เกิดข่าวใหม่กระพือลือลั่นไปทั่วเกาะเมือง เบียดข่าวคาวเรื่องอาจารย์คนึงกับคุณชายเลอมานให้ตกกรอบข่าวเด่นประจำสภากาแฟไปได้ชั่วคราว
แล้วไอ้เรื่องใหม่ที่ว่านี้ระดับความน่าสนใจมันถึงขั้นสะเทือนตำบลเสียด้วย
ไม่สะเทือนได้หรือ เมื่อไอ้สิงห์ ไอ้นักเลงหัวไม้ที่เคยท้าต่อยท้าตีไปทั่ว ไอ้ลูกเวรที่ถูกพ่อแม่ตัดหางปล่อยวัดจนต้องซมซานมาตกอับเป็นจับกังโรงสีเถ้าแก่ฮง วันดีคืนดี มันออกจากงานกุลี กลับบ้านไปดูแลแม่อย่างที่ลูกกตัญญูพึงกระทำ และหลังจากนั้นไม่กี่วัน เขาลือกันทั้งตลาดว่าคุณนายพูนทรัพย์พามันไปสอนงานที่โรงสี ไม่ได้เป็นงานแบกหาม แต่เป็นงานนั่งโต๊ะโก้เสียไม่มี
ใครมันสอดรู้นักก็ชอบมาถามจ้อย เพราะตอนนี้เจ้านักเรียนครูคนดีก็เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวกำนันกลายๆ เข้านอกออกในเป็นว่าเล่น ไม่มาหาคุณนายพูนทรัพย์ที่เรือน ก็แล่นไปโรงสี ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นอย่างหลังเสียมากกว่า
จ้อยมันจะไปหาใครได้ ถ้าไม่พ้นไปหาไอ้สิงห์..อะแฮ่ม..เดี๋ยวนี้เรียกไอ้สิงห์ไม่ได้แล้วเน้อ ใครหลุดปากออกมาก็ตะครุบปากตัวเองกันหมุบหมับ เดี๋ยวใครมันปากหมาคาบไปบอก ทีนี้ดอกเบี้ยเอย ค่าเช่าที่เอย ค่าเช่าแผงเอย หรือกระทั่งจะไปขอกู้เงินมาใช้
หนี้ถั่วโปไฮโล เห็นทีคงผ่อนผันต่อรองกันยากล่ะทีนี้
วันหนึ่งคงจะเป็นคุณสิงห์ หรือเถ้าแก่สิงห์ในไม่ช้า หรือไม่แน่ภายภาคหน้า เมื่อกำนันเสริมใกล้หมดวาระ มันจะลงสมัครเลือกตั้งตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านเพื่อรอรับคัดเลือกเป็นกำนันต่อจากพ่อก็ย่อมได้ ฐานเสียงมากมายจะไปไหนเสีย
มีทั้งเงิน ทั้งบารมี บ้างก็ชื่นชมว่าดี พ่อเจ้าประคุณน่าจะฝักใฝ่เอาการเอางานแบบนี้มาตั้งนานแล้ว เสียดายมัวแต่สำมะเลเทเมาอยู่เป็นนาน แต่บ้างที่ชอบดูความฉิบหายของคนอื่นเป็นของสนุกก็สบประมาทว่าคนโง่ดักดาน เขียนก.ไก่ถึงฮ.นกฮูกยังไม่ถูกอย่างไอ้สิงห์น่ะหรือจะมาช่วยแม่ดูแลกิจการ ขาพนันก็ท้ากันใหญ่ว่ามันจะดีได้สักกี่น้ำ บ้างก็ว่า ๓ วัน บ้างก็ว่า ๗ วัน
ทว่า.. เกิดเหตุการณ์บางอย่าง ทำให้พวกปากปลาร้าต้องเปลี่ยนใจ
ปลายเดือนอ้าย ฝนเริ่มจาง น้ำเต็มตลิ่ง กระแสน้ำไหลเชี่ยว ใส สะอาด ไม่ขุ่นเหมือนฤดูทำนาหรือฤดูน้ำหลาก ช่วงเวลาแห่งการนวดข้าวเปลือกขายเวียนมาถึงอีกคำรบ
ทุกอย่างของชาวนาฝากไว้ที่รวงข้าว รวงข้าวอันจะเปลี่ยนเป็นเงินสำหรับซื้ออาหารยังชีพ ซื้อหยูกยา ซ่อมบ้านเรือนผุผัง ใช้หนี้ใช้สิน กระทั่งเป็นค่าศึกษาเล่าเรียนลูกเต้า
