คนละปลายทาง
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: คนละปลายทาง  (อ่าน 169390 ครั้ง)

blach

  • บุคคลทั่วไป
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #510 เมื่อ01-10-2007 20:43:36 »


ผมก้อคิดๆอยู่หลายวันว่าจะมาบอกว่าไรถึงจะเหมาะสมกะตอนนี้  แต่ได้อ่านรีของเจ๊ แกแล้ว

คิดออกทันทีครับ คือว่า ก้อนะ สมน้ำหน้า จริงๆ  หึหึหึหึ   :m20: :m20:

yuttaya

  • บุคคลทั่วไป
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #511 เมื่อ02-10-2007 09:45:23 »

เอาเข้าไป...........ซ้ำเติมกันเข้าไป...........ฮึ่มมมมมมมม :m16:

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #512 เมื่อ02-10-2007 15:22:31 »

5555  ตลกดี

อืมม  ว่าจะคุยเรื่องร้านเฮือนสถาปนิก  ไม่อยากบอกว่าไปร้านเดียวกันเรยยย  ร้านนี้ไปบ่อยสุดแล้วอะ
มือเบสหล่อ อิอิ   แล้วก็ไปต่อไก่ย่างเที่ยงคืนซะด้วย  อะไรจะเหมือนกันขนาดนี้ เห่อ

รออ่านต่อค้าบบ  :a2:

yuttaya

  • บุคคลทั่วไป
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #513 เมื่อ02-10-2007 15:27:46 »

ว้าว...........เจอแฟนคลับเฮือนสถาปนิกเหมือนกันเหรอเนี่ย.............เมื่อก่อนผมชอบนักร้องนำอ่ะ .........รู้สึกจะชื่อก้องนะ น่ารักดี อิอิ...........ส่วนมือกลองจำชื่อไม่ได้ (นี่ก็น่ารักอีกเหมือนกัน หุหุ)..........แต่วงนี้พักหลังไปเล่นที่บางรักแร้ว ไม่รู้ว่ากลับมายัง.........

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #514 เมื่อ02-10-2007 15:32:46 »

กรี๊ดดดดดดดดดดดดด  :m3: 
ใช่ๆ  มือกลองก็หล่อ  มีคนนึง ชื่อ หนึ่งอะ  เป็นใครหว่า 555 มือกลองหรือมือเบสนี่แหละ
โต๊ะประจำกลุ่มเรา  หลังประตูค้าบบบ  เอาไว้แอบมองนักร้องนักดนตรี 55 อีกอย่างเต้นได้ตามอัธยาศัย


ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #515 เมื่อ02-10-2007 15:38:44 »


ยังเต้นไหวกันหรือเคอะ คุณป้ารีบนทั้งสอง

ไม่น่าเชื่อ   :m20:

yuttaya

  • บุคคลทั่วไป
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #516 เมื่อ02-10-2007 17:37:04 »

ว่าแต่คุณน้องสองเนี่ย ละอ่อนมากเลยนะจ้ะ   อิอิ......................

มีหนนึง ผมเคยไปทำบุญที่วัดอุโมงค์ตอนเช้ากับน้องพร แล้วบังเอิญไปเจอพ่อนักร้องนำวงเฮือนสถาปนิกนี่แระ เค้ามาทำบุญคนเดียวด้วยนะ ตอนที่ผมไปถึงเค้ากำลังเดินลงมาจากศาลาพอดี อารามที่ว่าอยากจะรีบลงไปแสดงตัวให้เค้าเห็นใบหน้าอันงามมากจนเกินไป ผมจึงรีบเสยรถเข้าไปจอดที่ตีนศาลาจนเกือบจะชนพระที่กำลังกวาดลานวัดอยู่..............เห็นน้องพรบอกว่า พระท่านกระโดดหนีแทบไม่ทันเลย.............สุดท้ายก็ลงจากรถไม่ทันอีตานั่นอยู่ดี.........เวรกรรมแท้ๆ.........จะบาปป่าวเนี่ย........อิอิ :m23:

yuttaya

  • บุคคลทั่วไป
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #517 เมื่อ04-10-2007 10:32:42 »

                          “เมื่อคืนทำความผิดอะไรเอาไว้รู้ตัวหรือเปล่า”...............อะไรวะ..........งงชิบ.............ผมหันมองหน้านัทเลิกลั่ก............เมื่อเจอกับคำถามปริศนาระหว่างที่เรากำลังขับรถมุ่งหน้าสู่ดอยภูคา...........แล้วผมมีความผิดอะไรกันเนี่ยยยยย.........ไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย...จะว่าไปแล้วโดยรวมนัทก็ดูปกติดีนี่นา.......ยกเว้นแต่ว่าเมื่อคืนเค้าไม่ยอมให้ผมกอดเท่านั้นเอง........ดังนั้นผมจึงไม่ได้เฉลียวใจเลยสักนิดว่า ผมได้ไปทำอะไรให้เค้าเคืองตั้งแต่เมื่อไหร่...................

                         “ความผิดอะไร...........ไม่เห็นจะรู้เรื่อง”...............ผมไม่ได้เล่นบทผู้ร้ายปากแข็งหรอกนะ........แต่เพราะความจริงก็คือ ผมนึกออกจริงๆตะหาก..............

                         “เมื่อคืนนี้คุยโทรศัพท์กับใคร”...............นัทจ้องหน้าผม ราวกับนักสืบหัวเห็ดที่กำลังคาดคั้นเอาความจริงจากปากฆาตกรฆ่าซ้ำซ้อนใจโหดก็ไม่ปาน.............

                         เมื่อถึงคำถามนี้ของนัท ผมจึงถึงบางอ้อทันที..............ความงวยงงเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นความขบขันเข้ามาแทนที่..............ที่แท้ก็แอบดูโทรศัพท์ตอนผมไปเข้าห้องน้ำผมนี่เอง...........เนียนเชียวนะ.........ไม่มีพิรุธสักนิด...........มิน่าล่ะ ถึงไม่ยอมให้ผมกอดเมื่อคืนนี้......คิดแล้วก็สียดายชิบเป๋ง..........ไม่น่าแส่หาเรื่องจนต้อง อดสวีทเลยเรา...............

                         “อ๋อ.........ก็คุยกะมอลลี่ไง”..........ถึงจะเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว แต่ผมจำเป็นที่จะต้องยืนกรานทำปากแข็งต่อไป............เค้าอาจจะไม่ได้แอบดูโทรศัพท์ผมจริงๆก็ได้............บางทีนี่อาจจะเป็นกลลวงในการล้วงข้อมูลจากฝ่ายตรงข้ามก็ด้ายยยใครจะไปรู้...........ประมาณว่าไม่รู้ แต่ทำเป็นรู้.........ขืนผมบ้าจี้ปากสว่าง คายความลับอะไรออกไป..........ก็เป็นอันจบเห่กันพอดี............เพราะฉะนั้น นักโกหกที่ดี จึงต้องโกหกจนถึงวินาทีสุดท้าย ห้ามหมดศัทธาในการโกหกเด็ดขาด..........เพราะของอย่างนี้มันเป็นเรื่องของการวัดใจกัน........หุหุ........ใช้วิชามารมากไปป่าวเนี่ย..........

                         “อย่ามาโกหก.........ไม่เห็นมีสายโทรออกชื่อมอลลี่เลย.........เห็นมีแต่ชื่อเจ”.............นัทจ้องหน้าอย่างผู้ชนะ...........เค้าต้อนผมให้จนมุมด้วยการโยนไผ่ใบสุดท้ายออกมา.........

                        เมื่อหลักฐานมัดตัวแน่นหนาแบบนี้แล้ว.......ผมคงหมดหนทางปฏิเสธ แต่ถึงอย่างไรผมก็ต้องหาช่องทางผ่อนหนักเป็นเบาไว้ก่อน............อย่างน้อยๆความผิดก็จะได้เบาบางลงไปบ้าง...........

                          “ก็พี่ไม่อยากให้นัทโกรธนี่นา...........ก็เห็นนัทไม่ชอบให้พี่คุยกะเค้าอ่ะ........พี่ก็เลยต้องโกหก”...............เป็นการเอาตัวรอดที่อยู่บนเรื่องจริงล้านเปอร์เซ็นต์..............เมื่อวานนัทยังโวยวายอยู่เลย ตอนที่ผมรับโทรศัพท์เจในห้องน้ำอ่ะ.............และการที่ผมไม่ต้องการให้เค้าโกรธ ผมก็ต้องโกหกว่าโทรไปหามอลลี่.........ดังนั้นผมจึงไม่ผิด....หุหุ............

                          “แล้วโทรไปทำไม”...............นัทยังคงซักต่อเสียงเรียบ.............ถึงกระนั้นตัวผมเองก็ไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านแต่อย่างใด เพราะว่าผมบริสุทธิ์ใจ...............แต่ที่ต้องทำให้ดูเหมือนมีเงื่อนงำให้เค้าระแวงสงสัยแบบนี้......ก็เพราะผมอยากยั่วให้เค้าหึงเล่นๆเท่านั้น............แล้วเค้าก็ติดกับผมเข้าจังเบอร์เลย..........อิอิ.............

                         “ก็เค้าโทรมาจะเอาเบอร์อั้ม ตอนที่พี่อาบน้ำอยู่ พี่ก็เลยบอกว่าจะโทรกลับไปบอกทีหลัง แค่นั้นเอง”............ผมสาธยายให้นัทฟังไปตามความจริง.............ซึ่งสังเกตดูว่า เค้าค่อนข้างพอใจในคำตอบ และไม่มีทีท่าว่าจะติดใจอะไรอีก บรรยากาศของการซักฟอกจึงค่อยๆเจือจางและสลายตัวไปในที่สุด...............


                        ดอยภูคาเป็นอุทยานแห่งชาติที่สูงจากระดับน้ำทะเลค่อนข้างมากไม่แพ้ดอยอื่นๆทางภาคเหนือ.........ผมค่อยๆพารถไต่ระดับความสูงขึ้นไปเรื่อยๆจนถึงที่ทำการอุทยาน...........เวลานี้ยังเป็นช่วงเช้าอยู่ อีกทั้งยังเป็นวันทำงานปกติด้วย...........ดังนั้นบริเวณที่ทำการอุทยานจึงดูเสมือนว่าร้างผู้คนไปโดยปริยาย...........

                        เมื่อผมกับนัทเตรียมอุปกรณ์เก็บตัวอย่างใส่กระเป๋าเรียบร้อยแล้ว..............เราจึงค่อยๆเดินลัดเลาะไปตามเส้นทางเล็กๆไปสู่หุบเขาข้างล่าง ที่มีลำธารสีเงินทอดยาวไหลลงสู่พื้นราบ.............เมื่อพ้นจากหุบเขาแล้ว เราก็เปลี่ยนเป็นปีนป่ายขึ้นสู่เขาสูงในเวลาต่อมา..........เล่นเอาเหนื่อยหอบไปตามๆกัน............

