลงมาแทนที่น้ำดีกระมัง............

                   
                    รถเคลื่อนออกจากลำปางมาได้ระยะหนึ่งหลังจากที่เราใช้เวลาซื้อของไปเกือบร่วมชั่วโมง .........อีกไม่ถึงชั่วโมงเราก็คงจะเข้าถึงแพร่.........ผมกำลังหาจังวะที่จะพูดในสิ่งที่อยากจะพูด.........แต่ดูเหมือนนัทจะไม่เปิดช่องให้ผมได้มีโอกาสพูดเลย..........จนในที่สุดโอกาสก็มาถึง เมื่อนัทหมดหัวข้อสนทนาลงชั่วขณะ.............บรรยากาศในรถเงียบและชวนให้รู้สึกอึดอัดอย่างน่าประหลาด..............

                   “นัท........พี่ว่าเราสองคนคงไปด้วยกันไม่ได้หรอก”...............แป่ว...........ผมพูดออกมาได้ในที่สุด.......นัทนิ่งเงียบไปจนดูน่าตกใจ............หวังว่าคราวนี้เค้าคงไม่บีบน้ำตาอีกแล้วนะ...........แต่ถึงบีบน้ำตายังไงผมก็ไม่มีวันใจอ่อนให้หรอก.............


หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 31-05-2008 21:25:10
กรีดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

ซาหลบ

ดีใจจนเม้นต์ไม่ออก


ปล.  “นัท........พี่ว่าเราสองคนคงไปด้วยกันไม่ได้หรอก”...............  ชนะเริ้ดดดดดดดดดดดดดดดด คะคุณพี่สาลี่  :laugh:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 31-05-2008 22:05:44
กรี๊ดดดดดดดดดดดดด ดีใจสุดขีด เมื่อได้ยินคำนี้  :m1: :m1:

เย้ เย๊ จุดประทัดฉลองชัยชนะ :mc4: :mc4:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 01-06-2008 09:04:33
 :mc4: :mc4: :mc4: มาต่อแล้ว  :m4: :m4: :m4:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 01-06-2008 18:22:14
โอวว  มาซะที  คำนี้ที่รอคอย กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดด (ช่วยชาวบ้านกรี๊ด)

ตอนหน้าตอนจบ  คงให้เลิกแน่เน้อ  รอมาทั้งเรื่องเลยคุณพี่ อิอิ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: kongkilmania ที่ 02-06-2008 13:53:00
 :m23: หลังจากทนอึดอัด เครียด จนผมหงอกไปหลายเส้น
ในที่สุดคุณกั้งก็เอ่ยคำนี้ที่เรารอคอยออกมาซักที    :เฮ้อ:
 :L1:
 :L1:



หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 02-06-2008 14:45:47
ดีใจที่คุณกั้ง ทำใจได้ซะที

เป็นลูกไล่ นัท มานานแล้ว

เป็นตัวของตัวเองซะทีนะ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 02-06-2008 14:58:49
มีแต่คนคิดว่าสมควรจะเลิกนานแล้ว.....มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองก็หลงโง่มาตั้งนานจริงๆนั่น
แหล่ะ........แต่อย่างว่าล่ะ ความรักมันทำให้คนเราตาบอดไปได้เสมอ.....ยังไงผมก็ยังคิดว่าความรักครั้งนี้เป็นบทเรียนที่ทำให้เราเข้าใจชีวิตและเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตในวันที่เหลืออยู่ได้ดีขึ้น......ถึงจะย้อนเวลากลับไปได้ ผมก็ยังยินดีและเต็มใจที่จะรับชะตากรรมแบบเดิมอีกครั้ง....แม้จะเจ็บแต่มันก็เป็นความทรงจำที่ยากจะลืมเลือนจริงๆ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: nana ที่ 02-06-2008 15:13:25
 :L2:มาให้กำลังใจ :L2:


 :a2: :a2: :a2:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: kongkilmania ที่ 04-06-2008 14:08:14
 :L2: มาเป็นกำลังใจให้คุณกั้ง
นี่ดีนะ ที่เรารู้อยู่แล้ว ว่าเรื่องมานเป็นอดีตไปแล้ว (ขนาดรู้ยังอินซ้า... o12)
ถ้าเป็นreality ชีวิตรักคุณกั้ง
รับรองลูกเป็ดทั้งหลาย อ่านไป   :m31: ไปแน่ๆเลย
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 04-06-2008 19:55:18
ฮิ้วววววว   :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4:
เลิกกันซะที   :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 06-06-2008 10:28:21
มาแว้ววววครับตอนจบของคนละปลายทาง.......ว่าแต่อิน้องบุญมีหายไปไหนเนี่ย.......คืนนี้จะไปร้านไหนช่วย confirm ด้วยนะจ้ะ........ว่าแล้วก็เปรี้ยวปาก แฮะๆ