ซึ่งรวงข้าวจะแปรเป็นเงินได้ก็ต้องผ่านโรงสี
โรงสีของนางพูนทรัพย์ใหญ่โตที่สุดแล้วในเกาะเมือง คาดกันว่าแม้ทั่วกรุงเก่าก็ยังไม่มีที่ใดเทียบเท่า ตึกสองชั้นสีขาวยืนตระหง่านอยู่ภายในรั้วคอนกรีต สนามหญ้าตัดเรียบ ไม้ดอกไม้ใบบานสลอน ด้านหลังมียุ้งข้าวขนาดโรงเรียนประชาบาลสองหลังทอดตัวอยู่อย่างทรนง ประตูมันเปิดอ้ารอรับเกวียนบรรทุกข้าวซึ่งวิ่งเข้าออกเหมือนเป็นลมหายใจของมัน
ภายในห้องรับแขกปูด้วยพรมสีเลือดนก บังตาปลิวสะบัดตามแรงพัดลมอยู่พั่บๆ แจกันจีนโบราณอวดราคาอยู่บนโต๊ะประดับมุก เครื่องสังคโลกอวดลวดลายและราคาอยู่ในตู้โชว์
คุณนายพูนทรัพย์โยกตัวขึ้นจากเก้าอี้นอน จิบชาโฮกหนึ่ง มองชายชาวนาตรงหน้าหัวจรดตีน
“จะให้ราคาผมเท่าไร” ชายคนยากถามราคาข้าวด้วยกิริยานอบน้อม ก้มตัว สานมือเข้าด้วยกัน เหมือนพูดกับเจ้าเมือง
“ซื้อข้าวตกแบบนี้มันเสี่ยง ปีหน้าไม่รู้น้ำท่ามันจะมีหรือเปล่า ถังละ ๔ บาทแล้วกัน เห็นใจลื้อ”
สิงห์ที่นั่งจดบัญชีให้แม่อยู่ที่โต๊ะชะงัก กัดปากอย่างลืมตัว ข้าวเปลือกถังละ ๔ บาทถูกเหมือนแกลบ แล้วข้าวสารทำไมมันถึงถังละ ๔๐-๕๐ บาท ข้าวเปลือกสามถังสีแล้วได้ข้าวสารถังกว่า แล้วโรงสียังขายแกลบและรำได้อีก แม่ตั้งราคาซื้อเอาตามใจชอบ ทีชาวนาเป็นฝ่ายซื้อบ้าง แม่ก็ตั้งราคาขายให้อีก
ความยุติธรรมอยู่ตรงไหน
“ตกลงขายเกวียนหนึ่ง”
“รับรองไม่เบี้ยวนะ เอ้าเซ็นสัญญา” คุณนายโรงสีเตรียมกระดาษพร้อมหมึกพิมพ์ลายนิ้วมือ หากลูกชายยืนขึ้นเต็มความสูง ห้ามแม่เอาไว้ทันท่วงที
สองแม่ลูกตกลงกันอยู่พักหนึ่ง แล้วเสียงคุณนายก็แหวออกมาจากออฟฟิศ กุลีที่แบกกระสอบข้าวกันหน้าโกดังยังสะดุ้งโหยง
“จะบ้าเรอะตาสิงห์!” นางพูนทรัพย์เอามือทาบอก “ถังละ ๘ บาท แม่จะเอากำไรจากไหน!”
“ไม่ต้องกำไรมากก็ได้แม่” ลูกชายให้เหตุผล “ชาวนาหาเงินได้ปีละครั้ง ให้เขาลืมตาอ้าปากได้บ้างเถอะ”
“คนจะแห่มาที่นี่กันหมด ทำอย่างนี้ระวังพวกโรงสีอื่นมันจะหมายหัวแกเอา”
“ก็ให้มันมา” สิงห์ว่าเสียงต่ำ เหลือบตามองปืนลูกซองที่เหน็บไว้ข้างฝา ผู้เป็นแม่ได้แต่ทอดถอนใจ เป็นอย่างไรก็เป็นกัน
ข่าวลือสะพัด ไอ้ทิดสมบ้านใต้ขายข้าวตกได้เกวียนละ ๘๐๐ อย่างที่ไม่เคยมีโรงสีไหนให้ราคานี้มาก่อน อย่าว่าแต่ราคาข้าว กระทั่งค่าเช่าที่เช่าแผงและดอกเบี้ยก็ยังถูกลง เสียงชื่นชมยกย่องตามมา นายสิงห์ สีตลาไปไหนมาไหน เดี๋ยวนี้เริ่มมีคนยกมือไหว้
*************************
แต่ข่าวน่ายกย่องของคนดีๆ จะนินทาสนุกปากเท่าข่าวคาวๆ ของคนชั่วๆ หรือ?