                        โดยทั่วไปอุทยานแห่งชาติทุกแห่งในประเทศไทย จะไม่อนุญาตให้เก็บสิ่งของ พืช สัตว์ หรืออะไรก็ตามออกจากพื้นที่อุทยาน เว้นแต่จะได้รับอนุญาต..........ซึ่งนักพฤกษศาสตร์ที่ทำวิจัยส่วนใหญ่ จะต้องทำเรื่องขออนุญาตต่อกรมป่าไม้โดยตรงก่อน จึงจะเข้าไปเก็บหาพรรณไม้ที่ตัวเองต้องการในปริมาณที่แค่ให้พอการทำวิจัยเท่านั้น.....เพราะฉะนั้นหากคิดจะไปหยิบเก็บอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าในอุทยาน นอกจากจะเป็นการทำลายทรัพยากรทางธรรมชาติของประเทศชาติแล้ว ท่านยังอาจเสี่ยงต่อการโดนปรับอีกด้วยนะจ้ะ...................


                       จากภายนอกนัทดูแข็งแรงกำยำกว่าผมมาก (ก็สูงตั้งร้อยแปดสิบ แถมยังจ้ำม่ำอีกตะหาก)............แต่เรื่องการปีนเขา เค้าไม่เอาไหนเลย.........ไม่นาน นัทก็เซถลาเข้าไปนั่งหอบหน้าซีดอยู่ใต้ต้นสน..........

                       ผมรู้สึกกึ่งขำกึ่งเอ็นดู............ท่าทางเค้าคงจะเหนื่อยมากกว่าที่เห็น.............แต่คงไม่อยากจะแสดงออกมาเต็มที่ เพราะไม่อยากเสียฟอร์มต่อหน้าผมเท่านั้นเอง..............ผมยืนมองนัทอย่างพินิจพิเคราะห์ (ผมชอบมองดูเค้าตลอดเวลาเมื่อมีโอกาส)........ดูๆไป.............ท่าที่เค้านั่งแผ่ขาแบบนี้ก็เซ็กซี่ดีเหมือนกันนะ.............กระตุ้นอารมณ์ดีชะมัดเลย...............

                         ผมเดินเข้าไปโน้มตัวลงจูบนัทเบาๆ............แล้วไถลลงไปนั่งอยู่ข้างๆ..............ในป่าเปลี่ยวแบบนี้มีแค่เราสองคน รู้สึกฮอทจัง............แค่คิดขึ้นมาก็เสียวซ่านไปถึงท้องน้อยแล้ว...............ผมเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับการมีเซ็กส์ในป่า น้ำตก หรือลำธาร หรือที่เรียกว่า out door..............ช่างน่าตื่นเต้นดีแท้...............บางทีผมน่าจะชวนนัททำอะไรแบบนั้นดูบ้าง.................

                        “พี่อยากลองมีอะไรกันในป่าแบบนี้ดูมั่งจัง”..............ผมกระซิบบอกนัทเบาๆทีเล่นทีจริง.............นัทดูมีสีหน้าไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ผมพูด...........

                         “จะบ้าเหรอ.......คิดอะไรพิเรนทร์ๆ”............หุหุ...........ตลกดี..........

                         “ล้อเล่น”..............ผมยิ้มตอบในความตื่นตระหนกของนัท...........แม้ว่าในใจคนเราจะอยากทำอะไรโลดโผนโจนทะยานแค่ไหน.........แต่ความมีหิริโอตัปปะภายในใจนั้นย่อมเป็นตัวคอยห้าม...........ผมรู้ว่าความคิดนี้ก็เป็นได้แค่ความคิด.........แม้นใครจะไม่บังเอิญผ่านมาเห็นเข้า แต่ผีสางเทวดาย่อมเห็น...........สมสู่กลางป่าเขาโดยไม่ละอายต่อฟ้าดิน ก็คงไม่ต่างจากสิงสาราสัตว์ทั่วไป............แต่ก็น่าตื่นเต้นดีเหมือนกันนะ.........อิอิ..........


                        หลังจากที่สลัดความเหนื่อยอ่อนทิ้งไป............เราสองคนจึงมุงหน้าไปยังต้นไม่เจ้าปัญหานั้นต่อ.............แม้ว่าจะเคยมาสองหนแล้ว แต่ผมก็ยังเลอะเลือนเรื่องเส้นทางอยู่ดี.............เราจึงต้องเสียเวลาในการคลำหาเส้นทางอยู่พักใหญ่................และในที่สุดก็พบเข้าจนได้.............

                        “เจอแล้วๆ”.............ผมตะโกนบอกนัท.........ในขณะที่เค้าเร่งฝีเท้าเข้ามาสมทบ..............

                       “เนี่ยเหรอ”..............นัทหลุดคำพูดออกมาถึงสิ่งที่เค้าได้เห็น................

                        ใช่..............มันก็แค่ต้นไม้ธรรมดาต้นหนึ่งสำหรับคนทั่วไป...............แต่รู้มั้ยว่า........ต้นไม้ต้นนี้ มีญาติในสกุลเดียวกันกับมันที่ผมกำลังรวบรวมอยู่เกือบ 20 ชนิดในประเทศไทย และมีอยู่เกือบ 120 ชนิดทั่วโลก ณ ตอนนี้ ตัวมันยังพบแค่ที่ดอยภูคาแห่งเดียวในประเทศไทยเท่านั้น............แถมยังมีแค่ต้นเดียวอีกด้วย...........แล้วมันสำคัญยังไงน่ะเหรอ............การศึกษาทรัพยากรธรรมชาติที่เรามีในประเทศว่ามีอะไร อยู่ที่ไหน จำนวนมากเท่าไหร่ ย่อมเป็นผลดีในการจะหยิบจับมาใช้ประโยชน์ในอนาคต..........เปรียบเหมือนกับการที่เรารู้ว่า เรามีเงินออมเอาไว้ในบัญชีไหน จำนวนเท่าไหร่นั่นแหล่ะ..........คนที่มีเงินเยอะแต่ไม่รู้ว่าตัวเองมีเงินนั้นน่าสงสาร ด้วยว่าไม่มีปัญญาเอาเงินของตัวเองมาใช้ประโยชน์นั่นเอง.............วันนี้เราอาจจะไม่เห็นประโยชน์ของมันนอกเหนือไปจากการเป็นแค่ต้นไม้ต้นเดียว..............แต่ใครจะรู้ว่าวันหนึ่งข้างหน้า เราอาจค้นเจอคุณค่าอันมหาศาลที่ซ่อนอยู่ในตัวมันก็ได้...............และจากการศึกษาเอกสารพบว่า ปัจจุบันพืชในสกุลนี้กำลังมีการศึกษาฤทธิ์ในการต้านเซลล์มะเร็งกันอย่างกว้างขวางในต่างประเทศ............เสียดายที่เรามีตั้งยี่สิบตัว..........แต่ไม่มีใครมาหยิบไปทำวิจัยแบบนั้นเลยสักคน (เลกเชอร์ซะยาวเชียว หุหุ)

                        เราสองคนลงมือถ่ายรูปและเก็บตัวอย่างใบและดอก..........น่าเสียดายที่มันยังบานไม่เต็มที่.........แต่ผมคงไม่มาเก็บอีกแล้ว.............เพราะลำพังแค่การมาในครั้งนี้ ก็เป็นการมาแบบอุปโลกกลายๆ........เนื่องจากผมอยากหาเหตุออกมาเที่ยวกับนัทสองต่อสองมากกว่าอยากมาเก็บตัวอย่าง........ก็คิดซะว่าเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวก็แล้วกันนะ...............

                         “นัทช่วยเก็บดอกที่อยู่บนกิ่งโน้นให้พี่หน่อยสิ”..............ผมชี้ให้นัทดูดอกที่อยู่บนกิ่งสูงๆที่ผมเอื้อมไม่ถึง...............การมีแฟนก็ดีแบบนี้แหล่ะ..........รู้สึกดีเวลาที่มีคนที่รักคอยอยู่เคียงข้าง คอยช่วยเหลือสนับสนุนโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน.........มันก็ย่อมต้องดีกว่าอยู่ตัวคนเดียวเป็นไหนๆ..........

                          นัททำท่าเขย่งเก็งกอยอยู่สักพัก เค้าก็สามารถหยิบสิ่งที่ผมต้องการมาให้ได้...............จากนั้นเค้าก็ดินเลี่ยงออดไปยืนชมวิว ปล่อยให้ผมทำงานในส่วนที่เค้าช่วยอะไรไม่ได้นอกจากจะทำให้รู้สึกเกะกะมากขึ้น.................

                          ผมจัดการกับตัวอย่างและบรรจุลงประเป๋าเรียบร้อยแล้ว จึงเดินมาสมทบกับนัทที่กำลังถ่ายรูปสิ่งต่างๆรอบๆตัวอย่างตั้งอกตั้งใจ...............ผมยืนมองดูนัท พลางสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อสัมผัสบบรยากาศรอบๆตัวด้วยความรู้สึกที่เป็นสุข..............ในที่นี้ มีแค่เราสองคน ไม่มีสิ่งใดๆเข้ามากระทบจิตใจ..............ผมรู้สึกถึงความสงบ ความสุข และความห่างไกลจากปัญหายุ่งเยิงที่นัทคอยแบกมันเอาไว้ภายในใจและบางส่วนที่มักแสดงออกมาทางสีหน้าเสมอๆ.................ถ้าโลกนี้มีแค่เราสองคนก็คงดีสินะ ถ้านัทได้ปล่อยให้หัวใจของเค้ารักผมอย่างอิสระโดยปราศจากสิ่งบีบคั้นก็คงดีสินะ...................แต่ทุกอย่างกำลังจะกลับเข้าสู่สถานะเดิมอีกครั้ง เมื่อเรากลับถึงเชียงใหม่..........ถ้าผมขออะไรได้หนึ่งอย่างในตอนนี้................ผมอยากขอให้หัวใจของเราสองคนรักกันโดยอิสระ อยากให้มีแค่ความรู้สึกรัก จากใจถึงใจ ไม่ต้องมีเหตุผลใดๆมาเกี่ยวข้อง อยากให้มีแค่เราสองคนอย่างเช่นที่เป็นอยู่ในตอนนี้ตลอดไป.................

ออฟไลน์ Just let it be

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 979
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #518 เมื่อ04-10-2007 11:23:12 »

มีคนบอกว่า  "ความจริงกับความฝันต่างกันแค่เส้นคั่นบางๆ"

แต่บางทีในโลกความจริง

"ความจริงกับความฝัน  ต่างกันลิบลับ  ไกลเกินเอื้อมเลยทีเดียว"

 :m17:

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #519 เมื่อ04-10-2007 15:34:26 »

อยากให้รักกันนานๆ จัง ไม่อยากให้มีขอบเขตของสังคมมากั้นความรู้สึกของกั้งกับนัทเลย  :m1:

อ่านเรื่องงานวิจัยคุณกั้ง  ก็น่าสนใจดีนะ  เราเคยคิดนะว่า  วิจัยต้นไม้ใบหญ้า  จะมีประโยชน์ยังไง  ทำอะไรได้บ้าง
แต่จริงๆ คงเยอะมากๆ  ท่าทางมีความสุขด้วย ตอนไปเก็บตัวอย่าง  อิอิ

รออ่านต่อค้าบบ  :a2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: คนละปลายทาง
« ตอบ #519 เมื่อ: 04-10-2007 15:34:26 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






yuttaya

  • บุคคลทั่วไป
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #520 เมื่อ04-10-2007 16:10:20 »

สนุกสิครับ..........แต่บางทริปแทบกระอักเลือดก็มีนะ...........เช่นแบกเป้เสื้อผ้า ถุงนอน อาหาร น้ำ กล้อง อุปกรณ์เก็บตัวอย่าง เดินขึ้นเขาที่ความสูง 1,200 เมตรจากระดับน้ำทะเล ค้างคืนสามคืน ผูกเปลนอนตามต้นไม้ ฝนตกพรำๆ และทากเยอะโคตรๆ..........ไม่คิดว่าผมจะทำได้ใช่มั้ยล่า...........อิอิ...... :m19:

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #521 เมื่อ04-10-2007 16:42:05 »

อ่านเรื่องงานวิจัยคุณกั้ง  ก็น่าสนใจดีนะ  เราเคยคิดนะว่า  วิจัยต้นไม้ใบหญ้า  จะมีประโยชน์ยังไง  ทำอะไรได้บ้าง
แต่จริงๆ คงเยอะมากๆ  ท่าทางมีความสุขด้วย ตอนไปเก็บตัวอย่าง  อิอิ

ก็มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยนิเคอะเพื่อนสาว อิอิ

นี่ขนาดคุณพี่กั้ง  มี ผ. ไปคอยช่วยเหลือในการเก็บตัวอย่างภาคสนามนะเคอะ

เจ้นะ  ไม่มีเลย  ฉายเดียวตาหลอดดดดดดดดดดดดดดดดด  กลุ้ม!

