ภาพเหตุการณ์หนึ่งปรากฏขึ้นในหัว ห้องนอนในสภาพที่แตกต่างจากปัจจุบัน แม้ว่าเครื่องใช้ดูใหม่เอี่ยมแต่ทว่าคนที่นอนหายใจเข้าออกช้าๆอยู่บนเตียงหลังใหญ่นั้นคือหมื่นนรินทร์ ใบหน้าซีดเซียว ผ่ายผอมลงไปมาก หนวดเคราทีเริ่มมีให้เห็นคงเพราะไม่มีผู้ใดคอยปรนนิบัติ ในยามนี้หมื่นนรินทร์โรยราไปทั้งแรงกายแรงใจด้วยวัยย่างสี่สิบปีถือว่ายังเป็นวัยหนุ่มใหญ่ ทว่าโชคร้ายนักที่มีอาการป่วยด้วยโรคประจำตัวเฉกเช่นพี่ชาย
หมื่นนรินทร์นึกถึงคำทายทักของหลวงปู่ที่บอกว่าเรือนชะตาของตนอายุไม่ยืน ซ้ำแก้วหลานรักมีเรือนชะตาเป็นอริ ทำให้ดวงของตนวิบัติ เมื่อยี่สิบปีก่อนเขาไม่อาจปักใจเชื่อเนื่องด้วยแก้วเป็นคนดี เป็นเด็กหนุ่มที่บริสุทธิ์เช่นเดียวกับดอกแก้ว สีขาว หอม และเป็นสิริมงคลเหมาะแก่งานพิธีมงคล
แต่เหตุใดกัน เจ้าหนุ่มนั่นถึงได้ศึกษาการใช้พิษจากดอกไม้ ซ้ำยังเป็นดอกไม้ในเรือนเพาะอีกด้วย ใต้ชายคาบ้านของตนเองแท้ๆ แก้วช่างหาญกล้า ภายหลังเขาจับได้ว่าแก้วคิดจะเอาพิษมาใช้กับตนเสียด้วยซ้ำ เพียงเพราะเขาไม่รักษาสัญญา แล้วไม่ผิดหรือที่ตนจะระแวงสงสัยในพฤติกรรมเช่นนั้น ไหนจะนางบัวที่มองเขาอย่างมาดร้าย นางเป็นหนามตำใจแก่หมื่นนรินทร์โดยแท้ มาจนตอนนี้ แก้วจากเขาไปได้สามปีแล้ว ด้วยวัยหนุ่มแน่น ช่างน่าเสียดาย
หมื่นนรินทร์หวนนึกถึงเรื่องราวเมื่อสิบปีก่อนนั้นแล้วอดนึกเสียใจไม่ได้ แม้ไม่ได้รักแก้วดังเดิม แต่ใช่จะเกลียดชัง เขาไม่ไล่แก้วออกจากบ้านไปทั้งที่เจ้าตัวเคยมาอาละวาดในบ้านเรื่องที่ตนตัดสินใจแต่งงานกับมณี ถ้าหากว่าในปีนั้นตนส่งแก้วไปอยู่กับกิ่งที่เมืองนอกได้สำเร็จ เรื่องอาจไม่ลงเอยเช่นนี้
“ท่านโกหก”เสียงของหญิงที่ตามหลอกหลอนเขามาหลายปี หมื่นนรินทร์เพ่งมองผู้มาเยือน ร่างนั้นเดินเข้ามาในห้องท่าทีผยองราวกับเป็นเจ้าของบ้าน หมื่นนรินทร์จับจ้องหญิงคนนั้นด้วยสายตาเรียบเฉย ตนในเวลานี้หมดสิ้นทุกอย่างไปแล้ว
“ไหนว่าท่านจะลงโทษคนที่ฆ่าแก้ว”บัวก้าวมาหาหมื่นนรินทร์ที่ข้างเตียง สายตาของเธอมีความโกรธแค้นชิงชังอยู่ หมื่นนรินทร์ถอนหายใจช้าๆ
“...ลูกของฉันต้องมีแม่”หมื่นนรินทร์เอ่ย ไม่มองหน้าบัว สายตาจ้องมองเพดานห้องอย่างจดจ่อ บัวเม้มปากแน่น
“งั้นรึ ท่านคิดว่ามณีจะเลี้ยงลูกของหญิงอื่นออกมาดีนักเหรอ ไอ้ลูกของหญิงชาวบ้านไม่มีหัวนอนปรายเท้าเช่นนั้น นางจะรักเอ็นดูหรือ”
“ทำไมจะไม่รักได้เล่า อย่างน้อยก็ลูกของฉัน”
“อ้อ นึกว่าจะเหมือนท่านหมื่นเสียอีก ที่ไม่เอ็นดูลูกของหญิงขี้ข้าเช่นอิฉัน... มิใช่หรือ แต่ท่านกลับดูแคลนแม่ของเขา”บัวเอ่ยช้าๆ สายตามองไปที่หมื่นนรินทร์ไม่ปิดบังความรู้สึก หมื่นนรินทร์หันมองหญิงที่ยืนอยู่ด้วยสายตาเรียบเฉย แต่ในใจเหมือนโดนมีดกรีด
“ฉันไม่ได้เกลียดแก้ว”หมื่นนรินทร์เอ่ยเสียงแข็ง บัวมองชายอมโรคที่นอนบนเตียงด้วยสายตาเย็นชา
“ท่านไม่เผาลูกของอิฉัน”