คนึงกับเลอมานจึงยังคงถูกชาวบ้านจ้องจับผิด จำเลยผู้วิปริตกำลังถูกสังคมลงทัณฑ์อย่างเงียบเชียบ ไม่มีการใช้ความรุนแรงเพื่อเบียดเบียนหรือใช้กำลังประทุษร้าย
สังคมพิพากษากันไปแล้วว่า.. ในเมื่อทั้งคู่เลือกที่จะเอาแต่ได้ เห็นแก่ความสุขส่วนตนอันขัดต่อจารีตอันดีงาม จึงสมควรแล้วที่จะได้รับโทษทัณฑ์คือการต่อต้านจากสังคม โดยการปิดกั้น ตัดขาด และปฏิเสธที่จะมองเห็นตัวตนของพวกเขา หวังว่าการกระทำเช่นนี้จะทำให้คนระยำหยาบช้าทั้งสองสำนึกผิด
ตั้งแต่พากันมองแบบทะลุผ่านและเดินหนีไปแบบไม่สนใจ ประหนึ่งว่าอีกฝ่ายไม่มีตัวตน หรือเมื่อกำลังคุยกันอยู่เป็นกลุ่ม แล้วเมื่อคนึงหรือเลอมานเดินผ่านมา ก็หยุดการสนทนาอย่างฉับพลัน หันมามองเหมือนเห็นอากาศธาตุแวบหนึ่ง ก่อนเดินแยกย้ายวงกันออกไปจากที่นั่น แล้วไปจับกลุ่มคุยกันใหม่อีกที่หนึ่ง
ไปจนถึงถูกทำให้รู้สึกว่าไม่เป็นที่ต้อนรับ ไม่เชื้อเชิญเข้าร่วมกิจกรรมใดๆ คนึงไปเดินตลาดไม่ได้อีก เนื่องจากไม่มีร้านไหนยินดีขายของให้ แม้แต่กาแฟสักถุงยังต้องไหว้วานให้จ้อยไปซื้อ และไม่มีเพื่อนครูคนใดชวนเขาไปสังสรรค์ตามร้านอาหารหรือโรงบิลเลียดอีกเลย
นี่แหละหนา.. พรหมทัณฑ์..
การแยกกันอยู่อย่างที่ยายช้อยแนะนำ เหมือนแค่เป็นการไม่ทำให้เรื่องโหมกระพือบานปลายไปมากกว่านี้เท่านั้น แต่ห้ามเพลิงไว้ไม่ให้มีควัน ห้ามคนจะรักกันมันห้ามได้หรือ ท่ามกลางกระแสต่อต้าน จึงยังมีข่าวลืออยู่แว่วๆ ว่าเห็นพวกเขาสองคนนัดพบกันตรงโน้นตรงนี้ จริงบ้างไม่จริงบ้าง ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเจ้าตัว
ส่วนในโรงเรียนนั้น แม้อาจารย์ปรีชาจะเพียงเรียกตัวคนึงไปตักเตือน ไม่มีการลงโทษหรือแม้แต่ลงทัณฑ์บน เพราะไม่มีหลักฐานแห่งความผิดนอกเหนือไปจากคำพูดปากต่อปากของชาวบ้าน แต่บรรดาครูน้อยและนักเรียนทั่วไปต่างมองทั้งสองด้วยสายตาที่แปลกไปทั้งสิ้น มีเพียงจ้อยที่ยังเหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยน หนำซ้ำยังกระหนาบเลอมานไม่ให้ออกนอกลู่นอกทางเสียอยู่หมัดในฐานะผู้ดูแลพิเศษ (ตามคำสั่งของยาย) และยังปากคมใส่คนอื่นๆ ที่มาเซ้าซี้ถามเรื่องความสัมพันธ์เกินเลยของครูศิษย์เจ้าปัญหาเสียจนหน้าหงายไปหลายหนด้วย
แต่นั่นแล.. ห้ามอาทิตย์ห้ามดวงจันทร์ หยุดแค่นั้นค่อยห้ามดวงใจ..