เหนื่อยสายตัวแทบขาด  มิได้ต่างไปจากกับเดินป่าของระพินทร์ในเรื่อง เพชรพระอุมาเลย

มิน่า อิชั้นถึงอ่านเรื่องนั้นแล้วอินจัด

ปล.  ที่บอกว่า   “พี่อยากลองมีอะไรกันในป่าแบบนี้ดูมั่งจัง”..............ผมกระซิบบอกนัทเบาๆทีเล่นทีจริง.............นัทดูมีสีหน้าไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ผมพูด...........

ไม่ทราบว่าอะไรดลให้ให้พูดไปเคอะน้านนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน

อุแม่เจ้า  เด๋วเอามะพร้าวยัดปากเสียเลยนี่  :a14:

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #522 เมื่อ04-10-2007 18:51:11 »

หากโลกนี้มีเราเพียงสองคน รักคงหลุดพ้นความวุ่น ไม่มีกฏหมายมาตราใด ลงโทษลงทัณฑ์รักสองเรา
 :m13:  :m13:

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #523 เมื่อ05-10-2007 17:45:52 »

ยังไม่มา อิอิ

น่าหนุกดี  อยากไปเก็บตัวอย่าง 55 แต่ท่าทางจะเหนื่อย  ต้องหาเท่ร้ากกก ไปเก็บ คึคึ
มีพี่คนนึง  ทำวิจัยเกี่ยวกับต้นไม้เหมือนกาน  ที่ทำงานอยู่ใน Botanic Garden ด้วยนะ
ออกมานั่งพักสายตา พักใจได้ 

รออ่านต่อคับ  :a2:

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #524 เมื่อ05-10-2007 18:05:06 »

มารออ่านต่อจ๊ะ

 :m18: :m18:

ออฟไลน์ M@nfaNG

  • ชีวิตคือการตรวจสอบ...
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4453
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +847/-18
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #525 เมื่อ06-10-2007 20:28:22 »

อยากรู้จริงๆเลยว่า จะลงเอยกันยังไงนะ ลุ้นสุดใจขาดดิ้นเลย :a1:
เพราะถ้าเป็นเรา คงถอดใจไปตั้งกะแรกๆที่นัทบอกว่าไม่คิดแบบแฟนแล้ว
แต่ต้อง o13 ให้กับความอดทนรอคอยของคุณกั้ง
สู้ๆนะเอาใจช่วย o14

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #526 เมื่อ07-10-2007 10:15:41 »

เดินป่ากันสองต่อสอง
คงเป็นความทรงจำที่สวยงาม ไม่ลืมเลือนแน่
 :m3: :m3: :m3:

yuttaya

  • บุคคลทั่วไป
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #527 เมื่อ08-10-2007 09:28:36 »

                          “พี่กั้งดูสิ นัทเพิ่งไปถ่ายรูปชุดครุยติดทรานสคริปมา เป็นไงมั่ง”...........สัญญาณแห่งการจากลาของเราสองคนกำลังส่อเค้าชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆตามลำดับ..............เริ่มต้นจากการปิดคลาสเรียนของนัท.........ตามมาด้วยการเลือกโรงพยาบาลชุมชนที่จะต้องออกไปทำงานในเดือนพฤษภาคมที่จะมาถึงนี้............และการถ่ายรูปชุดครุยติดทรานสคริป..........เฮ้ออออ.............

                          ผมรับรูปขนาดหนึ่งนิ้วมาพิจารณาด้วยความภาคภูมิใจปนเศร้า.....................ผมภูมิใจที่นัทเรียนจบแล้ว ต่อไปนี้ก็จะได้เป็นหมอสมกับที่สู้อุตส่าห์พากเพียรมานานปี..............แต่ผมก็อดใจหายไม่ได้ เมื่อนึกถึงวันที่เค้าต้องจากผมไปกำลังจะมาถึงในไม่ช้านี้.............อนาคตข้างหน้าของเราสองคนจะเป็นอย่างไรต่อไป คงมีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้.........แต่ผมเดาเอาว่าคงจบไม่สวยแน่ๆ..................

                        “พี่ขอเก็บเอาไว้ใบหนึ่งได้มั้ย”..............ผมชูภาพของนัทขึ้นมาเป็นเชิงขอความเห็นชอบ.............ผมอยากเก็บพกติดกระเป๋าเอาไว้เป็นที่ระลึก.............ความจริงผมก็มีภาพที่นัทเคยถ่ายเก็บเอาไว้เก็บในแลปทอปอยู่แล้วบางส่วน..............แต่ภาพชุดครุยแบบนี้ ถึงจะดูเชยหน่อยๆ แต่ก็น่าประทับใจมากกว่า..............

                        “เอาไปสิ” นัทเอ่ยปากอนุญาตอย่างไม่ใส่ใจนัก แล้วก็หันไปจัดการกับของกินที่วางอยู่ข้างหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจต่อไป..............

                         ผมยิ้มแอบอมยิ้มกับความช่างกินของเค้า..............ก่อนจะบรรจงเก็บภาพใบจิ๋วนั้นลงในกระเป๋าสตางค์............แม้วันข้างหน้าเราจะไม่ได้เป็นแฟนกันแล้วก็ตาม แต่ผมก็จะยังเก็บภาพใบนี้เอาไว้กับตัวตลอดไป.................


                         ระยะหลังเราสองคนใช้เวลาขลุกอยู่ด้วยกันแทบทั้งวันทั้งคืนเลยก็ว่าได้............จากหนึ่งวันเพิ่มเป็นสองวัน สามวันและสี่วัน โดยแทบจะไม่ได้ออกไปไหนเลย.......................ผมมีหน้าที่คอยทำกับข้าว ล้างถ้วยจาน เก็บกวาดห้องหับ..............ส่วนนัทน่ะเหรอ..........หน้าที่ของเค้าก็คือ กิน นอน ดูทีวี และก็เล่นเกมส์.....................

                        “พี่กั้ง...........นัทยังไม่มีชุดใส่ไปทำงานเลยอ่ะ.......พี่กั้งพานัทไปซื้อหน่อยสิ”...........นัทหันมาปรารภกับผมหลังจากเบื่อกับการกินแล้ว..............ดูเค้าตื่นเต้นไม่เบากับการที่จะต้องออกไปทำงานครั้งแรกในชีวิต...........แต่กว่าจะได้ที่ทำงาน ก็นับได้ว่าผ่านความวุ่นวายกับเรื่องการเลือกโรงพยาบาลเจ้ากรรมนั่นพอสมควร............

                        “นัทอยากไปทำงานที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มากกว่า...........เห็นรุ่นพี่บอกว่าได้ค่าตอบแทนเยอะมาก...........อีกอย่างนัทไปอยู่ที่นั่นก็ไม่มีปัญหากับวัฒนธรรมของคนที่นั่นอยู่แล้ว”...........นัทเคยบอกความคิดดังกล่าวกับผมเมื่อครั้งที่กำลังอยู่ในระหว่างการตัดสินใจเลือกสถานที่ที่จะไปทำงาน.................ผมไม่ชอบกับความคิดนี้เลย................ประการแรก ผมไม่อยากให้เค้าคิดเรื่องเงินทองมากจนเกินไป...........ประการที่สองผมอดมีอคติไม่ได้ว่าสิ่งที่เค้ากำลังจะทำ มันคือการพยายามจะวิ่งหนีไปจากผมให้ไกลที่สุด................เค้าช่างสามารถพูดถึงแผนการที่จะทิ้งผมไป..............โดยเอาเรื่องงานมาอ้างกับผมได้อย่างเลือดเย็น..............

                        “จะไปทำไม.........ที่นั่นไม่ปลอดภัยนะ ขนาดพี่อยากลงไปเก็บตัวอย่างยังไม่กล้าไปเลย”............ผมให้เหตุผลไปตามความจริง เนื่องจากอดเป็นห่วงไม่ได้หากเค้าต้องไปอยู่ในพื้นที่เสี่ยงอันตรายแบบนั้น..........

                        “ไม่เห็นเป็นไร นัทก็อยู่แต่ในโรงพยาบาลก็ได้”..........นัทเถียงไปข้างๆคูๆตามประสาคนชอบเอาแต่ใจตัวเอง............แต่ผมรู้ว่าในใจเค้าก็วิตกเรื่องความปลอดภัยที่ว่านี้เหมือนกัน...............


                         และในที่สุด นัทก็ตัดสินใจเลือกโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดแพร่จนได้..............โดยเค้าได้ให้เหตุผลในภานหลังว่าเพราะทางบ้านขอร้องเอาไว้..............แต่ถึงยังไงก็ไม่วายเก็บเอามาค่อนขอดผมอีกเช่นเคย.................หรือเค้าจะบอกว่าที่เค้าไม่ไปภาคใต้เพราะผมเป็นสาเหตุหนึ่ง.........ไม่มีวันซะล่ะ.........

                        “นัทไม่น่าเอามาเล่าให้พี่กั้งฟังเลย............พอเล่าให้ฟังก็ชอบมาวุ่นวาย..........ชอบมาบงการนั่นนี่........น่ารำคาญ”..............ผมอึ้งกับสิ่งที่เค้าพูดไปชั่วขณะ...............อะไรวะ...............มาเล่าให้เราฟังเอง...........มาปรึกษาเราเอง.............พอเราแสดงความคิดเห็น ก็หาว่าบงการ...............พาลชัดๆ.............

                         “นัทก็ขอย้ายไปที่นั่นสิ ทำงานแค่หกเดือนก็ขอย้ายได้แล้ว ย้ายเข้าพื้นที่ที่นั่นง่ายจะตายไป ใครๆเค้าก็มีแต่อยากจะย้ายออกมากันทั้งนั้น คนอยากจะย้ายเข้าไปคงน้อย กลัวแต่ว่าเขียนย้ายวันนี้ก็อนุมัติวันนี้นั่นแหล่ะ”…………….ผมรู้ว่าเค้าไม่ได้เอาคำพูดของผมไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจครั้งนี้ของเค้าเลย..............เค้าเพียงแค่อยากหาเรื่องมาลงที่ผมตามนิสัยชอบพาลมากกว่า............ดังนั้นผมจึงแกล้งพูดยั่วให้เค้าเจ็บใจเล่นๆ................อยากไปนักก็ไปซะสิ...............กลัวแต่เอาเข้าจริงจะไม่กล้าล่ะมากกว่า..............