                     ไม่เคยคิดเลยว่าวันที่ผมเคยหวาดกลัวมาตลอดจะเดินทางมาถึงเร็วขนาดนี้............ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมเพียรพยายามท่องคำว่าขันติเอาไว้ในใจอยู่เสมอ แต่ผมก็ต้องยอมพ่ายแพ้ให้กับความใจเสาะของตัวเองในที่สุด.........ช่วยไม่ได้นี่นะ เพราะถึงยังไงมนุษย์ก็ย่อมรักตัวเองมากกว่าสิ่งอื่นใดเสมอนั่นแหล่ะ เพราะฉะนั้นที่ผมเลือกที่จะเซฟตัวเอง ก็คงไม่เป็นเรื่องผิดแปลกจากมนุษย์สามัญทั่วไปแต่ประการใด........

                   นัทนิ่งอึ้งไปหลังจากที่ผมหลุดคำว่าเลิกออกไปเมื่อนาทีที่แล้ว........ผมนึกเสียใจอยู่นิดหนึ่งตรงที่เค้าไม่ได้ฟูมฟายออกมาอย่างที่ผมเคยคิดเอาไว้แต่แรก.......ถึงยังไง สีหน้าของเค้าก็ยังดูซีดเซียวจนเห็นได้ชัดอยู่ดี..........เมื่อไม่เห็นว่านัทจะพูดอะไรออกมา ผมจึงได้ทีร่ายต่อ.......

                   “ที่ผ่านมา สิ่งที่พี่อยากจะพูดพี่ก็ได้พูดกับนัทไปจนหมดแล้ว......ตอนนี้พี่ไม่เหลืออะไรที่จะพูดอีกแล้วนอกจากขอให้เราต่างฝ่ายต่างปลดปล่อยซึ่งกันและกัน”........

                   “นัทก็แล้วแต่พี่กั้ง....ถ้าพี่กั้งอยากจะเลิกนัทก็ไม่มีอะไรจะพูด”......นัทก้มหน้านิ่งเหมือนกำลังคิดใคร่ครวญอะไรบางอย่างอยู่ในใจ.......ผมไม่อยากจะรบกวนจิตใจของเค้ามากไปกว่านี้จึงนิ่งเงียบเสีย พลางทอดสายตาเหม่อมองออกไปนอกรถ........ป่าแถวนี้ดูแห้งแล้งจัง คงมีพืชไม่ถึงร้อยชนิด มองเผินๆเหมือนจะมีแต่ต้นยูคาลิปตัสยืนตายซากชวนให้ขนลุก.......

                   “พี่กั้งจะเอาแหวนคืนมั้ย”.........นัทฝืนทำน้ำเสียงให้ดูเป็นปกติ พลางลูบก้มหน้าลูบคลำแหวนที่ผมเคยให้ และดึงเข้าดึงออกอย่างเหม่อลอย.........

                   “ไม่.........ถ้านัทอยากจะเก็บไว้ก็ได้.......หรือถ้าจะทิ้งไปพี่ก็ไม่ว่า”..........ผมแอบยิ้มเยาะด้วยความสาและสะแก่ใจยิ่งนัก.......การได้มีโอกาสเอาคืนมันหฤหรรษ์อย่างนี้นี่เอง........


                    นัทสวมแหวนกลับเข้าที่เช่นเดิม บรรยากาศในรถกลับคืนสู่ความเงียบอีกครั้งหนึ่ง.........นัทคงไม่ทันได้ตั้งตัวว่าจะถูกผมจู่โจมบอกเลิกเอาในตอนท้ายของการเดินทางเช่นนี้.......ในที่สุดเค้าก็เอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมาอีกครั้ง

                        “นัทจะเก็บมันเอาไว้........” เค้าพำพัมออกมาเบาๆ ก่อนจะพูดต่อด้วยรอยยิ้มเศร้าๆ

                        “นึกว่าพี่กั้งจะบอกเลิกตั้งแต่ตอนขึ้นรถจากเชียงใหม่ซะอีก........ไม่คิดเลยว่าจะมาบอกเอาตอนท้ายแบบนี้”........ผมหันไปยิ้มเย็นๆ แต่ไม่ได้โต้ตอบอะไรออกไป......ตอนนี้ผมรู้สึกนิ่งและเป็นอิสระอย่างแท้จริง.......

                    “พี่กั้งมีคนอื่นเหรอ”....นัทถามออกมาด้วยความลังเลใจ.........เค้าน่าจะรู้จักผมดี.....คนอย่างผมไม่ทำเรื่องที่ทำลายศักดิ์ศรีตัวเองแบบนั้นหรอก.......ไม่ใช่เพราะว่าผมรักเค้ามาก......หากแต่ผมรักในศักดิ์ศรีตัวเองมากกว่า........