“ใช่...ที่ไม่เผา ไม่ใช่เพราะฉันไม่รักแก้วหรอก แต่ฉันคิดไม่ผิดใช่ไหมล่ะ ที่ฝังแก้วไปทั้งแบบนั้น เพราะเธออย่างไรที่ทำร้ายลูกของฉัน มณีแท้งเพราะเธอ หึ เวลานี้ฉันไม่มีอำนาจสั่งคนในบ้านแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดไม่ขุดร่างแก้วออกมาเผาเล่า”หมื่นนรินทร์เอ่ยออกมา ก่อนจะหายใจแรง หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงจนเห็นได้ชัด คล้ายกับว่าหายใจลำบาก
“ผ่านเวลาปลงศพมานานปีแล้ว ทำพิธีเรียก ‘ขวัญ’ส่งคนตายไปไม่ได้แล้ว ท่านย่อมรู้ดีว่าขุดร่างขึ้นมาปลงศพภายหลังเป็นเรื่องไม่ดี แก้วไม่ได้ตายโหง”บัวเอ่ยอย่างมีโทสะ หมื่นนรินทร์หลับตาแน่น ไม่คิดอยากนึกสภาพของแก้วที่ล่วงเลยมาเกือบสามปีแล้วจะเป็นเช่นไร แต่ถึงเขาไม่ปลงศพให้แก้ว ตนก็ได้ทำพิธีสวดให้แก้วไปแล้ว ไม่ถือว่าเขาไม่ให้เกียรติแก่หลานรัก ผืนดินบริเวณนั้นเขาไม่ให้ผู้ใดไปเหยียบย่ำ โรงเพาะก็แทบปิดสนิทเพราะนอกจากแก้วแล้วใครเล่าจะชมชอบการเพาะปลูกดอกไม้อีก... ไม่มีอีกแล้ว ตัวเขาไม่อาจลงเรือนไปดูแลพันธุ์ไม้ในสวนได้
“เธออายุปูนนี้แล้วยังไม่เลิกอาฆาตพยาบาทอีกหรือ”เขาเอ่ยเสียงแหบแห้ง มองหญิงที่ยืนอยู่อย่างไม่เข้าใจ เธอแก่ตัวลงไปเยอะ แต่ท่าทีและสายตาที่จ้องมองเขานั้นไม่เปลี่ยน
“ท่านไม่สำนึก อิฉันก็ตายตาไม่หลับหรอก”บัวเอ่ยอย่างไม่แยแส
“...ฉันจะคืนบ้านให้กิ่ง อย่างน้อยก็ยังอยู่ในญาติฝั่งของแก้ว”หมื่นนรินทร์บอกอย่างเหนื่อยอ่อน เขายอมแพ้แล้ว หากว่าคืนทุกสิ่งให้อีกฝ่ายไปก็คงจบเรื่อง
“อิฉันไม่ต้องการ คิดว่าที่ฉันยังอยู่ในบ้านนี้เพราะต้องการครอบครองมันงั้นรึ”บัวเอ่ยน้ำเสียงขึ้นจมูกราวกับว่าคำพูดของหมื่นนรินทร์นั้นดูแคลนตน
“เธอต้องการอะไร”หมื่นนรินทร์เอ่ยเบาๆ มองบัวอย่างหวั่นเกรง หญิงนางนี้โหดร้ายกว่าที่ตนคาดไว้เยอะ มองหน้าเธอแล้วก็พานให้นึกถึงสิ่งที่เธอทำลงไป
“...ดูท่านตายไปช้าๆ แล้วก็คอยดูบุตรหลานของท่านเติบโตทีละน้อย คงเป็นภาพที่น่างดงามแน่ๆ”บัวยิ้มแย้ม แววตาเยืกเย็น หมื่นนรินทร์ใจหายวาบ “นี่เธอคิดจะทำอะไรกันแน่บัว”
“มณีไม่มีทางได้เสวยสุขเด็ดขาด ไม่มีทางที่ฉันจะยอมเสียแก้วไปอย่างเสียเปล่า”บัวเอ่ยยืนยันคำของตนอย่างเด็ดขาด ทำเอาหมื่นนรินทร์รีบผุดลุกขึ้นมานั่งอย่างยากลำบาก บัวมองอย่างไม่สนใจ หมื่นนรินทร์นิ่วหน้ายกมือกุมหน้าอกตนเองด้วยท่าทีเจ็บปวด
“ไม่คิดว่าเธอจะเลวเช่นนี้ เจ้าหมื่นหน้ามืดรักเธอไปได้อย่างไร”
“ไม่ต่างจากที่แก้วรักท่านมานับสิบปีหรอกหรือ”คำตอบของบัว ทำให้หมื่นนรินทร์พูดไม่ออก
“ฉันคงอยู่ได้ไม่นานนัก ก่อนตายฉันหวังว่าจะได้เห็นหน้าลูกบ้าง บอกมณีให้พาลูกมาเยี่ยมฉันบ้างสิ”หมื่นนรินทร์เอ่ยเบาๆ ลูกสาวลูกชายของตนอาศัยอยู่ที่เรือนหลังเล็ก ทั้งมณีและแม่นมต่างไม่ยอมพาเด็กๆมาหาเขา ตั้งแต่เด็กเกิดมา เขาได้อุ้มชูไม่ถึงปี ก็ล้มหมอนนอนเสื่อ ป่วยหนักอยู่หลายเดือน กว่าจะดีขึ้นได้ เด็กๆทั้งสองก็ไม่ร้องหาพ่อเช่นเขาแล้ว