                        “พอเถอะ..........ไม่ต้องพูดแล้ว รำคาญ”..............นัทสะบัดหน้าใส่ผมอย่างขัดใจ...............อย่างงี้ทุกที...............พูดอะไรขัดใจก็ชอบทำงอนเหมือนเด็กๆ.............เฒ่าทารกเอ้ยยยยยยยยย.......



                         นัทไม่ค่อยมีเงินมากนักสำหรับค่าซื้อชุดทำงานใหม่.............ผมกะเอาไว้ในใจอยู่แล้วว่าจะช่วยออกให้บางส่วน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมอยากจะดูก่อนว่าเค้าจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไง.............ปกติเค้าไม่ใช่คนที่จะเอ่ยปากรบกวนเงินทองจากใคร.........ต้องยอมรับว่าศักดิ์ศรีและวินัยเรื่องการเงินของเค้าดีมากกกกกก....

                        ผมโทรไปชวนมอลลี่มาชอปปิ้งเป็นเพื่อนในครั้งนี้ด้วย..............แม้ว่าจะคบกันมานานแล้ว.........แต่ถ้าเลือกได้.......เวลาที่ออกไปสู่สายตาสาธารณะชนนัทมักจะอยากให้มีบุคคลที่สามไปกับเราด้วยเสมอ............ผมเคยลองถามถึงสาเหตุก็ได้คำตอบจากเค้าว่า.........

                        “นัทกลัวคนรู้จักเห็น..........เดี๋ยวเค้าก็รู้กันพอดี”.............นี่เป็นเหตุผลที่ฟังแล้วขัดหูพิกล........ก็ในเมื่อเพื่อนที่ออกไปฝึกงานกับเค้าก็เป็นเกย์ แถมสาวแตกเสียด้วย ผมยังเห็นนัทไปไหนมาไหนกับเค้าไม่เคอะเขิน................

                        “ก็นั่นมันเพื่อนนี่”..........นัทยังคงยืนกรานถึงเหตุผลแปลกๆของเค้า..........

                       “ถ้างั้นนัทก็คิดว่าพี่เป็นเพื่อนหรือเป็นพี่สิ ไม่เห็นจะต่างกันเลย”...........ผมพยายามหว่านล้อมให้เค้าคิดว่าผมก็เป็นเหมือนเพื่อนคนหนึ่งของเค้า เพื่อให้เค้าคลายความกังวลลงเวลาเราออกไปไหนมาไหนด้วยกัน...............

                       “มันไม่เหมือนกัน นัทคิดแบบนั้นไม่ได้อ่ะ............หรือว่าพี่กั้งอยากจะให้คิด”............นัทหันมาทำตาเจ้าเล่ห์ใส่ผมเป็นเชิงขู่.............ผมจึงหุบปากเสีย..............ยังไงก็จะพยายามเข้าใจละกัน......ผมเองก็ไม่ได้อยากจะควงเค้าไปไหนมาไหนนักหรอก.............ขอเพียงแต่รักและซื่อสัตย์กับผมคนเดียวก็พอ...................อย่างอื่นก็ช่างหัวมัน...............

                        เราสามคนเดินเลือกเสื้อผ้าย่านกาดสวนแก้วจนมาเจอร้านที่ถูกใจ....................นัทไม่ถนัดเรื่องพวกนี้เลย...........เสื้อผ้าที่เค้าใส่ส่วนใหญ่มักจะเป็นเสื้อผ้าเชยๆล้าสมัย............จริงๆแล้วผมว่าเค้าเองก็คงอยากจะแต่งตัวดีๆเหมือนกัน แต่ว่าคงติดที่ต้องประหยัดเรื่องค่าใช้จ่าย.............อีกทั้งแต่งมากไปคนจะหาว่าเป็นเกย์........เค้าจึงตัดปัญหาโดยการทำตัวซกมกแทน...................


                        ผมและมอลลี่ช่วยเลือกเสื้อผ้าให้นัทสองสามชุด...............นัทลองชุดนั้นชุดนี้อย่างมีความสุข..........ท่าทางเค้ายังดูประดักประเดิด เคอะๆเขินๆอยู่บ้าง............ก็คนมันไม่เคยทำอะไรแบบนี้...............ก็ต้องดูเก้ๆกังๆบ้างแหล่ะ............อีกหน่อยขี้คร้านแต่จะคล่องยิ่งกว่าคนพามานั่นแหล่ะ..........

                        “นัทยังไม่ได้รองเท้าเลย”...............นัทดึงมือผมไว้เมื่อเราก้าวออกมาจากร้านขายเสื้อผ้า..........

“ได้...........เดี๋ยวจัดให้”..............ผมยิ้มพลางขยิบตาให้มอลลี่.............ดูท่าตาเฉิ่มนี่จะช้อปจนติดลมบนเสียแล้ว...............

                        ดังนั้นเมื่อออกจากร้านเสื้อผ้า...............เราจึงมาแวะที่ร้านรองเท้าต่อ.................นัทวุ่นวายอยู่กับการลองรองเท้าคู่นั้นคู่นี้.............ใส่แล้วก็เดินไปเดินมาจนผมนึกรำคาญ....................อะไรกันนักกันหนา ช่างเลือก จุกจิก จู้จี้ยิ่งกว่าผู้หญิงเสียอีก...........แม้ผมจะชอบชอปปิ้ง...............แต่ผมไม่เสียเวลาเลือกนั่นลองนี่ให้วุ่นวายแบบนี้หรอก................เหมือนนิสัยผู้หญิงเลย............จุกจิกชะมัด............

                          “พี่กั้ง นัทกดตังมาไม่พอ ขอยืมที่พี่กั้งก่อนสิ”................นัทเอ่ยปากของยืมเงินจากผมเพื่อนำมาจ่ายค่ารองเท้า และเข็มขัดที่เค้าตกลงใจเลือกไปเรียบร้อยแล้ว................

                          ผมควักตังในกระเป๋ายื่นให้โดยง่าย.............ถ้าเค้าไม่ให้คืนก็ถือว่าผมซื้อให้ก็แล้วกัน............ไม่เป็นไรหรอก..........ผมแอบคิดเอาไว้ในใจ..................

                         “พี่กั้งจ่ายค่าเข็มขัดให้นัทนะ..........”...............นัทหันมาอ้อนเมื่อเราเดินออกมาจากร้านรองเท้าได้สักพัก.................ผมเหลือบมองที่มอลลี่ แล้วหันมายิ้มกับนัทไม่ว่ากระไร...............จะมาอ้อนอะไรไม่รู้จักอายพี่มอลลี่เค้ามั่ง..............เดี๋ยวเค้าก็จะหาว่าโดนผมตามใจจนเสียเด็กหรอก................

                        กลายเป็นว่าผมได้จ่ายน้อยเกินคาดแฮะ..............อุตส่าห์ว่าจะช่วยสมทบทุนซะหน่อย...............แต่ก็ดีแล้วให้เค้ารู้จักพึ่งตัวเองจะได้ภูมิใจ...........อีกหน่อยพอเค้าไปทำงานแล้ว เดี๋ยวก็คงจะมีเงินใช้มากกว่าผมเยอะแยะแล้ว..............

                        ระหว่างที่เราสามคนแวะซื้อของกินที่กาดหลวง..............นัทเดินหายไปจากกลุ่มสักครู่ แล้วกลับมาพร้อมกับยื่นเงินคืนให้ผม..................

                         “อ่ะ...........นัทคืนตังที่ยืมเมื่อกี้ให้”.................ผมยื่นมือไปรับด้วยความประหลาดใจ.............ไม่คิดว่าเค้าจะคืนตังให้เร็วขนาดนี้...............ถ้าเค้าแกล้งลืมๆไปซะ ยังไงผมก็ไม่ทวงอยู่แล้ว........อื มมมม...........เค้าทำให้ผมประหลาดใจจริงๆ...............


                        ผมกับนัทกลับมาที่ห้องพร้อมกับข้าวของพะรุงพะรัง................นัทง่วนอยู่กับการหยิบนั่นลองนี่อย่างมีความสุข...................แม้เค้าจะพยายามเก็บซ่อนความเป็นเกย์เอาไว้...............แต่นิสัยเกย์ก็ยังไงก็ต้องชื่นชอบการแต่งตัว ชื่นชมเสื้อผ้าสวยๆอยู่ดี.............ผมยืนมองเค้าลองเสื้อผ้าสักพักหนึ่ง จึงเดินเลี่ยงไปเปิดตู้เย็นเพื่อดื่มน้ำ.................

                        เมื่อปิดตู้เย็นแล้วหันกลับมาอีกครั้ง ผมก็พบกับความประหลาดใจนแทบตั้งตัวไม่ติด เมื่อนัทก็เดินมาไหว้ที่อกของผมอย่างซาบซึ้งในน้ำใจ.................

                         “พี่กั้งขอบคุณนะครับที่พานัทไปซื้อเสื้อผ้า”.................ผมไม่ทราบว่าจะพูดอะไร จึงได้แต่ยิ้มเฉยๆ................คิดไม่ถึงเลยว่า เรื่องเล็กๆน้อยๆแค่นี้เค้าจะเอามาคิดซาบซึ้งเป็นบุญเป็นคุณ...........ทีเรื่องอื่นผมทำให้เค้ามากกว่านี้ตั้งเยอะยังเห็นเฉยๆ............ประหลาดดีแท้...............วันนี้เค้าทำให้ผมประหลาดใจอีกเป็นครั้งที่สองแล้วนะเนี่ย..............ผมนึกว่าผมเข้าใจความคิดของนัทดีแล้วซะอีก............แต่บางทีผมชักไม่แน่ใจแล้วว่า.............จริงๆแล้ว ผมเข้าใจในตัวเค้ามากแค่ไหนกัน.............

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #528 เมื่อ08-10-2007 13:22:10 »



กว่าจะเข้าใจในตัวใครสักคนหนึ่งนะมันยากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก นะ

บางที...เรื่องที่ใหญ่ในสายตาเรา  อาจจะเล็กในสายตาเขา  เรื่องที่จิ๊บๆ ในสายตาเรา  อาจจะบิ๊กบึ้มในสายตาเขาก็ได้

ใครจะรู้?



ปล. ที่บ่นๆ ว่าเงินไม่พอใช่ทั้งๆ ที่ แต่ละเดือนได้มากกว่าอิชั้นสามเท่านะ  ที่แท้ก็เอาไปบำเรอ ผ. นี้เอง  พี่สาวอิชั้น  กลุ้ม  :เฮ้อ:

yuttaya

  • บุคคลทั่วไป
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #529 เมื่อ08-10-2007 14:55:29 »

บ้าเหรอ..........พูดไปเรื่อย.........เรื่องไม่จริง............ใครมาได้ยินเข้ามันจะไม่งาม..........