ยามเย็นสุริยายอแสง เลอมานนั่งแกร่วรอจ้อยพาไปส่งบ้านยายช้อยเช่นทุกที มือขาวสะอาดพลิกกล้องถ่ายรูปราคาแพงในมือไปมา ช่องดูจำนวนภาพที่ถ่ายไปอยู่ที่ ๓๒ ถ่ายอีกไม่กี่ภาพเท่านั้นฟิล์มก็จะหมดม้วนแล้ว จวนถึงเวลาเข้าเมืองเอาฟิล์มไปล้างเสียที
อาคารเรียนไม้หลังยาวตระหง่านในแสงสีทอง เลอมานยกกล้องขึ้นเก็บภาพนั้นเอาไว้ เอาล่ะ.. ๓๓ แล้ว
ร่างสูงใหญ่ของใครคนหนึ่งผ่านเข้ามาในช่องมองภาพ แม้จะเห็นจากระยะไกลเลอมานก็รู้ได้ทันที คนที่อยู่ในหัวใจทุกห้วงขณะจิต คนที่ใกล้แสนใกล้ แต่เหมือนห่างไกลเหลือแสน วันนี้ทั้งวันทำได้เพียงสบตากันยามเดินสวนผ่าน แม้จะเอื้อมมือไปสัมผัสกันสักครั้งยังไม่กล้า สายตาคนจ้องจับผิดกันทั้งโรงเรียนอย่างนั้น
หม่อมราชวงศ์หนุ่มลดกล้องลง จริงด้วยสิหนอ.. เขายังไม่มีภาพถ่ายคู่กับอาจารย์เลย..
ดวงตาสีน้ำตาลใสสำรวจรอบตัว กลางสนามหญ้ากว้าง.. นั่นวงฟุตบอล นั่นวงตะกร้อ จับกลุ่มเล่นกันอยู่เฮๆ อ้าว.. จากโรงอาหารลิบๆ นั่น จ้อยกำลังเดินตรงมาหาพอดี
เพื่อนรักเห็นเขาถือกล้องเดินไปหาอาจารย์ด้วยตาวาววับก็รี่เข้ามาขวาง กระแอมแฮ่มๆ ปราม ดั่งรู้ว่าเขากำลังคิดจะทำอะไร
“จ้อย มาถ่ายรูปคู่กันหน่อย” เลอมานเปลี่ยนเป้าหมายไปหาจ้อย
“จะเอาไปทำไม”
“เอาไปทำรายงานส่งโครงการ” ว่าพลางร้องเรียกอาจารย์ประพนธ์ที่ยืนแกร่วอยู่ริมสนามให้ช่วยถ่ายให้ “ฉันจะลงรูปจ้อย เขียนบอกว่านี่คือเพื่อนรักของฉัน”
แค่ได้ยินคำว่า ‘เพื่อนรัก’ คนใจแข็งซ้ำยังปากแข็งก็ทำเป็นพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้
อาจารย์ประพนธ์ใจดี หันมาเห็นเลอมานจะถ่ายรูปไปทำรายงาน มีการให้นักฟุตบอลทโมนทั้งหลายมายืนเรียงแถวเต๊ะท่าให้ถ่ายรูปด้วย
แชะ.. แชะ.. เสียงชัตเตอร์ลั่นสลับกับเสียงเลื่อนฟิล์มกังวานต่อเนื่อง
และแล้ว.. ณ ที่ ๓๕ ภาพ เด็กหนุ่มตัดสินใจเดินเข้าไปหาคนรักที่ยืนมองอยู่ห่างๆ เงียบๆ
ภาพสุดท้าย..
“อาจารย์” ยามเลอมานเอ่ยคำนี้ จะมีใครจับได้ไหมว่าอ่อนหวานกว่าทุกคำที่เคยเอ่ย “ให้เกียรติถ่ายรูปคู่กับผมสักรูป”
คนึงยิ้มอ่อนบางแทนคำตอบ ยังคงรักษาระยะห่าง แต่สายตาที่ทั้งสองมองกันนั้นเล่า จะมีใครจับได้ไหมว่าลึกซึ้งเพียงใด
“ในวิทยานิพนธ์ของผมจะมีรูปอาจารย์ บอกว่าคนคนนี้คือ..”