“คิดว่านางจะยอมหรือ นางเกลียดท่านไม่แปรเปลี่ยน”
“อืม ใช่”หมื่นนรินทร์ยอมรับโดยง่าย เอนพิงกับหัวเตียงอย่างเหนื่อยล้า เหงื่อไหลซึมใบหน้าซีดลงอย่างเห็นได้ชัด ร่างกายคล้ายคนหมดแรง แข้งขาอ่อนเปลี้ยไปด้วยเพราะผลจากโรคหัวใจ เกี่ยวข้องกับเส้นเลือดในร่างกาย
“รู้หรือไม่ ว่ามีพวกปากบอนปล่อยข่าวลือว่าเจอผีแก้วอาละวาด”บัวเปลี่ยนเรื่องสนทนา หมื่นนรินทร์หัวเราะอย่างไร้อารมณ์ขัน เหลือบมองหญิงที่ตนเกลียดจับใจ “แล้วจริงหรือไม่”
“ท่านคงตอบอิฉันได้ดีกว่า หากมีผีแก้วจริง คงไม่มัวไปหลอกหลอนผู้อื่น อิฉันว่าแก้วคงมาเยี่ยมเยียนท่านบ่อยๆมากกว่า”เธอเอ่ยช้าๆ มองใบหน้าของหมื่นนรินทร์ ตั้งแต่แก้วจากไป เธอไม่เคยเจอวิญญาณอะไรทั้งสิ้น เหลวไหลทั้งเพ
“นั่นสิ...”หมื่นนรินทร์พึมพำอย่างหดหู่ นัยน์ตาพลันหมองลง สามปีที่ผ่านมา เขาไม่เจอแม้แต่เสียงกระซิบ
“แต่คนในหมู่บ้านเขาพูดกันลือลั่น ว่าบ้านใหญ่ใกล้เชิงเขามีอาถรรพ์”บัวเอ่ยต่อไป แววตาวาววับ หมื่นนรินทร์หันมองคนพูด มองแววตาของอีกฝ่ายแล้วก็เข้าใจได้ทันที เขาหลุบตามองมือซูบผอมของตนเองนิ่งๆ
“หึ เธอปล่อยข่าวลือบ้าๆพวกนี้ไปเพื่อเหตุใด”
“ตระกูลที่ท่านวาดฝันไว้หนักหนาคงจะรื่นรมย์ไม่น้อย ลองนึกดูสิ ลูกท่านเติบโตไป ชาวบ้านคงเหม็นเบื่อ”
“เธอกำลังทำลายสิ่งที่เจ้าหมื่นสร้างมานะบัว”หมื่นนรินทร์เอ่ย นึกถึงเจ้าหมื่นที่พยายามสร้างความเป็นปึกแผ่นของของคนภิรมย์สุขมาเกือบตลอดชีวิตการออกราชการ
“ไม่ใช่เรื่องที่อิฉันต้องเก็บมาใส่ใจหรอก”
“ฉันไม่ขอโทษเธอหรอกบัว เธอเลวไม่ต่างจากฉันหรอก แต่ว่าฉันไม่เคยฆ่าคนเลยแม้แต่น้อย”หมื่นนรินทร์ส่ายหน้า
“ใช่ อิฉันเลวจนกู่ไม่กลับ คราวนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะมือเปื้อนเลือด”ถ้อยคำขู่ขวัญของบัวทำให้หมื่นนรินทร์ใบหน้าเปลี่ยนสี เพ่งมองบัวอย่างไม่นึกเชื่อ
“มณีเข้าใจผิดไม่ใช่หรือ!เพราะเธอไม่ใช่หรือบัว ที่ทำให้แก้วต้องมารับเคราะห์แทน เป็นแม่ประสาอะไรถึงทำให้ลูกตาย”หมื่นนรินทร์เค้นเสียงด่าทอต่อหญิงใจมาร บัวสะอึกไป ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด เธอโทษตนเองไม่ต่างกัน
“ใช่ ฉันยอมรับว่าเป็นเพราะฉันเอง แต่มณีคือฆาตกรไม่ต่างกัน จนป่านนี้แล้วท่านยังจะปกป้องนางอีกรึไง”บัวปรี่เข้าไปตบหน้าหมื่นนรินทร์ด้วยโทสะ ที่ผ่านมาเธอไม่เคยลงมือทำร้ายอีกฝ่ายมาก่อน แม้ใจอยากจะให้เจ้าตัวเจ็บปวดบ้างก็ตาม
“ฉันไม่ได้ปกป้องมณี คิดว่าฉันพอใจที่แก้วตายไปอย่างนั้นเหรอ”เขาเอ่ยอย่างอดทนไม่ไหว
“หึ อย่ามาเล่นบทโศกกับอิฉันหน่อยเลย เพราะท่านไม่ซื่อสัตย์ต่อแก้ว เรื่องมันถึงลงเอยเช่นนี้ หากท่านรักแก้วด้วยใจจริง ป่านนี้แก้วคงจะเป็นสุข”บัวเอ่ยเสียงดัง การที่หมื่นนรินทร์เอ่ยเช่นนี้เหมือนไปกระตุ้นความเจ็บปวดของเธอ หมื่นนรินทร์ก้มหน้าลง