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: คนละปลายทาง
« ตอบ #529 เมื่อ: 08-10-2007 14:55:29 »





ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #530 เมื่อ08-10-2007 15:31:35 »

^
^
ได้ยินไปแล้วอะ  :m14:

เห็นด้วย บางที...เรื่องที่ใหญ่ในสายตาเรา  อาจจะเล็กในสายตาเขา  เรื่องที่จิ๊บๆ ในสายตาเรา  อาจจะบิ๊กบึ้มในสายตาเขาก็ได้  ใครจะรู้?

รออ่านต่อ  :a2:

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #531 เมื่อ08-10-2007 17:23:05 »

ได้ยินด้วยคน  :m20:

เห็นด้วยกะพี่สอง  รออ่านต่อนะคุณกั๊ง  :m18: :m18:

yuttaya

  • บุคคลทั่วไป
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #532 เมื่อ12-10-2007 16:27:40 »

                          “วันนี้นัทไม่ไปนอนที่ห้องด้วยนะ ยังเก็บของไม่เสร็จเลย”...............นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ที่ผมได้ยินคำว่า “เก็บของจากนัท”...............เก็บบ้าเก็บบออะไรกันนักหนา...................ผมนึกเดือดดาลอยู่ในใจ........ผมรู้สึกว่าพักนี้นัทไม่ค่อยใส่ใจอยากจะเจอผมเท่าที่ควร..........นี่เราก็ไม่ได้เจอกันหลายวันแล้ว ทั้งๆที่อยู่ใกล้กันแค่นิดเดียว............อีกทั้งเวลาของเราก็จวนจะหมดลงไปทุกที............เค้าควรจะต้องรู้จักแบ่งเวลา จัดลำดับความสำคัญมั่งสิ.............ตอนกลางวันที่ผมไปทำแลป ผมก็ปล่อยให้เค้าไปอยู่ห้องเก็บของได้ทั้งวัน.........พอตกเย็นก็ควรจะเป็นเวลาที่เราจะได้อยู่ด้วยกันไม่ใช่หรือ.............หรือว่าสิ่งที่ผมขอเนี่ย มันเป็นการเรียกร้องมากจนเกินไป..............ดังนั้น เมื่อได้ยินคำว่าเก็บของที่ไม่รู้จักจบสิ้นของเขา..........สติของผมจึงขาดผึงลงทันที............คนคนเดียว.............ห้องเล็กนิดเดียว...........จะมีสมบัติพัสถานอะไรกันนักหนา..........การเก็บแพคของทำคืนเดียว รุ่งเช้าขนขึ้นรถผมยังเคยทำออกบ่อย............นี่มันกินเวลามาร่วมสัปดาห์แล้วสำหรับข้ออ้างบ้าๆนี่...........แล้วจะไม่ให้ผมโมโหได้ยังไง...........

                           “เห็นบอกว่าเก็บของๆ ตั้งนานแล้ว....นี่ยังไม่เสร็จอีกเหรอ สมบัติอะไรกันนักหนา”...........ผมระเบิดอารมณ์ใส่นัทอย่างหมดความอดทน...............ถ้าเค้าตั้งใจเก็บจริงๆอย่างที่ปากว่า ป่านนี้คงเสร็จไปตั้งนานแล้ว............แต่นี่คงมัวแต่เล่นเกมส์ล่ะมากกว่า...................

                            ผมทั้งโมโห ทั้งน้อยใจที่เค้าไม่ได้ให้ความสำคัญกับการใช้เวลาร่วมกันของเราสองคนอย่างที่ผมต้องการ............ผมมีความเชื่อตามคติของตัวเองว่า...........เมื่อคนรักกัน ก็ย่อมจะต้องอยากอยู่ใกล้กัน.............เมื่อไม่ได้อยากจะมาอยู่ใกล้ ก็แสดงว่าหมดรักกันแล้ว............เพราะฉะนั้น เค้าต้องกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่แน่ๆ..................

                          เมื่อคิดได้ดังนั้นต่อมโมโหของผมก็ยิ่งพุ่งปรี๊ดมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม..............ปมในใจที่เคยนอนนิ่งตกตะกอนมานาน ถูกเขี่ยให้ฟุ้งกระจายขึ้นมาอีกครั้ง.......................แน่สิ...........เค้าไม่ได้คิดจริงจังกับผมอยู่แล้วนี่...........ที่เค้าบอกว่ารัก บอกว่าผูกพันก็เป็นแค่เพียงอารมณ์ชั่ววูบ พูดไปตามความคะนองปากเท่านั้น............จะมีความหมายอะไรให้น่าจดจำ...............ผมซะอีกที่หลงละเมอเพ้อพกเป็นบ้าเป็นบออยู่คนเดียวมาตลอด...............

                           “นี่ตกลงว่าจะไม่มาใช่มั้ย”................ผมแค่นเสียงถามเป็นครั้งสุดท้าย.............ถ้าไม่มาก็เลิก.........นี่เป็นความตั้งใจที่แน่วแน่.............ผมยอมรับว่าบางทีผมก็เป็นคนที่ขาดความอดทนในเรื่องเล็กๆน้อยๆ...........แต่กับบางเรื่องผมกลับผมอดทนได้อย่างเหลือเชื่อ.............

                          “ไม่ไป...........จะเก็บของ วู้วววววววว.........เซ้าซี้อยู่ได้รำคาญ............มีอะไรอีกมั้ย จะวางแล้วนะ”..........เค้ารู้ว่าผมเป็นคนยังไง แต่ก็ยังจะทำตัวดื้อแพ่ง.........ดี........แล้วเราจะได้เห็นดีกัน..........เวลาผมไม่ได้ดั่งใจ ผมจะโมโหสุดๆ.............แต่ถ้าปล่อยให้เวลาผ่านไปแล้ว ผมก็จะกลับมาใจดีเหมือนเดิม.........เพราะผมมีนิสัยชอบให้อภัยคนอื่นเสมอ..........ซึ่งอาจจะเป็นข้อดีหรือไม่ดีก็ไม่อาจทราบได้...............รู้แต่ว่าตอนนี้ผมกำลังขัดใจอย่างแรง...............

                            “เออ........งั้นแค่นี้ล่ะ”................ผมวางสายแล้วกลับมานั่งมือไม้สั่นอยู่คนเดียว..........ความคับแค้นใจจากเรื่องราวต่างๆในอดีตที่เค้าเคยทำร้ายจิตใจผมเอาไว้ ผุดขึ้นมาในหัวสมองเป็นลำดับลำดา.............

                           ตั้งแต่คบกันมาเค้าคอยพูดกรอกหูผมเสมอว่า เค้าไม่ได้คิดจะจริงจังอะไรกับผม.............เวลาไปไหนมาไหนด้วยกัน ไม่เคยเลยแม้สักครั้งที่เค้าจะอยากเดินเคียงข้างผมด้วยความเต็มใจ............เค้าไม่เคยคิดว่าผมจะรู้สึกอย่างไรกับการที่ต้องมาคอยนั่งตามใจเค้าต่างๆนานา...........เค้าคิดเพียงอย่างเดียวว่าเค้าต้องการอะไร ส่วนผมจะต้องการอะไรก็ช่างหัวมัน.............นี่ผมมองคนผิดไปจริงๆหรือ..............เค้าใจดำกว่าที่ผมคิดเอาไว้มาก..........ใช่......เค้าใจดำมาก.................

                           ความเสียใจหลั่งไหลมาจากทุกทิศทาง............ผมรู้สึกโกรธ โง่ และสิ้นหวัง...........เค้ากำลังจะไปจากเชียงใหม่แล้ว.............นี่คงกำลังจะคิดตีตัวออกห่าง...............เค้าไม่ได้ให้ความสำคัญกับผมเลยแม้แต่น้อย.............ไม่เคยแคร์ความรู้สึกของผมเลย เอาแต่ตัวเองเป็นใหญ่.........นึกอยากจะมาก็มา นึกอยากจะไปก็ไป............ไม่เคยเห็นผมอยู่ในสายตา..............แล้วผมจะมานั่งทนให้ตัวเองเสียใจไปทำไมกัน............ไหนๆก็ต้องจากกันอยู่แล้ว..........สู้ผมบอกเลิกตอนนี้ไปเลยดีกว่า.........บอกตรงๆว่าผมสู้ต่อไปไม่ไหวแล้ว.............ณ ตอนนี้ ผมพร้อมที่จะถอยอยู่ตลอดเวลา..........ที่ผ่านมานี่ก็ถือว่าอดทนได้มากพอแล้ว............หากเป็นคนอื่นคงบอกเลิกลาไปตั้งแต่เริ่มได้ยินประโยคแรกที่เค้าบอกเงื่อนไขของการคบกัน......

                          ผมนั่งนึกย้อนไปถึงครั้งแรกที่ผมบอกเลิกกับเค้า คราวนั้นก็เป็นเหตุการณ์คล้ายๆกันนี้ คือเค้าอยากจะมีเวลาส่วนตัว.............. ...ตอนนั้นผมใช้วิธีส่งข้อความไปบอกเลิก...............แต่คราวนี้ผมจะไม่ทำอย่างนั้น...............คราวนี้ผมเอาจริง เพราะฉะนั้นผมควรต้องโทรไปบอกเค้าด้วยวาจา................เมื่อคิดได้ดังนั้น ผมจึงยกโทรศัพท์ขึ้นมา กดสายถึงนัททันที.....................

                          “ฮัลโหล.............”...............เสียงนัทฟังดูแผ่วเบาอย่างเห็นได้ชัด...........แสดงว่าคงสำนึกได้แล้วว่าเมื่อครู่ตัวเองทำเกินกว่าเหตุ................แต่จะมาคิดได้ตอนนี้ก็สายเกินไปเสียแล้ว............เพราะผมไม่มีวันเปลี่ยนใจง่ายๆหรอก…………

                           ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก...............ก่อนจะกลั้นใจพูดในสิ่งที่ได้ตรียมเอาไว้แล้วออกมา.............

                          “นัท...........พี่มาคิดๆดูแล้ว พี่ว่าเราไปด้วยกันไม่ได้หรอก เราเลิกกันเถอะ.........ถึงยังไงเราก็ต้องจากกันอยู่แล้ว........จะเลิกตอนไหนก็คงไม่ต่างกันหรอก”...............เฮ้อ..........ผมแอบลอบถอนหายใจหลังจากที่พูดในสิ่งที่คิดว่าผ่านการใคร่ครวญอย่างดีแล้วออกมา (จริงๆแล้วก็ผสมอารมณ์โกรธไปไม่น้อยเลยล่ะ)...............

                          “เป็นอะไรไปอีกล่ะเนี่ย”..............นัทถามเสียงอ่อน แต่ยังคงเจือความหงุดหงิดเอาไว้บางๆ

                          “ไม่ได้เป็นอะไร...........พี่ว่า ถ้านัทไม่ได้รักพี่ เราก็ควรจะเลิกกัน”...............ผมเริ่มระบายสิ่งที่อัดอั้นภายในใจออกมา.............ถ้าได้บอกให้เค้ารับรู้บ้าง...........บางทีผมอาจจะรู้สึกดีขึ้นก็ได้..............

                         “ทำไมพี่กั้งต้องคิดว่าอยู่ไกลกันแล้วต้องเลิกกันด้วย นัทไม่เข้าใจ” นัทมีท่าทีอ่อนลง........คราวนี้เค้าคงรู้ว่าผมเอาจริง..............