                   “ไม่.....พี่ไม่ได้มีใคร”......ผมตอบเสียงเรียบ พยายามสงวนถ้อยคำเอาไว้ให้มากที่สุด.......

                   “ถ้านัทโทรไปหาพี่กั้ง พี่กั้งจะรับโทรศัพท์นัทมั้ย”.........ความโมโหของผมพุ่งปริ้ดขึ้นมาแวบหนึ่งก่อนที่จะจางหายไปแทบจะในทันที............คนเรานี่ก็แปลก ครั้งที่เราเคยเรียกร้องจะให้โทรมาหากลับไม่ใส่ใจใยดี.......ครั้นหมดโอกาสนั้นแล้วกลับมาสำนึกได้ในภายหลัง เข้าตำราที่ว่าไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา.........

                    “ถ้าพี่ว่างพี่ก็รับ ถ้าไม่ว่างพี่ก็คงไม่ได้คุย”........ผมบอกนัทไปตามความรู้สึกจากใจจริง.......ตอนนี้สถานะระหว่างเราได้เปลี่ยนไปแล้วนับแต่ผมได้เอ่ยคำว่าเลิกอย่างแท้จริงออกไป..........

                    “พี่กั้งหมายความว่า พี่กั้งจะไม่รับใช่มั้ย.........พี่กั้งต้องไม่รับแน่ๆเลยใช่มั้ย นัทรู้หรอก”..........นัทต่อว่าผมเสียงเครือ.........ผมนึกโมโหขึ้นมาตะหงิดๆอีกคำรบ........เค้ามีสิทธิ์อะไรที่จะมาพูดคาดคั้นเอาคำตอบจากผมแบบนี้.........เค้ามีสิทธิ์อะไร.......

                    “รับสิ.......ทำไมพี่จะไม่รับล่ะ”..........ผมตอบตัดบท........รู้สึกพอใจในตัวเองที่ควบคุมอารมณ์และสถานการณ์ได้ดีกว่าที่คิดเอาไว้........ความรู้สึกของผมก่อนหน้านี้คงเหมือนกับวิญญาณที่กำลังจะออกจากร่าง..........วิญญาณนั้นย่อมได้รับทุขเวทนาและอาลัยอาวรณ์ในสังขารที่ไม่เคยมีความเที่ยงแท้.......สุดท้ายเมื่อออกจากร่างแล้วจึงได้ทราบว่าความปลอดโปร่งโล่งสบายจากกองทุกข์นั้นเป็นเช่นไร.......

                     นัทกลับไปนิ่งเงียบอีกครั้งหนึ่ง........ในใจของเค้าคงกำลังเกิดความสับสนอย่างรุนแรง..........แต่ถ้าเค้ากำลังค้นหาสาเหตุของสิ่งที่เกิดขึ้น เค้าก็คงจะพบว่า มันล้วนมาจากตัวเค้าเองทั้งสิ้น ซึ่งเค้าเองก็ย่อมรู้อยู่แก่ใจในข้อนี้ดี เพราะฉะนั้นผมจึงไม่ผิดและเค้าก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะมาต่อว่าต่อขานใดๆทั้งสิ้น.........

                     “พี่รู้ว่านัทสับสนกับความรู้สึกของตัวเอง.........แต่พี่อยากจะบอกให้นัทรู้เอาไว้ว่า การใช้ชีวิตอย่างเกย์ไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะเจอคนที่รักเราจริง ซื่อสัตย์และจริงใจกับเราเพียงคนเดียว..........ตอนนี้นัทยังเด็กอาจจะยังไม่ชัดเจนในแนวทางการใช้ชีวิตของตัวเอง.......แต่วันไหนก็ตามที่นัทโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่และมีความั่นใจในตัวเองมากกว่านี้ นัทจะเสียดายโอกาสที่นัทปล่อยให้มันผ่านเลยไปอย่างเช่นในวันนี้”

                          นัทได้เพียงแต่นิ่งฟังไม่ตอบโต้ใดๆ.........ฟังดูเหมือนผมจะหลงตัวเองจึงได้กล้าพูดอะไรที่อวดดีแบบนั้นออกมา........แต่สาบานได้จากใจจริงเลยว่า หากเราสองคนยังคงรักกันอยู่ ผมมั่นใจว่าผมจะรัก ซื่อสัตย์ และดูแลเค้าอย่างดีที่สุดจนกว่าความตายจะมาพรากเราจากกัน.........เสียดายที่โอกาสของผมได้หมดลงไปแล้ว นับจากวันนี้เป็นต้นไป........