คนที่ผมรัก.. “อาจารย์ผู้ดูแลผม” คำที่ไม่อาจเอื้อนเอ่ยถูกถ่ายทอดทางดวงตาไปหมดสิ้น
จ้อยอาสาเป็นตากล้องจำเป็นให้ เลอมานหมุนปรับอะไรไปมาอยู่พักหนึ่งก็ยื่นให้เพื่อนรัก ไม่ลืมกำชับว่าอย่าถ่ายพลาดเด็ดขาด
ทั้งสองขยับเข้ามาชิดใกล้ สบสายตากันชั่ววินาทีก่อนหันไปมองกล้องเมื่อจ้อยเริ่มนับหนึ่ง.. สอง.. สาม
ภาพสุดท้ายของฟิล์มม้วนนั้น คือภาพหม่อมราชวงศ์หนุ่มน้อยอาสาสมัครจากแดนไกล เคียงข้างอยู่กับอาจารย์หนุ่มในชุดข้าราชการสีกากี กลางสนามหญ้าเขียว มีเสาธงโบกสะบัดและอาคารเรียนหลังยาวอยู่เบื้องหลัง เป็นฉากชีวิตที่บรรจุเรื่องราวไว้มากมายในช่วงเวลาเกือบปีที่พ้นผ่าน
สนามนี้ที่เขาเคยถูกคนึงปลุกแต่ไก่โห่ให้มาทำกายบริหารพร้อมนักเรียนคนอื่น ต้นหูกวางริมสนามนั่น.. เขาเคยแอบยืนหลบแดด แต่ก็ถูกลากให้ออกมาเข้าแถวกลางแดดเปรี้ยง ที่มุมโน้น.. เขาเคยขอเล่นตะกร้อแล้วถูกไล่ตะเพิด แต่อีกไม่กี่เดือนถัดมาก็มาถอดเสื้อเตะบอลคลุกฝุ่นกันกลางสนามนี้ อาคารเรียนไม้หลังยาว.. ทางเดินมันปลาบที่เขาเคยร่วมลงแว็กซ์กับเหล่านักเรียนครู บันไดที่เคยวิ่งตึงตังลงมาจนถูกอาจารย์เรียกไปเคาะตาตุ่ม และทางเดินนี้แหละที่เขาลอบมองเข้าไปในห้องทุกครั้งที่ผ่านห้องที่คนึงกำลังยืนสอนอยู่หน้าชั้น ไหนจะห้องเรียนที่เคยวิ่งรอกสอนนักเรียนทั้งสองชั้นปี บางคาบสอนอยู่ดีๆ อาจารย์ก็เข้ามานั่งอมยิ้มดูเขาสอนด้วย
ในแผ่นไม้ทุกแผ่น ในต้นหญ้าทุกต้น มีแต่ความทรงจำงดงามนัก
เลอมานบอกตัวเอง นี่จะไม่ใช่ความทรงจำ เขาจะต้องได้ถ่ายรูปกับอาจารย์ที่นี่อีกหลายต่อหลายครั้ง จะต้องได้ใช้ชีวิตในฉากหลังเช่นนี้ต่อไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่
จะไม่มีอะไรมาพรากจากไป..
**********************************
จ้อยมาส่งเลอมานที่กระท่อมได้ไม่ทันไร ก็แบ่งกับข้าวกับปลาใส่ปิ่นโตแล่นหายไปโรงสีนางพูนทรัพย์อีกแล้ว บางวันก็ไม่กลับมานอนบ้านเสียด้วย ยายช้อยไม่ทัดทานสักคำ ออกจะยินดีด้วยซ้ำ ยิ่งรู้ว่าระยะหลังมานี้เจ้าแม่เงินกู้ไม่ได้รังคัดรังแกจ้อยเหมือนเก่า แม่เฒ่าแทบอยากย้ายสำมะโนครัวหลานรักไปบ้านนู้นเสียให้รู้แล้วรู้รอด
ฝ่ายคุณชายได้แต่ส่ายหน้าระอา รู้ว่าเพื่อนกำลังตกอยู่ในห้วงรัก ต่อให้เอาช้างมาฉุดก็หยุดไม่อยู่หรอก
เห็นเพื่อนมีความสุขเลอมานก็ดีใจด้วย แต่พอเปรียบเทียบกับความรักของตนแล้วช่างอนาถใจนัก วันนี้ทั้งวัน จะได้แตะเนื้อต้องตัวอาจารย์สักนิดก็หามีไม่ แค่ชายเสื้อถูกกันนิดเดียวตอนยืนถ่ายรูปคู่กัน คนนั้นคนนี้ยังจ้องเอาจ้องเอาลูกตาแทบทะลุ
ทำไมนะ จ้อยกับสิงห์ก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน สองคนนั้นไม่เห็นถูกสังคมรุมประณามอย่างเขา มีแต่จะยกย่องชื่นชมด้วยซ้ำ ว่าจ้อยเข้ามาทำให้ลูกกำนันเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาได้ ไปไหนมาไหนด้วยกันผู้คนก็เอ็นดู ทักทายว่าเหมือนเป็นพี่น้องที่กลมเกลียวกันดี
เพราะอะไร.. เพราะอาจารย์เป็นอาจารย์ เขาเป็นศิษย์ เพราะอาจารย์เป็นลูกชาวนา เขาเป็นหม่อมราชวงศ์ อย่างนั้นหรือ
เด็กหนุ่มสูงศักดิ์นั่งไกวเท้าเงื่องหงอยอยู่ที่ท่า มองฟ้ามองน้ำไปเรื่อยเปื่อย นั่น.. เรือแจวลำหนึ่งผ่านมา ชาวบ้านชายหญิงสองสามคนในเรือหันมามองเขาแล้วหันไปซุบซิบกันอีกแล้ว เลอมานได้แต่เชิดหน้าใส่ ช่างปะไร เขาไม่ได้ขอข้าวคนพวกนี้กินสักหน่อย!