“ยังคงโทษฉันแต่เพียงผู้เดียวงั้นสิ”สุ้มเสียงที่เอ่ยออกมาเจือความเสียใจให้ได้ยิน
“เพราะท่านต้องการบ้านไม่ใช่หรือ ต้องการเป็นใหญ่เป็นโต คนโลภเช่นท่าน คงไม่มีทางรักผู้ใดด้วยใจจริงนอกจากหวังผลประโยชน์”บัวเดินเข้าไปหาหมื่นนรินทร์ จ้องเข้าไปในดวงตาอิดโรยคู่นั้นอย่างถือโทษ
“...แก้วเป็นหลานของฉัน ถึงฉันจะโหดร้ายกับแก้วไปบ้าง แต่ก็ไม่เคยผลักไสไล่สง”หมื่นนรินทร์พยายามเอ่ยเพื่อแก้ต่างให้ตนเอง อาจเพื่อให้บัวคลายโทสะลง
“...ช่างเถอะ ตอนนี้ไม่มีประโยชน์ที่จะรื้อฟื้นเรื่องที่ผ่านมาแล้ว แก้วจากไปแล้ว ฉันไม่ยอมหรอก ท่านหมื่น หึ ท่านเองยังรักลูกของท่าน ฉันนั้นรักมากกว่าท่านเป็นร้อยเท่า ฉันไม่ปล่อยมณีไว้ รอให้ท่านตายไปก่อนแล้วฉันจะส่งนางตามไปทีหลัง”บัวเอ่ยอย่างเลือดเย็น หมื่นนรินทร์กำมือแน่น รู้สึกหมดสิ้นหนทาง
“บัว! พอทีเถอะ!”เขาหมายจะคว้าแขนของบัว แต่ร่างของหญิงสูงวัยเบนกายหนี เธอส่ายหน้า จากนั้นก็หันหลังแล้วเดินไปที่หน้าประตูห้อง ผินหน้าปรายตามองร่างอมโรคของคนบนเตียงอย่างเฉยชา
“ท่านพักผ่อนเถอะ อีกเดี๋ยวนายหวั่นจะมาดูแลท่านเอง”บัวบอกก่อนจะเปิดประตูห้อง
“ฉันยอมแล้ว บัว เธออยากได้อะไรล่ะ”หมื่นนรินทร์ยังคงตะโกนออกมาอย่างไม่ยอมแพ้ บัวส่ายหน้า แววตาไร้ซึ่งความเห็นใจ
“อิฉันบอกไปแล้ว ดูเหมือนท่านจะเลอะเลือนนะท่านหมื่น”
“คิดว่าฉันไม่เสียใจรึไง บัว!”หมื่นนรินทร์ตวาดลั่น จนหอบตัวโยน ร่างผ่ายผอมไอโขลก เขานอนลงอย่างหมดแรง สองตาไร้ความหวัง นางบัวจะไม่ให้เขาเหลือสิ่งใดไว้เลยหรือ หากว่าลูกทั้งสองคนเติบโตภายใต้การดูแลของบัว มันจะเกิดอะไรขึ้นกัน
“หวั่น ไอ้หวั่น”หมื่นนรินทร์ร้องเรียกคนรับใช้คนสนิทอยู่หลายครั้งจนเสียแหบแห้ง แต่ก็ไร้เงาของมัน เขาถอนหายใจยิ้มเยาะตนเอง ขนาดนายหวั่นยังระอานายเช่นตน บ้านหลังนี้เขาไม่สามารถออกคำสั่งได้อีกแล้ว... บัว นางคิดจะบงการคนในบ้านให้กระด้างกระเดื่องต่อเขางั้นหรือ หมื่นนรินทร์นิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวดบริเวณกลางหน้าอกทั้งสองด้านเยื้องลงมาทางลิ้นปี่เล็กน้อย เจ็บแน่นจนอึดอัดจนลามไปถึงคอหอย ไหล่ซ้าย
คนพวกนี้จะปล่อยให้ตนตายไปเช่นนี้น่ะรึ หมื่นนรินทร์เอนตัวออกไปด้านข้าง อาการคลื่นไส้อาเจียนเริ่มกลับมาอีกครั้ง เนื้อตัวเย็นเยียบจนรู้สึกใจสั่นขึ้นมา เขาหลับตาแน่นพยายามผ่อนคลาย หากถึงเวลาตายขึ้นมา อย่างน้อยควรจะมีญาติพี่น้องมาดูใจสักครั้ง ในเวลานี้แม้แต่คนที่รักยังไม่เห็นหน้า ลูกชายและลูกสาวที่น่ารักทั้งคู่เหมือนอยู่ห่างไกลจากตนเหลือเกิน หมื่นนรินทร์ไม่ยินดีเลยสักนิด แม้ว่าจะมีทายาทไว้สืบสกุลสมใจก็ตามที หากว่าบัวคิดหาทางทำลายคนภิรมย์สุขในภายภาคหน้า คงเป็นความผิดของตน...