                         “ขนาดเราอยู่ใกล้กันแค่นี้ นัทยังเป็นแบบนี้เลย แล้วจะให้พี่คิดยังไง”........ผมชี้ให้เค้ายอมรับความเป็นจริงในข้อนี้............ถ้าเราต้องไปอยู่ไกลกันแล้ว ผมคงไม่มีตัวตนสำหรับเค้าแน่ๆ......

                         “ช่วงนี้นัทมีเรื่องให้ต้องกังวลหลายอย่าง ไหนจะเรื่องที่จะไปทำงาน เรื่องที่บ้าน ไหนจะเรื่องต้องเก็บของ ตอนนี้นัทอาจจะดูแลพี่กั้งได้ไม่ดี แต่ต่อไปนัทอาจจะทำได้ดีกว่านี้ก็ได้”.............เค้าคิดว่าผมจะเชื่อความหวังลมๆแล้งๆที่เค้าให้มาเหรอ..............เค้าคิดผิดถนัด...........

                           “ก็ไม่เป็นไร พี่เข้าใจ.........พี่ว่านัทคงยังไม่พร้อมที่จะดูแลใคร..........แค่สิ่งพื้นฐานของการเป็นแฟนกันนัทยังทำไม่ได้...” ..........แน่ล่ะ..........แค่ไปมาหาสู่ คอยดูแลความรู้สึกของกันและกันแค่นี้เค้ายังทำไม่ได้.........เค้าไม่รู้จักเรียนรู้ที่จะเป็นฝ่ายให้ความรู้สึกดีๆแก่ใครเลย..........คอยทำตัวเป็นผู้รับตลอด.......ผมพยายามจะเปลี่ยนเค้าแล้ว..........แต่ได้ชั่วประเดี๋ยวเท่านั้น.........เป็นธรรมดาของไม่แก่ที่มักจะดัดยาก..............

                          “พี่กั้งทำให้นัทรู้สึกว่าเราต้องอยู่ด้วยกันตลอด........นัทก็อยากมีเวลาส่วนตัวของนัทบ้าง”........ติดกันตลอดเหรอ...........เฮอะ...........ผมไปตามติดเค้าเป็นเงาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน.........โทรจิกผมก็ไม่เคยทำ.............ตอนกลางวันผมก็ไปทำแลป ผมแค่ขอเวลาจากเค้าในช่วงกลางคืนแค่นั้น......มันมากไปเหรอ.......เค้าพูดเหมือนกับว่าผมเป็นฝ่ายต้องการเค้าเพียงฝ่ายเดียว ในขณะที่เค้าไม่ได้ต้องการผมเลยงั้นแหล่ะ...............

                         “ช่างมันเถอะไม่ต้องสนใจหรอก”............ผมพยายามจะตัดบทเพราะยิ่งพูดมากยิ่งเจ็บปวดกับสิ่งที่เค้าพูดออกมา

                         “ถ้าพี่กั้งอยากเลิก นัทก็แล้วแต่พี่กั้ง..............แต่นัทไม่ได้อยากเลิก”............นัทพยายามประวิงเวลาเอาไว้...........แต่ไม่มีประโยชน์.............ก่อนจะทำอะไรลงไปเค้าควรจะหัดคิดซะบ้าง..........เพราะบางอย่างไม่มีโอกาสให้แก้ตัวได้บ่อยๆ............โดยเฉพาะเรื่องความรัก............

                          “ถ้าไม่อยากเลิกนัทก็ต้องปรับตัวสิ..........พี่ไม่เห็นว่านัทจะทำอะไรเพื่อพี่สักอย่าง”.........ว่าจะไม่พูดแล้วเชียว.............แต่มันเหลืออดจริงๆ.................

                          “นัทก็ปรับแล้ว...........พี่กั้งไม่คิดว่านัทปรับเหรอ..........นัทก็พยายามปรับตัวตลอด........แต่นัททำได้แค่นี้”...............ปรับแล้วงั้นเหรอ...............พูดมาได้.............ปรับให้เลวลงน่ะสิ..........

                         “พี่เห็นนัทพูดเรื่องเก็บของนี่นานมากแล้วนะ..........พี่ไม่เข้าใจว่าเก็บอะไรกันนักกันหนา.........หรือว่าเป็นแค่ข้ออ้าง”............ผมไม่มีทางเชื่อว่าเค้าตั้งใจจะเก็บของจริงๆ.............เค้าโกหก........เก็บบ้าเก็บบออะไร เกือบอาทิยต์แล้ว ทำยังกะอยู่บ้านเป็นหลัง..........สมบัติกะอีแค่ห้องเท่าผืนเสื่อ จะมีอะไรให้เก็บมากมาย...........ไปหลอกเด็กอนุบาลเถอะ.........ฉันน่ะเด็ก ป. เอก...........

                          “ถ้าไม่เชื่อพี่กั้งมาดูก็ได้”...........นัทเอ่ยปากชวน..............แต่เรื่องอะไรผมจะไป...........ตั้งแต่คบกันมาผมไม่เคยเหยียบไปที่ห้องของเค้าเลย เพราะนัทอายเพื่อน เนื่องจากเป็นหอนักศึกษาแพทย์............แต่พอถึงเวลาผมจะบอกเลิกเข้าจริงๆ ถึงกับกล้าชวนให้ไปดูที่ห้อง..............สายไปซะแล้ว............

                           “ไม่ล่ะ..........นัทเก็บของต่อไปเหอะ.............เดี๋ยวบ่ายๆพี่จะแวะไปเอาซีดีที่นัทยืมมอลลี่ไป มาคืนเค้านะ...........แล้วพี่จะโทรไปหา”............ผมทวงซีดีหนังที่นัทเคยยืมมอลลี่ไปดู............ถึงเราจะเลิกกันแล้วผมก็ควรจะสะสางทุกๆอย่างไม่ให้คั่งค้าง เพราะคนอื่นเค้าไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้............ของๆเค้าเอามาก็ต้องคืน..........

                           ผมวางสายจากนัทไปแล้ว..............ตอนนี้สมองของผมกำลังมึนงงกับสิ่งที่เกิดเมื่อครู่..........มันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนผมตั้งตัวแทบไม่ติด............จากเป็นแฟน ตอนนี้จะมีคำว่า “เคย” นำหน้า กลายเป็นคำว่า “เคยเป็นแฟน”..............ผมไม่แน่ใจนักว่าได้ฟังเสียงหัวใจตัวเองดีแค่ไหน............แต่ผมเจ็บปวดกับเรื่อพวกนี้เกินกว่าที่จะทนอะไรได้อีกแล้ว.............

                        อากาศข้างนอกนิ่งสนิท ชวนให้อึดอัดเป็นที่สุด......... ผมสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างช้าๆ..............เดินไปหยิบบุหรี่ออกมายืนสูบตรงหน้าต่างของห้องแลป...........คล้อยบ่ายแล้ว ลานจอดรถว่างเปล่าไร้ผู้คน............ผมพ่นควันบุหรี่ออกมาอย่างช้าๆพลางทอดสายตามองตามควันสีเทาจางๆที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ แล้วจางหายไป...........ก็แค่แวะไปเอาซีดีของมอลลี่ แล้วทุกอย่างก็จะจบ........จบจริงๆ...........ผมตั้งใจอยากให้เป็นอย่างนั้น.........แต่ผมไม่แน่ใจเท่าไหร่..............

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #533 เมื่อ12-10-2007 16:46:24 »

เหอ เหอ คิดว่าไม่จบง่ายขนาดนี้หรอก  :m13: สงสัยงานนี้นัทง้อแน่ ๆ  :m4:  :m4:  :m4:

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #534 เมื่อ13-10-2007 10:09:37 »

ต้องปรับกันทั้งสองฝ่าย
 :เฮ้อ:

yuttaya

  • บุคคลทั่วไป
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #535 เมื่อ13-10-2007 21:32:15 »

ปรับอะไร.........บอกมาสิ  :m14:

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #536 เมื่อ17-10-2007 16:01:11 »

อ่านตั้งนานแล้ว  ดันลืมเม้นต์ อิอิ

คุณกั้งตั้งความหวังกับนัทเกินไปรึเปล่า
คาดหวังว่าเค้าจะต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้  ต้องมีแนวคิดแนวทางเดียวกัน
บางครั้งคนเราก็มาจากพื้นฐานครอบครัวต่างกัน  ความคิดการแสดงออกก็ไม่เหมือนกันหรอก
จริงๆ ก็อาจจะไม่เลวร้ายก็ได้นา  รักเค้าในแบบที่เค้าเป็น
ส่วนเรื่องจุดหมายปลายทาง  เฮ้อ  พูดยากเนอะ รักกับคนที่บอกว่าไม่มีอนาคตร่วมกัน
แต่ถ้าเรื่องระยะทางที่นัทต้องไปทำงานต่างจังหวัดอ่า  ไม่น่าเป็นไรนา อิอิ

รออ่านต่อค้าบบบ สู้ๆ หายหน้าหายตาไปเยยอะ  :a2:

yuttaya

  • บุคคลทั่วไป
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #537 เมื่อ19-10-2007 08:44:56 »

ขอบคุณสำหรับกำลังใจครับ

yuttaya

  • บุคคลทั่วไป
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #538 เมื่อ19-10-2007 09:53:56 »

                         น่าแปลก..............ทั้งที่ปากผมบอกว่าอยากจะเลิก............แต่ลึกๆแล้ว ผมไม่ได้คิดแบบนั้นเลยสักนิด..............ผมนี่มันเป็นคนประเภทไหนกันแน่............ปากอย่างใจอย่างหรือไง?

                        นี่เป็นหนที่สองแล้วที่ผมบอกเลิกกับนัท.............ถ้าหากครั้งนี้เราไม่ได้เลิกกันจริงๆ อย่างที่ผมได้ลั่นวาจาออกไป.............ในอนาคตผมคงจะต้องลำบากกับความสัมพันธ์ของเรามากกว่านี้............ผมจะกลายเป็นคนโลเล..........ทำไม่ได้จริงอย่างที่พูด...........และชอบต่อความยาวสาวความยืด ต่อรองกันไปไม่รู้จักจบสิ้น............เพราะคำพูดจากปากจองผม แรกๆมันอาจจะดูว่าเป็นเรื่องจริงจัง แต่หากว่าเกิดขึ้นบ่อยเข้า มันจะกลายเป็นเรื่องไร้สาระอย่างไม่ต้องสงสัย..........ท้ายที่สุดนัทก็จะเรียนรู้ว่า ผมรักเค้ามากเกินกว่าที่จะกล้าทิ้งเค้าได้ลง..........และถึงตอนนั้นเค้าก็จะไม่แคร์ความรู้สึกของผมอีกต่อไป.............อยากทำอะไรเค้าก็จะทำ...........ถ้าผมไม่อยากจะเจ็บซ้ำๆซากๆ ผมควรจะต้องแข็งใจ.............ผมจึงเพียรบอกตัวเองเสมอว่า จะต้องแข็งใจ.........

                          บรรยากาศที่ลานจอดรถหน้าหอพักของนัทเงียบเชียบอย่างประหลาด.......................คงเป็นเพราะว่าช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอม............นักศึกษาส่วนใหญ่จึงกลับบ้านกันหมดหรือไม่ก็ย้ายออกไปเนื่องจากเรียนจบแล้ว..............

                          ผมข่มใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจากกระเป๋าอย่างยากลำบาก...............รู้สึกอยากจะวิ่งหนีจากปัญหาตรงนี้ไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้.............ผมไม่ชอบการเผชิญหน้าในสภาวะแบบนี้เลยจริงๆ.........ให้ตายสิ.........

