Chapter 16: เสี้ยวความทรงจำ
วันนี้ทินกรไม่มีเรียน
ภรัณยูไม่รู้ว่าชีวิตของลูกชายมหาเศรษฐีบ้านอื่นเป็นอย่างไร แต่ดูจากความขยันขันแข็งของท่านรองประธานและน้องชายคนสุดท้องแล้ว เขารู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่เป็นพนักงานกินเงินเดือนธรรมดา
“วันนี้ท่านประธานให้มาดูการทำงานของฝ่ายการตลาดนะคะ มีอะไรถามภัทรได้ รายนี้เขารู้ทุกเรื่อง”
เจนจิราพาร่างสูงในชุดสูทสั่งตัดราคาแพงเข้ามาในแผนก เส้นผมสีดำสนิทถูกหวีเสยจัดทรงเรียบร้อยทำให้เด็กหนุ่มดูโตกว่าความเป็นจริง หากไม่รู้จักกัน ภรัณยูคงคิดว่าอีกฝ่ายเป็นพนักงานระดับสูงคนใหม่ หรือดารานายแบบที่มาคุยงาน
อันที่จริงเขานี่แหละ คนแรกในบริษัทที่ถูกมาดสุขุมเยือกเย็นนั้นหลอกขึ้นเตียง
“ขอบคุณครับคุณแจน ขอโทษด้วยนะครับที่รบกวน”
ทินกรโปรยยิ้มทรงเสน่ห์ให้พนักงานในแต่ละคอกที่ชะเง้อคอหวังได้ยลโฉมลูกชายคนเล็กของประธานบริษัทเกิดอาการใจเต้น เขินอายบิดม้วนเป็นไส้เดือนถูกเตะไปตามๆกัน ภรัณยูนั้นยังคงรักษาความสงบเยือกเย็นไว้ได้เพียงเพราะฝึกปรือเกราะป้องกันมาอย่างแก่กล้า แต่ดูเหมือนคนส่วนใหญ่จะคิดว่าเป็นเพราะ’เจ้าชายน้ำแข็ง’ของพวกตนไม่มีทางอ่อนไหวกับแค่รอยยิ้มละลายใจนี้
เหอะ...ละลายคนแรกเลยครับ
“พี่ภัทรครับ วันนี้ผมขอรบกวนด้วยนะครับ”
ทินกรนั่งลงข้างภรัณยูโดยเว้นระยะห่างจากชายหนุ่มเล็กน้อย รอยยิ้มอบอุ่นแต่งแต้มมุมปากพอเป็นพิธีด้วยรู้ว่าภรัณยูไม่ชอบให้ตนทำตัวสนิทสนมในเวลาทำงาน
ทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายทำเพื่อเอาใจตัวเอง แต่เมื่อเห็นสายตาวาววับของสาวๆในแผนก รวมถึงพนักงานชายบางคน ภรัณยูแอบนึกอยากให้ทินกรออดอ้อนเขามากกว่านี้...
ไม่สิ คิดบ้าอะไรของเราเนี่ย?
“คุณทินกร รบกวนถ่ายเอกสารฉบับนี้ให้หน่อยครับ ยี่สิบชุด”
ภรัณยูตัดสินใจส่งเด็กหนุ่มไปให้ไกลหูไกลตาเพื่อให้ตัวเองมีสติที่แจ่มใสกว่านี้ในการทำงาน แต่ก่อนที่ทินกรจะได้ตอบรับอะไร มือเรียวเล็กมือหนึ่งก็คว้าปึกเอกสารของเขาไปเสียก่อน
“ตายแล้วพี่ภัทรคะ ไปใช้คุณทินกรแบบนั้นได้ยังไงคะ” พนักงานสาวที่มีอายุน้อยกว่าเขาเพียงไม่กี่ปีจีบปากจีบคอ ทั้งที่ยามปกติงานของเจ้าหล่อนมักจะถูกโยนมาให้ภรัณยูแก้หรือต้องทำใหม่เสมอๆ “ไม่เป็นไรนะคะคุณทินกร เดี๋ยวกิ๊ฟทำให้เองค่ะ”
“คงไม่ได้หรอกครับ พี่ภัทรบอกให้ผมไป” ทินกรยิ้มให้หญิงสาวด้วยรอยยิ้มสว่างสดใสเป็นเอกลักษณ์ ใช้จังหวะที่คนตรงหน้ากำลังเขินอายดึงเอกสารกลับมาอย่างแนบเนียน “หน้าที่ของผม ผมต้องเป็นคนทำครับ”