                      “ถ้าพี่กั้งเป็นผู้หญิงก็คงจะดี” ........นัทปรารภขึ้นมาอย่างเศร้าสร้อย..........ผมหันไปมองหน้าเค้าอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้มั่นใจว่าผมไม่ได้หูฝาดไปเอง..............เค้ากำลังจะบอกว่าเค้าต้องการให้ผมเป็นผู้หญิงงั้นเหรอ........นี่เค้าเป็นบ้าไปแล้วหรือไง.......ถ้าผมเป็นผู้หญิงจริงๆ แล้วเค้าจะชอบผมหรือ.........ก็ในเมื่อเค้าเป็นเกย์ เค้าก็ต้องชอบผู้ชายด้วยกันไม่ใช่เหรอ.......นี่แสดงว่าเค้าไม่ได้เพียงแต่สับสนในตัวเองเท่านั้น หากแต่เค้ากำลังหลอกตัวเองได้อย่างน่ากลัว.............หากคนเราลองไม่รู้จักแม้กระทั่งตัวเอง ไม่ซื่อสัตย์ต่อความต้องการของตัวเองแล้ว ก็คงยากนักที่ชีวิตนี้จะหาความสุขได้อย่างแท้จริง..........

                      “ผู้หญิงดีๆก็มีอีกมาก........สักวันหนึ่งนัทก็คงได้พบกับเค้าเอง”.........ผมแสร้งทำเป็นหวังดี หากแต่แท้จริงแล้วมันคือคำแดกดันที่ผมต้องการจะตอกย้ำให้เค้ารู้ว่า ถ้าชอบผู้หญิงก็ไปหาเอาเองเถอะ อย่ามามัวมาอาลัยอาวรณ์กับผู้ชายให้เสียเวลาอยู่อีกเลย..........

                       “แต่ก็คงไม่มีใครดีได้อย่างพี่กั้งหรอก”.........นัทรำพันเสียงอ่อย ถ้าเป็นเมื่อก่อนใจผมคงอ่อนยวบลงทันตาเห็น.....แต่ตอนนี้ผมกลับคร้านที่จะฟังคำพูดลมๆนั้นอีกต่อไป.......ผมรู้แต่เพียงอย่างเดียวว่าต้องรีบเหยียบคันเร่งให้เร็วยิ่งขึ้นกว่านี้อีก.......ผมต้องการจะแยกจากเค้าอย่างสมบูรณ์เสียที..........


                        เมื่อเห็นว่าไม่มีประโยชน์ที่จะพูดอะไรอีกต่อไปแล้ว เราสองคนจึงต่างนิ่งเงียบและเข้าสู่ห้วงคำนึงส่วนตัวอีกครั้ง.........รถยังคงวิ่งฉิวไปพร้อมๆกับความคิดที่ลอยเตลิดไปไกลยิ่งกว่าของผม........ทุกอย่างเมื่อมีเกิดก็ย่อมมีดับ........การพบกันของเราสองคนเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก.......ตลอดชีวิตที่ผ่านมาผมเคยวาดฝันที่จะมีความรักดีๆสักครั้งกับใครสักคนหนึ่งที่ผมพอใจ และเค้าคนนั้นก็ต้องอยากจะคบกับผมจริงๆ.......ในที่สุดนัทก็ได้เข้ามาเติมเต็มชีวิตในส่วนที่ผมฝันหามานานนั้น แม้ว่าจะเป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆเพียงแค่หนึ่งปีก็ตาม แต่มันก็เต็มไปด้วยรายละเอียดปลีกย่อยมากมายที่น่าจดจำ........ซึ่งผมจะไม่มีวันลืมตลอดไป.......


                         ครู่ต่อมารถก็แล่นเข้ามาจอดนิ่งที่หน้าแฟลตในโรงพยาบาล........นัทขนข้าวของลงอย่างเงียบๆ.......

                         “พี่กั้งขึ้นไปดื่มน้ำก่อนสิ”......นัทเอ่ยปากเชื้อเชิญ ในขณะที่ผมทำท่าลังเลอยู่ครู่หนึ่ง

                              “นัทไม่ทำอะไรหรอก ขึ้นมาเถอะ”.........นัทเอ่ยปากอย่างรู้เท่าทัน........แน่นอนหากเป็นเมื่อก่อนผมคงยินดีปรีดาที่ได้รับคำเชิญดังกล่าวจากนัท แต่ตอนนี้เราเป็นคนอื่น.......คงไม่เป็นการดีหากผมจะเข้าไปนั่งอยู่ในห้องเพียงลำพังกับเค้าสองคน........

                          เพื่อให้เห็นแก่เรื่องราวในอดีตของเรา......ในที่สุดผมจึงตัดสินใจผมขึ้นไปดื่มน้ำที่ห้องของนัทและนั่งคุยกันสักพักจึงขอตัวกลับ.........ตอนนี้เราสองคนปฏิบัติตัวต่อกันเสมือนคนแปลกหน้า........และผมก็รู้สึกดีที่มันเป็นแบบนั้นได้เสียที...........ระหว่างเรามันเดินทางมาถึงตอนจบแล้วจริงๆ........เรามีจุดมุ่งหมายคนละอย่างกัน.......ปลายทางของผมอยู่ที่การใช้ชีวิตคู่กับผู้ชายที่ผมรัก........ในขณะที่ปลายทางของนัทอยู่ที่การใช้ชีวิตตามครรลองความเชื่อทางศาสนา........เราจึงเปรียบเสมือนเส้นสองเส้นที่เดินทางมาบรรจบกันแค่ชั่วระยะหนึ่ง จากนั้นต่างก็แยกย้ายกันออกไปกันคนละปลายทาง......แต่นี้ต่อไปคงไม่มีวันหวนกลับมาเจอกันได้อีกชั่วนิรันดร์...........