น่ารำคาญ!
แล้วนู่น.. ตัวน่ารำคาญอีกตัวพายเรือพ้นคุ้งน้ำมาลิบๆ เพียงแวบแรกที่เห็นอาการปวดมวนในท้องก็จู่โจมจนอยากขย้อน
เขากับอาจารย์ต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้เพราะมันนี่แหละ! ไอ้ลอย! ไอ้เลว!
มันจอดเรือเทียบท่า จงใจมาหาเขาอย่างไม่ต้องสงสัย ร่างใหญ่บึกอย่างวัวเปลี่ยวสาวเท้าตรงมา เลอมานลุกขึ้นเผชิญหน้า แม้ใจหนึ่งอยากเดินหนีไปให้พ้นๆ แต่อีกใจก็ประท้วงว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมต้องเกรงกลัวมัน
“เป็นไง..” มันทักทายเสียงต่ำ ยิ้มมุมปากยียวน “ตกเป็นขี้ปากชาวบ้านสนุกไหม”
พ่นมาคำแรกก็หาเรื่องกันเลย! คุณชายกัดปากแน่น ระงับโทสะที่ปะทุขึ้น
“มาทำไม”
“มาดูหน้าคนหน้าด้าน” มันว่าไม่ยำเกรง “เขาด่ากันทั้งบ้านทั้งเมือง ยังทำลอยหน้าลอยตาเป็นทองไม่รู้ร้อน”
“ไม่ต้องมาถึงนี่ก็ได้ แค่ส่องกระจกแกก็เห็นแล้ว” เลอมานย้อนเข้าให้ เหมือนมีเปลวไฟเต้นระยิบจากฝ่าเท้าลามขึ้นหัวหู มันกล้าดีอย่างไรมาด่าเขา!
“ปากเก่งจริงๆ..”
จงใจมากวนประสาทกันแบบนี้ ป่วยการจะเสวนาด้วย หม่อมราชวงศ์หนุ่มผลุนผลันเดินหนี ร่างสูงทะมึนตามติด
“ปล่อยไปแบบนี้นานเข้า คนลำบากจะไม่ใช่คุณชาย แต่เป็นอาจารย์คนึง” คำพูดนั้นทำเลอมานชะงักกึก ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเฉือนอกเขาดั่งคมมีด
เด็กหนุ่มสูงศักดิ์ฉุกคิด จริงของมัน เขาไม่เดือดร้อนกับเหตุการณ์นี้
แต่อาจารย์เล่า...
“คนเป็นครูบาอาจารย์ต้องมีศีลธรรม” มันจุดบุหรี่ “ก่อเรื่องระยำไว้แบบนี้ สักวันอยู่บางนี้ไม่ได้แน่”
เลอมานคิดตามทุกถ้อยคำ จริงดั่งว่า.. คนไทยทำไมชอบวุ่นวายกับเรื่องคนอื่นนัก
“มีประวัติไม่ดี ขอต่อใบอนุญาตก็คงผ่านยาก” มันว่าต่อ เขาคงทำหน้างงพิลึก มันจึงขยาย “ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ รู้จักไหม ข้าราชการต้องต่อทุก ๕ ปี”
ยอมรับว่าเขาไม่เคยรู้มาก่อนเลย
“ถ้าไม่ผ่านก็ไม่หนักหนาอะไรร้อก” มันพ่นควันบุหรี่เป็นสายคลุ้งในอากาศ “แค่เป็นครูต่อไปไม่ได้เท่านั้นเอง”
ความอดทนของเด็กหนุ่มสิ้นสุดลงตรงนั้น!