แก้ว... ตอนเธอตายอยู่คนเดียว เธอรู้สึกเช่นไรกัน หมื่นนรินทร์คิดวนเวียนเรื่องความตายไปตลอดวัน พลังใจของตนเองนั้นเหลือน้อยเต็มที หมื่นนรินทร์นิ่วหน้าอย่างเจ็บปวดเมื่ออาการเสียดแน่นกำเริบขึ้นมาอีก แม้มีหมอประจำบ้านแต่ทว่าหมอหนุ่มคนนั้น มาตรวจเขาเป็นเวลา อาการของตนนั้นคงที่ ไม่ได้ทรุดลงมาเกือบเดือน
ราวกับว่าประวิงเวลาไปเรื่อยๆ แก้ว...นี่เธอกำลังมองฉันอยู่หรือเปล่า
ไม่ถึงสัปดาห์อาการของหมื่นนรินทร์ทรุดลงไปเรื่อยๆ จนเขาไม่คิดอยากจะรักษาต่อ ราวกับว่าถูกเลี้ยงไข้ไปเรื่อยๆ อาการปวดหน้าอกบางครั้งก็รุนแรงจนแทบหายใจลำบาก บางครั้งก็เล่นเอาหมื่นนรินทร์นอนไม่หลับ ในหนึ่งวันเขานั้นคิดจะตายไปให้สิ้นเรื่องสิ้นราวอยู่หลายครั้ง
กลางดึกคืนหนึ่งหลังจากที่หลับไปเพราะฤทธิ์ยา หมื่นนรินทร์ลืมตาตื่นขึ้นมา อาการเจ็บจี๊ดที่หน้าอกลามไปจนถึงหัวไหล่และกรามด้านซ้าย ร่างกายเย็นลงมีเหงื่อซึมไปทั่วสรรพางค์กาย หมื่นนรินทร์เหลียวมองไปรอบกาย ก่อนจะชะงักงัน ในใจพลันหม่นหมองขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นกรอบรูปที่ตั้งอยู่บนโต๊ะข้างเตียง เหมือนว่าบัวจะนำมาวางไว้ ในกรอบรูปเป็นภาพถ่ายของตนกับแก้ว ตอนนั้นแก้วอายุสิบแปดปีเต็ม กำลังเป็นหนุ่มแน่น เป็นรูปคู่ที่ถ่ายในสวนของเรือนเล็ก ตอนนั้นดอกแก้วบานสะพรั่ง
หมื่นนรินทร์เอื้อมไปหยิบกรอบรูปมาดู จู่ๆก็พลันเศร้าลง โหยหาอดีตเหล่านั้นขึ้นมา
....ในตอนที่ตนนั้นอายุได้สิบแปดปี สองแขนกำลังอุ้มเด็กชายวัยสามขวบไว้ในอ้อมอก เด็กน้อยหลับสนิทศีรษะวางเกยไหล่ของเจ้าตัว นรินทร์กำลังมองต้นแก้วที่กำลังโตได้ไม่ถึงเมตร เพาะมาได้สี่ปีกว่าๆแล้วต้นแก้วค่อยๆเติบโต แม้ตอนนี้ยังไม่ออกดอก แต่อีกสิบปีข้างหน้ามันต้องออกดอกสวย ส่งกลิ่นหอมไปทั่วเรือนแน่ๆ แก้ว...ชื่อนี้เหมาะแก่หลานคนนี้เสียจริง ที่ตนเลือกต้นแก้วก็เพราะคล้องกับชื่อหลานชาย ซ้ำยังขาวบริสุทธิ์ กลิ่นหอม แก้วโตมาต้องเป็นหนุ่มหล่ออย่างแน่นอน ใบหน้ายิ้มแย้มของนรินทร์ค่อยๆหุบลง เมื่อนึกถึงคำทักของพระรูปหนึ่ง หลวงปู่ท่านนั้นทักว่าเขาจะเจอกับดวงอริ เป็นผู้ชายหน้าตางาม เกิดในวันที่จันทร์ดับ... มันตรงกับแก้ว หลานชายของตนเอง คงเป็นเพราะหลวงปู่ทายทักไว้เช่นนี้เขาถึงได้ใส่ใจกับเด็กน้อยคนนี้เป็นพิเศษ ทีแรกนรินทร์ไม่ปักใจเชื่อนัก แต่ก็ยังหวั่นในใจ บอกตนเองไม่ให้งมงาย แม้ว่าพระรูปนี้จะเป็นที่เลื่อมใสของคนในมณฑลนี้
จวบจนกระทั่งเขาได้เลื่อนเป็นหมื่น เข้ารับราชการที่มณฑลนี้ได้สำเร็จย้ายมาอยู่บ้านเดียวกับเจ้าหมื่นที่ออกจากกรมหมาดเล็กมารักษาตัวเพราะโรคประจำตัว นรินทร์เจอกับแก้วอีกครั้งในวัยสิบห้าปี เด็กหนุ่มคนนั้นหน้าตาดีไม่ต่างจากพี่ชายตนในสมัยหนุ่ม แม้ดูอ่อนแอ เปราะบางไม่ต่างจากหญิงสาว พอถามไถ่เจ้าหมื่นก็พบว่าแก้วป่วยบ่อยเลยร่างกายผ่ายผอมไปบ้าง ต่างจากกิ่งและไกรรายนั้นรูปร่างสูง แข็งแรงดี ไม่แปลกที่แก้วโดนรังแกบ่อย พี่น้องพวกนี้ไม่รักใคร่กันเลย นรินทร์คอยห้ามทัพอยู่หลายหน เป็นเพื่อนคุยกับแก้วบ่อยๆ จนสนิทสนม มองไปมองมา หนุ่มน้อยคนนี้ถูกใจตนนัก จนลืมเสียสนิทว่าเป็นหลานชายแท้ๆ พอนึกขึ้นได้ยิ่งพลอยรู้สึกผิดบาป ได้โอกาสไปกราบไหว้หลวงปู่อีกครั้ง คราวนี้ท่านยังทักเช่นเดิมว่าจะเดือดร้อนจากเด็กหนุ่มที่มาติดพันตน หมื่นนรินทร์ประหลาดใจ “ดวงอริที่หลวงปู่เอ่ยถึง หมายความเช่นไร”