                          ชายหนุ่มหน้าตี๋ที่โต๊ะข้างๆส่งยิ้มน้อยๆมาให้ ก่อนจะแกล้งเสไปยกแก้วกาแฟหอมกรุ่นขึ้นดื่ม.........อ้นหันมายิ้มให้ผมทำหน้าพยักเพยิดทำนองไก่เห็นตีนงูงูเห็นนมไก่..........อันที่จริงผมก็เหล่หนุ่มตี๋คนนี้มาได้สักพักนึงแล้วล่ะ.........เรามักพบกันโดยบังเอิญที่ร้านกาแฟนี้เสมอ.........เห็นเด็กที่ร้านบอกว่าชื่อโต้ง..........อืม.......ฟังดูน่ารักน่าสนใจดีไม่หยอก.........แต่อะไรก็คงไม่น่ายินดีเท่ากับว่าเค้ามักจะแวะเวียนมานั่งที่ร้านกาแฟแห่งนี้คนเดียวเสมอๆ........สงสัยจะยังไม่มีแฟนกระมัง.....คงต้องออกแรงสืบดูหน่อยซะแร้วววว..........

                           “พี่กั้งรู้อะไรอย่างหนึ่งมั้ย........ตั้งแต่พี่กั้งเลิกกับนัทเนี่ย หน้าตาพี่กั้งดูสดใสขึ้นมายังกับเป็นคนละคนเลย.......ไม่เหมือนกับช่วงที่ผ่านมา ตอนนั้นหน้าตาพี่กั้งดูอมทุกข์อยู่ตลอดเวลา น้องเห็นแล้วเหนื่อยแทน”.......อ้นบรรยายสภาพในอดีตของผมด้วยท่าทีที่จริงจังจนดูน่าขัน.......นี่เค้าคงลืมไปกระมังว่าฟ้าหลังฝนย่อมงดงามเสมอแบบนี้แหล่ะ........

                            “จริงเหรอ.......พี่ไม่เห็นจะรู้สึกแบบนั้นเลย”.......ผมตอบพลางส่งยิ้มหวานให้อ้นพร้อมกับแบ่งรอยยิ้มส่วนที่เหลือไปยังหนุ่มหล่อคนนั้น........ชีวิตคนเราก็เหมือนการเล่นเกมอะไรสักอย่าง.....หากแพ้ก็ต้องลุกขึ้นสู้ใหม่ เก็บบทเรียนในอดีตมาปรับปรุงใช้ในปัจจุบัน อีกไม่ช้าเราคงจะกลายเป็นฝ่ายชนะเข้าในสักวันหนึ่ง..............

                                                       จบบริบูรณ์


หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 06-06-2008 11:32:41
อ่านตอนจบแล้ว นึกถึงบทนำของเรื่องเลย  :m13: :m13:
คนละปลายทาง แม้ว่าจะร่วมทางกันในตอนนี้ แต่ในเมื่อจุดหมายแตกต่างกัน สักวันก็ต้องแยกจากกัน

ขอบคุณคุณกั้ง สำหรับเรื่องราว  :pig4: :pig4: :pig4: ขอบคุณมากๆค่ะ  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 06-06-2008 13:23:44
กรีดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

เอาไปเลยหนึ่งบวกคะ

ตอนนี้เขียนได้เริ้ดมาก

เห็นภาพสุดๆ

รวมเล่มไหมเคอะคุณพี่

น้องจองอุดหนุนหนึ่งเล่ม

เขียนตอนจบได้ดีจริง

ชอบมาก
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 06-06-2008 13:52:34
ในที่สุดก็  ปล่อยปล่อยซะที  คนละปลายทางจริงๆ 

เป็นเรื่องที่อ่านแล้วแม้ว่ามันไม่มีจุดพีคอะไรให้น่าตื่นเต้นมากมายนัก อ่านไปก็ชวนให้อึดอัดบางครั้ง
แต่ก็ยังอ่าน มันปล่อยเรื่องนี้ไม่ได้  น่าติดตามมากๆ
ต้องคอยตามลุ้นไปกับความรักของคุณกั้งทุกบท ทุกความคิดการกระทำ