“แกต้องการอะไร” เลอมานกัดฟันถาม มันกำลังข่มขู่ หรือกำลังแนะนำ ในหัวสมองสับสนมึนชาไปหมด หากสิ่งเดียวที่แจ่มชัดคือใบหน้าของชายคนรัก
เขาไม่อยากให้อาจารย์เดือดร้อน
“ผมช่วยคุณได้เสมอ คุณเล็ก” มันขยี้ก้นบุหรี่ด้วยปลายเท้า โน้มหน้าลงมาจ้องเขาด้วยดวงตาวาวระยับเป็นประกาย “แค่ทำตามที่ผมบอกเท่านั้น”
**********************************
และแล้วเลอมานก็พาตัวเองมาอยู่ตรงนี้จนได้ ในเรือแจวลำน้อยลอยล่องกลางคลองใส หม่อมราชวงศ์หนุ่มนั่งหัวเรือ มีไอ้ลอยคัดท้าย แสงตะวันจวนลาลับขอบฟ้าเข้าไปทุกที
โดยไร้ข้อกังขา โดยไร้ความระแวงใดๆ ทั้งสิ้น มีเพียงความห่วงใยคนรักท่วมท้นอก เด็กหนุ่มคิดว่าต่อให้มันจะชกเขาสักสี่ซ้าห้าหมัด หรือซัดเขาจนหมอบสักยก หากมันแลกมาซึ่งอนาคตของอาจารย์ เขาก็ยินยอม
แต่นี่มันเสนอตัวว่าจะช่วย
วิธีมันเข้าทีอยู่ มันบอกจะพาเขาไปซ่องนางทองใบ ทำตัวเจ้าชู้เสเพล คลุกควงผู้หญิงสักคนสองคนให้ชาวบ้านเห็น ขี้คร้านข่าวคาวที่โหมกระพือกันอยู่จะดับลบกลบหาย
ปฏิเสธไม่ได้ว่าไอ้นักเลงหนุ่มนี่มีอิทธิพลต่อผู้คนบางนี้เอาการ ดูจากการที่มันเป็นคนปล่อยข่าวเรื่องเขากับอาจารย์เป็นคนแรก ในเมื่อมันเป็นคนจุดได้ มันก็ควรเป็นคนดับได้ดังปากว่า
เลอมานนั่งเกร็งอึดอัดมาตลอดทาง จนกระทั่งผ่านชุมชนตลาดยอด ฝีพายกลับแจวเรือผ่านไปอ้อยอิ่ง ท่าแล้วท่าเล่าที่มันผ่านมา เขาเริ่มเอะใจ ดวงตาหวาดระแวงมองไปสองฝั่งคลองเบื้องหน้า อีกนิดเดียวก็พ้นตลาดแล้ว
“จะพาไปถึงไหน” เขาหันมาแหวใส่ “จอดที่ท่านี้ก็เดินไปท้ายตลาดได้”
มันไม่ตอบคำ แต่ดวงตาที่มองมาอย่างมาดร้าย และรอยยิ้มกระตุกที่มุมปากนั้นทำให้เลอมานพรั่นพรึงไปทั้งร่าง
“หันเรือกลับเดี๋ยวนี้!” เขาสั่ง มันสนใจที่ไหน เอาแต่ผิวปากเป็นทำนองยียวน สายตาจาบจ้วงมองราวจะทะลุทะลวงถึงเนื้อใน และเมื่อมันกวาดสายตาลงต่ำ ลูกตาควานช้อนเข้าไปใต้กางเกงขาสั้น มันเลียปากแผล็บ!
เขาพลาดแล้ว!
เด็กหนุ่มสูงศักดิ์แทบสำลักลมหายใจ หัวใจเต้นถะถี่ นี่คือความกลัวหรือความเกลียดชังกันแน่ ร่างโปร่งบางรี่เข้าไปแย่งไม้พายจากมือมัน เรือโคลงจนแทบเสียหลัก มือแกร่งราวคีมเหล็กกลับคว้าลำคอขาวไว้หมับ กระชากทั้งร่างเข้าหาจนได้กลิ่นลมหายใจอวลควันบุหรี่
“มึงอย่าฤทธิ์มาก!” จิ้งจอกชั่วกระซิบแหบพร่า “ให้กูขย่มสักทีสองที กูจะช่วยแก้ข่าวมึงกับผัวให้หมด”
มันเพิ่มแรงบีบจนเขาสำลัก
“มึงจะได้อยู่ที่นี่นานๆ อยู่ให้กูเอานานๆ” ประกายตามันโชนอย่างไฟ “ไม่ดีหรือ มึงจะได้มีผัวสองคน ไว้เปลี่ยนรสชาติ กูแบ่งกับไอ้คนึงได้ กูไม่ถือ”
แค่มันสะบัดมือ เลอมานก็เซไปกระแทกกราบเรือจนเรือเอียงวูบ น้ำทะลักเข้ามา ความโกรธแค้นประดัง เลือดชิงกันไหลทั่วเรือนกายอันสั่นเทิ้ม เลอมานขบริมฝีปาก น้ำตาแห่งความชิงชังคลอเบ้า หัวใจเต้นแรงถี่เหมือนจะโลดเร่าพ้นจากอก คนอะไรเลวระยำได้เพียงนี้
โกรธมันไม่พอ ซ้ำยังโกรธความโง่ของตน โง่ที่หลงตามมันมา!
นิจจาเอ๋ย แค่มันเอาอนาคตของอาจารย์มาขู่ ความฉลาดที่เคยมีก็ลืมพาความเฉลียวมาด้วย ความรักปิดหูปิดตาจนมืดบอดไปสิ้น เหมือนลืมไปแล้วว่าไม่กี่วันก่อน ไอ้สารเลวนี่แหละทำให้เขาเกือบจมน้ำตายคาคลอง!