“เจ้าของเรือนชะตาอริกุมลัคน์ คือ ลักษณะของคนอมโรค ถ้าไม่ป่วยให้เห็นได้ชัด ก็มักจะมีโรคประจำตัวไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง บุคคลแบบนี้จะต้องมีโรคประจำตัว เจ็บป่วยง่าย หรือเป็นโรคเรื้อรังรักษายาก”
“เรือนชะตาของโยมนั้นสถิตอยู่ภพมรณะ มรณะ หมายถึง ความตายและการดับสูญ มักจะมีสาเหตุของการเสียชีวิตอย่างกะทันหัน อายุไม่ยืนนัก หรือถ้าอายุยืนก็หาความเจริญได้ยาก คือ ตายทั้งเป็น แสดงว่าโยมจะเป็นคนอาภัพอับโชค ไม่มีวาสนา แต่เรื่องอายุสั้นนั้นมีอยู่อย่างชัดเจน เมื่อถึงวัยกลางคนจะต้องผ่านภัยมาแล้วหลายครั้ง และมีสิทธิวิบัติ หรือดับสูญได้เพราะอริ หรืออย่างน้อยก็อาจเกิดอุบัติเหตุที่ผู้อื่นทำให้เกิดได้ มีโอกาสที่ทำให้ชะตาของโยมต้องกระทบกระเทือน และชีวิตไม่ราบรื่นนัก”
ในตอนนั้นหมื่นนรินทร์รับฟังคำทายทักมาเงียบๆ ไม่นำมาคิดมาก เพราะเกรงว่าจะระแวงไปเสียทุกเรื่อง อีกอย่างแก้วเองเป็นเด็กดี ไม่คิดร้ายกับใคร เห็นทีหลวงปู่คงทำนายผิดเสียกระมัง ตนกับแก้วสนิทสนมกันตามประสาอาหลาน ในตอนแรกเขาไม่ได้สังเกตว่าแก้วปฏิบัติต่อคนอย่างไร เขาปฏิบัติต่อแก้วอย่างไร จนมีคนเอ่ยเตือนเข้าถึงได้มีเวลาทบทวน
เมื่อแก้วอายุสิบแปดปีแล้ว หน้าตาดีไม่เปลี่ยน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตนไม่ชมชอบหลานชายคนนี้ “รู้หรือไม่ ว่าต้นแก้วพวกนี้อายุกี่ปีแล้ว”
“เอ ตอนหลานจำความได้ก็เห็นพวกมันโตจนออกดอกเต็มไปหมด คงมากกว่าสิบปี”เสียงของเด็กหนุ่มวัยสิบแปดปีเอ่ยขึ้น ใบหน้ายิ้มแย้ม สายตามองต้นแก้วที่แซมไปด้วยช่อดอกแก้วสีขาวสะพรั่ง ผู้เป็นอาเหลียวมองหลานชายด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
“คาดเดาได้ถูก ตอนฉันมาเยี่ยมเจ้าหมื่น ตอนนั้นเธอยังอยู่ในท้องแม่ สักแปดเดือนได้กระมัง ตอนนั้นฉันนำต้นแก้วมาเพาะไว้เป็นของขวัญแก่เธอเชียวนะ ต้นแก้วเหล่านี้อายุยี่สิบปีแล้ว”
“อ้อ จริงด้วย แปลกใจเสียจริง ที่ท่านอาปลูกต้นไม้ให้หลาน”แก้วเอ่ยยิ้มๆ หมื่นนรินทร์หันมองเด็กหนุ่มอย่างยินดี
“เพราะเจ้าหมื่นตั้งชื่อให้ว่าแก้วกระมัง ฉันเลยนึกขึ้นได้ว่าต้นแก้วคงเหมาะกับเธอ”
“ขอบคุณท่านอา”แก้วเอ่ยเบาๆ อยู่ๆก็รู้สึกยินดีในใจไม่น้อย
“มาตอนนี้ฉันคิดไม่ผิดจริงๆที่ปลูกให้เธอนะ ดูสิ มันเติบโตออกดอกสวย ดอกสีขาวพวกนี้มองไปแล้วเหมาะกับเธอ”
“ท่านอาพูดยอหลานถึงเพียงนี้ สงสัยคงมีเรื่องดีเกิดขึ้น”
“พูดได้ถูก ได้ข่าวว่าเธอเรียนจบแล้วไม่ใช่หรือ ฉันมีของขวัญให้ มาด้วยกันสิ”หมื่นนรินทร์เอ่ยบอกก่อนจะจับมือของแก้วให้เดินไปด้วยกัน ผ่านประตูรั้วบานเล็กลัดเลาะไปตามรั้วบ้าน เพื่อไปยังเรือนกระจก ในตอนนั้นแก้วดูตื่นเต้นจนเขาแอบยิ้มในใจ
“หวังว่าจะถูกใจเธอนะแก้ว”หมื่นนรินทร์เอ่ย เปิดประตูให้แก้วเข้าไปด้านใน จนกระทั่งประตูเปิดออกกว้างจนเห็นสิ่งที่วางไว้ที่โต๊ะเพาะเบื้องหน้า ท่ามกลางดอกไม้สีขาว จึงเห็นดอกไม้นั้นชัดเจนเด่นกว่าสิ่งอื่นใด กลีบเรียวขอบชมพูด้านในสีขาว มองไปคล้ายดาวห้าแฉก ดอกไม้ชนิดนี้หาไม่ง่ายนัก ดอกสีชมพูขาวสดชูช่อเด่น ประกอบกับลำต้นขนาดเล็กในกระถางขนาดประมาณหนึ่งช่วงแขน
“นั่นดอกชวนชมนี่”แก้วเอ่ยอย่างตกใจระคนแปลกใจรีบปรี่เข้าไปสำรวจดอกไม้ดังกล่าวทันที ใบหน้าประดับรอยยิ้มจนแก้มขึ้นเป็นลูกชัดเจน
“ไม่ใช่ของมีราคาด้วยสิ”หมื่นนรินทร์เอ่ยยิ้มๆ แก้วรีบปล่อยดอกไม้ ก่อนจะหันมองผู้เป็นอาด้วยสายตาไม่เห็นด้วยนัก
“พูดเช่นนั้นผิดแล้ว หลานชอบ แถวนี้หาดอกไม้ฝรั่งได้ที่ไหนกัน ขอบคุณท่านอามาก”แก้วยิ้มดีใจ นรินทร์อดไม่ไหวเข้าไปกอดหลานชายเอาไว้แน่น คนถูกกอดดูตกใจไม่น้อย...