ชอบตอนบรรยายความรู้สึก  คุณกั้งทำให้คนอ่านเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของตัวละครได้ดีเลย
มีที่มาที่ไป  ว่าทำไมเค้าถึงตัดสินใจทำแบบนั้น  มันก็เหมือนเลวแต่ก็มีเหตุผลของความเลวอะนะ อิอิ
ตอนจบก็เริ่ดดดดดดดด  สนุกคะ  ชอบนะเรื่องนี้ 

ขอบคุณที่เล่าเรื่องราวให้พวกเราได้อ่านกัน 
จะมีเรื่องอื่นป่าวเอ่ย  อิอิ 

ปล  บวกหนึ่งด้วย 
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 06-06-2008 16:11:25
มีความสุขไปกับคุณกั้งด้วย

หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 06-06-2008 20:07:02
เฮ้อ เลิกกันแล้วรู้สึกปลอดโปร่งโล่ง เบาสบายจังเลย เพราะอ่านแล้วอึดอัดใจมาตลอด

ขอให้คุณกั้งมีความสุขนะคะกับความรักครั้งใหม่
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: tonsai_2520 ที่ 08-06-2008 03:29:50
กรีดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

เอาไปเลยหนึ่งบวกคะ

ตอนนี้เขียนได้เริ้ดมาก

เห็นภาพสุดๆ

รวมเล่มไหมเคอะคุณพี่

น้องจองอุดหนุนหนึ่งเล่ม

เขียนตอนจบได้ดีจริง

ชอบมาก




ถ้าเล่มนึง . . . ขาดทุน

เอางี้  สัก  ๙๙ เล่ม  ฝากคนที่ก้มกราบแผ่นดินตอนวันกลับมาไปทำบุญ  ๙๙ วัด


 . . . . .. . . . . . . .. . ..


เรื่องเนิบนาบ . . . ได้บรรยากาศของความอึดอัด  ความรัก  ไม่ได้อยู่ที่ว่าเขาจะรักเรามั้ย  แต่อยู่ที่หัวใจของเรา  ว่า  วันนี้เรามีความสุขกับสิ่งที่เขาทำอยู่หรือเปล่า

เอาน่า . . . .

เซ็กส์ . . . คือกำไรชีวิต 

แต่ . . .

ความรัก . . . ชาตินี้ขอมีแค่รักเดียว

หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 08-06-2008 16:03:58
อ่านถึงหน้าสิบกว่า ๆ ก็กระโดดมาที่หน้าสุดท้ายเลย  เหนื่อยครับ
มันอ่านได้ต่อเรื่อย ๆ ก็จริง  แต่รู้สึกเหนื่อยกับความรักของทั้งสองคน

ผมเห็นใจนัทมากที่จะเกิดความขัดแย้งในตนเองมากขนาดนี้  เพราะเขาถูกฝังหัวมาแต่เล็กว่าการเป็นเกย์  เป็นเรื่องที่ผิดบาป  ตายไปจะต้องตกนรก  ถูกพระเจ้าลงโทษ  ดูจากพฤติกรรมของเขา  นัทไม่ใช่พวกหัวใหม่ด้วย  เขาเคร่งมาก  ที่ทำอะไรกับคุณกั้งได้ขนาดนี้ก็นับว่าเหลือเชื่อแล้ว

ผมมีเพื่อนคนหนึ่งอยู่ศาสนาเดียวกับนัท  เขาค่อนข้างต่อต้านแนวคิดของศาสนา  แต่เขาออกไม่ได้เพราะพ่อแม่พี่น้องล้วนแต่อยู่ในนั้น  และเชื่ออย่างฝังจิตฝังใจ  เขาปิดบังตัวเองจากครอบครัว  และจากคนทั่ว ๆ ไปเพราะไม่ต้องการให้ครอบครัวรับรู้

มีอยู่ครั้งหนึ่ง  แม่ของเขารู้ว่าเขามีแฟนเป็นผู้ชาย  แม่ของเขายื่นคำขาดให้เลิกคบ  ห้ามไปอยู่หอพัก  ห้ามออกไปที่ไหนตามลำพัง  แม้แต่การโทรศัพท์ก็ถูกจับตา  แม่เขาขู่ว่าถ้ายังฝ่าฝืนจะบอกพ่อ  ซึ่งอาจจะแย่ยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ


เท่าที่อ่านมาคิดว่าคุณกั้งมีปัญหาเพราะคิดอะไรซับซ้อนเกินไปหน่อย  และไม่เปิดกว้างทางความคิด  คือไม่มองโลกด้วยมุมมองของคนอื่นมากพอ  อย่างตอนที่พูดถึงเกย์เก๊กแมน  ผมฟังแล้วก็ขมวดคิ้วและรู้สึกเลยว่า  คุณกั้งยังไม่เข้าใจคำว่า Queer ดีพอ