“อร๊ายยย เท่อ่ะ”
หญิงสาวกรี๊ดกร๊าดเบาๆหลังจากที่ทินกรเดินออกไปจากห้อง ร่างเล็กในชุดเครื่องแบบพนักงานและรองเท้าส้นเข็มเดินนวยนาดไปเม้าท์กับกลุ่มเพื่อนของตัวเองที่โต๊ะทำงานโดยไม่สนใจภรัณยูที่นั่งทำงานงกๆอยู่ไม่ไกล อาจเป็นเพราะหญิงสาวคงรู้ดีอยู่แล้วว่าต่อให้พูดจากระทบกระแทกแดกดันอะไรรองหัวหน้าคนนี้ไป ภรัณยูก็ไม่เคยนำมาผูกใจเจ็บสักครั้ง
“ลูกชายเจ้าของบริษัทยังกล้าใช้ คนอะไรไม่รู้ที่ต่ำที่สูง”
“ยัยกิ๊ฟ!เบาๆสิ เดี๋ยวพี่ภัทรก็ได้ยินหรอก” เพื่อนๆของหญิงสาวรีบเตือน เหลือบมองมาทางภรัณยูอย่างหวาดระแวง
“โอ๊ย ถ้าได้ยินก็ได้ยินไปหลายรอบแล้วล่ะ หูเหอไปหมดแล้วมั้ง” หญิงสาวหัวเราะ
“ต่ำ”
เสียงหวานที่คุ้นเคยดังขึ้นหน้าโต๊ะของเขาไม่ได้มีความคิดที่จะลดระดับเสียงให้ใคร ภรัณยูเงยหน้ามองฝน ลูกน้องอีกคนของเขาที่เป็นคนเอ่ยคำปริศนาหนึ่งพยางค์นั้นออกมา
“แกว่าใคร ยัยฝน?” กิ๊ฟตวัดตาค้อนหญิงสาวอายุเท่ากันอย่างหาเรื่อง
“ฉันพูดกับพี่ภัทร บอกว่าเก้าอี้มัน‘ต่ำ’ไป นั่งแล้วจะปวดหลัง” ฝนเอ่ยเสียงเรียบ แล้วหันมายิ้มให้ภรัณยู “เนอะ พี่ภัทร”
“…”
คนโดนลากมาเอี่ยวทำได้เพียงพยักหน้าช่วยน้อง กิ๊ฟทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ แล้วเดินออกไปห้องพักพนักงาน ทั้งที่เพิ่งออกไปพักกลับมาก่อนหน้านี้
“พี่ภัทรนะพี่ภัทร ถ้าเป็นฝนนะ ให้พี่แจนไล่ออกไปตั้งแต่เดือนแรกแล้ว คนอะไรทำดีให้ก็แค่เสมอตัว”
ฝนบ่นอุบ ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ของโต๊ะทำงานตัวเองที่อยู่ข้างเขา
“อย่าไปหาเรื่องเขาเลย พี่ไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่” ภรัณยูเตือนรุ่นน้องด้วยน้ำเสียงใจเย็น
“โอ๊ย พี่ภัทรก็พ่อพระไปไหนคะเนี่ย ยัยกิ๊ฟทั้งทำงานชุ่ยทั้งนินทาพี่อย่างกับหมูกับหมา ยังจะไปช่วยมันทำงานอีก” หญิงสาวกอดออกอย่างไม่พอใจ
“เขามีลูกต้องดูแล ไม่สงสารเขาก็สงสารลูกเขาเถอะ แม่ตกงานไปเขาจะอยู่ยังไง”
ภรัณยูให้เหตุผล กิ๊ฟเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ส่งเสียลูกน้อยวัยประถมเข้าเรียนด้วยตัวเอง ถึงแม้หญิงสาวจะชอบโยนงานให้เขาแล้วหนีกลับบ้านบ่อยๆ แต่ภรัณยูก็มักจะบอกตัวเองเสมอว่านั่นเป็นเพราะเธอคงอยากใช้เวลากับลูกให้มากขึ้น
“เฮ้อ ฝนไม่พูดแล้ว พี่ภัทรก็แบบนี้ตลอดอ่ะ ชอบช่วยคนที่ไม่น่าช่วย คนแบบนี้ต้องปล่อยให้ธรรมชาติคัดเลือกค่ะ เดี๋ยวกรรมก็ตามทัน”
“….”
ภรัณยูทำได้เพียงปล่อยให้รุ่นน้องของตนบ่นจนพอใจ เขารู้ดีว่าตัวเองเป็นพวกใจอ่อนง่าย แต่เขาก็เป็นของเขาแบบนี้ จะให้ลุกขึ้นมาเปลี่ยนตัวเองข้ามวันก็คงทำได้ยาก
“นี่ใช่เวลาพักของคุณเหรอครับ?” เสียงเย็นเยียบอันเป็นเอกลักษณ์ของเลขาที่มีอำนาจมากที่สุดในบริษัทดังขึ้นจากภายนอกแผนก แม้จะไม่ใช่เสียงตะโกน แต่ก็ดังพอให้พนักงานทุกคนหยุดงานที่ทำ แล้วเงี่ยหูฟังโดยพร้อมเพรียงกัน
แน่นอนว่าภรัณยูก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
“คือกิ๊ฟ...ไม่สบาย...”
“กรรมตามทันแล้ว...” ฝนเอ่ยขึ้นลอยๆพร้อมรอยยิ้มมุมปาก
“ป่วยก็ลาป่วย ถ้าคุณจะมาทำงานก็อย่ากินแรงของพนักงานคนอื่น ผมเคยเตือนคุณไปแล้วครั้งนึงเรื่องการเอางานของคุณให้คนอื่นทำ ถ้าพฤติกรรมแบบนี้ยังเกิดขึ้นอยู่ ผมคงต้องขอคุยกับหัวหน้าของคุณ”
“คือ..กิ๊ฟปวดท้องประจำเดือนน่ะค่ะ...”
“โอ้โห แหลได้อีก”
ฝนกระซิบกับภรัณยู ซึ่งชายหนุ่มเพียงแค่ส่ายหน้ากับอคติที่รุ่นน้องของเขามีต่อเพื่อนร่วมงาน
“ถ้าอย่างนั้นกลับไปพักที่บ้านมั้ยครับ ผมจะรายงานท่านประธานให้เป็นกรณีพิเศษ ทางเราจะจ่ายเงินชดเชยให้” สีหน้าของพนักงานแต่ละคนเปลี่ยนไปเป็นสับสนเมื่อได้ยินข้อเสนอของมธุวัน ก่อนจะหลุดขำพรืดออกมาเมื่อได้ยินประโยคถัดไป “ไว้อีกสักยี่สิบปีค่อยกลับมาทำงานนะครับ น่าจะหมดประจำเดือนพอดี”
หากสามารถขึ้นมายืนบนโต๊ะแล้วปรบมือให้เลขาหนุ่มของประธานบริษัทได้ ภรัณยูคาดว่าหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างๆเขาคงทำไแล้ว บรรยากาศในห้องเงียบกริบลงทันทีที่เจ้าของเสียงเย็นเยียบเมื่อครู่ก้าวเข้ามาในห้อง เรือนร่างสูงเพรียวในชุดสูทสั่งตัดสีครีมยากจะทำให้ชายหนุ่มกลมกลืนกับสถานที่ ยังไม่นับรวมถึงโครงหน้าที่แม้จะไม่ได้หวานเหมือนหญิงสาวแต่เกลี้ยงเกลาหมดจด ทำให้คนมองเหลียวหลังกันเป็นแถบ โดยเฉพาะดวงตาสีเทาอมฟ้าที่ทอประกายสีเขียวภายใต้แว่นไร้กรอบยามกระทบแสงซึ่งทำให้ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลคนนี้ยิ่งดูมีเสน่ห์น่าค้นหา
“คุณภรัณยู ตัวเลขในนี้ถูกต้องแล้วใช่มั้ยครับ?”
แม้ว่าชื่อเสียงด้านความเย็นชาและเฉียบขาดของมธุวันจะทำให้คนในบริษัทกลัวจนหัวหด รวมถึงข่าวลือที่ว่าเลขาหนุ่มนั้นเป็นมากกว่าแค่เลขาคนสนิทของท่านประธานธีรเชษฐ์ ยิ่งทำให้พนักงานไม่กล้าปีนเกลียวกับเลขาผู้ทรงอิทธิพลทั้งที่มีอายุเพียงยี่สิบห้าปีคนนี้ไปกันใหญ่ แต่ภรัณยูเรียนรู้ว่า แค่ทำตามหน้าที่ของตัวเองให้ดี แค่นี้ก็ไม่ถูกกรรมตามสนองอย่างเมื่อครู่แล้ว
“พี่ภัทร เอกสารได้แล้วครับ...พี่หมอก?”
ระหว่างที่ภรัณยูกำลังตรวจสอบเอกสารให้กับมธุวันอยู่นั้น ร่างสูงที่เขาใช้ให้ไปถ่ายเอกสารก็กลับมาพอดี ทินกรวางกองเอกสารลงบนโต๊ะทำงานของภรัณยู ก่อนจะโถมตัวเข้ากอด’ปีศาจน้ำแข็ง’ที่ใครๆต่างหวาดกลัวแน่นพร้อมรอยยิ้มกว้างจนคนตัวเล็กกว่าถึงกับเซไปหนึ่งก้าว
“พี่หมอกกกกก"
“ครับ...จะเอาอะไร”
รอยยิ้มจางปรากฎบนมุมปากของเลขาหนุ่ม แม้ว่าจะไม่ใช่ภาพที่หาได้ยากจากคนธรรมดา แต่จากมธุวัน ภาพนั้นเป็นเหมือนการได้เห็นไดโนเสาร์ใส่กระโปรงบัลเล่ต์เต้นฮิปฮอปอย่างไรอย่างนั้น
แม้ว่าพนักงานคนอื่นจะตกอยู่ในภาวะช็อค แต่ภรัณยูเพียงแค่ก้มลงจัดการกับเอกสารที่มธุวันมีคำถามเงียบๆ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเห็นความสนิทสนมระหว่างคนทั้งคู่ ร่างโปร่งนึกย้อนกลับไปถึงคืนก่อนหลังจากที่เขาสอนหนังสือให้ทินกรเสร็จ มธุวันในชุดลำลองที่ทำให้ชายหนุ่มวัยยี่สิบห้าปีดูอ่อนเยาว์กว่าอายุจริงลงไปโขเดินเขามาในตัวบ้านพร้อมกับธีรเชษฐ์และเมฆา
“พี่หมอก! ไม่ได้เจอกันตั้งนาน!”
ร่างสูงในชุดนักศึกษาโถมกายเข้าใส่มธุวันโดยไม่ทันตั้งตัว ร่างโปร่งรีบยกมือเกาะร่างของทินกรที่พุ่งเข้ามาใส่เขาเหมือนลูกปืนใหญ่ด้วยกลัวว่าจะหงายลงไปกองกับพื้น รอยยิ้มเอ็นดูที่ปรากฏบนใบหน้าของมธุวันอย่างเป็นธรรมชาติทำให้ภรัณยูที่เดินตามเด็กหนุ่มมาถึงกับชะงักไปครู่หนึ่ง
“ซัน…พี่หายใจไม่ออก”
“คิดถึงพี่หมอกที่ซู้ดดดดเลยครับ!”
เจ้าเด็กตัวยักษ์กอดรัดร่างโปร่งฟัดไปมาจนมธุวันแทบจะลอยขึ้นจากพื้น กว่าที่เมฆาจะสามารถช่วยชีวิตของเลขาหนุ่มออกมาจากกรงเล็บมัจจุราชได้ มธุวันแทบขาดอากาศหายใจ
ภรัณยูสังเกตเห็นธีรเชษฐ์หมุนตัวเดินกลับออกไปจากคฤหาสน์เงียบๆราวกับไม่อยากให้เลขาของตนสังเกตเห็น
“ซัน เล่นอะไรไม่รู้เรื่อง” ภรัณยูปกปิดความรู้สึกประหลาดในจิตใจของตัวเองเมื่อเห็นความสนิทสนมของคนทั้งคู่ด้วยการดุพฤติกรรมของเด็กหนุ่มตามความเคยชิน
“คุณ…ภรัณยู?” มธุวันเอียงคอมองเขาอย่างประหลาดใจ ราวกับว่าภรัณยูเป็นฝ่ายที่อยู่ผิดที่ผิดทางในบ้านหลังนี้
ซึ่งหากจะพูดกันตามตรง เขาก็เป็นจริงๆนั่นแหละ...
“เอ่อ...สวัสดีครับคุณมธุวัน”
ภรัณยูทักทายคนที่ในทางปฏิบัติมีตำแหน่งสูงกว่าอย่างนอบน้อม
“สวัสดีครับ”มธุวันทักทายทายกลับด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งที่เขาคุ้นเคยดี
“พี่ภัทรหึงเหรอครับ...อุ่ก!”
ภรัณยูถองศอกใส่สีข้างเด็กหนุ่มที่แซวขึ้นมา แต่นอกจากทินกรจะไม่โกรธแล้ว ร่างสูงยังผละจากมธุวันมาออดอ้อนเขาต่ออีกด้วย
แม้จะไม่อยาก แต่ภรัณยูก็อดสังเกตไม่ได้ว่าท่าทีของทินกรที่มีต่อมธุวันเมื่อครู่ ไม่ได้ต่างอะไรกับที่อีกฝ่ายปฏิบัติต่อเขามากนัก
“ค่าสอนพิเศษวันนี้ได้รึยังครับ”เมฆาที่เงียบอยู่นานถามขึ้น ภรัณยูพยักหน้า
“ครับ ถ้าอย่างนั้นผมลานะครับ คุณเมฆา คุณมธุวัน” ชายหนุ่มเอ่ยขอตัว
“เดี๋ยวสิครับพี่ภัทร ผมไปส่ง~”
ทินกรรีบเดินตามเขาออกมา ภรัณยูรู้ว่าเขาไม่ควรจะหงุดหงิด ในเมื่อสมองของเขาเตรียมตัวพร้อมสำหรับวันที่สายตาของทินกรจะละจากเขาไปยังเป้าหมายต่อไป
แต่เขาก็อดที่จะรู้สึกเจ็บแปลบในใจไม่ได้เมื่อเห็นท่าทีของทินกรเมื่อครู่ มธุวันอายุห่างกับเด็กหนุ่มเพียงแปดปี ทั้งความมั่นใจและความเด็ดขาดของเลขาหน้าสวยยังเสริมเสน่ห์ให้กับดวงตาสีเทาอมฟ้าทำให้ภรัณยูยิ่งรู้สึกว่าเขาไม่มีอะไรที่สู้อีกฝ่ายได้
“พี่ภัทร...โกรธอะไรผมเหรอครับ?”
ทินกรถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล ความจริงใจในแววตาของร่างสูงทำให้ยากที่จะโกรธอีกฝ่าย
เอาเถอะ...เขาทำใจไว้แล้วนี่
“เปล่า พี่แค่เพลียน่ะ” ชายหนุ่มแก้ตัว “พี่กลับแล้วนะ อย่าลืมทบทวนบทเรียนล่ะ”
“คืนนี้ผมโทรหานะครับ” ทินกรยังคงไม่ค่อยวางใจเหตุผลของเขา ภรัณยูขยับยิ้มให้อีกฝ่าย
“อืม พี่จะรอ”
กลับมาที่ปัจจุบัน หลังจากมธุวันเสร็จธุระกับเขาแล้ว เลขาหนุ่มก็หมุนตัวเดินออกไปจากแผนกทันทีโดยไม่มีการอ้อยอิ่งใดๆ ทินกรโบกมือลาพร้อมรอยยิ้มแล้วนั่งลงที่เก้าอี้ของตัวเองตามเดิม
“สนิทกันจังนะ” ภรัณยูสบถในใจเมื่อรู้ว่าตัวเองเผลอพูดสิ่งที่คิดออกไปด้วยน้ำเสียงประชดประชัน แต่ดูเหมือนทินกรจะไม่ได้สังเกตเรื่องนั้น
“ครับ พี่หมอกเป็นคนช่วยผมให้ผมหาพี่ภัทรจนเจอนี่นา” เด็กหนุ่มกระซิบตอบ
“…ฮะ?”
ภรัณยูใช้เวลาเกือบหนึ่งนาทีเต็มในการประมวลผล ร่างโปร่งหันไปหาคนพูดอย่างไม่เข้าใจ
“ที่บอกว่าได้ที่อยู่พี่ภัทรมาจากประวัติพนักงาน...ผมโกหกน่ะครับ” ทินกรยิ้มเจื่อน
ภรัณยูเพิ่งนึกได้ ว่าห้องของเลขาหนุ่มอยู่ชั้นบนห้องของเขาในอพาทเมนต์ที่เขาเช่าอยู่ หากมธุวันจะเป็นคนบอกพิกัดที่อยู่ของเขาให้กับลูกชายคนสุดท้องของประธานบริษัทก็ดูจะไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมายอะไร
สรุปว่าเขาตีโพยตีพายไปเองงั้นเหรอ?
พอคิดว่าแค่ท่าทีสนิทสนมของทินกรกับคนอื่นยังทำให้ความคิดของเขาเตลิดไปไกลขนาดนั้น ภรัณยูนึกอยากเอาหัวตัวเองโขกโต๊ะทำงานสักทีสองทีให้หายจากความฟุ้งซ่านนี้
“พี่ภัทรอยากกินอะไรครับ?”
ในที่สุดก็ถึงเวลาพักกลางวัน ทินกรไม่รอช้า ทันทีที่เหลือเพียงพวกเขาแค่สองคนในแผนก เด็กหนุ่มขี้อ้อนก็กลับเข้าสู่โหมด
ปกติของตัวเองทันที
“พี่ตามใจซัน”ภัทรตอบอย่างไม่ใส่ใจขณะก้มเก็บข้าวของบนโต๊ะลงในลิ้นชัก เขากินร้านในโรงอาหารพนักงานและร้านรอบออฟฟิศจนไม่มีอะไรอยากกินพิเศษแล้ว
“ถ้างั้น...” ชายหนุ่มผงะเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเจอกับใบหน้าคมคายที่ยื่นเข้ามาใกล้ “กินพี่ภัทรได้มั้ยครับ?”
“พอเลย ไอ้เด็กทะลึ่ง”
ภรัณยูดันหน้าผากของเด็กหนุ่มออกห่างจากตัวเองด้วยความหมั่นไส้ ทินกรหัวเราะ ดูจะมีความสุขกับการได้แกล้งคนอายุมากกว่าอยู่พอสมควร
สุดท้ายทินกรก็เลือกที่จะมาโรงอาหารพนักงาน ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้กับภรัณยูพอสมควร
ไม่ใช่ว่าเขาเห็นเด็กหนุ่มเป็นคนติดหรู ทินกรนั้นดูจะติดดินเสียยิ่งกว่าลูกน้องเขาบางคนเสียอีก แต่เขาแค่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะอยากมาทานอาหารกลางวันในที่ที่มีคนพลุกพล่านและสายตาหลายคู่จับจ้องมาที่ตัวเองแบบนี้
“ทำไมถึงอยากมากินที่นี่ล่ะ?” ชายหนุ่มอดถามไม่ได้
“ผมเก็บเงินอยู่ครับ”ทินกรตอบ คนถามเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ
“ทำไมล่ะ? ที่มีอยู่นี่ไม่พอใช้เหรอ?”
“เปล่าครับ ค่าขนมที่พ่อให้ผมก็เก็บแยกไว้ เงินที่ผมหามาเองผมก็ไม่ค่อยอยากใช้เท่าไหร่น่ะครับ”
คำตอบที่ได้ไม่ได้ทำให้ภรัณยูรู้สึกกระจ่างขึ้นเท่าไหร่ ชายหนุ่มเอียงคออย่างไม่เข้าใจ
“จะเก็บเงินไว้ซื้ออะไรเหรอ?” หรือว่าเด็กหนุ่มมีของที่อยากได้ที่ราคาแพงจนต้องคิดเล็กคิดน้อยขนาดเลือกร้านที่อาหารถูกที่สุดแบบนี้?
“ไว้สร้างครอบครัวครับ” ทินกรยิ้มแฉ่ง “ผมอยากใช้เงินที่ผมหามาเองสร้างครอบครัวของผมเองครับ”
คำพูดของอีกฝ่ายเหมือนฝ่ามือตบลงบนใบหน้าของภรัณยูจนหน้าชา
เขารู้...ว่าสถานะของพวกเขาในตอนนี้ จะเรียกว่าคนรักก็ไม่ใช่ จะเรียกว่าดูใจก็ไม่เชิง แต่เมื่อได้ยินเด็กหนุ่มวางแผนเรื่อง
อนาคตหลังจากความสัมพันธ์ของพวกเขาจบลงไว้ล่วงหน้าแบบนนี้ ภรัณยูก็อดรู้สึกใจหายไม่ได้
“ภัทร นั่งด้วยดิ... อ้าว คุณทินกร สวัสดีครับ”
ชายหนุ่มรู้สึกถึงร่างสูงของเพื่อนร่วมงานที่ผลุบนั่งลงบนที่ว่างข้างตน เขากับสอง พนักงานแผนกบุคคลไม่ได้สนิทกันอะไรขนาดนั้น แต่ด้วยวัยที่ไล่เลี่ยกันประกอบกับการที่ชายหนุ่มเป็นคนง่ายๆ สบายๆ ทำให้ภรัณยูมักจะเผลอตอบตกลงเวลาถูกชายหนุ่มชวนไปพักกลางวันอยู่บ่อยครั้ง
ภรัณยูแทบจะถอนหายใจอย่างโล่งอกที่เพื่อนของตนโผล่มาในเวลาที่ต้องการพอดี ชายหนุ่มขยับให้คนมาใหม่นั่งได้สะดวก สองพินิจพิจารณาทินกรที่กลับเข้าสู่โหมดทางการทันทีที่มีคนนอกเข้ามาร่วมวงสนทนา แล้วหันมาหาภรัณยูอย่างนึกขึ้นได้
“เออ เมื่อกี้ฉันลงมาชั้นล่าง มีคนมาหาคนชื่อภัทร ฉันไม่รู้ว่าเป็นนายรึเปล่า แต่เขาเมามาก โวยวายเสียงดังเลย ฉันเลยให้รปภ.เชิญกลับไปก่อน ไม่งั้นถ้าคุณมธุวันมาเห็น โดนกินหัวกันหมดแน่ๆ”
“…ฉันไม่ได้นัดใครไว้นะ”
ภรัณยูขมวดคิ้วทบทวนความจำ แต่ก็ยังคงคิดไม่ออกว่าคนที่เขารู้จักคนไหนจะโผล่มาในสภาพเมามายที่บริษัทแบบนี้
“คงไม่ใช่นายหรอกมั้ง ดูไม่น่าคบค้าสมาคมกับคนดีๆอย่างนาย” สองหัวเราะ “เมาด่าคนผ่านไปมากราดเลย บอกว่าตัวเองรวย เดี๋ยวจะซื้อบริษัท จะไล่ออกให้หมด...มาคิดๆดูแล้ว ชักอยากจะให้เจอคุณมธุวันแฮะ คงมันส์ดี”
“เมาขนาดนั้นเลยเหรอครับ?” ทินกรเอ่ยถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
“ครับ ถามว่าภัทรไหนก็ไม่ยอมตอบ บอกว่าให้บอกพี่ภพมาหา ตะโกนโวยวายอยู่นั่นแหละ”
คนถูกถามส่ายหน้าอย่างละเหี่ยใจ ที่หางตาของทินกร เด็กหนุ่มเป็นว่าใบหน้าของภรัณยูซีดขาว แววตาของชายหนุ่มไหวระริกก่อนที่ภรัณยูจะกระพริบตาเพื่อซ่อนปฏิกิริยาที่ตนมีต่อชื่อนั้นแทบจะในทันที
พี่ภัทร?
ทินกรไม่รู้ว่าหลังจากนั้นภรัณยูจงใจที่จะหลบหน้าเขาหรือไม่ แต่ชายหนุ่มโอนหน้าที่ดูแลทินกรในช่วงบ่ายของวันให้กับพนักงานสาวที่ชื่อพี่ฝน ซึ่งทินกรพอจะจำได้รางๆจากสมัยที่มานั่งเล่นที่บริษัทภายใต้การดูแลของเจนจิราซึ่งยังเป็นเลขาของบิดาของตนอยู่ในขณะนั้น โดยให้เหตุผลว่าต้องไปติดต่อลูกค้านอกสถานที่ ไม่สะดวกที่จะให้ทินกรไปด้วย
แต่ถึงอย่างไร ภรัณยูก็ยังคงจำเป็นต้องกลับมาเจอทินกรอยู่ดี เพราะวันนี้เขามีเรียนพิเศษกับอีกฝ่าย
“พี่ภัทรครับ...” ภรัณยูที่เดินนำเขาเข้าไปในบ้านชะงักแต่ไม่หันกลับมา แผ่นหลังของร่างโปร่งดูเกร็งขึ้นราวกับรู้ว่าทินกรกำลังจะถามเรื่องอะไร “พี่ภัทรรู้จักใช่มั้ยครับ? คนที่ชื่อภพ...”
“พี่ว่าวันนี้เราเรียนข้างล่างดีมั้ย อากาศถ่ายเทดี...” คนอายุมากกว่าเฉไฉ ดูก็รู้ว่าจงใจหลบคำถามของเด็กหนุ่ม
“พี่ภัทร...เล่าให้ผมฟังไม่ได้เหรอครับ?” ทินกรขยับเข้าไปใกล้ มือใหญ่เอื้อมไปแตะข้อศอกของอีกฝ่ายเบาๆ “เขาสร้างความเดือดร้อนอะไรให้พี่ภัทรรึเปล่าครับ?”
‘พี่ต้องสร้างครอบครัวจริงๆกับผู้หญิงที่พี่พาออกหน้าออกตาในสังคมได้’
‘ผมอยากใช้เงินที่ผมหามาเองสร้างครอบครัวของผมเองครับ’
ทั้งที่เจ้าของประโยคสองประโยคนี้ต่างกันราวกับดวงตะวันและนภาอันมืดมิด แต่ความหมายของคำพูดยากจะมองผ่านความคล้ายคลึงที่ครั้งหนึ่งเคยทำให้เขารู้สึกเจ็บเหมือนตายทั้งเป็นไปได้
‘ครอบครัว’
เขารู้ว่าตัวเองไม่มีวันที่จะหยิบยื่นสิ่งนั้นให้กับทินกรได้ เขาไม่สามารถเดินเข้าประตูวิวาห์ จดทะเบียนสมรส ออกหน้าออกตาในสังคมได้เหมือนผู้หญิง
เขาไม่สามารถอุ้มท้อง ให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตตัวน้อยๆที่เป็นพื้นฐานของคำว่าครอบครัวที่ทินกรใฝ่ฝันหนักหนาได้
เขารู้ตัวดีว่าความสัมพันธ์ในครั้งนี้เป็นเพียงแค่การนับถอยหลังสู่การจากลา แต่เพียงแค่เสียงของปภพ คนรักเก่าที่ซ้อนทับกันรอยยิ้มสดใสของทินกรยามพูดถึงครอบครัวที่ตนอยากสร้างก็มากพอที่จะทำให้ภรัณยูรู้สึกอยากจะยกมือขึ้นปิดหูไม่รับรู้คำพูดเหล่านั้น
“พี่ภัทร...อย่างน้อยบอกผมได้มั้ยครับว่าเขาเป็นใคร....”
“ถ้าไม่เรียนพี่จะกลับแล้วนะ” ชายหนุ่มตัดบทเสียงห้วน หมุนตัวเดินผ่านทินกรเพื่อกลับไปยังรถของตัวเอง ด้วยกลัวว่าความรู้สึกมากมายที่ประดังประเดเข้ามาตั้งแต่ได้ยินชื่อของคนที่เดินออกไปจากชีวิตเขาเมื่อสามปีก่อนอีกครั้งจะฉายชัดในแววตาจนไม่สามารถปกปิดได้
ทว่าก่อนที่จะได้ก้าวพ้นประตูบ้าน ร่างของเขาก็ถูกรวบเข้าไปในอ้อมกอดของเด็กหนุ่มร่างสูงในชุดสูทที่ผวาสวมกอดเขาไว้แน่น
“ผมขอโทษครับ...” ทินกรเอ่ยเสียงสั่น ซุกหน้าลงกับคอของร่างโปร่ง “ผมไม่ถามแล้ว ผมขอโทษ...พี่ภัทรอย่าไปได้มั้ยครับ...”
ภรัณยูรู้อยู่เต็มอกว่าทินกรไม่ได้ผิดอะไร แต่เขาไม่อยากให้อีกฝ่ายนำเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นประเด็นอีก ชายหนุ่มจึงทำได้เพียงพยักหน้านิ่งๆ
“อืม”
รอยยิ้มกว้างอย่างโล่งใจของทินกรที่เขาเห็นเป็นอย่างแรกเมื่อหันกลับมาทำให้ภรัณยูยิ่งรู้สึกว่าตัวเองทำตัวเลวร้ายกับอีฝ่ายเกินไป
“พรุ่งนี้พี่มีธุระแถวนี้...คืนนี้พี่ค้างที่นี่ได้มั้ย?”
แม้ว่าปกติภรัณยูจะนอนค้างที่นี่แทบทุกครั้งที่มาสอน แต่นั่นเป็นเพราะทินกรพันแข้งพันขาไม่ยอมให้เขากลับจนชายหนุ่มใจอ่อน เมื่อร่างโปร่งออกปากเองแบบนี้ เด็กหนุ่มเจ้าของบ้านทำตาโตอย่างไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน
“ครับ!ได้เลยครับ!พี่ภัทรอยากค้างกี่คืนก็ได้ครับ!”
ประกายสดใสกลับมาในแววตาของร่างสูงอีกครั้ง ภรัณยูอมยิ้ม บางทีเขาก็รู้สึกว่าทินกรเป็นเด็กที่ให้อภัยง่ายจนน่าเป็นห่วง
แต่ก็...ทำให้คนที่ขอโทษออกมาตรงๆไม่เป็นอย่างเขาทำอะไรง่ายขึ้นล่ะนะ
เมื่อหมดห่วงเรื่องทินกร ความคิดของชายหนุ่มก็วนกลับไปที่คนรักเก่าที่โผล่มาที่บริษัทในสภาพเมาแอ๋และขอพบเขาแบบนั้น
ผู้ชายคนนั้น...กลับมาทำไมกัน?
--------
เอามาไถ่โทษความสั้นของเมฆหมอก