                         “พี่มาถึงแล้ว”.............ผมกรอกเสียงลงในโทรศัพท์อย่างแผ่วเบา แล้ววางสายนั่งรอคอยนาทีแห่งการเผชิญหน้า.......แม้ว่าจะบอกเลิกกับนัทไปแล้ว แต่ผมก็ไม่กล้าที่จะออกไปยืนรอนัทข้างนอกรถอยู่ดี ด้วยว่าเคยชินกับการที่จะต้องคอยหลบซ่อนตัวอยู่แต่ในรถมาตลอด................สายลมร้อนภายนอกพัดต้องยอดหูกวางไหวระริก.................ผมหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน...........พยายามสูดลมหายใจเข้าให้ลึกที่สุด.............หน้าร้อนมาถึงแล้ว.......เวลาของเราก็คงหมดลงแล้วเช่นกัน.............เสมือนดอกทองกวาวที่ชูช่อผลิบานไสวล้อสายลมหนาว...........และร่วงโรยจากต้นไปเมื่อลมร้อนมาเยือน............ปล่อยให้อะไรๆมันจบไปแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน...........มันคงถึงเวลาที่จะต้องจากกันจริงๆซะที...........ชิงลงมือบอกเลิกตอนนี้ ก็คงไม่ต่างจากรอให้เค้าย้ายไปจากเชียงใหม่หรอก...................

                          แล้วเราจะจบกันแบบนี้จริงๆน่ะหรือ..............ผมเพียรถามตัวเองซ้ำๆซากๆ..............นี่ผมใจร้อนเกินไปหรือเปล่านะ.............มโนจิตฝ่ายอ่อนเฝ้าคอยกระซิบถาม จนหัวใจผมสั่นไหวเมื่อหวนระลึกถึงเรื่องดีๆที่เราเคยทำร่วมกันมา................ไม่...........เราทนมามากพอแล้ว...............เค้าไม่เคยทำตัวให้ดีขึ้นเลย........เค้าไม่เคยแคร์ความรู้สึกของผมเลย.............อีกใจหนึ่งของผมแย้งขึ้นมาอย่างกราดเกรี้ยว เมื่อนึกถึงสิ่งแย่ๆที่เค้าได้ทำกับผมเอาไว้ รวมถึงเรื่องที่เพิ่งจะผ่านมาสดๆร้อนๆนี้ด้วย.............

                          ผมเหลือบตามองไปที่บันไดชั้นสี่อย่างเคยชิน............เวลาที่ผมมาคอยนัทที่นี่...........ผมมักจะจดจ่อสายตาอยู่ที่บันไดชั้นสี่เสมอ.............และไม่นานนัทก็จะวิ่งหน้าบานออกมา................แต่ครั้งนี้หน้าของเค้าคงจะไม่บานเช่นเคยอีกแล้ว......................

                         ไม่นานนัก นัทก็โผล่ออกมาตรงหัวมุมบันไดชั้นสี่............ผมขยับตัวขึ้นนั่งในท่าเตรียมพร้อม...........ผมไม่อยากให้เค้าเห็นว่าผมอ่อนแอ...........พูดคำไหนต้องเป็นคำนั้น.............นัทหิ้วถุงกระดาษใบเล็กมาด้วย เดาเอาว่าคงเป็นถุงใส่ซีดีหนังที่ยืมมอลลี่ไป..............สีหน้าเค้าดูไม่ดีนัก.........บางทีผมก็อดคิดไม่ได้ว่า.............นัทคนที่คุยโทรศัพท์กับผม กับนัทคนที่อยู่ต่อหน้า ช่างดูไม่เหมือนกันเอาซะเลย............เวลาที่เค้าอยู่ต่อหน้าผม เค้าจะเป็นคนที่คุยรู้เรื่อง มีเหตุผล.............แต่เวลาที่เราคุยโทรศัพท์กัน เค้าจะกลายเป็นคนฉุนเฉียว ไม่มีน้ำอดน้ำทน และคอยพูดจากทำร้ายจิตใจผมตลอดเวลา............เค้ามีความสับสนในตัวเองอย่างรุนแรง..............ผมไม่รู้ว่าเค้าจะมีความสุขอยู่ได้อย่างไรหากยังขัดแย้งในตัวเองมากขนาดนี้..............มันเป็นพฤติกรรมเหมือนคนสองบุคลิกยังไงยังงั้นเลย.................

                          “นี่ซีดีของพี่มอลลี่............ส่วนอันนี้นัทเอามาให้พี่กั้ง”.............นัทยื่นซีดีให้ผมสองแผ่น..........ผมรับมาโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกไป...............บรรยากาศระหว่างเราชวนให้อึดอัดจนผมรู้สึกคลื่นไส้............นัททำท่าอึกอักอยู่ครู่หนึ่ง เหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง............ผมจ้องมองที่ดวงหน้าของเค้าไม่ละสายตา เพื่อจะรอดูว่าเค้าจะสั่งเสียอะไรกับผมเป็นครั้งสุดท้าย...............

                          “นัทยังเก็บของไม่เสร็จเลย ถ้าไม่เชื่อพี่กั้งจะขึ้นไปดูก็ได้”............หึ........ทีอย่างนี้ล่ะชวนขึ้นห้อง.........ร้อยวันพันปีเห็นแต่คอยกีดกันไม่ให้ผมเข้ามาใกล้กับอาณาเขตของเค้า.......ด้วยกลัวว่าคนอื่นจะล่วงรู้ถึงความสัมพันธ์ของเรา..............มาคราวนี้กลับทำทีจะชวนขึ้นไปดู............

                           “ไม่ดีกว่า..........เดี๋ยวเย็นๆพี่จะเก็บของของนัทที่ห้องมาคืนให้”.............ผมบอกอย่างเย็นชา.............รู้สึกสะใจอยู่ลึกๆ...........สมน้ำหน้า............ทีตอนทำไม่รู้จักคิด.............พอถึงตอนนี้จะมาทำเป็นร้อนรน.................

                          นัทเดินคอตกจากไปอย่างเชื่องช้า.............ถึงตอนนี้เค้าคงจะรู้แล้วว่าผมจะทำอย่างที่ผมพูดจริงๆ.............ไม่ได้ล้อเล่น..........

                            ผมยังไม่ได้ขับรถจากไปในทันที.............อยากมองส่งเค้าให้ขึ้นไปถึงห้องจนกว่าจะลับตา.........นี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่เราได้เจอกันก็ได้.............

                          นัทหันหลังกลับมามองด้วยท่าทางละล้าละลัง เมื่อเห็นว่าผมไม่ได้ขับรถจากไปดังคาด..........ผมจ้องมองเค้าผ่านกระจกรถอย่างไม่เข้าใจในอารมณ์ของตัวเองนัก..............ในตอนนี้อารมณ์ขุ่นใจนั้นแจ่มชัดยิ่งกว่าอารมณ์ใดๆทั้งหมด.............แม้จะเจ็บปวดกับสิ่งที่ตัวเองได้แสดงความเฉยชากับเค้าออกไป..........แต่ผมก็ไม่คิดว่าจะทำอะไรเพื่อแก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้นไปกว่านี้.................

                         นัทเดินขึ้นไปถึงชั้นสี่แล้วหยุดหันกลับมามองดูผมชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะตัดใจเดินหันหลังลับตาไป............

                          ผมสตาร์ทรถแล้วเหยียบคันเร่งออกมาจากลานจอดรถอย่างรวดเร็ว.............ได้ระบายอารมณ์ลงไปกับการขับรถค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย.............ตอนนี้ผมรู้สึกมึนงงจนปวดหัวไปหมด.............ความง่วงงุนทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ............นอนพักสักงีบแล้วค่อยเก็บของมาคืนให้เค้าก็แล้วกัน..................



                          ร่องรอยของนัทยังคงเหลือทิ้งเอาไว้ที่ห้องของผมตามมุมต่างๆ..............ผมลงมือเก็บข้าวของเหล่านั้นใส่ถุงเงียบๆ...............ความเจ็บปวดแล่นเข้ามาทิ่งแทงจิตใจของผมจากทุกสารทิศ............เราเคยมีความสุขด้วยกันที่นี่..............และตอนนี้มันกำลังจะจบ.................ใครๆก็คงต้องเคยผ่านความรู้สึกแบบนี้มาด้วยกันทั้งนั้น................แล้วทำไมผมจะผ่านมันไปไม่ได้...........แต่อาจจะโชคร้ายหน่อยที่บังเอิญว่า นัทเป็นคนรักคนแรกจริงๆจังๆที่ผมเคยมี............แต่ถึงยังไงผมก็ไม่ได้เกิดและโตมากับเค้า.........แล้วจะมามีความรักความผูกพันอะไรกันนักหนา.................

                         แม้ว่าร่างกายอยากจะพักผ่อนเพราะผ่านความตึงเครียดมาตลอดทั้งวัน แต่ความอยากรู้ของผมนั้นมีมากกว่า..............ดังนั้น หลังจากเก็บของทั้งหมดของนัทเรียบร้อยแล้ว ผมจึงหยิบเอาแผ่นซีดีที่นัทให้ไว้ออกมานั่งพิจารณาดู..............

                         มันเป็นซีดีสองแผ่นที่มีตัวอักษรสีฟ้าอมม่วงเขียนเอาไว้เพียงรางๆจนยากที่จะอ่านออก.................เดาเอาว่าคงเป็นหนังอะไรสักอย่างหนึ่ง............นี่เค้ามีหนังอะไรที่อยากให้ผมดูหรือไง.............มันอาจจะเกี่ยวกับการเลิกกันของเราด้วยก็ได้..........บางทีเค้าคงจะอยากสื่อสารอะไรบางอย่างกับผมผ่านทางหนังเรื่องนี้..............หึ...........ทำยังกะในละครน้ำเน่า................


                          และก็เป็นจริงดังที่คาดเอาไว้ไม่มีผิด............มันเป็นหนังที่ใช้เพื่อส่งสารจากเค้าถึงผมจริงๆ.............เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วก็สุดจะคะเน.........รู้แต่ว่าผมปล่อยให้ตัวเองนั่งจมอยู่กับการดูหนังที่นัทให้มาโดยไม่รู้สึกตัว.........ผมพยายามค้นหาสิ่งที่นัทต้องการจะบอกว่ามันคืออะไรกันแน่..........


                          ตามท้องเรื่องของหนัง กล่าวถึงพระเอกหรือจะเรียกว่านางเอกก็สุดจะเดา............เนื่องจากเค้าเป็นเกย์...........ขอสมมุติชื่อว่าราม...........รามเป็นชาวอินเดีย แต่หนีจากบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองมาใช้ชีวิตยังต่างประเทศนานหลายปีโดยแทบไม่ได้กลับไปเยี่ยมบ้านเกิดเลย.............สาเหตุก็เนื่องมาจากว่าสังคมและศาสนาของเค้าไม่ยอมรับการเป็นเกย์นั่นเอง...........