นอกจากนั้น  ทั้ง ๆ ที่ดูเหมือนมีความคิดซับซ้อนและเจ้าแผนการ  แต่คุณกั้งก็ติดกับดักทางความคิดของตนเองได้ง่ายมาก  ทำให้เดินวกวนอยู่ในใยแมงมุม  และกลายเป็นเหยื่อของแมงมุม(ความคิดของตนเอง)ในที่สุด

สำหรับตอนจบ  ผมค่อนข้างประทับใจ  เพราะสรุปได้ดี  และเป็นตอนจบที่ดีที่สุดเท่าที่จะจินตนาการไปถึง  ขอให้คุณกั้งโชคดีกับความรักครั้งใหม่

สวัสดีครับ

 :bye2:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: YO DEA ที่ 09-06-2008 02:03:37
 o13 o13 o13


ขอให้พี่กั้งได้พบกับความรักครั้งใหม่ที่ดีกว่าและดีที่สุดของชีวิตนะครับ


ด้วยรักจากใจ


 :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yuttaya ที่ 09-06-2008 10:42:09
ขอน้อมรับทุกคำวิจารณ์จากใจจริงครับ............หวังว่าโอกาสหน้าคงได้มาแชร์ประสบการณ์ดีๆด้วยกันใหม่อีกสักครั้ง........แต่ว่า ตอนนี้ผมยังหาแฟนไม่ได้เลยอ่ะ แฮะๆ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: kongkilmania ที่ 09-06-2008 11:37:04
 :pig4: คุณกั้งสำหรับเรื่องเล่าคนละปลายทาง
ดีใจที่ได้อ่านจนจบ นึกว่าจะโดนคนเขียนลอยแพไม่มาต่อจนจบซะแล้ว   :laugh:
 :L2: เป็นกำลังใจให้คุณกั้งเสมอ
หวังว่าคุณกั้งจะได้เจอคนที่ใช่ในเร็ววันนี้   :a2: สู้ๆ
                       :L1:
                :L1:     :L1:

รอจะได้ร่วมรับรู้ประสบการณ์รักครั้งใหม่ด้วยคนนะจ๊ะ   :o8:
เราถือคติ เรื่องของชาวบ้านคืองานของเรา   :pandalaugh:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 16-06-2008 18:30:13
เพิ่งได้มาอ่านตอนจบ  o7 เศร้าที่รักไม่เป็นไปตามที่ต้องการ แต่ก็ดีกว่ายื้อไว้

ขอให้คุณกั้งเจอคนที่ใช่ไวๆนะ ขอบคุณที่มาเล่าประสบการณ์ให้ฟังค่ะ  o1
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: victorypong ที่ 21-06-2008 02:18:15
 :m15: อ่านมาอึดอัดแทนคุณกั้งครับ แต่ท้ายๆมาสงสารนัทอะ ไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกัน ผมสงสารยังไงไม่ถูก
อาจเป็นเพราะคุณกั้ง มีหนทางเดินที่มากกว่าไม่เครียดและกดดันมั้งผมเลยเฉยๆ แต่นัทนี่สิ อยากรู้ว่าเขาเป้นยังไงบ้าง  :กอด1: เพราะผมก็เคยมีกิ๊กเป็นอิสลามถึงพอเข้าใจอะไรบ้าง เรื่องนี้ผ่านมากี่ปีละครับ ช่วยเล่าเรื่องนัทหลังจากที่เลิกกันให้ฟังหน่อยครับ ผมรู้สึกไม่สบายใจยังไงก็ไม่รู้ มันค้างคาใจอยู่  o7
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: mulli ที่ 26-07-2008 03:15:35
หนูอยากมองเหนอนาคต จะได้เลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง
ไม่ต้องมานั่งเสียใจกับสิ่งที่เราทำผิดพลาดไป
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: kyoshiro ที่ 23-11-2008 21:23:45
เราจึงเปรียบเสมือนเส้นสองเส้นที่เดินทางมาบรรจบกันแค่ชั่วระยะหนึ่ง จากนั้นต่างก็แยกย้ายกันออกไปกันคนละปลายทาง......แต่นี้ต่อไปคงไม่มีวันหวนกลับมาเจอกันได้อีกชั่วนิรันดร์...........
(http://)

---
เห็นด้วยคับ.
ส่วนตัวผมแล้ว แม้จะ(มีโอกาส)ได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้งนึง ก็อยากจะให้มันเป็นแค่เส้นขนาน..เช่นนี้ตลอดไป
ขอบคุณที่เอาอีกมุมมองความรักมาแบ่งปัน.