นึกถึงเรื่องเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนแล้วทำให้ในใจอดเศร้าไม่ได้ เวลานี้หมื่นนรินทร์จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ‘หรือเป็นอาการของคนใกล้ตาย’ หมื่นนรินทร์ส่ายหน้า มองแววตาสุกใสของหลานรัก
แก้ว...โชคร้ายเสียจริง
“ขอโทษนะ”หมื่นนรินทร์พึมพำแผ่วเบา ก้อนเนื้อในอกซ้ายมันบีบรัดจนเจ็บปวด ไม่ทราบว่าเพราะอาการของโรคหัวใจกำลังออกฤทธิ์หรือเพราะความรู้สึกที่มีต่อแก้วกันแน่
“คงเกลียดฉันมากเลยสินะ จนตายก็ไม่มาหลอกหลอนฉัน คงดีใจเสียมากกว่าที่มีอิสระเสียที...ใช่หรือไม่”หมื่นนรินทร์เอ่ยกับตนเอง ในเวลานี้เขาแทบไม่เหลือคนเป็นให้พูดคุย หากการมีชีวิตอยู่นั้นยากถึงเพียงนี้ เหตุใดเขาจึงไม่รีบลาโลกไปเสีย
หมื่นนรินทร์ถอนหายใจ ยิ่งมองภาพนั้นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องในครานั้น... วันที่ต้นแก้วออกดอกสวยงาม ที่สวนหญ้าขนาดเล็กหน้าเรือนปั้นหยาขาวละลานตาไปด้วยกลีบดอกแก้วที่ล่วงหล่นบนพื้นหญ้า มองไปก็สวยเพลินตา ถ้าหากว่าตนไม่มายุ่งเกี่ยวกับแก้วล่ะก็ คงไม่ลงเอยอีหรอบนี้
‘ไม่...ไม่ใช่หรอก เป็นเพราะฉันสินะ’หมื่นนรินทร์คิดวนไปวนมา คำกล่าวโทษของบัวยังแจ่มชัดในหัว ‘เป็นความผิดของท่านหมื่น’
“ถ้าเช่นนั้น ฉันขอชดใช้ให้เธอเองแก้ว... ฉันผิดเองที่รักษาคำพูด ไม่ควรเอ่ยคำสาบานแบบขอไปที คำบอกรักก็เช่นกัน ฉันไม่ควรเอ่ยไปง่ายๆเช่นนั้น”หมื่นนรินทร์พึมพำ ก่อนจะมองกรอบรูปอย่างไม่วางตา ภายในห้องนอนอันเงียบสงบ เหมือนจะหม่นลงด้วยอารมณ์ของเจ้าของห้อง เสียงลมหอบใหญ่พัดเข้าหาตัวบ้านจนได้ยินเสียงหวีดหวิวของลม เสียงชายผ้าม่านสะบัดไปมา หมื่นนรินทร์หันมองไปทางหน้าต่างทรงสูงที่เปิดอ้ากว้างไว้ จ้องมองไปที่ความมืดจากด้านนอกบ้าน สองหูพลันได้ยินเสียงกรุ๊งกริ๊งเบาๆสองสามครั้งเป็นจังหวะ เขาชะงักไป พยายามฟังเสียงสรรพสิ่งรอบกายอีกครั้ง เขาก้มมองคนในรูปอีกครั้ง
แก้วงั้นเหรอ...
สามปีที่ผ่านมา หมื่นนรินทร์ไม่เคยสัมผัสถึงสิ่งที่ล่วงลับไปแล้ว ไม่มีแม้แต่เงา ความฝัน จะมีก็แต่ความทรงจำเก่าที่คอยตอกย้ำว่าแก้วดีต่อตนเพียงใด ทว่าคืนนี้กลับแปลกไปกว่าทุกที เขากระสับกระส่าย เมื่อเวลาผ่านไปนานจนแน่ใจแล้วว่าตนอาจหูฟาดไปเอง หมื่นนรินทร์เก็บกรอบรูปวางไว้ที่เดิม ก่อนจะหลับตาลงอย่างอ่อนเพลีย อาการเจ็บปวดยังไม่จางหายไปจากก้อนเนื้อที่อกซ้าย มันยังคงออกฤทธิ์ลามไปทั่วร่างกายซีกซ้ายอยู่เป็นระยะ
หมื่นนรินทร์คล้ายกึ่งหลับกึ่งตื่น ราวกับตกอยู่ในฝันอันหอมหวาน กลิ่นดอกแก้วหอมบางเบา เขาลืมตาตื่น พบว่ายังคงนอนอยู่บนเตียง แต่ทว่าคนตรงหน้ากลับกลายเป็นแก้ว หลานผู้ล่วงลับไปแล้ว หมื่นนรินทร์ผงะไป ก่อนจะรู้ตัวว่าตนนั้นกำลังนอนอยู่บนตักของแก้ว
“อย่าตกใจไป นี่หลานเอง ไม่ใช่ใครอื่น”แก้วหัวเราะเบาๆ แววตาอ่อนโยนคู่นี้เจือความเศร้า หมื่นนรินทร์หมายจะผุดลุกหนีหลานรัก แต่แก้วกลับกดบ่าของตนไว้ให้นอนลงเช่นเดิม
“แก้ว...นี่ เธอมาได้ยังไงกัน”หมื่นนรินทร์เอ่ยถามแผ่วเบา กลิ่นดอกแก้วยังคงไม่จางหายไปไหน กลิ่นกายเดิมของหลานรักไม่เปลี่ยน แก้วยิ้มบางๆ