เลอมานหันซ้ายหันขวาล่อกแล่กบนเรือโคลงเคลง คืบก็น้ำ ศอกก็น้ำ เขาจะหนีไปไหนได้!
โดยไม่มีใครรู้ คล้อยหลังจ้อยพาเลอมานกลับไปไม่ทันไร อาจารย์หนุ่มระส่ำระส่ายในหัวอกโดยไม่รู้สาเหตุ อาจเพราะสายตาที่เลอมานมองเขาตอนถ่ายรูปคู่กัน หรืออาจเพราะรักอาลัย หรืออาจเพราะบางสิ่งดลใจดลจิต เหมือนของรักกำลังจะจากพราก คนึงติดตามมาที่กระท่อมยายช้อย ยิ่งแม่เฒ่าเล่าให้ฟังด้วยสีหน้าไม่สู้ดีว่าเลอมานขออนุญาตไปเที่ยวในตลาดกับไอ้ลอยด้วยแล้ว หัวใจหนุ่มสะเทือนไหวแทบพลัดออกจากอก
ลางสังหรณ์แล่นพรู ขณะบังคับเรือยนต์ลำน้อยออกตามหา แล้วสิ่งที่เห็นมันผิดกับที่คาดไว้อยู่เมื่อไร!
สองคนยื้อยุดกันบนเรือลำน้อยจนเรือเอียงวูบ อาจารย์รีบเร่งเครื่องประชิด เสียงเครื่องยนต์ก้องไปทั้งคุ้ง
“อาจารย์!” เสียงเลอมานร้องหาเขา พร่ำวอนชวนใจจะขาด มือขาวที่ไม่เคยแปดเปื้อนสิ่งใดคว้ากราบเรือเขาไว้ราวเป็นที่ยึดเหนี่ยวสุดท้าย หมายจะข้ามเรือเข้ามา คนึงคว้ามือศิษย์รักเอาไว้ พยายามดึงเข้าหา ไอ้ลอยกลับใช้ไม้พายยันเรือออกห่าง เลอมานแทบพลัดตกน้ำ!
“กูจะประกาศให้ทั่ว!” เสียงมันดังกึกก้อง ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงจนเรือโคลง ปกติคนตีกันก็เรียกความสนใจได้มากพออยู่แล้ว นี่ยิ่งเป็นคนที่กำลังมีข่าวฉาวโฉ่ ทุกสายตาบนฝั่งมองมาเป็นตาเดียว ชาวบ้านร้านตลาด บ้างออกมายืนออกันริมฝั่ง บ้างเปิดหน้าต่างชะโงกดู พวกบนสะพานยังหยุดยืนมอง ไม่มีใครอยากพลาดเรื่องเด็ด
สองครูศิษย์เหมือนถูกลากมาประหารกลางถนน
“ไอ้เล็กมันไม่ใช่คนแรก ก่อนหน้านี้จินดาก็ถูกไอ้ครูเหี้ยนี่จับทำเมีย สั่งสอนกันมาตั้งแต่เด็กแท้ๆ ครูระยำอัปปรีย์พรรค์นี้ก็มีโว้ย!”
เสียงฮือฮาดังขึ้นรอบทิศ
“ถ้าไอ้เล็กกลับเมืองนอกเมื่อไร ไม่รู้มันจะคว้าเด็กคนไหนทำเมียอีก ลูกหลานใครก็ระวังไว้ให้ดีเองก็แล้วกัน!”
สุดจะทนอีกต่อไป คนึงยืนขึ้นคว้าด้ามพายฟาดปากไอ้ลอยสุดแรงดังเปรี้ยง คนปากชั่วพลัดกระเด็นจากเรือดังตูม มันไม่ไปตัวเปล่า หากเหนี่ยวกราบเรือที่เลอมานทรงตัวอยู่หมิ่นเหม่พลิกคว่ำลงไปด้วย
น้ำกระจายซ่านเซ็น ร่างทั้งสองจมหายลงไปใต้น้ำราวถูกกระชาก
ใบพัดเรือ! คนึงรีบดับเครื่องอย่างรวดเร็ว แต่ช้าไปเสียแล้ว ท่ามกลางเสียงชาวบ้านกรีดร้อง เกิดสีแดงฉาดฉานกระจายผุดขึ้น ปนเคล้าอยู่ในกระแสน้ำสีน้ำตาลลอยวน
โปรดติดตามตอนต่อไปย่องมาอัพ แล้วก็ย่องจากไป หุหุหุ