[attachment deleted by admin]
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ltahset ที่ 07-04-2009 00:07:42
ดีใจด้วยที่ตัดใจได้ค่ะ

ขอบคุณสำหรับเรื่องราวนะคะ

^^
 :pig4:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: rainy_naja ที่ 25-12-2010 09:02:13
merry★ 。 • ˚ ˚ ˛ ˚ ˛ •
•。★Christmas★ 。* 。
° 。 ° ˚* _Π_____*。*˚
˚ ˛ •˛•*/______/~\。˚ ˚ ˛
˚ ˛ •˛• | 田田|門| ˚★ 。 • ˚ ˚ ˛ ˚ ˛ •
Jaaaaaaaa \\(^^)//
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: eyezo ที่ 09-04-2011 16:42:52
อ่านมา 2 วัน

อึดอัดและเข้าใจความรักที่เป็นคู่ขนานจริงๆ

 :sad4:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: casper75 ที่ 26-10-2011 12:15:22
อ่านจบแล้ว การจะมีความรักมันไม้ได้ง่ายจริงๆ
พี่กั้งมีความอดทนมากเลยค่ะ ถ้าเป็นเราคงเลิกตั้งแต่ตอนเจอกันแรกๆแล้ว

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Little Brother ที่ 06-09-2012 15:20:51
ก่อนอื่นเลย ผมขอขอบคุณพี่กั้งเจ้าของเรื่องนี้เป็นอย่างมากที่นำเรื่องดีๆมาเล่าให้ฟัง
ผมเคยคิดว่าจะเอาเรื่องของตัวเองมาลงอยู่เหมือนกัน  แต่ผมเขียนไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่

ตอนนี้ผมสมัครสมาชิค เพื่อที่จะเข้ามาตอบกระทู้ของพี่เป็นอย่างแรก o13

เพราะเรื่องนี้เอง  ที่ทำให้ผมเข้าใจอะไรหลายๆอย่าง  ที่ทำให้ผมตัดใจได้

ผมมีแฟน(ความสัมพันธ์ยังไม่แน่ชัด  ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าแฟนดีไหม) เป็นเด็กที่  นิสัยถอดแบบของพี่นัท แป๊ะ !!!!
ผมกับน้องคบกันโดยที่ไม่มีใครรู้ ไปไหนมาไหนด้วยกัน  เที่ยวด้วยกัน  และเป็นอย่างของพี่ ที่ผมตามใจมาตลอด   ยอมมาตลอด  จนมาถึงจุดหนึ่งที่น้องเค้าทำให้ผมลังเลใจเป็นอย่างมาก   พอผมเข้ามาอ่านในนี้......มันทำให้ผมคิดได้ในหลายๆเรื่อง

ขอบคุณพี่มากๆครับ  :pig4:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 18-04-2013 15:10:54
อ่านเรื่องนี้เป็นรอบที่ 2 แล้วล่ะ
แต่ตอนอ่านรอบแรกยังไม่เม้น (ยังไม่สมัคร)
มาอ่านรอบ 2 ก็ยังเศร้า ยังหม่นหมองเหมือนเดิม
คนละปลายทางจริง ๆ ถึงรู้ว่าปลายทางต้องเลิกกัน
แค่แอบสงสัยนัทว่าทำไมไม่ยอมทำดีกับกั้งบ้างตอนคบกัน
แอบอยากรู้ว่าหลังจากนั้นคุณกั้งไม่ได้ข่าว(ด้วยความบังเอิญ) เกี่ยวกับนัทบ้างเหรอ
ผ่านมาตั้งนานแล้วตอนนี้คุณกั้งคงมีใครดูแลเอาใจใส่ทั้งร่างกายและจิตใจแล้วล่ะ เพราะคุณกั้งรักใครรักจริง
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: top_fy ที่ 05-03-2017 00:23:31
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดีอีกหนึ่งเรื่อง ถึงแม้จะอ่านลวกๆ ตอนกลางของเรื่อง555 เพราะยาวมากๆ และไม่บอกเป็นตอนๆเลยต้องรีบอ่าน ในที่สุดก็คนละปลายทางสะที ก็ขอให้ทุกคนในเรื่องมีความสุขโชคดีทุกคนนะ ครับ ขอบคุณเรื่องราวดีๆนะครับ :mew3: :mew1:
หัวข้อ: Re: คนละปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: thenununu ที่ 21-03-2017 02:52:46
อ่านแล้วอึดอัดตลอดเวลา

จะเห็นได้ชัดว่าเวลาที่พี่อยู่กับเพื่อนร่วมงานพี่จะปลอดโปร่ง

แต่อยู่กับนัทแล้วหม่นหมอง

เพราะชอบคิดไปเอง และชอบวางแผนให้กับความคิด ยิ่งทำให้อึดอัด

นัทเหมือนจะพยายามปรับให้เข้ากับพี่แต่ก็ทำไม่ได้ให้เต็มร้อยสักที

ปลายทางของพี่และนัทเลยเป็นแบบนี้

ขอให้มความสุขกับปัจจุบันและขอบคุณนัทที่ทำให้รับรู้ถึงรักที่พยายามแค่ไหนแต่ถ้าปลายทางมันถูกกำหนดไว้ การลามือกันน่าจะดีที่สุด