                          เค้าอาศัยอยู่กับแฟนหนุ่มชาวฝรั่งชื่อโทนี่อย่างมีความสุขราบรื่นเรื่อยมา........โดยแกล้งทำเป็นลืมเรื่องราวในอดีตและทิ้งแม่ผู้เป็นที่รักเอาไว้เบื้องหลังเพียงลำพัง.......ลึกๆแล้วรามรู้ดีว่าถึงอย่างไรเค้าก็ไม่อาจหนีจากรากเหง้าของตัวเองไปได้พ้น..........และนี่คือความกดดันที่เค้าพยายามเก็บซ่อนมันเอาไว้มาตลอด โดยที่แฟนหนุ่มของเค้าไม่มีทางล่วงรู้.............

                          จวบจนกระทั่งคุณแม่ผู้ทนความคิดถึงลูก รวมถึงทนคำถามจากบรรดาญาติๆและคนรอบข้างเรื่องลูกชายที่ถึงวัยมีครอบครัวแล้วไม่ไหวอีกต่อไป............เธอจึงตัดสินใจเดินทางมาเพื่อเกลี้ยกล่อมให้ลูกชายอันเป็นที่รักกลับไปอยู่บ้านด้วยกัน............และความวุ่นวายต่างๆก็ได้เริ่มต้นขึ้น.................

                          รามเอ่ยปากขอแยกห้องนอนกับโทนี่ทันที อีกทั้งยังขอให้แสดงละครตบตาแม่ของตนว่าเป็นเพียงเพื่อนร่วมห้องธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้น.........เค้าพยายามกลบเกลื่อนหลักฐานทุกอย่างเพื่อไม่ให้แม่ที่กำลังจะเดินทางมาถึงจับพิรุธได้..............

                          ด้วยความแตกต่างทางด้านความคิดและวัฒนธรรม ทำให้โทนี่ผู้อยู่ในโลกแห่งอิสระเสรีมาโดยตลอดไม่อาจจะทนรับกับเหตุผลอันพิสดารนั้นได้...............ทั้งสองจึงเริ่มมีปากเสียงและเกิดความไม่เข้าใจกัน จนกลายเป็นความหมางเมินและเฉยชาในที่สุด..............

                          โทนี่ตัดสินใจประชดรักด้วยการออกเดทกับชายอื่น.............ในขณะที่รามเองแม้จะรู้สึกเจ็บปวดกับเรื่องดังกล่าว แต่เค้าก็ไม่กล้าพอที่จะออกมาจัดการกับปัญหาเหล่านั้น เพราะเค้ามัวแต่หวาดกลัวอยู่กับปัญหาที่ตัวเองกำลังเผชิญ.........

                           เมื่อแม่เดินทางมาถึง เธอมองโทนี่เป็นเพียงเพื่อนต่างวัฒนธรรมของลูกชายเท่านั้น..........อีกทั้งจิตใจของเธอหมกหม่นอยู่แต่กับการพาลูกชายกลับบ้าน โดยที่ไม่ได้คำนึงถึงความรู้สึกที่ลูกของตนต้องการเลยแม้แต่น้อย...........เธอต้องการให้เค้ากลับบ้าน แต่งงานและใช้ชีวิตตามอย่างที่ควรจะเป็น ตามความเชื่อทางศาสนาที่พวกเค้านับถือ..............

                           รามตัดสินใจหนีปัญหาด้วยการคอยหลบหน้าแม่โดยอ้างว่างานยุ่ง..........ความไม่เข้าใจระหว่างแม่ลูกจึงถูกปล่อยทิ้งเอาไว้ให้ค้างคาต่อไป............คนทั้งสองต่างยืนอยู่บนจุดยืนของตนเอง..........แม่ที่เอาแต่อยากจะให้ลูกชายเป็นในอย่างที่ตัวเองต้องการ แม้ว่าหล่อนจะระแคะระคายถึงความเป็นเกย์ของลูกมาโดยตลอดก็ตาม...............ในขณะที่ลูกชายผู้พยายามแต่จะคอยเดินหนีปัญหาอยู่ตลอดเวลา ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเค้าจะต้องหนีไปอีกนานแค่ไหน..........

                          เมื่อเวลาผ่านไป จากการได้ใช้ชีวิตและเรียนรู้ซึ่งกันและกัน...........มุมมองของแม่ที่มีต่อโทนี่ก็ค่อยๆเปลี่ยนไป.............จากเดิมที่เคยมองเค้าเป็นเพียงคนต่างวัฒนธรรม ก็กลายกลับเป็นการเปิดใจยอมรับและเอ็นดูเสมือนลูกชายอีกคนหนึ่งของเธอ............

                          แต่หากอะไรต่ออะไรมันจะจบลงด้วยดีก็คงจะดูง่ายจนเกินไป...............ในที่สุดแม่ก็จับได้ว่ารามและโทนี่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกันมากกว่าการเป็นแค่เพื่อนร่วมห้องธรรมดาๆ...........เมื่อความจริงถูกเปิดเผย เธอไม่สามารถทำใจยอมรับเรื่องดังกล่าวได้ ......เธอจึงตัดสินใจเก็บข้าวของเดินทางกลับบ้านโดยลำพังด้วยความเสียใจอย่างสุดประมาณ..................

                          ความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกนั้นยิ่งใหญ่เหนือสิ่งอื่นใด..............เมื่อทราบเรื่อง........รามจึงรีบเดินทางติดตามแม่ของเค้ากลับอินเดียไปในทันที.............โดยทิ้งโทนี่เอาไว้ให้อยู่กับความสับสนระหว่างการเลือกที่จะปล่อยให้คนรักกลับไปยังโลกของเค้า...........หรือจะติดตามไปเพื่อพิสูจน์ถึงความรักแท้ที่พวกเค้ามีต่อกัน..................

                          เมื่อกลับมาถึงที่บ้าน............รามก็พบว่า ราเมศซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของเค้ากำลังจะแต่งงาน...........จากภายนอก ราเมศเป็นคนที่ดูเหมือนประสบความสำเร็จในชีวิตการทำงานงาน อีกทั้งยังได้แต่งงานกับผู้หญิงดีๆตามความต้องการของพ่อแม่ทุกอย่าง................แต่ใครจะรู้ว่าเบื้องลึกแล้วราเมศเองก็เป็นเกย์เช่นเดียวกันกับราม..........แต่เค้าเลือกที่จะซ่อนมันเอาไว้โดยการแต่งงาน.........และยังคิดว่าจะแอบมีสัมพันธ์กับผู้ชายเมื่อมีโอกาส..........ซึ่งในอดีตรามกับราเมศเองก็เคยมีความสัมพันธ์กันมาก่อน...............

                         ระหว่างที่รามกับราเมศกำลังคุยถึงเรื่องราวดังกล่าวอยู่.................แม่ของรามเองก็บังเอิญเข้ามาได้ยิน..........จึงทำให้เธอได้เข้าใจถึงความรู้สึกของลูกชายตนเอง.............และยอมรับตัวตนที่เค้าเป็นได้ โดยไม่สนใจอีกแล้วว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร เพราะเธอคิดได้แล้วว่าความสุขและความต้องการที่แท้จริงของลูกคือสิ่งที่เธอต้องการจะเห็นมากที่สุด...............

                         เมื่อรามสามารถปรับความเข้าใจกับแม่ของเค้าได้แล้ว...........ปัญหาที่เหลือก็คือรามจะทำอย่างไรเพื่อที่จะทำให้โทนี่ยอมกลับมาคืนดีกับเค้าได้เช่นเดิม หรือเค้าจะต้องสูญเสียโทนี่ไปตลอดกาล.............ซึ่งก็ดูเหมือนว่าโชคทางด้านความรักของรามจะยังดีอยู่...........เพราะในตอนท้าย โทนี่ได้ตัดสินใจเดินทางตามเค้ามายังอินเดีย............และแล้วความรักของทั้งคู่ก็ลงเอยอย่างมีความสุขพร้อมกับความเข้าใจของแม่อันเป็นที่รักของพวกเค้าอีกด้วย...............


                          มันเป็นหนังที่ดีทีเดียว.........ดูเป็นหนังที่พยายามทำเพื่อให้กำลังใจเกย์อย่างค่อนข้างเพ้อฝันอยู่บ้างเล็กน้อย..............ผมยังเฝ้าครุ่นคิดถึงสิ่งที่นัทต้องการจะบอกผ่านมาทางหนังเรื่องนี้............ซึ่งก็แน่นอนว่ามันไม่ใช่สิ่งใหม่สำหรับผมเลย.........เพราะผมเข้าใจดีมาโดยตลอดว่านัทมีความกดดันมากแค่ไหนกับเรื่องความเชื่อทางศาสนาและความรักของเรา...............

                           เมื่อเปรียบเทียบกันกับหนังเรื่องนี้แล้ว ผมมองว่าจุดจบของเราสองคนไม่มีทางลงเอยด้วยดีอย่างในหนังได้แน่นอน...............และที่สำคัญนัทใช้วิธีสื่อสารกับผมถึงความคับข้องใจของเค้าแตกต่างจาก รามที่พยายามขอความเห็นใจและแสดงความรู้สึกว่าแคร์ต่อโทนี่หากแต่เค้ามีความจำเป็นบางอย่างเท่านั้น.................ผมอาจจะรู้สึกดีกว่านี้หากนัทจะเปิดอกพูดกับผมดีๆอย่างตรงไปตรงมาว่าเค้ารู้สึกอย่างไร และต้องการให้ผมทำอย่างไร.......และหากเค้าต้องการให้ผมยังอยู่กับเค้า เค้าก็ควรจะแสดงให้เห็นว่า เค้าแคร์ความรู้สึกของผมเช่นเดียวกัน ไม่ใช่คอยกราดเกรี้ยวใส่แบบที่เค้าทำอยู่นี้..........
 
                          ที่ผ่านมา นัทเลือกทำในทางตรงกันข้าม.............เค้าระบายความคับข้องใจใส่ผมด้วยการกราดเกรี้ยว...........แกล้งทำเป็นเมินเฉย หลีกเลี่ยงที่จะหันหน้าเข้ามาคุยด้วยดีๆ.............ถ้าเค้าไม่ต้องการผม เค้าก็แค่เพียงบอกมาตรงๆ ซึ่งผมก็จะยอมจากไปโดยดี............แต่นี่เค้ากลับทำท่าเหมือนกับต้องการตัวผม แต่จะไม่ยอมรับผิดชอบดูแลความรู้สึกของผมเลย.............แล้วมันยุติธรรมกับผมดีอยู่หรือ...............เรื่องอะไรผมต้องมานั่งคอยให้เค้าทำร้ายจิตใจต่างๆนานา.............ผมไม่เห็นความจำเป็นของการที่เราต้องคบกันต่อไป...........แม้ว่าจะเข้าใจความรู้สึกของเค้า แต่ผมไม่เข้าใจวิธีการแก้ปัญหาที่เค้าเลือกใช้............เพราะฉะนั้นแม้ว่าผมจะดูหนังจบไปแล้ว แต่ผมก็ยังคงต้องการจะเลิกกับเค้าอยู่ดี...........

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: คนละปลายทาง
«ตอบ #539 เมื่อ19-10-2007 12:00:34 »

เฮ้อ  กำลังอยู่ในภาวะไม่เข้าใจทั้งตัวเอง แล้วก็คนข้างตัว  :a6:  :a6:  :a6:

รัก แต่หมดใจ   :m15:

รออ่านต่อดีกว่า  เป็นกำลังใจให้เหมือนเคยนะคุณกั้ง  :a2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด