Chapter 12: เพื่อนสนิท
พอไม่มีสาเหตุที่ทำให้เขาแต่งตัวแบบนี้อย่างทินกรอยู่ข้างๆแล้ว ภรัณยูก็รู้สึกว่าเสื้อคอกว้างตัวนี้มันหนาวไหล่อย่างบอกไม่ถูก
ร่างโปร่งก้าวลงมาจากรถพร้อมกับถุงกระดาษใส่แก้วเซรามิกสีแดงรูปครึ่งหัวใจสองแก้วที่นำมาต่อกันเป็นรูปหัวใจเต็มดวงสำหรับโตมรและคนรักของชายหนุ่มซึ่งเป็นเชฟขนมหวานชื่อดัง แก้วเซรามิกหน้าตาประหลาดเป็นมุกตลกสำหรับเขาและโตมรมาตั้งแต่สมัยเด็ก เริ่มจากแก้วกาแฟรูปทรงหัวกระโหลกที่ไม่ควรจะเป็นของขวัญวันเกิดของเด็กอายุสามขวบที่โตมรให้เขาไปจนถึงแก้วรูปอ่างอาบน้ำที่ภรัณยูให้อีกฝ่ายตอนจบมัธยมปลาย
แต่อีกเหตุผลที่เขาเลือกแก้วเซรามิกเป็นของขวัญให้เพื่อนเป็นเพราะภรัณยูไม่มีเวลาหาซื้ออะไรที่ดีกว่านี้แล้ว
“เฮ้ย ภัทร แต่งแบบนี้แล้วเหมือนนักร้องเกาหลีีเลยว่ะ”
เจ้าของร้านร่างสูงกำยำในชุดหัวหน้าพ่อครัวสีขาวสะอาดที่กำลังทักทายแขกร้องทักอย่างประหลาดใจเมื่อเห็นเพื่อนสมัยเด็กในชุดที่เขาไม่คิดว่าจะมีวันได้เห็นอีกฝ่ายใส่ ขนาดตอนที่ภรัณยูมีแฟนเขายังไม่เห็นร่างโปร่งลุกขึ้นมาแต่งตัวแบบนี้เลย
งานในวันนี้มีแค่เพื่อนและครอบครัวที่ได้รับเชิญ ‘เรือนละมุนรัก’เป็นร้านอาหารไทยสไตล์ครอบครัวที่ดูอบอุ่นไม่เหมือนภัตราคารหรูที่ภรัณยูคุ้นเคยเวลาอ่านคอลลัมน์ในนิตยาสารแนะนำร้านอาหาร ภายในร้านตกแต่งด้วยกรอบรูปสีสันสดใสแขวนเรียงรายประดับผนังไม้สีน้ำตาลเข้ม ในกรอบรูปแต่ละรูปมีภาพถ่ายทั้งภาพในวัยเด็กของโตมรและครอบครัว วัยเด็กของณัฐภาส คนรักของชายหนุ่ม และรูปของชายหนุ่มทั้งสองที่กอดคนกันถ่ายรูปหน้าภัตราคารและโรงเรียนสอนทำอาหารมากมาย ราวกับว่าภรัณยูกำลังก้าวเข้ามาเป็นแขกในบ้านของเพื่อนแทนที่จะเป็นร้านอาหาร
“ตาภัทร ทำไมวันนี้น่ารักแบบนี้ เสียดายนะแม่เราไม่มาเห็น”
มารดาของโตมรทักทายเขาอย่างสนิทสนม ภรัณยูยกมือไหว้หญิงชราอย่างนอบน้อม ทั้งมารดาและบิดาของเขาไปเที่ยวชมวัดที่ต่างประเทศสัปดาห์นี้ ไม่อย่างนั้นคงจะได้มาแสดงความยินดีกับโตมร
“ไปนั่งโต๊ะริมหน้าต่างนั่นก็ได้ เดี๋ยวกูขอไปดูนัทในครัวแป๊บ”
โตมรชี้ไปที่โต๊ะที่ยังไม่มีใครนั่ง ภรัณยูพยักหน้า ปล่อยให้เพื่อนที่ยุ่งจนหัวหมุนกลับไปช่วยคนรักในครัว ร่างโปร่งนั่งลงบนโซฟาตัวยาวสีเลือดหมูแล้วขยับนั่งชิดหน้าต่างเพื่อเว้นที่ให้คนที่จะมานั่งร่วมโต๊ะกับตน ชายหนุ่มเท้าคางเหม่อมองไปนอกหน้าต่าง ใจลอยไปถึงคนที่ตอนนี้ไม่รู้ไปทำอะไรที่ไหนกับเพื่อน
“เชิญเลยจ้ะสองหนุ่ม นั่งที่โต๊ะริมหน้าต่างกับพี่ชุดขาวตรงนั้นก็ได้”
ภรัณยูขยับนั่งตัวตรงเมื่อเห็นร่างสองร่างทรุดตัวลงบนโซฟาฝั่งตรงข้ามจากหางตา ดวงตาสีน้ำตาลเบิกกว้างเมื่อเห็นเพื่อนร่วมโต๊ะทั้งสองเต็มตา
“ซัน?”
“พี่ภัทร?”
“อ้าว มาแล้วเหรอเด็กๆ รอแป๊บนะ อาหารเสร็จละ”
เสียงที่สามมาจากโตมรที่เพิ่งกลับออกมาจากในครัว ร่างสูงใหญ่ที่ถึงแม้จะเป็นหนุ่มไทยเต็มร้อยแต่กลับทำให้ลูกเสี้ยว
รัสเซียอย่างทินกรดูตัวเล็กกว่าปกติทิ้งตัวลงข้างภรัณยู แขนยาวที่อุดมไปด้วยมัดกล้ามวางพาดบนไหล่เปลือยเปล่าของเพื่อนสมัยเด็ก ภรัณยูไม่รู้ว่าตนคิดไปเองหรือไม่ แต่แววตาของทินกรที่มองมาที่มือของเชฟหนุ่มดูราวกับอยากจะหักกระดูกของโตมรทีละท่อนด้วยมือเปล่า
“ภัทร นี่น้องเวย์ลูกเจ้านายกู แล้วก็นี่น้องซันเพื่อนน้องเวย์ เด็กๆ นี่พี่ภัทร เพื่อนร้ากกกกของพี่ รู้จักกันไว้นะ” โตมรแนะนำคนในโต๊ะโดยไม่รู้ว่าสองในสามรู้จักกันเกินกว่าขั้นตอนการแนะนำตัวไปหลายขุมแล้ว
“….”
ทั้งโต๊ะตกอยู่ในความเงียบหลังจากสิ้นเสียงของร่างสูง ภรัณยูขยับตัวอย่างอึดอัดกับสายตาทิ่มแทงของเด็กหนุ่มที่นั่งฝั่งตรงข้าม
“รูปพี่ใหญ่ตอนเด็กๆนี่หล่อดีนะครับ” วศินเอ่ยขึ้นท่ามกลายความกระอักกระอ่วน โตมรยิ้มรับคำชมอย่างอารมณ์ดี ไม่ได้รับรู้ถึงสายตาประทุษร้ายของทินกรแม้แต่น้อย ภรัณยูนึกละเหี่ยใจกับความใสซื่อไม่รับรู้ถึงอันตรายของเพื่อนสมัยเด็ก
“เอ้อ มีรูปมึงด้วยนะภัทร น่ะ เห็นมะ? กูต้องกลับไปเอาที่บ้านมึงเลยนะ”
โตมรชี้ไปยังรูปที่ผนังด้านหลังศีรษะของทินกร ทุกคนในโต๊ะหันไปตามนิ้วของร่างสูง ร่างโปร่งเบิกตากว้างเมื่อเห็นรูปของตนในวัยสองขวบแก้ผ้านั่งอยู่ในกะละมังเดียวกับโตมร มืออ้วนป้อมของภรัณยูแปะฟองลงบนหัวของเพื่อนตัวใหญ่กว่าพร้อมรอยยิ้มกว้าง
“ชอบอ่ะเด้ พูดไม่ออกเลย” โตมรยืดอกอย่างภูมิใจ
“เออๆ ชอบก็ชอบ” ภรัณยูกลอกตาอย่างเหนื่อยจะเถียง ทินกรเบือนหน้าหันไปมองนอกหน้าต่าง ขบกรามแน่นจนกรามนูนขึ้นเป็นสัน
“แล้วนี่อะไร ของขวัญกู?”
เมื่อภรัณยูพยักหน้า โตมรจึงหยิบเอาแก้วเซรามิกรูปหัวใจสองแก้วออกมาจากถุงกระดาษ หัวเราะในลำคออย่างพึงพอใจ มือใหญ่หยาบกร้านตบลงบนไหล่เปลือยเปล่าของเพื่อนแล้วลุกขึ้น
“ตามสบายเว้ย”
“อือ ขอบใจ”
ภรัณยูพยักหน้าให้เพื่อนที่เดินไปพูดคุยกับแขกโต๊ะอื่นต่อ แล้วหันกลับมาหาทินกรที่นั่งนิ่งไม่พูดไม่จาผิดวิสัย
เขาทำอะไรอีกล่ะ?
“อ่า…ซัน ให้กูไปนั่งที่อื่น...”
“ไม่ต้อง”
วศินที่กำลังจะลุกหนีจากบรรยากาศอันมาคุทรุดกลับลงมาที่เดิมเมื่อได้ยินน้ำเสียงเฉียบขาดของเพื่อน ปกติแล้วนอกจากความคล้ายคลึงทางพันธุกรรม ภรัณยูไม่เคยเห็นว่าเด็กหนุ่มจะเหมือนธีรเชษฐ์ผู้เป็นบิดาตรงไหน แต่เสียงของทินกรเมื่อครู่แทบจะถอดแบบน้ำเสียงของท่านประธานเวลาไม่สบอารมณ์เลยทีเดียว
อาหารหน้าตาน่าทานหลายจานถูกวางลงตรงหน้าของพวกเขา วศินจ้วงตักอย่างขยันขันแข็ง ถึงแม้อาหารจะอร่อยสมกับเป็นฝีมือของเชฟชื่อดังอย่างโตมร แต่ภรัณยูค่อนข้างแน่ใจว่าสาเหตุที่เด็กหนุ่มไม่ยอมหยุดพักน่าจะเป็นเพราะกลัวว่าหากปากว่างจะไม่มีข้ออ้างให้ไม่เริ่มบทสนทนาเสียมากกว่า
ส่วนทินกร แม้อาหารจะรสเลิศเพียงใด สีหน้าของเด็กหนุ่มก็สามารถทำให้คนที่กำลังหิวอย่างภรัณยูหมดความอยากอาหารได้ง่ายๆ
“เป็นอะไร?” ภรัณยูพยายามไม่ให้เสียงของตัวเองฟังดูเป็นห่วงเป็นใยคนอายุน้อยกว่าจนออกนอกหน้า แต่นั่นกลับกลายเป็น
ว่าน้ำเสียงของเขากลับฟังดูเหมือนโกรธเคืองอีกฝ่ายมาชาติเศษเสียอย่างนั้น
“…เปล่าครับ”
“เปล่าก็กินเข้าไปสิ” ภรัณยูอยากจะกัดลิ้นตัวเองให้หยุดพูดมันตอนนี้ เขาอยากให้อีกฝ่ายทานเพราะกลัวเด็กหนุ่มจะปวดท้องเอา แต่คำพูดที่ออกมาแม้แต่เขายังรู้สึกว่ามันฟังดูไม่น่าฟังเอาเสียเลย
“ครับ...”
ความเงียบที่น่าอึดอัดเข้าปกคลุมบรรยากาศรอบโต๊ะอีกครั้ง ภรัณยูรู้สึกถึงสายตาของทินกรที่จับจ้องที่ตัวเองทุกครั้งที่ร่างโปร่งก้มลงทาน แต่เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น ดวงตาคมสีควันบุหรี่ก็หลุบลงมองที่ตักของตัวเองอยู่ร่ำไป
“อ่า…กลับกันเลยมั้ย” วศินเสนออย่างกล้าๆกลัวๆ ราวกับไม่มั่นใจว่าเพื่อนจะกินหัวตัวเองหรือไม่
“กลับไปก่อนเลยก็ได้ เดี๋ยวพี่ไปส่งซันเอง”
ภรัณยูขัดขึ้นก่อนที่คนตรงข้ามเขาจะได้ตอบ วศินเหลือบมองเพื่อนอย่างขอความเห็น ทินกรพยักหน้าอย่างลังเล เดือนคณะร่างสูงจึงยอมทิ้งเพื่อนกลับแต่โดยดีด้วยทนกับบรรยากาศอึมครึมที่คนทั้งสองสร้างไม่ไหว
“เป็นอะไร?”
ภรัณยูถามอีกครั้ง คราวนี้ทินกรเพียงแต่ส่ายหน้า ไม่ยอมแม้แต่จะสบตาภรัณยูที่ตอนนี้เริ่มรู้สึกของขึ้นกับเด็กตรงหน้าอย่างไม่มีสาเหตุ ชายหนุ่มวางช้อนส้อมของตัวเองลงอย่างไม่เบานักหลังจากเห็นว่าทินกรเพียงแต่นั่งจ้องโดยไม่แตะต้องอาหารมาได้สักพัก ร่างสูงสะดุ้งเล็กน้อยกับเสียงนั้น ทินกรรีบลุกตามเมื่อเห็นภรัณยูลุกออกจากโต๊ะไปยังโตมรที่ยืนอยู่กับชายหนุ่มสูงโปร่งในชุดเชฟที่เขาจำได้ว่าเป็นคนรักของร่างสูง
“ใหญ่ กูกลับนะ” ภรัณยูว่า โตมรเอียงคออย่างงุนงง
“รีบจังวะ ไม่อยู่กินเหล้ากับกูก่อนอ่ะ”
ภรัณยูเพียงแต่ส่ายหน้าโดยไม่มีคำอธิบาย สิ่งหนึ่งที่เขาชอบในตัวโตมรคือร่างสูงไม่ใช่คนเซ้าซี้ เชฟหนุ่มเพียงแต่พยักหน้ารับรู้ ก่อนจะทำหน้าหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้
“เออ อาทิตย์หน้ากูกลับบ้าน กูนอนห้องมึงนะ”
ทินกรเงยหน้าขึ้นขวับเมื่อได้ยินดังนั้น แต่ภรัณยูกลับพยักหน้าอย่างง่ายดาย
“ได้ แม่บอกไว้แล้วว่าห้องมึงซ่อมฝ้าอยู่ กุญแจ...”
“ไม่เป็นไร กูมีอยู่” เชฟโตมรชูพวงกุญแจพวงเล็กให้ดู ภรัณยูเลิกคิ้ว
“ตั้งแต่สมัยม.ปลาย มึงยังไม่คืนกูอีกเหรอ?”
“น่า ยังไงกูก็ใช้ห้องมึงบ่อยกว่ามึงอยู่ละ เก็บกุญแจไว้กับกูนี่แหละดีสุด”
มารดาของโตมรไม่ชอบให้ลูกชายอ่านหนังสือการ์ตูนหรือนิยายกำลังภายในที่เชฟหนุ่มติดนักติดหนา หนังสือที่กองพะเนินอยู่ในห้องของภรัณยูมาตั้งแต่เด็กจึงมีแต่ของโตมรแทบจะทั้งหมด ปัจจุบัน เชฟหนุ่มในวัยย่างสามสิบสองปียังคงไม่กล้าเอาหนังสือการ์ตูนเข้าบ้านของมารดา ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงกองอยู่ในสภาพเดิมกับที่โตมรไปนอนค้างบ้านเขาครั้งล่าสุดตอนที่แอร์ห้องของชายหนุ่มเสีย
“เออ ทำอะไรก็ทำ”
ภรัณยูเอ่ยตัดรำคาญ กล่าวลามารดาของเจ้าของร้านและคนรักตามมารยาท แล้วเดินนำเด็กหนุ่มร่างสูงที่นอกจากเสียงพึมพำกล่าวลาเจ้าของร้านยังคงไม่พูดอะไรมากไปกว่านั้นออกมาที่รถของตัวเอง
“พี่ภัทรครับ...”
“อะไร?”
ภรัณยูถามเสียงเรียบ ไม่สนใจจะหันไปมองคนที่เขายังอารมณ์เสียด้วยอยู่ เขารู้ว่าเด็กหนุ่มไม่ผิดที่นอกจากจะไม่ยินดียินร้ายกับความพยายามของเขาแล้วยังดูจะไม่ค่อยพอใจที่เห็นเขาแต่งตัวแบบนี้ แต่วันนี้ภรัณยูรู้สึกว่าอารมณ์ของเขาอยู่เหนือเหตุผลมาตั้งแต่ที่รู้ว่าทินกรเพียงแค่อยากให้เขาไปช่วยตนทำงานในวันหยุดเท่านั้น
“…ชุดแบบนี้ พี่ใหญ่ชอบเหรอครับ?”
คำถามประหลาดที่หลุดออกมาจากปากเด็กหนุ่มทำให้ภรัณยูคิดตามอย่างลืมความโกรธไปชั่วคราว จริงๆแล้วเสื้อผ้าแบบนี้เขาเห็นณัฐภาส คนรักของโตมรใส่อยู่บ่อยครั้ง รสนิยมของเชฟขนมหวานร่างโปร่งกับเหนือฟ้าญาติของเขาดูจะคล้ายคลึงกันพอสมควร
“ชอบมั้ง”
อันนี้จริงจากแววตาที่โตมรมองคนรัก ภรัณยูคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะชอบให้ณัฐภาสไม่ใส่อะไรเสียมากกว่า
“….”
เด็กหนุ่มเบือนหน้ามองไปนอกหน้าต่างรถ ไม่คิดจะต่อบทสนทนาที่ตนเป็นคนเริ่ม ทำให้ภรัณยูทำได้เพียงขับรถต่อไปในความเงียบที่น่าอึดอัดนั้น
หรือว่า...ทินกรจะหมดความอดทนกับเขาแล้ว?
-----------