“คิดว่าหลานมาได้เช่นไรเล่า หากไม่ใช่ความฝัน”
“ฝันงั้นเหรอ”
“...จำคำของท่านอาไว้ให้ดี ท่านเอ่ยออกมาแล้วมิอาจคืนคำได้”แก้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ก้มหน้ามองผู้เป็นอาด้วยสายตาเศร้าสร้อย หมื่นนรินทร์นิ่งงัน นึกถึงคำพูดก่อนหน้านั้นของตน
“ฉันจะชดใช้ให้เธอเอง”เขาเอ่ยเช่นเดิม
“...ดีๆ”แก้วพึมพำ น้ำเสียงขาดห้วนไป แววตาเหม่อลอย “ท่านอาน่าจะรู้ตัวเองว่าคงเหลือเวลาไม่มาก... ท่านกำลังจะตาย”
“ใช่ ฉันรู้ตัวดี”
“หลานไม่สามารถจากไปไหนได้....”คำพูดของแก้วทำให้หมื่นนรินทร์คิ้วขมวด มองหน้าหลานรักอย่างแปลกใจ
“หมายความว่าอย่างไร งั้นก็จริงอย่างที่คนอื่นลือ”
“ไม่จริง... จิตของหลานไม่ได้กลับสู่สังสารวัฏ หลานไม่ได้ผุดได้เกิด...เพราะคำแช่งของมณี...ท่านอาโปรดระวัง คำสาบัตย์สาบานมีอำนาจมากกว่าที่ท่านคิด คำที่ท่านเคยเอ่ยจะย้อนกลับมาทำลายท่านและลูกหลานในภายหลัง”แก้วเอ่ยเสียงเศร้า ใบหน้าเปื้อนยิ้มที่มองอย่างไรก็ไม่ใช่ความสุข เป็นความทุกข์ หมื่นนรินทร์ขยับปากกำลังจะเอ่ยถ้อยคำสำคัญ แต่เสียงโครมครามจากรอบกายทำให้หมื่นนรินทร์ตื่น
“ท่านหมื่น!”เสียงเรียกดังลั่น ตนสะดุ้ง ความเจ็บปวดพลันแล่นไปทั่วร่างกาย โดยเฉพาะที่หน้าอก สองตาพลันมองเห็นใบหน้าของหมอหนุ่มประจำบ้าน ก่อนที่สายตาจะพร่าเบลอ สองหูอื้ออึ้งไม่อาจได้ยินคำใดจากคนรอบกาย ดูเหมือนว่าสรพยางค์กายของตนไม่อาจรับการรักษาต่อไปได้ ความเจ็บปวดร้าวรานไปทั่วอกซ้ายและหัวไหล่ แล่นแปลบมาถึงกรามด้านซ้าย ความเจ็บปวดคราวนี้ดูท่าจะยาวนานกว่าปกติและสามารถหยุดยื้อช่วงชิงลมหายใจของหมื่นนรินทร์ไปได้
เฮือก
“โอ้ย....”ภูวรินทร์กุมหน้าอกซ้ายอย่างเจ็บปวดคล้ายกับอาการเหล่านี้กำลังเกิดกับตนเอง เขาอ้าปากหายใจกอบโกยเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดอย่างช้าๆ พยายามหายใจด้วยจมูก ทั้งร่างเกลือกกลิ้งกับพื้นดิน เขานอนหมดแรงอยู่ที่พื้น สองตาจับจ้องท้องฟ้าแจ่มใสเหนือร่างตน
เขายังคงอยู่ที่สุสาน
ให้ตาย ช่างทรมานราวกับเป็นเรื่องจริง เขาหยิกแขนตนเองให้รู้ตัว ก่อนจะยกมือลูบที่อกซ้ายเบาๆ ความทรงจำสุดท้ายของหมื่นนรินทร์ เหมือนว่าอีกฝ่ายจะยอมแพ้ต่อความเจ็บป่วยและยอมรับความผิดของตนเอง เขาผุดลุกมานั่งก่อนจะปัดเศษดินเศษหญ้าออกจากลำตัวและท่อนแขน ก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นยืนช้าๆ สูดหายใจเข้าออกยาวๆ
เพราะคำมั่นที่เอ่ยไว้ต่อคุณแก้ว หมื่นนรินทร์จึงกลับมาเกิดเป็นตนเองในที่สุด แต่คุณแก้วต้องรอถึงเจ็ดสิบกว่าปี ซ้ำยังไม่มีร่างเป็นของตนเอง ต้องพึ่งพาร่างกายของอินทนิล นี่มันเป็นโชคชะตา หรือว่าเวรกรรมกันแน่นะ แต่คุณแก้วผิดอะไรกันล่ะ นอกจากจะเป็นผู้เคราะห์ร้ายจากความอาฆาตของผู้อื่นทั้งสิ้น ยิ่งเห็น ภูวรินทร์ก็ยิ่งสูญสิ้นกำแพงในใจลงไปทุกที
+++++++++++
ตอนนี้ยาวไปหน่อย ไม่รู้จะตัดบทตอนไหนดี
พยายามสร้างโม้เมนต์หวานๆท่ามกลางความหม่นหมอง แต่ก็ได้เท่านี้จริงๆ 555
ขอบคุณสำหรับการติดตามเช่ยเคยจ้า